UP! | SUMMER KISS THE SEA ☀ฤดูร้อนของทะเล☀ | 15_ไม่เป็นไรนะ [03-05-20]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: UP! | SUMMER KISS THE SEA ☀ฤดูร้อนของทะเล☀ | 15_ไม่เป็นไรนะ [03-05-20]  (อ่าน 8151 ครั้ง)

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“เฮ้ยคิม!!!” พักเที่ยงโรงอาหารกลางที่เต็มไปด้วยนักศึกษาหลายคณะมากินอาหารกลางวันที่นี่ และทุกคนหันมามองที่ไอ้มิวตะโกนตั้งแต่ประตูทางเข้า มาที่ร้านข้าวมันไก่ร้านที่สี่ ซึ่งไกลจากจุดที่มันยืนอยู่ร้อยเมตรได้ ปวดหัวกับความเล่นใหญ่ของมันจริง ๆ ให้ตาย

“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย กูอายเขาเป็นมั้ย”

“ดีใจนี่หว่า เปิดเทอมได้ตั้งเป็นอาทิตย์เพิ่งได้เจอมึง” มิวหน้าตาตื่นเต้นเหมือนไม่ได้เจอกันเป็นชาติ ทั้งที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งไปนอนบ้านผม เพื่อติวการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของที่นี่ แต่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะไปนั่งเล่นกับหมาผมมากกว่า

“เป็นกูหรือไงที่ไม่มีเวลามาเจอ มึงสละเวลาสโมมาเจอเพื่อได้แล้วหรือไง”

“แฮะ ๆ ก็มันเพิ่งเปิดเทอมนี่หว่า ต้องจัดการเรื่องปีหนึ่งในจบภายในเดือนนี้อะ”

“ไงมึง” พีทในชุดนักศึกษาหลุดลุ้ยไม่สมกับเป็นนักศึกษาแพทย์เลยสักนิดเอ่ยทักทายด้วยเสียงเอื่อย ๆ และหาวออกมาหนึ่งชุด

“ไงครับว่าที่คุณหมอ เพิ่งขึ้นปีสองมึงหนักเบอร์นี้แล้วหรอวะ”

“กูอ่านหนังสือเองยังไม่ยากเท่าติวแคลให้ไอ้เหี้ยมิว แม่งจะรอดปีสองหรือเปล่ากูยังไม่แน่ใจเลย”

คนถูกด่ายู่ปากใส่คนขี้บ่น ก็เห็นบ่นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกัน แต่มันก็ไม่เคยจะล้มเลิกการติวหนังสือให้มิวสักครั้ง ทั้งที่ตัวมันเองก็เรียนหนักแต่ก็ยังแบ่งเวลามาให้เพื่อนคนสำคัญของมันได้เสมอ ปากหนักไม่เลิก ยังไม่ทันขาดคำไอ้พีทก็เดินไปต่อคิวก๋วยจั๊บให้ไอ้มิว ทั้งที่ตัวเองไม่กินเครื่องใน เมื่อไหร่ไอ้มิวมันจะรู้ตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่างเถอะเรื่องของพวกมันเถอะ ตัวผมเองก็ยังเอาไม่รอด

จู่ ๆ ในโรงอาหารก็เหมือนถูกหรี่เสียง ผมไม่รู้ว่าเป็นวัฒนธรรมการใช้โรงอาหารหรือเปล่า แต่เวลาใครเดินเข้ามาในโรงอาหารทีหลังมักจะถูกจับจ้อง คงเป็นเพราะมันคือแหล่งรวมของคนจำนวนมากในเวลาหนึ่งละมั้ง และต้นเหตุของเรื่องนี้คือมีผู้ชายสามสี่คนเดินเข้ามาในโรงอาหาร และใช่หนึ่งในนั้นมีคนที่ผมรู้จักดี

“ทะเลนี่หว่า” พีททักขึ้นหลังจากวางชามก๋วยจั๊บและข้าวกะเพราของตัวเองลงบนโต๊ะ

“มากับตะวันด้วยว่ะ” มิวพูดขึ้น สายสืบของผมก็คือมันสองคนนี่แหละ และวงในหน่อยก็เพื่อนทะเลอย่างก๋วยเตี๋ยว แต่พักหลังก็ไม่ค่อยได้คุยกันเนื่องจากอีกฝ่ายเรียนหนักขึ้น

“ก็เขาเรียนคณะเดียวกันไม่ใช่หรอ แปลกหรอวะที่เขาจะมากินข้าวด้วยกัน”

“มันก็ไม่แปลกหรอก แค่แปลกที่มาด้วยกันเวลานี้ ที่นี่ต่างหาก”

“อ้าวแล้วกินที่ไหน โรงอาหารนี้ก็ใกล้บริหารหนิ”

“ใช่ แต่บริหารอินเตอร์มีแคนทีนของตัวเอง แดกฟรี อาหารก็โคตรจะดีเหอะ”

“นั่นดิ จริง ๆ กูเคยเห็นมันมากินอยู่นะ ไม่กี่ครั้งหรอก แต่เป็นช่วงที่ไม่มีคนแล้ว ตอนนั้นกูโดดเรียนมากิน เพราะกลางวันจาจารย์สอนเกินเวลา”

“ทุกคนก็เลยฮือฮากันหรอ” ผมถามขึ้น สายตายังจับจ้องไปที่กลุ่มผู้ชายหน้าดีที่กำลังต่อคิวซื้อข้าวอยู่ เสียงซุบซิบที่พอคนจำนวนมากซุบซิบก็ดังเกินกว่าจะเรียกว่าซุบซิบได้

“ก็ตะวันแม่งเป็นเดือนบริหาร ส่วนไอ้แมนก็ประธานนักศึกษาปีที่แล้ว ไอ้นทีก็นักฟุตบอลมหาลัย ส่วนไอ้ทะเลก็อย่างที่มึงรู้” มิวสาธยายพลางเคี้ยวเส้นก๋วยจั๊บไปด้วย

“แก๊งค์หนุ่มป๊อปว่างั้น”

เพื่อนสนิทสองคนยักไหล่ตีความหมายว่าประมาณนั้น “แต่ที่กูว่ามันแปลกกว่านั้นนะเว้ย” มิวยังไม่เลิกพูด ทั้งที่ปากก็เคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ

“ปกติทะเลมันไม่เคยอยู่รวมกลุ่มกับเพื่อนในที่สาธารณะเท่าไหร่ว่ะ”

“ทำไมวะ ก็เพื่อนกันทำไมอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่เข้าใจ” ผมถามด้วยความสงสัย และก็ยิ่งงงว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

“คืองี้กูน่าจะลืมเล่าให้พวกมึงฟัง” พีทยื่นทิชชู่ให้มิวเช็ดคราบไข่แดงที่ติดปากมันออก เอาจริง ๆ เรื่องก็อยากฟัง แต่ภาพไอ้มิวก็อุบาทว์ตาเหลือเกิน

“ทะเลมันเคยมีประเด็นกับพี่ปีสูงของคณะมัน เพราะมันไม่ยอมเป็นเดือนทั้งที่ได้โหวตชนะ แต่ดันเสือกชนะป๊อปปูลาร์โหวตจากคนทั้งมอ ทั้งที่มันก็ไม่เคยร่วมกิจกรรมอะไรเลย ไอจีมันก็ไม่เล่นมึงก็เห็น”

“...”

“พี่ ๆ เขาก็เลยเขม่นมันอยู่พักหนึ่ง แต่ทะเลก็คือทะเลอะ มันไม่ได้ไปสนใจอะไรอยู่แล้ว แต่ก็มาพีคอีกครั้งก็ตอนที่ตะวันมันดันกลายมาเป็นเพื่อนทะเลอะดิ คือพวกพี่ ๆ ที่ดูแลดาวเดือนรักตะวันมากกก แล้วพวกนั้นก็ดันมีอิทธิพลกับสโมทุกคณะเลย”

“...”

“ปีที่แล้วมันมีงานประกวดวงดนตรี แน่นอนทะเลก็ลงอย่างที่มึงรู้นั่นแหละ แถมยังมีตะวันอยู่ในวงด้วย เล่นเบส แต่พวกพี่ ๆ ก็คือตัดสิทธิ์วงของทะเลเพราะบอกว่าผิดกติกา ห้ามคนที่เป็นมีประสบการณ์ในวงการดนตรีลงแข่ง ซึ่งก็คือตะวันว่ะ แต่จริง ๆ ใครก็รู้นะเว้ยว่าพวกพี่แม่งทำเพราะไม่ชอบทะเล”

“มึงทำไมไม่เห็นเล่าให้กูฟัง คือมันดูเป็นตุเป็นตะมาก ๆ” นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยมากกว่าเรื่องทั้งหมดอีก ว่ามันลืมเล่าไปได้ยังไง

“ตอนนั้นกูคิดว่ามันไม่มีอะไร เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น ทะเลก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกับเพื่อนอีก คงเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อนด้วย แต่ก็มีหลายคนทีมทะเลนะเว้ย มึงก็รู้ว่ามอเราแอนตี้โซตัส การใช้อำนาจรุ่นพี่ข่มขู่คนอื่นไปเรื่อยไม่ใช่เรื่องปัญญาชนควรทำ พอวันนี้กูเห็นแก๊งค์นี้มาเดินในโรงอาหารก็ยิ่งแปลก”

“กูเจอทะเลแล้ว”

“ห้ะ!!” เพื่อนสองคนอุทานพร้อมกัน จริง ๆ ก็ยังไม่มีโอกาสได้เล่าให้ใครฟัง

“แล้วก็เจอตะวันแล้วด้วย”

“ห้ะ!!” พวกมันก็คือตกใจยิ่งกว่าสอบติดมหาลัยอีกมั้ง สุดเวอร์ไม่เปลี่ยนไอ้พวกนี้

“ถึงว่ามึงรู้ว่าเขาเรียนคณะเดียวกัน” พีทพูดขึ้น

ก่อนหน้าที่ผมเปิดเทอมก็แอบเป็นกังวลว่าจะเอายังไงดีเรื่องทะเล คิดกันหลายตลบเลยแหละ อย่างที่รู้ว่าทะเลไม่ใช่ทะเลเด็กเซนต์รอแยลที่พวกเรารู้จักอีกต่อไป การเข้าหาทะเลโต้ง ๆ ในโลกมหาลัยไม่ได้ทำได้ง่ายขนาดนั้น ก็ขวนขวายหาวิธีจนตอบตกลงทำกิจกรรมของคณะไปทั้งหมด เผื่อว่าจะมีโอกาสเจอเขาบ้างในงานใดงานหนึ่งก็เท่านั้น แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ถึงว่ามึงไม่ตื่นเต้นเลยที่ได้เจอทะเล” มิวตบเข่าฉาดเหมือนในละครสมัยก่อน ผมได้แต่กรอกตาแล้วตักข้าวมันไก่คำแรกเข้าปาก แม้จะอยากมองว่าทะเลนั่งตรงไหนแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนถามรายละเอียดในการเจอมากนัก เพราะเต็มไปด้วยเรื่องน่าอาย และโคตรจะไม่เป็นตัวเองสุด ๆ เรื่องที่ผมต้องจีบทะเลนี่เลยเถิดไปไกลกว่าที่คิดกันไว้ “เล่าเลยมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เมาธ์มา!”

“มึงมีเรียนตอนเที่ยงครึ่งไอ้มิว นี่เที่ยงยี่สิบแล้ว” พ่อไอ้มิวที่กินกะเพราะหมดจานไปแล้ว เพราะไม่ได้เปิดปากพูดเลยเอาแต่ตั้งหน้าตั้งหน้ากินอย่างเดียว การเรียนหมอต้องทำให้เพื่อนผมสุขภาพแย่แน่ถ้ายังเป็นอย่างนี้

“ช่างแม่งแล้ววิชาแล็กเชอร์เดี๋ยวกูไปถามเพื่อนเอา จัดตารางเรียนห่าไรให้กูกินข้าวครึ่งชั่วโมง บ้าป่ะ เล่า ๆ”

“มึงได้ไปเรียนแน่มิวเพราะเรื่องของเรื่องคือไม่มีอะไร แค่ทะเลรู้ว่ากูมาเรียนที่นี่แค่นั้น”

“เห้ยได้ไง!! แค่นี้หรอ ไม่มีรำลึกความหวัง ไม่มีการอธิบายให้เข้าใจเลยหรอวะ”

ที่ผมตอบมิวไปแบบนั้นเพราะต้องการตัดบท พ่อมันส่งซิกมาไม่เลิกว่าไม่ต้องเล่า แสดงว่าวิชานี้ไอ้มิวไม่ตั้งใจเรียนและถ้ามันขาดมันก็จะยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ จริง ๆ มิวมันไม่ใช่คนหัวไม่ดีนะ แค่สมาธิสั้น ยิ่งถ้าขาดเรียนคือกลวงเลย คาบนั้นก็โบ๋ทวนกันยาว

“ไว้ตอนเย็นไปกินชาบูกันกูเล่าให้ฟังหมดเลย กูก็มีเรียนตอนเที่ยงสี่สิบห้า”

“เออ ๆ ก็ได้วะ” มิวยอมแพ้และรีบเคี้ยวก๋วยจั๊บของมันไป พ่อมันยักคิ้วเชิงขอบคุณ เบื่อไอ้สองคนนี้จริง ๆ สักทีเหอะ

พวกเราเดินไปเก็บจานในที่ที่จัดไว้ สายตาดันหันไปสบตากับทะเลที่มองมาก่อนอยู่แล้ว อีกฝ่ายพยักหน้าให้เล็กน้อยส่วนผมก็ยิ้มให้ ตะวันที่นั่งข้างทะเลเห็นก็โบกมือใหญ่โต ทำไม่ร่าเริงขนาดนี้กันนะ

[Sea : กินข้าวกับอะไร]

[Summer : ข้าวมันไก่ ทะเลอะ]

[Sea : ข้าวผัดหมู เพิ่มผัก]

[Summer : อี๋ คะน้า]

[Sea : ยังไม่กินผักอีก?]

[Summer : กินบางอย่าง]

[Sea : แต่ส่วนใหญ่ไม่กิน]

ผมอมยิ้มกับโทรศัพท์ทั้งที่ยังเดินไม่พ้นโรงอาหารด้วยซ้ำ ทะเลยกยิ้มมุมปากก่อนจะเก็บมือถือเข้ากระเป๋าแล้วหันไปคุยกับเพื่อนเขา ผมไม่รู้หรอกว่าการเริ่มต้นแบบนี้มันจะจบแบบไหนในอนาคต จะลงเอยในแบบที่คาดหวังไว้หรือเปล่า หรือถ้าไม่ใช่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับมือยังไง

ไม่รู้ว่าทะเลคิดกับตะวันแบบที่ตะวันคิดกับทะเลหรือเปล่า









“สวัสดีค่ะน้อง ๆ ตัวแทนทูตประชาสัมพันธ์จากทุกคณะนะคะ พี่จุ๊บแจงเป็นประธานในการจัดกิจกรรมในปีนี้ค่ะ” ทุกคนปรบมือและมีเสียงโห่ร้องจากเพื่อนของประธานกิจกรรมดังกึกก้องทั้งหอประชุม

“ในวันนี้พี่จะขอแนะนำพี่เลี้ยงที่จะมาคอยให้คำปรึกษาและดูแลน้องตลอดการประกวด ประหนึ่งเก็บตัวนางงาม แน่นอนดิฉันเป็นกะเทยงานปีนี้ก็คือไม่เล็กกว่า MU แน่” เสียงปรบมือระรอกสองที่บ่งบอกว่าชอบใจดังขึ้นอีกครั้ง

“ก่อนที่จะแนะนำพี่เลี้ยงปีนี้ พี่ต้องแจ้งให้น้องปีหนึ่งทุกคนทราบก่อนว่า โดยปกติแล้วทูตประชาสัมพันธ์ของเรานั้นจะได้รับคัดเลือกให้แสดงละครสถาปัตย์ในปีนั้น ๆ ด้วยนะคะ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าละครสถาปัตย์ของเรานั้นชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล มักจะมีแมวมอง หรือเอเจนซี่ซื้อตั๋วมานั่งดูตลอดเลยน้า ชมรมละครสถาปัตย์จะมาเป็นแมวมองคอยสังเกตการณ์ตลอดช่วงเก็บตัวนะคะ ขอเสียงปรบมือให้ตัวแทนชมรมด้วยค้าาา”

รุ่นพี่ผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกสองคนยืนขึ้นในที่นั่งแถวหน้า ไฟสปอร์ตไลท์ส่องไปตรงนั้น และนั่นทำให้ผมปรับสายตามองเห็นว่าผู้ชายหนึ่งในนั้นมีตะวันอยู่ด้วย

“นอกจากนี้ พี่ตะวันคนดีคนน่ารักของจุ๊บแจงยังจะมาเป็นเมนเทอร์ให้น้อง ๆ ด้วยนะคะ”  เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทั้งหอประชุมอีกครั้ง “ใจเย็น ๆ จ้ะลูกหลาว อย่ากรี๊ดดังเด้อ ของพี่จ้า ของพี่”

“เอาล่ะค่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า และคณะแรกที่พี่จะจับฉลากขึ้นมา จะได้พี่ตะวันและพี่มายด์ไปเป็นพี่เลี้ยงนะคะ...และคณะนั้นได้แก่!!”


“ศิลปกรรมศาสตร์ค่าาาา!!”


ปังมากพี่จุ๊บแจง
มือหนึ่งเรื่องจักฉลากไปเลย!!!









#ฤดูร้อนของทะเล

-------------------------------------------------




เปิดตัวตะวันนี่เรียกสะไพ้หรือเปล่านะ555555555555
มันมีอะไรมากกว่าตะวันแอบชอบทะเลน้าพวกเทอว์
แต่เราบอกแล้วว่าไม่มีดราม่าหนัก ๆ อีก แต่นี่ถือว่าเล็ก ๆ แล้วกัน

เราขอโทษที่มาอัพช้าทั้งที่บอกจะอัพวันเสาร์
การ WFH ทำให้เราไม่มีสมาธิเขียนงานเท่าไหร่
ยังไงช่วงนี้อาจจะอัพช้าบ้างนะคะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ


เจอกันตอนหน้าค่า


@migengbeexx


ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“เฮ้ยคิม!!!” พักเที่ยงโรงอาหารกลางที่เต็มไปด้วยนักศึกษาหลายคณะมากินอาหารกลางวันที่นี่ และทุกคนหันมามองที่ไอ้มิวตะโกนตั้งแต่ประตูทางเข้า มาที่ร้านข้าวมันไก่ร้านที่สี่ ซึ่งไกลจากจุดที่มันยืนอยู่ร้อยเมตรได้ ปวดหัวกับความเล่นใหญ่ของมันจริง ๆ ให้ตาย

“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย กูอายเขาเป็นมั้ย”

“ดีใจนี่หว่า เปิดเทอมได้ตั้งเป็นอาทิตย์เพิ่งได้เจอมึง” มิวหน้าตาตื่นเต้นเหมือนไม่ได้เจอกันเป็นชาติ ทั้งที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งไปนอนบ้านผม เพื่อติวการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของที่นี่ แต่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะไปนั่งเล่นกับหมาผมมากกว่า

“เป็นกูหรือไงที่ไม่มีเวลามาเจอ มึงสละเวลาสโมมาเจอเพื่อได้แล้วหรือไง”

“แฮะ ๆ ก็มันเพิ่งเปิดเทอมนี่หว่า ต้องจัดการเรื่องปีหนึ่งในจบภายในเดือนนี้อะ”

“ไงมึง” พีทในชุดนักศึกษาหลุดลุ้ยไม่สมกับเป็นนักศึกษาแพทย์เลยสักนิดเอ่ยทักทายด้วยเสียงเอื่อย ๆ และหาวออกมาหนึ่งชุด

“ไงครับว่าที่คุณหมอ เพิ่งขึ้นปีสองมึงหนักเบอร์นี้แล้วหรอวะ”

“กูอ่านหนังสือเองยังไม่ยากเท่าติวแคลให้ไอ้เหี้ยมิว แม่งจะรอดปีสองหรือเปล่ากูยังไม่แน่ใจเลย”

คนถูกด่ายู่ปากใส่คนขี้บ่น ก็เห็นบ่นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกัน แต่มันก็ไม่เคยจะล้มเลิกการติวหนังสือให้มิวสักครั้ง ทั้งที่ตัวมันเองก็เรียนหนักแต่ก็ยังแบ่งเวลามาให้เพื่อนคนสำคัญของมันได้เสมอ ปากหนักไม่เลิก ยังไม่ทันขาดคำไอ้พีทก็เดินไปต่อคิวกวยจั๊บให้ไอ้มิว ทั้งที่ตัวเองไม่กินเครื่องใน เมื่อไหร่ไอ้มิวมันจะรู้ตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่างเถอะเรื่องของพวกมันเถอะ ตัวผมเองก็ยังเอาไม่รอด

จู่ ๆ ในโรงอาหารก็เหมือนถูกหรี่เสียง ผมไม่รู้ว่าเป็นวัฒนธรรมการใช้โรงอาหารหรือเปล่า แต่เวลาใครเดินเข้ามาในโรงอาหารทีหลังมักจะถูกจับจ้อง คงเป็นเพราะมันคือแหล่งรวมของคนจำนวนมากในเวลาหนึ่งละมั้ง และต้นเหตุของเรื่องนี้คือมีผู้ชายสามสี่คนเดินเข้ามาในโรงอาหาร และใช่หนึ่งในนั้นมีคนที่ผมรู้จักดี

“ทะเลนี่หว่า” พีททักขึ้นหลังจากวางชามกวยจั๊บและข้าวกะเพราของตัวเองลงบนโต๊ะ

“มากับตะวันด้วยว่ะ” มิวพูดขึ้น สายสืบของผมก็คือมันสองคนนี่แหละ และวงในหน่อยก็เพื่อนทะเลอย่างกวยเตี๋ยว แต่พักหลังก็ไม่ค่อยได้คุยกันเนื่องจากอีกฝ่ายเรียนหนักขึ้น

“ก็เขาเรียนคณะเดียวกันไม่ใช่หรอ แปลกหรอวะที่เขาจะมากินข้าวด้วยกัน”

“มันก็ไม่แปลกหรอก แค่แปลกที่มาด้วยกันเวลานี้ ที่นี่ต่างหาก”

“อ้าวแล้วกินที่ไหน โรงอาหารนี้ก็ใกล้บริหารหนิ”

“ใช่ แต่บริหารอินเตอร์มีแคนทีนของตัวเอง แดกฟรี อาหารก็โคตรจะดีเหอะ”

“นั่นดิ จริง ๆ กูเคยเห็นมันมากินอยู่นะ ไม่กี่ครั้งหรอก แต่เป็นช่วงที่ไม่มีคนแล้ว ตอนนั้นกูโดดเรียนมากิน เพราะกลางวันจาจารย์สอนเกินเวลา”

“ทุกคนก็เลยฮือฮากันหรอ” ผมถามขึ้น สายตายังจับจ้องไปที่กลุ่มผู้ชายหน้าดีที่กำลังต่อคิวซื้อข้าวอยู่ เสียงซุบซิบที่พอคนจำนวนมากซุบซิบก็ดังเกินกว่าจะเรียกว่าซุบซิบได้

“ก็ตะวันแม่งเป็นเดือนบริหาร ส่วนไอ้แมนก็ประธานนักศึกษาปีที่แล้ว ไอ้นทีก็นักฟุตบอลมหาลัย ส่วนไอ้ทะเลก็อย่างที่มึงรู้” มิวสาธยายพลางเคี้ยวเส้นก๋วยจั๊บไปด้วย

“แก๊งหนุ่มป๊อปว่างั้น”

เพื่อนสนิทสองคนยักไหล่ตีความหมายว่าประมาณนั้น “แต่ที่กูว่ามันแปลกกว่านั้นนะเว้ย” มิวยังไม่เลิกพูด ทั้งที่ปากก็เคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ

“ปกติทะเลมันไม่เคยอยู่รวมกลุ่มกับเพื่อนในที่สาธารณะเท่าไหร่ว่ะ”

“ทำไมวะ ก็เพื่อนกันทำไมอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่เข้าใจ” ผมถามด้วยความสงสัย และก็ยิ่งงงว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

“คืองี้กูน่าจะลืมเล่าให้พวกมึงฟัง” พีทยื่นทิชชู่ให้มิวเช็ดคราบไข่แดงที่ติดปากมันออก เอาจริง ๆ เรื่องก็อยากฟัง แต่ภาพไอ้มิวก็อุบาทว์ตาเหลือเกิน

“ทะเลมันเคยมีประเด็นกับพี่ปีสูงของคณะมัน เพราะมันไม่ยอมเป็นเดือนทั้งที่ได้โหวตชนะ แต่ดันเสือกชนะป๊อปปูลาร์โหวตจากคนทั้งมอ ทั้งที่มันก็ไม่เคยร่วมกิจกรรมอะไรเลย ไอจีมันก็ไม่เล่นมึงก็เห็น”

“...”

“พี่ ๆ เขาก็เลยเขม่นมันอยู่พักหนึ่ง แต่ทะเลก็คือทะเลอะ มันไม่ได้ไปสนใจอะไรอยู่แล้ว แต่ก็มาพีคอีกครั้งก็ตอนที่ตะวันมันดันกลายมาเป็นเพื่อนทะเลอะดิ คือพวกพี่ ๆ ที่ดูแลดาวเดือนรักตะวันมากกก แล้วพวกนั้นก็ดันมีอิทธิพลกับสโมทุกคณะเลย”

“...”

“ปีที่แล้วมันมีงานประกวดวงดนตรี แน่นอนทะเลก็ลงอย่างที่มึงรู้นั่นแหละ แถมยังมีตะวันอยู่ในวงด้วย เล่นเบส แต่พวกพี่ ๆ ก็คือตัดสิทธิ์วงของทะเลเพราะบอกว่าผิดกติกา ห้ามคนที่เป็นมีประสบการณ์ในวงการดนตรีลงแข่ง ซึ่งก็คือตะวันว่ะ แต่จริง ๆ ใครก็รู้นะเว้ยว่าพวกพี่แม่งทำเพราะไม่ชอบทะเล”

“มึงทำไมไม่เห็นเล่าให้กูฟัง คือมันดูเป็นตุเป็นตะมาก ๆ” นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยมากกว่าเรื่องทั้งหมดอีก ว่ามันลืมเล่าไปได้ยังไง

“ตอนนั้นกูคิดว่ามันไม่มีอะไร เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้น ทะเลก็ไม่เคยไปไหนมาไหนกับเพื่อนอีก คงเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อนด้วย แต่ก็มีหลายคนทีมทะเลนะเว้ย มึงก็รู้ว่ามอเราแอนตี้โซตัส การใช้อำนาจรุ่นพี่ข่มขู่คนอื่นไปเรื่อยไม่ใช่เรื่องปัญญาชนควรทำ พอวันนี้กูเห็นแก๊งนี้มาเดินในโรงอาหารก็ยิ่งแปลก”

“กูเจอทะเลแล้ว”

“ห้ะ!!” เพื่อนสองคนอุทานพร้อมกัน จริง ๆ ก็ยังไม่มีโอกาสได้เล่าให้ใครฟัง

“แล้วก็เจอตะวันแล้วด้วย”

“ห้ะ!!” พวกมันก็คือตกใจยิ่งกว่าสอบติดมหาลัยอีกมั้ง สุดเวอร์ไม่เปลี่ยนไอ้พวกนี้

“ถึงว่ามึงรู้ว่าเขาเรียนคณะเดียวกัน” พีทพูดขึ้น

ก่อนหน้าที่ผมเปิดเทอมก็แอบเป็นกังวลว่าจะเอายังไงดีเรื่องทะเล คิดกันหลายตลบเลยแหละ อย่างที่รู้ว่าทะเลไม่ใช่ทะเลเด็กเซนต์รอแยลที่พวกเรารู้จักอีกต่อไป การเข้าหาทะเลโต้ง ๆ ในโลกมหาลัยไม่ได้ทำได้ง่ายขนาดนั้น ก็ขวนขวายหาวิธีจนตอบตกลงทำกิจกรรมของคณะไปทั้งหมด เผื่อว่าจะมีโอกาสเจอเขาบ้างในงานใดงานหนึ่งก็เท่านั้น แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ถึงว่ามึงไม่ตื่นเต้นเลยที่ได้เจอทะเล” มิวตบเข่าฉาดเหมือนในละครสมัยก่อน ผมได้แต่กรอกตาแล้วตักข้าวมันไก่คำแรกเข้าปาก แม้จะอยากมองว่าทะเลนั่งตรงไหนแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนถามรายละเอียดในการเจอมากนัก เพราะเต็มไปด้วยเรื่องน่าอาย และโคตรจะไม่เป็นตัวเองสุด ๆ เรื่องที่ผมต้องจีบทะเลนี่เลยเถิดไปไกลกว่าที่คิดกันไว้ “เล่าเลยมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เมาธ์มา!”

“มึงมีเรียนตอนเที่ยงครึ่งไอ้มิว นี่เที่ยงยี่สิบแล้ว” พ่อไอ้มิวที่กินกะเพราะหมดจานไปแล้ว เพราะไม่ได้เปิดปากพูดเลยเอาแต่ตั้งหน้าตั้งหน้ากินอย่างเดียว การเรียนหมอต้องทำให้เพื่อนผมสุขภาพแย่แน่ถ้ายังเป็นอย่างนี้

“ช่างแม่งแล้ววิชาแล็กเชอร์เดี๋ยวกูไปถามเพื่อนเอา จัดตารางเรียนห่าไรให้กูกินข้าวครึ่งชั่วโมง บ้าป่ะ เล่า ๆ”

“มึงได้ไปเรียนแน่มิวเพราะเรื่องของเรื่องคือไม่มีอะไร แค่ทะเลรู้ว่ากูมาเรียนที่นี่แค่นั้น”

“เห้ยได้ไง!! แค่นี้หรอ ไม่มีรำลึกความหวัง ไม่มีการอธิบายให้เข้าใจเลยหรอวะ”

ที่ผมตอบมิวไปแบบนั้นเพราะต้องการตัดบท พ่อมันส่งซิกมาไม่เลิกว่าไม่ต้องเล่า แสดงว่าวิชานี้ไอ้มิวไม่ตั้งใจเรียนและถ้ามันขาดมันก็จะยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ จริง ๆ มิวมันไม่ใช่คนหัวไม่ดีนะ แค่สมาธิสั้น ยิ่งถ้าขาดเรียนคือกลวงเลย คาบนั้นก็โบ๋ทวนกันยาว

“ไว้ตอนเย็นไปกินชาบูกันกูเล่าให้ฟังหมดเลย กูก็มีเรียนตอนเที่ยงสี่สิบห้า”

“เออ ๆ ก็ได้วะ” มิวยอมแพ้และรีบเคี้ยวกวยจั๊บของมันไป พ่อมันยักคิ้วเชิงขอบคุณ เบื่อไอ้สองคนนี้จริง ๆ สักทีเหอะ

พวกเราเดินไปเก็บจานในที่ที่จัดไว้ สายตาดันหันไปสบตากับทะเลที่มองมาก่อนอยู่แล้ว อีกฝ่ายพยักหน้าให้เล็กน้อยส่วนผมก็ยิ้มให้ ตะวันที่นั่งข้างทะเลเห็นก็โบกมือใหญ่โต ทำไม่ร่าเริงขนาดนี้กันนะ

[Sea : กินข้าวกับอะไร]

[Summer : ข้าวมันไก่ ทะเลอะ]

[Sea : ข้าวผัดหมู เพิ่มผัก]

[Summer : อี๋ คะน้า]

[Sea : ยังไม่กินผักอีก?]

[Summer : กินบางอย่าง]

[Sea : แต่ส่วนใหญ่ไม่กิน]

ผมอมยิ้มกับโทรศัพท์ทั้งที่ยังเดินไม่พ้นโรงอาหารด้วยซ้ำ ทะเลยกยิ้มมุมปากก่อนจะเก็บมือถือเข้ากระเป๋าแล้วหันไปคุยกับเพื่อนเขา ผมไม่รู้หรอกว่าการเริ่มต้นแบบนี้มันจะจบแบบไหนในอนาคต จะลงเอยในแบบที่คาดหวังไว้หรือเปล่า หรือถ้าไม่ใช่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับมือยังไง

ไม่รู้ว่าทะเลคิดกับตะวันแบบที่ตะวันคิดกับทะเลหรือเปล่า









“สวัสดีค่ะน้อง ๆ ตัวแทนทูตประชาสัมพันธ์จากทุกคณะนะคะ พี่จุ๊บแจงเป็นประธานในการจัดกิจกรรมในปีนี้ค่ะ” ทุกคนปรบมือและมีเสียงโห่ร้องจากเพื่อนของประธานกิจกรรมดังกึกก้องทั้งหอประชุม

“ในวันนี้พี่จะขอแนะนำพี่เลี้ยงที่จะมาคอยให้คำปรึกษาและดูแลน้องตลอดการประกวด ประหนึ่งเก็บตัวนางงาม แน่นอนดิฉันเป็นกะเทยงานปีนี้ก็คือไม่เล็กกว่า MU แน่” เสียงปรบมือระรอกสองที่บ่งบอกว่าชอบใจดังขึ้นอีกครั้ง

“ก่อนที่จะแนะนำพี่เลี้ยงปีนี้ พี่ต้องแจ้งให้น้องปีหนึ่งทุกคนทราบก่อนว่า โดยปกติแล้วทูตประชาสัมพันธ์ของเรานั้นจะได้รับคัดเลือกให้แสดงละครสถาปัตย์ในปีนั้น ๆ ด้วยนะคะ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าละครสถาปัตย์ของเรานั้นชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล มักจะมีแมวมอง หรือเอเจนซี่ซื้อตั๋วมานั่งดูตลอดเลยน้า ชมรมละครสถาปัตย์จะมาเป็นแมวมองคอยสังเกตการณ์ตลอดช่วงเก็บตัวนะคะ ขอเสียงปรบมือให้ตัวแทนชมรมด้วยค้าาา”

รุ่นพี่ผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกสองคนยืนขึ้นในที่นั่งแถวหน้า ไฟสปอตไลท์ส่องไปตรงนั้น และนั่นทำให้ผมปรับสายตามองเห็นว่าผู้ชายหนึ่งในนั้นมีตะวันอยู่ด้วย

“นอกจากนี้ พี่ตะวันคนดีคนน่ารักของจุ๊บแจงยังจะมาเป็นเมนเทอร์ให้น้อง ๆ ด้วยนะคะ”  เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทั้งหอประชุมอีกครั้ง “ใจเย็น ๆ จ้ะลูกหลาว อย่ากรี๊ดดังเด้อ ของพี่จ้า ของพี่”

“เอาล่ะค่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า และคณะแรกที่พี่จะจับฉลากขึ้นมา จะได้พี่ตะวันและพี่มายด์ไปเป็นพี่เลี้ยงนะคะ...และคณะนั้นได้แก่!!”


“ศิลปกรรมศาสตร์ค่าาาา!!”


ปังมากพี่จุ๊บแจง
มือหนึ่งเรื่องจับฉลากไปเลย!!!








#ฤดูร้อนของทะเล

-------------------------------------------------




เปิดตัวตะวันนี่เรียกสะไพ้หรือเปล่านะ555555555555
มันมีอะไรมากกว่าตะวันแอบชอบทะเลน้าพวกเทอว์
แต่เราบอกแล้วว่าไม่มีดราม่าหนัก ๆ อีก แต่นี่ถือว่าเล็ก ๆ แล้วกัน

เราขอโทษที่มาอัพช้าทั้งที่บอกจะอัพวันเสาร์
การ WFH ทำให้เราไม่มีสมาธิเขียนงานเท่าไหร่
ยังไงช่วงนี้อาจจะอัพช้าบ้างนะคะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ


เจอกันตอนหน้าค่า


@migengbeexx


ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตอนที่ 13
นุ่มนิ่ม
[/size]




“ทะเลลลลล๊ คนดีศรีกรุงเทพอมรรัตนใจดีจังเลยพ่อคุณพ่อยอดขนุนหนัง มาทันพอเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ ปีหน้าต้องได้เป็นทูตยูนิเซฟแล้วนะคะ” พี่จุ๊บแจงกำลังเยินยอประธานชมรมวิชาการที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างดี ตอนแรกทุกคนก็งงว่าทำไมทะเลต้องมาดูซ้อมดาวเดือนด้วย

คำถามตอบ คือ ทะเลได้เป็นกรรมการในการประกวดด้วยไงล่ะ

“สาขาอะไรดีวะ” พี่กัสที่กำลังใช้กระดาษคิวบล็อกกิ้งพัดหน้าตัวเอง

“สาขามิตรภาพสานฝันกะเทย” และพี่มายด์พี่เลี้ยงของผมเองผู้หญิงตัวเล็กน่ารัก แต่ฝีปากกล้าตรงข้ามกับบุคลิกอย่างสิ้นเชิง

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

“อิเพื่อนชั่ว เดี๋ยวเถอะมึง ทะเลคนดีของกูอะเขาไม่ได้รังเกียจกะเทยหรอกใช่มั้ยคะ” ทะเลส่ายหัวก่อนจะยิ้มน้อย ๆ แล้วหยิบอาหารติดมือแล้วเดินผละตัวมาทางผม

“ไม่รังเกียจแต่เดินหนีว่ะ ฮ่า ๆ ๆ” ทุกคนดูจะมีความสุขกับการแกล้งพี่จุ๊บแจง เพราะประธานคนนี้ก็จะมีแค่ช่วงเวลาพักนี่แหละที่จะผ่อนคลาย ถ้าหากอยู่ในช่วงเวลาซ้อมเธอก็จะกลายเป็นคนเคร่งเครียดและจริงจังขนาดผมยังเคยโดนดุที่จำบล็อกกิ้งตัวเองไม่ได้

“นี่ข้าวผัดหมูกระเทียมของมึง”

เหมือนทุกวันที่ทะเลจะซื้อข้าวมาฝากตะวัน คนรับกล่องข้าวยิ้มให้ก่อนจะถอดแว่นใส่กระเป๋าเสื้อนักศึกษาและเริ่มกินข้าว “แล้วข้าวของคิมอะ เราฝากทะเลซื้อแล้วหนิ” 

“อยู่ในถุงรวมกับของคนอื่นอะ ข้าวผัดหมูไม่ผัก” ทะเลที่นั่งลงข้างตะวันพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะยกน้ำเปล่าขึ้นจิบโดยไม่ได้ใส่ใจที่จะตอบสักเท่าไหร่

“ขอบคุณครับ” ผมทำได้แค่ตอบรับไป แล้วลุกเดินไปหยิบกล่องข้าวของตัวเองที่รวมอยู่ในถุงขนมและของกินเล่น แต่ว่ามันกลับเป็นข้าวที่บรรจุในกล่องทัปเปอร์แวร์อย่างดี ยังรู้สึกอุ่นอยู่ แถมยังอยู่ในถุงเก็บความร้อนอีกด้วย

‘อย่าเขี่ยแครอทออก แค่ชิ้นเล็ก ๆ เคี้ยวรวมกันไป คงไม่มีรสชาติอะไร’

ลายมือที่ผมคุ้นตาอย่างดี แม้จะเห็นล่าสุดก็ตอนม.6 ท่าทางที่เหมือนไม่แคร์ และไม่ได้สนใจผมขนาดนั้นก็พอจะมองออกว่าเพราะอะไร มีรุ่นพี่จับกลุ่มห่างออกไปมองมาทางนี้ด้วยสายตาที่ไม่ได้ยินดีที่ทะเลโผล่มาที่นี่บ่อย ๆ เขาเลยไม่พยายามตีสนิทกับใครนอกจากเพื่อนของตัวเอง

[Sea : อร่อยมากเลย ทำเองหรอ]

[Summer : อร่อยก็กินให้หมด]

[Sea : เห็นหรือเปล่าว่ายิ้มอยู่]

[Summer : ไม่ได้ตาบอด]

[Sea : อิอิ]
[Sea : ขอบคุณนะ พรุ่งนี้ขอเป็นกะเพราไข่ดาวสุกได้ป่าว]

[Summer : ได้คืบเอาศอก]


คนปากหนักเสมองมาทางผมก่อนจะยกคิ้วให้ทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปคุยกับตะวันต่อ นี่เหมือนแอบเล่นชู้ยังไงพิกลแฮะ ทั้งที่หลายคนก็รู้ว่าผมและทะเลรู้จักกันมาก่อนแต่กลับไม่คิดว่าเราสนิทกัน และจุดประสงค์ที่ทะเลมาที่นี่ไม่ใช่เพราะมาในนามของกรรมการตัดสินดาวเดือน

แต่มาคุมความประพฤติผมต่างหาก

ใช่ ผมและทะเลตีกันไปรอบหนึ่งเพราะทะเลไม่อยากให้เข้าประกวดดาวเดือนอะไรนี่ ทั้งที่เจ้าตัวก็รู้ว่าผมได้รับคัดเลือกตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอม ทะเลก็คือทะเลถ้าจะรั้นก็คือไม่ฟังอะไรทั้งนั้น อีกฝ่ายให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เข้ามาเจอความวุ่นวายของเบื้องหลังการประกวด ผมเลยพลั้งปากพูดเรื่องที่เขามีปัญหากับรุ่นพี่ในกองประกวด กลายเป็นโดนทะเลทั้งซักทั้งฟอกว่าไปรู้มาจากไหน ก็เลยบอกชื่อแหล่งข่าวไปจนได้ ซอรี่นะมิวเพื่อนรัก

พอทะเลรู้ว่าผมรู้ เจ้าตัวก็เลยเล่าเหตุการณ์หลายอย่างที่เจอมาตลอดให้ฟัง และมันแย่กว่าที่มิวรู้มาก ๆ  ไม่ใช่แค่รุ่นพี่พวกนี้มีอิทธิพลแค่ในกองประกวด แต่แผ่อำนาจไปถึงอาจารย์ และศิษย์เก่าอีกหลายคน เพราะหนึ่งในนั้นมีลูกชายนักการเมืองอยู่ด้วย บ้าอำนาจเหมือนลุงข้างบ้านชะมัด ทะเลบอกว่าไม่รู้ว่าเพราะคะแนนสอบของทะเลมันสูงจนอีกคนไม่ติดฝุ่น หรือวันปฐมนิเทศที่พ่อตัวเองมาฟังแล้วทะเลเป็นคนได้เป็นตัวแทนนักศึกษาหรือเปล่า

คงรู้สึกเสียหน้า มีปมด้อยทะเลบอกแบบนั้น เขาเลยไม่ค่อยสนใจ ให้ผมเดาที่บอกจะมาคุมความประพฤติ ก็เพราะกลัวว่าผมจะโดนแกงค์ลูกนักการเมืองเพ่งเล็งมากกว่า เลยตามมาดูทุกวัน อีกฝ่ายคงสืบไม่ยากหรอกว่าผมและทะเลเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าสืบไปถึงไหน ทะเลคงกำลังหยั่งเชิงกลัวฝ่ายนั้นคงพุ่งเป้ามาที่ผมแทน

เอาจริงผมไม่กลัวเท่าไหร่หรอก และจริง ๆ ทะเลก็ไม่ค่อยสนใจ คงแค่อยากมีชีวิตสงบ ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยมากกว่า

[Summer : เดี๋ยวรอที่รถนะ เสร็จแล้วไลน์มาบอก]

ทะเลทำผมเคยตัว หลายอาทิตย์มานี้เขาเทียวไปรับไปส่งใช้ข้ออ้างสารพัดบอกเดี๋ยวผมขับรถไปชนใคร อาจจะมีใครซวยบนท้องถนนเพราะผม หรือตัวเองอาจจะเดี้ยงไปตลอดจากหลับใน

แค่คำพูดง่าย ๆ อย่างเป็นห่วงไม่ยักจะหลุดจากปาก

ผมว่าผมเห็นอะไรที่มันชัดเจนมากขึ้นแล้วแหละ แม้ทะเลจะไม่เคยพูดหรือตกลงอะไร แต่สิ่งที่เขาทำทุกวันก็ยืนยันได้ว่าเขาก็ยินดีที่จะรับผมเข้ามาให้ชีวิตอีกครั้ง การเทคแคร์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือทำอะไรที่เพื่อนไม่ทำให้กันก็การันตีได้ระดับหนึ่งว่าผมไม่ได้พยายามจีบเขาอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายเขาก็มีฟีดแบ็คเป็นการกระทำที่ดีตอบแทนเหมือนกัน

“วันนี้กวินมันมาที่กองกูไม่ไว้ใจ”

“ก็เห็นเขามาปกติหนิ เขาก็เป็นกรรมการเหมือนทะเลไม่ใช่หรอ”

ผมกลับบ้านดึก ๆ หลายวันติด แถมกลับไปยังต้องปั่นการบ้านต่ออีกกว่าจะได้นอนก็ตีสองตีสามตลอด เหตุนี้แหละสารถีเขาเลยขัดขาเวลาที่ผมปฏิเสธที่จะให้เขาไปรับไปส่ง เอาจริงตัวเองก็ไม่มั่นใจอย่างที่พูดหรอก แค่ขึ้นรถเจอแอร์เย็น ๆ ก็จะวูบแล้ว

“ก็ใช่ แต่วันนี้มันมองมึงตลอด”

“โอ้...หรอ รู้ได้ไงอะ” ผมทำตาโตใส่เขา

“ก็เห็น”

“ไม่ใช่ก็มองเราเหมือนกันหรอ”

“...” ทะเลที่กำลังดึงสายเบลท์มาคาด ถึงกับชะงัก แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรตามเคย

“นี่ทะเล”

“อะไรอีก พูดไปหาวไปไม่ปิดปากอีกแล้วนะ น่าเกลีดจริง ๆ”

“ก็คนมันง่วงอะ อย่าเพิ่งขัดสิ”

“แล้วรั้นจะขับรถเอง ไม่เจียมเลย” ทะเลยื่นมือมาผลักหัวผมเบา ๆ ก็เลยได้ทีคว้ามือใหญ่มาจับไว้

“สรุปตอนนี้เราจีบทะเล หรือว่าทะเลจีบเรา”

“ต้องเป็นมึงอยู่แล้วป่ะ กูจะไปจีบอะไรมึงยังไม่ได้ทำอะไรเลย”


“ก็ที่ไปรับไปส่ง ซื้อข้าวมาให้ ทำของอร่อย ๆ มาให้กิน แถมยังมาเฝ้ากลัวใครมาจีบอีก” มือใหญ่ไม่ได้ปัดป่ายที่ผมรวมมือเขามากุมไว้ และเท่าที่สังเกตทะเลจะไม่แตะต้องตัวผมเลยถ้าผมไม่เริ่มก่อน

“น้อย ๆ หน่อยคิมหันต์ ใครมาเฝ้าไม่ทราบ” สารถีเสหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถแก้เก้อเขิน เขาแอบยิ้ม เห็นเพราะกระจกฟิล์มดำสนิทมันสะท้อนในความมืด

ผมสอดนิ้วเข้าไปประสานกับนิ้วเรียวยาว และอีกฝ่ายก็รวบนิ้วเข้ามาจนกลายเป็นเราประสานมือกัน “ก็ทะเลไงมาเฝ้าทุกวันเลย อ้างว่ากลัวกวินมาหาเรื่องบ้าง อ้างว่ากลัวรุ่นพี่จะแกล้งบ้าง ทั้งที่มาก็มานั่งดูเฉย ๆ ไม่เห็นจะได้คุยกัน แถมไม่เห็นทะเลมีหน้าที่ทำอะไรเลย อ้างเก่งอ้างไปเรื่อย”

“มาหาตะวันไง”


“...”

“...”

“อ่อ หรอ เราเข้าใจผิดเองหรอ อื้ม ๆ”

พยายามจะแกะมือที่กอบกุมกันอยู่ออก แต่เจ้าของมือใหญ่ดันบีบมันแน่นเข้าไปอีก เหงื่อเริ่มชื้นขึ้นที่ฝ่ามือของเราทั้งคู่ “เก่งจังบั่นทอนความรู้สึกคนอื่นเนี่ย”

“...”

“ทำไมตอนนั้นถึงได้ให้กำลังใจเราเก่งจัง แต่ตอนนี้เหมือนคนละกัน หรือจริง ๆ ตอนนั้นแค่สับสนกันแน่” ผมยังไม่ละความพยายามจะแกะมือใหญ่ที่เริ่มบีบแรงจนรู้สึกเจ็บออกจากการเกาะกุม

“เฮ้ มันไม่ใช่แบบนั้น นี่กำลังจะทะเลาะกันหรือเปล่า”

“แล้วใครเป็นคนเริ่ม”

“โอเค ๆ ขอโทษที่พูดเรื่องตะวัน”

“ไม่ต้องพูดชื่อได้ป่ะ”

“ไม่ชอบตะวันหรือไง”

“ก็ไม่ชอบตั้งแต่รู้ว่าตะวันชอบเธอนั่นแหละ”

“แต่…”

“แต่ก็ยังทำตัวปกติได้ ก็เรื่องที่เขาเป็นพี่เลี้ยงที่ดีมันคนละเรื่องกับที่ตะวันชอบเธอหนิ แค่ไม่มั่นใจว่าทะเลรู้สึกกับตะวันแบบไหนพอได้ยินแบบนี้ก็เริ่มคิดแล้วว่าจริง ๆ เราอาจจะเข้ามาไม่ถูกเวลาอีกแล้วก็ได้” ผมล้มเลิกการแกะมือตัวเองออกจากมือใหญ่ เลือกจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แทน

จังหวะพอดีกับไฟแดงแยกสุดท้ายก่อนจะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านของผม ทะเลเลยได้โอกาส 60 วินาทีใช้มืออีกข้างที่เคยจับพวงมาลัยมาจับมือผมที่พยายามจะแกะมือเขาออก

“ฟังก่อน”

“...”

“ตอนนั้นสาบานสิว่าไม่รู้ว่ากูรู้สึกยังไง ถ้าไม่รู้ทำไมตัวเองต้องเสียใจ ทำไมต้องพยายามที่จะกลับมา ก็เพราะแน่ใจไม่ใช่หรอว่ารู้สึกแบบเดียวกัน” ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา ตาคมกำลังสะกดให้ผู้ฟังคล้อยตามอย่างง่ายดาย

“กูไม่ได้สับสนในตัวเองที่จะยอมรับว่าตัวเองชอบผู้ชายไม่ได้ ยอมรับได้ตั้งแต่เห็นมึงในวิดีโอที่เรียนพิเศษแล้ว ส่วนเรื่องตะวันกูไม่เคยคิดอะไรกับเขา”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าตะวันคิด”

“รู้ แต่เขาไม่เคยล้ำเส้น และตะวันก็เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด กูเข้าใจดีความผิดหวังที่ถูกปฏิเสธมันเป็นยังไง กูยังทำไม่ลง”

ผมทำได้แค่ยู่ปากให้เขาไปทีกับความงี่เง่าที่ประเดประดังเข้ามา ราวกับเด็กมอต้นใส่ชุดคอซองที่อินเพลงขนมจีนยังไงอย่างงั้น ทะเลหันไปขับรถต่อทั้งที่ยังไม่ได้ปล่อยมืออีกข้างออกจากมือผม เขาถอนหายใจออกมาแรง ๆ เพราะต้องพูดประโยคยาว ๆ ทั้งที่ไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่

“เข้าใจมั้ยเนี่ย”

“เข้าใจ”

“เข้าใจว่า”

“เข้าใจว่าทะเลก็คิดเหมือนกัน”

“ตอนนั้น”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“ใกล้แล้ว”

สารถีหันมามองผมด้วยแววตาที่อ่อนโยน เป็นครั้งแรกที่เขาเผยความรู้สึกผ่านดวงตาคมคู่นี้ตั้งแต่กลับมาเจอกัน ความเรียบเฉยคือความปกติที่เขาแสดงออกเสมอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่เขาใช้สายตาแบบนี้มองกัน

จุ๊บ

“ขอบคุณนะ”

ผมยกหลังมือของทะเลขึ้นมาจุ๊บเบา ๆ เขาดูตกใจที่ผมทำแบบนั้น แต่ไม่ยักจะพูดอะไรเลยนอกจากยกยิ้มมุกปากเหมือนที่ชอบทำเวลาผมทำอะไรตลก ๆ รถหรูเลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่ช่วงนี้ชักจะมาบ่อยจนยามไม่สอบถามอะไร เปิดประตูให้เข้าอย่างง่ายดาย ถ้าแฝงตัวเป็นโจรก็โดนยกเค้าทั้งหมู่บ้านแน่ ไว้ใจคนหล่อเก่งมากยามหมู่บ้านนี้

“ไม่ต้องมามองกันแบบนั้น”

“แบบไหน”

“สายตาสาวน้อยในการ์ตูนเล่มสามห้าบาท”

“งั้นก็รู้สึกว่าเป็นสายตาตกหลุมรัก”

ทะเลถึงกับถอนหายใจออกมายาว ๆ แล้วปลดล็อครถเพื่อเป็นสัญญะว่าผมควรลงจากรถเข้าบ้านได้แล้ว แต่มือผมยังไม่ยอมปล่อยมือเขาเลยน่ะสิ “ใจเต้นหรือเปล่า”

เขาเลิกคิ้วถามว่าแปลได้ว่าใจเต้นอะไร

“ตอนที่จุ๊บ”

“หึ ไม่อะ เฉย ๆ”

“แต่ทะเลยิ้ม”

“ถ้าจุ๊บที่อื่นอาจจะเต้นกว่านี้”

“หรอ ๆ ที่ไหนดีน้าคราวหน้า” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เขา ทำหน้ายียวนกวนประสาทแบบที่ชอบทำตอนล้อว่าเขาหน้าตาย

“อย่ามาแก่แดดแก่ลม ลงไปได้แล้วจะกลับไปนอน” เจ้าของเสียงทุ้มแกะมือตัวเองออกแล้วขยี้ผมก่อนจะผลักเบา ๆ แถมยังใจดีเอื้อมมือมาเปิดประตูให้อีก

ใจดีหรืออ่อยกันแน่ หน้าเขาห่างจากปลายจมูกผมไม่ถึงคืบ กลิ่น Chanel Bleu De ลอยเข้าจมูกอย่างจัง แค่นี้ก็ใจเต้นจนจะทะลุจากอกอยู่แล้ว หัวหน้าไอ้นี่มันร้ายนะคะ!

“ไปก็ได้ ขอบคุณนะที่มาส่ง พรุ่งนี้มารับด้วยตามตารางเรียน”

“พรุ่งนี้มึงเรียนบ่ายไม่ใช่หรอ ไปเองนะ เดี๋ยวเย็นว่ากันอีกที”

“ทะเลเรียนเช้านี่นา ว้าาาา กำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะมอร์นิ่งคิสซะหน่อย”

“เพ้อเจ้อ”

“เขินหรอคะ ว้าย ๆ ๆ ๆ”

ทะเลปิดประตูใส่ผมเต็มแรง ก่อนจะเหยียบคันเร่งกลับรถแล้วออกจากหน้าบ้านไป อาการของคนเขินก็จะเป็นแบบนี้ล่ะครับ ไม่ค่อยยอมรับหรอกแต่แสดงออกชัดมาก น่ารักเป็นบ้า แต่เดี๋ยวนะ นี่เราแรดขึ้นหรือเปล่า แค่จีบผู้ชายคนเดียวเองทำไมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้

แล้วกลิ่นน้ำหอมนี่มันตีรวนในโสตประสาทได้นานขนาดที่หน้ายังร้อนอยู่เลย
เพราะกลิ่น Chanel หรือเพราะทะเลกันแน่










มีต่อ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
และแล้ววันซ้อมใหญ่ก็มาถึง หอประชุมประจำวิทยาลัยเป็นสถานที่ในการในการจัดกิจกรรมสำคัญในวันพรุ่งนี้ รอบบริเวณมีทีมงานหลายฝ่ายทั้งทีมนักศึกษา และทีมออกาไนเซอร์ที่มหาวิทยาลัยจ้างมาเพื่ออำนวยความเป็นระเบียบเรียบร้อยของงาน แม้ขณะนี้จะล่วงเข้าวันใหม่อยู่แล้วแต่ก็ยังมีทีมงานกระจัดกระจายเต็มบริเวร

“น้อง ๆ คะพี่รู้ว่าทุกคนเหนื่อย แต่พี่ขออีกรอบเดียว ยังมีบางคนจำคิวตัวเองไม่ได้ ก้าวขาผิด เต้นผิด ถ้าหนูผิดอยู่แบบนี้เพื่อน ๆ ก็ต้องซ้อมใหม่กับหนูอีกรอบนะลูก และสิ่งที่เราทำกันมาทั้งหมดก็จบเลยนะคะ” พี่จุ๊บแจงพูดใส่ไมค์ลอยที่ถือในมือ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที ทุกคนทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ไม่มีใครอยากซ้อมอีกแล้ว แต่ถ้ามันยังไม่ดีมันก็ไม่ควรถุกปล่อยผ่านอย่างที่พี่จุ๊บแจงบอกจริง ๆ

“พักสิบนาทีนะคะ เดี๋ยวกลับมาซ้อมรอบสุดท้ายค่ะ ฮึบหน่อยนะคะทุกโค้นนนนน” บรรยากาศก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้งจากคนเดิมเช่นกัน ผมว่าคนที่เหนื่อยกว่าพวกผมน่าจะเป็นพี่ ๆ ที่ที่มาดูแลมากกว่า หลายคนเริ่มเรียนหนักและมีสอบย่อยบ้างแล้ว ผมเห็นหลายคนเอาการบ้านมาทำตอนซ้อมบ่อย ๆ ใจเขาใจเรา พี่ ๆ ทุ่มเทขนาดนี้ผมและเพื่อน ๆ ก็ควรทุ่มเทเหมือนกันก็ถูกต้องแล้ว

“เหนื่อยมั้ยคิม”

“ไม่เท่าไหร่ครับ ชินแล้วแหละ” ตะวันเดินเข้ามาถามตามประสาพี่เลี้ยง ส่วนพี่มายด์ก็รับหน้าที่ดูแลปลายฝนดาวเคืองบ่าเคียงไหล่เดือนอย่างผม ปลายดูจะเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดจากอาการไม่สบายมาหลายวัน แต่เธอก็ไม่ยอมหยุดซ้อม เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย

“ปลายโอเคมั้ย หน้าซีดมากเลย”

“เราโอเค แค่เหนื่อยนิดหน่อย” สาวเจ้าของผมสำดำขลับตอบด้วยเสียงแหบแห้ง และรอยยิ้มสุดฝืน “แค่คิมไม่แย่งเรากินของเบรกก็น่าจะดีขึ้นนะ”

“เห้ย เรากินเยอะขนาดนั้นเลยหรอ”

“ล้อเล่นน่า” ปลายฝนยิ้มตาหยีทั้งที่ใบหน้าเหนื่อยจนปิดไม่มิด

“เดี๋ยวขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ จะรีบกลับมา” ผมเดินเลี่ยงออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำที่อยู่นอกห้องประชุม ทางเดินมีสิ่งของวางระเระระกะจากการงานช่างไฟ และพร๊อพทำเวที รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ต้องทำการติดตั้ง ทำให้ผมต้องเดินอ้อมมาในจุดที่ไม่มีไฟส่องถึง ขณะที่สายตากำลังปรับกับระดับความมืดเฉียบพลันที่เจอ จู่ ๆ ก็ถูกดึงแขนอย่างแรง

“เห้ย!!”

“...” ผมมองไม่เห็นว่าใครเป็นคนมาดึงแขนผม รู้แค่เป็นผู้ชายจากแรงกำที่ข้อมือ

“เดี๋ยวดิ ใครอะ!! จะไปไหน!” ผมพูดดังแต่คงไม่ไม่ใครได้ยินเสียงโวยวาย เพราะข้างในหอประชุมกำลังซาวด์เช็กพอดิบพอดี อย่างกับคนตรงหน้ารู้อย่างนั้น

แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านทำให้ผมพอจะมองเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายตัวค่อนข้างใหญ่ สวมเสื้อนักศึกษา และผมสีอ่อน

“กวิน! ใช่หรือเปล่า เห้ย ปล่อยนะเว้ยทำอะไรวะ!!”

อีกฝ่ายหยุดเดินเพราะผมเริ่มขัดขืนรุนแรง แม้ผมจะไม่ได้รูปร่างใหญ่ใกล้เคียงเขาเลย แต่ส่วนสูงเราไม่ได้ต่างกันมากทำให้ใบหน้าที่คุ้นตาปรากฏต่อสายตาแม้แสงจะเลือนลางก็จดจำดวงตาที่ไร้ความเป็นมิตร เย่อหยิ่ง และแข็งกร้าวได้ดี

กวินในเงามืดยิ่งดูน่ากลัวกว่าตอนปกติ อารมณ์ที่ปะทุออกมารอบตัวเขามันแผ่กระจายออกมาจนรู้สึกกลัว มือใหญ่อีกข้างบีบแก้มของผมจนเจ็บไปหมด “ต้องการอะไร เจ็บนะเว้ย!”

“มึงกับทะเลเป็นอะไรกัน”

“มันไม่ใช่เรื่องของมึง!” แม้ความกลัวจะเข้าครอบงำจิตใจของผมทุกที แต่ยิ่งเขารู้ว่าผมกลัว เขาก็จะยิ่งทำมากขึ้น เขาไม่กล้าทำอะไรมากที่นี่ไม่ใช่ที่ลับสายตาคนขนาดนั้น

“อย่าปากดี! มึงรู้ใช่มั้ยว่าที่นี่ใครก็ไม่มีสิทธิ์เป็นเพื่อนกับไอ้เหี้ยทะเล ถ้ากูไม่อนุญาต!!”

“มึงมันประสาท อยากทำเหี้ยอะไรก็ทำไปเถอะ กูไม่กลัวมึงหรอก!” กวินบีบแก้มผมแรงขึ้น มันรู้สึกเจ็บจนน้ำตาจะไหล มือใหญ่อีกข้างของเขาก็บีบข้อมือผมแน่นจนแสบไปหมด กวินต้องมีอาการทางจิตแน่ ๆ แต่ทำไมต้องเคียดแค้นทะเลขนาดนี้ด้วย

“ดี...ดี กูชอบกล้าแบบนี้ กูบอกมึงดี ๆ แล้วนะ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่ากูทำอะไรได้บ้าง”

“...”

“ถ้ายังอยากเรียนที่ก็เลิกยุ่งกับมันซะ!!”

พรึ่บ!

แสงไฟตรงทางเดินสว่างขึ้น เดาว่าเมื่อครู่ทีมช่างกำลังเช็กไฟอยู่ กวินอาศัยจังหวะนี้ผละตัวออกและเดินเลี่ยงไปอย่างรวดเร็ว ทีมงานช่างไฟสองสามคนเดินเข้ามาหาผมที่ทรุดลงกับพื้นและหายใจหอบรุนแรง

“น้องเป็นอะไรทำไมมานั่งมืด ๆ” พี่ผู้ชายผิวแทนสำเนียงทองแดงถามผมขึ้น

“จะเป็นลมบ่ครับ มาอ้ายซอยหล้า” พี่ทีมงานอีกคนที่พูดภาษาอีสานช่วยพยังผมให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาไปนั่งที่ริมระเบียง “เหงื่อออกเต็มเลย บักบู ๆ มึงหาหยังมาพัดให้น้องเขาแน ไปนำนักศึกษาข้างในมานำเด้อ บอกว่ามีคนเป็นลม”

“พี่ ๆ ไม่ต้องครับ ผมไม่เป็นไรมาก ขอนั่งพักแป๊บเดียว”

“แต่หน้าน้องซีดมากเลยนะ ไหวแน่หรอ” พี่สำเนียงทองแดงคนเดิมถามขึ้น ผมได้แค่พยักหน้าแล้วหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะยืนขึ้นและยกมือไหว้พวกพี่เขา แล้วเดินกลับไปในหอประชุมราวกับก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกินขึ้น

ผมว่าเรื่องนี้มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าเด็กขี้อิจฉาคนหนึ่ง กวินดูแค้นทะเลจนน่ากลัว เมื่อครู่หากไฟไม่เปิดเขาอาจจะทำร้ายร่างกายผมมากกว่านี้ก็ได้ แววตาเขาดูไม่ปกติเลยสักนิดเดียว ต้องแน่ใจก่อนที่จะบอกทะเล ผมไม่อยากให้ทะเลเป็นเป้านิ่งให้เขาเล่นงานอีก





เลิกซ้อมประมาณตีหนึ่งสิบห้า หลังจากที่พวกพี่ ๆ เขาประเมินว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี มีนัดแนะเวลาและสถานที่สำหรับวันพรุ่งนี้อีกนิดหน่อย ผมเดินมาส่งปลายฝนที่รถของคุณแม่ที่มารอรับ เจ้าตัวดูอิดโรยพอสมควร ได้แต่ถามย้ำว่าไหวหรือเปล่า อีกฝ่ายที่ใจสู้เหลือเกินย้ำกลับมาตลอดว่าโอเคมาก ๆ ผมนี่สิตอบคำถามปลายไม่ได้ว่าทำไมแก้มแดงเป็นปื้ดขนาดนี้ ได้แต่เลี่ยงบาลีว่าแพ้ฝุ่น ทั้งที่มันเริ่มเห็นรอยช้ำชัดเจน

บรื้นนน บรื้นนน

“คิม!! ระวัง!!”

ผมส่งปลายฝนขึ้นรถแล้วกำลังจะเดินไปที่ลานจอดรถ ทะเลไลน์มาบอกว่ารออยู่ในรถแล้ว แต่ก็มีมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันหนึ่งขับตรงมาทางผมความเร็วสูง ด้วยความตกใจทำให้ผมรีบก้าวเท้าขึ้นมาบนฟุตบาธ ตัวหลบรถได้แต่ขาซ้ายดันไม่พ้นโดนช่วงตัวของรถและความเร็วเฉี่ยวไปเต็ม ๆ

“โอ้ยย”

“คิม!! เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมขับรถแบบนี้นะ!!”

“ม้า คิมเลือดออก พาไปโรงพยาบาลเถอะ”

“มาเร็วลูกขึ้นรถ ไหวหรือเปล่า อะไรกันเนี่ยทำไมดึกดื่นบบนี้ถึงขับรถเร็วจังเลย!” แม่ของปลายฝนรีบวิ่งมาช่วยพยุงผม ตอนนี้เหมือนขาที่โดนเฉี่ยวไม่รู้สึกอะไรเลย

“ลูกจำทะเบียนรถได้หรือเปล่า”

“เหมือนไม่ได้ติดทะเบียนนะคะ จงใจชัด ๆ!”

สองแม่ลูกพยายามพยุงผมขึ้นจากฟุตบาธ แต่ความเจ็บก็แล่นแปล๊บขึ้นมาบริเวณหัวเข่าเลย “โอ๊ะ จะ เจ็บครับ เจ็บมากเลย ผมว่าผมเดินไปที่รถไม่ไหวแน่เลย มันเจ็บมากครับ”

“งั้นเดี๋ยวม้าไปถอยรถมารับนะคะ น้องคิมอยู่นิ่ง ๆ นะลูก” คุณแม่ที่ดูตกใจพยายามจะช่วยเหลือทุกอย่าง แต่เธอก็คงไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ซึ่งหน้า ผมจะไม่มีวันลืมความใจดีของปลายฝนและแม่ของเธอเลย

“ม้า หรือว่าเราควรโทร 1669 ดีคะ อาจจะต้องปฐมพยาบาล ไม่รู้ว่าคิมขาหักหรือเปล่า”

“เอางั้นหรอคะ งั้นเดี๋ยวม้าโทรเลยดีกว่า”

“อย่าเพิ่งครับ! ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวผมโทรให้เพื่อนมาช่วย เพื่อนผมพอรู้วิธี”







“ไม่ถึงกับหักนะครับ แค่มีรอยร้าวตรงช่วงหน้าขา ต้องขอบคุณคนปฐมพยาบาลนะ รู้วิธีที่ถูกต้องไม่งั้นอาจจะร้าวหนักกว่านี้ ส่วนอาการถลอกและฟกช้ำไม่น่าเป็นห่วง หมอจะให้ยาลดปวด และยาทา จะช่วยบรรเทาได้ ไม่เกินอาทิตย์น่าจะหาย ส่วนขาต้องดามเฝือกไปก่อนนะ”

“แล้วผมจะเดินได้มั้ยครับ”

“ลองดูสิ”

พอหมอพูดแบบนั้นก็เลยเอาเท้าเหยียบพื้น ปรากฏว่ามันเจ็บจี๊ดทั้งที่ยังไม่ได้ลงน้ำหนักเลยด้วยซ้ำ โอเคชัดเจนในคำตอบของคุณหมอ

“เจ็บใช่มั้ย นั่นเพราะอาการร้าวของกระดูกส่งผลต่อกล้ามเนื้อด้วย อาจจะต้องงดเดินในช่วงนี้ ถ้าพรุ่งนี้สะดวกหมอจะนัดให้ไปเจอหมอกายภาพ เขาจะสอนวิธีใช้ไม้เท้า การลงน้ำหนักว่าจะต้องพยุงตัวเองยังไงในระยะนี้ ถ้าเท้าอีกข้างไม่เจ็บหมอก็จะพอสาธิตให้ได้อยู่ แต่นิ้วก้อยคคนไข้เคล็ดด้วยอาจจะต้องไปเจอหมอกายภาพน่าจะดีกว่า”

“ครับ”

“มีเพื่อนมาใช่มั้ย เดี๋ยวหมอขอคุยกับเพื่อนด้วยสิ”

“พยาบาลครับตามญาติคนไข้ให้หน่อย ขอรถเข็นด้วยนะ”

พยาบาลเข็นรถเข็นพาผมออกมาที่หน้าห้องจ่ายยา ไม่ไกลจากห้องฉุกเฉินสักเท่าไหร่ คุณหมอคงอยากคุยเรื่องการดูแลคนขาเดี้ยงในช่วงนี้ล่ะมั้ง จากสีหน้าสุดเซ็งที่แสดงออกไป ก็คงเดาไม่ยากว่าความดื้อดันทุรังจะทำให้ผมเจ็บไม่หาย คงต้องอาศัยคนรอบข้างช่วยอีกแรง

“ไง เป๋ หงอยเป็นหมาป่วยเลยนะ” ทะเลใส่ชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นพร้อมนอน ซึ่งจริง ๆ เขาก็นอนไปแล้วจากที่รู้ แต่ตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อตื่นมารับผมกลับ แต่ต้องพามาส่งโรงพยาบาลแทน

“ขอบคุณนะทะเล ถ้าทะเลไม่อยู่ตรงนั้นเราอาจจะเจ็บกว่านี้ หมอบอกแล้วใช่มั้ยว่าคนปฐมพยาบาลเก่งมาก”

เขาพยักหน้ารับ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้ไม่ต้องตีความจากความหมายที่ส่งมาเลย มันชัดเจนซะจนอยากยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออกเลยปวดตัวไปหมด “หมอบอกว่าพรุ่งนี้มึงต้องมาหาหมอกายภาพ”

“ไม่ได้ดิ พรุ่งนี้มีประกวด”

“สภาพแบบนี้จะคิดว่าตัวเองจะไปไหวหรือไง ฝันเถอะว่ากูจะให้ไป”

“เห้ยทะเล ไม่ได้ดิ แล้วที่ซ้อมมาตลอดล่ะ สงสารพี่ ๆ เขา ปลายฝนอีก”

“ถ้าพวกมันเห็นสภาพมึงเป็นแบบนี้ แล้วยังให้ขึ้นเวที กูจะแจ้งจับพวกมันข้อหาใช้แรงงานคนป่วย”

ผมยิ้มกับความฉุนเฉียวของเขา “มีหรือไงข้อหานี้”

ทะเลจ้องเข้ามาที่ตาของผมก่อนจะยกมือจับเส้นผมที่ปรกหน้าออกให้ “แค่นี้กูก็เป็นห่วงมึงจะแย่อยู่แล้ว อย่าทำอะไรให้กูเป็นห่วงกว่านี้เลยนุ่มนิ่ม”

“นุ่มนิ่ม?”

“ใช่ ตอนนี้มึงสภาพเหมือนมาร์ชเมลโล่โง่ ๆ โดนย่างไฟ เหลวเป๋วไปหมด ไม่เหลือเค้าเดือนศิลกรรมเลยสักนิด” มือของทะเลลูบหัวผมเบา ๆ “กูไม่ชอบเห็นมึงเจ็บเลย กูเจ็บแทนได้คงดีกว่า”

ผมได้แต่ยู่ปากกับคำพูดของเขา ใจเต้นระส่ำ ดีใจที่เขาพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาบ้าง แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอายเล่นใหญ่อย่างที่เคยทำ ถ้าทะเลรู้ว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันมาจากใคร เขาจะรู้สึกผิดแค่ไหนที่ผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ คนอย่างทะเลคงเอาแต่โทษตัวเองที่เป็นสาเหตุ



เราออกจากโรงพยาบาลก็ตีสามครึ่งไปแล้ว อีกนิดก็ไปรอตักบาตรเช้าได้เลย ก่อนออกมามีเจ้าหน้าประกันภัยมาถามผมเรื่องการแจ้งความ แต่ผมปฏิเสธเพราะจำเลขทะเบียนคนขับไม่ได้ พี่เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเทคโนโลยีสมัยนี้ ผมได้แต่ส่ายหัวเพราะอยากให้มันเป็นอุบัติเหตุและคราวซวยของตัวเอง ทะเลมีท่าทีไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ทำไม่พามานี่อะ” ที่นี่ก็คือคอนโดสุดหรูหราหมาเห่าของคุณทะเลเขา ผมยังไม่เคยมาหรอกนะ ก็มีครั้งนั้นที่ทะเลทิ้งรถไว้ที่มอนั่นแหละผมก็เลยได้มารับตอนเช้า จากนั้นก็ไม่ได้ย่างกรายมาที่นี่อีกเลย

“คิดว่าถ้าพ่อแม่พี่สาวมึงเห็นลูกชายคนเดียวของบ้านสภาพนี้ในเวลาตีสามจะรู้สึกยังไง”

“ช็อกแน่” จินตนาการได้ไม่ยากเลย แค่ผมเหลาดินสอบาดมือพ่อยังเล่นใหญ่จะขับรถไปส่งโรงพยาบาล ที่สำคัญผมไม่เคยประสบอุบัติเหตุหนักหนาขนาดนี้มาก่อน

“เมสเสจไปบอกไว้ แล้วยังไงพรุ่งนี้หลังจากกลับโรงพยาบาลจะไปส่งบ้าน”

“อื้อ”

“อีกอย่างที่คอนโดมีระบบสำหรับรถเข็น น่าจะสะดวกเพราะมึงยังใช้ไม้เท้าไม่ได้”

“ขอบคุณนะ”

ร่างสูงพยักหน้ารับ เขาพยายามอุ้มผมลงจากเบาะที่นั่งข้างรถขับ โดยมีพี่ยามเข้าเวรมาช่วยจากการขอความช่วยเหลือของทะเล คำพูดติดปากของเขาตลอดไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาคือ เจ็บมั้ย ปวดแผลหรือเปล่า อดทนหน่อยนะ ใจมันฟูฟ่องขึ้นมาแม้จะรู้สึกผวาอยู่ก็ตาม

เจ้าบ้านขอบคุณพี่ยามก่อนจะเข็นรถเข็นมาที่ลิฟต์ ผมใช้มือสัมผัสกับมือที่จับแฮนด์รถเข็น อยากให้รู้ว่าอุ่นใจจริง ๆ ที่ตอนนี้มีเขาอยู่ตรงนี้ ทะเลเกี่ยวนิ้วชี้ของเขากับมือของผมไว้ เป็นภาษากายคล้ายจะบอกว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ไม่ต้องกลัว

ใช่ ผมกลัวมากเลย แม้จะแสดงออกว่าไม่เป็นอะไรแต่ในใจกลัวจนสั่นไปหมด

ทะเลรับรู้เสมอ
ทะเลโอบกอดในเวลาที่ยากลำบาก
ทะเลยังเป็นทะเลเหมือนที่ผ่านมา


ถ้าไม่มีทะเลฤดูร้อนจะสมบูรณ์ได้ยังไง
คิดไม่ออกเลย










#ฤดูร้อนของทะเล
-------------------------------------------


บอกแล้วว่าอ่านไปยิ้มไป55555555555555 มั้ยนะ
ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกไม่ต้องห่วง แต่ใจเต้นได้ ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
ทะเลซึนไม่ออกแล้วนะน้องนุ่มนิ่มเจ็บขนาดนี้
เดี๋ยวตอนนี้เสียอาการกว่านี้ เขินรอเรยยย


เจอกันตอนหน้าค่าาาา

เมนต์เป็นกำลังใจด้วยน้าาาา

@mifengbeexx

ออฟไลน์ lolli_candy99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เปนกำลังใจให้คนแต่งนะคะ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตอนที่ 14
ปกป้อง
[/size]



ทะเลพามาโรงพยาบาลตั้งแต่ 9 โมงเช้า ความทุลักทะเลขอการดูแลคนป่วยทำเอาคนตัวโตหาววอดหลายครั้ง กำลังจะใกล้สว่างจู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีไข้ วุ่นวายทะเลต้องมาเช็ดตัว หายาลดไข้ให้ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ได้นอน เขาเพิ่งหลับไปเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้าแต่ก็ต้องตื่นเพราะต้องพาผมมาหาหมอกายภาพ โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยมีคนไข้จำนวนมากและหมอเฉพาะทางก็เข้าเวรแค่เวลาทำการเท่านั้นเสียด้วย

“แม่บอกว่าจะมาหาที่นี่นะ” แม่ผมโทรมาหาตั้งแต่เช้า เลยต้องได้สารภาพว่าทำไมถึงไม่ได้กลับบ้าน ผมเป็นพวกโกหกไม่เก่งเลยโดยเฉพาะกับที่บ้าน คุณนายเลยจะมาหาที่นี่เพราะร้อนใจ ไม่อยากคิดสภาพเลยว่าถ้าพ่อแม่เห็นสภาพผมตอนนี้จะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยก็มีทะเลอยู่ด้วยก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง

“เดี๋ยวเจอหมอกายภาพแล้วจะย้ายโรงพยาบาลเลยนะ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ถ้าต้องมานั่งรอตรวจไข้มึงอีกครึ่งวันก็ไม่ได้พักผ่อนสักที หน้าซีดเป็นกระดาษแล้ว”

ทะเลนั่งกอดอกพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งอย่างที่ชอบทำ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ก็จริงของเขา มาโรงพยาบาลรัฐก็ต้องทำใจเรื่องเวลา

“คุณคิมหันต์ สหสวัสดิ์ค่ะ” พยาบาลเรียกให้ผมเข้าไปพบซะที

หมอกายภาพให้คำแนะนำวิธีการใช้ไม้ค้ำ และการลงน้ำหนัก รวมถึงแนะนำไม้ค้ำให้ด้วยว่าวัสดุแบบไหนดีกว่า เพราะอาจจะต้องใช้อุปกรณ์นี้อีกเป็นเดือน เลยเลือกอันที่เบาและปรับระดับได้ ทะเลดูจะตั้งใจฟังกว่าผมที่เป็นคนไข้เสียอีก เขาคอยถามคำถามต่าง ๆ ที่สงสัย และขอวิธีช่วยเหลือผมในช่วงนี้อย่างถูกต้อง ส่วนคนเจ็บอย่างผมคิดอะไรไม่ออกเลยเพราะปวดหัวไปหมด

“แม่ไลน์มาบอกว่าอยู่ตรงล็อบบี้ช่องจ่ายเงินอะ”

“โอเค”

ทะเลทำหน้าที่แทนบุรุษพยาบาลไปโดยปริยาย เพราะดูจากปริมาณคนไข้ถ้าทะเลไม่มาด้วยผมคงยังต้องนั่งรอบุรุษพยาบาลที่หน้าห้องกายภาพอยู่เลย อาการไม่สบายเริ่มจะทวีความรุนแรงขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะมาโรงพยาบาลด้วยหรือเปล่า ป่วยอยู่แล้วเลยรู้สึกป่วยกว่าเดิม

“แม่มึงต้องช็อกแน่ ๆ เดี้ยงไม่พอ ป่วยอีก” ทะเลยื่นมือมาอังหน้าผากก่อนจะพูดประโยคนี้ เขาเข็นรถมาถึงช่องจ่ายเงิน ผมก็มองเห็นผู้หญิงคุ้นตาไกล ๆ

“คิม! เจ็บมากหรือเปล่าลูก แม่ใจคอไม่ดีเลยที่เห็นข้อความเมื่อคืน มันน่าตีจริง ๆ ที่เป็นอะไรแล้วไม่รีบบอกกันแบบนี้ แล้วดูซิถลอกปอกเปิกไปหมด หมดกันที่แม่ถนุถนอมมา” แม่ผมพูดจนไม่มีเว้นจังหวะให้แทรกอธิบาย มือไม้ก็จับหน้าจับแขนผมดูร่องรอยของความสึกหรอ และเธอก็มีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นสิ พ่อเป็นห่วงมากเลยนะ แล้วดูเจ็บขนาดนี้ยังไม่มีรีบบอกอีก” พ่อยืนเท้าเอวหลังจากเห็นสภาพผม ท่านก็ดูเป็นกังวลไม่ต่างจากแม่สักเท่าไหร่

ตั้งแต่เด็กผมไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ทำแล้วเสี่ยงอัตราย เป็นเด็กผู้ชายที่ชอบเข้าห้องสมุดมากกว่าเตะบอล ชอบวาดรูปมากกว่าไปวิ่งแย่งลูกบาส ชอบเล่นหมากรุกมากกว่าไปร่วมวิ่งมาราธอนอะไรแบบนั้น ก็เลยไม่เคยบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุอะไรรุนแรงสักเท่าไหร่ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

“คิมไม่เป็นไรมาก ทะเลพามาหาหมอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อ้อ พ่อแม่ครับนี่ทะเล เพื่อนคิม”

ทะเลยกมือไหว้ทักทาย ก่อนจะยิ้มให้ “กระดูกร้าวอาจจะต้องใช้ไม้ค้ำไปก่อนนะครับช่วงนี้ แล้วก็ฟกช้ำนิดหน่อย หมอบอกอีกไม่กี่วันน่าจะหาย แต่ขาต้องใส่เฝือกไปก่อนครับ”

“ขอบใจมากนะลูกที่เป็นธุระให้” ก่อนแม่จะพูดมีการมองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากให้อีกด้วย ก็เพราะรู้น่ะสิว่าทะเลคือคนที่ผมเล่าให้ฟังตลอด แม่นะแม่ เวลาแบบนี้ยังจะมาล้อกัน

“คิมจำทะเบียนรถที่ชนได้หรือเปล่า พ่อว่าเราต้องแจ้งความนะ ขนาดในมหาวิทยาลัยยังกล้าขับรถแบบนี้ แถมไม่มารับผิดชอบอะไรอีก” พ่อขมวดคิ้ว ดูจะหัวเสียจริง ๆ ไม่มีลุคพ่อสายตลกเลย

“ไม่ครับจำไม่ได้เลย มันมืดมากด้วยตรงนั้น ฟาดเคราะห์ไปดีกว่านะพ่อ คิมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่” ผมรีบเอ่ยปากห้าม เพราะยังไม่อยากให้ทะเลรู้ว่าจริง ๆ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจากใคร ผมอยากรู้ก่อนว่าที่กวินดูแค้นทะเลขนาดนี้เป็นเพราะอะไร ถ้ารีบทำให้พวกนั้นรู้ตัวไม่รู้ว่ามันจะหาเรื่องเล่นงานทะเลอีกคนหรือเปล่า

“เฮ้อ จริง ๆ เลยนะ ดื้อมาก ดื้อมาก ๆ เหมือนแม่ไม่มีผิดเลย พ่อเจ็บหัว”

“อ้าวโยนมาหาแม่ทำไมล่ะคะ ไปเลยไปจ่ายค่ายาให้ลูกค่ะ” ผมส่ายหัวให้กับเหตุการณ์ตรงหน้า พ่อแม่มาเถียงกันต่อหน้าทะเลเฉยเลย

“เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาหมอก่อนไปส่งบ้าน บอกพ่อกับแม่ด้วย” ทะเลก้มลงกระซิบ

“อ้าวแล้วทำไมทะเลไม่บอกเอง”

“ไม่กล้า”

“โถ่ คุณทะเล ทีกับเรื่องอื่นไม่เห็นจะกลัวเลย ก็แค่บอกพ่อแม่เราว่าจะพาลูกชายคนเดียวไปหาหมอทำไมป๊อด”

“อย่าปากดี”

ผมยกไหล่ใส่เขาไปที ก่อนจะบอกพวกท่านหลังจากที่พ่อเดินกลับมาจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายอาจจะเพราะบาดแผล ทะเลเลยจะอาสาไปส่งหาหมออีกที่เพราะไม่อยากรอคิวนาน ซึ่งพ่อแม่ก็คัดค้านว่าท่านพาไปเองได้เกรงใจมากแล้ว ทะเลก็สามารถอ้างเหตุผลหมื่นพันอย่างมาต่อรองจนพ่อกับแม่ยอม แล้วขับรถกลับไปรอที่บ้านแทน

ใครที่บอกไม่อยากคุยกับพ่อแม่เองวะ งงนะ

หมดเวลาไปกับการเทียวไปเทียวมาโรงพยาบาลอยู่ค่อนวัน แต่ก็ไม่ยักจะได้ยินคนข้าง ๆ บ่นอะไร นอกจากตำหนิระบบการบริหารโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน จนบานปลายไปเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งผมก็ทำได้แค่ฟังเฉย ๆ เวลาทะเลพูดอะไรแบบนี้แล้วน่าฟังชะมัด ยิ่งพอเขาเรียนบริหารมันทำให้หลักการที่มาซัพพอร์ตความคิดของเขาแน่นไปอีก ทำไมเท่ไปหมดเนี่ย

“ได้ไปส่งมึงที่บ้านซะที อยากแวะกินอะไรก่อนหรือเปล่า จะเที่ยงแล้ว”

“ไม่อยากกินอะไรเลย กลับบ้านเถอะ” สารถีพยักหน้าก่อนจะออกรถไปตามเส้นทาง ผมที่เพลียเหลือเกินตั้งท่าว่าจะงีบสักหน่อยแต่แล้วมือถือก็สั่นในกระเป๋ากางเกง

ครืดดด ครืดดด

“ฮัลโหลปลาย อื้อ เราไปไม่ไหวแน่เลย เป็นไข้ด้วยอะ อ้าว! จริงหรอ เป็นอะไรมากมั้ย แอดมิทเลยหรอ แย่จังเลยนะ นี่เราจะบอกพี่ตะวันกับพี่มายด์ยังไงดี ไหนจะพี่ที่คณะอีกอะ ป่านนี้คงตามตัวพวกเราให้วุ่นแล้ว อื้อ โทรมาสิบสายได้แล้วอะ ปลายพักผ่อนนะ เดี๋ยวเราจะบอกพี่เขาเอง อื้อ หายไว ๆ นะ บาย”

“...”

“ทะเล~”

“ว่า”

“แย่แน่เลย ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้พร้อมกันด้วย” ผมหลับตาพึมพำกับสิ่งที่ได้ยิน ประเดประดังเหมือนภูเขาไฟระเบิดลงตรงหน้า

“เรื่องอะไร”

“ปลายเป็นไข้หวัดใหญ่ ตอนนี้แอดมิทอยู่โรงพยาบาล จะทำไงดีอะ พี่ที่กองประกวดต้องหัวหมุนอยู่แน่ ๆ เลย”

“ก็ดีแล้ว ดีกว่าให้ปลายขึ้นเวทีคนเดียวไม่ใช่หรือไง” ทะเลพูดออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนที่อย่างยังอยู่ในคอนโทรล ทั้งที่ผมประสาทจะแดกอยู่แดกอยู่แล้ว

“แต่…”

“ถ้าปลายไปได้พวกนั้นต้องให้ปลายขึ้นเวทีคนเดียวแน่ ๆ ปีที่แล้วมันเคยเกิดขึ้น มึงคิดภาพออกมั้ยว่ามันแย่ขนาดไหน เอาสปิริตมาอ้าง ทั้งที่ไม่ได้เห็นใจน้องที่ต้องขึ้นเวทีอย่างโดดเดี่ยว” ทะเลพูดเสียงดังขึ้น คงฝังใจเขาพอสมควร

“แล้วเราจะทำไงดี ยังไงก็ต้องบอกพวกพี่เขานะ”

“เดี๋ยวคุยให้ไม่ต้องไปใส่ใจมาก ใส่ใจตัวเองดีกว่าตอนนี้” ทะเลเอื้อมมือมาอังหน้าผาก ก่อนจะขยี้เส้นผมเบา ๆ

“จริงหรอ ทะเลต้องคุยกับพี่เขาดี ๆ นะ เราไม่อยากให้มีเรื่องอะ”

“เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องอะไร หรือมึงปิดบังอะไรกูอยู่ หื้ม”

“เปล่าซะหน่อย ไม่มีอะไรเถอะ ก็รู้ว่าทะเลไม่ได้สนิทกับพวกพี่เขาเท่าไหร่นี่”

“ก็ถ้าพวกมันไม่มีเหตุผลขนาดนั้น ก็จะให้มาดูสภาพมึงเองแล้วกัน”

“อื้อ ก็ได้ ๆ”

มือใหญ่ลูบมือผมเบา ๆ เป็นภาษากายที่บอกว่าไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกังวล พอคุณเขาจะโรแมนติกแค่นี้ก็ยิ้มได้แล้วอะ ไม่หรอก แค่เป็นทะเลเท่านั้นแหละที่จะทำให้รู้สึกแบบนี้




“คิมโดนรถเฉี่ยว อยู่บ้าน กูทะเล อืม มาอยู่เป็นเพื่อนมันสิ”

ผมได้ยินทะเลคุยโทรศัพท์กับใครสักคนแต่ไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่เห็นได้เท่าไหร่ พอหัวถึงหมอนก็ทำท่าจะหลับอย่างเดียว กลับมาถึงบ้านคุณนายทำกับข้าวเตรียมไว้ให้ ทั้งผมและทะเลนั่งกินข้าวกันเงียบ ๆ เพราะเพลียทั้งคู่ แม่ชวนทะเลพักที่บ้านก่อนค่อยออกไปมหาวิทยาลัย แม้ทะเลจะมาช่วยดูแลผมแต่ภารกิจของเขาในวันนี้ก็ยังต้องทำอยู่เหมือนเดิม คือเป็นกรรมการตัดสินประกวดดาวเดือน

“คิม เดี๋ยวกูไปก่อนนะ” เขาโค้งตัวมากระซิบบอกผม แม่ให้นอนที่โซฟาแทนที่จะขึ้นไปนอนบนห้อง ด้วยความลำบากที่ต้องหนีบไม้ค้ำขึ้นไปด้วย อีกอย่างผมยังใช้ไม่ถนัดเท่าไหร่

“หื้อออ ไปไหนไม่นอนหรอ”


“มีเรื่องต้องไปทำ มึงนอนซะ”

ผมสัมผัสได้ถึงมือใหญ่ลูบหัวเบา ๆ แล้วการรับรู้ก็ขาดหายไป หวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วไข้จะลดลง อย่างน้อย ๆ ก็ควรโทรไปขอโทษพวกพี่เขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้ทะเลแบกหน้าไปบอก การที่ตะวันโทรหาเป็นสิบสายแล้วไม่รับก็เหี้ยพอตัวแล้ว ช่างมันก่อนแล้วกัน ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลยขอเติมพลังก่อน









----------------------------------------------








มีต่อ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“ลมอยู่มอหรือเปล่า มีเรื่องให้ช่วย อยากได้ภาพกล้องวงจรปิดหน้าหอประชุมเมื่อคืน ตอนตีหนึ่ง อย่าเพิ่งถามได้ป่ะ หามาให้ก่อน”

ร่างสูงโทรหาพี่ชายที่พอจะมีเส้นสายเป็นเพื่อนเป็นกรรมการนักศึกษาอยู่บ้าง เลยขอให้อีกฝ่ายช่วยหาต้นตอของอุบัติเหตุเมื่อคืน จากที่ทะเลเห็นที่เกิดเหตุมันไม่น่าใช่อุบัติเหตุได้ เพราะไม่มีรอยเบรกเลยที่พื้นถนน เป็นไปได้ว่าคู่กรณีจงใจที่จะทำให้มันเกิดขึ้น อีกอย่างคนบาดเจ็บดูจะอยากให้มันเป็นแค่อุบัติเหตุเสียจนน่าสงสัย

เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออกว่ารอยช้ำที่หน้าและข้อมือของคิมหันต์ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เพียงแค่ยังไม่อยากถามถึงต้นเหตุที่มา เพราะแค่นี้คนเจ็บก็บอบช้ำมามากแล้ว ภาพของคิมหันต์ตัวสั่นนั่งทำสีหน้าเจ็บปวดริมฟุตบาธเมื่อคืนทะเลยังจดจำมันได้ราวกับภาพติดตา ปากที่บอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับสีหน้าที่ตื่นกลัวและหวาดหวั่น

เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่คิมหันต์เจอมันเกิดจากอะไร



ทะเลขับรถตรงมาที่มหาวิทยาลัยก่อนเวลาที่เขาจะต้องมาทำหน้าที่ ห้องแต่งตัวหลังหอประชุมคือจุดมุ่งหมายที่ทะเลต้องรีบไป เขาเห็นว่าทานตะวันโทรหาคิมหันต์ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา และเป็นเขาเองที่บอกให้คนเจ็บไม่ต้องรับสาย เพราะจะจัดการให้ ไม่อยากให้เรื่องที่คิมหันต์โดนรถเฉี่ยวรู้เป็นวงกว้าง ฉะนั้นเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เงียบจนกว่าจะรู้สาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น

ขออย่าให้เป็นไปอย่างที่คิดเลย

“ตะวัน”

“อ้าวทะเล ทำไมรีบมา” ทานตะวันในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่คอมีป้ายสตาฟท์ห้อยอยู่

“เรื่องคิม”

“ทำไมหรอ นี่เรายังติดต่อน้องไม่ได้เลยตั้งแต่เช้า”

“คิมโดนรถเฉี่ยวเมื่อคืน”

“ห้ะ!!” ผู้ชายร่างสูงหน้าตาดีตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาคิดไว้อยู่เหมือนกันว่าคิมหันต์คงมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้ติดต่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้จินตนาการถึงเรื่องอุบัติเหตุเลย

“ออกมาคุยกันหน่อยสิ”



“คิมโดนบิ๊กไบค์เฉี่ยวตรงลานจอดรถหน้าสถาปัตย์” ผู้ชายร่างสูงเท้าสะเอวก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเครียด ๆ หลังจากเดินพ้นที่มีคนจอแจแล้ว

“จริงหรอ แล้วคิมเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไมไม่มีใครรู้เลย” ทานตะวันสงสัย เพราะตัวเองก็กลับบ้านเวลานั้นแต่ทำไมไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรผิดปกติเลย

“ก็เจ็บอยู่ ตรงนั้นตอนกลางคืนมืดมาก ปกติก็ไม่ค่อยมีคนไปแถวนั้นหรอก แต่คิดว่าน่าจะไปส่งปลายฝน แม่ปลายฝนคงหาที่จอดรถที่ยามไม่ไล่ละมั้ง” ทะเลเดาเหตุการณ์ความผีหลอกของระเบียบการมหาวิทยาลัยนี้ทำเอาคนตัวสูงคิดแล้วก็ได้แต่โกรธ

“แล้วทะเลรู้ได้ยังไง”

“เมื่อคืนมารอรับมัน”

“อ่อ” ทานตะวันรู้แค่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าสนิทกันถึงขั้นมารอรับส่ง และผิดจากที่คาดหวังไปเยอะเหมือนกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิดว่าทะเลมาที่กองประกวดเพราะมาส่งข้าวส่งน้ำตัวเอง ความจริงที่รับรู้วันนี้ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวลงกว่าเดิม ความคาดหวังที่จะให้อีกคนเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้าง กลับต้องพับเก็บความรู้สึกไว้ที่เดิม จะได้ไม่ต้องเข้าใจผิดอีก

“อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใครนะ เพราะกูคิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ บอกกองประกวดว่ามันไม่สบายทำให้มาไม่ได้”

“ดาวก็แอดมิทเข้าโรงพยาบาล เดือนก็มาป่วยอีก ศิลกรรมเล่นเราแน่เลย” ทานตะวันพยายามตัดสิ่งที่กำลังทำให้ตัวเองจมดิ่งออกไป และโฟกัสกับเรื่องตรงหน้า เพราะมันดูจะมีเบื้องหลังที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

“ถ้าไม่งั้น เดี๋ยวกูจะไปคุยกับพวกมันเอง”

“เฮ้ย ๆ อย่าเพิ่ง เราว่าเราไปคุยเองดีกว่า จุ๊บแจงน่าจะฟังเราอยู่ ก็แค่คณะหนึ่งหายไปคงไม่ทำให้งานล่มหรอก แต่นางคงหัวเสียน่าดู”

“ฝากด้วยนะ”

“เออจะว่าไป เมื่อคืนตอนพักซ้อมคิมเดินออกไปเข้าห้องน้ำ แล้วตอนกลับเข้ามาคิมดูตื่น ๆ กลัว ๆ อะไรสักอย่าง มีรอยแดง ๆ ที่หน้าแต่คิมบอกแพ้ฝุ่น แต่มันช้ำนะ เหมือนโดนบีบแรง ๆ มากกว่า” ทานตะวันพยายามคิดถึงความไม่ปกติที่เห็น ทั้งเขาและมายด์ก็คิดเหมือนกันแต่อีกฝ่ายยืนยันว่าแค่แพ้ฝุ่นตอนที่เดินผ่านจุดที่กำลังติดตั้งป้ายของงานฝุ่นน่าจะเยอะ สิ่งที่น่าสงสัยกว่านั้นคือความเงียบและเหมือนคิดอะไรในใจตลอดเวลา ไม่เล่นไม่แหย่ปลายฝนเหมือนก่อนหน้าต่างหาก

“เมื่อคืนพวกกวินมันมาดูซ้อมด้วยหรือเปล่า”

“มาอยู่แล้ว พ่อของกวินเป็นคนจ่ายค่าโปรดักชั่นงานทั้งหมด เดี๋ยว! นี่ทะเลกำลังคิดว่า”

“ก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรอวะ”

“มันแค้นอะไรทะเลวะ เรายังหาจุดที่มันจะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้เลยนะ ทั้งเรื่องทะเลแล้วก็เรื่องคิม”

“จำตอนที่มึงเกือบจะกินน้ำผสมเศษแก้วไม่ได้หรือไง กูว่าคนอย่างมันทำเหี้ยอะไรก็ได้ ที่กูหงุดหงิดคือกูไม่รู้ว่ากูไปทำไรให้แม่งเกลียดขนาดนี้ ถึงกับจะทำให้คนรอบข้างกูเดือนร้อน” เมื่อปีที่แล้วหลังประกวดวงดนตรี มีคนเอาน้ำมาให้ทานตะวันบอกมาจากพี่ที่เป็นแฟนคลับ ดีที่ตรงนั้นมีไฟแอลอีดีหลายดวง ขณะที่ทานตะวันยกแก้วขึ้นดื่ม ทะเลก็สังเกตว่าก้นขวดเต็มไปด้วยเศษบางอย่างสะท้อนแสงไฟนอนอยู่ก้นแก้วเต็มไปหมด แล้วพอเทน้ำสีดำออกก็เห็นเป็นเศษแก้วสีใส แต่จับมือใครดมไม่ได้คนที่เอามาให้ก็ได้รับมาเป็นทอด ๆ อีกที

ทะเลพยายามนึกว่าตัวเองไปเหยียบเงากวินเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กกิจกรรม แต่ก็ไม่เคยไปแข่งขันหรือพยายามจะทำตัวเหนือกว่าใครทั้งนั้น ความสงบคือสิ่งที่ทะเลยึดถือมาตลอด แต่คราวนี้เขาจะต้องคิดให้ออกว่าเผลอไปทำอะไรให้ลูกนักการเมืองคนนั้น ไม่เช่นนั้นคนรอบข้างก็จะเดือดร้อนแบบนี้ต่อไปอีก ครั้งนี้มันรุนแรงจนเกือบถึงชีวิต

คิมหันต์ต้องมาเจ็บตัวเพราะเขา
มันกล้าดียังไงถึงทำแบบนี้กับฤดูร้อนของเขาได้
ก็จะได้รู้ว่าเวลาทะเลมันคลั่งมันไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น







-----------------------------------------







ผมตื่นมาเกือบบ่ายสี่โมง ได้ยินเสียงเจี้ยวจ้าวในครัว คุ้น ๆ ว่าเป็นเสียงไอ้มิวและพีท มันมาที่บ้านได้ยังไงวะ หรือว่าที่ทะเลโทรคุยด้วยก่อนผมหลับจะคุยกับพวกมันสองคน

“มีคุ้กกี้ไว้กินตอนอ่านสือสอบแล้วโว้ย” ไอ้มิวยิ้มหน้าระรื่นออกจากครัว พร้อมถาดคุกกี้ใบใหญ่กว่าตัวมัน กลิ่นหอมวนิลาและช็อกโกแล็ตครุกรุ่นไปทั่วบ้าน แม่ผมจัดคอร์สสอนทำขนมอีกแล้วสินะ แม่มีงานอดิเรกคือทำขนมส่งขายตามร้านกาแฟใกล้ ๆ ชื่อแบรนด์ Bear With YOU โดยมีผมวาดโลโก้แบรนด์ให้ด้วยแหละ “ฮัลโหลคิม ตื่นแล้วหรอวะ แม่คร้าบบบ คิมตื่นแล้ว”

“ไงมึง ดีขึ้นป่ะวะ” เพื่อนตัวดีวางถาดคุ้กกี้ที่โต๊ะหน้าโซฟา ก่อนที่มันจะเดินเอามือเปื้อน ๆ ของมันมาอังหน้าผากของผม เลยได้ปัดมือมันออกทันที

“มึงยังไม่ล้างมือเลย ไอ้สกปรก”

“ไม่สกปรกสักหน่อยที่มือกูนี่มีแต่ความอร่อยนะ”

“ไอ้มิวกูบอกให้มึงล้างมือก่อนมาไง สันดานจริง ๆ เลย เข้าไปล้างมือเดี๋ยวนี้” คนโดนพ่อมันดุทำท่าทางกวนตีนก่อนจะรีบวิ่งเข้าครัวไปล้างมือ

“เดี๋ยวมึงตื่นมากินข้าวจะได้กินยา กูเห็นมียาที่มึงต้องกินก่อนกินข้าวด้วย” พีทใส่ผ้ากันเปื้อนลายหมีสามตัว มีเศษแป้งติดหน้า แถมเสื้อกันเปื้อนยังเละเทะแทบมองไม่เห็นความน่ารักของลายผ้าเลยด้วยซ้ำ รู้เลยว่าตีกับไอ้มิวในห้องครัวมาอีกตามเคย แม่ผมก็ตามใจไอ้มิวเกินเหตุ

“คร้าบหมอ ตอนนี้กูปวดขาว่ะ นวดให้หน่อยสิ”

“น้อย ๆ หน่อย อีกอย่างกูเป็นว่าที่หมอคนไม่ใช่หมอนวด”

“แล้วนี่พวกมึงมาได้ไงวะ”

“มิวโทรหามึงแล้วทะเลรับอะ มันไม่ได้บอกมึงหรอ” ผมส่ายหัวอย่างที่รู้ว่าตอนนั้นก็สะลึมสะลืมเต็มที

“จำไม่ได้ว่ะ น่าจะเมายาแก้ปวดอยู่ อะ โอ้ย เจ็บเชี่ย” ผมพยายามจะยกขาตัวเองลงจากโซฟา แค่ฝ่าเท้าแตะลงที่พรมเท่านั้นแหละ ความเจ็นแล่นสู่โสตประสาททันที น้ำตาแทบจะไหลออกมาเลย

“มึงเจ็บหนักนะเนี่ย ทำอิท่าไหนวะรถมันถึงเฉี่ยวมึงได้ ดึกดื่นขนาดนั้นแถมอยู่ในมหาลัยอีก”

“เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังนะ ไม่อยากให้แม่รู้ว่ะ”

“กูว่าแล้วว่ามันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ ซื้อหวยคงถูกรางวัลที่หนึ่ง”

พีทส่ายหัวให้ทีก่อนที่มันจะเดินกลับเข้าห้องครัวเพื่อถอดผ้ากันเปื้อนและจัดการเพื่อนตัวดีของมันก่อนจะออกมาจัดคุกกี้ที่เย็นแล้วเข้าโหล แม่ผมบอกว่าจะออกไปตลาดและจะทำกับข้าวเผื่อสองแสบนี่ด้วย เป็นอันว่าพวกมันต้องอยู่กับผมอีกนาน

“มาไอ้คิม เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง” พีทวางมือจากงานคหกรรมก่อนจะกอดอกซักไซ้ผมกับเรื่องที่ได้เวลาเปิดเผย

“เรื่องไรหรอพีท คิมมีเรื่องไรวะ ทำไมกูไม่รู้อะ”

“มึงห่วงแต่แดกจะไปรู้เหี้ยไร เป็นห่วงเพื่อนมั้ยเนี่ย”

“เห้ยอย่ามาพูดงี้นะ! กูไม่ได้ห่วงกินซะหน่อยก็คุ้กกี้แม่ไอ้คิมอร่อยที่สุดในโลก อีกอย่างกูก็มาหาไอ้คิมเพราะเป็นห่วงมาก่อนอันดับแรกเลยนะ”

“ตั้งแต่มึงมามึงยังไม่ได้มาดูไอ้คิมเลย มึงเดินเข้าครัว” พ่อไอ้มิวที่นั่งข้างกันผลักหัวมันไปที ข้อหาพูดปดต่อหน้าต่อตา

“พวกมึงจะฟังกูมั้ยสรุป หรือจะทะเลาะกันกูจะได้นอนต่อ”

“เออ ๆ ฟังก็ได้ พีทมึงอะแหละหาเรื่อง” ว่าที่คุณหมอทำท่าจะลงมะเหงกใส่อีกที ไอ้เด็กวิศวะเอามือป้องแทบไม่ทัน ถ้าวันหนึ่งพีทสารภาพว่าชอบมิวมันจะเชื่อมั้ยวะ

ผมเรียบเรียงเรื่องให้หัวแล้วพยายามเล่าให้พวกมันเห็นภาพ ทั้งที่นึกย้อนกลับไปหัวใจยังเต้นแรงและมีแต่ความหวาดกลัวปรากฏในความทรงจำ “เมื่อคืนกวินมาหาเรื่องกู มันบอกกูว่าไม่ให้ยุ่งกับทะเล”

เพื่อนสองคนทำหน้าตาตื่นหลังจากที่ได้ยินประโยคแรก มิวขมวดคิ้วหนักก่อนจะถามขึ้น “มันรู้ได้ไงวะ ที่มึงเล่าทะเลไม่เคยทำตัวสนิทกับมึงต่อหน้าใครเลยไม่ใช่หรอวะ”

“กูก็ไม่รู้ อาจจะมีให้ใครตามทะเลตลอดก็ได้ พูดแล้วน่ากลัวฉิบหายเลย มันอาศัยจังหวะที่กูพักซ้อมลากกูออกมา ขู่ไม่ให้กูยุ่งกับทะเลอีก บีบแก้มกูด้วย ไม่รู้ว่ามีรอยแค่ไหนว่ะ พอเลิกซ้อมกูเดินออกไปส่งปลายฝนแถวสถาปัตย์ กำลังจะเดินออกมาจากตรงนั้น รถบิ๊กไบค์ที่ไหนไม่รู้ขับมาทางกูแบบไม่เบรกเลย แต่ปลายฝนตะโกนบอกกูเร็ว เลยกระโดนขึ้นริมฟุตบาธ แต่ก็ยังไม่ทันอยู่ดี”

พีทยื่นหน้าเข้ามาสำรวจ สายตาคมกริบของว่าที่หมอพิจารณาแล้วก็พูดขึ้น “ชัดเจนนะ ถ้าดูใกล้ ๆ ก็ดูออกว่าไม่ใช่ผื่นหรือว่าคัน”

“ก็หวังว่าทะเลจะมองไม่ออก”

“นี่มึงยังไม่ได้บอกทะเล!” ไอ้มิวพูดเสียงดัง

“เออดิวะ กูอยากแน่ใจว่ามันทำแบบนี้ไปทำไม ถ้ากูเอาเรื่องนี้ไปบอกทะเลคิดหรอว่าทะเลจะอยู่เฉย จากที่รู้มาอีกฝั่งไม่ชอบทะเลโคตร ๆ เลยนะ แล้วเป็นลูกนักการเมืองด้วย ยิ่งทะเลไม่ยอมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบ้างอะ ก็เลยอยากสืบให้รู้ว่าอะไรที่ทำให้กวินโกรธแค้นทะเลขนาดนี้”

“Damn it!” ชายพีท

“OH MY GOD” ชายมิว

“พวกมึงช่วยกูหน่อยนะ”

“F*CK!!!!!!” สองคนประสาทเสียง

“น่านะ สืบให้หน่อยว่ากวินเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับทะเล สองคนนี้เกี่ยวข้องกันยังไง นะ ๆ โดยเฉพาะมึงได้มิว ตัวเสือกของวงการมหาวิทยาลัย ไม่งั้นกูจะยึดคุ้กกี้ของแม่กู”

“ไอ้เหี้ย ใจไม้ไส้ระกำกับกูมาก มึงเอาปืนมายิงกูเลยดีกว่า” มิวทำท่าเบะเตรียมตัวจะร้องไห้ มันนั่งมองโหลคุ้กกี้ประมาณ 4 โหลตรงหน้าด้วยสายตาละห้อย “ให้สืบเรื่องใครก็ได้ในมอ แต่ทำไมต้องกวินวะเนี่ยยยยยย กูอยากตายยยย”

“เดี๋ยวกูจะลองดู” พีทพูดขึ้นด้วยท่าทีนิ่ง ๆ ว่าที่คุณหมอมีสีหน้าเป็นกังวลและขบคิดอะไรบางอย่าง “ที่คณะมีเพื่อนเคยไปแลกเปลี่ยนกับกวินที่ลอนดอน จะลองถามให้แล้ว แต่กูไม่รับปากนะว่าจะได้เรื่องอะไรมั้ย และกูแนะนำให้มึงบอกทะเลเรื่องนี้ ไม่งั้นเจ้าตัวก็จะไม่รู้เลยว่ามีเรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง มึงอาจจะไม่ใช่คนสุดท้าย”

“ที่สำคัญถ้าทะเลรู้ทีหลัง คะแนนมึงติดลบยันชาติหน้าแน่!” มิวเหมือนเอาคืนที่พูดอะไรแทงใจผม คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันว่าถ้าทะเลรู้ทีหลังคงไม่พอใจแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่พออาจจะโดนด่า โดนทำหน้าเฉยชา และกลับไปในจุดเริ่มต้น

แต่ผมยอมถ้าทะเลปลอดภัยและอยู่ให้ผมทำคะแนนอีกนาน ๆ
ถ้าการทำเพื่อเขาแล้วสุดท้ายเขาจะไม่ได้เห็นดีด้วย
ก็ถือว่าได้ทำแล้วล่ะนะ


ต้องปลอดภัยนะนายทะเล











#ฤดูร้อนของทะเล
---------------------------------







อยากรู้แล้วเนี่ยนายกวิน นายทำไรทะเลของเราอะ
อย่ามาหาทำกับลูกชายเราเลย เมื่อไหร่จะปล่อยให้สองคนรักกัน!
คนอ่านสาปแช่งอิชั้นแล้ว กรี๊ดดดดดด
ที่แน่ ๆ ชั้นบอกแล้วทานตะวันไม่ร้าย ชื่อออกจะน่ารักน่าเอ็นดู
แต่ที่ต้องเอาใจช่วยก็คงเป็นน้องนุ่มนิ่มที่แหละค่ะ
5555555 อาจหาญมากกก แต่เขาก็รักของเขาอะเนาะ

เจอกันตอนหน้าค่าาา
ขอเมนต์เป็นกำลังใจด้วยน้า

 @mifengbeexx
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2020 15:21:43 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตอนที่ 15
ไม่เป็นไรนะ
[/size]



ทะเลโทรมาหาตอนสองทุ่มเพื่อเตือนให้กินข้าวกินยา เสียงเครื่องเสียงและดนตรีดังทะลุผ่านลำโพงมือถือมา เขาคงออกมาไม่ไกลจากหอประชุม ผมก็ได้แต่ยืนยันว่ากินข้าวกินยาไปตั้งแต่หัวค่ำ เขาก็ถามอาการว่าดีขึ้นหรือเปล่า ผมก็ได้แต่เงียบ รู้สึกแย่เหมือนกันที่ชีวิตเฟรชชี่ปี 1 ไม่ได้เข้าร่วมงานปฐมนิเทศอย่างเป็นทางการ แถมยังถูกตัดสิทธิ์ประกวดดาวเดือนที่ซ้อมมาร่วมเดือนอีกต่างหาก

(เป็นอะไรทำไมเงียบ)

“แค่เสียดายที่ไม่ได้ไปงาน ที่งานสนุกมั้ย”

(อื้อ ก็ดี ไม่เป็นไร ปีหน้าค่อยมาใหม่)

“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ช่างเถอะ แล้วนี่ทะเลกินข้าวยัง”

(ไม่มีเวลากิน เลิกงานค่อยว่ากัน มึงรีบนอนเถอะ)

“นอนข้างล่างนอนไม่หลับแน่เลย”

(หึ ไม่รีบนอนผีจะมาหลอกมึง)

“วางไปเลย!!”

(เดี๋ยวใกล้เที่ยงคืนจะโทรหาอีกรอบ มึงต้องกินยาอีก ตื่นมารับโทรศัพท์ด้วย ถ้าไม่ตื่นจะไปหลอกหลอนถึงบ้าน)

“ขอให้มาเหอะ ซันนี่กันตูดแน่!”

(จะกัดหรือจะเล่นด้วยกันแน่)

“นี่ทะเล...ดูแลตัวเองนะ” ผมพยายามพูดให้ดูเป็นปกติมากที่สุด

(ทำไม มีอะไรหรือเปล่า ชักจนะสงสัยแล้วนะนุ่มนิ่ม)

“เปล่า เอาว่าตามนั้นนะ บาย!”

เขาหัวเราะหึ ๆ แล้ววางสายไป ไม่วายยังไลน์มาเตือนให้ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ด้วย เป็นคนเข้มงวดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เขาส่งผ่านน้ำเสียงทุ้มได้นะ แม้ว่าเรื่องที่เจอมันจะเลวร้ายและน่ากลัว พอรู้ว่ายังไงทะเลก็อยู่ด้วยมันก็วางใจไปหมดเลย แต่ถึงยังไงตัวเขาเองนั่นแหละที่น่าเป็นห่วง

“ไงมึง จะให้กูนอนเป็นเพื่อนมั้ย” มิวถามขึ้น พวกมันนั่ง ๆ นอน ๆ กับผมที่โซฟาในห้องรับแขกมาตั้งแต่เย็น หลังจากที่ตกลงว่าจะสืบเรื่องกวินให้

“ไม่เป็นไร พวกมึงมีเรียนพรุ่งนี้ กลับไปเหอะ กูอยู่ได้”

“กูว่าจะแวะไปที่มอหน่อย เผื่อกวินมันจะเคลื่อนไหวอะไร” พีทพูดขึ้น “แต่กูจะไปส่งมึงที่คอนโดก่อน ไม่ต้องมาหูตั้งว่าจะได้ไป”

“โหยยยย กูก็อยากไปดูลาดเลาอะ”

“มึงมีควิซพรุ่งนี้ อย่ามาเนียน อ่านจบแล้วหรือไง”

“กูไม่อยากให้มึงไปคนเดียวไง มีกูไปเป็นเพื่อนมันอุ่นใจกว่าเป็นไหน ๆ” มิวมันกำลังอ้อนพ่อมันอยู่

“มึงไปก็เป็นภาระกูเปล่า ๆ” และก็โดนไอ้พีทออลคิลจนได้

มิวเบะปากแต่ก็สุดจะต้านทานเมื่อเห็นสายตาจริงจังของมิว รู้หรอกว่าพีทมันเป็นห่วง ไอ้มิวเด๋อ ๆ ด๋า ๆ คงกลัวไปทำอะไรที่กะโตกกะตากแล้วเรื่องจะวิ่งเข้าตัวพวกมันแทน กวินน่ากลัวพวกมันน่าจะพอรู้อยู่บ้าง ยิ่งพอเรื่องเกิดขึ้นกับผม คนรอบครอบแบบพีทก็ต้องยิ่งระวังตัว

“มึงระวังตัวนะพีท”

“อืม มึงก็พักผ่อนนะ”

“พีท..”

“หื้อ”

“ฝากดูทะเลด้วยนะ”

“มันจะไม่เป็นไร”

ผมพยักหน้าและบอกลาพวกมัน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาว แม่ขนผ้าห่มและเครื่องนอนที่ใช้ประจำมาให้แล้ว คุณนายเข้ามาดูผมเป็นระยะเพราะกลัวจะเบื่อ ยิ่งกว่าความเบื่อคือความกังวลที่มันรบกวนในใจนี่แหละ รู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถอะนะ








(ทะเลอยู่โรงพยาบาลว่ะ)

“ห้ะ!!









---------------------------------------









3 ชั่วโมงก่อนหน้านี้



“ก่อนที่เราจะมาประกาศผลรางวัลทูตประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยประจำปีนี้นะครับ จะขออนุญาตประกาศรางวัลป๊อปปูลาร์โหวตนี้ปีนี้ก่อน ซึ่งจะเป็นเสียงที่ได้จากน้อง ๆ ปีหนึ่งทุกคน ร่วมถึงการกดไลก์รูปผ่านผ่านแฟนเพจของเราด้วย และรางวัลได้แก่...”

เสียงซาวด์ดนตรีขึ้นขึ้นให้ตื่นเต้น แต่ละคณะตะโกนชื่อดาวเดือนที่ตัวเองเชียร์เสียงดัง “น้องคิม คิมหันต์ สหสวัสดิ์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ครับ!”

เสียงปรบมือดังเกรียวกราว แต่ทุกคนในที่นี้รู้อยู่แล้วว่าเจ้าของชื่อไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมคืนนี้ คนที่ขึ้นไปรับแทนจึงเป็นพี่เลี้ยง และเดือนคณะศิลปกรรมปีที่แล้ว ทานตะวันพูดขอบคุณแทนคิมหันต์สำหรับการโหวตและจะเอารางวัลไปมอบให้น้องถึงมือ

กลับเป็นทะเลที่นั่งโต๊ะคณะกรรมการที่รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะการที่ทะเลได้รางวัลนี้ปีที่แล้วก็ทำให้ตัวเขาเองไม่ได้มีชีวิตปกติสุข คนทั้งมหาวิทยาลัยรู้จักเขาในข้ามคืน ไปไหนก็มีแต่คนมอง แถมยังมีคนเข้าหาทั้งเพื่อผลประโยชน์และความสัมพันธ์ เป็นไปได้ว่าคิมหันต์ก็คงประสบชะตากรรมไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

ที่สำคัญคงเป็นที่เพ่งเล็งของคนขี้อิจฉาอย่างกวินไปอีก

ทะเลหันไปสบตากับลูกชายนักการเมืองที่นั่งห่างกันไปสองเก้าอี้ อีกฝ่ายยักคิ้วให้อย่างกวนประสาท แล้วลุกออกจากโต๊ะกรรมการก่อนที่จะประกาศรางวัลใหญ่ ทะเลเกือบจะไม่สนใจ ถ้าจู่ ๆ ไลน์จากพี่ชายไม่เด้งมาก่อน

[Wind : ดูคาติสีดำ ไม่ติดป้าย คนขับใส่ชุดนักแข่ง]
[Wind : sent a video]

[Sea : มีแค่นี้หรอ แทบไม่รู้อะไรเลยนะ]

[Wind : ใจเย็นไอ้สอง ระดับพี่มึง]
[Wind : เชนมันไปให้ลูกพ่อมันที่อยู่หน่วยสืบสวนดู บอกว่าคนที่จะเล่นรถรุ่นนี้มีไม่กี่คนในไทย เพราะนำเข้าแค่ 15 คัน]

[Sea : รีบพิมพ์ได้ป่ะวะ ไม่งั้นจะโทรไป]

[Wind : ใจร้อนฉิบหาย เออ ๆ โทรมา]

ทะเลเดินตามกวินออกไปติด ๆ เพราะอีกฝ่ายได้รับโทรศัพท์จากใครสักคน

“เร็วเลยลม”

(เชนมันบอกแค่รถราคาแพงไม่เท่าไหร่ แต่แต่งแบบนี้มีที่เดียวที่ทำว่ะ และเจ้าของอู่ก็คือนักการเมืองแถวฝั่งธน เจ้าของรถเป็นใครไม่ได้นอกจากลูกนักการเมือง)

“ไอ้สัส!”

(นี่มึงไปมีเรื่องกับใคร อย่าทำอะไรผลีผล่ามโดยไม่บอกกูกับเหนือนะเว้ย ถ้ามีเรื่องป๊าเล่นมึงแน่นะไอ้เล)

“งั้นมึงมามอด่วนเลย ลูกนักการเมืองคนนั้นคือกวิน”

(ไอ้เหี้ยนั่นยังไม่เลิกยุ่งกับมึงอีกหรอวะ)

“มันรู้แล้วแน่ ๆ ว่าเรารู้ สายพ่อมันทั้งนั้นตำรวจ”

(แล้วคนที่โดนชนคือใครวะ?)

“คิมหันต์ มึงจำได้มั้ย”

(เดี๋ยว เพื่อนมึงสมัยมอปลาย ที่มึงเคยชอบ มาเรียนที่นี่หรอวะ)

“เอออย่าเพิ่มถาม มึงรีบมาเหอะ”

ทะเลวางสายจากสายลมก่อนจะรีบเดินตามกวินออกไป โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีจุดมุ่งหมายที่ไหน บรรยากาศสงัดในมหาวิทยาลัยขนาดพันกว่าไร่ แม้คืนนี้จะมีกิจกรรมที่รวมนักศึกษาเกือบหมื่นอยู่ที่นี่ แต่ก็แค่ในส่วนของหอประชุมเท่านั้น ทะเลเดินตามกวินไปอยู่เงียบเชียบ ก่อนที่เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดในมุมตึกของอาคารที่กำลังก่อสร้าง เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังคล่อมดูคาติคันเดียวกับในกล้องวงจรปิด

ทะเลส่งโลเคชั่นไปหาสายลม และถ่ายรูปภาพที่เห็นตรงหน้าเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการมัดตัว เรื่องนี้ถึงมือตำรวจและเขาจะไม่ยอมให้กวินทำอะไรไปมากกว่านี้ ระหว่างที่เขาแอบหลังต้นไม้ใหญ่ก็รู้สึกว่ามีของแข็งตีเข้าที่หัวอย่างแรง

“โอ้ย!!”

แต่ความแรงไม่ถึงกับทำให้ทะเลสลบไป แค่รู้สึกเจ็บที่ศีรษะมากเท่านั้น คนตัวสูงหันกลับไปก็เจอผู้ชายร่างสูงสองคนในชุดซาฟารีสีดำ คุ้นว่าเคยเห็นมารับส่งกวิน คงเป็นบอดี้การ์ดแน่ ๆ ทะเลใช้วิชาหมัดมวยที่ป๊าส่งเรียนมาตั้งแต่เด็กป้องกันตัวกลับไป ยังดีที่ทั้งสองคนไม่ได้ตั้งตัวว่าทะเลจะสามารถต่อสู้กลับได้ทันท่วงที ทะเลใช้โอกาสที่คนตัวสูงถลาตัวออกห่างเพราะแรงถีบ เข้าสวนหมัดใส่คนที่ตัวเล็กกว่า ก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มลงพื้น

“เห้ย! มึงทำอะไร” เสียงผู้ชายที่คุ้นหูดังขึ้น กวินเร่งเท้าเดินเข้ามาในวงล้อมความชุลมุน

“คุณกวินมันมาด้อม ๆ มอง ๆ คุณ”

“อ๋อ ไอ้เหี้ยทะเล มึงมาแล้วหรอ”

ทะเลถอยหลังเพราะคิดว่าถ้ามีอีกคนคงสู้ไม่ไหว กวินก็เป็นนักกีฬาและมีพละกำลังมากพอตัว ถ้าอีกฝ่ายเป็นมวยเขามีสิทธิ์โดนรุม

“ปอดแหกหรอวะ กลัวหรอ มึงก็ทำได้แค่นี้ ทำเป็นเก่งแต่ก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่ง”

“มึงแค้นอะไรกูกวิน กูไปทำอะไรให้”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” กวินหัวเราะรวน บอดี้การ์ดของเขาลุกขึ้นมาได้แล้ว และทำท่าจะพุ่งเข้ามาทำร้ายทะเลอีก แต่กวินยั้งไว้ก่อน “นี่ไงความกระจอกของมึง มึงทำเหี้ยกับใครไว้ยังจำไม่ได้เลย”

ตาของกวินแทบจะถลนออกมาตอนเขาหัวเราะ เสียงอันทรงพลังและเต็มไปด้วยความน่ากลัว มันสั่นประสาทคนที่ได้ยินอย่างมาก ท่าทางของกวินเต็มไปด้วยความสับสนราวกับว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ทะเลสังเกตเห็นมือของกวินที่สั่น มือไม้ลอกแล่กเริ่มจัดระเบียบร่างกายตัวเองไม่ได้

“ถ้าล้มมันได้ กูได้พวกมึงคนแสน”

พอได้ยินคำสั่งทั้งสองคนก็กรูกันเข้ามาหาทะเลอีกรอบ ทะเลรู้สึกว่าหลังคอเปียกชื้น จึงเอามือจับที่บริเวณนั้น ปรากฏเลือดแดงฉานเต็มมือ และกำลังไหลลงมาที่หน้าผาก แย่แล้วทะเลคิดในใจ

คนตัวสูงเข้ามาสวนหมัดใส่หน้าทะเลแต่เจ้าตัวหลบได้ทัน เลือดที่ไหลลงมากำลังจะบดบังทัศนวิสัยเขา คนตัวเล็กเล่นทีเผลอเข้ามาจับตัวทะเลจากด้านหลัง คนตัวใหญ่ได้ทีต่อยท้องทะเลหลายครั้ง ถึงหมัดจะไม่ได้หนักเท่าครูมวยที่ทะเลเคยขึ้นสังเวียนด้วย แต่ก็ทำให้จุกได้เหมือนกัน

“ทะเล!!!!” เสียงพี่ชายที่คุ้นหูทำให้ทะเลถอนหายใจออกมา “ไอ้พวกเหี้ยทำอะไรน้องกู!”

ไม่ใช่แค่ทะเลที่ป๊าส่งไปเรียนมวย สายลมก็ได้คาราเต้สายดำและอดีตเยาวชนทีมชาติหวังว่าสนิมคงไม่ขึ้นหรอกนะ สายลมวิ่งมาถีบคนตัวเล็กที่จับน้องชายของเขาเต็มแรง จนอีกฝ่ายกระดอนออกไป ก่อนจะมาจัดการคนตัวสูงพยายามจะออกหมัดสกัดอดีตนักคาราเต้ แต่โดนฝ่ามือปัดและสันมือปัดเข้าที่ต้นคอ น้ำหนักและแรงกำลังยังไม่ต่างตอนที่ไปแข่ง อีกฝ่ายถอยกรูเพราะแทบจะหายใจขาดห้วง

ปัง!!

เสียงปืนจากด้านหลังดังขึ้นทำให้คนที่กำลังชุลมุนหยุด สายลมรีบเข้าไปประคองทะเลที่ล้มกุมหน้าท้อง

“เหอะ ขนาดนี้มึงก็ยังมีคนมาช่วยหรอวะ! ทำไมคนอย่างมึงต้องได้รับความช่วยเหลือ ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ในขณะที่กูโดนทิ้งขว้าง โดนปฏิเสธมาตลอด!” กวินถือปืนทิ้งลงข้างตัวด้วยมือที่สั่นคลอน เขาพยายามจะควบคุมสติอารมณ์แต่เหมือนกลับยิ่งปะทุนรุนแรง กวินพูดเร็วและรัวเสียคนแทบฟังไม่ทัน

“...”

“มึงทำให้ชีวิตกูพัง พัง!! มึงรู้ตัวมั้ย!!!” คนที่ดูสติวิปวาสเล็งปืนที่ทะเล

“มึงใจเย็น น้องกูไปทำอะไรให้มึง!” สายลมเอาตัวเองบังน้องชายไว้

“มึงจำไอ้เคลได้มั้ย มันยังเหลือในเศษเสี้ยวความทรงจำของมึงมั้ย”

“เคล?”

“เออไอ้เหี้ย เคลไอ้เด็กที่เคยถูกไล่ออกจากไฮสคูลเพราะมึงเอาเรื่องกัญชาไปโพทะนาไง ไอ้เหี้ย!! มึงมันเหี้ย มึงทำลายชีวิตกูแค่ไหนมึงรู้ไหม!!” กวินถือปืนไม่นิ่ง แถมสีหน้าของคนไร้สติยังราวกับจะร้องไห้ ไม่หลงเหลือมาดคุณชายลูกนักการเมืองที่เจิดจรัสอีกต่อไป เขาถอนหายใจ ก่อนจะกลืนน้ำลายและพยายามกลั่นคำพูดพยาบาทออกมา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเอะอะของคนจำนวนมากวิ่งมาทางนี้

“คุณกวินครับ เราไปกันก่อน ไปเถอะครับ ถ้าคุณพ่อรู้เราจะแย่นะครับ” บอดี้การ์ดพยายามพยุงตัวเองและรวบตัวเจ้านายของพวกมันไป ก่อนที่จะมีคนมาเห็นเหตุการณ์มากไปกว่านี้ ทั้งสองถูลู่ถูกังเจ้านายของพวกมันอย่างยากลำบากเพราะก็เจ็บตัวพอควร รถแวนสีดำตรงเข้ามารับอย่างรวดเร็วก่อนจะขับออกไป

มึงไม่รอดแน่ไอ้กวิน ทะเลคิดในใจ คราวนี้หลักฐานมัดตัวและตัวกวินก็ทำความผิดหลายกระทงที่สำคัญอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วย

“ทะเลมึงเป็นไง เจ็บมากป่าววะ หัวแตกด้วยไอ้ห่าเอ้ย มึงเตรียมตอบคำถามป๊าได้เลย”

“เออเรื่องนี้กูไม่ผิดไม่ต้องห่วง พอจะรู้แล้วว่ามันแค้นอะไรหนักหนา”

“นักศึกษาตรงนั้น! เกิดอะไรขึ้น” ผู้ชายสวมสูทเดาว่าคงเป็นอาจารย์ และรปภ.สามคน รวมถึงนักศึกษาอีกสองสามคนกำลังวิ่งมาทางนี้

“น้องผมโดนทำร้ายครับ เรียกรถพยาบาลให้ที”

“ทะเล!” เสียงทานตะวันทะเลจำได้ “ทะ ไม ใครทำอะไร”

ทานตะวันรุดเข้ามาประคองคนเจ็บ น้ำเสียงสั่นเมื่อครู่คล้ายกับจะร้องไห้ แต่ทะเลไม่สามารถโฟกัสอะไรได้เท่าไหร่ เพราะเลือดกำลังไหลอาบที่หน้าที่สำคัญมันเข้าตา “ลมเช็ดเลือดให้หน่อยได้มั้ย มันเข้าตา”

“เชี่ยเลือดออกโคตรเยอะ เจ็บมากเปล่าวะ”

“ชามากกว่าไม่เจ็บเท่าตกจักรยานตอนเด็กหรอก”

“เลิกเอาเรื่องนี้มาทับถมพี่มึงสักที”

สายลมควานหาผ้าที่พอจะเอามาซับเลือดของน้องชาย แต่ก็ไม่เจอ ทานตะวันเลยถอดเนกไทด์ของตัวเองอย่างทุลักทะเลแล้วส่งให้สายลม “อาจจะไม่สะอาดเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าให้เลือดไหลเยอะกว่านี้”

เสียงรถพยาบาลวิ่งเข้ามามหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว เพราะโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เสียงอาจารย์สั่งพี่รปภ.ให้รีบไปดูที่เกิดเหตุ และแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั่วมหาวิทยาลัยให้ตรวจรถเข้าออกทุกคัน “นักศึกษาจำหน้าคนร้ายได้หรือเปล่า”

“ครับ จำได้แม่นเลย”







----------------------------------







มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2020 21:48:43 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
คิมสะดุ้งตัวตื่นเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่เปิดเสียงดังสุดไว้ เพราะกลัวว่าทะเลโทรมาแล้วตัวเองจะไม่ตื่น แต่พอเห็นชื่อปรากฎที่หน้าตาก็ได้แต่นิ่วหน้า พีทโทรมาทำไมนะ มีอะไรหรือเปล่า

“ฮัลโหลพีท มีไรหรอ” ผมพูดด้วยเสียงอู้อี้ ยังรู้สึกไม่ตื่นดี

(มึงคือ…)

“หื้ออ มีไรหรอ” เสียงงัวเงียของผม และความอำอึ้งของพีท วันนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องไหม

(ทะเลอยู่โรงพยาบาลว่ะ)

“ห้ะ!!!” ผมสะดุ้งตัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนี้

“มึงว่าไงนะพีท เกิดอะไรขึ้น”

(กูยังไม่รู้รายละเอียด ตอนนี้อยู่หน้าห้องฉุกเฉินว่ะ ออกมาทะเลก็ขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว)

“มะ มึงมารับกูหน่อยได้มั้ย กูเป็นห่วงทะเล” รู้สึกตัวเองเสียงสั่น เพราะรู้สึกแย่กับสิ่งที่ได้ยิน พยายามจะควบคุมไม่ให้สติแตก แค่จินตนาการว่าทะเลต้องบาดเจ็บแม้แต่ถลอกนิดเดียวก็รู้สึกแย่จะตายอยู่แล้ว บาดแผลในวันจักรยานล้มที่ผมทำให้ทะเลเผชิญในอดีต มันเป็นความเจ็บปวดที่ผมฝังรากให้เขามาตลอด แล้ววันนี้ถ้าเขาต้องถูกทำร้ายและผมเป็นหนึ่งในสาเหตุอีก ผมคงรู้สึกไม่อยากให้อภัยตัวเองที่ทำให้เขาต้องเจ็บอีกแล้ว

“นะ พะ พีท มารับกูที ขอร้อง”

พีทรับปากว่าจะมารับแล้วก็วางสายตา ผมไม่สามารถจะบังคับให้ตัวเองไม่จิตตกได้เลย แค่เรื่องที่เกิดกับตัวเองก็หนักหนาพอแล้ว นี่ยังมาเกิดขึ้นกับทะเลติด ๆ กันแบบนี้ ให้ผมทำใจรับยังไงไหว

“อย่าเป็นอะไรเลยนะ”






“ญาติคุณทะเล ชัชวาลพิศกุลครับ”

“ทางนี้ครับ”

“เดี๋ยวตามผมมาเลยครับ”

พี่สายลมเดินตามบุรุษพยาบาลที่ออกจากห้องฉุกเฉินไป เขาบอกว่าทะเลเข้าไปในนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ว่าอาการหนักหรือแจ็กพ็อตเจอเคสอุบัติเหตุรถชนพร้อมกันพอดี ผมภาวนาให้เขาไม่เป็นอะไร ไม่บาดเจ็บร้าย หรือถึงกับต้องผ่าตัด

ผมเจอพี่สายลมและทานตะวันในสภาพเสื้อผ้าเปื้อนเลือด และพี่สายลมก็มีรอยฟกช้ำตามตัวเล็กน้อย ผมทักทายเขาและเหมือนเขายังจำผมได้ดี พี่สายลมบอกว่าทะเลโดนบอดี้การ์ดของกวินทำร้ายจนหัวแตก และโดนซ้อม ผมมีสีหน้าตกใจและเป็นกังวล จนเขาต้องบอกว่าไม่น่าจะอาการหนักมาก ตอนนั่งรถพยาบาลมาถึงยังพูดคุยกันได้ปกติ

“พีทช่วยหน่อย”

“มึงจะไปไหน”

“อยากไปดูตรงนั้น เผื่อจะเห็นทะเล”

“ไม่เอาน่าคิม มึงก็รู้ว่าไม่เห็น กระจกมันขุ่นขนาดนั้น” พีทเดินมาประคองผม แต่อีกฝ่ายเห็นผมใช้ไม้ค้ำและสามารถยืนด้วยตัวเองได้ เขากอดอกด้วยสีหน้ากังวลแบบที่ชอบทำเวลามิวเถียงมัน

“พีท กูกลัว กลัวทะเลจะเป็นอะไรเยอะ”

พีทถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น “คิมมึงใจเย็น ๆ ทะเลมันไม่เป็นไรหรอก มันเข้มแข็ง อย่างน้อย ๆ มันก็ต้องมาให้มึงบอกชอบมันก่อนหรือเปล่าวะ จะให้เพื่อนกูค้างเติ่งแบบนี้ไม่ได้ป่ะ รอมันมากี่ปี”

“มึงยังพูดเล่นได้อีกนะ กูก็ทำเขาไว้เยอะ ทะเลอาจจะปฏิเสธกูก็ได้”

“กูเอาเกียรติของว่าที่หมออย่างกูเป็นประกันเลยว่าทะเลไม่มีทางปฏิเสธมึง”

“มึงมั่นกว่าตัวกูอีก”

“คิม พีท มายืนทำไมตรงนี้ทำไมไม่นั่งรอ” เสียงพี่สายลมที่เดินกลับมาจากที่บุรุษพยาบาลเรียกไปคุย

“เขาบอกว่าไงบ้างพี่สายลม” ผมพยุงตัวเองกลับมาที่ม้านั่ง

“เรียกพี่ลมเฉย ๆ ก็ได้ หมอบอกจะทำทีซีสแกนมันพรุ่งนี้ แต่โดยรวมมันไม่เป็นไรมาก หนักสุดคงหัวแตก เย็บไปยี่สิบกว่าเข็ม แล้วก็ฟกช้ำนิดหน่อย หมอกลัวมีเลือดคั่งในสมอง” ผมถอนหายใจออกมาทันทีที่ได้ฟังที่สายลมพูดถึงอาการของทะเล

“แล้วทำไมทะเลไม่ออกมาสักทีล่ะครับ”

“รอห้องพิเศษน่ะ มันอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลสักคืน ถ้ามีห้องคงให้เราขึ้นไปข้างบนเลย”

ผมพยักหน้ารับ สายตายังมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน แม้มันจะยังมองเห็นแค่ความขุ่นมัวของกระจก และเงาของบุคลากรการแพทย์เดินไปเดินมาโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่อยากส่งพลังจากตรงนี้ไปให้คนในนั้น คน ๆ เดียวที่ทำเอาผมพะว้าพะวง จิตใจห่อเหี่ยว จนกว่าจะได้เห็นว่าเขาปลอดภัยกับตาตัวเอง

ความเป็นห่วงที่มันเพิ่มทวีเพราะความคาดหวังที่ผมก่อขึ้นเองในหัวใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทะเลใจดีมาก ๆ นอกจากจะให้โอกาสแล้ว ก็ยังไม่เคยปฏิเสธ หรือมีท่าทีว่าผมทำทุกอย่างด้วยความพยายามคนเดียว เขาก็ชัดเจนว่าที่ทำก็ไม่ได้ทำให้ใครนอกจากผมคนเดียวเหมือนกัน ยิ่งพอมาเจอเรื่องนี้ทะเลแสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใย จนผมหวังว่าถ้าจบเรื่องนี้ไปเราจะเขยิบความสัมพันธ์ไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่

เรื่องทานตะวันที่ผมเอามาคิดวกวนเสียหลายวัน จากวันแรกที่ได้เจอเขา พอได้คุย ได้ใช้ชีวิตกับทานตะวัน ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่ารักมาก ๆ เป็นคนที่ถ้าในโลกนี้ไม่มีแสงอาทิตย์ ก็คงเป็นแสงสว่างให้กับโลกนี้ได้ไม่ยาก และความรู้สึกของทานตะวันที่มีให้ทะเลก็ไม่เคยถูกเปิดเผยเสียจนทะเลอึดอัด ผมเลยเข้าใจว่าทำไมทะเลไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธเขา เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจคนดี ๆ คนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่เคยก้าวข้ามคำว่าแอบชอบ หรือพยายามให้ทะเลคิดแบบเดียวกันเลย

“ญาติคุณทะเล เชิญที่ชั้น 12 ห้อง 1204 นะครับ”

พี่บุรุษพยาบาลคนเดิมเดินมาบอก เราทั้งสี่คนที่นั่งรอเวลานี้อยู่ก็เดินกำลังจะขึ้นไปยังห้องที่หมาย

“มาพี่ช่วย”

“ขอบคุณครับพี่ตะวัน” ผมเรียกเขาพี่ ทั้งที่จะอายุเท่ากัน ให้เกียรติความเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย เพราะคนอื่น ๆ ที่ซิ่วมาก็ทำแบบนี้

“ตะวันที่อยู่วงเดียวกับทะเลป่ะ” พีทที่เดินพยุงผมอีกฝั่งถามขึ้น จริง ๆ ตะวันคนเดียวก็พอแล้วนะ แต่มันขี้เวอร์

“อื้ม รู้จักด้วยหรอ”

“รู้ดิ เคยไปฟังที่ร้านให้เหล่ามันเล่า ไลน์เบสเจ๋งดีนะ”

“คิดว่าฟังที่งานมหาลัย เพราะอันนั้นเรายังเล่นได้ไม่ถึง 30 วิเลย”

สองคนหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปที่ลิฟท์ ผมอยากเดินให้เร็วกว่านี้จะได้ขึ้นไปถึงชั้น 12 เร็ว ๆ อยากเห็นด้วยตาว่าทะเลสบายดีอย่างที่พี่สายลมบอก






“ถ้ามีอะไรก็กดเรียกพยาบาลได้เลยนะครับ พรุ่งนี้หมอเฉพาะทางจะมาพาไปสแกนสมอง รีบพักผ่อนนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

ผมก้าวเข้ามาก้ได้ยินเสียงคุณหมอและคนไข้คุยกัน

“ไงน้องชาย พรุนเลยสิ”

“ทะเล!” ผมจับไม้ค้ำแน่นแล้วรีบพยุงตัวเองมาที่เตียงคนไข้ ตะวันและพีทคงตกใจพวกเขาอุทานเบา ๆ

“ค่อย ๆ เดี๋ยวก็ล้มได้เจ็บอีก”

“เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า” ผมลนลานรีบเข้าไปดูเขาจนทำไม้ค้ำหลุดจากการแขน ดีที่ยังเกาะขอบเตียงไว้ทัน

“ถ้ามึงเจ็บกูจะโกรธมึงนะคิม”

“ระ เรากลัวทะเลเป็นอะไรนี่ ฮะ ฮึก แล้วเจ็บมากมั้ย ทำไมเขาพันแผลขนาดนี้ แผลใหญ่มากหรอ ฮึก”

“ใจเย็น ๆ ใครก็ได้เอาเก้าอี้มาให้มันนั่งหน่อยได้หรือเปล่า”

“ทะเลทำไมไม่ตอบเล่า! ทำไมถึงไม่พูดอะไร เป็นห่วงนะเว้ย จะบ้าตายอยู่แล้ว ไหนบอกจะไม่เป็นอะไรไง จะระวังตัว ฮืออ แล้วทำไมปล่อยให้ตัวเองเจ็บแบบนี้”

“ชู่ววว ใจเย็น ๆ นั่งลงก่อน แค่เห็นน้ำตามึงกูก็เจ็บกว่าเดิมแล้ว”

“...” ผมนั่งลงเก้าอี้ที่พีทยกมาให้ ส่วนคนอื่นก็ยืนตามมุม หรือไม่ก็นั่งที่โซฟาให้ห้อง แต่ผมไม่สามารถโฟกัสอะไรนอกจากผู้ชายตัวโตที่นอนบนเตียงคนไข้ หัวของเขาพันผ้าก๊อซก้อนโตเอาไว้ ใบหน้าฟกช้ำ และสีหน้าอิดโดยมาก ไหนจะสายน้ำเกลือนี่อีก

มันเทียบกับที่ผมโดนรถเฉี่ยวได้ที่ไหนวะ!

“มึงมากกว่าที่ไม่ยอมบอกอะไรกูเลย กลัวจะโกรธหรือไง หื้ม” ทะเลเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ เขายังมาทำท่าทีไม่เป็นอะไรได้ยังไง เหอะ ทั้งที่เห็น ๆ อยู่ว่าเขาเจ็บมาก ๆ

“กลัวทะเลจะเป็นแบบนี้ต่างหาก แม่ง แต่ไม่ทันอยู่ดี” ผมเอื้อมมือไปจับใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบา อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธหรือห้ามอะไร สายตาที่เขาส่งมาเต็มไปด้วยอ่อนล้า แต่ดันยิ้มที่มุมปากแบบที่ชอบทำ

“กูไม่เป็นอะไร คราวหน้าห้ามปิดบังอะไรอีกนะ เพราะกูไม่อยากเห็นมึงเจ็บอีก” ผมพยักหน้ารับ ไม่เอาแล้วจะไม่ผิดบังอะไรอีก ไอ้ความหวังดีที่จะช่วยปกป้องเขาน่ะดันทำให้เขาเจ็บนักกว่าเดิม และแล้วก็กลายเป็นผมที่ทำเขาเจ็บอีกครั้ง

“ไม่เอาแบบนี้แล้ว ทำไมทะเลต้องมาเจ็บตัวเพราะเราอีก ครั้งนั้นมันก็แย่มากพอแล้ว เรานี่แม่ง!”

“ไม่ต้องโทษตัวเองเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องของกูกับกวิน ไม่เกี่ยวอะไรกับมึง กูต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้มึงต้องมารับเคราะห์ไปด้วย กูจะหายเร็วมากถ้ามึงรีบหายก่อนกู โอเคมั้ย”

“อะ อื้อ”

“งั้นกูกลับก่อนดีกว่า อยู่ไปก็เหมือนเป็นคนล่องหนว่ะ” เสียงพี่สายลมดังขึ้นจากข้างหลังผม

“นั่นสิพี่” เสียงพีทสมทบด้วย

“ไว้พรุ่งนี้กูมาแต่เช้า คงต้องพาป๊ากับม้ามาด้วยนะ กูรับหน้าให้ได้นิดหน่อยนะไว้มึงอธิบายให้เขาฟังแล้วกัน”

“อืม ได้ ฝากไปส่งทานตะวันด้วย” ทะเลสบตากับคนที่ยืนปลายเตียง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าและยิ้มให้บาง ๆ

พีทเดินมาแตะไหล่ “แล้วมึงเอาไง จะกลับเลยหรือเปล่า”

“จะอยู่เป็นเพื่อนทะเล ยังไม่กลับ” ผมตอบกลับเสียงหนักแน่น กลับไปก็คงนอนไม่หลับ ยิ่งได้มาเห็นสภาพของทะเลเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่มีทางที่จะสงบจิตสงบใจโดยไม่คิดถึงสภาพแย่ ๆ ของเขาได้เลย

“กลับไปเถอะกูอยู่ได้ ไม่เป็นไร” ผมไม่พูดอะไร เอาแต่มองเขาแล้วเตรียมจะร้องไห้อีกรอบ “โอเค ๆ อยู่ก็อยู่”

ทุกคนในห้องบอกลาแล้วทยอยเดินออกจากห้องไป ทีนี้ก็เหลือผมกับเขาแค่สองคน เอื้อมมือไปจับมือที่มีรอยถลอกมาแนบที่แก้ม อยากให้รู้ว่าความเป็นห่วงที่มันจุกในอกตอนนี้จะส่งผ่านถึงเขาทั้งหมด ไม่รู้เลยว่าจะช่วยให้เขาหายเจ็บได้ยังไงอยากแบ่งเบาความเจ็บปวดเหล่านั้นมาบ้างจัง

“กินยาหรือยัง”

ผมส่ายหน้า จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ไม่ใช่เป็นคนเปราะบางขนาดนี้ แต่พอเป็นเรื่องของคนที่ผมให้ความสำคัญมันก็อ่อนไหวไปหมด

“กอดมั้ย”

“ทะเลจะเจ็บ”

“ไม่เป็นไร” ดีที่เตียงเป็นระบบอัตโนมัติ เขาเลยกดรีโมตแล้วขอบเตียงก็ลดระดับลง ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะโอบกอดร่างที่นอนอยู่อย่างเบาแรงที่สุดเพราะกลัวเขาเจ็บ

“เรากลัวมากเลยนะ ฮึก กลัวว่าทะเลจะเป็นอะไร”

“ไม่เป็นไร กูไม่เป็นไรนะ อยู่ตรงนี้ไง ไม่ได้เป็นผีกำลังหลอกมึงสักหน่อย” มือใหญ่กำลังลูบที่หัวผมเบา ๆ แม้มันจะไม่หนักแน่นอย่างที่เคย แต่ก็รับรู้ได้ว่านี่คือสัมผัสอันคุ้นเคยของเขา คนที่มีอิทธิพลกับผมมากเหลือเกิน

“ทะเล ตอนนี้น่ะ”

“....”

“เราว่า...เรารู้สึกกับทะเลมากกว่าเดิมอีก”

“...”

“...”

“อืม ทะเลก็เหมือนกัน”






End Summer’s Part












#ฤดูร้อนของทะเล


-------------------------------------------


ก้าวกระโดนทั้งเรื่องบาดแผลและความสัมพันธ์55555555555
นี่เป็นนิยายสืบสวนไปแล้วหรือเปล่า ไม่นะะะะะ
ตอนหน้าจะเฉลยแล้วว่านังกวินแค้นอะไรลูกชั้น!!
ตอนหน้าเจอกันค่า และตัวละครลับสุด ๆ big boss คือป๊าของทะเล
รอเลยนะ!!

เจอกันตอนหน้าค่า

อย่าลืมคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้กันนนน

@mifengbeexx

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตอนที่ 16
เจอพ่อ




Sea’s Part


เมื่อคืนนอนก็เหมือนรู้สึกไม่ได้นอน พยาบาลเดินวัดความดันและวัดไข้ทุกสองชั่วโมง เพื่อรีเช็กให้แน่ใจว่าผมจะไม่ป่วยซ้ำซ้อนกว่าเดิม ผมไม่ได้อะไรกับการทำหน้าที่ของพี่พยาบาลเท่าไหร่ เพียงแต่คนที่นอนข้างเตียงคนป่วยและดึงดันจะจับมือกันตลอดพลอยตื่นไปด้วย ยังดีที่โซฟามีล้อลากไม่อย่างนั้นเขาคงได้ฟุบหลับข้างเตียงอย่างที่บอกตอนแรก อาศัยพี่พยาบาลอีกนั่นแหละที่มาช่วย คนเดี้ยงสองคนจะทำอะไรได้มาก ผมสังเกตเห็นเขาผวาที่ถูกปลุกกลางคันเป็นข้อบ่งชี้อีกหนึ่งอย่างว่าเขายังกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะผมด้วย

ท้องฟ้าที่เคยมืดสนิทด้านนอกกำลังถูกแต่งแต้มด้วยสีของวันใหม่ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่นอนบนโซฟาทำให้ผมยิ่งคิดหลายสิ่งหลายอย่างในหัว เขาควรจะได้นอนสบาย ๆ ที่บ้านรักษาอาการป่วยของตัวเอง ไม่ใช่มานอนขดบนโซฟาแคบ ๆ เฝ้าผมที่แข็งแรงยิ่งกว่าม้า

“เราว่า...เรารู้สึกกับทะเลมากกว่าเดิมอีก”

“...”

“...”

“อืม ทะเลก็เหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่มั้ย เราเป็นห่วงมาก ๆ เลย”

“อื้ม ขอโทษนะที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

“...”

“จะทำให้มันจบเร็วที่สุด จะได้ไม่ได้มาเจอเรื่องแบบนี้อีก และโอกาสที่เราเคยให้คิมไปเราจะขอคืน”

“ทะ ทำไมล่ะ คือจะไม่ให้เราทำแบบนี้ละหรอ”

“ไม่ใช่หรอก เราขอโอกาสคืน เพราะเราจะขอโอกาสจากคิมต่างหาก ถ้าดูแลไม่ได้ก็ไม่สมควรดูแล”


ผมมาทบทวนบทสนทนาเมื่อคืนการขอโอกาสจากเขาทั้งที่ตัวเองก็สภาพไม่น่าจะไปฟาดฟันใครได้ นี่มันค่อนข้างน่าไม่อายไปหน่อย แต่ในเมื่อเขาให้มาโดยไม่ต่อรองอะไรสักคำเหมือนที่ผมทำด้วยซ้ำ ก็ควรจะใช้ให้มันดีที่สุด ถ้าสุดท้ายแล้วผมก็ยังไม่มีปัญญาที่จะปกป้องหรือรักษาเขาไว้ได้อีก ที่ตรงนี้ก็ไม่ควรเป็นของผมแต่แรกแล้ว

แม้ความรู้สึกที่มีให้เขาจะไม่เคยลดลงสักวินาที



“เชี่ยทะเล มันเล่นมึงหนักสัส” แทนไทพูดขึ้นหลังจากมันทะเล่อทะล่าผลักประตูเข้ามาไม่เคาะสักแอะ ตามมาด้วยก๋วยเตี๋ยวในชุดไปรเวทสบาย ๆ  วันนี้วันหยุดพวกมันเลยมาหาผมตั้งแต่เช้า แต่พยาบาลพามาไปทำทีซีสแกนก่อน พวกมันเลยได้นั่งรอที่วอร์ดเพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินในห้องผู้ป่วย ส่วนคิมก็ติดสอยห้อยตามผมไปด้วยนั่นแหละ พี่บุรุษพยาบาลก็ใจดีเข็นรถเข็นให้ตลอด

“อืม บอดี้การ์ดสองคนเล่นกูจากข้างหลัง ถ้ารู้ก่อนหัวคงไม่แตก”

“แล้วนี่พอจะรู้ยังว่ามันทำไปทำไมอะ” ก๋วยเตี๋ยวถามขึ้น

“นี่รู้แล้วหรอว่าใครทำกู?” เพื่อนสองคนของผมพยักเพยิดไปที่คนขาเจ็บที่นั่งบนโฟซาตัวที่นอนเมื่อคืน ตอนนี้มันถูกดันไปชิดผนังเหมือนเดิมแล้ว คงคุยกันตอนรอที่หน้าห้องเอ็กซเรย์

“แต่ถึงคิมไม่บอกกู เขาก็ลือกันทั่วมหาลัยแล้วแหละ เรื่องมีคนยิงปืนในมหาลัยยังไงก็ต้องเป็นข่าว ตอนแรกกูคิดว่าอธิการจะพยายามปิดข่าว แต่ผิดคาดว่ะ เมื่อคืนรองอธิการสัมภาษณ์ว่าจะต้องหาคนมาผิดให้ได้” แทนไทพูดพลางกอดอกไปด้วย

“กลัวนักการเมืองกับกลัวปลดออกจากตำแหน่ง มึงว่าอันไหนน่ากลัวกว่ากัน” ก๋วยเตี๋ยวสมทบ

“หึ”

แม้จะผิดคาดนิดหน่อย แต่ก็พอจะเดาเรื่องราวเบื้องหลังความสัมพันธ์ที่แตกระแหงของอธิการบดีและนักการเมืองคนดังได้ ส.ส.สอบตกแต่อยู่ได้เพราะอิทธิพลของตระกูลนักการเมือง กับว่าที่นักการเมืองน้ำดีของพรรคที่ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด แน่นอนว่ายังไงการทิ้งคู่ค้าเก่าที่ด่างพล้อยก็ง่ายกว่าการเอาตำแหน่งหน้าที่ที่สดใสตรงหน้ามาแลก

“แล้วคิมเจ็บมากเปล่า” ก๋วยเตี๋ยวเดินเข้าไปหา สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วเหมือนเด็กมัธยมไม่มีผิด

“ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ใส่เฝือกก็น่าจะเจ็บมั้ง หมอบอกกระดูกร้าวอะ” เพื่อนตัวขาวของผมหยิบปากกาเมจิกด้ามสีชมพูออกมา ก่อนจะนั่งยอมแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงบนเฝือก

‘Get well soon’ และรูปพระอาทิตย์หน้ายิ้ม

“เราเจิมให้ หายไวไวนะคิม ขอโทษแทนทะเลด้วยที่ทำให้ต้องมาเจ็บตัว”

“ขอบใจนะ เราไม่เป็นไร ทะเลขอโทษเราพันครั้งได้แล้วมั้ง” พูดเสร็จก็หันมายิ้มหวานให้ผมที

จริง ๆ ผมน่ะไม่ได้จะเต๊ะท่าหรือเก๊กเป็นเคร่งขรึมอะไรหรอก แต่ที่แสดงออกไปแบบนี้ก็เพราะส่วนหนึ่งพยายามจะปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดที่เคยเจอ ปฏิเสธความสัมพันธ์แทบจะทุกรูปแบบที่เข้ามาก่อนหน้า แค่คำว่าเพื่อนผมยังรู้สึกสนิทใจที่จะเรียกแค่ไม่กี่คน มันคงเป็นกลไกของร่างกายที่พยายามจะสร้างเกราะอะไรบางอย่าง การที่กลายเป็นคนพูดน้อย ยิ้มยาก และแทบไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกไป มันทำให้ผมไม่เป็นตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้

อาจจะเพราะความกลัว
กลัวว่าจะผิดหวัง
กลัวถูกปฏิเสธ
กลัวที่จะต้องรู้สึก
เลยเลือกที่จะทำกับคนอื่นก่อนที่ตัวเองจะโดนกระทำกลับล่ะมั้ง

แต่พอได้กลับมาเจอคิมหันต์ ความรู้สึกเหล่านั้นมันเจือจางลงอย่างประหลาด ผมพูดเยอะขึ้นอย่างฉงนตัวเอง หัวเราะแม้จะขืน ๆ เพราะความโก๊ะกังของเขา และยิ้มกับเรื่องเล็กน้อยอย่างเขายิ้มกว้างให้ตอนนี้


ก๊อก ก๊อก


“ป๊า ม้า” คนเปิดประตูไม่ใช่คนที่ผมขานชื่อ แต่เป็นเลขาของป๊าที่อยู่มานานก่อนผมเกิดเสียอีก

“ไงน้องชาย เลือดคั่งในสมองหรือเปล่า”

“ลมอย่าพูดเป็นลาง ม้ายิ่งใจคอไม่ดีอยู่ ทะเลหมอว่ายังไงบ้างลูก” ผู้หญิงผมสั้นดัดลอนสวยและใบหน้าอิ่มเอิ่มเดินตรงมาหาผมที่เตียง เธอจับหน้าและใช้สายตาแห่งความห่วงใยทั้งหมดที่มีมองผมด้วยความอ่อนโยน “ม้าเป็นห่วงแทบแย่เลยนะ”

“ทะเลไม่เป็นไรม้า หมอบอกไม่มีอะไรกระทบกระเทือนสมองปกติดีครับ แค่หัวแตกเฉย ๆ”

“งั้นก็ค่อยยังชั่วค่ะ ตอนที่เหนือกับลมมาบอกป๊ากับม้า ม้าแทบเป็นลมหัวใจเกือบหยุดเต้นแหนะ”

“เหมือนจะล้อเล่นนะไอ้เล แต่ม้าเป็นงั้นจริงว่ะ” สายลมพูดขัดขึ้นมาก อีกฝ่ายยืนมองผมที่ปลายเตียง ด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

“ทำไมมีอะไรถึงไม่บอกป๊าเอง” พี่ชายทั้งสองคนยกมือสองข้างแล้วเดินหลบไปยืนมุมห้อง ส่วนม้าก็ถอยหลังให้ป๊าเดินมายืนใกล้เตียงมากขึ้น

ผู้ชายวัยแซยิดมีลักษณะของความเป็นคนจีนเต็มเปี่ยม ใบหน้าอาบไปด้วยความเมตตาและใจดี ตัวสูงใหญ่มีพุงพลุ้ยดูภูมิฐาน มองจากภายนอกก็คงไม่ต่างจากเศรษฐีนีมีตังค์ หรือเสี่ยเจ้าของกิจการ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องเส้นทางของการเป็นนักต่อสู้ของป๊าว่ากว่าจะมาถึงจุดที่ทุกคนให้เกียรติและเยินยออำนาจเงินนั้นเขาต้องผ่านสมรภูมิอะไรมาบ้าง

ผมยกมือไหว้ป๊าก่อนจะพูดคำเดียวที่นึกออก “ทะเลขอโทษครับ”

“ไม่ต้องขอโทษป๊า เพราะทะเลไม่ได้ทำผิดต่อป๊า แต่ทะเลควรขอโทษเพื่อนคนนั้นที่เขาให้เขาพลอยเดือดร้อนไปด้วย” คุณธาราพยักเพยิดใบหน้าไปที่ผู้ชายที่นั่งตัวเกร็งกับการที่ต้องมาเผชิญหน้ากับครอบครัวผมอย่างไม่ทันตั้งตัว แถมป๊ายังมาในมาดดุสุด ๆ

“เอ่อ...คุณลุงเรื่องนี้ทะเลไม่ผิดหรอกครับ ทะเลไม่รู้เรื่องจริง ๆ อีกอย่างเขาก็ขอโทษผมแล้ว ผะ ผมไม่เป็นอะไรมากคะ ครับ...”

ป๊าผมเดินเข้าไปหาคิม เขาจึงพยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยการใช้ไม้ค้ำยันตัวเองขึ้นมา “ไม่ต้องลุก ๆ”

“ป๊าขอโทษหนูอีกครั้งแทนลูกป๊าที่ทำให้ต้องมาเจ็บตัว” ป๊าผมโค้งตัวก้มหัวให้กับคิม อีกฝ่ายดูตกใจอย่างมากกับสิ่งที่ป๊าทำ แน่นอนแทนไทและก๋วยเตี๋ยวก็ตะลึงงันไม่แพ้กัน พวกมันสองคนเคยเจอพ่อผมแล้วแต่คงไม่เคยเจอในมาดแบบนี้

มันคือวิธีการขอโทษในแบบสูงสุดที่พ่อผมจะทำให้กับทุกคน เพราะผมก็ถูกสอนมาแบบนี้เหมือนกัน

“เอ่อ ผะ ผม คุณลุงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ครับ ผะ ผม” คิมพูดไปพลางยันตัวเองยืนขึ้น “ผมเป็นเด็กอย่าทำแบบนี้เลยนะครับ” ก่อนที่เขาจะยกมือไหว้ป๊าผมคืนแม้จะง่อนแง่นตามกำลังของคนไม่ปกติจะทำได้

“ป๊าสอนลูกทุกคนเสมอ เราต้องปกป้องคนที่เรารัก ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน มนุษย์ร่วมโลก ถ้ากำลังเรามี ทะเลมีทุกอย่างที่ทำได้ แต่ทะเลก็พลาด การใช้ชีวิตอย่างไม่มีสติและประมาทจะทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่เป็นคนอื่นที่มารับเคราะห์แทน”

“...”

“ที่สำคัญคิดเอาเองว่ากำลังที่มีมันมากพอที่จะตัดสินใจทำอะไรคนเดียว ไม่บอกพี่ ไม่บอกครอบครัว ป๊าเลยมีส่วนผิดเต็ม ๆ ที่ทำให้หนูต้องเจ็บตัว การก้มหัวขอโทษใครมันไม่เคยลดทอนศักดิ์ศรีของมนุษย์ มันคือความรับผิดชอบที่ทุกคนต้องมีและทำได้”

“...”

“ป๊าต้องขอโทษอีกครั้งนะ” ผู้ชายสูงวัยเอื้อมมือไปลูบผมของคิมหันต์ เขาเบิกตาขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วยกมือไหว้พ่อผมอีกแล้ว

“คมเดี๋ยวให้รถอีกคันมารับหนูคนนี้ด้วย หากระเช้ากับของฝากดี ๆ ผมจะไปหาพ่อกับแม่เขาที่บ้าน”

“คะ ครับ ไปหาพ่อแม่ผมหรอครับ”

“ให้ป๊ากับม้าไปหาเถอะนะ ม้าไม่สบายใจจริง ๆ” คิมหันมามองหน้าผมเสมือนถามความเห็น ผมพยักหน้าเบา ๆ ไปให้ เพราะออกจากโรงพยาบาลผมก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เรียนรู้แล้วว่าบางเรื่องก็จัดการด้วยกำลังตัวเองไม่ได้

“งั้นก็ได้ครับ”

“ทะเลไปด้วยนะป๊า หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้เลย น่าจะช่วงเที่ยงครับ”

“งั้นก็ดี มีหลายเรื่องที่ต้องรีบจัดการ ป๊าพยายามติดต่อกับทางนู้นแล้วแต่ยังเงียบ คงหนีนักข่าวอยู่ ทะเลพอจะรู้ต้นตอของเรื่องหรือยังว่าทำไมเขาถึงพยายามทำอะไรแบบนี้”

“พอจะนึกออกครับ”

“เหนือลองให้เพื่อนสืบดู มันมีประวัติการรักษาจิตเวชมาหลายปีแล้วตั้งแต่อยู่อังกฤษ ถ้าพวกมันจะเอาเรื่องนี้มาแก้ต่างเราจะทำยังไงดี” พี่ชายคนโตยังคงทำหน้าที่เป็นแบ็คอัพให้น้องเสมอ เขารู้ว่าจะต้องทำอะไร มีวิธีปกป้องน้องในแบบของตัวเองมาตลอด ผมคิดนะถ้าเรื่องนี้เหนือรู้เรื่องตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้

“ก็คงว่ากันตามหลักฐาน เดี๋ยวทนายจะมาเย็นนี้ ทะเลก็บอกสิ่งที่รู้ให้เขาฟังแล้วกัน” ผมพยักหน้ารับกับสิ่งที่คนเป็นพ่อบอก

“หนูชื่ออะไรนะ คิมใช่มั้ย”

“คะ ครับ คิมหันต์ครับ”

“ฤดูร้อน ชื่อดีนะ ไปกินข้าวกับป๊าม้าสิ ปล่อยให้ทะเลมันกินข้าวโรงพยาบาลไป แทนกับเตี๋ยวด้วยป่ะ”

พ่อผมชักชวนเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมให้ออกจากห้องพักไป คิมหันต์มองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะรอให้ทุกคนออกไปแล้วเขาจึงเดินเข้ามาใกล้เตียง ก่อนจะจับมือผมแล้วลูบที่ผิวเบา ๆ “เดี๋ยวมานะ”

“ไปเถอะ ไม่ต้องคิดมาก ทำตัวปกติแหละ ป๊าม้าใจดีกับเพื่อนกูทุกคน”

“เพราะตอนนี้เป็นเพื่อนกันใช่มั้ย” เขายู่ปากแบบที่ชอบทำ

“อีกเดี๋ยวจะไม่ได้เป็นละนะ ใช้ให้คุ้มหน่อย”

“เหอะ พูดดีไปเถอะ ถ้าป๊าม้ารู้คงไม่ใจดีกับเราแบบนี้ใช่หรือเปล่า”

“ให้ได้เป็นมากกว่าเพื่อนก่อนค่อยมาคิดมั้ยนุ่มนิ่ม”

“เบื่อทะเลว่ะ”

ผมเชื่อว่าเขาก็รับรู้มาโดยตลอดว่าผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน ไม่ต่างจากที่เขารู้สึก อาจจะรู้สึกมากกว่าเขาก็ได้ เพราะการรออย่างไม่คาดหวัง พอมีหวังมันยิ่งทำให้รู้สึกมากกว่าเดิม การเป็นทะเลที่แสดงออกไม่เหมือนเดิม แต่ทะเลก็ยังเป็นคนเดิม ผมก็ยังเป็นผม และผมก็เชื่อว่าเราต่างเข้าใจในความรู้สึกที่มีต่อกันดี เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแจกแจง และถ้าผ่านเรื่องนี้ไป ความชัดเจนมันควรเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเราได้สักที

ต้องเข้มแข็ง และปกป้องเขาให้ได้ดีกว่าที่ผ่านมา











มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2020 21:56:58 โดย mifengbee »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“ขอบคุณคุณธารานะครับที่ให้เกียรติครอบครัวเราขนาดนี้” พ่อของคิมเดินออกมาส่งพวกเราที่หน้าบ้าน จริง ๆ ครอบครัวเราทำธุรกิจใกล้เคียงกัน เพียงแต่พ่อผมครองตลาดใหญ่กว่าเท่านั้น

“ไม่ได้หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ไม่เอาเรื่องที่ทำให้น้องคิมต้องเจ็บตัว” พ่อผมยืนหน้ารถเอามือประสานกัน โดยมีผมยืนขนาบข้างหลัง เหนือกับลมไม่ได้มาด้วย

“ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกครับ ทะเลก็ช่วยดูแลคิมมาตลอด พ่อขอบใจนะ” พ่อของคิมตบบ่าผมเบา ๆ

“ครับ ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” ผมยกมือไหว้พ่อของคิมอีกรอบ

“ยังไงเรื่องคดี เดี๋ยวจะให้ทนายติดต่อมาทางนี้อีกครั้งนะครับ”

“ได้ครับ ยังไงรบกวนด้วย ทางผมก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ อีกฝ่ายมีเส้นสายใหญ่โตด้วย”

“ไม่ต้องห่วง จะไม่กระทบกับคุณแน่นอน ทนายผมน่าจะมีวิธี อีกอย่างการไปศาลของผมเหมือนไปเดินเล่นอยู่แล้ว ฮ่า ๆ” ป๊าพูดติดตลก ก็เพราะธุรกิจที่พ่อผมทำมันเกี่ยงโยงกับพวกนายทุน นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการ ก็ถ้าไม่มีคอนเน็กชั่นพวกนี้ก็ต้องใช้กฎหมายคุยกันอย่างเดียว

ผมบอกลาคุณพ่อของคิม พร้อมยิ้มให้กับคนที่ยืนหน้าบ้านก่อนจะขึ้นนั่งข้างหน้าข้างพี่คมคนขับ คิมอยากมาส่งที่รถแต่ป๊าห้ามไว้ซะก่อน ไม่งั้นอาการบาดเจ็บที่ขาคงไม่มีทางทุเลาถ้ายังขยันเดินแบบนี้

“รู้จักกันนานแล้วหรอ ทำไมไม่เคยพามาที่บ้านเลยล่ะทะเล” หม่าม้าถามขึ้นมาหลังจากรถเลี้ยวออกจากหมู่บ้าน

“ตั้งแต่มอปลาย ทะเลเคยติวให้เขาก่อนจะเข้ามหาลัย”

“อ้าว แล้วทำไมคิมอยู่ปีหนึ่งล่ะ ซิ่วมาหรอ”

“ตอนแรกคิมสอบติดบริหารอีกที่แต่ไม่ชอบเลยซิ่วมาเรียนศิลปกรมแทนน่ะม้า”

“เป็นคนที่ดูมีพรสวรรค์ แต่ก็ขยันไม่หยุดพัฒนา ดูฉลาด แถมมีมารยาทด้วย” ป๊าพูดขึ้น พ่อผมเป็นคนอ่านคนเก่งมาก ๆ ไม่ใช่พวกชอบดูโหงวเฮ้งหรืออะไร แต่ท่านมักจะสามารถมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าคิมได้ยินคงดีใจที่มีคนชมแม้จะเจอกันไม่กี่ชั่วโมง

แต่ก็คงคนละเรื่องกับการยอมรับในฐานะแฟนลูกชาย

“ไว้ชวนมาบ้านเราสิ”

“ครับป๊า”



“ท่านครับ ทนายฝั่งนู้นติดต่อมาว่าจะขอเจรจาก่อนที่คดีจะเดิน” ทนายประจำบ้านของผมรีบเดินมารับป๊าทั้งที่รถยังจอดไม่สนิทดีด้วยซ้ำ

“คุณพงษ์คิดว่ายังไงล่ะ”

“ผมยังไม่ได้ตกลงอะไรไป คิดว่าควรมาถามท่านและคุณทะเลก่อน”

“งั้นก็ลองคุยกับคนต้นเรื่องแล้วกัน ว่าเราควรจะตัดสินใจยังไงดี ผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องกับพวกนักการเมืองเท่าไหร่ เสียเวลาชีวิต”

“ครับ เดี๋ยวยังไงคุณทะเลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟังก่อน แล้วค่อยหาวิธีกันอีกที”








2 วันต่อมา

@มหาวิทยาลัย

เมื่อวานก่อนผมเล่าเรื่องให้คุณอาสมพงษ์ฟัง ท่านก็ให้คำแนะนำในการเจรจาก่อนจะมีการดำเนินคดี เพราะอีกฝ่ายวิ่งเต้นจนเรื่องเกิดมาสามวันแล้วก็ยังไม่มีการสืบคดีใด ๆ และข่าวก็เงียบหายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น การคุยกันในวันนี้จึงเกิดที่มหาวิทยาลัยและมีผู้บริหารมหาวิทยาลัยเข้าร่วมฟังด้วย ในฐานะเจ้าของสถานที่เกิดเหตุ และผมในฐานะว่าที่โจทย์ที่จะแจ้งความและฟ้องเอาผิด

ห้องประชุมภายในตึกอธิการบดี ตกแต่งหรูหรา ด้วยชุดเฟอร์นิเจอร์หลุยส์ยกเซต ผมไม่เคยเข้ามาในนี้แต่คิดว่าเกินความจำเป็นไปหน่อย ความเย็นต้อนรับผมจากการเปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำ ภายในห้องโล่งยังไม่มีใครมานอกจากทนายของฝั่งกวิน

ขณะที่นั่งรอไม่นานอธิการบดีและทนายประจำมหาวิทยาลัยก็เดินเข้ามา ทักทายกันเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงคนอีกกลุ่มเดินเข้ามาเหมือนกัน กวินในลุคที่ดูโตกว่าเดิม วันนี้เขาสวมสูทสีดำเข้าชุด ผมถูกตกแต่งด้วยเจลเรียบแปล้ สะอาดสะอ้าด สมเป็นคุณชายลูกนักการเมือง ต่างกับกวินที่ทำร้ายผมวันนั้นโดยสิ้นเชิง

“สวัสดีครับคุณธารา” นักการเมืองชื่อดังทักทายพ่อของผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผู้หญิงที่นั่งถัดมาน่าจะเป็นแม่ของกวิน

“สวัสดีครับคุณกรณ์” พ่อผมเอ่ยทักทายกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกัน

“ผมสุธีทนายคุณกวินนะครับ ที่เปิดขอเจรจาวันนี้ก็เพราะคิดว่ามีหลายเรื่องที่น่าจะคุยกันได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นศาลกันให้เมื่อย อย่างแรกเลยต้องเรียนแจ้งว่าคุณกวินไม่ภาวะทางจิตใจที่อ่อนไหว อาจจะทำอะไม่รู้ตัว ทางผมมีหลักฐานการรักษาเพื่อที่ให้ทางคุณธาราและคุณทะเลได้พิจารณาครับ”

“ผมสมพงษ์ทนายของคุณทะเล ขออนุญาตรับทราบหลักฐานดังกล่าว แต่ความผิดเกิดขึ้นไปแล้วแค่หลักฐานการรักษาไม่น่าจะใช้อ้างได้ อันนี้ผมต้องขออนุญาตส่งเรื่องขอตรวจสอบอาการของคุณกวิน เนื่องจากถ้าอาการทางจิตหนักและครอบครัวไม่สามารถดูแลรับผิดชอบได้ ก็จะเป็นอันตรายกับคนทั่วไปนะครับ ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่ายังไงครับ”

“ฝั่งมหาวิทยาลัยเห็นด้วยครับ” ทนายของมหาวิทยาลัยพูดพลางขยับแว่นตา

“แต่ทางผมก็จะขอตรวจสอบเรื่องต้นเหตุขออาการทางจิตคุณกวินเช่นกันนะครับ ถ้าคุณทะเลยังจำเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้ ว่าเคยกลั่นแกล้งเพื่อนคนหนึ่งจนเขาป่วยทางจิตนับแต่นั้น”

ผมได้ยินเสียงหายใจแรงขึ้นของกวิน ราวกับความทรงจำช่วงนั้นย้อนกลับไปหาเขาอย่างรุนแรง “ผมว่าผมพอจะจำได้ และค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้ทำอะไรให้เควิลต้องป่วย นอกจากเขาทำตัวเอง”

“ไอ้ทะเลมึง!!!”

“กวิน! หยุด!!” พ่อของกวินตบโต๊ะเสียงดังเมื่อเห็นว่าลูกชายเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ และพอพ่อเขาปราบเช่นนี้ ตัวกวินดูกลัวและหวาดผวาขึ้นมาแต่ก็สงบลง

“คุณทะเลเล่าเรื่องตอนนั้นให้ฟังได้มั้ยครับ” อาสมพงษ์พูดขึ้น

“ครับ” ผมเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนที่บ้านฟังครั้งแรก เพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่จนล่วงเลยมาหลายปีแล้วกลับต้องมาย้อนความทรงจำ เพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ผมไม่ได้เป็นคนผิดแม้แต่น้อย

“ตอนมอสี่ที่ผมไปแลกเปลี่ยนไฮสคูลที่อังกฤษ ตอนนั้นมีเด็กไทยประมาณสามสี่คน และหนึ่งในนั้นคือเด็กผู้ชายผอมสูงพูดน้อยและไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมกับคนอื่นเท่าไหร่ เควิลเขาแนะนำตัวกับเพื่อนในคลาสแบบนี้”

“...”

“เควิลไม่ใช่แค่พูดน้อยแต่เก็บตัว นาน ๆ ทีผมถึงจะเห็นเขาที่แคนทีนในตอนกลางวัน ตลอดปีการศึกษาผมเจอเขาแทบนับครั้งได้ จนวันหนึ่งมีเพื่อนคนไทยเจอถุงพลาสติกข้างในมีใบไม้แห้ง ๆ ในล็อกเกอร์ ซึ่งตอนนั้นเองผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เลยบอกให้เพื่อนเอาไปทิ้ง จนไปเสิร์จในอินเทอร์เน็ตก็รู้ว่ามันคือกัญชา ตอนนั้นพวกเกรดสูง ๆ ชอบเล่นกัน”

“...”

“วันหนึ่งผมกลับบ้านช้าเพราะมีคัดเลือกนักกีฬาว่ายน้ำ เลยเห็นผู้ชายคุ้นตากำลังพยายามงัดล็อกเกอร์ของผมอยู่ และคน ๆ นั้นคือเควิล ผมพยายามพูดคุยและถามหาเหตุผลแต่แล้วเขาก็เลือกที่จะเดินหนี ผมไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

“...”

“จนจู่ ๆ ก็มีประกาศเสียงตามสายเรียกเควิลเข้าพบ เพราะยามเห็นเขาพยายามงัดล็อกเกอร์ผมอีกครั้งในวันหยุด และพอออกจากห้องพักครูเขาก็มาชี้หน้าผมว่าผมเป็นคนฟ้อง
ครู” ผมมองหน้าเควิลที่กำลังสะกัดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ เขาตัวสั่นและน้ำตาไหลออกมาอย่างพรั่งพรู แต่ไร้เสียงสะอื้น

“ผมไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นเควิลไปไหน เพื่อนพูดกันว่าเขาลาออกจากโรงเรียน”

“หึ กูถูกไล่ออกต่างหาก! ไม่ต้องมาตอแหลให้ตัวเองดูดี มึงนั่นแหละที่ทำลายชีวิตกู” กวินพูดเสียงสั่น แม่ของเขากอดเขาไว้ พยายามทำให้เขาสงบ แต่ลูกชายตัวโตกว่าเธอมาก กวินเลยลุกยืนขึ้นแล้วชี้หน้าผมด้วยแววตาวาวโรจน์ เขาเหมือนพยายามจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีเสียงออกมาจากลำคอ เพราะพ่อของเขามองด้วยสายตาโกรธจัด

“คำพูดไม่กี่คำของเธอมันพิสูจน์ความจริงไม่ได้หรอกนะ ไหนล่ะหลักฐาน แต่ลูกชั้นน่ะมีหลักฐานชัดเจน พวกคุณก็น่าจะเห็นนี่!!” พ่อของกวินพูดเสียงดัง

“ครูที่โรงเรียนยินดีจะให้ข้อมูลและบันทึกของโรงเรียนในช่วงนั้นครับ ผมได้ติดต่อไปแล้ว” คุณอาสมพงษ์ส่งสำเนาบันทึกของโรงเรียนให้ทนายอีกฝั่งได้ดู

“หึ รังแกได้แม้กระทั่งคนป่วย มันเป็นบ้าขนาดนี้ยังจะเอาเรื่องมันอีกหรอ ใจร้ายจริง ๆ” คำพูดของนักการเมืองชื่อดังเหมือนทำให้พ่อของผมที่นั่งเงียบมานานถึงกับต้องออกปากเอง

“คนบ้าที่คุณว่านั่นลูกชายคุณ ความรับผิดชอบของคุณ และอาการของเขาเกือบทำให้คนตาย ทนายผมสามารถยื่นฟ้องในข้อหาเจตนาฆ่าได้เลย แต่ที่มาวันนี้เพราะอยากให้คุณกรณ์และลูกชายแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ทุกคนในห้องเงียบ มีแต่เสียงสะอื้นของกวินที่คลอกับเสียงเครื่องปรับอากาศ

“ถ้าฝั่งคุณกรณ์จะสืบสานเรื่องราวทั้งหมดก็ได้ครับ ยินดี จะได้รู้ที่มาที่ไปด้วยว่าเรื่องมันเกิดจากอะไรกันแน่ ถ้าลูกผมผิดผมยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง”

“ด้วยเงินเท่าไหร่ดีล่ะ ไม่ง่ายเลยนะที่จะเลี้ยงคนโรคจิตมาได้”

“ฮือออ ฮึก” กวินส่งเสียงร้องไห้ด้วยอาการฟูมฟาย ทั้งน้ำตา น้ำมูก และน้ำลายผสมปนเปกันไปหมด

“ชู่ว ลูกไม่เป็นไรนะครับ แม่อยู่ตรงนี้ คุณ!! พอสักทีเถอะค่ะ”

“กูเกลียดมึง!! กูเกลียด!!” กวินลุกขึ้นตะโกนใส่พ่อของเขาเสียงดัง และใช้กำปั้นทุบตามใบหน้าและร่างกายตัวเอง ทุกคนในห้องต่างตกใจกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น แม่ของเขาพยายามรั้งและห้ามไม่ให้กวินทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่พลังที่น้อยกว่ามากเลยทำให้หมัดเหวี้ยงโดนไปด้วย จนตัวเองล้มลงกับพื้น

“มึงทำแม่ทำไม!!” พ่อของกวินเงื้อมือทำท่าจะตบเขา กวินยกมือป้องกันตัวเอง ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป

“คุณเจ็บหรือเปล่า”

“ปล่อยฉัน!! คุณมันบ้าอำนาจ บ้าเงิน ทำร้ายทุกคนเพื่อตัวเอง ทำกระทั่งลูกในไส้! ที่กวินเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปโทษคนอื่นหรอกค่ะ คุณทั้งนั้นที่กดดันลูกสารพัด บีบบังคับราวกับเขาไม่ใช่คน ฉันน่าจะพาลูกหนีคุณไปตั้งนานแล้ว!”

คุณกรณ์เงื้อมือขึ้นอีกรอบทำท่าจะตบภรรยา แต่พ่อของผมมือไวกว่าจับแขนของเขาไว้พอดี

“พอเถอะครับ” พอแม่ของกวินเห็นจึงรีบวิ่งออกจากห้อง คงรีบไปตามลูกชายของเธอ

“อย่ามายุ่ง!” นักการเมืองปัดมือพ่อผมออก “ถ้าจะเล่นกับกูคิดดี ๆ แล้วกัน ไม่ได้ขู่ กลับ!”

อีกฝ่ายชี้หน้าพ่อผมเป็นฉนวนเปิดศึกครั้งนี้ ทนายฝั่งตรงข้ามหน้าถอดสีก่อนจะออกจากห้องไปเงียบ ๆ ส่วนอธิการบดีถอนหายใจเฮือกกับภาพที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่กวินเผชิญมาตลอดชีวิตไม่ใช่แค่โรคที่กัดกิดสุขภาพเขา แต่สิ่งแวดล้อมก็กัดกินจิตวิญญาณเขาราวกับเนื้อร้ายที่ชื่อว่าครอบครัว ผมไม่เคยเข้าใจว่าครอบครัวแย่ ๆ หรือพ่อแม่รังแกฉันเป็นยังไง เพราะไม่เคยเจอ แต่พอได้เห็นภาพเมื่อครู่กลับรู้สึกเห็นใจกวินจับหัวใจ การแสดงออกของเขามันคือผลพวงของการเลี้ยงดูมาตลอด

“พงษ์ดำเนินการตามที่ควรแล้วกัน ขอบคุณท่านนะครับที่ให้เกียรติมา” พ่อผมโค้งให้อธิการบดีเล็กน้อย

“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วครับ แล้วทะเลโอเคหรือยัง ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไหม ยังไงเรื่องเคลมประกันเดี๋ยวทางมหาวิทยาลัยจะรับผิดชอบให้นะ”

“ขอบคุณครับ เอ่อ อาจารย์ครับ อย่าลืมของคิมหันต์ด้วยนะครับ”

“อ้อ ได้สิ รายงั้นดีขึ้นหรือยังล่ะ”

“ถ้าไม่ขยันเดินอีกสองสามอาทิตย์น่าจะหายครับ”

“ดี ๆ ยังไงเรื่องคดีเดี๋ยวให้ทางทนายคุยกันได้เลยนะครับ ผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้ผ่านไปเฉย ๆ ในวาระผมแน่”

“ได้ครับ” อาสมพงษ์รับปาก

ผมเดินมาส่งป๊าที่อาคารจอดรถ เพราะมีเรียนช่วงบ่ายต่อ บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรมากหัวแตกแค่นี้ผมสบายมาก กลับกันคิมหันต์ต้องหยุดเรียนอีกประมาณอาทิตย์หนึ่ง ไม่ใช่หมอสั่ง แต่ผมสั่งเอง

“น่าสงสารเด็กคนนั้น ไม่รู้ต้องทนมือทนเท้าพ่อตัวเองมานานแค่ไหน ยังไงช่วงนี้อย่าเพิ่งไปไหนมาไหนเองแล้วกัน เดี๋ยวให้คนมารับส่ง ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

“ครับ ขอบคุณนะป๊า”

“ถ้าวันนี้จะไปหาคิม ป๊าฝากชวนมาวาดรูปที่บ้านเรา ถ้าเขาเบื่อ ๆ”

“เดี๋ยวจะลองชวนให้ครับ”

“อืม ป๊าไปล่ะ”

ถ้ารู้ว่าคิมหันต์ไม่ใช่แค่เพื่อนใหม่ที่ป๊าถูกชะตา ป๊าจะยังเอ็นดูคน ๆ นี้อยู่หรือเปล่า
จะเข้าใจลูกเหมือนที่เคยเข้าใจมาตลอดได้ไหม
จะยอมรับรสนิยมของลูกแบบนี้ได้หรือเปล่า

แต่ไม่ว่ายังไงต่อจากนี้ทะเลก็จะไม่ให้ฤดูร้อนไปไหนอีกแล้วแหละ
จะปกป้องให้ได้ด้วยชีวิตที่มีเลย










-------------------------------------------

ขอโทษน้าที่หายไปสองอาทิตย์เต็ม ๆ เลย

กลับมาแล้ว ตอนนี้เขียนยากนิดหน่อย แฮะ ๆ หมดละค่ะดราม่าต่าง ๆ 

ต่อจากนี้มีแต่ความหวานจนมดขึ้นตา55555555 

ขอบคุณทุกคนที่รอน้าาา



รออ่านคอมเมนต์ค่า



@mifengbeexx

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
ขอให้คุณพ่อยอมรับได้ด้วยเน้ออ
 :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด