แล้วเคยขึ้นเท่าไหร่ครับ ? ตอนที่ 2 บอลคู่โปรด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แล้วเคยขึ้นเท่าไหร่ครับ ? ตอนที่ 2 บอลคู่โปรด  (อ่าน 2303 ครั้ง)

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



**********************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2020 00:54:19 โดย จิบุ_จิบุ »

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คุณคิดว่า การที่เราจะได้พบใครสักคน เป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีใครกำหนดเอาไว้แล้วหรือไม่
เมื่อคนสองคน ที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน แต่ก็มีบางส่วนที่เหมือนกัน

 

การพบกันของเขาทั้งสอง จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ?





เติ้ล ตะวัน

ชาติ สุชาติ

หมายเหตุ

 
* นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องแต่งทั้งหมด

* ภาพตัวละครในนิยายเป็นเพียงภาพสมมติตามความมโนของผู้แต่ง ไม่ใช่ตัวละครจริงในเรื่อง

* หากมีข้อผิดพลาดประการใด สามารถติชมได้ตามอัธยาศัย

*************************



ชั่วโมงทำงานที่หนึ่ง

   “อะหยังนะแม่ จะยืมรถของผมไปใช้งั้นเหรอ แล้วจะหื้อผมเอารถที่ไหนไว้ไปใช้ทำงานล่ะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปผ่านโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่กำลังแต่งตัวเพื่อรีบไปทำงานในยามเช้า พลางเหลือบสายตาไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังห้องซึ่งตอนนี้มันกำลังบ่งบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะใกล้ได้เวลาเข้างานของผมแล้ว

“มันก็ใช่แม่ ว่าที่ทำงานของผมอยู่ห่างจากคอนโดบ่ถึงสิบนาที จะหื้อนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปก่อนมันก็ได้ แต่...”

ผมยังคงพยายามหาข้ออ้างเพื่อหวังจะปฏิเสธคำขอของอีกฝ่าย แต่ดูท่าทีของคู่สนทนาซึ่งก็คือแม่ของผมในตอนนี้นั้น ดูท่ายากจะปฏิเสธได้จริง ๆ เพราะเธอยังคงรบเร้าและหาข้ออ้างสารพัดเพื่อจะยืมรถเก๋งของผมไปใช้งานชั่วคราวให้ได้
และสุดท้าย ผมก็ต้องจำยอมให้แม่ยืมรถผมไปอย่างโต้แย้งไม่ได้ ให้ตายสิ

แต่นั่น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ที่กำลังจะเกิดกับผมหลังจากนี้


“อ้าว พี่ชาติ สวัสดีครับ ไหงวันนี้มาสายได้เนี่ย ปกติพี่จะมาก่อนเวลางานเสมอเลยนะ แล้วไปทำอะหยังมาครับเนี่ย ถึงได้ดูหน้าตาบ่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก”
ซันด๋อยเอ่ยถามผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งจัดหนังสือที่เพิ่งเข้ามาใหม่

“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ บ่มีหยัง ทำงานของเราต่อไปเถอะ เอ้อ นันท์ งานที่พี่สั่งไปน่ะ เสร็จแล้วหรือยัง”
ผมตอบปัดไปก่อนจะหันไปเอ่ยถามนันท์ ซึ่งเป็นรองผู้จัดการของผมที่ตอนนี้กำลังกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพ์ฯ

“เอ่อ ก็ได้ราว ๆ ครึ่งนึงแล้วพี่ รีบมั้ยอะ ถ้ารีบ เดี๋ยวผมจะเร่งให้”
“บ่ ๆ บ่รีบ เอกสารตัวนี้บ่ได้รีบอะหยังนัก ค่อย ๆ ทำไปก็ได้”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงค่อย ก่อนจะวางกระเป๋าเอกสารลงไว้ข้าง ๆ แล้วถอนหายใจเบา ๆ

“เป็นอะหยังหรือเปล่าพี่ชาติ ดูพี่เหนื่อย ๆ นะ”
นันท์หันมาเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“มีปัญหาที่บ้านนิดหน่อยน่ะ แต่บ่ใช่เรื่องอะหยังใหญ่โตหรอก ครับ คุณลูกค้า มีอะหยังหื้อช่วยครับ”
ผมตอบปัดกลับไปอีกรอบ ก่อนจะรีบหันไปยิ้มให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ

เอ้อ จะว่าไป ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยนี่นะ ผมชื่อสุชาติครับ อายุอานามก็ใกล้จะสามสิบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว หน้าที่การงานของผมตอนนี้ก็เป็นผู้จัดการร้านที่ร้านหนังสือในห้างดังแห่งหนึ่งของตัวเมืองใหม่

ชีวิตผมในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็เฉกเช่นคนทั่ว ๆ ไปนั่นล่ะ เช้าทำงาน เย็นก็กลับบ้าน ไม่สิ ในกรณีของผมต้องเรียกว่าคอนโดถึงจะถูก เป็นคอนโดที่เก็บเงินซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็ยังผ่อนไม่หมดหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า

ส่วนสถานะภาพตอนนี้นั้นก็โสดครับ อาจจะเพราะด้วยชีวิตที่มีแต่งาน งาน แล้วก็งาน เลยทำให้ไม่มีเวลามองใครสักที ซึ่งเอาจริง ๆ นิสัยของผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะ

ถามว่าอยากมีแฟน มีคนรักเหมือนคนอื่นเขาไหมน่ะเหรอ อืม ตอบยากแฮะ ยังไงดีล่ะ เวลาเห็นคนอื่นเขามีแฟน ยิ่งตอนนี้เพื่อนสมัยเรียนของผมก็แต่งงานมีฝั่งมีฝา บางคู่ก็มีลูกกันไปแล้ว ก็แอบอิจฉานะ แต่พอเห็นคู่รักคู่ไหนทะเลาะกัน เลิกราร้องไห้กันแล้วนั้น มันก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่เหมือนกันแฮะ

เอ จะว่าไป ไอ้อาการแบบนี้คนแถว ๆ นี้ก็เคยรู้สึกมาก่อนเหมือนกันนี่หว่า

“นันท์”
“ครับ”
“พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนเอ็งเคยมีแฟนบ่ใช่เรอะ”
“ก็ใช่นะพี่ ทำไมเหรอ”
“แล้วตอนนี้เขาไปไหนล่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เจ้าตัวเอง เมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“คำถามนี้ขออนุญาตบ่ตอบได้มั้ย มันยังบ่ถึงเวลาน่ะ”
“เวลา ? เวลาอะหยังวะ”
ผมขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใด ๆ กลับมานอกจากรอยยิ้ม

“เออน่ะ เดี๋ยววันนึงพี่ก็รู้เองล่ะ ว่าแต่นึกไงถึงถามเนี่ย อย่าบอกนะว่าพี่จะจีบผม โอ้ย !”
ผมเบิ๊ดกะโหลกอีกฝ่ายทันทีเมื่อเจ้าตัวถามแบบนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้แรงอะไรมากหรอก แต่นันท์มันแอคติ้งเกินกว่าเหตุแค่นั้นน่ะล่ะ

เอาล่ะ เอาเป็นว่ากลับมาตั้งใจทำงานก่อนละกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


“นันท์ เดี๋ยวพี่ออกไปพักกินข้าวก่อนนะ จะฝากซื้ออะหยังมั้ย”
ผมหันไปเอ่ยถามนันท์ที่กำลังวุ่นวะวุ่นวายกับงานเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า เจ้าตัวหันมาขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

“ซันด๋อยล่ะ จะฝากซื้ออะหยังมั้ย”
“บ่เอาครับพี่ เดี๋ยวจะไปกินกับน้องส้มแฟนผมน่ะ”
ช่างเป็นคำตอบที่ดูน่าหมั่นไส้จริง ๆ แต่เอาเถอะ วัยกำลังหนุ่มกำลังแน่นนี่เนอะ จะมีแฟนมีความรักก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก

“พี่จะไปกินที่ฟู้ดคอร์ทนี่หรือเปล่าครับ”
“เปล่า ว่าจะออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกน่ะ”
“ระดับพี่เนี่ยนะ กินร้านข้างทางเป็นด้วย”
นันท์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“แปลกตรงไหนวะ พี่ก็คนธรรมดา ๆ คนนึงเหมือนกันนะเว้ย อีกอย่าง กินในฟู้ดคอร์ทจนเบื่อแล้ว อยากลองไปหาอะหยังข้างนอกกินบ้าง”
พูดจบ ผมก็หยิบเสื้อแจ๊คเก็ตที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้พนักงานขึ้นมาสวมใส่พลางควานหากุญแจรถในกระเป๋าเอกสารก่อนจะนึกเอะใจขึ้นมาได้ว่าเพิ่งให้แม่ยืมรถไปเมื่อตอนเช้านี่หว่า

ผมเดินออกมาจากตัวห้างท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนจนต้องเอามือขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้

   ร้านข้าวที่เคยเห็นผ่าน ๆ ตาตอนมาทำงาน ถ้าเอาที่ใกล้ที่สุดน่าจะอยู่ห่างออกไปราว ๆ 200 เมตรน่าจะได้มั้ง หน้าห้างก็มีวินมอเตอร์ไซค์ด้วยนี่นะ จะนั่งไปดีมั้ยนะ แต่คิดอีกที นาน ๆ จะได้ออกมาเดินเล่นอะไรแบบนี้ดูบ้าง ก็ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูมั่งดีกว่า

   ผมใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็เดินมาถึง เป็นร้านอาหารข้างทางเล็ก ๆ ไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก แต่ก็มีผู้คนเข้ามาใช้บริการมากมายไม่ขาดสาย น่าจะแสดงให้เห็นได้ว่าร้านนี้คงอร่อยพอสมควรแน่ ๆ

“เอ่อ รบกวนขอกะเพราไก่ไข่ดาวทีนึงครับ”
ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเนื่องมาจากยังไม่เคยมาร้านนี้เลยครั้ง จึงไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรดี

“ได้ค่า แต่วานเขียนใส่กระดาษที่อยู่ตรงนั้นให้อีกทีเน่อ เดี๋ยวจะได้บ่สับสนคิวกัน”
หญิงวัยกลางคนที่ดูคล้ายว่าจะเป็นแม่ครัวชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ผมหันไปมองตามก็พบสมุดฉีกเล่มเล็กที่หาซื้อได้ตามร้านขายของชำทั่วไปตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมเดินไปก่อนจะเขียนรายการอาหารของตัวเอง แล้วส่งให้แม่ครัว หลังจากนั้นจึงเดินไปหาแก้วน้ำตักน้ำเปล่า พลางมองหาโต๊ะว่าง ก็นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ยังเหลือโต๊ะว่างอยู่หนึ่งตัวพอดี

หลังจากที่หย่อนตัวลงนั่ง ผมก็หยิบมือถือของตัวเองออกมาเช็คข่าวสารและพอร์ตหุ้นของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะปิดไปเพราะมีแต่ข่าวชวนเครียด แถมพอร์ตของผมก็ยังอยู่ในโซนสีแดง เห็นแล้วไม่ชวนให้รู้สึกดีใจได้เลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนบรรยากาศไปฟังเพลงแทน โดยหยิบหูฟังสมอลทอร์คออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเชื่อมต่อกับมือถือ ก่อนจะเปิดเพลงโปรดฟังแก้เครียดในระหว่างที่รออาหาร


********


เที่ยววิ่งที่หนึ่ง


“เติ้ล ถึงคิวเอ็งแล้วน่ะ ตื่น ๆ บ่ตื่นเดี๋ยวจะแซงคิวนะเว้ย”
เสียงของพี่อั๋นปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ในช่วงเวลากลางวัน ผมขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบขวดน้ำข้างตัวแล้วเทน้ำออกมาเพื่อล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น แล้วจึงหยิบกุญแจรถและหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่แล้วเดินตรงไปยังลูกค้าที่กำลังยืนรออยู่ที่รถ

ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อตะวัน ชื่อเล่นเติ้ล ปีนี้ก็อายุสิบเก้าครับ ผมเป็นเด็กบ้านนอกธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่หาได้ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษกว่าใครคนอื่นเลย จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก แต่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก อีกอย่างสอบไม่ติดด้วยน่ะ ก็เลยกะว่าจะพักเรื่องเรียนไว้ก่อน หางานทำก่อนสักปีสองปี เก็บเงินทุน เตรียมความพร้อม แล้วค่อยหาลู่ทางเรียนต่อ

กิจวัตรประจำวันของผมก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก ตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ  กินข้าว แล้วก็มาที่วินซึ่งตั้งอยู่ข้างห้างดังแห่งหนึ่งของตัวเมืองเชียงใหม่รอรับลูกค้าตามคิวไปเรื่อย ๆ วันหนึ่ง ๆ ก็ได้หลายร้อยอยู่

ถามว่าอิจฉาเพื่อนคนอื่นไหม ที่ได้เรียนต่อ ได้อยู่ในชุดนักศึกษา ก็มีบ้างน่ะล่ะ แต่ก็ตามที่ว่าไปด้านบน ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้นี่เนอะ จะให้ตีโพยตีพาย โทษคนนู้นคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาหรอก เพราะงั้น ตอนนี้ก็ตั้งใจทำมาหากินไปก่อนละกัน แล้วหลังจากนี้ค่อยว่ากัน ยังไงก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก จริงมั้ย


“พี่อั๋น เดี๋ยวผมไปกินข้าวก่อนนะ จะฝากซื้ออะหยังมั้ย”
ผมเอ่ยถามพี่อั๋น ซึ่งเป็นหัวหน้าวินแห่งนี้เมื่อสังเกตเห็นเวลาในหน้าจอมือถือโนเกียสามสามหนึ่งศูนย์รุ่นเก่ากึ๊กที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากพ่อของผมมันกำลังบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายโมงแล้ว

“เอากรองทิพย์ซองนึงแล้วกัน เอ้านี่เงิน เอ้อ ข้าวกล่องด้วยกล่องนึง เอาผัดพริกแกงไก่ไข่ดาว พิเศษข้าวเด้อ”
ผมรับเงินพร้อมคำสั่งนั้นมา ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจของตัวเองมุ่งตรงไปยังร้านข้าวเจ้าประจำซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
“เอาเหมือนเดิมนะป้า แล้วก็นี่ด้วย ของพี่อั๋น”

“เรียกป้า เดี๋ยวกูตบปากเลยนี่ บอกกี่ที ๆ แล้วยะ ว่าให้เรียกพี่สาว”
เจ๊พร เจ้าของร้านซึ่งอายุอานามดู ๆ แล้วน่าจะวัยใกล้ ๆ กับแม่ของผมก่นด่าด้วยความรักและเอ็นดูเหมือนทุกครั้งก่อนจะหยิบโพยอาหารจากมือผมไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ผมจะเดินไปตักน้ำเปล่าแล้วเดินหาโต๊ะว่าง ซึ่งวันนี้ไม่มีโต๊ะไหนว่างเลยแฮะ

“ซวยแล้วกู”
ผมบ่นอุบกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยกมือเกาหัวแกร่ก ๆ หรือว่าจะสั่งใส่กล่องกลับไปนั่งกินกับพี่อั๋นที่วินดีวะ
“เอ่อ น้อง ๆ เราน่ะ ที่กำลังยืนอยู่น่ะ”
เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกผม ผมหันไปยังต้นเสียงนั้น ก็พบว่าเป็นชายวัยน่าจะยี่สิบปลาย ๆ เห็นจะได้

“ครับ?”
ผมเลิกคิ้วสูงกลับด้วยความสงสัย ว่าเหตุใด ชายที่แต่งตัวดูดีมีภูมิฐานคนนี้ถึงเอ่ยเรียกคนธรรมดา ๆ อย่างผม หรือว่าจะจ้างผมให้ไปส่งที่ไหนหรือเปล่านะ

“กำลังหาที่นั่งอยู่หรือเปล่าน่ะ”
เพล้ง! หน้าแหกไปสิกู

“เอ่อ ครับผม”
“งั้นมานั่งกับ...เอ่อ...พี่ก็ได้ พอดีทางนี้ใกล้จะกินหมดแล้วน่ะ”

“เอ่อ...จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจน่ะครับ”
ผมตอบปัดไปพร้อมยิ้มแหย ๆ กลับไป

“เกรงใจอะหยังกัน น้องก็ลูกค้า พี่ก็ลูกค้าเหมือนกัน บ่ได้ต่างกันตรงไหนสักหน่อย”
เมื่ออีกฝ่ายพยายามรบเร้าด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรอยู่พอสมควรซึ่งค่อนข้างขัดกับสายตาที่ดูจะขวาง ๆ จนเกือบจะโหดเล็กน้อยนั้น

“ได้ครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ นะครับ ขอรบกวนด้วยละกัน”
“เฮ้ย รบกวนอะหยัง นี่โต๊ะร้าน บ่ใช่โต๊ะของพี่สักหน่อย”
เจ้าตัวหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของผม ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่ดูใจดีจริง ๆ แฮะ ดูมีวุฒิภาวะ ดูมีการศึกษา ดูสูงส่งอย่างบอกไม่ถูกจนทำเอาผมรู้สึกอายตัวเองอยู่พอสมควร

“นี่เราเป็นวินมอเตอร์ไซค์แถวนี้เหรอ”
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง อีกฝ่ายก็เอ่ยถามเรียกสติผมให้กลับมา

“เอ่อ ๆ ใช่ครับ แห่ะ ๆ”
อีกฝ่ายดูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมตอบกลับไปเช่นนั้น ว่าแต่พี่เขาถามทำไมหว่า

“เอ้อ พี่ไปก่อนนะ ถึงเวลาต้องเข้างานละ ไว้เจอกันถ้ามีโอกาสนะ ไปละ”
พูดจบ พี่เขาก็เอามือตบบ่าผมเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่ป้าพรแล้วเดินออกไป ผมพยายามสังเกตพี่เขาว่าจะกลับยังไง แต่ก็สังเกตเห็นว่าพี่เขาไม่ได้เดินไปที่รถคันไหนเลยสักคัน จนในที่สุดพี่เขาก็เดินหายลับไปจากสายตาผม

“สงสัยคงทำงานแถวนี้ใกล้ ๆ ล่ะมั้ง เลยไม่เอารถมา”
ผมบ่นอุบกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่ป้าพรจะนำข้าวมาเสิร์ฟให้ผม

“ป้า”
“ตบปาก!”
“พี่พร”
“เออ!”
“พี่พรรู้มั้ยว่าผู้ชายเมื่อกี้เป็นใครน่ะ”
ป้าพรเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอยู่ครู่นึง

“บ่รู้แฮะ บ่คุ้นหน้าเลย เหมือนจะมาครั้งแรกมั้ง คิดว่านะ เพราะถ้ามาบ่อย พี่ก็ต้องจำได้แน่ ๆ”
“บ่ใช่ว่าแก่แล้วหลงลืมเองหรือเปล่า”
“อยากกินดี ๆ หรือจะกินทั้งน้ำตายะ”
“อะล้อเล่นนน”
ผมยิ้มหัวเราะกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเร่งรีบ เพราะทุกเวลานาทีเป็นเงินเป็นทอง
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินไปจ่ายเงินที่ป้าพรทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบข้าวกล่องของพี่อั๋นมาด้วยก่อนจะเดินไปยังร้านขายของชำข้าง ๆ ซื้อบุหรี่ตามคำสั่งของพี่อั๋นและหยิบขนมกินเล่นติดไม้ติดมือมาด้วยอีกสองห่อแล้วจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปยังคิวรถทันที

“ขอบใจมากมึง ไปนั่งรอก่อนเลย อีกหลายคิวอยู่ กว่าจะถึงคิวของมึง”
พี่อั๋นรับของไปจากมือผม ก่อนจะชี้ไปยังม้านั่งที่ว่างอยู่ ผมเองเมื่อหันไปเห็นคิวก็พยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งเงียบ ๆ พร้อมกับหยิบเจ้ามือถือระบบปุ่มกดขึ้นมาเล่นเกมงูฆ่าเวลาไปพลาง ๆ

“นี่มึงยังใช้มือถือรุ่นโบราณแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ อะหยังบ่ยอมซื้อเครื่องใหม่ที่มันทันสมัยกว่านี้สักทีเนี่ย”
ไอ้ป้อมหนึ่งในวินเอ่ยถามผมด้วยความสงสัยก่อนจะลงนั่งข้าง ๆ ผมพลางหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายจากอากาศร้อน

“ก็อยากได้อยู่หรอก แต่มันแพง”
“แพงห่าอะหยัง สมัยนี้เครื่องถูก ๆ บ่กี่พันมีปะเลอะ เนี่ย อย่างของกูเนี่ยสี่พันกว่า ๆ เอง”
ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวหยิบมือถือที่ว่าออกมาให้ผมดู อนึ่ง คำว่า ปะเลอะ นั้นเป็นภาษาเหนือน่ะครับ แปลว่าเยอะ
“ก็น่าสนนะ แต่ตอนนี้อยากเก็บเงินไว้ก่อนว่ะ ยังอยากเรียนต่อ ค่าเทอมบ่ใช่ถูก ๆ ด้วย ก็เลยยังบ่อยากซื้อ”
พูดจบผมก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมงูในมือถือปุ่มกดเครื่องโปรดของผมต่อ

“ก็แล้วแต่มึงละกัน แต่ถ้าสนใจจริง ๆ ก็ถามกูได้ เผื่อกูจะได้ช่วยเลือกรุ่นที่เหมาะกับมึงในราคาบ่แพงมากนัก กูไปก่อนนะ ถึงคิวกูละ”
“อืม ขอบใจมึงมาก”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินออกไป ผมจึงหยิบขนมที่ซื้อมาเมื่อครู่ออกมาแกะกินเพื่อรอคิว
จะว่าไปก็เป็นชีวิตที่ดูน่าเบื่อหน่ายดีใช่มั้ยครับ ใช่ ผมเองก็ยังคิดแบบนั้นเหมือนกัน การศึกษาไม่สูง ชาติตระกูลก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวย
ที่สำคัญ แฟนก็ไม่มี !!!
เฮ้อออ
เอาเถอะ ก็ได้แต่บ่น ๆ ไปงั้น กลับไปทำงานต่อดีกว่า

*******


ชั่วโมงทำงานที่หนึ่งหลังเลิกงาน


“เอาล่ะ กลับกันเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
ผมเอ่ยบอกนันท์ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าก่อนจะเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเอกสารของตัวเอง แล้วพากันแสกนนิ้วกลับพร้อมปิดประตูร้าน

“ผมกลับก่อนนะพี่ พรุ่งนี้เจอกัน”
“โอเค ช่วงนี้ พี่คงต้องวานให้ช่วยทำโอทีลากยาวหน่อย หวังว่าเอ็งคงบ่ว่ากันนะ”
ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินออกไป

“โอ้ยยย ชินแล้วพี่ ไปก่อนละ ง่วงนอนมากเลย”
“โอเค พักผ่อนเยอะ ๆ ล่ะ”
หลังจากที่ล่ำลากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เพิ่งนึกเอะใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ทำไมผมไม่ให้นันท์ไปส่งผมที่คอนโดกันนะ บ้าจริง ลืมไปเสียสนิทเลย แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ จะโทรไปตอนนี้ก็ดูจะเป็นการรบกวนเจ้าตัวเสียเปล่า ๆ แถมดูจากเส้นทางที่พักของผมกับอีกฝ่ายแล้วนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนละฝั่ง
สงสัยคงต้องใช้บริการวินฯ หน้าห้างจริง ๆ แล้วแฮะ

เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็เร่งฝีเท้าเดินไปยังคิวทันทีด้วยความเร่งรีบ เพราะไม่แน่ใจว่าในช่วงเวลานี้นั้นจะยังเหลือคิวอยู่อีกหรือเปล่า
และสงสัยว่าวันนี้ผมคงเดินก้าวเท้าออกจากห้องผิดข้างแน่ ๆ เพราะเมื่อมาถึงคิวรถก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า ผมถอนหายใจเบา ๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง พลางคิดในใจว่าวันนี้คงต้องเดินกลับคอนโดเป็นแน่แท้

“รอคิวอยู่เหรอครับ”
เสียงปริศนาเอ่ยเรียกผม ผมหันไปมองยังต้นเสียงนั้นซึ่งกำลังเดินออกมาจากมุมมืด

“เอ่อ ใช่ครับ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพปนหวาดระแวงเล็กน้อย จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกมาจนแสงไฟจากเสาไฟฟ้าสาดให้เห็นใบหน้าของเจ้าตัวได้ชัดเจน ผมก็เกิดอาการโล่งอกขึ้นมาบ้าง เพราะผมจำใบหน้านั้นได้

“อ้าว พี่ที่ร้านข้าวนี่เอง ก็ว่าใครหน้าตาคุ้น ๆ”
อีกฝ่ายเอ่ยทักผมราวกับคุ้นเคย ใช่ครับ เด็กหนุ่มที่ผมเจอและชวนนั่งโต๊ะเดียวกันเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง
“ผมกำลังจะกลับห้องพอดีเลย แต่พอดีปวดฉี่น่ะ ก็เลยแวะเข้าไปฉี่ข้างในมา สนใจจะให้ผมไปส่งมั้ย”

“รบกวนเราหรือเปล่าน่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ

“รบกง รบกวนอะหยังกันพี่ มันเป็นหน้าที่ของวินฯ อย่างผมที่จะต้องไปส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายอยู่แล้ว”
เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หยิบหมวกกันน็อกส่งมาให้ผม ก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเอง ผมเดินตามไปซ้อนท้ายด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ พอสมควร ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายออกตัว

“นี่พี่บ่เคยนั่งมอ’ไซค์เหรอ”
เจ้าตัวเอ่ยถามผมด้วยความสงสัยเมื่อสังเกตได้ว่าผมจับเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น

“เอ่อ ก็บ่เชิงหรอก เคยนั่งตอนสมัยเรียน หลังจากนั้นก็ขี่รถยนต์มาตลอด ก็เลยบ่ค่อยชินเท่าไหร่แล้วน่ะ”
“อ่อ ครับ”
หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบสงัดกันทั้งสองฝ่ายจนกระทั่งถึงที่หมายซึ่งเป็นคอนโดของผม หลังจากที่ผมลงจากรถพร้อมถอดหมวกกันน็อกออกก็หยิบเงินจากกระเป๋าจ่ายให้อีกฝ่ายเป็นค่าจ้าง เจ้าตัวรับไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณผมราวกับได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ผมรับไหว้นั้นด้วยความเกรงใจเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะขี่รถออกไป

จริงสิ ยังไม่ได้ถามเลยนี่นาว่าเจ้าตัวชื่ออะไร เผื่อมีโอกาสได้ใช้บริการอีก แต่ช่างเถอะ คงไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ หรอก หากคำนวณจากระยะเวลาที่แม่ของผมยืมรถไปใช้แล้วเนี่ย

   “เฮ้อ เหนื่อยจริง ๆ วันนี้ รีบขึ้นห้องอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้ทำงานเช้าอีก”
   ผมบ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ไปด้วยความเหนื่อยล้า


******

   เที่ยววิ่งที่หนึ่งรอบสุดท้าย

“วันนี้เงียบจังแฮะ คนไปไหนหมด”
ผมบ่นอุบเบา ๆ กับตัวเองเมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาใช้บริการ ในขณะที่คนอื่นต่างก็เริ่มพากันเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับ ผมเองก็เช่นกัน

แต่รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมากะทันหันแฮะ ขอแอบเข้าไปฉี่ที่กำแพงด้านในก่อนแล้วกัน ผมใช้เวลาไม่นานมากนักก็เสร็จกิจเบา แต่เมื่อเดินออกมากลับไม่พบเพื่อนสมาชิกวินฯ เลยสักคนนอกจากชายแปลกหน้าที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่

“รอคิวอยู่เหรอครับ”
ผมเอ่ยถามออกไป ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกไปให้อีกฝ่ายเห็นได้ชัด ก่อนที่ผมจะทักกลับไปอีกรอบเมื่อจำได้ว่าชายแปลกหน้าที่ว่านั่นเป็นใคร คนที่เจอกันร้านข้าวเมื่อตอนกลางวันนี่เอง

เมื่อทราบว่าพี่เขากำลังหารถกลับไปยังที่พัก ผมจึงอาสาที่จะไปส่ง ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนักก็ถึงที่หมาย ผมรับเงินจากอีกฝ่ายก่อนจะยกมือไหว้เพราะแม่ผมสอนมาเสมอว่าหากได้รับเงินจากใครก็ตามให้ยกมือไหว้ เขาจะได้เอ็นดูก่อนที่ผมจะขี่รถออกมาเพื่อกลับห้องของตัวเอง

ดูจากการแต่งตัวของพี่เขาแล้วก็แอบอิจฉาเหมือนกันแฮะ ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูดีมาก ๆ สักวันผมจะไปถึงจุดนั้นแบบพี่เขาได้ไหมนะ แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดูตลกเหมือนกันแฮะ บอกว่าไม่ได้นั่งมอ’ไซค์นานจนเกิดอาการเกร็งเกาะเอวผมเสียแน่นเลยเนี่ย
เอ จะว่าไปลืมถามชื่อพี่เขาแฮะ เผื่อวันหน้าพี่เขามาใช้บริการจะได้เรียกชื่อได้ถูก แต่คิดอีกทีรู้ไปก็เท่านั้น เพราะคนระดับนั้นคงไม่ได้มานั่งวินฯ แบบนี้บ่อย ๆ หรอก

เอาล่ะ คืนนี้ก็รีบกลับห้องอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้า ๆ ร่างกายจะได้สดชื่น



มุมเมาท์มอยหอยสังข์

สวัสดีครับ สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นนิยายที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องของเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้ผมไม่สามารถติดต่อได้แล้ว แต่ด้วยเนื้อเรื่องของเขานั้นดูมีความโรแมนติกพอสมควร ผมจึงนำมาแต่งเป็นนิยายเรื่องนี้น่ะครับ

เป็นนิยายฉบับตามใจคนแต่ง แบบจบในตอน ไม่สามารถบอกได้ว่ามีกี่ตอนจบ แต่จะเขียนเรื่อย ๆ หากนึกอะไรได้ เพราะฉะนั้นทั้งสองคนจะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไปในอนาคต ก็แล้วแต่วาสนาจะนำพากันไป เพราะเค้าโครงเรื่องจริงนั้น ผมก็ได้รับรู้มาเพียงคร่าว ๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริง

เพราะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรแน่นอน
ชอบไม่ชอบอย่างไร ก็รบกวนติดตาม และติชมได้นะครับ


ปล. สำหรับบางท่านที่อ่านแล้วรู้สึกว่า มีตัวละครคุ้น ๆ โผล่เข้ามา
ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
เพราะเรื่องนิยายเรื่องนี้นั้น มีความเกี่ยวข้องกับ Undefined love รักไร้คำจำกัดความ และ Once love story ณ กาลครั้ง รัก ในห้องนิยายเรื่องยาวน่ะครับ


ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
ชั่วโมงทำงานที่สองช่วงเช้า

   TRRR
   เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าวันทำงานอีกวันหนึ่งที่เหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน ผมเอื้อมมือไปปิดมันก่อนจะลุกขึ้นแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วจึงจัดเตียงนอนให้เข้าที่อย่างเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นนิสัยที่ผมทำมาตั้งแต่เด็ก ๆ อาจจะด้วยเพราะการที่ถูกปลูกฝังมาด้วยตั้งแต่วัยเด็กแล้วก็ได้ล่ะมั้ง

หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็ทำอาหารเช้าแบบง่าย ๆ กิน ซึ่งก็คือขนมปังปิ้งและนมอีกหนึ่งกล่อง หากจะถามว่ากินแค่นี้แล้วจะอิ่มหรือเปล่า อืม ก็คงบอกได้แค่ว่าไม่อิ่มหรอกครับ แต่ด้วยภาวะสภาพสังคมในยุคที่ต้องเร่งรีบแบบนี้แล้วล่ะก็การได้กินอะไรสักเล็กน้อย ก็คงจะดีกว่าไม่ได้กินอะไรเลยจริง ๆ นั่นล่ะ

เอาล่ะ ยังพอเหลือเวลาอยู่อีกพอประมาณก่อนถึงเวลางาน เพราะฉะนั้นเปิดโทรทัศน์ดูรายการข่าวสารเพิ่มความรู้ประจำวันสักเล็กน้อยดีกว่า

“......”

แต่เดี๋ยวนะ เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้แฮะ

เฮ้ย ลืมไปว่าตอนนี้รถของผมนั้นถูกแม่ยืมไปใช้นี่นา ซวยแล้วแฮะ เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลืออยู่ ณ ตอนนี้ ดูท่าจะไปทำงานไม่ทันแน่ ๆ ครั้นจะให้นันท์ไปเปิดร้านแทนก่อนก็ดูจะไม่ได้แล้วแฮะ เพราะอีกฝ่ายเข้ากะบ่ายและคิดว่าตอนนี้ก็น่าจะยังไม่ตื่นเป็นแน่แท้ ไอ้จะให้ซันด๋อยเปิดร้านคนเดียวไปก่อนก็ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า เพราะอีกฝ่ายไม่มีกุญแจเปิดร้านด้วยนี่สิ

บ้าจริงเชียวมาพลาดท่าตกม้าตายเอากับเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ไม่ได้การ ๆ ต้องรีบแล้วล่ะ เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็ปิดโทรทัศน์ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะใส่รองเท้าแล้วเดินออกจากห้องด้วยความเร่งรีบโดยที่ไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้องเอาไว้แล้วจึงเร่งฝีเท้าไปยังลิฟท์ทันทีเพื่อกะจะให้ทันมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่น่าจะมีผ่านมาแถวนี้บ้างสักคันก็ยังดี



เที่ยววิ่งที่สองรอบเช้า

TRRR

เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน ซึ่งหากจะถามว่าฝันว่าอะไรแล้วล่ะก็ผมก็คงตอบไม่ได้แฮะ แต่รู้แค่ว่าน่าจะเป็นฝันที่ดีอยู่ไม่น้อย ผมเอื้อมมือไปปิดมันก่อนจะนอนต่ออีกสักเล็กน้อยราว ๆ สองสามนาทีเห็นจะได้แล้วจึงบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสายแล้วจึงลุกขึ้นโดยปล่อยให้เตียงนอนรกอยู่แบบนั้นนั่นล่ะ ก็แหม คนโสดนี่นะ จะจัดทำไมให้เป็นระเบียบเพราะยังไงกลับมาตอนกลางคืนก็ต้องนอนเหมือนเดิมอีกอยู่ดีนั่นล่ะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะหยิบผ้าขนหนูพาดไว้บนบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างสบายอารมณ์

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นผมก็หยิบกุญแจรถและกระเป๋าเงินออกจากห้องด้วยความสบายใจโดยไม่ลืมที่จะซื้อขนมปังและนมอีกหนึ่งกล่องจากร้านค้าที่อยู่ข้าง ๆ หอพักเพื่อกินรองท้องในยามเช้าแล้วจึงไปยังเจ้ามอเตอร์ไซค์คู่ชีวิตของตัวเองพร้อมกับกุญแจสตาร์ทรถออกไปยังวินฯ ด้วยอารมณ์ร่าเริง

ในระหว่างทางนั้นเอง ผมก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งทำท่าเหมือนจะโบกรถเพื่อใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงแล้ว ผมในตอนนี้นั้นยังไม่มีสิทธิ์ที่จะรับผู้โดยสาร แต่ก็คิดในใจว่าเขาคงอาจจะมีธุระเร่งรีบก็เป็นได้ หากอะไรที่เราพอจะช่วยได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย

“สวัสดีครับ จะไปไหนเหรอครับ อะอ้าว!!!”
ผมเอ่ยคำทักทายก่อนจะร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าชายผู้ซึ่งโบกมือเรียกผมนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่ชายคนที่ผมเพิ่งมาส่งเมื่อคืนนี่เอง

“อ้าว เรานี่เอง บังเอิญจังเลยนะเนี่ย แต่ก็ดีแล้วล่ะ พอดีพี่จะจ้างเราไปส่งที่ทำงานพี่หน่อยนะ สะดวกมั้ย”
พี่ชายคนเดิมเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเกรงใจพอสมควรจนผมอดแอบที่จะหัวเราะเงียบ ๆ ในลำคอไม่ได้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

“โอ้ยพี่ จะมาเกรงจงเกรงใจอะหยังกัน ผมเป็นวินฯ พี่เป็นลูกค้า ก็ผลต่างตอบแทบกันทั้งคู่ นี่ครับหมวกกันน็อก”
ผมยื่นหมวกกันน็อกส่งให้ พี่เขารับมันไปพร้อมกับสวมมันไว้ก่อนจะก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายโดยไม่ลืมที่จะเกาะเอวผมเอาไว้แน่นประหนึ่งว่ายังคงประหม่ากับการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์อยู่ ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกอดอมยิ้มตามไม่ได้ในความเก้ ๆ กัง ๆ ของพี่เขา แต่ก็ต้องสงวนท่าทีเอาไว้พอสมควร เพราะถึงอย่างไรพี่เขาก็เป็นลูกค้าซึ่งผมก็ต้องให้เกียรติพี่เขาในจุด ๆ นี้

เมื่อถึงที่หมายพี่เขาก็ก้าวขาลงจากรถพร้อมกับถอดหมวกกันน็อกก่อนจะส่งคืนให้ผมโดยไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าเงินเพื่อควักค่าโดยสารจ่ายให้กับผม ผมเองเมื่อรับค่าจ้างนั้นมาก็เก็บใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะหันรถเพื่อขี่กลับไปยังวินมอเตอร์ไซค์ทันทีด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะโดนพี่อั๋นบ่น


ชั่วโมงทำงานที่สองช่วงบ่าย

“ซันด๋อย พี่จะออกไปหาอะไรกินหน่อย เอ็งจะฝากซื้ออะไรมั้ย”
ผมหันไปถามซันด๋อยซึ่งตอนนี้กำลังจัดหนังสือที่เพิ่งเข้ามาใหม่ขึ้นชั้นหนังสือ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็แสกนนิ้ว ก่อนจะคว้ากระเป๋าเงินจากล็อกเกอร์เดินออกจากร้านไปโดยที่ยังนึกลังเลว่าจะกินอะไรและที่ไหนดี จะออกไปกินร้านเดิมเมื่อวานดีมั้ยนะ เพราะจะว่าไปรสชาติก็อร่อยดีแถมราคายังถูกอีกด้วยนี่สิ แต่คิดอีกทีดูจะเสียเวลาอยู่เหมือนกันแฮะ เพราะฉะนั้นหาอะไรกินที่ฟูดคอร์ทเหมือนเดิมแล้วกันวันนี้

เมื่อเดินไปถึงผมก็สั่งอาหารทันทีด้วยความรวดเร็ว หลังจากได้อาหารมาเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปหาโต๊ะว่างซึ่งก็บอกตามตรงเลยว่าในช่วงเวลาแบบนี้นั้นโต๊ะว่างนั้นหาแทบจะไม่ได้เลย

“มานั่งตรงนี้ก็ได้ครับ”
เสียงสุภาพเอ่ยเรียก ซึ่งในตอนแรกผมไม่ทันได้สังเกตว่าเรียกใคร แต่เมื่อหันไปมองยังต้นเสียงก็รู้ตัวได้ทันทีว่าเรียกผมนั่นเอง
ผมเดินไปยังเจ้าของเสียงนั้นซึ่งกำลังยิ้มให้ผมอยู่ แต่บอกตามตรงเลยครับว่าบุคคลที่เอ่ยเรียกผมและยิ้มให้ผมในตอนนี้นั้นเป็นใครผมเองก็ไม่สามารถบอกได้

“พี่ที่เป็นเจ้านายของนันท์แม่นก่อครับ ผมชื่อภูน่ะครับเป็นเพื่อนร่วมคอนโดของนันท์ ผมทำงานอยู่บนชั้นสองของห้างนี้น่ะครับ กำลังจะกินเสร็จแล้วและก็เห็นพี่กำลังมองหาโต๊ะพอดี ผมก็เลยเรียกมาน่ะครับ”
อีกฝ่ายเอ่ยแนะนำด้วยวาจาฉะฉานตัวโดยไม่รอให้ผมได้เอ่ยถามเลยแม้แต่นิดเดียว ผมพยักหน้าตอบรับกลับไปพร้อมกับแนะนำตัวเองกลับไปตามมารยาทที่ควรมี

“บ่ทราบว่าวันนี้นันท์มายะก๋านก่อครับ”
ภูเอ่ยถามผมด้วยสำเนียงถิ่นซึ่งคำว่า ‘ยะก๋าน’ หากจะแปลเป็นภาษากลางให้เข้าใจง่ายก็หมายความได้ว่า ‘ทำงาน’ นั่นล่ะครับ
“ทำครับ เข้ากะบ่าย ถ้าว่างก็ไปหาได้เลย เจ้าตัวน่าจะว่างคุยด้วย”

ผมตอบกลับไปพร้อมตักอาหารเข้าปาก เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ดูจะมีสีหน้ายิ้มแย้มสดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะน้อมตัวเป็นเชิงบอกลาแล้วลุกตัวออกจากโต๊ะไป ซึ่งก็ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวน่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเจ้านันท์ก็เป็นได้ แต่จะว่าไปเหมือนจะเคยได้ยินเจ้านันท์บอกกับผมว่าเจ้าตัวยังโสดนี่นา เอหรืออาจจะเพิ่งคบกันหรือเปล่านะ แต่คิดอีกที มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมนี่นาแล้วจะไปคิดอะไรให้มันรกสมองเนี่ย

หลังจากที่จัดการกับอาหารตรงหน้าเสร็จแล้วผมก็มองเวลาจากนาฬิกาข้อมือตัวเองซึ่งหากคำนวณจากเวลาตอนนี้แล้วนั้นก็ยังเหลือเวลาอยู่เกือบ ๆ สี่สิบนาทีเห็นจะได้เพราะฉะนั้นไปเดินเล่นชั้นบนสักหน่อยดีกว่า


เที่ยววิ่งที่สองช่วงบ่าย

“พี่อั๋นเดี๋ยวผมไปหาอะหยังกินก่อนนะพี่ บ่ไหว หิวข้าวขนาดเลยเนี่ย”
ผมเอ่ยบอกพี่อั๋นหัวหน้าวินฯ แห่งนี้ ซึ่งพี่อั๋นเองเมื่อได้ยินผมบอกเช่นนั้นก็ทำท่าปัดมือไล่ให้ผมไปประหนึ่งว่ามึงจะไปไหนก็ไป ๆ เถอะ อะไรทำนองนั้นยังไงก็ไม่รู้แฮะ เมื่อเห็นว่าพี่อั๋นอนุญาตเรียบร้อยแล้วนั้นผมก็ควบเจ้ามอเตอร์ไซค์คู่ใจไปยังร้านป้าเอ้ยพี่พรทันทีด้วยความรวดเร็วก่อนจะต้องพบกับความผิดหวังเมื่อพบว่าร้านปิดโดยมีป้ายแปะไว้หน้าร้านว่า ‘ปิดร้านสองวันอันเนื่องมาจากผัวไม่สบาย’ ซึ่งก็สร้างความผิดหวังให้กับผมเป็นอย่างมาก

เอาไงล่ะทีนี้ร้านเจ้าประจำปิดทำเอาผมถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยวุ้ย

“......”
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละวันนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปหาอะไรกินในห้างบ้างดีกว่าแฮะ

“......”
แต่คิดอีกทีแต่งชุดมอซอแบบนี้เข้าไปจะโดนมองมั้ยหว่า

“......”
แต่แล้วไงล่ะ ก็อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมั่งนี่หว่า เพราะงั้นใครจะมองยังไงก็ช่างเขาเหอะ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็เบนทิศทางของรถมุ่งไปยังห้างทันที

หลังจากหาที่จอดรถได้แล้วผมก็มุ่งหน้าไปยังฟู้ดคอร์ททันทีด้วยความรวดเร็ว หลังจากสั่งอาหารและจัดการมันจนหมดซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานมากนัก ผมล้วงโทรศัพท์มือถืออกมาดูเวลาก็พบว่ายังเหลือเวลาอยู่อีกพอสมควร ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปร้านหนังสือที่อยู่ใกล้ ๆ นี้สักหน่อย เผื่อจะมีหนังสืออะไรให้น่าซื้อมาอ่านบ้าง

เมื่อเดินเข้ามาถึง ผมก็มุ่งตรงไปยังโซนหนังสือการ์ตูนทันที ใช่ครับ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือการ์ตูนมาก ๆ มันช่วยให้รู้สึกคลายเคลียดได้เป็นอย่างดี ผมยืนเลือกอยู่ครู่หนึ่งก็ได้เล่มที่ต้องการจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถเพื่อขี่มันกลับไปยังวินฯ


ชั่วโมงทำงานที่สองช่วงบ่าย

หลังจากที่เดินเล่นในห้างจนเป็นพี่พอใจแล้วนั้นผมก็รีบกลับมายังร้านหนังสือเพื่อเปลี่ยนคนอื่นไปพักเบรกและทำงานต่อทันที

“ซันด๋อย พี่กลับมาแล้ว เดี๋ยวเอ็งไปเบรกเลยนะ เดี๋ยวจะได้กลับมาเปลี่ยนพี่นันท์เขาไปเบรกต่อ”
ซันด๋อยหันมาพยักหน้ารับคำสั่งนั้นก่อนจะเดินไปแสกนนิ้วแล้วหยิบสัมภาระออกไป

“ลูกค้าเยอะมั้ยช่วงที่พี่ออกไป”
ผมหันไปถามเจ้านันท์ที่กำลังนั่งทำงานเอกสารอยู่หน้าคอมพ์ฯ เจ้าตัวหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะจะว่าไปช่วงนี้ก็เป็นช่วงกลางเดือน แถมยังมีงานสัปดาห์หนังสือขนาดใหญ่มาจัดที่ห้างใกล้ ๆ ซึ่งลดราคามากกว่าคนเลยมักจะไปที่นั่นแทน คงต้องรอให้ถึงช่วงปลายเดือนหรือรอให้หมดงานสัปดาห์หนังสือที่ว่านั่นก่อน ร้านนี้จึงมีโอกาสจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม

ซึ่งผมก็ได้แต่คิดและหวังว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ

เที่ยววิ่งที่สองช่วงบ่าย

หลังจากที่ผมกลับมาถึงวินฯ ก็พบว่ายังอีกหลายคิวกว่าจะถึงคิวของผม ผมจึงรีบแกะหนังสือการ์ตูนออกจากห่อเพื่ออ่านทันที

“มึงซื้อหนังสืออะหยังมาอ่านวะ”
พี่อั๋นเอ่ยถามผมด้วยความสงสัย

“ก็การ์ตูนเรื่องจอมมารผู้กล้าจับคู่กู้โลกน่ะพี่ เคยอ่านปะ”
พี่อั๋นเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ

“เรื่องเหี้ยอะหยังวะ กูบ่เคยได้ยิน”

“ก็แนว ๆ แฟนตาซีนิด ๆ ผสมกับเศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครองหน่อย ๆ น่ะครับพี่”

“น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะอ่านอะหยังยาก ๆ แบบนี้เป็นด้วย อย่างมึงน่าจะอ่านแนว ๆ ขายหัวเราะไม่ก็การ์ตูนผีเล่มละห้าบาทก็พอแล้วมั้ง”
พี่อั๋นขมวดคิ้วแขวะผมเล็ก ๆ ก่อนจะเดินออกไป ซึ่งทำเอาผมถึงกับเอียงคอสงสัยเล็กน้อย ผิดตรงไหนหว่าที่ชอบอ่านแนวนี้เนี่ย แต่ช่างเถอะ พี่อั๋นแกก็ชอบด่าผมแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ก็เข้าใจได้ว่าแกไม่ได้คิดอะไรในทางที่ไม่ดี เพราะเอาเข้าจริง ๆ หลายครั้งแกก็เป็นคนให้คำปรึกษาและช่วยเหลือผมในหลาย ๆ เรื่องอยู่เหมือนกันเวลาที่ผมเดือดร้อนเนี่ย

หลังจากที่อ่านไปได้ราว ๆ ครึ่งเล่มก็ถึงคิวผมสักที ผมใช้ใบไม้ที่ปลิวหล่นแถวนั้นมาคั่นแทรกหน้าที่ผมอ่านค้างไว้แล้วรีบหยิบกุญแจรถมุ่งไปยังรถของตัวเองก่อนจะคว้าหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่โดยไม่ลืมที่จะส่งหมวกอีกใบให้ผู้โดยสารด้วย


ชั่วโมงทำงานช่วงดึก

“นี่พี่กะจะอยู่ถึงปิดร้านกะปิ๊กบ้านปิ๊กช่องเลยเหรอเนี่ย”
เจ้านันท์เอ่ยถามผมที่ยังคงนั่งจ้องไฟล์เอกสารหน้าคอมพ์ฯ อยู่อย่างใจจดใจจ่อ ผมหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงฝาผนังก็พบว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาปิดร้านแล้ว

“อ้าวเฮ้ย สองทุ่มกว่าแล้วเหรอเนี่ย”

“ก็เออดิพี่”

“แล้วไอ้ซันด๋อยล่ะ”

“ปิ๊กไปตั้งกะห้าโมงแล้ว แฟนสาวมันมารับไปผ่อหนัง พี่เองน่ะล่ะ จะอยู่กับผมถึงปิดร้านเลยเหรอ”
เจ้านันท์ถามย้ำผมอีกรอบ

“บ่ๆ พอดีวันนี้มีบอลคู่โปรดถ่ายทอดสดด้วยว่ะ งั้นพี่ปิ๊กก่อนแล้วกันนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมเอ่ยล่ำลากับเจ้านันท์ก่อนจะเก็บข้าวของสัมภาระด้วยความรวดเร็วก่อนจะมุ่งตรงไปยังวินฯ ด้วยความรวดเร็ว เพราะเกรงว่าจะไม่มีรถกลับคอนโดเพื่อไปดูบอลคู่โปรด ซึ่งก็ไม่ผิดหวังยังมีรถอยู่คันหนึ่ง

“......”
ทว่าคนขับในตอนนี้นั้นดูเหมือนจะอยู่ในภวังค์ไปเสียแล้วโดยมีหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งปิดบังใบหน้าเอาไว้ ซึ่งเมื่อผมเพ่งมองให้ดี ๆ ก็พบว่ามันเป็นเรื่อง ‘จอมมารผู้กล้าจับคู่กู้โลก’ นั่นเอง จะว่าไปเรื่องนี้ผมเองก็เคยอ่านเหมือนกันนะแต่เป็นฉบับนิยาย

เอ เอายังไงดีนะ จะปลุกก็ดูจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือเปล่านะ เมื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือแล้วก็พบว่ายังเหลือเวลาอีกนานพอสมควรกว่าจะถึงเวลาถ่ายทอดสดบอลคู่โปรดของผม เพราะฉะนั้นผมจึงล้วงไปหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาอ่านข่าวสารบ้านเมืองเสียหน่อยดีกว่า รอจนกว่าวินฯ ที่กำลังหลับอยู่ตรงหน้าจะตื่น


เที่ยววิ่งที่สองรอบดึก

“......”

เฮือก!!!
ผมสะดุ้งลืมตาตื่นอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ และสิ่งที่พบเมื่อลุกขึ้นมาก็คือเพื่อน ๆ ในวินฯ นั้นกลับกันไปหมดแล้วโดยไม่มีใครคิดจะปลุกผมเลยสักคน จะมีก็เพียงแต่ชายแปลกหน้าที่กำลังทำท่าตกใจเมื่อเห็นผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ ตื่นแล้วเหรอครับ”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูเอ่ยทัก ผมขยี้ดวงตาเล็กน้อยเพื่อเพ่งมองอีกฝ่ายว่าเป็นใคร ก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่ชายคนเดิมที่จ้างผมเมื่อเช้านั่นเอง

“เอ่อ ครับ ว่าแต่พี่มานั่งตรงนี้ทำไมครับเนี่ย”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพอสมควร

“เอ่อ ก็พอดีจะจ้างให้ไปส่งผมที่คอนโดน่ะครับ แต่พอดีเห็นเรากำลังหลับอยู่ก็เลยบ่กล้าปลุก”
ผมถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“โอ้ย แล้วถ้าอย่างนั้นอะหยังพี่บ่ปลุกผมล่ะครับ”

“กะ ก็เกรงใจยังไงล่ะ”

“......”
ผมถึงกับเอามือเกาหัวแกรก ๆ ทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้น

“จะมาเกรงจงเกรงใจอะหยังล่ะครับพี่ พี่เป็นลูกค้า ผมเป็นวินฯ มันคืองานบริการของผมที่จะต้องพาลูกค้าไปส่งให้ถึงจุดหมายอยู่แล้ว ไปครับ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้”
เมื่อพูดจบผมก็รีบหยิบกุญแจเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ทันทีด้วยความรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะยื่นหมวกกันน็อกให้อีกฝ่ายอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา

“เอ่อ จะรบกวนมั้ย ถ้าจะขอให้แวะที่ร้านสะดวกซื้อสักหน่อย”
ผมยิ้มพยักหน้าตอบกลับไปทันทีด้วยความเต็มใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น และเมื่อมาถึงร้านค้าสะดวกซื้อผมก็จอดให้พี่เขาทันที หลังจากพี่เขาเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ผมก็ลงจากรถมานั่งรอที่เก้าอี้หน้าร้านโดยมีเจ้าหมาไม่ทราบชื่อเป็นเพื่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ ผมจึงลูบคางมันเบา ๆ ซึ่งมันก็ยอมให้ผมลูบคางแต่โดยดี

“เอ่อ รอนานมั้ยครับ”
อีกฝ่ายเอ่ยถามผมที่กำลังนั่งเล่นกับน้องหมาอยู่อย่างเพลิดเพลิน ผมเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หันกลับไปยิ้มเป็นคำตอบ

“โห พี่ ซื้ออะหยังมาเยอะแยะเนี่ย จะกินหมดเหรอ อ๊ะ หรือซื้อไปให้แฟ...”
ผมเผลอหลุดปากแซวออกไปก่อนจะฉุกใจขึ้นมาได้ว่าเป็นคำถามที่ไม่สมควรจะถามออกไปจึงรีบเอามืออุดปากทันทีด้วยความรวดเร็ว อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หัวเราะเล็กน้อย

“เปล่าหรอก ซื้อไปตุนไว้ที่ห้องน่ะ อีกอย่างคืนนี้มีบอลคู่โปรดด้วยน่ะ”

“เฮ้ย พี่ก็ดูบอลเหมือนกันเหรอ พี่เชียร์ทีมอะหยังน่ะครับ”

“แมนยูครับ เราล่ะ”

“......”
ผมนิ่งเงียบทันทีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เพราะเกรงว่าหากตอบออกไป กลัวจะได้เสียฐานลูกค้าในอนาคตเป็นแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า



ชั่วโมงทำงานที่สองรอบดึกกว่า

น้องวินฯ ไม่ตอบคำถามผมว่าเจ้าตัวเชียร์ทีมอะไร แต่ก็ช่างเถอะ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย หากเจ้าตัวไม่คิดจะตอบ ผมก็คงไปรบเร้าอะไรไม่ได้หรอก ผมจึงได้ยินเดินไปขึ้นรถอย่างเงียบ ๆ

“......”

เหมือนครั้งที่แล้วเลย ความเงียบสงัดเข้ามาอีกแล้วทั้งจากผมและอีกฝ่ายจนในที่สุดก็ถึงคอนโดของผม ผมก้าวลงจากรถพร้อมถอดหมวกกันน็อกส่งคืนน้องวินฯ โดยไม่ลืมที่จะจ่ายค่าโดยสาร เจ้าตัวเองเมื่อรับเงินไปก็ยกมือไหว้ผมด้วยความนอบน้อมถ่อมตนก่อนจะหันหัวรถกลับไป

“เดี๋ยวก่อน!”
ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายทำเอาเจ้าตัวถึงกับหยุดรถแทบไม่ทันก่อนจะหันกลับมามองผมด้วยความสงสัย ผมมองสิ่งของในมือก่อนจะยื่นขนมบางส่วนให้

“เอ้านี่ พี่แบ่งให้ ถือเป็นสินน้ำใจที่อุตส่าห์นั่งรอพี่ที่ร้านสะดวกซื้อ”

“เฮ้ยพี่ ได้ไง นี่มันของที่พี่ซื้อมากินเองไม่ใช่เหรอพี่”

“เออน่ะ เอาไปเถอะ ก็คงจริงอย่างที่เราว่านั่นล่ะ ว่าพี่คงกินไม่หมด รับไปเถอะ”
ผมพยายามรบเร้าอีกฝ่ายจนในที่สุดเจ้าตัวยอมรับมันไป ผมจึงยิ้มด้วยความดีใจ

“ขี่รถกลับดี ๆ ล่ะ แล้วถ้าพรุ่งนี้พี่จะให้เรามารับพี่ไปส่งที่ทำงานอีกจะได้หรือเปล่า”

“ได้สิพี่ กี่โมง เดี๋ยวผมจะได้มารับตรงเวลา”

“ก็เวลาเดิมเหมือนเมื่อเช้าน่ะล่ะ”
ผมตอบกลับไป เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกลับมาเป็นคำตอบก่อนจะพยายามขี่รถออกไป

“อ๊ะ เดี๋ยว!”
ผมเอ่ยเรียกเจ้าตัวอีกรอบ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเหวอพอสมควร คงกำลังคิดว่าไอ้ผู้ชายคนนี้จะเรียบกอะไรกันนักกันหนา

“เอ่อ ที่เราถามว่าซื้อของพวกนี้ไปให้แฟนหรือเปล่าน่ะ”

“เอ่อครับ ทำไมเหรอครับ”

“......”

“......”

“แค่จะบอกว่า…พี่ยังโสดอยู่น่ะ…”

“......”

“......”

“อ่า...ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
พูดจบ เจ้าตัวก็รีบขี่รถออกไปด้วยความรวดเร็ว คงกลัวว่าหากขืนยังช้าคงอาจจะโดนผมเรียกตัวอีกก็เป็นได้

“......”
แล้วผมเป็นบ้าอะไรเนี่ย ถึงได้ไปพูดเรื่องแฟนเช่นนั้นออกไป อาจจะเพราะต้องการแก้ข่าวก็ได้ล่ะมั้ง เออช่างมันเถอะ อย่างน้อยได้พูดออกไปก็ถือว่าสบายใจในระดับหนึ่งละ รีบขึ้นห้องไปอาบน้ำแล้วรอดูบอลคู่โปรดดีกว่า ถึงแม้จะมีคำถามที่ยังค้างคาใจว่าน้องวินฯ นั้นเชียร์บอลทีมอะไรก็ตามทีเถอะ

“......”
ให้ตายสิ จะว่าไปลืมถามชื่ออีกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันค่อยถามก็คงไม่สายหรอก


เที่ยววิ่งที่สองช่วงดึกกว่า

อยู่ ๆ ก็ได้ขนมมากินฟรี ๆ ถึงแม้จะรู้สึกเกรงใจก็ตามทีเถอะ แต่ถ้าพี่เขาเต็มใจให้ ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

“......”
ว่าแต่พี่เขานึกยังไงถึงได้มาบอกว่ายังโสดกันวะ

“......”
อ้อ ลืมไป ผมเป็นคนถามเองนี่หว่า ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่ไม่น่าเชื่อแฮะว่าคนแบบนั้นจะโสดทั้ง ๆ ที่ดูออกจะเพียบพร้อมเป็นคนมีการศึกษาดูภูมิฐานมากแท้ ๆ

   “......”
   แล้วมันธุระกงการอะไรของผมเนี่ย ที่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์พี่เขาเนี่ย

   “......”
   ให้ตายสิ ลืมถามชื่อพี่เขาอีกแล้ว ว่าชื่ออะไร แต่เอาเถอะ ยังไงพรุ่งนี้ก็ยังเจอกันอยู่ดี ไว้ค่อยถามตอนนั้นก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้รีบกลับไปห้องไปอาบน้ำแล้วเชียร์ลิเวอร์พูลทีมโปรดในดวงใจของผมที่กำลังจะเตะกับแมนยูในคืนนี้ดีกว่า
อยากรู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้ จะเป็นผมหรือพี่เขากันแน่นะ ที่เป็นฝ่ายยิ้มให้กับชัยชนะ ฮ่าฮ่าฮ่า


   มุมเมาท์มอยหอยสังข์
   สวัสดีครับทุกท่าน ในที่สุดก็กลับมาแล้วกับตอนที่สองของ “แล้วเคยขึ้นเท่าไหร่ครับ” สำหรับตอนนี้เหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะคืบหน้าขึ้นไปอีกนิด ? หรือเปล่านะ ? ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ไม่อาจจะบอกได้ ยังไงก็ช่วยลุ้นเอาใจช่วยด้วยนะครับ
   ส่วนอีกเรื่อง  “ณ กาลครั้งรัก” นั้น ขอเวลารวบรวมไอเดียสักระยะนะครับ อิอิ
จิ๊บคุง 



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด