THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63  (อ่าน 6858 ครั้ง)

ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่10 26/4/63
«ตอบ #30 เมื่อ26-04-2020 02:05:57 »

บทที่สิบ หุบเขากระจก

   อากาศในยามใกล้รุ่งช่างหนาวเหน็บจนทำให้ร่างกายแทบกลายเป็นน้ำแข็ง พีทลืมตาขึ้นมาท่ามกลางท้องฟ้าที่พระจันทร์ใกล้จะลาลับเพื่อเปิดทางให้พระอาทิตย์ขึ้นมาเป็นสัญญานการรับกับวันใหม่ ดวงตาสีทรายกระพริบเพื่อให้ปรับเข้ากับแสงของกองไฟตรงหน้าที่มีแวมป์นั่งปิ้งขนมปังกระเทียมส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทำให้ชายหนุ่มแทบอดใจไม่ไหวเพราะกลิ่นมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน

                “ ทำไมตื่นเร็วนักล่ะ ผลัดนี้ต้องเป็นของเดรโก้ไม่ใช่เหรอ ? ทำไมนายถึงได้มานั่งปิ้งขนมปังจนปลุกฉันขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ” พีทถามด้วยความสงสัย “ หรือว่ามันปวดหลังนอนไม่สบายตัวแน่ๆเลยขอโทษนะ ที่พามาลำบากด้วยอย่างนี้” เขาก้มหน้าเพื่อหลบแววตาที่อ่อนแอของตนเอง

                “ จะมาดราม่าอะไรเนี่ยฉันก็แค่นอนไม่หลับ” แวมป์เอ่ยพลางยื่นถ้วยกาแฟสีดำปี๋ให้กับชายหนุ่ม “ อีกอย่างนึงนะเราเป็นทีมเดียวกันลำบงลำบากอะไรกันคิดมาก รู้อะไรมั้ยตอนที่ฉันถ่ายหนังเหนื่อยกว่านี้อีก แค่นี้สบายมาก”

                “ ขอบใจนะ สำหรับทุกเรื่อง กาแฟนี่ก็ด้วย อุ่นขึ้นเยอะเลย”

                “ ถ้านายยังขอบคุณฉันอีกล่ะก็ฉันจะกลับล่ะนะ” แวมป์เอ่ยติดตลก “ ฉันว่าคนที่นายควรจะขอบคุณจริงๆนะควรจะเป็นคุณมิวส์มากกว่าเพราะจริงๆแล้วเขาไม่ควรมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้กับพวกเราด้วยซ้ำ แต่เขาก็มาเพราะว่าเขา”

                “ ขนมปังไหม้แล้วครับ” เสียงของมิวส์ที่ลุกขึ้นมาขัดสิ่งที่แวมป์กำลังจะเอ่ยเพราะเขานอนฟังการสนทนามาสักพักแล้ว “ ขอกาแฟหน่อยได้ไหมครับคุณแวมป์” มิวส์ทำเสียงแข็งเพื่อพยายามส่งสันญาณว่าไม่ควรบอกในสิ่งที่เขากำลังจะพูด

                “ นี่ขนมปังหอมฉุยกำลังน่ากินเชียวลองดูสิพีท” เขายื่นขนมปังกระเทียมที่สีคล้ำจนแทบไหม้มาให้ชายหนุ่ม “ กินไปก่อนนะฉันจะไปปลุกไซต์กับเดรโก้เสียหน่อย”

                ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมรอบกองไฟที่มีเพียงสองหนุ่มนั่งอยู่จนทำให้ใครบางคนถึงกับอึดอัดจึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

                “ แผลที่หัวคุณเป็นยังไงบ้างครับ หายดีหรือยัง? หนาวไหมคะ? หิวหรือเปล่า?” พีทรัวคำถามออกไปอย่างประหม่าจนชายหนุ่มตรงหน้าอมยิ้มในความไม่เป็นตัวเองของอีกฝ่าย “ หัวเราะอะไรเหรอ? ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ?”

                “ คุณไม่ได้พูดอะไรผิดหรอกครับ ผมก็แค่สงสัยว่าทำไมเช้านี้คุณถึงได้มีแต่คำถาม ไม่มีประโยคสนทนาอื่นบ้างเลย คิดว่าผมเป็นนักโทษเหรอถึงได้ถามมากมายขนาดนี้” มิวส์พูดอย่างไม่จริงจังอะไรมากแต่คนฟังนี่สิ

                “ ก็ได้ถ้าคุณไม่ชอบให้ผมถาม ให้ผมคุยด้วยผมก็จะไม่คุย” พีททิ้งให้มิวส์นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่หน้ากองไฟแล้วตัวเขาเองก็แสร้งไปจัดเตรียมของลงกระเป๋าด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่นัก

                “ ผมไปแป๊บเดียวทำไมพี่พีทถึงได้เป็นอย่างนั้นล่ะครับ” แวมป์ถามอย่างแซวๆ

                “ จะอะไรอีกล่ะ นอกจากพี่มิวส์ของเราพูดอะไรไม่เข้าหูพ่อหนุ่มตาหวานพี่ชายผมอีกล่ะสิ” เดรโก้พูดพลางยัดขนมปังกระเทียมชิ้นโตเข้าปากแล้วตามด้วยกาแฟที่กำลังควันโชยออกมาพร้อมกลิ่นที่หอมฉุยแต่ความร้อนนั้นก็ไม่ทำให้ลูกครึ่งมังกรอย่างเขาสะทกสะท้านได้เพราะรวดเดียวกาแฟก็ไหลตามขนมปังเข้าไปจนหมดแก้เสียแล้ว

                “ นี่แน่ะ” แวมป์ฟาดมือหนาลงไปที่ท้ายทอยของชายหนุ่ม “ ไม่ช่วยแล้วยังเป็นพวกตลกบริโภคอีก”

                “ อะไรเนี่ย ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย” เขาบ่นแล้วคว้าขนมปังสองชิ้นสุดท้ายในจานมาหวังจะใส่ปากแต่ก็

                “ อันนี้ของไซต์” แวมป์กระชากขนมปังที่กำลังเข้าปากเดรโก้อย่างรวดเร็ว “ นายไปกินอาหารกระป๋องในกระเป๋าไปเพราะเห็นไซต์บ่นๆว่ามันไม่อร่อยถูกปากเขา”

                “ อะไรกัน ทำไมผมต้องกินของไม่อร่อยด้วยล่ะลำเอียงจริงๆ” เดรโก้เดินตุปั๊ดตุป๊อดอย่างงอนๆไปที่กระเป๋าแล้วคว้าซุปข้าวโพดที่แสนเย็นและจืดสนิทเปิดแล้วเทเข้าปากรวดเดียวแล้วรีบเคี้ยวอย่างเสียไม่ได้

                “ เมื่อไหร่มันจะโตนะ” ไซต์ทิ้งตัวลงนั่งที่โขดหินพร้อมกับยัดขนมปังเข้าปากแต่ก็ยังอดวิจารณ์น้องชายคนเล็กของบ้าน

                “ เอาน่ะครับ เรารอดกันมาได้ก็เพราะเขาเลยนะครับ แล้วอีกอย่างผมคิดว่าเด็กคนนี้กำลังเก็บบางอย่าง บางอย่างที่แสนเจ็บปวดไว้ข้างใน แล้วเลือกที่จะเปิดเผยความสนุกสนานออกมาก็เท่านั้น” มิวส์เอ่ยแล้วลุกจากวงสนทนาไปช่วยเดรโก้ที่กำลังยัดอุปกรณ์การนอนลงกระเป๋า “ มาพี่ช่วย”

                “ แน่ใจเหรอว่าจะมาช่วยผมไม่ได้มา” ยังไม่ทันสิ้นคำพูดขนมปังกระเทียมในส่วนของมิวส์ก็ยัดเข้าที่ปากของชายหนุ่มผู้พูดไม่หยุดไปหนึ่งอัน “ พี่เอานี่มาเผื่อด้วยเผื่อนายจะได้ไม่พูดเยอะเกินไป เก็บแรงไว้เดินทางเหอะ”

  แสงของดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องเข้ามาภายในร่มไม้อันเป็นที่พักพิงของกลุ่มการเดินทางเพื่อตามหา เนตรแห่งมนตรา เป็นสันญาณว่าควรออกเดินทางได้แล้ว

                “ เฮ้อ ! ได้สัมผัสพื้นที่เป็นปกติและแสงสว่างที่มองเห็นทุกอย่างสักที” เดรโก้ที่เดินตามหลังใกล้ๆพีทที่เหมือนจะพยายามปลีกตัวจากมิวส์เอ่ยขึ้น “ นึกว่าจะได้อยู่แต่ในที่ที่มองไม่เห็นอย่างเดียวเสียแล้วนะเนี่ย ว่ามั้ยพี่พีท” ชายหนุ่มหันไปถามพีทที่เดินไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากที่พักมา พร้อมทั้งสายตาของบุตรแห่งเมดูซ่าพิฆาตที่มองไปยังมิวส์อย่างเอาเรื่อง “ พี่พีท ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าเนี่ย”

                “ ว่าไงนะ เมื่อกี้พี่ไม่ทันได้ฟัง” พีทที่หลุดจากภวังค์หันกลับมาคุยกับคนถาม อย่างไร้ซึ่งคำตอบเพราะจะให้ตอบได้ยังไงตัวเขาไม่เคยสนใจคำพูดของเดรโก้เลยแม้แต่น้อยก็ในเมื่อสิ่งที่เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือคนคนนั้น

                “ ผมว่าพี่อยากพูดกับใครก็ไปคุยกับคนนั้นเถอะนะผมไปเดินข้างหน้ากับพี่แวมป์ดีกว่า”

 สถานการณ์ประหม่าของพีทเข้ามาเยือนอีกแล้ว ชายหนุ่มรีบเดินจ้ำตามเดรโก้โดยไม่เหลียวกันไปมองมิวส์เลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวเหลือเกินกลัวใจตัวเองเหลือเกิน

                “ ไม่คิดจะคุยกับผมเลยหรือไงวันนี้” เสียงเงียบฉี่ ไม่มีวี่แววของคำตอบ “ คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ยมีอะไรก็พูดได้ไหมอย่ามาเงียบแบบนี้มันอึดอัดนะรู้มั้ย” มิวส์พูดอย่างเหลือดอดเพราะเขาเองก็สังเกตเห็นสายตาของพีทที่จ้องมาตลอดทางได้สักพักแล้ว

                “ สองคนนั้นมีอะไรหรือเปล่า เราต้องรีบนะหยุดกันทำไม”

                “ ไม่มีอะไรครับไปต่อเลย” พีทรีบวิ่งตามมาสมทบข้างหน้าแต่มือหนาคว้าแขนของเขาไว้ “ มีอะไร เขารีบกันอยูไม่รู้หรือไงตอนนี้เรากำลังถ่วงอยู่นะ”

                “ ใช่ถ่วงแน่ถ้าไม่รีบๆเคลียร์ให้มันจบตอนนี้” มิวส์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ” เขาหันไปยังไซต์ที่ยืนทำหน้าปลงตก

                “ แป๊บเดียวนะ” เขาพูดอย่างเสียไม่ได้พราะหากไม่อนุญาตต้องมีปัญหากับการเดินทางอย่างแน่นอน “ โอ๊ยทำไมมีแต่เรื่องเนี่ย”

                “ มีอะไรพูดมาตรงๆเลยได้ไหม” มิวส์เปิดการสนทนาทันทีที่แยกออกมาเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา

                “ ไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยด้วย อีกอย่างพวกนั้นกำลังรอเราอยู่” พีทพูดพลางเดินเร่งฝีเท้าเดินออกห่างจากชายหนุ่ม

                “ หยุดทำตัวเป็นเด็กๆได้ไหม มีอะไรก็พูดออกมาสิ” มิวส์เริ่มเหลืออด “ ผมมีอะไรก็พูดออกไปเกือบทั้งหมดถึงสิ่งที่ไม่พูดผมก็แสดงออกอย่างชัดเจนหรือจะให้พูดว่าเอ่อ” เขาเริ่มตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อจะเอ่ยบางคำ “ ผมรักคุณ เข้าใจมั้ยว่าผมรักคุณ แล้วคุณล่ะเคยเห็นผมอยู่ในสายตาบ้างไหม บางครั้งก็ดูว่าใช่ในบางทีก็ไม่ใช่ผมสับสนไปหมดแล้วนะ”

 คำพูดของคนตรงหน้าทำให้บุตรแห่งเมดูซ่ายืนนิ่งราวกับถูกไฟฟ้าช็อตเพราะร่างกายชาไปทั่วทั้งร่างแล้ว

                “ คุณไม่เข้าใจหรอก ไม่เข้าใจหรอกว่ามันรักกันไม่ได้” เขาปล่อยโฮออกมาอย่างเสียไม่ได้ “ แค่คุณมาเดือดร้อนเพราะผมอย่างนี้มันก็ดูเห็นแก่ตัวมากเกินพอแล้ว” เขากลั้นสิ่งที่กำลังไหลรินไม่ให้ออกมาแล้วพยายามสบตา “ ฟังผมนะ หยุดเรื่องไว้แค่นี้เถอะ แล้วไม่ต้องพยายามหรอกนะเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เพราะผมต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบแค่ชิ้นแรกยังเดินทางไม่ถึงไหนเลย คุณก็มาเจ็บตัวเพราะผมอีกอย่างถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาล่ะใครจะรับผิดชอบ ผมเหรอ !” น้ำใสๆเริ่มไหลอีกครั้ง “ คงไม่ไหวหรอก ผมคงเห็นคุณเป็นอะไรไม่ได้ ขอร้องล่ะนะออกไปจากชีวิตของผมซะ ส่วนการเดินทางครั้งนี้คุณก็ไม่ต้องไปต่อหรอกกลับไปเถอะนะ”

                “ คุณหยุดสั่งโน่นสั่งนี่ได้ไหม” มิวส์เอื้อมไปเช็ดน้ำตาชายหนุ่มตรงหน้า “ ต่อให้คุณไล่ผมแค่ไหนผมก็ไม่ไปหรอกเพราะในเมื่อใจของผมมันรักคุณแล้ว ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงผมพร้อม พร้อมที่จะรับผลนั้นแม้ว่ามันอาจถึงตายก็ตามเพราะอย่างน้อยผมก็ตายเพราะได้ปกป้องคนที่ผมรัก” เขาเลื่อนปลายนิ้วมาเชยคางให้นัยน์ตาสีทรายมาสบตากับตัวเอง “ เข้าใจไหม? แล้วอย่าบอกให้ผมไปไหนอีกเพราะผมจะไม่ไป ถ้ากลัวผมเป็นอะไรไปคุณก็อย่าทิ้งผมไปไหนสิอยู่กับผมอยู่ใกล้ๆผม เพราะผมก็อยากอยู่ใกล้ๆคุณ”

                “ ไม่”

 ยังไม่ทันจบบทสนทนาของทั้งคู่แผ่นดินที่เคยนิ่งปกติกลับสั่นราวกับเจ้าเข้าก็ไม่ปาน ต้นไม้ที่เคยให้ร่มเงากำลังจะเปลี่ยนรูปทรง ทั้งคู่พากันจับมือวิ่งไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆอย่างเร่งรีบเพราะดูเหมือนว่าป่าที่เคยสงบกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ต้นไม้ที่คุ้นตากลับกลายเป็นป่าทึบไล่หลังมาอย่างไม่ลดละ

                “ วิ่งเร็วต้นไม้กำลังจะกลืนพวกเราแล้ว วิ่ง!” เขาตะโกนอย่างสุดเสียง

                “ เหวอ!” เดรโก้ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นต้นไม้บีบเข้าหากันไล่หลังสองคนนั้นมา แผ่นดินที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามากเหมือนกำลังมีการบดทับซ้อนขึ้น “ อะไรวะเพิ่งได้พัก วิ่งอีกแล้วเหรอ”

                “ อย่าบ่นมาก ไปเร็ว !” สิ้นคำแวมป์ก็จับไซต์และเดรโก้มาไว้ในมือแล้ววิ่งอย่างคิดชีวิตโดยมีมิวส์และพีทตามมาข้างหลัง

                “ มันหยุดแล้ว” มิวส์เอ่ยหลังจากเท้าก้าวมาสัมผัสกับพื้นเรียบชัน

                “ มันไม่ได้หยุดหรอก มันแค่ต้อนเรามา” ไซต์เอ่ย “ดูป้ายโน่นสิ” เขาชี้ไปยังป้ายไม้เก่าๆที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่เขียนว่า

 ‘หุบเขากระจกฉันมีชีวิตที่ไม่มีชีวิตฉันโตเมื่อฉันไม่โต’

                “ อะไรอีกวะเนี่ย” เดรโก้บ่นผสมหอบเมื่อมองท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับดับมืดสนิท ที่ๆเคยมีพระอาทิตย์กลับกลายเป็นดวงจันทร์ “ เมื่อกี้ยังสว่างมืดอีกแล้วขอความสมดุลหน่อยได้ไหมเนี่ย”

 ไฟในมือของเดรโก้จุดขึ้นมาเพื่อส่องสว่างเพื่อเดินทางต่อไปข้างหน้าเพราะหากพักตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาเสียเวลาฟรีไปเกือบหนึ่งวันเต็มเลยทีเดียว

                “ แวมป์ลองมองไปรอบๆทีซิว่าการที่เดรโก้จุดไฟอย่างนี้ปลอกภัยแน่หรือเปล่า” ไซต์สั่ง “ ส่วนนายดับไฟก่อนฉันไม่อย่างให้ซ้ำอีหรอบเดิม เข้าใจด้วยคนแก่เหนื่อยเว้ย !”

 แสงสว่างจากมือของเดรโก้ดับลงทำให้ความหนาวเหน็บและเยือกเย็นของความมืดก็กลับมาเยือนอีกครั้ง

                “ เห็นอะไรมั้ยพี่ถ้าไม่เห็นผมจะได้จุดไฟ รู้มั้ยว่ามันเย็นจนขนลุกไปทั้งตัวแล้ว” เดรโก้บ่นอุบกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะตอนนี้ที่พูดก็มีควันลอยออกจากปากมาเป็นระลอกๆ

                “ ไม่มีอะไรเลยนายจุดไปเถอะ” แวมป์หันมาสั่ง” ดูสิมีคนหนาวจนอยู่ห่างหันไม่ได้เลย” ชายหนุ่มเปรยสายตาไปยังพีทกับมิวส์ที่กุมมือกันอย่างเหนี่ยวแน่น

                “ พูดอะไรของนาย” พีทแหวใส่ก่อนจะคลายมือของตนที่จับแน่นกับมือมิวส์ออก

                “ ครับผมคงตาฝาดไปครับ” แวมป์ตั้งใจออกเสียงประชดสุดชีวิต “ แล้วจะเดินไปไหนน่ะ”

                “ ฉันหนาวฉันจะไปอยู่กับเดรโก้” พีทที่เดินจ้ำไม่รอใครหันมาตอบ “ แล้วนายมีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะ จ้องจับผิดฉันจริงๆเลย”

                “ ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ มีแต่นายนั่นแหละที่ร้อนตัวอยู่คนเดียว” แวมป์เถียง

                “ ขออยู่ด้วยนะเดรโก้ฉันหนาวๆยังไงก็ไม่รู้” พีทแสร้งเปลี่ยนคนคุยทันทีที่โดนแวมป์จับผิด แต่ก็คงคิดผิดเพราะคนที่พูดได้ทุกสถานการณ์อย่างเดรโก้น่ะเหรอที่จะยอมให้เรื่องสนุกๆจบลงได้ง่ายๆ

                “ สงสัยพี่จะไม่สบายจริงๆแล้วล่ะ” เดรโก้ทำท่าทางเป็นห่วง “ เพราะหน้าพี่แดงเป็นสตรอเบอร์รีเลย” สิ้นเสียงของน้องเล็กของบ้านหน้าของชายหนุ่มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนกับว่าตอนนี้หลายเป็นเป้านิ่งไปแล้ว

                “ พอๆหยุดเล่นกันได้แล้ว” ไซต์ที่อาวุโสสุดกล่าวทำให้พีทเดินก้าวเข้าไปชิดคนที่คิดว่าจะช่วยเธอได้ “ ดูสิพีทมันเขินตายอยู่แล้วนะ”

                “ ไซต์ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ ฉันคิดว่าจะเข้าข้างฉันหรือห้ามพวกนั้นเสียอีกแต่นี่อะไรคล้อยตามกันได้” เขาบ่นอุบ

                “ ก็จะให้ทำไงได้ล่ะ เดินทางอย่างนี้มันก็เครียดพออยู่แล้วถ้าจะให้ห้ามศึกสนุกๆอย่างนี้ มีหวังมันต้องน่าเบื่อไปตลอดทางแน่เลย” เขาให้เหตุผล “ นายก็ควรยอมรับได้แล้วนะว่าเขินจนหน้าแดงแล้ว”

พีทกระแทกเท้าลงบนพื้นอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถเถียงอะไรได้ หงุดหงิดที่ตอบโต้อะไรได้เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเรื่องที่เขาพูดกันทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงยังไงล่ะ เขินจริง หน้าแดงจริง แต่ที่เขาไม่พอใจมากๆตอนนี้คือทำไมคนที่เป็นต้นเหตุของการโดนล้อครั้งนี้ไม่ช่วยอะไรเลยได้แต่ยืนยิ้มอยู่ได้

                “ หยุดก่อนครับ !” แวมป์ตะโกน

                “ อะไรของนายอีกล่ะ” พีท ที่หลุดจากภวังค์เอ่ยถาม

                “ ดูนั่น” แวมป์เอ่ยพลางชี้ไปยังต้นไม่ที่มีรอยกรีดของมีดไซต์ขีดอยู่เป็นการแสดงว่าพวกเขาได้เคยเดินผ่านทางนี้มาแล้ว “ ผมคิดว่าเรากลับมาที่เดิม”

                “ พี่กำลังจะบอกว่าเราหลงอย่างนั้นเหรอ” เดรโก้เอ่ย “ ว่าแล้วไงทำมันไม่มีตัวอะไรออกมาขัดขวาง ทำไมมันดูโล่งๆจังที่แท้ก็ เฮ้อ” เดรโก้ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าเพราะเขาเดินกันมาสักพักหนึ่งแล้ว

                “ ก็ไม่ได้เชิงหลงหรอกก็แค่เดินวนกลับมาที่เดิม” มิวส์พยายามปลอบใจ

                “ คำพูดพี่ทำให้ผมดีใจขึ้นมากเลยนะ” ชายหนุ่มเบนหน้าหนีอย่างอ่อนล้า “ แล้วจะเอาไงต่อดีไซต์”

                “ คือเอ่อคือ” ที่พึ่งสุดท้ายอึกอักจะด้วยความประหม่าหรือแรงกดดันจากสายตาทุกคู่หรืออะไรก็ตามแต่คำตอบที่ได้คือ “ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไงต่อไป เพราะเพิ่งเคยมาลุยอะไรที่ต้องใช้สมองอย่างนี้ปกติลุยอย่างเดียวฮันเตอร์เป็นสมอง ขอโทษนะ” ไซต์เอ่ยอย่างอ่อนใจไม่แพ้คนอื่นๆ

                “ เอาน่ามันต้องมีทางออกถ้าเหนื่อยก็พักก่อน มีแรงค่อยเดินต่ออีกอย่างที่นี่ก็มืดมากลำพังไฟจากเดรโก้อย่างเดียวคงไม่พอเพราะพลังจะสูญเสียไปฟรีๆ” แวมป์เอ่ยเพราะรู้ดีว่าขีดจำกัดของพลังในตัวพวกเขามีไม่ค่อยคงที่นักเพราะไม่ได้สายเลือดมาร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มอย่างพวกปีศาจที่บุกโจมตี

                “ อย่างนั้นเดี๋ยวใช้แสงจากไฟฉายของผมก่อนก็ได้” มิวส์ล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ

                “ มีแล้วทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกล่ะ ปล่อยให้ผมปล่อยแสงอยู่ได้” คนที่กำลังหมดแรงหันหน้ามาถาม

                “ เออโทษทีพอดีเพิ่งนึกออก” เขายิ้มแหยๆตอบกลับ

 ก่อนที่ไซต์จะเอ่ยต่อ “ จะให้คิดเรื่องอื่นออกได้ยังไงเพราะก่อนหน้านี้มัวแต่”

                “ เอาล่ะๆจะใช้อะไรก็ใช้เถอะ” พีทพูดตัดบทก่อนจะหันไปสั่งให้คนที่ยืนยิ้ม “ ยิ้มอะไรอยู่ล่ะเอาไฟฉายออกมาสิเดรโก้ไม่ไหวแล้วนะ”

                “คะ..ครับ” คนโดนสั่งตอบอย่างตะกุกตะกักก่อนจะเปิดกระบอกไฟฉายแล้วส่งให้แวมป์ที่เป็นผู้นำทาง

 แสงไฟจากกระบอกไฟฉายสาดส่องไปเป็นบริเวณกว้างทำให้พวกเขาค้นพบว่าสิ่งที่พวกเขาคิดว่ากำลังเดินวนไปมาซ้ำที่เดิมนั้นหาได้เป็นจริงไม่เพราะที่จริงแล้วเขาเดินเวียนไปมาบนทางตรงธรรมดาเท่านั้น

                “ ทำไมรอยเท้าเรามันหันหน้ามันชี้ไปทางที่เราเดินล่ะทั้งๆที่มันควรจะชี้ไปทางโน้นไม่ใช่เหรอ?” เดรโก้พูดออกมาพลางชี้ไปทางตรงหน้าเพื่อหวังว่าสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นจะมีใครใจดีหรือมีความรู้ตอบคำถามได้แต่ก็หาเป็นอย่างที่เขาคิดไม่เพราะสิ่งที่เขาได้กลับมามีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านและความเงียบฉี่ของทั้งหมด

                “ เอาอย่างไงต่อล่ะคราวนี้มีใครจะเสนออะไรหรือเปล่าเรากำลังเสียเวลาเสียแรงเดินกันฟรีๆนะ” พีทเอ่ยเนือยๆเพราะทั้งแรงกายแรงใจของเขาเองก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว

                “ เอาอย่างนี้แล้วกันเราพักกันแถวๆนี้ก่อนจะเอายังไงก็เดี๋ยวค่อยกันคิดค่อยกันช่วยแก้ไขปัญหา” ไซต์ที่ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดเสนอ

 และก็ถือว่าคำสั่งของไซต์เองเป็นที่สิ้นสุดเพราะตอนนี้กองไฟสีแดงเพลิงถูกจุดขึ้นเพื่อให้ไออุ่นและป้องกันอันตรายได้วางอยู่ใจกลางวงสนทนาที่เต็มไปด้วยความเงียบและดูจากสีหน้าของแต่ละคนที่ที่เต็มไปด้วยความสงสัยประกอบกับเสียงลมถอนหายใจที่ผลัดกันพ่นออกมาอย่างไม่ขาดสาย

               “ ไม่ทราบว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมมีแต่เสียงถอนหายใจกันอย่างนี้? แล้วนี่ไม่ไปตามหาถ้ำกอร์กอนกันแล้วหรือไงถึงได้มานั่งอู้กันแบบนี้? นี่ฉันถามอยู่นะทำไมไม่มีใครสนใจเลยล่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วของงูหนุ่มดังออกมาจากสร้อยคอของชายหนุ่ม

                “ โอ๊ย ! ตื่นมาก็มีแต่คำถามเลยนะ” พีทบ่นใส่สร้อยคอที่ห้อยอยู่ก่อนจะค่อยๆปลดมันออกจากคอแล้ววางลงบนพื้นจึงทำให้เจ้าของต้นเสียงออกมามีรูปร่างอีกครั้ง “ หลับไปนานจนไม่รู้เลยสินะว่าอะไรเป็นอะไร”

                “ แล้วไอ้ที่ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นมันคืออะไรกันล่ะ” แจ็คถามอย่างไม่เข้าใจ

                “ พี่พีทผมว่าเอางูพี่ไปปิ้งหรือผัดเผ็ดเลยดีมั้ยเนี่ยถามอยู่นั่นแหละ” เดรโก้ที่กำลังใช้ความคิดอยู่เอ่ยอย่างเหลืออดเพราะเสียงแหลมๆของแจ็คแทรกเข้าไปในโสตปราสาทของเขาจนแทบไม่มีสมาธิเลย

                “ นายจะเอาอะไรกับงูล่ะ” แวมป์หันมาห้ามทัพก่อนที่จะมีสงครามน้ำลายเกิดขึ้นเพราะหากเป็นเช่นนั้นตรงที่นั่งอยู่คงจะเสียงดังไม่น้อย

                “ ฉันก็แค่ถามนี่นายก็ตอบฉันดีๆไม่ได้เหรออย่าลืมสิว่าตระกูลฉันเคยเป็นงูเก่างูแก่ของเทพีเมดูซ่านะ” งูหนุ่มชูคออย่างภาคภูมิใจ

                “ แล้วไอ้ที่ว่ารู้น่ะรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ” ไซต์ที่อยู่ห่างออกไปถามด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นการปรามงูหนุ่มไปในตัว

                “ ใจเย็นๆหน่อยสิ เพิ่งฟื้นนะเนี่ย” งูหนุ่มหันไปค่อนขอดคนที่เร่งเร้า

                “ จะให้ใจเย็นได้ยังไงล่ะเดินจนปวดขาแล้วเนี่ย” เดรโก้พูด “ เอาไงจะรู้ไม่รู้”

                “ รู้จ้ะรู้” พอแจ็คเห็นว่าไม่ควรเล่นต่อเพราะอาจโดนทุกคนรุมเอาได้ “ คือที่นี่มีชื่อ ว่าหุบเขากระจกก็เพราะว่าทุกอย่างที่นี่มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างตอนนี้กลางคืนแสดงว่าข้างนอกกลางวัน อะไรเป็นทางเข้านั่นคือทางออก”

                “ ไม่อำกันเล่นใช่มั้ย” แวมป์ถามอย่างไม่แน่ใจเพราะกลัวว่าแจ็คจะหยอกอีก

                “ จะอำไปทำไมกันล่ะ ฉันก็จริงจังเป็นเหมือนกันนะ” งูหนุ่มทำเสียงเข้มใส่ก่อนจะพูดต่อ “ ยังมีอีกอย่างนะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามอย่าวิ่งหนีเด็ดขาดเพราะจะเป็นการวิ่งเข้าหา”

                “ นายกำลังจะบอกว่าถ้ามีตัวอะไรโผล่ออกมาให้วิ่งเข้าหามันเลยเหรอ” เดรโก้เอ่ยอย่างกล้าๆกลัว

                “ ใช่ ฉันช่วยได้เท่านี้แหละเพราะถ้าเจออย่างอื่นฉันคงไม่รู้อีกแล้วเพราะบริวารของเทพีจะรับผิดชอบแค่ในส่วนของตัวเอง”

                “ หมายความว่าถ้าพ้นจากไอ้หุบเขาบ้านี่ไปแล้วนายก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วเหรอ” พีทถามอย่างไม่เข้าใจเสียเท่าไหร่

                “ ใช่” แจ็คจำใจตอบไปตามไปตามความจริงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

                “ เข้าใจแล้ว อย่างนั้นวันนี้ก็พักกันตรงนี้แหละพรุ่งนี้เราจะเดินทางต่อเพราะไม่ว่าข้างหน้าจะเจออะไรเราต้องไปที่ถ้ำกอร์กอนแล้วเอาดวงตาของแม่เจ้ามาให้ได้” ไซต์เอ่ยก่อนจะเดินตรงไปยังพุ่มไม้ใกล้แล้วล้มตัวนอนลง

               ทันทีที่แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นทุกคนในทีมก็เตรียมจัดแจงสัมภาระเดินทางกันอย่างรวดเร็วเว้นเสียแต่หนุ่มน้อยเจ้าปัญหาอย่างเดรโก้

                “ เฮ้ ! น้ำเราใกล้จะหมดแล้วนะผมว่าจะไปกรอกเสียหน่อย”

                “ นายอยู่เกาะกลุ่มกันไว้นี่แหละเดี๋ยวถ้าหลงมันจะเสียเวลา” แวมป์เอ่ยเตือน “ ส่วนเรื่องน้ำเอาไว้ไปหาข้างหน้าก็ได้เพราะในกระเป๋าฉันเหลืออีกสองขวดน่าจะพอประทังไปได้ก่อน” เดรโก้เดินกลับเข้ามารวมกลุ่มอย่างจำยอม

                “ ถ้าทางออกมันอยู่ทางที่แจ็คบอกจริงน่าจะไปทางนี้ครับ” มิวส์ชี้ไปทางที่พวกเขาเคยเดินผ่านมา

                “ คอยดูนะถ้าหลงขึ้นมาฉันจะ” ยังไม่ทันทีเดรโก้บ่นจบแวมป์ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วสาดสายตาออกไป

                “ มีอะไรหรือเปล่า” ไซต์ถามอย่างสงสัยเพราะว่าท่าทีของแวมป์เป็นอย่างนี้ทีไรมักจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดี

                “ ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตรงมาที่เรา”

                “ แล้วไอ้อะไรบางอย่างของนายมันคืออะไร ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ล่ะ” พีทถามพลางก้มลงหยิบปืนที่เอว

                “ ฉันไม่แน่ใจมันเคลื่อนที่เร็วมาก” แวมป์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

                “ ให้มันได้อย่างนี้สิ ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีกแล้ว” ไซต์เอ่ยอย่างเสียไม่ได้

                “ พุ่งเข้าใส่เลยอย่าคิดวิ่งหนีเชียว” เสียงของแจ็คเอ่ยเตือน

                “ อะ…เออ วิ่งเข้าใส่ก็เข้าใส่” เดรโก้อย่างไม่ค่อยมั่นใจนักแต่สายตาก็ยังคงจับจ้องยังด้านหน้าอย่างไม่ลดละ

 ความเงียบเข้ามาในกลุ่มของพีทอีกครั้งเพราะทุกสายตาจับจ้องไปยังสิ่งที่กำลังมาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ

                “ เตรียมตัว” แวมป์ให้สัญญาณ “ 1”

 เสียงลมหายใจของทั้งห้าพ่นยาวออกมา

                “2”

 เหงื่อที่ไหลรินออกมาด้วยความกังวลหยดลงอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่ลดละ

                “ วิ่ง” สิ้นเสียงของแวมป์ทั้งหมดวิ่งเข้าใส่แขกใหม่ที่มาเยือนที่มีลำตัวสูงมากกว่าตึกสิบชั้นซึ่งพร้อมจะจับพวกเขาขยี้อย่างไม่มีชิ้นดี แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิดเพราะเมื่อยิ่งวิ่งเข้าหาปีศาจตัวนั้นกลับยิ่งไกลออกไป





ฝากด้วยน้าาาาาาาถ้าไม่ถูกจริตยังไงติชมกันได้นะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่10 26/4/63
«ตอบ #31 เมื่อ26-04-2020 20:25:44 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่11 6/5/63
«ตอบ #32 เมื่อ06-05-2020 00:59:18 »

บทที่สิบเอ็ด ทะเลทรายกับฉี่แซนด์ซอย

   “ พ้นแล้ว” ทันทีที่ก้าวผ่านเขตป้ายทางเข้าออกมาแสงที่เคยสว่างก็พลันมืดมิดโดยฉับพลัน อากาศที่เคยร้อนกลับหนาวเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 แวมป์ทอดสายตาไปโดยรอบท่ามกลางความมืดเขาพบแต่เพียงความว่างเปล่า ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆมีเพียงผืนทรายที่ทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตาและนั่นก็ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีเลยว่าที่นี่คือทะเลทราย

                “ ทุกคนอย่าดื่ม” เขาหันกลับไปสั่งทั้งสี่ที่กำลังจะยกขวดน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย “ เอาแค่จิบพอเพราะผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในเขตทะเลทรายครับ ซึ่งน้ำที่เรามีอยู่ควรเก็บไว้ในยามจำเป็นมากที่สุด”

                “ ทะเลทรายเหรอทำไมมันหนาวอย่างนี้ล่ะ” พีทถามอย่างไม่เข้าใจ

                “ คือคุณพีทครับทะเลทรายในตอนกลางวันจะร้อนจัดจนแทบอยู่ไม่ได้ และในทางกลับกันกลางคืนก็จะหนาวจัดเป็นธรรมดาครับ” มิวส์อธิบายให้ฟังอย่างฉะฉาน

                “ เอาแล้วไง ผมบอกแล้วว่าน้ำจะหมดเป็นไง” เดรโก้หัวเสียที่คนในกลุ่มไม่ฟังเรื่องที่ตัวเองเสนอ

                “ เอาเป็นว่าฉันขอโทษก็แล้วกันที่ไม่ฟังนาย” แวมป์ใช้น้ำเสียงเย็นเรียบเพื่อดับอารมณ์ร้อนของชายหนุ่ม

                “ ไม่เป็นไร ทีหลังก็ฟังผมบ้างก็แล้วกัน” เดรโก้ตอบกลับอย่างเย็นลง “แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ”

                “ นั่นไงปัญหาโลกแตกอีกแล้ว” พีทเอ่ยอย่างเหลืออดเพราะเขาเองก็คิดจะถามคำถามนี้เหมือนกัน

                “ เอาอย่างนี้แล้วกันเราจะเดินกันไปเรื่อยๆเพราะกลางคืนน่าจะมีโอเอซิส(แหล่งน้ำในทะเลทราย)เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

                “ ตกลงตามนี้” มิวส์รับคำก่อนจะคว้ากระเป๋าที่สะพายอยู่มาเปิดเอาไฟฉายส่งให้ทุกคนอย่างเร่งรีบ

                “ แวมป์นำไป” ไซต์เอ่ย “ ส่วนที่เหลืออยู่ตรงกลาง ฉันจะดูข้างหลังให้เองอีกอย่างนะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามอย่าแตกกลุ่มเพราะพวกนายไม่มีวันรู้ได้หรอกว่ามีหลายคนที่จบชีวิตลงด้วยการเดินทะเลทรายตอนกลางคืน”

                “ ทำไมเหรอคะ”

                “ ก็มันเป็นเวลาหากินของพวกสัตว์ที่อยู่ใต้ดินไง” ไซต์ไม่ว่าเปล่าเขายกไฟฉายส่องไปยังรูแมงป่องขนาดมหึมาที่มีสมาชิกในรังกำลังเดินออกจากรังเป็นพรวน “นี่ยังน้อยนะอย่าได้ร่วงลงไปในรังมันเชียว”

                “ โห ! พูดซะไม่กล้าเดินต่อเลยนะครับ” เดรโก้ที่อยู่หน้าไซต์เอ่ย

                “ ฉันก็แค่พูดให้ระวังตัว ไม่ได้พูดให้เสียกำลังใจเพราะไม่ว่ายังไงเราจะไม่หยุดเดินอีกเนื่องจากเราเสียเวลามานานมากแล้ว” เสียงคนแคระพูดอย่างจริงจังทำให้หนุ่มไฟแรงอย่างเดรโก้ต้องเงียบไป

 ทั้งหมดเดินท่ามกลางอากาศหนาวโดยมีแสงส่องสว่างจากไฟฉายไปเรื่อยๆจนกระทั่งแสงแดดที่เจิดจ้าพร้อมกับความร้อนมาตอนรับในยามเช้าทำให้ทั้งห้าถึงกับต้องถอดเสื้อคลุมออก

                “ โหร้อนตับจะแตกตาย น้ำลายก็แทบกลืนไม่ลงคอแล้วนะครับเนี่ย เมื่อไหร่เราจะหยุดเดิน”

                “ นี่เดรโก้มันก็สมควรร้อนอยู่หรอกนายเล่นใส่ดำมาทั้งชุดมันก็ดูดแสงสิ อีกอย่างนึงนะมันจะไม่เหนื่อยขนาดนี้ถ้านายหยุดพูดบ้าง” แวมป์ที่เดินอย่างไม่รู้สึกรู้สาเอ่ยกลับ

                “พี่ก็พูดได้สิพี่ไม่ได้ต้องการน้ำอย่างพวกเรานี่”

                “ เอาน่าอย่าเถียงกันเลยพักก่อนนะฉันไม่ไหวแล้วอีกอย่างเรายังไม่ได้กินน้ำมาตั้งแต่ตอนออกมาจากเขาแล้วนะแวมป์” พีทเอ่ยอย่างเพลียแรงเพราะพลังที่เคยมีหายไปตั้งแต่สู้กับแอสดีอุสแล้ว

                “ ก็ได้แต่ฉันอยากให้แค่จิบนะ” แวมป์เตือน

                “ รู้แล้วน่า ย้ำจริง” เดรโก้พูดแล้วยกขวดน้ำเทลงปากอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะมากเกินไป “ แหม่ สดชื่นจริงแม้จะไม่สุดๆก็ตาม”

                “ไหนเอามาบ้าง” พีทคว้าขวดน้ำจากเดรโก้มาอย่างกระหาย “ เฮ้อ…อ ไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนเลยถ้าได้ล้างหน้าล่ะก็”

                “ อย่าแม้แต่จะคิดเชียว” แวมป์เตือน

                “ แหมแค่คิดนิดๆหน่อยๆน่าฉันก็รู้น่าว่าสถานการณ์อย่างนี้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ” พีทเอ่ยติดตลก

                “ ฉันว่านายจะอยู่กับเดรโก้มากไปแล้วนะเริ่มติดนิสัยมาแล้วเนี่ย”

                “ อ้าว พี่แวมป์ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะผมนั่งของผมอยู่เฉยๆนะเนี่ย” เดรโก้ที่นั่งเช็ดเหงื่อหันมาโวยวาย

                “ พอกันทั้งหมดนี่แหละ” ไซต์เอ่ยท้วง “ นอกจากฉันกับคุณมิวส์แล้วมีใครที่ปกติบ้างไหมเนี่ย คนนึงก็ชอบแกล้งอีกสองคนนึงก็ขี้บ่นขี้งอน เฮ้อชีวิตฉันอย่างกับพาเด็กอนุบาลหมีน้อยมาทัศนศึกษา” คำพูดของผู้อาวุโสทำเอาแวมป์เสียความมั่นใจไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยอย่างตัดรอน

                “ แหมคุณก็พูดเกินไปผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ที่ผ่านมาผมก็ช่วยมาตลอด”

                “ โอเคๆ เอาเป็นว่าเราเดินต่อกันเถอะนะ” มิวส์ตัดบทเพราะถ้านานกว่านี้น้ำที่ดื่มไปเมื่อครู่คงหมดไปกับการคุยเสียแล้ว

 กลางหาดทรายสีทองที่แทบจะหาร่มเงาของต้นไม้ไม่ได้เลยเพราะในนี้มีเพียงต้นกระบองเพชรที่แซมผิวทรายขึ้นมาและดูว่าจะเป็นไม้ชนิดเดียวที่อยู่บริเวณนี้เสียด้วย ทำให้ทั้งห้ายังคงต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินผ่าทะเลทรายไปให้ได้เพราะน้ำในขวดที่มีอยู่ก็ใกล้จะหมดเต็มที แหล่งน้ำที่จะเอามาแก้กระหายก็ดูจะหาได้ยากเสียเหลือเกิน

                “ เห็นอะไรบ้างหรือยังแวมป์” ไซต์ที่อยู่ข้างหลังเอ่ยถาม

                “ ยังเลยผมเห็นแต่ทรายกับทรายแล้วคุณล่ะลองเพ่งกระแสจิตหาแหล่งน้ำทีสิ”

                “ จะให้หายังไงล่ะสมาธิแทบจะไม่มีอยู่แล้ว แดดนี่ก็แรงเกินกว่าคนแก่อย่างฉันจะรับไหว” ไซต์ส่ายหัวให้กับสังขารของตัวเอง “ ลองบินดูซิเดรโก้

                “ ผมเหรอ” ชายหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างตกใจ “ ก็ได้ๆ” สิ้นคำเดรโก้ก็ถอยหลังกรูดเพื่อสร้างแรงส่งให้กับตัวเองเพื่อจะให้บินขึ้นไป

                “ ระวัง” พีทร้องตะโกนอย่างสุดเสียงเพราะตรงบริเวณที่เดรโก้ถอยไปกำลังยุบตัวลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอีกทั้งยังมีแมงป่องนับร้อยกำลังตะเกียกตะกายขึ้นมา

                “ เดรโก้บิน” แวมป์เอ่ยเตือน

                “ ไม่ไหวพี่แรงส่งไม่พอ” เขาตอบกลับอย่างตระหนกเพราะตอนนี้ตัวเขาแทบจะร่วงลงไปในอ่างที่เต็มไปด้วยแมงป่องอยู่แล้ว

                “ ฉันเคยดูหนังมาครับ สัตว์พวกนี้มันกลัวไฟเราต้องจุดไฟใส่มันครับ” พีทเอ่ยอย่างมั่นใจ “เดรโก้เอามันเลย”

                “ จะเผายังไงพี่พลังผมจะหมดอยู่แล้วแค่ประคองตัวเองยังไม่รอดเลย…ย” สิ้นเสียงเดรโก้ก็ร่วงลงมาแล้วก็พยายามประคองกลับมาจุดที่ปลอดภัยเหมือนเดิม “ จะทำอะ เหวอ..อ ไร กอ..ก็ ด่วนเลย”

                “ มีไฟแก๊สหรือเปล่าครับ” เขาหันกลับไปถามชายหนุ่มทั้งสาม

                “ ไม่มีหรอกฉันเกลียดไฟ” แวมป์ตอบอย่างรวดเร็ว

                “ ไม่มีเหมือนกันฉันมีแต่ปืนนี่แหละ”

                “ ผมไม่มีครับผมไม่สูบบุหรี่”

                “ ให้มันได้อย่างนี้สิในกระเป๋าแดนไม่ได้ใส่มาเลยหรือไง” พีทเอ่ยอย่างมีสติที่สุด

                “ เออใช่เหมือนผมเคยเห็น” พอนึกออกมิวส์ก็เปิดกระเป๋าออกแต่ก็พบว่า “ มันคงร่วงไปตอนที่เราวิ่งกันที่หุบเขาแล้วล่ะ”

                 “ จะเอาไงก็เอาไม่ไหวแล้ว” เดรโก้ไม่เอ่ยเปล่าเลือดของเขาเริ่มไหลออกจากจมูกแล้ว

                “ ไซต์ฉันขอยืมปืนหน่อย” พีทเอ่ยพร้อมทั้งหยิบปืนของตัวเองขึ้นมาด้วย

                “ เราควรเอาไว้เวลาสำคัญนะ เพราะกระสุนสลายเนื้อเยื่อมีจำกัด” ไซต์เอ่ยอย่างลังเล

                “ แล้วชีวิตเดรโก้ไม่สำคัญหรือไง เขาเข้ามาเสี่ยงเพื่อช่วยองค์กร ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาตายที่นี่แน่ๆ” พีทเอ่ยออกมาอย่างเหลืออดก่อนจะระดมยิงกระสุนสลายเนื้อเยื่อใส่เข้าไปยังใจกลางของหลุมเมื่อลูกใสๆสัมผัสกับผืนทรายจนแตกน้ำที่บรรจุภายในก็กระจายเป็นวงกว้างทำให้แมงป่องค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็ว “ สำเร็จ” หญิงสาวกระโดตัวลอยด้วยความดีใจ

                “ ไม่ ไหว แล้ว “ สิ้นคำเดรโก้ก็ร่วงดิ่งสู่พสุธาแวมป์วิ่งเขาไปรับด้วยความรวดเร็ว

                “ เก่งมากไอ้น้องชาย” แวมป์เอ่ยก่อนจะแบกเดรโก้ขึ้นมาไว้บนหลังของตัวเองไซต์ได้แต่มองตามอย่างสำนึกผิด

                “ เราพักกันก่อนดีมั้ยฉันว่าเดรโก้มันต้องการน้ำนะ” ไซต์เอ่ยเตือนหลังจากที่เดินมาเป็นเวลานาน “ เอาส่วนของฉันไปก็ได้”

                “ ได้ๆ ขอบคุณครับ” แวมป์รับน้ำมาก่อนจะวางเดรโลงกับพื้น “ เดรโก้”

                “…” เงียบ

                “เดรโก้”

                “…” ยังคงเงียบ

                “ ฉันเรียกนายเนี่ยได้ยินหรือเปล่า” แวมป์เขย่าเพื่อเรียกสติน้องสุดท้อง

                “ คนกำลังหลับสบาย ปลุกไวจังเลยนะครับ” น้ำเสียงยียวนของชายหนุ่มทำให้คนที่รอฟังถึงกับยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน

                “ มานอนอะไรที่นี่เล่าต้องกลับไปนอนที่องค์กรด้วยกันสิรับรองฉันจะทำแผลให้เบามือเลย” พีทเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลนองออกมา

                “ อย่าร้องสิพี่เปลืองน้ำ” เดรโก้ยียวน

                “ พูดได้อย่างนี้แสดงว่าหายแล้วล่ะสิ” มิวส์เอ่ยอย่างใจชื้นเพราะไม่ดินยินเสียงเดรโก้มาซักพักหนึ่งแล้ว

                “ เอาเป็นว่าคืนนี้เราพักดื่นน้ำดื่มท่าแล้วนอนกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน เดรโก้แข็งแรงเมื่อไหร่เราจะเดินทางกันต่อ หรือใครว่ายังไง?” ไซต์ที่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆเอ่ยขึ้น

                “ มันจะไม่เสียเวลาเหรอครับตอนนี้ผมก็ไหวนะครับ” เดรโก้พยายามจะลุกตั้งตัวแต่ก็ล้มลง

                “ อย่าดื้อ สั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ” ไซต์ตีหน้าเข้มใส่ทำเอาเดรโก้ต้องจำยอมที่จะทำตามทุกคนได้แต่มองทั้คู่ตีหน้าใส่กันเพราะรู้ดีว่าไซต์ไม่ใช่คนเผด็จการอะไรเพียงแต่เขาแสดงออกไม่เก่งก็เท่านั้น

 มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่11 6/5/63
«ตอบ #33 เมื่อ06-05-2020 01:00:04 »

ต่อ
แอลเดินวนไปเวียนมามาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินภายในองค์กรด้วยสีหน้าที่กังวล เพราะคนที่อยู่ข้างในห้องนั้นคือโซฟีที่เปรียบเสมือนแม่ของเธอเอง

                “ ใจเย็นๆก่อนนะยังไงตอนนี้ก็ถึงมือหมอแล้วแม่โซฟีคงไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกไม่นานหมอก็จะออกมาบอกข่าวดีแล้วล่ะ” เกรทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คว้าข้อมือของชายหนุ่มมาบีบด้วยความเป็นห่วงเพราะตั้งแต่ไปที่โบสถ์กลับมาวันนั้นแอลแทบไม่ได้ทานอะไรเข้าไปเลย

                “ จะให้เย็นได้ยังไงล่ะครับแม่ก็นอนป่วยอยู่ในห้องฉุกเฉินอาการโคม่าแล้วไหนจะเมนี่ที่หายตัวไป พีทก็ต้องไปทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย สองคนเป็นเหมือนน้องแท้ๆของฉันเลยนะครับ” แอลโผกอดเกรทก่อนพรั่งพรูน้ำตาออกมาอย่างเสียไม่ได้

                “ ใจเย็นๆนะ นายยังมีพี่อีกคนไง เราตกลงกันเป็นพี่น้องกันแล้วนะจำไม่ได้เหรอ” เกรทลูบผมของเขาอย่างเบามือ “ แล้วพี่ก็มั่นใจว่าพวกฮันเตอร์ต้องตามหาน้องสาวของเราเจออย่างแน่นอน”

                “ ฉันก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” เขาออกจากอ้อมกอดก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วนั่งอย่างสงบลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

                “ ต้องอย่างนี้สิน้องฉัน” เกรทส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนจะหันไปสนใจกับคนที่มาใหม่ “ อ้าว ! เป็นอย่าไงบ้างเจอหรือเปล่าแล้วคนอื่นๆล่ะ”

                “ ยังไม่เจอเลยครับตอนนี้คนอื่นๆกำลังเร่งตามหาอยู่แต่ก็เหมือนจะไม่มีร่องรอยอะไรเลย ตอนนี้เราได้แต่ภาวนาครับ” เฮนรี่กลั้นใจตอบไปตรงเพราะรู้ว่าแอลที่รอฟังข้างๆคนถามนั้นเป็นคนฉลาดถึงโกหกยังไงก็โดนจับได้อยู่ดี

                “ ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวก็หาเจอ” เกรทหันไปปลอบเพราะตอนนี้คนข้างๆเริ่มซึมอีกแล้ว

                “ เอาเป็นว่าฉันสัญญานะว่าจะตามให้เมนี่ให้เจอ ส่วนนายก็ดูแลตัวเองบ้างโทรมไปตั้งเยอะแล้วถ้าน้องเธอกลับมาจะจำไม่ได้นะ” เฮนรี่พูดติดตลกหญิงสาวพยายามฝืนยิมตอบเพื่อให้คนพูดสบายใจ

                “ หมอออกมาแล้ว” เกรทที่นั่งอยู่ริมสุดเอ่ยก่อนจะประคองแอลตรงไปยังประตูที่หมอกำลังเดินมา

                “ แม่ของผมเป็นยังไงบ้างครับ ปลอดภัยดีใช่หรือเปล่า” แอลถามออกไปอย่างมีความหวังและคำถามนั้นทำให้คนตอบลำบากใจเสียเหลือเกิน

                “ คือทางเราต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับคนไข้เสียชีวิตแล้ว แต่ทางเราก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว แต่เนื่องจากอวัยวะภายในของคนไข้เหมือนโดนพิษอะไรบางอย่างซึ่งทางการแพทย์ของเราเพิ่งเคยตรวจเจอเป็นครั้งแรก และเหมือนว่าพิษจะกระจายตัวอย่างรวดเร็วจึงทำให้คนไข้เสียชีวิตครับ” พีทย์หนุ่มก้มหน้าตอบไปตามความเป็นจริง “ หมดหน้าที่ผมแล้วผมขอตัวก่อนนะครับหากถ้าจะเข้าไปลาศพเป็นครั้งสุดท้ายกรุณาใส่ชุดป้องกันเชื้อด้วยนครับเพราะพิษที่อยู่ในร่างกายของผู้ตายยังไม่สลายตัว”

 แอลที่ได้ฟังก็ถึงกับเข่าอ่อนภายในใจยังคงวนเวียนนึกคิดถึงภาพเก่าๆที่เคยทำร่วมกับโซฟีมา ไม่ว่าจะเรื่องทุกข์เรื่องสุขแม่เพียงคนเดียวของเขาก็อยู่เคียงข้างเสมอและจนวันนี้ตอนนี้โซฟีก็ลาไปจากโลกด้วยเหตุเพราะเขาเป็นพวกเลือดผสม

                “ ทำไมพี่เกรท คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนที่ทำดีมาโดยตลอดอย่างคุณแม่ต้องมาตายจากไปล่ะครับ”

                “ ใจเย็นๆนะเดี๋ยวแม่ที่มองลงมาจากข้างบนจะไม่มีความสุข” เกรทปลอบ

                “ ฉันเข้าใจเรื่องการสูญเสียเหมือนกัน ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ของฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงและตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือต้องร่วมมือกันหยุดบัลเซบับให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจมีคนบริสุทธิ์ตายไปเยอะกว่านี้” เฮนรี่ทิ้งตัวลงข้างๆก่อนจะพูดต่อ “ ตอนนี้นายจะร้องไห้ก็ร้องให้พอ แล้วหลังจากนี้ต้องเข้มแข็งถ้าหากว่าพีทหรือเมนี่กลับมานายก็เหมือนเสาหลักและที่พึ่งทางใจสองคนนั้นนะ”

 สิ้นคำพูดของเฮนรี่แอลก็ร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่จนกระทั่งถึงจุดที่พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว เขาลุกเดินตรงไปยังห้องที่ศพของแม่โซฟีนอนหลับใหลอย่างไม่มีวันที่จะฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว มือเรียวยาวประกบก้มลงกราบที่ฝ่าเท้าของผู้มีพระคุณก่อนจะโอบกอดอย่างไม่รักเกียจใดๆ

                “ แม่หลับให้สบายนะครับ ผมจะเป็นคนดูแลน้องๆและโบสถ์เองครับ”

                “ ขออนุญาตนะครับ” พยาบาลสาวในชุดสีขาวเดินเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยความเศร้า “ คือทางเราพบจดหมายซองนี้ในตอนที่เอาคุณโซฟีมาส่งครับ” เขายื่นซองสีขาวที่เกือบถูกเผาไปเพราะเปลวเพลิงและจมกองเลือด

 แอลรับซองมาเพ่งพิจารณาก่อนจะค่อยๆบรรจงแกะซองสีขามออกอย่างเบามือเพราะมันช่างดูบอบบางเสียเหลือเกิน

                “ ลายมือของแม่นี่” เขาอุทานขึ้นทันทีที่เห็นลายมืออันคุ้นตา

           “ แม่เริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่โทรชวนให้ลูกมารับพีทมันแล้ว เพราะแม่รู้มาโดยตลอดว่าลูกสองคนเป็นอะไรแต่แม่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะอันตรายได้มากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้คนที่มาบริจาคให้กับโบสถ์ของเราบ่อยๆเขาบอกว่าต้องการตัวลูกทั้งสองคนหากไม่ยอมจะไม่บริจาคมาให้อีก แต่แม่เห็นว่าเงินไม่สำคัญอีกแล้วเพราะทั้งสองคนคือลูกของแม่แม่จึงเลือกที่จะส่งพีทออกไปให้ห่างจากที่นี่จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาแล้วทำทีเป็นว่าจะขอเข้ามาชมโรงเรียนแต่พวกมันกลับจับตัวของเมนี่ไปแล้วบอกว่า…”

            “ มันขาดครับทำยังไงดีละช่วงตรงนี้หายไปเกือบหมดเลยแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะหาเมนี่ได้ที่ไหน” แอลเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ก่อนจะก้มอ่านต่อ

            “ แม่อยากให้ทั้งสองคนดูแลกันดีๆและก็ไม่ได้หวังว่าจะกลับมาดูแลที่โบสถ์หรอกนะเพราะแม่รู้ดีว่าภารกิจของคนอย่างลูกเป็นยังไงเพราะแม่ก็เคยมีเพื่อนที่ชื่อฮันเตอร์เขาเองก็เป็นแบบเดียวกับลูก ถ้าแม่เป็นอะไรไปหลังจากนี้ไปบอกเขาด้วยว่าแม่ยังคงไม่ลืมที่เขาสัญญาและจะจดจำตลอดไป….โซฟี”

            “ แม่รู้จักฮันเตอร์ด้วยอย่างนั้นเหรอ ?” เขาตั้งคำถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ แล้วทำไมไม่บอกเรา”

            “ เราอาจจะไม่ได้ถามก็ได้นะหรือบางครั้งการที่เรารู้เรื่องราวทั้งหมดก็ใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอก” เกรทบอก

            “ เราออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ แล้วเอาจดหมายไปให้ฮันเตอร์กันส่วนเรื่องพิธีศพของแม่โซฟีทางโรงบยาบาลจะจัดการให้เพราะเราคงมารวมกลุ่มกับมนุษย์นานๆไม่ได้เพราะตราบใดที่พีทไม่ได้ดวงตามาใส่ในจารึกพวกมันก็จะมารังควานเราไม่หยุดแน่” เฮนรี่เอ่ยก่อนจะนำทั้งสองออกไปจากห้อง

            “ แอลไปก่อนนะครับแม่ไม่ต้องห่วงนะ แอลจะดูแลน้องอย่างดีเอง”



“ แม่” พีทลุกตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ

                “ มีอะไรหรือเปล่า” แวมป์ที่เฝ้ายามถามอย่างเป็นห่วงเพราะสีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีเอาเสียเลยเพราะทั้งๆที่อากาศหนาวกลับยังมีเหงื่อเม็ดโตผลุดบนหน้าอย่างน่าประหลาด

                “ ก็แค่ฝันร้ายน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เขาตอบแบบขอไปทีก่อนจะทิ้งตัวลงนอนต่อแต่นัยน์ตาสีทรายกลับหลับไม่ลงเลยด้วยซ้ำเพราะมันกลับเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เพิ่งฝันไปในความฝันเห็นโซฟีที่เดินไปไกลแสนไกลแล้วจางหายไป จิตใจที่อ่อนล้าจาการเดินทางเริ่มอ่อนไหวลงเพราะสมองที่ว่างเปล่ากลับเริ่มคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา “ แม่จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ”เขาหลับตาลงในขณะที่อีกคนกำลังลุกขึ้นจากห้วงนิทรา

 ไม่รอให้แสงสว่างออกไซต์ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเวรเพื่อให้แวมป์ไปพักผ่อนเพราะยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนเนื่องจากต้องคอยดูแลเดรโก้ด้วย

                “ นายไปนอนเถอะเดี๋ยวฉันจะเฝ้าต่อเอง” ไซต์เดินมาเปลี่ยนแวมป์ที่นั่งจวนจะหลับ

 แวมป์ไม่รอให้เขาพูดซ้ำเพราะร่างกายของเขาตอนนี้ช่างอ่อนล้าเสียเหลือเกิน

                “ นอนสิ้นฤทธิ์เชียวนะ” ไซต์มองคนที่นอนหลับข้างๆอย่างเพ่งพินิจแต่ก็ต้องกลับมาอยู่ในสภาพหน้านิ่งเหมือนเดิมเมื่อคนที่หลับอยู่เริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นมา

                “ นี่คุณนั่งเฝ้าผมเหรอ” เดรโก้ถามด้วยความสงสัย

                “ ฉันก็แค่มาเปลี่ยนแวมป์มันก็เท่านั้น ว่าแต่นายเถอะหายดีหรือยัง?” ไซต์เบี่ยงประเด็นทันที

                “ ก็โอเคขึ้นแล้วนะครับว่าแต่ตอนนั้นพี่แวมป์เอาน้ำมาจากไหนนะเพราะส่วนของผมก็หมดไปแล้วนี่” เด็กหนุ่มถามด้วยอาการอยากรู้แบบสุดฤทธิ์

                “…”

                “ จะมีของใครซะอีกล่ะนอกจากของคุณไซต์ไง” มิวส์ตอบแทนคนที่นั่งเงียบไม่พูดอะไร “ รู้อะไรมั้ยว่าเขาเป็นห่วงนายมากเลยรู้หรือเปล่า”

                “ แหม ห่วงกันก็บอกตรงๆสิครับ” เดรโก้เล่นหน้าเล่นตาใส่ “ แล้วนี่จะมานั่งตีหน้ายักษ์ทำไมกัน”

                “ ไม่ได้ตีหน้ายักษ์เว้ย ที่ไม่อยากใจดีมันจะเสียการปกครอง” ไซต์เอ่ยอย่างจำยอม “ เพราะจริงๆแล้วฉันก็เป็นคนใจดีเหมือนกันนะ”

                “ รู้แล้วล่ะครับ เพราะระหว่างทางคุณยังมาเล่นกับพวกเราเลย” เดรโก้ยียวน “สงสัยตอนนั้นจะแอ๊บไม่อยู่”

                “ เห็นมั้ยล่ะพูดยังไม่ทันขาดคำมันแทบจะเล่นหัวอยู่แล้ว” ไซต์หันมาตัดพ้อกับมิวส์อย่างไม่จริงจัง

                “ เดี๋ยวคุณมิวส์อยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะไปดูโอเอซิสสักหน่อยเหมือนว่าเราอยู่ใกล้แล้วล่ะรู้สึกว่าพื้นแถวนี้มันชื้นๆ” ไซต์เอ่ยพลางหยิบขวดน้ำติดมือไป “ ส่วนนายก็อย่าไปกวนใจคุณมิวส์เขาล่ะ” ไซต์ไม่วายหันมากำชับก่อนจะเดินออกไป

 เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เดรโก้จึงเอ่ยถามเรื่องหัวใจของชายหนุ่มทันที

                “ พี่กับพี่พีทเป็นยังไงบ้าง”

                “ ก็น่าจะดีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพีทจะสนใจแต่เรื่องการเดินทางมากกว่าแต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่เข้าใจเพราะถ้าจะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานมันก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว” มิวส์ตอบก่อนจะเหลียวไปมองคนที่กำลังหลับอยู่ “ รู้อะไรไหมว่าคนที่ข้างนอกแข็งแรงบางครั้งข้างในไม่ได้แข็งแกร่งหรอกนะ”

                “ ผมรู้ครับเพราะ..” เดรโก้ชะงักไปสักครู่ก่อนจะพูดต่อ “ ช่างมันเถอะ ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ไหนกันแล้วครับผมคิดว่าเราน่าจะมาไกลแล้ว”

                “ ตอนนี้เรากำลังอยู่ใจกลางทะเลทรายนะเท่าที่ดูในแผนที่”  และเพื่อความแน่ใจเขาจึงเดินไปหยิบแผนที่ในกระเป๋าออกมา กางเพื่อดูเส้นทางที่จะเดินต่อ

                “ ทำไมในนี้มันเขียนว่าบ้านแซนด์ซอยด์ล่ะครับ” เดรโก้ถามอย่างประหลาดใจเพราะสิ่งเห็นกลับไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสียแล้ว

                “ แซนด์ซอยด์เหรอ?” หนุ่มตาดีที่นอนไม่ค่อยหลับอยู่ถึงกับทวนซ้ำชื่อที่เดรโก้พูด

                “ พี่แวมป์รู้จักด้วยเหรอครับ?” เดรโก้ถาม

                “ รู้สิแต่ก็ไม่แน่ใจและไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงเพราะแม่พี่เคยเล่าให้ฟังคิดว่าเป็นแต่ตำนานเท่านั้นนะเนี่ย” แวมป์ทำสีหน้าที่ตื่นสุดขั้วทำให้คนฟังเริ่มใจไม่ดีอีกเสียแล้ว เพราะถ้าชายหนุ่มมีสีหน้าอย่างนี้เมื่อไหร่ความอันตรายมักจะมาเยือน

                “ แล้วไอ้ที่พูดถึงเนี่ยมันคืออะไร” มิวส์ถามอย่างสนใจพร้อมกับส่องไฟฉายไปยังแผนที่อีกครั้ง

 แวมป์ขยับเข้ามาใกล้บริเวณแผนที่ก่อนจะใช้สายตาวิเคราะห์อย่างเร่งรีบ

                “ ดูเหมือนตอนนี้เราจะอยู่ใจกลางบ้านของมันเลยนะ” เขาเอ่ย “ เราควรรีบออกจากที่นี่”

                “ ทำไมเหรอครับ” เดรโก้ถาม

                “ จะอะไรซะอีกล่ะ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าหากมีสิ่งใดเข้ามาในเขตของแซนด์ซอยด์มันจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของมัน อีกอย่างนึงนะถ้าเราไปสัมผัสกับมือของมันเข้าเราก็จะกลายเป็นทรายผสมอยู่กับทรายที่นี่น่ะสิ”

                “ ไปปลุกพีทแล้ว” แวมป์หันไปสั่งมิวส์ “ แล้วไซต์ล่ะ”

                “ ไซต์บอกจะออกไปตามหาน้ำน่ะ”

ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่11 6/5/63
«ตอบ #34 เมื่อ06-05-2020 01:00:32 »

อ้าก….

  เสียงของไซต์ดังฝ่าความเงียบเข้ามาทำให้คนที่กำลังเตรียมเก็บของต้องผละทุกสิ่งแล้ววิ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุทันที

                “ ไซต์ ! อยู่ไหนตอบด้วย” แวมป์ตะโกนพลางกวาดสายตาฝ่าความมือไป “ ไซต์ ได้ยินหรือเปล่า”

                “ เอาไงดีครับพี่แวมป์” เดรโก้หันไปถามและทำท่าเตรียมพร้อมที่จะรับคำสั่ง

                “ รีบหาเขาให้เจอ ด่วนที่สุด”

                “ แวมป์ฉันว่านายควรดูนี่” มิวส์และพีทวิ่งตามมาสมทบอย่างรวดเร็ว

  มิวส์ชี้ไปยังแผนที่ซึ่งปรากฏเป้นรอยเท้าสี่คู่นั่นก็คือพวกเขาและไม่ไกลออกทางซ้ายมีรอยเท้าหนึ่งคู่และไม่ไกลไปทางขวาก็มีอีกหนึ่งคู่

                “ แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าควรไปทางไหนซ้ายหรือขวา” เดรโก้เอ่ยอย่างสับสน

                “ เอาอย่างนี้ดีมั้ยเราแยกกันไปแล้วเอาพลุในกระเป๋าของแดนไปคนละกระบอกถ้าใครเจอไซต์แล้วให้ชักตรงปลายเชือกเพื่อแสดงสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้เพราะถ้าคนที่ชักส่งสัญญาณอีกฝั่งจะได้รู้ว่าควรวิ่งให้เร็วที่สุด”

                “ ง่ายดีเนอะถ้าสมมุติว่าไปถึงพร้อมๆกันล่ะ” เดรโก้ถามเพราะเรี่ยวแรงในการใช้พลังตอนนี้มีจำกัดเลือเกิน

                “ แผนสองไง”

                “ เจ๋งไปเลยพี่พีทมีแผนสำรองด้วย”

                “ วิ่งให้เร็วที่สุดไม่ต้องเปลืองพลังพิเศษด้วย” เขาตอบอย่างหน้าตาย “เอานี่ไปฉันจะไปกับคุณมิวส์ส่วนนายไปกับแวมป์เราจะกลับกันมาเจอกันที่นี่” เขาปักไม้ไว้เพื่อป็นสัญลักษณ์ “ โชคดี”

 ทั้งสี่แยกกันออกเป็นสองฝั่งและเดินทางไปยังจุดหมายอย่างไม่มีใครทราบได้ว่าข้างหน้าคืออะไรเพราะทั้งสองฝั่งมีความน่าจะเป็นอย่างเท่าเทียมกันในการเจอปีศาจหรือไซต์

                “ เมื่อเช้าผมไม่หน้าปล่อยให้ไซต์ไปคนเดียวเลย” เดรโก้เอ่ยอย่างสำนึกผิด

                “ เอาน่าไม่มีใครรู้สักหน่อยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” แวมป์ปลอบใจน้องสุดท้อง “ แล้วว่าแต่เมื่อเช้าจำได้ไหมว่าไซต์เดินไปทางไหน”

                “ ทำไมเหรอพี่กลัวเหรอครับ” เดรโก้แซว

                “ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แค่อยากรู้ว่าต้องเตรียมพร้อมแค่ไหนในการวิ่ง” แวมป์ตอบทีเล่นทีจริง

                “ เห็นบอกว่าไปทางที่มันชื้นๆน่ะครับ”

                “ ค่อยโล่งใจหน่อย” แวมป์ถอนหายใจออกมาเฮือกโตทำให้คนอยู่ข้างๆใจชื้นขึ้นมาด้วย

                “ พี่พูดแบบนี้แสดงว่าเราจะไม่เจอใช่ไหมครับ” เดรโก้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะอย่างน้อยฝ่ายเข้าก็ไม่ใช่ฝ่ายวิ่ง

                “ เปล่าแค่โล่งใจว่าเรามีโอกาสสูงกว่าพวกนั้นที่ต้องวิ่ง”

                “ อ้าว ! แล้วจะโล่งไปเพื่ออะไรล่ะ” เขาหันมาบ่นใส่ “ ไอ้เราก็นึกว่าจะได้อยู่อย่างสงบๆบ้างอะไรบ้าง”

                “ เอาแน่มันก็แค่สันนิษฐาน”



“ ไหวมั้ยเหนื่อยหรือเปล่า” พีทหันมาถามมิวส์ที่เดินไปข้างๆ

                “ ไหวอยู่แล้ว คุณนั่นแหละไหวมั้ยเห็นเดินจ้ำเอาจ้ำเอามานานแล้วไม่เมื่อยบ้างเหรอ” เขาถามกลับด้วยแววตาเป็นห่วง

                “ ไม่หรอกผมไหว อีกอย่างผมจะต้องทำให้คนที่มาเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยที่สุด หากมีใครเป็นอะไรไปรับรองผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด” เขาตอบกลับอย่างจริงจังแล้วขาคู่งามยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

                “ เดี๋ยวนะหยุดก่อน” มิวส์เอ่ยพลางก้มลงจับทรายที่พื้นขึ้นมา

                “ มีอะไรหรือเปล่า?”

                “ เมื่อเช้าไซต์บอกว่าโอเอซิสอยู่แถวๆนี้เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความชื้นและนี่ก็ชื้นเหมือนกัน” มิวส์บี้ทรายไปมาพร้อมกับมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

                “ ดีเลยอย่างนั้นเราไปกันต่อไซต์อยู่ไปไม่ไกลเราแล้ว”



“ เดรโก้หยุดก่อน” แวมป์คว้าไหล่ของน้องเล็กไว้อย่างรวดเร็ว

                “ มีอะไรอีกครับพี่หรือว่าพี่เห็นมันแล้ว” น้องชายคนเล็กสอดสายตาไปมาอย่างประหม่า

                “ เปล่า” แวมป์ปฏิเสธ “ เมื่อเช้านายบอกว่าไซต์ออกตามหาโอเอซิสเพราะความชื้นใช่มั้ย”

                “ ครับ” เดรโก้พยักหน้าพร้อมกับคำตอบ

                “ แสดงว่าเราใกล้เจอเขาแล้วล่ะ” แวมป์เอ่ยพลางหยิบทรายมาให้น้องเล็กดู “ ดูสิทรายยังชื้นๆอยู่เลยไม่ผิดแน่เราต้องเป็นฝ่ายที่เจอไซต์อย่างแน่นอน”

                “ ว่าแต่ทำไมทรายพี่มีกลิ่นแปลกๆด้วยล่ะครับกลิ่นมันคล้ายๆกับพวก เอ่อ…อ “ เขาอ้ำอึ้งแต่สายตาของแวมป์ทำให้ต้องพูดออกมา “ ฉี่”

                “ นายจะบ้าเหรอมันคงเป็นฉี่ของไซต์ล่ะมั้งคิดมาก” แวมป์เอ่ย “ เดี๋ยวนายช่วยกันมองหานะเพราะนี่ก็ใกล้สว่างแล้วตานาย คงมองเห็นบ้างแหละ”

 เดรโก้รับปากอย่างรวดเร็วพร้อมกับสอดส่องสายตาอีกครั้งและยิ่งเดินไปข้างหน้าเท่าไหร่ความชื้นในทรายก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณมากเท่านั้น

                “ ไซต์ต้องอยู่แถวนี้แน่ๆเลย” ขาทั้งสองข้างของทั้งคู่เริ่มซึมตัวลงไปในทรายเรื่อยๆ

                “ ฉันว่าไม่ใช่แล้ว นี่คือห้องน้ำของแซนด์ซอยด์แน่นอนวิ่งเร็วเดรโก้” แวมป์ตะโกนพลางยกขาและเร่งความเร็วเพื่อออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วเพราะสายตาอันกว้างไกลของเขากำลังเห็นมนุษย์ทรายยักษ์ที่สูงกว่าตึกสี่ชั้นกำลังยืนปลดทุกข์อย่างสบายใจอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่นัก

                “ ไหนบอกไม่ใช่ฉี่ไงเป็นไงล่ะอาบซะท่วมตัวเชียว”

                “ นายจะบ่นเอาอะไรเล่าวิ่งต่อไป มันกำลังตามเรามา” แวมป์เอ่ยพลางมองไปข้างหลัง มนุษย์ทรายเจ้าของฉี่กำลังลังตามมาติดๆ

                “ วิ่ง วิ่ง วิ่งอีกแล้วมีมีเดิน เดินบ้างหรือไง” เดรโก้บ่นไปหอบไป “ แล้วพี่จะเอาไงต่อเนี่ย

                “ ไปรวมกับพวกนั้นก่อน” แวมป์ตอบพร้อมกับสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่มีหยุด



“ ไซต์ทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ” พีทก้มลงคุยกับไซต์ที่นั่งแช่อยู่ในน้ำ

                “ คือขาของฉันเป็นตะคริวน่ะเดินไปไม่ไหวเลยนั่งพักเสียหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเคลิ้มหลับไปได้” ชายแคระเอ่ยอย่างสำนึกผิด

                “ เอาเถอะไหนๆก็ไหนแล้วกรอกน้ำใส่ขวดไว้แล้วกันเดี๋ยวฉันจะจุดพลุเป็นสัญญาณให้พวกนั้นก่อน” พีทคว้าแท่งไฟอันยาวออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกระชายปลายเชือกด้านล่างอย่างรวดเร็วทำให้ลำแสงสีเขียวลอยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องกัมปนาท

                “ เรากลับไปรวมกลุ่มกับพวกนั้นกันเถอะ” พีทหันมาพยุงไซต์ที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น

                “ เดี๋ยวเงียบก่อนซิ” ไซต์สั่ง “ มีบางอย่างกำลังมุ่งตรงมาทางนี้วางฉันลง” ไม่รอให้ทั้งคู่ทำตามไซต์ก็สะบัดมือทั้งสองคนออกก่อนจะชักอาวุธออกมา “ เตรียมพร้อมให้ดีถ้ามีอะไรโผล่มาให้ได้ยิงเลย”

 ทั้งหมดจ้องปลายอาวุธไปตามทางเดียวกับไซต์แต่ทว่า

                “ อย่ายิงเราเอง อย่ายิงเราเอง” เสียงของแวมป์ตะโกนนำภาพมา

                “ มันอาจเป็นกับดัก เล็งปลายปืนไว้จนกว่าจะเห็นตัว” ไซต์ยังคงไม่ยอมลดระดับการโจมตีลงแต่อย่างใด

                “ หลบไปถ้าไม่หลบเราชนแน่” เสียงเดรแหลมนำตัวของเขามา “ หลบ……บ”

โครม!

 ทั้งสองพุ่งชนเข้าอย่างจังกับไซต์มิวส์และพีท

                “ โหน้ำเต็มไปหมดเลยของดื่มนิดนึงนะ”

                “ อย่าดื่มเยอะล่ะเราต้องวิ่งต่อ” แวมป์เอ่ยเตือน

                “ หนีอะไรกันมาเนี่ย” พีทถามอย่างสงสัย “ แล้วไปโดนอะไรมาเหม็นฉึ่งเชียว”

                “ เรื่องมันยาวเอาเป็นว่าตอนนี้เราหนีกันก่อนดีกว่า” เดรโก้เอ่ยหลังจากตักตวงความชุ่มฉ่ำไปเรียบร้อยแล้ว

                “ หนีอะไรล่ะ” ทั้งสามถามพร้อมกัน

                “ โน่นไง” แวมป์และเดรโก้ก็ประสานเสียงตอบอย่างไม่แพ้กัน

                “ เหวอ!” ทั้งหมดประสานเสียงพร้อมกันก่อนจะวิ่งไปอย่างไม่ลดละ

                “ มันใกล้มาแล้วยิงเลยไซต์” พีทตะโกนสั่ง

                “อย่ายิงเชียว” แวมป์เตือน

                “ ไม่ทันแล้ว” สิ้นเสียงกระสุนขนาดมหึมาพุ่งตรงไปยังแซนด์ซอยด์ที่กำลังวิ่งตรงมายังพวกเขากระสุนพุ่งผ่านลำตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 บุ๊บ! เสียงกระสุนสลายเนื้อเยื่อแล้วแตกตัวแต่ทว่ามนุษย์ทรายกลับไม่แตกตาม ไม่เพียงเท่านั้นร่างที่เคยใหญ่กลับขยายใหญ่ขึ้นไปมากกว่าเดิม

                “ บอกแล้วเป็นไงมันกำลังกลืนพลังเข้าไปเป็นพลังของตัวเอง” แวมป์เตือน

                “ มันหายไปแล้ว…ว” เดรโก้ไม่ทันพูดจบพ้นทรายบริเวณที่วิ่งอยู่ก็ยุบตัวลงไป

                “ ทรายดูด” มิวส์เอ่ย

                “ ไม่ใช่หรอกมันเป็นอีกร่างนึงของมันเท่านั้น” แวมป์ตอบ

                “ ช่วยให้เย็นใจขึ้นมากเลยนะครับคำตอบพี่แต่ละอย่างเนี่ย” เดรโก้เอ่ยพร้อมกับดิ้นไปมาอย่างกระเสือกกระสน “ ตอบสิพี่ไม่ไหวแล้วนะ”

                “ เออคิดอยู่อย่าเร่งสิ” แวมป์ตอบ

                “ ไซต์คุณหายตัวได้ใช่มั้ย” พีทถาม

                “ ใช่”

                “ เอาอย่างนี้คุณมองต้นกระบองเพชรที่อยู่ไกลที่สุดไว้สักต้นหนึ่งแล้วเราจะหายตัวไปที่นั่นกัน”

                “ ได้เลยเกาะฉันไว้แน่นๆนะการหายตัวครั้งแรกอาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้แต่”

                “ ไม่ต้องสาธยายหรอก ไม่ใช่เวลาไปเลย” เดรโก้ขัด

                “ ไปก็ไป”

ตุ๊บ ! ทั้งหมดร่วงลงบริเวณไม่ไกลสักเท่าไหร่จากที่เคยอยู่

                “ ทำมาไกลได้แค่นี้ล่ะฉันบอกให้มองไกลๆไง” พีทถามอย่างรนลาน

                “ พอดีฉันสายตาสั้นน่ะ”

                “ เจริญล่ะ เอายังไงต่อดี” พีทถามคนอื่นบ้าง

                “ เอาอย่างนี้มั้ยเมื่อเช้าเท่าที่ผมดูแผนที่จากตรงนี้จนถึงทางออกไม่น่าจะไกลมากแต่ถ้าเราวิ่งไปตามทางมันอาจจับเราได้”

                “ นี่คุณหมายความว่าจะให้เราบินไปอย่างนั้นเหรอ” พีทถามอย่างคิดไม่ถึงกับเรื่องที่มิวส์เสนอ

                 “ ใช่เราจะบินไป” มิวส์ยิ้มให้ก่อนจะหันไปหาหนุ่มนักร่อน “ นายคิดว่าแบกพวกเราไหวมั้ย”

                “ น่าจะได้นะครับถ้าไปไม่ไกลมาก” เดรโก้ตอบอย่างไม่มันใจเสียเท่าไหร่แต่ก็ต้องเร่งการ่อนเพราะมันใกล้เข้ามาอีกแล้ว

                “ เอาเลยเดรโก้” สิ้นคำของพีทเดรโก้ก็ตั้งหลักทะยานขั้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะโฉบมาจับทีละคนเพื่อต่อกันเป็นสายยาว

                “ วู้ว….ว” ไม่ได้บินอย่างนี้มานานแล้ว แดดข้างบนนี่แรงใช้ได้เลยนะแต่ผมมั่นใจว่าไฟในตัวผมแรงกว่า”

                “ บินให้สูงกว่านี้หน่อย มันจะจับฉันถึงอยู่แล้วเนี่ย” ไซต์ที่อยู่ล่างสุดตะโกนสั่งเพราะแซนด์ซอยด์พยายามตะครุบขาเขาอยู่

                “ นี่เดรโก้อย่าฉวัดเฉวียนมากนักสิฉันมึนหัวว…เห้ย!” พีทที่เกาะคนแรกถึงกับกรีดร้องเพราะน้องสุดท้องไม่ฟังเธอเลย

                “ กรี๊ดได้แต่ห้ามปล่อยมือนะ” แวมป์เอ่ยแซวเพราะหากปล่อย ทั้งหมดก็จะร่วงอย่างพร้อมเพียงกันแน่นอน

                “ มุมจากข้างบนนี่ก็สวยเหมือนกันนะ” มิวส์พูดพลางอิ่มเอิบกับท้องฟ้าที่มีไอแดดร้อนปะทะเข้าที่หน้าสลับไปมากับลมเย็นๆ “ อยากอยู่บนนี้นานๆจัง”

                “ คงไม่ได้หรอกพี่เดี๋ยวผมจะร่อนลงแล้ว มีหมู่บ้านอะไรอยู่ข้างหน้าไม่รู้ อีกอย่างผมก็เริ่มหมดแรงด้วย”

 ไม่ว่าเปล่านักร่อนหนุ่มก็ลดระดับลงบนยังพื้นหญ้านุ่มบริเวณป้ายที่เขียนบอกไว้บอกผู้มาเยือนว่า

‘เมืองหุ่นขี้ผึ้ง’

  ยินดีต้อนรับแขกผู้มาเยือน ขอขอบคุณท่านที่ยังมีลมหายใจแล้วยังสนใจมาดูพวกเราที่ไร้ลมหายใจ

            “ แน่ใจนะป้ายเชิญชวนแค่อ่านก็ชวนขนลุกแล้ว” พีทเอ่ย

            “ เราเข้าไปกันเถอะในแผนที่บอกว่าเราต้องผ่านหมู่บ้านนี้ไปกัน”

            “ ยินดีต้อนรับ” ทันทีที่เดินผ่านเสียงนิรนามก็เอ่ยต้อนรับทันที

           “ขอให้ออกไปอย่างมีลมหายใจ”

ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
«ตอบ #35 เมื่อ14-05-2020 01:28:11 »

บทที่สิบสอง หมู่บ้านหุ่นขี้ผึ้ง

               ดูแล้วแสงสว่างจากที่นี่เหมือนจะไม่ได้มาจากท้องฟ้าเพราะเมื่อมองไปข้างบนมีเพียงโคมไฟระย้าห้อยลงมาก็เท่านั้นที่ส่องสว่างออกมา อากาศภายในนี้ก็ไม่ร้อนเท่าข้างนอกอาจเพราะต้องรักษาอุณหภูมิไม่ให้สูงจนเกินไปเพื่อไม่ให้ขี้ผึ้งที่เหมือนเป็นโครงสร้างสำคัญของเมืองนี้ต้องละลายไป

                “ เจ๋งวะ” เดรโก้เดินผ่าใจกลางซอยที่แต่ละบ้านมีรูปลักษณ์ต่างกันไปเพราะบางหลังตกแต่งตามสมัยกรีก บางหลังก็เป็นแนวสยองขวัญชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

                “ ทำไมมันเงียบๆจัง ไม่มีคนเลยหรือไง” ไซต์เริ่มสงสัยกับความผิดปกติของสถานที่ ที่ไม่ควรตั้งอยู่ใจกลางทางไปถ้ำกอร์กอนเลยด้วยซ้ำ

                “ หรือว่านี่จะเป็นกับดัก” แวมป์เสนอความคิดเห็นเพราะอะไรที่นิ่งๆมักจะน่ากลัวและเกิดสิ่งที่เกินคาดคิดเสมอ “ นายสองคนว่าไง” เขาหันไปถามพีทและมิวส์ที่เดินตามมา

                “ แล้วมาถามฉันสองคนจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ ลองไปถามเดรโก้สิเห็นเดาถูกตลอด” พีทชี้ไปทางชายหนุ่มที่กำลังสนใจงานศิลปะชิ้นใหม่อยู่

                “ เดินดีอกดีใจขนาดนั้นคงไม่ต้องถามแล้วมั้ง” แวมป์ส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะตะโกนเรียกเดรโก้ที่กำลังเอานิ้วจิ้มลงบนนิ้วของหุ่นนักล่าแวมไพร์ “ มานี่ก่อน”

                “ โห่! พี่เรียกรวมเร็วจังพี่น่าจะได้เห็นนะที่นี่มีแต่ของเจ๋งๆทั้งนั้นเลยผมว่าคนปั้นต้องมีฝีมือมากแน่ๆเพราะสมจริงสุดๆ ดูอย่างนักล่าแวมไพร์โน่นสิเนียนมากๆ” เขาชี้นิ้วไปยังหุ่นที่เล่นด้วยเมื่อครู่

               “ เออ” แวมป์กลืนน้ำลายลงคออย่างเสียวสันหลังเพราะหุ่นนั้นเหมือนกับว่าจ้องมาที่เขายังไงก็ไม่รู้

                “ ถ้าที่นี่เป็นเมืองจริงเราไปเดินช่วยกันหาชาวบ้านดีกว่ามั้ย” ไซต์เสนอ

                “ ดีเลยครับผมก็อย่างล้างไอ้ฉี่เหม็นๆออกไปจากตัวเสียที จริงมั้ยพี่แวมป์” เดรโก้เดินมาเกาะไหล่แวมไพร์หนุ่ม “ หรือพี่จะทนเหม็นฉี่อยู่อย่างนี้ครับ”

                “ เหมือนนายจะไม่มีความเครียดเลยสินะ” พีทถามอย่างยียวนเพราะเห็นน้องชายคนเล็กของบ้านดูร่าเริงเหลือเกินตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาที่นี่

                “ จะไม่ให้ร่าเริงได้ยังไงล่ะพี่ เพราะที่ผ่านมาเจอแต่อะไรก็ไม่รู้ลำบากจะตายแต่ดูนี่สิที่นี่มันสวรรค์ชัดๆแอร์เอย น้ำเอยผมว่าดีไม่ดีมีที่พักกับอาหารให้เราด้วยเชื่อผมเถอะ”

                “ ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงเถอะ” พีทตอบอย่างขอไปทีเพราะตัวเธอเองคิดว่าคงไม่มีอะไรสบายๆอยู่ระหว่างการเดินทางอันแสนโหดนี้แน่นอนแต่ก็ไม่ได้อยากตัดแรงใจเดรโก้ไหร่จึงได้แค่เตือนไป “ นายก็อย่าไปคึกคะนองให้มากนักล่ะอยู่รวมๆกันไว้เดี๋ยวจะหลงเสียเวลาหากันอีก”

                “ ครับสั่งจริงๆเลยคุณพ่อ” เดรโก้หันมาเล่นหูเล่นตาใส่ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่มีคำว่าเหน็ดเหนื่อยเหมือนตอนที่เดินทางผ่านทะเลทรายมา

                 “ นั่นไงร้านอาหาร” แวมป์ชี้ไปทางซ้ายสุดของซอยที่ทุกคนไม่อาจมองเห็นได้ “ อีกไม่ไกลมากก็น่าจะถึง” เขาตอบเพราะเห็นทุกคนต่างชะโงกมองไปอย่างมีความหวัง

                “ ผมว่าแล้ว ถ้าพี่แวมป์เห็นเป็นต้องเดินขาลากทุกที” เดรโก้เหมือนจะบ่นๆแต่ก็ “ แต่ก็ดีเลยเห็นว่าป้ายที่ชี้ไปทางนี้มีการจำลองห้องทรมาน บ้านนางไม้แล้วก็ยุคนักล่ามนุษย์หมาป่าด้วยจะได้รู้เสียทีว่าถ้าเฮียเราแปลงกายแล้วจะเป็นยังไง”

                “ นี่เดรโก้เราไม่ได้มาเที่ยวหรือทัศนศึกษานะ จะได้มาอยากแวะโน่นแวะนี่” ไซต์เอ่ยปราม

                “ ก็แค่ดูผ่านๆนี่นาไม่ได้จะเข้าไปเสียหน่อยแค่นี้ก็ทำเป็นบ่นไปได้” สิ้นคำมังกรน้อยก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

                “ ดูมัน พูดแล้วมันฟังซะที่ไหนล่ะเนี่ย” ไซต์อดโมโหในความไม่รู้จักโตของเด็กหนุ่มไม่ได้

                “ ใช่ครับสาบานได้ว่ามันบรรลุนิติภาวะแล้ว” พีทมองตามหลังอย่างหนักใจ

                “ ปล่อยเขาไปเถอะครับ เราก็เดินตามไปเดรโก้คงไม่ไปไหนไกลหรอก” มิวส์แสดงความคิดเห็นบ้างแต่ก็

                “ คุณนี่เองที่ชอบให้ท้ายจนเสียคน”

                “ เปล่านะครับผมก็แค่”

                “ เอาล่ะๆ ไปกันต่อได้แล้วเดี๋ยวเจ้านั่นก็ไปเถรไถลไปไกลหรอก” ไซต์เอ่ยเตือนก่อนจะเดินนำหน้าไปอย่างไม่ลดละด้วยความเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างหน้า

                ระหว่างทางเดินทั้งสองข้างมีห้องมากมากแล้วแต่ละห้องล้วนตกแต่งอย่างแตกต่างกันดูอย่างห้องที่พีทจะสนใจเป็นพิเศษก็คือห้องที่เต็มไปด้วยตัวการ์ตูนมากมายที่หลายๆครั้งเขาอยากได้เป็นเจ้าของ

                “ น่ารักจัง” เขาสบถเบาๆแต่แววตาของคนพูดนั้นสดใสเหลือเกิน

                “ อยากได้เหรอครับ”

                “ เปล่า” เขาเดินหน้าแดงหนีไปทันที

เส้นทางระหว่างทางเดินไปยังร้านอาหารที่อยู่ข้างหน้านั้นอยู่ไกลจากที่พวกเขาอยู่ไปประมาณสี่กิโลเมตรได้ แต่ความเมื่อยล้าของแต่ละคนนั้นกลับยิ่งทวีคูณระยะทางให้เหมือนไกลออกไปเรื่อยๆโดยเฉพาะหนุ่มน้อยอย่างเดรโก้ที่เหมือนจะสนุกสนานในช่วงแรกในตอนนี้นั่งไม่เป็นท่าอยู่ที่ฟุตบาทข้างถนน

                “ อ้าว ไหนล่ะรีบไม่ใช่เหรอ อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้วนะ จะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” พีทที่เดินตามมาจากข้างหลังตบไหล่น้องชายที่นั่งอย่างหมดสภาพ

                “ ผมนั่งรอพวกพี่นั่นแหละเดินช้ากันจริงๆเลย”

                “ เหรอ !” แวมป์ที่เดินมาสมทบพร้อมกับไซต์ลากเสียงยาวเหยียด

                “ คร้าบ” แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

                “ เอาล่ะๆ จะมานั่งเถียงกันอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไม่กินข้าว ไม่ล้างตัวกันแล้วเหรอ” ไซต์เอ่ยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเดรโก้ “ อย่างนั้นฉันก็นั่งตรงนี้แหละ”

  ทันทีที่ไซต์ทิ้งตัวลงเดรโก้ก็เด้งตัวขึ้นมาทันทีราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

                “ ไปสิครับ จะมานั่งอะไรกันตรงนี้ล่ะถ้าคุณเมื่อยเดี๋ยวผมจะแบกไปเอง”

                “ ไม่เป็นไรฉันน่ะแข็งแรงอยู่แล้ว ที่นั่งก็อยากฟังว่าจะคุยอีกนานมั้ย”

                “ อ๋อคนแก่ประชด”

  ป๊อก ! มือของชายร่างเตี้ยเคาะที่กลางลำแข้งของเดรโก้อย่างจัง

                “ เพื่อนเล่นหรือไงไปได้แล้ว” แล้วก็ทำหน้านิ่งเดินไปอย่างมาสนคนข้างหลังเลย

 ทันทีที่ก้าวมาถึงหน้าร้านที่เขียนว่า ‘ร้านอาหารและสปา’ ทั้งห้าก็ยังไม่เห็นสิ่งมีชีวิตแม้สักคนเดียวอีกทั้งหน้าร้านก็ยังดูเหมือนไม่เปิดทำการแต่กลับมีป้ายเขียนไว้ที่หน้าประตูว่า ‘เปิด’

                “ เอาไงจะเข้าไปกันหรือเปล่า” พีทถามอย่างระแวดระวังแบบสุดเพราะบรรยากาศภายนอกบวกกับสภาพหน้าร้านที่เต็มไปด้วยเศษดินและไยแมงมุมที่ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด

                “ มาถึงขนาดนี้ก็ต้องเข้าแล้วล่ะครับ” เดรโก้เอ่ยก่อนจะดันประตูกระจกที่มีม่านดำปิดทึบออกทำให้กระดิ่งสั่นไหวส่งเสียงให้พนักงานร่างใหญ่ในชุดสีขาวภายในร้านกล่าวต้อนรับ

                “ สวัสดีครับไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ” ชายอ้วนวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ที่มีขวดเครื่องดื่มมากมายหลายประเภทล้อมตัวอยู่เอ่ยขึ้น

                “ ซักครู่นะครับ” เดรโก้เอ่ยก่อนจะปิดประตูลง

                “ นายคุยกับใครน่ะ ทำไมพวกเราไม่ได้ยินอะไรเลย” พีทถามพร้อมกับพยายามมองผ่านผ้าม่านที่กระจกด้วยความสงสัย

                “ ก็คุยกับเจ้าของร้านสิพี่” เดรโก้ตอบด้วยท่าทางตื่นเต้น “ ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสวรรค์ของเราระหว่างเดินทางแล้วล่ะ”

                “ เจ้าของร้านเหรอทำไมเราไม่ได้ยินอะไรเลยล่ะ” แวมป์เอ่ยอย่างจับผิด

                “ เอาน่าเข้าไปก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวก็จะได้รู้กันไปเลยว่าใครหูดีหูไม่ดี” เดรโก้ไม่ว่าเปล่าแขนยาวของเขาก็ดันประตูเข้าไปด้วยทำให้กระดิ่งภายในร้านดังขึ้นอีกครั้ง

                “ สวัสดีครับไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ” ชายคนเดิมเอ่ยทักทายด้วยคำพูดเดิมอย่างคล่องปาก

                “ คนนี้ไงครับที่ผมคุยด้วยเมื่อกี้นี้ ไม่เชื่อก็ถามพี่เขาได้เลย”

                “ ครับ เมื่อสักครู่น้องชายคนนี้เขาคุยกับผมครับ” ไม่ทันมีใครถามเขาก็ตอบเพื่อขยายความคำพูดของเดรโก้อย่างรวดเร็ว “ ก่อนอื่นผมต้องสวัสดีอีกครั้งนะครับผมชื่อซันไชน์เป็นคนดูแลร้านและความเรียบร้อยของร้านในวันนี้ ส่วนพนักงานคนนั้นชื่อโซอี้มีอะไรก็เรียกใช้เขาได้เลยนะครับ” ซันไชน์อธิบายอย่างคล่องปากก่อนจะยกมือเรียกชายหนุ่มผิวเข้มนัยน์ตาไร้ความรู้สึกผิดจากปากที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลามาทางพวกเขา

                “ สวัสดีครับ ผมโซอี้ครับยินดีรับใช้ทุกท่านครับ” เสียงเจื้อยแจ้วที่แสดงถึงความร่าเริงเอ่ยทักอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินนำทางไปยังโต๊ะตัวยาวที่เหมาะสำหรับทั้งห้าคนซึ่งตั้งอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน “ มีอะไรกดกริ่งตรงนี้ได้เลยนะครับ” เขาชี้ไปยังกระดิ่งสีทองที่ตั้งอยู่ใกล้แจกันดอกไม้ “ เดี๋ยวผมไปเก็บจานก่อนแล้วอีกสักพักจะมารับเมนูนะครับ”

                “ ที่นี่บริการดีจริงๆเลยแฮะ” เดรโก้พูดพร้อมกับเอนตัวไปตามโซฟาแสนนุ่มที่เขาไม่ได้เจอมานาน

                “ ฉันว่ามันแปลกๆนะ”

                “ แปลกยังไงของนาย” พีทหันหน้าไปถามแวมป์ที่มองไปมาตลอดตั้งแต่เข้ามาในร้าน

                “ เธอลองคิดดูสิว่าคนที่นี่เหมือนไม่มีชีวิตเลยแววตาก็แปลกๆตั้งแต่เข้ามาแล้ว”

                “ แต่ฉันว่าเราควรสั่งอะไรได้แล้วนะเพราะคนที่พวกนายพูดถึงกำลังเดินมาแล้ว” ไซต์เอ่ยก่อนที่โซอี้จะเดินมาพร้อมกับสมุดจดเมนูสีชมพูหวานแหวว

                “ ไม่ทราบว่าจะสั่งอาหารเลยมั้ยครับ”

                “ ครับ” เดรโก้ดีดตัวขึ้นมาทันที “ ผมขอสั่งเมนูที่เด็ดที่สุดของที่นี่ครับ”

                “ รอสักครู่นะครับ” โซอี้เอ่ยเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องครัว

                “ เดี๋ยวนะเมื่อกี้นายสั่งอะไรไปนะ” พีทที่กำลังอ่านเมนูถามอย่างตกใจ

                “ สั่งเมนูเด็ดสุดของร้านไงล่ะ”

                “ มีไรหรือเปล่าครับ” มิวส์ที่นั่งข้างๆเอ่ยอย่างสนใจ

                “ ดูนี่” พีทยกเมนูไปกลางโต๊ะทุกคนต้องตกใจกับเมนูเด็ด

เมนูเด็ด

รายการ                      ขนาด                        ราคา*ตามค่าของเงินที่มีอยู่

ขี้ผึ้งลาวา              เล็ก/กลาง/ใหญ่             50/120/150

แผ่นขี้ผึ้งราดซอส                                                 ต่อชิ้น

-        น้ำผึ้ง                                                   25

-        นมผึ้งข้น                                             25

-        คาลาเมล                                           35

เครื่องดื่ม

ขี้ผึ้งอุ่น                                               70



   “ แล้วจะกินกันได้ไหมเนี่ย” เดรโก้เอ่ย

  ไม่นานเมนูที่เดรโก้สั่งไปแบบไม่คิดก็ถูกนำมาเสิร์ฟลงบนที่โต๊ะ

                “ นี่คือขี้ผึ้งลาวา เป็นสูตรของทางร้านเราเลยนะครับ” โซอี้ผายมือไปยังจานใบเล็กที่วางขี้ผึ้งก้อนกลมแผ่นบางที่สอดแทรกขี้ผึ้งเหลวเหนียวข้นไว้ภายใน “ เสิร์ฟพร้อมกับนี่เลย ขี้ผึ้งอุ่นๆกลิ่นกุหลาบซึ่งร้านเราก็เลี้ยงเองกับมือเลย”

                “ ขอบคุณครับ แล้วไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ” เดรโก้ถามเจื่อนๆโดยที่คนอื่นต่างนั่งจ้องอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างไม่สามารถกินมันลงได้

                “ มีสิครับ” เขายกแผ่นขี้ผึ้งที่คล้ายคลึงกับแผ่นแคร็กเกอร์บางเฉียบที่มาพร้อมกับซอสครบเซ็ต “ ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการซอสอะไรเลยเอามาให้ครบเลยหวังว่าคงไม่ว่าอะไรนะครับ”

                “ เอ่อมีพวก เอ่อ…อ”

                “ อะไรครับ”

                “ เมนูที่มนุษย์เขากินกันน่ะ” ไซต์ที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม

                “ พว..กคุณเป็นมนุษย์เหรอครับ แล้วมาทำอะไรที่นี่” โซอี้ถามอย่างสนใจพร้อมกับสีหน้าที่ตระหนกอย่างสุดกู่

                “ โซอี้ ! งานในครัวมีอีกมากนะ” หน้าของโซอี้สลดลงด้วยเสียงอันโหดเหี้ยมของเจ้าของร้าน

                “ ต้องขอโทษแทนลูกน้องผมหน่อยนะครับ มันไม่ค่อยเต็มน่ะครับ” ซันไชน์ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาอย่างเป็นมิตร “ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรเพิ่มเหรอครับ”

                “ อาหารมนุษย์น่ะ” เดรโก้เอ่ย

                “ ได้ครับทางร้านเรามีแต่อาจจะไม่ค่อยอร่อยถูกปากนะครับ”

                “ เอามาเลยครับพวกเรากินได้” เดรโก้เอ่ยอย่างมีความหวัง “ ส่วนอันนี้เอาคืนได้หรือเปล่าครับ”

                “ ไม่ได้ครับถือว่าสั่งมาแล้วทางร้านเราขอคิดเงินรวมด้วยนะครับ” ซันไชน์ส่งยิ้มให้ก่อนจะหายตัวไปในห้องครัวทันที

                “ เป็นไงล่ะ สั่งอะไรไม่คิด เงินที่มีจะพอหรือเปล่าก็ไม่รู้” แวมป์ที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น

                “ เรื่องเงินไม่พอไม่น่าหนักใจเท่ากับท่าทางตกใจของโซอี้เมื่อสักครู่นะครับ” มิวส์กระซิบราวกับว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่

                “ ทำไมนายสงสัยอะไรเหรอ” พีทที่นั่งข้างๆถามแต่

                “ เปล่าครับ” มิวส์ตัดบทสนทนาแต่ไม่ใช่เพราะพีทถามแต่เป็นซันไชน์ที่ยกถาดอาหารมาเสิร์ฟ

                “ มาแล้วครับ” เขาเอ่ยพร้อมกับยกจานแซนวิชวางลงบนโต๊ะ

                “ อ้าว! แล้วโซอี้ไปไหนเสียล่ะครับ” แวมป์ถามเชิงจับผิด

                “ อ๋อเจ้านั่นมันล้างจานอยู่ในครัวน่ะครับไม่ต้องไปสนใจหรอก” ซันไชน์เริ่มชักสีหน้าเพราะแววตาของแวมป์ช่างบ่งบอกเหลือเกินว่าไม่ไว้ใจ “ คุณมีอะไรจะใช้มันหรือเปล่าครับ”

                “ อ๋อเปล่าครับ ไม่มีอะไร พี่ผมเขาเป็นคนช่างสงสัยแบบนี้แหละ ไม่มีอะไรครับ” เดรโก้ที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่คุกรุ่นตอบแทนพร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องเสร็จสรรพ “ นี่ทีเห็นเขียนไว้หน้าร้านว่าที่นี่มีสปาด้วยใช่มั้ยครับหลังจากเราอิ่มแล้วอยากลองบ้างจังเลยครับ”

                “ ครับที่นี่เป็นสปาและศูนย์รวมความงามอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการหล่อขี้ผึ้งเพื่อขึ้นโครงหน้าใหม่ หรือว่าจะเป็นทำแบบเฉพาะส่วนก็ได้นะครับเห็นว่าช่วงนี้จมูกแบบคุณคนนี้กำลังเป็นที่นิยมเลย” เขาหันไปพูดกับแวมป์ที่นั่งจับผิดอยู่ “ สนใจมั้ยล่ะครับ”

                “ คงไม่หรอกครับพวกเราแค่แวะมาหาอะไรใส่ท้องเฉยๆไม่ได้มาทำอย่างอื่นเพราะมีอย่างอื่นที่ต้องทำต่อครับ”

                “ โธ่! พี่มิวส์ก็”

                “ ขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับที่ถามโน่นถามนี่ตอนนี้เราไม่กวนคุณแล้วล่ะไปทำงานของคุณต่อได้เลยครับ”

                “ ครับ” ซันไชน์ตอบสั้นๆก่อนจะเดินหายไปในห้องครัว

                “ ฉันว่าที่นี่เริ่มน่าขนลุกแล้วล่ะเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” พีทกรอกตามองไปมาก่อนจะเอ่ยต่อ “ แล้วไอ้แซนวิชนี่ก็ไม่ต้องกินหรอกนะใส่กระเป๋าแล้วเอาไปทิ้งข้างนอกเถอะ”

                “ ฉันก็ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน” ไซต์เอ่ยก่อนจะยัดแซนวิชต้องสงสัยลงกระเป๋าไปอย่างรวดเร็วผิดไปจาก

                “ คิดมาก” เดรโก้กัดแซนวิชชิ้นโตเข้าปากไปอย่างมีความสุข “ อะไรวะเนี่ย” เขาเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่มาอย่างรวดเร็วก่อนจะคายบางอย่างออกมา

                “ นิ้วนี่” พีทเอ่ยอย่างกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

                “ ของใครล่ะ” มิวส์เอ่ย

                “ ยังจะถามอีกหนีเร็ว” ทั้งหมดลุกออกจากโต๊ะอย่างไม่รีรอ

                “ จะไปไหนกันเหรอครับ” ซันไชน์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมผ้าปิดจมูกที่คาดบนใบหน้ามาอย่างเตรียมพร้อม

                “ เราอิ่มแล้วกำลังกลับคิดเงินด้วย” เดรโก้ใจแข็งตอบกลับไป

                “ สำหรับพวกเรากันเองนั้นเราจะคิดเป็นเงิน ส่วนมนุษย์อย่างพวกแกแล้วถ้าเข้ามาในร้านก็เป็นเพียงสินค้าของร้านนี้เท่านั้น” แววตาที่เคยใจดีหายไปอย่างรวดเร็ว “ พวกแกเป็นสินค้าของฉันแล้วตอนนี้ก็มีคนซื้อพวกแกแล้วเสียด้วยสิ” เสียงของชายร่างโตหัวเราะอย่างสะใจกับผลงานตัวเอง

                “ ใครเป็นสินค้าของแกกัน”

                “ ใจเย็นก่อนพีท” แวมป์สะกิดให้ชายหนุ่มใจร้อนตั้งสติ “ เรามาเจรจากันดีๆกันเถอะเพราะเราก็ไม่อยากทำร้ายท่าน”

                “ ปากดีไปเถอะบุตรแห่งแวมไพร์”

                “ นายรู้ได้ยังไง”

                “ ฉันรู้ตั้งแต่พวกแกก้าวเข้ามาในเมืองนี้แล้ว” ซันไชน์กดปุ่มที่มือ “ หลับให้สบายนะ”

  สิ้นคำกลิ่นของดอกไม้ก็โพยพุ่งออกมาจากช่องแอร์ภายในร้านจนตลบอบอวลร้าน

                “ ควันพิษอย่าหายใจนะ” ไซต์เอ่ยเตือน

                “ หาทางออกเร็ว” แวมป์ที่สายตาดีสุดควานไปหาทางออกแต่ก็พบว่า “ มันล็อค”

                “ ทำไงดีไม่ไหวแล้วนะ”

                “ ไม่ต้องหนีหรอกสูดกลิ่นดอกไม้ของฉันแล้วหลับให้สบายดีกว่า” เสียงของผู้กระทำเอ่ยอย่างสะใจกับผลงาน

                “ ไม่ไหวแล้ว”

 ตุ๊บ ! ร่างของเดรโก้ร่วงสู่พสุธาทันทีมิวส์ที่อยูด้านหลังทำได้เพียงตบหน้าเพื่อเรียกสติเท่านั้นแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะตอนนี้เดรโก้ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว

 ความอดทนย่อมมีขีดจำกัดเช่นเดียวกับการกลั้นหายใจของทั้งห้าที่ไม่สามารถจะทนกับการขาดออกซิเจนได้


ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
«ตอบ #36 เมื่อ14-05-2020 01:28:50 »

ต่อ


                “ ม..ไม่”

 ตุ๊บ! เสียงสุดท้ายที่มาจากแวมไพร์หนุ่มที่ร่วงตามเพื่อนๆไปทำให้ซันไชน์ที่ยืนมองผลงานแล้วยิ้มแทบจะหุบไม่ลงเลยเพราะราคาของพวกเลือดผสมมักได้ราคาดีเสมอ

   กลิ่นดอกไม้และดินลอยเข้ามาเตะจมูกชายหนุ่มทำให้สดชื่นขึ้นราวกับว่าได้เกิดใหม่เพราะทันทีที่เดรโก้ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆที่เหมือนจะเพิ่งผ่านพ้นฝนตกมาก็ไม่ปาน ชายหนุ่มกระพริบตาเพื่อปรับให้เข้าแสงสว่างที่เข้ามาก่อนจะลุกอย่างโซซัดโซเซเพราะสมองยังคงเมากับกลิ่นดอกไม้ของซันไชน์ที่เพิ่งดูดเข้าไป

                “ ใช่แล้ว ไอ้ซันไชน์ฉันไม่น่าหลงเชื่อแกเลย” เดรโก้ตบฉาดที่ขาตัวเองอย่างเจ็บใจก่อนที่จะก้าวขาออกไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลจากเขาเลย

                “จะรีบไปไหนจ้ะพ่อหนุ่ม” น้ำเสียงอ่อนหวานดังผ่านพุ่มไม้ด้านหลังของเขามา

                “ ใครน่ะ” เดรโก้ตะโกนตอบกลับ

                “ ทำไมเจ้าคุยกับสตรีอย่างข้าแข็งกร้านนักเล่าพ่อหนุ่ม” เสียงหลังพุ่มไม้เอ่ยอย่างตัดพ้อแต่ก็ไม่ได้ทำให้เดรโก้สนใจเลยแม้แต่น้อย

                “ ถ้ายังไม่ตอบฉันก็ไม่ขอคุยด้วย” เดรโก้หันหลังแล้วเดินไปที่ประตูแล้วบิดลูกบิดทันที “ ล็อค”

                “ ฮ่าๆๆๆ พ่อหนุ่ม ฉันเป็นสาวคนเดียวจะให้เปิดประตูต้อนรับใครที่ไหนได้เล่า”

                “ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

                “ จะรีบไปไหนล่ะพ่อหนุ่ม” สิ้นเสียงร่างของหญิงสาวทรวดทรงสง่างามก็เดินฝ่าบรรดาแมกไม้ออกมาอย่างสง่างามราวกับนางเอกในละครย้อนยุคเพราะใบหน้าของเจ้าเธอช่างดูสดใจยิ่งได้จมูกที่เป็นสันกับริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มแล้วใครได้เห็นเป็นต้องหลงชอบอย่างแน่นอน “ ไม่ได้ยินหรือฉันถามเจ้าว่าจะรีบไปไหน”

                “ คือว่าผมจะไปตามหาเพื่อนครับ ไม่ทราบว่าคุณเห็นบ้างหรือเปล่า” เดรโก้เอ่ยอย่างตาเป็นประกาย

                “ ข้าไม่เห็นใครทั้งนั้นเพราะตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าอยากมองมาสิมาหาข้า” สาวปริศนาเอ่ยอย่างออดอ้อน

                “ ไม่ได้หรอกผมต้องไปหาเพื่อน” เดรโก้สะบัดใบหน้าสวยงามออกจากความคิด

                “ ไม่เคยมีใครหันหลังให้กับข้ามาก่อน แล้วเหตุใดเล่าเจ้าถึงได้มาหันหลังให้ข้าเช่นนี้ข้าไม่งามพอหรือ”

                “ เปล่าครับแต่ตอนนี้ผมต้องไปตามหาเพื่อนของผมก่อน”

                “ อย่าไปคิดมากนักเลยปลดปล่อยไปตามที่เจ้าอยากให้เป็นเถิด” ดวงตาคู่งามจดจ้องมายังชายหนุ่มก่อนที่จมูกของเดรโก้จะได้กลิ่นเบาๆของดอกกุหลาบ “ มาอยู่กับข้าเถอะนะ”

                “ ครับ” เดรโก้เอ่ยราวกับต้องมนต์สะกดก่อนจะเดินตามไปอย่างว่าง่าย



กลิ่นฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วห้องแต่ก็ยังไม่น่าสะอิดสะเอียนเท่ากับกลิ่นคาวของเลือดที่คละคุ้งไปทั่วห้องที่มากกว่าเพราะทันทีที่พีทตื่นจากควันพิษของซันไชน์ก็แทบจะอาเจียนกับภาพที่ตนเห็น

                “ คุณมิวส์ ตื่น” เขาสะกิดชายหนุ่มที่หลับใหลไม่ได้สติด้านข้าง “ คุณมิวส์”

                “ ครับ” มิวส์ตอบหลังจากตื่นจากฝันดี “ คุณพีทมานอนต่อเถอะครับ”

                “ มันใช่เวลามั้ยเนี่ย” เขาแหวใส่ทันทีก่อนจะปล่อยฝ่ามือลงไปกลางหน้าชายหนุ่มอย่างสุดแรง “ ตื่นได้หรือยัง”

                “ โอ๊ย! ปลุกดีๆหน่อยก็ไม่ได้” มิวส์ลุกมาลูบที่หน้าที่มีรอยแดงเป็นฝ่ามือ

                “ เรียกแล้วแต่นายมัวแต่พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้”

                “ แล้วผมพูดเรื่องอะไรล่ะครับ” คำถามนี้ทำให้พีทหน้าแดงกล่ำแต่ก็ต้องหยุดลงเพราะมันไม่ใช่เวลา “ ดูโน่น” พีทชี้ไปทางเครื่องมือแปลกประหลาดที่ตั้งเกลื่อนกลาดห้องไปหมดมันจะไม่สร้างความน่าขนลุกเลยถ้าเครื่องมือเหล่านั้นไม่มีเศษเนื้อเศษเลือดติดอยู่ด้วย “ อี๋” เขาแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อหันไปเจอเครื่องบางอย่างที่มีร่างของมนุษย์โดนแหวกเอาเครื่องในออกมากองไว้กับพื้น

                “ ผมว่าเราหาทางออกจากที่นี่กันเถอะ”

                “ แล้วนายรู้ทางออกเหรอ” พีทถามอย่างสับสนเพราะตอนนี้มีสามประตูที่เธอเห็น

                “ เราจะค่อยๆไปเปิดทีละประตูครับผมว่าต้องมีสักทางที่เป็นทางออก” มิวส์เสนอ

                “ ตกลงครับ แต่บอกได้เลยว่าฉันจะไม่แยกเพราะอย่างน้อยไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นผมก็อยู่ข้างๆคุณ”

                “ ครับ” มิวส์ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินไปยังประตูบานแรกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาซักเท่าไหร่ “ เปิดแล้วนะครับ”

                “ อืม” พีทก้มลงหยิบมีดที่เหน็บกับรองเท้าขึ้นมาเพื่อตั้งรับกับสิ่งที่อยู่หลังประตู

  เอี๊ย…..ดเสียงบานประตูดังตามแรงของมิวส์ที่พยายามต้านแรงเสียดทานจนกระทั่ง

                “ เดี๋ยวครับ อย่าเปิด” พีทที่ตั้งรับส่งสัญญาณ

 โครม! สิ่งที่อยู่หลังประตูทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว

                “ ศพ” พีทเอ่ยพลางบีบจมูกไว้เพราะสิ่งที่เห็นตอนนี้คือร่างซึ่งไร้วิญญาณที่โดนกระทำอย่างทารุณบางศพไม่มีขา บางศพไม่มีแขนหรือไม่ก็ทั้งสอง “ ใครกันที่ทำอย่างนี้”

                “ ไม่ทราบเหมือนกันครับแล้วผมก็คิดว่าเราไม่จำเป็นจะต้องไปทำความรู้จักกับเขาคนนั้นหรอก” มิวส์ลากพีทไปยังประตูอีกบานทันที “ เดินเร็วๆครับ”

                “ รู้แล้วน่า คุณแหละระวังตัวเองดีๆเถอะ”

                “ ครับไม่ต้องห่วงผมหรอก” มิวส์หันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูบานตรงหน้า “ มันล็อค”

                “ หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าบวกเครื่องบรรณาการของข้า” เสียงแข็งกร้านโผล่มาจากประตูบานที่สาม

                “ เอาไงดีล่ะมันมันจะมาแล้ว” พีทถามอย่างเร่งเร้า

                “ เอาอย่างนี้เราไปนอนกองรวมกับศพพวกนั้นดีกว่านะครับ”

                “ นอนกับศพเนี่ยนะ” พีทถามย้ำคำสั่งของชายหนุ่ม

                “ ครับ” ไม่ว่าเปล่ามิวส์ก็ลากร่างบางมานอนลงแล้วเอาศพที่มีน้ำเหลืองและเศษเนื้อเน่ามาทับไว้ก่อนจะมาทำแบบเดียวกันกับตัวของเขาเอง

 

“ ผมว่าเราต้องหาทางออกให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ” แวมป์เอ่ยหลังจากที่เดินสำรวจมาสักพัก

                “ ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ไซต์เอ่ยพลางมองพระจันท์ที่ใกล้เต็มดวงแหล่มิเต็มแหล่เพราะป้ายที่พวกเขาผ่านมามันเขียนว่าหมู่บ้านนักล่าหมาป่า “ ถ้าถึงขนาดต้องตั้งเป็นหมู่บ้านขนาดนี้พวกมันต้องมีไม่ใช่น้อยๆเลย”

                “ ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะคุณว่าไหม” แวมป์มองไปมาอย่างสงสัยกับบรรยากาศรอบตัว

                “ แปลกยังไง”

                “ ก็ตั้งแต่เข้ามาในเมืองเราไม่เคยเจอคนเลยสักคนสัตว์เลี้ยงยังแทบไม่มีนอกเสียจากว่าเปิดประตูเข้าไป”

                “ เหมือนอยู่คนละโลกงั้นเหรอ” ไซต์เสริม

                “ อืม” แวมป์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้าที่แทบไม่มีดวงดาวเพราะรัศมีของแสงจากดวงจันท์หลบหมด “ เคยได้ยินนิทานเรื่องบ้านหุ่นขี้ผึ้งมั้ยครับ”

                “ มันใช่เวลามาเล่านิทานตอนนี้มั้ยเนี่ยไปเร็วเราต้องไปหาที่หลบ” ไซต์เอยอย่างเร่งเร้าเพราะก้อนเมฆก้อนสุดท้ายที่บดบังดวงจันท์เอาไว้กำลังค่อนๆลอยตัวออกไปแล้ว

                “ ฟังก่อนนะครับผมผมว่าคนที่เราเห็นในร้านเมื่อครู่นี้น่าจะเป็นคนที่แม่ผมเคยเล่าให้ผมฟังตอนเด็กๆ” แวมป์ยังคงยืนกรานที่จะเล่าให้คนตรงหน้าฟัง “ ถ้าเดาไม่ผิดซันไชน์น่าจะเป็นคนปั้นหุ่นทั้งหลายขึ้นมาแล้วเกิดพลาดตอนร่ายคาถาหุ่นพวกนี้จึงโหดร้ายผิดไปจากของคนอื่น”

                “ แล้วยังไงล่ะ” ไซต์ถามเพราะที่เขาเล่ามาไม่เห็นมีทางไหนเป็นประโยชน์กับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย

                “ ไม่ว่าเวทย์จะมีพลังมากแค่ไหนย่อมมีจุดอ่อน ไม่เช่นนั้นซันไชน์จะคุมบรรดาหุ่นขี้ผึ้งพวกนี้ได้เหรอ”

                “ อย่าอ้อมค้อมได้ไหม ตอนนี้มันถึงเวลาล่าแล้วนะ”

 โบร๋ว…ว เสียงสัญญาณการออกล่าของบรรดาหมาป่าดังขึ้นทำให้ขนสันหลังของทั้งคู่ถึงลุกตั้งชูชันขึ้นมาเลยทีเดียว

                “ คุณขึ้นไปบนต้นไม้ก่อนผมขอลองอะไรบางอย่างก่อน ถ้าเกิดพลาดผมขอให้คุณหนีให้เร็วที่สุด” แวมป์หันไปสั่งไซต์ที่ทำท่าพร้อมตั้งรบ

                “ จะให้ฉันทิ้งนายเนี่ยนะไม่มีทาง”

                “ ผมไม่ใช่คนที่จะเอาดวงตาเมดูซ่านะครับ คนที่เราต้องดูแลในตอนนี้คือพีท” แวมป์เอ่ย “ แล้วผมมั่นใจกับสิ่งที่ผมตัดสินใจขอร้องล่ะคุณไปซ่อนตัวก่อน”

                “ ได้ฉันจะระวังหลังไว้ให้ แต่นายเองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”

บรรยากาศในค่ำคืนแห่งการล่านั้นเย็นเฉียบเหลือเกินเพราะยิ่งแสงจันท์สว่างไสวเท่าไหร่ความน่าสะพรึงกลัวยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นมากเท่านั้น

 แกรก..ก เสียงท่อนไม้และใบไม้แห้งดังก้องไปทุกทิศทุกทางทำให้ไซต์ที่อยู่บนต้นไม้ไม่สามารถเลือกเล็งปืนไปทางใดได้เลยผิดกับแวมป์ที่ยืนสบายๆราวกับว่าอยู่สวนที่มีแต่แมกไม้ก็ไม่ปาน

                “ มันยืนล่อให้พวกมันออกมาตะครุบหรือยังไงวะ” ไซต์บ่นอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของคนข้างล่าง

 บรู๋ว….ว เสียงหอนของสิ่งที่พร้อมขย้ำพวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วดูเหมือนว่าจำนวนพวกมันก็เพิ่มขึ้นมากด้วยเพราะเสียงฝีเท้าและเสียงประสานการหอนนั้นดังขึ้นๆ

                “ จะทำอะไรก็ทำซักทีสิยืนเฉยๆอยู่ได้”

  ซวบ ! ซวบ!  เสียงพุ่มไม้ด้านหน้าของแวมป์สั่นไหวทำให้ไซต์เตรียมเล็งไปยังพุ่มไม้นั้นทันที

 แฮร่! หมาป่าตัวขนาดมหึมากระโจนใส่ร่างแวมป์อย่างรวดเร็วแต่ทว่า

                “ ทะ..ลุนายทำได้ยังไงทำไมหมาป่ามันทะลุผ่านตัวนายได้” ไซต์เอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะไม่ว่าหมาป่าสักกี่ตัวที่กระโจนเข้าหาแวมป์กลับทะลุผ่านไปราวกับว่าแวมป์เป็นเพียงอากาศเท่านั้น

                “ อย่าเพิ่งลงมานายต้องตั้งสติก่อน” แวมป์ตะโกนบอกคนแคระที่กำลังปืนลงจากต้นไม้ “ คิดว่าพวกมันไม่มีมันก็จะไม่มีเพราะไอ้พวกนี้มันต้องการแค่อารมณ์ร่วมจากพวกเราหากเราไม่มีมันก็ทำอะไรไม่ได้

                “ ตกลง” ไซต์ปีนกลับขึ้นไปตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง

ตุ๊บ!

 เมื่อร่างเล็กทิ้งตัวลงบนพื้นหมาป่าที่โจมตีแวมป์อยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที

                “ ไปเถอะ” ไซต์เดินผ่านบรรดาอสุรกายไปราวกับว่าเป็นอากาศ “ ว่าแต่ไปไหนก่อนเราไม่รู้เลยนะว่ามันเอาตัวพวกนั้นไปไว้ที่ไหน”

                “ เราไม่รู้แต่แผนที่รู้” แวมป์ยิ้มอย่างมีความหวังแต่ก็ต้องดับมอดลงเมื่อไซต์เอ่ย

                “ เราไม่มีแผนที่กระเป๋าเราโดนขโมยไป”

                “ เอาอย่างนี้นายนึกถึงร้านหรือหน้าไอ้ซันไชน์ได้มั้ย?”

                “ แน่นอน ใครจะไปลืมไอ้คนที่ทำกับพวกเราได้” ไซต์เอ่ยอย่างเคียดแค้น

                “ อย่างนั้นนึกถึงมันให้ดีๆแล้วนายก็พาฉันหายตัวไป”

                “ ตกลง” ไซต์หลับตาลงก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากห้องหุ่นนี้

ตุ๊บ!

   ทันทีที่ร่างของทั้งสองตกลงมาซันไชน์ที่กำลังเตรียมรื้อกระเป๋าของพวกเขาอยู่ถึงกับผงะเพราะไม่คิดว่าจะมีใครรอดออกมาได้

                “ มาได้ไงวะเนี่ย”

                “ นายรู้จักเราน้อยไปเสียแล้วล่ะ” ไซต์เอ่ยก่อนจะกระชากกระเป๋าในมือของซันไชน์ออกมาอย่างรวดเร็ว

                “ นายก็รู้จักฉันน้อยเกินไปเหมือนกัน” เขาพูดกลั้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

                “ ระวังตัวด้วย” ไซต์กระซิบ

                แวมป์จ้องไปรอบตัวเพราะตอนนี้เขาถูกล้อมไปด้วยบรรดาซอมบี้ที่ไม่เคยมีอยู่ที่นี่มาก่อนล้อมรอบ

                “ ดีนะท่านแอสโมดีอุสฉลาดเลยมีแผนสำรองมาให้ข้า”

                “ แอสโมดีอุสเหรอ?” แวมป์ทวนสิ่งที่ซันไชน์เอ่ย

                “ เออสิวะบอกไปแล้วยังจะถามอีก”

เพล้ง !

                “ โซอี้” แวมป์ตะโกนอย่างตกใจเมื่อคนที่เขาไม่ไว้ใจฟาดขวดไวน์ลงบนกลางหัวของซันไชน์

                “ พวกนายรีบหนีไปเถอะทางนี้ฉันจะเป็นคนถ่วงเวลาไว้เอง” โซอี้เอ่ยอย่างเร่งเร้า

                “ ทำไมไม่หนีไปด้วยกันล่ะ”

                “ ฉันออกไปจากที่นี่ไม่ได้เพราะวิญญาณฉันถูกกักขังไว้ที่นี่พวกนายไปกันเถอะ”

                “ ขอบใจนะ” ไซต์คว้าร่างแวมป์ที่มองผู้มีบุญคุณอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ตุ๊บ ! ร่างทั้งสองปรากฏอย่างรวดเร็วที่บริเวณซอยทางเข้าของร้านอาหาร

                “ ทำไมเราต้องทิ้งโซอี้เขามาช่วยเรานะ” แวมป์ถามเพราะอดเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างหลังไม่ได้

                “ นายอย่าลืมสิว่าตอนนี้เรามาทำอะไรแล้วอะไรสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพื่อนร่วมทีมเราหรอกเหรอตอนนี้เดรโก้ พีทแล้วก็มิวส์กำลังรอเราไปช่วยอยู่นะฉันสัญญาว่าถ้าพวกนั้นปลอดภัยเราจะกลับไปช่วยโซอี้” ไซต์ยื่นมือไปทำพันธสัญญา “ แต่ตอนนี้นายต้องหาก่อนว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน”

                แวมป์เร่งค้นกระเป๋าที่แย่งคืนมาจากซันไชน์อย่างเร่งรีบก่อนจะคว้าแผนที่ออกมากาง

                “ ห้องทรมานกับห้องนางไม้เหรอ” แวมป์หันมาทางไซต์เพราะต้องการความคิดเห็นจากผู้มีประสบการณ์

                “ เอาอย่างนี้ฉันจะหายตัวไปส่งนายที่ห้องของพีทแล้วฉันจะไปดูเดรโก้เอง” ไซต์เอ่ยอย่างเด็ดขาดโดยไม่ต้องรอถามความคิดเห็นของแวมป์แต่อย่างใด

                “ ตกลงตามนี้”

  ร่างของทั้งคู่ก็ลอยมาหล่นในห้องที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและซากศพเน่าที่บรรดาหุ่นขี้ผึ้งของซันไชน์ทำไว้กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเพราะโดยปกติแล้วระหว่างทางไปทำกอร์กอนนั้นไม่มีเมืองนี้อยู่เลย

                “ ใครน่ะ” นักฆ่าที่โดนเย็บบริเวณดวงเอ่อยถามอย่างโหดเหี้ยมหร้อมกับฟาดขวานไปมาอย่างดุดัน “ ฉันถามว่าใครหูหนวกเหรอ” ปากที่ผ่านที่ยับเยินเพราะผ่านการเคยเย็บเอ่ยอย่างไม่หยุดหย่อนพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดราวกับสุนัขกำลังหาอาหาร “ ไม่ใช่แกใช่มั้ยซันไชน์ กลิ่นไม่คุ้นเลยหรือว่าเปลี่ยนน้ำหอมใหม่” เขาหัวเราะร่า “ เอาน่าไม่ว่าใครก็ช่างรอเมียข้ากลับมาก่อนจะได้รู้สักทีว่าใครมา”

                “ นายหาทางตามตัวพีทไปนะเดี๋ยวฉันไปช่วยเดรโก้ก่อน” ไซต์กระซิบที่ข้างหูของแวมป์ก่อนจะหายตัวไป

                “ เอาไงดีวะนั่นมันศพจริงหรือหุ่นขี้ผึ้งเนี่ย” แวมป์เอ่ยอย่างลังเลใจเพราะหากเป็นเพียงหุ่นขี้ผึ้งเขาสามารถผ่านมันไปได้ง่ายดายแน่หากว่าไม่ใช่ก็เท่ากับเขายอมให้มันฟันฟรีอย่างนั้นเหรอ “ ต้องมีทางสิคิดสิโว้ย”

                “ โวยวายอะไรนักหนาไอ้บอด” เสียงของหญิงสาวที่เข้ามาใหม่ทำให้แวมป์ถึงกับซ่อนตัวแทบไม่ทันเพราะดวงตาที่แทบจะถลนออกมาสอดส่องมองรอบๆอย่างจับผิดเพราะสีท่าของสามีเปลี่ยนไป “ อ้าว ! ฉันถามยังไม่ตอบอีกหรือว่าซันไชน์มันแอบมาเย็บปากแกอีกแล้วหรือไง”

                “ เปล่าฉันแค่กำลังดมกลิ่นอยู่ว่าคนที่ซันไชน์มันเอามาให้จัดการอยู่ไหนแล้วยังมีคนที่เข้ามาใหม่ด้วยนะแกลองดูซิว่ามันใช่ซันไชน์หรือเปล่า”

                “ ตั้งแต่ฉันเข้ามายังไม่เห็นอะไรเลยจมูกแกไม่ดีหรือเปล่า” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยกลับแต่ก็ต้องถูกนิ้วที่เปื้อนเลือดของสามีกระแทกมาที่หน้า “ ทำอะไรของแกน่ะฉันเพิ่งจะเปลี่ยนตามานะเดี๋ยวก็บอดอีกหรอก”

                “ แกมันปากดีไง จมูกก็ไม่มียังจะมาหาว่าข้าจมูกเสียอีก”

                “ เออเอาน่าถ้ามันมีอยู่จริงข้าก็ต้องเห็นแกลองดมไปเรื่อยๆเดี๋ยวฉันจะคอยมองให้เอง” ทั้งสองจับมือกันโดยมีดวงตาของภรรยาที่ไม่มีจมูกคอยมองส่วนสามีก็เดินรุดหน้ามายังกลิ่นแปลกใหม่ที่กำลังซ่อนตัวอย่างไม่รีรอ

                “ เอาวะเป็นไงเป็นกัน” แวมป์คว้ากริชที่เคยอยากจะลองใช้มานานออกมาแต่ที่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าไม่รู้กำลังที่แท้จริงของมัน” เขาพุ่งตัวใส่ทั้งคู่ที่กำลังเดินไปมา

                “ กริชอาคมอย่างนั้นเหรอ” คนที่สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เพิ่งเกิดภายในห้องเอ่ยอย่างตระหนก “ แกเป็นใคร”

                “ ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอกเอาตัวเพื่อนฉันไปไว้ที่ไหน” เสียงของแวมป์ทำให้คนที่นอนจมกองศพมีความหวังขึ้นมาจึงค่อยๆลุกแล้วแสดงตัวหลังจากที่ซ่อนมานาน

                “ แวมป์เราอยู่นี่” พีทตะโกนอย่างดีใจ

                “ อยู่นี่เองเหรอหาตั้งนานไอ้หนู” นักฆ่าที่เหมือนจะสนใจแวมป์เมื่อครู่ปาขวานเล่มโตไปยังต้นเสียงอย่ารวดเร็ว

                “ ระวัง !” มิวส์กระโดดปัดตัวของพีทไปได้อย่างหวุดหวิด “ เป็นอะไรหรือเปล่า”

                “ ผมไม่เป็นไรครับไปกันเถอะ” เขาคว้าแขนของชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายวิ่งไปหาแวมป์ทันที

                “ ถ้ามันปาอะไรใส่ไม่ต้องไปหลบมันนะมันเป็นหุ่นขี้ผึ้งต้องคำสาปยิ่งเรากลัวมันยิ่งมีพลัง” แวมป์ตะโกนบอกคนที่กำลังกล้าๆกลัวๆ

                “ ไอ้หนุ่มแกคิดเหรอว่าทุกสิ่งที่อยู่ในนี้เป็นขี้ผึ้งหมดน่ะ” เจ้าของห้องเอ่ยอย่างมีเลศนัย

                “ อย่าไปฟังมันรีบๆวิ่งมาเร็วเข้าฉันจะไปพังประตูรอ”

                “ ไปเร็ว!” มิวส์วิ่งฝ่าความกลัวมายังแวมป์ก่อนจะหลุดออกจากห้องออกมาเสียงคำรามของสิ่งที่อยู่ข้างในก็ค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด

                “ ตามมาเราต้องไปช่วยเดรโก้ตอนนี้ไซต์นำไปก่อนแล้ว” แวมป์หันมาบอกทั้งสองที่กำลังปัดเศษเนื้อเน่าของเหยื่อที่เคยโดนหลอกมาที่นี่ออก

 ทั้งสามพากันวิ่งตรงไปยังห้องนางไม้ซึ่งเป็นที่อยู่ของเดรโก้และไซต์อย่างกระหืดกระหอบแต่ทำไมเส้นทางที่จะไปมันดูไกลเหลือเกิน

                “ นายพาเราหลงหรือเปล่า” มิวส์ที่วิ่งตามมาถามเพราะพวกเขาควรจะถึงได้แล้วเนื่องจากห้องนางไม่ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับทางที่ที่พวกเขามา

                “ แอสโมดีอุส” เสียงงูหนุ่มที่ห้อยคอของพีทเอ่ย

                “ แอสโมดีอุสเหรอแจ็ค” พีทถามย้ำเพื่อความมั่นใจทันทีเพราะคนที่แจ็คกำลังพูดถึงไม่น่าตามมาที่นี่ได้

                “ ไม่ใช่ตัวมันหรอกน่าจะเป็นมนต์ของมันมากกว่านะ”

                “ ถ้าอย่างนั้นก็ได้เลย” พีทหลับตาลงเพื่อตั้งสติอีกครั้งก่อนจะค่อยๆลืมตาเพ่งสายตาฝ่ามนต์ของศัตรูจนทำให้พบว่าสิ่งที่พวกเขาวิ่งหานั้นอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว “ ทางนั้น”

                “ ตามมา” มิวส์หันไปบอกแวมป์ที่กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                “ เปิดเลยห้องนี้แหละ” พีทหยุดลงที่หน้าประตูที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า

                “ มันล็อค”

                “ พังเข้าไปเลยครับ” แวมป์กระแทกเข้ากับประตูด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่สลับไปมากับมิวส์

                “ พอเถอะไม่ขยับเลย” พีทที่คอยมองอยู่บอกทั้งคู่

                “ แล้วจะให้ทำยังไง” แวมป์บ่นอย่างจนปัญญา

                “ นายเคยบอกใช่มั้ยว่าเมืองทั้งเมืองนี้ถูกสร้างมาจากขี้ผึ้ง” แวมป์พยักหน้าเป็นการตอบ “ อย่างนั้นเราก็ใช้ไฟมาลนไงเดี๋ยวมันก็อ่อนเองแหละ”

                “ แต่เราไม่มีไฟ ปืนก็อยู่ที่ไซต์ตอนนี้ก็มีแค่กริชนี่แหละ”

                “ แต่เรามีพลุนี่จำได้ไหมมันใช้การดึงตรงปลายเท่านั้นก็จะสร้างประกายไปได้แล้วถ้าเราหันหน้าไปทางประตูความร้อนน่าจะทำให้มันอ่อนตัวลงบ้านตอนนั้นแหละ นายก็เอากริชของนายแทงผ่านแล้วปลดล็อคมาเลย”

                “ พูดเหมือนง่ายนะ ตอนทำผลจะออกมาเป็นยังไงกันล่ะ”

                “แต่ยังไงก็ของลองสักตั้งแล้วกัน” มิวส์ที่ชี้ทางเลือกสุดท้ายเอ่ยอย่างมีความหวัง

 แวมป์จดจ้องกับบริเวณที่มิวส์กำลังจุดพลุไฟเพราะหากพลาดโอกาสสุดท้ายที่มีก็จะหายไปทันที


ออฟไลน์ SAILOM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
«ตอบ #37 เมื่อ14-05-2020 01:29:12 »

ต่อ

 โบ้ม ! แล้วก็เป็นไปตามคาดเพราะบริเวณที่พลุลอยไปโดนค่อยๆย้อยลงมาแวมป์ก็ไม่รอช้าเช่นกัน เขาค่อยๆดันกริชไปอย่างสุดแรงแม้บรรดาหยดขี้ผึ้งจะไหลหยดมาโดนผิวขาวจนเปลี่ยนไปเป็นสีแดงแล้วก็ตาม

                “ สำเร็จ” พีทมองความคิดของชายข้างๆอย่างดีใจก่อนจะถลาเข้าไปยังห้องที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์

                “ มาช่วยเดรโก้ตรงนี้ก่อน” ไซต์ที่หลบอยู่หลังขอนไม้กวักมือเรียก

                “ แล้วเดรโก้อยู่ไหนครับ” พีทถาม

                “ โน่น” ไซต์ชี้ไปยังร่างที่โดนแขวนตรึงไว้กับเถาวัลย์ทั้งแขนทั้งขา

                “ ทำไงกันดีล่ะ เดรโก้ก็ไม่ได้สติด้วยจะบอกยังไงถ้าทะเล่อทะล่าเข้าไปช่วยเท่ากับว่าเราก็ต้องคิดว่ามันมีตัวตนอีก”

                “ รอบคอบมากแวมป์” พีทสนับสนุน “แต่เราก็ยอมให้เดรโก้มาห้อยอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะเพราะไอ้เส้นที่ค่อยๆห้อยลงมามันกำลังจะพันตัวเดรโก้อยู่แล้ว”

                “ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”

                “ เอาอย่างนี้ดีมั้ยฉันจะไปตัดเถาวัลย์เองส่วนนายกับคุณมิวส์ไปรอเป็นกำลังสำรองตรงนี้ เผื่อมีอะไรพลาดส่วนไซต์ให้จ้องช่วงที่เดรโก้กำลังร่วงรีบหายตัวไปรับแล้วกลับมาตรงนี้เพราะถ้าร่วงลงไปข้างล่างตายแน่เพราะมีแต่หนามเต็มไปหมด”

                “ มันจะไม่เสี่ยงเกินไปเหรอ”

                “ แล้วมีอะไรที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะถ้าไม่มีคุณก็อยู่กับแวมป์ตรงนี้” พีทหันมาถามเสร็จก็ค่อยๆไต่ไปตามต้นไม้รอบๆก่อนจะก้มลงคว้ามีดสั้นที่ขามาสี่เล่ม

 ฉับ ! เส้นแรกที่ตรึงไว้ที่ขาหลุดออกซึ่งมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของบางอย่างด้วย

                “ ใครมาทำกับข้าแบบนี้” ต้นไม้ที่อยู่รอบๆเริ่มเคลื่อนตัวเขาพยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไม่จริงและผลที่ออกมากลับไม่เป็นอย่างที่คลาดเพราะเขาปาทะลุผ่านเถาวัลย์ไปอย่างน่าเสียดายทั้งๆที่ควรจะตัดมันขาดในฉับเดียว “ อะไรวะเนี่ย”

                “ ทำไมพีทช้าอย่างนี้ล่ะ” ไซต์ที่จองไปยังเดรโก้ที่ห้อยต่องแต่งเหมือนเดิมเพราะเถาวัลย์เพิ่งหลุดไปเพียงเส้นเดียวเท่านั้น

                “ กล้าๆหน่อยสิพีทตั้งสติมันมีอยู่จริงมันมีอยู่จริง” เขาพยายามหลอกตัวเองอีกครั้งแล้วปาไปอีกครั้งแล้วเมื่อมีดตัดไปอีกเส้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย “ อีกสองสินะ” เขาเล็งไปยังเส้นที่ผูกติดกับแขน

  ฉับ ! เมื่อเส้นที่แขนข้างซ้ายขาดห้องทั้งห้องก็สั่นไหวไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน

                “ เหล่าบริวารข้า จงหามาว่าใครทำกับข้าอย่างนี้” สิ้นคำของเสียงหญิงสาวบรรดาเหล่าแมกไม้ก็ขยับเลื้อยไปมาราวกับว่ามีชีวิต

                “ อันสุดท้ายแล้ว” เขาปามีดไปหวังว่าจะโดนให้ขาดแต่กลับโดนปัดออกด้วยรากไม้ที่โผล่มาจากส่วนก็ไม่อาจทราบได้

                “ จับได้แล้ว มีชายหนุ่มจอมจุ้นอยู่ในนี้นี่เอง” เสียงที่กรีดร้องเมื่อครู่กลับกลายมาเป็นเยือกเย็น “ เจ้ารู้มั้ยข้าเจ็บเพียงไร”

                “…” พีทค่อยๆไต่ลงจากจุดเดิมอย่างช้าๆ

                “ เงียบแสดงว่าไม่รู้สินะอย่างนั้นฉันจะทำให้ดู”

                “ โอ๊ย” หนามที่อยู่ด้านใต้เดรโก้พุ่งตรงมารัดพีทอย่างรวดเร็ว “ ปล่อยนะ โอ๊ย!” ยิ่งเขาดิ้นมากเท่าไหร่หนามที่พันอยู่ก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกเลือดของพีทค่อยๆซึมผ่านออกมาช้าๆ

                “ หอมจริงๆเลือดของเมดูซ่าเนี่ย” เจ้าของผลงานเอ่ยชม “ อ้า….ก!”

                “ เป็นไงล่ะเจ็บใช่มั้ย ปล่อยแฟนฉันเดี๋ยวนี้นะเว้ย” มิวส์คว้ามีดในกระเป๋าปาไปยังเถาวัลย์ที่พันเดรโก้เส้นสุดท้าย  จนขาดสะบั้น

 ไซต์ที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่หายตัวไปรบร่างของชายหนุ่มที่กำลังดิ่งลงสู่พสุธาอย่างรวดเร็ว

                “ เรียบร้อย” ไซต์ส่งสัญญาณว่าได้พาเดรโก้ออกไปเรียบร้อยแล้ว

                “ พีทสำเร็จแล้ว คิดสิคิดว่ามันไม่มี” แวมป์ตะโกนไปอย่างสุดแรงเพราะตอนนี้ตัวของพีทเต็มไปด้วยเลือด

                “ ไม่ได้ฉันเจ็บ ฉันคิดไม่ได้จริงๆ” พีทตอบกลับอย่างหมดแรง

                “ ฮ่าๆๆไม่มีใครหรอกที่มีสมาธิระหว่างที่ใกล้จะตาย”

                “ แล้วถ้าเป็นนี่ล่ะ” ไซต์ยิงปืนนัดสุดท้ายใส่ไปยังใจกลางของต้นไม้ทำให้ปืนสลายโมเลกุลค่อยๆกัดซึมทุกอย่างที่มันสัมผัสเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างทรมานจนทำให้ลืมไปว่ากำลังพีทอยู่

                “ พีท” มิวส์วิ่งไปรับชายหนุ่มแล้วค่อยๆเช็ดเลือดออกอย่างเบามือ “ ปลอดภัยแล้วนะ”

                “ ขอบคุณนะ”

                “ รีบไปกันเถอะ” แวมป์ที่วิ่งเข้ามาประคองอีกข้างเอ่ยขึ้น

 เมื่อออกมาจากห้องก็พบว่าซอมบี้นับสิบยืนเรียงรายพร้อมที่จะต่อสู้อยู่โดยมีซันไชน์ยืนคุมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

                “ กล้าดียังไงมาพังเมืองของข้า !” เขาตะโกนฝ่าบรรดาซอมบี้เข้ามา “ แกรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกแก” เขาเหวี่ยงร่างที่แหลกแทบไม่เป็นชิ้นดีของโซอี้มายังทั้งห้า “ มัน ต้อง ตาย”

                “ เอาไงดีเราสู้ไม่ไหวหรอกนะ” แวมป์ที่ประคองพีทอยู่ถามไซต์ที่แบกเดรโก้อยู่เช่นกัน

                “ จับฉันเราจะออกไปจากตรงนี้ก่อน”

                “ ได้”

 ฟึบ ! ทันทีที่ร่างของทั้งหมดหายไปซันไชน์ก็โห่ร้องมาด้วยความโมโห ก่อนจะสั่งให้กองกำลังไปดักที่หลังหมู่บ้านเพราะรู้ดีว่าถ้าทั้งห้าจะไปถ้ำกอร์กอนยังไงก็ต้องผ่านทางนี้อยู่ดี

 ตุ๊บ ! ไซต์พาทั้งหมดมายังปากทางเข้าหมู่บ้านซึ่งตอนนี้เงียบสงบเพราะไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้ว

                “ ทำไมนายไม่พาเราไปทางออกเลยล่ะ”

                “ ฉันมั่นใจว่าพวกมันต้องไปดักเราแน่ๆแล้วยิ่งตอนนี้เดรโก้ก็ยังสลบอยู่เราสู้ไม่ไหวหรอก”

                “ เดรโก้” แวมป์เขย่าร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ “ เดรโก้”

                “ มามีความสุขกันนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มขณะที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่

                “ มีความซงมีความสุขอะไรกันเล่า แหกตาตื่นมาดูรอบๆก่อนว่าคนอื่นเป็นห่วงอยู่” พีทที่เช็ดแผลอยู่อดโมโหไม่ได้

                “ พี่แวมม์ ไซต์ ทุกคนมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับแล้วพี่พีทไปโดนอะไรมาทำไมถึงได้เลือดขนาดนี้”

                “ เออช่างมัน ฟื้นมาก็ดีแล้วจะได้เดินทางกันต่อ” ไซต์เอ่ยอย่างตัดบท

                “ จะไปไหนล่ะครับ”

                “ สะพานข้ามไปถ้ำกอร์กอนไง”

ทั้งห้าหายตัวมาปรากฏอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ซันไชน์กับเหล่าซอมบี้รออยู่ กลิ่นของเหล่าบรรดาศพเน่าที่ยืนเรียงรายถูกพัดผ่านมาตามสายลมอย่างน่าสะอิดสะเอียนแต่ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของทั้งห้าที่เอาแต่จ้องมองกองทัพศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยยิ่งชายร่างอ้วนที่เดรโก้เคียดแค้นนักเคียดแค้นหนากำลังเดินขึ้นไปโชว์หัวเหม่งสั่งการ ยิ่งทำให้พวกเขาสนใจที่จะฟังมากขึ้นแต่ก็ได้แค่ค่อยๆแกะปากที่ค่อยๆขยับเท่านั้น

                “ เอาไงดี ไม่ได้ยินเลย” แวมป์หันมาขอคำปรึกษาหลังจากที่ทุกคนเอาแต่เงียบ

                “ พีทปลดฉันออกมา”

                “ ใช่สิเราใช้แจ็คได้” สาวนัยน์ตาสีทรายแทบจะกระชากสร้อยที่ห้อยอยู่ออกมาอย่างรวดเร็ว “ เอารายละเอียดให้มากที่สุดนะ”

  สิ้นคำสั่งของเจ้านายแจ็ตก็ค่อยๆย่อร่างจากงูที่ตัวเล็กแทบจะกลายเป็นพยาธิตัวตืดแล้วค่อยๆเลื้อยผ่านพื้นต่างระดับลงไปยังจุดหมาย

 เมื่อไปถึงงูน้อยก็แทรกเข้าไปยังกางเกงขายาวของซอมบี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด พร้อมทั้งบึ่งหูฟังรายละเอียดต่างๆอย่างตั้งใจแล้วเมื่อชายร่างหนาย้ายหัวเหม่งลงมาจากจุดสนทนาเขาก็ค่อยๆเลื้อยกับมารายงานทันที

                “ ว่าไงบ้าง” พีทอุ้มแจ็คที่กลับสภาพมาอยู่ในร่างเดิมมาไว้ในมือ

                “ มันบอกว่าต้องจับพวกเราให้ได้ก่อนที่พวกเราจะก้าวข้าวสะพานไปยังถ้ำกอร์กอน”

                “ ทำไมล่ะนายรู้หรือเปล่า”

                “ เพราะถ้าพวกมันเข้าไปร่างจะสลายเพราะซอมบี้ถูกสร้างมาด้วยเวทมนต์ส่วนซันไชน์นั้นก็ไม่สามารถจะออกไปจากเมืองนี้ได้ด้วยเพราะอายุของตัวมันเองน่ะไม่ต่ำกว่าร้อยสองร้อยปีได้แล้วมั้งที่อยู่ได้ก็เพราะเวทย์มนต์ของเมืองนี้แหละ” งูหนุ่มแจง

                “ ขอบคุณมากจ้ะเข้าไปพักผ่อนต่อนะเผื่อข้างหน้าจะใช้บริการใหม่”

                แล้วร่างของแจ็คก็กลายมาเป็นสร้อยคอสวมที่คอของพีทดังเดิม

                “ ถ้าเป็นอย่างที่แจ็คพูดจริงๆหากไม่มีเมืองนี้ไอ้ซันไชน์นั่นก็อยู่ไม่ได้ใช่หรือเปล่า” เดรโก้ถามความคิดเห็นเพราะในใจตอนนี้เคียดแค้นชายหัวเหม่งนั่นเป็นไหนๆที่มาทำลายความฝันที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มของตัวเขา

                “ แต่จะทำยังไงหมดเมืองมันไม่ใช่เล็กๆเลยนะ” ไซต์ถามกลับเพราะไม่อยากให้อารมณ์ผลีผลามของหนุ่มเลือดร้อนมาทำลายทุกอย่างลง

                “ ฉันเห็นด้วยกับเดรโก้นะ” แวมป์มองหน้าไปที่น้องชายซึ่งยิ้มอย่างมีความสุขที่มีคนเห็นด้วยกับความคิดของตนเอง “ แต่ไม่ต้องทำลายทั้งเมืองหรอกเอาแค่ล่อพวกมันไปตามหานายจนพวกเรามีทางที่จะวิ่งไปที่สะพานก็พอแล้วเพราะมันคงทนอยู่นิ่งๆไม่ได้หรอกถ้ามันรู้ว่ากำลังมีคนทำลายความเป็นอมตะของมันอยู่จริงมั้ย”

                “ ได้เลยพี่ ไม่เสียใจเลยที่ยกย่องให้พี่เป็นไอดอลในการใช้ชีวิตของผม” เดรโก้บีบไม้บีบมือก่อนจะวิ่งออกจากวงไปอย่างรวดเร็ว

                “ จะไม่นัดมันหน่อยหรือไงเดี๋ยวก็สร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรอก”

                “ลองเชื่อใจมันดูสักครั้งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรเพราะเดรโก้ที่เราเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้” แวมป์เอ่ยอย่างยิ้มก่อนจะหันมาใจจดใจจ่อกับปฏิกิริยาของซันไชน์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 ตู้มมมม!เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาททำให้ซันไชน์ที่ยืนตั้งหน้าตั้งตารอทั้งห้าต้องหันมาสนใจกับแสงไปและเสียงที่เกิดขึ้นบริเวณใจกลางเมือง

                “ ไฟไหม้ ใครมาทำกับเมืองของฉันแบบนี้” เป็นไปตามคาดยิ่งเมืองไฟไหม้เท่าไหร่ร่างกายของซันไชน์ก็ค่อยๆมีควันลอยออกมา

 ซันไชน์สั่งให้ซอมบี้กลุ่มใหญ่วิ่งตามเขาไปบริเวณที่เกิดควันไปทิ้งไว้เพียงสองสามตัวเท่านั้นที่เฝ้าทางออกของหมู่บ้านอยู่

                “ สำเร็จ” พีทที่มองอยู่เอ่ยอย่างดีใจ

                “ ไปเร็ว” ไซต์จับมือทั้งสามก่อนจะหายตัวไปโผล่ที่ทางออก

                แวมป์คว้ากริชในกระเป๋าออกมาจัดการเชือดที่คอของซอมบี้อย่างรวดเร็วเรียกได้ว่าเร็วจนไม่มีเสียงกรีดร้องหรือการต่อสู้ใดๆเลยดีกว่า

                “ ต่อไปเราก็รอ” แวมป์เอ่ยพลางมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายไฟสีแดงฉานที่ออกมาจากมือน้องชาย

“ หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ซันไชน์ไม่เอ่ยเปล่าแต่เขาปาเสียมที่อยู่ในมือขึ้นไปใส่ชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าทะเล้นอยู่กาลงอากาศ

                “ นี่สำหรับอาหารมื้อพิสดารของฉัน” เปลวไฟสีแดงเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมาจากมือทั้งสองข้างก่อนที่เดรโก้จะบรรจงปั้นมันเป็นลูกกลมๆขนาดมหึมาแล้วขว้างลงไปยังร้านอาหารที่เขาเคยโดนหลอกเข้าไป “ นี่ก็สำหรับพลังที่ฉันเสียให้กับหุ่นขี้ผึ้งที่แสนอัปลักษณ์ของแก “ บอลลูกที่สองพุ่งไปใส่ห้องนางไม้อย่างรวดเร็ว

                “ แกไอ้เด็กบ้า” ซันไชน์ตะโกนใส่อย่างบ้าคลั่ง

                “ นี่ของแถมนะลุง” เดรโก้เขวี้ยงบอลไปมากลางวงซอมบี้ด้านล่าง ทำเอาศพเดินได้ดิ้นพล่านๆอย่างไม่เป็นท่า “ โชคดีลุงหวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก” สิ้นคำมังกรน้องก็ร่อนกลับไปยังท้ายหมู่บ้านอย่างเร่งรีบสายตาทั้งสองสอดส่องเพื่อหาจุดลงจอดเพื่อที่จะได้ลงไปสมทบทั้งสี่ที่ยืนโบกไม้โบกมือด้านล่างแต่กลับไม่มีพื้นที่ที่สมดุลได้เลยเพราะด้านล่างมีเพียงก้อนหินใหญ่โตสลับไปมา “ เดี๋ยวผมข้ามไปเจอกันฝั่งโน้นเลยนะลงจอดไม่ได้จริงๆ” เขาโฉบลงไปบอกคนที่ยืนรอด้านล่าง

                “ ลงมาเถอะค่อยๆลงเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสะพานอยู่ไหน” แวมป์ตะโกนเชิงปรามเจ้าหนุ่มเลือดร้อนที่ดูจะสนุกเกินเหตุ

                “ โอเคอย่างนั้นหลบหน่อย” เดรโก้โฉบผ่านหัวของพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียดก่อนจะค่อยๆร่อนลงบริเวณพื้นที่ราบที่สุด

ตุ๊บ!

                “ โอยย” เสียงโอดครวญจากปากของชายหนุ่มทำให้คนที่รอลุ้นอย่างทั้งสี่วิ่งมาดูแทบไม่ทันเลยทีเดียว

                “ แหมลงจอดซะสวยงามเลยนะ” พีทที่มาถึงก่อนจับยกร่างของเดรโก้ที่มีฝุ่นจับเต็มตัวขึ้นมา

                “ แล้วเอาไงต่อครับ” เดรโก้หันมาถามทั้งสี่เพราะคิดว่าน่าจะมีแผนต่อไป

  มิวส์หยิบแผนที่ออกมา ‘ฉันมีเมื่อฉันไม่มี’ ข้อความใหม่ค่อยๆปรากฏขึ้นมายังหน้ากระดาษพร้อมกับกองทัพซอมบี้ที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้มั้งห้าได้แต่พิจารณาป้ายไม้เก่าๆตรงหน้าที่เขียนว่าทางเข้าแต่กลับไม่มีสะพานที่จะเดินไปแม้แต่น้อยส่วนอีกฝั่งเป็นสะพานไม้เก่าๆที่ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเป็นทางเข้าจริงๆ

                “ พวกมันใกล้เข้ามาแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบทำเถอะครับ” มิวส์เร่งเร้าเพราะรอยเท้าในแผนที่กลุ่มใหญ่กำลังมุ่งตรงมาอย่างไมมีทีท่าว่าจะหยุด

                “ เอาอย่างนี้ผมจะบินข้ามไปก่อนถ้าใช่ไม่ยังไงจะมาบอก” เดรโก้ไม่รอฟังคำท้วงติงแต่อย่างใดร่างหนาวิ่งตรงไปยังหน้าผาที่สูงชันหวังว่าจะร่อนแล้วลองสำรวจแต่

 ปั้ง! ร่างของเดรโก้กระเด็นออกมาไม่เป็นท่า บริเวณที่สัมผัสกับอากาศบริเวณนั้นก็ไหม้เป็นแถบๆ

                “บาเรีย” ไซต์มองอากาศเปล่าๆอย่างพินิจก่อนจะปาหินไปใส่อีกครั้ง “ บาเรียไฟฟ้าที่มีใครสักคนสร้างเอาไว้และน่าจะมีสักจุดนี่แหละที่ไม่มีไอ้ไฟฟ้าพวกนี้”

                “ แล้วตรงไหนล่ะครับตอนนี้พวกนั้นใกล้เขามาแล้วล่ะ”

                “ ในแผนที่นั้นมันเขียนว่าฉันมีเมื่อฉันไม่มีใช่หรือเปล่า” พีทหันมาถามมิวส์เพื่อเสริมความมั่นใจ “ ถ้าเราลองหลับตามันก็จะไม่มีใช่มั้ย”

                “ พี่จะให้หลับตาแล้วเดินตกเหวเหรออูยย!”

                “ ใช่แล้วไอ้น้องชายเดี๋ยวพี่ขอลองก่อน” ไม่ว่าเปล่าพีทก็ค่อยๆหลับตาสีทรายลงแล้วค่อยๆก้าวผ่านไปยังจุดที่เขียนว่าทางเข้าแล้วทันทีที่ขางคู่งามเหยียบลงบนอากาศบริเวณนั้นก็พบว่า

                “ สะพาน” คนที่เดินตามถึงกับตะลึงกับสิ่งที่ตัวเอง

 เห็นเดรโก้ก้าวขึ้นไปเหยียบสะพานที่พีทก้าวผ่านแต่ทว่า “ ทำไมมันเหยียบไม่ได้ล่ะ”

                “ นายต้องหลับตาก่อน” มิวส์สะกิดก่อนจะดันน้องชายที่หลับตาพริ้มซึ่งกำลังทำท่ากล้าๆกลัวขึ้นไปยังบนสะพาน

                “ หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย” เสียงของซันไชน์ตะโกนไล่หลังมาซึ่งทำทั้งห้าเร่งฝีเท้ามากขึ้นก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆหายไป

ทั้งห้ายังคงต้องหลับตาเดินต่อไปด้านหน้าที่แทบไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรู้แต่เพียงว่าเมื่อลืมตาสะพานที่เคยเหยียบอยู่จะหายไปทันที



สวัสดีค่ะตอนนี้การเดินทางตามหาเนตรแห่งมนตราเดินทางมาจะพบกับปลายทางเเล้ว คอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
«ตอบ #38 เมื่อ10-11-2021 20:06:27 »

 :pig4:
 :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด