บทที่ 8
"เกิดอะไรขึ้นกับพิกุล"
ไม่รอช้าให้มากความ เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของคนสนิทที่คอยติดตามดูแลพิกุลอยู่ห่างๆ อย่าง 'อรัญ' ใบหน้าที่เผยความผิดปกติ พาลทำให้ทินกรไม่สามารถควบคุมความรู้สึกตึงเครียดของตนเองได้
"ฉันถามก็ตอบ อ้ำอึ้งอยู่ทำไม" น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อทวนถามหาคำตอบที่ควรจะได้รับ หลังพบเพียงแต่อาการอ้ำอึ้งมาร่วมนาที จนกระทั่งได้รับคำตอบของคำถามที่ทำให้ใจกระตุกวูบ
"คนใช้ที่บ้านรายงานมาว่า คุณพิกุลหายตัวไปตั้งแต่ช่วงบ่าย และกลับมาอีกครั้งตอนช่วงเย็นครับ"
"หายตัวไป?"
"จากคำบอกเล่า ตอนที่คุณพิกุลกลับมา...ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิม.."
อรัญเอ่ยหนักแน่นแต่ติดขัด ยอมรับความจริงกับสิ่งที่ตนไม่สามารถควบคุมและดูแลได้อย่างที่เคยเป็น ความหละหลวมที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความผิดพลาดยากจะแก้ไข พลันก้มหน้ายืนนิ่งรอคำบัญชาและด่าทอจากคนที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณ
ทินกรนิ่งค้างราวกับโดนสะกด ร่างกายทั้งร่างรู้สึกชาวาบ ดวงตาคมกริบกวาดมองไร้ทิศทางครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตนไม่อยากจะนึกถึง ลมหายใจพลันหอบถี่ก่อนจะหันมองไปยังคนสนิทอีกครั้ง เอื้อมมือดึงรั้งกระชากคอเสื้อคนที่ยืนก้มหน้านิ่งจนร่างกายเซถลา ก่อนจะพ่นวาจาที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียดถมึงทึง
"แค่เด็กโง่ๆคนเดียว ทำไมดูแลไม่ได้!"
"ขอโทษครับ"
อรัญชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดที่ถูกเรียกตัวมารับใช้ และปรนนิบัติดูแลครอบครัวนี้แทนผู้เป็นพ่อที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เขาเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อานัติของทินกรตั้งแต่ยังอายุน้อย ถ้อยคำที่มักจะได้ยินเป็นประจำจนขึ้นสมอง คือคำว่า คุณทินกรเป็นผู้มีพระคุณ
คำพูดซ้ำๆ เป็นประโยคที่มาจากปากของผู้เป็นพ่อ จวบจนกระทั่งพ่อของตนตายจาก การดูแลเรื่องต่างๆ ภายหลังจากนั้น กลายเป็นหน้าที่ของคุณทินกรทั้งสิ้น
คงไม่แปลกที่อรัญจะรู้สึกผิดหวังที่ตนไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้สมดั่งใจ เขาเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อยที่ดันละเลยหน้าที่จนมันกลายเป็นเรื่องใหญ่และเลยเถิดเช่นนี้
"รับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเองได้เท่านี้หรอ"
"..."
อารัญก้มหน้าก้มตายอมรับความผิดพลาดของตนเองอย่างยอมจำนน แม้จะโดนกระชากคอเสื้อแต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงที่เอ่ยปฏิเสธหรือแก้ตัวใดๆ
อรัญพลาดที่หลงคิดว่าคุณพิกุลจะเชื่อฟังคำพูดย้ำคิดย้ำทำของเจ้านายอย่างคุณทินกร ไม่คิดว่าจะขัดขืนคำสั่ง จนกระทั่งมันกลายเป็นเรื่องเป็นราว พาลทำให้เรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่ความยากที่คิดจะแก้ไข
ทินกรปล่อยมือออกจากเสื้อพร้อมกับใบหน้าหงุดหงิดและโกรธจัด ก่อนจะยกมือง้างหมัดบันดาลโทสะต่อยหน้าของคนสนิทอย่างแรงจนเซถลาล้มลงกับพื้น ก้มหน้ายืนจ้องมองคนที่หมดสภาพด้วยสายตาเอาเรื่องอย่างถึงที่สุด
ความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ เพียงแค่หมัดเดียวจากน้ำมือของเขานั้นมันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
อรัญตัวสั่นเทารับรู้ถึงรสชาติคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก พลางยันมือดันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับก้มหน้าให้อีกครั้ง ราวกับกำลังยืนรอรับคำด่าทอจากเจ้านายที่ทรงอิทธิพล เวลาเช่นนี้เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาให้เจ้านายเห็น แม้จะเจ็บปวดทั้งภายนอกและภายในร่างกายก็ตาม
"กับงานง่ายๆแค่นี้ยังทำไม่ได้"
"ผมยอมรับผิดทั้งหมดครับ ผมสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ได้โปรดเถอะครับ ให้โอกาสผม"
"ไร้ประโยชน์"
สิ้นสุดคำพูดที่ดูเหมือนจะไม่มีการให้อภัย ร่างทั้งร่างพลันทรุดลงกับพื้น อรัญถือวิสาสะเอื้อมมือจับแตะที่ข้อเท้าเบื้องหน้า ความรู้สึกผิดและหวาดกลัวการถูกทอดทิ้งพลันตีตื้น เงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ยากจะเปิดเผยให้ใครได้เห็น พลางสบมองคล้ายขอความเห็นใจและโอกาสอีกครั้ง
"...กำลังแสดงเป็นเมียฉันอยู่หรือไง ฉันจะบอกอะไรให้ น้ำตาพวกนั้นฉันไม่คิดให้ค่ากับมันหรอกนะ"
อรัญนิ่งค้างราวกับความลับที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างดิบดี บัดนี้ได้ถูกเปิดเผยโดยคนที่เป็นดั่งเจ้าของชีวิตและหัวใจ
ความรู้สึกที่เขามีให้คนๆนี้มันมากเกินกว่าแค่คำว่า เจ้านายและลูกน้อง วันแรกที่ได้ก้าวเท้าเข้ามารับใช้ทุกคำสั่งแทนผู้เป็นพ่อ เป็นวันที่ทำให้คนอย่างอรัญได้ค้นพบกับความรัก
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะคนที่ตนให้ความรู้สึกดันมีเจ้าของหัวใจเสียแล้ว แต่สำหรับอรัญเรื่องนั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ความอิจฉาริษยา หรือแม้แต่ความหึงหวง เขาเก็บมันลงในก้นลึกของจิตใจ แสดงออกมาเพียงแค่ความยินดีที่เห็นคนที่ตนรักมีความสุขเท่านั้น
แท้จริงแล้วภายในใจมันกลับตรงกันข้าม เพียงแต่อรัญไม่สามารถแสดงมันออกมาได้ก็เท่านั้น ก้มหน้าก้มตายอมทำให้ทุกอย่างตามคำสั่ง แม้สิ่งที่ทำมันจะเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นถึงกาฝากของหัวใจ..
"ไม่ใช่..คือผม" คำพูดติดขัดถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับดวงตาที่กลอกไปมาไม่กล้าสบมอง พื้นซีเมนต์กลายเป็นจุดโฟกัสที่อรัญให้ความสำคัญมากกว่าดวงตาคมกริบของคนตรงหน้า
"อย่าคิดว่าฉันมองไม่ออก"
ทินกรมองเห็นถึงความรู้สึกมากมายที่มาจากแววตาคู่นั้น เขามองเห็นมันตั้งแต่อีกฝ่ายยังเด็ก และความชัดเจนค่อยๆมากขึ้นตามระยะเวลา แต่ทินกรเลือกที่จะเมินเฉย มองข้ามมันมาตลอด ราวกับว่าความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งไร้ค่าไม่น่าพิศวาสใดๆ
แม้จะเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ทว่าสำหรับทินกรแล้วหากไม่ได้คิดจะรับมันไว้ เขาจะทำเพียงแค่หมางเมินมันไปราวกับมันไม่มีตัวตน เพราะอย่างน้อยๆการกระทำของอีกฝ่ายยังพอมีประโยชน์ต่อคนอย่างเขาอยู่บ้าง ไม่เพียงแต่ความรู้สึกที่คิดเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง แต่ประโยชน์ที่เขาจะได้พ่วงมาด้วยคือ ความจงรักภักดี
"หลังจากนี้ดูแลเมียของฉันให้ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดอีกเป็นอันขาด"
ทินกรอดไม่ได้ที่จะพูดตอกย้ำความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย วาจาที่เต็มไปด้วยความชัดเจนในถ้อยคำว่าใครคือคนสำคัญหนึ่งเดียวของทินกร บ่งบอกความหมายแก่คนที่รับฟังว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนจะผลักไสปลายเท้าให้ร่างที่กอดเกี่ยวช่วงขาให้หลุดจากพันธนาการ ล้มลงกับพื้นปูนซีเมนต์อย่างไม่สนใจใยดีอีก
ทินกรมุ่งหน้าเดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนบุคคลคันหรู ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูด้วยตนเอง ซึ่งในเวลาปกติคนที่จะทำหน้าที่นี้คืออรัญ แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้การปรนนิบัติคงไม่จำเป็นสำหรับคนอย่างเขา หลังจากเอ่ยพ่นคำพูดที่พาลทำให้บรรยากาศรอบกายดูคุกรุ่นออกมา สายตาคมกริบหลุบตาต่ำก่อนจะหลับตาลง ย้อนกลับไปให้ความสนใจกับคนสำคัญที่เขารู้สึกเป็นห่วงมากที่สุดในสถานที่อยู่ห่างไกลเมือง
ทินกรนั่งรออยู่ในรถไม่นานมากนัก จนทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ เสียงเงียบเชียบในรถขณะกำลังแล่นลงสู่ท้องถนน ส่งผลให้ทินกรสามารถใช้สมาธินึกคิดเรื่องต่างๆได้ด้วยความใจเย็น
ทั้งหมดทั้งมวลในหัวของทินกรมีเพียงแค่เรื่องของพิกุล สำหรับคนอื่นหากไม่มีค่ามากพอ เขาไม่คิดสนใจจะนึกถึง ทินกรพยายามตั้งสติและเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆในหัว คิดถึงวิธีการที่จะใช้จัดการต่อจากนี้ แม้จะยังไม่รู้ว่าพิกุลที่เปลี่ยนแปลงไปราวกับเป็นคนละคนตามคำบอกเล่า จะเกิดจากสิ่งที่เขาคิดหรือไม่ก็ตาม
แต่ทว่าภายในใจของชายหนุ่มกลับคิดอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวคือ ความทรงจำที่เลือนหายไปเกือบสิบปีของพิกุล ดูเหมือนจะหวนคืนกลับมาอีกครั้ง..
รถยนต์คันหรูถูกจอดบริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่ ก่อนจะถูกเปิดประตูโดยคนรับใช้ที่รีบออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าตื่นตนก ทินกรสาวเท้าลงจากรถพลางหันมองหน้าคนที่เปิดประตูให้ พร้อมกับเอ่ยปากถามหาคนสำคัญด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"พิกุลอยู่ไหน"
"คุณพิกุลกำลังพักผ่อนอยู่บนห้องค่ะ"
หลังจากได้รับคำตอบที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆของหญิงรับใช้ ทินกรเลิกให้ความสนใจก่อนจะสาวเท้ามุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดใส่ใจใครอื่นอีก
สิ่งที่ทินกรให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้นพิกุล ซึ่งเจ้าตัวกำลังพักผ่อนอยู่บนห้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายในบ้านเต็มไปด้วยความเงียบ ไร้วี่แววเสียงใสเจื้อยแจ้วต้อนรับการกลับมา เสียงดังของรถยนต์สำหรับเด็กที่ตื่นง่ายอย่างพิกุลเวลานี้กลับไร้กระทั่งเงา ทินกรอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเวลาปกติ พิกุลคงจะวิ่งออกมารับเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข และคงไม่ปล่อยให้บ้านเงียบเชียบเช่นนี้เป็นแน่
ความรู้สึกเจ็บแปลบในอกก่อตัวขึ้นทีละนิด ผสมปนเปไปกับความสับสนวุ่นวายในใจ เวลานี้ทินกรกำลังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวว่าตนอาจจะถูกคนสำคัญละเลย พาลให้ความรู้สึกต่างๆตีตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนจะยกมือขึ้นปลดเน็กไทบริเวณช่วงคอ แม้บนร่างกายสวมใส่ชุดสูทอย่างดี ทว่าแววตาคมกริบกลับกำลังเคร่งเครียดพาลให้คิ้วหนาขมวดมุ่น หมดคราบความทะนงและหยิ่งผยอง
ทินกรยืนนิ่งกลางบ้านพลางกวาดสายตามองความเปลี่ยนแปลงรอบกาย บรรยากาศที่เคยอยู่แล้วอบอุ่น บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด แม้ตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถจากกรุงเทพเพื่อมุ่งหน้าตรงกลับมายังบ้าน จะขบคิดถึงวิธีจัดการและแก้ไขปัญหาระหว่างตนกับพิกุล ทว่ากลับไม่พบแม้สักทางที่จะสามารถทำได้
คิ้วหนาที่เคยขมวดค่อยๆคลายลง ดวงตาเหม่อลอยมองออกไปไร้ทิศทางพลันหยุดชะงักนิ่ง ก่อนจะหันสบสายตาเข้ากับเด็กหนุ่มที่ตนคุ้นเคยขณะกำลังสาวเท้าเดินลงมาจากชั้นสอง
ทุกอย่างตกอยู่ท่ามกลางความเงียบซึ่งไร้เสียงเอ่ยทัก ไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดประโยคขึ้นมาก่อน จนกระทั่งร่างเล็กหยุดก้าวเดินเมื่อเกิดความใกล้ชิดในระยะไม่ถึงเมตร ทินกรสบมองใบหน้าหวาน พลางยกมือขึ้นหมายจะจับแตะแก้มใสที่ตนมักจะสัมผัสอยู่เป็นประจำด้วยความคิดถึง
ทว่ากลับต้องค้างมือเอาไว้อย่างนั้น เมื่อสายตาคมเหลือบไปเห็นดวงตาคู่สวยที่ดูแตกต่างออกไปจากเดิม
"หยุดทำไม..คุณทิน"
พิกุลสบสายตาพร้อมกับเอียงคอสงสัยกับท่าทางของอีกฝ่าย ไม่ว่าเปล่า พลางขยับใบหน้าเข้าหาฝ่ามือที่ค้างนิ่ง เอียงเอนแก้มใสแตะรับกับมือของชายหนุ่ม ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นกอบกุมมือหนาลูบไล้ไปมาราวกับรักใคร่
"ไม่อยู่บ้านตั้งหลายวัน คุณทินไม่คิดถึงกุลบ้างหรอ"
เสียงใสเอ่ยพร้อมกับขยับกายเข้าหา ก่อนจะซุกใบหน้าลงกับอกหนั่นแน่น เผยรอยยิ้มบางเบาพร้อมกับแววตาที่ยากจะอ่านออก
พิกุลสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากเดิม ซึ่งคงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เราทั้งสองต่างฝ่ายต่างรับรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาก็แค่นั้น
ยอมรับว่าตัวเองรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าแย่ แต่กลับเลือกที่จะอยู่เคียงข้างทั้งๆที่ใจแตกสลายจนละเอียดไปแล้ว ความหม่นหมองผิดหวังผสมเจือความกรุ่นโกรธถูกซุกซ่อนเอาไว้ในใจ แสดงออกว่าตนไม่เป็นอะไรทั้งๆที่ใจเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ก่อเกิดเป็นการกระทำที่ดูเสแสร้งราวกับกำลังเล่นละครให้อีกฝ่ายตายใจว่าเขานั้นไม่ได้ทรมานเจียนตายอย่างที่คิด
"กุลคิดถึงคุณทิน.."
พิกุลไม่คิดใส่ใจ แม้การแสดงออกของอีกฝ่ายจะดูด้านชากว่าปกติ คำพูดแสนหวานเช่นเคยถูกเอ่ยขึ้น พร้อมกับอ้อมแขนเล็กที่โอบรัดร่างกายหนา ใบหน้าขยับเลื่อนเงยมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ทว่าภายในกลับมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่
ทินกรไม่สามารถอ่านแววตาคู่นี้ออก ทั้งๆที่พยายามจะเข้าใจอย่างเต็มที่ ในเมื่อความทรงจำเก่าก่อนกลับมาแล้ว แต่ทำไมพิกุลของเขาถึงยังแสดงสีหน้าท่าทางที่ดูซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างนี้ออกมา หากค้นพบกับความจริงแล้วทำไมถึงยังแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ความสงสัยที่มากกว่าเดิมส่งผลให้ทินกรไม่อาจยับยั้งชั่งใจ พลันเอ่ยถามในสิ่งที่ตนต้องการรู้ และหยุดการกระทำเสแสร้งที่เด็กหนุ่มผู้เคยใสซื่อแสดงมันออกมา
"เมื่อช่วงบ่าย พิกุลหายไปไหน"
"เดินเล่นในสวน"
"ทั้งๆที่ฝนตกหนักอย่างนั้นหรอ"
"วันนี้ฝนไม่ได้ตก"
ทินกรไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออกว่าทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดเป็นคำโกหกทั้งสิ้น ใบหน้าที่แสดงออกมาราวกับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เสแสร้งแกล้งทำทั้งคำพูดและท่าทาง เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มออกมาจากความรู้สึกข้างใน รอยยิ้มเช่นนี้ทินกรไม่นึกอยากได้ สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดคือพิกุลคนเดิมที่แสดงออกทุกการกระทำอย่างตรงไปตรงมาคนนั้น
"โกหกไม่เป็น ทำไมถึงยังโกหก"
"..."
เวลานี้ทินกรไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกันทินกรรู้สึกเหนื่อยล้า พิกุลที่เคยซื่อตรงกับความรู้สึกบัดนี้เปลี่ยนแปลงไปราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน หากรู้อะไรมาทำไมไม่พูดกับเขาให้มันจบไป เจ็บปวดขนาดไหนทำไมถึงเลือกเก็บซ่อนเอาไว้ไม่ปล่อยมันออกมา
พิกุลกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ..
ความสงสัยเกิดขึ้นพร้อมๆกับความล้าทั้งกายและใจ พลางยกสองมือขึ้นจับเอามือเล็กที่เกาะเกี่ยวร่างกายออกห่าง ก่อนจะเอื้อมมือลูบคลำกลุ่มผมนุ่มยาวสลวยระต้นคอแบบที่เขาชอบ รอยยิ้มอบอุ่นจากทินกรส่งมอบมันให้กับคนรักพร้อมกับเอ่ยประโยคตัดจบออกไป
"นี่ก็ดึกมากแล้ว พิกุลขึ้นไปพักผ่อนเถอะ"
"แล้วคุณทิน.."
"ไว้ฉันจะตามขึ้นไป"
พิกุลชะงักนิ่งเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาหม่นหมองของชายหนุ่ม ความปวดหนึบในอกที่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากไหนก่อตัวขึ้น จนต้องยกฝ่ามือขึ้นมากอบกุมมันเอาไว้ ขณะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้กำลังเหนื่อยล้าเต็มทน
ความสับสนวุ่นวายในใจก่อตัวพร้อมกับความรู้สึกหลากหลาย ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำมองพื้นคล้ายกับกำลังเคร่งเครียดกับการกระทำไม่สมควรของตนเอง ก่อนจะหยุดคิดสาวเท้าเดินเข้าหาคนที่กำลังถอยหลังเดินออก พลางคว้ามือเอื้อมจับช่วงแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อให้อีกฝ่ายหยุดนิ่ง และหันกลับมาให้ความสนใจตนอีกครั้ง
"ช่วงบ่ายกุลไปบ้านร้างหลังนั้นมา"
"..."
ไม่รู้อะไรดลใจให้ตนยอมเอ่ยปากบอกความจริง ทั้งๆที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะปิดบัง พิกุลไม่สามารถทำมันได้ดั่งใจนึก ไหนจะการโกหกที่ยากแสนยากรวมไปถึงการซุกซ่อนความรู้สึกนั้นก็ไม่แพ้กัน
"ขอโทษที่โกหก"
"ฉันไม่โกรธ ขอแค่พิกุลกลับมาปลอดภัยก็พอแล้ว"
ทินกรเอ่ยพร้อมกับคว้าตัวเด็กหนุ่มเข้ามากอด น่าแปลกที่สีหน้าแววตาของพิกุลเมื่อครู่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังขอโทษ ไร้ซึ่งความเสแสร้งแกล้งทำอย่างในตอนแรก ความรู้สึกหนักอึ้งค่อยๆทุเลาเมื่อสัมผัสได้ถึงมืออุ่นของพิกุลที่เอื้อมออกมาโอบกอดเขาเช่นเดียวกัน
ก่อนจะคว้าจับมือเล็กสอดประสานเรียวนิ้วยาวเข้าหา จนสัมผัสได้ถึงแหวนที่อีกคนสวมใส่อยู่ในมือ ส่งผลให้ความอุ่นวาบชะล้างจิตใจที่หนาวเหน็บเมื่อครู่จนหมดสิ้น เมื่อรับรู้ว่าคนรักยังคงสวมแหวนของเขาเอาไว้ดังเดิม คล้ายเปรียบเสมือนความรู้สึกที่พิกุลยังมีให้เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
ทินกรจับยึดมือเล็กเอาไว้มั่น ราวกับไม่ต้องการให้พิกุลคนเดิมคนนี้ลาหายจากไปไหน เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้อยู่ต่ออย่าคิดหนีจากกัน ก่อนจะเอ่ยพูดประโยคบอกความรู้สึกที่ตนปรารถมากที่สุดให้อีกฝ่ายได้รับรู้
"อย่าไปไหนอีกเลย อยู่ที่นี่กับฉัน"
"..กุลจะอยู่กับคุณทิน"
คำตอบรับที่ดูเหมือนจะเข้าใจไปคนละความหมาย แม้คำตอบหากได้ฟังจากปากจะดูน่ายินดีและใจอุ่นวาบ ทว่าแท้จริงแล้วเมื่อลงลึกไปถึงความหมายกลับตรงกันข้าม ส่งผลให้เกิดความรู้สึกปวดหนึบคล้ายถูกกัดกร่อนอย่างช้าๆ
ทินกรไม่ได้อยากให้พิกุลอยู่ข้างเขาเพียงแค่ร่างกายอย่างที่อีกฝ่ายกำลังเข้าใจ มากกว่าที่เขาต้องการเพียงภายนอกคือใจของพิกุล เพราะสิ่งที่ทินกรหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่การลาจาก แต่ความรู้สึกของพิกุลต่างหากที่เขากำลังหวาดกลัว
เหนือสิ่งอื่นใด ทินกรรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของคนรักมากกว่าตัวเอง เด็กหนุ่มที่เคยใสซื่อไร้มลทินบัดนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ คนอย่างเขาไม่มีความสามารถมากพอจะรับรู้ ในเมื่อเจ้าตัวยังคิดอยากจะอยู่ข้างกายเขาก็พร้อมจะอ้าแขนรับเอาไว้ แม้จะไม่รู้ถึงเหตุผลแท้จริงก็ตาม
ทินกรขยับกายออกห่างพลางจูงมือคนรักเดินตรงไปยังโซฟาในห้องรับแขก ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งเหนี่ยวรั้งร่างกายผอมบางเข้าหาในท่ายืน มือยังคงสอดประสานไม่มีปล่อยพร้อมกับเงยหน้ามองเด็กน้อยที่ก้มมองมา ทินกรเอียงซบใบหน้าครึ่งซีกลงกับท้องน้อยของภรรยาที่ตนรัก ก่อนจะหลับตาส่งความรู้สึกที่ตนมีให้อีกฝ่ายผ่านการกระทำที่แตกต่างกว่าเคย
พิกุลงุนงงก้มหน้าสบมองท่าทางที่แปลกไปของชายตรงหน้า ดวงตาคู่สวยที่คราแรกเคยแสดงออกว่าว่างเปล่า บัดนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ล้นเอ่อออกมาจนยากจะควบคุม ท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เขาเห็นทำไมถึงได้ดูรู้สึกผิดขนาดนั้น ทั้งๆที่ในอดีตอีกฝ่ายตั้งใจทำมันกับมือแท้ๆ
ครอบครัวที่รักสูญเสียไปเพราะคนๆเดียว ความเลือดเย็นที่อีกฝ่ายทำกับครอบครัวของเขานั้นยากที่จะให้อภัย จนไม่อยากคิดจะถามหาเหตุผลและต้นตอ พิกุลอยากหยุดนิ่งมันเอาไว้สักพักไม่คิดถึงมันต่อ และอยากยอมโง่เพื่อตามใจความรู้สึกของตนเอง
ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกผูกพันในปัจจุบัน สามารถกลบเกลื่อนความดำมืดในจิตใจได้อย่างแยบยลขนาดนี้ ส่งผลให้น้ำตาหยดใสไหลรินลงข้างแก้มด้านหนึ่ง ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นปาดให้มันแห้งเหือดไปพร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวที่อยู่ในใจ เปิดเผยความรู้สึกว่างเปล่าไร้ความรู้สึกออกมาแทนที่
หัวใจที่แตกสลายไปแล้วยากจะหล่อหลอมให้หวนคืนกลับมาคงรูป แม้จะถูกค้ำจุนให้คงสภาพไว้ด้วยความผูกพันเกือบสิบปี แต่ในเมื่อมันพังยับเยินไปแล้ว จะให้มันเป็นรูปเป็นร่างดังเดิมคงยาก
มันเจ็บไม่น้อยเลย ที่มารู้ว่าคนที่ตนหลงเหลือในชีวิตเพียงคนเดียว และคิดมาตลอดว่าเขาคนนั้นคือครอบครัวที่ตนจะให้ความรักและเชื่อฟังทุกคำพูดคนนี้ จะเป็นคนๆเดียวกับชายที่พรากครอบครัวของเขาไปแบบไม่มีวันกลับมา
ครอบครัวที่ถูกพรากไปคือครอบครัวที่แท้จริง
ไม่ใช่ 'หลอกลวง' เช่นนี้
ทุกความคิดถูกหยุดเมื่อชายหนุ่มเอ่ยพูดประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึก แม้แต่พิกุลที่แสนโง่เขลายังเข้าใจ
"ฉันรักพิกุล"
ทินกรเอ่ยเสียงจริงจังเงยใบหน้าสบสายตากับพิกุล แสดงออกผ่านทางสีหน้าแววตาอย่างชัดเจน พอๆกับคำพูดหนักแน่นที่ตนเพิ่งเอ่ยปาก เขาอยากพูดคำๆนี้มานานแล้ว แค่ยังอยากเก็บมันเอาไว้ในตอนที่อีกฝ่ายพร้อมจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา
แต่ ดูเหมือนยิ่งรอนานเท่าไหร่ ทินกรก็ยิ่งกลัว แม้จะผูกมัด ครอบครอง กักขัง ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นโลกภายนอกหรือแม้แต่ใครๆ ทว่านานวันกลับกลายเป็นเขาฝ่ายเดียวที่รู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีสักครั้งที่พิกุลจะเอ่ยวาจาว่ารักใคร่ในแบบสามีภรรยาด้วยปากของตนเอง แม้จะแสดงออกผ่านการกระทำให้เขาได้เห็น แต่ทินกรกลับไม่มั่นใจหวาดกลัวว่าการกระทำนั้นเป็นเพียงความเคยชินที่ตนเป็นคนเสี้ยมสอนตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งที่เราทั้งคู่ต่างก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันจนอะไรต่างๆมันกำลังเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง
ทว่าหากตนไม่พูดให้ชัดเจนในเวลาที่มันอาจจะสายเกินแก้ ทินกรเกรงว่ามันช้าเกินไปและอาจจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกเลย ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายแสดงออกมาโดยไม่ปกปิด เงยหน้าสบมองเจ้าของหัวใจเพื่อหวังจะเอาความรู้สึกแบบเดียวกันกลับมา
แต่แล้วในดวงตาคู่สวยคู่นั้น...
กลับไม่มีสิ่งใดสะท้อนกลับมาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ทินกรก้มหน้ายอมรับความจริง แม้สิ่งที่ตนเอ่ยออกไปจะลึกซึ้งแค่ไหน แม้จะแสดงออกไปว่ารักนักรักหนา แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันไม่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจที่เริ่มเหี่ยวเฉาได้เลย
ก่อนจะถอนหายใจปล่อยทิ้งความรู้สึกปวดหนึบ หันไปให้ความสนใจกับท้องน้อยของคนรักอีกครั้ง พลางพรมจูบผ่านเนื้อผ้าแสดงออกว่ารักใคร่ อย่างน้อยๆแม้ตนจะให้รักที่ไม่ได้รักกลับ แตสิ่งที่อยู่ในท้องของภรรยาเป็นสิ่งที่พอจะช่วยฉุดรั้งให้เขาอยากจะพยายามต่อ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่คาดหวังมากจนเกินไป อย่างน้อยก็พอช่วยบรรเทาให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงก็ยังดี
"คุณทิน.."
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบคล้ายกับต้องการให้เขาหยุดการกระทำที่เริ่มเลยเถิด ทินกรไม่คิดสนใจน้ำเสียงในขณะที่กำลังพรมจูบมือหนาพลันคว้าจับชายกระโปรงชุดนอนยกขึ้นสูง เคลื่อนใบหน้าคมคายแทรกตัวเข้าไปใต้เนื้อผ้า ก่อนจะจูบซับตรงๆบนพุงนุ่มไร้กล้ามเนื้อ แตะสัมผัสด้วยเรียวลิ้นไล้เลียอย่างเอาอกเอาใจ วนเวียนไปมาไม่ละออกไปไหนจากจุดๆเดิม
เด็กในครรภ์คนนี้จะต้องเติบโตเป็นเด็กที่ได้รับความรักจากพ่อและแม่อย่างไม่ขาดเหลือ ทินกรอยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นขึ้นด้วยมือของตนเอง ครอบครัวที่เกิดมาจากความรักของคนสองคนระหว่างเขาและพิกุล
เขาเชื่อว่าเด็กคนนี้จะต้องเกิดมาเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนแม่ และจะต้องเข้มแข็งไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเหมือนพ่อ
มือที่โอบรั้งร่างแน่งน้อยหลวมๆบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นโอบกอดแน่นขึ้นตามความรู้สึกของตนเอง จนกระทั่งถูกมือนุ่มเอื้อมจับใบหน้าเสี้ยวหนึ่งพลางลูบไล้เบาๆ
"ทำไมคุณทินถึงชอบจูบตรงนี้"
พิกุลว่าพร้อมกับเอื้อมมือข้างที่ว่างชี้และจิ้มเบาๆบริเวณพุงน้อยๆของตนเอง ยอมรับว่าสงสัยไม่น้อย พักหลังมานี้อีกฝ่ายเอาแต่กอดและจูบราวกับพุงของเขามีบางอย่างที่สามารถดึงดูดได้
ก่อนจะเอียงคอมองชายหนุ่มเพื่อรอคำตอบที่ทำให้ตนกระจ่าง คลายความสงสัยออกจากหัว ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้พิกุลแน่นิ่ง
"ไว้ฉันจะบอก ตอนพิกุลรักฉันแล้ว"
น้ำลายอึกหนึ่งถูกกลืนลงคอที่แห้งผาก คำว่ารักหากเป็นก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะรู้อะไรต่อมิอะไรที่ทำให้เจ็บปวด คำรักพวกนั้นพิกุลอาจจะมอบให้อีกฝ่ายโดยไม่มีข้อกังขาอย่างแน่นอน
แต่สำหรับตอนนี้มันไม่ใช่
ดวงตาคู่สวยที่ใช้มองสบเมื่อครู่หันมองไปทางอื่นแทบจะทันทีหลังฟังจบประโยค ทินกรแค่นยิ้มให้กับท่าทางที่พิกุลแสดงออกมาให้เห็น ความรู้สึกปวดหนึบในใจทำเอาทินกรไม่สามารถทำเรื่องอย่างว่าต่อได้ แม้คนตรงหน้าจะมีอารมณ์ร่วมไปกับสัมผัสวาบหวามของเขาแล้วก็ตาม
มือที่ดึงรั้งชายผ้าค่อยๆปล่อยลง พร้อมกับถอยใบหน้าออกห่าง ส่งยิ้มอบอุ่นให้แม้จะฝืนมากก็ตาม
"นี่ก็ดึกแล้ว พิกุลขึ้นไปพักผ่อนเถอะ"