The Rabbit in The Moon - END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Rabbit in The Moon - END  (อ่าน 4278 ครั้ง)

ออฟไลน์ AriesPisces

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
The Rabbit in The Moon - END
« เมื่อ10-04-2020 12:03:25 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 12:45:59 โดย AriesPisces »

ออฟไลน์ AriesPisces

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
The Rabbit in The Moon - I
«ตอบ #1 เมื่อ12-04-2020 11:02:40 »

The Rabbit in The Moon - I

หมายเหตุ : มีฉากรุนแรงตอนต้นเรื่องเล็กน้อยนะคะ

กำเนิดพระจันทร์

ในคืนที่ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับกำลังจะเกิดพายุใหญ่ กลุ่มโจรป่าจากเมืองห่างไกลใช้คืนเดือนมืดเช่นนี้เข้าปล้นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่หลังหุบเขาแห่งหนึ่ง

เสียงกรีดร้องของชาวบ้านเริ่มดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ตามด้วยเสียงการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของทั้งของชาวบ้านและโจรป่าที่ลอบเข้ามาทำร้าย

หญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกกลุ่มโจรทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนักพยายามหลบหนีเพื่อไปรวมตัวกับชาวบ้านคนอื่น ๆ แต่โชคร้ายที่นางเกิดปวดท้องอย่างกระทันหันจนต้องหาที่หลบภัยระหว่างทาง

แม้ว่าร่างกายจะได้รับความบอบช้ำอย่างมากแต่ถึงกระนั้นนางก็ยังใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลือให้กำเนิดทารกออกมา ก่อนที่นางจะสิ้นใจลงในขณะกำลังกอดทารกที่เต็มไปด้วยเลือดไว้ในอ้อมอกแนบแน่น

หลังจากพวกโจรป่าที่เหลือได้หลบหนีไปและสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ชาวบ้านที่ยังคงมีชีวิตรอดต่างพากันมารวมตัวที่บ้านของผู้อาวุโสสูงสุด ทุกสายตาต่างจ้องมองไปยังชายคนหนึ่งที่กำลังอุ้มทารกตัวน้อยเอาไว้

ตามกฎของหมู่บ้านแห่งนี้ หากมีเด็กที่ถือกำเนิดมาแล้วคร่าชีวิตของผู้ให้กำเนิด เด็กผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการไถ่บาปแก่ผู้ให้ชีวิต

นอกจากเด็กน้อยจะคร่าชีวิตของผู้ที่เป็นมารดาแล้ว ในคืนที่เด็กน้อยได้ถือกำเนิดนั้น ยังมีเหตุการณ์โจรป่าเข้าปล้นหมู่บ้านจนทำให้ชาวบ้านถูกสังหารเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นคนนำพาความโชคร้ายมายังหมู่บ้านแห่งนี้

หลังจากผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านทำการปรึกษาหารือกันจึงได้ข้อสรุปว่าเด็กน้อยจะต้องถูกลงโทษให้ชดใช้ด้วยชีวิตเพื่อไถ่บาปแก่ผู้ให้กำเนิดและชาวบ้าน

กองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้นเพื่อทำพิธีส่งวิญญาณให้กับชาวบ้านทั้งหมดที่เสียชีวิต หลังจากศพสุดท้ายถูกโยนเข้าไปในกองไฟเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้ทำพิธีขอขมาต่อชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังจะสูญเสีย จากนั้นจึงโยนร่างของเด็กทารกที่กำลังหลับสนิทเข้าไปในกองไฟ

เสียงร้องของเด็กน้อยดังขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโหมก่อนจะค่อย ๆ แผ่วลง

แล้วอยู่ ๆ ท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำก้อนใหญ่ ไม่นานสายฝนก็ตกลงมาอย่างหนักจนทำให้กองไฟทั้งกองค่อย ๆ มอดดับจนเหลือเพียงกลุ่มควันขนาดใหญ่

ชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่บริเวณนั้นเริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นอีกครั้งออกมาจากกลุ่มควันเหล่านั้น

แสงสว่างจ้าเกิดขึ้นตรงบริเวณที่เคยเป็นกองไฟเมื่อครู่ ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆ จางลง แล้วปรากฎเป็นร่างของหญิงสาวสวยจัดราวกับเทพีนางหนึ่งยืนอยู่ ทั้งร่างของนางปกคลุมไปด้วยลำแสงสีทอง ในมือของนางอุ้มทารกน้อยที่บัดนี้เงียบเสียงลงแล้วเอาไว้แนบอก

"เหตุใดกันที่ทำให้พวกเจ้าทำร้ายเด็กน้อยที่แสนบริสุทธิ์นี้ได้ลงคอ"

เสียงกังวานทรงพลังดังขึ้นรอบทิศทางทั้ง ๆ ที่หญิงสาวผู้นั้นมิได้ขยับริมผีปากแม้แต่น้อย ชาวบ้านที่ได้ดังนั้นต่างพากันหวาดกลัวจนต้องรีบทรุดตัวลงบนพื้นแล้วก้มลงขอขมาเทพีตรงหน้า

"เด็กน้อยผู้นี้มิได้มีความผิดอย่างที่พวกเจ้ากล่าวหา มนุษย์ล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิด"

"ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านในเดือนนี้ ข้ามิอาจมองผ่านการกระทำหยาบช้าของพวกเจ้าไปได้"

สายตาดุดันกวาดตามองไปยังชาวบ้านที่ก้มหัวให้ตนเองด้วยอาการหวาดหวั่น พลางมองใบหน้าของเด็กน้อยในอ้อมแขนที่ได้รับผลจากการกระทำอันโหดร้ายจากคนเหล่านี้

"หากใครคิดที่จะทำร้ายเด็กน้อยผู้นี้โดยไม่มีความผิดอีก ข้าจะลงโทษคนเหล่านั้นให้หลาบจำไปจนชั่วชีวิต"

เมื่อประโยคอันน่าเกรงขามจบลง ร่างของเทพีองค์นั้นก็สลายไปในพริบตา ทิ้งไว้เพียงทารกน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นกับกลุ่มควันสีทองจาง ๆ

ผู้อาวุโสหญิงท่านหนึ่งได้สติก่อนจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเด็กน้อยที่ถูกทิ้งเอาไว้ แต่เมื่อนางได้เด็กในห่อผ้าเต็มตา นางก็ถึงกับร้องอุทานขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ

ชาวบ้านที่ได้ยินดังนั้นต่างรีบพากันเข้าไปดู และได้เห็นว่ามีบาดแผลที่เกิดจากรอยไฟไหม้บวมแดงอยู่บนใบหน้าด้านขวาของเด็กทารก ทุกคนที่ได้เห็นต่างพากันร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันพร้อมกับรีบหันหน้าหนี

ผู้อาวุโสสูงสุดจึงรีบเรียกให้บิดาของเด็กมาอุ้มเด็กน้อยกลับไปเลี้ยงดูและสั่งว่าไม่ให้เด็กคนนี้มาวุ่นวายกับพวกชาวบ้าน พร้อมทั้งกำชับชาวบ้านไม่ให้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้อีก

ถึงแม้เด็กน้อยจะถูกไว้ชีวิตตามที่องค์เทพีได้สั่งไว้ แต่ชาวบ้านก็ยังคงรังเกียจและไม่เคยคิดจะเข้าใกล้เด็กน้อยตั้งแต่นั้น ทุกคนต่างไม่เคยเห็นใจในสิ่งที่เด็กน้อยได้รับแถมยังปักใจเชื่อว่านั่นคือเครื่องยืนยันถึงบาปให้กับทุกชีวิตที่สูญเสียในคืนนั้น




6 ปีต่อมา ...

"นั่นพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่"

เสียงใสของเด็กชายวัย 6 ขวบร้องขึ้นหลังจากที่ได้เห็นกลุ่มเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกำลังขว้างปาก้อนหินใส่อะไรบางอย่าง

เด็กคนหนึ่งในกลุ่มหยุดการกระทำลงพร้อมกับหันมาหา นั่นจึงทำให้เด็กชายเห็นว่ากลุ่มเด็ก ๆ กำลังทำร้ายกระต่ายตัวหนึ่งอยู่ เด็กชายจึงรีบวิ่งฝ่าเข้าไปห้ามพร้อมทั้งอุ้มกระต่ายที่บาดเจ็บตัวนั้นเอาไว้

"ไอ้ตัวน่ารังเกียจ เจ้าไปอุ้มมันขึ้นมาทำไม ปล่อยมันลงเดี๋ยวนี้" เด็กชายที่ตัวโตที่สุดในกลุ่มพูดขึ้นเสียงดัง

"แล้วทำไมพวกเจ้าต้องไปทำร้ายมันเช่นนี้ด้วยเล่า" เด็กชายตอบโต้และยังคงอุ้มเจ้ากระต่ายตัวนั้นเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างปกป้อง

"พ่อข้าเคยบอกว่ากระต่ายเป็นตัวเชื้อโรค เป็นสัตว์ที่นำโชคร้ายมาให้" เป็นเด็กหญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มตอบด้วยท่าทีรังเกียจ

"ปล่อยมันมาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้นะ พวกข้าจะฆ่ามัน" เด็กชายที่ดูอายุมากที่สุดออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

"ข้าไม่ปล่อย" คนตัวเล็กกว่าปฏิเสธ ทั้งยังยื่นกระต่ายไปตรงหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปหาเด็ก ๆ กลุ่มนั้น "ถ้าอยากได้นักพวกเจ้าก็มาเอาไปจากมือข้าสิ"

"อ๊าย !!! ไม่นะ เจ้าเด็กน่าเกลียด อย่าเข้ามาใกล้พวกข้านะ" เด็กหญิงวิ่งหนีพร้อมกับกรีดร้องโวยวายเสียงดัง

"ใช่ พวกข้าไม่มีใครอยากเข้าใกล้เจ้าหรอก" เด็กตัวอ้วนในกลุ่มพูดขึ้นบ้างพร้อมกับวิ่งหนีคนตัวเล็กที่กำลังวิ่งเข้ามาหา

"เจ้ามันก็ตัวโชคร้ายเหมือนกับกระต่ายตัวนั้นนั่นแหละ"

เด็กชายร่างโตที่ยืนอยู่ห่าง ๆ พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับขว้างก้อนหินที่อยู่ในมือใส่เด็กชายตัวน้อย และเมื่อเด็กคนอื่นเห็นเข้าจึงพามารุมขว้างก้อนหินใส่ ก่อนทั้งหมดจะวิ่งหนีไป

"ลูอา ไอ้เด็กอัปลักษณ์ ไอ้เด็กน่ารังเกียจ"

"ไอ้คนไม่ใครคบ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้"

"เจ้ามันตัวนำโชคร้าย ชีวิตของเจ้าก็มีแต่ความโชคร้าย"

เด็ก ๆ กลุ่มนั้นจากไปพร้อมกับทิ้งคำพูดทิ่มแทงจิตใจเอาไว้เบื้องหลัง

เด็กน้อยนั่งลงแล้วก้มดูเจ้ากระต่ายที่ได้รับบาดเจ็บในอ้อมแขน แม้บนใบหน้าและตามลำตัวของมันจะมีเลือดออกจากการถูกทำร้ายแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้บาดเจ็บไปมากกว่าที่เห็น

"จะ เจ้า มะ ไม่ เป็น ฮึก อะไร ฮึก ใช่ไหม ฮึก กระต่ายน้อย"

แขนผอมโอบกอดเจ้ากระต่ายตัวไม่เล็กไว้ในอ้อมแขนพร้อมพูดด้วยอาการสะอึกสะอื้น ระบายสิ่งที่อัดอั้นจากการถูกพวกเด็ก ๆ กลุ่มนั้นพูดจาไม่ดีใส่ จนน้ำตาเม็ดเล็กหยดลงบนตัวเจ้ากระต่ายหลายหยด

เจ้ากระต่ายใช้จมูกเล็กสีดำดันใกล้ ๆ กับผ้าที่เลื่อนหลุดลงมาจนเห็นรอยแผลใหญ่บนใบหน้าด้านขวาของเด็กน้อยเบา ๆ คล้ายกับเจ้าตัวเล็กกำลังต้องการปลอบใจเด็กชายตัวน้อยให้คลายเศร้า

"ขอบใจนะเจ้ากระต่าย" เด็กน้อยกดจูบลงบนจมูกเล็กของเจ้ากระต่ายตัวนั้นอย่างไม่นึกรังเกียจ

เด็กน้อยสังเกตุเห็นว่าบนหัวสีขาวมีเลือดไหลออกมาไม่น้อย จึงฉีกเศษผ้าจากเสื้อของตนเพื่อพันให้เจ้ากระต่าย เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับอุ้มเจ้ากระต่ายที่มีเศษผ้าสีตุ่นพันไว้เดินมายังชายป่าหลังหมู่บ้าน

"ข้าคงช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เข้มแข็งไว้นะเจ้ากระต่าย" เด็กน้อยพูดกับเจ้ากระต่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยมันลงพื้นดิน

"ไปซะ ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดี แล้วอย่าให้ถูกคนใจร้ายเจอเข้าอีก รู้ไหม"





12 ปีต่อมา ...

ทุกปีที่วนมาถึงปีกระต่าย หมู่บ้านจะต้องส่งเด็กสาวอายุ 18 ไปเป็นเครื่องบูชาแก่ท่านเทพประจำปี โดยหลังจากคืนที่ทำพิธีผ่านพ้น เด็กสาวเหล่านั้นจะหายสาบสูญไปจากกระท่อมที่ใช้ทำพิธีโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นอีก

แต่ในปีนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น …

เครื่องบูชาทั้งหมดที่ถูกส่งไปกลับถูกพบเป็นศพอยู่ภายในกระท่อม ส่วนเด็กสาวคนสุดท้ายที่ถูกส่งไปเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ถูกพบเป็นศพอยู่บริเวณใกล้ ๆ ทางเดินขึ้นภูเขาเทพเจ้า

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้านหลายคนต้องมารวมตัวเพื่อหาทางแก้ไข หลังจากที่ใช้เวลาหารือกันอยู่นาน ชาวบ้านจึงตกลงกันตามที่ท่านผู้อาวุโสของหมู่บ้านได้แนะนำว่าให้ลองส่งเด็กอายุ 18 คนสุดท้ายของหมู่บ้านไปบูชาแก่ท่านเทพอีกครั้ง

เครื่องบูชาคนใหม่ของหมู่บ้านได้ถูกส่งมายังกระท่อมทำพิธีที่ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาอีกครั้ง

หลังจากที่ชาวบ้านออกไปกันหมดแล้ว เด็กร่างบางที่ถูกปิดตา มัดข้อมือ ข้อเท้า และมีผ้าสีแดงเข้มคลุมไว้ทั้งร่างก็เริ่มสั่น แม้ตนเองจะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าการมาเป็นเครื่องบูชาในครั้งนี้อาจไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับไป แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ กลับหวาดกลัวมากจนไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ที่ร่างบางต้องนอนนิ่งอยู่บนพื้น แต่แล้วจู่ ๆ หูทั้งสองข้างก็เริ่มได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงที่คล้ายกับคนสองคนกำลังถกเถียงกันจากด้านนอกประตู

"ดูเหมือนพวกมนุษย์จะส่งเครื่องบรรณาการมาให้เจ้าอีกแล้ว"

"อีกแล้วรึท่านพ่อ ข้าไม่เคยต้องการอะไรแบบนี้ ท่านก็รู้"

"เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ ที่ผ่านมาเจ้าก็กินพวกนางนี่"

"นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกนางต้องพบจุดจบเช่นนั้นมิใช่รึไง"

"แล้วเจ้าจะทำเช่นไร ในเมื่อตอนนี้ร่างกายของเจ้ากำลังหิว"

"ท่านก็รู้ว่าข้าสามารถจัดการมันได้ขอแค่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้นข้าก็พอ"

"แล้วคนที่อยู่ด้านใน เจ้าจะยกให้ข้าเช่นนั้นรึ"

"ไม่หล่ะ ข้ามีเรื่องต้องให้นางช่วยและหากนางเชื่อฟังที่ข้าพูด นางก็จะรอด"

เครื่องบูชาตัวน้อยนอนฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยอาการหวาดหวั่น เมื่อได้ยินเสียงประตูถูกเปิดเข้ามาก็ยิ่งทำให้หวาดกลัวมากขึ้นหลายเท่า ยิ่งเสียงพูดนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ร่างกายก็ยิ่งสั่นมากขึ้น

ปมที่ถูกมัดไว้บนข้อมือและข้อเท้าค่อย ๆ คลายออก พร้อมกับผ้าสีแดงเข้มที่ถูกคลุมอยู่บนตัวก็ถูกดึงออกด้วยแรงไม่เบานัก

"ให้ตายสิ เจ้ามนุษย์พวกนี้"

หลังจบประโยคเกรี้ยวกราดนั้น เสียงร้องคำรามด้วยความโกรธก็ดังขึ้นไปทั่วกระท่อม

คนตัวขาวในชุดสีแดงสดรีบถอยหลังหนีพร้อมกับดึงผ้าที่ปิดตาออก ทำให้เห็นว่าตรงหน้ามีชายหนุ่มร่างกายสมส่วนกำลังยืนหันหลังให้และกำลังยกมือกุมขมับทั้งสองข้าง ซ้ำยังส่งเสียงคำรามในลำคอคล้ายกับกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง

"ทำไมถึงส่งเด็กคนนี้มาให้ข้า คนพวกนั้นกำลังคิดจะท้าทายข้าใช่หรือไม่"

บุรุษเทพหันหน้ากลับมาพร้อมกับดวงตาสีแดงกล่ำ แล้วเอ่ยประโยคที่บอกให้รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้บุรุษเทพผู้นี้กำลังไม่พอใจอยู่

"มะ ไม่ใช่นะท่านเทพ คือที่หมู่บ้านของข้าไม่มีเด็กสาวอายุ 18 จะส่งมาให้ท่านอีกแล้ว"

"ละ และเพราะว่าข้า ข้าเป็นเด็กอายุ 18 คนสุดท้ายของหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงต้องส่งข้ามาให้ท่านเช่นนี้"

"ทะ ท่าน อย่าทำอะไรพวกชาวบ้านเลยนะ ท่านจะฆ่าข้าก็ได้ แต่ได้โปรดอย่าทำอะไรกับคนในหมู่บ้านของข้า ได้โปรดเถิดท่านเทพ ข้าขอร้อง ข้ายอมทำทุกอย่าง จะให้ข้าตายข้าก็ยอม"

เด็กหนุ่มที่แสนหวาดกลัวจนน้ำตาไหลพรากออกมาละล่ำละลักตอบท่านเทพ ซ้ำยังเอ่ยร้องขอชีวิตแทนคนในหมู่บ้านอย่างขอความเมตตา

หลังจากได้ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มที่กำลังสะอึกสะอื้นร้องขอชีวิตให้กับพวกชาวบ้าน อารมณ์ฉุนเฉียวที่เกิดขึ้นในตอนแรกก็ค่อย ๆ สงบลง ดวงตาสีแดงค่อย ๆ กลับมาเป็นสีเหลืองทองเฉกเช่นปกติ

"เจ้านี่ช่างแสนดีไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคนพวกนั้นตั้งใจส่งเจ้ามาตายที่นี่แท้ ๆ เจ้าก็ยังปกป้องคนพวกนั้น”

บุรุษเทพที่บัดนี้ไม่ได้แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดอย่างตอนแรกพูดคุยกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกราวกับคนละคน

“แต่เอาเถอะเห็นแก่ความดีของเจ้า ข้าจะไม่เอาโทษเรื่องในครั้งนี้ก็ได้ จะว่าไปดีเสียอีกที่เจ้าถูกส่งมา"

"ทะ ท่าน ท่านจะไม่เอาผิดพวกข้าจริงหรือไม่ ข้าขอขอบคุณ ขอบคุณท่านเทพที่เมตตาและไว้ชีวิตพวกข้า" เด็กหนุ่มที่ยังคงสะอึกสะอื้นไม่หยุด รีบเอ่ยขอบคุณท่านเทพที่ไว้ชีวิตตนเองและคนในหมู่บ้าน

"ข้าจะไม่เอาผิดเจ้าหรือคนในหมู่บ้านของเจ้า แต่เจ้ามีเรื่องที่จะต้องทำให้ข้า ลูอา"

"ทะ ท่าน ท่านรู้จักชื่อของข้า ?"

บุรุษเทพมองหน้าเด็กหนุ่มที่บัดนี้กำลังทำสีหน้าสงสัยอย่างหนักแม้จะยังคงมีคราบน้ำตาอยู่บนใบหน้า ก่อนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางนั้น ริมฝีปากสีแดงสดเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกไปแทนโดยที่ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝาก

"ในตอนเช้าเจ้าจงกลับลงไปที่หมู่บ้านของเจ้าแล้วนำข้อความจากข้าไปบอกให้คนในหมู่บ้านของเจ้าได้รู้"

"แจ้งคนพวกนั้นว่าข้าไม่ต้องการเด็กสาวเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการอีกต่อไป ตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องส่งเด็กสาวหรือใครมาให้ข้าอีก หากไม่ต้องการให้ใครพบจุดจบเช่นเด็กสาวทั้งหมดก่อนหน้านี้"

เมื่อคำพูดของท่านเทพจบลง ลูอาจึงเริ่มทวนข้อความทั้งหมดซ้ำอีกครั้งจนมั่นใจว่าตนเองจำข้อความจากท่านเทพได้ครบถ้วน หลังจากนั้นจู่ ๆ ลูอาก็นึกถึงประโยคที่ได้ยินตอนที่ถูกปิดตาอยู่จึงรวบรวมความกล้าแล้วตั้งคำถามออกไปด้วยความสงสัย

"ละ แล้วคืนนี้ท่านจะไม่กินข้าใช่หรือไม่"

"ห้ะ!! เจ้าว่าอะไรนะ!! กินเจ้า!! นี่เจ้ากำลังพูดอะไรออกมา"

เสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจถูกเปล่งออกมาทีละประโยค สายตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงนั้นจับจ้องมาที่ลูอาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าลูอากำลังทำให้ท่านเทพพิโรธอีกเสียแล้ว

"กะ ก็ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านพูดก่อนที่ท่านจะแก้มัดให้ข้า ข้าได้ยินว่า ท่าน ... ท่านกำลังหิว"

ลูอารีบอธิบายสิ่งที่ตนได้ยินมาให้ท่านเทพได้รับรู้ พลางเงยหน้ามองไปยังท่านเทพที่บัดนี้สีตากลับไปเป็นปกติแล้ว ลูอาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพึมพำประโยคต่อมาในลำคอเบา ๆ

"ถึงท่านบอกว่าจะไว้ชีวิตข้า แต่ข้าก็ยังกลัวอยู่ดีนี่ หากข้าหลับไปแล้วท่านมากินข้า ข้าจะทำเช่นไรเล่า"

บุรุษเทพหลุดขำออกมาหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ลูอาพูด ดูท่าทางเด็กน้อยตรงหน้าจะตีความไปคนละอย่างเสียแล้ว

"ข้าจะไม่กินเจ้าแน่นอน ข้ารับปาก"

"คืนนี้ข้าจะให้เจ้านอนที่นี่ ส่วนข้าจะขึ้นไปแช่น้ำที่สระด้านบนและจะไม่กลับลงมาอีก เจ้าวางใจได้"

"นอนซะ ราตรีสวัสดิ์นะ พ......"

ยังไม่ทันที่จะได้ยินคำพูดทั้งหมดของบุรุษเทพ ลูอาก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมาและหลับลงไปในทันที




เช้าตรู่ ...

บิดาของลูอาขออาสาขึ้นไปยังกระท่อมเนินเขาในตอนเช้าพร้อมกับชาวบ้านคนอื่น ๆ เมื่อพบว่าร่างของลูอานอนนิ่งอยู่บนพื้นของกระท่อมและยังมีชีวิตอยู่จึงช่วยกันอุ้มเด็กหนุ่มกลับลงมาที่หมู่บ้าน

เมื่อลูอาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนแคร่หน้าบ้านของผู้อาวุโสสูงสุด โดยมีชาวบ้านหลายคนกำลังมองตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อตั้งสติได้ ลูอาจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ได้เจอกับท่านเทพและบอกชาวบ้านถึงข้อความที่ได้รับฝากมา

"ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้พูดปดเจ้าหนู"

เสียงเย็นของผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยถามลูอาด้วยความสงสัย จากนั้นชาวบ้านโดยรอบก็เริ่มแสดงท่าทีเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสตั้งคำถาม

ลูอากัดปากอย่างพยายามหาคำตอบ ความจริงก็คิดไว้ว่าชาวบ้านอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองพูด เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยมองตนในแง่ดี อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ไม่มีใครมาช่วยเป็นพยานยืนยันได้ จึงยิ่งยากที่จะทำให้ชาวบ้านเชื่อในคำที่ตนนั้นพูด

"ที่เด็กคนนั้นพูดเป็นเรื่องจริง"

อยู่ ๆ เสียงแหบทุ้มก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของกลุ่มคน ทำให้ลูอาและชาวบ้านที่กำลังยืนอยู่ต้องมองไปทางที่มาของเสียงนั้น

เมื่อลูอาได้เห็นชายร่างสูงที่สวมเครื่องแต่งกายสีขาวตกแต่งลวดลายด้วยดิ้นสีแดงก็ถึงกับร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

"ทะ ท่าน ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร"

บุรุษตรงหน้ายกยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปยืนด้านหน้าแคร่ที่ลูอานั่งอยู่

"ข้าขอยืนยันอีกครั้งว่าสิ่งที่เด็กคนนี้พูดเป็นความจริง"

"เจ้าเป็นใคร ทำไมพวกข้าต้องเชื่อเจ้า" เสียงทรงอำนาจของท่านอาวุโสสูงสุดถามขึ้น

"ข้าเป็นผู้ดูแลศาลเทพเจ้าบนหุบเขาคนใหม่"

ชายผู้มาใหม่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมยกมือข้างขวาขึ้นระดับอกยื่นออกไปตรงหน้าทุกคน จากนั้นจึงค่อย ๆ แบออก

นานมาแล้วเคยมีเรื่องเล่ากันว่าศาลเทพเจ้าที่ตั้งอยู่บนหุบเขาเป็นที่สิงสถิตของเหล่าทวยเทพ เป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่ให้ผู้ใดขึ้นไปยกเว้นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลเท่านั้น

ผู้ดูแลศาลเทพเจ้าเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากทวยเทพทั้งหลาย เพื่อเป็นตัวแทนส่งสารที่เหล่าเทพต้องการบอกมายังชาวบ้าน ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้ดูแลเปลี่ยนคนไปเรื่อย ๆ พร้อมกับสัญลักษณ์ของเทพในปีนั้น ๆ


หลังจากที่ได้เห็นรอยหมึกที่เป็นรูปกระต่ายสีแดงถูกสลักอยู่กลางผ่ามือของชายผู้นั้น ชาวบ้านทุกคนรวมถึงผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จึงเชื่อว่าชายคนดังกล่าวเป็นผู้ดูแลศาลเทพเจ้าจริงและรีบคุกเข่าลงเพื่อขอขมาทันที

ชายหนุ่มโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่ได้ถือสาและให้ชาวบ้านลุกขึ้น พร้อมกับย้ำคำที่ท่านเทพได้ฝากมาเกี่ยวกับการยกเลิกเรื่องเครื่องบรรณาการประจำปีกระต่าย และให้เปลี่ยนไปเป็นการถวายอาหารและผลไม้ดังเช่นปีอื่น ๆ แทน

หลังจากการเจรากันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงขอตัวกลับไปยังศาลเทพเจ้าทันที

ลูอาทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นผู้ดูแลศาลเทพเจ้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม



to be continued ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2020 21:14:08 โดย AriesPisces »

ออฟไลน์ AriesPisces

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
The Rabbit in The Moon - II
«ตอบ #2 เมื่อ17-04-2020 18:55:00 »

The Rabbit in The Moon - II

ณ กระท่อมเนินเขา

"ทำไมเจ้ายังมาที่กระท่อมแห่งนี้อีกลูอา"

เสียงแหบทุ้มของคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ดูแลศาลเทพเจ้าดังขึ้นจากด้านหลัง ในขณะที่ลูอากำลังเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมที่ตนเองถูกส่งมาในค่ำคืนที่ผ่านมา

"ก็ท่านผู้อาวุโสสูงสุดบอกว่าข้าถูกถวายมาให้เป็นคนของท่านเทพแล้ว แถมท่านเทพก็ยังไว้ชีวิตข้า นั่นแสดงว่าท่านเทพยอมรับข้า ท่านผู้อาวุโสสูงสุดจึงบอกให้ข้ามาอยู่รับใช้ท่านเทพที่นี่"

เสียงเจื้อยแจ้วจากคนตัวเล็กที่มีย่ามติดมือมาตอบคำถามไปตามสิ่งที่ตนเองได้รับมาอย่างครบถ้วน

"แต่ข้าไม่ได้ต้องการคนรับใช้" อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจกับความคิดนี้เท่าไหร่นัก

"ข้าก็ไม่ได้มารับใช้ท่านเสียหน่อย ข้ามารับใช้ท่านเทพ"

ลูอายังคงตอบไปตามที่ตนเองเข้าใจ อดสงสัยไม่ได้ว่าในเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ท่านเทพเสียหน่อย แล้วจะโวยวายเสียงดังเพื่ออะไร

"ก็ข้านี่ไง"

"ท่านอย่ามาปดข้า"

"ข้านี่แหละท่านเทพที่เจ้ากำลังพูดถึง"

"แต่ท่านบอกเองว่าท่านเป็นเพียง..."

ยังไม่ทันจบประโยคโต้เถียงนั้น ร่างของชายที่ยืนอยู่บริเวณทางเดินก็สลายไปแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า มือแข็งแรงข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากที่กำลังโต้เถียงของลูอาให้เงียบเสียงลง ใบหน้าคมเกลี้ยงเกลาก้มลงมาใกล้ใบหน้าที่เล็กกว่า ใกล้จนมองเห็นรอยแผลเป็นที่อยู่บนหัวคิ้วข้างขวาได้ชัด ใกล้จนได้กลิ่นกายที่หอมเหมือนดอกไม้อบอวลไปทั่ว

"หยุดโต้เถียงข้าเสียทีลูอา"

"ผู้ดูแลศาลเทพเจ้าที่พวกเจ้าเข้าใจกัน ไม่เคยมีอยู่จริง เรื่องราวของผู้ดูแลศาลเทพเจ้าเกิดขึ้นเพราะว่าบิดาของข้าเป็นคนลงไปบอกพวกชาวบ้านด้วยตนเองเมื่อหลายร้อยปีก่อน ว่าท่านต้องการหญิงสาวเป็นเครื่องบรรณาการ"

"ด้วยความที่เทพส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยปรากฏร่างที่แท้จริงให้ผู้ใดได้เห็นกันนัก บิดาของข้าจึงต้องอ้างว่าเป็นผู้ดูแลศาลเทพเจ้า หลังจากที่บิดาข้าใช้ข้ออ้างนั้น เทพตนอื่นที่มีสิ่งที่ต้องการหรืออยากส่งสารไปยังหมู่บ้าน ก็จะปรากฏกายในร่างของผู้ดูแลศาลเทพเจ้าเพื่อส่งสารให้ชาวบ้านรับรู้"

"ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าท่านเทพที่พวกเจ้าบูชากับผู้ดูแลศาลเทพเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน"

ลูอารีบพยักหน้าเป็นคำตอบว่าเข้าใจในสิ่งที่ท่านเทพบอกแล้ว พลางเสตามองมือใหญ่ที่กำลังปิดปากตนเองอยู่ หลังจากที่บุรุษเทพปล่อยมือ ลูอาจึงรีบถอยหลังออกมาเล็กน้อยและถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยต่อทันที

"แล้วทำไมบิดาของท่านถึงต้องการหญิงสาวเป็นเครื่องบรรณาการด้วยเล่า ทั้ง ๆ ที่เทพองค์อื่น ๆ ไม่เห็นจะต้องใช้หญิงสาวเป็นเครื่องบูชาเช่นนี้"

ดวงตาสีเหลืองทองมองไปยังคนตัวเล็กที่คลายอาการตกใจลงแล้วจึงตอบคำถามของอีกฝ่าย

"อย่างที่เจ้ารู้ บิดาของข้าเป็นเทพประจำปีกระต่าย เทพกระต่ายทุกตนจะมีพฤติกรรมพิเศษเช่นเดียวกับกระต่าย ที่พอถึงช่วงเวลาหนึ่งจะ "หิวง่าย" และสามารถ "กิน" ได้ตลอดเวลา"

"บิดาของข้าก็เป็นเช่นนั้น"

"ตอนที่ท่านอยู่บนวิหารเทพ ท่านสามารถหาของกินเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ท่านต้องการ แต่เมื่อลงมาที่โลกมนุษย์บิดาข้าไม่มีอาหารตกถึงท้องเช่นเดิม และพวกข้าไม่สามารถกินอาหารของมนุษย์ได้หากสิ่งนั้นไม่ถูกถวายมาให้ด้วยความเต็มใจ ท่านจึงต้องแปลงกายไปเป็นมนุษย์เพื่อบอกความปรารถนา"

เนื่องจากกระต่ายถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับหมู่บ้านของลูอา เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่ามันเป็นสัตว์ที่นำโชคร้ายมาให้ จึงทำให้ลูอาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับกระต่ายมากนัก

"ข้าก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าเทพกระต่ายต้องกินเนื้อของหญิงสาวเป็นอาหาร"

บุรุษเทพมองใบหน้าใสที่ยังเข้าใจความหมายนั้นไปคนละทางด้วยความขบขันกับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย แต่ก็มิได้แก้ไขความเข้าใจนั้นใหม่ ซ้ำยังอธิบายถึงรสนิยมของการกินอาหารให้ลูอาได้ฟังเพิ่ม

"ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหญิงสาวหรอกลูอา จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดไหนพวกเราก็กินได้ทั้งนั้น แต่นั่นก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบของเทพแต่ละองค์"

"อย่างบิดาของข้า ท่านชอบกินเด็กสาวเป็นอาหาร เพราะท่านบอกว่าเนื้อของเด็กสาวนั้นหอมหวานและให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยได้มากกว่า"

เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างทำความเข้าใจในเรื่องที่ได้ฟัง แล้วลูอาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ทำให้ตนเองต้องถูกถวายมาจึงเอ่ยถามท่านเทพออกไปอีกครั้ง

"แต่ข้าก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ดี ข้าเคยได้ยินมาว่าในปีกระต่ายที่ผ่าน ๆ มาเครื่องบรรณาการทุกคนจะหายตัวไป แล้วเหตุใดเครื่องบรรณาการในปีนี้จึงถูกพบเป็นศพกลับมาแทนกันเล่า"

รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของบุรุษเทพหลังจากมองคนที่ตั้งคำถามอย่างสงสัย ตอนนี้เด็กหนุ่มที่มีแต่ความเกรงกลัวท่านเทพในค่ำคืนที่ผ่านมาคงหายไปเสียแล้ว

"หญิงสาวที่ถูกส่งมาไม่ได้หายไปไหน พวกนางแค่กลายเป็นข้ารับใช้ของบิดาข้าอยู่ที่นี่โดยมนุษย์อย่างพวกเจ้ามิอาจมองเห็นได้"

"ตอนนี้บิดาข้าที่ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้มาหลายร้อยปีต้องการพักผ่อน จึงมอบตำแหน่งนั้นให้ข้าในปีนี้เป็นปีแรก ดังนั้นหญิงสาวที่ถูกส่งมาในปีนี้ทุกคนจึงถือเป็นเครื่องบรรณาการของข้า"

เสียงพูดของบุรุษเทพแผ่วลงในช่วงท้ายที่พูดถึงเครื่องเครื่องบรรณาการของตนเองราวกับไม่ต้องการจะเอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวเท่าใดนัก

"แสดงว่าบิดาของท่านไม่ได้กินพวกนางสินะพวกนางถึงไม่ตาย แล้วทำไมท่านถึงต้องกินพวกนางด้วย ทำไมท่านไม่พาพวกนางไปอยู่ที่วิหารเทพกับท่านแทน หรือว่าท่านไม่พอใจพวกนาง"

บุรุษเทพหันหลังให้ลูอาแล้วมองขึ้นไปยังดวงจันทร์บนท้องฟ้าพร้อมกับยิ้มหยันให้กับคำถามเหล่านั้นก่อนตอบ

"บิดาข้าก็กินพวกนางเฉกเช่นกับข้านั่นแหละลูอา ความจริงพวกนางถือว่าได้ตายจากโลกมนุษย์ไปแล้วทั้งสิ้น และเมื่อจบปีกระต่ายวิญญาณของพวกนางก็จะถูกส่งไปที่วิหารเทพทั้งหมด"

"ต่างจากข้าก็ตรงที่ หากข้ากินพวกนางแล้วร่างของพวกนางจะกลายเป็นศพ วิญญาณของพวกนางไม่อาจขึ้นไปบนวิหารเทพได้ พวกนางต้องไปยังปรโลกตามวิถีของโลกมนุษย์"

"นั่นก็เพราะข้ามีคำสาปติดตัวอย่างไรเล่า..."

คิ้วเรียวของลูอาขมวดขึ้นเมื่ออยู่ ๆ เสียงที่กำลังเล่าถึงตอนสำคัญนั้นกลับเงียบลง บุรุษเทพหันกลับมาหาลูอาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“แต่ข้าจะยังไม่เล่าให้เจ้าฟังตอนนี้หรอกนะเด็กน้อย ตอนนี้ข้าต้องการชำระล้างร่างกายของข้า เพราะวันนี้ข้าลงไปที่หมู่บ้าน ตอนนี้ข้าเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่นัก"

"ไหน ๆ เจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่แล้ว เจ้าไปอาบน้ำเป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน"

"อ้อ แน่นอนว่าหากเจ้าไปกับข้า ข้าจะเล่าเรื่องคำสาปของข้าให้เจ้าฟังด้วย ดีไหมเจ้าเด็กขี้สงสัย"





ณ สระน้ำกลางหุบเขาเทพเจ้า

ลูอาเดินตามท่านเทพออกมาตามทางเดินขึ้นเขาที่อยู่หลังกระท่อม บนทางเดินที่ไม่กว้างนักมีดอกไม้สีสันต่าง ๆ ปลูกไว้โดยรอบ จนส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว

ใช้เวลาเดินเพียงไม่นานก็ถึงสระน้ำสีมรกตขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูง แสงจันทร์ที่ตกกระทบบนผืนน้ำยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ช่างสวยงามจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

"นั่นเจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนงั้นหรือ"

เสียงของท่านเทพทำให้ลูอาตื่นจากภวังค์ที่กำลังซึมซับบรรยากาศโดยรอบ เมื่อหันไปยังอีกฝ่ายลูอาจึงได้เห็นว่าท่านเทพนั้นกำลังแช่น้ำอยู่ในสระเรียบร้อยแล้วและกำลังมองมาที่ตนเองอยู่

นี่เป็นครั้งแรกที่ลูอาได้สังเกตลักษณะของท่านเทพอย่างเต็มตา

ใบหน้าคมคร้ามที่มีสายตาดุดันสีเหลืองทอง ผมสีเงินเงางามยาวระบ่ากว้าง ร่างกายที่ดูมีกล้ามเนื้อสมส่วน แขนและหน้าท้องที่มีมัดกล้ามกำลังพอดียิ่งเมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่องเช่นนี้ยิ่งทำให้ร่างกายที่ช่างงดงามตรงหน้าโดดเด่นน่ามองจนทำให้หนุ่มน้อยที่ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนเกิดอาการใจสั่นแปลก ๆ

"นี่เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนใช่หรือไม่ลูอา ทำไมเจ้ายังไม่ลงมาอีก"

"ขะ ข้ากำลังจะลงไปแล้ว ขอข้าถอดชุดสักครู่"

ลูอารีบสลัดความคิดแล้วถอดเครื่องแต่งกายออกบางส่วน หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ เดินลงไปยังสระน้ำตรงหน้า น้ำที่เย็นกำลังพอดีทำให้ร่างกายของลูอารู้สึกสดชื่นจนทำให้เด็กหนุ่มเผลอตัวเล่นน้ำจนลืมไปว่าไม่ได้มีแค่ตนเองอยู่ในสระน้ำแห่งนี้เพียงลำพัง

หลังจากที่ได้ว่ายน้ำเล่นจนพอใจ ลูอาจึงเริ่มนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่ทำให้ตนเองมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ จึงว่ายเข้าไปแถว ๆ จุดนี่ท่านเทพนั่งพักผ่อนอยู่

"ขยับมานั่งใกล้ ๆ ข้าสิ ทำไมเจ้าถึงไปอยู่ไกลเช่นนั้นเล่า" บุรุษเทพเอ่ยแกมสั่งไปยังเด็กตัวบางที่แอบไปนั่งอยู่เสียไกล

"ขะ ข้าไม่เป็นไร ให้ข้าอยู่ตรงนี้ดีแล้วท่านเทพ" ลูอาก้มหน้าเพื่อหลบซ่อนสายตาตนเองแล้วรีบตอบท่านเทพกลับไป

ร่างของบุรุษเทพหายตัวจากจุดที่ตนเองอยู่ก่อนหน้า แล้วมาปรากฏกายอยู่ข้าง ๆ ลูอา พร้อมทั้งจับใบหน้าเล็กเอาไว้เพื่อสำรวจสิ่งผิดปกติ จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"เจ้าเป็นอะไรไปลูอา ทำไมหน้าเจ้าถึงแดงเช่นนี้"

"ปะ เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร สงสัยข้าจะว่ายน้ำมากไปหน่อย”

ลูอารีบปัดมือของท่านเทพทิ้งพร้อมกับพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกอึดอัดใจไปมากกว่านี้

“หนะ ไหนท่านบอกว่าจะเล่าเรื่องคำสาปให้ข้าฟังอย่างไรเล่า ข้ารอให้ท่านเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง"

บุรุษเทพยกยิ้มให้กับประโยคที่ลูอาตอบกลับมาเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ติดค้างไว้ต่อจากนั้น

"ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มรู้จักวิธีการลิ้มรสอาหารและยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของข้าได้มากนัก เมื่อใดที่ข้าเห็นอาหารที่พึงใจ ข้าก็มักจะเข้าลิ้มลองทันที ข้าคึกคะนองและหลงใหลกับความอิ่มหนำสำราญที่ได้รับ ข้าใช้ชีวิตเช่นนั้นอยู่นาน

จนกระทั่งวันหนึ่งข้าเกิดไปต้องใจกับอาหารที่อยู่ในวังต้องห้ามและไม่อาจยับยั้งใจตนเองได้ การกระทำของข้าถือเป็นการฝ่าฝืนกฎร้ายแรง เทพีผู้พิทักษ์ความถูกต้องซึ่งเป็นผู้ดูแลวังต้องห้ามจึงร่ายคำสาปเป็นการลงโทษข้า คำสาปนั้นมีอยู่ว่า ..."

"หากข้าล่วงเกินผู้ใดที่ข้าไม่มีจิตผูกพันรักใคร่และผู้นั้นไม่มีจิตผูกพันรักใคร่แก่ข้า คนผู้นั้นจะได้รับผลจากการกระทำของข้าจนถึงแก่ชีวิต"

"ตั้งแต่ที่ข้าทำให้หญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งต้องตายจากคำสาปของท่านหญิง ข้าก็ขังตัวเองอยู่ในวิหารของข้าเพื่อฝึกสมาธิให้จิตใจสงบจนสามารถข่มอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง ข้าอยู่ในวิหารของข้ามาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบิดาของข้ายกตำแหน่งเทพประจำหมู่บ้านให้ข้าเป็นผู้ดูแล"

"ในเมื่อท่านบอกว่าท่านฝึกสมาธิจนสามารถควบคุมอารมณ์ของท่านได้แล้ว แต่สุดท้ายท่านก็ยังกินพวกนางอยู่ดี แสดงว่าท่านก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้จริง ๆ ใช่หรือไม่"

บุรุษเทพยกยิ้มให้กับความไม่เฉลียวใจของอีกฝ่าย ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยเสียงที่หม่นเศร้าลงเล็กน้อย

"ที่เจ้าพูดก็ถูกลูอา ในตอนแรกข้าก็สามารถควบคุมมันได้ แต่เพราะเหตุบางอย่างทำให้ข้าสูญเสียการควบคุม"

"ในคืนแรกที่เครื่องบรรณาการถูกส่งมาข้าก็ตั้งใจไว้ว่าจะเข้าไปบอกนางอย่างที่ข้าบอกเจ้าในคืนแรก แต่เมื่อนางได้พบข้า นางกลับเป็นฝ่ายเข้ามาขอร้องข้า นางเข้าใจว่าข้าจะช่วยให้นางสุขสบายได้ จึงใช้ร่างกายของนางยั่วยวน ทำข้าให้ไม่สามารถข่มอารมณ์ได้"

"และเป็นอย่างที่เจ้าคิด ข้าก็ไม่ได้มีความอดทนสูงพอ สุดท้ายข้าก็ถูกความหิวที่เกิดจากการอดอยากมานานครอบงำ"

"เครื่องบรรณาการคนที่สองและสามก็ไม่ต่างกัน ข้าพยายามจะบอกพวกนางแล้วแต่พวกนางก็ไม่ฟังข้า หญิงสาวทั้งสามจึงต้องตายเพราะถูกข้ากิน"

"หลังจากนั้นข้าก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้ใครต้องตายอีก"

"เมื่อผู้สังเวยคนที่สี่ถูกส่งมา ข้าจึงลองเปลี่ยนวิธีเป็นการขับไล่นาง ข้าเปลี่ยนร่างกายให้ดูน่ากลัวและส่งเสียงคำรามใส่นาง หวังจะให้นางกลัวจนหนีกลับหมู่บ้านไป

นางวิ่งหนีออกจากกระท่อมไปดังที่ข้าหวัง แต่นางกลัวจนขาดสติทำให้วิ่งเตลิดไปไม่รู้ทิศทาง แล้วข้าก็ได้รู้ว่านางพลัดตกจากทางลงเขาจนตายในตอนเช้าของวันถัดมา"

"ถึงแม้ว่าเครื่องบรรณาการคนสุดท้ายจะไม่ได้ถูกข้ากินจนต้องตาย แต่ยังไงก็ถือว่านางต้องมาตายเพราะข้าเป็นเหตุอยู่ดี"

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่ท่านเทพเล่ามาพร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเสียใจอย่างมากนั้น ลูอาก็เข้าใจในทันทีว่าท่านเทพคงไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและคงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

ลูอาจึงเริ่มมองท่านเทพในทางที่ดีขึ้นพร้อมทั้งรู้สึกเห็นใจท่านเทพที่ต้องถูกสาปเช่นนี้ เพราะลูอาก็เคยถูกลงโทษให้อดอาหารจึงรู้ดีว่าเวลาที่คนเราหิวมันทรมานเพียงใด

ในขณะที่ลูอากำลังก้มหน้าจมอยู่ในความคิดจากเรื่องที่ได้ฟังและเรื่องของคำสาป จู่ ๆ ลูอาก็ได้ยินเสียงของท่านเทพพูดขึ้น

"ข้าเปิดเผยเรื่องคำสาปของข้าให้เจ้าฟังแล้ว แล้วเจ้าหล่ะลูอาจะเปิดเผยสิ่งที่เจ้าปิดบังไว้แก่ข้าได้หรือไม่"

ตอนนี้มือของท่านเทพกำลังสัมผัสลงบนผ้าสีเข้มที่ใช้ปิดบังเสี้ยวหน้าด้านขวาของลูอาอยู่ ลูอาตกใจอย่างมากจนเผลอปัดมือของท่านเทพออกอย่างแรง ก่อนจะหันหลังให้

"มะ มันไม่ใช่อะไรที่น่ามองนักหรอกท่านเทพ"

แผ่นหลังเนียนที่มีสีนวลจากแสงจันทร์ดูสั่นขึ้นเล็กน้อย นั่นยิ่งชัดเจนว่าลูอาคงยังไม่พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว

บุรุษเทพถอนใจแล้วเอื้อมมือไปคว้าไหล่มนให้หันกลับมาหา ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเล็กเอาไว้เพื่อให้คนตรงหน้าตั้งใจรับฟังในสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูด

"ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ข้าไม่บังคับให้เจ้าพูดหรอกลูอา แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะพูดให้เจ้าได้ฟัง"

"ไม่มีใครสามารถตัดสินได้หรอกนะว่าสิ่งใดน่ามองหรือสิ่งใดไม่น่ามองนอกจากจิตใจของคนผู้นั้น ไม่ว่าผู้อื่นจะมองเช่นไรหากเจ้ามองว่ามันสวย สิ่งสิ่งนั้นก็จะสวย"

"เฉกเช่นเดียวกับตัวตนของเจ้า หากเจ้าคิดว่าตนเองไร้ค่า ตัวเจ้าก็จะไร้ค่า”

ดวงตาสีเหลืองทองจ้องมองใบหน้าด้านขวาของลูอาแล้วมือแกร่งก็เสยผมขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นบางอย่างที่อยู่บริเวณใบหน้าด้านขวาของตนเอง

“ข้าก็มีรอยแผลเป็นตรงหางคิ้วของข้า รอยแผลนี้เกิดขึ้นในวันที่ข้ามืดมนที่สุดในชีวิต ความจริงข้าจะใช้พลังลบมันออกก็ย่อมได้แต่ข้าก็ไม่ทำ นั่นเพราะข้าต้องการให้มันเป็นเครื่องเตือนความจำของข้า และข้าก็ภูมิใจกับรอยแผลนี้เป็นอย่างมาก"

"ลูอาหากเจ้าเชื่อมั่นและยอมรับในสิ่งที่เจ้าเป็น แม้ว่าตาของเจ้าจะมองไม่เห็น หูของเจ้าจะไม่ได้ยิน หรือเจ้าจะมีข้อบกพร่องในร่างกายมากกว่านี้ เจ้าก็จะมีชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

เจ้าเป็นคนที่มีความดีอยู่เต็มเปี่ยม อย่าให้ข้อผิดพลาดนี้มาบดบังความดีที่เจ้ามีอยู่ลูอา จงภูมิใจในสิ่งที่เจ้าเป็น แม้จะไม่มีใครมองเห็น แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ว่ามีข้าคนหนึ่งที่มองเห็น"

ความรู้สึกบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมาทางสายตาและคำพูดเหล่านั้น เหมือนกับน้ำทิพย์ที่มาหล่อเลี้ยงหัวใจที่เหี่ยวเฉาให้เต้นใหม่อีกครั้ง ราวกับสิ่งที่ตนเองโดนกระทำมาตลอดชีวิตถูกปลอบประโลมด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคที่ส่งมาให้

ลูอารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาของท่านเทพที่จ้องมองมานั้นช่างมีแรงดึงดูดจนทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะถูกกลืนกิน ลูอาหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจที่สงบลงไปแล้วก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ

"ขึ้น ต้องรีบขึ้น อยู่ไม่ได้แล้ว"

"เจ้ากำลังพูดอะไร ลูอา"

"ข้า ข้าว่าข้ากำลังจะขึ้นแล้ว ถ้าท่านยังอยากเล่นน้ำอยู่งั้นข้าขอตัวก่อน ข้าไปหล่ะ"

ท่าทีแปลกประหลาดของลูอาทำให้บุรุษเทพขบขัน เพราะเจ้าเด็กน้อยนี่ช่างหลบเลี่ยงเก่งเสียเหลือเกิน และก่อนที่ลูอาจะว่ายน้ำกลับไปยังอีกฝั่ง บุรุษเทพได้ดึงข้อมือของลูอาไว้เพื่อบอกบางอย่าง

"มีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า ไหน ๆ เจ้าก็ต้องมาอยู่กับข้าที่นี่แล้ว ดังนั้นเราทั้งคู่ก็ควรผูกมิตรกันไว้"

"ก่อนอื่นเลิกเรียกข้าว่าท่านเทพได้แล้ว หลังจากวันนี้เป็นต้นไปให้เจ้าเรียกชื่อของข้าแทน ข้าอนุญาต"

"ชื่อของข้า คือ คานิน”



to be continued ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2020 21:16:05 โดย AriesPisces »

ออฟไลน์ AriesPisces

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
The Rabbit in The Moon - III
«ตอบ #3 เมื่อ18-04-2020 21:18:26 »

The Rabbit in The Moon - III

ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของลูอาก็มีกันเพียงสองคนพ่อลูก ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่กระท่อมหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน นาน ๆ ทีที่ถึงจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อนำสิ่งของมาแลกกับชาวบ้านคนอื่น

พ่อของลูอาเคยเล่าให้ฟังว่าที่ครอบครัวถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่เป็นเพราะความผิดของท่านเองที่อ่อนแอจนไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้ ทำให้มารดาของลูอาต้องตายและทำให้ลูอามีตราบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซ้ำยังทำให้ชาวบ้านพากันรังเกียจลูอา แต่ลูอาก็ไม่เคยคิดโทษหรือโกรธเคืองบิดาเลยแม้แต่น้อย เพราะท่านเลี้ยงดูลูอามาด้วยความรักและพร่ำสอนสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้องให้กับลูอาเสมอ

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาลูอาต้องใช้ชีวิตระหว่างบ้านของตนเองกับกระท่อมเนินเขาแห่งนี้ เพราะคานินอนุญาตให้กลับไปดูแลบิดาได้ตามที่ต้องการ นอกจากนั้นในหลาย ๆ ครั้งคานินยังแบ่งอาหารและผลไม้ที่เก็บได้นานไปให้บิดาเก็บไว้ประทังชีวิตอีกด้วย

หากวันไหนที่คานินไม่เก็บตัวอยู่บนศาลเทพเจ้าก็จะลงมายังกระท่อมที่ลูอาพักอาศัยเพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิหารเทพและโลกมนุษย์ให้ฟัง บางวันก็จะลงมาที่บ้านของลูอาเพื่อช่วยงานต่าง ๆ จนทำให้บิดาของตนนั้นเกรงใจที่ผู้ดูแลท่านเทพลงมาช่วยชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง

ทั้งชีวิตของลูอานอกจากบิดาแล้วก็มีเพียงคานินที่ไม่เคยปฏิบัติกับตนเองเช่นคนอื่น ซ้ำยังชอบพูดให้กำลังใจลูอาเสมอ ยิ่งเมื่อนึกถึงคำพูดของคานินในคืนนั้นลูอาก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจทุกครั้ง

พักหลังลูอาพบว่าตนเองชอบเผลอมองคานินอยู่บ่อยครั้ง มองแม้กระทั่งฟันกระต่ายสองซี่เวลาที่เจ้าของริมฝีปากสีแดงสดกำลังบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ตนเองได้ฟัง

แต่ที่หนักใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่มักจะมีอาการใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่อได้สบตากับคานิน ลูอาก็ไม่รู้ว่าคานินรับรู้ความรู้สึกนี้หรือไม่เพราะอีกฝ่ายชอบแกล้งหายตัวมาอยู่ตรงหน้าแล้วจ้องตากับตนเองอยู่บ่อย ๆ ทำให้ลูอาต้องหลบสายตาแทบทุกครั้ง





เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาคานินบอกให้ลูอาอยู่แต่ในกระท่อมในยามค่ำคืน ตอนแรกลูอาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลเท่าไหร่นัก แต่ต่อมาคานินได้อธิบายให้ฟังว่าช่วงนี้ตนเองมักจะมีอาการหิวมากกว่าปกติ และอาการนี้จะหนักที่สุดในวันที่เกิดพระจันทร์ทรงกลดที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

คานินกลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้จึงขอให้ท่านเทพกระต่ายองค์ก่อนสร้างโซ่ตรวนพร้อมกับลงมนตราเอาไว้ที่ศาลเทพเจ้า เพื่อใช้ป้องกันไม่ให้ตนเองออกไปทำร้ายใครหากไม่สามารถควบคุมจิตใจได้

ยิ่งใกล้คืนพระจันทร์ทรงกลดอาการของคานินก็ยิ่งแสดงออกมาชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนในบางค่ำคืนก็มักจะได้ยินเสียงร้องแผ่ว ๆ ของคานินดังมาตามสายลมเสมอ

กระทั่งในค่ำคืนที่ผ่านมาคานินกลับส่งเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนได้ยินชัดมาถึงกระท่อม ทำให้ลูอาที่เป็นห่วงท่านเทพมากรีบวิ่งขึ้นไปยังศาลเทพเจ้า

และนั่นก็ทำให้ลูอาได้เห็นอาการหิวจัดของคานินเป็นครั้งแรก

ดวงตาของคานินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจนน่ากลัว ร่างกายแกร่งบิดไปมาอยู่บนพื้นคล้ายกับกำลังถูกทำร้าย ในทุก ๆ ครั้งที่คานินพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนจะเกิดเปลวไฟขึ้นที่รอบข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ลูอาที่เห็นคานินกำลังเจ็บปวดจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อจะช่วยเหลือแต่กลับถูกอีกฝ่ายตะโกนขับไล่ออกมาเสียงดังและไม่ยอมให้เข้าใกล้ตนเองอีก จึงทำได้เพียงคอยเฝ้ามองอยู่ไกล ๆ เท่านั้น

คานินมีอาการทุรนทุรายตลอดคืนจวบจนฟ้าเริ่มสางอาการจึงค่อย ๆ สงบลง เมื่อลูอาเห็นคานินนอนแน่นิ่งไปจึงรีบเข้ามาดูใกล้ ๆ และพบว่าคานินสลบไปแล้ว ลูอาจึงได้รีบไปหาผ้ามาซับเหงื่อและทำความสะอาดบาดแผลให้ จากนั้นก็เผลอหลับลงไปข้าง ๆ กัน





คานินรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งในตอนสายและสังเกตเห็นว่าลูอานอนฟุบอยู่บนพื้นไม่ไกลเท่าไหร่นัก ถึงจะรู้สึกดีไม่น้อยที่ลูอาเป็นห่วงและไม่ทิ้งให้ตนเองทุกข์ทรมานเพียงลำพังในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ในใจนั้นกลับเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิมมากนัก

แม้จะมั่นใจว่าโซ่ตรวนของบิดาสามารถกักขังไม่ให้ตนเองหลุดออกไปได้ แต่สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือกิเลสที่อยู่ในจิตใจของตนเองที่อาจจะทำอันตรายกับลูอาเข้าสักวัน ซึ่งคานินจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นไม่ได้

"ข้าอยากให้เจ้ากลับไปอยู่ที่บ้านของเจ้าจนกว่าจะผ่านคืนพระจันทร์ทรงกลด" คานินพูดขึ้นหลังจากที่ลูอากลับลงมาที่กระท่อมในตอนสาย

"ท่านหมายความเช่นไร ท่านคานิน" ลูอารีบหันกลับไปถามคานินด้วยความไม่เข้าใจ

"เมื่อคืนเจ้าก็เห็นแล้วนี่ลูอาว่าข้าเป็นเช่นไร เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ควรอยู่ใกล้ข้า" คานินพยายามอธิบายด้วยเหตุผล เพื่อให้ลูอาเข้าใจในเจตนาที่แท้จริงของตน

"ยิ่งท่านเป็นแบบนี้จะให้ข้าทิ้งท่านไว้ได้อย่างไร" ลูอาปฏิเสธคำขอพร้อมกับส่งสายตาตัดพ้อไปให้ จากนั้นจึงหันหลังหนีอีกฝ่ายที่กำลังเดินใกล้เข้ามา

ในใจของลูอาตอนนี้กำลังเจ็บปวดอย่างมาก ทั้งที่ตนเองเป็นห่วงคานิน อยากคอยดูแลและอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับถูกอีกฝ่ายผลักไส

คานินเอื้อมมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของลูอาที่กำลังสั่นให้หันกลับมาสบตาสีเหลืองทองของตนเองอย่างสื่อความหมาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้

"ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้าลูอา แต่ข้าอยู่ได้จริง ๆ ตอนนี้สิ่งที่อันตรายกับเจ้าที่สุดก็คือตัวข้า ยิ่งเจ้าอยู่ ข้ายิ่งเป็นกังวล ถือว่าข้าขอร้องเจ้า ทำให้ข้าได้หรือไม่"





แม้ว่าลูอาจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมทำตามสิ่งที่คานินร้องขอ ตั้งแต่วันนั้นลูอาจึงไม่ได้ขึ้นไปยังกระท่อมเชิงเขาและไม่ได้พบกับคานินอีก

ผ่านไปหลายคืนจนกระทั่งคืนพระจันทร์ทรงกลดมาถึง ยิ่งแสงจากดวงจันทร์สาดส่องลงมาชัดเท่าไหร่ลูอาก็ยิ่งเป็นห่วงคานินมากขึ้นเท่านั้น

จากสิ่งที่เคยเห็นในคืนนั้น ทำให้ลูอายิ่งเป็นกังวลว่าในค่ำคืนนี้คานินจะต้องทรมานมากแค่ไหน เมื่อไม่สามารถต่อสู้กับความกังวลในจิตใจที่มีมากกว่าได้ ลูอาจึงขัดคำสั่งของคานินและขึ้นไปยังศาลเทพเจ้า

เมื่อเข้าไปถึงภายในศาลเทพเจ้า ลูอาพบร่างของคานินนอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่บนพื้น ทั้งแขนและขาทั้งสองข้างยังคงถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนแน่นหนา

ร่างกายที่เคยกำยำดูสง่างามอยู่เสมอตอนนี้กลับซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด ตามข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างมีรอยไหม้แดงเป็นทางยาว และดูเหมือนรอยไหม้ที่เกิดขึ้นจะทำให้คานินเจ็บปวดอย่างมาก เพราะเมื่อครู่ที่ลูอาสัมผัสโดนคานินมีอาการสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย

เห็นอย่างนั้นแล้วลูอาจึงตัดสินใจรีบเดินออกไปตักน้ำจากสระเพื่อมาทำความสะอาดร่างกายให้คานิน ลูอาค่อย ๆ ใช้ผ้าเช็ดไปตามใบหน้าที่หมองลงอย่างเบามือ แล้วอยู่ ๆ ก็คิดถึงเรื่องหนึ่งที่คานินเคยเล่าให้ฟังขึ้นมา

เคยมีเทพกระต่ายองค์หนึ่งเกิดอาการหิวในระหว่างที่ถูกจองจำ เมื่อเทพองค์นั้นไม่สามารถกินอาหารได้อย่างเคยก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า ต่อมาไม่นานเทพองค์นั้นก็เริ่มอาละวาดไปทั่วบริเวณสถานที่จองจำ ในที่สุดเมื่อเทพองค์นั้นไม่สามารถควบคุมจิตใจให้อดทนต่ออาการที่เกิดขึ้นได้ สุดท้ายจิตวิญญาณของเทพองค์นั้นก็แตกสลายไป

ลูอาสัมผัสไปบนใบหน้าซูบผอมของคานินอย่างเบามือ ในใจก็กลัวเหลือเกินว่าคานินจะเป็นดังเช่นท่านเทพที่เคยได้ฟัง

“ท่านจะต้องไม่เป็นอะไรนะท่านคานิน ข้าขอร้อง”

น้ำตาเม็ดเล็กค่อย ๆ ไหลหยดลงบนใบหน้าของคานิน นั่นทำให้ดวงตาคมสีแดงค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างอ่อนล้า

"ข้าบอกไม่ให้เจ้าขึ้นมาที่นี่ ทำไมเจ้าถึงไม่ฟังข้า" น้ำเสียงที่แหบแห้งกว่าเคยดังขึ้นทั้งยังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจมายังลูอา

"ท่านคานิน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" ลูอามองข้ามคำถามนั้นแล้วเอ่ยถามถึงอาการของคานินด้วยความเป็นห่วง

"กลับไปซะลูอา" คานินออกคำสั่งกับคนตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมกัดฟันข่มอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้น

"ท่านคานิน ได้โปรดบอกข้าว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง" ลูอายังคงนั่งอยู่ที่เดิมและยังไม่ยอมทำตามคำสั่งของคานิน

"ข้าบอกให้เจ้าออกไป เดี๋ยวนี้!!! "

สิ้นคำ คานินใช้พลังที่เหลืออยู่ไม่มากผลักให้ลูอาออกห่างจากตนเอง เมื่อร่างของลูอาไปหยุดอยู่เกือบถึงประตู คานินก็เริ่มดิ้นรนที่จะออกมาจากโซ่ตรวนและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

ยิ่งแสงของพระจันทร์ทรงกลดสาดเข้ามาภายในศาลเทพเจ้ามากเท่าไหร่ คานินก็ยิ่งดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งทรมานจากไฟที่แผดเผามากขึ้นเช่นกัน

ร่างกายที่ถูกดวงไฟจากโซ่ตรวนคู้งอบิดไปมาบนพื้นคล้ายกำลังจะหมดแรง เสียงร้องที่ขาดห้วงคล้ายกับกำลังขาดอากาศหายใจยิ่งทำให้ลูอาเจ็บปวด กลัวเหลือเกินว่าคานินจะทนไม่ไหว กลัวเหลือเกินว่าคานินจะแหลกสลายไปต่อหน้า

สุดท้ายก็ไม่อาจทนเห็นคานินเจ็บปวดทรมานไปมากกว่านี้ได้อีก ลูอาตัดสินใจวิ่งเข้าไปแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีกอดคานินที่กำลังไร้เรี่ยวแรงเอาไว้แน่น แล้วพูดประโยคหนึ่งขึ้น

"ข้าขอมอบร่างกายของข้าให้แก่ท่าน ท่านคานิน"

ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดเครียดเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นคานินจึงส่งเสียงคำรามออกมาก่อนที่จะพยายามแกะมือของลูอาออกแล้วผลักให้ลูอาถอยห่างอีกครั้ง

คานินค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับเสียงโซ่ตรวนที่ลากกับพื้นไปยังมุมหนึ่งของวิหารก่อนจะดังขึ้นในตอนที่คานินทรุดตัวนั่งลงอย่างอ่อนแรง

"อย่าทำเช่นนี้ลูอา อยู่ให้ห่างจากข้า" เสียงของคานินเอ่ยออกมาคล้ายกับว่ากำลังจะหมดแรงในไม่ช้า

"ไม่ ท่านคานิน ข้าทนไม่ได้ ข้าทนเห็นท่านเป็นเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว ข้าทนไม่ได้หากท่านจะต้องแตกสลายไปเช่นนี้" ลูอาที่กำลังร้องไห้มองหน้าของคานินพร้อมกับเอ่ยออกไปทั้งน้ำตา

"แต่หากข้าทำเช่นนั้น เจ้าก็อาจจะตายได้เช่นกัน ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้" เสียงอ่อนแรงของคานินตอบกลับมา

ลูอาที่สังเกตเห็นว่าคานินที่กำลังนั่งอยู่ในมุมมืดเริ่มต่อสู้กับตัวเองอีกครั้ง จึงใช้จังหวะนี้พูดหว่านล้อมและค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปหาคานินอย่างเชื่องช้า

"ข้ารู้ แต่ข้ายอม ข้ายอมทุกอย่างขอเพียงช่วยท่านได้"

เมื่อจบประโยคนั้นคานินก็นิ่งไปอยู่นาน อาการนั้นทำให้ลูอานึกกลัวไปใหญ่ แต่อยู่ ๆ เสียงของคานินก็ถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่า

"เจ้าจะยอมตายเพื่อข้าเช่นนั้นหรือลูอา"

"ข้ายอม ข้ายอมทั้งนั้นถ้าท่านจะไม่ทรมานเช่นนี้อีก"

ลูอาตอบคำถามนั้นทันทีพร้อมกับรีบเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้าคานินอีกครั้ง ดูเหมือนคราวนี้คานินจะไม่ขับไล่ลูอาอีกแล้ว ดวงตาสีแดงเข้มที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความสับสน ลูอาค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้คานินแล้วโอบกอดร่างกายที่สั่นเทานั้นไว้

ไม่นานประโยคคำถามที่คล้ายกับสิ่งที่ลูอาได้ยินเมื่อสักครู่ก็ถูกถามขึ้นอีกครั้ง

"เจ้าจะยอมเป็นของข้าเช่นนั้นหรือลูอา"

"ข้ายอม ข้ายอมทุกอย่างที่ท่านต้องการ"

ลูอารีบตอบคำถามนั้นออกไปโดยไม่ได้ฟังคำถามแม้แต่น้อย ไม่ว่าตอนนี้คานินจะขอให้ลูอาทำอะไร ลูอาก็สามารถทำให้ได้ทั้งนั้น

"รักข้าหรือไม่ลูอา"

ริมฝีปากบางที่กำลังจะตอบชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามใหม่ที่ได้ยิน แม้จะสงสัยว่าเหตุใดคานินถึงถามคำถามเช่นนี้ออกมา แต่เมื่อคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่กับคานิน ลูอาจึงเลือกที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้คานินได้รับรู้ก่อนที่ตนเองจะจากไป

ในตอนที่ลูอาเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าคานินกำลังจ้องมองตนเองอยู่แล้ว แววตาสีแดงนั้นมองจ้องมาอย่างต้องการคำตอบ

และนี่เป็นครั้งแรกที่ลูอาไม่หลบสายตาของคานิน

มือเรียวเล็กทั้งสองข้างประครองใบหน้าคมที่บัดนี้ซูบลงเอาไว้ ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

"รัก ข้ารักท่าน ท่านคานิน ข้ารักท่าน"

หลังจากคำรักถูกเอ่ยออกไป คานินก็นิ่งไปอีกครั้ง แล้วในที่สุดเสียงแหบพร่าของคนที่ถูกประคองไว้ก็ยอมบอกวิธีที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากพันธนาการตรงหน้า

"ใช้ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้าแตะโซ่ตรวนพวกนี้เพื่อปลดปล่อยข้า"

เพียงลูอาทำตามที่คานินบอกโซ่ตรวนที่ใช้กักขังคานินก็สลายไปอย่างง่ายดาย

เมื่อตรวนเส้นสุดท้ายถูกปลดออก ร่างเล็กของลูอาก็ถูกผลักให้นอนลงกับพื้นของศาลเทพเจ้าทันที คานินเริ่มแทะเล็มริมฝีปากสีหวานของลูอาเป็นสิ่งแรกด้วยความหิวกระหาย

สัมผัสของคานินเต็มไปด้วยความเร่าร้อนแต่ก็ยังมีความอ่อนโยนแฝงอยู่ในบางช่วง แม้ลูอาจะแอบสงสัยในขั้นตอนการกินอาหารของคานิน แต่ลูอาก็ยังโอนอ่อนและตอบรับสัมผัสเหล่านั้น

ฝ่ามือร้อนของคานินเริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกายของลูอาในขณะที่เจ้าตัวยังคงยังเอร็ดอร่อยกับริมฝีปากแสนหวาน จนคนตัวเล็กกว่ามีอาการเกร็งขึ้นและเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ลูอาเกรงว่าตนเองจะขาดอากาศหายใจในไม่ช้า

หลังจากชิมรสหวานอยู่นานจนริมฝีปากของคนใต้ร่างเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย คานินก็ผละออกความด้วยความเสียดาย ดวงตาสีแดงจ้องเข้าไปในดวงตากลมดำอย่างสื่อความหมาย

มือของคานินเลื่อนขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของลูอาก่อนจะหยุดลงตรงผ้าสีเข้มที่ใช้พันรอบใบหน้าด้านขวา ลูอาจับข้อมือของคานินเอาไว้คล้ายกับจะปฏิเสธในสิ่งที่คานินกำลังจะทำ

"ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะรังเกียจหรือหวาดกลัวเจ้าลูอา จิตใจของเจ้างดงามเกินกว่าตราบาปเพียงเล็กน้อยนี้จะบดบังได้ ได้โปรดให้ข้าได้เห็นทุกอย่างที่เป็นเจ้า"

คำปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้ลูอาปล่อยมือที่ห้ามปรามลงในที่สุด คานินจึงปลดผ้าผืนนั้นออกอย่างเบามือ

รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าด้านขวาของลูอา แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนใต้ร่างดูงดงามน้อยลงสักนิดอย่างที่กล่าวไว้

คานินค่อย ๆ พรมจูบลงที่รอยแผลเป็นนั้น เริ่มตั้งแต่บริเวณหัวคิ้วเรื่อยมาจนถึงข้างแก้มเนียนใส จนในที่สุดลูอาก็เริ่มโอนอ่อนตามสัมผัสที่คานินมอบให้อีกครั้ง เมื่อถึงขีดสุดของความอดทน คานินจึงเงยหน้าขึ้นมามองตาของลูอาอีกครั้ง

"ข้าจะกลืนกินเจ้าทั้งตัว ให้สมกับที่เจ้าได้มอบร่างกายนี้ให้แก่ข้า ลูอา"

เมื่อประโยคนั้นจบลงลูอาจึงถูกกลืนกินด้วยร่างกายของคานินทันที ทุกการเคลื่อนไหว ทุกแรงสอดประสาน เต็มไปด้วยความร้อนแรงและหนักแน่น จนท้ายที่สุดความสุขที่เอ่อล้นก็แตกกระจายราวกับดวงดาวนับร้อยบนท้องฟ้า

"ฮื้อออ คานินข้าไม่ไหวแล้ว ข้ากำลังจะขาดใจตาย"

ลูอาเข้าใจในคืนนั้นเองว่าการกินอาหารของคานินหมายถึงสิ่งใด เพราะคานินเป็นผู้อธิบายคำนั้นด้วยร่างกายของตนเองตลอดราตรีนั้นจนเกือบฟ้าสาง





ดวงตากลมสวยลืมขึ้นในตอนสายของวันและรู้สึกว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนที่นอนอันหนานุ่มมิใช่พื้นหินแข็งเย็นของสระน้ำดั่งเช่นความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติลง

เมื่อมองไปรอบ ๆ จึงพบว่าตัวเองกำลังอยู่ภายในห้องพักที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามแห่งหนึ่ง ขาเรียวขาวรีบก้าวลงจากที่นอนก่อนจะทรุดลงบนพื้นพร้อมด้วยอาการปวดระบมไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา คิ้วสวยก็ขมวดมุ่นขึ้นทันที

ในขณะที่กำลังตั้งคำถามอยู่ภายใน ตากลมก็เหลือบไปเห็นเท้าใหญ่ของบุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ห่างนัก ลูอาค่อย ๆ มองขึ้นไปและเห็นว่าเป็นคานินที่กำลังยืนมองอยู่

"นี่ข้าตายไปแล้วใช่หรือไม่"

เมื่อได้ยินคำถามจากคนที่กำลังนั่งทำหน้าตกใจอยู่บนพื้น คานินก็ถึงกับหลุดขำกับความคิดของอีกฝ่าย คานินมิได้ตอบคำถามของลูอาแต่กลับถามคำถามให้อีกฝ่ายสับสนยิ่งขึ้น

"ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นเล่า เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าหากเจ้าตายไปจริง ทำไมข้ายังยืนอยู่ตรงนี้"

"อืม นั่นสิ แต่เมื่อคืนนี้ ข้ากับท่าน ... แล้วสถานที่นี้คือที่ใดกันเล่า" ลูอาที่ได้ฟังคำถามของคานินเริ่มนั่งบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย

"เจ้ายังอยู่ในศาลเทพเจ้าลูอา ข้าใช้พลังบันดาลสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เจ้าได้พักผ่อนอย่างสบายเนื้อสบายตัว ส่วนอีกเรื่องที่เจ้าสงสัยนั้น ..."

คานินเอ่ยพร้อมก้มลงช้อนคนตัวขาวที่มีร่องรอยรักประปรายตามตัวขึ้นแล้ววางลงบนที่นอนอีกครั้ง จากนั้นคนตัวโตกว่าที่มีเพียงเสื้อคลุมสีแดงก็ขึ้นมานอนอยู่เคียงข้าง สองมือที่เคยซีดเซียวประคองใบหน้าขาวเอาไว้ ดวงตาดุดันสีเหลืองทองจ้องมองตากลมสวย แล้วเสียงแหบทุ้มก็เอ่ยขึ้นอย่างต้องการสื่อความหมาย

"คำสาปของท่านหญิงไม่มีผลกับเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา นั่นเพราะว่าเจ้ารักข้าอย่างไรเล่า"

"แต่ท่านเคยบอกว่า ตัวท่านเองก็ต้องมีเช่นกันมิใช่หรือ" ลูอาเงยหน้ามองอีกฝ่าย แม้จะรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยแต่ก็อดที่จะถามกลับไปไม่ได้

คานินไม่ได้ตอบคำถามของลูอาแต่กลับดึงเด็กน้อยแก้มขึ้นสีเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมกับกดจุมพิตลงบนรอยแผลเป็นขนาดใหญ่นั้นอย่างไม่นึกรังเกียจ ก่อนจะเล่าเรื่องราวบางอย่างขึ้น

นานมาแล้วมีกระต่ายตัวหนึ่งต้องคำสาปร้ายแรง ทำให้ไม่มีใครสนใจกระต่ายตัวนั้น ไม่มีผู้ใดคิดจะให้อาหารเจ้ากระต่ายอย่างเช่นที่ผ่านมา และมันก็ไม่สามารถหาอาหารจากสถานที่ที่มันอาศัยอยู่ได้

เมื่อถึงฤดูกาลที่ต้องหาอาหาร กระต่ายตัวนั้นก็เริ่มมีอาการหิวกระหายอย่างหนัก กระต่ายผู้หิวโซตัวนั้นจึงมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อหาอาหารโดยมิได้นึกถึงถึงคำสาปที่ติดตัวมาแม้แต่น้อย

การฝ่าฝืนคำสาปในครั้งนั้นทำให้มีคนในหมู่บ้านถึงแก่ชีวิต และนั่นเป็นครั้งแรกที่เจ้ากระต่ายได้รับรู้ถึงความร้ายแรงของคำสาปที่ได้รับ

เจ้ากระต่ายเศร้าเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไปจึงยอมให้คนในหมู่บ้านรุมทำร้าย หวังเพียงว่าจะสามารถชดใช้ในสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นไปบ้าง

ในขณะที่กระต่ายตัวนั้นกำลังรู้สึกผิดจนสิ้นหวัง กลับมีเด็กน้อยคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาปกป้องจากการถูกทำร้าย เด็กน้อยที่ถูกสร้างตราบาปมาตั้งแต่เล็ก จนโดนรังเกียจและไม่เคยได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้าน

แม้ในขณะนั้นจิตใจของเด็กน้อยจะเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แต่ก็ยังจะหยิบยื่นความห่วงใยและการปกป้องให้แก่เจ้ากระต่ายตัวนั้น

ความดีของเด็กน้อยราวกับแสงจันทร์อันบริสุทธิ์ที่สาดส่องลงมาในคืนที่มืดมิด จนทำให้เจ้ากระต่ายที่จมอยู่ในความทุกข์ได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้ง

หลังจากแยกกันที่ชายป่ากระต่ายตัวนั้นก็กลับไปยังสถานที่ที่จากมาแล้วพยายามมีชีวิตให้ดีขึ้นดังที่เด็กน้อยได้เอ่ยขอไว้ ทั้งยังคอยเฝ้ามองพระจันทร์ที่แสนงดงามดวงนั้นเสมอมา


คานินมองหน้าลูอาเล็กน้อยก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้น ริมฝีสีแดงสดประกบลงไปยังปากบางแสนหวานอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อย ๆ ผละออก

"ข้าคิดว่าเจ้ากระต่ายคงจะตกหลุมรักพระจันทร์ดวงน้อยมาตั้งแต่ตอนนั้น"

ดวงตาคู่สวยที่กำลังคลอไปด้วยน้ำตามองกลับมาด้วยความตื้นตันระคนคาดไม่ถึง แล้วเด็กน้อยในวันวานก็เอ่ยถามกลับมาด้วยเสียงสั่นพร่า

"ทะ ท่าน อย่าบอกนะว่าท่านก็คือกระต่ายน้อยตัวนั้น"

คานินยิ้มให้ลูอาก่อนที่ร่างกายแกร่งตรงหน้าจะค่อย ๆ สลายไปแล้วแทนที่ด้วยกระต่ายสีขาวขนฟูฟ่องตัวหนึ่ง เจ้าตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาบนตักของคนตัวใหญ่กว่าก่อนที่จะถูกอุ้มจนตัวลอย

ลูอามองเจ้ากระต่ายน้อยด้วยความรัก ก่อนจะกดจุมพิตลงที่ปลายจมูกสีดำแผ่วเบาเช่นที่เคยทำในวันวาน เจ้ากระต่ายก็ใช้จมูกอันเล็กแตะไปที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหวานแทนคำตอบ แล้วเสียงของคานินก็ดังขึ้นมาจากเจ้าตัวน้อย

"ได้คำตอบแล้วใช่หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงรู้จักเจ้า พระจันทร์ของข้า"

เมื่อคานินเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างบุรุษเทพจึงสวมกอดลูอาเอาไว้อีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์หลังจากที่คานินกลับจากหมู่บ้านของลูอาในวันนั้น

คานินกลับไปยังวิหารเทพเพื่อขอรับโทษที่ทำให้มนุษย์ถึงแก่ชีวิตจากฝีมือของตนเองและถูกตัดสินให้คุมขังอยู่ในหอวินัยเพื่อสำนึกผิดและฝึกควบคุมจิตใจ นั่นทำให้คานินได้พบกับเทพกระต่ายที่ถูกลงโทษอยู่ก่อนหน้า

ในคืนแรกและคืนที่สองที่เริ่มมีอาการ คานินพยายามนึกถึงคำพูดของลูอาเพื่อดึงสติของตนเองจนผ่านคืนเหล่านั้นมาได้ กระทั่งคืนที่สามมาถึงคานินก็เริ่มจะทนไม่ไหว และเริ่มร้องออกมาด้วยความต้องการ แต่ขณะที่สติกำลังจะหลุดคานินก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างทรมานจากห้องฝั่งตรงข้าม

ท่านเทพกระต่ายกำลังกรีดร้องด้วยดวงตาสีแดงฉานน่ากลัว พร้อมกับเริ่มดึงทึ้งผมและผิวหนังของตนเองอย่างแรง จนสุดท้ายไฟวิญญาณดวงใหญ่ก็หลุดออกมาจากร่าง และเมื่อวิญญาณไร้ร่างไม่นานก็ดวงไฟดวงนั้นก็ค่อย ๆ สลายไป

นั่นทำให้คานินได้รู้ว่าผลร้ายที่สุดของการที่ควบคุมความต้องการไม่ได้จะทำให้จิตวิญญาณของเทพแตกสลาย หากคานินไม่สามารถควบคุมมันได้ คานินจะพบจุดจบดังเช่นเทพองค์นั้น และคานินจะไม่มีวันกลับมาพบกับพระจันทร์ดวงน้อยได้อีก

"ข้าถูกให้รับโทษภายในหอวินัยอยู่ 7 วัน ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ก็น่าจะประมาณ 7 ปีได้ แต่ข้าคิดว่าข้ายังไม่สามารถควบคุมจิตใจข้าได้ดีนัก ข้าจึงขังตัวเองอยู่ในวังของข้านับแต่นั้น จวบจนวันที่บิดาของข้ายกตำแหน่งเทพประจำหมู่บ้านให้ข้าเป็นผู้ดูแลแทน ข้าจึงออกจากวังของข้าลงมาอยู่ที่ศาลเทพเจ้าแห่งนี้"

"ถ้าเช่นนั้น รอยแผลเป็นนี้ ใช่ที่ท่านเคยเล่าให้ข้าฟังใช่หรือไม่" ลูอาถามขึ้นพลางไร้ปลายนิ้วเบา ๆ ตรงบริเวณหางคิ้วของคานิน

"เป็นอย่างที่เจ้าคิดลูอา รอยแผลนี้ได้มาจากการที่ข้าถูกทำร้ายในวันนั้น ข้าตั้งใจเก็บเอาไว้เพื่อเตือนความทรงจำของข้าดังเช่นที่เคยบอกเจ้า" คานินจับมือของลูอามาจุมพิตพร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม

ลูอาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางหวนนึกไปถึงเรื่องราวตั้งแต่คืนแรกที่ได้พบกับคานินที่กระท่อมเนินเขา แล้วก็มีบางอย่างที่ทำให้ลูอาสงสัยจึงเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง

"แล้วเหตุใดในคืนแรกที่ท่านพบข้า ท่านจึงต้องเกรี้ยวกราดเช่นนั้นด้วยเล่า"

"คืนนั้นเป็นคืนจันทร์เต็มดวง ข้าหิวง่าย แถมตัวเจ้าก็ยังมีกลิ่นหอม หากข้าห้ามใจไม่ได้เจ้าก็จะตาย นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ข้าโมโห" คานินย้อนคิดไปถึงเรื่องราวในวันนั้นก่อนตอบ

"ท่านรู้หรือไม่ว่าคืนนั้นข้าก็กลัวว่าจะถูกท่านกินแทบแย่" ลูอาที่ได้ยินดังนั้นก็บ่นขึ้น แต่เมื่อเห็นสายตาของคานินคนตัวเล็กกว่าจึงรีบพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอาย "ขะ ข้าหมายถึงถูกกินจริง ๆ ไม่ใช่แบบที่ท่านเข้าใจเสียหน่อย"

"คืนนั้นข้าถึงได้โมโหเจ้านัก ตอนที่เจ้าถามคำถามนั้นกับข้าออกมา" คานินตอบกลับไปด้วยความขบขันเมื่อเห็นท่าทางนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปถามสิ่งที่ตนเองอยากรู้บ้าง "แล้วเจ้าหล่ะลูอา ทำไมเจ้าถึงได้รักข้า"

ลูอาตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ คานินก็ถามคำถามดังกล่าวขึ้นมา แต่เมื่อใช้เวลาครุ่นคิดคำตอบภายในใจอยู่เพียงชั่วครู่ รอยยิ้มเล็ก ๆ แสนซนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน ก่อนที่เสียงใสจะเอ่ยตอบ

"ข้ารักดวงตาคู่นี้ของท่าน เส้นผมที่แสนนุ่มนี้ข้าก็รัก รอยแผลเป็นตรงนี้ข้าก็รัก แม้แต่ฟันกระต่ายคู่นี้ข้าก็รัก"

ทุกครั้งที่ลูอาเอ่ยจบหนึ่งประโยค ริมฝีปากบางก็จะมอบจุมพิตลงบนตำแหน่งนั้นหนึ่งครั้ง จากนั้นลูอาก็เงยหน้าขึ้นไปประสานสายตากับคานินอีกครั้งพร้อมกับพูดปิดท้ายด้วยถ้อยคำแสนหวาน

"ความใจดีของท่าน ความแข็งแกร่งของท่าน ความอ่อนโยนของท่าน ความพยายามของท่าน แม้แต่ความเจ้าอารมณ์ของท่าน ข้าไม่รู้ว่าเริ่มรักท่านที่ตรงไหน รู้เพียงว่าข้ารักทั้งหมดนั่นที่เป็นท่าน"

หลังจากคำพูดแสนน่ารักจบลง ลูอาก็ถูกคานินโอบกอดจนแทบจะจมหายไปกับอกกว้าง

"ลูอา เจ้าทำให้ข้าหิวอีกแล้ว"

คำกระซิบที่แสนน่าอายนั้นทำให้ใบหูขาวเนียนขึ้นสีอย่างรวดเร็วตากลมสวยโตขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนเสียงใสจะเอ่ยถามด้วยท่าทางเขินอาย

"แต่นี่ฟ้าสว่างมากแล้วนะท่านคานิน ... ทะ ทำไมท่านถึงได้หิวอีกแล้วหล่ะ"

คานินยิ้มเอ็นดูกับท่าทีเขินอายนั้นจึงก้มหน้าลงไปชิมริมฝีปากหวานอีกรอบก่อนจะผละออกมาเพื่อตอบ

"ข้าว่าเจ้าคงยังไม่รู้ความมากพอว่ากระต่ายหน่ะสามารถกินได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาใด ข้าก็สามารถกินเจ้าได้ทั้งนั้น"


to be continued ...

ออฟไลน์ AriesPisces

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #4 เมื่อ19-04-2020 12:45:30 »

The Rabbit in The Moon - END

คำโบราณที่เคยกล่าวกันไว้ว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอดูท่าจะเป็นเรื่องจริง

ลมหนาวแรกของปีกำลังเริ่มพัดเข้ามาในหมู่บ้านอีกครั้ง อีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีนี้แล้ว และนั่นก็หมายความว่าใกล้ถึงเวลาที่คานินก็จะต้องจากหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อกลับไปยังวิหารเทพ

คืนหนึ่งในหน้าหนาวที่หิมะแรกของปีร่วงหล่น คานินและลูอากำลังยืนมองหิมะที่กำลังตกลงมาริมหน้าต่างบานหนึ่งภายในศาลเทพเจ้า

แขนแกร่งโอบกอดลูอาเอาไว้จากด้านหลังเพื่อส่งผ่านความร้อนแก่คนตัวเล็กที่เริ่มสั่นจากอากาศที่หนาวเย็นขึ้น ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้ลูอาทำให้ลูอาชะงักไปสักใหญ่

คำถามที่ลูอากำลังกลัวและหลีกเลี่ยงที่จะนึกถึงมาตลอดในช่วงหลังมานี้

"ลูอา ถ้าถึงวันที่ข้าต้องกลับไปยังวิหารเทพ เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่"

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคานินต้องกลับไปยังวิหารเทพเมื่อถึงเวลา แม้จะรู้ว่ายังไงคานินก็ต้องการพาตนเองกลับไปด้วย และแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าตนเองก็ต้องการจะอยู่กับคานินเช่นกัน แต่เรื่องของบิดาก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลูอาเป็นกังวลและยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรในตอนนี้

เนื่องจากครอบครัวที่มีกันเพียงแค่สองคนพ่อลูก ลูอาจึงกลัวว่าหลังจากนี้หากไม่มีตนเองแล้วท่านพ่อจะอยู่อย่างไร ในเวลาที่ท่านเจ็บป่วยใครจะเป็นคนดูแล เพราะชาวบ้านไม่เคยมาสนใจครอบครัวของลูอาสักครั้ง

เมื่อไม่อาจให้คำตอบต่อสิ่งที่คานินเอ่ยถามออกมาได้ ลูอาจึงปล่อยให้ความเงียบเป็นการตอบคำถามและก็ดูเหมือนว่าคานินจะเข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดีจึงไม่ได้คาดคั้นอะไรให้ลูอาลำบากใจมากขึ้น





1 เดือนก่อนสิ้นปี

ในช่วงสายของวันคานินกับลูอามาช่วยชาวบ้านตัดฟืนที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อประกอบพิธีขอบคุณเทพเจ้าที่จะถูกจัดขึ้นในวันสิ้นปี ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังนั่งพักกันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่คานินก็พูดบางอย่างขึ้น

"เมื่อใดที่ลมหนาวในคืนสุดท้ายผ่านพ้น ตัวข้าก็คงต้องกลับวิหารเทพเช่นกัน" คานินจับมือข้างหนึ่งของลูอามาแนบแก้มของตนเองไว้ แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยน "เจ้ารู้ใช่หรือไม่ลูอาว่าข้าจะไม่มีวันบังคับเจ้าหรือแม้แต่โกรธเคืองเจ้า แม้ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร"

ดูเหมือนว่าคานินจะพอรู้ว่าลูอามีคำตอบอยู่ภายในใจมาสักพักแล้วจึงได้เอ่ยคำพูดเช่นนี้และนั่นก็ทำให้น้ำตาของลูอาเริ่มไหลออกมาหลังจากที่ได้ฟังประโยคเหล่านั้น

เรียวแขนเล็กโอบกอดไปที่ต้นคอแกร่งก่อนจะกระซิบถ้อยคำแสนหวาน

"ขอบคุณนะคานิน ข้ารักท่านนะ ข้ารักท่านมาก"

แล้วคานินก็โอบกอดลูอาเอาไว้ในอ้อมแขนพลางกดจูบลงบนขมับข้างขวาเพื่อปลอบโยน

"ข้าก็รักเจ้าเหลือเกิน พระจันทร์ดวงน้อยของข้า"

ยิ่งเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่แสนสั้นนี้ใกล้จะหมดลงเท่าไหร่ ลูอาก็ยิ่งกอดคานินแน่นขึ้นเท่านั้นเพื่อพยายามถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะได้

ลูอาได้แต่หวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงทุกอย่างจะไม่ได้เลวร้ายเกินนัก





7 วันสุดท้ายก่อนสิ้นปี

เย็นวันหนึ่งหลังจากชาวบ้านช่วยกันเตรียมสถานที่สำหรับเทศกาลบวงสรวงเทพเจ้าไปแล้วบางส่วน ได้มีประกาศให้เรียกทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านของผู้อาวุโสสูงสุด ทั้งลูอาและคานินต่างได้รับเชิญมาในเย็นวันนั้นทั้งคู่

เมื่อคานินและลูอามาถึง ท่านผู้อาวุโอท่านหนึ่งก็ได้เรียกให้ทั้งคู่มายืนด้านหน้า นั่นจึงทำให้ลูอาเห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าและก้มหน้าอยู่บนพื้น

"เจ้าจงพูดออกมาอีกครั้งว่าเมื่อวันก่อนเจ้าได้เห็นสิ่งใดมา"

หลังจากเสียงทรงอำนาจจากผู้อาวุโอสูงสุดจบลง หญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงเริ่มพูดด้วยประโยคที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนักเนื่องจากการตื่นกลัว

"ขะ ข้า ข้าเห็น วันนั้นที่กระท่อม ข้าลืมของไว้หลังจากตกแต่งสถานที่เสร็จ ข้าจึงกลับขึ้นไปที่นั่นอีกครั้ง ในตอนที่ข้ากำลังจะกลับออกมา ข้าได้ยินเสียงคนคุยกัน แล้วข้าก็เห็น..."

หญิงสาวหยุดเล่าเพียงชั่วครู่เพื่อหันหน้ามาทางคานินกับลูอาที่ยืนอยู่ ก่อนจะพูด

"ข้าเห็นสองคนชั่วช้านั่นยืนกอดจูบกันอยู่ภายในกระท่อมหลังนั้น"

นอกจากคำพูด หญิงสาวผู้นั้นยังชี้มาทางคานินและลูอาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด จนทำให้ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบต่างพากันส่งเสียงร้องตกใจกับเรื่องที่ได้ฟังและจับจ้องมายังทั้งสองทันที

ลูอาเริ่มมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่คานินยังคงยืนนิ่งไม่ได้ทุกข์ร้อนกับสายตาของใครหลายคนที่ส่งมาให้

"จริงดังเช่นที่หญิงสาวผู้นี้พูดหรือไม่" ผู้อาวุโอสูงสุดหันหน้ามาทางคานินและลูอาเพื่อขอคำตอบ

แล้วคำตอบสั้น ๆ ก็ถูกเอ่ยขึ้นจากปากของคานินด้วยเสียงที่หนักแน่น

"เป็นเรื่องจริง"

เมื่อชาวบ้านได้ฟังคำตอบก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจอีกครั้ง หลาย ๆ คนเริ่มส่งสายตาดูหมิ่นชิงชังมาให้ทั้งสอง บางคนก็เริ่มด่าทอ จนผู้อาวุโอสูงสุดต้องใช้สายตาปรามชาวบ้านให้อยู่ในความสงบ ก่อนจะพูดกับคานินและลูอาอีกครั้ง

"เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำลงไปเป็นสิ่งที่ไม่สมควร พวกเจ้าได้กระทำผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้"

คานินไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับโอบกอดลูอาที่ยืนตัวสั่นเข้ามาเพื่อปลอบประโลมอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัวหรือสำนึกผิดต่อสิ่งใดทั้งสิ้น

"ไม่สมควรเช่นไร พวกข้าสองคนแค่รักกัน สิ่งใดกันเล่าที่พวกเจ้าเห็นว่าพวกข้ากระทำผิด"

"สามหาวยิ่งนัก!!! พวกเจ้าทำผิดถึงเพียงนี้ยังไม่รู้จักสำนึกอีกหรือ"

ผู้อาวุโอสูงสุดขึ้นเสียงด้วยความฉุนเฉียวหลังจากได้ฟังคำพูดของคานิน ยิ่งได้เห็นท่าทีที่ไร้ซึ่งความละลายนั้นก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ เมื่อเห็นดังนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับชาวบ้านแทนที่จะสนทนาต่อให้เสียเวลาเปล่า

"จับคนโฉดชั่วคู่นี้ไปขัง หลังจากนี้ข้าจะลงโทษพวกมันให้เข็ดหลาบกับสิ่งที่พวกมันได้กระทำการลบหลู่ต่อท่านเทพ"

ชาวบ้านหลายคนพากันกรูเข้ามาจับลูอาและคานินให้แยกออกจากกัน แม้ทั้งคู่จะพยายามหลบหนีการจับกุมของชาวบ้านแต่ด้วยกำลังคนที่มาก สุดท้ายก็ไม่อาจหลบหนีไปได้

"หยุดนะ พวกท่านกำลังจะทำอะไรข้า ปล่อยข้านะ คานิน คานิน ปล่อยข้าาา!!! "

ลูอาที่ถูกจับกดลงพื้นพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นเพื่อเข้าไปช่วยคานินที่กำลังถูกรุมทำร้าย แต่ก็ไม่อาจสู้แรงพวกชาวบ้านได้ จึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตาจากทุกคนอย่างน่าเวทนา

"หยุดนะ พวกท่านอย่าทำร้ายคานิน ได้โปรดอย่าทำร้ายคานิน"





5 วัน 5 คืนที่ถูกขัง

ผู้อาวุโสสูงสุดมีคำสั่งให้ขังคานินกับลูอาแยกกันคนละที่ ในคืนแรกลูอาลองส่งเสียงเรียกหาคานินออกไป ในใจก็แอบหวังว่าถ้าคานินได้ยิน คานินอาจจะหายตัวมาอยู่ตรงหน้าหรือส่งเสียงตอบกลับมาให้ตนเองคลายความกังวลลงบ้าง แต่ก็ไม่เคยเป็นดังที่หวังไว้

แม้จะผ่านไปหลายคืนแล้วลูอาก็ยังคงพยายามส่งเสียงเรียกคานินซ้ำอยู่อย่างนั้น ถึงจะไม่มีวี่แววของคานินเลยสักครั้ง

ในตอนค่ำของคืนวันที่ 5 ลูอาถูกลากออกมาจากสถานที่คุมขังและถูกพามายังหน้าบ้านของผู้อาวุโอสูงสุดอีกครั้ง สถานที่ที่เคยเป็นลานกว้างโล่ง ๆ ก่อนหน้าถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่สำหรับลงโทษคานินและลูอาในค่ำคืนนี้

ลูอาถูกจับมัดไว้กับเสาไม้ต้นไม่ใหญ่ที่อยู่ใกล้กับบริเวณหน้าบ้าน ส่วนด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลนักมีเสาไม้ต้นที่ใหญ่กว่าอีกต้นหนึ่งตั้งอยู่ โดยที่รอบเสาไม้ต้นนั้นถูกสุมไปด้วยฟืนหลายท่อนที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงกองใหญ่

เมื่อลูอาสังเกตเห็นคานินที่ดูสะบักสะบอมกว่าตนเองหลายเท่าถูกมัดมือ มัดขาและลำตัว ให้ติดอยู่บนเสาต้นนั้น ลูอาก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจและพยายามดิ้นรนให้หลุดจากเชือกที่มัดตนเองไว้

"คานิน!!! พวกท่าน นี่พวกท่านกำลังจะทำอะไรคานิน"

ไม่มีชาวบ้านคนไหนสนใจคำพูดของลูอาที่เอ่ยถามออกมา ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคานินที่กำลังจะถูกลงโทษ บางคนก็เริ่มขว้างปาสิ่งของใส่คานินที่ไร้หนทางหลบหนี

"ปล่อยคานินนะ พวกท่านอย่าทำเช่นนั้น เอาข้าไปแทนก็ได้ ปล่อยคานินลงมาเถิด ได้โปรด"

ลูอาที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยคานินได้ พยายามส่งเสียงอ้อนวอนออกไปอย่างสุดความสามารถ

เมื่อถึงเวลาสำหรับการลงโทษ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้มายืนอยู่ตรงกลางลานกว้างระหว่างคานินกับลูอา พร้อมกับประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงความผิดของผู้ที่จะได้รับโทษในค่ำคืนนี้

"บรรพบุรุษสร้างมาให้ชายหนุ่มคู่กับหญิงสาว แต่พวกเจ้าทั้งสองกลับทำผิดจารีตประเพณี พวกเจ้าเป็นชายทั้งคู่แต่กลับบอกว่ามีใจต่อกัน แค่นี้ก็ถือเป็นความผิดใหญ่หลวงแล้ว

อีกทั้งพวกเจ้าทั้งคู่ยังเป็นคนของท่านเทพ แต่ยังกล้าลักลอบมีความสัมพันธ์ต่อกันภายในศาลเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ ซ้ำพวกเจ้ายังไม่ละอายต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป

บาปที่พวกเจ้าได้ก่อไว้ยิ่งยากเกินจะให้อภัย พวกเจ้าจะต้องได้รับการลงโทษที่กล้าลบหลู่ท่านเทพถึงเพียงนี้"

ผู้อาวุโสสูงสุดหยุดพูดเพื่อมองหน้าของคานินที่ไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวแม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้ ก่อนจะพูดต่อ

"หากเจ้าสำนึกผิดหรือมีสิ่งใดจะพูดก็ให้รีบพูดมา ก่อนที่ข้าจะสังเวยชีวิตของเจ้าให้แก่ท่านเทพเพื่อขอขมาต่อความผิดใหญ่หลวงในครั้งนี้"

"ความรักของข้าที่มีให้ลูอามิใช่สิ่งผิด หากจะมีสิ่งใดผิดก็คงมีเพียงจิตใจที่มืดบอดของพวกเจ้า" คานินที่ยังคงมีท่าทีเรียบเฉยตอบออกมาโดยมิได้หวั่นเกรงแม้จะรู้ว่าตนเองกำลังจะถูกลงโทษเช่นไร

"เจ้านี่มันยโสยิ่งนัก จะตายอยู่แล้วยังจะอวดเก่ง" ผู้อาวุโสสูงสุดพูดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะหันมาสั่งชาวบ้าน "จัดการมันซะ ข้าจะดูสิว่ามันจะอวดเก่งได้สักเท่าไหร่กัน"

เมื่อแสงไฟตรงหน้าเริ่มสว่างขึ้นผู้อาวุโสสูงสุดจึงหันหลังกลับมาแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าของลูอา

"ส่วนเจ้า ข้าจะให้เจ้าได้เห็นคนที่เจ้าบอกว่ารักถูกไฟเผาให้ตายลงต่อหน้าต่อตาเพื่อชดใช้ความผิดในครั้งนี้ จงสำนึกถึงสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปซะ ก่อนที่เจ้าจะถูกลงโทษเป็นรายต่อไป"

ตอนนี้หูของลูอาไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกแล้วแม้ว่าใครพูดอะไรออกมาก็ตาม ตากลมที่มีน้ำตาคลออยู่ก็มองเห็นเพียงแค่คานินที่เริ่มจะถูกเปลวไฟลามเข้าไปใกล้ ริมฝีปากแห้งผากก็พร่ำตะโกนร้องเรียกชื่อของคานินอยู่อย่างนั้น

แม้เปลวไฟจะเริ่มลามไปตามร่างกายของคานินทีละส่วนแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องใด ๆ ออกมาแม้แต่น้อยคานินยังคงนิ่งสงบอยู่บนเสาไม้ที่กำลังไหม้ไฟต้นนั้น

ต่างจากลูอาที่พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีไปกับการดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกมัด แม้เชือกที่รัดไว้จะบาดผิวขาวจนเลือดไหลเป็นทางยาว ลูอาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับภาพตรงหน้า

และก่อนที่ไฟจะลุกโชนไปทั่วทั้งร่างของคานิน สายตาที่เต็มไปด้วยความรักก็ถูกส่งมาให้กับลูอาก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะถูกเอ่ยขึ้น

"ข้ารักเจ้า"

"ม่ายยย!!! คานิน อย่าจากข้าไป คานิน ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปเช่นนี้"

"คานินนน!!! "

ลูอาที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายตะโกนขึ้นอย่างคนเสียสติกับภาพที่ได้เห็น สุดท้ายเมื่อไม่อาจทนต่อความเสียใจจากการสูญเสียอีกต่อไปได้ร่างบางจึงทรุดลงและร่วงไปกองอยู่บนพื้นทันที

"นำตัวมันไปขัง พรุ่งนี้ข้าจะลงโทษมันเป็นรายต่อไป" เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดสั่งชาวบ้านให้จัดการกับร่างอันไร้สติของลูอาที่แน่นิ่งไปแล้ว

"หยุดก่อน ท่านผู้อาวุโสสูงสุด"

ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันยกร่างของลูอาก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น จากนั้นชายกลางคนผู้หนึ่งจึงเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเพื่อพูดเรื่องบางอย่าง

"ในฐานะที่ข้าเป็นบิดาที่ไม่ได้เรื่องจนทำให้บุตรชายของข้าต้องเป็นเช่นนี้ ข้าขอเป็นคนลงมือจบชีวิตของบุตรชายของข้าได้หรือไม่ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้เป็นผู้ชดใช้บาปในครั้งนี้ด้วยตัวของข้าเองด้วยเถิด"

ชายผู้นั้นก้มลงขอร้องด้วยความอ้อนวอน ผู้อาวุโสสูงสุดจึงหันหน้าไปยังผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพื่อขอคำปรึกษา หลังจากพูดคุยกันสักพัก ต่างฝ่ายต่างลงความเห็นตรงกันว่า เมื่อเป็นความประสงค์จากผู้เป็นบิดาที่จะจัดการกับบุตรชายด้วยตนเองก็เห็นสมควรตามนั้น จึงตอบตกลงตามคำขอ





คืนสิ้นปี...

ลูอาที่ยังทำใจไม่ได้กับการจากไปอย่างกะทันหันของคานินยังคงนอนร้องไห้อยู่ภายในห้องที่ถูกคุมขัง ลูอาไม่ได้คาดคิดไว้สักนิดว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นนี้

แม้ลูอาจะพยายามเรียกหาคานินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คานินก็ไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะในความเป็นจริงหรือแม้แต่ความฝัน

สิ่งที่ลูอากำลังหวาดกลัวมากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองกำลังจะตาย แต่เป็นเรื่องที่หากจบชีวิตลงไปแล้วจะยังมีโอกาสได้เจอกับคานินอีกหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ลูอาไม่อาจคาดเดาได้

'ขอแค่ได้พบคานินอีกสักครั้งก็ยังดี'

เสียงก็อกแก็กที่ดังขึ้นจากหน้าประตูห้องคุมขังเรียกความสนใจให้ลูอาหลุดจากภวังค์ของตนเอง ร่างที่ซูบผอมลงรีบคลานไปยังหน้าประตูด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้

'หวังว่าจะเป็นคานิน'

แม้ความหวังที่มีจะลิบหลี่ แต่ลูอาก็ยังหวังว่าจะได้เจอคานินสักครั้งก่อนที่ตนเองจะต้องจบชีวิตลง

"ลูอา"

เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยพร้อมกับภาพที่ปรากฏขึ้นในสายตา ก็ทำให้ลูอาต้องผิดหวังซ้ำอีกครั้ง

"ท่านพ่อ" ลูอาเรียกบุคคลที่กำลังนั่งลงบนพื้นหน้าประตูห้องคุมขังด้วยเสียงแผ่ว

ผู้เป็นบิดามองมาด้วยความเสียใจเมื่อเห็นครอบครัวเพียงคนเดียวของตนเองอยู่ในสภาพเช่นนี้

"ลูอา เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" เสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความห่วงใยดังเช่นทุกครั้ง

"ข้าไม่เป็นอะไรเลยท่านพ่อ ข้ายังสบายดี" ลูอาฝืนยิ้มและพยายามตอบให้บิดาคลายความกังวล

แขนทั้งสองข้างที่มีรอยเหี่ยวย่นเอื้อมเข้ามาภายในห้องคุมขังเพื่อกอดลูกชายสุดที่รักอย่างรู้สึกผิด

"ข้าขอโทษ ข้าเสียใจเหลือเกิน เพราะข้าเป็นคนอ่อนแอ ข้าจึงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เลยสักครั้ง ตั้งแต่ในวันที่เจ้าเกิดหรือแม้กระทั่งวันนี้"

"ท่านพ่อได้โปรดอย่าโทษตัวเองเช่นนั้น มันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย" ลูอาพยายามพูดปลอบบิดาไม่ให้รู้สึกผิด "ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยถือโทษท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย"

อ้อมกอดจากผู้เป็นบิดากระชับร่างของบุตรชายให้แน่นขึ้นก่อนจะถอยออกจากห้องขังออกไปเล็กน้อย นั่นจึงทำให้ลูอาได้เห็นว่าด้านข้างของบิดามีกาน้ำและถ้วยใบเล็กถูกวางเอาไว้ แล้วประโยคที่ออกมาจากปากของผู้เป็นบิดาก็ไขข้อข้องใจถึงของสิ่งนั้น

"ความจริงในวันนี้ที่ข้ามา ... ก็เพื่อมาส่งเจ้าด้วยตัวของข้าเอง"

ยิ่งเมื่อได้เห็นสายตาที่แสนเจ็บปวดของบิดาในตอนนี้ ลูอาก็รู้ชัดเจนในทันทีว่าเวลาของตนคงใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว ลูอาจึงพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลเพื่อพูดคำสั่งเสียกับบิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย

"ท่านพ่อได้โปรดอย่าโทษตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของท่าน แต่เพราะข้าทำตัวเองทั้งสิ้น"

"ข้าหวังว่าท่านดูแลตัวเองให้ดี เพราะข้าไม่สามารถที่จะอยู่ดูแลท่านได้อีกแล้ว"

"ชีวิตของข้าช่างสั้นนัก จึงไม่มีโอกาสได้ตอบแทนคุณของท่านในชาตินี้ได้ หากชาติใดเราได้พบกันอีก ข้าจะขอตอบแทนให้ท่านในตอนนั้น"

"ท่านพ่อ ช่วยมีชีวิตที่เหลืออยู่แทนข้าด้วย ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของข้า"

ผู้เป็นบิดาไม่ได้ตอบรับคำขอ ท่านทำเพียงยกมือกร้านขึ้นลูบใบหน้าขาวที่ซูบลงของลูกชายพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ จากนั้นจึงหยิบสิ่งที่เตรียมมาวางไว้ตรงหน้าห้องขัง จากนั้นจึงค่อย ๆ เทน้ำสีใสลงในถ้วยใบเล็กอย่างเชื่องช้าเพื่อต่อเวลาให้พูดคุยในสิ่งที่ต้องการกับบุตรชายได้นานขึ้น

"มีคนบอกกับข้าว่า เมื่อจิบสิ่งที่อยู่ในถ้วยนี้เพียงนิดเดียวก็จะทำให้จากโลกนี้ไปได้ จากไปโดยไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกทรมาน เพียงหลับไปเฉย ๆ และจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก"

"คนผู้นั้นบอกข้าว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยเจ้าจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ได้"

"เขาให้คำมั่นกับข้าว่าจะปกป้องเจ้าแทนข้านับจากนี้ แต่ตัวข้าเองก็ต้องเสียสละเช่นกัน"

ลูอาเพิ่งสังเกตเห็นว่าบิดาไม่ได้ส่งถ้วยใบนั้นเข้ามาให้ตนเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับยกขึ้นเข้าใกล้ริมฝีปากของตัวท่านเองแทน พอเห็นเช่นนั้นลูอาก็เข้าใจทันทีว่าบิดาของตนกำลังจะทำอะไร

"ท่านพ่อ ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้"

"ลูอา หากในครั้งนี้ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก ข้าก็ไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จึงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น"

ลูอาพยายามร้องห้ามบิดาพร้อมกับเอื้อมมือไปหาหมายจะห้ามในการกระทำของท่าน แต่ดูเหมือนบิดาจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงถอยหลังออกไปจากห้องขังจนพ้นระยะมือที่ยื่นออกมา

ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตามองหน้าลูกชายสุดที่รักไม่วางตา ก่อนที่เสียงของแหบพร่าจะดังขึ้นอีกครั้ง

"แม้วิญญาณของข้าจะไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ข้าจะยังคงมีชีวิตอยู่ภายในใจของเจ้าเสมอ"

"สักวันเราจะได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น"

มือทั้งสองข้างยกถ้วยขึ้นดื่มจนหมดหลังจากกล่าวลาบุตรชายของตนเรียบร้อย

ถ้วยใบเล็กถูกปล่อยให้ร่วงหล่นจากมือกร้าน ร่างของชายวัยกลางคนค่อย ๆ ทิ้งตัวลงบนพื้นเยียบเย็น รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะค่อย ๆ ปิดลง

"ท่านพ่อ !!! "

ลูอาร้องตะโกนพร้อมกับพยายามเอื้อมมือไปยังร่างของบิดาที่นอนแน่นิ่งไป มือบางคว้าได้เพียงข้อมือข้างซ้ายของบิดาเท่านั้น แรงน้อยนิดพยายามลากร่างที่ใหญ่โตกว่าเข้ามาใกล้ตนเองให้ได้มากที่สุด

"ช่วยด้วย มีใครอยู่ไหม ข้างนอก มีใครได้ยินข้าไหม"

"ใครก็ได้ ได้โปรดช่วยท่านพ่อของข้าด้วย"

เสียงตะโกนดังก้องภายในสถานที่คุมขัง แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์

สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีใครคอยเฝ้า ซ้ำยังอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนของชาวบ้าน แม้ลูอาจะส่งเสียงร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีใครสักคนที่ได้ยินเสียงนั้น

ลูอาที่ไม่สามารถกอดร่างไร้วิญญาณของบิดาเอาไว้ได้อย่างที่ต้องการทำได้เพียงกุมมือของท่านเอาไว้ น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างมิอาจกลั้น พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ปานจะขาดใจ

'ทำไมคนที่ข้ารักถึงต้องทิ้งข้าไปกันหมด ทั้งท่านพ่อ ทั้งคานิน'

แล้วทันใดนั้นเอง สายตาของลูอาก็เหลือบไปเห็นกาน้ำกับถ้วยเปล่าที่บิดานำมา มันถูกวางทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลจากร่างของบิดานัก

'เมื่อจิบสิ่งที่อยู่ในถ้วยนี้เพียงนิดเดียวก็จะทำให้จากโลกนี้ไปได้'

คำพูดของท่านพ่อที่บอกไว้ก่อนจากไปดังขึ้น มือบางจึงรีบเอื้อมไปหยิบกาน้ำใบนั้นขึ้นมาเพื่อสำรวจ

'ขอเพียงให้ในกายังมีสิ่งที่บิดาดื่มเข้าไปหลงเหลืออยู่บ้าง แม้สักนิดเดียวก็เพียงพอ'

และไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ยังมีน้ำหลงเหลืออยู่ในกาใบนั้นและมากพอที่ลูอาจะดื่มมันเข้าไปได้

"ท่านพ่อ ข้าจะไม่รอเวลาไหนทั้งนั้น ข้าจะขอตามท่านไปในตอนนี้"

มือขาวยกกาน้ำขึ้นแล้วเทสิ่งที่เหลืออยู่ลงไปในปากของตนเองจนหมด ก่อนจะโยนทิ้งไปภายในห้องขังอย่างไม่สนใจ

ลูอาทิ้งกายลงนอนเคียงข้างกับบิดาโดยนำมือของท่านมากุมเอาไว้แนบอก ในใจก็นึกถึงบุคคลที่จากไปก่อนหน้า

'ข้าไม่รู้จะได้พบท่านอีกหรือไม่ แต่ข้าขอให้ท่านได้รู้'

'ข้ารักท่าน คานิน'

ก่อนที่สติที่เหลืออยู่น้อยนิดจะดับลง สายตาที่ใกล้จะปิดกลับได้เห็นปลายเท้าของใครบางคนที่ข้างนอกห้องขัง เมื่อมองไล่ขึ้นไปจึงพบว่าเป็นบุคคลที่ตนเองคิดถึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาปรากฏกายขึ้น

"คะ คานิน เป็นท่านจริง ๆ ใช่หรือไม่ ... ขะ ข้า ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ... ทะ ท่าน มารับข้าใช่หรือไม่"

ลูอาที่อยากจะลุกขึ้นไปหาอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ทำได้เพียงส่งเสียงแผ่วออกไปอย่างกระท่อนกระแท่น

ดวงตาคู่สีเหลืองทองมองมายังลูอาด้วยสายตาเช่นเดียวกับครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น แล้วเสียงแหบทุ้มที่ลูอาคุ้นเคยก็ดังขึ้น

"วันนี้ข้ามาเพื่อทวงคำตอบที่เคยถามเจ้าลูอา"

ลูอาเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้นทันที คำถามเดียวที่คานินเคยถามเอาไว้ และเป็นคำถามที่ลูอาไม่เคยให้คำตอบออกไปสักครั้ง

ร่างของคานินสลายไปแล้วมาปรากฏกายอยู่ภายในห้องคุมขัง จากนั้นจึงคุกเข่าลงใกล้กับตำแหน่งที่ลูอานอนอยู่ คำถามเดิมถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้งในวันนี้ พร้อมกับมือแกร่งที่ยื่นมาตรงหน้า

"ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปยังวิหารเทพแล้ว เจ้าจะกลับไปกับข้าได้หรือไม่"

ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ลูอาจะต้องให้คำตอบกับคานินเสียที

**************************************************

มีบทส่งท้ายต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ AriesPisces

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #5 เมื่อ19-04-2020 13:00:26 »

--- บทส่งท้าย ---

เมื่อกลับมาถึงวิหารเทพคานินได้พาลูอาไปพบกับบิดาและมารดาที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกที่วังของพวกท่านทั้งสอง คานินเล่าให้ฟังคร่าว ๆ เกี่ยวกับผู้ให้กำเนิดของลูอาว่า เป็นเพราะทั้งคู่สละชีวิตของตนเองเพื่อลูอาวิญญาณของพวกท่านจึงได้มาเกิดเป็นเทพและกลับมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอีกครั้งบนวิหารเทพแห่งนี้

หลังจากกลับมาที่วังของคานินแล้ว ลูอาที่ยังคงมีสิ่งที่ค้างคาใจอยู่บางเรื่องจึงได้เอ่ยถามคานินออกไป

"ข้าเพิ่งนึกถึงคำที่ท่านพ่อได้บอกไว้ ว่าได้ของสิ่งหนึ่งมาจากใครบางคน" ลูอาหยุดพูดเพื่อมองหน้าคานิน ก่อนถาม "คนที่ท่านพ่อของข้าพูดถึงเป็นท่านใช่หรือไม่"

รอยยิ้มบนใบหน้าของคานินเป็นคำตอบได้ว่ามิได้ปฏิเสธคำถามนั้นของลูอา เห็นอย่างนั้นลูอาจึงถามคำถามใหม่ขึ้นทันที

"ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ท่านพ่อกับข้าได้ดื่มเข้าไปคือสิ่งใดกัน"

"นั่นเป็นน้ำจากบ่อน้ำของวิหารเทพ เมื่อมนุษย์ได้ดื่มก็จะตายจากโลกมนุษย์และได้ชีวิตใหม่ในวิหารเทพแห่งนี้ บิดาของข้าใช้วิธีนี้พาหญิงสาวที่เต็มใจกลับมาเป็นสาวใช้อยู่ที่นี่ แต่บิดาของเจ้ายอมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือเจ้า ความดีส่วนนี้ทำให้วิญญาณของพ่อเจ้าได้เกิดใหม่เป็นบุรุษเทพ มิใช่ข้ารับใช้เช่นผู้อื่น" คานินอธิบาย

"ท่านจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อท่านสามารถพาข้ากับท่านพ่อมาอยู่ที่นี่เลยก็ย่อมได้" ลูอาถามต่อทันทีอย่างสงสัย

"เรื่องบิดาของเจ้าข้าตอบไปแล้วเมื่อครู่ ส่วนเหตุผลที่ข้าต้องทำเช่นนั้น ข้าอยากให้เจ้าลองคิดทบทวนดูดี ๆ แล้วเจ้าจะได้คำตอบ"

หลังจากได้ฟังคำตอบของคานิน ลูอาจึงเริ่มทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง คิ้วสวยขมวดมุ่นขึ้นเมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ จากนั้นปากสีสวยจึงเริ่มร่ายสิ่งที่คิดออกมาเป็นข้อ ๆ

"ท่านรู้ว่าข้าจะปฏิเสธท่าน เพราะข้าเป็นห่วงท่านพ่อของข้า"

"ท่านจงใจไม่มาพบข้า เพื่อให้ข้าเข้าใจว่าท่านจากข้าไปแล้ว"

"ท่านรู้จักท่านแม่ของข้า เลยไปพบกับท่านพ่อของข้าเพื่อยื่นข้อเสนอ"

"ท่านรู้ว่าท่านพ่อของข้าจะยอมสละชีวิตเพื่อช่วยข้า และท่านมั่นใจว่าข้าต้องดื่มน้ำนั่น เพราะชีวิตของข้าไม่เหลือใครสักคนที่ข้ารักอยู่แล้ว"

"และที่ท่านต้องทำทั้งหมดนั่นก็เพราะ ..."

ลูอาหยุดพูดเพื่อมองหน้าคานินถึงสิ่งที่ตนเองคาดเดามาทั้งหมด ก่อนจะพูดประโยคปิดท้าย

"ท่านต้องการให้ข้าตกลงมาอยู่ที่วิหารเทพกับท่านด้วยความเต็มใจ"

คานินยกยิ้มให้กับความเฉลียวฉลาดของลูอาที่สามารถคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง แขนแกร่งจึงดึงร่างคนตัวเล็กกว่าเข้ามาใกล้จากนั้นจึงหอมแก้มใสเพื่อให้รางวัล

"เก่งมาก พระจันทร์ดวงน้อยของข้า"

ลูอาผละออกจากร่างแกร่งออกมาเล็กน้อย ก่อนจะมองคานินด้วยสายตาที่ไม่ได้มีความยินดีเลยสักนิด ตากลมดำคู่นั้นกำลังฉายแววไม่พอใจ ยิ่งเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

"วันนั้น ที่อยู่ ๆ ท่านก็ปรากฏกายในกระท่อมแล้วกอดจูบข้า ท่านตั้งใจให้หญิงสาวผู้นั้นเห็น"

ในขณะที่พูดสายตาก็จับจ้องไปยังคานินที่มีสีหน้าคาดไม่ถึงกับประโยคนั้น การที่คานินนิ่งเงียบไปโดยไม่ตอบนั่นก็แปลได้ว่าอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธกับสิ่งที่พูดไป นั่นทำให้ลูอาพูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มดังขึ้นตามแรงอารมณ์ที่มี

"นี่ !!! ท่านอย่าบอกนะว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ... ท่านวางแผนเอาไว้ทั้งหมด"

คานินแอบถอนหายใจที่ลูอาสามารถคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้เกินกว่าที่คาดเอาไว้ และเมื่อไม่อาจปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นได้ คานินจึงต้องตอบเหตุผลที่แท้จริงของสิ่งที่กระทำไปทั้งหมด

"ข้าเคยรับปากเจ้าแล้วว่าจะไม่บังคับเจ้า แต่ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าข้าจะอยู่เฉย ๆ เพื่อให้เจ้าตอบในสิ่งที่ข้าต้องการ"

ยิ่งเมื่อได้ฟังคำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์นั่น ลูอาก็ถึงกับโวยวายขึ้นพร้อมกับหันหลังให้อีกฝ่ายทันที

"ท่าน !!! ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ท่านช่าง ฮึ่ยยย ข้าหมดคำจะพูดกับท่านจริง ๆ คานิน"

คานินรีบโอบเอวเล็กเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน คางเรียวยาวได้รูปวางลงบนไหล่มนของอีกฝ่สายที่ขัดขืนเล็กน้อย ก่อนจะพูดประโยคที่แสนน่ารักอย่างออดอ้อน

"ข้ารู้ ข้ารู้ ข้าหน่ะมีข้อเสียเยอะแยะ แถมยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ แม้ข้อดีข้อเดียวที่ข้ามีก็คือความรักที่มีต่อเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้าจะยังรักข้าและอยู่เคียงข้าได้หรือไม่"

ลูอาที่กำลังทำหน้างอหันกลับไปมองเจ้ากระต่ายยักษ์แสนเจ้าเล่ห์ด้วยความโมโห พร้อมกับปล่อยให้อีกฝ่ายงอนง้ออยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดที่จะตอบอะไรกลับไปอีก

'หึ เจ้ากระต่ายร้ายกาจ อย่าหวังเลยว่าจะได้ยินคำตอบจากข้า'

'ข้าจะให้ท่านชดใช้ต่อเรื่องทั้งหมดนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์เลย คอยดู'


------------------------------ END ------------------------------

Talk :
จบสักทีจ้าาา เย่ๆ  :heaven
จากพล็อตสั้น ๆ ที่ตั้งใจจะแต่งแค่ตอนเดียวจบ กลายเป็นว่าออกทะเลมาก  :sad4:
ตอนแรกที่แบ่งพาร์ทไว้น่าจะมีเกือบ 8-10 ตอนได้
แต่ด้วยความที่ตั้งใจจะลงยาว ๆ เลยเหลือแค่ 4 ตอน
(เลยไม่แน่ใจว่าตั้งถูกห้องไหม  :mew2:)

ช่วงนี้พล็อตที่แต่งเป็นเรื่องสั้นไม่กี่ตอนจบทั้งนั้น ไว้เรื่องหน้าจะย้ายไปลงห้องเรื่องสั้นแทนนะคะ
ใครที่เข้ามาอ่านพูดคุยหรือติชมกันได้นะคะ

หวังว่าจะชอบกันน้า  :pig4:

ออฟไลน์ FaX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #6 เมื่อ27-04-2020 02:36:51 »

ขอบคุณนิยายน่ารักมากเลยนะคะ อ่านละฟินอะ ไม่ค่อยได้เจอแนวแฟนตาซีแบบสัตว์เท่าไร อยาให้ยาวกว่านี้จัง แต่แค่นี้ก็แฮปปี้สุดไปเลยเด้อ  ❤❤❤

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #7 เมื่อ27-04-2020 20:50:01 »

น่ารักจังเลยค่ะ ทั้งลูอาและคานิน

แอบขัดใจที่คนในหมู่บ้านนั้นมีความเชื่อบ้าบอ ตั้งแต่หาว่าน้องเป็นโชคร้ายแล้ว
คานินน่าจะสั่งสอนให้เข็ดทั้งหมู่บ้านเลย

สุดท้ายดีใจกับน้องด้วยที่ได้พบเจอพ่อแม่และได้มาอยู่กับคานินตลอดไป

ขอบคุณที่แต่งเรื่องน่ารัก ๆ มาให้อ่านนะคะ

 :L2:

ออฟไลน์ phai

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Re: The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #8 เมื่อ29-04-2020 17:15:15 »

น่ารักกกกกกกกก

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #9 เมื่อ16-05-2020 06:30:25 »

น่ารักดีค่ะ

 :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Rabbit in The Moon - END
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-05-2020 06:30:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: The Rabbit in The Moon - END
«ตอบ #10 เมื่อ16-05-2020 11:20:06 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด