- Dear Varich - Part 7.5 *update 17.4.2020*
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - Dear Varich - Part 7.5 *update 17.4.2020*  (อ่าน 3547 ครั้ง)

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
- Dear Varich - Part 7.5 *update 17.4.2020*
« เมื่อ18-08-2020 19:23:57 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


#DearVarich

นี่ วาริช
ในวันที่อ่านข้อความนี้ นายมีความสุขหรือยัง

_ _ _ _



           
เป็นเรื่องแรกที่ืทดลองเขียนแนวนี้ ทั้งรูปแบบและเนื้อหา หากมีข้อผิดพลาดอะไรแนะนำได้เลยนะคะ

Warning

- Mild Depression/Insecurity

- มีฉากที่ตัวละครมีความสัมพันธ์กันแบบ Unsafe sex และ(อาจจะ) Dub-Con

- ทุกตัวละครถูกสร้างขึ้นมาจากจิตนาการของผู้แต่ง ไม่มีเจตนาหรือเรื่องราวใดที่ต้องการให้คล้ายคลึงกับเรื่องจริงแต่อย่างใด


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2021 15:25:24 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #1 เมื่อ18-08-2020 19:34:25 »

               #1




               ถึง วาริช

               รอยยิ้มของนายยังเหมือนเดิมอยู่ไหม



               “ดูรายการวันนี้จบแล้วอย่าลืมเปิดมาดูไลฟ์พิเศษของพวกเรากันด้วยนะครับ ว่าจะมีภารกิจพิเศษอะไรมาให้พวกทำกัน แอบบอกว่ามีรางวัลสำหรับคนที่สมัครสมาชิกวีไอพีรายสามเดือนด้วย ส่วนตอนนี้ มารอดูกันดีกว่า ว่าช่วงหน้าเราจะพาไปพบกับดาราคนไหน…”

               เสียงจากจอภาพขนาดใหญ่บนผนังด้านหนึ่งของออฟฟิศซึ่งกำลังฉายรายการวาไรตี้จากศิลปินวัยรุ่นชื่อดังอาจทำให้ใครหลายคนเสียสมาธิกับการทำงาน แต่คงไม่ใช่กับเหล่าพนักงานของบริษัท ABC ที่ยังสามารถก้มหน้าก้มตาทำงานบ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้างอย่างออกรส ไม่ยี่หระกับความสนุกสนานบนจอเลยแม้แต่นิดเดียว

               ไม่ใช่เพราะดาราไม่ดึงดูด ไม่ใช่เพราะรายการไม่สนุก
               แต่เป็นเพราะพวกเขาทำมันมาเองกับมือ... แถมดูกันคนละไม่ต่ำกว่าห้ารอบแล้วต่างหาก

               ค่าย ABC ถือเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการละครและภาพยนต์แบบครบวงจร นอกจากจะผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนให้กับสื่อหลักแล้ว ทางค่ายก็ยังมีแพลทฟอร์มการรับชมแบบออนไลน์ของตัวเองอีกด้วย

               ในมุมหนึ่งที่ถูกกั้นเป็นห้องประชุมกระจก บทสนทนาเคร่งเครียดเกี่ยวกับแผนการแถลงข่าวของนักแสดงหนุ่มที่มีเรื่องพัวพันกับยาเสพติดเพิ่งจบลงไปไม่กี่นาทีก่อน สมาชิกหลายคนในที่ประชุมเร่งรีบออกไปจัดการเรื่องร้อนดับไฟเฉพาะหน้า ที่โต๊ะขนาดสิบห้าที่นั่งตอนนี้จึงเหลือสมาชิกเพียงสองคนที่ยังนั่งแข่งกันถอนหายใจกับข่าวและผลกระทบต่องานในระยะยาวของทั้งคู่

               “แล้วแบบนี้โปรเจ็กต์ ‘ด้วยรัก’ ที่เราวางไว้จะทำยังไงต่อเหรอครับ”
               ในที่สุดวาริชก็เอ่ยปากถามถึงบทละครออริจินอลเรื่องแรกของตัวเองที่มีกำหนดถ่ายทำในอีกสามเดือนข้างหน้าอย่างเป็นกังวล ใจจริงเขาอยากจะถามตั้งแต่ในที่ประชุมแต่ก็คิดว่าคงไม่เหมาะ

               “คงต้องเปลี่ยนจริงๆ ” ขมพัสต์ถอนหายใจ “ข่าวฉาวขนาดนั้นคงไม่ไหว ยังไงต้นสังกัดก็คงสั่งระงับงานอยู่ดี”

               “แบบนี้ก็ต้องแคสใหม่”

               “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” โปรดิวเซอร์สาวว่า “ต้องรีบแล้ว ไม่งั้นไม่ทันเปิดกล้องแน่”

               “นั่นสิครับ บทนำด้วย ไหนจะต้องเวิร์คชอปอีก” หนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีถอนหายใจแล้วปัดผมที่ระอยู่บนใบหน้าออก “กว่าจะแคสได้... แทบตาย มาเจอข่าวแบบนี้เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่เลย”

               “มันก็จริง...”

               “นี่อีกเดือนเดียวก็จะเวิร์คชอปแล้วนะครับ ใครเขาจะมีคิวให้เรา”

               “เอาน่า ก็ยังดีที่เรายังไม่ได้เริ่มอะไรไปไกล” ขมพัสต์ปลอบใจอีกฝ่าย “ เดี๋ยวพี่รีบไปประสานเรื่องถอดชื่อก่อน แล้วค่อยเอาเรื่องจะแคสนักแสดงใหม่เข้าที่ประชุมปลายอาทิตย์ เสนอตอนนี้ไม่มีใครคิดอะไรออกหรอก ต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อน เด็กนั่นก็ดันมีงานกับเราเยอะเสียด้วย”

               “ครับ” วาริชพยักหน้าพลางคิดในแง่ดีว่าถ้าละครของเขาต้องมาล้มไม่เป็นท่าเพราะกระแสข่าวฉาวของพระเอกคงเสียใจพิลึก เกิดเรื่องตอนนี้อาจจะดีแล้วก็ได้ “งั้นเดี๋ยวผมไปลองเกริ่นๆ กับโมเดลลิ่งไว้ก่อนแล้วกันนะครับ”

               ขมพัสต์พยักหน้า “แต่ถ้าหาไม่ได้… มันก็มีไม้ตายอยู่นะ”

               “หือ? ยังไงเหรอครับ”

               “วาริชก็เล่นเองไปเลยไง”

               คนฟังนิ่งไปครู่ ก่อนจะตอบยิ้มๆ “พี่ขมพูดเล่นอีกแล้ว ผมไม่เหมาะจะเป็นดาราหรอกครับ”

               “ไม่จริง อันนี้พี่ขอเถียงเลย”

               ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
               “ไม่ใช่ทางจริงๆ ผมน่ะเหมาะจะอยู่หลังกล้องมากกว่า”

               “เฮ่อ วาริชนะวาริช น่าเสียดายจะตาย ถ้าเลือกเป็นดาราต่อ ป่านนี้ต้องดังมากแน่ๆ ”

               ขมพัสต์ยกมือเท้าคาง พิศดูใบหน้าของคู่สนทนาอย่างจริงจังเหมือนที่ทำมาหลายปี ทั้งดวงตาสีอ่อนกับผิวเนียนละเอียด จมูกโด่งรั้นเหมือนตุ๊กตากับริมฝีปากสวยได้รูป ถึงช่วงหลังเจ้าตัวจะไว้ผมเผ้ายาวประบ่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้น่ามองน้อยลงไปแม้แต่นิด

               “เราน่ะ หน้าตาดีกว่าเด็กใหม่ๆ อีกนะ ร้องเพลงก็ดี เล่นละครก็ได้ ครบเครื่องจะตาย” เธอย้ำ

               “ผมไม่ได้เก่งไปกว่าคนอื่นเลยพี่ขม” คนตรงหน้าพูดเรียบๆ ขณะซ่อนสายตาอึมครึมไว้กับกระดาษในมือ เพียงครู่เดียวก็หันขึ้นมายิ้มให้คู่สนทนา “แถมลืมเรื่องการแสดงไปหมดแล้วครับ ตั้งหลายปีแล้ว ตอนนี้เป็นนักเขียนบทต๊อกต๋อย”

               “โธ่ ถ้าคนได้ทำละครออริจินอลเรื่องแรกของค่ายอย่างวาริชต๊อกต๋อย คนที่นี่ก็ต้องตกงานกันหมดแล้วล่ะมั้ง” ขมพัสต์ร้อง “น่า ไม่ลองเปลี่ยนใจมาแสดงเรื่องที่ตัวเองเขียนบทดูบ้างเหรอ”

               “แค่บทก็จะแย่แล้วครับ”

               “เฮ่อ… ใจแข็งจนขี้เกียจจะจีบ”

               วาริชยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ผมไปทำงานต่อดีกว่า”

               “จ้า จ้าา”

               ขมพัสต์มองตามอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปด้วยความเสียดาย

               วาริชเป็นเด็กหนุ่มที่เธอเห็นมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ มีทั้งรูปลักษณ์และความสามารถทางการแสดงอย่างหาตัวจับยาก กอปรกับนิสัยสุภาพอ่อนน้อม ยิ้มง่ายแบบนั้นด้วยแล้ว เธอมั่นใจเอามากๆ ว่าอีกฝ่ายจะสามารถเติบโตไปเป็นดาราเบอร์ต้นๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น

               แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ความมีชื่อเสียงและโด่งดัง จู่ๆ วาริชก็หันหลังให้กับทุกโอกาสที่ทุกคนหยิบยื่นให้ บทแล้วบทเล่าที่ถูกเด็กหนุ่มปฎิเสธด้วยความถ่อมตัวว่าความสามารถของเขายังไม่พอ ขอหลีกทางให้กับคนที่เหมาะสมกว่า ไม่ว่าผู้จัดจะหว่านล้อมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนในที่สุด ชื่อของวาริชก็ค่อยๆ เงียบหายลงไปหลังจากเล่นละครได้เพียงเรื่องเดียว

               อดคิดไม่ได้ว่าเพชรน้ำงามได้หลุดมือออกไปแล้ว
               แต่หลังจากผ่านไปสองปี เธอก็กลับมาเจอกับวาริชอีกครั้ง

               ขมพัสต์กับคนอื่นตื่นเต้นกันจนแทบกรี้ดเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มมาสมัครเข้าทำงานที่ ABC ถึงกับหลับตาจินตนาการเอาไว้ว่าละครเรื่องใหม่ของตนที่มีชื่ออีกฝ่ายเป็นหนึ่งในนักแสดงจะต้องโกยเรตติ้งได้ถล่มทลาย สะเทือนวงการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเตรียมหอบบทละครเข้าไปคุยกับผู้บริหารค่ายเพื่อจองตัวเขาไว้แล้วเชียว

               แต่ทุกคนก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อวาริชแนะนำตัวว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนบทที่บริษัทรับเข้ามาใหม่
               ในเรื่องงาน แน่นอนว่าวาริชทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดสามปีที่ผ่านมาบทที่ผ่านมือวาริชล้วนได้รับความนิยม กระแสตอบรับดีจนได้เข้าชิงรางวัลในเวทีระดับประเทศอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยรูปลักษณ์และความสามารถทางการแสดงที่เธอรู้ดีว่าเขามีอยู่ในตัว ทำให้เธอในฐานะโปรดิวเซอร์อดเสียดายไม่ได้ แอบหวังในใจว่าสักวันหนึ่งอาจได้เห็นอีกฝ่ายกลับมาโลดแล่นบนหน้าจออีกครั้ง

               แต่เมื่อมองลึกลงไปภายใต้รอยยิ้มและดวงตาคู่นั้น ขมพัสต์ก็รู้ดีว่าวาริชไม่อาจแสดงได้อีกต่อไป
               หลังจากกลับมา แววตาสีน้ำตาลอ่อนของวาริชไม่เคยยิ้ม ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว


               ////Then


               วาริชในวัยยี่สิบสองปีคิดว่าเขากำลังอยู่ในขาขึ้นของอาชีพนักแสดง

               หลังเข้าวงการมาได้สองปี โผล่หน้าโผล่ตาอยู่ตามโฆษณาบ้าง เอ็มวีบ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้แสดงในละครวัยรุ่นที่ดัดแปลงมาจากนิยายออนไลน์ชื่อดังเกี่ยวกับอีสปอร์ต ถึงจะไม่ใช่บทพระเอก แต่ก็เป็นถึงตัวรองที่ได้แอร์ไทม์ไม่น้อยหน้าใคร

               ผู้จัดการเขาถึงกับพูดว่านี่จะเป็นบทแจ้งเกิดของเขาเลยเชียว

               เพราะเป็นเพียงมินิซีรี่ส์ที่ฉายแบบจำกัดแพลตฟอร์มทดลองของค่าย ABC การถ่ายทำจึงกินเวลาทั้งหมดเพียงแค่สี่เดือน แต่เพราะเนื้อเรื่องค่อนข้างเฉพาะทาง เลยช่วยไม่ได้ที่ทางกองถ่ายจะต้องจัดเวิร์คชอปก่อนการเปิดกล้อง นัยหนึ่งก็เพื่อให้นักแสดงในวัยเดียวกันได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยกันไว้ อีกนัยหนึ่งก็เพิ่มเตรียมความพร้อมในการทำงาน

               และในช่วงเวลานั้น ใครบางคนก็เข้ามาทำให้โลกของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

               “เธอน่ารัก” นั่นเป็นประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ด้วยอุปนิสัยขี้เล่นของอีกฝ่ายเลยไม่ได้ทำให้วาริชรู้สึกตะขิดตะข่วงใจเวลาที่อีกคนเรียกเขาว่า “เธอ” หรือเข้ามานั่งกระแซะทำตัวติดกันในกองถ่าย คอยกวนตัวกวนใจเขาทุกครั้งที่มีโอกาส จนเขาเผลอให้อีกคนมาวนเวียนอยู่รอบตัว แทรกซึมเข้าสู่โลกของเขาไปทีละน้อย

               “ไหนจะขึ้นมาซ้อมบทไง สรุปก็ไม่ได้เปิดเลยสักหน้า” วาริชทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มในห้องพักพลางซับน้ำออกจากเรือนผม กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ผสมกับกลิ่นครีมอาบน้ำลอยอวลอยู่กับร่างเพรียวที่อยู่ในชุดนอนสีเข้ม “พรุ่งนี้บวงสรวงเปิดกล้องแล้วนะ กลับห้องตัวเองไปนอนได้แล้วไป มัวมองอะไรอยู่ได้เล่า”

               “พรุ่งนี้เธอมายืนข้างเรา”

               “หา?”

               “เธอต้องยืนข้างเรา” อีกฝ่ายย้ำ “ห้ามยืนแยกกันนะ”

               “จู่ๆ มาบังคับเราทำไม” เขาขมวดคิ้ว “เขาให้ยืนตรงไหนเราก็ยืนตรงนั้นแหละ”

               “แต่เราอยากยืนข้างเธอ”

               วาริชหน้างอ ก็ชอบทำแบบนี้ ล้อเล่นหยอดคำหวานแบบทีเล่นทีจริงจนเขารู้สึกสับสนไปหมด บางครั้งก็เหมือนหลอกล่อให้เขาตกหลุมพราง คอยหัวเราะเวลาเขาทำหน้าเหวอ บางครั้งก็ดูจริงจังจนเผลอใจเต้นไปกับดวงตาเป็นประกายวาววับกับใบหน้าหล่อเหลานั่น

               “เธอ...ขอมือหน่อย”

               “คนนะไม่ใช่หมา”

               “โหย ใครว่าเธอเป็นหมา เธอน่ะมันยัยกระต่ายน้อย”

               “เอามือมาเร็วๆ เลยครับ ขอกำลังใจหน่อย” พอพูดจบเจ้าตัวก็คว้าเอามือไปจับอย่างไม่รอคำอนุญาต แถมยังกระชับสอดประสานนิ้วมือ เกลี่ยสัมผัสให้รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งหัวใจอีก

               เขาหวั่นไหว เขารู้ตัวดี
               วาริชตั้งกำแพงไว้สูง ทุกความสัมพันธ์รอบตัวเขาถูกกำหนดกรอบเอาไว้ชัดเจน

               แต่สำหรับคนตรงหน้า เส้นที่ว่ามันกลับเลือนลางขึ้นทุกที

               การมาส่งเขาที่คอนโดหลังการฝึกซ้อมในแต่ละวันกลายเป็นเรื่องปกติของอีกฝ่าย พื้นที่ส่วนตัวที่ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปกลับถูกเปิดออกได้โดยง่าย คำพูด การกระทำที่เกินธรรมดาดูจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาเข้าใกล้กัน วาริชปล่อยให้อีกคนเป็นข้อยกเว้นอย่างที่เขาเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน

               ความรู้สึก ‘พิเศษ’ นั้นน่าดึงดูด แต่ก็อันตรายเหลือเกิน

               “นี่ จะบอกอะไรให้นะ… เพื่อนเขาไม่จับมือกันแบบนี้หรอก” วาริชว่าพลางยกมือในการเกาะกุมของอีกฝ่ายขึ้นมาเขย่าๆ ก่อนจะพยายามควบคุมสีหน้ากับความประหม่าของตัวเองแล้วทำใจแข็งมองสบตาอีกฝ่าย ซ่อนความสั่นเครือในน้ำเสียงไว้ภายใต้รอยยิ้มนุ่มนวล “เนี่ย... แบบเนี้ย เขาไม่ทำกัน”

               ถ้ากำลังล้อเล่นกันอยู่ล่ะก็ พอเถอะ
               ความรู้สึกที่มีมันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว

               แววตาของร่างสูงก็ทำให้เขาชะงักไป มือที่จับกันอยู่ถูกกระชับแน่น
               เวลาในห้องเหมือนถูกหยุดเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่าย ดวงตากลมโตมองสบด้วยความไม่เข้าใจ

               “เรารู้”

               “...”

               “รู้เหมือนที่เธอรู้นั่นแหละ”

               “...”

               “เพราะอย่างนั้น ที่ทำลงไปทั้งหมดน่ะ เราตั้งใจ ตั้งใจทุกอย่างเลย”

               เจ้าของดวงตาเรียวรีจดจ้องด้วยความลึกล้ำคล้ายจะย้ำความรู้สึกในเบื้องลึกของจิตใจที่ทั้งคู่ต่างเข้าใจดี วาริชหัวใจเต้นรัวเมื่อใบหน้าด้านหนึ่งถูกมือข้างที่ว่างอยู่เลื่อนขึ้นมาประคองไว้ ในขณะที่อีกข้างก็ยังสอดประสานอยู่กับฝ่ามือแข็งแรง สัมผัสอุ่นร้อนทำเอาเนื้อตัวสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังรอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

               พวกเขาปล่อยให้แรงดึงดูดที่มองไม่เห็นทำหน้าที่นำความรู้สึกโดยไม่คิดต้านทาน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนตัวเข้ามาจนระยะห่างระหว่างทั้งสองคนเริ่มหมดลง ภาพของร่างสูงสะท้อนอยู่ในแก้วตาสีน้ำตาลอ่อนใสทอประกายระริกของวาริช เช่นเดียวกับที่วาริชสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองบนนัยน์ตาสีเข้มของอีกคน จนในที่สุดริมฝีปากก็เข้าประทับกันเนิ่นนานในวินาทีหนึ่ง

               จุมพิตนั้นบางเบาเหมือนปุยเมฆ อบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ สว่างไสวเหมือนพระจันทร์ นุ่มละมุนชวนให้โอนอ่อนและคล้อยตาม วาริชหลับตาปล่อยให้อีกฝ่ายจูบย้ำได้ตามใจ เหมือนกับว่าโหยหาการสัมผัสจากอีกฝ่ายอยู่เช่นเดียวกัน

               คนตรงหน้าละเลียดจูบพลางลูบแก้มเขาเป็นการปลอบประโลมก่อนจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
               วาริชกะพริบตาปริบคล้ายจะเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงของตัวเองกลับคืนมา เขายังคงจดจ้องคนตรงหน้าอยู่ขณะเม้มปากที่เพิ่งถูกรังแกไว้แน่น สองแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย รู้ดีว่าได้ก้าวผ่านเส้นอะไรบางอย่างที่ตัวเองเคยขีดไว้กับใครบางคนตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

               “เพื่อนเขาไม่จูบกันด้วย… อันนี้เราก็รู้” สายตาของอีกคนเป็นประกายเหมือนมีดาวนับร้อยดวงอยู่ในนั้น คนพูดเกลี่ยปลายจมูกให้สัมผัสกันก่อนจะละออก ทิ้งลมหายใจร้อนผ่าวเอาไว้บนผิวแก้ม “ทีนี้เธอเข้าใจเราหรือยัง”

               เหมือนเขาทำคำพูดตกหล่นไปในสักที่ วาริชเลยได้แต่พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
             
               ร่างสูงยิ้มกว้างจนดวงตาหยิบหยี “คบกันนะ”

               เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำนี้ ปฏิกิริยาของวาริชเรียกได้ว่าค่อนข้างแตกตื่น
               “เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน อะไรนะ”

               “ไม่อยากรอแล้วครับวาริช ตกลงเถอะ เราจะตายแล้ว” อีกฝ่ายโอดโอย “จับหัวใจเรามั้ย มันจะระเบิดอยู่แล้ว”

               “แน่ใจเหรอ” คนฟังย้อนถาม “คุณไม่ได้จะมาเล่นๆ กับเราแน่นะ”

               “ใครเขาจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกับเธอกัน ให้เราจูบพิสูจน์อีกทีไหม”

               เขาเบิกตากว้าง รีบลนลานเอามือขึ้นดันอกอีกฝ่ายที่ตั้งท่าจะขยับเข้ามาประชิดตัว “ไม่ ไม่เอา”

               “เธออยากให้เราย้ำกับเธอยังไง”

               “เราไม่รู้”

               “ที่เราทำยังไม่ชัดเจนเหรอ” อีกคนทำหน้าหงอย “มากกว่านี้ก็รู้กันทั้งโลกแล้วนะเธอ”

               “ก็คุณมันชอบทำเป็นเล่น! ” วาริชว่า “ใครจะไปรู้ว่าคิดจริงๆ ”

               “แต่ก็มีคนเขินจริง” ร่างสูงยิ้มเจ้าเล่ห์ ทั้งๆ ที่ใบหูของตนก็เป็นสีแดงแปร๊ด “แล้วจริงๆ เธอก็รู้นี่ว่าเราคิดยังไง”

               “ก็รู้… แต่ไม่แน่ใจ” เขาหลบสายตาแพรวพราวของอีกคน “เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง”

               “ไม่ต้องเข้าข้างตัวเองครับ ชอบไปแล้ว ชอบเธอมากด้วย เพราะอย่างนั้นตอนนี้ไม่อยากรอแล้ว” คนตรงหน้ายกมือที่กุมกันไว้ขึ้นมาประทับจูบเบาๆ “มองเราหน่อยวาริช”

               คนฟังกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจก่อนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “แน่ใจแล้วใช่ไหม”

               ร่าสูงพยักหน้า “เรามั่นใจ เราเลยมาขอโอกาสจากเธอ”

               “มัน… จะโอเคใช่ไหม...” ดวงตาคู่สวยมีแววกังวลฉายชัด “เราไม่รู้ต้องทำตัวยังไง คือเราไม่เคย… เอ่อ คบกับใคร”

               “เรารู้ครับ เคยหลอกถามเธอตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เจอกันแล้วไง จำไม่ได้เหรอ” อีกฝ่ายยิ้มทะเล้น “เราก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป…ดีไหม”

               “แต่ว่า…แล้วถ้าทุกคนรู้จะทำยังไง มันจะไม่แย่เอาเหรอ ไหนจะค่าย ไหนจะงาน”

               “ชู่ว…แค่เป็นเธอมันก็ไม่แย่แล้ว” เขาตอบอย่างจริงจัง “อีกอย่าง… เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็ได้”

               “...”

               “ยังไงมันก็เป็นเรื่องของเธอกับเราอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับคนอื่นสักหน่อย” เขายักไหล่ “แค่เธอชอบเราก็พอแล้ว จริงไหม”

               วาริชหน้าแดง “อย่ามาขี้มั่ว อาจจะแค่หวั่นไหวไปเฉยๆ ไม่ได้ชอบขนาดนั้น”

               “อยากให้เธอเห็นหน้าตัวเองตอนนี้ชะมัด”

               “ทำไม หน้าเรามันทำไม”

               “เหมือนกระต่ายดื้อ”

               “...”

               “แต่น่ารัก…”

               “...”

               “น่ารักมากๆ” เขาขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง
               “ชอบนะครับ ชอบมากๆ ” นัยน์ตาสีเข้มหมายความตามที่ว่า ก่อนจะประทับจูบที่มุมปาก แกล้งกดจมูกเข้าที่ข้างแก้มเนียนแล้วบดเบียดริมฝีปากเข้ากับความนุ่มนิ่มที่เพิ่งได้สัมผัสไปเมื่อครู่อย่างเอาแต่ใจ ริมฝีปากเขาถูกขบเม้มจนทำให้ร่างโปร่งสะท้านเฮือก มือที่เคยวางอยู่ข้างตัวกลับถูกยกขึ้นมาขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว รสชาติของเรียวลิ้นร้อนที่แตะเข้ากับกลีบปากทำเอาสมองพร่าเบลอเหมือนจะหลอมละลายไปกับความแปลกใหม่ที่ได้รับ

               วาริชไม่แน่ใจว่าการจูบตอบต้องทำอย่างไร แต่อีกคนก็ดูจะสนุกกับการได้เป็นฝ่ายนำความแนบชิดจากจูบลึกซึ้งมาแนะนำให้เขารู้จักเป็นครั้งแรก มันอ่อนโยนและน่าหลงใหล ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเมื่อถูกรุกไล่ด้วยน้ำหนักที่แฝงไปด้วยแรงอารมณ์

               เมื่อตักตวงความหวานจนพอใจอีกฝ่ายก็ละใบหน้าออกมาก่อนจะส่งยิ้มให้คนที่หอบหายใจอยู่อย่างรักใคร่ สายตาคมปลาบไม่ละออกไปจากริมฝีปากอิ่มวาววับ และดวงตาคู่สวยที่มีน้ำใสๆ คลออยู่

               “วาริช คบกับกวินนะ... “

               “อื้อ…”

               _ _ _ _
               

               TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2020 19:26:30 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #2 เมื่อ18-08-2020 19:42:49 »

              #2



              Warning : NC-18 // Unsafe Sex



              ///Then

              ถึง วาริช

              ความฝันของนายเป็นจริงหรือยัง




              “อื๊อ.. กวิน พอแล้ว…” ร่างโปร่งหอบฮัก มือสวยดันอกของอีกคนให้ออกห่างหลังโดนกดจูบครั้งแล้วครั้งเล่าบนเตียงนอน แสงไฟสีส้มจากดวงโคมภายในห้องพักสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทำให้ใบหน้าแดงเรื่อของเจ้าตัวดูน่าลุ่มหลงขึ้นอีกหลายเท่า

              อีกคนยิ้มแล้วก้มลงจูบปลายจมูกเขา “วันนี้ไม่ได้คุยกับเธอเลย”

              “ก็คิวถ่ายไม่ตรงกันนี่” วาริชว่า “จะเอาเวลาที่ไหนไปคุย”

              “คิดถึงจะแย่…” กวินซุกหน้าลงกับซอกคอหอมๆ ของอีกฝ่าย มือใหญ่ที่แตะสัมผัสอยู่บริเวณหลังคอกดคลึงเบาๆ จนวาริชเผลอบิดตัวหนีด้วยความจั๊กจี้ เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ละเลียดวนเวียนอยู่กับผิวแก้มเนียนและลำคอ ก่อนจะลากไล้ริมฝีปากลงไปตามลาดไหล่ “ตามใจเราหน่อย... เวลาอยู่ข้างนอก เราทำแบบนี้กับเธอไม่ได้นะ”

              “นี่ยังไม่ตามใจอีกหรือไง…อ๊ะ! ”
              วาริชเม้มปากกลั้นเสียงเมื่อมือหนาปัดป่ายยอดอก เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มก่อนจะยันตัวขึ้นมาป้อนจูบหวานหยดจนคนโดนรังแกส่งเสียงครางอยู่ในลำคอ มือที่เคยวางเพื่อกางกั้นกลายเป็นจับยึดเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น อารมณ์ถูกปลุกปั่นเสียจนสมองว่างเปล่าแทบคิดอะไรไม่ออก

              หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ลับๆ ของทั้งสองก็ดำเนินไปพร้อมกับการถ่ายทำอย่างเงียบเชียบ พวกเขาพบกันในตอนเช้าที่กองถ่าย พูดคุยและทำงานร่วมกันในตอนกลางวัน โบกมือบอกลาแยกย้ายกันกลับในตอนเย็นเหมือนเพื่อนร่วมงานทั่วไป ก่อนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อประตูห้องพักปิดลง

              นั่นเป็นขอบเขตของการเป็นคนรักของพวกเขา

              สถานที่เดียวที่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีถูกส่งผ่านไปยังกันและกันได้โดยอิสระ
              ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีคำสั่งจากผู้บริหาร ไม่มีผู้คนคอยจับจ้อง ไม่มีสายตาจากคนภายนอก

              ไม่มีใครรู้…
              และจะต้องไม่มีคนรู้เรื่องนี้

              พวกเขาแอบพบกับด้วยความระมัดระวังจนแม้แต่ผู้จัดการส่วนตัวของทั้งคู่ก็ยังไม่เคยระแคะระคาย กวินเป็นศิลปินดาวรุ่งของค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ ในขณะที่วาริชเองเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่จากโมเดลลิ่งเล็กๆ หากมีข่าวว่าทั้งคู่เป็นเกย์ หรือมีใครรู้เรื่องการคบกันคงไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่

              ไม่เป็นไร… ขอแค่ยังมีพื้นที่นี้ ให้พวกเขาสามารถเป็นคนรักกันได้ก็พอ

              กวินถอนจูบ จดจ้องคนตรงหน้าที่ยังคงหลงอยู่ในรสจูบด้วยสายตารักใคร่ เขาถูกใบหน้าหวานนี้สะกดไว้ตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกในวันแคสติ้ง รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายทำให้เขาเข้าไปใกล้ชิด เมื่อได้รู้จักตัวตนก็ยิ่งหลงรัก และเมื่อได้สัมผัส… ก็ยิ่งอยากจะครอบครอง

              อยากเป็นเจ้าของ…แค่เพียงที่นี่ ตอนนี้ก็ยังดี
              วาริชกำลังทำให้เขาเสพติด

              “...เธอ”

              วาริชรู้สึกเหมือนตัวเองคิดผิดที่ลืมตาขึ้นตามคำเรียก เพราะแค่เขาสบตาก็อยากจะเบี่ยงตัวหนีแต่ก็คิดอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนแขนแข็งแรง สายตาร้อนแรงของอีกฝ่ายที่ส่งมาทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง แต่นั่นก็ยังไม่เท่าประโยคคำถามที่กวินพูดออกมาในวินาทีต่อมา “.... ถ้าเราอยากทำมากกว่านี้... เธอจะว่ายังไง”

              ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคนฟังสั่นระริก

              วาริชรู้ว่าวินาทีนี้จะมาถึงในสักวันหนึ่ง เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวันดูเหมือนไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ทุกจูบ ทุกการแตะต้องล้วนทำให้พวกเขาโหยหาสัมผัสจากอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวัน…. และเขาก็รู้ดีว่าความรู้สึกที่อัดแน่นเต็มไปด้วยความปรารถนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพาให้พวกเขาก้าวผ่านความใกล้ชิดลึกซึ้งในท้ายที่สุด

              “ไม่เป็นไร” กวินยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย ร่างสูงดันตัวขึ้นแล้วจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากเขาไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ถามแบบนั้นออกไป “... แค่อยากกอดเธอมากๆ”

              “กวิน…”

              “อย่ากังวล” เขาย้ำพลางกระชับอ้อมแขน “เรารอได้… เมื่อไหร่เราก็รอได้”

              “อือ… กอด” วาริชกัดริมฝีปาก ก่อนจะรั้งตัวอีกฝ่ายไว้เมื่อรู้สึกว่าจะร่างสูงจะขยับออกไป แขนเรียวยกขึ้นแล้วโน้มคออีกคนเข้าหา ปล่อยให้ร่างกายตัวเองถูกทาบทับ ซุกใบหน้าตนเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงขณะพูดอู้อี้ “ทำเถอะ…”

              กวินคิดว่าตัวเองหูฝาดเพราะเสียงหัวใจที่เต้นโครมคราม เขาผละตัวออกแล้วเชยคางคนตรงหน้าขึ้นพิศดูในระยะประชิด ยืนยันกับตัวเองด้วยการมองใบหน้าแดงก่ำกับริมฝีปากสีสด สายตาคมปลาบสบเข้ากับแววตาหวานหยดเพื่อถามความแน่ใจ

              มันคงไม่ผิดที่เขาจะซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง
              วาริชพยักหน้า ทุกสัมผัส ทุกการแตะต้อง กวินยังคงเป็นข้อยกเว้นสำหรับเขา

              “ก็….อยากให้กอดเหมือนกัน”

              เพราะรัก...

              วินาทีนั้นอารมณ์ของทั้งสองคนก็ถูกพัดพาไปไกลกว่าที่เคย

              มือหนาถูกสอดเข้าไปใต้เสื้อนอนตัวบาง ลากสัมผัสไปทั่วทั้งหน้าท้องแบนราบและข้างเอวเพรียวอย่างที่อยากทำมาตลอด ผิวกายเนียนละเอียดลื่นมือยิ่งทำให้อารมณ์ปรารถนาของเขาร้อนผ่าว กวินบดเบียดริมฝีปากชื้นเข้ากับยอดอกข้างหนึ่ง หมุนวนส่งผ่านความชื้นแฉะจากเรียวลิ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดจากเนื้อผ้าเปียกชุ่มที่เสียดสีผิวเนื้อทำให้แผ่นหลังอีกคนหยัดโค้งด้วยความวาบหวาม

              “เธอจะทำเราบ้าได้จริงๆ” กวินพูดเสียงสั่นขณะปลดกระดุมแล้วรั้งสาบเสื้อที่เคยปิดบังผิวกายให้หลุดออก ส่งผลให้ยอดอกอีกข้างที่เคยชูชันอยู่ภายใต้ชุดปรากฏขึ้นอย่างท้าทายสายตา มันสั่นระริกเรียกร้องให้แตะต้องจนต้องก้มลงไล้เลียดูแลให้เปียกชุ่มไม่น้อยหน้ากัน แผ่นอกขาวเนียนถูกปลายลิ้นละเลียดสำรวจไปทุกตารางนิ้ว ก่อนจะวกกลับมาครอบครองจุดไวต่อสัมผัสอีกครั้งด้วยสัมผัสหนักหน่วง ยอดเนื้อถูกดูดดึง ขบย้ำจนบวมแดง

              “อา… กวิน…กวิน” คนโดนปรนเปรอหอบหายใจกับการถูกปลุกเร้าสัมผัสบนผิวเปล่าเปลือย ลมหายใจที่คลอเคลียอยู่บนแผ่นอกทำให้วาริชได้แต่บิดกายด้วยความปรารถนาพร้อมกับการเรียกชื่ออีกคนขณะเลื่อนมือเข้าไปจับยึดเรือนผมสีเข้ม ความคิดกระเจิดกระเจิงเกินจะควบคุม

              กวินรุกคืบเข้าไปในขอบกางเกง เรียวนิ้วเกี่ยวรั้งสิ่งขวางกั้นให้หลุดออกไปจนหมด
              ถึงจะเคยใกล้ชิดกันมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้จ้องมองร่างเปลือยเต็มตา

              ท่ามกลางความมืดสลัวของแสงไฟอันน้อยนิด ผิวของวาริชขาวกระจ่างชวนให้แตะต้อง เนียนลื่นละเอียดเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชั้นดี ริมฝีปากกับยอดอกยังคงเป็นสีแดงก่ำเพราะถูกรังแกจากสัมผัสร้อนแรง เรียวขาเบียดแนบเข้าหากันเพื่อปิดบังส่วนที่กำลังขยับขยายด้วยความเขินอาย

              เอวเพรียวกับสะโพกกลมกลึงถูกบีบเค้นโดยไม่มีเนื้อผ้ากางกั้น กวินกดจูบที่แผ่นอกไล่ลงมาจนถึงหน้าท้องเรียบเนียน วาริชหายใจติดขัดเมื่อลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดเบื้องล่าง กายแกร่งแทรกอยู่ระหว่างกลางบังคับเรียวขาขาวให้อ้าออก เปิดเปลือยให้คนด้านบนได้สัมผัสทุกอย่างที่เป็นเขาด้วยริมฝีปาก ลากไล้สัมผัสไปทั่วจนวาริชเรียนรู้ผ่านอีกฝ่ายว่าจุดอ่อนของตัวเองอยู่ที่ต้นขาด้านใน จมูกโด่งปัดเฉียดปลายยอดไปอย่างจงใจไม่แตะต้อง เรียวลิ้นลงน้ำหนักเพิ่มเมื่อล่วงรู้ถึงความสั่นสะท้านบนผิวราวกับจะกลั่นแกล้งกันก่อนจะผละออก

              กวินคุกเข่าอยู่ตรงกลางเรียวขาตั้งชัน วางสายตาร้อนแรงไว้ที่ใบหน้าของวาริชระหว่างถอดเสื้อยืดออกไปจากตัว กางเกงทั้งชั้นนอกชั้นในถูกดึงรั้งลงไปพร้อมกัน อวดส่วนสัดแข็งแรงให้คนใต้ร่างเห็นได้เต็มตา

              และเมื่ออีกคนทาบทับลงมา วาริชก็สะท้านเฮือกกับความร้อนผ่าวที่แนบชิด

              กวินประทับจูบแล้วส่งเรียวลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดความฉ่ำชื้นภายในโพรงปาก ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ทำหน้าที่โอบรวบความแข็งขืนทั้งสองให้แนบชิด ชักนำให้อารมณ์ทั้งคู่หลุดลอยอยู่ในห้วงความต้องการ เอวสอบขยับเสียดสีตัวตนทั้งสองเข้าด้วยกัน จำลองจังหวะให้คนใต้ร่างได้คุ้นเคย

              “เธอ.. ช่วยหน่อย” กวินกระซิบชิดริมฝีปากนุ่มหยุ่น

              วาริชปล่อยให้ฝ่ามือเล็กถูกจับเลื่อนลงไปตามคำขอ ปลายนิ้วสั่นเทาแตะเข้ากับส่วนร้อนฉ่าที่เหยียดตึงตามสัญชาตญาณ ก่อนจะถูกทาบทับด้วยมือหนาให้กอบกุมกลางกายทั้งของเขาและอีกฝ่าย บังคับให้รูดรั้งหนักหน่วง สะโพกของวาริชเบียดเข้าหาอีกคนด้วยความทรมาน “กวิน… เรา… ฮึก! ”

              “ดี… เธอ… อา... มันดีมากๆ ”

              ณ วินาทีหนึ่ง พวกเขาก็พากันทะลักทลายอยู่ในอุ้งมือของกันและกัน ของเหลวสีขุ่นถูกปลดปล่อยรินรดอยู่บนหน้าท้องแบนราบ ฉาบเคลือบตัวตนจนวาววับขณะบางส่วนหยดยืดลงบนเรียวขาขาว

              วาริชหอบหายใจหน้าแดงก่ำ ดวงตาสีน้ำตาลปรือปรอยมองอีกฝ่ายด้วยแรงอารมณ์ที่ยังไม่มอดดับ
              ร่างสูงขยับเพื่อจูบซับไรผมชื้นเหงื่อขณะให้อีกคนพักหายใจ แต่แค่มองหน้าท้องที่เปรอะเปื้อนขยับขึ้นลงตามการจังหวะการหายใจของคนใต้ร่าง ความต้องการที่มีก็เหมือนจะปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้

              มากกว่านี้

              เขาไม่สามารถรอนานกว่านี้แม้อีกวินาทีเดียว กวินจับขาเรียวให้ตั้งชัน ลากมือเพื่อเกี่ยวเก็บของเหลวลื่นมือก่อนจะปาดป้ายไปที่ช่องทางคับแน่นที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสของอีกคน วาริชกระถดตัวหนีเมื่อรับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่กดวนอยู่รอบรอยจีบปิดสนิท ปลายนิ้วชุ่มชื้นแทรกเข้ามาภายในตัวของเขาเพียงตื้นๆ แล้วถอนออก ก่อนจะกดสัมผัสเข้ามาใหม่แล้วก็จากไปอีกครั้ง วนเวียนหยอกเย้าอยู่แค่ปากทางให้เขาวูบไหว

              วาริชตัวสั่น จดจ่อความรู้สึกอยู่ที่ด้านล่างเมื่อถูกสอดแทรกและถอดถอน ริมฝีปากถูกกัดจนแดงช้ำ “อือ อย่าแกล้ง…” แววตาคนใต้ร่างคล้ายเว้าวอนร้องขอการรังแกลึกล้ำ เรียวขาขาวขยับเสียดสีด้วยแรงอารมณ์ ฝ่ามือบีบไหล่ของคนตรงหน้าอย่างควบคุมไม่ได้

              “ชู่ว… เธอครับ เราไม่ได้แกล้ง” กวินจูบปลอบที่พวงแก้ม เลื่อนฝ่ามืออีกข้างไปประคองท้ายทอย พลางจัดแจงให้แขนของอีกคนโอบรอบคอตัวเองไว้ “แต่กลัวเธอจะเจ็บ”

              “ก็เจ็บ…” ดวงหน้าหวานแดงเรื่อ “แต่.... ถ้าเป็นกวิน...ก็ไม่เป็นไร”

              ราวกับเป็นประโยคปลุกสัญชาตญาณการเข้าครอบครอง
              กวินพบว่าไม่สามารถหยุดตัวเองได้อีกต่อไป

              “เธอ… ทนหน่อยนะ” พูดจบร่างสูงก็ก้มลงประกบริมฝีปากก่อนจะดันนิ้วของตัวเองเข้าไปจนสุดโคน เสียงอื้ออึงในลำคอถูกเรียวลิ้นร้อนปลอบประโลมจนฟังไม่ได้ศัพท์ ทุกการกระทำดึงอารมณ์เขาพุ่งขึ้นไปสูงจนสมองพร่าเบลอ ปล่อยทิ้งร่างกายให้เป็นไปตามการชักนำของอีกคน

              เรียวนิ้วขยับเข้าออกจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะจากเบื้องล่าง กวินไม่รอช้าแล้วเพิ่มจำนวนจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ตระเตรียมขยับขยายช่องทางคับแคบ บิดคว้าน หมุนวน แตะต้องจนพบเข้ากับบางจุดที่ทำให้วาริชร้องลั่น

              “อื้อ! กวิน!”

              เจ้าของชื่อยังคงเร่งจังหวะกดย้ำภายในโพรงนุ่ม ทุกการเคลื่อนไหวถี่กระชั้นเข้ากระทบโดนจุดเร้นลับที่ทำให้วาริชแทบคลั่ง สองขาเรียวจิกเกร็งอยู่บนฟูกนอน ร่างโปร่งบิดกายขยับสะโพกเสียดสีตัวตนที่กลับมาเหยียดขยายกับหน้าท้องแกร่ง จนกระทั่งวาริชกระตุกตัวปลดปล่อยของเหลวจากกลางกายอีกครั้ง กวินก็ถอนนิ้วออก

              “อือ...”

              คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ถูกจัดท่าทางเสียใหม่ มือใหญ่สอดเข้าไปใต้ข้อพับช้อนให้สองขาขาวพาดอยู่บนลำแขนแข็งแกร่ง บังคับให้สะโพกมนลอยเด่น เปิดเปลือยให้เห็นช่องทางสีสวยกำลังบีบรัดความว่างเปล่าแทนปลายนิ้ว

              ตัวตนของกวินปวดตุบ

              “จะไม่โกหกว่าไม่เจ็บ เพราะเธอต้องเจ็บแน่ๆ” พูดชิดริมใบหูแล้วขบเม้มเบาๆ ระหว่างถูไถตัวตนเครียดขึงตรงปากทาง ครู่เดียวก็ดันปลายยอดปริ่มของเหลวสีใสให้ผลุบหายเข้าไปภายในรอยจีบแดงก่ำ

              ท้องน้อยวาริชเสียววูบ

              ความคับแน่นทำให้กวินขยับตัวส่งส่วนร้อนที่เหลือเข้าไปด้วยความยากลำบาก เนื้อนุ่มถูกแหวกออกกว้างเพื่อรองรับความใหญ่โต เอวเพรียวสวยถูกยึดไว้แน่นขณะร่างสูงสอดแทรกเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันจนสุดความยาว

              “อือ…ไม่ไหว…” ใบหน้าสวยเชิดขึ้นสูง หยาดน้ำใสคลออยู่ที่หางตาด้วยความทรมาน “กวิน”

              ถึงจะตั้งใจไว้ว่าอยากค่อยเป็นค่อยไปให้คนใต้ร่างได้ปรับตัว แต่ช่องทางที่โอบรัดเขาอยู่ก็ทำให้ความคิดพร่าเลือน อยากจะฝังทั้งหมดของเขาเข้าไปในร่องอุ่นชื้นที่กำลังตอดตุบ

              “เราต่างหากที่ไม่ไหว…” กวินเป็นฝ่ายสารภาพ มือใหญ่ลูบไล้ต้นขาเปลือยเปล่าราวกับจะขอโทษกันก่อนจะโถมกายใส่จนอีกฝ่ายหวีดลั่นกับความแนบชิดในส่วนลึก

              “อ๊า!!”

              ทั้งร่างของวาริชกระตุกสั่น ขณะอีกฝ่ายเริ่มขยับเขยื้อนเข้าออกแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เอวสอบตอกอัดความปรารถนาทั้งหมดที่มีให้เข้าขยี้จุดอ่อนไหวในทุกครั้งที่ขยับโยก เรียวขาขยับอ้ากว้างเพื่อรองรับแรงกระทำตามสัญชาตญาณอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

              โลกของวาริชสั่นคลอนและพร่าเบลอด้วยรสจูบจากริมฝีปากอุ่นชื้นที่บดเบียด ก่อนสัมผัสนุ่มหยุ่นนั้นจะกลับมาครอบครองยอดอกอย่างหิวกระหาย ดูดดึงราวกับทารกผู้หิวโหยจนมันปวดบวมในระหว่างที่ยังคงขยับสะโพกสอดใส่ลำกายอยู่ในช่องทางคับแคบของเขาด้วยความถี่รัว เสียงน่าอายที่ดังเป็นจังหวะย้ำเตือนว่าพวกเขากำลังพากันก้าวข้ามประสบการณ์ครั้งแรกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

              ทุกอย่าง เขาให้กวินไปหมดแล้ว

              จังหวะการหายใจของร่างโปร่งกระชั้นตามการเคลื่อนไหวของคนบนร่าง เรียวขาขาวเกี่ยวกระหวัดอยู่ที่บั้นเอว วาริชแอ่นตัวดันสะโพกขึ้นตอบรับสัมผัสแนบแน่นที่อีกคนป้อนให้ แกนกายที่ถูกเคลือบไปด้วยน้ำหล่อลื่นสีใสบวมเป่ง เปี่ยมไปด้วยความต้องการที่รอระเบิดออก

              “อ๊ะ... อ๊ะ… กวิน! เราจะ.. อ๊ะ..”

              เมื่อถูกกระแทกเข้าที่จุดอ่อนไหวซ้ำๆ เขาก็เป็นฝ่ายปลดเปลื้องความปรารถนาไปก่อน วาริชหวีดเสียงในลำคออย่างหมดอายในขณะที่หน้าท้องเนียนเปรอะไปด้วยหลักฐานแห่งความรู้สึก ความสุขสมที่เขาไม่เคยรู้จักทำให้ทั้งร่างบีบรัดในขณะอีกคนยังคงฝังกายอยู่ด้านใน ช่องทางคับแน่นกระตุกถี่ยิบ และในจังหวะสุดท้ายที่กวินตะปบเอวเขาเอาไว้ สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อย ฝากฝังตัวตนไว้ในร่างกายที่เขาได้ครอบครอง

              เสียงทุ้มครางอยู่ข้างหูขณะร่างกายยังแนบชิด ซึมซาบความอุ่นนุ่มที่โอบล้อมตัวเองเอาไว้
              กวินกำลังค้างตัวเต้นตุบอยู่ในส่วนลึกที่สุดของวาริช

              “รักเธอนะ… รัก…”

              “อือ… ” คำพูดหลังร่วมรักทำให้น้ำตาจากความสุขไหลหยด หัวใจของวาริชพองฟูราวกับได้รับความรักมากพอจะหล่อเลี้ยงทั้งชีวิต ร่างโปร่งกระซิบแลกคำหวานไว้ซึ่งกันและกัน “เราก็รักกวิน...”

              คนฟังยิ้มกว้างให้กับคำตอบรับที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
              เรียวขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระก่อนคนบนร่างจะก้มลงมามอบจูบนุ่มนวลให้

              กวินจะค่อยๆ ถอนกายออก พิศดูผลงานจากบทรักที่เขากับวาริชช่วยกันสร้างไปทีละส่วนตั้งแต่ปลายผมจนมาถึงเบื้องล่างที่ยังเปิดเปลือย ดวงตาวาววับจับจ้องช่องทางที่เคยปิดสนิทด้วยความอิ่มเอมในบทรักที่เพิ่งจบลง รอยจีบบวมแดงฉ่ำเยิ้มไปด้วยของเหลวขุ่นข้นที่กำลังปลิดปริ่มลงบนฟูกนอนเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าเป็นเขาเท่านั้นที่ได้ฝากฝังความเป็นเจ้าของไว้ภายในร่างของอีกฝ่าย

              เขาตระกองกอดคนตรงหน้า กระซิบคำที่อีกฝ่ายจะไม่มีวันลืมไปอีกชั่วชีวิต
              “วาริช… เธอเป็นของกวินแล้วนะ”


              ////Now


              “!!! ”


              วาริชลืมตาเบิกโพลงอยู่บนเตียงนอนหลังโตของตัวเอง
              เหงื่อเม็ดเล็กซึมอยู่บนกรอบใบหน้า หัวใจเต้นถี่อย่างควบคุมไม่ได้

              บ้าไปแล้ว ทำไมถึงได้ฝันถึงตอนนั้นได้…
              มันตั้งห้าปีแล้ววาริช มันจบไปแล้ว มันจบไปแล้วไง

              วาริชหลับตานิ่งพลางนับหนึ่งถึงร้อยในใจให้คลายความตื่นเต้นจากภาพเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นในห้องพัก มือเรียวจับปลายผ้าห่มเอาไว้แน่นพลางจับจูงความคิดของตัวเองออกมาจากอดีตแสนหวานแต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งแล้วเสยเส้นผมสีน้ำตาลของตัวเองลวกๆ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบกล่องข้างเตียง ยาเม็ดเล็กถูกกลืนลงคอไปแบบไม่ต้องมีตัวช่วย

              ช่วงนี้เขาคงเครียดมากไป ไม่งั้นคงไม่นึกถึงเรื่องเก่าเก็บได้แบบฉากๆ แบบนี้

              รัก… งั้นหรือ น่าขำ
              นายก็รู้ดีว่ามันจบลงที่ตรงไหน วาริช

              _ _ _ _

(มีต่อ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2020 20:19:35 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #3 เมื่อ18-08-2020 19:43:20 »

              ตารางงานของวาริชถูกแทรกด้วยการแคสติ้ง

              หลังจากวันที่ประชุมใหญ่ ในที่สุดนักแสดงที่ได้รับบทพระเอกก็ถูกปลดออกจากละครอย่างเป็นทางการ ถึงจะคาดการณ์ไว้แล้วแต่ขมพัสต์ก็ยังต้องวิ่งวุ่นกับการควานหานักแสดงที่ยังพอมีคิวว่างให้มาทดสอบหน้ากล้อง อย่างไรเธอก็ต้องได้เปิดกล้องในวันที่กำหนดไว้ให้ได้

              “ขอบคุณมากครับ อีกสามวันเราจะแจ้งผลไปทางผู้จัดการนะครับ” วาริชยิ้มให้นักแสดงที่เพิ่งทดสอบจบไปก่อนจะเดินกลับไปที่เก้าอี้ของตัวเอง

              หลังจากอีกฝ่ายออกไปจากห้อง ขมพัสต์ก็ลอบสบตากับเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ
              การคัดเลือกพระเอกใหม่กลางคันไม่ใช่เรื่องง่าย

              การแคสติ้งแบบเร่งด่วนมีกรรมการเพียงแค่สี่คน นอกจากวาริชที่เป็นคนเขียนบทและขมพัสต์ที่เป็นโปรดิวเซอร์แล้ว ก็มีดนัยที่เป็นผู้กำกับ และเตชินที่เป็นผู้ช่วยผู้บริหารของค่ายเข้าร่วมด้วย

              “พี่ดนัยว่ายังไงคะ” ขมพัสต์หันไปถามความเห็นผู้กำกับ “ขมว่าเขาเด็กไปหน่อย”

              “พี่ก็ว่าไม่ใช่…” ชายหนุ่มว่า “ดูไม่ค่อยตรงกับบทเท่าไหร่ จริงไหมวาริช”

              “ผมก็ว่าอย่างนั้น” เจ้าของชื่อพยักหน้า “ดูไม่เหมือนปราณชลเลยครับ”

              “เห็นด้วยครับ เขาคงไม่ใช่พระเอกของเรา” เมื่อกรรมการคนสุดท้ายอย่างเตชินสรุป ประวัติของนักแสดงหนุ่มก็ถูกใส่ลงไปในกล่องใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยเอกสารของคนก่อนหน้า

              “เฮ่อ จะว่าก็ว่านะ จริงๆ คนเก่าพี่ก็ยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่หรอก แต่นั่นก็พอปั้นได้ที่สุดแล้ว” ดนัยว่าขึ้นในระหว่างที่ทีมงานกำลังเตรียมกล้องสำหรับคนต่อไป “จริงๆ ได้โอกาสคัดอีกทีก็ดีอยู่หรอก แต่ก็หายากเหลือเกิน”

              “ก็บทเขาเขียนมาซะยากเลยนี่คะ” ขมพัสต์แกล้งแหย่ “ต้องแอบซ่อนเหตุผลอะไรไว้มากมาย แถมไม่ยอมบอกใครเลย”

              “โธ่ พี่ขม” วาริชร้อง “มันก็มีเหตุผลอยู่นะครับ”

              “แซวเล่นนน” โปรดิวเซอร์สาวหัวเราะ “พี่น่ะชอบบทปราณชลมากเลยนะ เขามีมิติมาก เทาๆ ไม่ได้ขาวสะอาดตามแบบฉบับพระเอกปกติ ตัวละครที่วาริชเขียนมีการเติบโตที่น่าสนใจ”

              “เพราะแบบนั้นทางเราถึงเลือกเรื่องนี้ขึ้นมาทำไงล่ะครับ” เตชินเสริม “อยากให้สังคมได้หลุดบ่วงละครตบจูบเสียที ความเป็นคนมันมีอะไรมากกว่านั้น”

              “ขอบคุณครับ” คนโดนชมยิ้ม “แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว”

              “แต่ขมจะดีใจมากกว่าถ้าเราหาปราณชลได้สักที” หญิงสาวหัวเราะ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับทีมงาน “ถ้าพร้อมแล้วเชิญคนต่อไปได้เลยนะคะ”

              ได้ยินแบบนั้นมือเรียวก็เอื้อมหยิบแฟ้มที่อยู่หน้าตัวเองขึ้นมาเปิดดูรายละเอียด พลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบเพื่อเตรียมตัวต่อบทให้นักแสดงคนถัดไป เพราะนอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในผู้คัดเลือกในฐานะคนเขียนบทแล้ว วาริชยังรับหน้าที่เป็นคนต่อบทให้นักแสดงเองอีกด้วย

              ชื่อและรูปที่ปรากฏอยู่ในกระดาษทำให้ร่างโปร่งชะงักงัน
              แต่นั่นก็ไม่เท่าเสียงทุ้มที่ได้ยิน มุมกระดาษที่จับอยู่ยับย่นอย่างที่เขาควบคุมไม่ได้

              “สวัสดีครับ”

              ไม่จริงน่า…

              “กวิน เจนสิริศักดาครับ”

              ชื่อที่ถูกยืนยันออกมาจากปากทำเอาแววตาสีน้ำตาลอ่อนไหววูบ ...เป็นเขาจริงๆ

              กวินโปรยยิ้มและพูดทักทายทีมงานและกรรมการคัดเลือกทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงหัวเราะนุ่มๆ ทำให้ทุกคนผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดลงได้บ้าง ใบหน้าหล่อเหลาดูเหมือนจะคมเข้มกว่าที่เคย

              “ดีใจนะเนี่ยที่กวินว่างมาแคสให้ ABC” ขมพัสต์ว่าขึ้น “ที่เข้าร่วมวันนี้ก็จะมีคุณเตชิน รองเอ็มดีของ ABC พี่ดนัย ผู้กำกับ พี่ขมเอง แล้วก็วาริชที่เป็นคนเขียนบทละครเรื่องนี้นะคะ น่าจะเคยรู้จักกันมาบ้างแล้ว”

              “ครับ” ร่างสูงตอบยิ้มๆ ขณะกวาดสายตามองทุกคน “เคยร่วมงานกันมาบ้างแล้วทุกคน”

              “หวังว่าเรื่องนี้จะได้ร่วมงานกันอีกนะครับ” ดนัยกล่าวขึ้น “บทปราณชลกวินน่าจะเอาอยู่”

              กวินยิ้มรับ “อยากมาแคสตั้งแต่คราวที่แล้วแล้วครับ แต่วันนั้นติดงานอีกที่” เขาตอบ “พอผู้จัดการแจ้งว่ามีคัดอีกรอบก็เลยรีบมา”

              “บทนี้รอกวินอยู่เลยมั้งเนี่ย” ขมพัสต์ว่ายิ้มๆ “อ่านบทมาแล้วเนาะ”

              “ครับ”

              “งั้นวาริชจะเป็นคนต่อบทให้นะคะ ถ้าพร้อมแล้วเชิญเลย” โปรดิวเซอร์ว่า

              “ครับ” วาริชวางสีหน้าเรียบเฉยอย่างที่สุดขณะลุกขึ้นยืน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องตื่นเต้นกับการพบกันในครั้งนี้ วงการบันเทิงไม่ได้กว้าง ถ้ายังทำอาชีพนี้อยู่ยังไงสักวันหนึ่งพวกเขาก็คงได้เจอกัน

              แค่ครั้งนี้มันเหนือความคาดหมายไปหน่อยก็เท่านั้น…
              ที่อีกคนจะมาแคสบทที่เขาเป็นคนเขียนขึ้นน่ะ

              เมื่อเขาขยับเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงก็ยิ้มให้เขาพร้อมพูดทักทาย
              “วาริชสบายดีนะครับ…ไม่ได้เจอกันนานเลย”

              “สบายดีครับ” วาริชยิ้มตอบก่อนจะพูดตัดบท “เริ่มกันเลยดีไหมครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

              นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายระหว่างที่เจ้าตัวยกยิ้ม “เอาสิครับ ผมพร้อมแล้ว”

              กวินผ่านสองฉากแรกไปได้ด้วยดีเหมือนกับนักแสดงอีกหลายคน
              บทของปราณชลในฉากทดสอบสุดท้ายดูเหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย นิสัยปากแข็งไม่ชอบบอกเหตุผลเบื้องลึกทำให้ตัวละครอย่างปราณชลต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้กับตัวเอง การจะถ่ายทอดความรู้สึกอึดอัดขณะตัดสัมพันธ์กับคนรักจึงต้องอาศัยทักษะการแสดงที่ซับซ้อนมากกว่าปกติ

              นักแสดงชื่อดังหลายคนถูกคัดออกด้วยฉากนี้
              แต่สำหรับใครบางคน บทละครที่ว่าดูเหมาะเจาะราวกับถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ

              “พอเถอะรดา...”

              “แค่คุณบอกฉันมาเท่านั้นปราณ ฉันขอแค่เหตุผลว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจทำแบบนี้” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขยับเข้าไปจ้องคนตรงหน้า “ความสัมพันธ์ของพวกเรามันไม่มีค่าเลยใช่ไหม”

              “มันไม่ใช่แบบนั้น” ร่างสูงปฏิเสธ

              “แล้วมันเป็นยังไง แค่คุณบอกออกมาปราณ”

              “ผมคงตอบคำถามของคุณไม่ได้” กวินเบือนหน้าหนี

              “ฉันพร้อมจะยืนอยู่ข้างคุณ”

              “อย่าพูดอย่างนั้นถ้าคุณทำไม่ได้ รดา...” กวินหลับตาลงเหมือนไม่อยากฟัง ร่างสูงสูดหายใจเหมือนจะกลืนคำพูดอะไรบางอย่างลงไปในใจ และในชั่ววินาทีที่เขาลืมตาขึ้นเพื่อจ้องมองคนตรงหน้าอีกครั้ง สายตาเด็ดเดี่ยวก็ทำให้คู่สนทนารับรู้สิ่งที่เขาได้ตัดสินใจลงไปได้โดยไม่ต้องพูด

              วาริชจ้องคนตรงหน้าตาไม่กะพริบระหว่างต่อบท ความรู้สึกฝืดเฝื่อนแล่นเข้ามาในหัวใจ
              “ปราณ คุณ...”

              “ไปซะ”

              หัวใจวาริชเจ็บแปลบราวกับโดนคำพูดจากปลายปากกาของตัวเองทำร้ายเข้าจริงๆ
              “แม้กระทั่งตอนนี้ คุณก็ไม่แม้แต่จะรั้งฉันเอาไว้ด้วยซ้ำ...”

              ดวงตาของกวินมองกลับมาด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากที่ถูกเม้มไว้แน่น ร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

              “ฉันเข้าใจแล้ว” วาริชยิ้มเยาะ “ไม่มีอะไรระหว่างเราเคยเป็นความจริง”
              พอพูดประโยคนั้นจบ วาริชก็ถูกดึงให้เข้าไปชิดกับแผ่นอกของอีกฝ่าย ใบหน้าหวานแตกตื่นกับความใกล้ชิดและการสัมผัสที่ไม่คาดคิด “คุณจะทำอะไร!? ”

              “คุณไม่รู้หรอกว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง” กวินกัดฟันกรอด “ถ้าคุณจะตัดสินผมแบบนั้น ก็แปลว่าคุณไม่รู้จักผมเลยสักนิด... และถ้าคุณเห็นว่าเรื่องระหว่างเรามันไม่จริง ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคุณคือรดาที่ผมรู้จักหรือเปล่า” สายตาแข็งกร้าวของกวินวาวโรจน์ มือแกร่งออกแรงบีบท่อนแขนของอีกฝ่ายที่ถูกจับไว้แน่นจนขึ้นรอยแดง เสียงลมหายใจหนักๆ สะท้อนก้องอยู่ในสตูดิโอที่เงียบกริบเมื่อบทพูดทั้งหมดจบลง

              สายตาของทั้งสองคนยังคงประสานกันนิ่ง ราวกับอยากจะส่งผ่านความรู้สึกที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายได้รับรู้
              “เยี่ยมมาก…” ดนัยพูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “นี่มันเยี่ยมมากๆ ”

              เพียงพริบตาเดียวอารมณ์ที่คุกรุ่นก็เลือนหายไป แววตาสีเข้มกลับมาเป็นกวินคนเดิม
              ฝ่ามือใหญ่ถูกปล่อยออก ตามด้วยคำถามอ่อนโยน “เจ็บไหม ผมขอโทษนะ”

              “... ไม่ครับ” วาริชกะพริบตาปริบ เขาปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้วตอบกลับพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ ร่างโปร่งหมุนตัวกลับไปนั่งประจำที่พลางหยิบเอกสารของอีกฝ่ายขึ้นมาเขียนด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก

              “เก่งมากเลยกวิน โดยเฉพาะฉากสุดท้ายนั่นน่ะ บีบหัวใจชะมัด” ขมพัสต์ปรบมือเสียงดัง นี่สิถึงจะสมกับเป็นนักแสดงที่เธอรอคอย “วาริชด้วย รับส่งอารมณ์กันได้ดีมากๆ ”

              “เห็นด้วยเลยครับ สองฉากแรกก็ทำได้ดีมากๆ อยู่แล้ว แต่สำหรับฉากสุดท้ายผมให้คะแนนเต็มเลย” เตชินว่าอย่างตื่นเต้น “จริงๆ ผมว่าพวกเราลงความเห็นกันได้เลย ไม่ต้องรอประกาศผลแล้วมั้งครับ วาริชเห็นด้วยไหม”

              วาริชสูดหายใจลึก รู้ดีว่าผลของการทดสอบหน้ากล้องของร่างสูงออกมาเป็นอย่างไร
              ทั้งการแสดง คำพูด ท่าทาง สายตา กวินสวมบทบาทได้ยอดเยี่ยม ไม่มีจุดไหนเลยจะติได้

              ฝ่ามือชื้นเหงื่อถูกกำเข้าหากันแน่นเมื่อต้องยอมรับออกมาจริงๆ

              “ครับ… ผมว่าเราได้ปราณชลแล้ว”

              _ _ _ _


              TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2020 19:42:02 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #4 เมื่อ18-08-2020 19:51:38 »

         Warning : NC-18 // Unsafe Sex 

         #3

           
         ///Then

         ถึง วาริช

         ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดีใช่ไหม



         เสียงกดรหัสเพื่อปลดล็อกบริเวณหน้าประตูทำเอากวินที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วงขายาวก้าวไปยังต้นเสียง เมื่อถึงที่หมายก็พอดีกับที่บานประตูหนักๆ ปิดลง

         หนุ่มหล่อยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่มปริศนาที่สวมเสื้อฮู้ดดี้สีดำสนิทกับกางเกงยีนหลวมโพรก บนไหล่สะพายเป้ไว้หมิ่นเหม่ หมวกบักเก็ตและหน้ากากที่เจ้าตัวจงใจใส่เพื่อปิดบังตัวตนเผยให้เห็นแค่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายคุ้นตา

         “รอนานไหม” คนมาใหม่ถามขึ้นพลางดึงเอาแมสก์กับหมวกที่ใส่อยู่ออก “เรากลับคอนโดไปเปลี่ยนเสื้อก่อนแล้วค่อยออกมา”

         ในที่สุดกวินก็ได้เห็นรอยยิ้มที่เขาตั้งตารออยู่เสียที

         “คิดถึง” ร่างสูงตอบไม่ตรงคำถาม คว้าตัวคนตรงหน้าเข้ามากอดจนจมอก “คิดถึงเธอ”

         “วันนี้ก็เข้าฉากด้วยกันแล้วไงเล่า” วาริชบอกอู้อี้ “ปล่อยได้แล้วน่ะคุณ”

         ได้ยินแบบนั้นก็ยังไม่วายก้มตัวลงมาแกล้งจ้องตาอีกคนให้หน้าแดงเล่น ก่อนจะขโมยจูบบนแก้มนิ่มๆ นั่นไปอีกข้างละที จนโดนวาริชตีเข้านั่นแหละ เจ้าของมือแกร่งเลยยอมปล่อยอ้อมแขน แล้วหันไปโอบเอวอีกฝ่ายระหว่างเดินเข้าไปในห้องพักแทน

         “กินอะไรมาหรือยัง เรามีข้าวหมูแดงเจ้าอร่อยเตรียมไว้ให้เธอเลยนะ”

         “อย่าบอกนะว่าหิ้วท้องรอเรา” วาริชพูดดักคอ “ทำไมไม่กินก่อน”

         ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดมอง ก่อนจะสบเข้ากับความวูบไหวในนัยน์ตาสีดำขลับ

         กวินโอบเอวอีกฝ่ายให้แน่นขึ้นอีกนิด คล้ายอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดลงไป

         “ก็เราอยากนั่งกินข้าวกับเธอ”

         คำพูดง่ายๆ จากปากอีกคนทำให้วาริชชะงักไปเล็กน้อย เจ้าตัวเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดตอบเสียงเบา แต่ถึงอย่างนั้นคนได้ยินก็ยกยิ้มขึ้นเต็มแก้ม “อื้อ… เราก็อยากกินข้าวกับเธอ”


         ระหว่างเขาทั้งคู่…เรื่องง่ายๆ อย่างการทานข้าวด้วยกันก็ยังต้องถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่เล็กๆ
         เพราะในโลกภายนอก เขาเป็นได้แค่เพียงคนรู้จัก

         นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องแสดงออก
         เพราะทุกอย่างต้องเป็นความลับ

         วาริชนั่งลงบนโซฟาหนังตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่นขณะที่เจ้าของห้องผละออกไปจัดการอาหารเย็นที่ครัว ร่างโปร่งทอดสายตามองกระเป๋าเป้และหมวกที่ใช้อำพรางตัวที่วางอยู่บนลงบนโต๊ะกระจกแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

         กระทั่งการจะมาพบหน้ากันก็ดูเป็นเรื่องยากลำบาก

         โดยปกติแล้วกวินจะใช้โอกาสหลังจากที่ผู้จัดการของตนมาส่งที่ห้องพักเรียบร้อย แอบเรียกแท๊กซี่เพื่อไปหาเขาที่คอนโดในตอนกลางดึก และกลับออกมาก่อนตารางงานในวันใหม่ของตัวเองจะเริ่ม

         ความยุ่งยากแบบนั้นทำให้วาริชเกรงใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง เพราะอย่างนั้นในบางโอกาสที่การถ่ายทำของวาริชลากยาวกว่าปกติ หรือถ้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดของกองถ่ายเหมือนวันนี้… เขาก็จะเป็นฝ่ายเป็นคนเดินทางมาหากวินที่ห้อง

         แค่ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี

         หลังจากจัดการมื้อเย็นและต่างคนต่างอาบน้ำชำระร่างกายกันเป็นที่เรียบร้อย นักแสดงดาวรุ่งทั้งสองคนก็แยกย้ายกันนอนพิงอยู่ที่คนละมุมของโซฟาพร้อมหนังสือบทละครของตัวเอง แต่ก็ยังก่ายเกยท่อนขาแตะสัมผัสกันไว้ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่เพื่อให้รู้ถึงการมีอยู่ของอีกคนเหมือนเช่นทุกวัน

         ในวันนี้กวินเป็นฝ่ายแพ้ไปก่อน หลังจากนั่งไปได้ครู่ใหญ่ร่างสูงก็ล้มเลิกความตั้งใจท่องบทแล้วหันมานอนจ้องคนตรงหน้าแทน ดวงตาคู่สวยจดจ้องอยู่กับบทละครเล่มหนาในมือ บางครั้งก็พูดออกเสียงงึมงำทวนประโยค บางคราวก็หยิบปากกาในมือมาขีดเขียนเพิ่มเติม ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู

         “ทำไมไม่ท่องบท” ในที่สุดคนที่ถูกจ้องอยู่นานก็บ่นออกมา

         “ดูเธอท่องบทสนุกกว่าอีก”

         “เพี้ยน” วาริชว่าแล้วส่ายหน้าพรืดแล้วเอาบทของตัวเองตีขาอีกคนเบาๆ สงสัยพระเอกของเรื่องจะไม่มีสมาธิท่องบทซะแล้ว
         “วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหม” เขาเสนอ

         กวินไม่ได้ตอบ แต่มองกระดาษในมือเขาแล้วทำตาโต
         “โห…บทเธอยาวชะมัด”

         “เราก็ว่าอย่างนั้น” วาริชพยักหน้ายิ้มๆ “ยาวติดกันเป็นพืดเลย ดูคิวถัดไปนี่สิ สงสัยวันหยุดครั้งนี้เราคงไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องบท”

         “เราช่วยขีดไฮไลท์ให้นะ” กวินเงยหน้าขึ้นมามองตาเป็นประกาย

         วาริชเอื้อมมือไปหยิบบทที่วางอยู่บนตักของอีกคนมาเปิดดูแล้วแกล้งเบ้หน้าใส่
         “ของคุณเองยังขีดเส้นใต้ไม่ตรงเลย”

         “คราวนี้จะตั้งใจ…เดี๋ยววาดรูปแถมให้ด้วยเลยเอ้า”

         “วาดเป็นด้วย? ”

         “โหย ดูถูกกันมาก” ร่างสูงเข่นเขี้ยว “เอามานี่เลย”

         เห็นอีกคนทำหน้ามั่นใจแถมยังแบมือขอยิกๆ วาริชเลยพยักหน้าแล้วยื่นบทของตัวเองให้ หลังอีกฝ่ายก้มลงขีดๆ เขียนๆ อยู่บนบทละครของเขาครู่เดียวก็ยกขึ้นมาถามด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
         “นี่ เป็นไง สวยจนอึ้งไปเลยใช่ไหม”

         วาริชเอียงคอ จ้องแล้วจ้องอีกกับเส้นขยุกขยุยในกระดาษ “เอ่อ… กระต่ายเหรอ”

         “ปิ๊งป่อง เห็นมั้ยว่าเราวาดรูปเก่ง”

         “เราเดา”

         “ถ้าเราวาดไม่เก่งเธอจะเดาได้ยังไง”

         “เราเดาได้จากหูมันเถอะ” วาริชแย้ง “แล้วตัวนี้อะไร”

         “อะไรเนี่ย เธอดูไม่ออกได้ไง ออกจะเหมือน”

         “แมว?”

         คนฟังหน้าเบ้ “นี่มันหมาป่าต่างหากเล่า”

         “ห้ะ” วาริชอุทานแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้ “นี่หมาอยู่ป่าไหนน่ะ ดูยังไงก็แมวชัดๆ”

         “มันเหมือนแมวตรงไหนเล่า” กวินขมวดคิ้วแล้วยกผลงานตัวเองขึ้นดูแล้วบ่นอุบอิบ และเมื่อเห็นว่าวาริชยังนั่งเม้มปากกลั้นหัวเราะอยู่ ร่างสูงเลยเอาปากกาเคาะกระดาษจึ้กๆ “ขำใหญ่เลยนะยัยกระต่าย ไหนลองมาวาดเองเลย ขอดูฝีมือหน่อยสิครับ"

         วาริชยิ้มกริ่ม คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “เอาจริงเหรอ”

         พออีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน เขาเลยคว้าปากกามาวาดรูปลงบนบทละครของอีกฝ่ายทันที

         เพียงไม่นานรูปกระต่ายหูยาวหน้าตาน่ารักกับหมาป่าขนฟูปรากฏขึ้นที่มุมกระดาษด้านหนึ่ง เจ้าของบทได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ ไม่คาดคิดว่าอีกคนจะมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปซ่อนอยู่

         “เหมือนจะยังไม่เคยบอกคุณ” วาริชหัวเราะเมื่อเห็นอีกคนอึ้งไป รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่ที่มุมปาก “เราจบนิเทศศิลป์มาน่ะ”

         “โหย เธอขี้โกง! ” กวินโวยวาย “ให้เราปล่อยไก่ไปทั้งเล้า มาสอนเราวาดรูปเลย!”

         “ไม่ได้โกงสักหน่อย” วาริชพูดกลั้วหัวเราะ เขาขยับมานั่งชันเข่าบนโซฟาโดยมีบทละครปึกใหญ่ของอีกคนวางอยู่ที่หน้าขา “ไหน เด็กชายกวินอยากวาดอะไรครับ”

         “เดี๋ยวเถอะนะ”

         “เริ่มแบบนี้ก็แล้วกัน...” วาริชวาดไปอธิบายไป ส่วนกวินก็พยายามลอกเลียนลายเส้นด้วยรูปร่างโย้เย้ ไปๆ มาๆ ไม่นานนักบทละครของทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยผลงานของอีกฝ่าย

         “นี่… เติมอันนี้ก็เป็นกระต่ายจิ๋วกับดอกไม้… ส่วนอันนี้กระต่ายกำลังกินแครอท” เขาก้มหน้าก้มตาวาดรูป ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเลยว่านักเรียนคนเดียวของตัวเองวางปากกาแล้วหันมานั่งจ้องคุณครูด้วยสายตาเป็นประกายตั้งนานแล้ว “เอ แล้วกระต่ายอะไรอีกดี…”

         “แล้วกระต่ายเขินล่ะ… เป็นยังไง”

         “หือ กระต่ายมันจะเขินได้ยังไงเล่า... ” วาริชขมวดคิ้วแล้วละสายตาออกจากกระดาษ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรต่อไป ริมฝีปากได้รูปก็ถูกอีกฝ่ายช่วงชิงสัมผัสไปเสียก่อน

         นั่งมองคนน่ารักตั้งใจวาดรูปจนเผลอขยับตัวเข้ามานั่งจ้องริมฝีปากสีสดที่กำลังขยับพูดจาม้อบแม้บใกล้ๆ ก็เกิดทนมันเขี้ยวไม่ไหว กวินเลยฉวยโอกาสขณะอีกฝ่ายเผลอขยับเข้าไปกดจูบนุ่มนวล ไม่ลืมตวัดเรียวลิ้นทักทายกลีบปากนุ่มก่อนที่จะผละออก

         “นี่ไง… กระต่ายเขินเพราะโดนคุณหมาป่าจุ๊บ”
         เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายิ้มร้ายขณะเลียริมฝีปากตัวเอง

         วาริชหน้าแดงเมื่อพบว่าตัวเองถูกรุกคืบมาจนติดโซฟาด้านหนึ่ง “ถอยออกไปเลยคุณกวิน”

         “ไม่” นัยน์ตาสีเข้มสะท้อนประกายวาววับ “คุณหมาป่าหิวแล้ว”

         “นี่คุณ! ” วาริชถลึงตาใส่เมื่อหนังสือบทในมือถูกดึงออกแล้วโยนส่งๆ ไปไว้บนโต๊ะ

         จุ๊บ!
         คนขโมยจูบเขาได้ยิ้มพราย “บ่นอีกจูบอีกนะ”

         “ถึงเราไม่บ่นคุณก็… อื๊อ! ” ริมฝีปากร้อนโฉบลงมาอีกครั้งตามที่คาด แต่คราวนี้กวินเบียดตัวเองเข้ากับอีกฝ่ายจนแผ่นหลังของวาริชแนบไปกับโซฟา เรียวลิ้นดูดดึงป้อนความหวานอย่างจงใจจะหลอกล่อให้คล้อยตามระหว่างที่ปัดป่ายสัมผัสไปทั่วสีข้าง

         ลมหายใจร้อนๆ ปะทะอยู่ที่ปลายจมูก
         “พรุ่งนี้หยุด” กวินพูดชิดริมฝีปากนุ่มนิ่ม “ขอกินคุณกระต่ายได้ไหม”

         วาริชเม้มปากกับคำขอตรงไปตรงมานั่น สายตาที่อีกฝ่ายส่งมาเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างไม่ปิดบังทำเอาใจอ่อนยวบ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากใกล้ชิดกันในครั้งนั้นรสรักที่ยังติดอยู่ในความทรงจำก็เหมือนจะคอยเรียกร้องความต้องการในส่วนลึกทุกครั้งที่มีโอกาส เฝ้ารอวันที่จะได้สัมผัสกันและกันอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยหลุบลงก่อนจะพูดตอบเสียงเบา “อย่าตะกละ...”

         พูดได้แค่นั้นแล้วริมฝีปากสวยก็ถูกกลืนกินอีกครั้ง วาริชโอนอ่อนไปตามอารมณ์ที่อีกคนมอบให้อย่างไม่ปิดบัง มือสวยรั้งใบหน้าร่างสูงเข้าหาตัว บดเบียดกลีบปากนิ่มก่อนจะเผยอปากรอการรุกล้ำอย่างเต็มใจจนเกือบเป็นการยั่วยวน เรียวลิ้นเล็กถูกดูดดึงด้วยน้ำหนักไม่เบานัก

         สองร่างกอดเกี่ยวกันไม่ห่างภายในห้องพักที่ยังเปิดไฟสว่างจ้า
         ในพื้นที่นี้… ไม่จำเป็นต้องปิดบังอารมณ์และความรู้สึกใด

         เขาเป็นของกันและกัน

         กวินสอดมือถอดกางเกงนอนออกจากเรียวขา เกี่ยวรั้งเอาชั้นในสีอ่อนให้หลุดออกจากสะโพกกลม เหลือเพียงเสื้อนอนเรียบลื่นไว้ปิดบังร่างกายครึ่งบน ไล้ฝ่ามือร้อนลูบไล้ผิวเนื้ออ่อนที่โคนขาแล้วเลื่อนตัวขึ้นไปจูบปลายคาง แวะเก็บเกี่ยวความหวานที่ริมฝีปากอิ่มจนคนโดนเอาเปรียบหอบหายใจสั่นพร่า

         “เซ็กซี่” กวินยิ้มร้ายแล้วมุดหน้าเข้าไปใต้เสื้อนอนหลวมโพรก พ่นลมหายใจร้อนผ่าวไว้บนผิวกายเนียนละเอียด จูบซับที่หน้าท้องแบนราบจากนั้นก็ไล่ขึ้นมาจนถึงแผ่นอกเรียบเนียนก่อนจะใช้ปลายลิ้นสะกิดยอดอก สัมผัสชื้นแฉะเข้าครอบครองดูดดึงจนจุดอ่อนไหวทั้งสองข้างขึ้นสีก่ำเป็นมันวาว ทำเอาวาริชต้องบิดตัวหนีด้วยความทรมาน

         กวินไม่ยอมปล่อยโอกาสอันงดงามไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาตลบเสื้อนอนอีกฝ่ายให้ขึ้นไปกองอยู่เหนือแผ่นอก เปิดเปลือยเบื้องล่างขาวโพลนเย้ายวนท้าทายสายตา กวินมองคนที่นอนปวกเปียกอยู่ใต้ร่างด้วยความหลงใหลก่อนจะออกแรงพลิกให้อีกคนนอนตะแคงไปกับโซฟานุ่ม รั้งกางเกงของตัวเองลงไปอยู่ที่สะโพกแล้วเข้าทาบทับร่างแกร่งของตนกับแผ่นหลังเนียน ร่างสูงเกลี่ยปลายจมูกเข้ากับลาดไหล่พร้อมกดประทับจูบในทุกตารางนิ้ว

         “อ๊ะ…”

         วาริชหลับตาแน่นเมื่ออีกคนเอื้อมมือมากอบกุมลำกายของเขา เร่งรัวมอบจังหวะหนักหน่วงให้ขณะที่เบียดส่วนอุ่นร้อนเข้ามาที่ซอกขา ปลุกเร้าอารมณ์ให้กลางกายของเขาให้ขยายเหยียด คลึงเคล้าของเหลวสีใสจากปลายยอดเข้ากับตัวตนจนเกิดเสียงหนึบหนับฟังแล้วดูหยาบโลน จนเมื่อถึงที่สุดของอารมณ์ วาริชก็ปล่อยให้หยดน้ำนมขาวขุ่นอาบย้อมฝ่ามือของอีกคน

         “อื๊อ…กวิน” เสียงพร่าเรียกเขาให้สบเข้ากับดวงตาหวานที่มองมาด้วยความสุขสมปนทรมานราวกับจะท้าทายสัญชาตญาณดิบภายใน เสี้ยวหน้าสวยถูกประคองให้หันมารับจูบลึกซึ้ง ก่อนคุณหมาป่าเจ้าเล่ห์จะแอบลากสัมผัสไปตามเรียวขา บังคับให้อีกคนตั้งเข่าขึ้นก่อนจะขยับเข้าไปแทรกซ้อนกายคลอเคลียอยู่ที่ด้านหลัง

         นิ้วหนาถูกเคลือบด้วยของเหลวที่เพิ่งปลดปล่อยจนเปียกลื่น ความคับแน่นยามส่งนิ้วเข้าไปขยับขยายยังคงทำให้ร่างกายเขารุ่มร้อนได้เหมือนทุกครั้ง เสียงครางแผ่วที่ดังขึ้นราวกับเรียกร้องให้เข้าสัมผัสกับส่วนลึก กวินวนเวียนอยู่กับโพรงผนังนุ่ม เสาะหาจุดอ่อนไหวเร้นลับในร่าง เมื่อพบก็กดย้ำจนอีกคนต้องบิดร่างด้วยความเสียวซ่าน ช่องทางภายในเกร็งตัวตอดตุบถึงโคนนิ้ว

         เมื่อพบว่าอีกคนพรั่งพร้อมสำหรับขั้นต่อไป กวินก็ถอนนิ้วที่เคยจมหายเข้าไปออกจากรอยจีบอุ่นนุ่ม วาริชค้ำศอกตัวเองเข้ากับโซฟาขณะท่อนแขนใหญ่กอดรัดร่างเขาให้เบียดเข้าหาแผ่นอกเปลือยเปล่า ปลายนิ้วกวินขยี้อยู่ที่ยอดอกแดงก่ำจนแผ่นหลังของเขาเหยียดโค้ง ส่งผลให้สะโพกกลมกลึงถูกดันไปแนบชิดกับสัดส่วนใหญ่โตของคนที่ซ้อนกายอยู่ทางด้านหลัง ท่อนขาถูกบังคับให้อ้าออกกว้างเพื่อเตรียมรับการสอดประสาน

         กวินกดจูบใบหูพลางแทรกตัวเข้ากับรอยแยกฉ่ำชื้น กระซิบถ้อยคำที่ทำให้วาริชหน้าแดงซ่านขณะกดตัวตนให้จมลึก “นี่… ก็เหมือนกระต่าย”

         “อ๊ะ…” ร่างโปร่งตัวงอด้วยความคับแน่น ท่วงท่าน่าอายในการร่วมรักทำให้สัดส่วนแข็งแรงเข้ามาได้ไกลกว่าที่เคย แค่อีกฝ่ายขยับเสียดสีเบาๆ ความรู้สึกก็แล่นพล่านไปทั่ว “อ๊ะ…กวิน.. มันลึก..”

         คนด้านหลังส่งเสียงในลำคอขณะแทรกตัวเข้าไปจนสุด ช่องทางของวาริชตอดตุบเมื่อปลายยอดแนบชิดอยู่กับจุดอ่อนไหวภายในร่าง เอวเพรียวถูกกอบกุมไว้แน่นขณะกวินเคลื่อนกายเข้าออกเป็นจังหวะเนิบนาบ ผิวเนื้อเบื้องล่างเสียดสีกันจนขึ้นสีแดงเรื่อ

         “อ่ะ.. อ๊ะ... อ๊ะ…” วาริชหลุดเสียงครางตามจังหวะที่เริ่มกระชั้นถี่ สะโพกสอบบดย้ำฝังแน่นจนคนถูกกระทำแทบทรงตัวอยู่ไม่ไหว กวินขบเม้มหลังคอระบายอารมณ์ปรารถนาระหว่างมอบบทรักร้อนแรง ก่อนจะตวัดวางฝ่ามือบนช่วงเอวกระแทกกระทั้นเข้าไปในส่วนลึกจนราวกับจะสัมผัสตัวตนอีกฝ่ายได้ผ่านทางหน้าท้องแบนราบ

         สองร่างขยับโยกไปท่ามกลางพายุอารมณ์ที่ยากจะมอดดับ มือใหญ่ฟอนเฟ้นอยู่ที่สะโพกนวลเนียนลื่นมือ วาริชตัวโยนอยู่ภายใต้การควบคุมของอีกฝ่าย ฝ่ามือจิกเกร็งอยู่กับผ้าห่มเนื้อนิ่มในขณะที่เรียวขาขาวขยับออกกว้างเพื่อรองรับตัวตนแข็งขืนที่ขับเคลื่อนเข้าออกถี่รัวอยู่ในกาย จุดอ่อนไหวในส่วนคับแคบโดนบดขยี้อย่างไม่ปรานี เสียงเนื้อกระทบเนื้อยิ่งพาให้ทั้งคู่เข้าใกล้ปลายทางมากขึ้นทุกที

         “อ๊า! ”

         อีกคนแนบหน้าเข้ากับโซฟาตัวใหญ่ขณะกระตุกตัวหลั่งหยาดอารมณ์จนเปรอะเปื้อนไปทั้งหน้าขา ภายใต้แสงไฟสว่างโร่ของห้องพัก ภาพของวาริชที่ทิ้งสะโพกโก่งสูง อวดช่องทางสั่นระริกที่มีความเป็นชายของเขาสอดคาอยู่ภายในยิ่งทำให้ความปรารถนาในจิตใจเขาร้อนรุ่ม กวินยึดสะโพกมนไว้แล้วออกแรงกระแทกส่งตัวเองเข้าไปในส่วนลึกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหลั่งความอุ่นร้อนเข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มที่บีบรัดตัวตน

         กวินเชยคางอีกฝ่ายให้หันกลับมารับจูบเป็นรางวัล
         ในขณะที่วาริชเหมือนเพิ่งจะหาจังหวะการหายใจของตัวเองเจอ

         “เก่ง” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากระซิบชม ก่อนจะดึงให้ร่างอ่อนแรงลงมานอนตะแคงแล้วซ้อนหลังกอดเอาไว้จนจมอก ริมฝีปากอุ่นบรรจงจูบลงที่หลังคออย่างรักใคร่

         “อื๊อ” วาริชร้องประท้วง “ออกไปได้แล้ว”

         “ขออีกนิด...” กวินพูดออกมาหน้าตาเฉย แถมยังแกล้งขยับตัวเนิบนาบอยู่ในช่องทางฉ่ำชื้นจนวาริชต้องกลั้นเสียงคราง ของเหลวที่ทิ้งไว้ไหลเปรอะออกมาตามซอกขา “คุณกระต่ายยังอยากให้เราอยู่ในนี้อยู่เลยนี่นา”

         เมื่อสัมผัสได้ถึงท่อนกายที่เหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นอยู่ในทางแคบ ร่างบางก็ร้องเสียงหลง
         “เดี๋ยว กวิน! พอก่อน… อ๊ะ! ”

         คนขี้แกล้งกระแทกกายเข้าไปที่จุดอ่อนไหวให้อีกคนสะท้านวูบ กวินเอื้อมมือไปปลดกระดุมให้คนที่นอนอยู่ด้านหน้า รั้งเนื้อผ้านิ่มลงมาให้พ้นหัวไหล่กลมมนแล้วสัมผัสผิวเนื้อเปลือยเปล่า กดจูบคลอเคลียอยู่ที่หลังคอราวกับสิ่งที่ได้นั้นยังไม่เพียงพอ

         ช่องทางของวาริชวูบโหวงเมื่อร่างกายอ่อนเปลี้ยถูกพลิกกลับให้มาเผชิญหน้ากับสายตาวาววับ กวินก้มลงครอบครองริมฝีปากนุ่มนิ่ม ลากไล้ปลายลิ้นลงมาถึงแผ่นอกแล้วเข้าดูดดึงยอดอกที่ชูชันท้าทายสายตา บดเบียดขยี้เคล้นคลึงจนมันขึ้นสี ร่างสูงแยกเรียวขาให้กว้างออกจนของเหลวขาวขุ่นไหลเยิ้มย้อนออกมาจากปากทางแดงก่ำ เขาพาดขาข้างหนึ่งไว้กับบ่าจากนั้นก็ดันกายสอดกลับเข้าไปในรอยจีบคับแคบที่พยายามหุบตัวเข้าหากันอีกครั้งจนวาริชสะดุ้งเฮือก

         “อ๊า! ”

         บนโซฟาตัวเดิม บทรักครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น

         หลังจากอาหารมื้อใหญ่ของหมาป่าเจ้าเล่ห์จบลง ร่างสูงก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นมาจัดการเสื้อผ้าที่ถูกถอดกองระเกะระกะอยู่ตามพื้นห้อง กวินก้มลงหยิบบทละครทั้งสองเล่มที่หล่นอยู่ข้างโซฟาขึ้นมาวางบนโต๊ะก่อนจะทอดสายตามองรูปวาดที่เรียงแถวอยู่บนหน้ากระดาษแล้วยกยิ้มร่า “กระต่ายเต็มเลย”

         “ต้องโดนผู้กำกับดุแน่” วาริชที่นอนคว่ำอยู่ในกองผ้าห่มพูดเสียงอู้อี้

         “เล่มของเรานี่ฝีมือเธอหมดเลยนะ”

         “คุณก็วาดในบทเราเหมือนกันนั่นแหละ” ร่างโปร่งย้อน “แถมไม่สวยด้วย… ใครเห็นเข้าเสียชื่อแย่”

         “งั้นเธอจะแก้ตัวยังไงดีน้า… บอกว่าแฟนวาดให้ดีไหม”

         “บอกได้ที่ไหนเล่า…” วาริชบ่นอุบอิบ “เรายอมเป็นคนวาดรูปไม่สวยก็ได้”

         “น่ารัก” กวินก้มลงไปจูบหน้าผากคนที่นอนอยู่ “อย่างน้อยก็มีตัวแทนเธออยู่ใกล้ๆ เวลาเราทำงาน ดูรูปกระต่ายแทนคนวาดก็พอจะหายคิดถึงไปได้บ้างแหละเนอะ” ร่างสูงเปรย

         “เราก็ต้องจ้องรูปขยุกขยุยของคุณน่ะเหรอ” วาริชแกล้งแหย่

         “ยัยตัวดี” กวินเข่นเขี้ยว “เดี๋ยวจะโดนจับกินอีกรอบ”

         ได้ยินแบบนั้นเจ้ากระต่ายก็ทำตาโต มุดตัวลงไปใต้ผ้าห่มจนเป็นก้อนกลม
         “พอแล้วๆ ไม่เอาแล้วนะ ช้ำไปหมดแล้วเนี่ย”

         กวินหัวเราะเสียงใส “มาเร็วครับ เดี๋ยวพาไปอาบน้ำ… ไม่เหนียวตัวเหรอ เลอะไปหมด”

         ใบหน้าสวยง้ำงอ “เพราะใครเล่า! ”

         “ถ้าไม่ออกมา… จะอุ้มย้ายไปในห้องนอนแล้วนะ” คนถามแกล้งก้มลงไปถามใกล้ๆ ใกล้อีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นประกาย “ไหนๆ พรุ่งนี้ก็วันหยุด เราอยากเล่นกับคุณกระต่ายให้หนำใจ”

         ได้ยินแบบนั้นวาริชก็หอบผ้าห่มติดตัวแล้วผุดลุกขึ้นเดินพรวดๆ เข้าห้องน้ำไปอย่างอัตโนมัติ ทิ้งให้นักแสดงหนุ่มหัวเราะไล่หลังมาอย่างอารมณ์ดี


         หมาป่าตัวนี้จะตะกละเกินไปแล้ว!


        _ _ _ _

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2020 22:49:22 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #5 เมื่อ18-08-2020 19:54:50 »

           ///Now


           “วาริช”

           “...”

           “นี่…วาริช เหม่อแล้ว! ”

           คนโดนเรียกชื่อเสียงดังตกใจจนปล่อยปากกาหลุดมือ สมุดโน้ตตรงหน้าถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว
           “อ๊ะ… ครับ ครับพี่ขม”

           “พี่จะถามว่าจะเอากาแฟไหม จะให้ทีมงานไปซื้อน่ะ”

           “อ๋อ.. อเมริกาโน่เย็นครับ” วาริชตอบเมนูประจำตัว “อ้ะ.. ขอเป็นดับเบิ้ลช็อตด้วยดีกว่า”

           ขมพัสต์หันไปสั่งทีมงานคนหนึ่งก่อนจะกลับมาพูดกับชายหนุ่มต่อ “นั่งเหม่อแถมสั่งกาแฟแบบนี้ เมื่อคืนนอนน้อยอีกล่ะสิ”

           “ก็… นิดหน่อยครับ”

           “ไม่ได้เลยนะ ยิ่งช่วงนี้งานยุ่ง ต้องพักผ่อนนะรู้ไหม” ขมพัสต์บ่นปอดแปด “เออ… พูดไปอย่างนั้นน่ะแหละ พี่ก็ทำไม่ได้หรอก เมื่อวานกว่าจะได้นอนก็ตีสามแล้ว”

           “แล้วมาว่าผมนะพี่ขม” วาริชยิ้ม “ตัวเองก็ไม่ต่างกันเลยนี่ครับ”

           ยิ่งใกล้วันเปิดกล้องทุกอย่างก็ยิ่งวุ่นวายไปหมด ขมพัสต์กับดนัยหัวหมุนอยู่กับการจัดเตรียมทีมงาน สถานที่ และคิวถ่ายทำ ในขณะที่วาริชอยู่ในระหว่างปรับบทขั้นสุดท้าย และทุกคนยังต้องแบ่งเวลาแวะมาที่สตูดิโอตามตารางการเวิร์คชอปของนักแสดงที่ถูกจัดไว้เกือบทุกวันเผื่อว่าจะต้องมีการแก้ไขอะไรให้เหมาะสมมากขึ้นอีกด้วย

           ความเครียดในแต่ละวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมันส่งผลให้การนอนของเขาไม่ค่อยดีนัก
           ตัวช่วย… ก็เริ่มจะไม่ค่อยได้ผลเสียแล้ว...

           “เอ้อ… แล้วที่ทางการตลาดขอให้เปลี่ยนบทของอัญญาน่ะ วาริชตอบไปว่ายังไง” ขมพัสต์ถามอย่างนึกขึ้นได้ “ที่บอกว่าอยากเพิ่มฉากที่ทำให้ปราณชลกับทิพรดาทะเลาะกัน”

           “ปฏิเสธไปแล้วล่ะครับ”

           ขมพัสต์ตบเข่าฉาด “มันต้องแบบนี้สิ จู่ๆ จะมาใส่บทเรี่ยราดในละครเราได้ยังไง”

           “เขาคงคิดว่ามันน่าจะเพิ่มเรตติ้งได้... ใครๆ ก็คงอยากให้มีบทนางร้ายจริงๆ ละมั้งครับ”

           “เฮ่ออ… คิดอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่วงการละครจะมูฟออกไปจากวังวนเดิมๆ ได้สักทีละเนี่ย”

           วาริชยิ้มตอบคำบ่นของอีกฝ่าย “ก็ต้องอาจจะเริ่มที่เราทำตัวดื้อแบบนี้แหละครับ”

           เขาถอนหายใจ โดยปกติแล้วหน้าที่หลักของคนเขียนบทคือการดัดแปลงบทประพันธ์ดั้งเดิมให้เหมาะสมกับการทำเป็นละครที่มีคนแสดงจริงๆ เพื่อออกสู่สายตาผู้ชม การเพิ่มบทเพื่อให้เรื่องราวในละครนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคอมเมนต์ลงมาจากฝ่ายการตลาดด้วยแล้วล่ะก็ ทีมเขียนบทคงต้องรีบทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว

           แต่ในช่วงหลัง การเปลี่ยนแปลงบทเพื่อเอาใจผู้สนับสนุนนั้นมีมากเกินไปจนวาริชเองยังแปลกใจ ไม่ใช่ว่าการถ่ายทอดแก่นของเรื่องคือสิ่งที่สำคัญที่สุดหรืออย่างไร ทำไมทุกคนถึงยอมแลกบทที่สร้างมากับมือเพื่อทำให้คนกลุ่มหนึ่งพอใจกันนะ

           เขารู้ว่าอำนาจเงินมันหอมหวาน.. แต่เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นกับงานชิ้นนี้เป็นอันขาด

           บทละครของวาริชถูกเขียนขึ้นด้วยความตั้งใจให้ออกมาเป็นละครอยู่แล้วตั้งแต่แรก หากการแนะนำนั้นทำให้เนื้อเรื่องของเขาสมบูรณ์ขึ้นเขาก็ยินดีรับฟัง แต่การเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมบทให้มีผลต่อเส้นเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้

           ยิ่งจะเปลี่ยนนิสัยของตัวละครเขาด้วยน่ะหรือ.. อย่าได้หวังเลย

           “อ้าว น้องมีมี่นางเอกของเรามาแล้ว” ขมพัสต์ว่าแล้วลุกขึ้นต้อนรับ วาริชเลยพลอยยืนขึ้นตามไปด้วย

           “สวัสดีค่ะพี่ๆ ” สาวน้อยน่ารักผู้รับบททิพรดาตอบเสียงใส “วันนี้ฝากตัวด้วยนะคะ”

           “พวกพี่สิต้องฝากมีมี่” ขมพัสต์หัวเราะ “เวิร์คชอปวันนี้ปล่อยของให้เต็มที่เลยนะ”

           “จะพยายามเต็มที่เลยค่ะ”

           วาริชยิ้ม “ยังไงก็ฝากบททิพรดาด้วยนะครับ”

           “ค่ะพี่วาริช มี่ดีใจมากเลยนะคะที่ได้บทนี้ รดาเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากๆ หวังว่ามี่จะถ่ายทอดออกมาได้ตามที่เชียนไว้”

           “แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมเชื่อฝีมือคุณมีมี่” วาริชตอบอย่างมั่นใจ ทำให้นักแสดงสาวรู้สึกเขินขึ้นมาอยู่เหมือนกัน รอยยิ้มกับแก้มแดงปลั่งทำให้เธอดูอ่อนหวานขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

           ถึงแม้จะผ่านการเป็นนางเอกละครวัยรุ่นมาแค่สองเรื่อง แต่การทดสอบหน้ากล้องก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอคือทิพรดา นางเอกของเรื่องนี้จริงๆ

           บทบาทของทิพรดาที่วาริชเขียนขึ้นอาจดูเผินๆ แล้วเหมือนผู้หญิงหัวอ่อนที่มีภาพลักษณ์นุ่มนิ่ม แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน ออกจะตรงกันข้ามกับตัวปราณชลที่เป็นพระเอกเสียด้วยซ้ำในบางแง่มุม วาริชตั้งใจให้ทิพรดาเข้มแข็งและเด็ดขาดในการตัดสินใจ รักและเคารพตัวเองอย่างที่เขาอยากจะทำได้ในสักวัน

           ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทละครนี้ มันมีเศษเสี้ยวของตัวเขาแฝงอยู่ในทุกตัวอักษร
           ทั้งเพื่อเติมเต็ม และลบล้างความรู้สึกบางอย่างในใจ

           ผ่านไปอีกเพียงครู่เดียว เสียงของคนมาใหม่ก็ทำให้วาริชเหมือนถูกกระชากกลับมาในโลกแห่งความจริงอีกครั้ง

           “สวัสดีครับทุกคน ปราณชลมาแล้ว”

           กลุ่มที่กำลังคุยกันอยู่หันไปทักทายนักแสดงหนุ่มที่กำลังหิ้วถุงเบเกอรี่เจ้าดังพะรุงพะรังเต็มสองมือ
           “ผมเอามาฝากทุกคนครับ เผื่อยังไม่ได้ทานข้าวกัน ครัวซองต์เจ้านี้อร่อยมากเลย”

           “นี่เป็นแผนทำให้ทุกคนอ้วนใช่ไหมฮึ” ขมพัสต์แซวยิ้มๆ “เอ้า เอามาไว้นี่ก่อน”

           ถุงขนมกลิ่นหอมถูกวางตรงหน้าวาริช ดวงตาสีเข้มสบเข้ากับนัยน์ตาสีสวยในวินาทีหนึ่ง จากนั้นค่อยไปหยุดสายตาที่กาแฟดำแก้วใหญ่ที่วางอยู่ด้านข้าง
           “วาริชรับสักชิ้นไหมครับ ทานกับกาแฟน่าจะเข้ากันอยู่นะ” กวินถามขึ้น

           “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” วาริชยิ้มตอบ “เชิญทุกคนเลยครับ”

           “มีมี่ก็ขอสละสิทธิ์ค่ะ ช่วงนี้ต้องงดแป้ง” นางเอกสาวพูดอย่างเสียดาย

           กวินทำหน้าเศร้า “อ้าว ขนมผมเก้อเลยสิทีนี้”

           “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่มีถ่ายแบบ พี่จัดการให้เอง” ขมพัสต์พูดเรียกเสียงหัวเราะ

           เมื่อเห็นดังนั้นวาริชก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับแก้วกาแฟและสคริปต์ในมือของตัวเอง ปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่นั่งคุยกันต่อไป จนนักแสดงที่เข้าร่วมการอ่านบทในวันนี้มาถึงกันครบนั่นแหละ เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

           “โอเค… อย่างที่พวกเรารุ้กันตั้งแต่ตอนแคสติ้งว่าเรื่องนี้คงต้องใช้พลังในการแสดงมากกว่าปกติสักหน่อย พี่เลยจัดเวิร์คชอปมาให้ซะแน่นเลย สามอาทิตย์” ดนัยที่เป็นผู้กำกับพูดยิ้มๆ ก่อนจะถามขึ้น “ทุกคนอ่านบทของตัวเองกันมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ”

           “ดีมากครับ” เขาชมเมื่อเห็นทุกคนพยักหน้า แล้วให้ขมพัสต์พูดต่อ

           “งั้นพี่ขอแนะนำตัวละครหลักก่อน พระเอกของเรื่อง ปราณชล จะรับบทโดยน้องกวิน นางเอกคือทิพรดา จะรับบทโดยน้องมีมี่ ส่วนผู้หญิงอีกคนของปราณที่ชื่ออัญญาจะรับบทโดยน้องจอย กลุ่มเพื่อนชายของปราณชลที่ชื่ออิฐกับสรณ์ จะรับบทโดยแท๊ปกับกาย ปรายฝนเพื่อนของทิพรดาจะรับบทโดยน้องแยมนะคะ” ขมพัสต์ไล่ชื่อ “หกคนนี้จะเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง เพราะอย่างนั้นช่วงเวิร์คชอปเราจะเจอหน้ากันตลอด เอาให้เบื่อไปเลยเนาะ”

           ดนัยพยักหน้า “หลายๆ คนคงเคยแสดงหรือได้ยินละครประเภท Sit-Com หรือ Situation-Comedy กันมาบ้าง แต่สำหรับโปรเจ็กต์ ด้วยรัก นี่พี่อยากจะเรียกว่ามันเป็น Situation-Drama เพราะเนื้อเรื่องอาจจะดูหนักไปสักหน่อย ต้องทำการบ้านกันเยอะอยู่เหมือนกัน ถ้ามีความเห็นอะไรก็บอกทีมงานได้เลยนะครับ เรามีคนเขียนบทเรื่องนี้อยู่กับตัวตลอดโปรดักชั่น” เขาผายมือมาทางวาริช “เชิญต่อเลย”

           “ขอบคุณครับ” วาริชยิ้ม

           “ในช่วงแรกเราจะเริ่มกันที่การ read through บทละครเพื่อทำความคุ้นเคยกันก่อน โดยส่วนตัวแสดงหลักอ่านส่วนของตัวเอง แล้วผมจะเป็นคนอ่านบทเสริมอื่นๆ ให้ และหลังจากจบทุกสองฉาก เราจะมาตีความตัวละครร่วมกัน เผื่อว่านักแสดงท่านใดมีความเห็นเพิ่มเติมนะครับ”

           วาริชกวาดตามองสมาชิกรอบห้อง “ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยไหมครับ”


           _ _ _ _


           “หินมากเลยพี่มี่ จอย แยมไม่เคยเจอเวิร์คชอปอะไรยากขนาดนี้เลย” นักแสดงสาวนั่งพิงเก้าอี้คุยกับเพื่อนร่วมงานอย่างหมดแรง “วิเคราะห์กันละเอียดมาก แต่ก็สนุก!”

           “พี่วาริชคือเขียนบทดีมากกก” จอยว่า

           “และก็ดีมากกกก ถึงจะดุไปหน่อย แต่พอยิ้มมาให้ทีก็คือละลายไปเล้ยยยยย” แยมลากเสียง ทำเอาอีกสองคนที่เหลือหัวเราะกันคิกคัก

           “ทีมนี้น่ากลัวทั้งทีมเลย พี่ดนัย พี่ขม วาริชเห็นนิ่มๆ ยิ้มๆ เก็บละเอียดทุกเม็ดเลย กว่าพี่จะผ่านตั้งสามรอบ แค่ฉากที่คุยกับปราณชลน่ะ”

           “หูย พูดละขนลุกเลยพี่มี่ แต่จะว่าไปพี่กวินก็เก่งมากเลยนะคะ อ่านบทรอบแรกก็ตีความได้ขนาดนั้น เหมือนรู้เลยว่าปราณชลคิดอะไรอยู่” จอยออกความเห็นบ้าง “เห็นแล้วต้องรีบมานั่งอ่านทวนบทตัวเองเลยเนี่ย”

           “นั่นสิ” แยมนึกขึ้นได้ “ดีนะพวกเราได้พักตอนพวกผู้ชายต้องไปทำเซสชั่นแยก”

           “สงสัยกลัวไม่สนิทกัน… แต่จอยว่ากลายเป็นแก๊งป่วนแหงเลยดูทรงแล้ว ทั้งสามคนเคมีเข้ากั๊นเข้ากัน” คนพูดหัวเราะร่วน

           “ก็เขาต้องเล่นเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันนี่นะ เหมือนอย่างอีกสองสามวันพี่ก็ต้องมีเวิร์คชอปกับแยมสองคนนี่ไง” คนรับบทนางเอกของเรื่องที่เพิ่งเดินกลับมาจากไปหยิบแก้วน้ำของตัวเองว่าขึ้น ก่อนจะสะดุดกับกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง “อุ๊ย.. นี่บทใครน่ะ วาดรูปไว้น่ารักเชียว”

           “เอ๋? กระต่ายเหรอ” จอยชะโงกหน้ามามองบ้าง “น่ารักจริงๆ ด้วยแฮะ”

           “อ๋อ…ของพี่กวินน่ะค่ะ” แยมตอบเสียงใส ทำเอาอีกสองคนมองกลับมาด้วยสายตางงๆ “แยมเคยเล่นเรื่องอุ่นไอรักกับพี่กวินค่า ตอนนั้นที่หน้าปกพี่เขาก็มีรูปกระต่ายวาดไว้แบบนี้แหละ” สาวน้อยเฉลย

           “จริงๆ แล้วพี่กวินน่ะ... วาดรูปเก่งมากเลยนะคะ”

           _ _ _ _





           TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2020 20:44:12 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #6 เมื่อ18-08-2020 20:08:27 »

 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #7 เมื่อ18-08-2020 20:19:04 »

           #4




           ถึง วาริช


           เราจะจับมือแล้วผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน





           ///Then



           “กวิน”

           “ครับพี่แพร” ชายหนุ่มขานรับผู้จัดการของตนขณะนั่งกดโทรศัพท์ตอบข้อความใครบางคนอยู่ที่เบาะหลัง อุณหภูมิเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ยี่ห้อหรูทำให้บรรยากาศรถติดดูไม่น่าโมโหเกินไปนักในช่วงค่ำของวันธรรมดาแบบนี้

           “ช่วงนี้… เราแอบคบใครอยู่หรือเปล่า” แพรวาที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถไปด้วยเปรยขึ้นลอยๆ

           เจ้าของมือใหญ่หยุดชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหัวเราะแล้วย้อนถามตาใส
           “ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะครับ”

           “เห็นพักนี้สดใสเป็นพิเศษ”

           “อ๊ะ เหรอครับ” กวินถาม “ผมก็ว่าปกตินะ”

           “เหรอ”

           “เพราะที่กองถ่ายมีเรื่องสนุกๆ ทุกวันเลยมั้งครับ” นักแสดงหนุ่มว่า “นานๆ ทีจะได้ถ่ายกับคนที่อายุไล่เลี่ยกันเยอะขนาดนี้”

           “ดีแล้วๆ” เธอยิ้มกับคำตอบของอีกคน ทั้งปฏิกิริยาของศิลปินในความดูแลไม่ได้เกินความคาดหมายของเธอไปสักเท่าไร

           “พี่แพรไม่ต้องกังวล” กวินยิ้ม “ผมไม่ได้กำลังคบใครทั้งนั้น ยิ่งช่วงนี้ถ่ายละครหนัก จะเอาเวลาที่ไหนไปเจอกันล่ะครับ”

           “นั่นสิ… แถมตอนนี้เรากำลังอยู่ในขาขึ้น ถ้ามีนักข่าวได้กลิ่นเข้าคงได้โดนรุมทึ้งเอาแน่” แพรวาพูดดักคอ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าช่วงหลังๆ เด็กในความดูแลของตัวเองมีพฤติกรรมแปลกไปขนาดไหน ถึงกวินจะเป็นเด็กร่าเริงสดใสอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่เธอก็ไม่เคยเห็นเขามีความสุขมากเท่านี้มาก่อน

           มันจะมีสักกี่เรื่องกันที่ทำให้โลกกลายเป็นสีชมพูขึ้นมาได้ขนาดนี้

           “พี่แค่ถามไปอย่างนั้นเอง” แพรวาว่า ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “อ้อ… วันก่อนพี่ลืมเอาแจ็คเก็ตงานเช้าใส่ไว้ในกระเป๋าไว้ให้ เลยวนรถกลับจะเอาขึ้นไปให้ที่ห้อง แต่พอไปถึงก็เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ยืนเคาะตั้งนานก็ไม่ออกมาเปิด ออกไปไหนมาหรือเปล่า”

           “ผมอาจจะหลับเพลินไปหน่อย แล้วพี่แพรเข้ามาไม่ได้เหรอครับ”

           คนฟังแค่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกับประโยคก่อนหน้า “กวินเปลี่ยนรหัสประตูเหรอ”

           “อ้อ ใช่ครับ” กวินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ผมลืมส่งให้พี่แน่เลย พอดีวันก่อนแบตเตอรี่ที่ล็อกมันหมด พอให้ช่างมาเปลี่ยนแล้วผมเลยรีเซทรหัสใหม่”

           “ส่งให้ผู้จัดการอย่างฉันด้วยสิยะ” แพรวาพูดเสียงยุ่ง “ให้รหัสใหม่ใครไปบ้างแล้วเนี่ย”

           กวินหัวเราะ “โอ๊ย ไม่ได้ให้ใครเลยครับ เพิ่งเปลี่ยนรหัสจริงๆ”

           “งั้นเหรออ” แพรวาลากเสียง

           “พี่ว่าผมจะว่างไปคบใครได้”

           “จ้า จ้า” แพรว่าตอบแบบที่ใจไม่เชื่อเลยสักนิด
           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในรอบสองเดือนที่เธอพบว่านักแสดงหนุ่มหายไปจากห้องพักทั้งคืน

           ทุกเรื่องทำให้เธอมั่นใจว่าเด็กในสังกัดกำลัง คบ อยู่กับใครสักคนที่เธอไม่รู้ตัวตน

           “ผมคงไม่เก่งขนาดปิดพี่ได้หรอกมั้งครับ” กวินยิ้มพราย “ใครจะคบกันได้เงียบขนาดนั้น”

           แพรวาเลิกคิ้วที่อีกฝ่ายเป็นคนพูดออกมาแบบนั้น ท่าทางจะมั่นใจเอามากๆ

           “เอาเป็นว่าจะทำอะไรก็ระวังตัวไว้หน่อยแล้วกัน” หญิงสาวหัวเราะติดตลก ยังพอจะใจเย็นอยู่ได้เพราะเธอรู้ว่ากวินไม่ใช่คนโง่ ถ้าเด็กหนุ่มเก็บร่องรอยทุกอย่างจนผู้จัดการอย่างเธอก็ยังตามสืบไม่ได้ นักข่าวก็คงไม่ระแคะระคายเช่นกัน เพราะฉะนั้นเธอจะทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งไปแบบนี้ก่อนก็ได้ “เอ้อ.. มีงานอีเวนต์ร้านเครื่องสำอางกับละครติดต่อมาแน่ะ คราวนี้เป็นของค่าย XYZ”

           “อีเวนต์ถ้าพี่แพรโอเคผมก็โอ ว่าแต่ละครนี่ยาวไหมครับ แคสเมื่อไหร่”

           “เป็นบทสมทบน่ะ ไม่ต้องแคส เป็นบทพระรองนกๆ ให้คนดูชุ่มชื่นหัวใจ” เธอสรุปง่ายๆ “เปิดกล้องหลังจากเรื่องที่ถ่ายอยู่นี่จบ… ก็อีกประมาณสองเดือน”

           “อ้อ…” กวินพยักหน้า “ก็ได้อยู่นะครับ พี่แพรส่งบทมาให้ผมอ่านเลยก็ได้”

           “ปริ้นมาแล้วจ้า อยู่ในที่วางของหลังรถ ตอนหยิบกระเป๋าลงก็เอาไปด้วยล่ะ”

           “โอเคครับ” กวินรับคำ ก่อนจะละสายตาลงไปมองข้อความที่อีกคนตอบกลับมาผ่านหน้าจอโทรศัพท์แล้วเก็บลงกระเป๋าคาดอกตัวเองอย่างไม่รีบไม่ร้อน

           ร่างสูงนั่งฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนถึงที่พักของตัวเอง หลังจากหยิบสัมภาระและบอกลาผู้จัดการของตนขับรถยนต์คันสวยแล่นจากไปเแล้ว นักแสดงหนุ่มก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

           คงต้องระวังตัวมากกว่านี้แล้ว…

           _ _ _ _


           “วันนี้ที่กองเป็นยังไงบ้าง” หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนักแสดงหนุ่มก็ย้ายตัวเองมานอนพังพาบอยู่กับเตียงนอนหลังใหญ่ ระหว่างนั้นก็แกะมาสก์ใต้ตาแผ่นเล็กออกจากซองแล้วเอามาแปะไว้เพื่อลดอาการบวมไปพร้อมกับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่มีภาพของคู่สนทนาอยู่ในนั้นไปด้วย “เหนื่อยไหม? ”

           (สนุกดีๆ ดีเลย์นิดหน่อย เพราะวันนี้พี่ขวัญสั่งเทคพี่เอกไปตั้งห้ารอบ เอ้า... แปะเบี้ยวแล้วนั่นน่ะ) วาริชตอบกลั้วหัวเราะกับภาพที่เห็น (คือบทมันยาว แถมประโยคก็ยาก พี่เอกลิ้นพันกันตลอด เรากับพี่เคนยืนรอเข้าฉากอยู่นานมากจนเกือบหลับแน่ะ) เขาอธิบายต่อ

           “พี่เอกแกยิ่งชอบเป็นร้อนในแล้วพูดไม่ชัดอยู่” กวินหัวเราะพลางใช้เงาสะท้อนในหน้าจอส่องดูแผ่นมาสก์ใต้ตาตัวเอง

           เพราะวันนี้เขาต้องไปอัดรายการพิเศษของค่ายที่ต่างจังหวัดเลยไม่ได้เข้ากองถ่าย วาริชเลยห้ามไม่ได้ไปหากันที่ห้องพักเหมือนเคยเพราะอยากให้ได้พักจากการเดินทาง เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เมื่อตารางงานของนักแสดงดาวรุ่งทั้งสองคนเริ่มยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นวันที่ไม่ได้เจอกัน พวกเขาก็ขอแค่ได้เห็นหน้ากันผ่านวีดีโอคอลก็ยังดี

           (นั่นน่ะสิ… ตรงแล้ว หล่อแล้วครับคุณกวิน) วาริชแหย่
         
           เขายักคิ้วกลับไปกับคำชมก่อนจะเอ่ยถามต่อ “พรุ่งนี้เธอมีคิวเช้าหรือเปล่า”

           (ช่าย คิวแรกเลย ถ่ายกับพี่เคนพี่เอกเหมือนเดิม แล้วคุณล่ะ)

           “ตอนเช้าได้คิวสามถ่ายแยกกับนีน่า แล้วช่วงบ่ายก็มีถ่ายรวมกับเธอไง”

           (อ้อ… ฉากที่คุณต้องหอมแก้มนางเอก แล้วเราต้องเป็นคนพูดแซวน่ะเหรอ)

           “พูดแบบนี้…” กวินตาเป็นประกาย “นี่เธอหวงใช่ไหม?”

           (เหอะ)

           “อ่าว ไม่เหรอ ทำไมล่ะ” กวินขมวดคิ้ว ถึงกับลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิกอดอกใส่โทรศัพท์ “หวงหน่อยสิ”

           (หวงทำไม ก็งาน)
           
           “เราต้องหอมแก้มนีน่าเลยนะ นางเอกแห่งชาติเลยนะ” อีกฝ่ายคะยั้นคะยอถาม

           (อือ… ก็แล้วยังไง) วาริชย้อน (เราแยกแยะออกน่า งานก็คืองาน)

           “โห เศร้าหน่อยๆ เลยแฮะ”

           (ก็คบอยู่กับนักแสดงนี่ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง)

           “เนี่ย น่ะเธอน่ารัก เราไปไหนไม่รอดแล้ว” กวินทำท่ากุมหัวใจ “ใจจริงก็อยากให้แสดงออกหน่อยว่าหวง แต่ก็ช่างเถอะ เป็นเธอยังไงก็ดีที่สุด”

           (เว่อร์ไม่มีใครเกิน) วาริชหัวเราะ (แล้วพรุ่งนี้คุณจะมาประมาณกี่โมงเหรอ? เราว่าจะสั่งแซลมอนร้าน oo ไว้ คุณเอาอะไรเพิ่มไหม)

           “อ่า…” พูดได้เท่านั้นก่อนจะเว้นระยะไปอีกหนึ่งอึดใจ “คือ...สองสามวันนี้เราคงไปหาเธอไม่ได้…” กวินเม้มปาก แล้วตัดสินใจไม่พูดความจริงให้อีกคนรู้ “... ต้องเตรียมอ่านบทละครเรื่องต่อไปแล้วล่ะ”

           เขาไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด ขืนบอกไปว่ามีคนกำลังระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของเขาอยู่อีกคนต้องเป็นกังวลจนไม่ยอมให้เข้าใกล้แน่ คุณกระต่ายของเขาขี้กลัวแค่ไหนทำไมจะไม่รู้

           วาริชเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น (โห งานเข้าต่อกันแบบนี้เลยเหรอ… ดีจัง เรายังไม่มีละครใหม่เข้ามาสักเรื่องเลย)

           “เพราะเรื่องนี้ยังไม่ออนแอร์ต่างหาก รับรองเลยว่าถ้าทุกคนได้เห็นฝีมือเธอแล้วคิวเธอต้องแน่นกว่าเราแน่นอน” กวินพูดให้กำลังใจ “แล้วคราวนี้แหละเธอจะอยากได้วันว่างๆ เอาไว้นอนพัก”

           (ขอให้เป็นแบบนั้นแล้วกัน ไม่งั้นเราคงได้นอนว่างยาว) วาริชพูด อดสงสัยไม่ได้ว่าจะละครเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรก… แล้วก็เรื่องสุดท้ายของตัวเองหรือเปล่า ร่างโปร่งทิ้งความคิดของตัวเองไว้แบบนั้นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ (อ้อ... แต่จะว่าไป เรามีงานถ่ายแบบติดต่อเข้ามาอีกแล้วล่ะ) เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม

           “โป๊อีกหรือเปล่า” กวินทำหน้ายุ่ง คราวที่แล้วที่มีห้องเสื้อติดต่อให้คนรักไปเดินแบบ เสื้อผ้างี้แหวกลงไปจนเกือบถึงสะดือ เวลาขยับตัวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน เขาที่ได้ดูรูปลมแทบจับ อยากพุ่งตัวผ่านหน้าจอมือถือเข้าไปติดเข็มกลัดให้ ทำไมดีไซเนอร์ชอบให้วาริชของเขาแต่งตัววับๆ แวมๆ นักนะ

           รู้อยู่แหละว่ามีเสน่ห์ขนาดไหน แต่ก็อยากเก็บเวอร์ชั่นหลุดลุ่ยแบบนั้นไว้ดูคนเดียวนี่

           พอเห็นปฏิกิริยาฮึดฮัดของอีกคน ร่างบางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
           (ถ่ายแบบเครื่องสำอางน่ะ)

           “แล้วไป” กวินว่า แต่คิ้วก็ยังผูกกันยุ่งอยู่เหมือนเดิม “บริษัทเธอน่ะไม่ค่อยสกรีนงานเลย”

           เอาเข้าจริง งานของวาริชก็ถือว่าไม่ได้เงียบ แต่เพราะรูปลักษณ์โดดเด่นอย่างดวงตาสีน้ำตาลอ่อนและผิวขาวละเอียดเหมือนรูปปั้น บวกกับร่างกายสูงโปร่งแบบนั้นคนรักของเขาจึงกลายเป็นเหมือนไม้แขวนเสื้อชั้นดี งานที่ติดต่อเข้ามาเลยมักจะเป็นงานสายแฟชั่น ทั้งถ่ายแมกกาซีน หรือการเดินแบบเป็นส่วนใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยสนุกกับงานแบบที่ว่า บ่นๆ มาหลายครั้งว่าอยากได้งานแสดงมากกว่า

           นายแบบรันเวย์น่ะ มีไว้พรีเซนต์เสื้อผ้า พรีเซนต์ของที่ลูกค้าอยากให้ขาย พอมีคนใหม่เข้ามาเดี๋ยวก็ลืมหน้ากันไปหมด... งานแสดงสิถึงจะได้ฝากฝีมือไว้ในความทรงจำของคนดูได้จริงๆ …. เราอยากถูกจำแบบนั้นมากกว่า เขาว่าแบบนั้น

           (ไม่โป๊แล้วครับ เครื่องสำอาง ถ่ายถึงแค่คอเอง)

           “ฮึ” กวินย่นจมูก แกล้งทำเป็นงอนให้อีกคนหัวเราะเล่น

           (คราวนี้ใครกันแน่ที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก) วาริชเย้า

           “ให้เราหวงหน่อยเถอะ… ยังไงก็หวงได้แค่ตรงนี้...” พอพูดจบ กวินก็สบตากับอีกฝ่ายผ่านหน้าจอ แววตาของร่างสูงเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความเป็นจริงที่อัดแน่นอยู่ข้างในสะท้อนออกมาในรูปแบบของคำพูดล้อเล่นที่ทำเอาทั้งสองฝ่ายต่างชะงักงัน

           เพราะรู้ดีว่าถึงจะจับมือกันเอาไว้แน่นขนาดไหน ยังไงภายนอกนั่นกวินกับวาริชก็เป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น

           กวินจดจ้องริมฝีปากสวยที่ถูกเม้มไว้แน่น เขาทำอีกฝ่ายคิดมากอีกแล้ว...
           เมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกไป เจ้าของร่างสูงเลยรีบพูดแก้
           “ขอโทษ…อย่าเงียบสิ”

           ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ลำบากใจ

           (หวง)

           “ห้ะ? ”

           (หวงไง)

           กวินกะพริบตาปริบๆ เหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินไปกับหู
           (เอาจริงๆ ก็หวงเหมือนกันนั่นแหละ) อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองแล้วพูดอู้อี้ (ใครเขาจะไม่หวงคุณกัน บ้าเหรอ หยอดทั้งนักแสดงทั้งทีมงาน เฟรนลี่ไปทั่วทั้งกองขนาดนั้น คิดว่าเราไม่เห็นเลยหรือไง)

           “เธอ…”

           (ไม่อยากพูดเลย... แต่พูดก็ได้ ยังไงก็รู้กันอยู่แค่นี้ ไม่รู้จะฟอร์มไปทำไม) วาริชอุบอิบจนเหมือนพูดกับตัวเอง (ได้ยินแล้วใช่ไหม เราก็หวงคุณเหมือนกัน)

           ได้ยินคนน่ารักบ่นเป็นชุดแถมย้ำแบบนั้น แทนที่จะอารมณ์เสียกวินกลับยิ้มกว้าง ดูมีความสุขขึ้นอย่างผิดหูผิดตา “พูดแบบนี้… แปลว่าแอบมองเราอยู่ตลอดเลยน่ะสิ”

           (ฮึ)

           “ดีใจ… นึกว่าเราจะแอบมองแอบหวงเธออยู่ฝ่ายเดียว”

           (ใครจะไม่หวงคุณกันฮึ) วาริชตวัดตามองแล้วตอบเสียงห้วน (กวิน เจนสิริศักดาเชียวนะ… แต่เรารู้ว่ามันเป็นงานไง แล้วคุณก็คงไม่ได้คิดอะไร เลยไม่รู้ว่าจะบอกหรือแสดงออกไปทำไม อีกอย่าง…)

           “อีกอย่างทำไมเหรอ” กวินรอคอยประโยคถัดมาอย่างตื่นเต้น แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อพบว่าแววตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกคนกลับฉายแววเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด

           (อีกแค่เดือนกว่าก็จะปิดกล้องแล้ว...) คนพูดเม้มริมฝีปากเข้าหากัน หยุดบทสนทนาลงอย่างทื่อๆ

           แล้วก็คงไม่ได้เจอหน้าคุณทุกวันแบบนี้แล้ว…
           ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะทำให้หวงหรอก จะได้เจอกันบ้างหรือเปล่ายังไม่รู้เลย

           (ตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน… เลยไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่น)

           แค่มองดวงตาใสแจ๋วเหมือนแก้วที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกประกอบกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของเขาทั้งสองคน กวินก็เข้าใจทุกอย่างโดยที่อีกคนไม่ต้องพูดเหตุผลที่แท้จริงออกมาเลยด้วยซ้ำ

           เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่เช่นกัน...

           ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาถึงจะได้ทักทายกันแค่เพียงผิวเผิน เหมือนเป็นแค่นักแสดงที่ได้ร่วมงานกันในกองถ่าย แต่อย่างน้อยก็ยังมีตัวตนอยู่ในสังคมภายนอกของอีกฝ่ายบ้าง รู้ดีว่าหากไม่ได้มีงานร่วมกันแล้ว คงได้เป็นแค่คนเคยรู้จัก และการจะพบหน้ากันคงลำบากขึ้นกว่านี้หลายเท่าทีเดียว

           “ขอโทษนะ…”

           (เอ้า… ขอโทษเราทำไมเนี่ย) วาริชพูดแล้วเสไปมองทางอื่น กลบเกลื่อนความคิดของตัวเองที่สะท้อนออกมาในแววตาด้วยคำถามเปะปะ

           “ที่ไม่ได้ไปหาเธอ”

           (ไม่เห็นเป็นไรเลยคุณ... เราเข้าใจ ไว้พวกเราเจอกันวันหลังก็ได้ ทำไมล่ะ จะไม่มาหาเราแล้วหรือไง) ภาพของคนฟังที่สูดหายใจลึกแล้วมอบรอยยิ้มสวยตอบกลับมา เล่นเอาความรู้สึกผิดของกวินยิ่งตีตื้นขึ้นมาเสียเต็มอก จะยังไงวาริชก็ไม่เคยเรียกร้องหรือทำอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจเลยสักนิด

           “ไปสิ” กวินตอบ “แฟนเราทั้งคน ทำไมจะไม่อยากเจอ”

           (หยอดไปเรื่อย) คนแก้มแดงเฉไฉ (ไปนอนได้แล้วล่ะ ดึกแล้วเนี่ย)


           ยิ่งเห็นท่าทางของคนในหน้าจอ ความอดทนที่มีก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
           “ไม่เอาแล้ว... เราจะไปหาเธอตอนนี้เลย”

           (บ้าเหรอ ดึกป่านนี้แล้ว) อีกฝ่ายอุทานตาโตเมื่อเห็นเขาดึงเอามาส์กใต้ตาออกแล้วเขวี้ยงลงไปบนพื้นจริงๆ (ไม่ๆๆ ไปนอนเลย ไปนอนได้แล้วคุณกวิน มัวแต่เพ้อเจ้ออยู่ได้ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วก็รีบไปพักผ่อน)

           “อยากกอด” กวินว่า “อยากกอดเธอแน่นๆ”

           (ไม่ต้องเลย… ทำตัวเหลวไหลได้ยังไง)

           “ไม่อยากทำงานแล้ว อยากกอดคุณกระต่าย”

           (เป็นนักแสดงที่ไม่ดี)

           “แต่เป็นแฟนที่ดีของคุณไง” กวินย้อน “ผมไปหาคุณเลยดีกว่า”

           (หยุดเลยนะกวิน)

           “คุณว่า… คอนโดเราไปคอนโดเธอจะใช้เวลากี่นาทีกัน” กวินแกล้งถาม แต่สายตาดูเอาจริงเอาจังจนวาริชเริ่มหวั่นใจ

           (ไม่ต้องเลย นอนได้แล้วนะคุณน่ะ ถ้าโผล่มาหน้าห้องเราจะโกรธมากๆ)

           ได้ยินคำขู่แล้วกวินก็เบ้หน้า
           “งั้นคุณต้องให้ผมไปหาพรุ่งนี้”

           (ไหนบอกว่าจะท่องบท)

           “บทเอาไปท่องที่ไหนก็ได้” กวินว่าพร้อมสายตาเป็นประกายกับใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มกรุ้มกริ่ม “กอดแฟนไปท่องไปก็ได้... ลองดูกันดีไหมครับ”

           (ไม่ต้องมาทะลึ่งเลย) วาริชหน้าแดง

           “ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง เรายังไม่ได้พูดอะไรเลย”

           วาริชตวัดสายตามองขณะเม้มปากแน่น อุณภูมิที่ผิวแก้มทำให้เจ้าตัวรู้ว่ามันคงกลายเป็นสีแดงก่ำไปแล้ว ครั้นร่างโปร่งจะเอ่ยปากเถียงก็อายตัวเอง ก็ทุกครั้งที่อีกคนบอกว่าจะท่องบท ‘ด้วยกัน’ มันมักจะจบลงที่อีกคนฟัดเขาเสียจนจมเขี้ยวเป็น ‘รางวัล’ ทุกครั้งเลยไม่ใช่หรือไง

           ช้ำไปหมดแล้วเนี่ย! บทก็ไม่เห็นจะได้ท่อง!

           เหมือนจะรู้ว่าโดนค่อนขอดในใจ ร่างสูงเลยรีบพูดออกมา
           “ถ้าอยากให้เราตั้งใจ… เธอก็ต้องมีอะไรมาแลกกันหน่อย…”

           (หยุดเลย เราจะไปนอนแล้ว!)

           กวินหัวเราะร่า “งั้น… เจอกันที่กองวันพรุ่งนี้นะครับ”

           วาริชค้อนใส่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองไปอีกวงใหญ่
           (อือ… เจอกันพรุ่งนี้ อย่าลืมพักผ่อนเยอะๆ) ร่างโปร่งว่าก่อนจะพูดอุบอิบเสียงเบา (แล้วก็... ฝันดี)

           “ครับ… รักเธอนะ” คนได้ยินไม่ลืมจะตอบกลับด้วยคำหวาน กวินยิ้มกว้างเมื่อเห็นวาริชทำเป็นเบลอประโยคนั้นแล้วอืออาก้มหน้างุดๆ ด้วยความเขินอายก่อนจะกดตัดสายของเขาไป เวลาเห็นคุณกระต่ายเขินจนเสียอาการน่ะมันน่ารักจะตายไป

           นักแสดงหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนแท่นชาร์จไร้สายพลางนึกถึงงานที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น ร่างสูงเผลอถอนหายใจออกมาเมื่อต้องนึกหาข้ออ้างในช่วงเย็นไว้ล่วงหน้า อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผู้จัดการของเขาอาจรู้เรื่องทั้งหมดนี้เข้าในวันใดวันหนึ่ง

           และเมื่อถึงวันนั้น… มือของเราสองคนที่จับกันไว้มันจะแน่นพอหรือเปล่านะ

          _ _ _ _





         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2020 20:23:52 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #8 เมื่อ18-08-2020 20:19:39 »

  ///Now


           หลังจากผ่านการเวิร์คชอปไปแล้วเป็นเวลาสองอาทิตย์ก็ถึงวันถ่ายทำอย่างเป็นทางการ ทั้งนักแสดงและทีมงานมารวมกันทั้งแต่เช้าตรู่ตามที่นัดหมายสำหรับการบวงสรวงเปิดกล้อง ถึงจะเตรียมตัวกันมาดีแต่ทั้งกองถ่ายดูวุ่นวายไปอีกเป็นเท่าตัวเมื่อมีสื่อมวลชนจำนวนมากเข้ามาทำข่าว หลังช่วงพิธีการจบลงนักแสดงและทีมผู้จัดก็ต่างแยกย้ายกันให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ ตามที่ได้นัดแนะกันเอาไว้

           ในมุมหนึ่ง คนเขียนบทหนุ่มที่วันนี้อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวคัตติ้งสวย กับกางเกงสแลคเข้ารูปกำลังยืนอยู่ในวงล้อมของนักข่าวพลางให้สัมภาษณ์ถึงผลงานที่กำลังจะเริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาบางด้วยฝีมือของโปรดิวเซอร์สาวคนสนิทจนดูหล่อเหลาเหมือนนักแสดงมากกว่าตำแหน่งที่แท้จริงหลายเท่าตัว

           “... ถ้ายังไงขอฝากละครเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ทุกคนตั้งใจกันมากๆ เลย” วาริชกล่าว “ถ้ายังไงผมขอตัวก่อน พี่ๆ ตามสบายเลยนะครับ”

           “รบกวนขอถ่ายรูปเดี่ยวก่อนนะคะวาริช”

           “พี่ด้วยค่ะๆ”

           “กล้องนี้ด้วยครับ”

           “เอ่อ” คนโดนรุมทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ตัดสินใจตกลง “ก็ได้ครับ…แต่ผมมีเวลานิดเดียวนะ”

           “ได้เลยค่ะวาริช แค่ยอมออกงานพวกพี่ก็ดีใจแล้ว” นักข่าวคนหนึ่งพูดขึ้น โดยมีเสียงฮึมฮัมแสดงความเห็นด้วยอยู่ด้านหลัง

           “ใช่ค่า”

           “ใช่ครับ นานๆ ทีจะได้เจอหน้า แฟนๆ คิดถึงแย่แล้ว”

           คนฟังยกยิ้มให้ถ่ายรูปโดยไม่ได้ตอบอะไรต่อ เสียงชัตเตอร์ดังรัวราวกับจะเก็บภาพไว้วินาทีต่อวินาที หากได้ยินเผินๆ คงคิดว่ากำลังถ่ายภาพนายแบบชื่อดังขณะอยู่บนรันเวย์เสียด้วยซ้ำ

           ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่มีการเปิดกล้องละครที่มีวาริชร่วมอยู่ในโปรเจ็กต์ นักข่าวจะคึกคักกับการสัมภาษณ์ทีมงานเบื้องหลังเป็นพิเศษ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นกับความอ่อนน้อมถ่อมตนที่หาได้ยากในวงการบันเทิงยุคปัจจุบัน อดีตนักแสดงคนนี้จึงยังคงเรียกความสนใจจากกล้องได้เหมือนที่เคย

           หลังจากถูกถ่ายรูปไปเป็นร้อย วาริชก็หลบออกมาพักอยู่ในห้องเตรียมตัวของเหล่าทีมงาน ปล่อยให้ผู้จัดและเหล่านักแสดงของโปรเจ็กต์นี้ทำหน้าที่กันไป ลำพังเรื่องงานน่ะเขาก็ตอบได้อยู่ แต่นักข่าวน่ะ ชอบถามนอกสคริปต์กับเรื่องส่วนตัวจนน่าอึดอัด โชคดีที่วันนี้มีทีมงานของช่องกับนักแสดงชื่อดังมาเป็นตัวช่วย เขาเลยปลีกตัวออกมาได้ง่ายกว่าปกติ

           วาริชยกนิ้วนวดหว่างคิ้วก่อนจะหวานหายาเม็ดเล็กในกระเป๋า แล้วนั่งลงเพื่อใช้เวลาเงียบๆ อยู่กับสมุดโน้ตเล่มโปรดในมุมหนึ่งของห้อง

           แต่ความสงบที่ได้ก็อยู่ได้เพียงครู่เดียว เมื่อผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีโปรดิวเซอร์สาวก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องแล้วมองซ้ายมองขวา พอเห็นเขาขมพัสต์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

           “วาริช! พี่หาตั้งนาน มาหลบอยู่นี่เอง” เธอว่าเสียงดังจนเขาสะดุ้ง “พอดีนักข่าวอยากได้สกู๊ปพิเศษคู่กับกวิน ออกมาเร็ว”

           “ผมเหรอครับ” วาริชชี้ที่ตัวเอง “ทำไมถึงเป็นผมล่ะ”

           “นักข่าวขอมาน่ะ ปกติก็เนื้อหอมอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ขมพัสต์เย้า “คงเห็นว่าสองคนเคยร่วมงานกัน เลยอยากสัมภาษณ์คู่กัน”

           “นั่นมันตั้งนานมาแล้วนะครับ” วาริชงุนงง แต่พอเห็นสายตาของขมพัสต์ที่มองมาก็รู้ตัวว่าคงปฏิเสธไม่ได้ “เอ่อ ออกไปยืนเฉยๆ ได้ไหมล่ะ” เขาออกตัวแล้วรีบเก็บสมุดลงในกระเป๋าสะพาย “ผมไม่รู้จะพูดอะไรนะ”

           “ไม่เป็นไรหรอก กวินเขาคงตอบเองแหละ นักข่าวก็น่าจะแค่อยากได้รูปคนหล่อๆ คู่กัน” ผู้จัดสาวสรุปเอาง่ายๆ แล้วเดินเข้ามาคว้าข้อมือของเขาพาออกไปด้านนอก

           ร่างสูงของกวินโดดเด่นอยู่ท่ามกลางไมโครโฟนของนักข่าว ดวงตาสีเข้มสบเข้ากับสายตาของเขา อยู่ครู่หนึ่งก่อนเจ้าของจะคลี่ยิ้มกว้างให้ “อ้าว วาริชมาแล้ว เชิญครับๆ ”

           “สวัสดีครับ” วาริชยิ้มให้ทุกคนขณะขยับไปยืนชิดอยู่ข้างตัวนักแสดงหนุ่ม เหล่านักข่าวต่างล้อมวงเข้ามาเพื่อเก็บภาพชายหนุ่มทั้งสองคนให้ได้ชัดๆ เสียงชัตเตอร์ดังรัวยิ่งกว่าตอนที่ให้สัมภาษณ์เดี่ยวไปหลายเท่าตัว

           “พอเขามาก็ไม่สนใจผมเลยนะครับ คุยกันถึงไหนแล้วเนี่ย” กวินแกล้งถามเรียกเสียงหัวเราะ “ถามต่อได้เลยครับ” นักแสดงหนุ่มพยักหน้าให้กับนักข่าวของช่องหนึ่งที่ยกมือขึ้นมาพอดี

           “กวินกับวาริชเคยแสดงละครด้วยกันมาก่อนใช่ไหมคะ”

           วาริชยิ้มพลางพยักหน้ารับแต่ก็ยังปิดปากเงียบ ทำเอาคนข้างตัวต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
           “ครับ ก็เคยร่วมงานกันเมื่อหลายปีที่แล้ว” กวินโปรยยิ้ม

           “ละครเรื่องนั้นดังมาก และถือว่าเป็นเรื่องแจ้งเกิดของกวินเลย จำได้ไหมคะว่าตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง”

           “กองถ่ายตอนนั้นใหญ่มาก เลยไม่ค่อยได้คุยกันน่ะครับ พวกผมเป็นแก๊งค์เล่นเกม” นักแสดงหนุ่มตอบอย่างลื่นไหล “ช่วงนั้นเกม AOV ฮิตมาก ติดกันทั้งกองเลย แต่ดูเหมือนคุณวาริชจะไม่ได้เล่น”

           “ไม่ค่อยถนัดน่ะครับ” ร่างโปร่งตอบยิ้มๆ

           “แล้วตอนนั้นวาริชเป็นยังไงบ้างคะ” นักข่าวสาวถามต่อ “เงียบเหมือนตอนนี้ไหม”

           “เขาก็…” กวินหันไปมองคนข้างตัวก่อนจะหยุดนิ่งไปวินาทีหนึ่งเมื่อได้เห็นเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย จมูกรั้นเป็นทรงสวยกับริมฝีปากอิ่มของอีกฝ่ายยังคงดูน่ารักเหมือนอย่างที่จำได้ ยิ่งเมื่อคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าใกล้กันขนาดนี้ในรอบหลายปีก็ยากที่จะละสายตา “ตั้งแต่ตอนนั้นก็เป็นคนตั้งใจทำงานมากๆ เลยครับ เก่งมากๆ”

           “ขอบคุณครับ” วาริชตอบพลางขยับมามองหน้าเขา รอยยิ้มสวยถูกส่งกลับมาเป็นของตอบแทน
           แต่ในวินาทีนั้น กวินรู้สึกว่าช่องว่างของพวกเขาสองคนมากกว่าที่เคย

           “แต่หลังจากนั้นวาริชก็พักงานในวงการไปนานเลยนะคะ” นักข่าวจากช่องหนึ่งพูดขึ้น “อยากเปลี่ยนใจกลับไปแสดงบ้างไหม”

           “ไม่ล่ะครับ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตอบแบบไม่ต้องคิด

           “ทุกคนเสียดายมากเลยนะคะ แฟนๆ ก็ยังรอการกลับมาของวาริชอยู่”

           “ขอบคุณนะครับ แต่ผมว่าผมเหมาะกับการเขียนบทมากกว่า” คนถูกถามยิ้มให้แล้วก็ปิดปากเงียบ เป็นสัญญาณว่าจะไม่ตอบอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้อีก

           “เอ่อ… แล้วได้กลับมาร่วมงานกัน รู้สึกอย่างไรบ้างคะ” นักข่าวอีกคนถามขึ้น

           วาริชยืนนิ่ง นักแสดงหนุ่มเลยเป็นคนตอบคำถามแทน
           “ดีใจมากเลยครับ” กวินบอก “นึกถึงวันเก่าๆ ...”

           “คราวนี้ผมเป็นแค่คนเขียนบทเองนะครับ” วาริชพูดแกมหัวเราะ เสียงใสๆ ฟังดูหยอกเย้าอยู่ในที “คงไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว ยังไงก็ต้องฝากให้กวินถ่ายทอดผลงานผ่านบทปราณชลแล้วล่ะครับ”

           กวินนิ่งไปกับเสียงหัวเราะที่ได้ยิน นักแสดงหนุ่มเพิ่งรู้ว่าเขาดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ยากขนาดไหน ร่างสูงยิ้มแล้วแกล้งค้อมตัวเหมือนรับคำสั่งเรียกรอยยิ้มจากนักข่าวที่อยู่รอบๆ “ครับ... ผมจะพยายามให้เต็มที่ ยังไงก็ฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะครับ”

           วาริชเผลอสะดุ้งนิดๆ เพราะไม่ได้ตั้งตัวตอนที่ไหล่ของเขาสัมผัสกัน ร่างโปร่งบังคับให้ตัวเองหัวเราะฝืนเฝื่อนไปพร้อมกับคนรอบข้าง

           กวินยังคงชอบพรมน้ำหอมที่ปกเสื้อด้านหลังเหมือนเดิมไม่มีผิด
           น้ำหอมที่มันเป็นกลิ่นเดียวกันกับของเขา…

           “ครับ ฝากทุกคนช่วยสนับสนุนละครเรื่องนี้ด้วยครับ ผมตั้งใจเขียนบทมากจริงๆ ” วาริชพูดยิ้มๆ ก่อนจะมองเห็นขมพัสต์ทำปากบุ้ยใบ้โบกมือเรียกอยู่ที่มุมหนึ่ง “ถ้ายังไงขออีกคำถามเดียวได้ไหมครับ พอดีท่าทางผมจะต้องไปเตรียมคุยกับทีมงานต่อแล้วล่ะ” เขาว่า

           นักข่าวจากสำนักหนึ่งยกมือขึ้น “งั้น… วาริชมีอะไรจะบอกกับกวินที่ได้แสดงเป็นปราณชลไหมคะ”

           เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่วาริชพบว่าการยิ้มนั้นยากลำบาก
           ฝ่ามือเรียวถูกกำเข้าหากันแน่นขณะเค้นหัวสมองหาคำตอบที่ไม่เคยคิดว่าจะถูกถามต่อหน้า

           อะไรที่จะบอกกับกวินงั้นหรือ…

           “ผมหวังว่า…” เจ้าของบทละครตอบโดยยังมองตรงไปด้านหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตามองมายังคนข้างตัวที่กำลังถูกพูดถึงแม้แต่น้อย “คุณจะได้เรียนรู้ส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ชายคนนี้ ผ่านบทละครที่ผมเขียน... ทำความเข้าใจเขา เติมเต็มเขา และช่วยทำให้ปราณชลสมบูรณ์”

           วาริชพูดต่อด้วยเสียงเบาหวิว
           “เพราะคุณ… คงเป็นคนเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตขึ้นมาได้จริงๆ”

           _ _ _



           TBC


           ขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านกันนะคะ อัพทีเดียว 4 ตอน อาจจะตาลายกันนิดนึง T v T
           ติชมกันได้นะคะ ยินดีมากๆ ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะเป็นแนวที่ไม่เคยแต่งมาก่อนเลย ทั้งฉาก และดีกรีความดราม่า ยิ่งตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เลยไม่แน่ใจว่าจะอ่านแล้วงงไหม เพราะเราก็อ่านอยู่คนเดียว 555 กระซิบมาบอกกันในคอมเมนต์หรือที่ #DearVarich ได้นะคะ

แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2020 20:24:21 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
«ตอบ #9 เมื่อ18-08-2020 23:56:27 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - Dear Varich - Part 1-4 update 18.8.2020
« ตอบ #9 เมื่อ: 18-08-2020 23:56:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 5 *update 20.9.2020*
«ตอบ #10 เมื่อ20-09-2020 00:04:08 »

            #5

            Warning : NC-18 // Unsafe sex


            ถึง วาริช

            นายยังจำคำพูดนั้นได้หรือเปล่า


///

            Then



            แดดยามเช้าส่องผ่านผ้าโปร่งกรองแสงลายสวยจนตกกระทบเป็นเงาวูบไหวอยู่ที่พื้นบริเวณปลายเตียงนอนหลังใหญ่ อากาศเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศกับกลิ่นเทียนหอมที่ยังลอยวนเวียนอยู่ในห้องทำให้บรรยากาศราวกับยังอยู่ในอีกโลก ภาพทิวทัศน์ของเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายถูกบดบังด้วยผ้าม่านสีทึบที่ถูกรูดเปิดไว้ครึ่งๆ กลางๆ ยิ่งทำให้ห้องพักบนคอนโดมิเนียมแห่งนี้เหมือนจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์

            เพราะเช้าวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน... คนตื่นก่อนเลยได้โอกาสนอนเท้าคางมองภาพของใครอีกคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราเป็นสิ่งแรก ใบหน้าสวยแนบอยู่กับหมอนใบนุ่มดูราวกับรูปแกะสลักจากศิลปินชั้นเอก กวินไล่สายตาไปตามแพขนตาที่ทาบอยู่บนพวงแก้มขาวใส ก่อนจะไปหยุดอยู่ยังริมฝีปากสีสดที่ยังคงบวมอยู่นิดๆ จากการถูกเขาเคี่ยวกรำมาค่อนคืน

            ถึงจะพยายามห้ามตัวเองอย่างที่สุด แต่นักแสดงหนุ่มก็จบลงที่การโน้มตัวลงไปกดจูบซ้ำบนกลีบปากนุ่มนิ่มนั่นอยู่ดี

            “อือ” เจ้าของใบหน้าสวยขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตาอยู่เพราะถูกกวนใจ กวินกำลังจะยกท่อนแขนขึ้นรั้งเอาไว้เพราะเข้าใจว่าเจ้าตัวคงจะหันหนีไปทางอื่น แต่จู่ๆ อีกคนก็ตวัดขาก่ายลำตัวเขาไว้แล้วซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกเหมือนกำลังกอดหมอนข้างใบโต เปิดเปลือยเรียวขาข้างหนึ่งให้ออกมาท้าทายสายตานอกผ้าห่ม สะโพกกลมกลึงกับเอวบางที่โผล่มาวับแวมทำเอาลำคอกวินแห้งผาก

            อย่ามาล้อเล่นกับเขาตอนเช้าๆ แบบนี้นะยัยตัวดี

            ตั้งใจจะทำตัวเป็นคนดีโดยการดึงผ้าห่มมาปิดให้ แต่พอได้สัมผัสเข้ากับผิวเนียนๆ ความคิดนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเจตนาอื่นไปในทันที

            กวินลากไล้ปลายนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าของสะโพกและเรียวขาขาว ก่อนจะทาบฝ่ามืออุ่นร้อนเข้ากับเอวแล้วโอบเอาร่างบางเข้ามาประชิดตัว ลูบไล้บนแผ่นหลังเปล่าเปลือยอย่างพึงใจจนคนโดนสัมผัสต้องตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

            “อื๊อ… กวิน” ลืมตาขึ้นมาก็กลายเป็นว่ากำลังนอนทับอยู่บนร่างของอีกคน วาริชร้องประท้วงพลางคว้าข้อมือใหญ่ที่กำลังยุ่มย่ามอยู่บริเวณเอว แต่อีกคนกลับใช้มือข้างที่วางอยู่ประคองใบหน้าแล้วบังคับป้อนจูบอรุณสวัสดิ์จนพอใจถึงยอมปล่อยให้ริมฝีปากเขาเป็นอิสระ

            วาริชหอบหายใจขณะวางคางของตัวเองอยู่บนแผ่นอกเปล่าเปลือย เมื่อเรียบเรียงความคิดได้ก็หันหน้าขึ้นมาค้อนกันเสียวงใหญ่ “เล่นอะไรแต่เช้า...”

            “Morning Kiss ไง” กวินตอบพลางกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่ม “เธอหลับน่ารัก ใครจะไปทนได้”

            “มือซน” วาริชว่าแล้วตีเบาๆ เข้าที่หน้าอก แต่อีกคนก็ไม่สนใจ ฝ่ามือร้อนยังไล้สัมผัสไปยังต้นขาด้านในแล้วเคล้นน้ำหนักจนร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก “กวิน! ”

            “ครับ?” คนโดนเรียกชื่อขานตอบตาใส ตรงข้ามกับการกระทำของเจ้าตัว กวินยังคงกอดร่างในอ้อมแขนไว้แน่น แกล้งบดเบียดสะโพกขึ้นไปหาร่างกายเนียนละเอียดของคนด้านบน “เธอว่ายังไงนะ”

            “อื้อ” วาริชได้แต่เม้มปากเพื่อกลั้นเสียงเมื่อท่อนขาแกร่งแทรกเข้ามาถูกส่วนร้อนกลางกายพร้อมๆ กับแรงกดจากฝ่ามือที่กำลังกอบกุมบั้นท้ายทั้งสองข้างให้แนบชิดกับสัดส่วนพองนูนด้านล่าง รู้สึกเสียเปรียบเล็กๆ เมื่อพบว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าติดตัวอยู่เลยสักชิ้น แต่ถึงอย่างนั้นเนื้อผ้าเรียบลื่นของกางเกงขายาวที่อีกฝ่ายใส่อยู่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้อุณหภูมิในกายลดลงแม้แต่น้อย

            เมื่อรู้ว่าคุณกระต่ายกำลังโอนอ่อนตามการชักจูง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของร่างสูง

            กวินตวัดผ้าห่มคลุมร่างเขาทั้งคู่เอาไว้ ก่อนจะเริ่มแทรกนิ้วเข้าไปยังช่องทางคับแคบที่ตัวเองเคยฝากฝังกายเข้าไปหลายต่อหลายครั้ง ภายในของวาริชยังคงอ่อนนุ่มและฉ่ำชื้นจากของเหลวจำนวนมากที่ยังคงคั่งค้างอยู่ภายในตั้งแต่เมื่อคืน เสียงของการแตะต้องที่ดังขึ้นในความเงียบทำเอาร่างโปร่งต้องกัดริมฝีปากสวยไว้แน่น และเมื่อเขาขยับแยกนิ้วเพื่อแตะสัมผัสที่ด้านในความเสียดเสียวก็ทำให้สะโพกของคนที่คร่อมอยู่โก่งโค้งขึ้นตามสัญชาตญาณ

            “อา…” ลมหายใจร้อนๆ ของวาริชที่ปะทะแผ่นอกของเขาสั่นพร่าเมื่อน้ำสีใสปริ่มออกมาจากส่วนร้อนผ่าวที่แนบอยู่กับท้องน้อย ดวงตาสีอ่อนปรือปรอยไปด้วยแรงอารมณ์มองช้อนขึ้นมาเหมือนจะเร่งให้การรังแกเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม

            ใครเขาจะไปทนได้วะเธอ... เขาคิดขณะเอียงใบหน้าแล้วจูบลงบนริมฝีปากนุ่ม ขบเม้มและไล่ต้อนอีกคนด้วยเรียวลิ้นอย่างช่ำชอง กวินรั้งกางเกงขายาวที่ใส่อยู่ลงไปครึ่งๆ กลางๆ แล้วปล่อยให้แกนกายที่เหยียดขยายเต็มที่เสียดสีเข้ากับซอกขาของวาริช ในขณะที่มืออีกข้างก็ยังกดย้ำรังแกกันอยู่ที่ด้านหลังจนอีกคนทรุดฮวบลงบนร่างของตัวเอง

            วาริชหอบฮั่กเมื่อกวินถอนนิ้วออกไปจากช่องทางเฉอะแฉะ เจ้าของใบหน้าง้อง้ำยกมือตีเข้าที่สีข้างเมื่ออีกคนยังคงแทรกกายอยู่ตรงกลาง บังคับให้เขาต้องอ้าขาคร่อมอยู่ด้านบนในท่วงท่าน่าอายโดยยังมีหลักฐานแห่งอารมณ์เปรอะอยู่ที่หน้าท้อง

            “อย่างนี้เรียกเล่นหรือเปล่า” กวินแกล้งถามก่อนจะหยัดสะโพกขึ้นให้ส่วนร้อนผ่าวแทรกไปกับก้อนเนื้อนุ่ม จงใจให้ปลายยอดแดงก่ำปัดผ่านทางเข้าที่กำลังเต้นตุบ หยอกเย้าไม่ยอมเติมเต็มเสียทีจนวาริชต้องเป็นฝ่ายบดสะโพกลงเสียดสีด้วยตัวเอง เล่นเอาคนขี้แกล้งแทบไปไม่เป็น “อา… เธอ”

            “ไม่เล่น…” วาริชกระซิบเสียงพร่าอยู่ข้างใบหู ดวงตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกมองช้อนขึ้นมาสบกันอย่างท้าทาย “แต่ดูเหมือนคุณหมาป่าจะยังไม่ตื่นดีมากกว่าละมั้ง”

            “ถ้ารู้ว่าตอนเช้าคุณกระต่ายจะร้อนแรงแบบนี้… ที่ผ่านมาจะไม่ทำแค่โทรปลุกหรอกนะครับ” ร่างสูงประกาศเจตนา เสียงหวานอุทานขึ้นเมื่อกวินค่อยๆ แทรกกายเข้าไปภายในช่องทางฉ่ำชื้น ฝ่ามือแกร่งกอบกุมสะโพกกลมกลึงแล้วออกแรงกดให้อีกคนรับตัวตนของเขาไปจนสุดความยาว บดเบียดปลายยอดเข้าไปยังจุดอ่อนไหวจนความเสียดเสียวแล่นไปถึงก้านสมองของอีกฝ่ายในครั้งเดียว

            ถึงการสอดประสานจะเป็นไปได้ง่ายเพราะมีของเหลวภายในเป็นตัวช่วย แต่เจ้าของร่างโปร่งก็ยังต้องกลั้นเสียงจนสุดความสามารถ ริมฝีปากสวยก็ถูกกัดจนแดงก่ำเพราะความใหญ่โตที่ถูกเติมเต็มเข้าไปภายใน

            “ไหน... คนเก่งขยับไหวมั้ยครับ” กวินกระซิบถามข้างใบหูร้อนฉ่าขณะแช่ตัวตนซึมซับสัมผัสความคับแน่นที่ตอดตุบตามจังหวะชีพจรของอีกคน ช่องทางที่ถูกรังแกมาค่อนคืนดูดกลืนตัวเขาจนไม่เหลือช่องว่าง

            สายตาดุๆ เหมือนลูกแมวขู่ฟ่อถูกส่งมาให้แทนคำตอบ เรียวขาของวาริชสั่นระริกจนกวินสัมผัสได้ เห็นแบบนั้นเขาเลยกดจูบเอาที่ข้างขมับพลางจัดแจงให้อีกฝ่ายโอบรอบคอของตัวเองไว้ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งจนวาริชกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่เมื่อท่าทางใหม่ทำให้น้ำหนักตัวของตนถ่วงให้ส่วนใหญ่โตสอดลึกเข้าไปถูกบางจุดภายในร่าง

            “อ๊า! ”

            ผ้าห่มที่เคยปกปิดเนื้อตัวร่วงลงไปกองอยู่ที่บริเวณเอว เปิดเผยผิวกายขาวเนียนที่ตอนนี้กลายเป็นสีชมพูเรื่อเหมือนจะเชิญชวนให้แตะต้องกัน กวินฝังใบหน้าจูบซับไล่ลงไปตามแนวไหปลาร้าขณะเป็นคนหยัดสะโพกเข้าหาคนงาม ปลายยอดถันสีสวยถูกดูดดึงจนขึ้นสีแดงก่ำ จุมพิตร้อนแรงถูกโปรยลงไปทั่วแผ่นอกขาวเนียนแล้วขบเม้มจนเป็นรอยช้ำแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน สัมผัสแปลกใหม่ทำให้อีกคนสะท้านเฮือก

            “อ้ะ… รอย” วาริชร้องห้ามอย่างตกใจ “ทำรอยไม่ได้นะ”

            กวินยิ้มให้พลางก้มลงกัดเบาๆ ที่หัวไหล่ขาว “ปิดกล้องแล้วพวกเราได้พักหนึ่งอาทิตย์เต็ม… ลืมแล้วเหรอ”

            “แต่… อะ...มันก็...” ระวังสิ… ความลับต้องเป็นความลับไม่ใช่หรือไง อีกฝ่ายเอ่ยห้ามกระท่อนกระแท่นไม่เป็นประโยคอย่างที่ต้องการขณะถูกรุกรานจากทั้งด้านบนและล่าง มือที่จับอยู่บนบ่าแกร่งบีบแน่นเพื่อระบายความซ่านเสียว

            “ก็อะไรนะ” คนที่ยังวนเวียนกับการสร้างรอยสีกุหลาบแกล้งถามทั้งๆ ที่เข้าใจดี กวินจูบลงที่ข้างแก้มก่อนจะพูดยียวน “เธอไม่ต้องคิดมาก เราไม่ปล่อยให้เธอออกไปข้างนอกง่ายๆ หรอก”

            ถึงจะถูกรังแกอยู่ แต่ดวงตาคู่สวยก็ยังตวัดมองมาด้วยความไม่พอใจ ฝ่ามือสวยตีเข้าที่ไหล่ให้รู้สึกเจ็บๆ คันๆ ชายหนุ่มหัวเราะอยู่ในลำคอ สงสัยว่าคนรักของเขาจะลืมไปแล้วจริงๆ ว่าการถ่ายทำตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาได้จบลงไปตั้งแต่เมื่อเช้าวาน เหล่านักแสดงจะได้รับวันหยุดพักผ่อนก่อนจะมีงานเลี้ยงปิดกล้องอย่างเป็นทางการในอาทิตย์ถัดไป

            แน่นอนว่ากวินไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้เสียเปล่า เขารีบเคลียร์ตารางกับผู้จัดการสาวก่อนจะย้ายตัวเองมายังห้องพักของอีกคนทันทีที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า หลังจากประกาศเจตนาว่าจะใช้เวลาทั้งหมดเกาะติดอยู่กับคนรัก วาริชก็ถูกคนที่ยั้งตัวเองมานานจับฟัดจนหมดแรงไปตั้งแต่ยังไม่พ้นวันใหม่

            การนอนร่วมเตียงกันจนถึงตอนเช้าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับทั้งคู่ เช่นเดียวกันกับการคลอเคลียแนบชิดท่ามกลางแสงอาทิตย์อย่างในตอนนี้ นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าที่เคย

            “อืม…” กวินรวบเอวคอดไว้ด้วยสองมือแล้วเบียดสะโพกเข้าหาช่องทางอ่อนนุ่มเป็นจังหวะเนิบช้าหนักแน่น แต่ละครั้งกระทบลึกซึ้งถึงจุดอ่อนไหวจนคนด้านบนสะท้านกายกับทุกการขยับเขยื้อน

            เสียงครางผะแผ่วดังถี่ขึ้นในขณะที่แรงอารมณ์ถูกดึงขึ้นสูง กวินยังคงยุ่งอยู่กับการตีตราบนซอกคอขาวเนียนด้วยริมฝีปากพร้อมกับที่ยังเดินหน้าเคลื่อนเอวสอดใส่จนต้องวาริชต้องเลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งมาวางอยู่บนต้นขาแกร่งเพื่อทรงตัว แผ่นหลังของเขาหยัดโค้ง แก่นกายร้อนผ่าวเหยียดขยายเต็มที่เสียดสีไปมาระหว่างหน้าท้องระหว่างร่างสูงสอดเสยตัวตน บดขยี้ความต้องการเติมเต็มเข้าไปที่ส่วนลึกจนเขาแทบทนไม่ไหว

            บทรักในครั้งนี้ถึงจะดูเชื่องช้าแต่ก็อ่อนหวานนุ่มละมุนมากกว่าเคย ทุกการแตะต้องยิ่งทำให้ความรักร้อนแรงแจ่มชัดในความรู้สึก ดวงตาทั้งสองยังคงจับจ้องกันละกันขณะเชื่อมโยงร่างกายเป็นหนึ่งเดียว เสียงผิวเนื้อที่เสียดสีและลมหายใจที่สอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันเป็นตัวบ่งบอกความรู้สึกระหว่างทั้งสองคนโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด

            จุมพิตหวานหยดถูกมอบให้แก่กันเมื่อไปถึงฝั่งฝัน สองร่างยังกอดก่ายแนบชิด ปลายจมูกโด่งแตะสัมผัสกันแผ่วเบาขณะเสียงหอบหายใจหนักๆ ยังดังสะท้อนไปทั่วห้อง คราบหลักฐานของการปลดเปลื้องเลอะเทอะไปทั่วช่องทางและต้นขาขาวเป็นเครื่องยืนยันถึงความร้อนแรงของบทรักเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี

            กวินโอบกอดร่างบางที่ยังคงสั่นระริกจากการปลดปล่อยให้นอนลงบนเตียงนุ่ม เกลี่ยเส้นผมให้ก่อนจะกดจูบหนักๆ บนหน้าผากขณะถอนกายออกแล้วล้มตัวลงเคียงข้างกัน วาริชเผลอกลั้นหายใจกับความวูบโหวงภายในช่องทางอุ่นร้อนก่อนจะต้องหลับตาลงเมื่อรู้สึกว่าร่างกายพยายามบีบรัดตัวเข้าหากันจนของเหลวภายในไหลหยดลงบนผ้าปูที่นอน

            “ดีใช่ไหมล่ะ” ร่างสูงยกยิ้มถาม “ถึงกับหมดแรงเลยเหรอเธอ”

            “หลงตัวเอง”

            “บอกสิว่าไม่ชอบ” กวินว่าพลางโอบเอาอีกคนเข้ามาในอ้อมกอดขณะพวงแก้มใสของอีกคนเป็นสีชมพูเรื่อ

            วาริชค้อนให้เขาวงใหญ่ก่อนจะพูดเสียงเบา “มีแต่รอยเต็มไปหมด”

            ถึงจะโดนบ่นแบบนั้น แต่กวินก็มองรอยสีกุหลาบที่ตัวเองเป็นคนทำด้วยความภาคภูมิใจ ยิ่งเห็นมันกระจายอยู่ทั่วร่างของอีกฝ่าย เขายิ่งรู้สึกว่ามันเป็นหลักฐานว่าเขาได้ครอบครองวาริชอย่างแท้จริง

            “ก็เพราะเธอเป็นของกวินคนเดียว” เขาว่าพลางจูบซ้ำที่รอยแดงบนหัวไหล่

            “แล้วจะให้ไปเป็นของใครเล่า…”

            “ไม่ให้” กวินขมวดคิ้ว กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก “ไม่ยกเธอให้ใครหรอกนะ”

            “ขี้หวง”

            “ก็มีแฟนเป็นเธอ ใครจะไม่หวง”

            วาริชชี้นิ้ว “นี่เฉพาะช่วงโปรโมชั่นหรือเปล่า ไม่ใช่ต่อไปก็ทิ้งๆ ขว้างๆ กันแล้วนะ”

            “ไม่มีทาง เธออย่าเพ้อเจ้อ”

            “ใครจะไปรู้อนาคต คุณอาจจะทิ้งเราก็ได้ ”

            กวินยู่หน้า “เราจะไปทิ้งเธอได้ยังไง หลงหัวปักหัวปำขนาดนี้”

            “เกิดเจอคนที่น่าหลงกว่านี้”

            “ใครน่ารัก น่าหลงได้เท่าเธอ ไม่มีแล้ววาริช”

            “พูดไปเรื่อย เชื่อได้ไหมเนี่ย” วาริชพูดเย้า แต่เมื่อพลิกตัวหันหน้าเข้าหากัน ก็พอดีสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มที่มองมาอยู่ก่อนแล้วของอีกคน มือข้างหนึ่งถูกจับวางไว้ที่ข้างแก้มของกวิน

            “ตลอดไป...” เจ้าตัวพูดช้าๆ จนจังหวะหัวใจของวาริชเต้นตุบ “เชื่อเถอะ… ว่าเรารักเธอ… เท่าที่คนหนึ่งคนจะรักอีกคนได้”

            “อือ…” รอยยิ้มสวยที่ถูกมอบให้พร้อมกับจุมพิตแผ่วเบา คำสัญญาระหว่างกันถูกแลกเปลี่ยนด้วยความรักเต็มหัวใจ “เราก็เหมือนกัน”

            “ดีจัง” กวินกอดอีกคนไว้เสียจนจมอก “ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้เหมือนฝันเลย”

            “อีกหน่อยก็หาเวลาอยู่ด้วยกันยากแล้ว” วาริชว่า “กว่าจะได้เจอกันคงลำบากน่าดู”

            “อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ”

            “คุณนักแสดงไม่อยากทำงานแล้วเหรอ”

            “อยากสิ” ร่างสูงหน้างอ “แต่ก็อยากเป็นแฟนเธอด้วย”

            “นี่ไม่ได้เป็นอยู่หรือไง” วาริชย้อน

            “เป็นสิ” กวินรีบพูด “แต่ก็อยากอยู่ด้วยกัน ไปเดทแบบที่คนอื่นเขาทำกันบ้าง เดินจับมือกัน กินข้าว ดูหนัง ใช้ชีวิตด้วยกันข้างนอกแบบไม่ต้องกังวลอะไร”

            “คือ…” วาริชเม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วซุกตัวเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

            ใช่ว่าเขาไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นกับอีกคน แต่ด้วยหน้าที่การงานและสถานะนักแสดงหน้าใหม่ในปัจจุบัน หากมีคนรู้เรื่องเข้าล่ะก็คงไม่พ้นโดนขุดคุ้ยเรื่องความสัมพันธ์แล้วถูกตราหน้าว่าเกาะอีกฝ่ายเพื่อความโด่งดัง อนาคตไม่ว่าจะของเขาหรือแม้แต่กวินเองก็อาจดับวูบไปแบบไม่มีวันกลับมาได้อีก

            วาริชกะพริบตาปริบเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือที่ลูบเรือนผมตนเองอยู่

            กวินพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ “ไม่เป็นไร… เราเข้าใจ”

            เขาตอบรับอืออา “ขอบคุณ”

            “ขอบคุณอะไรฮึ?” คราวนี้ร่างสูงเป็นฝ่ายหัวเราะ “…แค่เธอยังอยู่กับเราตรงนี้ก็โอเคที่สุดแล้ว”

            “อืม” ถึงจะยังไม่แน่ใจนักว่าอีกคนจะเข้าใจสิ่งที่เขาคิดอยู่ทั้งหมดหรือไม่ แต่ก็วาริชเอื้อมไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะพูดตอบ “เหมือนกัน”

            “งั้นต่อไปนี้… เราแชร์ตารางงานกันไว้ ถ้าใครว่างก็เป็นฝ่ายไปหากัน ดีไหม? ” กวินพูดพลางนึกถึงตารางการถ่ายทำละครเรื่องต่อไปของตนเอง เป็นครั้งแรกที่การออกกองต่างจังหวัดดูจะเป็นปัญหากับเขาขนาดนี้ “แต่งานต่อไปเราถ่ายไกลด้วยสิ... คงต้องวีดีโอคอลคุยกันแทนละมั้ง”

            “โอเค” วาริชว่าพลางบีบมือเขาเล่น “ก็อาจจะดีก็ได้นะ… จะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ขึ้นคอนโดไงล่ะ”

            “ดีที่สุดคือเราได้เจอหน้าเธอต่างหาก” กวินท้วง ก่อนจะพูดขึ้นอีก  “แต่ก็… ไม่เป็นไรหรอก จะเจอหรือไม่เจอกันก็ไม่สำคัญนี่ ยังไงเราก็ยังรักเธออยู่ดี”



            ///

            Now

            “ดีมาก! นักแสดงพักสิบห้าได้ครับ ขอบคุณมาก” ดนัยพูดขึ้นเสียงดังหลังตรวจความเรียบร้อยจากจอมอนิเตอร์พลางสั่งการทีมงานต่อ “โลเตรียมซีนต่อไปได้ เซทสองดูไฟด้วย คิวหกเตรียมรันทรูก่อนรอบหนึ่ง” เมื่อกำหนดการถ่ายทำฉากถัดไปผ่านวิทยุสื่อสารเสร็จ ผู้กำกับอย่างเขาก็ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืดตัวแก้เมื่อย แต่สายตาก็พลันหันไปเห็นเจ้าของบทละครของเรื่องนั่งขมวดคิ้วมุ่นอยู่บริเวณด้านหลังของตัวเองเสียก่อน

            “วาริชมีอะไรหรือเปล่า” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้ “บทมีอะไรผิดไปหรือเปล่า”

            “ผมกำลังคิดเกี่ยวกับฉากเมื่อกี้นิดหน่อยน่ะครับ แต่จริงๆ เอาไว้คุยกันตอนตัดต่อก็ได้”

            เมื่อเห็นคนพูดทำสีหน้าปั้นยาก ดนัยเลยตัดสินใจเดินหลีกทีมงานเข้าไปนั่งข้างเจ้าตัว

            “ไม่ต้องรอถึงตอนนั้นหรอก นี่พี่ก็ว่างอยู่” เขาว่า ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นคนเขียนบทละครเรื่องนี้ขึ้นมากับมือ ตัวเขาที่เป็นผู้กำกับก็ควรให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นอยู่แล้ว “บอกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

            “คือ… ผมอยากจะตัดส่วนสุดท้ายทิ้ง” วาริชพูดขึ้น “ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”

            “หา ทำไมล่ะ” ดนัยถึงกับเหวอ “พี่ว่าก็ดีออก ที่ถ่ายทำไปก็ดูไม่มีปัญหาอะไรนี่” เขาทบทวนถึงฉากที่เพิ่งถ่ายจบไป ทั้งๆ ที่เป็นฉากธรรมดาๆ ของพระเอกนางเอกแท้ๆ มันไม่เห็นมีปัญหาอะไรตรงไหนเลยนี่

            “จริงๆ ก่อนจะจบฉาก ปราณชลไม่ควรพูดแบบนั้น” วาริชว่า “แบบนั้นดูไม่เป็นปราณชลเลย”

            ก่อนที่ดนัยจะได้พูดอะไรตอบกลับไป เสียงชายหนุ่มเจ้าของบทบาทที่กำลังถูกพูดถึงแทรกขึ้นมากลางวงสนทนา “แบบไหนครับ? ”

            ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่ใบหน้าของร่างสูงก็ไม่อาจนับได้ว่ากำลังอารมณ์ดี วาริชเงยหน้ามองอีกฝ่ายนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ก่อนจะขยับริมฝีปากตอบคำถามช้าๆ ราวกับกำลังย้ำเตือนอะไรบางอย่าง “ปราณชลไม่ชอบการผูกมัด เพราะอย่างนั้นผมว่าเขาคงไม่อยากพูดคำสัญญาอะไรแบบนั้นออกไปหรอก”

            “แต่ถึงจะเป็นคนไม่ชอบการผูกมัด ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะแสดงออกเป็นคำพูดไม่ได้นี่ครับ” กวินแย้ง

            “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องเลือกใช้คำหน่อย อย่างที่รดาถามว่า คุณจะยืนอยู่ข้างฉันใช่ไหม ผมว่าปราณชลคงไม่ตอบว่า ตลอดไป อย่างที่คุณพูดหรอก อย่างเขาน่าจะเงียบแล้วหันมากุมมือเธอไว้แทนมากกว่า”

            “แต่ผมว่าเขาควรจะพูด” ฝ่ายนักแสดงยืนยัน “มันเป็นการบอกว่าเขาจริงจังกับรดา”

            “คำว่า ตลอดไป น่ะเหรอครับ” วาริชถามพร้อมรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “ผมไม่อยากให้เขากลายเป็นคนพูดอะไรที่เชื่อถือไม่ได้หรอกนะคุณกวิน” เขาจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างไม่ลดละ “ตอนนี้เขายังสับสนและไม่แน่ใจกับสถานะที่จะให้กับรดา เขาอาจแสดงออกทางการกระทำได้อย่างที่คุณว่า แต่เรื่องคำพูด... ปราณชลจริงจังกับคำพูดมาก เขาระมัดระวังมากพอ และคงจะเลี่ยงพูดคำสัญญาที่เขายังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ในอนาคตออกไปแน่ๆ ”

            “แต่สำหรับผม…สำหรับปราณชล นั่นเป็นความรู้สึกของเขาในตอนนั้น ทำไมเขาจะพูดคำนั้นออกมาไม่ได้” กวินยังยืนยันหนักแน่น “ที่สำคัญ...เขาตั้งใจอยู่จะข้างรดาตลอดไปจริงๆ ”

            “เพราะในที่สุดเขาก็ไม่อยู่ไงครับ” วาริชกล่าว “เขาปล่อยเธอไป”

            “แต่นั่นเพราะความจำเป็น...” กวินว่า “มันมีอีกหลายเรื่องที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือเขารักรดา”

            “ใช่ครับ นั่นเป็นเรื่องจริง” วาริชพยักหน้า “แต่การที่ต้องมาฝังใจกับคำว่า ตลอดไป ของอีกคนน่ะ… มันออกจะทรมานอยู่นะครับ” นัยน์ตาสีอ่อนทอแววแข็งกร้าว “แค่นี้ความรักของพวกเขาก็ยากอยู่แล้ว คุณคงไม่อยากเพิ่มประเด็นที่ปราณชลต้องมาตามแก้ตัวตอนครึ่งหลังอีกหรอกใช่ไหม”

            กวินเม้มปากแน่น เขาไม่รู้ว่าควรจะไปต่ออย่างไรดีกับบทสนทนานี้
            ปราณชล… ปราณชล…
            คำว่าตลอดไป นายจะไม่มีสิทธิ์พูดเชียวหรือ

            เมื่อการโต้เถียงเริ่มดูจะไม่จบลงง่ายๆ ดนัยที่เป็นผู้กำกับก็ถึงกับต้องเป็นฝ่ายเข้ามาไกล่เกลี่ย

            “เอ่อ… พี่ว่า เราลองมารีวิวหลังจากนี้ก็ได้นะ ดูฟุตเทจรวมแล้วลองตีความกันอีกที”

            “ได้ครับ” กวินว่า

            “ลองดูอีกทีก็ได้ครับ” วาริชตอบบ้าง “ผมแค่อยากลองปรึกษาเรื่องนี้ดูกับพี่ดนัยก่อนเท่านั้น ส่วนที่พูดไป ก็เป็นความเห็นส่วนตัวน่ะครับ หวังว่าคุณกวินคงจะไม่ถือสา” เขายิ้ม

            “ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจ”

            “มีอะไรคุยกันแบบนี้ก็ดีแล้วแหละ” ดนัยหัวเราะพลางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “งานจะได้ออกมาดีๆ อย่างที่ทุกคนตั้งใจกันไว้เนอะ”

            “ครับ” กวินตอบ “ผมก็อยากให้งานออกมาดีที่สุด อยากจะเป็นปราณชลให้ได้ตามที่ทุกคนคาดหวังไว้ ยังไงก็คงต้องขอคำแนะนำจากทุกคนอีกเรื่อยๆ … นะครับ”

            นัยน์ตาสีเข้มจงใจจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยของใครบางคนที่ยังคงนั่งนิ่งราวกับจะสื่อสารให้ฟังโดยตรง ก่อนจะพูดขอตัวออกไปเตรียมตัวสำหรับการถ่ายฉากต่อไป

            วาริชมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปตามจังหวะการก้าวเดิน ความปวดบริเวณขมับแล่นจี๊ดราวกับสมองถูกบีบเมื่อคิดถึงประโยคในอดีตอันเป็นที่มาของการโต้เถียงเมื่อครู่

            กวิน… คุณจะเป็นปราณชลได้ดีเกินไปหน่อยแล้ว…



            _ _ _
           


            TBC


            แฮ่... มาช้าแต่ก็ยังมานะคะ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านอยู่บ้างไหม แต่เราตั้งใจเขียนมากเลย 5555
            อาจจะมีฉากเยอะไปหน่อย แต่คู่ของกวินและวาริชในอดีตนั้น ทั้งคู่ยังเด็กและตัดสินใจที่จะมีกันและกันอยู่แค่สองคนในพื้นที่ส่วนตัว นั่นเป็นที่เดียวที่เขาแสดงออกความรู้สึกที่มีให้กันได้ เลยออกจะร้อนแรงไปสักหน่อย (จริงๆ ก็คือคนเขียนก็อยากจะทดลองเขียนฉากอะไรแบบนี้บ้างเหมือนกัน ยังไงก็ติชมกันได้นะคะ) ส่วนในปัจจุบันก็... ตามนั้นแหละค่ะ

            แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ

            รัก 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2020 22:39:43 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: - Dear Varich - Part 5 *update 20.9.2020*
«ตอบ #11 เมื่อ23-09-2020 01:10:33 »

โห ถ้านักเขียนทุ่มเทเขียนขนาดนี้ ผมก็ทุ่มเทอ่านครับ 555

เขียนดีมากๆ แทบไม่น่าเชื่อว่าเขียนรูปแบบนี้เป็นครั้งแรก สลับพาร์ทอดีตกับปัจจุบันได้ดี มีความต่อเนื่องของอารมณ์และความรู้สึก เลือกคำบรรยายได้ดี ตัวละครมีมิติของอารมณ์ความรู้สึกที่ดูสมจริง มีเหตุผล

คิดว่าละครเรื่องที่กำลังถ่ายทำ น่าจะเป็นนวนิยายที่สะท้อนตัวตนและเรื่องราวที่วาริชได้พบผ่านมา วาริชคงอยากจะเอาเรื่องราวในอดีตมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายออกมา เพื่อที่อย่างน้อย วาริชคงจะได้ย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเมื่อได้เห็นละครเรื่องนี้ผ่านหน้าจอ ได้ย้ำเตือนถึงสิ่งที่ตัวเองได้เจอมาในอดีต และเป็นดั่งหมุดที่คอยตอกย้ำอารมณ์และความรู้สึกของเขาให้มันไม่ไหลเตลิดไป ให้ตัวตนของวาริชรู้สึกว่า "เจ็บแล้วต้องจำ"

ความคิดแบบนี้จะถือว่าดีก็ไม่ใช่ อันตรายก็ไม่เชิง เพราะการที่เราพยายามจะย้ำเตือนถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอด และมีความต้องการอันแรงกล้าที่พยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นซ้ำๆ (แม้ว่าจะไม่มีใครรับรู้ก็ตามนอกจากตนเอง) เป็นกึ่งๆสภาวะแรกของคนที่ไม่สามารถหลุดออกจากห้วงทรมานภายในจิตใจได้ เป็นสภาวะกึ่งเริ่มต้นของอาการซึมเศร้า ซึ่งผมคาดว่าเป็นผลมาจาก PTSD หลังจากที่วาริชเลิกกับกวิน ซึ่งแน่นอนว่าการเลิกกันครั้งนั้นมันต้องทำให้วาริชพังพอสมควร เพราะการหายตัวไปห้าปีมันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติเค้าจะทำกัน ส่วนมากเคสที่หลบหลีกการพบเจอผู้คนมาจากสาเหตุสองประการ หนึ่งคือไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ สองคือไม่กล้ารับรู้ตัวตนของตนเองผ่านการเห็นในมุมมองบุคคลอื่นได้

เช่นเดียวกัน ตัวละครหลายๆตัวและเซตติ้งสภาพแวดล้อมในนวนิยายก็ทำออกมาได้สมจริง แสดงว่าผู้เขียนทำการบ้านมาดี มีการหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวงการละคร กระบวนการต่างๆ ตัวละครที่ใส่เข้ามาก็ไม่มากเกินไป แต่ละตัวละครมีบทบาทของเค้าที่ต้องเล่น ซึ่งผู้เขียนก็ทำมันออกมาได้ดีนะครับ เช่น ตัวละครผู้จัดการส่วนตัวของวาริชกับกวินในพาร์ทอดีต ตัวละครคนสนิทของวาริชในปัจจุบัน

ที่อยากชมมากๆเลยคือการบรรยายครับ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่านักเขียนมีความสามารถในการแต่งสลับพาร์ทแล้วเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันผ่านคียเวิร์ดในเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ได้ดี เช่น การเชื่อมคำว่ารักตลอดไป จากสองเหตุการณ์ที่ต่างเวลากัน แล้วเอามาหยิบเป็นประเด็นเล่นบรรยายให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงปมความรู้สึก การเลือกใช้คำในการบรรยายก็ทำได้ดี ละเอียดอ่อน ละเมียดละไมกับความรู้สึก รู้ได้เลยว่าผู้แต่งเลือกใช้คำที่คิดมาแล้วว่าคนอ่านน่าจะต้องรู้สึกอย่างนี้ (น่าจะทดลองอ่านกับตัวเองมาก่อน) ใช้ภาษาไทยได้ดีครับ ผมไม่เห็นคำผิดเลย ในช่วงที่มีความรัก ก็บรรยายได้จนผู้อ่านรับรู้ถึงความหลงใหลและบรรยากาศของความรักโรแมนติก แต่แฝงไปด้วยความหนักอึ้งของบรรยากาศในโทนเรื่องที่เป็นดราม่า

แม้จะเขียนมาได้แค่ไม่กี่ตอน แต่ก็ถือว่าสตาร์ทได้ดีมากๆครับ ผมติดตามครับ เขียนได้ดีมาก คุมโทนเรื่องได้ดี ตัวละครมีมิติ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังอยากรู้ปมของเรื่องและการแสดงออกถึงคาแรกเตอร์ รวมถึงการบรรยายมิติตัวละครของกวินออกมาในอนาคตบทต่อๆไปด้วย ซึ่งคิดว่าน่าสนใจมากว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2020 01:15:08 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: - Dear Varich - Part 5 *update 20.9.2020*
«ตอบ #12 เมื่อ28-09-2020 04:46:58 »

ดีมาก มันดีมากกกกก o13 น่าติดตามสุดๆ :katai2-1:

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 6 *update 29.9.2020*
«ตอบ #13 เมื่อ29-09-2020 20:40:19 »

                 #6



                 ถึง วาริช

                 ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ นายจะทำอะไรบ้าง?

                 ///



                 Then




                 (เธอทำอะไรน่ะ)

                 “ก็รีดเสื้อไงคุณกวิน พรุ่งนี้เรามีให้สัมภาษณ์แต่เช้าเลย” วาริชยืนก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตารีดไอน้ำ มือสวยลูบไปบนเนื้อผ้าอย่างระมัดระวังก่อนจะพูดยิ้มๆ “ได้โอกาสใส่ตัวนี้เสียที”

                 (ดีใจอยู่หรอกที่เธอยอมใส่) เขาพูดถึงเสื้อยี่ห้อดังที่ตัวเองเป็นคนซื้อให้อีกฝ่าย ตอนนั้นถึงวาริชจะบ่นเขาอยู่ได้ตั้งหลายวันว่าใช้เงินสิ้นเปลือง แต่ตอนได้รับเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างแล้วกอดไว้ไม่ยอมปล่อย ดูออกเลยว่าทั้งเห่อและดีใจขนาดไหน ที่กวินยังไม่เคยบอกก็คือเขายังซื้อเสื้อแบบเดียวกันแต่คนละสีไว้เป็นของตัวเอง ในใจเคยหวังไว้ลึกๆ ว่าอยากจะใช้ของเหมือนกันอย่างคู่รักอื่นๆ สักครั้ง

                 (ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมเธอถึงต้องใช้เสื้อผ้าตัวเองต่างหาก)

                 วาริชหัวเราะ “เอ้า ก็ต้องใช้เสื้อผ้าตัวเองสิ ไม่งั้นจะทำยังไง”

                 (สปอนเซอร์ของค่ายจัดให้ไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นก็ต้องเป็นรายการสิที่เอามาให้ ใช้แล้วก็มีคนมารับคืนไป)

                 “ไม่มีหรอก ค่ายเราน่ะไม่ได้ดังเหมือนของคุณนี่” คนพูดยังคงยิ้มอยู่ระหว่างรีดผ้า “เสื้อผ้าสปอนเซอร์น่ะไม่ได้มีมาบ่อยขนาดนั้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่งานถ่ายทอดสดรายการพิเศษหรือต้องเข้าร่วมแฟชั่นโชว์ก็แทบจะไม่มีมา”

                 (ค่ายก็ต้องจัดการเอาสิ) กวินรู้สึกหัวเสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                 “ผลงานของเรายังไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันเลยคุณ” วาริชกลับเป็นฝ่ายพูดปลอบ “ค่ายก็ไม่ได้ใหญ่ จะมาลงทุนกับเราเยอะแยะทำไม ถือว่าช่วยๆ กัน”

                 กวินยังตีหน้ายุ่ง เขาไม่เคยต้องเจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน ถึงเขาจะเป็นศิลปินหน้าใหม่ แต่เพราะค่ายที่เขาสังกัดอยู่นั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า หรือเครื่องประดับทุกอย่าง คนของค่ายอย่างแพรวาก็เป็นคนจัดการให้เขาตลอด ที่จะโดนกำกับก็มีแค่ว่าชิ้นไหนต้องส่งคืนสปอนเซอร์ให้ทันเวลาเท่านั้น ยิ่งเรื่องต้องมารีดชุดเองนี่ลืมไปได้เลย

                 (ย้ายสังกัดไหม) เขาถามอย่างจริงจัง (นี่เธอยังต้องใช้ผู้จัดการรวมกับคนอื่นอยู่ด้วยซ้ำ)

                 “ไม่เอาหรอก” วาริชว่ายิ้มๆ พลางหยิบเสื้อที่รีดเสร็จแล้วขึ้นดูความเรียบร้อย “ที่นี่เป็นคนชวนเรามาเข้าวงการ พี่ๆ ทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวเรา และเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถและพยายามหางานให้เรามาตลอดเลยนะ”

                 กวินถอนหายใจ (เธอจะเป็นแบบนี้ไปตลอดไม่ได้)

                 “ถ้างานเราเยอะขึ้น เดี๋ยวอะไรๆ ก็คงดีขึ้นเองแหละ คุณอย่าคิดมากสิ”

                 (เป็นคนดีเกินไปแล้วเธอน่ะ)

                 วาริชหัวเราะเสียงใสขณะจัดการถอดปลั๊กเตารีดไอน้ำออก ร่างโปร่งเดินเตรียมของในวันรุ่งขึ้นก่อนจะย้ายตัวเองมานอนคุยบนที่นอน “คิดแบบนั้นเหรอ วันก่อนใครนะยังพูดว่าเราใจร้ายอยู่เลย”

                 (ก็เธอไม่ยอมให้เราไปหา แถมไม่ยอมคอลด้วยอีกต่างหาก เอาแต่ไล่เราไปนอน)

                 “ก็มันจริง เลิกงานก็ตั้งดึกดื่น กว่าจะกลับเข้าเมืองก็เหนื่อยแย่”

                 (แต่เราอยากเจอเธอนี่ ไม่ได้เจอหน้ากันจะครบเดือนแล้วนะ คิดถึงจะตายอยู่แล้วครับ)

                 “เราไม่อยากให้คุณเหนื่อย… คุยกันแบบนี้ไปก่อนก็ได้” วาริชว่า

                 ในตอนนี้ละครที่พวกเขาถ่ายด้วยกันกำลังเข้าสู่ช่วงตัดต่อเพื่อเตรียมออกฉายซึ่งใช้เวลาราวสามถึงสี่เดือน กวินเริ่มงานชิ้นใหม่ที่ต้องออกไปถ่ายทำยังต่างจังหวัดทีละหลายๆ วัน ในขณะที่งานของวาริชถึงจะเรียกได้ว่ามากขึ้น แต่ก็ยังมีแต่งานจุกจิกไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่

                 กวินตีหน้ายุ่ง (ไม่รู้แหละ กลับเข้าเมืองคราวหน้าต้องได้เจอแล้วนะ)

                 วาริชยิ้ม “อื้อ”

                 (แล้วพรุ่งนี้เธอทำอะไรบ้างน่ะ)

                 “ให้สัมภาษณ์รายการหนึ่ง เป็นสกู๊ปเล็กๆ ของช่อง ABC” วาริชตอบ

                 (รายการใหม่ของทีมพี่ขมหรือเปล่า) กวินถามขึ้นอย่างสนใจ จำได้ว่าผู้จัดการของตัวเองเคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังอยู่ แต่ตารางของเขาไม่อำนวยเลยต้องปฏิเสธไป

                 “เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่เคยเจอเลย”

                 (น่าจะใช้นะ พี่ขมน่ารัก เราเคยเป็นแขกรับเชิญในรายการที่พี่เขาเคยเป็นครีเอทีฟ ตอนนี้คงได้มาปั้นรายการใหม่แล้ว)

                 “อื้อ ถ้าคุณพูดว่าดีก็น่าจะดี” วาริชว่าพลางหันไปมองนาฬิกาแล้วคิดถึงตารางงานของอีกคน “ว่าแต่คิวพรุ่งนี้ของคุณน่ะ เช้ามากเลยไม่ใช่เหรอ รีบไปนอนได้แล้ว”

                 (ไล่กันอีกแล้วไง)

                 “ไม่รีบนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่หล่อนะ” วาริชขู่ “หน้าโทรมไม่รู้ด้วย”

                 (งั้นนอนพร้อมกัน) กวินยังดื้อ (คอลทิ้งไว้แบบนี้แหละ อยากเห็นหน้าเธอตอนหลับ)

                 “คอลได้ แต่ถ้าถ่ายรูปเก็บไว้อีกจะโกรธจริงๆ น่าเกลียดจะตาย” วาริชบ่น คราวที่แล้วที่ทำแบบนี้ วันรุ่งขึ้นอีกฝ่ายก็ส่งรูปหน้าเขาตอนหลับมาให้หนึ่งอัลบั้มเต็ม บอกว่าน่ารักแบบนั้นแบบนี้ “ไม่เอาแล้วนะคุณ” เขากำชับ

                 (โอ๋ อย่างอนนะ ห่างกันแบบนี้ไม่รู้จะไปกอดง้อยังไง)

                 “ปากดี” วาริชย่นจมูก

                 (อย่างอื่นก็ดี) ร่างสูงทำตาวิบวับ (เธอก็รู้)

                 “อยู่คนละที่ยังจะทะลึ่งอีก” วาริชก้มหน้างุด “นอนๆๆๆ เราจะปิดไฟแล้ว”

                 อันที่จริงเรื่องเขินก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่วาริชกลัวจริงๆ คือการที่มีคนมาเปิดเจอรูปเขาในโทรศัพท์ของกวินต่างหาก ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ความลับเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงปิดไม่อยู่แล้ว

                 (นอนครับนอน) กวินพูดแล้วส่งยิ้มพลางล้มตัวลงบนที่นอนบ้าง ถึงจะไม่ได้พบกันเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ใบหน้าที่มองจากหน้าจอโทรศัพท์ยังคงหล่อเหลาเหมือนอย่างที่เคยจำได้ (ฝันดีนะ ขอให้พรุ่งนี้ของเธอราบรื่น)

                 “ฝันดีนะ ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดีของคุณเหมือนกัน”

                 _ _ _ _



                 “ขอบคุณมากครับพี่แพร”

                 เมื่อรถยนต์คันหรูจอดสนิท นักแสดงหนุ่มก็รีบหันไปยกมือไหว้ผู้จัดการส่วนตัว ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าสะพาย เตรียมตัวจะลงไปจากรถอย่างรีบร้อน

                 “เดี๋ยวกวิน” แพรวาเรียกพลางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอง “พี่มีอะไรให้เราดูหน่อย”

                 กวินเลิกคิ้วเมื่อถูกขัดจังหวะ ใจเขาอยากจะรีบไปหาใครบางคนที่กำลังรออยู่บนห้องพักส่วนตัวจะแย่ แต่นักแสดงหนุ่มก็ยังเอื้อมมือไปรับโดยดี หลังจากกวาดตามองสิ่งที่อยู่บนหน้าจอจนเสร็จแล้วร่างสูงก็เอ่ยถามขึ้นมาสั้นๆ “รูปพวกนี้มันทำไมเหรอครับ”

                 ผู้จัดการสาวถอนหายใจ “พวกนั้นขู่ว่าจะปล่อยรูปที่เห็นหน้าชัดกว่านี้”

                 “ตลกแล้วพี่แพร นั่นมันไม่ใช่รูปผมสักหน่อย” กวินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ “ช่างมันเถอะครับ อย่าไปสนใจเลย”

                 แพรวาส่ายหน้า “กวิน” ผู้จัดการสาวถอนหายใจ เธอรู้ดีว่าถึงเธอจะพูดอย่างไรอีกคนก็คงไม่มีทางยอมรับง่ายๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น รูปที่ถูกส่งมาเป็นภาพไหวๆ ของชายปริศนาที่ใส่หมวกปิดหน้าปิดตา แถมยังใส่หน้ามาสก์จนแทบมองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ทำไมเธอที่เป็นผู้จัดการจะจำเสื้อคลุมที่นักแสดงในความดูแลชอบใช้เวลาพรางตัวไม่ได้ “เอาเป็นว่าคราวนี้พี่ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่ใช่เรา รูปที่เห็นหน้าชัดๆ ก็คงไม่มีอยู่จริง ไม่อย่างนั้นคงตีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งไปแล้ว ไม่ร่อนส่งมาให้ค่ายแบบนี้หรอก”

                 “ผมไม่ได้--”

                 “กวินฟังพี่ก่อน” แพรวาเบรก “พี่ไม่ได้จะบังคับหรือห้ามอะไร แต่พี่มาเตือนด้วยความหวังดีว่าให้ระวังตัวหน่อย สิ่งที่เธอคิดว่าไม่มีคนรู้ มันอาจจะมีคนสงสัยและคอยจับตามองอยู่ก็ได้”

                 กวินไม่ยอมพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าอีกแม้แต่น้อย

                 “ขอบคุณครับพี่แพร” ร่างสูงยิ้มให้ผู้จัดการส่วนตัวก่อนจะเปิดประตูแล้วลงไปจากรถตามที่ตั้งใจ

                 อารมณ์ขุ่นมัวของกวินติดตัวไปตลอดระหว่างการเดินจากลานจอดรถไปจนถึงหน้าห้องพัก ถึงจะมีความคิดมากมายที่ปนเปกันอยู่ในหัวสมอง แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของร่างโปร่งเป็นสิ่งแรกหลังจากที่เปิดประตูห้อง ก็มีเพียงประโยคเดียวที่เหลืออยู่อย่างแจ่มชัดในความรู้สึก นั่นคือเขาจะไม่ยอมแลกความสัมพันธ์ครั้งนี้กับอะไรทั้งนั้น...

                 ถึงจะงุนงงอยู่บ้างเมื่อถูกกวินดึงตัวเข้าไปกอดจนจมอก แต่วาริชก็ยังยิ้มกว้างแล้วลูบหลังของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “เหนื่อยไหม”

                 “อือ” กวินตอบเสียงอู้อี้ “นิดหน่อย แต่ได้กอดเธอก็หายแล้ว”

                 “พูดไปเรื่อย” วาริชหัวเราะก่อนจะดันตัวออกจากอ้อมแขนของอีกคน “ไปกินข้าวเร็ว มีสเต๊กแซลม่อนกับผักโขมอบชีสด้วยนะ”

                 “ฮึ่ย” กวินทำท่าฮึดฮัดที่ยังกอดได้ไม่เต็มอิ่ม แล้วหันมากุมมือคนรักเดินเข้าไปในห้องก่อนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง เมื่อสังเกตดีๆ ก็ได้เห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายมีเส้นเลือดสีแดงๆ ปรากฏขึ้นจนดูช้ำๆ กวินทาบฝ่ามือเข้ากับหน้าผากของวาริชก่อนจะต้องตกใจเพราะความร้อนผ่าวของพิษไข้ “เธอไม่สบายนี่!”

                 “หา?” คนไม่สบายยังกะพริบตาปริบ จริงอยู่ที่ว่าเขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวตั้งแต่คืนวานเพราะต้องถ่ายแบบอยู่ในสตูดิโอที่ถูกเปิดแอร์ไว้เย็นเฉียบ แถมยังต้องยืนตากพัดลมตัวใหญ่ที่ถูกเปิดจ่อไว้ด้านหน้าเพื่อพัดให้เสื้อผ้าพริ้วไหวอีกเป็นชั่วโมง หลังจากถึงห้องพักเขาก็อาบน้ำแล้วหลับไปแบบไม่ได้กินยาเพราะความเหนื่อยล้า พอมาถึงวันนี้ก็จดจ่ออยู่กับนัดในช่วงเย็น มัวแต่ทำนั่นทำนี่จนไม่ได้สนใจสภาพตัวเองตั้งแต่เช้า

                 “มานี่เลย” กวินจับจูงคนไม่รู้ตัวว่าป่วยเข้าไปในห้องนอน กำชับให้นั่งรอนิ่งๆ ในระหว่างที่เขาค้นห้องพักเพื่อหายาลดไข้ที่จำได้ว่าแพรวาเคยบอกว่าเก็บไว้ที่ไหนสักแห่ง

                 “คุณไม่ต้องลำบากก็ได้” วาริชพูดเรียบๆ ขณะมองดูอีกคนเปิดลิ้นชักและเดินวนไปวนมาอย่างหัวเสีย “เรานอนพักเดี๋ยวก็หาย ไปกินข้าวก่อน”

                 “ไม่ลำบาก” กวินตอบเสียงห้วน “เธอไม่สบายขนาดนี้ทำไมไม่บอกเรา”

                 “เราไม่เป็นไรจริงๆ”

                 “เธอนี่…” ในที่สุดเขาก็หายาลดไข้จนเจอ กวินคว้าขวดน้ำแล้วตรงดิ่งมาที่เตียงนอน “อย่าดื้อ”

                 เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายจริงจังเสียขนาดนั้น วาริชก็ยอมกินยาแล้วปิดปากเงียบ นัยน์ตาสีอ่อนจดๆ จ้องๆ อยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายด้วยความประหม่า ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ

                 ร่างสูงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แน่นอนว่ากวินกำลังเป็นกังวลกับเรื่องที่วาริชไม่สบาย เขาคิดเปะปะในหัวว่าถ้าหากวันรุ่งขึ้นอีกคนยังอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงไปกว่านี้จะทำอย่างไร พรุ่งนี้เขามีงานในช่วงบ่ายก็จริง แต่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเพิ่งจะเตือนมาแบบนั้นจะพาไปโรงพยาบาลเองก็คงไม่ได้ แล้วถ้าจะเรียกคนของอีกฝ่ายมารับที่ห้องของเขา… พวกเขาจะต้องเตรียมคำตอบไว้ว่าอย่างไร…

                 กวินนึกสมเพชกับสถานะของตัวเองอยู่ในใจ
                แค่จะดูแลกันยังทำไมได้เลยด้วยซ้ำ…

                 “แล้วนี่เธอกินอะไรหรือยัง” เขาตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดทำลายความอึดอัด รู้ดีว่าน้ำเสียงที่ส่งออกไปคงติดความไม่พอใจออกไปอยู่หลายส่วน

                 ร่างโปร่งเม้มริมฝีปากก่อนจะส่ายหน้า “เรา… ว่าจะรอกินข้าวพร้อมคุณ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาทำเองคนที่กำลังหัวเสียอยู่ชะงักไป “ไม่ได้เจอกันเกือบเดือนแล้ว… เราอยากนั่งกินข้าวกับคุณเหมือนเมื่อก่อน” วาริชยังคงพูดต่อ “อย่าโกรธเลยนะ”

                 เมื่อรู้ตัวว่าคงทำให้อีกคนเข้าใจผิดร่างสูงก็ต้องเป็นฝ่ายรีบพูด “ไม่ใช่ๆ เราไม่ได้โกรธเธอ… ขอโทษ ขอโทษนะ” กวินกอบกุมมือของอีกฝ่ายไว้ตรงหน้า “คือ… เราเป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอไม่สบายแบบนี้”

                 “เราขอโทษที่ไม่ได้ดูแลตัวเอง” วาริชก้มหน้าจนคางเกือบจะชิดอก อาจเป็นเพราะกำลังไม่สบาย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ “แต่ถึงเรารู้ตัวว่าเป็นไข้ เราก็คงออกมาหาคุณอยู่ดี” เขาตอบไปตามที่ตนเองคิด ก็เพราะว่าโอกาสที่จะเจอกันมันยากมากเลยน่ะสิ… เขาเลยไม่อยากพลาดเวลาที่จะอยู่ด้วยกันไปแม้แต่นาทีเดียว

                 เหมือนว่าอีกคนจะรับรู้สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ กวินขยับเข้ามาใกล้เพื่อเกลี่ยไรผมออกจากกรอบหน้า “เราก็อยากเจอเธอ…” เมื่อพูดจบร่างสูงก็โน้มตัวลงมาประทับจูบเบาๆ ที่หน้าผาก ก่อนจะผละออกแล้วยิ้มให้ “แต่ตอนนี้เธอนอนพักก่อนนะ เดี๋ยวเราต้มโจ๊กให้เธอดีกว่า”

                 วาริชยิ้มแล้วพยักหน้า “คุณก็อย่าลืมกินข้าว เราตั้งใจเตรียมมากเลยนะ”

                 ชายหนุ่มอดยิ้มตอบกับคำพูดนั้นไม่ได้เมื่อได้รู้ว่ายังไงวาริชก็ยังเป็นห่วงเขาเช่นเดียวกับที่เขาเป็นห่วงวาริช “งั้นเดี๋ยวเรามาอยู่ในห้องเป็นเพื่อนเธอ” กวินว่า “จะได้นั่งกินข้าวด้วยกัน… ดีไหม”

                ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แห่งนี้ อะไรที่เขาทำได้เพื่ออีกคน เขาก็จะทำ
                 ความกังวลทั้งหมดก็ทิ้งมันไว้ข้างนอกห้องนั่นแหละ




                 ///



                 Now

                 เป็นอีกวันที่วาริชนั่งจมจ่อมอยู่ที่ด้านหลังกับเหล่าทีมงานในกองถ่าย นัยน์ตาสีอ่อนจับจ้องภาพที่อยู่ในจอมอนิเตอร์แบบไม่กะพริบ ในขณะที่มือก็ยังคงถือบทละครเล่มใหญ่พร้อมกับสมุดโน้ตประจำตัวที่มีรอยขีดเขียนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

                 “แรป (Wrap) ครับ! ” ดนัยกล่าวขึ้นหลังจากได้สัญญาณจากผู้ช่วยผู้กำกับทั้งสองคนที่ตรวจเช็กมุมกล้องผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ “สำหรับวันนี้เลิกกองได้ ขอบคุณมากครับ” เขายืนยัน

                 ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะวันนี้คิวของนักแสดงไม่ค่อยลงตัว ทางกองจึงเลื่อนการถ่ายทำคิวเช้าให้เร็วขึ้นกว่าปกติทำให้เลิกกองเร็วขึ้นตามไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะเหนื่อยน้อยลงเสียเมื่อไหร่ ตอนนี้ทุกคนต่างคิดถึงที่นอนจะแย่แล้ว

                 เมื่อคิวการแสดงสุดท้ายหมดลง ในขณะที่ทีมงานอื่นๆ ทยอยเก็บของและจัดการเซตติ้งโลเคชั่นสำหรับการถ่ายทำในวันถัดไป เหล่านักแสดงที่หมดหน้าที่ก็ต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน บ้างมีผู้จัดการส่วนตัวมารับ บ้างขับรถกลับเอง หรือบางคนก็เลือกใช้บริการรถที่ทางกองถ่ายจัดไว้อำนวยความสะดวกทั้งขาไปขากลับ เพียงครู่เดียวจำนวนคนที่เคยเดินอยู่ขวักไขว่ก็ดูบางตาลงไปมาก

                 แต่วันของวาริชยังไม่จบ...

                 ถึงจะไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรง แต่ทุกครั้งหลังการถ่ายทำจบลงเหล่าทีมงานเบื้องหลังกับวาริชก็จะนั่งพูดคุยถึงแนวทางการตัดต่อของฉากที่เพิ่งถ่ายทำจบเพื่อสรุปบรีฟเพื่อส่งต่อไปยังฝ่ายอิดิทเตอร์ รวมไปถึงทบทวนรายละเอียดของฉากสำคัญที่จะต้องถ่ายต่อในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นกว่าที่คนเขียนบทอย่างเขาจะออกมาได้ก็นับว่าเลยเวลาที่กองถ่ายเลิกงานไปแล้วหลายชั่วโมงทีเดียว

                 “งั้นผมไปก่อนนะครับ” วาริชพูดขอตัวก่อนจะเดินออกมายังลานจอดรถด้านหน้า

                 ถึงฟ้าจะมืดแล้วแต่อาการปวดหัวที่เล่นงานเขามาตั้งแต่ช่วงบ่ายยังไม่ทุเลาลงสักนิด เขาวางกองกระดาษไว้ที่หลังคารถ ในขณะที่ยืนควานหากล่องใส่ยาในกระเป๋าสะพาย วาริชหลับตาลงพลางนวดขมับหลังจากจัดการกลืนยาลงคอ ตั้งใจว่าจะนั่งพักในรถสักครู่ให้อาการจะดีขึ้นแล้วค่อยขับรถกลับไปยังที่พัก

                 ก่อนที่ทำได้อย่างที่คิด เสียงเข้มๆ ที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้วาริชชะงักงัน
                 “คุณทำอะไรน่ะวาริช”

                 ร่างโปร่งหันกลับไปมองนิ่งๆ แล้วส่งความเงียบให้กับอีกฝ่าย ไฟสีเหลืองนวลในลานจอดรถส่องให้เห็นเจ้าของร่างสูงที่เพิ่งจะบอกลาทุกคนไปเมื่อเกือบสองชั่วโมงที่แล้วเดินเข้ามาใกล้ ถึงจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็ไม่คิดจะถามอะไรออกไป

                 เมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยที่บ่งบอกเจตนาว่าวาริชจะไม่เป็นคนเริ่มบทสนทนาระหว่างกันขึ้นมาอย่างแน่นอน นักแสดงหนุ่มก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นเอง “ขอเวลาคุยด้วยหน่อยได้ไหม…”

                 “มีอะไรก็ค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้เถอะครับ” วาริชจ้องหน้าอีกคนแล้วพูดเสียงเรียบ “ผมเหนื่อย จะรีบกลับแล้ว”

                 “คุณไม่สบายเหรอ” กวินถาม “เมื่อกี้คุณกินยาอะไร”

                 “ผมสบายดี” เขาโกหกคำโต ตอนนี้หัวสมองเขาปวดตุบจนแทบระเบิด “คุณมีอะไรก็รีบพูดมา ผมอยากกลับบ้านแล้ว”

                 ร่างสูงมองมาอย่างไม่เชื่อใจนัก ก่อนจะเอ่ยปากบอกสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้
                 “ผมอยากมาคุยกับคุณให้แน่ใจ คือ… ผมไม่อยากให้คุณอึดอัด”

                 “ไม่มีใครอึดอัด” เจ้าของดวงตาสีอ่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันอยู่แล้ว… แต่อันที่จริงระหว่างเราก็มีแค่เรื่องงานเท่านั้นไม่ใช่หรือครับ”

                 “วาริช” เมื่อได้ยินแบบนั้นกวินก็เรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมกับการเดินสืบเท้าเข้าไปใกล้ นัยน์ตาสีเข้มทอประกายวาววับราวกับจะสะท้อนความไม่พอใจออกมาผ่านดวงตาคมกริบ แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าขยับหนีถอยหลัง เจ้าของร่างสูงก็ต้องหยุดชะงักนิ่งแล้วหันมายิ้มเยาะตัวเอง “รังเกียจกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

                 “ไม่เลยคุณกวิน ผมมีสิทธิ์อะไรไปรังเกียจคุณกัน” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงนิ่งทั้งๆ ที่หัวใจกำลังเต้นรัว วาริชพูดย้ำราวกับจะเตือนตัวเอง “เราแค่เคยร่วมงานกันมาก่อนเท่านั้นเอง”

                 คนเคยร่วมงานงั้นหรือ… เข้าใจพูด…
                 น่าแปลกที่ความเป็นจริงจากริมฝีปากคู่นั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บขึ้นมาได้อีก
                 ทั้งที่คิดว่าจะไม่รู้สึกอะไรแล้วแท้ๆ ...

                 “อ้อ… นั่นสินะ” กวินยิ้ม “ผมเข้าใจแล้ว… ไม่มีอะไรระหว่างเราเคยเป็นความจริง”

                 วาริชตัวชาวาบ… นั่นมัน…
                 “หยุดเดี๋ยวนี้นะกวิน”

                 “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” เจ้าของชื่อย้อนถาม “นี่ผมพูดบทละครที่คุณเป็นคนเขียนขึ้นมาเองกับมือไง”

                 ใช่… บทละคร…. มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก
                 วาริชคิดปลอบตัวเองในขณะที่หัวสมองของเขาปวดตุบ

                 มันไม่ใช่เรื่องจริง…

                 เขาสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจจ้องตอบคนตรงหน้า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูแข็งกร้าวกว่าที่เคย
                 “คุณจะเป็นปราณชล ผมไม่ว่า แต่อย่าเอาความเป็นกวินมาใส่ในตัวละครของผม” วาริชกำมือแน่นก่อนจะพูดย้ำกับทั้งตัวเองและคู่สนทนา

                 “เขาไม่เหมือนคุณ”



                 _ _ _



                 TBC

                 ไม่รู้จะเขียนทอล์กยังไง บรรยากาศในการเขียนมันอึนเหลือเกินค่ะ เป็นแนวที่ไม่เคยลอง แถมเขียนไปลงไป เขียนจบก็ลงสดๆ ร้อนๆ ลุ้นมากค่ะ เอาเป็นว่าช่วยติดตามและติชมกันต่อไปด้วยนะคะ ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์และกำลังใจที่ให้กัน ดีใจมากๆ ใจฟูเลยจริงๆ เพราะปกติเขียนเองอ่านเองอยู่คนเดียว 555
                 แวะมาคุยมาเล่นกันได้ที่ #DearVarich ค่ะ

                 พบกันตอนหน้าค่ะ
                 รัก



ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: - Dear Varich - Part 6 *update 29.9.2020*
«ตอบ #14 เมื่อ30-09-2020 05:32:59 »

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ สู้ๆ น๊าาา :katai2-1:

อยากรู้ซะแล้วสิว่าทำไมถึงเลิกกัน :katai1:

ที่กวินอยากมาแสดงเรื่องนี้เพราะอยากเข้าใกล้วาริชแน่ๆ :hao4:

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 7.5 *update 19.11.2020*
«ตอบ #15 เมื่อ19-11-2020 19:25:19 »

                 #7

                 Warning : NC-18 // Unsafe sex // Dub-con
                 (ตอนนี้เนื้อหาอาจจะไม่เหมาะสมและ trigger นะคะ)



                 ถึง วาริช

                 นายยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นอยู่หรือเปล่า


                ///




                 Then




                 “....เดือนนี้มีอีเว้นท์สอง ถ่ายแบบเดี่ยวแบรนด์หนึ่ง คิวแคสติ้งสามบท แล้วก็… ช่วงอาทิตย์ที่สองถึงสี่จะเป็นการพวกถ่ายแบบปกกับเดินสายรายการสัมภาษณ์โปรโมตละครพร้อมกับพวกนีน่า พายุ วาริช เอก เจ มีหนึ่ง... สอง… สาม… เอ่อ.. น่าจะสี่รายการ”

                 กวินพยักหน้ารับรู้พลางมองผู้จัดการของตัวเองเลื่อนหน้าจอในไอแพดไปมาพลางอธิบายเรื่องตารางงานของเขาในเดือนนี้ ถึงจะน่าหดหู่เพราะไม่มีวันหยุดติดกันให้ชื่นใจ แต่ก็ยอมรับว่าชื่อของคนรักที่โผล่ขึ้นมานั้นทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นนิดหน่อย เพราะหลังจากวันที่เจอกันล่าสุดก็ครบสองเดือนเข้าไปแล้ว



                 เขาไม่ได้คิดไปเอง… ช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานขึ้นเรื่อยๆ

                 มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เมื่อทั้งเขาและคนรักต่างทำงานในวงการบันเทิงที่จังหวะเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ช่วงนี้ตารางงานของกวินยุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะทางค่ายกำลังใช้โอกาสที่เขาได้เป็นตัวเอกของโปรเจ็กต์ใหญ่ของ ABC ป้อนงานเพื่อดันกระแสในโซเชี่ยลคู่กับนางเอกสาวอย่างนีน่าเสียยกใหญ่ ในขณะที่ถึงวาริชจะยังไม่ได้มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็มีงานถ่ายแบบติดต่อเข้ามาเป็นระยะ เพราะอย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าเวลาเขาว่าง วาริชจะมีเวลา หรือต่อให้โชคดีมีเวลาว่างตรงกัน ช่วงนี้เขาก็มักโดนแพรวาจับตามองทุกฝีก้าวอยู่ดี จะมีโอกาสได้คุยกันก็ต้องผ่านโปรแกรมแชท หรือไม่ก็ได้แต่วิดีโอคอลสั้นๆ ในช่วงกลางคืนไม่กี่นาทีเท่านั้น

                 “นี่! ฟังอยู่หรือเปล่าน่ะเรา?” แพรวาเรียกสตินักแสดงในความดูแลของตัวเอง “พี่ถามว่าจะเอาบทไปลองดูทีเดียวเลยไหม ไหวหรือเปล่า?”

                 กวินกะพริบตาปริบ ดึงตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดียวกันกับอีกคนอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ก็ได้ครับ”

                 ผู้จัดการสาวส่ายหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ “เดี๋ยวพี่ไปดูเสื้อผ้าของอาทิตย์นี้ก่อน ถ้าสไตลิสต์จัดไว้แล้วจะได้เอาไปด้วยเลย กวินรออยู่นี่แหละ ระหว่างนี้ก็ลองดูลุคสำหรับงานอีเว้นท์ไปพลางๆ ก่อนแล้วกันว่าอยากปรับอะไรไหม”

                 “โอเคครับ” เขาว่าพลางเอื้อมมือไปรับไอแพดจากมือแพรวา หน้าจอถูกเปิดค้างไว้ที่รูปเสื้อผ้าที่ถูกจัดวางไว้เข้าชุดกันพร้อมกับรายละเอียดงานที่เขียนกำกับไว้ด้วยหลายมือขยุกขยิก กวินเอนตัวไปกับโซฟาก่อนจะเลื่อนดูไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย

                 หลังจากที่ดูทั้งหมดจบ เขาก็ได้โอกาสนั่งนิ่งๆ อย่างที่ไม่ได้ทำมานาน โดยปกติแล้วในรอบหนึ่งเดือนศิลปินในสังกัดก็ควรจะได้เข้ามาที่ค่ายเพื่อคุยเรื่องแนวทางการทำงาน วัดตัวกับสไตลิสต์ หรืออย่างน้อยๆ ก็จัดการเรื่องเอกสารสักหนึ่งครั้ง แต่เพราะคิวงานก่อนหน้านี้ของเขาแน่นขนัด หน้าที่เหล่านั้นเลยตกเป็นของแพรวาไปโดยปริยาย นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่เขาได้เข้าบริษัทมาแบบจริงๆ จังๆ

                 วันธรรมดาแบบนี้ภายในห้องพักผ่อนของบริษัทแทบจะไม่มีคน เขาเลยเหมือนได้ครองห้องอยู่คนเดียว โซฟาที่ถูกจัดเป็นเซทกระจายกันเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้สะดวกต่อการนั่งสนทนา ในขณะที่มุมหนึ่งก็มีเครื่องดื่มและอาหารรองท้องจัดเตรียมไว้คอยบริการราวกับอยู่ในเล้าจ์ของสายการบิน จะต่างออกไปก็ตรงจอภาพขนาดใหญ่บนผนังที่มีไว้เพื่อเปิดคลิปโปรโมตงานของศิลปินภายในสังกัดที่กำลังจะออนแอร์วนไปมาเหมือนกับจะสะกดจิตกัน



                 กวินกะพริบตาปริบเมื่อพบว่ามีภาพวันเปิดกล้องเมื่อหลายเดือนก่อนของเขารวมอยู่ด้วย มุมปากสวยยกขึ้นแบบไม่รู้ตัวเมื่อเห็นใครบางคนร่วมอยู่ในเฟรมเดียวกัน รอยยิ้มสดใสกับดวงตาสีอ่อนเป็นประกายที่มองเข้ามาในกล้องทำให้หัวใจฟองฟูขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก



                 นักแสดงหนุ่มอดคิดย้อนไปถึงวันนั้นไม่ได้ อุตส่าห์กำชับไว้แล้วเชียว
                 หลบไปยืนเสียไกลเลยนะ… ไอ้เราก็อุตส่าห์อยากยืนข้างๆ จะแย่

                 คิดถึง…

                 ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีโอกาสแบบนั้นอีก…


                 แม้ว่าโฆษณานั้นจะจบลงไปแต่เจ้าของร่างสูงก็ยังคงทอดสายตามองดูจอภาพต่อแล้วปล่อยให้ตัวเองจมลงไปกับความคิดถึงคนรัก ถ้าได้ร่วมงานกันแล้วอย่างไร ท้ายที่สุดก็คงต้องทำตัวห่างเหินกันอยู่ดี ความสัมพันธ์แบบที่ไม่สามารถให้ใครรับรู้ได้ ยังไงก็ต้องหลบอยู่ใต้เงาแบบนี้ต่อไปไม่ใช่หรือไง…

                 ตอนนี้แค่เรื่องธรรมดาที่สุดอย่างการพบกัน… พวกเขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

                 กวินกะพริบตาปริบเมื่อพบว่าตัวเองถอนหายใจออกมาแบบไม่รู้ตัว ร่างสูงนิ่งไปพร้อมกับย้ำกับตัวเองให้เฝ้ารอวันที่เขาทั้งคู่จะได้จับมือแล้วยิ้มให้กันและกันท่ามกลางแสงไฟ บอกรักกันอย่างไร้กังวล ได้เป็นคนรักกันนอกห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เหมือนอย่างที่คนอื่นเขาเป็นกัน

                 มันต้องมีวันนั้น… ก็แค่ต้องอดทนหน่อย

                 “เฮ้ กวิน ไม่ได้เจอตั้งนาน” ใครบางคนเรียกชื่อเขาขึ้นมาเสียงดัง

                 เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมค่ายที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

                 “ว่าไงเซน” เขาทัก

                 “งานยุ่งสินะ” คนมาใหม่พูดล้อก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวตรงกันข้าม “ไม่ค่อยเห็นเข้าบริษัทเลย”

                 “นิดหน่อย” กวินยิ้ม “แต่คงไม่เท่านาย ช่วงนี้แฟชั่นวีคนี่”

                 “งานฉันน่ะมันยุ่งแค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ ไม่ใช่นักแสดงคิวทองแบบนายนี่ เบื่อหน้าในจอโปรโมตจะแย่” เซนพูดแหย่ ถึงจะเข้าเป็นศิลปินในสังกัดในเวลาไล่เลี่ยกันจนได้รับการเทรนพื้นฐานในคลาสเดียวกัน แต่เส้นทางการทำงานของทั้งสองคนก็แตกต่างกันมาก เซนเลือกที่จะทำงานสายแฟชั่น ส่วนกวินก็เลือกเดินในสายการแสดงเป็นหลัก

                 “เอ้อ เมื่อวันก่อนเจอคนที่แสดงกับนายในแฟชั่นโชว์ด้วย”

                 “ใครนะ” เขาถาม

                 “คนนั้นน่ะ… ที่เล่นละครของ ABC ด้วยกันกับนาย… เมื่อกี้ยังมีคลิปโปรโมตอยู่เลยไง” อีกฝ่ายดีดนิ้วพลางคิดไปด้วย “จำชื่อไม่ได้แฮะ… หนุ่มดอกไม้ที่หน้าตาน่ารักๆ เหมือนตุ๊กตาน่ะ”

                 คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนจะพูดชื่อใครบางคนออกไป “วาริช? ”

                 “ใช่ๆ วาริช…” เซนพยักหน้า “เป็นคนที่ใส่อะไรก็ดูดีไปหมดเลยจริงๆ ยิ่งเสื้อผ้ายูนิเซ็กซ์ยิ่งเหมาะ ตอนเจอครั้งแรกนึกว่าเป็นนายแบบจากเมืองนอกซะอีก ปรากฏว่าเขาเป็นลูกเสี้ยวอิตาลีกับญี่ปุ่น”

                 กวินเลิกคิ้ว “รู้ขนาดนั้น?”

                 “ได้ยินพวกแก๊งค์นางฟ้า… หมายถึงช่างแต่งหน้าเขาคุยกันน่ะ”

                 เขาพยักหน้าเมื่อได้ยินคำตอบ นายแบบหน้าใหม่อย่างวาริชคงจะเป็นเป้าสายตาน่าดู ทั้งรูปร่าง หน้าตา บวกกับรอยยิ้มแบบนั้น ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนให้ความสนใจ…

                 ดูอย่างคนตรงนี้สิ…
                 กวินมองดูคู่สนทนามองซ้ายมองขวาแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ เขาปั้นสีหน้าเรียบเฉยเมื่อเดาประโยคต่อมาที่อีกฝ่ายจะพูดต่อไปได้

                 “นายพอจะ… เอ่อ มีคอนแทคเขาไหม”

                 นั่นแหละ… ไม่ผิดจากที่คิดไว้สักนิด

                 “ไม่มีหรอก” เขาพูดนิ่งๆ “ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”

                 “อ้อ… เหรอ” เซนตอบรับเก้อๆ น้ำเสียงเจือความผิดหวังไว้ไม่มิด “ไม่เป็นไร”

                 “ชอบเหรอ” กวินถามขึ้นตรงๆ

                 “เปล่าๆ” คนตรงหน้ารีบพูดปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ริ้วสีแดงที่พาดผ่านใบหน้าหล่อเหลานั่นก็เป็นคำตอบได้อย่างดี “เอ่อ… เห็นว่าพักนี้กระแสกำลังมา เลย… อยากจะเป็นเพื่อนด้วย”

                 เขายิ้มให้กับคำตอบ เรื่องการแสดงละครน่ะ ให้นักแสดงอย่างเขาทำดีกว่า…
                 ท่ามกลางอารมณ์บางอย่างที่คุกรุ่นขึ้นในใจ กวินกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ “เหรอ”

                 “แค่ถามเฉยๆ น่า”

                 “ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวจะได้เจอกันบ่อยหรือไง... ในแฟชั่นวีคน่ะ” เขาแกล้งถามขณะที่กำลังคิดทบทวนถึงตารางงานของคนรัก ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายโชว์ที่วาริชจะต้องไปเข้าร่วม ยังไงก็คงหนีกันไม่พ้น

                 “ไม่รู้สิ ก็คงต้องลุ้นเอา” เซนหัวเราะ “วงการแฟชั่นคนเยอะจะตาย ต้องพึ่งดวงเอาแล้วล่ะมั้ง ว่าแต่เรื่องการแสดง เขาเป็นยังไงบ้างล่ะ”

                 “เก่ง แสดงดีจนไม่อยากให้ไปเป็นนายแบบ”

                 “โอ้โห... ขนาดนั้นเลยนะ” เซนว่าทึ่งๆ “ยังไม่เคยเห็นนายจะชมใครตรงๆ แบบนี้เลยแฮะ ท่าทางว่าจะเก่งจริง” คนตรงหน้าพูด “แต่ก็อยากให้นายได้เห็นตอนเขาอยู่บนรันเวย์ ทุกคนงี้เหมือนโดนสะกดเลย”

                 กวินยิ้มรับ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดชมวาริชต่อหน้า ถึงจะฟังดูน่าปลื้มใจ แต่ในฐานะคนรักที่ไม่อาจเปิดเผยตัวได้ ก็ต้องยอมรับว่าเขาหงุดหงิดเกินกว่าที่ตัวเองเคยจินตนาการไว้มาก

                 ใครใช้ให้คนของเขาเสน่ห์แรงขนาดนี้กัน

                 อยากบอกว่าวาริชเป็นของเขา…
                 อยากจะเก็บเอาไว้กับตัวคนเดียวไม่ให้ใครได้เห็น

                แต่ก็ไม่มีสิทธิ์…


                 ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพิ่มเติมโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าก็สว่างขึ้นเสียก่อน เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นแพรวาที่ส่งข้อความมาบอกว่าเธอขนเสื้อผ้าไปที่รถเรียบร้อยแล้ว ให้เขาตามไปที่รถได้เลย

                 “ต้องไปแล้วล่ะ พี่ผู้จัดการตามแล้ว” กวินพูดสั้นๆ พลางเก็บของลงในกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ไปนะ”

                 “โอเค เดี๋ยวฉันนั่งรอพี่แหววแถวนี้แหละ โชคดี” เซนพูดถึงผู้จัดการของตัวเอง “ไว้เจอกัน”

                 “โชคดี” เขายิ้ม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องพัก

                 เมื่อประตูของรถยนต์คันใหญ่ปิดลง แพรวาก็พบว่าสีหน้าของศิลปินในความดูแลของเธอดูอึมครึมขึ้นกว่าที่เคย ร่างสูงจ้องโทรศัพท์ในมือของตัวเองราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

                 “เป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเปล่าน่ะกวิน”

                 “เปล่าครับ” กวินตอบเรียบๆ “ต่อจากนี้มีงานอีกหรือเปล่าครับ”

                 “ไม่มีแล้วล่ะ พี่กันไว้ให้เธอเข้าบริษัทมาจัดการเรื่องเอกสาร… ส่วนพรุ่งนี้ก็มีงานเช้า อยากกลับไปพัก หรืออยากไปทำอะไรที่ไหนหรือเปล่า”

                 “กลับคอนโดดีกว่าพี่แพร”

                 “ดีแล้ว พักตอนที่ยังพักได้เนี่ยแหละ” แพรวาว่า “ตารางเดือนนี้แน่นเชียว”

                 “นั่นสิครับ” กวินพูดพลางก้มหน้าลงไปกดโทรศัพท์ พึมพำเสียงเบาอยู่กับตัวเอง

                 “ไม่รู้อีกเมื่อไหร่... ”

                 _ _ _ _



                 "..."

                 “... ได้เห็นหน้าเห็นตานักแสดงนำของเรื่องนี้กันไปแล้ว เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน น่าติดตามไม่ใช่เล่นเลยใช่ไหมล่ะ ยังไงก็อย่าลืมติดตามผลงานของพวกเขาด้วยนะคะ ออนแอร์ทุกวันศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง ทางแพลตฟอร์มใหม่ของ ABC สำหรับวันนี้ ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่สละเวลามาพบกัน”

                 “ขอบคุณค่า”

                 “ขอบคุณครับ”

                 กลุ่มนักแสดงนั่งเรียงแถวอยู่ตอบพลางยิ้มสดใสให้กับกล้องที่กำลังถ่ายทอดสด ใบหน้ากับสายตาที่สะท้อนออกมาล้วนแต่ดูเป็นประกายและเต็มไปด้วยพลังสมกับเป็นดาราดาวรุ่งของแต่ละค่าย ถึงแม้ว่าความจริงแล้วทุกคนจะเหนื่อยล้าจนตาแทบปิดเพราะต้องเดินสายให้สัมภาษณ์ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ตาม

                 “หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะคะ” พิธีกรสาวประจำรายการพูดเสียงใส “สำหรับวันนี้ เจนนี่และรายการของเราต้องลาไปก่อน พบกันวันพรุ่งนี้ ที่เก่า เวลาเดิมนะคะ สวัสดีค่า”

                 เมื่อผู้กำกับรายการให้สัญญาณ รายการสัมภาษณ์สุดท้ายของวันก็เสร็จสิ้นลง หลังกล่าวขอบคุณทีมงานเบื้องหลังเรียบร้อย ภายในห้องพักผ่อนของแขกรับเชิญเหล่านักแสดงที่นั่งหลังตรงอยู่เมื่อสักครู่ก็ได้โอกาสลุกขึ้นมาเปลี่ยนท่าทางกันแก้เมื่อย สีหน้าอ่อนเพลียที่ถูกซ่อนไว้ถูกเผยออกมาทีละนิด แต่ก็ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาขึ้นมาแม้สักประโยค ด้วยรู้ดีว่าทุกคนต่างต้องการเวลาอยู่เงียบๆ หลังจากที่ต้องพูดมาตลอดวัน

                 จนกระทั่งผู้จัดการส่วนตัวทยอยกันเข้ามาแจ้งกำหนดการของวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ ในห้องพักศิลปินเลยค่อยมีเสียงพูดคุยขึ้นมาบ้าง

                 “เช้าอีกแล้วเหรอคะ” นีน่า นางเอกของเรื่องพูดนิ่มๆ แต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

                 “ใช่จ้ะ ช่องสี่เพิ่งให้คิวช่วงบันเทิงท้ายรายการเช้ามาเมื่อกี้ พวกพี่คุยกันแล้วว่าเวลาค่อนข้างน้อย เลยให้หนูไปออกรายการคู่กับกวินแค่สองคน” พี่ขวัญหนึ่งในทีมงานโปรโมตละครกล่าว “ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอัดสกู๊ปโปรโมตตามเดิมที่สตูมูนเดย์นะคะ สแตนบายเที่ยงครึ่งแล้วกันเนอะ”

                 กวินพยักหน้ายอมรับชะตากรรม ขณะที่คนอื่นๆ ส่งเสียงแสดงความดีใจออกมาเอื่อยๆ อย่างน้อยก็ได้มีเวลาพักเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ยังดี

                 “งั้นสำหรับวันนี้ขอบคุณมากนะคะ แยกย้ายกันได้แล้วล่ะ เหนื่อยมาทั้งวัน กลับดีๆ นะคะ” เมื่อขวัญกำชับทุกคนจบ เธอก็เดินมาหาใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่ “เดี๋ยวพี่ไปวนรถมารับนะคะวาริช อีกไม่เกินห้าทีออกไปรอด้านนอกได้เลย”

                 “ครับพี่ขวัญ” คนถูกเรียกรับคำ

                 “อ้าว วาริชไม่ได้มีผู้จัดการมารับเหรอ” เอกที่นั่งข้างๆ อยู่ทักขึ้น

                 “นั่นสิ” พายุสมทบ โดยปกติการเดินสายโปรโมตละครเช่นนี้ ผู้จัดการของนักแสดงจะมาส่งในตอนเช้า อาศัยรถของกองเดินทางไปยังที่ต่างๆ ในช่วงกลางวัน ก่อนจะนัดให้ผู้จัดการมารับอีกทีในช่วงเย็น แต่เพราะวันนี้ผู้จัดการจากทางค่ายมีไม่พอ วาริชจึงต้องอาศัยรถของกองโปรโมตในการเดินทางทั้งขาไปและขากลับ

                 เขาตอบยิ้มๆ “วันนี้พี่จาไปกับน้องอีกคนครับ วันนี้ผมเลยเกาะติดรถกอง”

                 “อ้อ… มิน่ามาถึงตั้งแต่เช้าเลย”

                 “ว่าแต่วาริชอยู่แถวไหนนะ” เอกถาม “พี่ไปส่งไหม”

                 ใครบางคนกำลังยืนฟังบทสนทนานั้นด้วยใบหน้าเรียบจากอีกมุมของห้อง ความรู้สึกแปลกๆ เรียกให้วาริชเงยหน้าขึ้นไป ส่งผลให้สายตาสองคู่มองสบกันอย่างบังเอิญก่อนจะละจากไปในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที

                 วาริชย้ำกับตัวเอง
                 ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือกวินที่เป็นนักแสดงชื่อดัง ไม่ใช่คนรักของเขา…

                 “ไม่เป็นไรครับ” วาริชยิ้ม “ผมกลับกับพี่ขวัญได้”

                 “กลัวเป็นข่าวเหรอ” อีกฝ่ายแหย่

                 “หรือพี่ไม่กลัว” พายุย้อนถาม “ช่วงนี้กระแสแฟนคลับพี่ยิ่งแรงๆ อยู่ วันก่อนไปถ่ายโฆษณา น้องนางแบบยังโดนเอามาเขียนข่าวจนต้องออกมาแถลงเลยไม่ใช่หรือไง”

                 วาริชหัวเราะ “ผมไม่นั่งข้างพี่แล้วดีกว่า”

                 “พูดเหมือนตัวเองไม่มีแฟนคลับเลยนะวาริช แฟชั่นวีคนี้เห็นแต่รูปนาย” เอกพูดบ้าง

                 “จริงด้วย นี่ช่วงก่อนยุไปถ่ายแมกกาซีน พี่สไตลลิสต์ยังชมวาริชให้ฟังเลย”

                 “พอละครออนแอร์ ไม่แย่งตัวนายกันทั้งวงการเลยเหรอเนี่ย”

                 “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เขาว่าเขินๆ ก่อนจะหาทางปลีกตัวออกไป “ผมไปแล้วดีกว่า เดี๋ยวพี่ขวัญรอ… ไปก่อนนะครับทุกคน เจอกันพรุ่งนี้ครับ” วาริชว่าประโยคสุดท้ายพลางโบกมือให้ทุกคนในห้อง

                 กวินมองตามเจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่เดินออกไปจากห้องพักด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว วาริชที่เขาได้พบยังคงมีรอยยิ้มที่เขาตกหลุมรักเหมือนอย่างเคย แต่แววตาที่เขาได้เห็นเมื่อหลายนาทีก่อนทำให้เขาวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก

                 สิ่งที่เขาสัมผัสได้มีแต่ความว่างเปล่า เย็นชา

                 อยู่ใกล้กันแค่นี้... แต่ก็ไม่อาจแตะต้องได้

                 ฝ่ามือใหญ่ถูกกำเข้าหากันแน่น ความคิดแง่ร้ายอย่างที่สุดผุดขึ้นมาในหัวสมองโดยไม่รู้ตัว

                 ว่าความรักที่พวกเขามีให้กัน มันเป็นเรื่องจริงหรือแค่จินตนาการของเขาแค่คนเดียวกันแน่…

                 _ _ _ _
                 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2020 20:44:25 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 7.5 *update 19.11.2020*
«ตอบ #16 เมื่อ19-11-2020 19:25:58 »



                 หลังจากลงจากรถของกองถ่าย วาริชก็ลากเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่มาจนถึงหน้าประตูห้อง วันนี้เป็นอีกวันที่เขาต้องเดินสายโปรโมตละครที่กำลังจะออนแอร์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ความต้องการเดียวที่เขาคิดในตอนนี้คือการได้อาบน้ำอุ่นๆ ก่อนจะนอนหลับอย่างเป็นสุขในกองผ้าห่มนิ่มๆ ของตัวเอง แต่เมื่อเปิดประตูห้องพัก ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เปิดอยู่ก็ทำให้เจ้าของใบหน้าหวานต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

                 “กวิน? ” 

                 เจ้าของชื่อไม่ตอบรับ แต่กลับลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาคว้าตัวเขาเข้าไปสวมกอดไว้หลวมๆ ก่อนจะซบหน้าลงบนลาดไหล่ “ว่ายังไง” วาริชกอดตอบแล้วเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมวันนี้มาที่นี่ได้ล่ะ คุณไม่ได้มีงานเช้าเหรอ”

                 “อยากเจอ”

                 “วันนี้ก็เจอกันไง” วาริชแนบฝ่ามือเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้ “อยู่ด้วยกันแทบทั้งวันเลยไม่ใช่หรือไง”

                 “ไม่เหมือนกัน” กวินตอบสั้นๆ ก่อนจะฝังจมูกลงกับแก้มขาวเนียนละเรื่อยมาจนถึงซอกคอหอมกรุ่นที่แสนคิดถึง เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่วนเวียนอยู่ที่เอวและสะโพก มือเรียวก็ถูกยกขึ้นเพื่อดันอกของอีกฝ่ายให้ออกห่าง

                 “อื้อ เดี๋ยวก่อน… เรายังไม่ได้อาบน้ำเลย”

                 “ไม่อยากรอ”

                 “คราวนี้ใครดื้อ” วาริชยิ้มล้อ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อไป สายตาวาววับที่เต็มไปด้วยความต้องการของอีกคนกับวงแขนที่รัดแน่นขึ้นก็เป็นสิ่งตอกย้ำคำพูดว่าไม่ได้ล้อกันเล่น

                 “กวิน! ” ร่างโปร่งร้องขึ้นเมื่อถูกเหวี่ยงลงบนโซฟาอย่างไม่เบานัก ความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในจิตใจมาตลอดหลายอาทิตย์ทำให้เผลอออกแรงกำข้อมือเล็กจนขึ้นรอย จูบหนักหน่วงถูกป้อนให้อย่างเอาแต่ใจ

                 เขาต้องการวาริช

                 เดี๋ยวนี้…

                 “อื๊อ” ริมฝีปากวาริชเจ็บแปลบเมื่อฟันของอีกฝ่ายขบลงมาแรงๆ

                 อารมณ์ของกวินที่กำลังพัดพาเหมือนพายุลูกใหญ่ที่เขาเดาทางไม่ถูก

                 ข้อมือทั้งสองข้างของวาริชยังคงถูกมือข้างหนึ่งรวบกดไว้เหนือศีรษะ ร่างสูงย้ำความมีตัวตนของคนรักที่อยู่ตรงหน้าด้วยการสัมผัสและแตะริมฝีปากไปทั่ว เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกดึงรั้งด้วยแรงจนกระดุมบางส่วนหลุดออก เผยให้เห็นหน้าท้องเนียนเรียบกับเอวคอดที่เขาแสนหวง วาริชบิดกายเร่าเมื่อปลายลิ้นร้อนเข้าครอบครองยอดอกแล้วบดขยี้อย่างไร้ความปรานี เนื้อตัวถูกบีบเคล้นราวกับกลัวคนในอ้อมกอดจะหายไปได้ตลอดเวลา

                 ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่บนผิวกายอ่อนนุ่ม แผ่นอกของวาริชสะท้านขึ้นลงเมื่อเขาออกแรงขบกัดลงบนหน้าท้องแบนราบที่หดเกร็งเป็นจังหวะ กวินที่กำลังจดจ่ออยู่กับความหอมหวานส่งเสียงครางอย่างพึงพอใจ ห้วงอารมณ์ร้อนแรงถูกปลุกปั่นขึ้นอย่างไม่ยากเย็นเมื่อทั้งคู่ต่างโหยหากันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

                 เพียงพริบตาตัววาริชก็ถูกพลิกให้นอนคว่ำลงไปกับโซฟา ก่อนจะได้ประท้วงอะไรกางเกงที่ใส่อยู่ก็ถูกดึงลงไปกองอยู่ที่บริเวณเข่า เปิดเปลือยสะโพกกับต้นขาขาวให้อีกคนได้ชมเต็มตา

                 สัมผัสจากมืออุ่นร้อนลากไล้ไปตามแนวขา แล้ววกกลับมายังหนั่นสะโพกและก้อนเนื้อกลมกลึง วาริชตัวสั่นเมื่อรู้สึกได้ว่าส่วนแข็งขืนกำลังจดจ่ออยู่หน้าช่องทางคับแคบ แต่กวินก็ทาบทับร่างเขาเอาไว้แน่นพร้อมกดฝ่ามือไว้ที่ท้องน้อย ก่อนจะดึงดันแทรกตัวเข้ามาโดยไร้ตัวช่วย ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาถึงก้านสมองจนเหมือนร่างกายจะฉีกออกจากกัน

                 “เจ็บ!” วาริชหวีดเสียง หยาดน้ำตาสีใสไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ก… กวิน… เจ็บ”

                 น้ำตาของคนรักทำเอาส่วนหนึ่งของสติกลับคืนมา กวินคลายวงแขนที่รัดรอบเอวออก แต่ก็ยังไม่ยอมถอดถอนส่วนร้อนออกจากร่างของอีกคน เขาจูบปลอบประโลมแล้วกระซิบข้างใบหู “ขอโทษ… ขอโทษ… เราใจร้อนไปหน่อย... เธอ ทนหน่อยนะ”

                 “ฮึก… มันเจ็บ”

                 “ชู่ว… อย่าร้อง” กวินลูบวนบนผิวเนื้อที่กำลังสั่นระริก ปลดเสื้อที่ยับย่นออกจากร่างกายคนรักแล้วจนเห็นริ้วสีแดงที่ตัวเองเป็นคนทำกระจายพร่างอยู่บนผิวขาวซีด เขาขบเม้มที่ลำคอก่อนจะกอบกุมเอาส่วนอ่อนไหวเอาไว้เพื่อให้ลืมความเจ็บเบื้องล่าง มอบสัมผัสนุ่มนวลปลุกปั่นฟอนเฟ้นจนมันเหยียดขยายอยู่ในอุ้งมือของตัวเอง

                 วาริชหายใจหอบถี่ การแตะต้องของกวินในวันนี้ดูผิดปกติ มันให้ความรู้สึกคุกคามและรุนแรงจนน่าหวาดหวั่น ร่างโปร่งผินใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากลับไปร้องขอสิ่งที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

                 “จูบ… ได้ไหม จูบเราหน่อย”

                 ริมฝีปากที่ประทับเข้ามาแทนคำตอบจากอีกฝ่าย กวินลากปลายลิ้นเลียผ่านรอยปริแตกของเรียวปาก ก่อนจะเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นนุ่มราวกับจะขอโทษกัน ทุกสัมผัส ทุกอารมณ์ ทุกความต้องการถูกถ่ายทอดออกมาจนวาริชมึนงงกับรสจูบที่ได้รับ

                 หวานหยด อบอุ่น อ่อนโยน คลั่งไคล้ โหยหา ต้องการ ร้อนแรง ดุดัน 

                 แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดและสับสน

                 เขารู้ว่ากวินรักเขา…
                 วาริชแน่ใจว่านั่นคือเรื่องจริง

                 “อือ…” เขาหลับตาแน่น “ขยับ… คุณขยับเถอะ”

                 อย่างน้อย… นี่คือสิ่งที่เขาจะทำให้อีกคนรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้ได้

                 ไม่ว่าต้องการอะไร เขาก็จะให้ไปทั้งหมด…

                 “อ๊ะ… อ๊ะ… กวิน… ช้า… ช้าหน่อย” วาริชฝังใบหน้าลงกับหมอนใบโต ส่วนร้อนที่กำลังขยับเข้าออกรุนแรงราวกับพายุ ดุดันมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยผ่านมา แรงกระแทกจากด้านหลังทำเอาเขาหาจังหวะหายใจของตัวเองไม่เจอ เสียงขอความเห็นใจถูกเปล่งออกมาแบบกระท่อนกระแท่น

                 เจ้าของร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังนำจังหวะขยับโยกจนตัวของพวกเขาสั่นคลอน พาให้ปลายยอดแข็งขืนบดขยี้จุดอ่อนไหวซ้ำไปซ้ำมา วาริชครางอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่อเอวบางถูกจับไว้แน่นให้สอดรับขณะโหมแรงสวนกายเข้าออก ช่องทางสีกุหลาบถูกรุกรานหนักหน่วงจนรู้สึกแสบชา 

                 กวินครางในลำคอก่อนจะขบฟันคมๆ ลงบนหัวไหล่ข้างหนึ่งระหว่างการฝากฝังตัวตนเข้าไปยังจุดลึกที่สุด เอวสอบยังคงทำหน้าที่ป้อนบทรักหนักหน่วงร้อนแรงสมกับที่พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันมานาน ความรู้สึกที่ถูกโอบรัดในผนังนุ่มที่ตอดตุบตามจังหวะชีพจรยิ่งฉุดดึงอารมณ์ให้พุ่งขึ้นสูง เขายังคงอยากครอบครองให้คนใต้ร่างเป็นของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากสอดประสานร่างกายให้แนบสนิทราวกับจะตอกย้ำถึงสถานะที่เหมือนไม่มีอยู่จริงให้ตัวเองได้มั่นใจ

                 ไม่นานช่องทางคับแคบก็ถูกเติมเต็มด้วยของเหลวร้อนจนไหลเปรอะออกมาที่ซอกขา

                 “ฮึก… กวิน…” เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อเขาถอดถอนตัวออก ริมฝีปากแดงช้ำของวาริชถูกเขารังแกอีกครั้งจนมันฉ่ำวาว ดวงตาสีอ่อนปรือปรอยก่อนจะหลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

                 กวินทอดสายตามองดูคนในอ้อมแขน

                 ข้อมือแดงช้ำ รอยฟันที่หัวไหล่ แผลแตกบนกลีบปาก… เขาเป็นคนทำมันทั้งหมด

                 ปลายนิ้วแตะลงที่คราบน้ำตาบนพวงแก้มสีซีด… นี่ก็เป็นเพราะเขา…

                 รอจนได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจากคนข้างตัวเขาถึงได้ลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่ เพิ่งตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าของเขายังอยู่บนตัวอย่างครบครัน ในขณะที่เสื้อของวาริชเกือบกลายเป็นเศษผ้าติดกาย ร่างสูงสะบัดหน้าอย่างหัวเสีย ก่อนจะหายไปเอาอ่างน้ำและผ้าขนหนูมาเช็ดเนื้อตัวให้กับคนที่หลับอยู่

                 อารมณ์เขายิ่งหมองหม่นลงไปอีกเมื่อได้เห็นร่องรอยของการร่วมรักที่ตัวเองทิ้งไว้ ผิวขาวซีดถูกประดับไปด้วยริ้วสีก่ำ ทั้งรอบข้อมือ บั้นเอว ละเรื่อยไปถึงสะโพกกลมที่ขึ้นรอยช้ำ เรียวขาขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของเหลวเหนียวหนืดเมื่อช่องทางบอบบางที่รองรับตัวตนไม่อาจรับความปรารถนาของเขาไว้ได้ทั้งหมด สีเลือดเจือจางที่ปนออกมาเป็นหลักฐานความรุนแรงที่เขาเป็นคนกระทำลงไปได้เป็นอย่างดี

                 ร่างสูงชะงักงั้น ก่อนจะโอบกอดคนรักไว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

                 “ขอโทษ… ขอโทษนะ…” กวินพร่ำบอกขณะจรดจูบลงบนหน้าผากแล้ววางร่างบางลงบนเตียงนอน

                 เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกผลัดเปลี่ยนให้อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วเรียวเกี่ยวเอาเส้นผมที่ปรกอยู่บนใบหน้าหวานออก กวินกระซิบบอกคนรักด้วยเสียงแผ่วเบา

                 “กินยาก่อนนะ… เธอคงเป็นไข้แน่ๆ” วาริชครางฮือเมื่อถูกรบกวน ยาเม็ดเล็กถูกป้อนใส่ปากท่ามกลางสติที่พร่าเลือน ก่อนริมฝีปากอุ่นร้อนจะประกบลงมาเพื่อถ่ายเทน้ำเปล่าให้ราวกลับจะปลอบประโลมกัน 

                 กวินยอมปล่อยให้วาริชเข้าสู่นิทราอันสงบสุข เขาใช้ความคิดขณะไล่สายตามองร่างที่หลับสนิท ท่ามกลางความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าในเบื้องลึกของจิตใจนั้นมีความสุขสมใจอยู่หลายส่วนที่ได้เห็นร่องรอยหลักฐานบนร่างขาวเนียน ตอกย้ำว่าเป็นตนที่มีสิทธิ์ได้ครอบครองทั้งหมดของคนตรงหน้า 

                 ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งลงที่พื้นข้างเตียง แนบใบหน้าเข้ากับฝ่ามือของคนรักก่อนจะหลับไปทั้งอย่างนั้น

                 กวินกลับออกไปก่อนที่ฟ้าจะสว่าง
                 เขาก้มลงจูบแก้มขาวก่อนจะผละตัวออกไปในเวลาไม่นาน

                 เมื่อเสียงปิดประตูเงียบลง วาริชขยับร่างกายอันบอบช้ำของตัวเองแล้วกัดฟันลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปรอบตัวด้วยความสับสน และเมื่อเขาก้มหน้าลง เสียงสะอื้นสั้นๆ ก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องพักอันเงียบเชียบ

                 _ _ _ _



                 TBC

                 ย้อนอดีตกันไปยาวๆ หน่อยนะคะ คนแต่งไหวไม่ไหวก่อนน ฮึบบบ

                 ถึงจะมาช้า แต่ก็มานะคะ ยังไงก็ไม่เทเรื่องนี้ อดทนรอกันหน่อยนะคะ 
                 คนเขียนสปีดเต่ามากเลย TvT 

                 ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่าน ที่ทิ้งคอมเมนต์และความคิดเห็นไว้ให้กันนะคะ ดีใจมากจริงๆ ติชมกันได้เสมอค่ะ
                 พบกันตอนหน้าค่ะ

                 รัก

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 7.5 *update 17.4.2020*
«ตอบ #17 เมื่อ17-04-2021 15:37:05 »

#7.5

          ท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงในช่วงสายของวันถัดมา เจ้าของร่างโปร่งที่อยู่ในชุดคอลเลคชั่นใหม่ของสปอร์ตแวร์แบรนด์ดังก็มาถึงสตูดิโอพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์

          ใบหน้าสวยที่ตอนนี้แทบไม่มีเครื่องสำอางค์แต่งแต้มอยู่ปรากฏร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักให้เห็นได้จางๆ โดยปกติแล้วอาจทำให้ศิลปินบางคนดูไม่ดีนัก แต่เมื่อบวกกับผิวแก้มใสและแววตาเป็นประกายของวาริช ทุกอย่างกลับทำให้เขาดูเด็กกว่าที่เป็น กอปรกับฮู้ดดี้เนื้อหนาสีสันสดใสที่ถูกทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตตัวโคร่งซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวที่เจ้าตัวไม่ค่อยได้ใส่อาจทำให้ดูรูปร่างใหญ่ขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวาริชยังคงดูดีเหมือนเคย
 
          ที่ด้านหลังของเขามีจารวีที่เป็นผู้จัดการจากค่ายที่ตัวเองสังกัดอยู่เดินลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กตามมาด้วยระหว่างที่นักแสดงหนุ่มเดินไปทักทายทุกคนอย่างที่เคยทำจนครบเรียบร้อย หลังจากนั้นหญิงสาวร่างเล็กก็จัดแจงส่งวาริชต่อให้กับช่างแต่งหน้า ส่วนตัวเองก็รีบผละไปกล่าวขอบคุณทีมงานของกองละครที่ช่วยเป็นธุระดูแลวาริชให้หลายครั้งหลายคราว

          หลังจากที่ร่างโปร่งนั่งลงที่หน้ากระจก ช่างแต่งหน้าประจำกองละครก็รีบปรี่เขามาหาพร้อมกับร้องเสียงดัง “ทำไมปากแตกขนาดนี้ล่ะคะวาริช!”

          “เอ่อ… น่าจะนอนดึก แล้วคงดื่มน้ำน้อยด้วยน่ะครับ” เจ้าตัวอธิบาย “แผลเล็กนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอกครับ”

          “เนี่ย น้องวาริชนะ... ไม่พักผ่อนอีกแล้ว เจออีกทีพี่จะตีให้นะคะ” อีกฝ่ายบ่นอุบอิบ แต่หลังผ่านไปอีกไม่กี่นาที ช่างแต่งหน้าคนเดิมก็อุทานขึ้นอีกครั้ง “ตายแล้ว แล้วข้อมือนั่นไปโดนอะไรมาคะ!”

          นักแสดงหนุ่มใจหายวาบ “เอ่อ… คือ…”

          จารวีที่กำลังเดินกลับมาถึงกับหน้าซีดเมื่อได้ยิน เธอรีบตะลีตะลานวิ่งเข้ามาสำรวจตามเนื้อตามตัวของศิลปินในสังกัด   
          “วาริช! ข้อมือไปโดนอะไรมา ทำไมไม่บอกพี่!” จารวีพูดอย่างตกใจเมื่อเห็นผ้าที่พันไว้บริเวณข้อมือ

          เพราะวันนี้พอจะปลีกตัวมาจากการดูแลคนอื่นๆ ในค่ายได้ เธอจึงมีโอกาสไปรับวาริชถึงที่คอนโด แต่ก็ไม่ได้ลงไปช่วยแต่งตัวเหมือนอย่างทุกครั้งเพราะเจ้าตัวยืนยันแบบนั้น จะมีช่วงได้มองหน้ากันก็แค่แว้บเดียวตอนกล่าวทักทายกันขณะที่นักแสดงหนุ่มก้าวขึ้นรถที่เบาะหลังและเธอนั่งอยู่หลังพวงมาลัยเท่านั้น

   “ไม่มีอะไรครับ” เขารีบปฏิเสธ “เมื่อเช้าผมชงกาแฟแล้วเผลอทำแก้วตกน่ะครับ เลยโดนน้ำร้อนลวกนิดหน่อย”

          “ตายแล้ว เป็นแผลเยอะหรือเปล่า แวะไปโรงพยาบาลก่อนดีไหม” ผู้จัดการสาวร้อนใจแทนด้วยความเป็นห่วง

          “ผิวพองๆ นิดหน่อยครับ แต่ทายาเรียบร้อยแล้ว คงไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาลหรอกครับ” วาริชพูดยิ้มๆ ขณะแตะนิ้วลงบนผ้าพันแผลบริเวณข้อมือ “แต่น่าจะต้องปิดแผลไว้สักพัก มันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่”

          คนได้ยินหน้าซีด “ไหนมาให้พี่ดูหน่อย” ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้พวกเขาทำงานในวงการบันเทิงที่แข่งกันเรื่องรูปลักษณ์ แน่นอนว่าการมีแผลเป็นไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ถ้าโชคร้ายอาจจะถึงขนาดโดนถอดงานได้เลยด้วยซ้ำ

          “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับพี่จา” นักแสดงหนุ่มว่าพลางดึงแขนเสื้อลงมาปิด “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ อีกไม่กี่วันก็หาย”

          “โอ๊ย พี่หัวใจจะวาย” ช่างแต่งหน้าว่าขึ้น “ผิวสวยๆ เสียหมด”

          จารวียังคงมีสีหน้าเป็นกังวลและรู้สึกผิด “งั้นเดี๋ยวพี่ไปขอน้ำแข็งมาช่วยประคบหน่อยดีกว่า”

          “ก็ได้ครับ…” วาริชยอมแพ้ “ขอโทษที่ทำให้ลำบากกันนะครับ”

          “ลำบากอะไรกันวาริช พี่ก็เป็นห่วงเรานั่นแหละ คราวหน้าถ้าเป็นอะไรต้องบอกพี่นะ” ผู้จัดการสาวกล่าว “พี่อยากเอาเวลามาดูแลเราคนเดียวนี่แหละ แต่ค่ายก็… เฮ่อ..” จารวีถอนหายใจ “พี่ไปขอน้ำแข็งดีกว่า… พี่ต้อมคะ จาฝากวาริชด้วยนะคะ วันนี้แต่งให้หล่อๆ ไปเลยเนอะ” เธอหันมาพูดประโยคสุดท้ายกับช่างแต่งหน้าที่กำลังเตรียมอุปกรณ์

          “ได้เลยค่ะน้องจา” อีกฝ่ายรับคำ แล้วหันมาจัดการคนที่กำลังนั่งจ๋อยอยู่หน้ากระจก “เนี่ย เห็นไหมคะ ไม่ยอมบอกพี่ผู้จัดการด้วย น่าตีไหม…” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พอมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วเธอก็ดุไม่ลง “เฮ่อ.. น้องวาริชนะ… ไหนดูซิ นอนดึกตาบวมด้วยใช่ไหมเนี่ย… ไม่ได้นะ ถึงพื้นฐานดีอยู่แล้วก็ต้องดูแลตัวเองนะวาริช จะปล่อยให้โทรมไม่ได้นะคะ”

          วาริชยิ้มรับแล้วพูดขอบคุณในความเป็นห่วงก่อนจะปล่อยให้ช่างแต่งหน้าทำหน้าที่ต่อไป

          เจ้าของร่างโปร่งตั้งใจจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาอย่างที่เคยทำ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อสังเกตเห็นเงาของใครอีกคนที่สะท้อนอยู่ในบานกระจกตรงหน้า… แล้วฝ่ามือก็ถูกกำเข้าหากันแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ภาพของกวินที่นั่งรวมอยู่กับนีน่าและกลุ่มทีมงานที่มาถึงก่อนหน้ากำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนจะทำให้ความเจ็บแปลบบริเวณข้อมือและร่างกายกลับมาอีกครั้งจนต้องเบือนหน้าหนี

          ความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างกันที่ดำเนินอยู่บางทีก็ทำให้รู้สึกโล่งใจ บางครั้งก็อึดอัดจนหายใจไม่ออก
       
          เขาเข้าใจ… แต่ก็ไม่เข้าใจ

          รู้ดีว่าความรักในครั้งนี้จะต้องแลกมาด้วยอะไร
          ระหว่างเขากับกวิน...  มันอาจจะง่ายกว่านี้…
          ตัวเขาเองเป็นเพียงดาราจากค่ายเล็กๆ ที่เพิ่งจะได้โอกาสเล่นละครเป็นครั้งแรก ส่วนอีกฝ่ายเป็นพระเอกดาวรุ่งที่หลายต่อหลายคนต้องการตัว เบื้องหน้าของความสัมพันธ์ก็เป็นได้แค่คนที่รู้จักกันอย่างผิวเผินผ่านการทำงานไม่กี่เดือน

          แต่คนอย่างเขาหรือจะกล้าพูดว่ารู้จัก กวิน เจนสิริศักดา ที่นั่งอยู่ตรงนั้น

          วาริชกะพริบตาปริบเมื่อได้สบตากับตัวเองในกระจกเงา นัยน์ตาสีอ่อนสั่นระริกสะท้อนความเป็นจริงที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าราวกับจะปลุกให้เขาตื่นจากฝัน

          แท้จริงแล้ว เขาไม่มั่นใจอะไรเลยสักนิด
          ทั้งความสัมพันธ์ สถานะ ตัวตนของกวิน... หรือแม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง
          ทุกอย่างเหมือนฝัน เหมือนควัน มันพร้อมจะหายไปในวินาทีที่เขาลืมตาตื่น

          เมื่อจารวีเดินกลับมาพร้อมกับห่อน้ำแข็ง วาริชก็กล่าวขอบคุณพลางวางมันลงบนข้อมือแล้วหลับตาลงก่อนจะสูดหายใจลึก กักเก็บความแตกตื่นในจิตใจเอาไว้เสียจนมิดชิด หันไปสนใจงานที่จะต้องทำในช่วงบ่ายพลางภาวนาให้วันนี้จบลงโดยเร็ว
งานในวันนี้เป็นการถ่ายสกู๊ปสัมภาษณ์และถ่ายแบบประกอบการโปรโมตละครที่กำลังจะออกอากาศในอีกไม่กี่วัน หลังจากนักแสดงทุกคนนั่งฟังบรีฟและนัดแนะลำดับคิวกันเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายไปเตรียมพร้อมตามที่ได้กำหนดไว้

          สำหรับวาริช ถึงตัวละครของเขาจะถือว่าเป็นตัวละครหลักแต่ก็ยังไม่ใช่พระเอก การสัมภาษณ์แบบกลุ่มจึงไม่ได้ต้องพูดสคริปต์อะไรมากมาย เขาจึงปลีกตัวออกมายืนอ่านรายการคำถามของการสัมภาษณ์เดี่ยวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง
         
          เพียงครู่เดียวใครบางคนที่รอจังหวะอยู่นานก็ก้าวเข้ามาประชิดตัว
         
          อันที่จริงกวินร้อนรนตั้งแต่ได้เห็นใบหน้าซีดเซียวของคนรักตอนที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องพักนักแสดงแล้ว เขาแทบไม่มีสมาธิกับสิ่งที่ผู้จัดการตัวเองพยายามพูดอยู่ข้างหู ยิ่งได้ยินสไตลิสต์เอ่ยถึงผ้าที่พันอยู่บนข้อมือเขาก็แทบอยากจะกระโจนเข้าไปดูให้เห็นกับตา

          แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร อีกคนก็เป็นฝ่ายหันกลับมาเสียก่อน
          “อ้าว… กวิน มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ” นัยน์ตาสีอ่อนที่สบเข้ากับสายตาขอผู้สนทนามีแววแปลกใจน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ “รายการเมื่อเช้ากับนีน่าเป็นยังไงบ้างเหรอ”

          เพราะมัวแต่งงงันจนทำให้ลืมคำพูดที่ตั้งใจไว้ไปหมด หลายวินาทีกว่าที่กวินจะตั้งสติได้แล้วพูดออกมาแบบไม่เป็นประโยค “มือเธอ…”

          “อ๋อ นี่น่ะเหรอ” วาริชว่ายิ้มๆ “โดนน้ำร้อนลวกเอาน่ะ”

          กวินไม่เชื่อเลยสักนิด เขาเม้มปากขณะจับจ้องอยู่ที่ข้อมือของอีกคน
         
          “ไม่เป็นไรหรอก”

          คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำถามและคงไม่มีทางตอบออกมาตรงๆ แต่การที่วาริชเลือกจะบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ด้วยรอยยิ้มแบบนั้นก็ทำให้ภายในใจเขารู้สึกขุ่นมัวมากกว่าที่คิดหลายเท่า
   
          ได้ ถ้าอีกคนจะไม่ตอบ เขาจะดูให้เห็นกับตา

          “ขอเรา…” ชายหนุ่มชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายรีบขยับตัวก้าวถอยหลัง แววตาตื่นๆ ที่ปรากฏให้เห็นทำเอาหัวใจของเขาปวดหนึบ
วาริชกุมข้อมือตัวเองไว้แล้วพูดตัดบท “เราไม่เป็นไรจริงๆ แค่นิดหน่อยเอง”

          ยิ่งมองภาพตรงหน้า เขายิ่งรู้สึกผิด
          วาริชกลัวเขา วาริชกลัวสัมผัสของเขา

          “เจ็บไหม”

          วาริชไม่ได้ตอบคำถาม เจ้าของใบหน้าสวยแค่ยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าไปอีกทาง “ทางนั้นจัดไฟเสร็จแล้วมั้ง กวินรีบไปเถอะ” ถึงจะเป็นคนพูดแบบนั้น แต่ร่างโปร่งก็เป็นฝ่ายผละออกไปอีกทาง ทิ้งให้เขายืนอยู่เพียงลำพังกับความรู้สึกหนักอึ้งที่คนรักทิ้งไว้ให้
ฝ่ามือใหญ่ถูกกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว หากแต่ความเจ็บนั้นไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เจ้าตัวรู้สึกได้เลยแม้แต่น้อย

          ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเอง
_ _ _ _
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2021 00:17:44 โดย MondayBleu »

ออฟไลน์ MondayBleu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Dear Varich - Part 7.5 *update 17.4.2020*
«ตอบ #18 เมื่อ17-04-2021 15:43:16 »

          ในที่สุดการสัมภาษณ์และถ่ายแบบในวันนี้ก็จบลงตามแผนที่วางไว้ วาริชพรูลมหายใจออกขณะทิ้งตัวพิงเบาะนั่งภายในรถที่มีจารวีเป็นผู้ขับ นักแสดงหนุ่มปล่อยอารมณ์ให้ดวงตาสีอ่อนเหม่อออกไปนอกกระจก แสงสีส้มยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดินประดับอยู่บนใบหน้าสวยราวกับถูกแต้มด้วยปลายพู่กันจนคล้ายภาพวาดบนผืนผ้าใบที่ปิดซ่อนความรู้สึกของมนุษย์ทั่วไปเอาไว้อย่างมิดชิด หากแต่พายุความคิดแสนสับสนกำลังก่อตัวอยู่ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยนั้น

          รออยู่ที่คอนโดเธอนะ
          มือของวาริชที่กำโทรศัพท์ไว้เครียดขึง ข้อความจากคนรักที่ถูกส่งมาเมื่อสิบห้านาทีก่อนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจเหมือนอย่างเคย กลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่พบกันในช่วงก่อนการถ่ายทำ พวกเขาก็ไม่ได้คุยกันอีก จะพูดให้ถูกก็คือ วาริชไม่ได้มองหน้ากวินด้วยซ้ำ

          เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองมีสิทธิ์แค่ไหน ไม่รู้ว่าต้องวางตัวอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกคน
          เขาเลยเลือกที่จะบอกตัวเองว่าคนรักของตัวเองไม่มีอยู่จริง
          แต่วันนี้เขาทำไม่สำเร็จ… กวินคนเมื่อคืนทิ้งความเจ็บปวดเอาไว้มากเกินไป
   
          “แน่ใจนะว่าจะไม่แวะไปโรงพยาบาลสักหน่อย” จารวีที่กำลังขับรถอยู่พูดขึ้น แต่หลังผ่านไปอึดใจหนึ่งก็ไม่ได้รับคำตอบ เธอจึงต้องถามขึ้นมาอีกครั้ง “วาริช? ฟังอยู่หรือเปล่า”
         
          “ครับ?”

          “ที่มือน่ะ ไม่ให้หมอดูหน่อยจะดีเหรอวาริช”

          “อ๋อ… ไม่เป็นไรจริงๆ ครับพี่จา นิดเดียวเอง รับรองว่าไม่เป็นแผลเป็นแน่นอน” วาริชยิ้ม

          “เรานี่น้า ไม่ระวังเอาซะเลย”

          “มือมันลื่นน่ะครับ… ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้”

          จารวีถอนหายใจเมื่อได้รอยยิ้มของอีกคนมาพร้อมคำตอบรับ
          “ถึงพี่จะไม่ค่อยมีเวลาได้มาดู แต่ถ้ามีอะไรก็ต้องบอกพี่นะวาริช อย่าเอาแต่เกรงใจล่ะ”  เธอพูดดักคอเพราะรู้นิสัยของคนในความดูแลเป็นอย่างดี วาริชทั้งขี้เกรงใจทั้งยังปากหนักไม่ยอมขอความช่วยเหลืออะไรง่ายๆ ตามประสาเด็กที่โตมาด้วยตัวเองคนเดียว จนบางครั้งเธอยังดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอีกคนมีปัญหา 

          “ส่วนงานแฟชั่นโชว์ของปลายอาทิตย์นี้พี่จะแจ้งหน้างานไปก่อนแล้วกันนะว่าวาริชมือเจ็บ เผื่อว่าเขาอยากจะปรับอะไร”

          คนได้ยินหน้าจ๋อย “ครับ... แต่คิดว่าสองสามวันก็คงจะหาย” 

          “บอกไว้ดีกว่าน่า” จารวีส่ายหน้า “อ้อ… หลังซีรี่ส์ออนแอร์พี่อาจจะต้องเตรียมตัวเคลียร์คิวไว้แคสติ้งด้วย วันนี้แอบถามคนของ ABC มา เขาว่าถ้าเรตติ้งดีก็อาจจะเลือกใช้นักแสดงเซทนี้ในเรื่องใหม่อีก”

          วาริชชะงัก “ทีมนี้น่ะเหรอครับ”

          “ใช่จ้ะ” เธอว่าขณะหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเลน “เห็นกระแสดีอยู่นะ แค่ช่วงโปรโมตนี่จำนวนฟอโลวเวอร์ของกวินกับนีน่าก็ขึ้นมาหลายหมื่น คิด Engegement ของทั้งทีมเข้าไปก็น่าจะถึงล้าน”

          “อ้อ…” วาริชตอบเสียงเบา ขณะที่ข้อมือภายใต้ผ้าพันแผลปวดตุบ “ดูน่าจะไปได้สวยนะครับ เรื่องนี้น่ะ”

          “ไม่เชิงหรอก… ตามจริงแล้วมันก็ต้องดูกันถึงช่วงที่ออนแอร์จริง ที่ตอนนี้จำนวนคนสนใจมากขนาดนี้พี่ว่าเป็นเพราะภาพลักษณ์กับเคมีของนักแสดงทั้งทีมมากกว่า อีกอย่างทั้งกลุ่มนี่ก็ไม่เคยมีใครมีข่าวแย่ๆ… แต่… ถ้าพระเอกหรือนางเอกมีข่าวซุกแฟนขึ้นมาละก็ไม่แน่”
          “อย่าง…” จารวีเว้นจังหวะอย่างชั่งใจ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะพูดให้อีกคนได้ฟังดีหรือไม่ “อย่างกวินเองนี่ก็น่ากังวลอยู่นะ”

          ชื่อที่ได้ยินทำเอาดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง
         
          “ทำไมเหรอครับ” หัวใจเขาเต้นรัวขณะรอฟังประโยคคำตอบของอีกฝ่าย

          “ได้ยินมาว่าแพรวาที่เป็นผู้จัดการวิ่งเต้นจัดการเรื่องอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน ดูเหมือนจะมีข่าวว่ากวินแอบคบใครอยู่”

          วาริชตัวชา

          “เขาว่ากันมาอีกทีน่ะ พี่ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ หรอกนะ” จารวีพูดไปเรื่อยโดยไม่ได้สังเกตคนที่นั่งบนเบาะหลังเลยสักนิด “ข่าวแบบนี้เขาก็ลือกันไปเรื่อยแหละ วงการบันเทิงอะเนาะ” 

          หากเธอหันมาคงจะได้เห็นความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่บนใบหน้าของศิลปินในความดูแลที่ไม่อาจแอบซ่อนไว้ได้ “แต่จะจริงหรือไม่จริงบริษัทก็ต้องเข้าไปจัดการแหละ ดาราที่ผลงานยังไม่ได้ออนแอร์น่ะ ล้อเล่นกับแฟนคลับได้ที่ไหนกัน” เธอตอบ “เราไม่รู้หรอกว่ากระแสจะไปทางไหน ยังไงก็ต้องเพลย์เซฟไว้ก่อน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร… ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะเปิดตัว เอาไว้ฐานแฟนคลับแน่นขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน แบบนั้นน่ะจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่า” 

          วาริชนั่งนิ่ง คำพูดของผู้จัดการส่วนตัวยิ่งตอกย้ำทำให้ความคิดเดิมๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดหลายเดือน ว่าหากอีกคนไม่ใช่กวินที่เป็นดาราดาวรุ่ง แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ หรือหากเขาเป็นวาริชที่มีชื่อเสียงมากกว่าที่เป็นอยู่ ทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ 

          ความรักของเขามันผิดที่…. ผิดเวลา… และก็อาจจะผิดคน 

          “เราก็เหมือนกันนะวาริช จะมีแฟนก็บอกพี่ก่อนล่ะ อย่าเซอร์ไพรซ์กัน” จารวีเย้า

          คนถูกเอ่ยถึงได้แต่พยักหน้า ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา “เข้าใจแล้วครับ… ”

          “มีเด็กดีอย่างเราอยุ่ก็วางใจ” จารวียิ้มๆ “เอาล่ะ ถึงแล้วจ้า” เธอว่าหลังจากเลี้ยวเข้าไปจอดยังคอนโดมิเนียมที่อีกคนพักอยู่ “ให้พี่ขึ้นไปส่งไหม”
วาริชส่ายหน้าหวือ “ไม่เป็นไรครับพี่จา ส่งผมข้างล่างนี่ก็พอ วันนี้ของไม่เยอะ”

          “เนี่ย เกรงใจกับพี่อีกแล้วนะ”

          “พี่จาาา” วาริชลากเสียง “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ไว้เจอกันมะรืนนี้นะครับ” เขายิ้มให้ก่อนจะหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าทรงสปอร์ตของตัวเองขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวลงจากรถ

          “จ้า ชุดวันนี้สปอนให้เลยนะ เก็บไว้ได้เลยจ้ะ… ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะวาริช”

          เขายิ้มตอบที่จารวีพูดก่อนจะโบกมือให้ หลังมองเธอขับรถคันสวยออกไปจนพ้นสายตา วาริชก็หมุนตัวแล้วเดินกลับเข้ามาภายในโถงรับรองของคอนโดมิเนียม และเมื่อสบตาเข้ากับตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ประดับอยู่หน้าลิฟต์ รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้านั้นก็หายไปเสียแล้ว 

_ _ _ _

          “เธอ.. กลับมาช้าจัง” ร่างสูงที่คุ้นเคยปรี่เข้ามาหาเข้าทันทีหลังจากที่ประตูห้องปิดลง ข้อมือข้างที่ไม่ได้เจ็บถูกจับจูงให้เดินตามเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เย็นเฉียบ

          “รอนานไหม” วาริชตัดสินใจถามออกไปหลังกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เปิดโทรทัศน์หรือเพลงคลอไว้เหมือนเคย กวินคงนั่งรอเวลาให้เขากลับมาอยู่ในห้องเงียบๆ

          ได้ยินอีกฝ่ายถามแบบนั้นกวินก็ยิ้มกว้าง “ไม่เลย… ไม่นาน เธอนั่งก่อนนะ” เขาให้วาริชนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ ในขณะที่ตัวเองทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้น นิ้วเรียวลูบหลังมือของคนมาใหม่เบาๆ “เรา… ขอดูข้อมือเธอหน่อยได้ไหม”

          วาริชเม้มริมฝีปาก “มันเป็นแผลน่ะ ไม่น่าดูเท่าไหร่หรอก”

          “เราทำเธอลำบากใช่หรือเปล่า” กวินเอ่ย “เมื่อคืนก่อนเรากลับเห็นว่าเป็นรอยจ้ำแดงๆ ช้ำหนักเลยใช่ไหมเนี่ย”

          “ไม่” คนที่นั่งอยู่ปฏิเสธ “มันเป็นแผลจริงๆ เราเผลอทำแก้วแตก เลยโดนน้ำร้อนลวกเอา”

          “เธอนี่นะ ยังจะพูดแบบนี้อีก” เขาส่ายหน้ากับความปากแข็งของคนรัก “เดี๋ยวเราทายาแก้ช้ำให้”
          วาริชไม่ได้ดึงมือออก แต่ก็ไม่ได้ตอบรับ แต่กลับนั่งก้มหน้านิ่งปล่อยให้กวินแกะผ้าพันแผลออกอย่างเบามือ

          แต่สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าที่ปิดไว้กลับไม่ใช่สิ่งที่พระเอกหนุ่มคิดเอาไว้
          ผิวหนังบริเวณข้อมือปรากฏรอยถูกน้ำร้อนลวกให้เห็นจริงๆ

          “วาริช” กวินชะงัก “ทำไมถึงเป็นแบบนี้…. เธอทำอะไร”
         
          “เราจะชงกาแฟ แก้วแตก เลยถูกน้ำร้อนลวก”
         
          “วาริช!” นักแสดงหนุ่มพูดเสียงดัง “บอกเรา เธอทำอะไรลงไป” สายตาจับจ้องคนตรงหน้าด้วยความตกใจ กวินยังจำได้ดีว่าตอนเขาจากมาช่วงเข้ามืด ข้อมือบอบบางข้างนั้นขึ้นรอยช้ำสีม่วงที่ตัวเขาเองเป็นคนทำทิ้งไว้ การที่ตอนนี้มันปรากฎรอยแผลพุพองจากน้ำร้อน มันจะมีสาเหตุอะไรนอกจาก…
   
          วาริช เธอทำอะไรลงไปกัน…

          “มันไม่หาย… รอถึงเช้าแล้วมันก็ยังไม่หาย” คนตรงหน้ากระซิบพลางเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยหยดน้ำเอ่อคลอ “เราไม่รู้จะทำยังไง วันนี้มีงาน… ถ้าหากมีคนเห็นเข้าล่ะก็จะว่ายังไง”

          กวินใจหายวาบ

          “เธอเลย...” มือที่จับอีกคนอยู่สั่นระริก ไม่กล้าพูดสิ่งที่เห็นออกมาด้วยซำ้ไป 

          “แล้วคุณจะให้เราทำยังไง” วาริชย้อนถามทั้งน้ำตา “ให้เราบอกว่าอะไรดีล่ะ ถ้าแค่ข้อมือช้ำ ทุกคนก็จะบอกว่าเมคอัพก็ปิดได้ แล้วถ้ามีใครแกะผ้าพันแผลออกมา เขาก็ต้องเห็นรอยที่คุณทิ้งไว้”   

          “เธอ…”

          นักแสดงหนุ่มมองคนรักร้องไห้โฮด้วยความปวดใจ ใช่ เป็นเขาเองที่เป็นคนทำให้วาริชต้องเจอเรื่องแบบนี้ อารมณ์ขุ่นมัวมือคืนก่อนทำให้เขาเผลอตัวกระทำรุนแรงกับอีกฝ่ายจนวาริชต้องตัดสินใจปกปิดมันด้วยการทำร้ายตัวเอง “ชู่ว… เธอ… เราขอโทษ เราขอโทษ” กวินคุกเข่าแล้วดึงอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด ไหล่บางสั่นด้วยแรงสะอื้น เนื้อผ้าบริเวณช่วงอกชื้นไปด้วยคราบน้ำตา

          “เราไม่รู้จะทำยังไง” วาริชว่า “แต่ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ… ทุกอย่างเราก็จัดการได้”

          นักแสดงหนุ่มพูดไม่ออก เขารู้ว่าคนรักก็เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป แต่ในฐานะต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน “ไม่เอา… ไม่เอาแล้วนะ” กวินพูดซ้ำไปซ้ำมา “เรื่องเมื่อคืนนี้เราขอโทษ แต่เธออย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ เราขอร้อง… นะ”

          “ไม่ ไม่” วาริชส่ายหน้า “คุณไม่ต้องขอโทษเลย นี่เป็นปัญหาของเรา เราหาทางแก้เอง” 

          “คนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้คือเรา ถ้าเมื่อคืนเราไม่…” ชายหนุ่มขบกรามแน่น “ทำไมเราถึงทิ้งให้เธอต้องแบกรับปัญหาอยู่คนเดียว นี่มันไม่ถูก ไม่ถูกเลยวาริช”

          “เราขอโทษที่เลือกวิธีแบบนี้ แต่เราก็จัดการทั้งหมดได้แล้วนี่ไง คุณไม่ต้องกังวล” วาริชว่า “ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้หรอก”

          “ความลับของพวกเรา ต้องแลกมากับการที่เธอต้องทำแบบนี้เหรอ” 
         
          “เรื่องของเราต้องเป็นความลับ” วาริชย้ำ “ทุกอย่างจะโอเค”

          “ไม่”

          “คุณหมายความว่ายังไง” วาริชผละออกจากอ้อมแขนแกร่ง

          “ไม่อีกแล้ว” กวินว่า “จะไม่มีข้อตกลงเรื่องความลับบ้าบออะไรนั่นอีกแล้ว”

          “ไม่ได้! ถ้าข่าวหลุดออกไปล่ะก็แย่แน่”

          “ช่างมัน….จะมีใครรู้ก็ช่าง นี่มันเรื่องของเราสองคน เราไม่สนแล้ว… ”

          “กวิน! นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ข่าวแบบนี้ทำให้อาชีพของเธอจบเอาได้ง่ายๆ เลยนะ”

          “ช่างหัวมันสิ!” กวินว่า “จะพังก็ให้มันพังไป เราไม่อยากคบกับเธอแบบหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้แล้ววาริช นี่เธอถึงขนาดต้องทำแบบนี้เพราะกลัวคนอื่นจะรู้ เราจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”

          “ไม่ได้นะ คุณจะเอาอาชีพมาแลกกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้”

          “เธอเรียกความสัมพันธ์ของเราสองคนว่าเรื่องแบบนี้เหรอ?” กวินย้อนถามด้วยความเจ็บปวด “ทั้งหมดนี่ มันเป็น เรื่องแบบนี้ ของเธอเหรอวาริช”

          “แต่อนาคตของคุณ”

          “แล้วอนาคตของเธอมีเราอยู่ด้วยหรือเปล่าวาริช… ” นักแสดงหนุ่มถาม “แล้วตอนนั้นพวกเราบอกทุกคนว่าเป็นอะไรกันล่ะ คนรัก เพื่อนร่วมงาน หรือแค่คนเคยรู้จัก วาริช… เธอคิดจะเก็บความลับแบบนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่เราบอกได้เต็มปากว่าเธอคือคนที่เรารัก”

          เจ้าของใบหน้าสวยมองคนรัก ก่อนจะพูดอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา”

          “แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะวาริช!” กวินลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสีย “มันจะมีวันนั้นจริงหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย”

          หัวใจคนฟังเจ็บจากคำพูดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน วาริชหลับตาลงขณะแพขนตายังคงเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำ พยายามกลั่นกรองประโยคที่อยู่ในห้วงความคิดอันแตกสลายออกมาทีละคำ “ถ้าความรักที่เรามียังทำให้เธอมั่นใจไม่ได้… มันก็อาจจะไม่มีวันนั้นหรอกกวิน” 

          “วาริช…” กวินครางฮือในลำคอ “คำที่เธอจะพูดออกมามันเรียกคืนไม่ได้นะ”

          “สิ่งที่คุณพูดก็เช่นกัน”

          เสียงหัวใจของตัวเองเหมือนจะดังขึ้นจนหนวกหูเมื่อความเงียบน่าอึดอัดเข้ามาแทนที่บทสนทนา ทั้งสองสบตากันนิ่งระหว่างที่จมลงดิ่งไปกับกระแสความคิดของตัวเอง   

          เป็นฝ่ายวาริชที่พูดขึ้นมาก่อน “บางที… เราควรห่างกันสักพัก”

          “ได้สิ….” กวินมองคนรักด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “พวกเราทั้งคู่จะได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรกันสักหน่อย” ชายหนุ่มขยับไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่โยนไว้โซฟา “เผื่อจะทำให้เราได้รู้ว่าพวกเราเป็นคนที่ใช่ ของกันและกันอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า”   

          หลังจากพูดประโยคนั้นจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ทางออก แผ่นหลังกว้างที่เคยดูสง่างามกลับดูเศร้าสร้อยไร้เรี่ยวแรงเมื่อมองผ่านม่านน้ำตาพร่าเลือนของวาริช เสียงบานประตูหนาหนักปิดลง แล้วห้องพักที่เคยอบอุ่นก็กลับเย็นเยียบ ทิ้งไว้เพียงรอยแผลในใจของคนทั้งสองคน

_ _ _ _

          ระยะห่างของตอนพิสูจน์ได้ว่าการเขียนดราม่านั้นยากเหลือเกินค่ะ
          ย้อนอดีตกันมาสองตอนเต็ม คราวหน้ากลับปัจจุบันกันนะคะ

          ขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านกันนะคะ พบกันตอนหน้าค่ะ

          รัก
          ปล. ด้วยภาระหน้าที่งานประจำ เลยเขียนได้แค่วันละจุ๊ดจิ๊ด แต่ยังไงก็จะไม่ทิ้งนะคะ สัญญาเลยย
          ปล. คนเขียนเป็นสายสุขนิยมค่ะ ไม่ BE แน่ๆ แหละ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด