2
ทฤษฎีการตกหลุมรัก
ร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้สถานีรถไฟคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในระหว่างการเลือกสถานที่ที่จะไป ก็ตั้งแต่จิรันตร์โดนพันกรแกล้งไปตอนนั้นเจ้าตัวก็เอาแค่ก้มหน้างุดเดิมดุ่มๆ ออกมาจากศาลเจ้าไปเลย ปล่อยให้พันกรวิ่งกระหืดกระหอบตามมาเกือบไม่ทัน โว๊ย! ก็คนมันเขินนี่หว่าเกิดมาไม่เคยเจอผู้ชายหยอดเลยสักครั้ง อีกอย่างพี่กรมันอาจจะแค่หยอดเล่นๆ ก็ได้ ไม่อยากเขินให้พี่มันเห็นเลยอ่ะ ฮือ T-T
“พอได้แล้วมั้งกัดจนหลอดแตกหมดแล้ว”
“อ๊ะ! พี่กรเอาคืนมา”
พันกรอดไม่ได้ที่จะแย่งแก้วโกโก้เย็นที่จิรันตร์เอาแต่ก้มหน้าก้มตากัดจนหลอดแตกมา ถ้ารู้ว่าจะเป็นคนขี้อายขนาดนี้เขาคงไม่รีบรุกน้องมันเร็วขนาดนั้น
“สั่งมาให้กินไม่ใช่ให้มานั่งกัดหลอดเล่น”
“ง่า… ก็มัน…”
“มันอะไร”
“เปล่า…”
ไม่อยากจะพูดออกไปเลยว่า ก็กูเขินมึงไอ้พี่กร! เกร็งจนทำอะไรไม่ถูกแล้วเนี่ย แต่ดูเหมือนสิ่งที่จิรันตร์คิดจะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางจนหมดจนทำให้พันกรนึกขำ ไม่ได้การละถ้าปล่อยให้น้องมันเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ต้องไปไหนกันพอดี ต้องเริ่มจากการละลายพฤติกรรมกันก่อนด้วยการชวนคุย
“เอ้อว่าจะถามตั้งนานละ ทำไมมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงโลว์ซีซั่นแบบนี้ล่ะ”
“หะ…อ๋อ มาหาแรงบันดาลใจในการทำงานน่ะ”
จิรันตร์เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาก่อนจะตั้งสติแล้วตอบคำถาม
“งานอะไรอ่ะถามได้ป่ะ”
“งานเขียนการ์ตูน…ใช่ๆ งานเขียนการ์ตูน”
เกือบไปแล้วไอ้เอย มึงเกือบจะหลุดไปแล้วว่าการ์ตูนที่มึงเป็นการ์ตูนแนวลามก ไม่ได้ๆ จะให้พี่กรมันรู้ไม่ได้อาจจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ
“อ่อแบบนี้นี่เองแล้วเป็นไงพอหาได้ยัง”
“ก็พอได้ความคิดใหม่ๆ นิดหน่อยแต่ก็ยังสู้เรื่องเก่าไม่ได้เลย”
“เรื่องเก่า?”
“อื้อ เรื่องเก่าที่ทำไว้น่ะ โดนเพื่อนขโมยต้นฉบับไปขาย”
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกจี๊ดที่ใจทุกทีเลย
“เห้ยได้ไงวะ แล้วมึงทำไงอ่ะฟ้องป่ะ”
“หึ ไม่ได้ฟ้องอ่ะ ก็ต้นฉบับอยู่ที่มันพอมันเอาไปขายลิขสิทธิ์ก็เป็นของมันร่วมกับสำนักพิมพ์ไปแล้ว เอยเลยไม่รู้จะทำไงแล้ว เลยบอกว่าจะฟ้องพ่อมันแลกกับเงินสองล้าน…” แทนตัวเองว่าเอยด้วย น่ารักจัง
“ถถถ กูก็นึกว่ามึงจะเป็นนางเอกยอมโดนเขารังแกแสบใช่ย่อยเหมือนกันนะเรียกไปเยอะขนาดนั้น แล้วมันให้ป่ะ”
“ให้ดิมันกลัวพ่อมันกระทืบจะตายไปแถมพ่อมันยังเอ็นดูเอยมากๆ อีกด้วยถ้าเอยจะเอาคืนมันจริงๆ นะ โทรหาพ่อมันกริ๊งเดียวมันก็หมอบคาตีนพ่อมันแล้ว”
“ฮ่าๆ แบ็คโคตรดี นับถือๆ”
พันกรกรั่วขำพร้อมกับยกมือขึ้นมาประกบกันแบบในหนังจีน
“แล้วพี่ล่ะทำไมมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้”
“กูเหรอ…กดสุ่มประเทศเอาอ่ะตกที่ไหนก็ไปที่นั่น”
โห โคตรชิลโคตรสิ้นคิด อะไรกันครับเนี่ยน้องเอยงงไปหมด
“เออ เชื่อแล้วว่าพี่มึงชิลจริง”
“ก็มันเบื่อๆ ตั้งแต่เปิดร้านยาดองมาปีนึงไม่เคยพักเลย บังเอิญลูกค้าตีกันทำร้านเละด้วยไงเลยถือโอกาสปิดปรับปรุงร้านมาเที่ยว”
“หืม ร้านยาดอง?”
จิรันตร์ขมวดคิ้วเมื่อพันกรพูดถึงร้านยาดอง สมัยนี้ยังมีคนกินยาดองกันอยู่เหรอวะ แต่ที่แปลกกว่านั้นคือเจ้าของร้านยาดองที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า ดูยังหนุ่ม ลุคก็ดูไม่ให้กับการเปิดร้านยาดองสักนิดถ้าเปิดร้านเหล้าคลับบาร์ว่าไปอย่าง
“เออ ทำไมไม่เชื่อเหรอ”
“เปล่าแค่แปลกใจพี่ดูไม่น่ามาเปิดร้านยาดองเท่าไหร่”
“ทีแรกเป็นวิศวกรแล้วได้ไปลงงานแถวอีสานเป็นปีคนงานชวนดริ๊งค์เกือบทุกวัน พอกลับมากรุงเทพฯ ก็เลยคิดถึงอ่ะเรียกว่าติดใจก็ได้ กินแล้วมันคนละฟีลกับเหล้า ก็เลยลองมาเปิดร้านเล่นๆ ดูพอดีป๊าเขามีตึกแถวว่างๆ แถวเอกมัยด้วย”
พันกรเล่าอย่างไม่ปิดบัง ส่วนจิรันตร์เองก็ตั้งใจฟังมากๆ พร้อมกับแอบหยิบแก้วโกโก้คืนมาดูดสลับกับกัดหลอดเล่น
“ทีแรกคนก็ไม่ค่อยกล้าเข้าหรอกสงสัยมันดูเป็นซุ้มยาดองเกินไป กูเลยให้เพื่อนมาตกแต่งร้านให้ใหม่สไตล์โมเดิร์นผสมความเป็นไทยร่วมสมัยเท่านั้นแหละคนแห่กันเข้าร้านจนกูแทบไม่ได้พัก”
“โห พี่แม่งเท่เลยว่ะ”
จิรันตร์ขึ้นเท้าคางมองพันกรที่กำลังเล่าถึงร้านยาดองของเขา
“เท่ยังไง”
“แบบเป็นวิศวกรเป็นเจ้าของร้านยาดองอีก”
“ตอนนี้ลาออกจากงานวิศวกรแล้ว”
“อ้าวทำไมอ่ะ”
“พอมาทำร้านแล้วรู้สึกว่าชอบมากกว่าสบายใจกว่าเป็นนายตัวเอง อีกอย่างกูไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเลยไม่อยากทำหลายอย่างให้มันเหนื่อย”
เนี่ย! โคตรเท่เลย จะมีสักกี่คนกันที่ยอมทิ้งหน้าที่การงานดีๆ มาทำสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วไอ้คำพูดที่ว่าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินที่อย่างเท่ ไม่ใช่ใครก็ได้นะครับที่จะพูดคำๆ นี้ได้
“ชีวิตพี่นี่ดูมีสีสันจัง ไม่เหมือนเอยเลย นี่เรียนจบประมงมานะจะบอกให้”
“อ้าวแล้วทำไมมาเขียนการ์ตูน”
พันกรเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยพร้อมกับเอาหลอดในกล่องอันใหม่มาเปลี่ยนให้จิรันตร์แทนหลอดอันเก่าที่โดนกัดจนแตกแล้วอีกแตกอีก
“ก็แบบว่ารักน้ำรักปลาไรงี้ ตอนมอหกเคยไปดำน้ำกับฉลามวาฬรู้สึกประทับใจมากๆ ก็เลยชอบ แต่เรียนไปเรียนมาก็เพิ่งรู้ตัวว่าชอบเขียนการ์ตูนด้วย พ่อเลยบอกว่าถ้าปีนี้งานเขียนการ์ตูนยังไม่ก้าวไปไหนพ่อจะให้กลับไปช่วยทำสวนลำใยที่ลำพูน”
จิรันตร์เล่าอย่างเซ็งๆ ก่อนจะดูดโกโก้ที่ละลายจนจืดชืดทีเดียวหมดเเก้ว
“อ่าห์~”
“ระวังเย็นขึ้นสมมอง…ว่าแต่เรื่องที่ไปดำน้ำกับฉลามวาฬนี่ชอบมากเลยเหรอ”
“รักเลยแหละเอยชอบสัตว์ทะเลทุกชนิดเลย โดยเฉพาะแมงกระพรุนโคตรน่าหลงไหลเวลามันแหวกว่ายอยู่ในน้ำมองเพลินเลยแหละ”
พูดได้ขนาดนี้คงหายเขินแล้วล่ะมั้งเนี่ย หึหึ
“มึงรู้ป่ะว่าการที่เราประทับใจอะไรมากๆ ต่อมามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“อะไรเหรอ”
“ตกหลุมรักไง…มึงประทับใจการว่าน้ำกับฉลามวาฬมึงเลยตกหลุมรักสัตว์ทะเล”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
“และวันนี้กูก็ประทับใจที่มึงช่วยกูจับโจรด้วย…ไปจ่ายเงินก่อนนะเดี๋ยวมา”
“อ้ะ…” พูดอะไรไม่ออกได้แต่กลืนก้อนคำพูดลงคอเมื่อได้ยินที่พันกรพูด ประทับใจ…เรางั้นเหรอ โว๊ยยย! อะไรกันล่ะครับเนี่ยยย ไอ้พี่กรพูดอะไรออกมาหยอดเก่งจังเลยโว๊ยยย
ช่วงบ่ายจิรันตร์พาพันกรมาเดินช็อปปิ้งแถวย่านการค้าฮาราจูกุ พร้อมกับฝากท้องในมื้อเที่ยงแถวนี้ด้วย ด้วยความที่ทั้งสองคนตกลงกันว่าไม่อยากกินอะไรยุ่งยาก มื้อเที่ยงที่มากินตอนบ่ายของเขาทั้งคู่จึงเป็นร้านคุชิคัตสึ อาหารญี่ปุ่นเสียบไม้ทอดง่ายๆ มีหลากหลายให้เลือก และมื้อนี้ก็สบายกระเป๋าเงินของจิรันตร์เพราะคนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเขาจะเป็นคนเลี้ยง
“แน่ใจนะว่าจะเลี้ยง”
“อื้ม ตัวแค่นี้จะกินเยอะแค่ไหนกันเชียว”
“โอ้โห คำพูดคำจานี่ก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้นนะสัดส่วนมาตรฐานชายไทยอ่ะรู้จักป่ะ”
“ก็ดูตัวเล็กตัวน้อยอยู่ดีอ่ะ” น้ำเสียงอบอุ่นแบบนี้คืออะไรกัน
จิรันตร์ไม่ได้ตอบโต้เพราะไม่รู้จะเถียงอะไรเพราะถ้าเทียบขนาดตัวเขากับพันกร จิรันตร์ก็ดูตัวเล็กตัวน้อยอย่างที่ พันกรว่าไว้นั่นแหละถึงแม้ว่าตัวจิรันตร์จะไม่ได้บอบบางแต่ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ตัวหนามีกล้ามแน่นแบบพันกรรวมทั้งความสูงที่ดูผ่านๆ อาจจะดูไม่ได้เตี้ยกว่าพันกรมากนักแต่ถ้าให้มายืนเทียบก็มีความสูงที่ห่างเกือบสิบเซนเลยทีเดียว
มื้อเที่ยงจบลงไปแบบที่ทั้งคู่แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยเพราะจิรันตร์ดูจะตั้งใจกินมาก กินแบบเอร็ดอร่อยจน พันกรไม่กล้าที่จะชวนคุยและมื้อนี้ก็ท่าว่าคนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินแบบพันกรจะต้องจ่ายหนักเลยทีเดียวเพราะจิรันตร์กินเก่งมากเก่งชนิดที่เรียกว่าไม้เสียบคุชิคัตสึกองเป็นพะเนินบนโต๊ะ แต่กินเก่งๆ แบบนี้ก็ดีเขาน่ะชอบขุนแฟนให้อ้วนๆ อยู่แล้ว พอกินข้าวเสร็จจิรันตร์ก็พาพันกรไปช็อปปิ้งต่ออีกนิดหน่อยเพื่อเป็นการย่อยก่อนที่จะพากันแยกย้ายกลับโรงแรม
“พี่พักที่ไหน”
จิรันตร์ถามร่างสูงที่ยืนซ้อนหลังขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนโหนราวรถไฟที่ผู้คนเบียดเสียดกันอยู่เต็มตู้
“ก็โรงแรมที่มึงจับขโมยให้กูไง”
“จริงอ่ะ ที่เดียวกันเลยที่อยู่ห้องไหน”
“บังเอิญจังวะ แต่ทำไมไม่เคยเจอมึงที่โรงแรมเลย กูอยู่ห้องริมสุดทางปีกซ้ายติดสวน”
พันกรตอบ โรงแรมสไตล์เรียวกังที่เขาที่คู่เช่าอยู่เป็นโรงแรมที่มีลักษณะคล้ายกับบ้านคนรวยสมัยยุคเอโดะผสมผสานความโมเดิร์นแบบสมัยใหม่ล้วนแต่เป็นงานไม้ทั้งหลังที่เป็นแนวยาวบรรจบกันสี่ด้านมีพื้นที่ตรงกลางเป็นสวนหย่อมและมีบ่อปลาคราฟ แต่ในส่วนห้องพักของจิรันตร์นั้นจะพิเศษกว่าห้องอื่นๆ เพราะเป็นห้องขนาดใหญ่มีห้องน้ำและห้องนอนแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจนและยังมีห้องโถงไว้ใช้สอย ต่างจากห้องอื่นที่ห้องน้ำและห้องนอนอยู่ภายในห้องเดียวกัน ห้องของจิรันตร์เป็นเพียงห้องเดียวที่มีทางเดินแยกออกจากอาคารไปทางด้านหลังที่มีสวนเพื่อไปที่ห้องเพราะมีบ่อน้ำพุร้อนนั่นเอง ราคาก็ไม่ต้องพูดถึงสูงริบลิ่วถ้าไม่มีเงินสองล้านในบัญชีล่ะก็อย่าหวังว่าจิรันตร์จะย่างกายเข้ามาพักห้องนี้
“เอยพักห้องที่อยู่หลังสุดน่ะที่มีทางเดินแยกออกไปข้างหลัง”
“โอ้โห คนเค้ารวยจริงเว้ย”
“อุตส่าได้ค่าโง่มาตั้งสองล้านก็ขอใช้ให้คุ้มหน่อยสิ ฮ่าๆ”
“ขยับมานี่มาคนเข้ามาอีกเดี๋ยวเขาจะไม่มีที่ยืนกัน”
พูดไม่ทันขาดคำมือหนาก็ถือวิสาสะคว้าเอวคนตรงหน้าขยับมาให้แนบชิดอกของเขาและเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนเข้ามาใหม่จากสถานีที่รถไฟจอดยิ่งทำให้เขาทั้งคู่ต้องทำตัวลีบแนบชิดติดกันมากขึ้นไปอีก จิรันตร์ได้แต่ยืนตัวเกร็งนิ่งไม่กล้ากระดุกระดิกไปไหนจนกระทั่งมาถึงสถานีที่เขาทั้งคู่จะต้องลง พอออกมาจากขบวนรถพันกรจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าจิรันตร์นั้นหน้าแดงหูแดงไปหมดระหว่างทางที่เดินกลับโรงแรมพันกรก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะกลัวว่าถ้าถามไปจิรันตร์จะยิ่งเขินไปกันใหญ่ ดูเป็นคนห้าวแท้ๆ แต่ทำไมขี้อายจังนะ
“เอ่อ…เอยขอกลับห้องก่อนนะ”
ไม่ได้รอให้พันกรตอบกลับ จิรันตร์ก็รีบเดินดุ่มๆ ไปที่ห้องของตัวเองทันที พอถึงห้องร่างกายสูงโปร่งก็ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกสีข่าวสะอาดพร้อมกับดิ้นไป เขินโว้ยยย เกิดมายังไม่เคยรู้สึกว่าเปลืองตัวกับผู้ชายคนไหนบนโลกใบนี้มาก่อนเลย ฮือ T-T อยู่ใกล้พี่กรแม่งโคตรเปลืองตัวเลยแถมหัวใจแทบจะวายตายเพราะทุกครั้งที่ถูกสัมผัสจากพี่กรหัวใจงี้เต้นระรัวเหมือนเต้นแซมบ้าเลยไอ้บ้าเอ้ย
“โอ้ยยย! ช่างแม่งไปอาบน้ำดีกว่า” ว่าแล้วก็หอบเอาร่างกายของตัวเองเข้าห้องน้ำไป
ใช้เวลาอาบน้ำเพียงไม่นานจิรันตร์ก็ออกมาพร้อมชุดคลุมและผมสีอ่อนที่ยังเปียกหมาดๆ จิรันตร์เดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งก็เพิ่งมาสังเกตเห็นว่ามีชุดยูกาตะพับไว้อย่างเรียบร้อยว่างอยู่พร้อมกับข้อความเป็นภาษาญี่ปุ่นแนบมาด้วย
‘มีเทศกาลดอกไม้ไฟจัดขึ้นที่ถนนคนเดินริมน้ำใกล้ๆ หวังว่าคุณลูกค้าจะสนุกกับงานเทศกาลนะคะ’
“อ่า ดีจังมีงานเทศกาลดอกไม้ไฟด้วยแถมยังเตรียมชุดไว้ใช้อีกเทคแคร์ลูกค้าดีจริงๆ ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยแฮะ”
แต่จะว่าไป…เดินคนเดียวมันจะไม่เหงาไปหน่อยเหรอวะ หรือเราควรจะไปชวนพี่กรดี…
ก๊อกๆๆ!
คิดอะไรเพลินๆ ได้ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
“โชโชะ โอะมะจิ คุดะไซ” (รอสักครู่นะครับ)
ประตูบานเลื่อนค่อยๆ เปิดออกสิ่งแรกที่จิรันตร์เห็นคือแผงอกขาวๆ ล่ำๆ ทะลุลูกตา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเข้าของแผงอกขาวล่ำตรงหน้า พันกรที่มาในชุดยูกาตะสีดำที่มีลวดลายมังกรสีแดงประทับอยู่บนเนื้อผ้าพอมันอยู่บนร่างกายของพันกรแล้วดูเหมาะมากเลยทีเดียว
“อ้าวพี่กร…”
“ไปดูดอกไม้ไฟกันไหม”
“อ่า…ไปครับ”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คือความจริงแล้วอ่ะอยากจะให้ยาวกว่านี้แต่ให้ใส่ในตอนนี้หมดมันจะไม่เหลืออะไรให้เล่นในตอนต่อไปอ่ะดิ555 รอดูนะว่าไปดูดอกไม้ไฟอีพี่มันจะทำอะไรน้อง อร้ายยย 555 เม้นให้กำลังใจนุหน่อยนะฮะจะได้มีฟามอึกเหิมรับมือในฟามหื่นกามของอีพี่มัน