คุณคิดว่า การที่เราจะได้พบใครสักคน เป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีใครกำหนดเอาไว้แล้วหรือไม่
เมื่อคนสองคน ที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน แต่ก็มีบางส่วนที่เหมือนกัน
การพบกันของเขาทั้งสอง จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ?
เติ้ล ตะวัน
ชาติ สุชาติ
หมายเหตุ * นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องแต่งทั้งหมด
* ภาพตัวละครในนิยายเป็นเพียงภาพสมมติตามความมโนของผู้แต่ง ไม่ใช่ตัวละครจริงในเรื่อง
* หากมีข้อผิดพลาดประการใด สามารถติชมได้ตามอัธยาศัย
*************************
ชั่วโมงทำงานที่หนึ่ง “อะหยังนะแม่ จะยืมรถของผมไปใช้งั้นเหรอ แล้วจะหื้อผมเอารถที่ไหนไว้ไปใช้ทำงานล่ะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปผ่านโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่กำลังแต่งตัวเพื่อรีบไปทำงานในยามเช้า พลางเหลือบสายตาไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังห้องซึ่งตอนนี้มันกำลังบ่งบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะใกล้ได้เวลาเข้างานของผมแล้ว
“มันก็ใช่แม่ ว่าที่ทำงานของผมอยู่ห่างจากคอนโดบ่ถึงสิบนาที จะหื้อนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปก่อนมันก็ได้ แต่...”
ผมยังคงพยายามหาข้ออ้างเพื่อหวังจะปฏิเสธคำขอของอีกฝ่าย แต่ดูท่าทีของคู่สนทนาซึ่งก็คือแม่ของผมในตอนนี้นั้น ดูท่ายากจะปฏิเสธได้จริง ๆ เพราะเธอยังคงรบเร้าและหาข้ออ้างสารพัดเพื่อจะยืมรถเก๋งของผมไปใช้งานชั่วคราวให้ได้
และสุดท้าย ผมก็ต้องจำยอมให้แม่ยืมรถผมไปอย่างโต้แย้งไม่ได้ ให้ตายสิ
แต่นั่น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ที่กำลังจะเกิดกับผมหลังจากนี้
“อ้าว พี่ชาติ สวัสดีครับ ไหงวันนี้มาสายได้เนี่ย ปกติพี่จะมาก่อนเวลางานเสมอเลยนะ แล้วไปทำอะหยังมาครับเนี่ย ถึงได้ดูหน้าตาบ่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก”
ซันด๋อยเอ่ยถามผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งจัดหนังสือที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ บ่มีหยัง ทำงานของเราต่อไปเถอะ เอ้อ นันท์ งานที่พี่สั่งไปน่ะ เสร็จแล้วหรือยัง”
ผมตอบปัดไปก่อนจะหันไปเอ่ยถามนันท์ ซึ่งเป็นรองผู้จัดการของผมที่ตอนนี้กำลังกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพ์ฯ
“เอ่อ ก็ได้ราว ๆ ครึ่งนึงแล้วพี่ รีบมั้ยอะ ถ้ารีบ เดี๋ยวผมจะเร่งให้”
“บ่ ๆ บ่รีบ เอกสารตัวนี้บ่ได้รีบอะหยังนัก ค่อย ๆ ทำไปก็ได้”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงค่อย ก่อนจะวางกระเป๋าเอกสารลงไว้ข้าง ๆ แล้วถอนหายใจเบา ๆ
“เป็นอะหยังหรือเปล่าพี่ชาติ ดูพี่เหนื่อย ๆ นะ”
นันท์หันมาเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“มีปัญหาที่บ้านนิดหน่อยน่ะ แต่บ่ใช่เรื่องอะหยังใหญ่โตหรอก ครับ คุณลูกค้า มีอะหยังหื้อช่วยครับ”
ผมตอบปัดกลับไปอีกรอบ ก่อนจะรีบหันไปยิ้มให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ
เอ้อ จะว่าไป ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยนี่นะ ผมชื่อสุชาติครับ อายุอานามก็ใกล้จะสามสิบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว หน้าที่การงานของผมตอนนี้ก็เป็นผู้จัดการร้านที่ร้านหนังสือในห้างดังแห่งหนึ่งของตัวเมืองใหม่
ชีวิตผมในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็เฉกเช่นคนทั่ว ๆ ไปนั่นล่ะ เช้าทำงาน เย็นก็กลับบ้าน ไม่สิ ในกรณีของผมต้องเรียกว่าคอนโดถึงจะถูก เป็นคอนโดที่เก็บเงินซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็ยังผ่อนไม่หมดหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า
ส่วนสถานะภาพตอนนี้นั้นก็โสดครับ อาจจะเพราะด้วยชีวิตที่มีแต่งาน งาน แล้วก็งาน เลยทำให้ไม่มีเวลามองใครสักที ซึ่งเอาจริง ๆ นิสัยของผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะ
ถามว่าอยากมีแฟน มีคนรักเหมือนคนอื่นเขาไหมน่ะเหรอ อืม ตอบยากแฮะ ยังไงดีล่ะ เวลาเห็นคนอื่นเขามีแฟน ยิ่งตอนนี้เพื่อนสมัยเรียนของผมก็แต่งงานมีฝั่งมีฝา บางคู่ก็มีลูกกันไปแล้ว ก็แอบอิจฉานะ แต่พอเห็นคู่รักคู่ไหนทะเลาะกัน เลิกราร้องไห้กันแล้วนั้น มันก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่เหมือนกันแฮะ
เอ จะว่าไป ไอ้อาการแบบนี้คนแถว ๆ นี้ก็เคยรู้สึกมาก่อนเหมือนกันนี่หว่า
“นันท์”
“ครับ”
“พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนเอ็งเคยมีแฟนบ่ใช่เรอะ”
“ก็ใช่นะพี่ ทำไมเหรอ”
“แล้วตอนนี้เขาไปไหนล่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เจ้าตัวเอง เมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“คำถามนี้ขออนุญาตบ่ตอบได้มั้ย มันยังบ่ถึงเวลาน่ะ”
“เวลา ? เวลาอะหยังวะ”
ผมขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใด ๆ กลับมานอกจากรอยยิ้ม
“เออน่ะ เดี๋ยววันนึงพี่ก็รู้เองล่ะ ว่าแต่นึกไงถึงถามเนี่ย อย่าบอกนะว่าพี่จะจีบผม โอ้ย !”
ผมเบิ๊ดกะโหลกอีกฝ่ายทันทีเมื่อเจ้าตัวถามแบบนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้แรงอะไรมากหรอก แต่นันท์มันแอคติ้งเกินกว่าเหตุแค่นั้นน่ะล่ะ
เอาล่ะ เอาเป็นว่ากลับมาตั้งใจทำงานก่อนละกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“นันท์ เดี๋ยวพี่ออกไปพักกินข้าวก่อนนะ จะฝากซื้ออะหยังมั้ย”
ผมหันไปเอ่ยถามนันท์ที่กำลังวุ่นวะวุ่นวายกับงานเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า เจ้าตัวหันมาขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ
“ซันด๋อยล่ะ จะฝากซื้ออะหยังมั้ย”
“บ่เอาครับพี่ เดี๋ยวจะไปกินกับน้องส้มแฟนผมน่ะ”
ช่างเป็นคำตอบที่ดูน่าหมั่นไส้จริง ๆ แต่เอาเถอะ วัยกำลังหนุ่มกำลังแน่นนี่เนอะ จะมีแฟนมีความรักก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก
“พี่จะไปกินที่ฟู้ดคอร์ทนี่หรือเปล่าครับ”
“เปล่า ว่าจะออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกน่ะ”
“ระดับพี่เนี่ยนะ กินร้านข้างทางเป็นด้วย”
นันท์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แปลกตรงไหนวะ พี่ก็คนธรรมดา ๆ คนนึงเหมือนกันนะเว้ย อีกอย่าง กินในฟู้ดคอร์ทจนเบื่อแล้ว อยากลองไปหาอะหยังข้างนอกกินบ้าง”
พูดจบ ผมก็หยิบเสื้อแจ๊คเก็ตที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้พนักงานขึ้นมาสวมใส่พลางควานหากุญแจรถในกระเป๋าเอกสารก่อนจะนึกเอะใจขึ้นมาได้ว่าเพิ่งให้แม่ยืมรถไปเมื่อตอนเช้านี่หว่า
ผมเดินออกมาจากตัวห้างท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนจนต้องเอามือขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้
ร้านข้าวที่เคยเห็นผ่าน ๆ ตาตอนมาทำงาน ถ้าเอาที่ใกล้ที่สุดน่าจะอยู่ห่างออกไปราว ๆ 200 เมตรน่าจะได้มั้ง หน้าห้างก็มีวินมอเตอร์ไซค์ด้วยนี่นะ จะนั่งไปดีมั้ยนะ แต่คิดอีกที นาน ๆ จะได้ออกมาเดินเล่นอะไรแบบนี้ดูบ้าง ก็ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูมั่งดีกว่า
ผมใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็เดินมาถึง เป็นร้านอาหารข้างทางเล็ก ๆ ไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก แต่ก็มีผู้คนเข้ามาใช้บริการมากมายไม่ขาดสาย น่าจะแสดงให้เห็นได้ว่าร้านนี้คงอร่อยพอสมควรแน่ ๆ
“เอ่อ รบกวนขอกะเพราไก่ไข่ดาวทีนึงครับ”
ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเนื่องมาจากยังไม่เคยมาร้านนี้เลยครั้ง จึงไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรดี
“ได้ค่า แต่วานเขียนใส่กระดาษที่อยู่ตรงนั้นให้อีกทีเน่อ เดี๋ยวจะได้บ่สับสนคิวกัน”
หญิงวัยกลางคนที่ดูคล้ายว่าจะเป็นแม่ครัวชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ผมหันไปมองตามก็พบสมุดฉีกเล่มเล็กที่หาซื้อได้ตามร้านขายของชำทั่วไปตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมเดินไปก่อนจะเขียนรายการอาหารของตัวเอง แล้วส่งให้แม่ครัว หลังจากนั้นจึงเดินไปหาแก้วน้ำตักน้ำเปล่า พลางมองหาโต๊ะว่าง ก็นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ยังเหลือโต๊ะว่างอยู่หนึ่งตัวพอดี
หลังจากที่หย่อนตัวลงนั่ง ผมก็หยิบมือถือของตัวเองออกมาเช็คข่าวสารและพอร์ตหุ้นของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะปิดไปเพราะมีแต่ข่าวชวนเครียด แถมพอร์ตของผมก็ยังอยู่ในโซนสีแดง เห็นแล้วไม่ชวนให้รู้สึกดีใจได้เลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนบรรยากาศไปฟังเพลงแทน โดยหยิบหูฟังสมอลทอร์คออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเชื่อมต่อกับมือถือ ก่อนจะเปิดเพลงโปรดฟังแก้เครียดในระหว่างที่รออาหาร
********
เที่ยววิ่งที่หนึ่ง“เติ้ล ถึงคิวเอ็งแล้วน่ะ ตื่น ๆ บ่ตื่นเดี๋ยวจะแซงคิวนะเว้ย”
เสียงของพี่อั๋นปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ในช่วงเวลากลางวัน ผมขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบขวดน้ำข้างตัวแล้วเทน้ำออกมาเพื่อล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น แล้วจึงหยิบกุญแจรถและหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่แล้วเดินตรงไปยังลูกค้าที่กำลังยืนรออยู่ที่รถ
ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อตะวัน ชื่อเล่นเติ้ล ปีนี้ก็อายุสิบเก้าครับ ผมเป็นเด็กบ้านนอกธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่หาได้ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษกว่าใครคนอื่นเลย จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก แต่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก อีกอย่างสอบไม่ติดด้วยน่ะ ก็เลยกะว่าจะพักเรื่องเรียนไว้ก่อน หางานทำก่อนสักปีสองปี เก็บเงินทุน เตรียมความพร้อม แล้วค่อยหาลู่ทางเรียนต่อ
กิจวัตรประจำวันของผมก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก ตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว แล้วก็มาที่วินซึ่งตั้งอยู่ข้างห้างดังแห่งหนึ่งของตัวเมืองเชียงใหม่รอรับลูกค้าตามคิวไปเรื่อย ๆ วันหนึ่ง ๆ ก็ได้หลายร้อยอยู่
ถามว่าอิจฉาเพื่อนคนอื่นไหม ที่ได้เรียนต่อ ได้อยู่ในชุดนักศึกษา ก็มีบ้างน่ะล่ะ แต่ก็ตามที่ว่าไปด้านบน ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้นี่เนอะ จะให้ตีโพยตีพาย โทษคนนู้นคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาหรอก เพราะงั้น ตอนนี้ก็ตั้งใจทำมาหากินไปก่อนละกัน แล้วหลังจากนี้ค่อยว่ากัน ยังไงก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก จริงมั้ย
“พี่อั๋น เดี๋ยวผมไปกินข้าวก่อนนะ จะฝากซื้ออะหยังมั้ย”
ผมเอ่ยถามพี่อั๋น ซึ่งเป็นหัวหน้าวินแห่งนี้เมื่อสังเกตเห็นเวลาในหน้าจอมือถือโนเกียสามสามหนึ่งศูนย์รุ่นเก่ากึ๊กที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากพ่อของผมมันกำลังบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายโมงแล้ว
“เอากรองทิพย์ซองนึงแล้วกัน เอ้านี่เงิน เอ้อ ข้าวกล่องด้วยกล่องนึง เอาผัดพริกแกงไก่ไข่ดาว พิเศษข้าวเด้อ”
ผมรับเงินพร้อมคำสั่งนั้นมา ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจของตัวเองมุ่งตรงไปยังร้านข้าวเจ้าประจำซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
“เอาเหมือนเดิมนะป้า แล้วก็นี่ด้วย ของพี่อั๋น”
“เรียกป้า เดี๋ยวกูตบปากเลยนี่ บอกกี่ที ๆ แล้วยะ ว่าให้เรียกพี่สาว”
เจ๊พร เจ้าของร้านซึ่งอายุอานามดู ๆ แล้วน่าจะวัยใกล้ ๆ กับแม่ของผมก่นด่าด้วยความรักและเอ็นดูเหมือนทุกครั้งก่อนจะหยิบโพยอาหารจากมือผมไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ผมจะเดินไปตักน้ำเปล่าแล้วเดินหาโต๊ะว่าง ซึ่งวันนี้ไม่มีโต๊ะไหนว่างเลยแฮะ
“ซวยแล้วกู”
ผมบ่นอุบกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยกมือเกาหัวแกร่ก ๆ หรือว่าจะสั่งใส่กล่องกลับไปนั่งกินกับพี่อั๋นที่วินดีวะ
“เอ่อ น้อง ๆ เราน่ะ ที่กำลังยืนอยู่น่ะ”
เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกผม ผมหันไปยังต้นเสียงนั้น ก็พบว่าเป็นชายวัยน่าจะยี่สิบปลาย ๆ เห็นจะได้
“ครับ?”
ผมเลิกคิ้วสูงกลับด้วยความสงสัย ว่าเหตุใด ชายที่แต่งตัวดูดีมีภูมิฐานคนนี้ถึงเอ่ยเรียกคนธรรมดา ๆ อย่างผม หรือว่าจะจ้างผมให้ไปส่งที่ไหนหรือเปล่านะ
“กำลังหาที่นั่งอยู่หรือเปล่าน่ะ”
เพล้ง! หน้าแหกไปสิกู
“เอ่อ ครับผม”
“งั้นมานั่งกับ...เอ่อ...พี่ก็ได้ พอดีทางนี้ใกล้จะกินหมดแล้วน่ะ”
“เอ่อ...จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจน่ะครับ”
ผมตอบปัดไปพร้อมยิ้มแหย ๆ กลับไป
“เกรงใจอะหยังกัน น้องก็ลูกค้า พี่ก็ลูกค้าเหมือนกัน บ่ได้ต่างกันตรงไหนสักหน่อย”
เมื่ออีกฝ่ายพยายามรบเร้าด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรอยู่พอสมควรซึ่งค่อนข้างขัดกับสายตาที่ดูจะขวาง ๆ จนเกือบจะโหดเล็กน้อยนั้น
“ได้ครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ นะครับ ขอรบกวนด้วยละกัน”
“เฮ้ย รบกวนอะหยัง นี่โต๊ะร้าน บ่ใช่โต๊ะของพี่สักหน่อย”
เจ้าตัวหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของผม ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่ดูใจดีจริง ๆ แฮะ ดูมีวุฒิภาวะ ดูมีการศึกษา ดูสูงส่งอย่างบอกไม่ถูกจนทำเอาผมรู้สึกอายตัวเองอยู่พอสมควร
“นี่เราเป็นวินมอเตอร์ไซค์แถวนี้เหรอ”
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง อีกฝ่ายก็เอ่ยถามเรียกสติผมให้กลับมา
“เอ่อ ๆ ใช่ครับ แห่ะ ๆ”
อีกฝ่ายดูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมตอบกลับไปเช่นนั้น ว่าแต่พี่เขาถามทำไมหว่า
“เอ้อ พี่ไปก่อนนะ ถึงเวลาต้องเข้างานละ ไว้เจอกันถ้ามีโอกาสนะ ไปละ”
พูดจบ พี่เขาก็เอามือตบบ่าผมเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่ป้าพรแล้วเดินออกไป ผมพยายามสังเกตพี่เขาว่าจะกลับยังไง แต่ก็สังเกตเห็นว่าพี่เขาไม่ได้เดินไปที่รถคันไหนเลยสักคัน จนในที่สุดพี่เขาก็เดินหายลับไปจากสายตาผม
“สงสัยคงทำงานแถวนี้ใกล้ ๆ ล่ะมั้ง เลยไม่เอารถมา”
ผมบ่นอุบกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่ป้าพรจะนำข้าวมาเสิร์ฟให้ผม
“ป้า”
“ตบปาก!”
“พี่พร”
“เออ!”
“พี่พรรู้มั้ยว่าผู้ชายเมื่อกี้เป็นใครน่ะ”
ป้าพรเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอยู่ครู่นึง
“บ่รู้แฮะ บ่คุ้นหน้าเลย เหมือนจะมาครั้งแรกมั้ง คิดว่านะ เพราะถ้ามาบ่อย พี่ก็ต้องจำได้แน่ ๆ”
“บ่ใช่ว่าแก่แล้วหลงลืมเองหรือเปล่า”
“อยากกินดี ๆ หรือจะกินทั้งน้ำตายะ”
“อะล้อเล่นนน”
ผมยิ้มหัวเราะกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเร่งรีบ เพราะทุกเวลานาทีเป็นเงินเป็นทอง
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินไปจ่ายเงินที่ป้าพรทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบข้าวกล่องของพี่อั๋นมาด้วยก่อนจะเดินไปยังร้านขายของชำข้าง ๆ ซื้อบุหรี่ตามคำสั่งของพี่อั๋นและหยิบขนมกินเล่นติดไม้ติดมือมาด้วยอีกสองห่อแล้วจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปยังคิวรถทันที
“ขอบใจมากมึง ไปนั่งรอก่อนเลย อีกหลายคิวอยู่ กว่าจะถึงคิวของมึง”
พี่อั๋นรับของไปจากมือผม ก่อนจะชี้ไปยังม้านั่งที่ว่างอยู่ ผมเองเมื่อหันไปเห็นคิวก็พยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งเงียบ ๆ พร้อมกับหยิบเจ้ามือถือระบบปุ่มกดขึ้นมาเล่นเกมงูฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
“นี่มึงยังใช้มือถือรุ่นโบราณแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ อะหยังบ่ยอมซื้อเครื่องใหม่ที่มันทันสมัยกว่านี้สักทีเนี่ย”
ไอ้ป้อมหนึ่งในวินเอ่ยถามผมด้วยความสงสัยก่อนจะลงนั่งข้าง ๆ ผมพลางหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายจากอากาศร้อน
“ก็อยากได้อยู่หรอก แต่มันแพง”
“แพงห่าอะหยัง สมัยนี้เครื่องถูก ๆ บ่กี่พันมีปะเลอะ เนี่ย อย่างของกูเนี่ยสี่พันกว่า ๆ เอง”
ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวหยิบมือถือที่ว่าออกมาให้ผมดู อนึ่ง คำว่า ปะเลอะ นั้นเป็นภาษาเหนือน่ะครับ แปลว่าเยอะ
“ก็น่าสนนะ แต่ตอนนี้อยากเก็บเงินไว้ก่อนว่ะ ยังอยากเรียนต่อ ค่าเทอมบ่ใช่ถูก ๆ ด้วย ก็เลยยังบ่อยากซื้อ”
พูดจบผมก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมงูในมือถือปุ่มกดเครื่องโปรดของผมต่อ
“ก็แล้วแต่มึงละกัน แต่ถ้าสนใจจริง ๆ ก็ถามกูได้ เผื่อกูจะได้ช่วยเลือกรุ่นที่เหมาะกับมึงในราคาบ่แพงมากนัก กูไปก่อนนะ ถึงคิวกูละ”
“อืม ขอบใจมึงมาก”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินออกไป ผมจึงหยิบขนมที่ซื้อมาเมื่อครู่ออกมาแกะกินเพื่อรอคิว
จะว่าไปก็เป็นชีวิตที่ดูน่าเบื่อหน่ายดีใช่มั้ยครับ ใช่ ผมเองก็ยังคิดแบบนั้นเหมือนกัน การศึกษาไม่สูง ชาติตระกูลก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวย
ที่สำคัญ แฟนก็ไม่มี !!!
เฮ้อออ
เอาเถอะ ก็ได้แต่บ่น ๆ ไปงั้น กลับไปทำงานต่อดีกว่า
*******
ชั่วโมงทำงานที่หนึ่งหลังเลิกงาน“เอาล่ะ กลับกันเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
ผมเอ่ยบอกนันท์ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าก่อนจะเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเอกสารของตัวเอง แล้วพากันแสกนนิ้วกลับพร้อมปิดประตูร้าน
“ผมกลับก่อนนะพี่ พรุ่งนี้เจอกัน”
“โอเค ช่วงนี้ พี่คงต้องวานให้ช่วยทำโอทีลากยาวหน่อย หวังว่าเอ็งคงบ่ว่ากันนะ”
ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินออกไป
“โอ้ยยย ชินแล้วพี่ ไปก่อนละ ง่วงนอนมากเลย”
“โอเค พักผ่อนเยอะ ๆ ล่ะ”
หลังจากที่ล่ำลากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เพิ่งนึกเอะใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ทำไมผมไม่ให้นันท์ไปส่งผมที่คอนโดกันนะ บ้าจริง ลืมไปเสียสนิทเลย แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ จะโทรไปตอนนี้ก็ดูจะเป็นการรบกวนเจ้าตัวเสียเปล่า ๆ แถมดูจากเส้นทางที่พักของผมกับอีกฝ่ายแล้วนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนละฝั่ง
สงสัยคงต้องใช้บริการวินฯ หน้าห้างจริง ๆ แล้วแฮะ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็เร่งฝีเท้าเดินไปยังคิวทันทีด้วยความเร่งรีบ เพราะไม่แน่ใจว่าในช่วงเวลานี้นั้นจะยังเหลือคิวอยู่อีกหรือเปล่า
และสงสัยว่าวันนี้ผมคงเดินก้าวเท้าออกจากห้องผิดข้างแน่ ๆ เพราะเมื่อมาถึงคิวรถก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า ผมถอนหายใจเบา ๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง พลางคิดในใจว่าวันนี้คงต้องเดินกลับคอนโดเป็นแน่แท้
“รอคิวอยู่เหรอครับ”
เสียงปริศนาเอ่ยเรียกผม ผมหันไปมองยังต้นเสียงนั้นซึ่งกำลังเดินออกมาจากมุมมืด
“เอ่อ ใช่ครับ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพปนหวาดระแวงเล็กน้อย จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกมาจนแสงไฟจากเสาไฟฟ้าสาดให้เห็นใบหน้าของเจ้าตัวได้ชัดเจน ผมก็เกิดอาการโล่งอกขึ้นมาบ้าง เพราะผมจำใบหน้านั้นได้
“อ้าว พี่ที่ร้านข้าวนี่เอง ก็ว่าใครหน้าตาคุ้น ๆ”
อีกฝ่ายเอ่ยทักผมราวกับคุ้นเคย ใช่ครับ เด็กหนุ่มที่ผมเจอและชวนนั่งโต๊ะเดียวกันเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง
“ผมกำลังจะกลับห้องพอดีเลย แต่พอดีปวดฉี่น่ะ ก็เลยแวะเข้าไปฉี่ข้างในมา สนใจจะให้ผมไปส่งมั้ย”
“รบกวนเราหรือเปล่าน่ะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ
“รบกง รบกวนอะหยังกันพี่ มันเป็นหน้าที่ของวินฯ อย่างผมที่จะต้องไปส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายอยู่แล้ว”
เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยสีหน้ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็หยิบหมวกกันน็อกส่งมาให้ผม ก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเอง ผมเดินตามไปซ้อนท้ายด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ พอสมควร ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายออกตัว
“นี่พี่บ่เคยนั่งมอ’ไซค์เหรอ”
เจ้าตัวเอ่ยถามผมด้วยความสงสัยเมื่อสังเกตได้ว่าผมจับเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น
“เอ่อ ก็บ่เชิงหรอก เคยนั่งตอนสมัยเรียน หลังจากนั้นก็ขี่รถยนต์มาตลอด ก็เลยบ่ค่อยชินเท่าไหร่แล้วน่ะ”
“อ่อ ครับ”
หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบสงัดกันทั้งสองฝ่ายจนกระทั่งถึงที่หมายซึ่งเป็นคอนโดของผม หลังจากที่ผมลงจากรถพร้อมถอดหมวกกันน็อกออกก็หยิบเงินจากกระเป๋าจ่ายให้อีกฝ่ายเป็นค่าจ้าง เจ้าตัวรับไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณผมราวกับได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ผมรับไหว้นั้นด้วยความเกรงใจเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะขี่รถออกไป
จริงสิ ยังไม่ได้ถามเลยนี่นาว่าเจ้าตัวชื่ออะไร เผื่อมีโอกาสได้ใช้บริการอีก แต่ช่างเถอะ คงไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ หรอก หากคำนวณจากระยะเวลาที่แม่ของผมยืมรถไปใช้แล้วเนี่ย
“เฮ้อ เหนื่อยจริง ๆ วันนี้ รีบขึ้นห้องอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้ทำงานเช้าอีก”
ผมบ่นกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ไปด้วยความเหนื่อยล้า
******
เที่ยววิ่งที่หนึ่งรอบสุดท้าย“วันนี้เงียบจังแฮะ คนไปไหนหมด”
ผมบ่นอุบเบา ๆ กับตัวเองเมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาใช้บริการ ในขณะที่คนอื่นต่างก็เริ่มพากันเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับ ผมเองก็เช่นกัน
แต่รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมากะทันหันแฮะ ขอแอบเข้าไปฉี่ที่กำแพงด้านในก่อนแล้วกัน ผมใช้เวลาไม่นานมากนักก็เสร็จกิจเบา แต่เมื่อเดินออกมากลับไม่พบเพื่อนสมาชิกวินฯ เลยสักคนนอกจากชายแปลกหน้าที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่
“รอคิวอยู่เหรอครับ”
ผมเอ่ยถามออกไป ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกไปให้อีกฝ่ายเห็นได้ชัด ก่อนที่ผมจะทักกลับไปอีกรอบเมื่อจำได้ว่าชายแปลกหน้าที่ว่านั่นเป็นใคร คนที่เจอกันร้านข้าวเมื่อตอนกลางวันนี่เอง
เมื่อทราบว่าพี่เขากำลังหารถกลับไปยังที่พัก ผมจึงอาสาที่จะไปส่ง ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนักก็ถึงที่หมาย ผมรับเงินจากอีกฝ่ายก่อนจะยกมือไหว้เพราะแม่ผมสอนมาเสมอว่าหากได้รับเงินจากใครก็ตามให้ยกมือไหว้ เขาจะได้เอ็นดูก่อนที่ผมจะขี่รถออกมาเพื่อกลับห้องของตัวเอง
ดูจากการแต่งตัวของพี่เขาแล้วก็แอบอิจฉาเหมือนกันแฮะ ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูดีมาก ๆ สักวันผมจะไปถึงจุดนั้นแบบพี่เขาได้ไหมนะ แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดูตลกเหมือนกันแฮะ บอกว่าไม่ได้นั่งมอ’ไซค์นานจนเกิดอาการเกร็งเกาะเอวผมเสียแน่นเลยเนี่ย
เอ จะว่าไปลืมถามชื่อพี่เขาแฮะ เผื่อวันหน้าพี่เขามาใช้บริการจะได้เรียกชื่อได้ถูก แต่คิดอีกทีรู้ไปก็เท่านั้น เพราะคนระดับนั้นคงไม่ได้มานั่งวินฯ แบบนี้บ่อย ๆ หรอก
เอาล่ะ คืนนี้ก็รีบกลับห้องอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้า ๆ ร่างกายจะได้สดชื่น
มุมเมาท์มอยหอยสังข์ สวัสดีครับ สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นนิยายที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องของเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้ผมไม่สามารถติดต่อได้แล้ว แต่ด้วยเนื้อเรื่องของเขานั้นดูมีความโรแมนติกพอสมควร ผมจึงนำมาแต่งเป็นนิยายเรื่องนี้น่ะครับ
เป็นนิยายฉบับตามใจคนแต่ง แบบจบในตอน ไม่สามารถบอกได้ว่ามีกี่ตอนจบ แต่จะเขียนเรื่อย ๆ หากนึกอะไรได้ เพราะฉะนั้นทั้งสองคนจะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไปในอนาคต ก็แล้วแต่วาสนาจะนำพากันไป เพราะเค้าโครงเรื่องจริงนั้น ผมก็ได้รับรู้มาเพียงคร่าว ๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริง
เพราะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรแน่นอน
ชอบไม่ชอบอย่างไร ก็รบกวนติดตาม และติชมได้นะครับ
ปล. สำหรับบางท่านที่อ่านแล้วรู้สึกว่า มีตัวละครคุ้น ๆ โผล่เข้ามา
ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
เพราะเรื่องนิยายเรื่องนี้นั้น มีความเกี่ยวข้องกับ
Undefined love รักไร้คำจำกัดความ และ
Once love story ณ กาลครั้ง รัก ในห้องนิยายเรื่องยาวน่ะครับ