"ในความคิดถึง - In my memories" - รูปภาพใบที่แปด 2.10.2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ในความคิดถึง - In my memories" - รูปภาพใบที่แปด 2.10.2020  (อ่าน 3629 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



_______________________________________________

จาก Mettnoon นะคะ

เขียนเรื่องนี้ในทำนองบันทึกความทรงจำที่สวยงาม สถานที่บางแห่งเลือกใช้สถานที่จริงเพราะเป็นสถานที่ที่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถลืมได้ด้วยล้วนอัดแน่นด้วยความทรงจำล้ำค่า แต่เหตุการณ์และตัวละครทุกตัวในเรื่องเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นทั้งสิ้น อ่านให้เป็นนิยายนะคะ มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาและหวังว่าจะทำให้ทุก ๆ ท่านสนุกซาบซึ้งไปกับนิยายเรื่องนี้ได้บ้าง หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดไป Mettnoon ต้องขออภัยด้วยค่ะ ----- Mettnoon, 24.5.2020
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2020 15:27:44 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ในความคิดถึง - In my memories" - 24.5.20 / Prologue
«ตอบ #1 เมื่อ24-05-2020 10:07:25 »

บทนำ

        ผมไม่อยากเข้าโรงพยาบาลเลย...
        ต่อให้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีหรือเป็นคนสดใสร่าเริงขนาดไหน ถ้าต้องมานอนแซ่วอยู่ในห้องที่มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคลอยอวลอยู่ในทุกอณูของอากาศแบบนี้ก็ต้องจิตตกกันทั้งนั้น แล้วเมื่ออารมณ์ไม่ดี มันก็ยากที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวให้รื่นรมย์ได้
        ผมไม่ชอบชุดคนไข้สีน้ำเงินแกมเทาของโรงพยาบาล ถึงจะออกแบบตัวเสื้อให้เหมือนกับชุดกิโมโนของญี่ปุ่นเพื่อให้ถอดสะดวกและสวมใส่สบาย แต่ผมไม่เห็นจะรู้สึกอย่างนั้นสักนิด มันโล่ง ๆ โหวง ๆ พิลึก ไม่ชวนให้อยากใส่เอาเสียเลย พอร์ต (port) ที่หน้าอกก็น่ารำคาญไม่แพ้กัน ผมต้องใช้ยาเคมีบำบัดแบบเหลวหรือที่เรียกว่าอินฟิวชั่น (infusion) จึงจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฝังพอร์ตเข้าไปใต้ผิวหนัง ที่หน้าอกของผมจึงมีรอยแผลผ่าตัด เนื้อตรงบริเวณนั้นก็นูนน่าเกลียด เผลอเอามือไปแตะถูกทีไรก็หงุดหงิด เพราะลูบไปแล้วก็รู้สึกสะดุด ผิวไม่เรียบเสมอกันอย่างเคย สายจากพอร์ตที่ต่อเข้าหลอดเลือดดำตรงเข้าสู่หัวใจก็เหมือนกัน กว่าจะทำใจให้ชิน ไม่รู้สึกว่ามีสายอะไรสักอย่างอยู่ในเส้นเลือดตลอดเวลาก็ใช้เวลาตั้งเดือน
        โรคที่ผมเป็นคือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ถึงแม้จะเป็นมะเร็งชนิดที่มีความเสี่ยงน้อย โอกาสหายขาดมีสูง แต่ก็สามารถเป็นซ้ำได้อีก ผมก็กลับมาเป็นซ้ำเหมือนกัน จึงต้องเข้ารับการรักษากันใหม่ การเข้าโรงพยาบาลครั้งที่สามที่สี่มันไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่อะไร ๆ ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ไปหมด ผมบอกครอบครัวและเพื่อน ๆ ว่าผมเป็นมะเร็งต้องเข้าโรงพยาบาล ทุกคนก็แห่กันมาเยี่ยมจนห้องแทบแตก ผมมีกำลังใจดี มีแรงยิ้มและพูดคุยกับเพื่อน ๆ เหมือนคนไม่ได้เป็นอะไร ผมสัญญาว่าผมจะสู้สุดหัวใจ จะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน
        แต่พอต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยเข้า ผมก็เริ่มเบื่อ ไม่อยากให้มีคนมาเยี่ยมเยอะ ๆ อีกแล้ว เจ้ายาคีโมสีแดงเหมือนเลือดนั่นทำให้ผมเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็เหนื่อย ไม่มีแรง ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะพบปะพูดคุยกับใคร ๆ อีกแล้ว ผมอยากพักผ่อนมากกว่า ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องเดี่ยว ปกติแล้วควรจะมีคนอยู่เฝ้าผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว ถ้าครอบครัวหรือเพื่อนสนิทสองคนของผมไม่ว่างมาเฝ้า ผมก็อยู่คนเดียวได้ นอนอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูซีรีส์ ฟังเพลง เล่นเกมในโทรศัพท์ฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย
        วันนี้ผมต้องอยู่คนเดียว หนังสือก็อ่านหมดแล้ว หนังหรือซีรีส์ก็ไม่มีเรื่องไหนน่าดู เพลงก็น่าเบื่อ ผมจึงต้องหาของแก้เหงาชิ้นใหม่
        ตั้งแต่ผมป่วยซ้ำ ต้องเข้าโรงพยาบาลรอบใหม่ พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจสังคายนาคอนโดหนึ่งห้องนอนที่ผมอยู่ตอนนี้เสียใหม่ ทำความสะอาดจนเรี่ยม ชนิดไม่ให้เหลือแม้แต่ไรฝุ่น ข้าวของบางชิ้นที่ไม่ใช้แล้วก็ให้โละทิ้งไป ห้องจะได้ไม่รกและไม่มีแหล่งสะสมฝุ่น เมื่อผมออกจากโรงพยาบาลก็จะได้อยู่ห้องที่สะอาดและอากาศปลอดโปร่ง ไม่ติดเชื้อได้ง่าย ๆ ผมเข้าใจความหวังดีของพ่อกับแม่จึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร ปล่อยให้พวกท่านทำอย่างที่พอใจ แล้วก็เป็นเมื่อวานนี้เองที่พ่อเอากล่องกระดาษขนาดใหญ่กล่องหนึ่งมาให้ผม
        กล่องกระดาษกล่องนี้ผมเก็บเอาไว้ในตู้ลิ้นชักชั้นล่างสุด แทบจะไม่ได้เปิดออกดูเลยจนเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ มานึกออกก็ตอนที่ได้เห็นอีกครั้ง ตอนนี้มันถูกวางทิ้งเอาไว้บนโซฟา พ่อบอกว่าอยากให้ผมดูก่อน ถ้าไม่อยากเก็บไว้ก็จะได้ทิ้งไป
        ผมลุกจากเตียง ลากเสาแขวนยาที่มีสายยางห้อยเกะกะไปกับตัวด้วย ทุลักทุเลนิดหน่อย แต่ก็พาตัวเองมานั่งลงบนโซฟาได้สำเร็จ จากนั้นก็เปิดฝากล่องออกโดยไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นมากนักในตอนแรก ข้างในกล่องเก็บรูปถ่ายเก่า ๆ และของกระจุกกระจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมหยิบรูปถ่ายใบแรกสุดขึ้นมาดู เป็นรูปถ่ายหน้าตรงติดบัตรสมัยเป็นนิสิตชั้นปีที่หนึ่ง ตัดผมรองทรงเรียบร้อย สวมชุดนิสิตสีขาวผูกเนกไทครบถ้วน ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็เห็นความอ่อนเยาว์และความสดชื่นแจ่มใสได้อย่างชัดเจน
        ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่คอทันที ผมค้นต่อไป ยิ่งค้นลึกลงไปเรื่อย ๆ น้ำตาของผมก็เริ่มพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ภาพในอดีตผุดขึ้นมาให้จดจำได้อีกครั้ง เรื่องบางเรื่องที่เคยหลงลืมไปแล้วก็หวนคืนกลับมาใหม่ บางครั้งผมก็ไม่แน่ใจเรื่องเวลา ไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์ไหนเกิดขึ้นก่อนหลัง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือสิ่งที่ผมจำได้มากกว่า
        และยังอยู่ในห้วงแห่งความคิดถึง...
        ผมเลือกหยิบรูปถ่ายขึ้นมาหลายใบ เอามาวางเรียงต่อ ๆ กัน รูปแต่ละรูปบอกเล่าเรื่องราวในอดีตที่ล่วงเลยมานานมากแล้วของผม เรื่องราวที่ทำให้ผมยิ้ม หัวเราะและร้องไห้ นอกจากรูปถ่ายสีซีด ๆ พวกนี้แล้ว ในกล่องก็ยังมีของอีกหลายอย่าง ผมเลือกหยิบของบางอย่างมาวางคู่กับรูปถ่ายบางรูป ของพวกนี้เป็นตัวแทนของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่นกัน
        สุดท้าย ผมหยิบถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดหมูที่ถูกเก็บซุกไว้ที่มุมกล่องขึ้นมา สีของถุงซีดไปมาก เช่นเดียวกับของที่อยู่ข้างใน เข็มติดเสื้อสีทองสองแบบที่ไม่ได้ขัดดูหมองมัว ไม่เป็นประกายสุกปลั่งเหมือนแต่แรกที่ได้มา จี้ห้อยคอสี่เหลี่ยมทำจากเงินก็เปลี่ยนสีเป็นสีดำ แสดงให้เห็นว่าพวกมันเดินทางข้ามผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานพอดู
        แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน ผมก็ไม่เคยลืม
        ใครเล่าจะลืมรักครั้งแรกและช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตได้ ช่วงเวลานั้นของผมกินเวลาประมาณห้าปี เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ในรูปใบแรกที่ผมเลือกจนกระทั่งถึงรูปใบสุดท้าย และของสามอย่างในถุงผ้ากำมะหยี่ที่ผมเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้
        ตัวแทนความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม
        พระเกี้ยวน้อย จักรดาว และดอกแก้ว...

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 1
เด็กผู้ชายวัยรุ่นหนึ่งคนกับเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันสองคน ทั้งสามคนแต่งชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลาย นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันที่โต๊ะยาวในโรงอาหาร กระเป๋านักเรียนวางข้างตัว บนโต๊ะวางจานอาหารที่พร่องไปไม่มากนัก กับสมุดจดโน้ตหน้าปกรูปตราโรงเรียนหลายเล่ม

            ผมชื่อติณ
            ชื่อคำเดียวสั้น ๆ ไม่มีชื่อเล่น ใคร ๆ ก็เรียกผมด้วยชื่อจริงทั้งนั้น แม้แต่พ่อกับแม่ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่ออื่นอีก จนกระทั่งสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่สี่ได้ที่โรงเรียนชื่อดัง เด็กต่างจังหวัดอย่างผมต้องมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้รู้จักเพื่อนใหม่มากมาย จากชื่อติณคำเดียว ผมก็กลายมาเป็น ‘ตินติน’ ของทุกคนในที่สุด
            แต่ไม่ใช่ผมดัดจริตเปลี่ยนชื่อเอาเองหรอกนะ คนแรกที่เรียกผมด้วยชื่อนี้คือหัวหน้าห้องที่ครูประจำชั้นเลือกมาจากคนที่สอบเข้าได้คะแนนสูงสุด เขาชื่อพยับ ผมจำชื่อเขาได้แม่น พยับตัวเตี้ยกว่าผมมาก ผมหยิก ใส่แว่นตากรอบดำอันใหญ่ พูดเก่ง สนิทกับคนง่าย รู้จักกันแค่ไม่นานก็เที่ยวตั้งชื่อให้คนอื่นเขาไปทั่วแล้ว แต่เขาไม่ได้ตั้งมั่ว ๆ ตามใจชอบหรอกนะ พยับจะมีเหตุผลเสมอ เขาตั้งชื่อให้เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งว่า พระนางเจ้า เพื่อนคนนี้เป่าทรัมเป็ตอยู่ในวงดุริยางค์ ตอนที่มีการแสดงดนตรีในหอประชุมใหญ่ ตำแหน่งทรัมเป็ตจะนั่งอยู่หน้ากลองทิมปานี พิธีกรในงานอธิบายว่ากลองทิมปานีเอาไว้ตีก่อนออกรบเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย พอแนะนำจบ นักดนตรีก็ตีกลองทิมปานี เสียงกลองดังกังวานดูยิ่งใหญ่อลังการมาก แล้วเพื่อนผู้หญิงก็ดันนั่งอยู่หน้าคนตีกลองพอดี แลดูเหมือนเป็นพระนางเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์ มีมหาดเล็กตีกลองทิมปานีเสริมบารมี เจ้าหล่อนเลยกลายเป็นพระนางเจ้าไปโดยประการฉะนี้   แล้วเมื่อพยับเรียก เพื่อน ๆ คนอื่นก็พลอยเรียกตามกันไปหมด จนผมก็แทบลืมไปเลยเหมือนกันว่าชื่อเล่นจริง ๆ ของเพื่อนคนนี้คือชื่ออะไร
              ส่วนผม เขาบอกว่า
              “หน้าเหมือนตัวการ์ตูน ชื่อตินตินดีกว่า”
              ตอนแรกผมก็งง เพราะไม่เคยดูการ์ตูนเรื่องที่เขาว่า ด้วยความอยากรู้ก็ถ่อไปที่ห้องสมุด ทำให้ได้ยลโฉมเจ้าตัวการ์ตูนชื่อฝรั่งนี่เป็นครั้งแรก ตินตินเป็นผลงานของนักเขียนการ์ตูนชาวเบลเยียม ผมว่าตัวเองหน้าไม่เหมือนเจ้าตัวการ์ตูนตัวนี้นะ อย่างหนึ่งก็คือผมตัวสูงกว่าและตาก็ไม่ได้เป็นจุด แต่พยับเขาเรียกผมแบบนี้ คนอื่นก็เรียกตาม ผมก็เลยเพิ่งมีชื่อเล่นเหมือนกับคนอื่นเขาเอาตอนม.สี่นี่เอง
               โรงเรียนของผมแบ่งออกเป็นแผนกวิทย์และศิลป์เหมือนกับโรงเรียนอื่น ๆ แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน ความแตกต่างทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยชิน
                อย่างแรกที่ผมรู้สึกตอนเริ่มเข้าเรียนที่นี่ก็คือโรงเรียนนี้ใหญ่มากและสวยมาก อยู่กลางกรุงเทพฯ ในย่านที่มีศูนย์การค้าและแหล่งช็อปปิ้งมากมาย ตึกเรียนของผมอยู่ทางด้านหน้าโรงเรียน ชื่อตึกศิลปะ ใกล้ ๆ กันคือศาลาหลังเล็กริมสระบัวอันกว้างใหญ่ซึ่งเปรียบเหมือนกับสัญลักษณ์ของโรงเรียนก็ว่าได้ เมื่อนึกถึงโรงเรียนก็จะนึกถึงศาลาหลังนี้และสระบัวก่อนอย่างอื่น ผมอยู่ห้อง 70 ตอนรู้นี่ถึงกับผงะ คิดว่าตัวเองสอบเข้าได้คะแนนแย่จนเขาจัดให้อยู่ห้องลำดับท้าย ๆ เลยทีเดียวหรือ ก็เพิ่งมารู้เอาทีหลังว่า แต่ละตึกมีห้องหมายเลขต่างกัน และการกำหนดหมายเลขห้องก็อยู่เหนือตรรกะของคนอย่างผม อย่างตึก 1 แทนที่จะขึ้นต้นเลขห้องด้วยเลข 1 ก็กลับใช้เลข 2 แทน อะไรแบบนี้เป็นต้น และแน่นอน ผมจำไม่ได้หรอกว่าแต่ละตึกใช้หมายเลขห้องแบบไหน เอาแค่หมายเลขห้องที่ตัวเองอยู่จนถึงชั้น ม. 6 ผมยังต้องคอยถามเพื่อนอยู่เลย ผมรู้แค่ว่าหมายเลขห้องไม่ได้เกี่ยวกับการจัดอันดับคะแนนก็แล้วกัน
                 นอกจากนั้นสายวิทย์กับสายศิลป์ก็ยังเหมือนกับถูกแยกออกจากกันกลาย ๆ เพราะโรงเรียนมันใหญ่มาก ตึกเรียนก็อยู่ไกลกันชนิดคนละฟากฝั่ง ถ้าไม่มีเหตุผลจำเป็นจริง ๆ ก็ไม่มีใครอยากเดินจนขาลากเพื่อไปอีกตึกหนึ่งหรอก ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกสายวิทย์มากนัก จำได้ก็แค่ที่ว่าสายวิทย์แบ่งแยกย่อยลงไปอีกหลายแผน ไม่ได้เรียกรวม ๆ ว่าสายวิทย์คณิตเหมือนที่อื่น แต่จะมีวิทย์-วิศวะ วิทย์-สาธารณสุข วิทย์-สถาปัตย์ วิทย์-คอมพิวเตอร์ วิทย์-เกษตร วิทย์-ดนตรี กระทั่งวิทย์-เยอรมัน วิทย์-ฝรั่งเศส หรือวิทย์-ญี่ปุ่นก็มี ผมว่ามันเท่ดี คือชอบอะไรก็มุ่งเรียนไปด้านนั้นเลย
                 ผมก็เป็นคนชัดเจนนะ คือชัดเจนว่าไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ สายวิทย์จึงไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย ผมเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาโดยไม่ลังเล ตอนนั้นมีสองภาษาให้เลือก คือฝรั่งเศสกับเยอรมัน ผมเลือกเรียนภาษาเยอรมัน ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ สำหรับผม ภาษาอะไรก็เหมือนกัน แต่สายเยอรมันมีอัตราสอบแข่งขันต่ำกว่า น่าจะประมาณหนึ่งต่อสี่ ในขณะที่สายฝรั่งเศสมีอัตราแข่งขันกันที่หนึ่งต่อหก ผมก็เลยคิดว่าตัวเองน่าจะมีโอกาสสอบติดมากกว่าถ้าเลือกเยอรมัน แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ ผมสอบติดเป็นหนึ่งในแปดสิบคนที่ได้เข้าเรียนสายภาษาเยอรมันในปีนั้น
                 ผมไม่ได้เรียนเลขสมใจ แต่ก็ต้องเจอกับการเรียนภาษาแบบตายกันไปข้างหนึ่งแทน อย่างภาษาอังกฤษก็ยังมีแบ่งออกไปเป็นอังกฤษหลัก อังกฤษอ่านเขียน อังกฤษสนทนา แต่ละวิชามีหนังสือที่โรงเรียนจัดทำขึ้นเอง หน้าปกสีต่าง ๆ กัน สีม่วงบ้าง สีส้มบ้าง เนื้อหาเข้มข้นชนิดเข้มข้นพิเศษ ผมยังจำไม่เคยลืมเลยว่า เวลาอาจารย์บอกคำศัพท์อังกฤษให้คำหนึ่ง อาจารย์ก็จะบอกเพิ่มให้อีกเป็นชุด คือคำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ คำวิเศษณ์ มาพร้อมตัวอย่างการใช้ครบถ้วน นักเรียนจดตามกันมือหงิก สอบทีนึงก็ท่องกันตาเหลือก แต่ก็ทำให้เรามีความรู้กว้างขวางขึ้นอีกมาก
                  ผมชอบเรียนภาษาไทยมากที่สุด แล้วก็พลอยชอบวิชาวรรณคดีที่แยกออกมาเป็นอีกวิชาหนึ่งไปด้วย ผมอ่านวรรณคดีหลายเรื่องจบเล่มก็เพราะวิชานี้ ไม่ได้อ่านเฉพาะที่ตัดตอนมาลงในหนังสือเรียนเท่านั้น นอกจากนั้นก็ยังมีหนังสืออ่านนอกเวลาสนุก ๆ อีกหลายเล่มที่ผมมักอ่านจบหมดในอาทิตย์แรก แล้วก็เลยทำให้มีเวลาเข้าไปค้นหนังสือแปลกับวรรณกรรมเยาวชนเล่มอื่น ๆ ในห้องสมุดมาอ่านเพิ่มได้อีก ผมเป็นหนอนหนังสือตัวจริงเลยล่ะ ตัดแว่นสายตาใหม่เกือบทุกปี เพราะอ่านหนังสือจนสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
                  และก็มาถึงวิชาที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือภาษาเยอรมันนั่นเอง วิชาหลักของสาย เป็นวิชาที่ต้องเรียนหลายคาบต่อสัปดาห์ เรียนกันจนเอียนไปข้างหนึ่งเลยล่ะ ผมไม่ได้ชอบเรียนภาษาเยอรมันมากที่สุดหรอกนะ แต่เยอรมันเป็นภาษาที่ผมตั้งใจมากที่สุด ใช้เวลากับมันมากที่สุด ไหนจะต้องท่องจำคำศัพท์ ท่องจำเพศของคำนามที่ดันทะลึ่งมีตั้งสามเพศ ทำความเข้าใจไวยากรณ์ที่แสนซับซ้อน ต้องผันคำโน้นคำนี้สารพัด คำกริยาก็ต้องผันตามประธานของประโยค คำคุณศัพท์ก็ต้องเติมคำลงท้าย คำนำหน้านามก็มีเป็นกระบุง แค่นั้นไม่พอ ตำแหน่งของคำในประโยคยังเปลี่ยนที่ได้อีกตามใจชอบ หัวหมุนเลยล่ะกว่าจะค่อย ๆ เข้าใจได้ดีขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อเราตั้งใจ ผลของความพยายามก็ย่อมออกมาน่าพึงพอใจ โรงเรียนของผมมีการแจกโล่เกียรติคุณให้แก่ผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดของแต่ละวิชา ผมจองโล่คะแนนสูงสุดภาษาเยอรมันคนเดียวตลอดสามปีซ้อน แต่ก็ยังยืนยันนะว่าผมไม่ได้ชอบวิชานี้สักเท่าไร
                  นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายวิชาที่ผมต้องเรียน ตัววิชาอาจไม่แตกต่างจากที่อื่น แต่วิธีสอนนี่ต่างแน่นอน ผมได้เรียนวิชาพระพุทธศาสนาในหอประชุมใหญ่ที่มีเก้าอี้นั่งเป็นชั้น ๆ เหมือนกับอัฒจันทร์ เรียนร่วมกับเด็กสายอื่น ๆ ทั้งโรงเรียน อาจารย์ถือไมค์สอนอยู่หน้าเวที ผมไม่ค่อยชอบวิชาเรียนรวมเท่าไหร่เพราะต้องเปลี่ยนห้องเรียน มันไม่ชิน แต่เพื่อน ๆ จะชอบมาก เพราะได้เหล่เด็กสายอื่นได้ง่าย ๆ ผมไม่มีใครให้เหล่ เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาฟังและจด ‘เล็กเชอร์’ ชนิดไม่ให้พลาดแม้แต่คำเดียว ลำบากลำบนเหลือกำลัง แต่ก็จะสบายตอนเข้ามหาวิทยาลัยครับ เพราะได้ฝึกปรือฝีมือฟังและจดมาแล้วเป็นอย่างดี อันนี้เป็นจุดประสงค์หลักของการจัดการเรียนการสอนแบบนี้นะ ไม่ใช่เหตุผลอื่นอย่างที่ตอนนั้นพวกผมเข้าใจกัน
                  อีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องปรับตัวก็คือประเพณีต่าง ๆ ของโรงเรียนที่มีมากมายเหลือเกิน สำหรับนักเรียนใหม่อย่างผมพิธีที่รอคอยก็เห็นจะเป็น ‘พิธีประดับพระเกี้ยว’ ให้แก่นักเรียนชั้น ม. 4
                  เครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนผมแตกต่างจากโรงเรียนอื่นตรงที่เสื้อนักเรียนสีขาวจะไม่ปักอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อย่อโรงเรียน หมายเลขประจำตัว หรือชื่อนามสกุลนักเรียน แต่จะมีแค่เข็มเครื่องหมายของโรงเรียนประดับอยู่ที่หน้าอก คือพระเกี้ยว (เป็นเครื่องประดับศีรษะในพิธีโกนจุกของเจ้านายในราชวงศ์) ผู้ชายประดับที่หน้าอกข้างขวา ส่วนผู้หญิงประดับที่หน้าอกข้างซ้าย ตอนที่ยังไม่ได้เข้าพิธีประดับพระเกี้ยว เสื้อนักเรียนของพวกผมก็จะโล้น ๆ ว่างเปล่า กลายเป็นเด็กนักเรียนไม่มีสังกัดอยู่นับเดือนทีเดียว
                  โรงเรียนจะจัดพิธีประดับพระเกี้ยวนี้เป็นพิธีใหญ่ ตอนที่ผมเดินขึ้นไปบนเวทีในหอประชุมใหญ่เพื่อให้อาจารย์ประดับพระเกี้ยวให้ที่อก ผมสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่จนผมขนลุกไปหมดทั้งตัว พระเกี้ยวที่อาจารย์ประดับให้ ผมเรียกว่าพระเกี้ยวองค์จริง แทบจะไม่เคยเอาออกมาใช้เลย ผมจะใช้พระเกี้ยวองค์สำรองที่ไป ‘เช่า’ หรือซื้อมาทีหลังประดับหน้าอกไปโรงเรียนทุกวันแทน ทุกวันนี้ก็ยังเก็บพระเกี้ยวองค์จริงองค์นี้ไว้เป็นที่ระลึก
                   นี่แหละครับ ผมต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ มากมาย พ่อกับแม่ค่อนข้างเป็นห่วงเพราะผมเป็นลูกคนเดียว ถึงจะเป็นผู้ชายและมั่นใจว่าเอาตัวรอดได้ พ่อกับแม่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี พวกท่านจึงให้ผมอยู่หอพักกับลูกพี่ลูกน้องของผมที่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนี้ ในช่วงแรกก็ได้คำแนะนำจากพี่เขานี่ล่ะ ผมจึงผ่านชีวิตนักเรียนในเมืองหลวงปีแรกมาได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก
                   นอกจากเรื่องเรียนที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่มีวันลืมก็คือเรื่องเพื่อน เพราะเพื่อนนี่ล่ะครับจะเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมไม่แค่ผ่านชีวิตนักเรียนม.ปลายไปเฉย ๆ แต่เพื่อนทำให้ผมผ่านมันไปได้อย่างสนุกสนานและทำให้ช่วงมัธยมปลายเป็นเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต

                                                                              **********

                   ห้องเยอรมันมีทั้งหมดสองห้อง เป็นเหมือนชนกลุ่มน้อยในโรงเรียน เพื่อน ๆ ในสายเลยค่อนข้างสนิทสนมกลมเกลียวกันดี เดินเข้าเดินออกไปหากันระหว่างสองห้องได้สบาย แต่ก็เหมือนห้องเรียนทั่วไปนั่นแหละครับ ในห้องมีการจับกลุ่มเพื่อนสนิทแยกย่อยลงไปอีกหลายกลุ่ม
                   ตอนเข้าเรียนแรก ๆ ผมไม่ได้อยู่กลุ่มไหนเป็นพิเศษ คุยได้กับทุกคน เรียกได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาของการทำความรู้จักนิสัยใจคอของแต่ละคนก่อนจะตัดสินใจว่าตัวเองเข้ากับใครได้มากกว่ากันก็คงจะได้ ผมเลือกผูกมิตรกับนักเรียนชายที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก่อน ทั้งสายมีผู้ชายอยู่แปดคน ก็แตกต่างไปคนละแบบ กลุ่มแรกจัดเป็นพวกเด็กเกเรเห็นจะได้ เวลาว่างชอบไปมั่วสุมสูบบุหรี่กับพวกเด็กสายศิลป์คำนวณอยู่ในห้องน้ำ พวกนี้จะห้าว บางครั้งก็ยกพวกตีกับเด็กนักเรียนชายสายวิทย์ให้ครึกครื้น คงจะมีแต่ตอนได้ยินเสียงกริ่งจักรยานของอาจารย์ฝ่ายปกครองเท่านั้นแหละที่ทำให้พวกนี้ลดความห้าวลงไปได้นิดนึง
กลุ่มที่สองคือพวกที่มีหัวใจเป็นผู้หญิง ซึ่งความเป็นผู้หญิงจะแสดงออกมาผ่านท่าทางการเดินเหิน การพูดจา จริตจะก้านแบบผู้หญิงจะมาแบบจัดเต็ม รักสวยรักงาม สนใจแฟชั่น ชอบเครื่องสำอาง ไอเท็มประจำตัวที่ขาดไม่ได้คือแป้งตลับ ลิปมัน และหวีสับสารพัดสียี่ห้ออีวิท พวกนี้ก็ผู้หญิงแหละครับ นอกจากต้องใส่เครื่องแบบนักเรียนชายแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากนักเรียนหญิงที่ตรงไหน
                       กลุ่มที่สามคือเด็กเรียนธรรมดา ไม่เกเร ความประพฤติเรียบร้อย ไม่ยกพวกตีกับใคร เลิกเรียนไปโรงเรียนกวดวิชา เล่นกีฬา เล่นดนตรี เล่มเกม จีบหญิง ถึงเวลาก็มีแฟนเดินควงกันไปเที่ยวสยาม (สถานที่ยอดฮิตสมัยมัธยมปลายของผม) ซึ่งผมก็น่าจะอยู่กับกลุ่มนี้ได้ เพราะการดำเนินชีวิตใกล้เคียงกัน ทำกิจกรรมคล้าย ๆ กัน แต่ผมก็ไม่เหมือนกับพวกเขาไปทั้งหมด มีข้อแตกต่างสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมไม่เข้าพวกกับเขาได้แบบเต็มร้อย
                       ผมชอบผู้ชาย
                       ก็ด้วยเหตุนี้แหละทำให้ผมไม่สนิทกับผู้ชายกลุ่มไหนเป็นพิเศษจนแล้วจนรอด ดูเหมือนว่า แค่มีเพศสภาพเดียวกันก็ไม่ใช่จะจับกลุ่มคบหากันได้อย่างลึกซึ้งเสมอไป ผมคิดว่า การที่เราจะสนิทกับใครสักคน มันจะต้องมีปัจจัยอย่างอื่นอีกมาก ผมก็เลยอยู่กับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อน ๆ จับกลุ่มกันไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปดูหนัง ผมไม่เคยพลาดเลย ผมคิดว่าจะรู้ได้ก็ต้องลงมือทำนี่แหละ
                       หลังจากผ่านไปได้หนึ่งเทอม ผมก็ปรับตัวได้ และในที่สุดผมก็มีกลุ่มเพื่อนสนิทที่ยังคงสนิทกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลครับ เธอสองคนนั่งอยู่แถวหน้าผมนี่เอง
                       ม้าหมุน กับ สโนว์
                       ชื่อเท่มากครับ ไม่โหล ไม่ซ้ำใครแน่นอน ชื่อนี้พ่อแม่ให้มาด้วยนะ ไม่ใช่อาศัยคนอื่นตั้งให้อย่างของผม
สองคนนี้มาจากต่างจังหวัด เป็น ‘เด็กหอ’ เหมือนกัน คงเพราะสาเหตุนี้ด้วยที่ทำให้พวกเราสนิทกัน เด็กหอนี่อิสระมาก ไม่มีใครควบคุม อยากทำอะไร อยากไปไหนก็ได้ตามสบาย ผมกับพวกเธอก็เลยมีวีรกรรมร่วมกันเยอะ และก็เป็นเธอสองคนนี้แหละที่ทำให้ชีวิตมัธยมปลายของผมมีสีสัน
                       ขอเริ่มแนะนำม้าหมุนก่อนเป็นคนแรก ตอนที่รู้จักกันก็ไม่ใช่ว่าจะเข้ากันได้ดีตั้งแต่แรก ผมถอยหนีด้วยซ้ำเพราะเธอถามผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
                       “มาจากใต้ ทำไมพูดใต้ไม่ได้”
                       ผมเหวอ แต่ก็ตอบไปดี ๆ ว่า
                       “ที่บ้านไม่ได้พูด ที่โรงเรียนก็ไม่ได้พูด บ้านเราอยู่ในตลาด”
                        ม้าหมุนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมชักรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำผิดอะไรร้ายแรงอยู่รึเปล่า
                       “ซื้อกระเป๋าจาคอบด้วยเหรอ” เธอมองกระเป๋านักเรียนที่ผมใช้ เป็นกระเป๋าหนังแท้ ราคาจึงค่อนข้างสูง สมัยนั้นเป็นยี่ห้อยอดฮิตเลยล่ะ
                       “ก็ซื้อพร้อมพวกเครื่องแบบนักเรียน หนังสือเรียน สมุดของโรงเรียน เขาเอามาขาย เราก็ซื้อ เธอมีอะไรรึเปล่า”
                       “เปล่า แค่สงสัยว่าใช้กระเป๋ายี่ห้อธรรมดาไม่ได้เหรอ”
                       ผมชักเริ่มหงุดหงิด แต่ม้าหมุนรอคำตอบจากผมด้วยความอยากรู้จริง ๆ ผมรู้สึกอย่างนั้น ม้าหมุนเป็นเด็กผู้หญิงที่สูงราวหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร ผิวสองสี ตัวค่อนข้างผอม ผมตัดสั้น รูปหน้าเล็กและเรียว แก้มตอบ ทำให้ดวงตาดูใหญ่เป็นพิเศษ ตาเธอสวยมาก เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ และกลมเหมือนลูกแก้ว ลูกตาคู่นี้บอกผมว่า เธอไม่ได้กำลังต่อว่าหรือตำหนิ แต่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้เท่านั้น
                       “ไม่รู้สิ” ผมเกาหัว “คือเราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันพิเศษหรือธรรมดา แม่ซื้อให้ เราก็ใช้ แค่นั้นแหละ เธอว่ามันเป็นยี่ห้อพิเศษเหรอ”
                        ม้าหมุนส่ายหน้า
                        “ไม่รู้ แต่เห็นใคร ๆ ก็เจาะจงซื้อยี่ห้อนี้ มันก็น่าจะพิเศษนะ”
                        “แต่ถ้าใคร ๆ ก็ซื้อ เราว่ามันก็น่าจะเป็นยี่ห้อธรรมดาสิ ถ้าพิเศษจริง ทุกคนจะใช้กันหมดแบบนี้เหรอ”
                        เธอทำท่าคิดหนัก เมื่อหาคำตอบไม่ได้ก็ยักไหล่ หันกลับไปทางหน้าห้อง และเลิกคุยกับผมไป
                        นี่แหละบทสนทนาแรกระหว่างเรา ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เธอพูด ผมคิดว่าเราพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ผมกับเธอก็คุยกันอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เธอจะเป็นคนเริ่มคุยกับผมก่อน ม้าหมุนมีคำถามมากมาย คล้ายกับว่าในโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่เธออยากค้นหา
                        “ทำไมตอบคำถามได้หมดเลย”
                        เธอมองหนังสือเรียนภาษาเยอรมันของผม เรากำลังเรียนการเรียกชื่อประเทศต่าง ๆ เป็นภาษาเยอรมัน ผมเห็นแบบฝึกหัดแวบแรกผมก็เขียนคำตอบล่วงหน้าไว้ก่อนเลยโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
                        “ก่อนเปิดเทอมเราเรียนภาษาเยอรมันเบื้องต้นมานิดหน่อย บทนี้เรียนแล้วก็เลยตอบได้”
                        ผมนึกว่าเธอจะใช้คำตอบของผมไปตอบข้อที่เว้นว่างไว้ แต่เธอไม่ยักทำ กลับพูดว่า
                        “มันจะถูกจริงเหรอ รอครูเฉลยดีกว่าแล้วค่อยเขียน”
                        ผมนึกฉุนขึ้นมา ถ้าเธอไม่คิดจะเชื่อผมแต่แรกก็ไม่ควรถามสิ แต่ก็เป็นลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นอีกนั่นแหละที่ทำให้ผมไม่พูดหรือต่อว่าอะไรออกมา ผมคิดว่าผมเห็นความจริงใจและซื่อตรงฉายชัดอยู่ข้างในนั้น
                        ม้าหมุนยังเป็นคนช่างสังเกตด้วย
                        “กินข้าวสวยจัง”
                        จู่ ๆ เธอก็พูดขึ้นมาขณะที่เรากินข้าวเที่ยงด้วยกันที่โรงอาหาร ผมไม่แน่ใจว่าหมายถึงใคร ก็เลยเอานิ้วชี้ที่หน้าอกตัวเอง เธอก็พยักหน้า
                        “ฮื่อ ตินตินนั่นแหละ”
                        “สวยยังไง” ผมถาม
                        “ก็กินจากข้างในออกมาข้างนอก เธอจะค่อย ๆ ใช้ช้อนเขี่ยข้าวจากข้างในออกมาไว้ที่ขอบจาน ตามด้วยกับ จัดให้มันอยู่ด้วยกันอย่างสวยงาม แล้วค่อยใช้ช้อนตักกิน เธอกะข้าวกับกับได้ขนาดพอดีช้อนเลยทุกครั้ง”
                        ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครสังเกตท่าทางการกินข้าวของผม ตัวผมเองยังไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกินข้าวยังไง
                         “เราอยากกินข้าวแบบเธอบ้าง มันสวยดี”
                         แล้วม้าหมุนก็ลงมือทำจริงอย่างที่พูด ผมก็ได้แต่มองเธอพยายามกินข้าวด้วยวิธีเดียวกับผมอย่างเอาจริงเอาจัง
                         ถ้าไม่มีม้าหมุน ผมคงไม่เคยได้รู้ไปตลอดชีวิตว่าผมกินข้าวยังไง

                                                                              **********

                         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
                          เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของผมก็คือ สโนว์ เธอตัวเล็กนิดเดียว เตี้ยกว่าม้าหมุนเสียอีก แต่รูปร่างอวบกว่า มีทรวดทรงองค์เอวกำลังงาม หน้าคม คิ้วเข้มโค้งได้รูปสวย ตาโต และยิ้มได้สวยมาก
                         “ชื่อสโนว์ แสดงว่าพ่อกับแม่เธอชอบหิมะใช่ไหม” ผมถาม
                         “พ่อกับแม่ไม่เคยเห็นหิมะของจริงหรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นยังไง เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สักวันจะต้องไปเห็นหิมะจริง ๆ ให้ได้” เธอตอบมาว่าแบบนี้
                         สโนว์เป็นคนพูดเก่งและช่างฝัน ชอบอ่านนิยายและการ์ตูนญี่ปุ่น ข้อหลังนี่แหละที่ทำให้ผมคุยกับเธอได้ถูกคอ เพราะเป็นคนรักการอ่านเหมือนกัน และเธอคนนี้แหละครับที่เปิดโลกให้ผมรู้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าการ์ตูนวายหรือการ์ตูนบอยเลิฟอยู่ด้วย ปกติผมอ่านแต่การ์ตูนผู้ชาย ดราก้อนบอล Slam Dunk ยูยูฮาคุโช คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา โจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน อะไรเทือก ๆ นี้ แต่สโนว์อ่านหมดทุกอย่าง แล้วก็เอามาให้ผมอ่านด้วย
                        “สนุก ลองอ่านดูสิตินติน รับรอง”
                        ผมมองกองหนังสือตรงหน้าด้วยความไม่แน่ใจ การ์ตูนหลายเล่มที่ลายเส้นแบบเดียวกับการ์ตูนผู้หญิงตาหวาน แต่หน้าปกวาดเป็นรูปผู้ชายกับผู้ชาย
                        “สนุกแน่นะ” ผมลังเล
                        “แน่นอน เอาหัวเป็นประกันเลย”
                        การันตีด้วยหัวตัวเองขนาดนั้น ผมก็เลยต้องอ่าน ผลน่ะหรือครับ ก็อย่างที่คุณผู้อ่านคงน่าจะเดาได้นั่นแหละ ผมติดการ์ตูนวายงอมแงม เรื่อง Love Mode ของ ชิมิซึ ยูกิ กลายเป็นคัมภีร์ ถ้าเรื่องไหนไม่ได้มาตรฐานเดียวกับเรื่องนี้ ผมถือว่าเรื่องนั้นไม่ใช่การ์ตูนวาย เป็นถึงขนาดนั้นเลย
                        นอกจากการ์ตูนวาย สโนว์ยังเอานิยายเล่มบาง ๆ ที่มีชื่อชวนให้ขนลุกอย่าง ทาสรักซาตาน เมียบำเรอ ทัณฑ์อสูร เจ้าสาวจำเป็น ฯลฯ มาให้ผมยืมอีกด้วย นิยายพวกนี้เปรียบได้กับนิยายสิบสตางค์สมัยก่อน เป็นนิยายประโลมโลกที่ไม่มีสาระอะไรเลย อ่านแป๊บเดียวก็จบ สโนว์จะหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าของผมหลังอ่านจบแต่ละเรื่อง
                        “สนุกใช่ไหม” เธอถาม
                        “ก็...มั้ง” ผมเกาหัว ตอบไม่ถูก “แต่พระเอกนางเอกรักกันเร็วมากเลย เจอกันหน้านี้ พอพลิกไปอีกหน้า อ้าว รักกันแล้วซะงั้น ไม่เร็วเกินไปเหรอ”
                        “แหม ก็ดูจำนวนหน้าสิ ถ้าไม่ให้พระเอกกับนางเอกได้กันเร็ว กระดาษก็หมดก่อนเรื่องจบพอดีสิ” เธอตอบ แล้วก็หัวเราะชอบอกชอบใจ พลอยทำให้ผมหัวเราะไปด้วย จริงของสโนว์ บางเรื่องนี่ดำเนินเรื่องได้ครบทั้งรักกัน เข้าใจผิด หนี ตามง้อ ได้กัน (ปล้ำ) ท้อง หอบลูกหนี ตามง้อ (ครั้งที่สอง) คืนดีกัน สามารถจบลงอย่างสมบูรณ์ได้ในจำนวนหน้าที่น้อยขนาดนั้น
                        “น่าสนใจดี” ผมยอมรับ
                        เราสองคนแลกหนังสือกันอ่านบ่อย สโนว์จะดีใจมากที่ผมให้ยืมหนังสือนิยายของนักเขียนดัง ๆ ที่พิมพ์เล่มปกแข็งอย่างดีและวรรณกรรมเยาวชนอมตะที่ไม่มีในห้องสมุด
                        “ขอบใจนะ” เธอจะกอดหนังสืออย่างทะนุถนอม “เรื่องพวกนี้ในร้านเช่าหนังสือแถวหอเราไม่ค่อยมีหรอก หาอ่านยาก บางเล่มยืมห้องสมุดได้ แต่ก็ต้องรอคิว”
                         “ค่าเช่าหนังสือแพงมากไหม” ผมชักสนใจ ปกติถ้าจะอ่านหนังสือ ผมจะไปห้องสมุด หรือไม่ก็ซื้อจากร้านขายหนังสือมาอ่าน ไม่เคยสนใจร้านเช่าหนังสือเลย
                         “ไม่แพงนะ แต่ต้องสมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปี ค่ามัดจำกับค่าปรับน่ะที่จะโหด คืนช้าปรับวันละยี่สิบบาทอะไรประมาณนี้”
                         ไอเดียที่ผมได้จากสโนว์ทำให้ผมลดค่าใช้จ่ายเรื่องการซื้อหนังสือได้เยอะเลยทีเดียว ผมเข้าร้านเช่าหนังสือบ่อยขึ้น ไล่อ่านจากชั้นแรกหน้าร้านไปจนกระทั่งถึงชั้นสุดท้ายหลังร้าน หนังสือชุดยาว ๆ หลายสิบเล่มอย่าง เพชรพระอุมา ผมก็เช่าอ่านก่อน พอแน่ใจว่าสนุกจริง ๆ ควรค่าแก่การเก็บสะสม ผมก็ค่อยซื้อเก็บทีหลัง
                         “โนว์ ไปงานสัปดาห์หนังสือกับเราไหม” ผมชวนเธอทุกครั้ง ซึ่งเธอก็ไม่เคยปฏิเสธ
                         “แล้วขากลับเธอจะค้างที่หอเราเหมือนเดิมไหม” เธอถาม
                         “ค้างสิ จะได้อ่านหนังสือให้ตาแฉะ อยู่ที่หออ่านหนังสือทั้งคืนไม่ได้ เกรงใจพี่ที่อยู่ด้วยเวลาเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน”
                          งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติตอนนั้นจัดที่คุรุสภา จากหอพักของผมนั่งรถเมล์สาย 16 ต่อเดียวถึงเลย เดินทางสะดวกมาก แต่ที่ผมไม่ค่อยจะชอบก็คือมันร้อน สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ออกร้านขายหนังสือกันกลางแจ้ง ถึงจะอยู่ในที่ร่ม ไม่โดนแดด แต่อากาศก็ยังร้อนอยู่ดี เดินดูหนังสือไปเหงื่อตกไป เดินครบรอบก็เหงื่อท่วมตัวพอดี สโนว์ไม่เคยบ่นเรื่องอากาศร้อน เธอเดินอยู่ข้าง ๆ ผมไม่ว่าผมจะเดินดูหนังสือสักกี่รอบ พูดคุยถกเถียงเรื่องหนังสือแต่ละเล่มอย่างกระตือรือร้น แล้วก็ช่วยผมหิ้วหนังสือที่ผมขนซื้อเหมือนจะเอามาตั้งร้านขายเอง
                          หอพักของสโนว์อยู่ไกลจากสถานที่จัดงานสัปดาห์หนังสือมาก แต่ผมก็ยินดีที่จะหอบหนังสือขึ้นรถเมล์มาที่หอพักของเธอก่อน ผมจะแกะพลาสติกห่อหนังสือออกจนหมด เรียงหนังสือบนพื้นจนสูงเป็นตั้ง ระหว่างนั้นสโนว์จะหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็ก หอพักส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้มีเตาแก๊สไว้ทำอาหาร แต่เด็กหอมักมีกระทะไฟฟ้าติดห้อง เอาไว้ทำได้สารพัดอย่าง สโนว์มีกระทะไฟฟ้าอยู่ใบหนึ่งเหมือนกัน เธอมีไข่ไก่ติดห้องไว้เสมอ เมื่อผมมา เธอจะแวะซื้อแหนมจากร้านของชำข้างหอพักติดมือมาด้วย แล้วก็จะเจียวไข่ใส่แหนมหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในกระทะไฟฟ้า บางครั้งมันก็ออกมาหนานุ่ม บางครั้งข้างนอกก็ไหม้ แต่ข้างในยังไม่สุกดี บางครั้งมันก็เละ ไม่เป็นแผ่นสวยงาม แต่พวกเราก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
                          หลังอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราสองคนก็จะเอาหมอนมาวางกับพื้นคนละใบ นอนคว่ำหน้าหัวชนกันแล้วเลือกหนังสือที่ตัวเองเล็งไว้จากกองมาอ่าน ในห้องจะค่อนข้างเงียบ เพราะไม่มีทั้งวิทยุหรือโทรทัศน์ จะมีก็แต่เสียงใบพัดดังหวื่อ ๆ มาจากพัดลมเครื่องกลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง
                          เมื่ออ่านจนเหนื่อย เราก็จะเงยหน้าขึ้นพักสายตาแทบจะพร้อม ๆ กัน ผมเห็นสโนว์ยิ้ม ถึงเราจะไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ผมก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอย่างเดียวกับผม
                          ‘มีความสุขจังเลยเนอะ’

                                                                               **********

                          หอพักชายที่ผมอยู่กับลูกพี่ลูกน้องตอน ม. 4 นั้นตั้งอยู่บนถนนพระรามหก ใกล้โรงเรียนมากที่สุด ถ้าเทียบกับหอพักที่คลองสานของม้าหมุนและหอพักที่ปิ่นเกล้าของสโนว์ ผมจึงมักมาถึงโรงเรียนเป็นคนแรกเสมอ ผมไม่ใช่คนชอบตื่นเช้า แค่ไม่ชอบขึ้นไปเบียดเสียดกับคนอื่น ๆ บนรถเมล์ที่แน่นเป็นปลากระป๋อง การต้องตื่นเช้าขึ้นสักหนึ่งชั่วโมงจึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย ประมาณหกโมงครึ่งผมก็มาถึงโรงเรียนแล้ว และก็ฝากท้องไว้กับอาหารที่ขายในโรงอาหาร ผมชอบอาหารที่นี่ ถึงจะไม่ได้อร่อยเลอเลิศห้าดาวขนาดในภัตตาคาร แต่ก็มีให้เลือกหลายอย่าง ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับยำผักกาดดองกระป๋องและปลาอินทรีย์ทอดตอนเช้าในโรงอาหารของโรงเรียน
                          หลังกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ผมก็ยังนั่งอยู่ในโรงอาหาร ไม่ได้ขึ้นตึกไปที่ห้องเรียน ผมรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องเรียนมันดูจริงจังเกินไป ห้องกว้างแต่ตั้งโต๊ะนักเรียนติด ๆ กันจนแทบไม่มีช่องว่างให้เดิน เก้าอี้โครงเหล็กที่มีพนักพิงหลังและพื้นรองหนังเป็นไม้สีน้ำตาลตุ่น ๆ นั่งไม่สบาย กระดานดำใหญ่เกือบเท่าความยาวของผนังห้อง ทั้งหมดชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่ใช่เวลาเรียนหนังสือ ห้องเรียนก็ไม่ใช่สถานที่ที่น่าพิสมัยนักหรอกสำหรับผม เวลาช่วงเช้าก่อนเข้าเรียนของผมจึงหมดไปกับการนั่งเล่นในโรงอาหาร ทำการบ้านบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือไม่ก็ทักทายพูดคุยกับเพื่อนที่เดินผ่าน
                          ผมทำอย่างนี้เป็นปกติทุกวัน แล้วเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่โต๊ะไม้ยาว ๆ กับม้านั่งในโรงอาหารกลายเป็นที่รวมตัวของพวกเราในตอนเช้าโดยที่ไม่มีใครนัดแนะ ผมมาก่อนคนแรกก็เอาเหรียญบาทจองโต๊ะไว้แล้วไปซื้อข้าว กินข้าวเช้าเสร็จยังไม่ทันจะเอาจานสกปรกไปเก็บที่วางจาน ม้าหมุนก็จะเดินเข้ามาในโรงอาหาร วางเป้สะพายหลังสีดำปักตราโรงเรียนที่ใช้แทนกระเป๋านักเรียนลงบนม้านั่ง แล้วไปซื้อข้าวมานั่งกินด้วยเงียบ ๆ หลังจากนั้นสักพักนึงสโนว์ก็จะตามมาสมทบ เราสามคนคุยกัน เถียงกัน แล้วก็อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนด้วยกันทุกวัน
                          มิตรภาพของผม ม้าหมุน และสโนว์ขันเกลียวผูกพันกันแน่นในโรงอาหาร แล้วก็ยิ่งเหนียวแน่นขึ้นทุกวัน ๆ ตรงกันข้ามกับโลกของเราสามคนที่ค่อย ๆ กว้างขึ้นกว่าการจำกัดตัวเองอยู่แค่ในสถานที่เดิม ๆ และกับผู้คนที่รู้จักคุ้นเคยกัน

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 2
   นักเรียนชายคนหนึ่งใส่เครื่องแบบนักเรียน เสื้อสีขาว กางเกงสีดำ ยืนอยู่ข้างตัวมาสค็อตตัวตลกผมสีแดงของร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง อีกด้านหนึ่ง เด็กนักเรียนหญิงสองคนยืนคู่กัน ใส่เสื้อนักเรียนสีขาว กระโปรงสีดำ คนหนึ่งผมสั้น อีกคนผมยาวรวบผมเป็นหางม้า ทั้งสามคนสะพายเป้สีดำ

             “โอ๊ยตาย! สิบข้อ ถูกข้อเดียว!”
             สโนว์อุทานอย่างละห้อยละเหี่ยใจ เมื่อเห็นตัวเลขสีแดงที่ผมเขียนแล้ววงกลมไว้ให้เห็นชัด ๆ ในสมุดแบบฝึกหัด เธอกวาดตามองเครื่องหมายถูกเล็ก ๆ ที่มีแค่อันเดียว นอกนั้นเป็นเครื่องหมายกากบาทและรอยเขียนแก้ด้วยหมึกแดงเต็มพรืดไปหมด
             “สอบซัมเทอมนี้มีหวังตกต้องซ่อมอีกแหง ๆ เลย”
             “ไม่หรอกน่า อย่าเพิ่งคิดไปก่อนสิ แกต้องทำได้อยู่แล้ว ทบทวนทุกวันแล้วกัน ตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามฉันกับหมุนได้” ผมยิ้มปลอบ แต่สีหน้าของสโนว์ก็ยังคงเซ็งสุดขีด ผมเข้าใจดีทีเดียว โรงเรียนผมสอบบ่อยมาก เปิดเรียนมาได้สักเดือนนึงก็มีสอบแล้ว เป็นการสอบเก็บคะแนนครั้งที่หนึ่งหรือ Formation 1 เรียกสั้น ๆ ว่า ฟอร์หนึ่ง ต่อมาก็สอบกลางภาคหรือ summation เรียกสั้น ๆ ว่า สอบซัม หลังจากนั้นก็สอบเก็บคะแนนครั้งที่สอง หรือ ฟอร์สอง สุดท้ายคือการสอบปลายภาคหรือเรียกกันว่า สอบไฟนอล สอบบ่อยขนาดนี้ พวกผมจึงต้องกระตือรือร้นทบทวนบทเรียนกันอยู่ตลอดเวลา
             “ตอนแกอธิบาย ฉันก็เข้าใจนะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้ทุกทีเลยก็ไม่รู้” สโนว์บ่น
             “คะแนนฟอร์หนึ่งของแกได้เท่าไหร่” ม้าหมุนเงยหน้าจากการบ้านของตัวเองขึ้นมาถาม
             “แย่สุด ๆ”
             “แต่ก็ผ่านนะ” ผมรีบค้าน
             “เฮอะ ผ่านแบบปัดขึ้นน่ะสิ ไม่มีระบบปัดคะแนน ฉันตายอย่างเดียว” สโนว์ค้อนลมค้อนแล้ง ม้าหมุนเลยหันมามองผม
             “โนว์มันได้ 5 เต็ม 10” ผมอธิบายแทน “คะแนนดิบ 8.5 จาก 20 ปัดเป็น 9 แล้วหารสอง ได้ 4.5 ปัดขึ้นเป็น 5 ผ่านพอดี”
             “เส้นยาแดงผ่าแปด” ม้าหมุนออกปากด้วยความทึ่ง
             “โคตร ๆ เลยแก และสอบซัมฉันคงไม่โชคดีเป็นบ้าอย่างนี้อีกหรอก พวกแกเตรียมจองที่ในโรงอาหารให้ฉันล่วงหน้าได้เลย” สโนว์พูดอย่างปลง ๆ ในชะตากรรมของตัวเอง หลังประกาศคะแนนสอบกลางภาค ใครที่ได้คะแนนไม่ถึงครึ่งหมายถึงสอบตก ต้องสอบซ่อม การสอบซ่อมจะสอบรวมกันที่โรงอาหารใหญ่ ผมกับม้าหมุนไม่เคยต้องไปนั่งในโรงอาหารด้วยเหตุผลนี้ แต่สโนว์คือขาประจำ ยังไม่มีเทอมไหนเลยที่เธอรอด
             ผม ม้าหมุน และสโนว์นั่งอยู่ด้วยกันในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียน วันนี้เป็นวันเสาร์ โรงเรียนมีสอนเสริมพิเศษให้นักเรียน คิดค่าเรียนไม่แพงถ้าเทียบกับการไปเรียนตามโรงเรียนกวดวิชา พวกผมก็เลยลงเรียนมาตั้งแต่เทอมแรก เรียนครึ่งวันตอนเช้า ผมเลือกเรียนภาษาอังกฤษกับภาษาเยอรมัน ม้าหมุนกับสโนว์ก็เลือกเหมือนกัน
             หลังเรียนเสริมวันเสาร์ พวกผมมักยังไม่อยากกลับหอพัก แต่จะเตร็ดเตร่เดินเที่ยวตามแหล่งช็อปปิ้งที่อยู่ในย่านเดียวกับโรงเรียนก่อน ที่ประจำของเราสามคนคือร้านฟาสต์ฟู้ด พวกเรามักจะสั่งเฟรนช์ฟรายชุดใหญ่ เอามาเทรวมกันในถาดพลาสติก สั่งน้ำอัดลมคนละแก้ว แล้วก็นั่งยาวไปทั้งบ่าย พูดคุยกันบ้าง ทำการบ้าน หรือไม่ก็อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน
             ตอนนี้บนโต๊ะของเราไม่มีถาดเฟรนช์ฟรายเพราะช่วยกันจัดการเรียบวุธไปหมดแล้วตั้งแต่สิบห้านาทีแรก หลังจากกินอิ่ม ม้าหมุนกับผมก็เอาการบ้านวิชาภาษาเยอรมันขึ้นมาทำ อาจารย์สั่งให้ช่วยกันเขียนนิทานพร้อมภาพประกอบหนึ่งเรื่อง งานนี้ถูกใจพวกผมสองคนมาก ม้าหมุนกับผมชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ม้าหมุนวาดรูปลงสีสวยมาก ส่วนผมถนัดวาดการ์ตูน ในหนังสือเรียนหรือสมุดโน้ตมักจะมีตัวการ์ตูนที่ผมลาก ๆ วาด ๆ มั่ว ๆ ด้วยดินสอบ้าง ปากกาบ้าง ระหว่างที่นั่งฟังอาจารย์สอน สโนว์เห็นผมกับม้าหมุนทำการบ้านกันอย่างขะมักเขม้นแล้วก็เลยไม่ได้ร่วมวงด้วย แต่เอาแบบฝึกหัดภาษาเยอรมันที่ถ่ายเอกสารจากหนังสือของผมมานั่งทำ ทำเสร็จก็ส่งมาให้ผมตรวจ ผมใช้ปากกาแดงเลียนแบบอาจารย์ ตรวจ แก้ไข และให้คะแนนเรียบร้อย
              สองเทอมที่ผ่านมา คะแนนของผมงามมาก เทอมแรกได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ชนิดตัวเองยังงง คงเพราะผมมาจากต่างจังหวัด กลัวว่าจะเรียนตามเพื่อน ๆ ไม่ทัน จึงตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ ไม่คิดเหมือนกันว่าผลจะออกมาดีถึงขนาดนี้ แต่พอเทอมที่สอง ผมก็ไม่ได้ 4.00 แล้ว เพราะไปพลาดได้เกรดสาม วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ม้าหมุนก็ทำเกรดได้ดีทั้งสองเทอม จัดอยู่ในลำดับต้น ๆ ของสายเหมือนกัน ส่วนสโนว์ได้เกรดเฉลี่ยอยู่ในลำดับท้าย ๆ แต่เธอก็ไม่ได้กังวลหรือเครียดอะไรมาก แค่บ่นไปตามเรื่องตามราวเวลาเห็นคะแนนสอบเท่านั้น
             “เออ แล้วเรื่องย้ายหอพักของแกล่ะตินติน ตกลงเอายังไง” ม้าหมุนเปลี่ยนเรื่อง
             “ยังตัดสินใจไม่ได้เลยว่ะ” พูดถึงเรื่องนี้ ผมก็ทำหน้าเซ็งตามสโนว์ไปอีกคน ผ่านไปสองเทอม ผมปรับตัวเข้ากับเมืองหลวง โรงเรียนใหม่ และเพื่อนใหม่ได้แล้ว ไม่ต้องการพี่เลี้ยงอีกต่อไป ผมอยากขยับขยายออกมาอยู่คนเดียวเพื่อความอิสระ ไม่ต้องเกรงใจลูกพี่ลูกน้องคนที่ผมอยู่ด้วยเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
              “พ่อแม่อยากให้ฉันมีเพื่อนอยู่ด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”
              “แกก็อยู่กับฉันไม่ได้ด้วยสิ” ม้าหมุนพูด
              ผมอมยิ้ม นึกถึงหน้าของเจ้าของหอพักที่ม้าหมุนอยู่ ทุกครั้งที่ผมไปค้างที่ห้องของเธอ เจ้าของหอพักเป็นต้องมองลอดแว่นมาที่ผมตลอด แกไม่รู้ว่าผมไม่ชอบผู้หญิง ผมก็ไม่ได้บอก ม้าหมุนยิ่งไม่สนใจใหญ่เลย เพราะถือว่าอยู่หอพักรวม ไม่ใช่หอพักชายหรือหอพักหญิง ในเมื่อไม่ผิดกฎหอพัก เธอจะทำอะไรก็ได้
              “ถึงอยู่ได้ก็คงไม่ได้อยู่ว่ะ คลองสานไกลเกินไป ฉันไม่อยากนั่งรถเมล์นาน ๆ แถมต้องนั่งเรือข้ามฟากอีก กว่าจะถึงห้องก็เหนื่อยแฮ่ก” ผมบอก
              “ถ้าคลองสานไกล งั้นปิ่นเกล้าก็คงไม่ไหวเหมือนกัน” สโนว์พูด
              “ไม่ไหวแน่” ผมสนองตอบทันที “ปิ่นเกล้านี่ยิ่งเหมือนอยู่คนละดวงดาวเลย”
              ผมอยู่หอพักใกล้โรงเรียนจนชิน ถ้าต้องย้ายที่อยู่ก็อยากเลือกที่ใกล้ ๆ โรงเรียนเหมือนเดิม ผมไม่เคยพิสมัยรถติดยาวเป็นแพและการที่ต้องนั่งรถเมล์นาน ๆ อยู่แล้ว
              “งั้นเอายังไงดี” ม้าหมุนพยายามช่วยคิด
              “พวกแกรู้จักใครที่กำลังหารูมเมตบ้างไหมล่ะ” ผมลองถามอย่างไม่ได้หวังอะไรมากนัก
              “เดี๋ยวนะ เมื่อวันก่อนได้ยินใครสักคนพูดเรื่องย้ายหออยู่เหมือนกัน” สโนว์พูด คิ้วขมวดขณะที่ทบทวนความทรงจำ ก่อนจะนึกออก ดีดนิ้วเปาะ
              “หมอก ห้องพยับไง น่าจะใช่นะ” เธอหันไปพูดกับม้าหมุนเหมือนกับจะต้องการความแน่ใจ แต่ม้าหมุนส่ายหน้า เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
              “หมอกกำลังหาหอใหม่เหรอ” ผมชักสนใจ
              ผมรู้จักหมอก เขาเรียนสายเดียวกับเราสามคน แต่ไม่เคยเรียนห้องเดียวกันเลย สายเยอรมันมีทั้งหมดสองห้อง หมดปีก็จัดห้องใหม่ภายในสาย นักเรียนแปดสิบคนสลับห้องกันไปมาอยู่แค่นี้ ปีนี้ผมโชคดีได้อยู่ห้องเดียวกับม้าหมุนและสโนว์ แต่พยับ หัวหน้าห้องของเราตอน ม. 4 ไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ห้องเดียวกับคนที่เรากำลังพูดถึง
              “ฮื่อ คิดว่างั้นนะ” สโนว์พยักหน้า “มันบอกว่ารูมเมตมันจะย้ายไปที่อื่น มันก็เลยอยากได้รูมเมตใหม่ แกลองไปถามมันดูสิ”
               “หอมันอยู่ที่ไหนวะ”
               “ไม่ไกลนะ แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่ที่ไหน ไม่เคยถาม” สโนว์ตอบ
               “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็โอเคละ เดี๋ยวถ้าเจอมันจะลองถามดู” ผมชักมีความหวังขึ้นมา ถึงจะไม่ได้อยู่คนเดียว แต่พอคิดว่าจะได้อยู่กับเพื่อนวัยเดียวกัน มันก็อาจจะไม่อึดอัดหรือต้องเกรงใจกันมาก
               “แกคิดว่าจะอยู่กับหมอกได้เหรอ” จู่ ๆ ม้าหมุนก็ถามขึ้น ผมมองหน้าเธอด้วยความไม่เข้าใจ
               “ทำไมล่ะ มันนิสัยไม่ดีเหรอวะ”
               “เปล่า” ม้าหมุนตอบ เธอนิ่วหน้าเหมือนกับกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดอยู่ แล้วก็พูดว่า
               “แกเรียนเก่ง หมอกมันก็เรียนเก่ง คนเก่งสองคนไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้”
               “ตรรกะอะไรของแกวะ เหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อะไรยังงี้เหรอ แต่ไม่น่าจะเป็นไรมั้ง อยู่กับคนเรียนเก่งก็น่าจะดีเหมือนกัน จะได้ช่วยกันอ่านหนังสือ”
               เมื่อได้ยินผมพูดอย่างนี้ ม้าหมุนก็ไม่ได้คัดค้านหรือแสดงความคิดเห็นอะไรอีก ยอมรับการตัดสินใจของผมแบบเต็มที่ ผมไม่ได้เฉลียวใจหรือติดใจเรื่องที่ม้าหมุนทักเลย อาจจะเพราะตอนนั้นผมยังไม่รู้ก็ได้ว่าเพื่อนผมคนนี้มองคนขาดอย่างเหลือเชื่อ
               “อ่านแล้วก็อย่าลืมมาติวให้ฉันด้วยแล้วกัน” สโนว์พูดเสียงอ่อย ๆ หน้าตากลับมาไม่เสบยอีกครั้ง ผมกับม้าหมุนก็เลยไม่ได้พูดเรื่องนี้กันอีก หัวข้อสนทนากลับมาสู่เรื่องเรียนอีกครั้ง เราสามคนนั่งทำการบ้านด้วยกันจนเสร็จก็ออกมาจากร้านฟาสต์ฟู้ด
               “อยากแวะตองห้า” ม้าหมุนบอก
               ตองห้า เป็นร้านอีกแห่งที่เราสามคนชอบไป ร้านนี้ขายกระดาษสารพัดแบบสารพัดสี กระดาษโน้ตลายการ์ตูนต่าง ๆ มีให้เลือกจนลานตา ม้าหมุนโปรดปรานร้านนี้เป็นพิเศษ เธอเดินดูกระดาษที่วางบนชั้นต่าง ๆ ได้อย่างไม่เบื่อ
               ผมไม่ชอบกระดาษลายการ์ตูนหรือลายดอกไม้สีหวาน ๆ แต่ชอบซื้อกระดาษสีหลาย ๆ สีไปตัดทำเป็นกระดาษจดโน้ต ผมว่ามันไม่น่าเบื่อเหมือนใช้กระดาษสีขาวธรรมดา ๆ เวลากลับมาอ่านสิ่งที่จดไว้ก็จะรู้สึกสนุกด้วย
               ระหว่างที่ม้าหมุนหลุดไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งกับกระดาษของเธอ ผมกับสโนว์ก็คุยกันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เดินดูของในร้านอย่างจริงจังนัก
               “ที่พยับชวนแกเป็นประธานฝ่ายศิลป์ แกตกลงเป็นให้มันไหม” สโนว์ถามผม
               เข้าสู่เทอมที่สาม หรือชั้น ม. 5 สายเยอรมันทั้งสองห้องไม่ได้ย้ายจากตึกศิลปะไปอยู่ตึกหนึ่งอย่างที่คิด เรายังอยู่กันที่ตึกเดิม เพียงแต่เปลี่ยนห้อง และกลายเป็นชั้นที่โตที่สุดในตึก ต้องเป็นแกนนำในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปโดยปริยาย และเพื่อให้มีอำนาจโดยชอบธรรม พยับจึงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานตึกศิลปะ เขาชนะการเลือกตั้ง ตอนนี้ก็กำลังคัดเลือกทีมงานมาเป็นกรรมการตึก ดูแลรับผิดชอบกิจกรรมด้านต่าง ๆ
                “เป็นสิ ก็รายนั้นเขาไม่ยอมเป็นนี่” ผมบุ้ยใบ้ไปยังม้าหมุนที่ยังคงอยู่ในโลกของตัวเอง
                ประธานตึกต้องการความสามารถด้านศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของม้าหมุน แต่เพื่อนของผมคนนี้ไม่ชอบรับตำแหน่งอะไรทั้งนั้น ยิ่งรู้ว่ากรรมการตึกต้องมีรูปติดไว้ที่บอร์ดก็ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ พอเธอปฏิเสธ พยับจึงหันมาชวนผมแทน คิดว่าถ้าได้ผมก็จะเหมือนได้ม้าหมุนมาด้วยโดยอัตโนมัติ
                 “แกเป็นก็ดี ฉันจะได้อยู่ช่วยงานฝ่ายศิลป์กับพวกแก” สโนว์พูดด้วยความดีใจ “ปีนี้กิจกรรมโคตรเยอะเลยเนอะ ว่ามั้ย”
                 “ฮื่อ ปีนี้หนัก ทั้งเรียนทั้งกิจกรรม” ผมพยักหน้ารับ
                 “งานลอยกระทง กีฬาสี งานปีใหม่ กีฬาประเพณี” สโนว์เริ่มนับนิ้ว   
                      “น่าสนุกดี”
                 “ใช่ ๆ ฉันอยากให้ถึงกีฬาสีไว ๆ จัง” สโนว์ว่า
                 “กีฬาสีคงเป็นงานใหญ่ที่สุดของพวกเรา” ผมพูด อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ แต่ละตึกจะมีสีประจำตึก การแข่งกีฬาสีคือการโชว์ศักยภาพและความสามารถของเด็กแต่ละตึก เป็นการแข่งขันที่มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน แต่ละตึกจึงทุ่มเทกันชนิดถวายชีวิต ตอน ม. 4 พวกผมเป็นเด็กที่ต้องไปนั่งแหกปากร้องเพลงอยู่บนแสตนด์เชียร์ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ปีนี้พวกผมจะมีโอกาสได้ออกแบบขบวนพาเหรดและแสตนด์เชียร์เอง มันจะต้องสนุกแน่ ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2020 10:37:00 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
                ม้าหมุนเลือกกระดาษที่จะซื้อได้แล้ว หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย พวกเราก็ออกมาจากร้านขายกระดาษ แต่ก็ยังไม่ได้กลับหอพักอยู่ดี สโนว์ชวนพวกผมไปที่ร้านขายริบบิ้น ผมกับม้าหมุนก็ไม่ขัดข้อง
            โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนหญิงไว้ผมยาวได้ แต่ต้องผูกผมติดริบบิ้นให้เรียบร้อย ริบบิ้นต้องเป็นสีดำสนิท ไม่มีลาย สโนว์เป็นคนหนึ่งที่ไว้ผมยาว ผมของเธอดกหนา รวบเป็นหางม้าได้เป็นพวงใหญ่ เธอไม่คิดจะตัดผม นอกจากซอยให้บางลง จะได้ไม่หนักหัว ด้วยความที่เป็นคนรักสวยรักงาม สโนว์จึงชอบแวะเวียนมาดูริบบิ้นสวย ๆ ที่ร้าน เธอมีริบบิ้นสีดำหลายเส้น ทั้งแบบมีลายและไม่มีลาย บางเส้นเป็นลูกไม้ลายละเอียด ริบบิ้นพวกนี้ใช้ผูกผมไปเรียนในวันธรรมดาไม่ได้ แต่วันเสาร์ที่มาเรียนเสริมพิเศษ อาจารย์ไม่เข้มงวดนัก สโนว์ก็จะเลือกริบบิ้นที่มีลวดลายมาใช้ ส่วนผมไม่มีความจำเป็นต้องใช้ริบบิ้นติดผม ม้าหมุนก็ตัดผมสั้นและไม่เคยคิดจะใช้อะไรก็ตามมาติดผมให้รุงรังอยู่แล้ว เราสองคนจึงสมัครใจรออยู่หน้าร้าน พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
           “วันพุธคาบคหกรรมจะทำอะไรกันดี แกมีไอเดียบ้างไหม” ม้าหมุนถามผม วิชาคหกรรมเป็นวิชาโปรดของเธอ นักเรียนสายศิลป์ต้องเรียนวิชาคหกรรม แต่ละเทอมก็เรียนแตกต่างกัน เทอมแรกเรียนเย็บเสื้อผ้าเด็กอ่อน เทอมต่อมาเรียนเย็บจักร ตัดเสื้อและกระโปรงอย่างง่าย ส่วนเทอมสามนี้เรียนทำอาหาร ทุกสัปดาห์แต่ละกลุ่มจะต้องคิดเมนูอาหารอย่างหนึ่งแล้วเอามาทำในชั้นเรียน
            “อาหารคาวใช่ไหม” ผมพยายามคิด แต่เรื่องอาหารนี่ผมไม่ถนัดเลย ถึงคาบเรียนผมก็ไม่เคยจับกระทะจับตะหลิว ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกผู้หญิงเขาทำกันไป ผู้ชายอย่างพวกผมมีหน้าที่ล้างจานกับกวาดพื้นโดยไม่มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น
             “ราดหน้าหมูยอดผักเป็นไง ง่าย ๆ”
             ม้าหมุนนิ่วหน้า
             “ไม่เอา ธรรมดาไป ไม่น่าจะขายได้”
             “จริงด้วยว่ะ ลืมคิดไปเลย งั้นอะไรดีล่ะ”
             นอกจากทำอาหารเองแล้ว พวกผมต้องเอาอาหารที่ทำไปขายด้วย นัยว่าอาจารย์ต้องการให้ฝึกคิดต้นทุน คิดราคาขาย คิดหาสินค้าที่ตลาดต้องการ แล้วเงินที่ขายอาหารได้ก็จะเอามาจ่ายค่าวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ ทำให้ไม่ต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วถ้าได้กำไรก็ถือเป็นโบนัส
              “ฉันว่าทำหมี่กรอบสูตรแม่เฒ่าฉันดีกว่า สูตรดั้งเดิมสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีสตอรี่ ขายได้ชัวร์”
              “เอาสิ” ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าไงก็ว่าตามกัน “แต่ตอนเราเอาไปเดินขาย มันจะไม่โดนลมหายกรอบไปก่อนเหรอ จำได้ไหม ตอนเราทำขนมปังหน้าหมูครั้งที่แล้ว เราหอบไปขายพวกเด็กวิทย์ที่ตึกคุณหญิงหรั่ง กว่าจะเดินไปถึง ขนมหน้าหมูก็เหี่ยว ขายไม่ออก”
              นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ขำ กลุ่มของผมตั้งใจทำขนมปังหน้าหมูอย่างสุดฝีมือ ม้าหมุนเป็นหัวหน้าถ่ายทอดสูตรอาหารของแม่เฒ่าหรือคุณยาย เธอการันตีโดยเอาชื่อของคุณยายที่เป็นยอดแม่ครัวเป็นเดิมพัน ซึ่งพอทำออกมามันก็อร่อยจริงนั่นแหละ แต่เฉพาะตอนทอดเสร็จใหม่ ๆ เท่านั้นนะ พอเดินไปถึงตึกของพวกสายวิทย์ที่อยู่อีกฟากโรงเรียน ขนมปังหน้าหมูที่จัดใส่จานกระดาษเคียงด้วยถ้วยพลาสติกใส่อาจาดแตงกวาอย่างสวยงามก็กลับกลายเป็นขนมปังเหี่ยว ๆ แปะหน้าด้วยก้อนหมูเย็น ๆ ชืด ๆ ขายไม่ได้เลยครับ ขาดทุนยับเยิน เจ็บเนื้อเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน
              “มันจะไม่เกิดอะไรแบบนั้นอีกเว้ย” ดวงตาของม้าหมุนวาววับ เจ้าตัวยังแค้นเรื่องเมื่อคราวก่อนอยู่ไม่หาย เธอบอกว่าการที่ไม่มีใครซื้ออาหารสูตรคุณยายของเธอเป็นการหยามเกียรติกันที่สุด
              “คราวนี้เราจะใส่ถุงพลาสติก มันจะได้กรอบไปนาน ๆ”
              “อือม์”
              “เราจะไม่เอาไปขายที่ตึกวิทย์แล้วด้วย เสียเวลา ขายที่ตึกเรานี่แหละ แล้วก็เอาไปขายที่ตึกหนึ่งกับตึกสอง ลูกค้าจะได้กินอาหารสดใหม่ ตอนที่รสชาติดีที่สุด”
              “ความคิดดี แต่มีปัญหาอยู่ข้อนึง แกลืมไปรึเปล่าว่าใคร ๆ ก็ขายกันแถวนี้และกลุ่มเราไม่มีไอ้อรรถ ที่จะไปข่มขู่รุ่นน้องให้ซื้อได้ ไอ้อรรถใคร ๆ ก็รู้จักมัน กลุ่มมันขายหมดก่อนกลุ่มอื่นทุกที”
              “เราต้องมั่นใจในรสชาติอาหารของเราสิวะ อีกอย่างเรายังมีไพ่ใบสุดท้าย เราต้องเอาไปขายกลุ่มลูกค้าที่ไอ้อรรถไปหักคอให้ซื้อไม่ได้ นั่นก็คืออาจารย์ หมี่กรอบผู้ใหญ่ชอบ ขายได้แน่นอน”
              ผมแทบจะก้มลงกราบด้วยความนับถือแผนการของเพื่อนผมในครั้งนี้ ถ้าอาจารย์ที่สอนมาได้ยินเข้าเป็นต้องปลื้มใจสุดขีดแน่นอนครับ ลูกศิษย์วางแผนการตลาดได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ แต่ผมว่าม้าหมุนมันอยากแก้แค้นเรื่องขาดทุนครั้งที่แล้วมากกว่า
              “ตินติน แกจดให้ฉันด้วยว่าฉันต้องซื้อถุงกับยาง เดี๋ยวฉันลืม”
               ผมทำตามคำสั่งเธออย่างไม่อิดเอื้อน เปิดสมุดโน้ตเล็ก ๆ ที่มีติดตัวตลอดเวลามาจดตามคำบอก แล้วฉีกกระดาษจากสมุดยื่นส่งให้
               ม้าหมุนรับมาอ่าน
               ได้ผลครับ หน้าเธอผ่อนคลายขึ้นสมใจ
                “กวนตีน”
                “ใครกวนตีน” สโนว์ซื้อของเสร็จแล้วออกจากร้านมาสมทบ ได้ยินแต่ประโยคสุดท้ายของม้าหมุน ก็เลยถามด้วยความสงสัย
                ม้าหมุนไม่ตอบ แต่ยื่นกระดาษโน้ตส่งให้ สโนว์อ่านแล้วหัวเราะชอบใจใหญ่ ม้าหมุนกับผมก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
                ในกระดาษแผ่นนั้นผมเขียนตามคำสั่งของม้าหมุนเป๊ะ ๆ เลยนะครับ – “อย่าลืมซื้อถุงยาง”
                สโนว์ได้ริบบิ้นสีดำเส้นใหม่ติดมือมาด้วย เครื่องประดับกับผู้หญิงนี่ขาดกันไม่ได้จริง ๆ แวะร้านนี้ทีไรเพื่อนผมต้องได้ซื้ออะไรสักอย่าง แต่สโนว์บอกว่าริบบิ้นเส้นนี้ไม่ใช่ของเธอ
               “ซื้อให้จูน ใกล้ถึงวันเกิดจูนแล้ว”
               จูน เป็นเพื่อนร่วมสายอีกคนของเราครับ ตอน ม. 4 อยู่ห้องเดียวกัน พอขึ้น ม. 5 ก็ย้ายไปอยู่อีกห้องนึง จูนเป็นขวัญใจของสายเยอรมัน เธอสวย น่ารัก คุยเก่ง มีเพื่อนเยอะ แทบจะเป็นคนเดียวในสายเลยมั้งผมว่า ที่มีเพื่อนอยู่ทุกตึก เดินไปไหนก็จะได้ยินแต่เสียงทักตลอดทาง เธอก็จะโบกมือตอบ ยิ้มร่า แต่จูนเป็นคนไฮเปอร์ครับ ยุกยิกอยู่ไม่นิ่ง ต้องขยับเขยื้อนอยู่ตลอดเวลา จะนั่งนิ่งได้ก็แค่ตอนที่นั่งให้สโนว์ถักผมเปียให้เท่านั้นแหละ สโนว์ถักผมให้จูนตั้งแต่อยู่ ม. 4 แยกกันอยู่คนละห้องแล้วแต่จูนก็ยังมาให้สโนว์ถักผมให้ทุกเช้า แล้วต้องเหลือผมด้านหน้าทิ้งไว้สองปอยด้วย ดูแล้วเหมือนหนวดปลาดุก เธอก็เลยมีสร้อยท้ายชื่อในหมู่เพื่อน ๆ ว่า ‘อีจูนหนวดปลาดุก’
               หลังจากนั้นเราแวะแผนกขายเครื่องเขียนในห้างโตคิว นี่ก็ที่โปรดเลยครับ ผมชอบเครื่องเขียน ชอบลองปากกาสีต่าง ๆ เอามาวาดเป็นรูปการ์ตูนเล่น ๆ บนกระดาษที่ติดไว้ให้ลองปากกา ผมมีปากกาสีเต็มกล่อง เอาไว้จดโน้ตย่อบทเรียนให้น่าอ่าน นอกจากปากกาสี ผมก็ชอบยางลบ เรียกว่าบ้าก็ได้ครับ ผมชอบใช้ยางลบใหม่ ๆ ก้อนเก่าใช้ลบสักสี่ห้าครั้งก็ชักรู้สึกว่ามันลบไม่ค่อยสะอาดแล้ว ต้องซื้อก้อนใหม่ ส่วนของเก่าก็ยกให้ม้าหมุน เธอเอาไปแกะเป็นรูปต่าง ๆ ทำเป็นตัวปั๊ม แกะไว้สวย ๆ หลายลาย แล้วก็เอามาปั๊มใส่สมุดเล่นกัน วันนี้ผมก็ซื้อยางลบใหม่อย่างเคย แถมด้วยกระดาษสีน้ำตาลสำหรับสเก็ตช์ภาพอีกเล่ม อันหลังนี้ผมชอบเอามาใช้เป็นกระดาษจดโน้ตครับ มันเท่ ไม่ซ้ำแบบใคร
               ลงบันไดเลื่อนมาถึงชั้นล่างสุด แต่ก็ยังไม่ได้กลับหอพักจนกว่าจะได้เตร่ไปยืนดูภาพวาดสีน้ำมันใส่กรอบสวยงามที่แขวนหน้าร้านขายรูป ตอนนั้นชั้นล่างจะแบ่งโซนนึงเป็นโซนร้านขายภาพวาดโดยเฉพาะ เหมือนแกลเลอรี่ศิลปะไม่มีผิด ภาพวาดสวย ๆ ติดเรียงไว้เป็นแถว พวกผมชอบมาเดินดู แล้วก็จับจองว่าใครจะเป็นเจ้าของภาพไหน ไม่เคยแย่งกันครับ เพราะภาพวาดมีเยอะมาก บางร้านนอกจากขายภาพแล้วก็ยังมีจิตรกรมาตั้งขาหยั่งวาดรูปให้ดูสด ๆ ด้วย ม้าหมุนชอบมาก ยืนดูจิตรกรใช้แท่งชาโคลลากปราด ๆ ไปบนเฟรมผ้าใบ นาน ๆ ทีก็เอานิ้วถูให้ลายเส้นเลือน ๆ ฟุ้ง ๆ ยืนดูได้เป็นชั่วโมงเลยครับ ผมกับสโนว์ก็รอนะ ไม่รู้สึกว่าเบื่อหรือรำคาญ
                “อ้าว มาอีกแล้ว” พี่จิตรกรผมยาวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีคนนึงทักเมื่อเห็นม้าหมุนเดินมายืนประจำตำแหน่งเดิม คือมุมที่เห็นเวลาวาดได้ชัดที่สุด แกคงเอ็นดูม้าหมุนไม่น้อยทีเดียว คงเพราะเพื่อนผมมายืนดูแกวาดอยู่ตั้งปี พี่จิตรกรคนนั้นละมือจากภาพที่วาดค้างอยู่ หันไปหยิบสมุดร่างภาพขึ้นมาวาดอะไรสักอย่างอยู่ครู่นึงก็ฉีกกระดาษแผ่นนั้นยื่นให้ม้าหมุน บอกง่าย ๆ ว่า
                “อะ พี่ให้”
                ม้าหมุนตาโต ในกระดาษร่างแผ่นนั้นคือภาพเหมือนของม้าหมุน พี่จิตรกรใช้ดินสอวาดอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ลงรายละเอียด แต่เส้นไม่กี่เส้นที่วาดลงไปเก็บความเป็นม้าหมุนได้ครบถ้วน
                “ขอบคุณมากค่ะ” ม้าหมุนยกมือไหว้ ตื่นเต้นดีใจมาก ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าเธอเก็บรูปนี้ไว้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ผมเห็นเธอใส่กรอบไม้วางอยู่บนชั้นวางของในห้องชุดคอนโดที่ม้าหมุนเช่าอยู่ในปัจจุบัน
                ม้าหมุนยังปลาบปลื้มกับรูปที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน ระหว่างทางที่เดินไปที่ป้ายรถเมล์หน้าห้าง เธอก็พูดกับพวกผมว่า
                “ฉันอยากเรียนวาดรูปมั่งจัง”
                “ก็น่าสนใจนะ อยากลงสีเป็นเหมือนกัน อยากวาดรูปสีน้ำได้” ผมสนองตอบทันที “อิจฉาพวกวิทย์ถาปัด ได้เรียนวาดรูป ส่วนพวกเราได้เรียนอะไรก็ไม่รู้ เย็บเสื้อเด็กอ่อน ไร้สาระ”
                “ค่าเรียนจะสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าแพงไปก็เรียนไม่ไหว” ม้าหมุนพูด เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติผมเรียนพิเศษเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษกับภาษาเยอรมัน ไม่ได้คิดจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ว่าจะเรียนวิชาศิลปะจึงไม่มีข้อมูลอะไรอยู่ในหัวเลย
                “ลองถามพี่จิตรกรที่ร้านคนนั้นดูไหม” ผมเสนอ
                “ถ้าถามที่ร้านคงจะแพงนะแก ฉันว่า ไหนจะค่าเรียน ค่าอุปกรณ์ ค่าขนมคงไม่พอแน่ ๆ จะขอพ่อกับแม่ก็ไม่รู้จะได้รึเปล่า”
                ผมเห็นใจม้าหมุน ในกลุ่มพวกเราสามคน บ้านผมฐานะดีที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นเศรษฐีเงินล้านหรือร่ำรวยมีกิจการใหญ่โต แต่ก็ไม่เคยขัดสน ผมขออะไรก็มักจะได้ เพราะผมก็ระวังไม่ขออะไรที่มันเหลวไหลไร้สาระหรือสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอยู่แล้ว ถ้าขอเรียนศิลปะ เป็นการฝึกทักษะ พวกท่านก็คงไม่ขัด ส่วนม้าหมุนกับสโนว์ ถึงไม่ได้ยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่สามารถใช้เงินตามใจชอบได้ทุกอย่าง
                “ก็จริง นี่ถ้ามีที่เรียนถูก ๆ ก็คงดี” ผมพูด
                “ลองถามจันทร์เจ้าดูไหมล่ะ” สโนว์เสนอ หลังจากฟังเฉย ๆ อยู่ครู่ใหญ่
                “จันทร์เจ้ารู้เหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ
                จันทร์เจ้า อยู่ห้องเดียวกับพวกเราสามคน แต่อยู่คนละกลุ่ม เธอเป็นคนเด่นคนหนึ่งในห้อง อาจารย์เอ็นดูมาก เพราะช่างซักช่างถาม ร่าเริงสดใส เวลายิ้มตาเธอจะหยีเรียวเป็นรูปสระอิ พอเธอหัวเราะ เราจะอยากหัวเราะตาม ใครอยู่ใกล้เธอก็จะได้รับพลังบวกจากเธอไปเต็มที่จนอยากจะกลายร่างเป็นยูนิคอร์นวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เลยล่ะครับ
                “ก็เห็นว่าเรียนติวศิลปะอยู่นะ กับเด็กศิลปากรหรือที่ไหนสักแห่งนี่แหละ จันทร์เจ้ามันเคยบอกว่าอยากเข้าคณะมัณฑนศิลป์”
                “เรียนกับนักศึกษาก็คงไม่แพงมาก” ม้าหมุนครุ่นคิด
                “หมุนอยากเรียนวาดรูป ฉันอยากเรียนลงสี แกล่ะโนว์ อยากเรียนด้วยรึเปล่า” ผมหันไปถาม สโนว์พยักหน้า คอนเซปต์เดียวกันครับ
                “ถ้าพวกแกเรียน ฉันก็เรียนด้วย ถ้าไม่แพงเกินไป”
                เราสามคนเห็นพ้องต้องกัน ผมต้องคอยให้ถึงวันจันทร์จะได้ไปถามเรื่องเรียนศิลปะ แล้วก็จะต้องถามเรื่องหอพักใหม่กับตอบรับเป็นกรรมการตึกศิลปะ นับนิ้วดูแล้ว ผมต้องทำอะไรมากพอดู ปีนี้ต่างจากปีแรกอย่างสิ้นเชิงทีเดียว ผมคิดว่า ผมจะลองทำให้หมดทุกอย่างที่อยากทำ จะได้ไม่หวนนึกเสียดายขึ้นมาทีหลัง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 3
   ภายในห้องแบบสตูดิโอรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ริมผนังด้านหนึ่งตั้งเตียงขนาดห้าฟุต บนเตียงมีคลาริเน็ตสีดำวางอยู่บนหมอน หน้าเตียงด้านซ้ายวางกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ที่เอาไว้เก็บของ แต่บนฝากล่องดัดแปลงใช้แทนโต๊ะเขียนหนังสือ มีกล่องใส่ดินสอกับสมุดและหนังสือเรียนวางไว้ กระดานไม้สำหรับรองวาดรูปตั้งพิงกล่อง กั้นไม่ให้ล้มด้วยกล่องพลาสติกที่มีขวดสีเล็ก ๆ ใส่อยู่เต็ม

        สัปดาห์ใหม่เริ่มต้นที่ผมไปหาหมอกที่ห้องเรียนของเขาเพื่อคุยเรื่องย้ายหอพัก เขาเป็นคนผิวขาว ผมหยักศก ผมด้านหน้าเป็นลอนปัดไปด้านข้าง ตัวสูงพอ ๆ กับผม แต่เขาหล่อกว่าผมเยอะ สาว ๆ งี้ติดตรึม ผมก็เดาเอาจากที่เห็นละนะ เพราะไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักที
        “นายอยากหาหอใหม่เหรอ” เขาทวนคำถามของผม ท่าทางดีใจ ดูเขาไม่ใช่คนช่างคุยหรือเปิดเผยมากนัก แต่เขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มเด็กเกเร เป็นเด็กเรียนธรรมดาคนหนึ่ง นิสัยก็ดูเรียบร้อยดี ผมคิดว่าเราน่าจะปรับตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
        “หอนายอยู่ไหน” ผมถาม
        “ใกล้ ๆ เลย อยู่ในซอยตรงข้ามห้างโตคิว”
       คำตอบของเขาทำให้ผมตาลุก รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น หอพักของเขาอยู่ใกล้โรงเรียนมากกว่าหอพักที่ผมอยู่ปัจจุบันนี้เสียอีก นั่งรถเมล์สองสามป้ายก็ถึงแล้ว ผมนึกภาพออกอย่างชัดเจน ตอนเย็นจะเดินกลับหอพักก็ได้ สะดวกมาก ผมว่าผมโชคดีนะที่ได้เจอที่นี่
        “แล้วแพงมากไหม” ผมถามอีกเรื่องที่กังวล
        “หกพัน แพงเหมือนกัน เราเลยต้องหารูมเมตไง”
        หกพันบาทหารสอง เท่ากับคนละสามพันบาทต่อเดือน ผมคำนวณอย่างรวดเร็วเท่าที่สมองของคนไม่ได้เรียนเลขมาปีกว่าจะคิดได้ สามพันบวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ คิดคร่าว ๆ น่าจะประมาณสี่พันบาทต่อเดือน ก็พอไหวครับ ถ้าเทียบกับโลเคชั่นที่ดีขนาดนี้
        “เย็นนี้นายไปไหนรึเปล่า ดูห้องกันไหมล่ะ จะได้ตัดสินใจได้” หมอกชวน
        ไม่ต้องให้เขาเสนอ ผมก็ตัดสินใจว่าจะขอเขาไปดูอยู่แล้ว เอาจริง ๆ ผมตัดสินใจได้ตั้งแต่ยังไม่เห็นห้องด้วยซ้ำ แต่เย็นนั้นก็ไปดูห้องกับเขาอยู่ดี
        หอพักของหมอกเป็นหอรวม เดินจากโรงเรียนยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว อยู่ต้นซอยเลยด้วย ใกล้มาก หน้าปากซอยมีร้านขายของออกแนวซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก ขนม อาหาร เครื่องดื่ม กระทั่งเหล้าและบุหรี่ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อนำเข้าที่ราคาแพง ผมคิดว่าลูกค้าของเขาคือนักท่องเที่ยวที่มาเช่าโรงแรมหรืออพาร์ตเม้นท์แถวนี้ คงไม่ใช่นักเรียนอย่างผมหรอก แต่ก็ไม่มีปัญหา ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ร้านนี้ขายหนังสือด้วย มีทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร พ็อกเก็ตบุ๊กทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างหลังนี่แหละที่ผมสนใจ
        ตึกหอพักไม่ใหญ่มาก ดูข้างหน้าแทบไม่เหมือนเป็นหอพักด้วยซ้ำ ไม่มีป้ายชื่อติดไว้ให้เห็นชัด ๆ ชั้นล่างคงเป็นที่อยู่ของผู้ดูแลหอพัก มีโซฟาเก่า ๆ ตั้งอยู่หนึ่งตัว อาม่าตัวผอม ๆ ผิวตกกระนั่งอยู่บนโซฟาตัวนั้น แกเฝ้ามองคนเดินเข้าเดินออกชนิดตาไม่กะพริบ เหมือนตัวแกเป็นกล้องวงจรปิดอย่างไรอย่างนั้น ผมออกจะหวาด ๆ แกอยู่นิดเพราะหน้าอาม่าดุ แต่หมอกบอกว่าไม่ต้องสนใจ แกเป็นญาติเจ้าของหอพัก จะมานั่งเฝ้าหอพักเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น ผมว่าก็ดีแล้วล่ะ ถ้าเจออาม่าตอนกลางคืนมืด ๆ แบบไม่ทันตั้งตัวผมคงขวัญกระเจิงเหมือนกัน
        หอพักนี้มีสี่ชั้น ไม่มีลิฟท์ ต้องเดินขึ้นบันไดไป ประตูหน้าบันไดปิดใส่กุญแจคล้องเอาไว้ตลอดเวลา ผู้พักอาศัยจะได้กุญแจประตูหน้านี้พร้อมกุญแจห้อง หอพักไม่มีการจำกัดเวลาเข้าออก ผู้พักอาศัยเข้าออกเวลาไหนก็ได้เพราะมีกุญแจอยู่แล้ว เวลาเข้าออกก็ขอไม่ให้ลืมล็อกกุญแจประตูหน้าบันไดก็พอ
        ห้องของหมอกอยู่ชั้น 4 ชั้นบนสุด เป็นห้องริมสุดด้านซ้ายที่มีบางส่วนยื่นออกมาเหมือนระเบียง ดูเป็นสัดส่วน ชานพักบันไดที่วางชั้นใส่รองเท้าก็มีเป็นของตัวเอง ต่างจากห้องด้านในที่จะอยู่ติด ๆ กันเหมือนห้องพักธรรมดา ผมเห็นห้องก็ชอบทันที ข้างในเหมือนหอพักที่ผมอยู่ มีเฟอร์นิเจอร์เฉพาะที่จำเป็น ที่พิเศษคือห้องนี้มีตู้เย็นเครื่องเล็ก ๆ ด้วย ห้องของหมอกไม่รก เก็บกวาดเป็นระเบียบใช้ได้ ไม่เหมือนห้องผู้ชายทั่วไป
        “ของเรามีไม่มาก ไม่อยากทำห้องรก ห้องมันแคบอยู่แล้วเดี๋ยวมันจะยิ่งดูแคบมากขึ้น” หมอกพูดเหมือนเดาความคิดผมได้ “นายล่ะ ของเยอะรึเปล่า”
        “ไม่เลย” ผมรีบปฏิเสธ “ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ มีแต่ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง กับหนังสือ”
        “ชอบอ่านหนังสือเหรอวะ” เขาถามยิ้ม ๆ “สมกับเป็นตัวท็อปของสาย”
        “ท็อปอะไรวะ ตำแหน่งนั้นเป็นของพยับมันเว้ย เราไม่อาจเอื้อมหรอก” ผมพูด สายตากวาดสำรวจไปทั่วห้อง ดูเหมือนเจ้าของห้องจะไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะผมไม่เห็นหนังสืออย่างอื่นนอกจากหนังสือเรียน บนเตียงวางเครื่องดนตรีหน้าตาเหมือนปี่หรือแตรสีดำ ผมก็เรียกชื่อไม่ถูก เขาคงชอบเล่นดนตรีมากกว่า
        “ห้องน้ำอยู่ไหน ต้องใช้ห้องน้ำรวมใช่ไหมวะ” ผมถาม
        “อือ ใช้ได้ไหมล่ะ จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ ไม่ต้องทำเอง ถ้าจะซักผ้าก็ขึ้นไปซักบนดาดฟ้า มีราวตากผ้าอยู่”
        เขาเดินนำผมผ่านห้องน้ำ ห้องครัวเล็ก ๆ ที่มีเตาไมโครเวฟ กาน้ำร้อนและจานชามคว่ำไว้บนตะแกรง รวมทั้งโต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุดเป็นของส่วนกลาง สุดห้องมีบันไดที่นำไปสู่ดาดฟ้า
        ลานโล่ง ลมพัดค่อนข้างแรง มุมนึงมีก๊อกน้ำกับสายยาง กะละมังซักผ้าหลายใบวางคว่ำซ้อน ๆ กัน แต่ละใบเขียนชื่อเจ้าของด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงิน ลานอีกด้านหนึ่งขึงลวดให้ใช้สำหรับตากผ้าที่ซักเรียบร้อยแล้ว
       “เป็นไงมั่งวะ อยู่ได้ไหม” หมอกถาม
       “เฮ้ย ดีเลยล่ะ เราโอเคนะ ติดที่ห้องแคบไปนิด ไม่รู้จะอึดอัดรึเปล่า เรากลัวนายอึดอัดนะ ไม่ใช่เรา” ผมรีบออกตัว
       “เราอยู่กับรูมเมตมาตลอด ชินแล้ว นายสิจะอึดอัดรึเปล่า”
        ผมสั่นหัวทันที ใจผมเทให้ห้องนี้และหอพักนี้หมดแล้วทั้งดวง
       “เราชอบนะเว้ย ตกลงเราอยู่กับนาย”
       ผมตัดสินใจรวดเร็วประสาคนใจร้อน เพราะใจอยากย้ายเป็นกำลังอยู่แล้ว ผมลืมไปสนิทเลยว่าควรจะให้ม้าหมุนกับสโนว์มาดูก่อน จะได้ช่วยกันตัดสินใจ แต่ก็อย่างที่บอก ผมใจร้อน กลัวหมอกจะหารูมเมตใหม่ได้แล้วปฏิเสธผมทีหลัง ผมจึงตกลงใจไปเลย
        กลับมาถึงห้อง ผมถึงค่อยโทรศัพท์ไปบอกเธอทั้งสองคน พรรณนาความดีงามของหอพักใหม่ที่จะได้ย้ายไปอยู่ สโนว์ฟังอย่างสนใจ เธอดีใจที่เห็นผมมีความสุข หาหอพักที่ถูกใจได้เสียที ส่วนม้าหมุนฟังเรื่องที่ผมเล่าแล้วก็เฉย ๆ ผมฟังเสียงเธอผ่านโทรศัพท์ ดูเธอไม่ค่อยอินกับความดีใจของผมเท่าไหร่ ถามแค่ว่า
       “ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม”
      “ตัดสินใจแล้วแก ห้องโอเค หอก็โอเค ไม่มีปัญหาอะไร หมอกก็ดูนิสัยดีนะเว้ย”
       ม้าหมุนไม่วิจารณ์อะไรต่อ ในเมื่อผมว่าดี เธอก็ไม่ขัด แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดไป
       ตอนนั้นผมดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองมากว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้องเหมาะสมดีแล้ว ถึงจะมีใครค้านผมก็คงไม่เปลี่ยนความคิด ผมคิดว่าผมอยู่กับหมอกได้ อาจจะมีปัญหากันบ้างตามประสาคนอยู่ด้วยกัน แต่มันไม่น่าจะเป็นปัญหาร้ายแรงจนทำให้อยู่ด้วยกันไม่ได้อย่างแน่นอน

                                                                        **********

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
              จันทร์เจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ข้อมูลเรื่องการติวศิลปะเมื่อผมถาม เธอยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปสระอิ เห็นเหล็กจัดฟันที่มียางสีเหลืองสดใสเด่นสะดุดตา เด็กนักเรียนห้องผมสักครึ่งห้องเห็นจะได้ที่จัดฟัน ส่วนผมโชคดี ฟันเรียงกันสวยงามดีจึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินหลายหมื่นให้หมอฟันมายุ่มย่ามกับฟันในปากของผม
         เธอบอกว่าเธอเรียนศิลปะกับ ‘พี่ติว’ ซึ่งเป็นนักศึกษาปีที่สองของมหาวิทยาลัยศิลปากร นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำว่า ‘พี่ติว’
         “เรียนอะไรบ้าง” ผมถามด้วยความสนใจ
         “ตอนเช้าเรียนดรออิ้ง ตอนบ่ายเรียนลงสี ค่าเรียนวันละหนึ่งร้อยบาท เรียนทุกวันอาทิตย์ สัปดาห์ละวัน”
         “ก็ไม่แพงนะ พี่เขาสอนดีใช่ไหม”
         แม่สาวตาสระอิพยักหน้า หันหลังไปเปิดกระเป๋านักเรียนหยิบสมุดวาดภาพออกมาเปิดอวด ผมเห็นภาพกระป๋องโค้กวาดด้วยดินสอ มีแสงเงา มีสัดส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ตรงมุมภาพมีลายเซ็นขยุกขยิกกับวันที่เขียนไว้
          “เราวาดเอง พี่เขาช่วยเก็บรายละเอียดให้” เธอบอกด้วยความภาคภูมิใจ ฝีมือของจันทร์เจ้าดีทีเดียวครับ ถึงจะบอกว่าพี่ติวช่วยก็เถอะ กระป๋องโค้กที่เธอวาดเหมือนของจริงมาก
          “ถ้าเราเรียน เราก็จะวาดได้อย่างนี้เลยใช่ไหม” ผมถามแบบไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่อยากจะย้ำกับตัวเองเท่านั้นว่าถ้าผมได้เรียนจริงจัง ผมจะมีโอกาสฝึกฝีมือและวาดรูปได้เหมือนอย่างนี้เหมือนกัน
         จันทร์เจ้าเห็นว่าผมสนใจอยากเรียนจริง ๆ จึงชวนผมไปมหาวิทยาลัยศิลปากรในวันอาทิตย์เพื่อดูเธอเรียนและทำความรู้จักกับพี่ติว ผมตกลงรับปากอย่างไม่ลังเล ตกลงแทนม้าหมุนกับสโนว์ไปด้วยเลย มั่นใจว่าสองคนนั้นไม่ปฏิเสธแน่เพราะค่าเรียนไม่แพงเลย ม้าหมุนกับสโนว์เจียดค่าขนมมาจ่ายได้อย่างสบาย ๆ
         วันอาทิตย์ ผมนัดเจอกับม้าหมุนและสโนว์ที่หน้ามหาวิทยาลัย ผมรู้จักชื่อมหาวิทยาลัยนี้และรู้ว่าอยู่บนถนนหน้าพระลาน ฝั่งตรงกันข้ามกับวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง ถ้ามาทางเรือก็ลงที่ท่าช้างวังหลวง แต่ผมยังไม่เคยมาเลยสักครั้ง ผมนั่งรถเมล์ไปจากหอพักถนนพระรามหก แต่เลยไปลงที่ท่าพระจันทร์เพราะผมมาก่อนเวลามาก ตั้งใจจะเดินเล่นสำรวจสถานที่แถวนี้ฆ่าเวลาก่อนถึงเวลานัดกับพวกเพื่อน ๆ
          ผมเดินผ่านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ย้อนกลับขึ้นมาทางถนนหน้าพระลาน บริเวณท่าพระจันทร์วุ่นวายมาก คนเยอะ สองข้างทางมีหาบเร่ขายอาหาร ขนม น้ำดื่มตลอดทาง บนทางเท้าก็มีคนเอาผ้ามาปูวางขายข้าวของต่าง ๆ มากมาย ทั้งพระเครื่องสารพัดรุ่น วางเรียงในกล่องกรุสำลีนุ่ม ๆ สีขาว เครื่องรางของขลังหน้าตาแปลก ๆ พระพุทธรูปหล่อจากสำริดและทองเหลือง หนังสือเก่าที่ปกขาดวิ่น กระดาษข้างในกรอบเป็นสีน้ำตาล และที่เห็นอยู่ทั่วไปก็คือป้ายเขียนว่ารับทำฟันปลอม ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าถ้าเป็นตัวเองจะกล้ามาทำฟันปลอมที่นี่หรือเปล่า
          ถึงเวลานัด ผมเดินผ่านพ้นความแออัดที่ท่าพระจันทร์มาถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยศิลปากร รั้วปูนสีขาวยาวเหยียดสูงท่วมศีรษะ ด้านบนประดับด้วยปูนปั้นรูปคล้ายใบเสมา แตกต่างจากรั้วโรงเรียนของผมหรือรั้วเหล็กโปร่งสีเทาอมน้ำเงินของมหาวิทยาลัยอาชีวะเพื่อนบ้านที่มีเศียรท้าววิษณุกรรมประดับอยู่เป็นระยะตลอดแนวรั้ว ใต้เศียรแขวนมาลัยดอกดาวเรืองต่างเครื่องบูชา มีทองคำเปลวติดเอาไว้ด้วย ผมเคยโดนนักศึกษาหน้าเหี้ยมใส่เสื้อช็อปดุเอาตอนที่พยายามจะเอามือแตะรั้วตรงเศียรท้าววิษณุกรรม จึงได้รู้ตอนนั้นว่าเขาห้ามจับรั้วโดยเด็ดขาด มหาวิทยาลัยศิลปากรเคยเป็นวังเก่ามาก่อน คือวังท่าพระ เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผมสงสัยว่าที่นี่เขาจะห้ามแตะรั้วด้วยหรือเปล่า
           รออยู่หน้าประตูหน้าพระลานไม่นาน ม้าหมุนกับสโนว์ก็มาถึง พวกเธอมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ผมไม่ต้องคอยนาน รวมกันครบทีมอย่างนี้แล้ว ผมก็มีความมั่นใจที่จะเดินผ่านประตูมหาวิทยาลัยเข้าไปข้างใน จันทร์เจ้าบอกว่าเธอนั่งติวอยู่ที่สวนแก้ว อยู่ด้านขวามือเมื่อหันหน้าเข้าหาหอศิลป์
           ศิลปากรวังท่าพระเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ใหญ่ ถ้าเทียบกับโรงเรียนของผมที่มีพื้นที่กว้างกว่า 80 ไร่หรือมหาวิทยาลัยเก่าแก่ เพื่อนบ้านอีกด้านนึงของโรงเรียนผมที่เหมือนกับเป็นโอเอซิสกลางทะเลตึกคอนกรีตใจกลางกรุงเทพฯ แต่ผมต้องขอบอกว่ามหาวิทยาลัยศิลปากรสวยกว่าโรงเรียนของผมมาก ก็คงเพราะเคยเป็นวังเจ้านายมาก่อนก็เลยยังหลงเหลืออาคารแบบฝรั่งสีเหลืองไข่ไก่ที่นิยมสร้างกันในช่วงสมัยรัชกาลที่ห้าและรัชกาลที่หก ผมชอบตึกเก่าแบบนี้มากกว่าตึกปูนธรรมดาหน้าตาโหล ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป ถ้าเลือกได้ผมก็อยากเรียนในตึกเก่าแสนสวยอย่างนี้ดูบ้างจริง ๆ
          ผมเดินผ่านประตูเข้ามาในสวนแก้วซึ่งเป็นสวนเล็ก ๆ ปลูกต้นแก้วเต็มไปหมด มีประติมากรรมลอยตัวหลายแบบประดับสวน ใต้ร่มต้นแก้วอันร่มรื่นวางม้านั่งให้ได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีคนอยู่ในสวนมากพอสมควร จับกันเป็นกลุ่ม ๆ นั่งอยู่บนพื้นปูด้วยอิฐ กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับกระดานไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนตัก
          “จันทร์เจ้าอยู่ไหน” สโนว์กระซิบถามผม
         “มันบอกว่านั่งติวอยู่แถว ๆ โมร่อน” ผมกระซิบตอบแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ มองหาผนังว่างสีขาวที่เธอเรียกด้วยคำแปลก ๆ ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
          ผมเจอจันทร์เจ้าแล้ว ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนสบาย ๆ นั่งขัดสมาธิอยู่บนยกพื้นเตี้ย ๆ มีกระดานไม้วางบนตักเหมือนคนอื่น ๆ กำลังขะมักเขม้นใช้ดินสอขีด ๆ ลาก ๆ บนกระดาษที่หนีบด้วยคลิปติดกับกระดานรอง ท่าทางกำลังสเก็ตช์ภาพมือของตัวเองอยู่ เพราะเธอทำมือเป็นรูปแปลก ๆ ชูขึ้นให้อยู่ในระดับสายตา
           “จันทร์เจ้า!”
           ผมกับม้าหมุนและสโนว์เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะส่งเสียงเรียก นอกจากเจ้าของชื่อจะเงยหน้าขึ้นมามองแล้ว เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พลอยหันมามองพวกผมสามคนด้วย
          “มาแล้วเหรอ มา ๆ นั่ง ๆ” จันทร์เจ้ายิ้มตอบตาเป็นสระอิเหมือนเคย ขยับที่ให้พวกผมนั่งข้างเธอคนละด้านกับที่เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ ผมให้ม้าหมุนกับสโนว์นั่งเพราะมีที่ไม่พอสำหรับสามคน ผมสมัครใจจะยืนมากกว่า มองเพื่อนของผม มองกล่องโลหะเปิดอ้าเห็นดินสอแท่งสีฟ้าสั้นบ้างยาวบ้างหลายแท่งอยู่ข้างในกับมีดเหลาดินสอและยางลบก้อนใหญ่ แล้วผมก็มองไปที่เด็กหนุ่มข้าง ๆ จันทร์เจ้า ตาของเราสองคนสบกันพอดี ผมก็เลยยกมือไหว้ เขาก็ยกมือรับ
           “นี่พี่ไพรด์ พี่ติวของเรา” จันทร์เจ้าแนะนำเด็กหนุ่มคนนั้นให้พวกเรารู้จัก ม้าหมุนกับสโนว์รีบยกมือไหว้
           “หวัดดี เพื่อนจันทร์เจ้าที่บอกว่าอยากมาติวใช่ไหม” พี่ไพรด์ถาม
          ผมไม่เคยเห็นใครที่ดูเท่เท่าพี่คนนี้มาก่อนเลยครับ ในความคิดของผม คนที่เรียนศิลปะจะต้องมีรูปลักษณ์คล้าย ๆ กับพี่จิตรกรผมยาวที่ให้รูปม้าหมุนมาอย่างนั้นน่ะครับ ผมยาวรุงรัง ตัวผอม ๆ เซียว ๆ หน้าโหด ๆ ใส่เสื้อผ้ามอม ๆ แต่พี่ไพรด์คนนี้ต่างออกไปเป็นอีกอย่างหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
          ผมของเขายาวเหมือนกัน แต่ดัดทำเป็นทรงเดรดล็อคผูกรวบด้วยผ้ารัดผมง่าย ๆ ผิวขาว ตัวค่อนข้างผอม แต่ดูเพรียว แล้วก็ไม่ซีดเซียว ใส่เสื้อยืดแบบพอดีตัวกับกางเกงผ้าขายาว สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังที่น่าจะยังไม่ได้ซัก แต่ไม่ได้ดูสกปรกอะไรมาก เขาไม่ใช่คนหล่อเหมือนดารา แต่โดยรวมจัดว่าเป็นคนที่ดูดี เสียอย่างเดียว เขาทำหน้าเฉย ๆ ไม่ยิ้มแย้ม ผมจึงค่อนข้างจะเกร็งพอสมควรเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่คนนี้
          “ค่ะ อยากเรียนวาดรูปกับลงสี” ม้าหมุนเป็นคนตอบ เธอดูภาพมือที่จันทร์เจ้ากำลังวาดอย่างสนอกสนใจ
          “เรียนกับพี่ทั้งสองอย่างเลยใช่ไหมคะ”
          “ไม่ใช่ พี่สอนดรออิ้ง ลงสีต้องเรียนกับไอ้ธาม” พี่ไพรด์ตอบ มองซ้ายมองขวา แล้วก็ตะโกนเรียกใครสักคนเสียงดังลั่น ผมกับม้าหมุนและสโนว์หันไปมองพร้อมกัน
          มีเด็กหนุ่มอีกคนกำลังเดินออกมาจากตรอกเล็ก ๆ คนนี้คงจะเป็นพี่ธามที่สอนลงสีที่พูดถึงเมื่อสักครู่ เขาแต่งตัวคล้าย ๆ พี่ติวของจันทร์เจ้า ผิวค่อนข้างคล้ำ ตัดผมรองทรงแบบทั่วไป แต่ไว้ยาวกว่าของผม พี่คนนี้ก็ไม่ใช่คนหล่อ หน้าตาของเขาคมเข้ม รูปตาใหญ่ เครื่องหน้าชัด แถมยังแปลกไม่เหมือนใคร เห็นครั้งแรกก็จำหน้าได้ทันที
         พี่ธามรับไหว้พวกผมพร้อมกับยิ้มให้ ดูเป็นมิตรกว่าพี่ไพรด์ในความคิดของผม
          “หวัดดี พวกนายเป็นเพื่อนจันทร์เจ้าล่ะสิ”
          “ไอ้ธาม” พี่ไพรด์แนะนำ “สอนใช้สีโปสเตอร์”
          “แล้วสอนวาดรูปสีน้ำกับสีน้ำมันด้วยรึเปล่าครับ” ผมรีบถาม
          “เปล่า นั่นต้องไปเรียนกับพวกเด็กจิดกำ” พี่ธามตอบ ผมพอรู้ว่า ‘จิดกำ’ ที่เขาพูดถึงคือ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ ส่วนพี่ไพรด์กับพี่ธามเรียนออกแบบนิเทศศิลป์ อยู่คนละคณะ
         “มันไม่เหมือนกันหรือครับ” ผมชักงง
         “ไม่เหมือน เรียนคนละอย่าง” แล้วพี่ธามก็อธิบายให้ผมฟังว่าสาขาออกแบบนิเทศศิลป์เรียนการออกแบบสื่อต่าง ๆ เรียนจบไปก็ทำงานพวกออกแบบกราฟฟิก กำกับศิลป์ในงานหนังและโฆษณา ถ่ายภาพ ตกแต่งภาพ เขียนการ์ตูนและวาดภาพประกอบ ผมฟังแล้วตาใส สนใจสองอย่างหลังนี่แหละ ตอนเด็ก ๆ เคยอยากเป็นนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น ผมซื้อหนังสือมาอ่าน แต่เจอชื่ออุปกรณ์แปลก ๆ อย่างสกรีนโทนหรือปากกาแบบต่าง ๆ ผมก็จนปัญญาไม่รู้จะหาซื้อจากไหน ก็เลยได้แต่วาดเล่น ๆ มั่ว ๆ เลียนแบบการ์ตูนที่ชอบอ่าน ไม่ได้จริงจังอะไรมาก นี่ถ้ามีโอกาสได้เรียนเป็นเรื่องเป็นราวก็คงดีเหมือนกัน
          “เรียนไหมล่ะ” พี่ไพรด์ถาม ขณะที่พี่ธามบอกว่า
          “นั่งเล่นดูคนอื่นเรียนไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยว่ากัน”
           เราสามคนทำตามที่พี่ธามบอก พวกผมนั่งอยู่บนพื้นข้าง ๆ จันทร์เจ้า แต่ไม่ได้เดินไปดูคนอื่น ๆ เพราะไม่รู้จักใครเลยสักคน พวกเราดูพี่ไพรด์สอนจันทร์เจ้า แล้วก็หันมาซุบซิบคุยกันเองบ้าง คุยกับจันทร์เจ้าบ้าง พอถึงตอนเที่ยง หมดเวลาเรียนดรออิ้ง รูปมือของจันทร์เจ้ายังวาดไม่เสร็จ พี่ติวของเธอให้เอากลับไปทำต่อเป็นการบ้าน จากนั้นพี่ติวสองคนก็พาพวกผมไปกินข้าวที่โรงอาหาร
           พี่ไพรด์กับพี่ธามแยกย้ายกันไปซื้อข้าว ผมก็เดินรวมกลุ่มไปกับม้าหมุน สโนว์ จันทร์เจ้า เดินดูอยู่ครู่ก็เลือกข้าวราดแกงง่าย ๆ กับน้ำเปล่าหนึ่งขวด
          “ปกติไม่ได้กินกันที่นี่หรอก จะออกไปกินข้างนอก ร้านอาหารอร่อย ๆ มีเยอะแยะแถวนี้” พี่ธามบอก เขาพูดเก่งกว่าพี่ไพรด์ที่นั่งกินอย่างเงียบ ๆ ผมค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย แต่คงเพราะเพิ่งเจอกันก็เลยยังไม่คุ้นเคยกัน ถ้าได้มาเรียนติวด้วย รู้จักกันมากกว่านี้ ก็คงจะพูดคุยกันได้สนิทใจขึ้น ผมคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อน
          กินข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อย พี่ธามก็ชี้ให้ดูทางเดินไป ‘สโม’ หรือร้านขายอุปกรณ์ศิลปะสารพัดชนิด มันก็คงเหมือนกับร้านสหกรณ์ในโรงเรียนของผมกระมัง แต่สโมจะขายของที่เกี่ยวกับศิลปะ พี่ธามบอกว่าถ้าพวกผมตัดสินใจติว อุปกรณ์ที่ต้องใช้ทั้งหมดก็จะให้มาซื้อที่สโมนี่แหละ
          ตอนบ่ายเป็นวิชาลงสี พี่ธามสอนเทคนิคการลงสี การจับคู่สี การผสมสีต่าง ๆ ผมนึกถึงวิชาศิลปะตอนเด็ก ๆ ที่ให้วาดลายกนกแล้วลงสี ผมใช้สีเป็นหลอด ๆ ยี่ห้อถูก ๆ จานสีกลม ๆ เล็ก ๆ ผสมสีออกมาทีไรก็ได้สีอ่อน ๆ ซีด ๆ แบบสีพาสเทล ผมอยากผสมสีได้เข้มและสดอย่างในจานสีทรงสี่เหลี่ยมอันใหญ่ของพี่ธาม วันหลังผมคงต้องถามเคล็ดลับและลองฝึกตาม
         พี่ธามสอนจันทร์เจ้าแล้วก็คุยกับพวกผมไปด้วย ส่วนพี่ไพรด์หายตัวไปเลย เหมือนพอหมดหน้าที่ของตัวเองแล้วก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม เขาเดินหายไปยังทางไปตึกคณะ ก็คงจะไปทำงานของตัวเองต่อละมั้ง
         ม้าหมุนซักถามพี่ธามมากกว่าใคร ขณะที่ผมกับสโนว์จะเป็นคนคอยฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ ท่าทางม้าหมุนเอาจริงเอาจังน่าดู ผมมั่นใจว่าเธอคงตกลงใจติวอย่างแน่นอน ส่วนผมไม่มีปัญหาอะไร เท่าที่ได้ดูสอน ได้คุยกับพี่ติวทั้งสองคน ผมก็คิดว่าน่าเรียนดีอยู่ ก็คงจะเรียนกับม้าหมุนแหละครับ สโนว์ก็คงเหมือนกัน
          “ไงนาย ตกลงจะติวกับเรารึเปล่า”
          เมื่อพี่ธามถามในตอนที่ใกล้จะหมดเวลาสอน พวกผมจึงพากันพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
         “ดีแล้ว จันทร์เจ้าจะได้มีเพื่อนเรียน” พี่ธามพูด
          พอหมดเวลาสอน ขณะที่กำลังเก็บของกันอยู่ พี่ไพรด์ก็กลับมาที่สวนแก้วอีกครั้ง พี่ธามบอกเพื่อนให้รู้ว่า
         “พวกนี้ตกลงจะติวกับเราแล้วนะ”
         “เออ ก็ดี งั้นเจอกันอาทิตย์หน้า ไอ้ธาม มึงพาน้อง ๆ ไปซื้อของด้วย กูไปละ”
          พี่ไพรด์มาเร็วไปเร็ว พวกผมแทบจะยกมือไหว้ลาเขาไม่ทัน เรารอจนจันทร์เจ้าเก็บของเรียบร้อยหมดแล้ว พวกเราก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่อาจเกาะอยู่บนกางเกง แล้วก็เดินตามพี่ธาม พี่ติวคนเดียวที่เหลืออยู่ไป
         สโมเล็กนิดเดียวเองครับ แต่อัดของเต็มแน่นแบบไม่ให้สิ้นเปลืองพื้นที่ใช้สอยแม้สักตารางนิ้วเดียว คนสี่คนเข้าไปข้างในพร้อมกันก็เต็มร้านพอดี จันทร์เจ้าคงรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เลยไม่ยอมเข้ามาด้วย
         ผมไม่รู้เลยว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง ก็เลยยืนงง ๆ ได้แต่มองดูว่าที่พี่ติวของผมหยิบจับโน่นนี่พร้อมกับแนะนำอย่างคล่องแคล่ว
         “ดรออิ้งให้ใช้ดินสออีอี ซื้อไปสักสองสามแท่งก็พอ อยากได้เพิ่มทีหลังค่อยมาซื้อใหม่”
         พวกผมเลือกดินสอแท่งสีฟ้าที่มีตัวอักษร E สองตัวเขียนติดที่ปลายด้ามอย่างที่เขาบอก แล้วก็เลือกยางลบ กระดาษแปดสิบปอนด์ กระดานรองวาด คลิปหนีบกระดาษ มีดเหลาดินสอ จากนั้นก็เดินไปที่ชั้นวางขวดสีโปสเตอร์
         “โอ้โฮ สวยว่ะ” ผมอุทานกับตัวเอง ตามองขวดสีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ที่ตั้งเรียงกันเป็นระเบียบ สีไล่เฉดกันดูไม่ต่างจากสายรุ้ง ถ้าบอกว่ามีสีสักพันเฉดก็เห็นจะไม่มากเกินไปหรอกครับ
         “ซื้อแค่แม่สีไปก่อนก็พอ” พี่ธามชี้ไปที่สีเหลือง สีแดง และสีน้ำเงิน สีโปสเตอร์ที่ขายที่นี่ยี่ห้อดี เนื้อสีมีคุณภาพ ผสมสีออกมาได้สวย
          “เอาสีดำกับขาวไปด้วยก็ได้ สีอื่นไม่ต้องซื้อหรอก ไว้ผสมเอา”
          สโนว์กับผมหยิบสีดำกับสีขาวไปรวมกับของที่เลือกไว้แล้วก่อนหน้านี้โดยไม่อิดออด ม้าหมุนคนเดียวที่ถามทันทีว่า
          “จะผสมได้ทุกสีเลยจริง ๆ เหรอคะ อย่างสีนี้ก็ผสมเองได้ด้วยเหรอ” เธอชี้ไปที่สีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ พี่ธามชะงัก เขม้นมองม้าหมุนอย่างไม่แน่ใจว่ากำลังถูกพูดกวนอยู่หรือเปล่า แต่ม้าหมุนก็คือม้าหมุน เธอถามด้วยความอยากรู้จริง ๆ ดวงตากลม ๆ สีน้ำตาลอ่อนกะพริบปริบ ๆ รอคำตอบอย่างจริงจัง
           “เอ้อ... ก็ไม่ได้ทุกสีหรอก” พี่ธามตอบตะกุกตะกักเล็กน้อย มองหน้าม้าหมุนด้วยสายตาเพ่งพินิจมากขึ้น
           “สีนั้นใช้เครื่องผสม ถ้านายอยากได้ก็ต้องซื้อเอาอย่างเดียว”
           ม้าหมุนได้คำตอบแล้วก็พอใจ หันไปหยิบสีขาวกับสีดำ แล้วเลือกจานสีกับพู่กัน พี่ธามแนะนำให้ซื้อพู่กันสองเบอร์คือเบอร์หกกับเบอร์สี่ เบอร์หกขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้ได้กับงานทั่วไป เบอร์สี่เล็กลงมาหน่อยใช้ตัดเส้น
            ออกมาจากสโม พวกผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณพี่ธามที่พามาซื้อของ เขาก็พยักหน้ารับ บอกสั้น ๆ ว่า
           “อือ งั้นไปล่ะ เจอกัน”
           พวกผมก็ยกมือไหว้อีกครั้งเป็นการลา เขารีบยกมือไหว้ โคลงศีรษะน้อย ๆ พลางบ่นพึมพำว่า
            “มารยาทดีเกินไปแล้วเว้ย”
            ปากบ่น แต่ผมว่าผมเห็นเขายิ้มนะ แล้วก็เดินฉับ ๆ กลับไปยังทางเดิมที่เดินมา พวกเรามองตาม ผมอดไม่ได้
             “พี่เขาดูแปลก ๆ นะ”
            แต่ม้าหมุนกลับส่ายหน้า บอกว่า
           “พี่เขาไม่แปลกหรอก แต่เขาคงคิดว่าพวกเราน่ะแปลก”
           ผมไม่เข้าใจ แต่ก็ช่างเถอะครับ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจที่ม้าหมุนพูดอยู่แล้ว เอาเป็นว่าพวกผมได้เรียนติวกับพวกพี่ติวแล้วและจะกลายเป็น ‘น้องติว’ นับจากนี้เป็นต้นไป

                                                                    **********

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
           ‘น้องติว’
      ผมเห่อสถานะใหม่นี้เอามาก ๆ เลยล่ะ ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันอาทิตย์อย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนั้นก็จัดการเรื่องอื่นไปพลาง ผมตกลงเป็นกรรมการตึกในทีมของพยับ ตำแหน่งประธานฝ่ายศิลป์ มีม้าหมุนกับสโนว์เป็นมือขวาและมือซ้าย แต่เอาเข้าจริง ตำแหน่งที่ตั้งไว้ก็ตั้งไปอย่างนั้นเองแหละ ถึงเวลาทำงาน พวกเราก็ช่วยกันไปตามถนัดคนละไม้ละมือ ไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นงานของฝ่ายไหนหรือใครโดยเฉพาะ อะไรทำได้ก็ทำกันไปครับ
      เรื่องย้ายหอพักของผมก็ไม่มีปัญหา ผมตกลงใจแล้วว่าจะเป็นรูมเมตของหมอก พ่อกับแม่ผมเห็นว่าหอพักท่าทางปลอดภัยดี มีเพื่อนอยู่ด้วย ก็ไม่ขัดขวางห้ามปรามอะไร ตกลงตามที่ผมตัดสินใจอย่างง่ายดาย ผมจ่ายค่าประกันห้อง ได้กุญแจประตูบันไดกับกุญแจห้องเรียบร้อยก็ย้ายข้าวของอย่างไม่รอช้า ผมไม่มีของอะไรมากอย่างที่บอก ที่เยอะหน่อยก็คือหนังสือ ใส่ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ได้สามกล่องพอดี นอกจากนั้นก็มีเสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์การเรียน เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ๆ บางชิ้น ลูกพี่ลูกน้องของผมมีเฟอร์นิเจอร์ครบหมด ผมเลยไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเติม ห้องของหมอกก็มีของจำเป็นพร้อมเหมือนกัน ผมเลยไม่ได้ซื้ออะไรใหม่ โต๊ะเขียนหนังสือมีอยู่ตัวเดียวในห้อง ผมก็ตัดสินใจไม่ซื้อของตัวเอง ใช้กล่องพลาสติกตั้งบนพื้นหน้าเตียงแทนโต๊ะเขียนหนังสือเอา ขนาดสูงพอ ๆ กับโต๊ะญี่ปุ่น ใช้เขียนหนังสือได้สบาย
       ม้าหมุนกับสโนว์มาช่วยผมขนของย้ายหอด้วย ใช้เวลาวันเดียวก็เสร็จ ทั้งสองคนพอใจกับห้องใหม่ของผม ไม่มีคำติอะไร หมอกช่วยผมยกกล่องหนังสือที่หนักเกินกว่าจะให้ม้าหมุนกับสโนว์ช่วยยกได้ พอเขารู้ว่ากล่องพลาสติกทั้งสามกล่องใส่แต่หนังสือทั้งนั้น เขาก็พูดยิ้ม ๆ ว่า
      “อ่านหนังสือมากอย่างนี้นี่เอง มิน่านายถึงเรียนเก่ง”
       “เราอ่านแต่เรื่องอ่านเล่นหรอก นายน่ะสิเก่ง ไม่ต้องอ่านมากก็ได้คะแนนสูงทุกวิชา”
       “แต่ยกเว้นเยอรมันว่ะ เรายกให้นายท็อปคนเดียว”
        ผลัดกันปาดอกไม้ใส่กันครับ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก ก็พูดไปตามที่เห็น เพราะหมอกมันก็เรียนเก่งจริง ๆ อย่างคะแนนฟอร์หนึ่งวิชาภาษาเยอรมันที่เพิ่งสอบไป ปัดขึ้นแล้วน้อยกว่าผมคะแนนเดียวเท่านั้นเอง วิชาอื่น ๆ ก็ติดกลุ่มคนที่ได้คะแนนสูงสุดตลอด บางวิชาเขาได้คะแนนมากกว่าผมเสียอีก
        ม้าหมุนนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมคิดว่าเธอไม่ชอบหมอก แต่ดูแล้วก็เหมือนไม่ใช่อย่างนั้น เธอพูดคุยกับหมอกได้อย่างปกติ อยากรู้อะไรก็ถาม คำถามของเธอทำให้ผมรู้ว่าหมอกเป็นสมาชิกวงโยธวาทิตของโรงเรียน เล่นคลาริเน็ตซึ่งเป็นเครื่องเป่าอันยาว ๆ คล้ายปี่ มีปุ่มโลหะสีเงินเรียงเป็นแถว
       “ดีเนอะ เล่นดนตรีได้ มีความสามารถพิเศษ” ม้าหมุนพูด “แต่ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าเธอก็อยู่วงโย เราคิดว่าสายเรามีพระนางเจ้าคนเดียวเสียอีก”
       “พยับไม่ได้ตั้งชื่อให้เราเหมือนพระนางเจ้าหรือตินตินนี่ ก็เลยไม่มีใครสังเกต”
       เขาพูดยิ้ม ๆ แต่ม้าหมุนฟังแล้วทำหน้าแปลก ๆ เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ก็พอดีเห็นสโนว์หนีบกระดานรองวาดกับหิ้วกล่องพลาสติกที่ผมเอาขวดสีโปสเตอร์กับพู่กันและจานสีใส่ไว้เข้ามา แล้วทำท่าไม่รู้จะวางตรงไหน เธอเลยบอกให้สโนว์เอากระดานไม้พิงข้างกล่องพลาสติกที่ใช้แทนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเอากล่องใส่สีวางกั้นเอาไว้อีกทีเพื่อกันไม่ให้กระดานล้ม
       ผมคิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าจู่ ๆ บรรยากาศมันก็กระอักกระอ่วนชวนอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่องไปถามว่า
       “แล้วพวกอุปกรณ์อาบน้ำ เราเอาไปวางในห้องน้ำเลยได้รึเปล่าวะ หรือต้องเก็บไว้ในห้อง แล้วค่อยเอาไปตอนจะอาบน้ำ”
        “เก็บไว้ในห้องดีกว่า ใส่ถุงไว้ ถ้าเอาไปไว้ในห้องน้ำ ถึงจะเขียนชื่อไว้ก็อาจจะมีคนอื่นมาใช้ก็ได้”
        “แล้วกะละมังซักผ้ากับผงซักฟอกล่ะ” ผมถามต่อ
        “กะละมัง ไม้หนีบผ้า เอาไปไว้ที่ลานซักผ้าบนดาดฟ้าได้ แต่ผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มนี่เก็บไว้ในห้องดีกว่า ถ้าไม่อยากให้มีคนอื่นมาช่วยใช้”
         ผมเห็นเขาแนะนำอย่างเต็มอกเต็มใจก็นึกดีใจว่ามีรูมเมตเป็นคนพึ่งพาได้ จะมีก็แต่เรื่องม้าหมุนนี่แหละที่ยังรบกวนจิตใจผมอยู่นิดหน่อย เพราะเธอดูจะเข้ากับรูมเมตคนใหม่ของผมไม่ได้ แล้วถ้าผมพาม้าหมุนมาที่ห้องก็อาจจะทำให้อึดอัดกันทั้งสองฝ่ายก็ได้ ผมชักกังวล แต่คิดไปก็เท่านั้นครับ ไว้ค่อยลองหาทางออกดูทีหลังก็แล้วกัน
         หลังจากย้ายของจัดของเข้าที่เรียบร้อย ผมพาม้าหมุนกับสโนว์ไปเลี้ยงขอบคุณที่ร้านซานต้าส์ในห้างตรงข้ามหอพัก ผมชอบมันอบกับชีสใส่เบคอนของร้านนี้มากเลยครับ หอมมันเข้มข้นอร่อยมาก ม้าหมุนกับสโนว์ก็ชอบข้าวผัดอเมริกันใส่ลูกเกดของร้านนี้ พวกเธอตอบตกลง ผมชวนหมอกด้วย แต่เขาปฏิเสธ เราก็เลยไปกันแค่สามคน เมื่อสั่งอาหารที่ต้องการแล้ว ผมก็ลองถามม้าหมุนอีกครั้งว่า
         “แกไม่ชอบหมอกใช่ไหมวะหมุน”
         เธอมองผม ก่อนตอบว่า
         “เฉย ๆ ไม่ได้ชอบ ไม่ได้เกลียด ทำไมล่ะ”
         “ดูแกไม่ค่อยคุยกับหมอกมันเท่าไหร่ ฉันก็เลยถามดู อยากรู้”
         ม้าหมุนไม่เปลี่ยนสีหน้า ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญหรือต้องใส่ใจเป็นพิเศษถึงขั้นที่จะเอามาถกกัน ผมนึกว่าเธอจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่เธอก็พูดขึ้นมาว่า
         “คุยกันไม่ถูกคอก็เลยคิดว่าไม่คุยน่าจะดีกว่า”
         ผมยังกังวลอยู่เล็กน้อย ไม่อยากให้เพื่อนสนิทกับรูมเมตไม่ถูกกัน แต่ผมรู้ว่าผมโน้มน้าวม้าหมุนให้เปลี่ยนใจไม่สำเร็จหรอก
          “แกล่ะ โนว์ คิดว่าหมอกมันดูโอเครึเปล่าวะ” ผมหันไปขอความเห็นจากเพื่อนสนิทอีกคน
                 “ก็โอเคนะ ไม่เห็นมีอะไร ถ้าแกคิดว่าอยู่กับมันได้ ก็คืออยู่ได้”
         คำตอบของสโนว์ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ม้าหมุนทำท่าไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก ผมก็เลยไม่ได้เซ้าซี้ให้เธอรำคาญใจ เราเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องติววันอาทิตย์ ม้าหมุนจึงกลับมาพูดคุยได้อย่างกระตือรือร้นเหมือนเดิม

                                                             **********

         ผมย้ายหอพักแล้ว เมื่อถึงวันอาทิตย์ ผมก็เตรียมกระดานรองวาดกับกล่องสี ออกจากหอพักใหม่ที่ถนนพระรามหนึ่งขึ้นรถเมล์ไปถึงมหาวิทยาลัยตามเวลาที่นัดหมายกับพวกพี่ติวไว้ ผมมาถึงเป็นคนแรกตามเคย เดินเข้าไปในสวนแก้ว ผมนึกว่าไม่มีใครเพราะยังเช้าอยู่ แต่ไม่ใช่ครับ มีใครคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นหน้าโมร่อน (ผมกลับไปค้นแล้วมันคือ Mural หมายถึงผนังว่าง ๆ ที่เราสามารถวาดรูปลงไปได้ แต่เขาออกเสียงกันอย่างนี้ก็เอาเป็นว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน) เอาผ้าที่ไว้เช็ดพู่กันปิดหน้าไว้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าของผม เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างนึง ดึงผ้าขนหนูเปื้อนสีเป็นดวงออกจากหน้า ถามห้วน ๆ ว่า
        “ใครวะ ไม่เคยเห็นหน้า มาทำอะไร”
        ผมอยากบอกให้เขาไปล้างหน้าล้างตาก่อน เผื่อจะสังเกตเห็นกระดานรองวาดที่ผมหนีบรักแร้มาด้วย แต่ดูหน้างัวเงียขนาดนั้น แค่ล้างหน้าอาจเอาไม่อยู่ก็ได้ครับ ซึ่งผมก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ ไม่ได้พูดออกมา ผมตอบคำถามของเขาอย่างสุภาพว่า
        “ผมเป็นน้องติวของพี่ไพรด์กับพี่ธามครับ เริ่มติววันนี้”
        “ไอ้ไพรด์กับไอ้ธามไม่มามหาลัยหรอกวันนี้ กลับบ้านไปเหอะ”
        ผมอ้าปากค้าง สีหน้าคนพูดดูไม่ได้ล้อเล่น ผมเลยชักลังเล แล้วก็เริ่มใจเสีย แต่ผมก็ยังมั่นใจนะว่าจำวันกับเวลาไม่ผิดแน่ ๆ
        “เอ่อ...”
       ผมพูดต่อไม่ถูก แล้วระหว่างที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ ผมก็เห็นพี่ธามเดินเข้าประตูสวนแก้วมาพอดี พอเห็นผมก็โบกมือทักทาย ผมรีบหันไปพูดกับคนที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นทันที
       “ไหนว่าพี่ธามไม่มาไงครับ ก็มานี่ไง” น้ำเสียงผมติดจะเป็นการต่อว่านิด ๆ
       “เออ จริงด้วย มานี่หว่า”
       ผมอ้าปากค้างอีกรอบ เขาพูดหน้าตาย เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความไม่พอใจของผม ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปครับว่าคำพูดของเขาทำให้ผมใจเสียแค่ไหน
        “หวัดดี นายชื่ออะไรนะ อ้อ... ตินตินใช่ไหม” พี่ธามทักผม แล้วหันไปมองผู้ชายที่นั่งตาปรืออยู่บนพื้น
        “ไอ้อิศร์ เพิ่งตื่นเหรอวะ”
         อีกฝ่ายหาวเป็นคำตอบ ก่อนจะนอนลงอีกครั้ง เอาผ้าเปื้อนสีคลุมหน้าไว้เหมือนเดิม ไม่สนใจอะไรอีก
         ผมยืนมองเขาเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไงดี พี่ธามเห็นอย่างนั้นก็เลยแนะนำ
          “เพื่อนเราเอง ปีเดียวกัน ชื่ออิศร์”
          ผมว่าพี่ติวสองคนของผมก็เป็นคนแปลก ๆ แล้วนะ แต่ ‘เพื่อนพี่ติว’ กลับแปลกยิ่งกว่า!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 4
   ผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่บนม้านั่งในสวนที่เต็มไปด้วยต้นแก้ว ขาข้างหนึ่งชันขึ้น อีกข้างพาดกับขอบเท้าแขนด้านข้างของม้านั่ง มองเห็นแค่ซีกหน้าด้านข้าง กำลังนอนหลับสนิท

         พี่อิศร์...
         ผมทวนชื่อของเขาอีกครั้งในใจ
         เพื่อนพี่ติวของผมคนนี้สูง รูปร่างผอม แต่มีกล้ามเนื้อดูแข็งแรง ผิวขาวจนติดจะออกซีด ๆ เหมือนคนที่ไม่เคยโดนแดด แต่งตัวคล้าย ๆ เพื่อนของเขา คือ ใส่เสื้อยืด กางเกงผ้าสีเทา สวมรองเท้าผ้าใบยี่ห้อคอนเวิร์ส ดูเหมือนจะเป็นแฟชั่นของที่นี่ เพราะผมเห็นนักศึกษาชายที่นี่แต่งตัวอย่างนี้แทบทั้งนั้น ถ้าไม่นับคนที่แต่งตัวพิลึกแบบหลุดโลกไปเลย
        พี่อิศร์เป็นผู้ชายที่ดูดีมากเลย ตอนที่เขาจ้องผมนิ่ง ๆ และไม่อ้าปากพูดน่ะนะ แต่พอพูดอะไรสักอย่างเท่านั้นแหละ
        ปากเสียมาก...
        นี่เป็นคำนิยามแรกที่ผมให้เขา เป็นความประทับใจแรกที่ไม่เคยลืม
        ผมนั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ที่สวนแก้ว นั่งอยู่บนพื้นเอากระดานพาดตัก ในสวนมีม้านั่งหลายตัว แต่ไม่ค่อยมีใครนั่ง ผมก็ไม่นั่ง ชอบนั่งกับพื้นมากกว่า ไม่เคยกลัวเรื่องเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน ก็ไม่ใช่พวกคุณหนูสำอางอยู่แล้วนี่ครับ
        พี่อิศร์ยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่แน่ใจว่าหลับหรือเปล่า ถ้าหลับ เขาก็ต้องเป็นคนที่นอนง่ายอย่างเหลือเชื่อ เพราะกระทั่งเมื่อคนอื่น ๆ มาถึง มีการทักทายพูดคุยกันให้ลั่นไปหมด เขาก็ยังไม่ขยับตัว
       “เพื่อนเรามันหลับได้ทุกที่ ไม่ต้องห่วงหรอก”
       ผมเกือบสะดุ้ง ไม่รู้เลยว่าพี่ธามมองผมอยู่ ผมรู้สึกเหมือนคนทำผิดที่โดนจับได้ยังไงไม่รู้ก็เลยพยักหน้ารับคำไปส่ง ๆ ไม่พูดอะไรตอบและพยายามไม่มองไปทาง ‘เพื่อนพี่ติว’ ที่นอนเอาผ้าขนหนูคลุมหน้าคนนั้นอีก
       พี่ไพรด์มาสายกว่าเวลานัดเล็กน้อย แต่เมื่อมาถึงก็เริ่มเรียนกันเลยทันที เขาให้เราเริ่มต้นที่การฝึกมือเขียนเส้นหลาย ๆ รูปแบบก่อน ผมต้องบังคับข้อมือวาดเขียนเส้นตรง เส้นนอน เส้นเฉียง ซ้ำ ๆ กันเป็นร้อยเส้นได้มั้ง จากนั้นก็ฝึกแรเงาและเรียนรู้เรื่องขนาด ระยะ รูปทรง และแสงกับเงา
       “ทฤษฎีไม่สำคัญเท่าปฏิบัติ” เขาบอก “ฝึกบ่อย ๆ วาดบ่อย ๆ ฝีมือก็ดีเอง”
        แล้วเขาก็ให้ลองสเก็ตช์ดูเลย แบบก็หาเอาแถว ๆ นั้น พี่ติวผมใช้นิ้วจีบคอขวดเบียร์ที่ใครสักคนทิ้งไว้ให้นอนเค้เก้อยู่ข้างถังขยะมาตั้งให้ตรงหน้า ใครมองเห็นแบบไหนก็วาดไปตามที่มองเห็น
             ตอนเด็ก ๆ ผมจัดว่าเป็นคนวาดรูปเก่งคนหนึ่ง ครูศิลปะสมัยมัธยมต้นให้วาดรูปกระป๋องสีตั้งเรียง ๆ กัน ผมวาดแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ ผลงานออกมาสวยกว่าเพื่อนทั้งห้องที่ใช้เวลาวาดเต็มชั่วโมงเสียอีก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ฝีมือของผมจึงหายไปหมด  ผมวาดแล้วก็ลบ วาด ลบ วาด ลบ ไม่รู้ว่ากี่รอบ แต่ผลที่ได้ก็ออกมาเหมือนเดิม
            “เบี้ยว”
            เสียงทักไม่ดังเท่าไหร่ แต่เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง พี่อิศร์ที่ไม่รู้ว่าตื่นตั้งแต่ตอนไหนและมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังชะโงกหน้าข้ามไหล่ผมเพื่อดูภาพที่ผมวาดให้เห็นชัด ๆ
             ผมทำหน้าเซ็ง ไม่ต้องให้เพื่อนพี่ติวมาวิจารณ์อย่างไม่ถนอมน้ำใจ ผมก็เห็นเต็มสองตาอยู่แล้วว่ามันเบี้ยว ดรออิ้งนี่ดูถูกไม่ได้จริง ๆ มันไม่ใช่ง่าย ๆ อย่างที่เคยคิดสักนิด
             “วาดใหม่เลย”
            โอ้โฮ สั่งอย่างกับเป็นพี่ติวของผมอีกคน แต่ผมก็บ่นแค่ในใจเท่านั้นแหละ ยังไงก็ต้องวาดใหม่ ผมเปลี่ยนกระดาษ แล้วเริ่มวาดใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ เส้นยังเบี้ยวเหมือนเดิม
             “ห่วยว่ะ”
             พี่อิศร์พูดเมื่อเห็นขวดเบียร์เบี้ยว ๆ ฝีมือผม สัดส่วนผิด แรเงาแสงกับเงาก็ไม่ดี ถูกอย่างที่เขาว่านั่นแหละ แต่ความจริงโต้ง ๆ ชนิดไม่มีการขัดเกลานี่บางทีก็มันก็ชวนให้หงุดหงิดนะ
              “ไหนดูหน่อย ไม่เป็นไร แก้ได้” พี่ไพรด์เข้ามาแทรก เมื่อกี้เขากำลังสอนม้าหมุนอยู่ แต่คงเห็นท่าทางผมฮึดฮัดเลยกลัวว่าผมจะลุกมาต่อยเพื่อนเขา เขาก็เลยรีบตรงเข้ามาหา
              ผมส่งกระดานให้พี่ติวตัวจริงของผม พยายามไม่สนใจเพื่อนพี่ติวที่ถอยห่างออกไป แต่ก็ไม่ค่อยมีสมาธิฟังเขาสอนเท่าไหร่ เพราะอารมณ์ยังกรุ่น ๆ อยู่ ได้แต่นั่งเงียบ ๆ ดูเขาแก้งานให้จนมันดูดีกว่าเดิมมาก
              “ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะรับกระดานคืนมาวางบนตัก
               “ค่อย ๆ ฝึกไปเว้ย” พี่ติวให้กำลังใจ แต่ผมรู้สึกใจคอห่อเหี่ยวยังไงก็ไม่รู้
                ม้าหมุนฉายแววฝีมือดีกว่าทุกคน ผลงานออกมาสวยทั้ง ๆ ที่เป็นภาพแรกในชีวิตที่ลงมือวาดอะไรจริง ๆ จัง ๆ ขนาดพี่ไพรด์ให้คะแนนบีบวก ส่วนสโนว์กับจันทร์เจ้าได้บีเท่ากัน จันทร์เจ้าวาดเสร็จแต่เก็บรายละเอียดยังไม่ดี กลับกัน สโนว์วาดไม่เสร็จ แต่แรเงาแสงเงาได้ดีเกินคาด ส่วนผมน่ะหรือ วาดก็ไม่เสร็จ รายละเอียดก็ไม่ได้เก็บ คงเพราะเริ่มใหม่เป็นหนที่สามนั่นแหละ ทำให้วาดไม่ทันเวลา แต่พี่ไพรด์ก็ยังใจดีให้คะแนนผมที่ซี ส่วนคนที่ไม่ใช่พี่ติวน่ะหรือครับ
               “ถ้ากูเป็นพี่ติว กูให้เอฟว่ะ”
               “แต่พี่อิศร์ไม่ใช่พี่ติวผม ไม่มีสิทธิ์ให้คะแนน”
               ผมโต้กลับทันที อดไม่ไหวแล้ว ใครจะนิ่งให้โดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ติณคนนี้แน่ ๆ
               เขาชะงักไปนิด มองหน้าผม ผมก็มองหน้าเขา ไม่กลัวหรอก เขาตัวสูงกว่าผมก็จริง แต่ผมตัวใหญ่กว่า แล้วถึงผมจะใส่แว่น หน้าตาเรียบร้อยเป็นเด็กเรียน ไม่ชอบใช้ความรุนแรง แต่ถ้าถึงเวลาต้องใช้กำลังขึ้นมาจริง ๆ ผมก็พร้อมสู้ ผมมั่นใจว่าผมไม่แพ้เขาอย่างแน่นอน
              “กล้านี่หว่า เจ๋งดีเหมือนกันนี่”
             พี่อิศร์กลับยิ้ม ถึงมันจะดูเหมือนแสยะมากกว่าก็เถอะ ผมที่ตัวเกร็งรอการโต้กลับอย่างรุนแรงจากเขาก็เลยกลายเป็นเก้อ หน้าเหวอ ก่อนจะได้สติและคิดได้ว่าผมล้ำเส้นรุ่นพี่มากเกินไปแล้ว ผมจึงยกมือไหว้เขา
            “เอ้อ ขอโทษครับ ผมไม่ควรพูดแบบนั้น”
             เขายกมือรับไหว้โดยอัตโนมัติ แล้วก็พูดประโยคที่ผมไม่คาดคิดออกมา
           “รูปที่วาดมันก็ไม่ได้ห่วยขนาดนั้นหรอก”
           วิกฤตการณ์คลี่คลาย
           ดูเหมือนทุก ๆ คนกลั้นหายใจรอลุ้นว่าผมกับพี่อิศร์จะต่อยกันหรือเปล่า พอผลออกมาเป็นแบบนี้ รอบตัวผมก็เลยมีแต่
            เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
           “ไป ไป กินข้าว หิวแล้ว” พี่ไพรด์พูดเสียงดัง แล้วก็ออกเดินนำลิ่ว ๆ ไป จันทร์เจ้ากับสโนว์เดินตาม ม้าหมุนรีบดึงแขนผมให้เดินตามเธอไป พี่อิศร์ไม่ได้ไปด้วย แต่หันหลังเดินกลับไปที่ตึกคณะ

            ร้านที่พี่ไพรด์พาไปเป็นร้านอาหารตามสั่งอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ค่อนข้างอับเพราะอากาศระบายได้ไม่ดี กลิ่นกับข้าวคลุ้งเต็มร้าน แม่ครัวกำลังผัดอะไรสักอย่างอยู่ในกระทะ กลิ่นมันฉุนเฉียวจนผมจามออกมาเสียงดังลั่น
           “กินได้ไหม เห็นอย่างนี้อาหารอร่อยมากเลยนะ”
            พี่ธามถาม เขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมไม่ทันสังเกตเลยว่าเขาล่วงหน้ามาจองโต๊ะตั้งแต่ตอนไหน แต่ตอนนี้สีหน้าของเขาบอกว่ากำลังสงสัย แฝงด้วยรอยเยาะหน่อย ๆ เมื่อเห็นผมทำจมูกฟุดฟิด เขาคิดว่าพวกผมมาจากโรงเรียนดัง ต้องเป็นคุณหนู กินข้าวร้านข้างทางไม่ได้หรือยังไงก็ไม่รู้ ทั้งที่จริงพวกผมโลโซจะตาย
           “พี่มีจานเด็ดแนะนำไหม” ม้าหมุนนั่งลงพร้อมกับถาม ผมก็นั่งตามโดยไม่ได้เกี่ยงงอน ถึงแม้จะแสบจมูกไม่หายก็เถอะ พอนั่งลงแล้วก็กวาดตามองดูรายการอาหารที่เขียนติดไว้บนผนัง ได้ยินพี่ธามตอบเพื่อนผมว่า
            “อร่อยทุกอย่าง นายชอบกินอะไรล่ะ”
            ถึงจะได้รับการการันตีอย่างดิบดี แต่ทุกคนก็เลือกสั่งอาหารจานเดียวง่าย ๆ จำพวกผัดกะเพราหรือข้าวผัด มีไข่ดาวที่ไข่แดงเยิ้ม ๆ โปะหน้า ของผมก็เมนูเดิม ๆ ไข่เจียวหมูสับราดข้าว
            “ไข่เจียว ชอบเหมือนไอ้อิศร์เลย แล้วมันไปไหน ไม่มากินด้วยกันเหรอ” พี่ธามถามอย่างคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พี่ไพรด์กินข้าวโดยไม่สนใจใคร ขณะที่น้องติวมองหน้ากัน
            “ทำไม มีอะไรรึเปล่า” เขาถามด้วยความสงสัย แล้วพอรู้เรื่องที่ผมกับเพื่อนเขาเกือบจะวางมวยกัน เขาก็ไม่มีท่าทางตกใจอย่างที่ผมคิด กลับหัวเราะลั่น บอกว่า
            “เออ ไอ้อิศร์มันก็ปากหมาแบบนี้แหละ อย่าไปถือสา” แทนที่จะเข้าข้างเพื่อน เขาเข้าข้างผมเฉยเลย ดีมากครับ พี่ติวก็ต้องเข้าข้างน้องติวนั่นแหละถูกต้องแล้ว
            “เพื่อนพี่เขามีเรื่องกับคนอื่นบ่อยไหม ผมว่าน่าจะบ่อยนะ”
            “มันไม่ค่อยมีเรื่องกับใครหรอก คนอื่นก็ไม่อยากมีเรื่องกับมัน ไอ้อิศร์มันเล่นยูโด ได้สายดำด้วยใช่ไหมวะ” ประโยคหลังเขาหันไปถามพี่ไพรด์ ฝ่ายหลังก็พยักหน้า
           “ได้ยินว่าฝึกมาแต่เด็กแล้ว มันจะไม่เข้าเรียนวิชาพละ เพราะเรียนเทควันโด้ มันว่าคนละสำนักกัน มันไม่เรียน” พี่ธามเล่าต่อ
           “ยูโดสายดำ” ม้าหมุนทวนคำ แล้วมองหน้าผม “นี่ถ้ามีเรื่องกัน แกโดนทุ่มลงไปนอนวัดพื้นแน่เลยตินติน”
           “ไม่กลัวหรอก ฉันเรียนมวยไทย” ผมโต้พลางร่ายยาวท่าแม่ไม้มวยไทย “สลับฟันปลา ปักษาแหวกรัง ชวาซัดหอก อิเหนาแทงกริช ยอเขาพระสุเมรุ ตาเถรค้ำฝัก มอญยันหลัก ปักลูกทอย จระเข้ฟาดหาง หักงวงไอยรา นาคาบิดหาง วิรุฬหกกลับ ดับชวาลา ขุนยักษ์จับลิง หักคอเอราวัณ เรียนมาหมดแล้ว”
            “เออ เชื่อ ถ้าทำข้อสอบ แกท็อปแน่นอน แต่ใช้จริงนี่ไม่แน่ใจ กลัวแว่นตาจะหลุดก่อนได้ทันตั้งท่า”
            “เอ้า อย่ามาดูถูก”
            “ก็ดูถูกแล้วไง ไม่ได้ดูผิดเลยสักนิด”
            “พวกนายนี่สนิทกันดีนะ” พี่ธามพูดยิ้ม ๆ มองผมกับม้าหมุนลอยหน้าลอยตาเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร “เป็นเพื่อนกันมานานรึยัง”
            “ตั้งแต่ ม. 4 ก็ปีกว่า ๆ แล้วค่ะ” ม้าหมุนตอบ น้ำเสียงที่ใช้อ่อนลงกว่าตอนลับฝีปากกับผมมาก
            หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ เรากลับไปที่สวนแก้ว เริ่มเรียนวิชาของภาคบ่ายคือการลงสี พี่ไพรด์หายตัวไปไหนไม่มีใครรู้ เหลือพี่ธามรับมือกับน้องติวของเขาตามลำพัง
            เขาเริ่มต้นที่ทฤษฎีสี การผสมสีต่าง ๆ โดยเริ่มต้นที่แม่สีสามสี ผสมกันได้สีขั้นที่สองและสาม หรือเรียกว่าสีทุติยภูมิและสีตติยภูมิ ผลของมันแสดงออกในแบบวงล้อสีหรือตารางสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นแถวยาว ผมวาดตารางและวงจรสีตามแบบ แบ่งเป็นช่อง แล้วลงสีอย่างที่ผสมได้ อันนี้ไม่ยาก แต่ผมไม่ค่อยพอใจสีที่ผสมได้ มันดูตุ่น ๆ บอกไม่ถูก
            ความหวังจะแก้มือจากดรออิ้งเมื่อเช้าค่อย ๆ ห่างไกลความเป็นจริงไปทุกที ผมใช้พู่กันทาสีอย่างระมัดระวังไม่ให้เลยกรอบ ซึ่งนั่นก็ยากพอดู พู่กันเบอร์สี่ดูมันใหญ่เทอะทะเกินไปอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมคิดว่าจะต้องซื้อพู่กันใหม่ที่เบอร์เล็กกว่านี้ให้ได้ แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดเท่าไหร่ เพราะไม่มีนักวิจารณ์ผลงานอย่างเมื่อเช้า พี่อิศร์หายตัวไปอีกคน เขาไม่รับติวให้ใคร ซึ่งผมไม่สงสัยเลยว่าทำไม
             หลังจากเราลองผสมสีต่าง ๆ ดูแล้ว พี่ธามก็ให้วาดรูปดอกไม้หนึ่งดอก จะเป็นดอกไม้จริง ๆ หรือจินตนาการขึ้นก็ได้ ใช้สีได้ตามใจชอบ
             ผมไม่ถนัดจินตนาการมากเท่าไหร่ในตอนนั้นก็เลยเลือกวิธีวาดภาพและลงสีให้เหมือนของจริงไปก่อน ผมวาดดอกกล้วยไม้ ตั้งใจจะระบายกลีบดอกเป็นสีม่วงอ่อนกับสีม่วงเข้ม ก้านกับใบยาวเป็นสีเขียวสดใส แต่พอลงมือทำจริง มันกลับไม่เป็นอย่างที่ใจคิดเลยสักนิด พอเติมสีโน้นสีนี้ลงไปก็ชักมั่วซั่ว แล้วในที่สุดก็...
             “เน่า”
             ผมกลอกตา พี่อิศร์มาเมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย
             “ผมอยากได้สีม่วงใส ๆ ไม่ใช่สีม่วงหม่น ๆ แต่ไม่รู้จะผสมยังไง” ผมส่งจานสีให้เขารู้แล้วรู้รอด เขาก็นั่งขัดสมาธิลงข้างผม หยิบพู่กันไปกวนในแก้วที่บัดนี้น้ำข้างในกลายเป็นสีน้ำตาลขุ่น ๆ จากการล้างพู่กันหลายต่อหลายครั้ง
             “สีผสมเองมันจะข้น หม่น ไม่ใส ไม่เหมือนสีจากขวด” เขาสอนโดยไม่มองหน้าผม ใช้พู่กันแตะสีน้ำเงินกับแดง เติมด้วยสีเหลืองกับสีแดง “ผสมยังไงก็ได้แค่นั้นแหละ”
             สีที่เขาผสมออกมาได้เป็นสีม่วง เฉดสดใสกว่าของผม แต่ก็ยังจัดว่าหม่นอยู่ดี
            “ไม่มีวิธีแก้เลยหรือครับ”
            “ไม่มี” เขาตอบทันที “ซื้อเอาหรือไม่งั้นก็ไม่ต้องใช้”
            ผมแทบอยากยกมือไหว้ท่วมหัว ช่วยได้มากเลยครับพี่ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของเขาไม่ได้ล้อเล่น เขาหมายความตามที่พูดทุกคำ
            “ขอบคุณครับ”
            “เออ” เขารับคำ แล้วก็ลุกไป มาไวไปไว จู่ ๆ ก็มา จู่ ๆ ก็ไป ไม่มีการบอกกล่าว
           “ไอ้อิศร์มันว่ายังไงมั่ง” พี่ธามนั่งลงแทนที่เพื่อนที่เพิ่งลุกไป มองความพยายามในการผสมสีของผมที่แสดงอยู่ในจานสี
            “ไม่ได้ว่าอะไรครับ เขาบอกว่าถ้าอยากได้สีใส ๆ ให้ซื้อเอาหรือไม่ก็ไม่ต้องใช้”
           “ก็จริงอย่างมันว่านะ”
            ผมมองพี่ติวอย่างไม่เข้าใจ ตาละห้อย
            พี่ธามไม่เข้าข้างผมแล้วเหรอคร้าบ...
            “จะผสมสีให้สวยไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องคิดถึงคู่สีตรงกันข้าม การเพิ่มหรือลดค่าน้ำหนักสี แต่อะไรก็ไม่เท่าลองผสมเอง ซื้อสีใหม่ ๆ มาใช้แทนแม่สีสามสี เดี๋ยวก็รู้ว่าจะต้องผสมยังไง อะไรมากน้อยแค่ไหน สีบางสีอย่างฟ้าอ่อน เขียวอ่อน บางเฉดก็ผสมเองไม่ได้ ต้องใช้สีจากขวดอย่างเดียว”
            “เพื่อนพี่น่าจะอธิบายอย่างนี้บ้างนะ” ผมอดปากไม่อยู่
            “มันก็แค่ปากเสีย” พี่ธามยิ้มปลอบ “จริง ๆ มันเป็นคนไม่มีอะไรหรอก”
             ผมไม่วิจารณ์ แต่ตอนนี้ในใจชักเริ่มคล้อยตาม บางทีเขาอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ได้มั้ง
             หลังจากวาดภาพเสร็จ พี่ธามก็วิจารณ์ผลงานทีละคน แต่เขาไม่ได้ให้คะแนนเป็นเกรดจริงจังอะไร ไม่เหมือนตอนเรียนกับพี่ไพรด์ ส่วนที่เหมือนกันก็คือเขาตบท้ายด้วยการให้กำลังใจและกำชับให้ฝึกเยอะ ๆ
             แล้ววันแรกของการเรียนติวกับพวกพี่ติวก็ผ่านไป
             ผมแบกกระดานกับกล่องสีกลับหอพัก หมอกไม่อยู่ที่ห้อง ทุกเสาร์อาทิตย์รูมเมตของผมจะกลับบ้าน หมอกมาจากจังหวัดในปริมณฑลของกรุงเทพฯ ก็เลยกลับบ้านได้ทุกอาทิตย์ ต่างจากผม ม้าหมุนหรือสโนว์ที่อยู่จังหวัดไกลสุดกู่ กว่าจะได้กลับบ้านก็ต้องรอปิดเทอมอย่างเดียว
            ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คิดถึงวันนี้ ผลงานอันห่วยแตกของผม พี่ติว แล้วก็เพื่อนพี่ติวคนนั้น
            พี่อิศร์...
             พูดดี ๆ ก็ได้แท้ ๆ แต่ไม่ยักพูด ผมโคลงศีรษะเมื่อคิดถึงเขา แต่จะว่าไป นิสัยแบบนี้ก็คล้ายม้าหมุนอยู่นิด ๆ นะ เขาก็คงจะเป็นคนตรงไปตรงมานั่นแหละ แล้วก็คงใจดีเหมือนกัน เขายังผสมสีม่วงให้ผมเลยนี่ พี่อิศร์เป็นนักกีฬายูโด ตอนใส่ชุดยูโดคาดสายดำคงจะเท่ไม่หยอก เหมือนใครกันนะ...
             ผมกระโดดลงจากเตียงพุ่งไปรื้อกล่องพลาสติกที่ใส่หนังสือการ์ตูน ปกติผมอ่านมังงะเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ผมกลับดึงเอาหนังสือการ์ตูนของฝั่งอเมริกาออกมาเล่มหนึ่ง เป็นรวมคาแร็คเตอร์ของ DC comics
             คลาร์ก เคนต์ – ซูเปอร์แมน
             พี่อิศร์ไม่มีจะงอยผมด้านหน้าเป็นรูปตัวเอส รูปหน้าไม่เหลี่ยม คางก็ไม่บุ๋ม แต่ผมรู้สึกว่าเขาเหมือนตัวการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่อยู่ดี หน้าขรึม ไม่ยิ้ม ใส่ชุดยูโดแทนชุดแนบเนื้อสีน้ำเงินกับผ้าคลุมสีแดง ทุ่มพวกเหล่าร้ายลงพื้นโครม ๆ อย่างไม่ปรานี
              ผมหยิบกระดานมาวางบนตัก ลงมือสเก็ตช์รูปปราด ๆ อย่างตั้งใจ ไม่นานก็ได้ภาพซูเปอร์แมนยืนเท้าเอว อกแอ่น เห็นกล้ามเป็นมัด ๆ เหมือนกับภาพต้นฉบับไม่มีผิด ผมไม่ลงสี ตั้งใจให้เป็นภาพลายเส้นขาวดำเท่ ๆ แล้วก็ตัดออกมาจากกระดาษแผ่นใหญ่ กะให้พอดีกับขนาดของกล่องโลหะที่ซื้อมาเพื่อใส่ดินสออีอี ผมเพิ่งซื้อเมื่อตอนขากลับนี้เอง ตอนซื้อยังไม่รู้ว่าจะติดรูปอะไรดี แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว

                                                                          **********

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
            เพิ่งรู้ว่าไม่ได้มีแค่ผมที่เห่อสถานะ ‘น้องติว’
            ม้าหมุนเห่อมากกว่าผมอีก เธอเอากระดานรองวาดกับกล่องสีใส่เป้มาโรงเรียนด้วย ผมกับสโนว์มองเธอก้มหน้าก้มตาตวัดข้อมือแรเงาภาพกันตาปริบ ๆ โจ๊กที่ซื้อมาเป็นอาหารเช้าก็ถูกวางทิ้งไว้โดยไม่ไยดี พอถูกถาม เธอก็บอกว่าตั้งรอไว้ให้เย็นก่อนค่อยกิน
            “แต่ปกติแกจะไม่ตั้งทิ้งไว้” ผมท้วงด้วยความแปลกใจ “ถ้าเป็นของร้อน แกจะตักน้ำแข็งใส่ลงไปก่อนแล้วค่อยกิน มันจะได้เย็นทันใจ ไม่ต้องรอ”
            “นั่นสิ กินข้าวก่อนก็ได้แกแล้วค่อยวาด” สโนว์พูด
           “มันหยุดไม่อยู่น่ะ” ม้าหมุนเงยหน้าขึ้นยิ้ม “สนุกดี ฉันชอบ”
           “แกเอาอะไรติดหลังกระดาน” ผมถาม แล้วใช้นิ้วดันกระดานขึ้นเพื่อมองให้เห็นชัด ๆ “ตั๋วรถเมล์นี่”
           “ฮื่อ เอาที่เก็บไว้มาติด สวยไหม” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ ตั๋วรถเมล์หลายสีหลายราคา ทุกใบมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือตัวเลขสี่ตัวหลังบนตั๋วรวมกันได้ 21 เธอเชื่อของเธอว่าจะทำให้โชคดี เมื่อได้มาก็เก็บรวมใส่กล่องเอาไว้
            “สวย เท่ดี ไม่เหมือนใคร”
        ม้าหมุนยิ้มแป้นรับคำชมของผม แล้วก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป สโนว์มองความกระตือรือร้นของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนใจดังเฮือก ๆ เอาหลอดปักเล่นในแก้วน้ำหวานที่ดื่มหมดแล้วเหลือแต่น้ำแข็ง
         “เป็นอะไรโนว์ กลุ้มใจเรื่องอะไรวะ” ผมถาม
         “ไม่ได้กลุ้ม แค่เสียดายมาก..ก..ก” เธอลากเสียงยาว ฟังละห้อยละเหี่ยหนัก “พี่ติวเราไม่เห็นมีใครหล่อให้กรี๊ดเลยสักคน เซ็ง ไม่งั้นคงได้ทุ่มเทเหมือนหมุนมันบ้าง”
         ผมเกาหัวแกรก ๆ เป็นเหตุผลที่ไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าไหร่หรอก แต่โธ่ ไอ้เราหรือก็คิดว่าเพื่อนเป็นอะไรไปจริง ๆ เสียดายความเป็นห่วงชะมัด
         “พี่อิศร์ก็ไม่หล่อเหรอ” ม้าหมุนถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดานจึงไม่เห็นว่าผมตั้งตารอความคิดเห็นอย่างใจจดใจจ่อ
          สโนว์ส่ายหน้าจนผมหางม้าของเธอสะบัดไปมา
           “ไม่อะ พี่เขาก็ดูดีแหละ แต่ไม่ใช่สเปกฉันว่ะ ไม่ได้เสี้ยวนึงของทาเคชิของฉัน”
           “โอ๊ย นั่นเขาดารา มันจะไปสู้ได้ไงวะ” ผมร้องอย่างขัดใจ ทาเคชิของเจ้าหล่อนคือดาราญี่ปุ่น ชื่อเต็มว่า ทาเคชิ คาเนะชิโระ เป็นพระเอกเรื่อง Precious Time ที่ดังมาก ๆ เล่นคู่กับเคียวโกะ ฟุคาดะ
           “ฉันว่าแค่นี้พี่เขาก็ดูดีแล้วนะเว้ย” ผมเผลอพูดโดยที่ไม่ทันคิดให้ดีก่อน
           “ก็ดี เหมือนพวกรุ่นพี่เท่ ๆ ในการ์ตูนตาหวาน” สโนว์วิจารณ์ ก่อนตบท้ายอย่างดื้อดึง “แต่ไม่หล่อ”
           “พี่อิศร์ไม่เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นนะ นิสัยยังกับเด็กมากกว่าเพื่อน ส่วนหน้าตาก็เหมือนพวกตัวการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ฝรั่งอะไรอย่างนี้มากกว่า” ม้าหมุนพูดขึ้นบ้างหลังจากเงียบมาพักหนึ่ง พูดจบก็มองผม เป็นสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวยังไงพิกล
          “แล้วพี่ธามกับพี่ไพรด์ล่ะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
          “ไม่หล่อ” สโนว์ยังยืนยันเสียงหนักแน่น ก่อนจะตบท้ายว่า “แต่ก็ใจดีนะ ทั้งสองคนเลย”
           “พี่ธามใจดี” ม้าหมุนเห็นด้วย ก่อนจะนิ่วหน้านิด ๆ เมื่อขยายความว่า “คุยได้ เป็นมิตร ไม่เหมือนพี่ไพรด์ เวลาคุยด้วยรู้สึกเหมือนมีกำแพง มีระยะห่าง ดูเป็นคนหยิ่ง ๆ ไม่ค่อยสนใจใคร”
           “ทำไมฉันไม่เห็นรู้สึกเลยวะ” ผมคงละเอียดอ่อนสู้ม้าหมุนไม่ได้ มองไม่ยักออก ผมคิดเหมือนสโนว์ว่าพี่ติวสองคนใจดีแค่นั้น
           “ก็แค่พูดตามที่คิด” ม้าหมุนยักไหล่ แล้วก็ไม่พูดถึงอีก เอาแต่ก้มหน้าวาดรูปที่วาดค้างอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ เราก็เลยไม่ได้ถกประเด็นนี้กันอีก เพราะหลังจากนั้นผมก็ได้ยินแต่เสียงบ่นเสียดาย ๆ ของสโนว์จนหูอื้อไปหมด
           อาทิตย์ถัดมาผมไปติวด้วยความมั่นใจมากขึ้น การบ้านเสร็จหมดทุกชิ้น ผสมสีได้อย่างใจมากขึ้น ลายเส้นก็คมขึ้น อาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยผมก็วาดขวดออกมาได้ไม่เบี้ยวล่ะ ผมไปถึงสวนแก้วคนแรกเหมือนเดิม แล้วก็เจอพี่อิศร์ก่อนใครเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เขาเปลี่ยนที่นอน ตัวยาว ๆ ของเขานอนอยู่บนม้านั่งในสวน ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ขาอีกข้างพาดกับเท้าแขนม้านั่ง ดูไม่น่าจะนอนสบาย แต่เขาก็นอนหลับสนิทอย่างน่าแปลกใจ
           ผมไม่ได้ปลุกเขา แต่พี่อิศร์ตื่นขึ้นมาเองหลังจากนั้นพักหนึ่ง หน้าตางัวเงีย พอเห็นผมมองอยู่ เขาก็ขมวดคิ้ว ถามว่า
          “ใครวะ”
          “ติณครับ น้องติวของพี่ไพรด์กับพี่ธาม” ผมตอบด้วยความอดทน ชักไม่แน่ใจขึ้นมาอีกว่าเขาจำไม่ได้จริง ๆ หรือแค่จะกวน
          “ไม่คุ้นหน้าเลย”
          “ผมว่าพี่อิศร์ล้างหน้าก่อนดีกว่า จะได้หายง่วง จำใคร ๆ ได้ ผมขี้เกียจตอบคำถามเดิมทุกอาทิตย์”
          “ชื่ออะไรนะ”
          “ติณ” ผมตอบ มองเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แล้วเขาก็พูดเหมือนเปรยกับตัวเองว่า
          “น้องติวไอ้สองคนนั้นมีคนชื่อสั้น ๆ ด้วยเหรอวะ แต่ช่างแม่งเหอะ” พี่อิศร์หาวหวอด แล้วก็ล้มตัวลงนอนท่าเดิม หลับต่อ
          ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ
          พิลึกคน
          ผมเดินผ่านม้านั่งที่เขานอนอยู่ไปนั่งที่เดิมของผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พี่อิศร์ก็หลับอยู่อย่างนั้นจนคนเริ่มมาเยอะขึ้นก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่น พี่ธามต้องไปเขย่าปลุก เขาก็ลุกขึ้นมานั่ง หน้าตางง ๆ แล้วก็เดินสะลึมสะลือไปนอนหลับต่อที่คณะอย่างที่พี่ธามบอก
           เออเนอะ เหมือนเด็กจริง ๆ ด้วยแฮะ
          “ตินติน มองหาใคร” ม้าหมุนเรียก ผมรีบสั่นศีรษะ
          “เปล่า มองโน่นมองนี่พักสายตา แกล่ะ ทำไปถึงไหนแล้ว” ผมชะโงกมองกระดาษบนกระดานรองวาดของเธอ วาดคืบหน้าไปได้เยอะ ฝีมือก็ดี พี่ไพรด์ไม่ต้องคอยพะวงกับม้าหมุนเลย เขาจึงมีเวลามาเช็คงานของผมกับสโนว์มากกว่าของคนอื่น ๆ
          สายตาของพี่ไพรด์ดูไม่ค่อยพอใจฝีมือผม แต่ไม่ได้พูดออกมา หน้าของเขาดุ ๆ หยิ่ง ๆ อย่างที่ม้าหมุนว่าจริง ๆ ด้วย มองมาทีไรทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง
          จากเที่ยงจนถึงบ่าย พี่อิศร์ก็ยังไม่ปรากฏตัว พี่ธามเริ่มสอนวิชาของเขา ทำให้ผมต้องยั้งใจที่อยากจะถามถึงเพื่อนของเขาเอาไว้ก่อน บรรยากาศตอนบ่ายผ่อนคลายกว่าตอนเช้า มีเสียงพูดเสียงหัวเราะ ม้าหมุนพูดเยอะกว่าตอนเช้าอย่างเห็นได้ชัด เธอเอาตัวหนีบกระดาษหนีบผมไว้เพราะรำคาญผมด้านหน้าที่เริ่มยาวและมักจะตกลงปรกตา ใช้พู่กันระบายสีไปพลางซักถามพูดคุยกับพี่ธามไปพลาง ท่าทางคุยถูกคอกันดีกับพี่ติวคนนี้ ส่วนสโนว์ก็ยังโอดครวญใส่หูผมเป็นระยะ ๆ ว่า
         “ทำไมไม่มีอาหารตาผ่านมาให้ฉันชื่นชมบ้างวะ”
         ผมทำเป็นไม่สนใจ มองทางโน้นทีทางนี้ทีเหมือนไม่มีจุดหมายอะไรแน่นอน แต่ไม่ใช่หรอก ผมกำลังมองหาพี่อิศร์ อยากรู้ว่าเขาจะกลับมาอีกหรือเปล่า ผมอยากให้เขามานะ
         แล้วเขาก็กลับมาจริง ๆ!
         ไม่ได้มาคนเดียวด้วย แต่เดินมากับเพื่อนอีกสองคนตอนพวกผมกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับ เพื่อนคนหนึ่งตัวอ้วนใหญ่ ไว้หนวดไว้เครา ส่วนอีกคนนั้นผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
         อื้อหือ เดินมาสามคนนี่อย่างกับบอยแบนด์ไม่มีผิด
         ขนาดผมยังตะลึง แล้วจะเหลือหรือครับสำหรับสโนว์ นัยน์ตาของเธอเบิกโพลงมองคนที่เดินตรงกลาง ผู้ชายตาตี่ตัวสูง ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ใส่ชุดนักศึกษาผูกเนกไทสีเขียวเวอริเดียน ลมยามเย็นพัดเส้นผมของเขาปลิวพลิ้ว ในหัวของผมนี่ได้ยินเสียงร้องเพลง I for You ของริวอิจิ คาวามูระดังลอยขึ้นมาเป็น BGM เลยครับ
        พี่ธามทักเพื่อนทั้งสามคน ผมได้ยินเขาเรียกเพื่อนตัวโตว่า ใหญ่ ส่วนทาเคชิ คาเนะชิโระของสโนว์คนนั้นชื่อ กาย พี่ติวกับเพื่อนของเขาก็ยืนคุยกันไป ม้าหมุนเอามือโบก ๆ ตรงหน้าของสโนว์
       “ทำไงดี หลุดโลกไปแล้ว”
      “เอากระดานตีหัวเลยไหม เผื่อจะรู้สึกตัว” ผมรีบยุทันควัน
      พี่ธามคุยกับเพื่อน ๆ แล้วก็หันมาชวนพวกเราไปร้านอาหารกึ่งบาร์ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ผมกับม้าหมุนยังไม่ทันจะพูดอะไร สโนว์ก็โพล่งขึ้นทันทีว่า
       “ไปค่ะ!”
       ถึงตรงนี้แล้วก็ต้องว่าตามกันแหละครับ หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อย ผม ม้าหมุน จันทร์เจ้าและสโนว์ก็เดินตามกลุ่มพี่ติวกับเพื่อนออกมาทางประตูหน้าพระลาน
       ร้านที่ว่าเป็นห้องแถวคูหาเดียวอยู่ตรงข้ามกับวัดพระแก้ว แต่มีหลายชั้น ดูจากข้างนอกแล้วค่อนข้างทึบทึม ถ้าเป็นผมก็คงจะเดินผ่านไป เพราะบรรยากาศไม่เชื้อเชิญให้เข้าเอาเสียเลย แต่นี่มีเจ้าถิ่นมาด้วย พี่ธามเปิดประตูกระจกเข้าไปอย่างไม่ลังเล ผมก็เดินตามเข้าไปแล้วมองสำรวจไปทั่ว ๆ ร้านตกแต่งได้บรรยากาศสมกับอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่สอนวิชาศิลปะ มีความเป็นตัวของตัวเองมาก โต๊ะกับเก้าอี้เป็นไม้ มีรอยขีดเขียนด้วยสีเลอะเทอะไปหมด ผมมองด้วยความทึ่งเมื่อรู้ว่าลวดลายพวกนี้เป็นฝีมือของลูกค้าที่ร้านนี้เอง ใครอยากจะเขียนหรือวาดรูปอะไรก็ได้ทั้งนั้น
        โชคดีที่ผมได้นั่งข้างพี่อิศร์ก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายถามมากกว่า เขาก็ตอบทุกคำถาม พี่อิศร์ชอบดูช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ชอบทั้งดีซีและมาร์เวล ไม่ค่อยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น พอเห็นรูปซูเปอร์แมนบนกล่องดินสอของผม เขาก็ชอบใจใหญ่ แถมยังชมว่าวาดได้ดีอีกต่างหาก
       “พี่อิศร์ชอบการ์ตูน อนาคตอยากทำงานเกี่ยวกับการ์ตูนรึเปล่าครับ” ผมถาม
       “ยังไม่ได้คิด” เขาตอบ ก่อนจะนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ผมคิดว่าเขาจะไม่พูดอะไรแล้ว แต่เขาก็พูดต่อว่า “ที่จริงการ์ตูนก็น่าสนใจ แต่ชอบออกแบบกราฟฟิกมากกว่า วาดการ์ตูนไม่เก่ง”
       “ผมไม่เชื่อ”
        ผมคะยั้นคะยอให้เขาวาดให้ดูสักรูป หลังจากทำหน้ามุ่ยอยู่พัก ในที่สุดเขาก็ยอมอย่างเสียไม่ได้ จับดินสอที่ผมส่งให้ลากเส้นส่งเดชบนสมุดสเก็ตช์เล่มเล็กของผมที่วางให้บนโต๊ะ แล้วเลื่อนคืนมาตรงหน้า ผมกลั้นยิ้มแทบแย่เมื่อเห็นรูปเด็กผู้ชายผอมกะหร่อง ผมชี้ ๆ หน้ามึน ๆ ตาปรือเหมือนเพิ่งตื่นนอน พี่อิศร์วาดตัวเองเป็นการ์ตูน เหมือนมากเลย
        แล้วมันก็ดู... น่ารักดีนะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
สนุก อ่านเพลินเลยค่ะ
คิดไม่ออกเลยว่ารักแรกของตินตินจะเป็นใคร

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 5
   รูปถ่ายจากด้านหลัง
   เด็กผู้หญิงผมสั้น ใส่เสื้อพละสีน้ำเงินกรมท่ากับกระโปรงนักเรียนสีดำ รองเท้าพละสีขาว สะพายเป้ใบใหญ่ เดินอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่มตัวผอมสูง ใส่เสื้อยืด กางเกงผ้าสีเบจ สวมรองเท้าคอนเวิร์ส เว้นระยะห่างระหว่างกันพอสมควร ทั้งสองคนแบ่งหูฟังวอล์กแมนฟังด้วยกัน

           จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมก็ยังคิดเหมือนเดิมว่า ช่วงมัธยมปลายเป็นเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิตของผม ไม่ต้องคิดถึงปัญหาหนัก ๆ เรื่องปากท้องหรือการทำงานเลี้ยงชีวิต ไม่ต้องเครียดเรื่องความเป็นความตาย ตอนนั้นเราต่างอ่อนเยาว์ แข็งแรง สดใส และมีพลัง โลกของเราช่างน่ารื่นรมย์เหลือเกิน แล้วก็สวยงาม เหมือนเรากำลังลอยละล่องอยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีพาสเทลที่มีรสหวานหอมไม่ผิดอะไรกับขนมสายไหม
           ผมฉีกรูปที่พี่อิศร์วาดมาเก็บไว้ในกล่องที่ผมเอาไว้เก็บรูปถ่าย จดหมาย โปสการ์ด และแผ่นกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีข้อความที่ผมไม่อยากทิ้ง
           ถ้าอยู่คนเดียว ผมคงเอามันใส่กรอบหรือติดไว้ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อจะได้มองมันเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ น่าเสียดายที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมไม่อยากเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้รูมเมตของผมรู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เพราะหมอกนิสัยไม่ดีหรืออะไร เพียงแต่เขาไม่ใช่ม้าหมุนและสโนว์ ไม่ใช่คนที่ผมสนิทใจพอจะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้รู้ได้
          โดยเฉพาะเรื่องที่ผมกำลังรู้สึกชอบใครสักคน
          ผมขอเก็บเรื่องที่ผมชอบพี่อิศร์เอาไว้ในใจไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ดีกว่า ค่อย ๆ ทำความรู้จักกันไปด้วยความหวังว่าเราจะสนิทกันได้มากกว่านี้และเขาจะไม่เห็นผมเป็นแค่ ‘น้องติวของเพื่อน’ อีกต่อไป
          ในขณะที่เรื่องของผมเป็นไปอย่างช้า ๆ เรื่องของบางคนกลับก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเกินคาด
          ม้าหมุนชวนผมกับสโนว์แวะร้านเพลงบ่อยมาก ๆ หลังเลิกเรียน ที่ที่เธอชอบไปก็คือ Tower Records เพราะสามารถไปยืนฟังเพลงได้นาน ๆ โดยไม่มีใครว่า เธอจะเดินไล้มือไปตามชั้นวางซีดีที่แยกออกเป็นหมวดหมู่ หาเพลงที่สนใจ แล้วก็ทดลองฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สมัยนั้นซีดีเพลงราคาแพง นักเรียนอย่างพวกผมไม่ค่อยมีเงินซื้อ เราฟังเพลงจากวิทยุหรืออาศัยฟังฟรีจากร้านขายเพลง อัลบั้มไหนของศิลปินคนใดที่ชอบมากที่สุดเท่านั้นถึงจะซื้อเทปคาสเส็ตที่ราคาถูกกว่าซีดีมาเก็บไว้ ฟังบ่อยเข้าก็ยืด เพลงยาน ต้องเอาเข้าตู้เย็นเพื่อถนอมอายุมันไว้ให้ฟังได้นาน ๆ หรือไม่ก็ใช้ดินสอหมุนกรอเทปกลับไปกลับมาแทนเครื่องเล่นเทปเพื่อกันไม่ให้เทปยืด
         ผมไม่ใช่คนรักเสียงเพลงมากเท่ากับม้าหมุน เธอฟังหลายแนว ทั้งเพื่อชีวิต ป๊อป ร็อค หรืออัลเตอร์เนทีฟ มีศิลปินที่ชอบหลายคนหลายกลุ่ม เอ่ยชื่อขึ้นมาส่วนใหญ่ผมจะไม่รู้จัก ตอนนั้นผมสงสารเธออยู่เหมือนกันที่หาเพื่อนคุยถูกคอเรื่องเพลงไม่ค่อยได้ ในขณะที่สโนว์กับผมพูดคุยกันเรื่องนิยายและการ์ตูนอยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่เคยบ่นน้อยใจ โลกนี้เป็นของเธอ ใครไม่สนใจ เธอสนใจเท่านั้นก็พอ
         เดี๋ยวนี้ผมสังเกตว่าเธอมีโพยติดมือมาด้วยและกระตือรือร้นในการเลือกฟังเพลงมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่ากับที่เธอแสดงความสนใจเรื่องวรรณกรรมเยาวชน
        “หือม์? อยากอ่านชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแลตของโรอัลด์ ดาห์ล” ผมถามย้ำ “นึกยังไงจู่ ๆ อยากอ่านขึ้นมา”
          ปกติเธอไม่ค่อยอ่านหนังสือเล่ม จะชอบอ่านนิตยสารมากกว่า ล่าสุดก็ซื้อ A Day หน้าปกมานะกับมานี ตัวละครจากแบบเรียนชั้นประถมที่เลิกใช้ไปแล้ว ผมชอบอ่านเรื่องนี้เหมือนกัน โตมาพร้อมกับมานะ มานี ปิติ ชูใจ วีระ เจ้าแก่ เจ้าโต สีเทา เจ้านิล ยังจำชื่อผู้แต่งได้แม่นเลย ท่านชื่ออาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ เมื่อผองเพื่อนในอดีตกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง แม้จะเพียงแค่ไม่กี่หน้าในนิตยสาร ผมก็รู้สึกตื่นเต้น และม้าหมุนนี่แหละเป็นคนบอกผมเรื่องนี้พร้อมกับลากไปซื้อตั้งแต่วันแรกที่หนังสือวางขาย
          “ได้ยินมาว่ามันดีเลยอยากลองอ่านดู แกมีให้ฉันยืมใช่ไหม”
         “มีสิ จะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นของโรอัลด์ ดาห์ลก็มีถ้าแกอยากจะยืม” ผมหรี่ตามองเธอ “แต่บอกมาก่อนว่าแกคุยกับใครถึงอยากได้เรื่องนี้มาอ่าน”
         “เพื่อน ๆ กัน”
         “เพื่อนที่ชอบโมเดิร์นด๊อก ศุ บุญเลี้ยง ซูซู คาราบาว แล้วก็บอกแกให้รีบซื้ออะเดย์ปกมานะมานีใช่ไหม”
         “ใช่” เธอตอบแค่นั้นแล้วก็ยิ้มหวาน เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว ผมว่าผมเดาถูกนะว่า ‘เพื่อน’ คนนั้นคือใคร สโนว์ก็เห็นด้วยกับผม ก็เหลือแต่รายละเอียดเท่านั้นแหละที่เจ้าตัวอุบไว้ ไม่ยอมเล่า จะไปคาดคั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องอีก เอาเถอะ ถ้าเธอเล่าเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้นแหละ

                                                                              **********

          ตอนนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว มีกิจกรรมที่ต้องคิดต้องทำเยอะแยะไปหมด ที่กำลังจะมาถึงก็คืองานลอยกระทง แต่ละตึกต้องส่งประกวดกระทง นางนพมาศ และการแสดง โจทย์เป็นอย่างนี้ทุกปี แต่การทำให้โดดเด่นและแตกต่างมันยาก เราจึงต้องระดมสมองช่วยกันคิด ประธานตึกเรียกประชุมกรรมการตึกทุกคนในตอนเย็นที่ลานม้าหินอ่อนข้างตึก ในเวลาโพล้เพล้แบบนี้ผมไม่ค่อยอยากไปที่นั่นนักหรอก ลานข้างตึกตรงนั้นมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ใบดกหนาเป็นพุ่มเหมือนร่มคันใหญ่สีคล้ำเข้ม ไม่รู้ปลูกมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรงเรียนเลยหรือเปล่า แต่ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ต้นโพธิ์ต้นนี้มีประวัติที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมจากศาลเพียงตาแตกหักที่ถูกเอามาทิ้งใต้ต้นเต็มไปหมดพอ ๆ กับตุ๊กตาเสียกบาลและตุ๊กตาดินปั้นรูปม้ารูปช้างที่หัวขาดบ้างแขนขาขาดบ้าง ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งหรือแตะต้องของที่ดูยังไงก็อัปมงคลแน่ ๆ พวกนี้ มีข่าวลือในหมู่นักการว่า หลังปิดตึกตอนดึก ๆ ถ้ามองขึ้นไปบนต้นโพธิ์ก็จะเห็นขาสีขาวซีดห้อยต่องแต่งเหมือนมีคนกำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้...
         “ตินติน”
         ผมสะดุ้งเฮือก ร้องอุทานออกมาไม่เป็นภาษา หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก นึกว่าเจอดีเข้าแล้ว แต่ไม่ใช่ คนที่กำลังมองหน้าผมอย่างงง ๆ คือหมอก เขาหิ้วกระเป๋าเตรียมตัวจะกลับหอพัก
           “เป็นอะไรไปวะ ตกใจอะไร”
          “ก็นายน่ะ จู่ ๆ ก็ทักเรา ตกใจหมดเลย”
         “ใจลอยไปไหนวะ”
         “เรื่องผีเจ้าแม่ต้นโพธิ์ไง พยับมันดันนัดประชุมกรรมการตึกตรงลานม้าหินอ่อนข้างตึก หลอนจะตาย ไม่รู้นึกยังไงของมัน”
          “ประชุมกรรมการตึกเหรอวะ” หมอกไม่สนใจเรื่องผีเจ้าแม่ ไม่ล้อความปอดแหกของผม แต่เขาสนใจเรื่องกิจกรรมมากกว่า
           “งานลอยกระทงใช่ไหม”
           “ฮื่อ แล้วก็อาจจะคุยเรื่องงานกีฬาประเพณีต่อด้วยเลยก็ได้มั้ง ช่วงนี้งานติด ๆ กันเลย”
           “เหรอ” เขาทำท่ารีรอ ก่อนจะถามว่า “จะให้รอไหม วันนี้ไม่มีซ้อม จะได้กลับบ้านพร้อมกัน”
           ผมไม่แปลกใจกับคำชวน บางครั้งเราก็มาโรงเรียนหรือกลับหอพักพร้อมกัน ถ้าเวลาตรงกัน แต่วันนี้ผมมีธุระหลังเลิกเรียนเสียแล้ว
           “แต่เราไม่รู้ว่าจะประชุมเสร็จกี่โมงนะ กลัวนายจะเบื่อ” ผมครุ่นคิด “เอางี้ นายก็ไปนั่งประชุมกับเราแล้วกัน จะได้ช่วย ๆ กันคิด”
           “เราไม่ใช่กรรมการตึก ไปนั่งด้วยได้เหรอวะ”
           “ได้สิ คนเยอะ ๆ ก็ดี จะได้ช่วยกันคิด นี่โนว์กับหมุนก็ไปนะ เราลืมหนังสือไว้ที่ห้องก็เลยให้สองคนนั้นล่วงหน้าไปก่อน”
           หมอกตกลงไปกับผม เมื่อเราไปถึงที่นัดหมาย การประชุมยังไม่เริ่มเพราะคนยังมาไม่ครบ ผมกับหมอกนั่งลงที่โต๊ะเดียวกับสโนว์และม้าหมุน ไม่มีใครทักหรือว่าอะไรที่ผมมากับหมอก ไม่มีใครแปลกใจด้วย เพราะกรรมการตึกแต่ละคนก็มีเพื่อนมีกลุ่มของตัวเอง หลายคนก็มานั่งรอเพื่อนจนกลายเป็นการประชุมกลุ่มใหญ่ไปเลย
           เราเริ่มประชุมกันง่าย ๆ ด้วยการที่ประธานตึกประกาศว่าจะไม่มีการประกวดนางนพมาศตัวแทนตึก
           “อาจารย์เลือกเอง เขาประชุมกันแล้วว่าจะเลือกน้องส้ม ศิลป์ฝรั่งเศส ดาวสาย”
           “น้องส้มสวยดี แต่เตี้ยไปนะเราว่า เวลายืนบนเวทีกลัวจะกลายเป็นหลุม อีจูนยังดีกว่า” ริชชี่แย้ง เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ ชื่อจริงชื่อเรืองฤทธิ์ เป็นผู้ชายที่หัวใจเป็นหญิง รักแฟชั่น รักความอลังการเลอเลิศทั้งหลาย และเกลียดชุดนักเรียนชายมากพอ ๆ กับเกลียดชื่อจริงของตัวเอง พยับจึงเปลี่ยนให้ใหม่เพราะพริ้งสมใจว่าริชชี่ เขาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับจูน คำที่ใช้เรียกกันจึงถึงใจสุด ๆ
           “ส่งจูนไปไม่มีทางชนะ มันโก๊ะ ไม่มีไหวพริบมากพอ สวยอย่างเดียว” หมอกพูด
          คำพูดของเขาทำให้ทุกคนชะงักไปนิด ผมมองหน้าริชชี่ ก็เห็นเขาขมวดคิ้ว หมอกน่าจะพูดตรงเกินไป
          “เอาจูนถือป้ายตึกก็แล้วกัน ยังไงนางนพก็เปลี่ยนตัวไม่ได้ อาจารย์เขาเลือกไปแล้ว” ป้ากุลตัดบท เธอเป็นรองประธานตึก รูปร่างใหญ่ ท่าทางขึงขัง หนักแน่น มีความเป็นผู้ใหญ่และรัศมีความเป็นผู้นำเฉิดฉายยิ่งกว่าประธานตึกตัวจริงเสียอีก ใครต่อใครเลยเรียกเธอว่าป้าด้วยความยำเกรง แล้วเธอก็หันไปบอกเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ซึ่งเป็นเลขานุการของตึก คอยทำหน้าที่บันทึกรายงานการประชุมว่า
                “วิว จด”
                เลขานุการตึกเป็นคนตัวเล็ก ผิวคล้ำ เพื่อนสนิทป้ากุล เลยถูกดึงมาช่วยงานด้วย
          “กระทงที่ต้องส่งประกวดล่ะ” พยับถามต่อ
          “ฉันหาแบบมาแล้ว” ม้าหมุนหยิบหนังสือออกมาให้เพื่อน ๆ ดู เธอกับสโนว์ไปขอยืมมาจากอาจารย์สอนวิชาคหกรรมเมื่อรู้ว่าจะมีการประกวดกระทง คนอื่น ๆ ผลัดกันเอาหนังสือไปดูแล้วก็ปรึกษากัน
          “งั้นม้าหมุนเป็นแม่งานทำกระทง” ป้ากุลกำหนด “ทีมล่ะ ใช้ใครบ้าง”
          “โนว์ วิว แพร อีฟ หมี นภา” ม้าหมุนนับนิ้ว “แล้วก็ตินตินอีกคน”
          “นายทำได้เหรอวะ” หมอกหันมาถามทันทีเหมือนไม่เชื่อถือ ผมรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็คิดว่าเขาคงแค่อยากรู้ก็เลยตอบไปตามตรงว่า
          “งานหลักของเราคงเป็นตัดใบตองกับเก็บขยะไปทิ้งว่ะ”
          “แค่นั้นเองเหรอวะประธานฝ่ายศิลป์” หมอกพูดยิ้ม ๆ
          “ตินตินใช้สีเก่ง ช่วยร้อยดอกไม้ได้ มือเบา ใช้เข็มกลัดจิ้มใบตองไม่แตก” ม้าหมุนโต้ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ดูเหมือนกำลังพยายามปกป้องผม แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางคุกคาม คนอื่น ๆ จึงไม่รู้สึกอะไร ยกเว้นหมอกที่เหลือบมองเพื่อนสนิทของผมแวบหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก
           “โอเค ตกลงได้ทีมทำกระทงตามนี้ วิว จด” พยับสรุป “ต่อไปกิจกรรมขำขันบันเทิงปีนี้ โรงเรียนจะจัดประกวดตำส้มตำ นักเรียนจับคู่กับอาจารย์”
            “อย่าบอกนะว่าความคิดอาจารย์ดวงเดือน” ป้ากุลทำท่าสยอง
            “รสดีและโดดเด่น” พยับพูดพลางผายมือเลียนแบบท่าทางของอาจารย์วัยกลางคนจนเพื่อน ๆ ขำกันไปตาม ๆ กัน
            “ตัวแทนตึกเราก็ต้องแต่งชุดไทยน่ะสิ ฉันว่าเสื้อแขนหมูแฮมพอง ๆ สมัยรัชกาลที่ห้าก็ดีนะ เก๋ ๆ” ริชชี่เสนอ นึกถึงตัวเองใส่เสื้อลูกไม้สีหวานลายละเอียดงดงาม สะพายแพรสีสด ๆ ใส่สร้อยมุกเส้นยาว ๆ นุ่งโจงกระเบนทอด้วยไหมเงินไหมทองวิบวับ เป็นสาวยุคเดียวกับแม่พลอยที่สวยมาก
             “ชุดอย่างนั้นมันธรรมดาไป พอ ๆ กับชุดไทยสไบเฉียงสีสด ๆ เหมือนลิเก ไม่เอาดีกว่า” หมอกขัด
             จินตนาการของริชชี่ขาดผึงพอ ๆ กับเส้นประสาทเส้นสุดท้าย เขาเบ้ปาก
              “แล้วจะเอายังไงมิทราบยะ อีหมอก”
              “เอาแบบที่มันตลก ๆ ดีกว่า ใส่ชุดเซิ้งอีสานอะไรแบบนี้ แต่งหน้าเข้ม ๆ สะพายกระติบข้าวเหนียว ควงสาก แล้วก็เซิ้งหลุดโลกไปเลย”
             “ไม่ติดปีกเป็นกระหังไปเลยล่ะ” ริชชี่ค้อนปะหลับปะเหลือก “แล้วจะไปหาชุดอย่างว่ามาจากไหนยะ”
             “ตามร้านเช่าแหละ หาไม่ยากหรอก อาร์มไง เป็นสวัสดิการ หาได้อยู่แล้ว” หมอกหันไปมองเพื่อนผู้หญิงตัดผมสั้น ไว้หน้าม้า ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายสวัสดิการเพราะมีความสามารถระดับจีฉ่อย ร้านขายของชำในตำนาน ใครต้องการอะไรอาร์มหาให้ได้หมด
             “เราต้องไปดูก่อนว่ามีอีสานแบบไหนบ้าง” อาร์มรีบจดรายละเอียดลงสมุดโน้ต “ว่าแต่ใครจะแต่ง อีริชชี่ แกเหรอ”
             “ว้าย ไม่เอา ถ้าไม่ได้แต่งเป็นแม่พลอย ฉันไม่แต่งเด็ดขาด” คนถูกพาดพิงร้องปฏิเสธวุ้ยว้ายเสียงลั่นทันควัน หน้าตาแขยงเหมือนเห็นหนอนตัวใหญ่ ๆ ดิ้นตุบตับอยู่ตรงหน้า
            “ต้องเอาคนที่ตลกได้” ทุกคนพยายามคิด ผมหันไปมองม้าหมุน เธอส่ายหน้าทันที
              “ฉันทำกระทงแล้ว”
              “สโนว์ดีไหม” หมอกเสนออีก “เล่นตลกได้ หน้าเข้ากับชุด ถ้าให้คนสวยอย่างจูนหรืออย่างแพมไปเซิ้งตลก ๆ มันก็คงทำไม่ได้หรอก พวกแกว่ายังไงล่ะ”
             คนส่วนใหญ่เห็นด้วย ถึงสโนว์จะติดเรื่องทำกระทง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะป้ากุลเสนอจะไปหาคนมาทำแทนให้ สโนว์ก็เลยยอม แต่ผมเห็นหน้าของเธอไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ม้าหมุนก็คงรู้เพราะเธอเอื้อมมือไปบีบไหล่ให้กำลังใจเพื่อน
             เรื่องที่ประชุมเปลี่ยนไปเป็นงานกีฬาประเพณี โรงเรียนของเรามีประเพณีแข่งกีฬากับโรงเรียนที่เตรียมความพร้อมในการผลิตว่าที่นายทหารในอนาคต นัยว่าอยากให้นายทหารในอนาคตได้ทำกิจกรรมและสร้างความรู้จักคุ้นเคยกับพลเรือน แต่ทุกวันนี้วัตถุประสงค์นี้ดูจะเลือน ๆ ไป ถ้าพูดถึงกีฬาประเพณีก็จะนึกถึงการสานสัมพันธ์เพื่อตำแหน่งคุณนายนายทหารในอนาคตเป็นอันดับแรก สาว ๆ ตื่นเต้นกันสุดขีดเมื่อคุยปรึกษากันเรื่องนี้จนผมอดยิ้มไม่ได้ ต่างคนต่างเสนอไอเดีย เน้นความสวยงามเป็นหลัก เอาชนิดที่ว่าที่นายทหารเห็นแล้วต้องตะลึงตึ่งตึ๊งกันไปเลย สาวสวยของตึกถูกลิสต์รายชื่อออกมายาวเหยียด แต่ละคนจะสวมชุดรีไซเคิลตามคอนเซ็ปต์รักโลกรักสิ่งแวดล้อมที่เป็นประเด็นความสนใจอยู่ในตอนนั้น ดีไซน์ชุดทั้งหมดริชชี่จะเป็นคนดูแล ส่วนทีมผมกับอาร์มฝ่ายสวัสดิการจะช่วยกันหาวัสดุอุปกรณ์และประดิษฐ์โน่นนี่ตามแต่แม่งานจะสั่ง เป็นคนเบื้องหลังอย่างเต็มตัว งานนี้พวกผมขอส่งสาว ๆ ไปสู่ดวงดาวเลยครับ
            แต่ผลจะออกมาได้เหมือนใจหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
            หลังประชุมเสร็จ ผมกลับหอพักกับหมอก ม้าหมุนเดินล่วงหน้าไปกับสโนว์ สองคนนั้นคุยกันหน้าตาออกจะเคร่งเครียด ผมพอเดาออกว่าเป็นเรื่องอะไร เมื่อกลับมาถึงหอพัก ผมก็เลยลองเลียบเคียงถามรูมเมตของผมดู
           “นายว่าดีแล้วเหรอที่ให้โนว์ไปโชว์ตำส้มตำ”
           หมอกหันมามองผม ทำหน้าไม่เข้าใจ
          “ทำไมล่ะ โนว์ก็เหมาะแล้วนี่ หน้าก็ได้ โชว์ตลกก็ได้ ก็เห็นทำอยู่บ่อย ๆ”
          “มันไม่เหมือนกัน โนว์มันแค่ทำเล่น ๆ ในกลุ่มเพื่อน ๆ แต่นี่ต้องโชว์คนทั้งโรงเรียน โนว์มันอาจรู้สึกไม่ดีที่ต้องแต่งตัวตลก ๆ เห็นยังงั้นมันเป็นคนรักสวยรักงามมากนะ”
         “แต่มันก็ไม่ได้แย้งนี่ ถ้าไม่อยากทำก็พูดสิวะ”
         “ก็มันเกรงใจไง ทุกคนตกลงกันดิบดีขนาดนั้น”
         “งั้นก็ช่วยไม่ได้ ไม่ยอมพูดเองนี่หว่า เราก็แค่เสนอ เห็นว่าเป็นงานของตึก ใครจะไปคิดว่าเพื่อนนายจะเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย”
         ผมได้ยินก็อึ้ง รู้สึกไม่พอใจ แต่เถียงไม่ออก เพราะที่เขาพูดก็จริง ถ้าสโนว์ไม่ชอบก็ควรปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้เขาว่าเพื่อนของผม ผมรู้สึกผิดแทนหมอกที่พูดให้กระทบจิตใจของสโนว์ ผมจึงออกไปโทรศัพท์หาเธอด้วยความเป็นห่วง ผมเลือกใช้โทรศัพท์สาธารณะแทนโทรศัพท์ในห้องเพราะไม่อยากให้หมอกรู้เรื่อง
         ตอนที่ผมถามเรื่องโชว์ เสียงของสโนว์ฟังดูสดใส ไร้ความขุ่นเคืองใจ แต่ผมก็ยังถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
          “แกจะไม่ทำก็ได้นะเว้ย เดี๋ยวฉันพูดกับพยับเอง”
          “บ้า ไม่ต้อง” สโนว์ส่งเสียงลั่นมาตามสาย “ฉันคิดดูแล้วมันก็น่าจะสนุกดีนะเว้ย วาสนาเราไม่ได้แต่งตัวสวย ๆ เดินในขบวนก็เอาแบบตลก ๆ แทนนี่แหละ อาร์มบอกนะว่าจะให้ฉันเลือกชุดด้วย ฉันจะแต่งหน้าเอง เกล้าผม ปักปิ่นที่เป็นพวงดอกไม้สีเงิน แกว่าดีไหม น่าจะเหมาะกับฉันเนอะ”
         “เหมาะสิ แกรวบผมเปิดหน้าแล้วสวยมากนะเว้ย” ผมเออออตาม สโนว์พูดจ้อเป็นต่อยหอยเหมือนทุกครั้ง แต่ผมกลับรู้สึกสะเทือนใจยังไงก็ไม่รู้
           “ฉันจะเตรียมฝึกเซิ้งแล้วนะ นี่ไปเกริ่นขอยืมครกกับสากจากแม่ค้าส้มตำข้างหอพักมาแล้ว แกคอยดูนะ แม่จะควงสากโชว์ให้เลื่องลือทั้งโรงเรียนเลย”
           “โยนขึ้นฟ้าแล้วรับไม่ได้นี่อายเขานะ” ผมแกล้งแหย่ ปลายสายก็โวยวายทันทีตามคาด
           “ดูถูก ฉันเป็นใคร ดรัมเมเยอร์เก่านะเว้ย กะอีแค่ควงสาก เรื่องจิ๊บจ๊อย วันนั้นแกเอากล้องมาด้วยนะ ถ่ายทุกช็อต เข้าใจไหม”
            ผมรับปาก เราคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็วางหู แต่ผมยังรู้สึกไม่สบายใจก็เลยหมุนโทรศัพท์ไปหาม้าหมุนอีกคน
           “แกว่าโนว์มันจะโอเคไหมวะ” ผมรีบถามอย่างไม่อ้อมค้อม
           “เท่าที่คุยก็ดูไม่มีปัญหานะ มันบอกว่าจะแสดงให้เต็มที่” ได้ยินม้าหมุนพูดอย่างนี้ผมก็คลายความไม่สบายใจลงได้มาก แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ติดใจผมอยู่
          “แกว่าฉันทำผิดไหมที่ชวนหมอกมาประชุมด้วย”
          “มันเป็นรูมเมตแก ฉันไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวจะทำให้เกิดอคติ แกคิดเองดีกว่า ถ้าได้คำตอบแล้วจะมาคุยกันก็ได้”
            ลองม้าหมุนพูดแบบนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะถามต่อแล้วครับ ผมคงต้องดูต่อไปอีกหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจอย่างที่เธอแนะนำ ถึงตอนนั้นคงมีเรื่องให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอีกเยอะ ส่วนตอนนี้ผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
            “เสาร์นี้หลังเลิกเรียนเสริม ไปนั่งร้านนมกันไหมล่ะ” ม้าหมุนชวน น่าจะเพราะเสียงถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตกของผมนั่นแหละ
           “ก็ดีเหมือนกัน ไม่อยากรีบกลับหอพัก อีกอย่างนึงก็จะได้คุยเรื่องงานกีฬาประเพณีด้วย อยากลองออกแบบชุดเผื่อไว้บ้างว่ะ ริชชี่มันชอบออกแบบโอเวอร์ ถ้าทำออกมาไม่ได้จะได้มีแพลนบีไว้แก้ขัด”
           ผมไม่เห็นม้าหมุนยิ้มตอนฟังผมบ่นยืดยาว แต่เธอพูดตอนก่อนจะวางหูโทรศัพท์ว่า
           “เอาสิ เดี๋ยววันนั้นพาผู้ช่วยมาให้อีกสักคนสองคน”

                                                                      **********

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
             ‘ผู้ช่วย’ ของม้าหมุนทำเอาผมอ้าปากค้าง
        หลังจากเรียนเสริมวันเสาร์เสร็จ ผม ม้าหมุนและสโนว์ก็มากันที่สยามอย่างที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว สยามเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นในสมัยนั้น มีห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ร้านขายของสารพัดชนิดที่ดึงดูดใจวัยรุ่น ร้านอาหารและร้านขนม อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนสอนพิเศษชื่อดังมากมาย เด็กวัยมัธยมทั้งตอนต้นและตอนปลายรวมทั้งเด็กมหาวิทยาลัยก็เลยมารวมตัวกันที่สยาม วันเสาร์อาทิตย์นี่แทบจะเหยียบกันตาย พวกผมสามคนเดินปะปนกับเด็กวัยรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่แต่งตัวตามแฟชั่นกันแบบเต็มที่อยู่ในบริเวณสยามสแควร์อันกว้างใหญ่
         ร้านนมที่พวกผมนัดกันว่าจะไปเป็นร้านค่อนข้างใหญ่ กรุกระจกทำให้ร้านสว่างไสว ตกแต่งด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้สีอ่อน บรรยากาศน่านั่ง ชื่อร้านอิ่มอุ่น เป็นร้านโปรดของพวกเราที่สามารถนั่งกินขนมกินนมคุยกันได้นาน ๆ ผมชอบชื่อร้านที่เขียนด้วยลายมือแบบมีศิลป์ ชอบเครื่องดื่มที่เสิร์ฟมาในแก้วมักรูปถังนม แล้วก็เมนูอาหารที่เขียนด้วยชอล์กสีบนกระดานดำ
        เราเลือกโต๊ะใหญ่ใกล้หน้าต่าง ขณะที่รออาหารกับเครื่องดื่มที่สั่ง ผมก็เห็นเด็กหนุ่มสองคนผลักประตูกระจกเข้ามาในร้าน
       พี่อิศร์!
       ปากอ้าตาค้างไปเลย จู่ ๆ มาได้ยังไง
       เขาเดินหน้ามึน ๆ มากับพี่ธาม ผมเพิ่งเห็น ทั้งสองคนแต่งตัวตามปกติที่เคยแต่งตอนวันติว กางเกงผ้า เสื้อยืด รองเท้าคอนเวิร์ส พี่อิศร์หัวยุ่ง ๆ แต่เท่มากเลย มิน่าสาวน้อยโต๊ะอื่น ๆ ในร้านสะกิดแขนกันให้วุ่น
        “สวัสดีค่ะ” ผมได้ยินเสียงม้าหมุนทักทายถึงได้รู้สึกตัว รีบยกมือไหว้ สโนว์ทำตาม ผมก็เลยอดกระซิบกับเธอไม่ได้ว่า
        “พี่อิศร์มาได้ไงวะ”
        “ทำไมพี่กายไม่มาด้วยวะ” สโนว์ตอบไปคนละเรื่องเลย สีหน้าผิดหวังเล็ก ๆ
        “หวัดดี” พี่ธามทำหน้าเขินหน่อย ๆ “เอ้อ... ร้านสวยดีนะ”
         “ไปแต่แถวหน้าพระลาน ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นสยามมั่ง พวกหมุนจะได้เป็นเจ้าถิ่นบ้าง” ม้าหมุนพูดคล่อง ท่าทางเธอสนิทกับพี่ธามมากกว่าที่ผมคิด เพราะพี่ธามเลือกนั่งข้างม้าหมุน อย่างนี้มันต้องจับตัวมาซักฟอกกันหน่อย ไม่รอให้เจ้าเพื่อนตัวดีเล่าเองแล้ว
          พี่อิศร์นั่งลงข้างผมซึ่งเป็นที่ว่างที่เดียวที่เหลืออยู่ นั่งปุ๊บก็บ่นปั๊บ
           “หิวว่ะ”
           ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นครับ เพื่อนพี่ติวของผม น่ากลัวจะถูกลากมาเป็นเพื่อนเฉย ๆ และอาจได้รับการหลอกล่อด้วยของกินอีกประการหนึ่ง เพราะเมื่อได้อาหารที่สั่งคือโอวัลตินเย็นกับขนมปังปิ้งราดนมข้นหวานกับผงช็อกโกแลต เขาก็จิ้มกินเอา ๆ เคี้ยวตุ้ย ๆ ไม่นึกถึงภาพลักษณ์ ‘เด็กเด็ค’ ที่คนอื่นมักคิดว่าเท่เลยครับ
           พี่ธามสั่งนมร้อนถ้วยเดียว เขาหยิบเทปม้วนหนึ่งส่งให้เพื่อนของผม เป็นเทปเปล่าแล้วคงจะอัดเพลงเอง เพราะเห็นแวบ ๆ ว่ามีชื่อเพลงเขียนด้วยปากกาเมจิกที่ปกเทป ม้าหมุนตื่นเต้นมากเมื่อรับไปดู
             “เพลงอิ่มอุ่น อยากฟังอยู่พอดี ขอบคุณนะพี่ธาม”
            “ไม่เป็นไร เราชอบ ศุ บุญเลี้ยง อยู่แล้ว”
            “หมุนซื้ออะเดย์ปกมานะมานีมาแล้วด้วย อ่านจบแล้ว เสียดายเรื่องของพี่วีระนะ ทำไมเขียนให้กลายเป็นคนไม่ได้เรื่องขี้เมาไปเลยก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็กนี่พี่วีระเป็นผู้ใหญ่กว่าใครในเรื่อง หมุนมีพี่วีระเป็นฮีโร่เลยนะ”
            “เราชอบเพชร เข้มแข็งดี นึกถึงตอนที่แม่เพชรไปหาหน่อไม้แล้วโดนงูกัด ตอนนั้นเศร้ามากเลย แต่เพชรก็ผ่านมาได้”
            ทั้งสองคนตั้งต้นคุยกันสองคน ไม่สนใจผมกับสโนว์ที่นั่งฟังตาแป๋วด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลย ส่วนพี่อิศร์นั่นก็ยกไว้คนเถอะครับ กำลังเอร็ดอร่อยกับโอวัลตินเย็นในแก้วถังนมจนไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยเหมือนกัน
           “พี่ธามอินเรื่องครอบครัวเนอะ เรื่องชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแลตก็เกี่ยวกับครอบครัวเหมือนกัน หมุนอ่านแล้วอยากกินช็อกโกแลตว็องก้าสุด ๆ”
           “เฮ้ย อ่านแล้วเหรอ” พี่ธามแปลกใจแกมตื่นเต้น “สนุกใช่ไหมล่ะ เคยซื้อไปให้เป็นของขวัญพี่รหัสแต่เขาไม่เก็ต เซ็งเลย"
           “หมุนชอบ นี่กำลังอ่านเรื่องชาร์ลีกับลิฟต์มหัศจรรย์อยู่”
          “อ๋อ เรื่องต่อจากโรงงานช็อกโกแลต เรายังไม่ได้อ่านเลย นายอ่านจบแล้วอย่าลืมเล่าให้เราฟังด้วยนะ”
          ผมกับสโนว์กลอกตาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เอาเลย ตามสบายเลยเพื่อน ไม่ต้องไปคิดว่าตัวเองเคยบอกอะไรไว้ เรื่องผู้ช่งผู้ช่วยอะไรนั่นผมจะคิดว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน
              แต่ผมก็น่าจะยังมีโชคอยู่บ้างแหละ ตอนที่ผมเอากระดาษร่างภาพชุดสำหรับขบวนพาเหรดวันงานกีฬาประเพณีขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วช่วยกันดูกับสโนว์ พี่อิศร์ก็กลืนขนมปังชิ้นสุดท้ายลงคอพอดี เขาก็เลยไม่มีอะไรให้สนใจอีกจนสามารถหันมาเห็นผมได้
              “นั่นอะไรน่ะ” เขาถาม
              “ชุดสำหรับขบวนพาเหรดครับ ผมออกแบบเอง เป็นชุดสำรองน่ะ จะทำจากขยะรีไซเคิล พวกถุงขยะ ขวดพลาสติก” ผมตอบพร้อมกับเลื่อนกระดาษสองสามแผ่นไปตรงหน้าเขา
             “พี่อิศร์ดูให้หน่อยได้ไหมคะว่ามันสวยรึเปล่า พอจะใช้ได้ไหม” สโนว์ขอร้อง ผมอดใจเต้นตึกตักไม่ได้เมื่อเขายอมหยิบกระดาษไปดู
             “ก็ดี ลงสีก็ไม่แย่แล้วนี่หว่า”
            นี่คือคำชมแล้วครับ ผมเป่าปากพรูด้วยความโล่งอก แล้วก็รู้สึกดีใจที่เขาชม จะว่าไปเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ค่อยกัดผมเท่าไหร่ แต่ไอ้เรื่องพูดตรงจนเข้าข่ายปากเสียนี่ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
            “ดีจัง ผมจะได้เอาแบบไปเสนอ” ผมยิ้มกว้าง
           “ไงล่ะ ฉันบอกแกแล้วว่าจะพาผู้ช่วยมาให้” ม้าหมุนพูดแทรกขึ้นมา เธอเลิกคุยกับพี่ธามแล้วหันมาฟังพวกเราคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ท่าขยิบตาของเธอมันน่าเตะมาก
            “ผู้ช่วยอะไร” พี่อิศร์มองหน้าพวกผมสลับกัน คิ้วขมวด
            “ก็ที่พี่อิศร์ช่วยตินตินดูแบบร่างชุดไง ช่วยมันมากเลยค่ะ มันไม่มีใครช่วยดูให้”
            “อ้าว ไม่บอกล่ะ” พี่อิศร์ว่า ดึงแบบชุดมาจากมือผมทันที เอามาพิจารณาดูอย่างตั้งใจกว่าเมื่อครู่ พี่ธามก็ชะโงกข้ามโต๊ะมาช่วยดูด้วยอีกคน ผมนี่ขนลุกด้วยความหวาดกลัว พอพี่อิศร์อ้าปาก ผมก็รีบร้องขัดลั่นร้าน
            “เดี๋ยวพี่ ไม่ต้องช่วยดูแล้วครับ พอแล้ว แค่นี้ผมโอเคแล้ว”
            “อะไรวะ อุตส่าห์จะช่วยวิจารณ์” พี่อิศร์บ่น ผมทำหน้าปุเลี่ยน ๆ ขณะที่สโนว์กับม้าหมุนระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
            “ตินตินมันกลัวพี่อิศร์วิจารณ์ชุดมันเละเทะ” ม้าหมุนเฉลย
            “กลัวอะไรวะ ทำงานศิลปะก็ต้องกล้ารับคำวิจารณ์สิ” พี่อิศร์ไม่เข้าใจ เพื่อนของเขาจึงช่วยอธิบายเพิ่มว่า
            “ก็ปากนายมันดีเกินไปไง น้องมันเลยกลัว”
           “กูพูดความจริง ผิดตรงไหน” แล้วเขาก็หันมามองผมแบบท้าทาย “กลัวเหรอ”
           ผมรีบส่ายหน้า
           “ไม่ครับ ผมไม่กลัว”
           “เห็นไหมวะ มันไม่กลัว” เขาหันมาข่มทับเพื่อนอย่างได้ใจ สีหน้าดูดีใจสะใจมากจริง ๆ ครับที่เอาชนะเพื่อนตัวเองได้ พี่ธามยกมือยอมแพ้ ตาเขายิ้ม ๆ มองผมแปลก ๆ ทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้องยังไงก็ไม่รู้ หรือพี่ธามจะรู้อะไรมา ผมจ้องม้าหมุนทันที ถ้าเธอเผลอพูดอะไรให้พี่ติวของเราฟังละก็ผมเตะมันจริง ๆ ด้วย
           “งั้นฟัง ตินติน” พี่อิศร์เรียกชื่อผมชัดถ้อยชัดคำ แล้วก็เริ่มร่ายยาววิพากษ์วิจารณ์ผลงานของผมตั้งแต่ลายเส้นยันดีไซน์ซึ่งผมก็พยักหน้ารับตลอด ไม่เถียง ไม่หือ ไม่อือ เอาจริง ๆ คือผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาวิจารณ์งานของผมยังไงบ้าง ในหัวของผมมีเรื่องเดียวครับตอนนี้
           พี่อิศร์เรียกชื่อผมได้แล้ว!

            ออกจากร้าน พวกเราก็ยังไม่กลับบ้านทันที แต่เดินเล่นอยู่ในสยามอีกพักใหญ่ ม้าหมุนทำตัวเป็นเจ้าถิ่นตามที่พูดไว้ เดินนำหน้า คู่กับพี่ธามที่ประกบติดเพื่อนผมตลอดเวลา ผมกับสโนว์เดินตาม ส่วนพี่อิศร์รั้งท้าย เขายังติดใจการวิจารณ์แบบเสื้อของผม ตอนแรกผมดีใจที่เขาเรียกชื่อผม ไม่ใช่แค่น้องติวของไอ้ไพรด์กับไอ้ธามเหมือนก่อน แต่ตอนนี้เริ่มรำคาญนิด ๆ แล้วครับ เพราะเขาเรียกผมแทบจะทุกห้านาทีเพื่อเพิ่มเติมความคิดเห็นที่มีต่อแบบดีไซน์เสื้อของผม
           “ตินติน”
           “ครับผม”
           ผมตอบรับอย่างละห้อยละเหี่ย สโนว์มองผมอย่างเห็นใจ แต่เธอหัวเราะขำผมแบบไม่มีเสียง
          “นึกออกเรื่องลายกระโปรง ลองใช้ถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อมาตัดต่อกันดูก็ดีนะ เคยทำลายกราฟฟิกให้เพื่อนที่เรียนออกแบบเสื้อผ้า ได้ลายไม่เหมือนใคร” พี่อิศร์แนะนำอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไอ้ธามก็ช่วยคิดด้วยสิวะ มึงเคยมีไอเดีย...”
            เสียงเขาเงียบไป หยุดเดิน มองไปข้างหน้า ทำหน้าไม่เข้าใจแบบสุดชีวิต ผมเห็นเขาทำหน้าแปลก ๆ ก็เลยสงสัย หันไปมอง แล้วก็เห็นภาพนั้น ผมดึงแขนสโนว์รั้งให้หยุดพลางบุ้ยใบ้ไปข้างหน้า เธอมองตาม แล้วก็เห็นเหมือนที่ผมกับพี่อิศร์เห็น
ม้าหมุนยังเดินคู่กับพี่ธามเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมมานิดหน่อย ทั้งสองคนไม่ได้เดินชิดตัวติดกันอะไรทำนองนั้น ยังมีระยะห่างระหว่างกันอยู่พอสมควรไม่ให้น่าเกลียด แต่ระยะห่างนั้นกำลังถูกเชื่อมไว้ด้วยเส้นพลาสติกสีขาวเส้นหนึ่ง
             เพื่อนของผมกับพี่ติวของเธอแบ่งหูฟังวอล์กแมนฟังกันคนละข้าง ท่าทางดื่มด่ำกับบทเพลงที่ฟังอยู่จนไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัว ไม่รู้เลยว่าเพื่อน ๆ กำลังยืนมองอยู่และเริ่มพนันกันว่าทั้งสองคนจะรู้สึกตัวตอนไหน
             “อีกสิบนาที” สโนว์เริ่มก่อน
             “ฉันว่าห้านาที” ผมต่อเป็นคนที่สอง แล้วมองหน้าพี่อิศร์ ถามทีเล่นทีจริงว่า
            “เอาด้วยไหมครับพี่”
            “เอา” พี่อิศร์ตอบตกลงอย่างไม่ลังเลพร้อมกับเริ่มม้วนกระดาษร่างของผมเป็นกรวย
            “พี่อิศร์ว่าเมื่อไหร่ กี่นาที” ผมถามต่อ
            “วินาทีนี้เลย” เขาตอบอย่างมั่นใจและตัดสินใจอย่างรวดเร็วจนผมกับสโนว์ไม่ทันแม้แต่จะอ้าปากห้าม พี่อิศร์ยกกรวยกระดาษจ่อปากทำเป็นโทรโข่ง ตะโกนว่า
            “เฮ้ย! ฟังเพลงอะไรกันวะ ให้กูฟังด้วยคน”
            ม้าหมุนกับพี่ธามหันขวับมาทันที ทั้งคู่ใส่หูฟังแค่คนละข้างจึงได้ยินเสียงของพี่อิศร์ชัดเจน ม้าหมุนมีท่าทางเขินจัดที่โดนจับได้และยังต้องเจอสายตาล้อ ๆ จากผมและสโนว์ ส่วนพี่ธามรีบกระตุกสายหูฟังของตัวเองคืนมาทันที ท่าทางกระดากไม่น้อย แล้วก็เสตะโกนด่าเพื่อนกลบเกลื่อนความรู้สึก
            “ยุ่งน่ะไอ้บ้า”
            “เอ้า ก็กูอยากฟัง ไหนเอามาฟังหน่อยสิวะ หรือให้แต่น้องติวมึงฟังคนเดียว” พี่อิศร์ขยี้ต่อเนื่อง ผมกับสโนว์จะรอช้าอยู่ทำไม ร่วมวงด้วยสิครับ
            “ฟังอิ่มอุ่นอยู่แน่เลย เพราะไหม หมุน” สโนว์แซว
            “สงสัยจะเพราะมากว่ะแก ฟังจนไม่สนใจโลกรอบตัวได้ขนาดนั้น” ผมรับช่วงชงเพิ่มเข้าไปทันที แล้วพวกเราก็หัวเราะคิกคัก ม้าหมุนยิ่งเขินใหญ่ รีบเดินกลับมารวมกลุ่ม แล้วก็พึมพำด่าพวกผมไม่หยุด ทำให้พวกผมยิ่งขำ พี่อิศร์ที่มักจะทำหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลาก็ยังอมยิ้มนิด ๆ เลิกคิ้วล้อเลียน ผมเพิ่งเห็นกับตานี่แหละว่าคนผิวคล้ำเวลาเขินอาย หน้าก็ซับสีเลือดจนแดงซ่านได้อย่างน่าพิศวง พี่ธามตรงรี่ไปดึงแขนเพื่อนของเขา แล้วประกาศเสียงดังว่า
             “เย็นแล้วเว้ย กลับ ถึงเวลากลับแล้ว!”

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 6
   เด็กหนุ่มร่างอ้วนใหญ่ มีหนวดเคราดกเฟิ้ม นั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กผู้หญิงผมยาวรวบผมเป็นหางม้าพวงใหญ่ เขามองเธอ แต่เธอหันหน้าไปอีกทาง กำลังมองเด็กหนุ่มหน้าตาดี ตาตี่ ผิวขาว นั่งหัวเราะร่าเริงอยู่ที่โต๊ะใกล้ ๆ กัน

            วันลอยกระทงวุ่นวายกว่าที่คิด มีเรื่องให้ทำตั้งแต่เช้า โรงเรียนให้นักเรียนสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ไม่มีการเรียนการสอน ผมชอบที่ได้หยุดเรียนวันหนึ่ง แต่ต้องแลกกับการวิ่งจนหัวปั่นในฐานะกรรมการตึกคนหนึ่ง ผมไปปากคลองตลาดกับม้าหมุน ไปเหมาใบตองมาเป็นหอบใหญ่ ๆ ดอกรัก ดอกพุด ใบเตย ใบโกสน กลีบกุหลาบ ดอกเยอบีร่าสีต่าง ๆ กระทั่งเข็มปักและอุปกรณ์อย่างอื่นพร้อมสรรพ ขนเอามาวางรวมไว้ที่ลานม้าหินอ่อนข้างตึกกับอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ รวมทั้งชุดเซิ้งกระติบที่สโนว์จะต้องใส่ด้วย อาร์มหาเสื้อผ้าอย่างดีมาให้ ซิ่นทอจากผ้าไหมสีม่วงเหลือบชมพูเปลือกมุก พร้อมกับเครื่องประดับเงินอย่างที่เพื่อนของผมอยากได้ ทำให้สโนว์หน้าตาสดชื่นขึ้นมาได้ ไม่บ่นแม้ว่าจะต้องใช้ลานม้าหินอ่อนเป็นห้องแต่งตัว จะเกรงก็แต่เจ้าแม่ต้นโพธิ์เท่านั้นซึ่งผมก็จัดการเอาธูปมาจุดไหว้ล่วงหน้าเรียบร้อยเพราะเราต้องอาศัยขอบปูนที่ก่อเป็นกระถางล้อมรอบต้นโพธิ์เป็นที่วางของด้วย
              ม้าหมุนวาดแบบกระทงที่เธอตั้งใจจะทำมาอย่างดี แล้วเอามากางพรึบลงบนโต๊ะหินอ่อนที่ทีมทำกระทงมาประชุมร่วมกัน ผมทำหน้าสยองขวัญหลังจากชะโงกมองในกระดาษแผ่นใหญ่
             “นาคสามเศียร”
             เศียรเดียวก็จะตายแล้วไหม
             “แกแน่ใจนะ”
             “แน่” เจ้าหล่อนพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “ส่งประกวดได้ทั้งแบบสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ ถึงตึกอื่นจะบังเอิญทำเป็นรูปนาคเหมือนกัน ก็คงทำแค่หัวเดียว ไม่มีทางสู้สามหัวของเราได้”
             ทีมงานมองหน้ากัน กะพริบตาปริบ ๆ
             “เอาอย่างนี้จริง ๆ น่ะ” แพรถามอีกรอบ
             “จริง”
             “แต่พวกเราไม่เอาเว้ย!”
             ลางดีมาตั้งแต่แรกเลยเห็นไหมครับ ทุกคนประสานเสียงพร้อมกัน ทีมเวิร์คเยี่ยมมาก
             “มีเวลาทั้งวันก็ไม่พอ สามหัวของแกน่ะ เอาหัวเดียวพอ” ผมตัดสินโดยมีทุกคนสนับสนุน แต่ม้าหมุนก็ยังอิดออด
             “ถ้าเกิดมีตึกไหนคิดแบบเป็นพญานาคเหมือนเราล่ะ”
             “ไม่มีหรอกเว้ย รับรอง ไม่มีใครคิดอะไรพิสดารขนาดนั้นแน่” ผมบอกอย่างอดทน ม้าหมุนทำหน้าเครียด คิดหนัก แล้วก็โพล่งขึ้นมาว่า
             “ก่อนแข่งฉันจะไปบนบานที่อนุสาวรีย์รัชกาลที่ห้าหน้าโรงเรียน ขอให้ไม่มีใครทำซ้ำแบบเรา”
             ทีมงานทำกระทงแยกย้ายกันไปในนาทีนั้นโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้งหนึ่ง
   
             ผมมีรายชื่อเป็นหนึ่งในทีมทำกระทงประกวดก็จริงอยู่ แต่พอถึงเวลาจริง ผมก็ไม่ได้อยู่ช่วยงานแม่พวกสาว ๆ ในห้องสักเท่าไหร่ พวกนั้นเขาช่างประดิดประดอย พับใบตองเป็นสารพัดกลีบทั้งกลีบผกา กลีบกุหลาบ กลีบการเวก แล้วยังมีลายเปีย ลายหัวขวาน พับกรวยปักดอกพุดตรงยอด เยอะครับ แต่ละคนทำงานเหมือนเครื่องจักร พับ กลัด เย็บ วนอยู่อย่างนั้น เหมือนกับผมที่เป็นฝ่ายเช็ดใบตองด้วยวาสลีนให้เป็นมันวาวและตัดให้ได้ตามแบบที่ต้องการ เด็ดกลีบกุหลาบ ตัดดอกไม้ มือเป็นระวิงเหมือนกัน งานเบ๊ทั้งนั้น หลังขดหลังแข็ง ดังนั้นพอกะว่าทำเตรียมเอาไว้ได้ประมาณหนึ่งแล้ว ผมก็ชิ่งโดยที่หัวหน้าทีมไม่ว่าอะไรเพราะต้องการใช้ผมรายงานสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปด้วย
             ที่แรกที่จะไปคือลานข้างตึกเลยครับ ผมเป็นห่วงสโนว์ ไม่รู้จะแต่งตัวออกมาเป็นยังไง แต่พอผ่านห้องแต่งตัวของพวกนางงามก็อดหยุดแวะดูไม่ได้ สาวสวยประจำตึกที่จะต้องแต่งชุดไทยเดินในขบวนของตึกเราสวย ๆ ทั้งนั้นครับ แต่งองค์ทรงเครื่องกันเต็มที่ ใช้ช่างแต่งหน้ามืออาชีพเพื่อให้ออกมาเป๊ะที่สุด จะได้เป็นหน้าเป็นตาแก่ตึก คนที่โดดเด่นที่สุดก็หนีไม่พ้นจูน ใส่ชุดสีแดงสดตัดกับผิวขาวเนียนละเอียด รวบผมเปิดหน้างามแอร่มแช่มช้อย ถึงจะยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือปอยผมหนวดปลาดุก แต่เธอก็สวยน่ารักสดใสอยู่ดี เวลายิ้มเห็นลักยิ้มที่แก้ม น่ามองมากครับ ขนาดผมที่เป็นพวกไม่มองหญิงก็ยังอดชื่นชมไม่ได้
             ในห้องนั้นไม่มีนางนพมาศของตึกเราอยู่ด้วย ผมคิดว่าน้องส้มคงแต่งตัวมาจากที่บ้านเลย น่าเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เห็นก่อนจะขึ้นเวที ผมชอบสีสันของชุดไทย ชอบสไบสีสด ๆ ที่ตัดกันฉับกับซิ่นทอเส้นไหมสีทองวิบวับ ถ้าผมมีโอกาสได้เป็นคนเลือกสีของเสื้อผ้าเองก็น่าจะเป็นอะไรที่สุดยอดไปเลย
              ผมโอ้เอ้เสียเวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกได้ว่าต้องไปให้กำลังใจเพื่อนก่อนแข่งตำส้มตำ ป่านนี้ไม่รู้ว่าสโนว์จะเป็นยังไงบ้าง ใส่ชุดได้ไหมก็ไม่รู้ ผมรีบเร่งฝีเท้าจนแทบจะเป็นวิ่งไปตามระเบียงหน้าห้องแล้วลงบันไดเตี้ย ๆ ข้างตึกตรงไปที่ลานม้าหินอ่อนที่มีคนเดินอยู่ขวักไขว่ กำลังเตรียมอุปกรณ์และของต่าง ๆ สำหรับประกอบขบวนพาเหรดแห่นางนพมาศ
              สโนว์ยืนค่อนอยู่ทางด้านหลัง ข้างต้นโพธิ์ของเจ้าแม่ กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจเช็กเครื่องแต่งกายของตัวเองอยู่ ชุดของเธอสวย เสื้อสีสดไม่ทำให้ผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งอย่างเธอดูคล้ำ แต่กลับขับผิวให้ดูผ่องขึ้น เครื่องประดับใช้เครื่องเงิน ผมดกหนาสีดำของเธอขมวดได้เป็นมวยหนา ปักปิ่นดอกไม้สีเงินห้อยเป็นสายระย้าเทียมบ่า ผมคิดว่าเธอต้องสวยไม่แพ้พวกนางงามในขบวนแน่ ๆ ก็เลยเรียกชื่อเธอเสียงดัง
              “โนว์!”
              เธอเงยหน้าขึ้นทันที ผมเห็นแล้วแทบผงะ
              “ใครแต่งหน้าให้แกวะ!”
              “จะเสียงดังทำไม” สโนว์จุปากใส่อาการเหมือนเจ๊กตื่นไฟของผม “คนอื่นเขาหันมามองกันหมดแล้ว”
             โธ่ ก็จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง ภาพสาวน้อยสวมสุดเซิ้งกระติบแบบอีสานสุดสวยที่ผมจินตนาการไว้ทลายครืนลงมาเหลือแค่ซากปรักหักพังในชั่วพริบตาที่สาวน้อยคนนั้นหันมา
             “ขอโทษ ๆ”
                  ผมรีบตรงดิ่งไปหาทันที สงสารเพื่อนมากครับ เจ้าตัวเองก็มีท่าทางเซ็งจัด ทำหน้าเบ้อย่างไม่กลัวว่าจะมีใครตำหนิ
                 “ทำไมแกแต่งหน้าแบบนี้ล่ะ”
                 “เหมือนละครลิงเลยใช่ไหม ฉันรู้แล้วน่ะ”
                  ผมรีบส่ายหน้า สโนว์แต่งหน้าเข้มจัด ทาอายแชโดว์ไล่เฉดสีฟ้าน้ำเงินหนาเป็นปื้น เขียนคิ้วโก่ง แก้มสีชมพูอมส้มเป็นวง ปากสีแดงแช้ด ติดขนตาหนาแทบกระพือไม่ขึ้น ทุกอย่างมันดูเกินไปหมดก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นละครลิงหรอก สโนว์หน้าคม เครื่องหน้าชัด อาจจะไม่ใช่คนสวยแบบพิมพ์นิยม ผิวขาวเนียน หน้าหมวยลูกจีน แต่ก็สวยในแบบของตัวเอง ถ้าแต่งหน้าให้เหมาะ สโนว์ก็จะเป็นเด็กสาวที่สวยคนหนึ่ง
                  “ตอนแรกฉันก็จะแต่งหน้าเอง แต่หมอกมันไม่ยอม มันบอกว่าเป็นการแข่งเน้นความฮา ให้แต่งหน้าตลก ๆ ไปเลย ก็เลยออกมาเป็นอย่างนี้แหละ” เพื่อนผมบอกอย่างเซ็ง ๆ
                 ผมถอนหายใจ หมอกอีกแล้ว ฟังเสียงเห็นหน้าสโนว์ก็รู้ทันทีว่ากำลังงอน แต่คงเกรงใจผมที่เป็นรูมเมตของหมอกก็เลยไม่อยากบ่นมากกว่านี้ ความจริงเพื่อนผมคนนี้ก็ไม่ใช่คนเรื่องมากโยกโย้อะไรพรรณนั้นหรอกนะครับ แต่เธอเป็นคนรักสวยรักงามอย่างยิ่ง เคยเจียดเงินค่าขนมไปซื้อต่างหูพลอยสีแดงสด เธอเห่อมากขนาดยอมเสี่ยงสวมมาโรงเรียน กะว่าเอาผมบัง ๆ ไว้ ไม่ให้ใครเห็น แต่สุดท้ายก็ไม่รอดสายตาอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ขี่จักรยานไปทั่วโรงเรียน คอยสอดส่องเด็กที่ทำผิดระเบียบ เมื่อเห็นก็กดกริ่งจักรยานกริ๊ง ๆ พร้อมกับทักเสียงอบอุ่นใจดีว่า
                  ‘หนู หนู ต่างหูสวยนะ’
                  สโนว์ถอดต่างหูคู่ที่เธอรักส่งให้ครูด้วยน้ำตา
                  เพื่อนผมคนนี้ไม่เหมาะกับงานตลกขบขันให้คนหัวเราะอะไรอย่างนี้หรอกครับ ต้องม้าหมุน รายนั้นชอบ เคยแต่งตัวเป็นกุมารทอง ใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งโจงกระเบน ผูกผมสองแกละ เดินในขบวนพาเหรดตอนม. 4 มาแล้ว ใครขำยังไงก็ไม่สน ยิ่งชอบใจใหญ่ หัวเราะสนุกสนาน แต่งานนี้ม้าหมุนติดหน้าที่สำคัญเป็นหัวหน้าทีมทำกระทงประกวดเสียแล้ว
                  “แกโอเคนะ” ผมก็ไม่รู้จะปลอบใจยังไง เพราะมาถึงขนาดนี้แล้ว
                  “เออ ไม่เป็นไรน่ะ ทำใจละ ฝึกควงสากก็ฝึกมาแล้ว ช่างมันเหอะ” สโนว์พูด จากนั้นก็หันไปหยิบครกไม้กับสากไม้ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ มาอุ้มเอาไว้เป็นเชิงเตรียมพร้อม ผมเห็นอาจารย์ดวงเดือนที่สอนคหกรรมเดินมาทางนี้พร้อมกับหมอก อาจารย์แต่งตัวด้วยชุดเซิ้งแบบอีสานพร้อมเครื่องประดับเต็มที่ แต่งหน้าฉ่ำ ตีผมพอง ๆ อาจารย์จะเป็นคู่แสดงกับสโนว์ในวันนี้ แกเตรียมพร้อมมากครับ ท่าทางมั่นใจมาก
                  “อุ๊ย แต่งตัวเสร็จแล้ว สวยจังลูก” อาจารย์วุ้ยว้ายชมสโนว์จนเธอต้องยิ้มรับแบบแหย ๆ “ถึงเวลาแล้ว ไปกันเลยจ้ะ”
                    ผมมองส่งสโนว์เดินไปกับอาจารย์สอนคหกรรม อยากไปดูแข่งตำส้มตำเหมือนกัน แต่คงไม่ได้
                   “ทำไมมาอยู่นี่วะตินติน ไม่ไปช่วยทำกระทงแล้วรึไง” หมอกพูดเหมือนตำหนิจนผมขมวดคิ้ว
                   “เสร็จหน้าที่แล้ว เราก็เลยแวบออกมาดูโนว์มันหน่อย เดี๋ยวก็จะกลับไปที่ห้องทำกระทงแล้ว”
                   “โนว์แม่งงอแงชะมัด ให้แต่งหน้าก็ไม่ยอม มันรู้จักหน้าที่รึเปล่าวะ” หมอกบ่นโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของผม ผมรู้สึกว่าระยะนี้หมอกดูเจ้ากี้เจ้าการ วิจารณ์คนโน้นคนนี้ ตั้งแต่วันที่ได้เข้าร่วมประชุมกรรมการตึกและออกความเห็นต่าง ๆ แล้ว
                  “แต่มันก็ช่วยแล้วไง จะเอาอะไรกับมันอีกวะ” ผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมา หมอกถึงได้รู้ตัว
                  “นายโกรธเหรอ เราพูดผิดตรงไหน”
                  “ช่างมันเหอะ เราจะไปช่วยที่ห้องทำกระทงต่อแล้ว” ผมตัดบท ไม่อยากเถียงหรือทะเลาะกันในวันแสนยุ่งแบบนี้ ถ้าอารมณ์เสียก็คงไม่มีสมาธิทำอะไรแน่ ผมก็เลยเดินหนีออกมา
                  ข้างในห้องทำกระทงยังคงทำงานกันไม่ยอมหยุด ม้าหมุนเห็นผมเดินเข้ามาก็ถามไถ่ทันที
                  “โนว์เป็นไงมั่ง”
                  “แต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจะไปแข่งแล้วล่ะ”
                  “น่าเสียดาย อดดูมันเซิ้งควงสาก” ม้าหมุนบ่น คนอื่น ๆ ก็พลอยผสมโรงตามไปด้วย
                  “นั่นสิ อยู่แต่ในห้องนี้ไม่ได้ดูอะไรเลย อีกเดี๋ยวก็จะมีประกวดนางนพมาศแล้วก็แข่งตำส้มตำ”
                  “เออว่ะ อยากเห็นนางนพมาศตึกอื่นจัง”
                  “ใครจะได้เป็นนางนพมาศของโรงเรียนกันนะ อยากรู้มาก”
                  “แต่พาเหรดเราอลังแน่ พยับมันสั่งให้เตรียมเสลี่ยงแห่น้องส้มไปที่เวทีประกวดที่ลานโพธิ์ด้วย”
                  ผมนั่งฟังพร้อมกับทำงานของตัวเองต่อเงียบ ๆ อยากให้กระทงเสร็จเร็วที่สุด

                  ผลประกวดนางนพมาศออกมาไม่ผิดคาด น้องส้มชนะการประกวดได้เป็นนางนพมาศของโรงเรียน ทุกคนดีใจกันมาก กระทงที่ตึกเราส่งประกวดก็ได้รางวัลชนะเลิศ ถึงแม้เราจะต้องลดจากพญานาคสามเศียรมาเป็นเศียรเดียว แต่ก็ทำออกมาได้อย่างใจ ลำตัวพญานาคทำจากใบตองเป็นสีเขียวเข้มตกแต่งด้วยใบโกสนสีแดงบริเวณหงอนและปากที่อ้ากว้าง โดดเด่นเหนือกระทงแบบธรรมดา ๆ ของตึกอื่น (ม้าหมุนบอกว่า เห็นไหม ฉันบอกแล้ว) เธอปลื้มใจมากกับชัยชนะเหนือตึกอื่นอย่างขาดลอย
                 “อย่างนี้ต้องรีบแก้บน!” เธอประกาศ
                 ม้าหมุนไปบนบานศาลกล่าวมาจริง ๆ ตามที่เคยพูดไว้ แล้วก็ได้ผล ไม่มีตึกไหนทำกระทงซ้ำแบบของเรา แถมเรายังชนะเลิศอีกต่างหาก ผมถามว่า
                 “แล้วเราจะไปปากคลองตลาดกันอีกเมื่อไหร่ เสาร์นี้ไหม ตอนเช้าก่อนเข้าเรียนเสริมพิเศษ”
                 “ไปทำไม ปากคลอง”
                 “อ้าว ไม่ได้จะไปซื้อดอกกุหลาบเหรอ” ผมงง พอ ๆ กับที่ม้าหมุนงง เธอส่ายหน้า
                 “ไม่ได้บนดอกกุหลาบนี่”
                 “แล้วแกบนด้วยอะไร ปกติเขาก็บนด้วยดอกกุหลาบสีชมพูหรือไม่ก็รูปปั้นช้างม้า สัตว์พาหนะประมาณนั้นไม่ใช่เหรอ” ผมนึกถึงตัวเอง หน้าประตูโรงเรียนจะมีป้าคนหนึ่งเอาดอกกุหลาบสีต่าง ๆ ใส่ถังพลาสติกมาขาย ใครก็ตามที่อยากไหว้อนุสาวรีย์รัชกาลที่ห้าก็มักซื้อดอกไม้จากป้า ส่วนธูปกับเทียนมีอยู่แล้วที่แท่นวางรางเทียนและกระถางธูป ผมเองก็ซื้อดอกกุหลาบไปไหว้บ่อย ๆ ขอพรบ้างไปตามเรื่อง แต่ผมยังไม่เคยเห็นใครบนบานด้วยอย่างอื่นเลย
                 “ก็ใช่” ม้าหมุนพูด “แต่ใคร ๆ ก็ถวายม้าถวายช้าง ธรรมดา ท่านมีตั้งไม่รู้กี่ตัว ฉันว่าท่านน่าจะเบื่อแล้วล่ะก็เลยบนว่าจะถวายยูนิคอร์น”
                 “อีหมุน!” ไม่บ่อยหรอกนะครับที่ผมจะเรียกเพื่อนแบบนี้
                 “แกคิดอะไรของแกวะ จะเอายูนิคอร์นที่ไหนมาถวาย”
                 “ไม่เห็นจะยาก” ม้าหมุนไม่สนใจเสียงตกใจของผมแม้แต่น้อย “ฉันเคยเห็นยูนิคอร์นคริสตัล ของโชว์ใส่กล่องกระจกอย่างนั้นน่ะแก ขายอยู่แถว ๆ ท่าเรือ ฉันจะไปซื้อมาถวาย”
                 ผมละทึ่งความคิดสร้างสรรค์ของเพื่อนผมคนนี้จริง ๆ
                 แต่ระหว่างที่ใครต่อใครกำลังดีใจ มีคนหนึ่งที่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ
                 สโนว์นั่งหน้าเศร้า ช่วยคนอื่นจัดของอยู่ที่ม้าหินอ่อนข้างตึก เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้ว ล้างหน้าล้างตาเอาเครื่องสำอางหนาเตอะที่ไม่ได้เข้ากับตัวเองออกหมด สโนว์ไม่ชนะการแข่งตำส้มตำ พวกผมไม่ได้ดูเธอแข่ง แต่ก็รู้จากคนอื่น ๆ ว่า สโนว์เซิ้งแบบสุดชีวิต ควงสากไม้โยนขึ้นฟ้าแล้วรับได้อย่างแม่นยำถึงสามครั้ง ใครต่อใครฮือฮากันหมด แต่ก็ต้องแพ้ไปเพราะรสชาติส้มตำ ทำเอาเธอเซ็งไม่น้อย แต่ไม่กล้าบ่นเพราะอาจารย์ดวงเดือนเป็นคนปรุง เธอมีหน้าที่เซิ้งและเอ็นเตอร์เทนคนดูอย่างเดียว
                 ผมสะกิดม้าหมุนให้มองสโนว์ นึกเห็นใจเพื่อนมาก สโนว์ก็เป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเททุกอย่างเหมือนกัน แต่พอไม่ชนะ ใคร ๆ ก็พากันลืมเธอไปหมด เธอรู้สึกไม่ดีเรื่องเครื่องแต่งตัวอยู่แล้ว ยิ่งถูกมองข้ามอย่างนี้ก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
                 “โนว์ ไม่ต้องคิดมากนะเว้ย” ผมพยายามปลอบ เธอก็เงียบลูกเดียว
                 “เอางี้ เสร็จงานวันนี้แล้วเราไปกินข้าวกัน ฉันเลี้ยงเอง”
                  สโนว์พยักหน้าอย่างเนือย ๆ จนผมชักหมดมุก ผมมองสบตากับม้าหมุน เธอคงกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี แล้วเธอก็ดีดนิ้วเปาะ
                “คิดออกแล้ว วันอาทิตย์หลังติวเสร็จ ไปนั่งที่ร้านหน้าพระลานกัน ฉันจะเอาดินสอสีไปเยอะ ๆ ทีนี้แกอยากเขียนระบายอะไรก็เขียนลงไปเลย ดีไหม”
                “เออ ดี ๆ เห็นด้วย” ผมตอบตกลงก่อนสโนว์อีกครับ ส่วนเพื่อนผมก็พยักหน้าเนือย ๆ ตามเดิม ท่าทางผิดหวังมากจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ ม้าหมุนจึงมาแอบกระซิบบอกทีหลังว่า
                “ฉันจัดการเอง รับรองมันยิ้มได้แน่ ๆ”
                “หมายความว่ายังไง”
                “ก็จะชวนคนที่มันแอบชอบไปด้วยน่ะสิ อย่าเพิ่งบอกมันล่ะ”
                “พี่กาย?” ผมหรี่ตา “จะชวนมาได้เหรอ”
                “เดี๋ยวจะบอกพี่ธามให้ช่วย”
                “ว่าละ ไม่น่าถามเลย”
                ม้าหมุนฉีกยิ้มยียวนให้ผม
                ครับ เชื่อแล้วครับว่าสนิทกัน!

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
            ม้าหมุนทำให้พี่กายมาได้อย่างที่คุยไว้จริง ๆ ด้วยครับ สโนว์ตาค้างไปเลย จากเดิมที่นั่งทำหน้าซังกะตาย เอาดินสอสีขีด ๆ เขียน ๆ ไม่เป็นเรื่องบนโต๊ะ พอหนุ่มที่ชอบปรากฏตัวเท่านั้นแหละ เปลี่ยนหน้าได้ทันควัน ยายสโนว์กลับมายิ้มแฉ่งตาเชื่อมได้เหมือนเดิม กระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันตา
           น่าเสียดายที่โต๊ะที่เราได้เป็นโต๊ะเล็กนั่งได้สี่คน สโนว์จึงต้องผิดหวังที่ไม่ได้นั่งข้าง ๆ พี่กาย เขานั่งลงที่โต๊ะข้าง ๆ เป็นโต๊ะเล็กเหมือนกัน นอกจากชายในฝันของสโนว์แล้วก็ยังมีพี่ใหญ่กับพี่อิศร์ที่นั่งที่โต๊ะนั้น ส่วนพี่ธามนั่งที่โต๊ะของเรา ข้าง ๆ ม้าหมุน
           “มันไม่ออกนอกหน้าไปนิดเรอะ” ผมเคาะโต๊ะตรงหน้าเพื่อน ปากขยับพูดโดยไม่มีเสียง
            “ระวังของตัวเองเถอะ” ม้าหมุนตอบผมแบบไม่มีเสียงเหมือนกันพร้อมกับพยักพเยิดไปที่ดินสอสีในมือ ผมสะดุ้งเมื่อรู้ตัว รีบขีดฆ่าประโยคที่เขียนเล่น ๆ บนโต๊ะแถมระบายสีทับซ้ำให้อ่านไม่ออก เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นม้าหมุนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมนี่อยากเขกกะโหลกมันสักที
             “ทำอะไรน่ะตินติน” พี่ธามทักเมื่อเห็นผมกับม้าหมุนทำท่าแปลก ๆ แล้วก็ยังใช้ดินสอสีในมือระบายกระดาษบนโต๊ะอย่างเอาเป็นเอาตาย
             “เขียนผิดครับเลยขีดฆ่า” ผมตอบส่ง ๆ
             “จะเขียนว่าอะไรเหรอ”
             “เอ้อ...” จะถามทำไมครับพี่ ผมนึกไม่ออกก็ตอบส่ง ๆ ไปอีก “ประโยคที่เป็นภาษาอิตาเลียนน่ะครับ ที่เขียนไว้ที่โมร่อนข้าง ๆ รูปอาจารย์ศิลป์”
             “Ars longa, vita brevis” พี่ธามพูดประโยคที่เหมือนกับเป็นหลักยึดเหนี่ยวของมหาวิทยาลัยของตัวเองออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
             “ศิลปะยาวนาน ชีวิตสั้น”
              “หมุนชอบ ตินตินก็ชอบ เราเพิ่งคุยกันว่าคงไม่มีมหาวิทยาลัยไหนแล้วที่มี motto เป็นภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพลงประจำมหาวิทยาลัยยังเป็นภาษาอิตาเลียนเลย”
              ม้าหมุนพูดคุยอย่างรื่นไหล จากที่เธอเล่าให้ฟัง เดี๋ยวนี้เธอกับพี่ธามโทรศัพท์คุยกันบ่อย ใช้โทรศัพท์หอพักที่จะตัดสายทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนเลยตกลงกันว่าถ้าโทรศัพท์ตัดเมื่อไหร่ก็จะผลัดกันโทรหา แต่เรื่องที่คุยกันนอกรอบ รู้สึกว่าจะไม่ได้บอกใครนะครับ ฝ่ายเพื่อน ๆ พี่ธามยังไม่มีใครรู้ว่าสนิทกันไปถึงขนาดนั้นแล้ว ก็จะรู้แค่ว่าม้าหมุนเป็นน้องติวท่าทางทอมบอยที่คุยถูกคอกับพี่ติวตัวเองมาก ๆ เท่านั้น
               “เออ จำเนื้อร้องอยู่ตั้งนาน” พี่ธามพูดขำ ๆ ก่อนชวนกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า “ถ้าชอบ นายก็เอ็นท์เข้าที่นี่สิ”
               “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ” ม้าหมุนโอดครวญ
               ผมปล่อยให้พี่ติวน้องติวเขาคุยกันไปตามสบาย แล้วตัวเองก็หันมาสังเกตการณ์ทางสโนว์บ้าง เจ้าหล่อนยังนั่งเท้าคางฟังพี่กายคุยกับพี่อิศร์เพลิน ดูเหมือนว่า แค่ได้มองก็สุขสุด ๆ แล้ว อะไรประมาณนั้น
               จากจุดที่ผมนั่งอยู่ ผมมองไม่เห็นพี่อิศร์ แต่ได้ยินเสียงเขาชัดแจ๋ว ผมก็ไม่ต่างจากสโนว์หรอกครับ แค่นี้ก็ดีมากมายแล้ว ผมไม่ดิ้นรนอยากเสนอหน้าใส่พี่อิศร์มาก ๆ หรอกครับตอนนี้ ผมยังคงคิดว่าช่วงมัธยมปลายเป็นช่วงที่การแอบชอบใครสักคนนั้นสนุกที่สุด เป็นช่วงเวลาเดียวที่เราจะพร่ำเพ้อถึงชายหรือสาวในฝันของเรายังไงก็ได้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกันหรือได้รับความรักตอบแทนด้วย
                เมื่อผมไม่ได้โฟกัสที่พี่อิศร์ ผมก็เลยมีโอกาสสังเกตเพื่อนพี่ติวคนอื่น ๆ บ้าง พี่กายนั่งคุยหล่อ ๆ จิบกาแฟเย็น ตรงข้ามกับเขาคือพี่ใหญ่ที่ร่วมวงคุยด้วยอย่างออกรส แต่ผมกลับเห็นว่าสายตาของเขาไม่ได้มองไปที่เพื่อนร่วมโต๊ะ แต่ไพล่มาลอบชำเลืองมองสโนว์
                 ครับ ยายสโนว์ของเรา เป็นภาพที่ตลกดี สโนว์จ้องพี่กายตาเชื่อม แล้วก็มีพี่ใหญ่ลอบมองตัวเองอีกทีหนึ่ง ดูท่าผมจะ ‘ตรวจจับ’ ความผิดปกติอะไรสักอย่างได้แล้ว
                “ตินติน” ม้าหมุนสะกิดข้ามโต๊ะ เมื่อผมหันมาเธอก็บุ้ยปากไปที่เพื่อนของเรา ผมก็เลยรู้ว่ามนุษย์เครื่องตรวจจับความผิดปกติไม่ได้มีผมแค่คนเดียว
                เราสองคนเขียนข้อความตอบโต้กันบนโต๊ะ ไม่ให้สโนว์เห็น
                ‘พี่ใหญ่ชอบสโนว์แหง ๆ’
                 ‘เอาไงวะ เชียร์ใคร’
                ‘พี่กาย’
                ‘โอกาสน้อย พี่ใหญ่ดีกว่า’
                คุยผ่านข้อความมาจนถึงตอนนี้ก็มีอีกมือหนึ่งยื่นเข้ามาเขียนข้อความร่วมด้วย
                ‘เชียร์ไอ้ใหญ่’
                 พี่ธามอดสนุกด้วยไม่ได้ครับ ขี้เผือกเหมือนกันนะพี่ติวของพวกผมนี่ แต่พอลงคะแนนเสียงและความเป็นไปได้แล้ว สองต่อหนึ่ง พี่ใหญ่ชนะ เราก็เลยตกลงกันว่า จะเชียร์เพื่อนพี่ติวคนนี้ให้สโนว์
                 ออกมาจากร้านก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ปกติเราก็จะแยกย้ายกันกลับเพราะนั่งรถเมล์กันคนละสาย แต่เพราะครั้งนี้บางคนมีแผนเล่นสนุก พอถึงเวลาลากลับ พี่ธามก็ทำทีเป็นผลักไหล่เพื่อนตัวใหญ่หนวดเคราเฟิ้มของเขา แนะแกมสั่งว่า
                 “ไอ้ใหญ่ ไปส่งสโนว์หน่อยสิวะ ดึกแล้ว”
                 สโนว์ทำหน้าเหรอหรา ก็พอดีม้าหมุนสนับสนุนมาอีกคน
                 “ก็ดีนะ นั่งรถเมล์คนเดียวน่าเป็นห่วงออก มีคนไปส่งก็ดี”
                  สโนว์มองหน้าเพื่อนแบบไม่อยากเชื่อว่าจะพลอยเป็นไปด้วยอีกคนหนึ่ง เธอไม่อยากไปกับพี่ใหญ่สักหน่อย แต่พอมองพี่กาย เธอก็เห็นเขายิ้มหล่อให้ ตาตี่เป็นสระอิอย่างที่เธอหลงชอบทุกประการ
                 “ไปกับไอ้ใหญ่เถอะ”
                 ชายในฝันพูดแบบนี้ สโนว์จะปฏิเสธได้อย่างไร สุดท้ายเธอก็ต้องเดินไปกับเพื่อนพี่ติวตัวใหญ่สมชื่อ เดินไปสักพักก็หันมามองผมกับม้าหมุนแบบฝากไว้ก่อนเถอะ ผมเห็นสายตาของสโนว์แล้วไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่มันดีหรือเปล่า
                  “เอาน่า ลองดู ไม่เห็นเป็นไร ถ้าไม่เวิร์คก็หยุดก็ได้” ม้าหมุนปลอบผม พี่ธามก็ออกใบการันตีรับรองให้เพื่อนตัวเองว่า
                   “ไอ้ใหญ่มันไว้ใจได้นะไม่ต้องห่วง”
                  “แต่โนว์มันชอบพี่กาย” ผมบอกอ่อย ๆ แต่ดูเหมือนไม่มีใครฟัง
                   พี่กายแยกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตอนที่เราซุบซิบกัน เหลือพี่อิศร์คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไร โพล่งถามออกมาว่า
                 “พวกมึงรวมหัวกันทำอะไรวะ”
                 “ไอ้ใหญ่มันชอบสโนว์” พี่ธามตอบเพื่อนของเขา
                 “เหรอวะ ไม่เห็นจะรู้” พี่อิศร์เกาหัวแกรก ๆ ทำให้ผมบนหัวยิ่งยุ่งเข้าไปอีก เขาดูงง ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้ ไม่ ‘เก็ต’ เลยแม้แต่น้อยว่าเพื่อนกับน้องติวของเพื่อนกำลังเล่นอะไรกันอยู่
                 “ผมก็เพิ่งจะรู้วันนี้แหละครับ” ผมบอกเขาพลางม้วนกระดาษที่เอาดินสอสีเขียนเล่นตอนอยู่ในร้านใส่ลงไปในเป้ กระดาษที่ใช้ปูโต๊ะในร้านนี้ขอเอากลับเป็นที่ระลึกได้ ผมเขียนอะไร ๆ ลงไปเยอะในกระดาษแผ่นนี้เลยไม่อยากจะทิ้งเอาไว้ที่ร้าน
                 “แล้วเชียร์กับเขาด้วยรึเปล่า”
                 “พี่อิศร์เคยชอบใครบ้างไหมครับ” ผมย้อนถาม แทบกลั้นหายใจทีเดียวขณะรอฟังคำตอบ แต่เพื่อนพี่ติวของผมส่ายหน้า
                 “ไม่ว่ะ ยังไม่มีใครที่ชอบ ถามทำไม”
                 “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่อยากรู้ว่าเราควรจะเชียร์ใครดี คนที่เพื่อนเราชอบเขาหรือคนที่มาชอบเพื่อนของเรา”
                 “พูดอะไรวะ ไม่เห็นเข้าใจ” เขาตอบแบบที่ผมคาดไว้เปี๊ยบเลย แต่ที่เกินคาดหมายก็ตอนที่เขาพูดต่ออีกด้วยว่า
                 “แต่เราว่าเรื่องของคนอื่นก็คือเรื่องของคนอื่น ไม่ยุ่งดีกว่าจะได้ไม่ปวดหัว”
                 ผมพยักหน้า รู้สึกเห็นด้วย ม้าหมุนกับพี่ธามออกตัวแรงไปแล้ว ผมก็น่าจะอยู่นิ่ง ๆ อย่างที่พี่อิศร์แนะนำ (แบบไม่ตั้งใจ) น่าจะดีกว่า
                 พี่ธามกับม้าหมุนเดินล่วงหน้าไปกันสองคน เหลือผมกับพี่อิศร์รั้งท้าย ผมนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อกี้ พี่อิศร์ยังไม่มีคนที่ชอบ
                 “ตินติน!”
                  ผมแทบสะดุ้งที่จู่ ๆ เพื่อนพี่ติวของผมก็เรียกเสียงดังเหมือนจงใจจะตะโกนใส่หูผม
                 “อะไรครับ เรียกดี ๆ ก็ได้ หูผมจะแตกแล้วเนี่ย” ผมอดบ่นไม่ได้
                 “เรียกตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่ได้ยินเองนี่หว่า”
                 จากคนบ่น ผมกลายเป็นคนโดนบ่นไปเลยครับ พี่อิศร์ทำหน้าบึ้งใส่ผม
                 “จะถามเรื่องแบบชุดของนาย ตกลงผ่านไหม”
                 “พี่อิศร์จำได้ด้วยเหรอครับ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ
                  “จำได้สิวะ ไม่ใช่ปลาทองนี่หว่า” เขาขมวดคิ้ว ยิ่งหน้ามุ่ย เพราะคิดว่าผมกำลังว่าเขา ผมต้องยิ้มปลอบ เหมือนปลอบเด็กที่กำลังงอนยังไงไม่รู้ครับ
                   “ผมไม่ได้ว่าพี่อิศร์เป็นปลาทองนะครับ อย่ามองผมอย่างนั้นสิ”
                   “ตกลงยังไง ไม่บอกก็จะไปแล้วนะเว้ย”
                    ผมยิ่งยิ้ม ชูสองนิ้วให้
                  “สำเร็จครับ ชุดที่ผมออกแบบผ่านสองชุด ต้องขอบคุณพี่อิศร์กับพี่ธามจริง ๆ ที่ช่วย ขอบคุณมากนะครับ” พูดจบ ผมก็ยกมือไหว้ เขารับไหว้ผม แต่ก็มิวายบ่น
                   “จะมารยาทดีอะไรนักหนาวะ ไม่ต้องพูดผมพูดครับแล้วได้ไหมเนี่ย ฟังแล้วไม่ชินหูเลย”
                   “ก็บ้านผมสอนมาดี กับรุ่นพี่และผู้อาวุโสกว่า ต้องพูดจาด้วยอย่างสุภาพ”
                   “หลอกด่านี่หว่า กวนตีน”
                   ผมหัวเราะเมื่อเห็นพี่อิศร์ทำท่าฟึดฟัด
                   “แล้วถ้าไม่ให้พูดผมพูดครับจะให้พูดยังไง”
                    “ก็ไม่ต้องใช้ครับสิ พูดธรรมดา แบบที่พูดกับไอ้ธามก็ได้”
                    “เรียกพี่อิศร์ แล้วแทนตัวเองว่าตินตินนี่นะ แต๋วไปไหมครับ” ผมไม่แน่ใจ ผมไม่ใช่ผู้หญิงแบบม้าหมุนสักหน่อย อีกอย่างผมก็ไม่ได้สนิทสนมกับพี่อิศร์เหมือนที่ม้าหมุนสนิทกับพี่ธามด้วย
                    “ก็อย่าคิดว่ามันแต๋วสิวะ เป็นน้องติวไอ้ธาม ก็เหมือนน้องติวทุกคนที่เป็นเพื่อนไอ้ธามด้วย พี่น้องพูดกันไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย”
                     พี่น้อง...
                     เสียใจนิดหน่อย แต่ดีใจมากกว่า ค่อย ๆ เป็นไปทีละน้อยอย่างที่ผมต้องการแล้วไม่ใช่หรือครับ ผมรีบพยักหน้าตกลง
                     “โอเค ต่อไปไม่มีคำว่าครับระหว่างเรา จะมีแต่กูมึงวะโว้ย”
                     “มากไปแล้วโว้ย”
                     ผมหัวเราะชอบใจ และผมไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ผมว่าผมเห็นเพื่อนพี่ติวของผมอมยิ้มนิด ๆ ด้วยแหละครับ

                                                                                    **********

                      กลับมาถึงที่หอพัก ผมรู้สึกเหนื่อยมากก็เลยเกเรไม่ยอมอาบน้ำหนึ่งวัน หมอกยังไม่กลับมาจากต่างจังหวัด ผมเอะใจนิดหน่อยว่ารูมเมตของผมวันนี้กลับดึกเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไร เพราะไม่ใช่ครั้งแรก บางครั้งเขาก็ไปโรงเรียนวันจันทร์เลยโดยที่ไม่ได้แวะที่หอพัก ผมคิดว่าครั้งนี้ก็คงเหมือนกันจึงเผลอวางใจ เอากระดาษจากร้านหน้าพระลานมากางบนเตียง แล้วก็เขียนประโยคหนึ่งลงไป เป็นประโยคที่เคยเขียน แต่ต้องขีดฆ่าลบทิ้งไปก่อน ผมมองประโยคนั้นที่เขียนด้วยดินสอสีสีแดงพลางคิดถึงเจ้าของชื่อ ผู้ชายตัวสูงเพรียว หน้ามึน ๆ หัวยุ่ง ชอบการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่เป็นชีวิตจิตใจ
                      ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นใครบางคนชะโงกหน้ามามอง อาการสะลึมสะลือทำให้ผมเห็นหน้าคนคนนั้นแค่เพียงราง ๆ ผมตกใจจนหวุดหวิดจะร้องออกมาอยู่แล้วแต่เสียงของเขาดังขึ้นก่อน ทำให้รู้ว่าเป็นหมอก รูมเมตของผมนั่นเอง
                      เขาไม่ได้มองผม แต่มองกระดาษสีน้ำตาลที่มีสีขีดเขียนอยู่เต็มแผ่นที่ผมเผลอกางทิ้งไว้บนเตียง
                      “พี่อิศร์นี่ใครกันเหรอ ไม่เห็นนายเคยเล่าให้เราฟังเลย”


--------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุนค่ายานอนหลับให้นักเขียนได้นะคะ พลีส
ไปที่ Facebook page: ทางสายดอกพริมโรส
Top Post เลยค่ะ
กราบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 7
   รูปหมู่
   เด็กสาวสองสามคนใส่ชุดทำจากวัสดุรีไซเคิลกำลังกอดแขนกอดเอวเด็กสาวใส่ชุดไทยศิวาลัยประยุกต์สีแดงลายทองที่ยืนอยู่ตรงกลาง ด้านหลังเป็นเด็กหนุ่มหัวเกรียนสามสี่คน ใส่ชุดวอร์มสีน้ำเงินชูไม้ชูมือเข้ากล้อง มุมภาพด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มหัวเกรียนคนหนึ่งในชุดวอร์มหันหน้ามองเด็กหนุ่มอีกคนที่ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์มีฮู้ดสีเทาอ่อนทับชุดนักเรียนโดยที่ฝ่ายหลังไม่รู้ตัว

        สโนว์โมโหมากกว่าที่ผมคิดเรื่องที่ทุกคนเชียร์พี่ใหญ่ให้เธอ
        เรานั่งรวมกลุ่มกันอยู่ในร้านแม็คโดนัลด์ ตรงหน้าสโนว์ตั้งถาดใส่เฟรนช์ฟรายถุงใหญ่ที่เจ้าตัวไม่ยอมแบ่งให้ใครทั้งนั้น เจ้าหล่อนเทซอสมะเขือเทศไว้ข้าง ๆ หยิบแท่งมันฝรั่งทอดจิ้มซอสแล้วเอาใส่ปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย เฟรนช์ฟรายถาดนี้ผมกับม้าหมุนหุ้นกันซื้อให้เป็นของขวัญง้องอน เธองอนพวกผมอยู่วันเต็ม ๆ เชียวครับกว่าจะยอมคืนดีด้วย
        “ขอบใจมากที่หวังดี แต่พวกแกก็รู้ว่าฉันชอบพี่กาย!” สโนว์ประกาศ หลังจากอารมณ์ดีขึ้นก็เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตุปัดตุป่องว่า
        “พี่ใหญ่เดินตามติดฉันอย่างกับยักษ์ตัวโต ๆ พวกแกนึกภาพออกไหม” เธออ้าแขนออกกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ฉันบอกว่าไม่ต้องไปส่งก็ได้ แต่พี่แกก็ไม่ยอม เดินตามมาจนถึงป้ายรถเมล์ ตอนอยู่บนรถเมล์ก็นั่งจ้องฉันไปตลอดทาง พอลงรถก็เดินตามไปส่งถึงหน้าหอพัก แต่มันไม่โอเคเลย ฉันทนไม่ไหว ยื่นคำขาดกับพี่แกไปว่า ห้ามตามฉันแบบนี้อีก ไม่งั้นฉันจะเกลียด พี่แกถึงได้ยอมไป”
              ผมนึกภาพออกเลย พี่ใหญ่ที่ตัวโตมีหนวดเครารุงรังทำหน้าจ๋อยแล้วเดินคอตกจากไป น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่โชคร้าย เป็นคนที่สโนว์ไม่ชอบเท่านั้นเอง
              “ทีหลังอย่าทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้อีกล่ะพวกแก”
              “เซ็งเลย ฉันกับพี่ธามอุตส่าห์เชียร์เต็มที่” ม้าหมุนบ่น เธอเอื้อมมือจะไปหยิบมันฝรั่งทอดมากิน แต่โดนสโนว์ตีมือจนต้องร้องโอย
              “ของฉัน อย่ามายุ่ง!” เธอถลึงตาใส่ แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองจริงจังหรอกครับ ม้าหมุนก็ไม่ได้โกรธด้วย เธอยกสองมือยอมแพ้อย่างราบคาบ
              “ตกลงคือแกจะชอบพี่กายต่อไป” ผมถาม เธอก็พยักหน้าหงึกหงักจนผมที่รวบเป็นหางม้าช่อใหญ่สะบัดเป็นจังหวะ
              “แต่พี่กายไม่ได้มีท่าทีชอบแก บางทีเขาอาจมีแฟนแล้วก็ได้นะ ฉันกลัวแกเสียใจ”
              “ไม่มี” คนที่ผมเป็นห่วงโต้กลับอย่างหนักแน่น “ฉันสืบมาแล้ว พี่กายยังไม่มีแฟน ดังนั้นฉันก็จีบต่อได้”
              “แค่นั่งจ้องเหมือนจะกลืนกินเขาไปทั้งตัวอย่างนั้นไม่เรียกว่าจีบนะ เขาเรียกหลอกหลอน” ผมอดติงไม่ได้ สโนว์ค้อนผมวงใหญ่ทันควัน
              “บ้า ไม่ใช่ผีนะเว้ย”
              ผมกับม้าหมุนหัวเราะชอบใจ สโนว์ก็เลยหัวเราะตาม ตอนเรายังเด็กนั้น อะไร ๆ ก็สดใสไปหมด โกรธง่าย หัวเราะก็ง่าย ไม่มีทุกข์ร้อนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น
              ผมหยิบกระดาษร่างแบบชุดที่จะใช้ในงานกีฬาประเพณีขึ้นมากางบนโต๊ะ เป็นแบบร่างที่พี่อิศร์ช่วยติชมและปรับรายละเอียดอะไรต่อมิอะไรให้จนเข้าที่เข้าทาง แล้วก็ได้รับการโหวตให้ผ่านการอนุมัติได้ทำเป็นชุดจริงใส่ในขบวนพาเหรด
              “วันงาน แกใส่ชุดนี้นะโนว์” ผมเลื่อนกระดาษแผ่นหนึ่งให้ดู
              “จริงเหรอแก” สโนว์ตื่นเต้น เธอชอบชุดนี้ของผมมาก เธอบอกตั้งแต่เห็นร่างแรก ผมก็ตั้งใจจะให้เธอใส่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าแบบชุดผ่านการพิจารณา
              “ใช่ ชุดนี้ของแก อีกชุดมุกขาวจะใส่” ผมบอก มุกขาวเป็นสาวสวยประจำสายของเราอีกคนหนึ่ง ออกงานเป็นหน้าเป็นตาให้เยอรมันได้ และยังเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทำให้เราได้รู้ว่าสายเรานั้นมีทั้ง ‘กลางวันและกลางคืน’ มีมุกขาวก็มีมุกดำ ลิลลี่ขาวกับลิลลี่ดำ ฝ้ายขาวแล้วก็ฝ้ายดำ
              “ของแกสองชุด ที่เหลืออีกสี่ชุดก็เป็นชุดที่ริชชี่ออกแบบใช่ไหม” ม้าหมุนหยิบกระดาษขึ้นมาดูบ้าง ชุดของผมเน้นเรียบ ๆ แต่เล่นสีกับลาย ใช้วัสดุไม่เยอะ ทำไม่ยาก ส่วนของริชชี่เป็นชุดใหญ่ หางยาว เน้นความหรูหราอลังการ ผมถ่ายเอกสารแบบของเขามาด้วย ม้าหมุนก็เลยได้ดูเปรียบเทียบกัน
              “ริชชี่ออกแบบหรือไอ้หมอกกันแน่วะ” สโนว์ยั้งปากไม่อยู่จริง ๆ แล้วพอได้พูดออกมาก็เหมือนเขื่อนแตก น้ำไหลทะลักพรั่งพรูจนหยุดไม่อยู่
              “ตอนแรกฉันคิดว่ารูมเมตแกจะนิสัยน่าคบกว่านี้นะเนี่ย แต่เอาเข้าจริงกลับชอบเอาหน้า แถมยังจุ้นจ้านไม่มีใครเกิน ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะ เราเคยทำมาก่อนมันดีกว่าเยอะเลย”
              ผมถอนหายใจ อยากแก้ตัวให้เพื่อนร่วมห้องอยู่เหมือนกัน แต่ผมอ้าปากไม่ออกจริง ๆ หลังจากออกความคิดเรื่องกิจกรรมงานลอยกระทง เขาก็มาช่วยงานกีฬาประเพณีอีก ทั้งวิจารณ์และเสนอความคิดตกแต่งชุดพาเหรด แก้ไขแทบทุกจุดที่เขาไม่เห็นด้วยจนเถียงกับริชชี่ไปหลายยกกว่าจะรอมชอมกันได้ แต่ชุดที่ริชชี่ออกแบบก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วมากกว่าครึ่ง หมอกพยายามจะยื่นมือเข้ามายุ่งกับแบบชุดของผมด้วย แต่ผมรีบออกตัวว่าปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว เขาจึงยอมดึงมือกลับ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจอยู่ในเวลานี้ หมอกพยายามซักไซ้ผมเรื่องพี่อิศร์ แต่ผมไม่พูดอะไรมาก
แล้วพอได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ สโนว์ก็หันมามองหน้าผมอย่างจริงจัง
             “และฉันคิดว่ามันกำลังจะแข่งกับแกด้วย ตินติน”
             “ไม่หรอก คิดมากไปแล้ว” ผมพูดปัดไป ทั้ง ๆ ที่ในใจนึกเห็นด้วย ระยะหลังเขาดูสนใจคะแนนสอบของผมมาก โดยเฉพาะวิชาภาษาเยอรมัน ผมยังได้คะแนนมากกว่าเขาทุกครั้งที่มีการสอบเก็บคะแนน หมอกจะเข้ามาแสดงความยินดีกับผม แต่ผมไม่รู้สึกว่าเขายินดีด้วยเลย ผมยังรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป มันเหมือนกับผมกำลังถูกสอดแนมอยู่ในทุก ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัวอื่น ๆ
             “ไม่นะ มันแข่งกับแกแน่ ๆ มันอยากชนะแกจะตาย ฉันดูออก เรื่องคะแนนวิชาภาษาเยอรมัน” สโนว์ยืนยันหนักแน่น
             “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งแก” ผมยังไม่อยากอคติกับรูมเมตตัวเองถึงขนาดนั้น แต่ยอมรับตรง ๆ ว่าอีกใจหนึ่งนั้นสาบานเลยครับว่า ผมจะไม่ยอมเสียโล่คะแนนสูงสุดวิชาภาษาเยอรมันให้ใครเด็ดขาด
             “ฉันว่าหมอกมันมีนิสัยชอบเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ อยากให้มีคนสนใจ อยากเป็นคนเด่น เป็นคนที่ใคร ๆ ยอมรับ ไม่ถูกมองข้ามไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติแหละ ใคร ๆ ก็เป็นกัน” ม้าหมุนพูด แล้วก็สรุปสั้น ๆ ว่า
             “มันคงไม่ได้มีใจคิดร้ายอะไรหรอก แต่ชนะคนอื่นได้ก็ดี”
             ตัดจบแบบไม่มีใครอยากถกเรื่องนี้กันต่อเลยครับ ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมล่ะว่า ม้าหมุนดูคนเก่งแค่ไหน

                                                                    **********

             ยิ่งใกล้วันงานกีฬาประเพณี อุณหภูมิของอากาศในกรุงเทพฯ ก็ยิ่งต่ำลง ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยมีปีไหนที่อากาศหนาวเท่าปีนั้นอีกหรือไม่ ตอนเช้าถึงกับหายใจออกมาเป็นไอขาว ๆ ผมต้องซื้อแจ็กเกตกันหนาวและเสื้อสเว็ตเตอร์หลายตัว เอาไว้ใส่ทับชุดนักเรียนมาโรงเรียน ทุกคนสนุกกันมาก ยิ่งอากาศหนาวเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ เพราะรู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอกอย่างไรอย่างนั้น จับกลุ่มถ่ายรูปกันแทบทุกวัน แฟชั่นนิสต้าตัวแม่อย่างริชชี่เปลี่ยนผ้าพันคอแทบทุกวัน เก๋ไก๋ไม่ยอมน้อยหน้าใคร
             หลังเลิกเรียน พวกผมก็จับกลุ่มกันทำชุดสำหรับขบวนพาเหรดอยู่หลังตึก อุปกรณ์ต่าง ๆ เกลื่อนเต็มพื้นไปหมด คนทำก็นั่งกับพื้นด้วย สาว ๆ โรงเรียนผมไม่มีใครนั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมกันเลย มีแต่นั่งขัดสมาธิแล้วจับกระโปรงยัดเข้าระหว่างขาทั้งสองข้าง เปิดหัวเข่าขาว ๆ ถึงนั่งบนม้านั่งหรือเก้าอี้ก็นั่งกันแบบนี้แหละ น้อยคนมากที่จะเอากระโปรงคลุมเข่าให้ดูเรียบร้อย ไม่ต้องหวาดเสียวกลัวจะมีอะไรลับ ๆ หลุดออกมาให้คนอื่นเห็น คนหนึ่งในจำนวนน้อยนั้นก็คือม้าหมุน ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ แต่เธอก็เป็นอย่างนั้นแหละ เธอกำลังนั่งตัดถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อเป็นชิ้น ๆ แล้วส่งให้ผมแปะติดบนโครงลวดให้เป็นลวดลายอย่างที่ต้องการ ตั้งใจจะทำให้เป็นชุดเกาะอกกระโปรงสุ่มไก่สีขาวลายสีเขียวสด แต่เพราะอากาศที่หนาวขึ้นผิดคาดทำให้ผมคิดว่าเวลาเข้าขบวนคงต้องหาแจ็กเกตสีดำเท่ ๆ ให้ใส่กันหนาว
             ระหว่างที่ทำงานกันอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแฟชั่นนิสต้าประจำสายของเราบ่นลั่น ๆ ว่า
             “โอ๊ย อีดอกกุหลาบนี่ก็พับยากพับเย็นจริงจริ๊ง กว่าจะเสร็จแต่ละดอก เหนื่อยจะตายชัก”
             ผมหันไปมอง ริชชี่นั่งอยู่กลางกลุ่มห่างออกไปไกลพอควร กำลังบ่นกระปอดกระแปด ขณะที่มือก็พับกระดาษนิตยสารไปด้วย
             “หนึ่งชั่วโมงพับได้หนึ่งดอก กว่าจะพอประดับชุดได้ทั้งชุด มิเสร็จชาติหน้าหรือยะ”
              เขามองดอกไม้ที่พับเสร็จแล้วกองอยู่บนพื้น มีอยู่แค่ไม่กี่ดอกเท่านั้น ชุดที่เขาออกแบบไว้เป็นเดรสยาวหางปลาลากพื้น ทำจากดอกกุหลาบเย็บติดกัน ต้องใช้ดอกกุหลาบเป็นสิบ ๆ ดอก ไม่รวมช่อกุหลาบที่นางแบบจะต้องถือด้วย
              “พับให้เร็วขึ้นอีกได้ไหมล่ะ” ป้ากุล รองประธานตึกขอความเห็น เธอมองกองดอกไม้ด้วยความไม่สบายใจเหมือนกัน
              “หรือเอาคนช่วยพับเพิ่ม ทางนี้ช่วยกันสองสามคนก็พอ”
              “เพิ่มอีกร้อยคนก็ไม่มีประโยชน์ค่ะคุณป้า เพราะมันพับยาก” ริชชี่จีบปากจีบคอตอบ “แล้วอีคนต้นคิดเปลี่ยนให้เป็นดอกกุหลาบก็ดันไม่อยู่ช่วยอีก วุ้ย”
              “หมอกมีซ้อมวงโย” ป้ากุลแก้ตัวแทน แต่สีหน้าก็ติดจะเคร่งเครียด
              “ค่ะ ซ้อมทู้กวัน” ริชชี่ค้อนลมค้อนแล้งเหมือนอยากจะส่งไปให้ถึงคนที่ถูกเอ่ยชื่อแต่ไม่ได้อยู่ในที่นั้น “ไม่เคยโผล่หน้ามาดู พระนางเจ้าอยู่วงเดียวกันแท้ ๆ ยังมาช่วยเลย”
              “แล้วจะเอายังไง”
              “เปลี่ยนเป็นดอกคาร์เนชั่นอย่างเดิมดีไหม แค่พับถุงพลาสติกซ้อน ๆ กัน เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ มันไม่สวยเลิศเหมือนดอกกุหลาบก็จริง แต่ทำง่ายกว่า เสร็จเร็วกว่าด้วย”
              “เออ ก็ดีเหมือนกันนะ” ป้ากุลเห็นด้วย “เรามีถุงพลาสติกตั้งเยอะ หรือถ้าไม่พอก็โทรบอกมิ้วให้ซื้อมาเพิ่มได้ บ้านอยู่สำเพ็งอยู่แล้ว”
              “หวังว่าพอเปลี่ยนเป็นคาร์เนชั่นแล้วจะไม่มีคนมาโวยวายนะ”
              “เถอะ ช่างเขา ก็ทำดอกกุหลาบแล้วมันมีปัญหาก็ต้องเปลี่ยนวิธี ตัวเองก็ไม่ได้อยู่ช่วยทำ จะโวยวายได้ยังไง” ป้ากุลตัดสินใจเด็ดขาดสมตำแหน่ง
              สโนว์ใช้ศอกกระทุ้งผม สีหน้าเหมือนอยากจะบอกว่าเห็นไหมล่ะ แต่ผมไม่อยากเออออด้วยต่อหน้าคนมากมายก็เลยส่ายหน้า เร่งให้เธอตัดถุงพลาสติกส่งมาให้เพิ่ม
              ชุดที่ผมออกแบบอีกชุดหนึ่งเป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวตัดจากถุงดำขนาดใหญ่ แบบง่าย ๆ ตัดได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ที่ใช้เวลาทำนานหน่อยก็คือการใช้เชือกฟางถักเป็นลายแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าซาชิโกะ ปักทั่วตัวเป็นลายดอกไม้หกกลีบต่อ ๆ กัน พื้นสีดำ ใช้เชือกฟางสีไหนปักก็ขึ้น ผมให้ม้าหมุนเป็นคนปัก ซาชิโกะปักง่าย แค่ใช้ด้นตะลุยเท่านั้น ม้าหมุนเลือกปักแบบไล่เฉดจากสีขาวมาเป็นสีชมพูเข้ม ออกมาสวยดั่งใจ ชุดที่เสร็จแล้วถูกจัดเก็บอย่างดีเตรียมขนไปที่โรงเรียนเจ้าภาพซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระรามสี่
              ทุกคนตื่นเต้นที่ครั้งนี้เราเป็นฝ่ายไปเยือน ก็ไม่ได้มีโอกาสบ่อยมากนักนี่ครับที่จะได้เข้าไปในรั้วโรงเรียนที่สร้างนายทหารให้ประเทศ วงโยธวาทิตของสองโรงเรียนตั้งแถวรวมกันอยู่หน้าตึกกองบังคับการกรมนักเรียน นักดนตรีเจ้าบ้านใส่เครื่องแบบชุดพิเศษ เสื้อนอกสีกรมท่า กางเกงขายาวสีขาว ส่วนฝ่ายแขกผู้มาเยือนใส่เครื่องแบบสีขาวขลิบแดง สวมหมวกสีขาวติดพู่ ดรัมเมเยอร์ฝ่ายหญิงใส่ชุดกระโปรงสีเทา เสื้อกั๊กสีชมพู ฝ่ายชายเป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียนเจ้าภาพ ใส่ชุดพิเศษเต็มยศ คล้องสายสะพายเขียนชื่อโรงเรียน ตามด้วยขบวนธง ขบวนอัญเชิญสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน ขบวนพาเหรดแฟนซีละลานตา
ผมเป็นทีมงานเบื้องหลังตามเคย รีบแต่งตัวให้สาว ๆ จนเสร็จแล้วส่งเข้าขบวน จากนั้นผมก็เปลี่ยนหน้าที่เป็นตากล้อง คอยจับภาพให้เพื่อน ๆ สโนว์ใส่ชุดสีขาวกระโปรงสุ่ม แต่งหน้าสวย เดินยิ้มหวานตามหลังจูนซึ่งใส่ชุดไทยสีแดงสดลายทอง ถือป้ายชื่อตึกศิลปะ
              ถัดจากขบวนพาเหรดคือการแสดงของแต่ละโรงเรียน ผมไม่ค่อยสนใจจินตลีลาประกอบเพลงของโรงเรียนตัวเองเท่าไหร่นักหรอก แต่ตั้งตาคอยชมการแสดงของโรงเรียนเจ้าภาพมากกว่า โดยเฉพาะช่วงแฟนซีดริล นักเรียนโรงเรียนเจ้าภาพใส่ชุดพิเศษ ถืออาวุธปืน ยืนตั้งแถวแปรขบวนประกอบดนตรี แต่ละคนจับยกอาวุธประจำมืออย่างคล่องแคล่ว เคลื่อนไหวร่างกายเป็นคลื่นอย่างพร้อมเพรียง เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมไม่ขาดระยะ ผมยังชอบการแสดงการช่วยเหลือตัวประกันด้วย หน่วยจู่โจมแต่งตัวด้วยชุดมิดชิดสีดำสนิทปฏิบัติการอย่างสมจริง มีทั้งเสียงปืนเสียงระเบิดกับพลุควันสารพัดสีคลุ้งไปทั่วสนาม คนดูปรบมือกันลั่น ผมเองก็ตื่นเต้น ถ่ายรูปจนฟิล์มแทบหมดม้วน
              หลังพาเหรดและการแสดงจะเป็นการแข่งกีฬา ที่แข่งกันจริงจังหน่อยก็คือฟุตบอลกับบาสเกตบอล แล้วก็ยังมีกีฬาขำขันอย่างวิ่งกระสอบหรือชักเย่อให้ได้สนุกกัน แต่สำหรับผมกับเพื่อน ๆ จบโชว์ก็ถือว่าจบสิ้นภารกิจแล้วครับ ที่เหลือก็ให้น้อง ๆ ขึ้นแสตนด์เชียร์กันไป แยกกันคนละฝั่ง ต่างฝ่ายต่างร้องเพลงเชียร์กันอย่างแข็งขัน โรงเรียนเจ้าบ้านไม่มีผู้หญิง ฝ่ายเราจึงต้องให้ยืมตัวเชียร์ลีดเดอร์ไปหลายคน ส่วนผลแพ้ชนะก็เห็น ๆ กัน คนธรรมดาหรือจะสู้พวกที่ฝึกร่างกายมาเป็นอย่างดีได้ อย่างแข่งฟุตบอลนี่ ถ้าแพ้สักสามต่อศูนย์ก็ถือว่าไม่แย่เท่าไหร่แล้วครับ
              ขบวนชุดรีไซเคิลของตึกผมได้รับคำชมอย่างมากมาย มีนักเรียนฝ่ายเจ้าภาพเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยไม่ขาดสาย ที่ถูกรุมเยอะหน่อยก็เห็นจะไม่พ้นจูน สาวสวยคนถือป้ายตึกของเรา ยืนยิ้มหวานเห็นลักยิ้มน่ารักอยู่กลางกลุ่มหนุ่ม ๆ หัวเกรียนใส่ชุดวอร์มสีน้ำเงิน สโนว์ก็ป๊อบปูลาร์ไม่หยอกเหมือนกัน มีหนุ่ม ๆ ว่าที่นายทหารในอนาคตมาขอถ่ายรูปด้วยหลายคน เห็นทีงานนี้เธอคงมีหนุ่มสักคนมาขอแลกพระเกี้ยวแน่ ๆ ไม่ต้องพึ่งพาเพื่อนของเพื่อนเหมือนเมื่อปีที่แล้วอีกต่อไป
              เราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งตอนหลังพระนางเจ้าพาเพื่อนหนุ่ม ๆ ของเธอเข้ามาสมทบก็ยิ่งครึกครื้นเพราะกับบางคนก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่ กล้องถ่ายรูปถูกเปลี่ยนมือเวียนกันไปเพื่อให้ทุกคนได้มีรูปร่วมกัน ผมเห็นคนเข้าเฟรมเยอะก็คิดว่าตัวเองที่ยืนอยู่ตรงมุมคงจะหลุดเฟรมเป็นแน่แท้จึงถอยออกมา ไม่ทันเห็นว่ามีใครยืนอยู่ข้าง ๆ ผมจึงชนเข้าเต็มที่
              “ขอโทษครับ” สองเสียงประสานกันพอดี ผมก็เลยยิ้มนิด ๆ พร้อมกับก้มหัวให้เขา คนที่โดนผมชนเป็นเด็กหนุ่มหัวเกรียน ใส่ชุดวอร์มสีน้ำเงินเหมือนคนอื่น ๆ เขาตัวเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย แต่ล่ำหนากว่า ผิวน่าจะขาว แต่คงเพราะฝึกหนักกลางแจ้งจึงกลายเป็นคล้ำแดด หน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น นอกจากตาชั้นเดียวที่ทำให้พอจะเดาได้ว่าคงมีเชื้อจีนแน่ ๆ
              “ขอโทษครับที่ชนคุณ” ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนผิด แต่เขาก็ขอโทษผมอีกครั้งอย่างสุภาพ นักเรียนโรงเรียนนี้น่าจะถูกเคี่ยวมาหนักมากเรื่องมารยาท ให้สมกับที่เรียกตัวเองว่าสุภาพบุรุษแห่งถนนพระรามสี่ ผมอดนึกถึงพี่อิศร์ พี่ธาม พี่ไพรด์ และเหล่าเพื่อน ๆ ของพวกเขาไม่ได้ มันช่างแตกต่างกันแบบไกลสุดกู่จริง ๆ
             “คุณไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมสิต้องขอโทษ ผมเป็นคนชนคุณนะครับ” เมื่อเขาพูดสุภาพมา ผมก็ต้องพูดสุภาพตอบ แล้วก็ดูเหมือนจะหมดเรื่องพูดกันเพียงเท่านั้น เราสองคนคงยืนเฉย ๆ ถ้าพระนางเจ้าที่ยังใส่เครื่องแบบวงโยอยู่ไม่หันมาเห็นเข้า
            “ตินติน รู้จักเทียนแล้วใช่ไหม” เธอถามเสียงดัง ใครต่อใครก็เลยหันมามองด้วยความสนใจ ผมรีบส่ายหน้า สารภาพว่า
“ไม่รู้จัก แต่เมื่อกี้ฉันเดินชนเพื่อนแก”
            “อ้อ งั้นก็รู้จักกันเสียเลยแล้วกัน นี่เพื่อนเราชื่อตินติน คนออกแบบชุดสีขาวกับสีดำที่เธอบอกว่าสวยไงเทียน” เธอพูดเร็วปรื๋อ แล้วหันมาพูดกับผมบ้าง “ส่วนนี่ก็เทียนนะ เพื่อนของเพื่อนฉันเองแก ว่าที่นายทหารอากาศอนาคตไกล เทียนเรียนเก่งมากเลยนะ ตรงนี้เหมือนแกเปี๊ยบเลยตินติน”
            ผมยิ้มให้เขาอีก เขาก็ยิ้มตอบ ท่าทางดูกระดากเมื่อได้ยินคนอื่นบรรยายสรรพคุณของตัวเอง
            “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ผมยื่นมือให้โดยไม่ได้คิดอะไร เขาก็จับมือผมเขย่าตามมารยาท
            “ยินดีเช่นกันครับคุณตินติน”
            ผมกลืนน้ำลาย ชื่อเล่นผมมันดูมุ้งมิ้งไปหน่อย (ความผิดของพยับคนเดียว) สาว ๆ เรียกก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับ แต่นักเรียนเตรียมทหารหน้าตาขึงขังอย่างเขาเรียกผมแบบนี้แถมยังใช้คำนำหน้าว่าคุณมันฟังดูตลกยังไงก็ไม่รู้ ผมก็เลยบอกเขาว่า
           “เรียกติณเถอะครับ ผมชื่อติณ พยางค์เดียว ไอ้พวกนี้มาเติมทีหลังเอาเองตามใจชอบเป็นตินติน”
           “ตกลงครับ คุณติณ”
           สโนว์กับม้าหมุนเดินมาหาผม บอกว่าจะไปเปลี่ยนชุด สองสาวมองเพื่อนใหม่ของผมอย่างสนใจ ผมจึงได้โอกาสแนะนำให้รู้จักกัน เทียนสุภาพมากจนม้าหมุนกับสโนว์ตัวเกร็งโดยไม่รู้ตัว
           “คุณติณจะไปดูกีฬาอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามผม ผมส่ายหน้าทันที
           “คงไม่ดูหรอก ผมไม่ชอบดูกีฬา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ อีกนานกว่าจะถึงงานเลี้ยงตอนเย็น พวกแกว่าไง” สุดท้ายผมหันไปถามเพื่อนสนิททั้งสองคน แต่ก็ไม่มีใครคิดอะไรออก
           “ถ้าพวกคุณไม่มีแผนจะทำอะไรก็ให้เกียรติผมกับเพื่อน ๆ พาพวกคุณชมโรงเรียนนะครับ”
           เทียนพูดแทนทุกคน แต่มองมาที่ผม ผมคิดว่าข้อเสนอของเขาเข้าท่า เพราะถ้าให้พวกเราเดินดุ่ม ๆ สำรวจโรงเรียนคนอื่นกันเองมันก็คงดูแปลก ๆ ผมก็เลยพยักหน้าตกลง
           เมื่อพวกเราได้อยู่กันตามลำพังในห้องที่เจ้าภาพจัดไว้เป็นห้องแต่งตัวของแขก ผมช่วยสโนว์เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ม้าหมุนกลับนั่งมองเฉย ๆ
           “หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึเปล่าวะ มองเอา ๆ มีอะไรรึเปล่าหมุน” ผมถาม รู้สึกสะกิดใจว่าเธอมองผมด้วยสายตามีเลศนัยพิกล
           “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” ม้าหมุนปฏิเสธไว้ก่อนแล้วค่อยเพิ่มเติมว่า “แค่รู้สึกว่าเพื่อนเราน่าจะมีนายทหารในอนาคตมาชอบเข้าแล้วล่ะ”
           สโนว์ตาโต ก่อนจะหัวเราะคิก ๆ ผมงี้หน้าร้อน เพราะรู้ว่าหมายถึงตัวเอง จึงกลบเกลื่อนด้วยการเอ็ดเพื่อนเสียงดัง
            “อย่าพูดอะไรเหลวไหล! ไม่มีใครชอบใครทั้งนั้นแหละ!”
                   
                                                                            **********

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
           เทียนเป็นไกด์นำผมกับเพื่อน ๆ ชมโรงเรียนของเขา เราไปกันเป็นกลุ่ม มีเพื่อนของเขามาด้วยอีกสองสามคน โรงเรียนของเขากว้างขวางมาก ไม่แพ้โรงเรียนของพวกผม ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นตึกสูง ๆ รายล้อม เป็นโอเอซิสกลางเมืองใหญ่ไม่แตกต่างกัน
           ผมไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าที่คิดเอาไว้ เพราะตึกเรียนมันก็หน้าตาเหมือน ๆ กันหมด มีแค่เครื่องบินจำลองลำโตกับชื่อตึกที่พอเรียกความสนใจจากพวกผมได้บ้าง ชื่อก็สมกับเป็นสถานที่ของทหาร พัน. ๑ ร้อย. ๒ เขียนด้วยเลขไทยเสียด้วย ผมพอรู้อยู่บ้างว่ากองทัพเขาก็แบ่งเป็นกองพัน กองร้อย อะไรแบบนี้ แล้วทหารแต่ละคนก็จะต้องมีสังกัด เช่น อยู่หมวดที่หนึ่ง กองร้อยสอง กองพันหนึ่ง ไกด์กิตติมศักดิ์อธิบายสังกัดของเขาให้ผมฟังเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้เสียแล้ว รู้แค่ว่าอยู่เหล่าทหารอากาศเท่านั้น
ระหว่างที่เดินชมโรงเรียนก็มีนายทหารสองสามคนใส่เครื่องแบบเดินผ่านมาบ้าง พวกผมยกมือไหว้ ส่วนไกด์ยกมือขึ้นตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน นายทหารที่คงจะเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนนี้ยิ้มอย่างใจดีเมื่อเห็นเราสองโรงเรียนเดินด้วยกันเป็นกลุ่มเดียวกัน
            “พาเพื่อนเที่ยวชมโรงเรียนหรือ ดีแล้ว ๆ”
            เทียนไม่ได้พาพวกผมเดินไปถึงข้างบนตึก แต่จากที่เขาเล่าให้ฟังก็พอทำให้ผมนึกภาพออกถึงบรรยากาศของโรงเรียนประจำ มีเตียงนอนเรียงเป็นแถว ล็อกเกอร์แคบ ๆ เอาไว้เก็บของอยู่ที่ปลายเตียง บนผนังห้องติดรูปดารานักร้องหรืออะไรก็ตามที่ชอบก็ได้ ทุกคนกินนอนอยู่ด้วยกันทุกวัน สนิทสนมกัน และเมื่อคิดว่าพวกเขาก็ยังเป็นวัยรุ่น ผมจึงไม่แปลกใจเมื่อเขาเล่าถึงสงครามปาหมอนอย่างสนุกสนาน
            “โดนซ่อมหนักด้วยใช่ไหม” ม้าหมุนสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ เทียนกับเพื่อน ๆ อมยิ้ม
            “เขาเรียกการปรับปรุงวินัย”
            “มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ม้าหมุนไม่สนใจ “แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ”
            “วิดพื้น ดึงข้อ ดันพื้น ซิตอัพ พุ่งหลัง” เทียนสาธยาย “ปีหนึ่งก็จะโดนมากหน่อย เพราะเราต้องเป็นผู้ปฎิบัติตามคำสั่ง เป็นผู้ตามอย่างเดียว เรื่องวินัย การเคารพรุ่นพี่เป็นเรื่องสำคัญของคนเป็นทหาร”
            “อย่างนี้รุ่นพี่จะทำอะไรก็ได้สิ” เธอสงสัย
            “ไม่หรอก เรามีกฎมีระเบียบ ห้ามแตะเนื้อต้องตัว ห้ามเตะ ห้ามต่อย เวลาลงโทษหรือปรับปรุงวินัยก็ใช้วิธีการอย่างที่บอก”
             “เป็นทหารนี่เรื่องเยอะนะ กฎระเบียบอะไรยุบยิบไปหมด” ม้าหมุนนิ่วหน้า ถ้าเป็นเธอก็อาจจะทนไม่ไหวเพราะไม่ชอบอะไรจุกจิก และม้าหมุนก็เป็นตัวของตัวเองมาก
             “กินข้าวก็ต้องมีระเบียบนะ รู้ไหม” เพื่อนของเทียนเสริม ท่าทางสนุกเมื่อเห็นหน้าเหวอ ๆ ของเพื่อนใหม่ต่างโรงเรียน
              “กินข้าวต้องไม่ให้มีเสียงช้อนส้อมกระทบจาน ไม่งั้นโดนทำโทษ ก่อนกินก็ต้องฝึกขัดฉาก” พูดแล้วก็สาธิตให้ดูเสร็จสรรพ ยกสองแขนซ้อนกันทำมุมสี่สิบห้าองศาเป๊ะ ม้าหมุนเห็นก็ทำหน้าสยดสยอง ร้องว่า
              “โอ๊ย เมื่อยแย่! เราไม่มีทางทำได้เด็ดขาด!”
               ผมก็ทำไม่ได้ครับ ถึงได้ไม่คิดจะเรียน ร. ด. กะว่าจะไปลุ้นเอาตอนจับใบดำใบแดงเลยและหวังว่าผมจะไม่ต้องใช้ ‘ทางลัด’ เป็นวิธีสุดท้ายก็แล้วกัน
               “พวกเทียนนี่เก่งเนอะ เรียนด้วยฝึกหนักด้วย จบไปต้องกลายเป็นยอดมนุษย์แน่ ๆ” สโนว์ชม
                ยอดมนุษย์เหรอ สโนว์เข้าใจเปรียบ พวกเขาคงเป็นยอดมนุษย์ได้จริง ๆ นั่นแหละ เป็นจากการฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่งติดต่อกันเป็นเวลานาน แตกต่างจากยอดมนุษย์โดยกำเนิดอย่างซูเปอร์แมนหรือเป็นผลพวงจากการถูกแมงมุมกัดแบบสไปเดอร์แมน
                “คุณติณก็คิดว่าพวกผมเป็นยอดมนุษย์เหมือนกันหรือครับ” เทียนถามเมื่อเห็นผมยิ้ม
                “เอ่อ... ผมว่าพวกคุณเป็นคนธรรมดาที่มีความขยันและมุ่งมั่นมากกว่าครับ”
                “ดีใจจังครับ ผมไม่อยากเป็นยอดมนุษย์ แล้วก็คงจะไม่มีวันเป็นได้ด้วย” เขามองผมด้วยสายตาจริงจัง “ผมขอเป็นคนธรรมดาที่มีอิสระจะทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจต้องการดีกว่า ว่าไหมครับ”

                                                                   **********

                   ตอนเย็นเป็นงานเลี้ยงฉลอง โรงเรียนเจ้าภาพจัดเวทีและการแสดงดนตรีให้ความเพลิดเพลินแก่ทุกคน วงดนตรีของโรงเรียนผมก็ร่วมแจมด้วย เล่นเพลงจังหวะสนุก ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ให้ทุกคนได้ร่วมร้องร่วมเต้นกันอย่างสนุกสนาน
ผมไม่สู้ที่จะไปเต้นเย้ว ๆ กับคนอื่นอีกมากมายที่หน้าเวทีจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะกับสโนว์และม้าหมุน เราเลือกนั่งโต๊ะเดียวกับกลุ่มของจันทร์เจ้าและพระนางเจ้า ไม่มีนักเรียนโรงเรียนเจ้าภาพนั่งโต๊ะเดียวกับพวกผม พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะข้าง ๆ แต่ก็ขยับเก้าอี้หันหน้ามาคุยด้วยเป็นระยะ ๆ
                   เนื่องจากเป็นผู้ชายคนเดียวในโต๊ะ ผมจึงรับหน้าที่เป็นคนไปเอาอาหารกับเครื่องดื่มมาให้เพื่อน ๆ เจ้าภาพจัดอาหารไว้เป็นจาน ๆ ให้หยิบได้สะดวก ผมก็เข้าไปต่อแถวตามปกติ นักเรียนเจ้าภาพเห็นแขกของโรงเรียนมาต่อคิวรออาหารก็พากันสละคิวให้ผมได้รับอาหารก่อน แต่ผมเกรงใจก็เลยบอกปัดไปว่าไม่เป็นไร ยื้อกันอยู่พักใหญ่เชียวครับกว่าพวกเขาจะยอม ผมคงเป็นผู้ชายด้วยแหละเขาก็เลยไม่เซ้าซี้มาก แต่ถ้าเป็นผู้หญิงล่ะก็ ผมเห็นว่าที่นายทหารในอนาคตแหวกทางเป็นช่องให้เดินเลยทีเดียว นัยว่าเป็นมารยาท เป็นสิ่งที่ยึดมั่นว่าต้องให้เกียรติแก่สุภาพสตรีเสมอ
                  นี่กระมังครับสาเหตุที่พวกเขาสามารถเรียกตัวเองได้ว่า สุภาพบุรุษแห่งถนนพระรามสี่
                  ผมกลั้นยิ้มสุดความสามารถ ไม่ได้ขำที่เห็นว่าที่นายทหารหัวเกรียนแตกฮือเหมือนฝูงผึ้ง แล้วพากันยืนตัวตรงแน่วเรียงกันเป็นแถว อกผายไหล่ผึ่ง ทำท่าเหมือนกำลังรักษาระเบียบแถวอยู่ในพิธีสวนสนามราวกับถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้ทำอย่างนั้นเมื่อเห็นผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้ แต่ผมขำนักเรียนหญิงโรงเรียนผมมากกว่า พวกเธอเคยเจอแต่นักเรียนชายบ้า ๆ ห่าม ๆ หรือไม่ก็เนิร์ดบ้าเรียนไปเลย ไม่เคยเจอผู้ชายทั้งกลุ่มหลีกทางให้เดินด้วยการตั้งแถวขนาบสองข้างแบบนี้มาก่อน พวกเธอก็เลยรู้สึกตกใจ หน้าเหวอ ทำตัวไม่ค่อยจะถูก พาลไม่กล้าเดิน แล้วก็เลี่ยงไปทางอื่น ส่วนคนที่กล้าเดินผ่านแถวว่าที่นายทหารก็มักจะหน้าแดง รู้สึกเขินจนตัวแทบจะบิดเป็นเกลียว ผมเห็นแล้วอยากรู้มากเลยครับว่าพวกเธอต้องใช้พลังใจมากมายแค่ไหนถึงสามารถเดินได้อย่างเป็นปกติ ไม่หลุดกรี๊ดออกมาเสียก่อน
                   พอกลับมาถึงที่โต๊ะ เล่าเรื่องนี้ให้สโนว์ฟังปุ๊บ ผมก็ไม่ต้องลุกไปเอาอาหารหรือเครื่องดื่มอีกเลยครับ สโนว์จะรีบรับอาสาพร้อมกับดึงมือม้าหมุนให้ไปเป็นเพื่อนทุกครั้ง กลับมาก็จะนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมเดาได้เลยครับว่ายายสโนว์เพื่อนรักของผมกำลังจินตนาการว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงที่รายล้อมไปด้วยองครักษ์ร่างกายกำยำเป็นกองทัพอยู่แน่ ๆ
                   ถูกใจแม่คนนี้นักล่ะครับ
                   เมื่อไม่ต้องลุกไปไหนอีก ผมก็นั่งจิบน้ำอัดลม ฟังเพลง ดูโน่นดูนี่เพลินไป หลายโต๊ะมีนักเรียนสองโรงเรียนนั่งอยู่ด้วยกัน ถึงจะไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันเพราะเสียงเพลงดังลั่นไปหมด แต่จากรอยยิ้มก็พอจะรู้ว่าคงคุยกันออกรสทีเดียว แล้วจากนั้นพวกเขาก็แลกสัญลักษณ์ของโรงเรียนแก่กันเป็นที่ระลึก
                   จักรดาวกับพระเกี้ยวสีเงิน
                   ผมเห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักอย่างจูนกับแพมถูกหนุ่ม ๆ มะรุมมะตุ้มขอแลกจักรดาวกับพระเกี้ยวกันใหญ่ ท่าทางวุ่นวายกันน่าดู สาว ๆ ก็ไม่ได้เตรียมพระเกี้ยวติดตัวกันมาคนละหลาย ๆ องค์เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาขอแลกมากขนาดนี้ ก็มีอยู่แค่ที่ประดับหน้าอกเอาไว้เท่านั้นกับที่เช่าสำรองไว้แค่องค์สององค์ หนุ่ม ๆ ที่ผิดหวังเพราะไม่ได้พระเกี้ยวจากสาวสวยโรงเรียนผมหน้าจ๋อยกันไปเป็นแถวอย่างน่าสงสาร
                   “ทำไมไม่มีใครมาแลกกับฉันมั่งเลยล่ะ” สโนว์บ่นอย่างเซ็ง ๆ หันไปทางโน้นทางนี้หวังว่าจะได้สบตากับว่าที่นายทหารในอนาคตสักคนและเขาคนนั้นก็เดินเข้ามาขอแลกพระเกี้ยวกับจักรดาว แต่ก็ไม่มีใครสบตาเจ้าหล่อนสักคน ผมชักสงสารก็พยายามช่วยด้วยการแนะนำว่า
                   “แกลองถอดเสื้อกันหนาวออกดูไหม แกใส่สเว็ตเตอร์อยู่อย่างนี้ ไม่มีใครเห็นพระเกี้ยว เขาคงคิดว่าแกไม่มีล่ะมั้ง”
                   สโนว์เห็นด้วย รีบทำตามทันที งานนี้เพื่อความทรงจำที่สวยงามก็ต้องยอมหนาวกันหน่อยล่ะครับ ส่วนม้าหมุนฟังผมกับสโนว์คุยกันแล้วส่ายหน้า
                   “ทำไมต้องรอใครมาแลกด้วยวะ ถ้าอยากได้ก็ไปขอแลกเองเลยสิ”
                   ม้าหมุนไม่ได้สนใจความโรแมนติกอะไรทั้งนั้น เธอพลาดไม่ได้ขอแลกกับใครเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้จึงอยากจะได้จักรดาวเป็นที่ระลึกถึงงานกีฬาประเพณีกับเขาบ้าง เธอเห็นเพื่อน ๆ ของพระนางเจ้านั่งคุยเฮฮาอยู่โต๊ะข้าง ๆ ก็ไม่คิดอะไรมาก ลุกเดินไปหาเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุด คุยอะไรกันนิดหนึ่ง แล้วเขาก็ส่งจักรดาวให้แลกกับพระเกี้ยวที่ม้าหมุนปลดจากหน้าอกเสื้อ
                   “เห็นไหม ได้ละ” ม้าหมุนชูจักรดาวสีทองแวววาวให้ผมกับสโนว์ดู แต่สโนว์ก็ยังอดบ่นไม่ได้ว่า
                   “แต่อย่างนี้มันไม่เหมือนกับที่ฉันคิดไว้อะ”
                   ผมนั่งมองสองสาวคุยกันอยู่เงียบ ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดที่แขน พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นเทียน เขายืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างกับผม แต่ลังเลไม่แน่ใจ ผมก็เลยเป็นฝ่ายถามเสียเอง
                   “มีอะไรกับผมรึเปล่าครับ”
                   “เอ้อ... รบกวนคุณติณตามผมไปทางโน้นหน่อยได้ไหมครับ” เขาอึกอักเล็กน้อยในตอนแรก แต่พอพูดออกมาได้แล้วก็พูดคล่องไม่ติดขัด เขาไม่ยอมบอกว่ามีธุระอะไรกับผม ดูท่าจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จริง ๆ ผมก็เลยลุกเดินตามเขาไป
                   “ตกลงมีเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมถาม หลังจากที่เราสองคนเดินออกมาจากงาน มาหยุดยืนอยู่ในที่ที่ไม่มีคนและปลอดจากเสียงเพลงเสียงดนตรีที่ทำให้ไม่สะดวกจะพูดจากัน เสียงหนวกหูพวกนั้นดังอยู่ไกล ๆ ทางด้านหลังเท่านั้น
                    ผมมองเขาอย่างสงสัย แต่เขาไม่ได้พูดอะไรตอบผมทั้งนั้น เทียนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบของบางอย่างออกมายื่นส่งให้
                   ในมือของเทียนคือจักรดาวสีทองที่ขัดอย่างดีจนขึ้นเงาวาววับ ผมเห็นคบเพลิง จักร ดาวห้าแฉกและช่อชัยพฤกษ์ที่ประกอบเป็นเครื่องหมายของโรงเรียนเตรียมทหารอย่างชัดเจน
                   มันออกจะชัดเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังเอ่ยปากถามอย่างไม่เข้าใจว่า
                   “จักรดาว... ทำไมเหรอครับ”
                   “ผมให้คุณติณ”
                   “แต่ผมไม่มีพระเกี้ยวสีเงินจะแลกด้วยหรอกนะ” ผมทำหน้าลำบากใจ กลัวเขาผิดหวัง “เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปเอาพระเกี้ยวของโนว์มาแลกกับคุณ โนว์เอามาหลายองค์”
                   พูดแล้วผมก็หันหลังจะเดินกลับ แต่นายทหารหนุ่มในอนาคตกลับรั้งแขนผมไว้
                   “ผมไม่ได้อยากได้พระเกี้ยวเงิน”
                   เขาสบตาผมอย่างจริงจังและผมเห็นความมุ่งมั่นแกมคาดหวังในดวงตาของเขา
                   “ผมชอบพระเกี้ยวสีทองมากกว่า”
                   คำพูดของเขาทำให้ผมใจเต้นเป็นจังหวะแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้
                   “ผมขอแลกจักรดาวกับพระเกี้ยวของคุณได้ไหมครับ คุณติณ”
                   เขาพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการเซ้าซี้ขอร้อง ถ้าผมปฏิเสธ เขาก็คงไม่ว่าอะไรอย่างแน่นอนและจะยอมรับแต่โดยดี ผมรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้สายตาของเขาแล้ว ผมพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
                   เทียนถอนหายใจดังเฮือก สีหน้าผ่อนคลายลง ก่อนจะเปิดยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เห็นแบบนั้นก็รู้เลยครับว่าเขากลั้นหายใจรอคำตอบของผม
                    ผมถอดสเว็ตเตอร์ที่ใส่ทับด้านนอกออก แล้วปลดพระเกี้ยวที่ประดับหน้าอกเสื้อส่งให้เขาพร้อมกับรับจักรดาวของเขามากำไว้ในมือ
                   “ขอบคุณมากครับ ผมจะเก็บเอาไว้อย่างดี” เทียนพูดอย่างหนักแน่นจนผมรู้สึกประหม่า แล้วก็เลยบอกเขาไปด้วยเรื่องที่ไม่เข้าท่าและน่าอายที่สุดว่า
                   “ผมไม่เคยขัดพระเกี้ยวเลยสักหน”
                   “ไม่เป็นไรเลยครับ” เทียนยิ้มอีก แล้วก็ชี้ไปที่จักรดาวของเขาในมือของผม “นั่นก็เหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่สีเริ่มหมองลง ผมจะขัดให้คุณเอง จักรดาวของผมกับพระเกี้ยวของคุณจะเป็นเงาแวววาวสวยงามตลอดไป”

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
พอจะอ่านแล้วรู้สึกน่าติดตามหรือสนุกสักนิดบ้างไหมคะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ถ้านิยายของ Mettnoon ได้ตีพิมพ์เป็นเล่มกระดาษแทน Ebook คิดว่าน่าจะมีคนสนใจจะซื้อเก็บไว้ไหมคะ

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พระเกี้ยว จักรดาว รู้ที่มาที่ไปแล้ว เหลือ ดอกแก้ว จะเป็นของใคร :katai1:

สรุปใครจะเป็นรักแรก พี่อิศร์หรือเทียน หรือจะเป็นรักสามเศร้า :katai1: :hao4:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
รูปถ่ายใบที่ 8
   รูปถ่ายจากด้านหลัง
   บนเวทีไม่ใหญ่นัก วงดนตรีกำลังแสดงอย่างสุดฝีมือ นักร้องนำผมยาวฟูเป็นเอกลักษณ์ หน้าเวทีคนดูเบียดเสียดเยียดยัด กลุ่มเด็กหนุ่มสาวเจ็ดแปดคนชูมือร้องตาม เด็กหนุ่มใส่แว่นตากอดคอเด็กผู้หญิงผมสั้นไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างเกาะบ่าเด็กหนุ่มผมเกรียน ตัวสูงพอ ๆ กัน
   กับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กสีน้ำตาล มีลายเซ็นนักร้องนำผมยาวฟู เขียนวันที่กำกับเอาไว้ชัดเจน

         “เฮ้ย ไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์กัน!”
         พระนางเจ้าโผล่พรวดมากลางวงที่ผมกับม้าหมุนและสโนว์กำลังแบ่งกันดูอัลบั้มรูปที่ถ่ายตอนวันงานกีฬาประเพณี ผมรวบรูปถ่ายสามสี่รูปที่แยกไว้ใส่ซองพลาสติกพลางเงยหน้าขึ้นยิ้ม
        “แกจะถ่ายมันทุกวันเลยรึไงวะพระนาง หรือมีตู้สติ๊กเกอร์ลายใหม่”
        ตอนนั้นรูปถ่ายสติ๊กเกอร์กำลังเป็นที่นิยมมาก ใครไม่มีถือว่าเชย จะติดอวดที่กระเป๋า กล่องใส่ดินสอ หรือที่ไหนก็ได้ บ้างก็มีสมุดสติ๊กเกอร์เป็นเรื่องเป็นราว เอาไว้สะสมรูปถ่ายสติ๊กเกอร์โดยเฉพาะ รุ่นของผมคนที่ได้ชื่อว่าเจ้าแม่สติ๊กเกอร์คือจูน สาวสวยประจำสายเยอรมันเห็นหน้าใครไม่ได้เป็นต้องทวง
        ‘ติ๊กเกอร์ ๆๆๆ’
         จะรู้จักไม่รู้จักเจ้าหล่อนขอแลกด้วยหมด แล้วก็ไม่ยักมีใครปฏิเสธ ขนาดกลุ่มผมที่ไม่ค่อยสนใจแฟชั่นอะไรแบบนี้ยังต้องไปแอ็คท่ากันอยู่หน้าตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์สีสันฉูดฉาดเพื่อให้ได้รูปมาแลกกับเธอเลยครับ อีกอย่างที่ฮิตกันก็คือสมุดออแกไนเซอร์หน้าปกพลาสติก เด็กนักเรียนสาว ๆ มีกันแทบทุกคน จูนก็ไม่พลาด เธอเดินถือออแกไนเซอร์คู่กับสมุดสติ๊กเกอร์ไปทั่วโรงเรียนจนเก็บสะสมรูปถ่ายสติ๊กเกอร์ได้เป็นคอลเล็คชั่น นี่ถ้าผมไปถ่ายรูปกับพระนางเจ้าอีก รูปหนึ่งก็ต้องเก็บไว้แลกกับจูนนี่แหละครับ
         พระนางเจ้าหัวเราะ บอกว่า
         “ลายใหม่ก็ด้วย แล้วก็อยากให้ไปปาร์ตี้ด้วย เมศมันฝากมาชวน ไปกินบุฟเฟต์พิซซ่ากัน”
          เมศที่พูดถึงเป็นเพื่อนที่รู้จักกันจากงานกีฬาประเพณี เป็นเพื่อนของพระนางเจ้าและอยู่กลุ่มเดียวกับเทียน
           “ใครไปมั่ง” ผมถาม
           “ฉัน อีริชชี่ เมศ เปรม เทียน แล้วถ้าแกตกลงก็กลุ่มแกอีกสาม”
           “เมศชวนหรือใครชวนกันแน่” ม้าหมุนถามน้ำเสียงมีเลศนัย ผมละอยากเอาอัลบั้มรูปฟาดหน้าเพื่อนจริง ๆ บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าล้ออย่าแซว ไม่เคยเชื่อเลย
           “ทุกคนนั่นแหละ ตกลงไปด้วยกันนะพวกแก”
           “วันไหนล่ะ” ผมถาม
          พระนางเจ้าบอกวันเวลาและสถานที่นัดหมาย ผม ม้าหมุนกับสโนว์มองหน้ากัน ม้าหมุนเตือนว่า
          “แต่วันนั้นมีแข่งดนตรี”
           ผมนึกขึ้นได้ทันที วันนั้นเป็นวันแข่งดนตรีรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ เป็นงานใหญ่ จัดที่สยาม มีเครื่องดื่มน้ำดำยี่ห้อดังเป็นผู้สนับสนุนหลัก งานนี้วงของเพื่อนเก่าของม้าหมุนฝ่าฟันจนเข้ามาถึงรอบชิงได้ พวกผมจึงสัญญาว่าจะไปให้กำลังใจตอนขึ้นเวที
             “แข่งดนตรีอะไร” พระนางเจ้าถาม พอรู้รายละเอียดก็รีบโบกไม้โบกมือใหญ่
             “ไม่เป็นไรเล้ย เปลี่ยนไปกินพิซซ่ามื้อกลางวันก็ได้ ไม่เห็นยาก แล้วตอนเย็นก็ไปดูเพื่อนแกแข่งดนตรี”
              “ก็ดีเหมือนกันนะ ท่าทางน่าสนุกดี” สโนว์ว่า หันไปมองม้าหมุนที่คิดอยู่สักแป๊บก็พยักหน้าเห็นด้วย สองเสียงโหวตแล้ว ผมก็ไม่มีปัญหาครับ
              “ตกลงไป” ผมตอบคนมาชวนซึ่งพอรู้คำตอบแน่ชัดก็รีบวิ่งปร๋อไปทันที ท่าทางร่าเริงเป็นพิเศษนั้นชวนสะดุดใจจนผมออกปาก
              “อะไรของมัน แค่ถ่ายสติ๊กเกอร์ กินพิซซ่า ดีใจอะไรนักหนา”
              “ดีใจแทนคนอื่นมากกว่าล่ะมั้ง” ม้าหมุนพูดยิ้ม ๆ สบตากับสโนว์แบบรู้กัน จนผมต้องถลึงตาห้าม
              “พอ ๆ รีบดูรูป ตกลงจะอัดรูปไหนบ้าง จดมาเร็ว ๆ”
              ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะโดนล้อจนทำหน้าไม่ถูกมากไปกว่านี้

                                                                       **********

              สถานที่นัดพบคือร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดัง ผมมาตรงตามเวลาที่นัด แต่ปรากฏว่ามีคนมาถึงก่อนผมแล้ว เขานั่งรออยู่หน้าร้าน ตรงโซนด้านนอก ไม่ได้อยู่ในส่วนติดเครื่องปรับอากาศด้านใน คงเพราะข้างในคนเยอะมากจนแออัด เขาจึงเลือกนั่งในส่วนที่ไม่มีคน
             เทียนดูผิดตาไปเมื่อไม่ได้ใส่ชุดวอร์มสีน้ำเงินกรมท่าของโรงเรียน เขาใส่เสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ มองผาด ๆ ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นที่มาเดินเล่นสยามทั่วไป จะต่างก็ตรงที่ทรงผมที่ยังไงก็แตกต่างจากเด็กนักเรียนธรรมดาอยู่ดี
            “คุณติณ”
            เขาหันมาเห็นผมจึงเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อนพร้อมเปิดรอยยิ้มดีใจ ผมยิ้มตอบแล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา
             “สวัสดีครับ เทียน คนอื่น ๆ ยังไม่มาอีกเหรอ”
             ผมเรียกชื่อเขาเฉย ๆ เพราะไม่เคยและไม่ชินกับการเรียกเพื่อนวัยเดียวกันว่าคุณอย่างสุภาพขนาดนั้น ผมสงสัยว่านักเรียนที่จะกลายเป็นว่าที่นายทหารในอนาคตจะพูดจาสุภาพอย่างนี้ทุกคนไหม หรือจะเป็นแค่เฉพาะกลุ่มที่ผมได้เจอเท่านั้น
             “ยังไม่มีใครมาเลยครับ คุณติณนั่งก่อน เอาเครื่องดื่มอะไรไหมครับ ผมจะไปซื้อให้” เทียนอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจ ผมอยากบอกว่าไม่เป็นไร ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องบริการก็ได้ แต่ความกระตือรือร้นของเขาทำให้ผมพูดไม่บอก จึงพึมพำบอกไปส่ง ๆ ว่า
             “ชาเย็นก็แล้วกัน ขอบคุณมาก”
              ความจริงผมไม่ค่อยชอบชาใส่นมสักเท่าไหร่ แต่ไม่อยากให้เขาลำบากถ้าจะต้องไปสั่งอะไรยาว ๆ อย่างช็อกโกแลตแฟรปเป้ หวานน้อย เพิ่มโกโก้ เพิ่มวิปครีม อย่างที่ผมมักจะสั่งถ้ามาที่ร้านนี้ ผมก็เลยต้องนั่งเอาหลอดคนเครื่องดื่มสีน้ำตาลอมส้มตรงหน้าเล่นสลับกับยกขึ้นจิบนิดหน่อยเป็นระยะ ๆ
             “ทำไมยังไม่มีใครมาอีกนะ” ผมเปรยลอย ๆ เครื่องดื่มที่สั่งละลายจนแทบเป็นน้ำเปล่า ไอน้ำเกาะข้างแก้วเต็มไปหมด ถ้ากะเวลาดูก็น่าจะเกินสิบห้านาทีไปแล้ว ปกติก็ไม่สายกันถึงขนาดนี้นี่นา
              “คงกำลังมากันแหละครับ คุณติณเอาชาอีกแก้วไหมครับ ผมไปซื้อให้”
              ผมขอบคุณความมีน้ำใจของเขา แต่ผมดื่มชาใส่นมที่ไม่ได้ชอบอีกแก้วไม่ไหวหรอกจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
               ระหว่างที่รอ ผมกับเทียน เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ผมถามเขาเรื่องโรงเรียนและเรื่องทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับตัวเขานิดหน่อย ทำให้รู้ว่าเทียนเป็นคนกรุงเทพฯ มาจากครอบครัวคนจีนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เขาเป็นลูกคนเล็ก มีพี่ชายและพี่สาว พี่ชายคนโตรับช่วงกิจการของครอบครัวต่อ เขาจึงมีโอกาสเลือกอาชีพที่ตัวเองอยากเป็นได้
              เขาชอบเครื่องบิน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเป็นนักบินหรือวิศวกรสร้างเครื่องบินดี
              “เอาไว้ค่อยคิดตอนขึ้นเหล่าครับ ยังมีเวลาให้ตัดสินใจอีกนาน”
              เวลาพูดเรื่องเครื่องบิน สายตาของเขาเป็นประกาย ผมรู้จักสายตาแบบนั้นดีเพราะเหมือนกับตัวเองตอนพูดเรื่องหนังสือกับการ์ตูน น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักการ์ตูน นิยาย หรือหนังสืออื่น ๆ ที่ไม่ใช่หนังสือเรียนและหนังสือเกี่ยวกับเครื่องบิน ทำให้ดูเหมือนพูดกันคนละเรื่อง ไม่เหมือนตอนคุยกับพี่อิศร์ ผมอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ อาจจะเพราะอย่างนี้ผมจึงรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยและภาวนาให้เพื่อนคนอื่นมาถึงกันเร็ว ๆ แต่ก็กว่าครึ่งชั่วโมงนั่นแหละ พวกนั้นถึงค่อยยุรยาตรกันมาได้ มาเป็นกลุ่มเสียด้วย ผมนึกฉุนอยู่ในใจ จะวางแผนอะไรกันก็ทำได้ไม่เนียนเอาเสียเลย
              แต่ผมก็ไม่แสดงว่าโกรธหรือรู้ทัน ผมรู้สึกโล่งอกเสียมากกว่าเมื่อเห็นหน้าเพื่อน ๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองถอนหายใจออกมาหรือเปล่า แต่สีหน้าของผมสดใสกว่าตอนที่นั่งกันอยู่สองคนกับเทียนแน่นอน
              “มาช้านะพวกแก” ผมบ่นทันที
              “ขอโทษ ๆ” พระนางเจ้ารีบพูด แต่หน้าตาไม่ได้บอกเลยว่ารู้สึกผิด พอ ๆ กับริชชี่และเพื่อนสนิททั้งสองคนของผมเลย พวกเขานั่งลงที่โต๊ะแต่ไม่ได้สั่งเครื่องดื่มอะไร ผมไม่เห็นเพื่อนสองคนของเทียนจึงถามด้วยความสงสัย
              “เปรมกับเมศล่ะ ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ”
              “อยู่ที่ร้าน ฉันวานให้ไปจองโต๊ะ” พระนางเจ้าผู้เป็นตัวตั้งตัวดีตอบ
              พวกผมไม่มีใครอ้อยอิ่งอยู่ที่ร้านกาแฟอีก ต่างคนต่างบ่นหิวจึงพากันไปที่ร้านพิซซ่าเลย สองหนุ่มที่ถูกส่งให้ไปจองโต๊ะนั่งรออยู่แล้ว เขาทักทายพวกผมอย่างสุภาพ ทักทายกันเองยังสุภาพเลยครับ ผมนึกว่าจะพูดแบบนี้เฉพาะเวลาอยู่ในโรงเรียนเสียอีก แต่ดูเหมือนกลุ่มของเทียนจะเป็นแบบนี้เอง พวกเขาพูดคุยเล่นหัวกันอย่างเพื่อนสนิทโดยที่ไม่มีคำหยาบคายหลุดออกมาจากปากสักคำ
              “ปกตินักเรียนโรงเรียนคุณพูดเพราะกันอย่างนี้ทุกคนเลยหรือเปล่า” ผมอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ
               เทียนยิ้ม สั่นศีรษะ
              “ไม่หรอกครับ คนอื่นก็พูดเอ็งข้ากูมึงแล้วแต่ถนัด แต่พวกผมพูดกันอย่างนี้จนชินแล้ว”
                “กลุ่มเด็กเรียนมันก็ต้องยังงี้” ริชชี่วุ้ยว้ายใส่จริตตามปกติ แต่ปรายตามาที่ผมอย่างมีนัย “จะแนะนำใครให้เพื่อนรู้จักทั้งที เราไม่แนะนำพวกไม่ดี ๆ ให้หรอก จริงไหมแก”
              “ช่าย เราแนะนำคนดี ๆ ให้เพื่อนเท่าน้าน” พระนางเจ้ารับลูก เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริง ๆ โชคดีนะที่ม้าหมุนกับสโนว์ไม่ร่วมวงไปกับเขาด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงตีสีหน้าไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก
              “เอ้อ...สั่งกันเลยดีไหมครับ” เทียนเสนอ คงเขินเหมือนกัน เพื่อนแต่ละคนชงเข้มกันเบอร์นั้น เขาเหลือบมองผม คงกลัวผมอึดอัดหรือไม่ชอบ แต่เห็นผมยังเฉย ๆ เขาก็ดูโล่งใจขึ้น
               ตอนนั้นผมยังไม่รู้สึกชอบหรือเกลียดเทียน แค่รู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนที่น่าคบคนหนึ่งเท่านั้น ถึงจะโดนแซวโดนล้อบ้างก็ปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป ดีกว่าเสียมิตรภาพที่กำลังผลิบาน ผมคิดแค่นั้นเอง
                ผมเลือกหน้าพิซซ่าที่ชอบซึ่งเขาจะเสิร์ฟให้เป็นชิ้น ตอนนั้นมีแต่พิซซ่าแบบแป้งหนาซึ่งผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่เราก็เข้าร้านพิซซ่ากันบ่อย ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องรสชาติเลยครับ มันเป็นเรื่องความท้าทายอย่างอื่นล้วน ๆ
               นั่นก็คือสลัดบาร์
               “ตักสลัดกัน” ม้าหมุนลุกขึ้นประกาศด้วยท่าทางเหมือนจะลั่นกลองรบ ไม่ได้พูดอะไรเกินจริงนะครับ แต่สำหรับพวกผม มันเหมือนกับการเข้าสู่สงครามจริง ๆ เป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้เลย
              เราสามารถตักสลัดบาร์ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้วยสลัดที่ร้านให้เป็นถ้วยพลาสติกขนาดกลาง ไม่ใหญ่มาก เราจึงต้องพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะตักให้คุ้มที่สุด หลายครั้งเข้าก็เลยแข่งกันเองด้วยว่าใครจะตักได้มากที่สุด
              “ฉันคู่กับแกเอง” สโนว์ลุกตาม ถูไม้ถูมืออย่างหมายมั่น
              ผมทำหน้าเซ็ง กลุ่มเลขคี่ก็แบบนี้ มันต้องมีส่วนเกินตลอด
               “ครั้งนี้พวกฉันชนะแน่” ทั้งสองคนคุยทับผมก่อนจะพากันลุกไปที่เคาน์เตอร์กลางร้านซึ่งมีชามใส่พวกผักผลไม้ที่เป็นส่วนประกอบของสลัดรวมกับน้ำสลัดหลายชนิด
              “แข่งอะไรกันเหรอครับ” คนที่อยู่ในโรงเรียนประจำเสียเป็นส่วนใหญ่ถามด้วยความไม่เข้าใจ ผมก็เลยอธิบายให้ฟัง
               “น่าสนุกดีนะครับ ผมกับเพื่อนไม่เคยทำแบบนี้เลย”
               “งั้นลองดูไหม คู่กับผมก็ได้” ผมชวนอย่างไม่คิดอะไร แต่คนรอบข้างนี่ซิครับ ใช้ศอกถองกันวุ่นวาย ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงรูหูแล้วมั้งนั่น น่าเตะจริง ๆ เล้ยไอ้พวกนี้ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินนำหน้าเทียนตามม้าหมุนกับสโนว์ไป
              “โอ้โฮ”
              เทียนอุทานด้วยความทึ่งเมื่อเห็นหอคอยย่อม ๆ ในถ้วยของเพื่อนผม เพิ่งรู้ว่าการตักสลัดบาร์ต้องเอาจริงกันขนาดนี้
              “ของเราก็ต้องไม่แพ้เขานะ” ผมพูดยิ้ม ๆ
              เทียนพยักหน้า กุลีกุจอทำทุกอย่างที่ผมบอก ผมยังได้อาศัยความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ของเขาช่วยในการออกแบบหอคอยสลัดของเราด้วยครับ อะแฮ่ม อันนี้ไม่ได้เวอร์นะครับ เขาช่วยคำนวณได้ว่าแท่งถั่วและแครอทที่เสียบรอบถ้วยจะช่วยรับน้ำหนักได้ขนาดไหน ถ้าเพิ่มผักสลัดลงไปข้างบนจะเพิ่มปริมาณของสลัดได้อีกแค่ไหน แต่ละชั้นจะเอาอะไรใส่ลงไปดีก่อนโปะด้วยน้ำสลัดครีมที่ทำหน้าที่เสมือนยาแนวและกาวชั้นดีในการยึดส่วนประกอบของสลัดแต่ละชั้น
              พวกผมก่อหอคอยสลัดได้สูงอย่างน่าประทับใจมาก แต่ก็ง่อนแง่นเต็มที ต้องประคับประคองกันอย่างสุดความสามารถจึงพากันมาถึงที่โต๊ะได้อย่างสวัสดิภาพ และหลังจากเทใส่จานแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน ผมกับเทียนก็ชนะไปอย่างงดงาม
              “โอ๊ย อีกนิดเดียวเอง!” ม้าหมุนออกอาการเสียดาย
               “ตินตินขี้โกง เอาเด็กวิทย์มาช่วยคำนวณ” สโนว์ผสมโรงด้วยอย่างไม่รอช้า
               ผมยักไหล่ ไม่สนใจ จะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะงานนี้ผมชนะ ผมยกสองมือขึ้น เทียนก็ตีมือผม สีหน้าของเขายิ้มแย้มสดใสจนผมอดยิ้มกว้างตอบกลับไม่ได้
   
               หลังจากบุฟเฟต์พิซซ่าจบลง พวกเราก็ชวนกันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เสียเวลาอยู่ที่นี่กันนานเพราะต่างคนต่างอยากได้ลายนั้นลายนี้ จะถ่ายรูปคู่คนนั้นคนนี้ จะให้คนนั้นถ่ายรูปคู่กับคนนี้ ผมยอมแพ้ ถอยออกมารวมกลุ่มกับเทียน เมศ เปรม แล้วปล่อยพวกสาว ๆ เขาตัดสินใจกันไป
              ผมยืนอยู่กับกลุ่มของเทียนอย่างคนไม่เข้าพวก ทรงผมหนึ่งล่ะ แล้วก็เสื้อผ้า เตรียมทหารสมัยนั้นมีแฟชั่นของตัวเองด้วย เสื้อเชิ้ตลายสกอตขนาดใหญ่กว่าตัวเองหนึ่งเบอร์และกางเกงยีน ผมคิดถึงพี่ติวและเพื่อนพี่ติวของผม ความนิยมนี่ไปคนละทางอย่างไม่มีวันมาบรรจบกันได้เลย
              คิดเพลิน ๆ ก็ถูกดึงตัวไปถ่ายรูป รูปหมู่เห็นแต่หัวเล็กนิดเดียว แทบมองไม่เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร แต่วัยนั้น แค่นี้ก็สนุกมากเกินพอแล้วครับ เทียนไม่ได้ขอถ่ายรูปคู่กับผม คงกลัวเพื่อน ๆ ล้อเลียนและเขาคงเกรงใจผมด้วย ผมก็เลยไม่รู้สึกอึดอัด แล้วก็สามารถทำหน้าทำตาตลก ๆ ประหลาด ๆ ใส่กล้องได้อย่างสนุกสนาน
              เวลายังเหลืออีกพอสมควรก่อนถึงการประกวดร้องเพลง พวกผมจึงพากันไปนั่งที่ร้านโดนัท สั่งเครื่องดื่มเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็คุยกันฆ่าเวลา ร้านนี้เราก็มากันบ่อย เพราะนั่งนาน ๆ ได้และมีตู้เพลงแบบโบราณให้หยอดเหรียญ แล้วเพลงที่เราเลือกก็จะถูกบรรเลงให้ฟังกันไปทั้งร้าน ผมฟังเพลงอะไรก็ได้ แต่ม้าหมุนจะมีเพลงโปรด คือ Hotel California ของวง The Eagles มาทีไรเป็นต้องไปหยอดฟัง ครั้งนี้ผมก็ได้ฟังอีกเป็นเพลงแรก ม้าหมุนตรงดิ่งไปที่ตู้เพลงก่อนอย่างอื่น ส่วนผมก็ไปซื้อเครื่องดื่ม ร้านนี้ไม่กว้างขวางเหมือนแม็คโดนัลด์ ไม่มีโต๊ะใหญ่ ๆ เราจึงต้องแยกกันนั่ง เทียนนั่งกับกลุ่มของเขา พระนางเจ้าและริชชี่ก็นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนผมก็นั่งอยู่กับม้าหมุนและสโนว์
              ผมเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองอัดรูปที่ถ่ายวันงานกีฬาประเพณีเอาไว้จึงเอาออกมาให้ม้าหมุนกับสโนว์ ถึงจะดูกันแล้ว แต่พอได้มาอีกก็อดเปิดดูกันอีกไม่ได้ ดูแล้วก็ชี้ชวนวิพากษ์วิจารณ์กันไป ผมหยิบรูปของสโนว์ขึ้นมาดู เป็นรูปเดี่ยวของเธอตอนที่ใส่ชุดรีไซเคิลฝีมือผม
              ‘ออกมาสวยขนาดนี้ พี่อิศร์จะบ่นอะไรได้อีก’ ผมนึกในใจด้วยความกระหยิ่ม เอื้อมมือไปหยิบอีกภาพหนึ่งมาดูคู่กัน เป็นชุดที่ผมออกแบบเองอีกตัวหนึ่ง
                   ‘นี่ก็ออกมาดี พี่อิศร์ไม่มีทางหาเรื่องมาติได้ชัวร์’
                   เพลงที่เล่นอยู่จบลง แล้วต่อด้วยเพลงใหม่ทันที เนื้อเพลงลอยเข้าหู แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังมากนัก

                  ค้นหาความรู้สึกเธอ ที่เธอนั้น ซ่อนเร้นไว้ภายใน
                  ทุกครั้ง ที่เธอมองฉัน มันฟ้องว่ามีความลับในใจ
                  ครั้งนี้ฉันจะลองค้น แม้มองเห็นว่ายากเย็นเพียงใด
                  ได้โปรดเปิดทางให้ฉัน ได้เดินเข้าไปข้างในหัวใจ...


                ม้าหมุนสะกิดเรียก
               “มีอะไรวะแก” ผมถามอย่างไม่ได้สนใจนัก ถามแล้วก็ไม่รอฟังคำตอบเพราะเห็นรูปในมือสโนว์เข้าก่อน ผมเย้าทันที
               “สำเร็จสักทีนะแก มีหนุ่มที่ไม่ใช่เพื่อนของเพื่อนมาขอแลกพระเกี้ยวกับจักรดาวในที่สุด”
               “ช่วยไม่ได้ คนมันมีเสน่ห์” สโนว์ลอยหน้าลอยตาโต้ ยิ้มแฉ่ง นึกถึงวันนั้นแล้วก็ยังรู้สึกสนุกและมีความสุข พอเธอถอดเสื้อกันหนาวออก ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเพื่อขอแลกจักรดาวกับพระเกี้ยวของเธอจริง ๆ ก็เลยต้องมีการกดชัตเตอร์บันทึกเหตุการณ์เอาไว้เป็นประวัติศาสตร์เสียหน่อย

                     จะเอาดวงใจฉันค้นใจเธอ ให้เจอะสิ่งที่เธอนั้นเก็บไว้
                     ถ้าเธอมีคำนั้นไว้ในใจ เธอทำไมไม่พูดมันออกมา


                เพลงยังคงเล่นต่อไป ผมก็ยังไม่รู้สึกตัว นึกได้แค่ว่าเมื่อตะกี้ม้าหมุนสะกิดเรียกก็เลยหันไปถามเธออีกครั้ง
                “เออ ตกลงมีอะไรวะหมุน”
                “เพลงเพราะไหม”
                “หืม? เพลงอะไร?” ผมงง ไม่นึกว่าจะโดนถามกลับเอาทันควัน

                   ฉันรู้เหมือนที่เธอรู้ ว่าความรักต้องใช้วันเวลา
                   ไม่ห่วงว่าจะนานเพียงไหน ขอเพียงได้ใจที่เธอให้มา


                  ผมตั้งใจฟังมากขึ้นอีกนิด แต่ผมไม่ค่อยรู้จักเพลงหรือศิลปินนักร้องเท่าไหร่ หลังจากฟังแล้วก็ยังไม่เห็นว่ามีอะไรพิเศษอยู่ดี
                  “ก็เพราะดีนี่ มีอะไรเหรอ”
                   ม้าหมุนมองหน้าผม เห็นผมไม่เข้าใจจริง ๆ เธอก็แกล้งร้องเฮ้อ เหมือนปลงอนิจจัง แต่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ผมฟังเลยแม้แต่คำเดียว ทำเอาผมยิ่งงงใหญ่ ก็แค่เพลงไม่ใช่หรือ

                                                                      **********

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
                 การแข่งขันดนตรีรอบสุดท้ายจัดขึ้นที่ลานข้างห้างสรรพสินค้าใหญ่ในสยาม คนดูไม่มากเหมือนคอนเสิร์ตทั่วไป แต่ก็แน่นหนาตาพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนฝูงคนมาเชียร์วงต่าง ๆ ที่เข้าแข่งขัน ม้าหมุนนำพวกผมเข้าไปหาเพื่อน ๆ ของเธอที่หลังเวที ถึงจะบอกว่ามาแข่งดนตรี แต่ก็แต่งตัวธรรมดานี่แหละครับ เสื้อยืด กางเกงยีน ใส่เครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ สีเงิน ท่าทางของทุกคนตื่นเต้น แต่ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความหวัง
                “โชคดีนะ ขอให้ชนะที่หนึ่งเลย” ม้าหมุนอวยพรเพื่อนของเธอ พวกผมก็เช่นเดียวกัน
                “เราไปรอเชียร์อยู่หน้าเวทีนะ ทำให้เต็มที่”
                “สู้ ๆ นะ”
                แต่ก่อนจะเดินออกจากบริเวณนั้น จู่ ๆ ม้าหมุนก็กรี๊ดเสียงดังจนทุกคนสะดุ้ง
                “เป็นอะไรของแก” ผมอยู่ใกล้ที่สุด ได้ยินเสียงเต็มสองหู หูแทบอื้อไปชั่วขณะ
                 ม้าหมุนชี้นิ้วสั่น ๆ ไปข้างหน้า ผมมองตาม เห็นผู้ชายสามสี่คนเดินเข้ามา คนเดินนำหน้าผมยาวฟู แต่ไม่น่าจะทำให้ตกใจขนาดนั้นได้
               “ใครวะ” ผมถาม แต่กลายเป็นว่าถามกับความว่างเปล่า เพื่อนของผมวิ่งปรูดไปหาคนกลุ่มนั้นแล้วด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด เธอพูดกับผู้ชายผมฟูแล้วก็ควักกระดาษพร้อมกับปากกาออกมาส่งให้เขาเซ็นชื่ออย่างกระตือรือร้น
                เทียนเดินเข้ามาแทนที่ม้าหมุน ผมถามเขาแต่ก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบ
               “ดาราเหรอ”
                “ไม่ใช่หรอกครับ นักร้องน่ะ วง Pause คนผมฟู ๆ เป็นนักร้องนำชื่อ โจ้”
                “อ๋อ พี่โจ้ วงพอส” ผมเคยได้ยินชื่อวงนี้ เป็นวงที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ไม่ได้ดังในวงกว้าง ผมจึงจำไม่ได้ แต่ถ้าเอ่ยชื่อเพลงก็พอคุ้นหูอยู่บ้าง ผมชักรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้วเลยค้นกระเป๋าหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กแล้ววิ่งไปรอต่อคิวของลายเซ็นบ้าง
                พี่นักร้องนำเซ็นชื่อพร้อมวันที่ลงในกระดาษให้ผมและผมก็เก็บมันไว้เป็นที่ระลึกตลอดมา
                 ที่หน้าเวทีมีคนไม่น้อย แต่พวกผมก็ยังพอแหวกกลุ่มคนดูไปยืนในพื้นที่ด้านหน้าที่เห็นเวทีได้ เรายืนจับกลุ่มกันโยกตัวไปตามเสียงเพลงและจังหวะดนตรีอย่างสนุกสนาน เพลงไหนที่ร้องได้ก็ร้องตาม และพอวงที่เชียร์ออกมาหน้าเวทีเราก็ตะโกนเสียงดัง เรียกชื่อวง เรียกชื่อเพื่อน ม้าหมุนจับมือกับสโนว์ช่วยกันกรี๊ดจนเสียงแหบเสียงแห้ง ส่วนผมพยายามปรบมือให้เสียงดังที่สุดเพราะกรี๊ดไม่เป็น
                 วงของเพื่อนของม้าหมุนเล่นได้ดีในความคิดของผม แต่วงอื่น ๆ ก็เล่นดีเหมือนกัน ผมฟังไม่รู้หรอกว่าวงไหนเล่นดีหรือไม่ดียังไง แต่เห็นพวกเขาทุ่มเทกันสุดชีวิตผมก็อดประทับใจไม่ได้
                 ช่วงที่รอผลการแข่งขันเป็นเวลาที่ตื่นเต้นลุ้นระทึกมาก ขนาดผมเป็นแค่คนดู ไม่ได้เป็นคนลงแข่งเองยังรู้สึกว่ามันเป็นวินาทีบีบหัวใจ ถ้าพิธีกรอ่านชื่อวงเราออกไมค์มันคงเหมือนกับได้ชีวิตใหม่... ผมนึกไปเรื่อย ๆ
                 แต่แล้วมันก็เป็นความจริง พิธีกรประกาศชื่อวงที่ผมเชียร์ออกมาจริง ๆ
                 น่าเสียดายนิดหน่อยที่เป็นรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สอง ไม่ใช่รางวัลชนะเลิศอย่างที่หวังเอาไว้ ผมเห็นความผิดหวังฉายอยู่ในแววตาของคนในวง แต่พวกเขาก็ยอมรับมันอย่างมีน้ำใจนักกีฬา เพื่อน ๆ ของม้าหมุนยิ้มหน้าบานเข้าไปรับรางวัลซึ่งเป็นเงินและโล่เกียรติคุณท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้อง ผมคิดว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของพวกเขา ผมรู้สึกยินดีกับพวกเขาอย่างจริงใจขณะที่ปรบมือไม่หยุด
                  “เก่งนะครับ”
                  เทียนยืนปรบมืออยู่ข้างผม เขาเอียงตัวมาพูดกับผม เสียงดังพอสมควรเพื่อให้ผมได้ยิน แต่ผมก็ต้องเอียงหน้ามาฟังอยู่ดี ไม่ทันคิดว่าหน้าของเราจะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร ผมเห็นสายตาแสดงความชื่นชมของเทียน ผมบอกตัวเองว่าเขาหมายถึงวงดนตรีที่อยู่บนเวที แต่ผมก็ขยับตัวออกห่างโดยอัตโนมัติด้วยความกระดากเก้อเขิน
                  “คะ..ครับ เพื่อน ๆ ของหมุนเก่งมาก ไม่น่าเชื่อเลย”
                  เทียนคงจับเสียงตะกุกตะกักของผมได้ เขาน่าจะรู้ว่าผมกำลังรู้สึกยังไง เพราะเขาถอยห่างออกไปอย่างสุภาพ ทำให้ผมพอจะหายใจหายคอได้บ้าง
                  เสียงปรบมือดังขึ้นอีก ผมรีบหันไปที่เวที เห็น Pause กำลังจะขึ้นแสดง
                  นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมฟังดนตรีสดและได้รู้จักคำว่า ‘มืออาชีพ’ อย่างถ่องแท้ ฝีมือนั้นเหนือกว่ามือสมัครเล่นที่เพิ่งเล่นจบอย่างเทียบกันไม่ติด ผมคิดว่าตัวเองกำลังถูกสะกดด้วยมนตร์ของดนตรีและน้ำเสียงที่ใส นุ่ม เป็นเอกลักษณ์
                  ผมรู้จักเพลงนี้ เพลง ที่ว่าง
                  “ฉันว่าฉันชอบวงนี้แล้วล่ะ” ผมกอดคอม้าหมุน เธอหัวเราะร่าพลางโบกมือไปตามเสียงเพลง ผมโยกตัวตาม เทียนยืนอยู่ข้างผม แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า
                   “ผมก็ชอบวงนี้เหมือนกัน...”
                    เขาหยุดกลางคัน ทั้งที่ยังพูดไม่จบ ทำให้ผมต้องหันไปมอง รอคอยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เทียนมองผม เราสบตากัน ตอนนั้นเองดนตรีเพลงใหม่ก็ขึ้นมาพร้อม ๆ กับเสียงของเทียนที่พูดว่า
                    “วันนี้ผมสนุกมาก ถ้าหากเป็นไปได้ ผมขอมาเที่ยวด้วยอีกได้ไหมครับ”
                    “ได้สิ” ผมตอบรับ ความรู้สึกดี ๆ ในวันนี้มีมากจนผมเผลอตัว พร้อมกับคำตอบ ผมยกมืออีกข้างจับไหล่เขา เขาก็ยอมให้มือของผมข้างนั้นวางอยู่ตรงนั้นไปจนกระทั่งถึงตอนจบ
                     ผมจำได้ว่าเพลงสุดท้ายที่ พอส และพี่ โจ้ ร้องในวันนั้นคือเพลง ดาว

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เชียร์เทียน :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด