Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 45 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 45 [END]  (อ่าน 7847 ครั้ง)

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 36 Family

   อินเดินเข้าบ้านมาในขณะที่เขายังคงมองมือถือ เบนซ์ส่งคอนแทคของเจนมาให้ทางกล่องข้อความ เจน ผู้หญิงที่เปลี่ยนชีวิตของเขาและกายไปตลอดกาล เขากดแอดเธอขณะที่ปล่อยให้ความคิดแล่นไป มันหลายปีมากแล้วจากวันนั้นที่เขาเจอเธอครั้งสุดท้าย ตอนนี้ ชีวิตพาเขาเดินทางมาไกลและคงไม่อาจจะถอยหลังกลับได้อีก
   “อิน... กลับบ้านแล้วเหรอ” เสียงของแม่ร้องทักขึ้นขณะที่อินเปิดประตูข้านเข้ามา และนั่นทำเอาอินชะงักงันด้วยความสงสัย
   “แม่?.... ทำไมอยู่บ้านอ่ะ ไม่ทำงานเหรอ” อินร้องถาม ขณะเดินไปวางเป้ที่โซฟา
   แม่ของอินเดินตรงมาหาอินทั้งๆที่อยู่ในชุดทำงาน พลางทำหน้าตาสดใส เธอสวมกอดลูกชายทันทีด้วยความสุข
   “เอ่อะ...อะไรเนี่ยแม่” อินร้องถามอย่างงุนงง
   “หายไปไหนมาตั้งสองสามวันหึ” เธอถามขณะที่อินนั่งลง พร้อมกับที่เธอยิ้มกว้างให้ลูกชาย
   “ก็...ทำงานดิแม่ ยังไม่ชินอีกอ่อ” อินพูดพลางหยิบน้ำที่โต๊ะมาดื่ม “แม่มีไรหรือเปล่า ผมเห็นข้อความแม่นะ แต่ก็ยุ่งๆอ่ะ เลยตอบแค่นั้น”
   “อืม...แม่รู้” เธอยังคงยิ้มให้ลูกชายอยู่อย่างนั้น
   “แล้วนี่แม่รอผมอ่อ ถึงไม่ไปทำงานอ่ะ” อินร้องถาม
   “อิน...แม่ว่า แม่อยากให้อินเปลี่ยนงาน” เธอกล่าว
   “หือ..ทำไมอ่ะ” อินร้องถาม
   “แม่ไม่อยากให้อินเหนื่อยแบบนี้ แม่อยากให้อิน ย้ายไปทำกับพัฒน์” เธอตอบ
   “แม่... เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว ผมไม่อยากไปแบบนั้น มันน่าเกลียด แล้วอีกอย่างตอนนี้งานผมโคตรโอเคเลยแม่” อินตอบแม่ของเขา “ไม่ต้องห่วงหรอก... ผมไม่ได้เหนื่อยไรขนาดนั้น ขับกลับบ้านไม่ไหว ผมก็นอนห้องเพื่อนไง แม่ก็รู้ว่าผมไม่ปาร์ตี้อ่ะ”
   “อืม...แม่รู้” เธอยังคงลูบไหล่ลูกชายและยิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยแววตาเป็นประกาย
   “เอาล่ะ...ผมว่าแปลกๆละ... แม่มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเรากลับมาคุยเรื่องนี้กันอีกอ่ะ” อินว่า “แล้ว ทำไมคุณแม่ต้องยิ้มขนาดนี้ด้วยล่ะครับ”
   “อิน... ที่แม่ขอ เพราะว่า ครอบครัวเรากำลังจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ แล้วแม่ก็อยากที่จะ... จะทำให้ทุกอย่างมันลงตัวมากขึ้น” เธอพูดกับลูกชาย ที่ยังคงตามไม่ทันกับสิ่งตรงหน้า “อิน คือ....แม่ แม่....”
   อินคว้ามือแม่ของเขาที่ลูบตัวเขาอยู่มาจับไว้
   “ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้วแม่” อินพูดกับแม่อย่างอ่อนโยน “ทุกอย่างโอเค..แล้วเราก็.... อ้ะ...”
   อินจับมือของแม่ขึ้นมาดู และเขาก็เห็นบางอย่างถูกสวมเอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของแม่
   “แม่...นี่....นี่มันอะไรอ่ะ” อินร้องถาม ขณะที่เธอยิ้มกว้างให้ลูกชาย
   “อิน... แม่แต่งงานใหม่แล้วนะ”
   คำพูดของเธอทำเอาอินเงียบสนิท เขามองหน้าแม่เหมือนเขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน
   “แต่งงาน.... แต่งงานใหม่... ได้ไง... เมื่อไหร่อ่ะแม่” เสียงของอินลงจริงจังมากขึ้น
   “ก็... ไม่ได้จัดงานหรอกจ้ะ แม่แค่จดทะเบียนใหม่ กับ....พัฒน์เค้า...” เธอตอบลูกชาย
   “หะ” อินพ่นคำพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือแม่ของเขาลง และมองไปเบื้องหน้า
   “แม่ขอโทษที่... ไม่ได้บอกอินก่อน ทุกอย่างมัน เกิดขึ้นเร็วมาก แล้ว แม่ก็คิดว่าแม่พร้อม และอินก็น่าจะ...”
   “เพราะงี้นี่เอง ลุงพัฒน์เค้าถึงพูดกับผมแบบนั้นวันที่ผมไปออฟฟิศเค้า” อินพูดขึ้น
   “ไงนะลูก”
   “เพราะงี้... เค้าถึงอยากได้ผมไปทำกับเค้า...” อินกัดฟันตัวเอง
   “อิน...แม่ขอโทษ แม่ไม่คิดว่าลูกจะ...”
   “แม่...” อินหันไปหาแม่ของเขา “ผมไม่ได้โกรธอะไรแม่นะ....”
   เขาจับมือแม่ของเขาขึ้นมาพลางมองแหวนที่มือของเธอ
   “แหวนนี่สวยมาก แล้วมันก็เหมาะกับแม่มากๆ” อินพูดขึ้น “ผมดีใจด้วยนะแม่”
   อรมองหน้าลูกชายเธอ แต่ดูเหมือนกับว่าอินเต็มไปด้วยออร่าของความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
   “อิน... ถ้าอินไม่โอเค อินบอกแม่ได้นะ แม่ยินดีจะปรับทุกอย่างเพื่อลูก” เธอกล่าว “ยังไงลูกต้องมาก่อนสำหรับแม่”
   “ไม่แม่... แม่ไม่ต้องปรับอะไรเพื่อผมแล้ว” อินว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ดูแลอินมามากแล้ว ผมต่างหาก ที่ทำให้แม่ต้องลำบาก แม่ต้องเว้นกะมาเพื่อผมอ่ะ”
   เธอยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะจับไหล่เขาไว้
   “ก็อินเป็นลูกแม่นี่” เธอกล่าว
   “เพราะงั้นผมถึงโกรธแม่ไม่ได้ไง” อินยิ้มให้ “แต่... ครอบครัวของเรา กับ เค้า... ผมว่า...”
   อินหลับตาพลางเงียบไปพักนึง
   “อิน...พัฒน์เค้าก็ดีกะลูกมากไม่ใช่เหรอ ตอนพีทมาอยู่ที่บ้านเรา ทุกอย่างมันก็ดีอยู่นะ...”
   และมันก็เหมือนมีคนกดสวิตช์ไฟในสมองของอินทันที เขาหันไปมองแม่ของเขา
   “พีทรู้เรื่องหรือยังอ่ะแม่” อินร้องถาม
   “เอ่อ... น่าจะรู้นะ... วันที่พัฒน์เค้า ขอแม่.... พีทก็อยู่” เธอตอบ
   “แม่ว่าไงนะ... พีทอยู่ด้วยวันที่เค้าขอแม่แต่งงานเหรอ” อินว่า
   “อื้อ.... แต่วันนั้นแม่ชวนอินแล้วนะ อินบอกแม่ว่าอินไม่ว่าง อินมีประชุมกับที่บริษัท” เธอพูดต่อ
   “ไม่ใช่แม่... ผมไม่ได้...โกรธอะไรแบบนั้น ผมแค่...” อินหันมาคิดทบทวนกับตัวเอง “มันรู้มาตลอดเหรอ”
   “คิดว่านะ... พ่อลูกเค้าสนิทกันนี่... พัฒน์เค้าเล่าให้แม่ฟังว่า พีทเป็นคนเลือกร้าน แถมมันก็เป็นร้านที่แม่ชอบ” เธอว่า “ที่บาร์ดาดฟ้า ร้านของโฟล์คไง”
   อินหันไปมองแม่ของเขา ก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที
   “แม่ว่าไงนะ” เขาพูดเสียงเข้ม “เค้าขอแม่แต่งงานที่บาร์ไอ้โฟล์คเหรอ”
   “ช...ใช่จ้ะ พีทบอกโฟล์คให้จัดแหวนให้แม่เอง” เธอพูดเสียงสั่นเครือ
   “แม่รู้หรือเปล่า ว่าพีทอยู่ไหน” อินกำหมัดแน่น
   “อิน... อย่าไปโกรธเค้าเลยลูก ทั้งคู่อาจจะแค่ อยากให้แม่เป็นคนบอกอินเองนะ” เธอบอกกับลูกชาย แต่อินไม่ได้เชื่อแบบนั้น
   “ไม่ใช่หรอกแม่... มันไม่ใช่แค่นั้น” อินพูดเสียงสั่น “พีทอยู่ไหนแม่”
   “กูก็อยู่นี่ไง” เสียงของพีทดังมาจากบันได อินมองไปเห็นพีทเดินถือลังบางอย่างที่เหมือนของของตัวเอง เดินลงมาจากห้อง อินเดินเข้าไปหาพีทช้าๆ แต่แม่ก็คว้าแขนของเขาไว้
   “ไม่เอาสิ... อิน อย่าทะเลาะกันเลยลูก” เธอพูดขึ้น พลางเดินมาขวางอินไว้
   “แม่... ผม... ไม่ได้โกรธแม่ ผม... โอเคกับเรื่องนี้มากกว่าทุกคนในนี้แน่ๆแม่” อินพูดกับเธอ “แต่ผม...”
   อินหันไปมองพีทที่หลบสายตาอินอยู่อย่างนั้น
   “ผมขอคุยกับมันส่วนตัวหน่อยนะแม่นะ” อินพูดขณะที่จ้องหน้าพีทเขม็ง “มึงกะกูต้องคุยกันแล้วพีท”
   พีทเม้มปากพลางยิ้มเบาๆและมองหน้าอิน
   “เอาดิ”

.............

   กายโทรหาอิน แต่ก็ไร้การตอบรับ ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางดับเครื่องยนต์และลงจากรถของอินที่เขาขับออกมาจาก Lovable Studio หลังจากเขาได้พบว่าทุกๆอย่างที่นั่น เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาได้พบกับคนที่เขาเฝ้ารอจะเจอมาตลอดหลายปีจนได้ เป็นการเริ่มต้นที่สดใสมากสำหรับกาย เขาลงจากรถและเดินเข้าโรงแรมไปอย่างร่าเริง แต่ทว่าร่างๆหนึ่ง ก็ตรงเข้ามาหาเขาทันที
   “อ้าว ไอ้กาย ทำไมเป็นมึงวะ” โฟล์คพูดขึ้น แม้ว่าตัวเองกำลังวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากโรงแรม
   “เอ๊า แล้วทำไมจะไม่เป็นกูอ่ะ” กายตอบเสียงมึนงง “แล้ว มึงมาไงเนี่ย”
   “กูดิ ต้องถามมึง ว่ามึงมาทำไรที่นี่” โฟล์คถามต่อ
   “ก็กูนอนนี่” กายว่า
   “หะ... นอนโรงแรมเนี่ยนะ” โฟล์คร้อง
   “เออ... ก็กูไม่ได้มีบ้านที่กรุงเทพ กูก็ต้องนอนโรงแรมดิ หมดงานแล้วกูก็กลับหนองคายไง” กายว่า
   “แล้ว... แล้วมึงขับรถมันมาได้ไง” โฟล์คชี้ไปด้านหลัง กายหันไปมองทันที
   “อ๋อก็มันให้กูยืมใช้เมื่อเช้าและ.... เดี๋ยวนะ... มึงรู้ได้ไงว่านี่รถมัน” กายว่า “มันเพิ่งซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเองนะ”
   โฟล์คเงียบสนิท พลางเมินหน้าไปทางอื่น
   “แล้วมึงมานี่.... อ้อ... จริงสิ... เลาจ์ข้างล่าง แฟนมึงเค้าทำอยู่” กายพูดต่อ พลางเดินไปหาโฟล์คที่ทำหน้าตาเคร่งเครียด “มึงมีอะไรกันอีกป่ะเนี่ย”
   “ก็... ป่าว ไม่มี” โฟล์คพูด แต่กายมองหน้าเพื่อนอย่างจริงจัง
   “ในกลุ่มเรามึงโกหกได้แย่สุดในกลุ่มนะ เผื่อมึงจะลืม” กายว่า “มึงตามหามันอยู่อ่อ มีเรื่องกันอีกยกอ่อ”
   โฟล์คหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “กูโทรหามันไม่ติดเลยอ่ะ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ กู...มีเรื่องจะคุยกับมัน” โฟล์คว่า
   “อ่า....หะ... กู...ก็โทรหามันไม่ติดเหมือนกัน มันให้รถกูมาเมื่อบ่าย แล้วก็บอกให้กูใช้ไปก่อน เดี๋ยวมันค่อยมาเอา” กายว่า “แต่... เรื่องของกู ไม่ด่วนเท่าของมึงมั้ง... มึงมีอะไรหรือเปล่า”
   โฟล์คเงียบไปพักนึงก่อนจะพูดขึ้น
   “กูจะไปแล้ว” โฟล์คว่า
   “ไป...ไปไหน” กายว่า
   “กูจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” โฟล์คว่า “กูอยากจะเจอมัน เป็น...ครั้งสุดท้าย”
   กายเงียบเสียงลงทันที
   “เดี๋ยวนะ... มันก็ไม่ได้เจอมึงไม่ใช่อ่อวะ มันยังบอกกูอยู่เลยว่ามันไม่ได้เจอมึงมาเป็นชา...”
   “มันโกหก กูด้วย” โฟล์คพูดต่อทันที “กูกับมันแอบคบกันลับๆ มาจะปีนึงแล้ว”
   กายอึ้งไปพักนึงหลังจากได้ยินคำพูดของโฟล์ค
   “มึง...มึงว่าอะไรนะ” กายพูด
   “กูโกหกพวกมึงทุกคนเลย โกหกทุกคนรอบตัวกู” โฟล์คว่า “จริงๆแล้ว กูกับมัน มีอะไรกันมาตั้งนานแล้ว”
   กายหลับตา พลางเกาจมูกตัวเองอย่างครุ่นคิด
   “ไอ้โฟล์ค..นี่มึง...”
   “มึงอย่าเพิ่งมาสวดกูตอนนี้ไอ้กาย แต่กูขอ มึงช่วยกูหาหน่อย ว่าอินมันอยู่ไหน” โฟล์คว่า “ไม่งั้นกูอาจจะไม่ได้เริ่มต้นใหม่”
   กายถอนหายใจทันที
   “มึงรู้หรือยัง ว่ามันกำลังจะไปปารีสอ่ะ” กายร้องถาม
   “ปารีส... ปารีสไหนอีกวะ” โฟล์คร้องถาม
   “มันกำลังจะไปเร็วๆนี้ มันถึงให้รถกูใช้นี่ไง เพราะกูต้องอยู่นี่เพื่อทำเส้นสายคนในสายงานกู แล้ว... มันก็ถูกส่งไปปารีสแทนกู” กายพูดต่อ
   “อะไรนะ... ทำไมมันไม่เคยพูดให้กูฟังเลยอ่ะ” โฟล์คว่า
   “ตอนนี้กูงงมึงสองตัวมากกว่า มึงบอกว่ามึงแอบคบกันมา แต่พวกมึงแม่งไม่เคยคุยกันอ่อวะ แล้วเป็นไง พอห่างหูห่างตากันไป ก็พังยับหมดเลยนะ แทนที่จะจบๆตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้วป่ะ” กายว่าพลางส่ายหน้าและเดินเข้าโรงแรม
   “กาย มึงช่วยกูหน่อยไม่ได้อ่อวะ” โฟล์คร้อง
   “กูไม่ได้มีหน้าที่ตามแฟนใครนะเว่ยโฟล์ค มึงวิ่งตามมันมาตลอดเองอ่ะ” กายหันมาพูด “กูจำได้นะ ตั้งแต่ ม.4 มั้ง ที่ไอ้มอสตามพวกกูไปนั่งเคลียร์ก็เพราะแค่มึงจูบมันอ่ะ มึงจำได้ป่ะ”
   โฟล์คเงียบสนิทขณะที่กายหันมาพูด
   “ไร้สาระชิบหายเลย พอถึงเวลาที่กูจะเคลียร์ให้ มึงก็วิ่งไปกับมันเฉยเลย ไอ้มอสก็เคยบอก ว่ามึงสองตัวแม่งชอบหายไปด้วยกัน แล้วก็ทำเรื่องด้วยกัน ตลอดหลายปีที่กูไม่อยู่ แม่งก็เป็นงี้” กายว่าต่อ “แล้วพอเกิดเรื่องที่โรงพยาบาล กูก็นึกว่าจะจบ มึงก็เสือกยื้ออีก มาตอนนี้มึงจะขอให้กูช่วย ให้กูช่วยไรอีกอ่ะ”
   กายว่าใส่โฟล์คทันที ตัวเขาได้แต่หลับตาลงเบาๆ กายจึงรู้สึกตัวได้ว่า เขาอาจจะพูดแรงไป จึงได้แต่เบาอารมณ์ลง
   “กู...ก็มีเรื่องต้องทำเหมือนกัน กูต้องหาที่อยู่ในกรุงเทพ เพราะกูก็เพิ่งจะลงงานใหม่ พรุ่งนี้กูก็ต้องไปคุยงานใหม่แล้ว นี่กูก็กำลังจะขึ้นไปทำงานแล้วด้วย” กายว่า “ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกนะที่จะ....”
   “แล้วทำไมมึงถึงมีสิทธิเริ่มต้นใหม่อยู่คนเดียววะ” โฟล์คหันมาตวาดบ้าง “มึงวิ่งไปก่อนคนเดียว ทิ้งพวกกูไว้ข้างหลังได้ แล้วคนอื่นไม่สิทธิอ่อวะหะ”
   กายเงียบเสียงลงทันที
   “มึงเลือกรักกับเด็กเซนโย ไปสร้างอนาคตด้วยกัน แล้วทิ้งพวกกูได้ แล้วทำไมกูจะทำบ้างไม่ได้อ่ะ” โฟล์คว่า “กูกับมันลองทำกันมาตั้งหลายปี กูไม่เคยขอความช่วยเหลือมึงเลยนะเว่ย วันนี้กูขอครั้งสุดท้ายบ้าง มึงทำให้กูไม่ได้ใช่ป่ะ กูจะได้รู้... ว่าที่เขาพูดกันว่ามึงแม่งโคตรเห็นแก่ตัว แม่งเป็นเรื่องจริง”
   กายจ้องหน้าโฟล์คเขม็ง เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่มีเพื่อนพูดแบบนี้กับเขา
   “มึงอยากเริ่มต้นใหม่ กูก็สนับสนุนไง เพราะกูเพื่อนมึง เพราะกูเชื่อ ว่ามึงทำได้ มึงทำได้เสมอไอ้กาย” โฟล์คว่า “​แต่ครั้งนี้กูขอไม่ได้อ่อวะ... กูขอแค่... ขอแค่ครั้งสุดท้ายที่กูจะเจอมัน ให้มึงช่วยกูหามันมันไม่ได้หรือไงอ่ะ”
   กายถอนหายใจพลางหลับตา และแล้วก็เงียบกันไปพักนึง มีเพียงเสียงหายใจหอบถี่ระหว่างกัน
   “เออ... เดี๋ยวกูช่วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” กายพูดเสียงอ่อน “มันไม่รับมันก็คือไม่รับ แล้ว... มันก็อาจจะออกจากบ้านไปแล้วด้วย เพราะมันก็ไม่ได้นอนบ้านใช่ป่ะล่ะ”
   โฟล์คเงียบสนิท
   “มันอาจจะเพลีย แล้วหลับไปแล้ว มือถือไม่ชาร์จก็ได้ มึงก็อย่าเพิ่งไปคิดไรมาก” กายพูดต่อ “เดี๋ยวพรุ่งนี้กู...ตามให้ มึงกลับคอนโดมึงไปนอนไป ดึกแล้ว”
   “กูกลับไม่ได้” โฟล์คพูดขึ้น
   “ไอ้โฟล์ค มึงอย่าเพิ่งงี่เง่า” กายหันมาว่า
   “กูไม่ได้งี่เง่า แต่กูกลับคอนโดไม่ได้แล้ว... กูย้ายออกมาแล้ว” โฟล์คพูดขึ้น ทำเอากายขมวดคิ้ว
   “ย้ายออก ทำไมวะ” กายร้องถาม
   “ก็กูบอกแล้วไง กูจะไม่อยู่แล้ว... กูกำลัง...หาคนอยู่ต่อแทนกู กูจะไปแล้วไง”
   กายมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น

...............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-04-2020 14:42:45 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
คำขอโทษ โอดครวญ ชวนสงสาร
เหมือนขอทาน บานเบื่อ จะเชื่อไหว
ตอนทำผิด ไม่คิด หัวใจใคร
มาแก้ตัว ตาใสใส ไม่ถึงการณ์

เอาอารมณ์ ตัวเอง เป็นที่ตั้ง
พอพลาดพลั้ง ทั้งใหม่เก่า แตกร้าวฉาน
โทษนู้นนั่น โทษคนอื่น กลืนสันดาน
แหกปากร้อง ป่าวประจาน สงสารตน

คนพรรค์ไร มั่วได้ขนาดนี้
หึหึ...คงไม่ต้องบอกว่าใคร

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 37 Almost There

อินปิดประตูห้องนอนของพีทเข้าไป ก็พบกับกองลังสองสามใบ กำลังถูกเก็บเข้าที่เอาไว้ ขณะที่พีทเดินไปที่เตียง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหันมาอินแล้วยิ้มให้
   “ว่าไง มีอะไร” พีทพูดเสียงสุภาพ
   “มึงรู้มานานแค่ไหนแล้ว” อินถามขึ้นทันที ขณะที่พีทเงียบสนิท เขาหายใจเข้าลึก
   “ตั้งแต่พ่อกูกลับมา” พีทตอบ
   “แล้วทำไมมึงไม่บอกกู” อินถาม
   “รู้ตอนนั้น กับรู้ตอนนี้ต่างกันยังไง” พีทว่า และนั่นทำให้อินกำหมัดแน่น เขามองไปรอบๆด้วยความสับสนขั้นสุด
   “นี่คือเหตุผลทั้งหมดถูกป่ะ” อินว่า “เหตุผลว่าทำไมมึงถึงแปลกไป เหตุผลว่าทำไมมึงถึงไม่คุยกับกู แล้วก็... มึงถึงย้ายออกไป”
   พีทมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น โดยไม่พูดอะไรซักคำ
   “ตลกดีนะ... เพราะแม่เค้าก็เข้าใจว่ามึงก็อยู่ที่นี่ได้ อยู่ได้มาตั้งหลายปี” อินพูดต่อ “แต่ถ้าสุดท้าย มึงรับไม่ได้ที่จะเป็นครอบครัวเดียวกับแม่เค้า มึงก็ไปบอกพ่อมึง แล้วก็ไม่ต้องมาสัญญาว่าจะดูแลบ้าน ดูแลแม่ พูดให้กูรู้สึกดีหรอกป่ะ มึงจะโกหกทำไมวะ”
   พีทยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น
   “มึงกับโฟล์คตั้งใจจะปิดกูกันทั้งคู่ เพราะอะไรอ่ะ เพื่อให้แม่บอกกูเองอ่อ มึงไม่ใช่คนแบบนั้นอ่ะพีท เราคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ใช่อ่อ” อินว่า “แล้วถ้าเกิดต้องอยู่บ้านเดียวกัน มันก็ต้องคุย...”
   “กูไม่ได้อยากอยู่บ้านเดียวกับมึงอิน” พีทพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้อินเงียบไป เขาหายใจเข้าลึก และก้มหน้าลง
   “โอเค...งั้น เราลงไปบอกแม่ ว่ามึงไม่เห็นด้วยกับ การแต่งงานของพวกเค้า” อินว่า
   “ไม่ใช่อิน มึงไม่เข้าใจ” พีทเบือนหน้าไปทางอื่น “กูไม่ได้อยากอยู่บ้านมึงแบบนี้”
   อินเงียบเสียงลง เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
   “กูอยากอยู่กับมึงแบบอื่น... แบบที่คนเค้ารักกันเป็นอ่ะ” พีทพูดขึ้นทันที และนั่นทำเอาอินหลับตาลง เช่นเดียวกันกับพีทที่ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงทันที
   อินมองพีทที่อยู่สภาพนั้น ก็ได้แต่ทรุดตัวตามลงไป พีทเอามือจับหัวตัวเองภายใต้มือคู่นั้น ใบหน้าของพีทแดงก่ำ มืออีกข้างของเขากำไว้แน่น
   “กูอยากอยู่กับมึง แบบที่มึงอยู่กับไอ้โฟล์คไง มึงเข้าใจป่ะ” พีทว่า “อยู่แบบนั้น ที่นี่ ที่ไม่ใช่แบบ...พี่น้อง”
   อินมองพีทอยู่อย่างนั้น
   “และถ้ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้... กูสู้ไม่อยู่ดีกว่า” พีทว่า
   “มึง.... อย่ามาตลกน่ะ” อินพูดเสียงสั่น “มึงก็รู้เรื่องกูกะโฟล์ค แล้วมึงก็ไม่ได้....”
   “กูไม่เคยหึงมึง เพราะกูคิดว่าสุดท้าย ยังไงมึงกับโฟล์คก็ไปไม่รอด ในเมื่อพวกเค้าเริ่มต้นใหม่ไปแล้ว กูคิดว่า... ยังไงมึงก็ต้องกลับมาหากูที่นี่ ซักวัน” พีทว่า
   “กูกลับมาหามึงอยู่แล้ว มึงเองต่างหากที่...” อินพูด
   “แต่กูรู้ว่ามันมาก่อนกู ถึงมึงไม่เคยพูด แต่การกระทำมึงมันฟ้อง และมึงก็รู้สึกผิด กับอดีตของมึงกับมัน มึงกับมันอยากแก้ตัว อยากแก้ทุกอย่างให้จบแล้วไปต่อ ซึ่งกูไม่มีปัญหาเลยเว่ย กูเข้าใจ” พีทว่า “แต่ในเมื่อโฟล์คเค้ายอมรับไม่ได้ว่าอะไรๆรอบตัวมึงไม่ใช่ทางของเค้า และกับมึง ที่ถึงจะใจอ่อนไปอยู่กับเค้ามาอีกหลายเดือน กูก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะว่าอย่างน้อย มึงก็ยังยอมรับความจริงเป็น”
   พีทหายใจเขาลึก
   “มันทำให้กูเชื่อว่า ท้ายที่สุด ซักวันมึงก็อาจจะยอมรับความจริงซักทีว่า... มึงอ่ะ ควรรักกะกูที่สุดแล้ว”
   “แต่...ก่อนหน้านี้” อินว่า “ก็ก่อนหน้านี้...มึง...พริม”
   “วันเลี้ยงจบ พริมไม่ได้ห้ามมึงไม่ใช่อ่อ ที่มึงยกซดแก้วของพี่บอลอ่ะ” พีทว่า และนั่นทำเอาอินหายใจเข้าลึก
   “อะไรนะ” อินร้องขึ้น
   “กูถึงไม่เอาเพื่อนทุกคนมาดูอาการมึงที่โรงพยาบาลคืนนั้นไง” พีทพูด “เพราะกูไม่อยากให้แม่งพันกันมั่วไปมากกว่านี้ แค่สี่เศร้าแม่งก็แย่ละป่ะ และคนที่เหี้ย อาจจะไม่ใช่แค่มึงกะโฟล์ค แต่อาจหมายถึงกูด้วย”
   อินก้มหน้าลง ก่อนจะส่ายหน้าให้กับตัวเองเบาๆ
   “กูไม่บังคับมึงไปงานปาร์ตี้จบ เพราะวันนั้นกูเองก็กะจะ... คือ...กูก็บอกเลิกพริมวันนั้น และ... กูบอกเค้าไปตรงๆ ว่ากู...กูหวั่นไหวกับมึง”
   “พีท...” อินว่า
   “กูก็ไม่รู้หรอกะเว่ย ว่าความสัมพันธ์แบบ ผู้ชายกับผู้ชายเค้าเป็นไง เพราะกูเองก็ ชอบผู้หญิงมาตลอด แต่... พอคิดไปแล้ว มึงก็รู้ว่ากูวางแผน มึงเป็นคนบอกเอง ว่าชีวิตมึงมีกูอยู่ในแพลน แล้ว...ถ้ามึงเอ่ยปากมาแบบนั้นอ่ะ เทพอย่างกู จะไม่คิดไกลกว่านั้นอ่อ” พีทว่า “กูก็แพลนเว่ยอิน เพราะกูคงชอบคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว นอกจากมึงอ่ะ”
   พีทหายใจเข้าลึก พลางเงยหน้าขึ้น เพื่อพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขามองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
   “มันดีชิบหายเลยเว่ย ตอนที่เรากำลังจะเรียนจบ ดีเหี้ยๆเลย ตอนที่มึงเลิกกับไอ้โฟล์ค ดีเหี้ยๆเลย ตอนที่มึงกะกูเกือบจะตัดสินใจสมัคร Lovable Studio อ่ะ” พีทว่า “แม่งดีเหี้ยๆเลย จนกระทั่ง....”
   พีทกัดริมฝีปากจนเจ็บ
   “พ่อมึงบอกมึงว่า...จะแต่งงาน...กับแม่กู” อินต่อคำของพีทจนจบ แต่พีทหัวเราะและส่ายหน้า
   “นั่นยังไม่เหี้ยเท่ากับตอนที่พ่อกู บอกกูว่า... ให้รักมึงให้มากๆ เหมือนเป็นน้องชายกูคนนึง” พีทพูดเสียงสั่น พลางกำหมัดแน่น น้ำตาของพีทไหลลงทันที “พ่อที่แม่งไม่เคยอยู่ดูแลกูเลย แต่อยู่ดีดีเค้าก็โผล่มา แล้วก็จับทุกอย่างที่กูเคยแพลน แล้วก็คว่ำโต๊ะไปต่อหน้าต่อตากู”
   อินเอื้อมมือไปจับพีทไว้ทันที
   “แล้วมึงจะให้กู...โกรธมึงอ่อ ที่ตอนนั้น โฟล์คมันวิ่งกลับหามึง มาร้องไห้กับมึงที่นี่” พีทว่า “จะให้กูหึงมึงอ่อ ที่มึงเริ่มไปนอนคอนโดมัน เริ่มคบกับมันลับๆอ่ะ”
   อินบีบมือของพีทไว้แน่น
   “มึงจะให้กูยื้อมึงไว้อ่อ ในเมื่อตอนนี้แม่งเป็นตัวกูเอง ที่ไม่มีปลายทางให้มึงอ่ะ” พีทพูดต่อ “มึงจะให้กูอยู่ที่นี่ต่อไปยังไงอ่ะ ในเมื่อเราเป็นแบบเดิมไม่ได้อ่ะ”
   พีทพลิกมือที่กำแน่น มาประสานไว้กับอิน
   “มึง...มึงจะให้กูตัดใจยังไงอ่ะ... ในเมื่อ.... กูรักมึงไปแล้วอ่ะ” พีทมองมือของเขาที่จับกับอินไว้อยู่ “ทำไม...เราต้องเป็นอย่างงี้กันด้วยวะ... มึงกับกู เกือบจะ...ไปถึงปลายทางนั้นแล้วอ่ะ... ทำไมวะ”
   อินจับมือพีทเอาไว้แน่น
   “กู... กูไม่รู้ว่าต่อจากนี้ มันต้องเป็นยังไงแล้วอ่ะอิน” พีทพูดทั้งน้ำตา “กู... ไม่เหลือระบบความคิดในหัวอีกแล้ว...กู...กูคิดอะไรไม่ออกอีกแล....”
   อินคว้าตัวพีทมาจูบทันที เช่นเดียวกันกับพีทที่ปล่อยตัวเองเข้าไปหารอยจูบนั้น พีทจับท้ายทอยของอินเข้าหาตัว และแนบริมฝีปากเข้าใส่ เหมือนกับว่าเขาไม่เคยได้รอยจูบแบบนี้มาก่อน คราบน้ำตาของพีท ส่งความเจ็บปวดมาปะทะใบหน้าของอินอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นจมดิ่งล่องลอยไป
   อินเข้าใจความรู้สึกของพีทดี เขากับโฟล์คเผชิญความรู้สึกแบบนี้มาตลอดหลายปีแล้ว ความดำมืดจากเรื่องรอบตัว ที่ถาโถมเข้ามาดับแสงสว่างอันน้อยนิด ที่พยายามส่องแสงให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน
   เขาเข้าใจมันดี เข้าใจดีจนเจ็บปวดอยู่ทุกวัน
   ผละริมฝีปากออกจากกัน ขณะที่พีทเริ่มตั้งสติและเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
   “นี่มัน...จูบแรก...ของกูเลยนะ” พีทปรับน้ำเสียงตัวเองให้กลับมาปกติ พร้อมกับหายใจเข้าให้เป็นปกติตาม
   “ไม่น่าใช่ป่ะ” อินว่า “ถ้ามึงพูดงั้น พริมคงต้องเอาเหล้ากรอกปากกูแล้ว”
   “คือ...กูไม่เคยจูบกับผู้ชาย” พีทว่า “แล้วยิ่ง...คนนั้นเป็น...น้องกูด้วย”
   อินพ่นลมหายใจพลางครุ่นคิด ขณะที่พีทกลับไปนั่งพิงเตียงเหมือนเดิม แหงนหน้ามองเพดานห้องที่ว่างเปล่า
   “คำถามก็คือ... จะเอาไงกับพวกเค้า” พีทพูดต่อ “พ่อกูกับแม่มึง... เอาไงดี”
   อินยังคงเงียบ
   “กู...คิดเรื่องนี้มาเป็นเดือนๆแล้ว...และ... กูไม่รู้ว่าต้องทำไง” พีทพูด
   คำพูดของพีท ทำให้อินนั่งคิดทบทวนในอะไรบางอย่าง กับสิ่งหลายสิ่งที่เขาต้องพบเจอ บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วอย่างที่กายบอก เวลาที่เขาต้องเลือก ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องการเหตุผลของคนอื่น มันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เขาจต้องตัดสินใจ
   ท่ามกลางความเงียบระหว่างกัน อินหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมามองอยู่อย่างนั้น พลางคิดอะไรบางอย่าง
   “โฟล์คก็รู้เรื่องนี้ใช่ป่ะ” อินถามขึ้น พีทพยักหน้ารับเบาๆ
   “กู... บอกมันเองอ่ะ... ว่าอย่าให้มันบอกมึง” พีทว่า “แล้ว...กูก็...ก็... ก็ถ้ามันจริงจังกับมึงได้ซะที กูก็จะได้....ตัดใจง่ายกว่านี้มั้ง”
   เสียงของพีทกลับมาสั่นเครืออีกครั้ง ขณะที่อินหลับตาลง
   “ไม่มีใครต้องเจ็บปวดเพราะกูอีกแล้ว” อินว่า พลางกดมือถือและโทรออกทันที ขณะที่พีทก้มหน้ากลับมามองอินอีกครั้ง
   “มึงโทรหาใคร..”
   “ชู่ว!....” อินหันมาทำสัญญาณมือใส่พีท ขณะที่รอเสียงตอบรับ และไม่กี่อึดใจ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็รับขึ้นที่ปลายสาย
   “ฮัลโหลค่ะ”
   “ฮัลโหลเจน... นี่เราเองนะ.... อิน” อินพูดขึ้น และนั่นทำให้เสียงปลายสายเงียบไปพักนึง “จำได้หรือเปล่าคับ... เราที่...เคย”
   “จำได้สิ... เจนก็รอให้ยูโทรมาอยู่นะ อิน...กายเล่าให้เจนฟังแล้ว แล้วก็ถ้าเกิดมีอะไรที่เจนพอจะช่วยได้ เพื่อชดชเยกับเรื่องทั้งหมดที่เคยผ่านมา เจนยินดีนะคะ ดีใจที่ยูโทรมานะอิน” เธอตอบอินเสียงใส ขณะที่อินได้แต่หลับตาเบาๆ
   “ฮัลโหล ยังอยู่ไหมคะ อิน...ฮัลโหล”
   “เจนเอ่อ... ผมมีเวลาไม่มาก และเอ่อ... ผมอยากให้คุณช่วย” อินพูดกับเธอทันที พลางมองไปหาพีท
   “ได้ค่ะ...อะไรเอ่ย” เจนถาม
   “วันพรุ่งนี้ ผมอยากให้เจนไปหาผมที่ออฟฟิศของซูเม่ แถวๆวงเวียนใหญ่ ผมกับพี่สุเมธ มีเรื่องอยากให้เจนช่วย เกี่ยวกับ...งาน” อินว่า “เจอกันที่นั่นซักสิบโมงนะ ถ้าไม่เช้าไป แต่...ผมรบกวนให้เจนขอโลเกชั่นจากกายเอา พอดี มือถือผมจะเข้าศูนย์นิดหน่อย แล้วเอ่อ... คุณจะติดต่อผมไม่ได้เลยจนกว่าจะเจอกัน”
   “โอ้... พรุ่งนี้เหรอคะ แปปนะ...”
   ระหว่างรอสายเธอ อินมองหน้าพีทที่ยังคงมองเขากลับมาด้วยความสงสัย
   “โอเคอยู่...ไปได้ค่ะ แต่อาจจะอยู่ได้ไม่นาน” เจนตอบ “มีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าคะ”
   “ก็...ไม่เชิงคับ... เดี๋ยวไว้คุยกันพรุ่งนี้นะเจน” อินว่า
   “อ่า อ่า โอเคค่ะ... เอ่อ... เจนดีใจนะ ที่ยูโทรมา”
   “เช่นกันเจน... ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันคับ บาย”
   อินวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ทันที และหันไปหาพีท
   “กูว่า... บางทีปัญหาอาจจะอยู่ที่กูเอง” อินพูดต่อ “บางที... กูอาจจะต้องเป็นฝ่ายไป แล้ว...ไปให้ไกลกว่าเดิม”
   “มึงจะทำอะไร” พีทว่า
   “กูกำลังจะขอให้มึงทำตามสัญญา” อินพูดต่อ
   “สัญญา?....สัญญาอะไรวะ” พีทร้องถาม
   “สัญญาที่ว่ามึง จะทำตามที่กูขอ ไม่ว่าเรื่องอะไร สัญญาที่ว่ามึงจะอยู่ที่นี่ เพื่อดูแลกู ดูแลแม่” อินว่า “มึงยังจะทำให้กูได้อยู่ไหม”
   พีทเงียบสนิท
   “มึงกำลังจะหนีกู หนีจากทุกอย่างไป เหมือนทุกๆครั้ง” พีทว่า “ใช่หรือเปล่า”
   อินก้มหน้าลง
   “อยู่หรือไป เราก็รักกันไม่ได้ใช่หรือเปล่า” อินว่า พีทก้มหน้าลงทันที “ทางแม่งขีดให้เรามาเจอกัน แต่แม่งไม่พอที่จะให้เราเดินด้วยกัน ถูกมั้ย”
   พีทยังคงเงียบ
   “พี่พีท” อินพูดเสียงชัดเจน ขณะเดินไปหาตรงหน้า และยื่นมือไปหาเขา “เราสองคนจะลงไปข้างล่าง เดินไปหาแม่ แล้วบอกเค้าว่า เราเคลียร์กันจบแล้ว เราไม่ได้ทะเลาะกัน และพี่พีทจะอยู่นี่ เพื่อดูแลบ้าน ดูแลแม่ ในระหว่างที่อินไม่อยู่... พี่จะทำได้หรือเปล่า”
   พีทมองมือคู่นั้นอยู่อย่างนั้น
   “มึงจะไปกับมันใช่มั้ย” พีทร้องถามเสียงสั่น อินยิ้มเบาๆก่อนจะส่ายหน้า
   “ผมไปกับใครไม่ได้ทั้งนั้น” อินว่า “ผมมีแต่จะทำให้ทุกคนเจ็บปวด รวมถึงพี่ด้วย... เราต้อง จบทุกอย่างซะ เชื่อผมเหอะ”
   พีทหลับตาลงก่อนจมองหน้าอินอีกครั้ง
   “งั้น... ถ้าวันไหน... มึงอยากให้พี่มึงคนนี้... แกล้งเป็นแฟนมึงอีก.... ก็บอกละกัน” พีทยิ้มให้อิน ก่อนจะวางมือลงบนมือของอินและลุกขึ้นทันที
   “คับผม” อินยิ้มให้พีทอยู่อย่างนั้น พีทถอนหายใจก่อนจะดึงอินเข้ามากอดอีกครั้ง
   “อย่างน้อยกูก็ยังมีมึงล่ะวะ” พีทพูดเสียงสั่นอยู่ในอ้อมกอด ขณะที่อินหลับตาลงอยู่อย่างนั้น แต่ไม่นานนัก พีทก็ผละตัวเองออกและมองหน้าอินอีกครั้ง
   “แล้วมึง... บอกมันหรือยัง” พีทถามจี้ ซึ่งนั่นทำให้อินหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะก้มลงมองมือถือตัวเองในมือ
   “มึงต้องไม่บอกมัน” อินว่า “กูจะไม่เจอมันอีกแล้ว.... กูจะไม่เจอมันอีกเลย”

.................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2020 08:56:57 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :m11:
สะใจว้อยยยยยยยยยยยย

อินทำได้ดี
ทิ้งแม่มมมไปเลย

หมาหัวเน่า..ไม่มีใครเอา
 :m4:

 :กอด1: พีท..คนดีที่สุดเล้ยยยยยย

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 38 Tear Apart 4

 การเดินทางคืออะไร
คำถามนี้เริ่มกลายเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของอินมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การทำงานในช่วงเวลาที่อยู่ในจุดเปลี่ยนผ่าน และตัดขาดจากทุกอย่างที่เขาต้องแบก เป็นความรู้สึกว่างเปล่าที่กลายเป็นหลุมอยู่ข้างในใจของเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลุมนี้ ทำให้ใจของเขารู้สึกสงบ และทำให้เขาจัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนการเดินทางได้ไม่ยากนัก
แม้ว่าเขายังมองไม่เห็นคำตอบนักว่า การเดินทางคืออะไร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อินหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ฮัลโหลครับพี่เมธ”
“อิน... ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย” สุเมธถาม
“คับพี่... เรียบร้อยดีคับ” อินตอบ
“แล้วอินจะใช้เบอร์นี้ต่อไหม หรือจะติดต่อกันทางอื่น”
“เดี๋ยวผมส่งเครื่องคืนไปที่ออฟฟิศคับพี่ ไปโน่นแล้ว เราติดต่อกันทางไหนเดี๋ยวผมผ่านเจนมาอีกทีคับ” อินตอบ
“โอเค... งั้นก็... เตรียมของให้เรียบร้อยนะ โชคดีกับการเดินทาง”
“ขอบคุณคับพี่ ไว้เจอกันคับ”
อินกดวางโทรศัทพ์ไป ก่อนจะเดินตรงไปยังคอนโดตรงหน้า ดูเหมือนยังเหลืออีกหนึ่งสิ่งที่เขาต้องทำ นั่นคือการคืนคีย์การ์ดที่ใช้มาที่นี่ โฟล์คคงออกไปทำงานแล้วในเวลาบ่ายๆเย็นๆแบบนี้ การเอาคีย์การ์ดมาคืนครั้งสุดท้าย น่าจะพอหลีกเลี่ยงให้เขาไม่เจอได้
เมื่อลิฟต์มาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง อินตั้งสติกับตัวเองครั้งหนึ่ง จึงแตะคีย์การ์ดเข้าไป
ร่างร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า พร้อมกับเข้าของที่ดูเหมือนกำลังจะแพ็คเพื่อเดินทางเช่นกัน อินหน้าตาตื่น เมื่อเห็นสภาพนั้น
“ไอ้กาย” อินร้องทัก
“ไอ้อิน” กายร้องทักตอบเช่นกัน ขณะที่อินพยายามมองเข้าไปในห้อง อย่างมึนงง
“มึง...มานี่ได้ไง” อินร้องถาม ขณะที่กายหัวเราะเบาๆ และยิ้มให้
“มึงสองตัวนี่ ชอบมาอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ ในเวลาที่ไม่ใช่ แล้วสลับที่กันไปมาตลอดเลยนะ” กายว่า “มึงเข้ามาก่อนมา”
อินยังคงยืนนิ่งพลางมองเข้าไปในห้อง
“เข้ามาเหอะ มันไม่อยู่หรอก” กายพูดแบบนั้น อินจึงเดินเข้าห้องตามคำพูดเพื่อน
“มึง...มาค้างห้องมันอ่อ” อินว่า
“ไม่... นี่เป็นห้องกูแล้ว” กายตอบพลางยิ้มให้ “มันไปแล้วเหมือนกันอิน กูก็เลยซื้อต่อ... ก็ตามที่มึงบอกไง... กูควรมีที่อยู่ในกรุงเทพ”
ความจริงจากกาย ทำเอาอินเงียบเสียงไปพักหนึ่ง ก่อนจะมองเข้าไปในห้อง และเขาก็สังเกตได้ว่าหลายๆอย่างในห้องเปลี่ยนไปมาก กายเปลี่ยนห้องที่เขาเคยอยู่กับโฟล์คให้เป็นที่ใหม่อย่างที่ควรเป็นไปแล้ว
“มัน...ไปแล้วอ่อ” อินร้อง พลางถอนหายใจ กายมองหน้าเพื่อนอยู่อย่างนั้น
“ใช่” กายพูดเรียบๆ “รู้มั้ยว่า เมื่อสองสามวันก่อน ถ้าพี่เมธไม่โทรหากู กูจะไปแจ้งความละนะ ว่าเพื่อนหายอ่ะ กูอาจจะเป็นพ่อมดแห่งวงการ แต่วิชาหายตัว มึงนี่ที่หนึ่งเลย”
“กูหนีมึงไง ตั้งแต่ม.ปลายเลย จำไม่ได้อ่อ กูได้มาจากมึงนะเรื่องนี้” อินว่า พลางยิ้มให้ กายหัวเราะเบาๆ
“พรุ่งนี้ป้ะ ใช่มั้ย” กายถามแต่อินส่ายหน้า
“เช็คอินสี่ทุ่ม คง...ออกตอนเที่ยงคืน” อินตอบ กายพยักหน้ารับ
“ถึงโน่นถ้า..มีอะไรให้กูช่วย... ก็บอก... กูมีบ้านพ่อกูอยู่วิลแลต ถ้าถึงแล้ว ก็เดี๋ยวให้....” กายพูด
“เจนจัดการให้แล้ว กูก็คงอยู่บ้านมึงแหละ ซักพัก แล้วค่อยว่ากัน” อินว่าพลางหยิบคีย์การ์ดของห้องนี้ขึ้นมา และยื่นให้กาย “เพราะงั้น... กูคงไม่ได้มาห้องนี้แล้ว เจ้าของห้อง...คนใหม่... ควรเก็บไว้ใช้”
กายมองคีย์การ์ดในมือ ก่อนจะรับมันมา
“มึงไปอยู่บ้านกูที่โน่น ส่วนกูก็มาอยู่ห้องมึงที่นี่ งั้นอ่อ” กายว่า
“ก็...คงงั้น” อินยักไหล่ ก่อนจะมองไปรอบๆ “แล้ว... มึงแต่งตัวเหี้ยไรเนี่ย กระป๋งกระเป๋านี่อีก จะไปไหน”
“อ๋อ...เอ่อ ไปทะเล” กายว่า “บางแสน พัทยา... ซักสองสามวัน”
“ไปทำงานอ่อ” อินถาม
“เปล่า...ก็...ไปเที่ยวอ่ะ...กับเอ่อ....บางคน” กายตอบ
“โอเค...งั้นเอ่อ... กูไปละ โชคดีเพื่อน” อินตบไหล่กาย ก่อนจะเดินไปยังประตูห้อง และความรู้สึกทุกย่างก้าวตรงนี้ มันเหมือนกำลังฉีกความรู้สึกของอินเป็นเสี่ยงๆ
“มึงรู้ใช่มั้ยว่ามันจะไม่หยุดตามหามึงอ่ะ” กายพูดขึ้น ทำเอาอินหยุดชะงัก อินเหลียวหลังมาหากายเล็กน้อย
“รู้ดิ” อินตอบ “เพราะงั้น... กูถึงต้องไปให้ไกลไง”
กายมองอินเดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจให้กับเรื่องราวของเพื่อนรักของเขาทั้งสองคน
.........
ที่สนามบินในตอนค่ำ โฟล์คหยิบกระเป๋าใบใหญ่ลงจากรถเข็น และวางมันลงไปที่สายพานเคาท์เตอร์ ขณะที่บอลรับบอร์ดดิ้งพาสคืนจากพนักงานเช็คอิน
“เรียบร้อยนะพี่” โฟล์คหันไปถาม
“อื้อ... เรียบร้อย” บอลหันมาหาโฟล์ค “จะหาไรกินก่อนมั้ย”
“ผมไม่หิวอ่ะ พี่อ่ะ หิวหรือเปล่า ผมวิ่งไปซื้อให้ได้นะ ยังทันอยู่ป้ะ” โฟล์คว่า
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปซื้อข้างในก็ได้” บอลว่า “งั้นไปกันเลยมั้ย”
“ได้คับ”
โฟล์คเดินตามบอลไปจนถึงหน้าเกทที่จะต้องเช็คอินเข้าไปครั้งสุดท้าย บอลเดินนำเข้าไปในเกตขณะที่โฟล์คยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองภาพตรงหน้าพลางคิดทบทวนอะไรบางอย่าง บอลหันกลับมาหาโฟล์คทันที
“เป็นไรโฟล์ค... ทำหน้ายังกะ...ลืมอะไรงั้นแหละ” บอลพูด
“อ๋อ...ป่าวคับ ไม่ได้ลืม...” โฟล์คว่า พลางส่ายหัวไล่ความคิดบางอย่างออกไปจากหัว ก่อนจะยื่นบอร์ดดิ้งพาสและเช็คอินตามไป เมื่อเข้าไปในเกตแล้ว โฟล์คปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไป และเมื่อเข้าไปในเกต โฟล์คหยิบเป้ที่ตรวจเช็คเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับบอลที่หยิบของของตัวเอง ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะยิ้มให้กัน
“เกตไหนนะพี่” โฟล์คร้องถาม
“โห...โน่นอ่ะ 25 ต้องเดินไปอีก ทางโน้น” บอลว่าพลางมองไปด้านซ้าย ก่อนจะหันมาหาโฟล์ค “แล้วเราอ่ะ.... เกตไหน”
โฟล์คหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองบอร์ดดิ้งพาสในมือ
“อยู่ทางขวาคับ” โฟล์คตอบ และแล้วก็ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ รอยยิ้มที่สดใสหายไปจากใบหน้าของโฟล์ค ขณะที่บอลยิ้มให้เขา
“งั้น... เดี๋ยว... พี่ไปก่อนนะ...”
“พี่บอล....” โฟล์คร้องเรียกพี่บอลเอาไว้ ขณะที่ความทรงจำบางอย่างย้อนกลับขึ้นมาหาเขา

“.....ผมมีอะไรจะบอก” โฟล์คพูดขึ้น พลางวางช้อนลงในชามข้าวต้มตรงหน้า
“อื้อ...ว่าไง” บอลร้องถาม เมื่อเห็นว่าโฟล์คพูดแทรกขึ้นมา เขามองเห็นโฟล์คกำมือแน่น เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“ผม... ผม... คงไปญี่ปุ่นกับพี่ไม่ได้” โฟล์คพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้ความเงียบของห้องเข้ามาแทนที่ บอลหายใจเข้าลึกทันที
“ก็...ค่อยๆ เตรียมไปดิ... อย่าเพิ่งไปเครียด...มันจัดการได....”
“จัดการไม่ได้พี่ มันพังไปแล้ว” โฟล์คพูดเสียงชัดเจน ขณะมองไปหาพี่บอล และนั่นทำให้เขาเงียบเสียงลง
“มันยัง....ไม่ดีพอเหรอ” บอลพูดเสียงเรียบ ขณะที่โฟล์คเริ่มหายใจแรงขึ้น ชายหนุ่มก้มหน้าลง
“เพราะมันดีเกินไปอ่ะพี่ และผม ไม่สมควรได้รับมันเลย” โฟล์คตอบ “ผม... ไม่ได้อยากได้ชีวิตแบบนั้น”
บอลเงียบสนิท
“ผมขอโทษ ที่ไม่ได้บอกพี่ก่อน ผมขอโทษที่ปล่อยให้มันมาถึงตอนนี้ แต่... ผมไม่ใช่คนดีเลยพี่” โฟล์คว่า “ผม... ไม่ได้คิดถึงอนาคตของเรา... ผม... เคยคิดว่า มันอาจจะเวิร์ค แต่... ผมพยายามแล้วพี่... แต่ผม...”
“ไม่ได้รู้สึก...สินะ” บอลพูดเสียงสั่นเครือ พลางเม้มปากตัวเองช้าๆ “ไม่งั้นโฟล์คคงให้คำตอบพี่ไปแล้ว...สินะ”
“พี่เคยถามผมใช่ป่ะ ว่าถ้าผมไม่ได้รักพี่ แล้วผมคบกับพี่ทำไม” โฟล์คว่า “คำตอบคือ...ชีวิตผมมันไม่มีอะไร... มันไม่มีอะไรจนพี่เข้ามา”
บอลหันกลับมามองหน้าโฟล์คอีกครั้ง
“ชีวิตผมมีแต่หนังสือ กับเพลง.. แต่ผมไม่เคยเขียนหนังสือ หรือเล่นดนตรี” โฟล์คว่า “ผมแค่สนุกไปกับมัน แต่ผมไม่รู้ ว่าผมจะสร้างอะไรจากมันได้... จนพี่... ทำให้ผมเห็น ว่าผมมีอะไรมากกว่าที่ผมมี”
โฟล์คพูดต่อ
“ผมรู้ว่าพี่รักผม พี่ดูแลผมมาตลอด และผมก็พยายามที่จะรักษาทุกอย่างไว้ แต่ผมก็ทำพัง ผมทำพังตลอดเลย ผมไม่เคยสร้างสรรค์อะไรได้เลย ผม... ดีแต่ทำลาย” โฟล์คว่า “ผม... ผมไปกับพี่ไม่ได้ เพราะถ้าผมไป ผมก็จะไปทำพังอีก และผมไม่อยากทำชีวิตพี่พังกว่านี้อีกแล้ว”
บอลยิ้มเบาๆ
“พี่ไม่ได้ผิดนะ แต่ผม... ผมรู้สึกแย่ ที่... ที่ผมเป็นเหมือนเด็ก ที่พี่ต้องคอยดูแล” โฟล์คว่า “เด็กที่ไม่รู้จักโตซะที และผม... ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ตอนที่เราไปที่โน่น เพราะ... ถ้าผมต้องพูดแบบนี้ตอนเราอยู่ที่โน่น มันจะลำบากกว่าเราจบมันกันที่นี่และ ผมว่าผม...”
“พี่เข้าใจ” บอลพูดเสียงเรียบ “พี่เข้าใจตั้งแต่วันแรก ที่พี่ขอโฟล์คเป็นแฟนแล้ว”
โฟล์คกลายเป็นฝ่ายเงียบบ้าง
“พี่นับทุกๆวัน ว่าจะมีวันไหนไหม ที่โฟล์คบอกว่า...โฟล์ครักพี่” บอลว่า “แต่... มันก็ไม่เคยมี”
“พี่บอลผม...ผมขอโทษ...”
บอลเงียบไปพักนึง พลางมองหน้าโฟล์ค
“ก่อนน้องอินจะออกไป โฟล์คก็น่าจะให้ชุดใหม่เค้าเปลี่ยนไปทำงานนะ” บอลว่า “ใส่ชุดซ้ำกับเมื่อวานไปทำงาน คนเค้าจะมองแย่เอา”
คำพูดของบอลทำเอาโฟล์คเงียบสนิท
“พี่บอล...”
“พี่รู้... รู้มาตั้งนานแล้ว” บอลว่า “พี่เป็นแฟนโฟล์คนะเว่ย พี่จะไม่รู้ได้ไง เวลาที่แฟนพี่โกหกอ่ะ แล้วพี่ก็คิดว่า ทุกคนรอบตัวโฟล์ค ก็คงพูดเหมือนกันหมดว่า โฟล์คเป็นนักโกหกที่แย่มาก”
โฟล์คหลบสายตาลงทันที
“แล้วโฟล์คก็อาจจะไม่รู้ตัวว่า... ทุกครั้งที่โฟล์คอยากจะบอกเลิกพี่ โฟล์คจะ...พูดคำว่า ขอโทษ” บอลพูดต่อ “ตลอดหกเดือนมานี้ เราพูดขอโทษกับพี่บ่อยมาก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยพูดมาก่อน”
บอลว่าต่อ
“และครั้งแรก ที่โฟล์คพูด ก็คือ... ที่บาร์วันนั้น วันเลี้ยงจบของพวกเพื่อนโฟล์ค ตอนที่โฟล์คเดินสวนพี่ไป”
โฟล์คหายใจเข้าช้าๆ ขณะมองหน้าบอล
“ใช่...เราพูดถูก มันพังไปแล้ว และพี่เองก็แค่ คนที่หลอกตัวเอง ว่ามันจะไปได้ต่อ” บอลว่า “และคราวนี้ พี่เลยเป็นฝ่ายโกหกโฟล์คบ้าง”
“โกหก...ผมเหรอ” โฟล์คว่า “โกหกเรื่องอะไร”
“มันไม่เคยมีดีลให้ที่ญี่ปุ่นหรอกนะ ดีลนั้น มันสำหรับพี่คนเดียว” บอลพูดต่อ “เอกสารนั่นเป็นของปลอม พี่แค่ใช้มัน... เพื่อบีบให้โฟล์ค พูดเรื่องนี้ออกมา พูดซะที... ว่าเราไปกันไม่ได้”
“พี่บอล....”
“พี่เป็นคนขอเราคบ แต่พี่จะไม่เป็นคนขอเลิก พี่ขอเป็นฝ่ายโดนบอกเลิก มันจะแฟร์กว่า” พี่บอลว่า “เพราะมันก็....มันก็สาสมแล้ว กับสิ่งที่พี่ ไปลงกับคนที่โฟล์ครัก”
บอลลุกขึ้นทันที แต่โฟล์คก็คว้าตัวพี่บอลไว้
“ผมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราเปลี่ยน” โฟล์คว่า “ผมอยากชดใช้ให้พี่ทุกอย่าง กับสิ่งที่ผมทำ”
บอลหันกลับมายิ้มให้โฟล์ค ก่อนจะจับมือเขาไว้
“สำหรับพี่มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนโฟล์ค” บอลยิ้มให้ “เราก็ยังเป็นน้องที่พี่รักเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ตอนนี้พี่จะไม่อยู่แล้ว ส่วนโฟล์ค... โฟล์คก็ต้องคิดเอาเอง... ว่าไม่มีพี่แล้ว... ชีวิตโฟล์คจะเอาไง จะผิดเหมือนที่เคยผิดมาอีกหรือเปล่า...”
โฟล์คหายใจเข้าลึก
“เขากำลังจะไปแล้วคับ” โฟล์คว่า “ผม... ถึงเวลาต้อง... ชดใช้ในสิ่งที่ผมทำแล้ว”

บอลมองหน้าโฟล์คที่ยืนนิ่งอยู่ในเกตอย่างนั้น
“ว่าไง...” บอลถามขึ้น
“ค็อกเทลล์ฝีมือพี่ อร่อยที่สุดเลยนะ” โฟล์คว่า ทำเอาบอลยิ้มกว้าง “ไว้ผม...จะไปชิมอีกนะคับ”
“งั้นพี่คง...ต้องใส่แอลกอฮอล์เยอะๆ” บอลตอบก่อนจะยิ้มให้
“โชคดีคับพี่” โฟล์คว่า
“ลาก่อนโฟล์ค”
บอลเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแค่ความเงียบงันท่ามกลางผู้คนมากมายของสนามบิน เขามองหลังของอีกหนึ่งคนที่เขาทำลายความรู้สึกไป คนคนนั้นกำลังไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หมดสิ้นจากเรื่องแย่ๆที่เขาทำ เรื่องแย่ๆที่ตอนนี้เขาขอกลายเป็นคนที่แบกรับมันไว้คนเดียวก็พอ
เขาพยายามแล้วที่จะตามหาอิน แต่ในเมื่ออินก็เป็นอีกคนที่หันหลังเดินจากเขาไป ดังนั้นจึงไม่เหลือทางเลือกอะไรให้กับเขาอีก เขาที่เป็นเพียงคนเลวที่ทำได้เพียงทำลายความรู้สึกของคนอื่น
คนที่ไม่เคยมีปลายทางให้กับใครอย่างจริงจัง
โฟล์คหลับตาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก
“ฮัลโหล... มอสอ่อ.... กูเองนะ” โฟล์คว่า
“เอ้อ... ออกมายัง เดี๋ยวกูไปรับ” มอสพูดผ่านเสียงปลายทาง
“ยังอ่ะ... กำลังจะขึ้นเครื่องอีกชั่วโมงนึง กูถึงเชียงใหม่” โฟล์คว่า
“โอเช... มึงชัวร์แล้วนะ ว่าจะมาอยู่กะกูที่นี่อ่ะ” มอสถามอีก
“อืม.. กู... ไม่มีอะไรติดค้างที่นี่แล้ว” โฟล์คพูดชัดเจน “ไว้เจอกัน”
โฟล์ควางสายไป พลางกดปิดเครื่องและหายใจเข้าลึก ก่อนเขาจะรู้สึกได้ว่า มีสายตาคู่หนึ่งมองเขาจากทางเดินอันเวิ้งว้าง แต่เมื่อหันกลับไป มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า โฟล์คเพ่งมองไปด้วยสายตาที่เจ็บปวด มันคงเป็นเพียงภาพความคิดที่ไม่เป็นจริง
สองเท้าของเขาเดินออกไปจากตรงนั้นด้วยสายตาที่อ่อนล้า และหวังว่ามันจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายเสียที เมื่อโฟล์คเดินจากไปแล้ว อินวางแก้วน้ำในร้านของฝากของสายการบินลง ขณะที่เขาหันหลังให้กับโฟล์คที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วหลบเข้าไปยังร้านค้าที่อยู่ใกล้กัน ชายหนุ่มหลับตาเพื่อลืมความเจ็บปวดทั้งหลาย และก้าวเดินไปยังทางเดินที่อยู่ตรงข้ามกัน
ทางเดินที่กลายเป็นเส้นขนานอันยาวนาน
............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2020 12:11:57 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 39 Destination

การก้าวลงที่สนามบิน Charles de Gaulle หลังจากที่การเดินทางอันยาวนาน ทำให้โฟล์ครู้สึกตื้อและเพลียเล็กน้อย แต่ทันทีที่ขาของเขาก้าวออกมาจากเกต มันทำให้ตัวของเขาร้อนผ่าว มันเหมือนกับว่าการนอนบ้างไม่ได้นอนบ้างบนเครื่องหลายชั่วโมงกับมิก มันไม่ได้มีผลต่อร่างกายของเขาเลย หรืออาจจะหมายรวมถึงความรู้สึกบางอย่างของเขาที่ปั่นป่วนมาตลอดเส้นทางด้วย เพราะสำหรับเขา เรื่องเล่าระหว่างทางของเขากับมิก มันคือการเดินทางที่ยาวนานมากกว่าเที่ยวบินสิบกว่าชั่วโมงจากกรุงเทพ มาปารีสมากมายนัก 
“คนเราต่างมองหาปลายทางของตัวเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าปลายทางที่ไม่มีคนที่เรารักรออยู่ มันอ้างว้างกว่าที่ผมเคยคิด เพราะสุดท้ายแล้ว ผมก็มาเรียนรู้ว่า เราไม่อาจจะมีอนาคตไปได้ ถ้าข้างในหัวใจและความคิดของเราไม่สมบูรณ์ ความรู้สึกดี ความรัก ความห่วงใย มันเป็นของให้เปล่า ให้แล้วให้เลย มันให้ไปพร้อมกับหัวใจ เมื่อเรายกมันให้ใครไปแล้ว เราเอาคืนมาไม่ได้ ต่อให้ความรักมันสูญสลายไป แต่หัวใจเราก็จะไม่มีทางกลับมาอีก”
มิกเดินอ่านหนังสือ Endless Dream ขณะเดินไปตามทางเดินของส่วนผู้โดยสารขาเข้า
“พาร์ทนี้มันโคตรจี้ผมเลยนะ” มิกว่าพลางปิดหนังสือลง ก่อนจะหันไปหาโฟล์คที่ยิ้มให้อย่างเก้อเขิน “มันคือชีวิตผมเลย... ผมซึ้งเลยกับบทนี้”
“อ่านะ... ก็... ถ้าบอกว่าไม่ใช่ชีวิตผมด้วยก็คงโกหก” โฟล์คพูด
“ช่าย และเหมือนทุกคนก็ยืนยันแล้ว ว่านายเป็นนักโกหกที่แย่มาก” มิกพูดพลางหัวเราะ ขณะที่โฟล์คส่ายหน้าเบาๆ “ใช้เวลาเขียนนานมั้ย”
“อืม...ก็เป็นปีเลยนะ เพราะว่าไม่ได้เขียนทีเดียวจบ แต่ค่อยๆประกอบร่างมันทีละนิดละหน่อย” โฟล์คตอบ
“หลังจากนั้นก็ไปอยู่เชียงใหม่เลยเหรอคับ” มิกถาม
“คับ... เพื่อนผมกับแฟนเปิดร้านกาแฟที่โน่น เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ แล้วก็ทำอะไรได้เยอะ” โฟล์คว่า “ผมเองก็ได้มีเวลากับตัวเองมากขึ้น แล้วก็เลย เริ่มเขียนหนังสือ แบบว่า... ได้ลองทำงานที่ตัวเองเรียนมาซะที”
“ปรัชญาความรักยุคนี้ชวนอ้วกหลายเล่ม แต่กับเล่มนี้ผมซื้อนะ” มิกพูด “มันไม่ต้องการอะไรหวือหวา อีกอย่าง ความรักคือความผิดพลาด และผมว่า เราคงต้องยอมรับมันซะที”
มิกยิ้มให้กับโฟล์คที่เดินมาถึงสายพานรับของ
“มาปารีสครั้งแรกป่ะ” มิกหันไปถาม
“อ่าหะ” โฟล์คตอบพลางมองไปรอบๆ อย่างตกประหม่า ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายๆได้แล้ว หลังจากที่โฟล์คสังเกตได้จากนาฬิกาในเกต ก่อนที่ตัวเองจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาปรับตาม
“โอเค เดี๋ยวผมไปเอาภาพก่อน”
“งั้นเดี๋ยวไปเอารถเข็นมาให้”
โฟล์คเดินไปหยิบรถเข็นมา ขณะที่มิกรอของที่ไหลมาตามสายพาน และแล้วภาพภาพหนึ่งที่หุ้มฟูกกันกระแทกและหีบห่ออย่างดีก็ไหลมา มิกคว้ามันมาใส่รถเข็นก่อนสัมภาระของตัวเขาอีก
“ภาพชื่ออะไรนะ” โฟล์คร้องถาม
“Loveless Society” มิกตอบ
“ของเพื่อนนายที่ชื่อนัทป้ะ” โฟล์คถาม
“อื้อ มันต้องใช้ในงานเดินแบบคืนพรุ่งนี้อ่ะคับ” มิกว่าขณะจัดแจงสัมภาระ “ภาพนี้ก็เหมือนหนังสือนายอ่ะโฟล์ค มันมีผลกับชีวิตผม”
“กับหลายๆคนด้วยมั้ง มันเดินทางไกลมากนะภาพนี่” โฟล์คว่า
“ช่าย และผมก็ว่า... เห้ย... นั่น...” มิกมองข้ามไหล่โฟล์คไปเจอเข้ากับเด็กหนุ่มคนนึงที่กำลังหยิบสัมภาระตัวเองจากสายพานเช่นกัน มิกเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนจะร้องเรียก
“วิน...”
เด็กหนุ่มหันมาหามิกตามเสียงเรียกก่อนจะอึ้งไปพักหนึ่งที่เห็นมิกตรงหน้า
“พี่มิก...” วินร้องตอบด้วยท่าทีตกใจ “เอ่อ....หวัดดีคับ”
“นี่วินมา...จากไหนเนี่ย.. ไฟล์ทเดียวกับพี่เหรอ” มิกถาม วินจึงมองไปเห็นแท็กกระเป๋าที่ปรากฎสายการบินของพี่มิก และของตัวเอง
“คงใช่อ่ะพี่” วินยิ้มให้ “ผมมาจากไทยคับ”
“เอ๊า ไม่เจอบนเครื่อง” มิกว่า “แต่... พี่ได้ข่าวเรื่องเอ่อ... พี่เสียใจด้วยนะ เรื่อง... คุณแม่”
“คับ” วินตอบพลางยิ้มเฝื่อนๆ “ผม...ทำเต็มที่แล้ว”
มิกเอื้อมมือไปแตะไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนร่วมทาง
“เอ้อนี่...เอ่อ... เพื่อนพี่...เอ่อ เพื่อนพี่กายกับพี่นัท เอ่อ...พี่โฟล์ค” มิกว่า วินจึงยกไหว้สวัสดีทันที
“หวัดดีคับ” โฟล์คยิ้มให้
“แล้วกลับมานี่บอกใครหรือยัง” มิกถามต่อ
“เอ่อ...ยังเลยคับ” วินตอบ “คือ ผมตั้งใจว่า จะไปหา...เอ่อ... ไปทอร์ควิลก่อน แล้วหมดแฟชั่นวีคพรุ่งนี้ ผมจะ...เข้าไปรายงานตัวกับพี่เจนเอง”
“เออ.. ตอนเราหายไปอ่ะ เห็นเค้าวุ่นวายกันใหญ่เลย” มิกพูด
“ผมขอโทษคับพี่” วินพูดเสียงนิ่ม
“พี่ว่าแกไม่ลงหรอก เพราะพี่ก็...ชิ่งเหมือนกัน” มิกยิ้มให้ “ไปข้างหน้ากันเหอะ เผื่อจะเจอแทกซี่”
มิกนำทั้งวินและโฟล์คเดินออกจากเกต และเข้าสู่ทางเข้าสนามบิน อากาศที่หนาวเย็นของปารีสทำเอาโฟล์คขนลุกเบาๆ เขาไม่เคยมาต่างประเทศมาก่อน อากาศที่หนาวและความแปลกประหลาดรอบตัวจึงทำให้เขาสะท้านไปถึงความรู้สึกข้างใน
อยู่ดีดีเขาก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาเฉยๆซะงั้น
“มิก มิก!!!” เสียงอันหวานใสของสา ตะโกนเรียกมิกจากหน้าสนามบิน เธอและแฟนหนุ่มของเธอ มาร์คยืนโบกมืออยู่ตรงนั้น ขณะที่สาวิ่งเข้ามาสวมกอดเขาทันที
“เบาก่อนคุณเธอ โอ่ย” มิกส่งเสียงร้องอยู่ในอ้อมกอดของเธอ “หวัดดีมาร์ค”
“หวัดดีหวัดดี” มาร์คยิ้มให้
“คิดถึงแกมากอ่ะ เป็นไงบ้าง เดินทางโอเคนะ” สาร้องถาม
“อื้อ โอเค” มิกยิ้มให้เธอ “แล้วเธออ่ะ มาจากเบอร์ลินตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เพิ่งถึงตะกี้เลยค่ะ แล้วพอนัทมันส่งข้อความมาว่าแกจะถึงนี่ ก็รออยู่นี่เลย รอแกเนี่ย จะได้ไปหาไรกินกัน” สาพูด “เอ๊า เดี๋ยวนั่นน้องวิน เพื่อนน้องเอิร์ธนี่”
“อื้อ...มาด้วยกันเนี่ย” มิกตอบ “แล้วก็นี่... จำได้ป่าว”
มิกผายมือไปยังโฟล์คที่เข็นรถตามออกมา สาหรี่ตามองเขา
“เห้ยคุ้น เดี๋ยวนะ เคยเจอที่ไหนอ่ะ เอ๊ะ เอ๊ะ ติดอยู่ที่ปาก” สาชี้นิ้วย้ำๆไปที่โฟล์ค ขณะที่โฟล์คและมิกมองหน้ากันขำขำ
“รับเครื่องดื่มซักแก้วไหมคับ” โฟล์คพูดทันที
“โอ๊ย จำได้แล้ว บาร์เทนเดอร์ที่บาร์ดาดฟ้า เพื่อนแฟนเก่าแกป้ะ เพื่อนฟ้า” สาร้องทันที
“คับผม โฟล์คคับ” เขายิ้มให้เธอ ขณะที่เดินตามมารวมกลุ่ม
“แล้วยังไงคะเนี่ย ยังไงอ่ะมึง ทำไมอยู่ดีดีมาโผล่นี่กัน” สาถามขึ้น มิก โฟล์ค และวินต่างก็ทำสีหน้าไปในทางเดียวกันหมด จนสาตกใจ เธอจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
“เอ่อ... กู...”
“ผมกลับมาทำงานคับ” วินพูดขึ้นก่อนทันที “ผมหมดธุระจากที่ไทยแล้ว ก็เลย... อยาจะกลับมาช่วยพี่เจน”
สายิ้มให้กับวิน พลางเหล่มองมาหาเพื่อนของเธอ
“แล้วเพื่อนกูคนนี้ล่ะ” สาว่า “วินมันเป็นอาร์ตได มึงก็เป็นอาร์ตได จะต้องมีคนนึง ไม่ได้อยู่นี่ถูกมะ”
“อืม... ก็... กูก็ตั้งใจว่า เจอเจนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” มิกพูด
“แล้วโฟล์คล่ะคะ” สาหันไปถาม
โฟล์คมองไปมองมาระหว่างทุกคน
“คือผม... ผมมาตามหาคนคนนึง” โฟล์คพูด “แล้วผมคิดว่า ทุกคนอาจจะพอช่วยได้”
“คนไทยเหรอคะ” สาว่า “เริ่มจากเกล็ดหิมะได้ค่ะ ไม่น่าจะ...”
“อินอ่ะคับ ผมมาหาอิน” โฟล์คพูดต่อ สาถึงกับตาโต
“โอ้” สาร้องเบาๆ “คุณเลนส์ไวด์”
“มึงว่าไงนะ” มิกร้องถาม
“ก็...อินไง เค้าชอบใช้เลนส์ไวด์ ฉันตีกะเค้าบ่อยๆ ตอนถ่ายงาน” สาว่าก่อนจะหันไปหาโฟล์ค “คุณมาผิดที่แล้วล่ะค่ะ อินไม่ได้อยู่ปารีส”
คำพูดของสาทำเอาโฟล์คเงียบสนิท หน้าของเขาถอดสีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มิกถึงกับหันไปทำหน้ามุ่ยใส่สาทันที
“แต่ไม่เป็นไรนี่ เดี๋ยว...ช่วยๆกัน ตามๆได้ แค่นี้เอง” มิกส่งเสียงสูง “เอ่อ...เราไปกันก่อนมั้ย แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
มิกพยายามจะพูดให้บรรยากาศดีขึ้น แม้ว่าโฟล์คจะไม่ค่อยเอาด้วยเท่าไหร่
“งั้นเดี๋ยวผมขอแยกไปก่อนดีกว่าคับ ผมเอ่อ... อยากกลับทอร์ควิล” วินพูด “ไว้เจอกันที่ออฟฟิศพี่สุเมธคับ”
“เห้ยไม่ไปด้วยกันอ่ะ” มาร์คหันไปถาม
“นั่นดิ” สาว่า “พี่ไปส่งได้นะ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่าคับ พวกพี่ไปหาไรกินกันเหอะ” วินว่า
“เอาเดี๋ยวกูไปกับวินดีกว่า” มิกว่า
“เอ๊าทำไมอ่ะ ไม่เอา ไปกับชั้น” สาส่งเสียงงอแง
“ไม่ คือกูเอา Loveless Society มา เจนเค้าจะใช้แสดงแฟชั่นพรุ่งนี้” มิกว่า “เดี๋ยวไม่ทัน”
“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปเองพี่” วินว่า “ยังไงผมผ่านออฟฟิศซูเม่อยู่แล้ว เดี๋ยวผมจัดการให้”
“เอางั้นอ่อ” มิกว่า
“ไม่เป็นไรพี่ งานผม” วินว่า
“งั้นเดี๋ยวผมไปกับน้องเค้าเอง” โฟล์คเอ่ยขึ้น
“อ...อ้าว” มิกว่า “แล้วจะโฟล์คจะเข้าที่พักได้ไงอ่ะ จะไม่หลงใช่มั้ย”
“ถ้าน้องเค้าผ่านที่ทำงานอิน ผมอาจจะเจอเจนเค้าที่นั่น ผม... รู้จักเธอ” โฟล์คว่าก่อนจะหันไปหาวิน “เจนเค้าจะอยู่ที่นั่นไหม”
“ก็...ไม่แน่คับ” วินว่า “พี่มากับผมก็ได้ เดี๋ยวยังไงผมพาเค้าไปส่งโรงแรมเอง”
มิกเดินเข้ามาหาโฟล์คทันทีด้วยความเป็นห่วง
“โฟล์ค... ใจเย็นน่า... เราต้องได้เจอเค้า เดี๋ยวพวกเราจะช่วยหา” มิกพูดขึ้น
“ผมรู้มิก” โฟล์คตอบ “แต่ประเด็นมันไม่ใช่แค่ ผมมาหาคนไง ผมกำลังคิดว่า มันอาจจะไม่ได้อยากเจอผม และถ้าผมจับมันไว้แน่นพอ มันอาจจะหนีผมไปอีกก็ได้”
มิกเงียบสนิท คำพูดของโฟล์คสะท้อนเข้าหาเรื่องราวของเขาโดยตรง
“ผมจะหาเขาเอง ให้ผมได้ทำด้วยตัวผมเหอะนะ” โฟล์คว่า
..........
โฟล์คนั่งมองท้องถนนของปารีสไปด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า มือนึงของเขาจับภาพ Loveless Society โดยมีวินนั่งอยู่ข้างๆบนท้ายรถแท๊กซี่จากสนามบิน และพุ่งตรงเข้าปารีส เขารู้ดีว่าทุกๆคนที่นี่ น่าจะคุ้นเคยกับอิน และจะช่วยเค้าตามหาได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากใครซักคนไปบอกอินว่ามีคนกำลังตามหาอินอยู่ มันก็อาจเป็นไปได้มากว่า อินจะหนีเขาไปอีกครั้ง และเขาจะไม่ขอให้มันเกิดขึ้น เขาจะเดินตีนเปล่าอย่างที่อินเคยบอกเค้า เดินดุ่ยๆไปด้วยสองเท้าของเค้าเอง
“สำหรับคนที่มาปารีสครั้งแรก พี่ดูไม่ตื่นเต้นกับอะไรๆรอบตัวเลยนะคับ” วินพูดขึ้น ทำเอาโฟล์คหันหน้าไปหา
“ไม่ ก็..สวยดี... บ้านเมืองเค้าดีกว่าบ้านเราอยู่แล้วป้ะ” โฟล์คตอบพลางยิ้มให้
“คับ... แต่จริงๆก็ไม่ขนาดนั้น ปารีสกับกรุงเทพมีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง” วินว่า “มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครใครฝันไว้ขนาดนั้น”
“อยู่นี่มานานแล้วอ่อคับ” โฟล์คหันไปถาม
“ก็... จริงๆแค่ปีเดียวพี่ แต่... เมืองนี้ทำผมไว้เยอะ” วินว่า “ผมเข้าใจพี่นะ ผมรู้ว่ามันรู้สึกยังไง”
“หือ”
“ความรู้สึกที่ว่า มาเมืองนี้โดยไม่รู้ว่าเราจะเจอปลายทางของเราหรือเปล่า” วินพูด “ผมเคยเป็น”
“อ่านะ” โฟล์คตอบรับเสียงขรึม “แล้ว... เราเจอมั้ย... ปลายทางของเราอ่ะ”
วินยิ้มกับตัวเองเบาๆ
“เจอคับ” วินว่า “แล้วผมก็กำลังไปหามันอยู่ มีพี่ไปด้วยเนี่ย”
“เหรอ” โฟล์คส่งเสียงสงสัย “เห็นมิกเค้าบอกว่า... เรากลับไปไทยมา ทิ้งที่นี่ไปนี่”
“คับ” วินตอบ “ก็... ผมกลับมาเพราะว่า ผมวางปลายทางไว้แล้ว ยังไงผมก็...ต้องมา ซักวัน”
โฟล์คฟังเด็กหนุ่มพูดแล้วก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าพลังอบอุ่นบางอย่าง ส่องประกายมาจากเขาอย่างไม่รู้ตัว มันเต็มไปด้วยพลังแห่งความหวังจนโฟล์ครู้สึกได้
บางทีการเดินทางครั้งสุดท้ายนี้ มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด
รถแท๊กซี่จอดนิ่งรออยู่ที่ถนนฮักโซ วินวิ่งลงไปในตึกที่อยู่ไม่ไกลกัน ขณะโฟล์คนั่งรออยู่ในรถ เด็กหนุ่มพูดกับใครซักคนที่อยู่อยู่หน้าตึก พลางชี้เข้ามาที่รถ ก่อนที่เขาจะเดินมาพร้อมคนคนนั้น
“พี่โฟล์คคับ พี่เจนไม่ได้อยู่นี่นะ” วินว่า
“อ้าวเหรอ... งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เข้าที่พักก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” โฟล์คว่า
“ไม่พี่ ผมรู้แล้วว่าเขาอยู่ไหน เดี๋ยวเราภาพทิ้งไว้นี่คับ คนของซูเม่จะเอามันไปที่จัดงานเลย เดี๋ยวผมจะไปส่งพี่ที่เกล็ดหิมะ ทุกคนอยู่นั่น ส่วนผมก็จะกลับบ้านที่ทอร์ควิล” วินว่า
“เกล็ดหิมะเหรอ” โฟล์คว่า
“ร้านอาหารไทยน่ะคับ พี่ควรไปที่นั่น ทุกๆคนที่เกี่ยวข้องกับที่นี่ เคยไปที่นั่น” วินว่า “ไม่ต้องห่วงพี่ พี่เจอเค้าแน่”
 ............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2020 21:19:41 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ตอนที่ 38
--------------------
ผลของกรรม เกิดจากกรรม ที่ทำก่อ
ไม่เคยรอ รั้งท่า อย่าฝ่าฝืน
เป็นไปตาม ความนั้น มันหวนคืน
ถึงแม้หลับ ลืมตาตื่น ยื่นชะตา

คงได้แต่ ก้มหน้า ยอมรับผล
ต้องอดทน ยืนสู้ เต็มสองขา
รอเวลา หมดกรรม ที่ทำมา
ถึงวันนั้น จึงเงยหน้า หาโชคดี

--เราจะไม่ซ้ำเติมใคร--
ปล่อยให้เวรกรรมได้ทำงานอย่างเต็มที่
หุหุ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ขอให้โชคดี..หาอินให้เจอนะโฟล์ค
ไปให้ถึงปลายทางของทั้งสองคน

Good luck!
 :L2:

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 40 Assembly
“วินจะไม่เข้าไปเหรอ” โฟล์คร้องถามเมื่อลงมาจากรถแท็กซี่แล้ว
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าคับ... ผมจะไปทอร์ควิลแล้ว” วินว่า “ทุกคนน่าจะอยู่ข้างใน”
“แล้วเอ่อ...” โฟล์คหันซ้ายหันขวาพลางมองเข้าไปในร้านอย่างตกประหม่า
“ไม่ต้องกังวลคับพี่ ร้านเกล็ดหิมะจะช่วยพี่” วินยิ้มให้ “โชคดีคับ”
รถแท็กซี่ของวินจากไป ทิ้งไว้เพียงความงงงันขณะที่โฟล์คมองไปยังร้านอาหารตรงหน้า กับป้ายร้านที่เขียนว่า flocon de narge โฟล์คถอนหาใจให้กับตัวเองครั้งหนึ่ง
เขาไม่มีอะไรจะต้องคิดอีกแล้ว ในเมื่อนี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย
เขาเปิดประตูร้านเข้าไปพลางหิ้วกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้วย ก็พบกับพนักงานที่กำลังเก็บร้าน สภาพของโต๊ะแต่ละตัวเหมือนกับว่ามันเพิ่งผ่านงานปาร์ตี้มาไม่นาน มีกลุ่มคนอยู่ประปรายที่กำลังอยู่ที่โต๊ะริมสุดในร้าน โฟล์คมองไปอย่างไม่คุ้นชินกับสิ่งรอบตัว ก่อนที่จะเดินไปตรงไปเจอเข้ากับผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง
“คนไทยหรือเปล่าคะ” เธอกล่าวขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา โฟล์คมองหน้าเธอทันที
“คับ สวัสดีคับ” โฟล์คหันไปตอบอย่างอัตโนมัติ
“ว่าแล้วเชียว บิล กาแฟแก้วนึงจ้ะ” เธอตอบ
“เอ่อ... ไม่ต้องก็ได้คับ ผมแค่เอ่อ...”
“ที่นี่จะเสิร์ฟกาแฟให้คนไทยทุกคนที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรก และกล่าวสวัสดีจ้ะ” เธอพูดต่อทันที “ขอต้อนรับสู่เกล็ดหิมะนะคะ มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
“โอ้... ขอบคุณมากเลยคับ” โฟล์ครู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว “เอ่อ...ผม มาหาเอ่อ...คนไทยคับ คือเอ่อ...มีคนแนะนำให้ผมมานี่ แล้ว ผมจะเริ่มต้นได้ที่นี่ แบบว่า เขาบอกว่าเธออยู่ที่นี่...แต่ถ้าไม่รู้จักก็ไม่เป็นไรนะคับ ผม...”
“คนไทยที่นี่เราหากันง่ายค่ะ บางทีเราอาจจะช่วยคุณได้นะ” เธอตอบ “คุณตามหาใครเหรอคะ”
“เอ่อ...”
โฟล์คไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ขณะที่เขากำลังคิดทบทวนว่าจะต้องพูดอย่างไร กาแฟแก้วหนึ่งก็วางลงตรงหน้าเขาทันที
“ขอบคุณคับ... เอ่อ... ผม.. กำลังตามหา...ผู้หญิงคับ คือเอ่อ จริงๆผมไม่ได้จะหาเธอ แต่... ถ้าผมเจอเธอ เธออาจจะพาผมไปเจอคนที่ผมหาจริงๆได้” โฟล์คว่า
“ใจเย็นๆค่ะ ค่อยๆคิด” เธอกล่าว “แล้วเอ่อ มีที่พักหรือยังคะ”
“จริงๆก็ มีที่ที่มองไว้คับ เป็นโรงแรมแต่.. ยังไม่ได้เข้าไปเช็คอินเลย” เขาตอบ
“แล้วพอจะรู้ไหมคะว่า เธอทำอาชีพอะไร มาอยู่ปารีสนานหรือยัง มีข้อมูลไหมคะ” หญิงคนนั้นถามต่อ
“เอ่อคับ.... เธอชื่อเจนคับ แล้ว..”
“เห...คงไม่ใช่แฟนไอนะ”
เสียงกวนๆของหนุ่มคนนึงดังขึ้นจากโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะที่เขาเดินตรงมาที่บาร์
“จีโอ... อาจจะไม่ใช่ก็ได้” เธอหันไปพูด
“ที่นี่มีเจนอยู่ไม่กี่คนหรอกค้าบมาดาม” จีโอมานั่งลงข้างๆเธอ ก่อนจะหันมาหาโฟล์ค “บอกผมสิ ว่ายูไม่ได้หาเจน ที่เป็นสไตลิส ทำงานแฟชั่น แล้วก็กำลังยุ่งๆอยู่ช่วงนี้ เพราะพรุ่งนี้เธอต้องจัดแสดงงานแฟชั่น”
โฟล์คหันไปมองหนุ่มมาดกวนคนนั้นอย่างเต็มตา
“ครับ...เอ่อ...ใช่คับ...ผมเอ่อ...หาเจนนั้นแหละคับ” โฟล์คตอบ “พอดี เด็กคนนึง บอกว่าเธออยู่นี่ เขาเลยมาส่งผมที่นี่ ก่อนจะไปบ้านแถวทอร์ควิล”
“หะ...” หญิงสาวคนนั้นหันมาหาโฟล์คทันที
“คับ... เค้าชื่อวิน”
“อ้าว...” เธอร้องเสียงดัง
“ว้าว” ชายหนุ่มมาดกวนคนนั้นร้องตาม “วันนี้วันรวมญาติซะแล้วคับมาดาม”
“เจ้าวินกลับมาแล้วเหรอเนี่ย โอ๊ยย แล้วเค้าไม่เข้ามาทักทายเจ๊หน่อยเหรอ” เธอหันไปชะเง้อมองหน้าร้าน
“ก็เค้าบอกอยู่นะมาดาม วินเค้าคงรีบกลับไปหาเคลวินแหละ” จีโอพูด “เห้อ ถึงเวลาซะทีนะ สองคนนั้น”
“เอ่อ...เดี๋ยวนะคับ แล้วเอ่อ... เจนเค้า...อยู่ไหนเหรอคับ อยู่นี่ใช่มั้ย” โฟล์คร้องถามต่อ
“ยูมาช้าไปแปปเดียว เจนเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้ เอาภาพที่ออฟฟิศไปที่จัดงาน” จีโอว่า
“งั้น ผมไปหาเธอที่นั่นดีกว่าคับ ยังไงขอบคุณมากนะคับ” โฟล์คว่า
“เดี๋ยวๆๆๆๆ จะไปไหน” ชายคนที่ชื่อจีโอคว้าแขนไว้ “มีธุระอะไรกับแฟนผมเหรอ”
“นี่จีโอ ปล่อยเค้าเลยนะ” เธอตีมือของจีโอทันที “เค้ามาหาเพื่อนของเจน ก็เลยจะหาเจนเค้าก่อน ใช่มั้ยคะ”
“คับ... เธอรู้จักเค้า เค้าทำงานกับเธอ” โฟล์คตอบ
“เห... ใครอ่อ” จีโอร้องถาม
“อินคับ... เขาชื่ออิน” โฟล์คตอบ แต่จีโอก็ทำหน้างงๆ
“อิน... จำไม่ได้ว่าที่ซูเม่มีคนชื่อนี้ หรือมีหว่า” จีโอส่งเสียงสงสัย และทำเอาโฟล์คใจหล่นตุ๊บอีกครั้ง
“ก็เดี๋ยวให้เค้าอยู่รอถามกันเองดีกว่า” เธอว่า “งั้นก็อยู่นี่ค่ะ พักที่นี่ก็ได้นะคะ ข้างบนเป็นห้องพัก เดี๋ยวให้บิลจัดการให้”
“เอ่อ...อย่าเลยคับ รบกวนป่าวๆ ผมพักโรงแรมได้” โฟล์คว่า
“เห้ ไม่ต้องซีเรียสน่า เจ้าวินให้มานี่ ก็แสดงว่านายควรอยู่นี่ ทุกคนที่รู้จักเจน ยังไงก็ต้องมานี่” จีโอยิ้มให้ “ที่นี่เป็น...บ้านของทุกคน เราเป็นครอบครัว”
“น่ารักมากพ่อหนุ่ม” เธอหันไปบีบไหล่จีโอก่อนจะยิ้มกว้าง “ยินดีต้อนรับสู่เกล็ดหิมะนะคะ เรียกพี่เจ๊ใหญ่ก็ได้จ้ะ”
“เอ่อคับ...ผมโฟล์คคับ เป็นเพื่อนเจน แล้วก็เอ่อ เพื่อนกายกับมิก ไม่รู้พวกคุณ...”
“อ้อ...ไอ้หล่อตัวกวน แฟนเก่าเจน” จีโอว่าต่อพลางเหล่ตามองโฟล์ค “งั้นนายอยู่นี่แหละ ผมมีเรื่องอยากรู้เกี่ยวกับแฟนเก่าของเจนเยอะเลย ถามเท่าไหร่ก็ไม่เคยตอบ คืนนี้ผมก็นอนนี่แหละ อยู่ดื่มด้วยกันเหอะ นะนาย”
“เอ่อ...” โฟล์คออกจะงงๆ กับสิ่งตรงหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ
“ไม่ต้องห่วงน่า เพื่อนเจน เพื่อนกาย ก็เหมือนเพื่อนเราคับผม” จีโอยิ้มให้
“แล้วเราจะช่วยหนุ่มหาคนคนนั้นเองจ้ะ คืนนี้พักให้สบายที่นี่เถอะนะ ให้ทางเจนเค้าจัดงานให้เรียบร้อยไป วันนี้ทุกคนยุ่งๆจ้ะ” เจ๊ใหญ่บอก “แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายนะ เจ๊คิดถูกกว่าโรงแรมแน่นอน”
“งั้น... เอางั้นก็ได้คับ” โฟล์คยิ้มตอบเธอ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ขณะที่เจ๊ใหญ่ส่งซิกให้บิลมาหยิบกระเป๋าของโฟล์คไป ขณะที่จีโอยักคิ้วให้พลางเอาขวดเบียร์มาชนกับแก้วกาแฟของเขา ทำเอาโฟล์คหัวเราะเบาๆ
เอาล่ะ เจ้าเด็กวินทำให้เขารู้สึกได้เลยว่า เมืองนี้มีความอบอุ่นรายล้อมอยู่รอบตัวของพวกเขา เหมือนว่าการเดินทางของภาพวาด Loveless Society แฟนของไอ้กาย จะทำให้เขาเจอคนที่ประหลาดอยู่รายล้อมมัน มันอย่างนั้นแหละ
บางทีอินอาจจะเป็นอีกคนที่จะโดนแรงดึงดูดนั้นกลับมาหาเขาที่ปารีสเหมือนกันไหมนะ
“อย่ากังวลไปนาย ทุกคนกลับมาที่นี่เสมอ” จีโอยิ้มให้ “พักให้สบายที่นี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมพาไปงาน”
“คับ... ขอบคุณคับ”
...................
เสียงชัตเตอร์กัดรัวไปมาขณะที่เช็ทแฟชั่นโชว์ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลดำเนินไป เจนจิรานั่งอยู่แถวหน้าสุดริมแคทวอร์ค เฝ้ามองนางแบบของเธอแต่ละคนอวดเสื้อผ้าที่ประณีตบรรจงของแบรนด์ออกสู่สายตาผู้ร่วมงาน Paris Fashion Week เธอและพี่สุเมธนั่งมองความสำเร็จของตัวเองอย่างมีความสุข หลังจากเวลายี่สิบนาทีของโชว์สิ้นสุดลงเสียงปรบมือดังกึดก้อง แสงแฟลชสาดกระจายไปยังเบลล่าที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่านางแบบ โดยมีภาพ Loveless Society ตั้งอยู่กลางเวทีเป็นฉากหลัง นัทส่งภาพมาให้เธอได้ทันเวลา และทำให้งานแสดงของซูเม่ ตามความตั้งใจดั้งเดิมของเธอเป็นไปอย่างสมบูรณ์ งานศิลปะและแฟชั่นเดินทางไปพร้อมกัน เธอและพี่สุเมธลุกขึ้นปรบมือให้กับความสำเร็จของตัวเองชิ้นนี้
After Party หลังเวทีเป็นไปย่างวุ่นวาย เหล่าช่างภาพ ด๊ไซน์เนอร์ นักเขียน นางแบบ เดินไปมาให้ควักอยู่หลังเวทีที่ถูกเซ็ทเป็น After Party อย่างมีสไตล์ทำให้ดูเหมือนทุกๆคนได้เข้ามาสัมผัสการทำงานของซูเม่จริงๆ สุเมธจับมือทักทายกับสไตลิสจากทั่วทุกแบรนด์ในโลก ขณะที่เจนจิราเหนื่อยกับการแบกร่างของตัวเองเอาไว้บนส้นสูง และการฉีกยิ้มบนเมคอัพเต็มทนแล้ว จึงปลีกตัวเองมานั่งลงที่เก้าอี้มุมหนึ่งเพื่อนวดน่องของตัวเองอย่างโอดโอย แฟนตัวดีของเธอจึงปรีเข้ามาหาเธอทันที
“จะกลับหรือยังครับเจ้าหญิง” จีโอพูดขึ้นเสียงหวาน เจนจิราอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าเขา
“เจ้าหญิงยังกลับตอนนี้ไม่ได้ ยังมีราชทูตจากอีกหลายแบรนด์ที่ต้องเข้าเฝ้า” เจนพูดติดตลก “พระเจ้าหลุยห์ วิคตองค์พระองค์นั้นด้วย”
เจนชี้ไปยังเอเจนซี่จากหลุยห์ที่แวะมาชมแฟชั่นโชว์ในงานนี้ จีโอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลับมาช่วยเธอนวดเท้า
“ผมไม่นึกเลยว่าคุณทำทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว” จีโอว่า “ผมแบบ ไม่เห็นโลกด้านนี้เลยอ่ะ มาปารีสก็บ่อยแต่ไม่เคยมาแฟชั่นวีคเลยอ่ะ”
“งั้นคุณก็ไม่รู้จักเมืองนี้เลยน่ะสิ” เจนว่า “นี่เบาแล้วค่ะ เมื่อก่อน เจนต้องขึ้นไปฟินาเล่เองด้วยซ้ำ หนักกว่านี้อีกเยอะค่ะ”
จีโอลุกขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เธอ
“แล้วจุมพิตจากเจ้าชายจะช่วยให้หายเหนื่อยได้มั้ยนะ” จีโอว่า เจนขำเบาๆ
“ขอเป็นพันช์เย็นๆซักแก้วจะดีกว่านะ” เจนตอบพลางชำเลืองไปยังคอกเทลล์บาร์ที่เธอหมดปัญญาจะหอบร่างเดินไปเอง
“งั้นรอแปป” จีโอว่า “คงต้องฝ่าฝูงคนเข้าไปน่ะ”
“สู้ๆค่ะ” เจนยิ้มให้จีโอก่อนที่เขาจะหายเข้าไปกลุ่มผู้คนที่เดินไปเดินมาในงาน เจนกลับมานวดขาต่ออีกหน่อย เพื่อบรรเทาอาการเกร็งของส้วนสูง
“แหม..... แม่มดเจนจิรา สิ้นลายแล้วเป็นแบบนี้นี่เองเหรอยะ” เสียงอันคุ้นหูที่ปลุกสัญชาติญาณความแกร่งของเจนให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เจนเหลือกตาขึ้นด้วยความเหยื่อยหน่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันไปประจันหน้ากับเจ้าของเสียง ที่ยืนมองเธออยู่พักนึงแล้ว
“มันก็ไม่ได้ต่างกันซะเท่าไหร่หรอกจริงมั้ย” เจนว่ากลับ “คุณสา...”
ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักนึงก่อนนะกรีดร้องใส่กัน
“เซอร์ไพร์ส!” สากระโจนเข้าหาเจนขณะที่เธอยิ้มกว้างอยู่ในวงแขนของไม้เบื่อไม้เมาของเธอคนนี้ เจนได้รับข่าวมาเดือนกว่าๆแล้วว่าสากำลังมีโปรเจ็คถ่ายงานแถบชานเมืองปารีสอยู่ แต่ก็ไม่มีโอกาสเจอกันซักที
“นึกว่าจะไม่เจอซะแล้วคุณสา” เจนว่า
“จะบ้าเหรอหล่อน ความสำเร็จหล่อนทั้งที ไม่มาได้ยังไงยะ เผื่อหล่อนเดินตกส้นสูง ฉันจะได้เป็นคนแรกที่หัวเราะทัน” สาว่า เจนส่ายหน้าใส่เธอทันทีก่อนจะหัวเราะ
“แล้วทานอะไรหรือยังอ่ะ คืนนี้พักที่ไหน” เจนถามขึ้น
“เรียบร้อยหมดแล้ว คนนี้เค้าจัดการให้” สาเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่ยืนซ้อนหลังเธออยู่ ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่ได้เจอมากว่าสี่เดือนแล้ว ตั้งแต่เขาเข้ามาในห้องเธอพร้อมกับวีนใส่เธอเป็นชุดแล้วทิ้งเพียงจดหมายลาออกเอาไว้ให้
มิก...
“เห้...... คุณกลับมา” เจนกล่าวเบาๆ ขณะที่มิกเดินเข้ามาหาเธอ
“อย่านะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาหาคุณซะทีเดียวหรอก” มิกว่า สาหันมายิบตาให้เธอเพื่อเป็นการส่งซิก
“อ่าหะ” เจนว่า “ก็มีไม่กี่เรื่องหรอก ที่จะลากคุณออกจากถ้ำได้น่ะ”
มิกหัวเราะเบาๆพลางเกาหัวตัวเอง
“ผมเอ่อ....อยากจะขอโทษ” มิกว่า “เรื่องที่ผมพูดกับคุณวันนั้น ผมคิดว่าผมเรียนรู้แล้วว่าที่จริง คุณเองก็ทำเพื่อคนผมมาตลอดเหมือนกัน เพียงแต่ มันเป็นรูปแบบที่ผมไม่เข้าใจ”
“ไม่ใช่รูปแบบที่คุณคาดหวังน่ะสิ” เจนจิราว่า “แต่เดี๋ยวนะ.... คุณเป็นคนเอา Loveless Society มาเหรอ แล้วทำไมฉันไม่เจอคุณที่แอร์พอร์ทเมื่อวานล่ะ”
“เค้ามาหาฉันไงยะ” สาพูดขึ้น
“อ้อ....” เจนว่า “ขอบคุณมากนะมิก ไม่อย่างนั้น งานวันนี้แย่แน่เลย”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เธอเชื่อใจคนอื่นเป็น” สาหันมาพูดกับเจน “เธอไม่เหมือนกับยัยตัวร้ายที่ฉันเคยรู้จัก”
“ฉันก็ยังร้ายอยู่นะคุณสา จะว่าไปแล้ว” เจนตอบ
“อ้อข้อนั้นฉันเชื่อ เชื่อสนิทใจเลยย่ะ” สาว่าพลางหัวเราะเสียงดัง จีโอเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วให้กับเจนทันที
“ขอบคุณค่ะ” เจนว่า
“อ้าว พวกคุณ” จีโอพูด “ยินดีต้อนรับครับผม”
สาและมิกมองหน้ากันอย่างรู้ดี พลางเหล่ไปทางเจนจิราเป็นนัยๆ
“หยุดเลย ไม่ต้องแซวเลย” เจนพูดเสียงแข็งก่อนจะรับพันช์มาดื่ม
 “เออเจน เซลม่าอยู่ไหน ฉันอยากได้เธอไปเป็นแบบอ่ะ อยากคุยกับเธอหน่อย” สากล่าว
 “อ้อ...อืมมม” เจนมองไปรอบๆงาน “นั่นไง ตรงนั้น....... คุยได้เลย แต่ระวังหน่อยนะ ยัยนี่เรื่องเยอะน่าดูเลย”
 “โอ๊ยยย ฉันผ่านเธอมาได้ ที่เหลือเด็กๆย่ะ พูดเลย” สาส่งสายตาค้อนเจนไปแว้บนึง
 “ค่ะ แม่คนเก่ง จีโอคะ รบกวนพาคุณสาไหาเซลม่าหน่อย ปล่อยไปเอง เจนว่าเดี๋ยวโดนคนเหยียบตายแน่นอน คุณนำเธอไปหน่อยนะ” เจนว่า
 “ด้วยความยินดีค้าบบบบ” จีโอนำสาเดินไปหาเซลม่าที่มุมหนึ่งของงานขณะที่เจนนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม มิกจึงนั่งลงข้างๆ
 “ขอโทษนะที่ทิ้งงานไป ผมเอ่อ...งี่เง่าเอง” มิกพูดขึ้น เจนส่งเสียงในลำคอครั้งนึง
 “ช่างมันเถอะค่ะ เจนเข้าใจ บางทีคนเราก็อยากได้เวลาไปพัก” เจนว่า “เจนไม่ได้อนุมัติการลาออกของคุณนะ ถ้าคุณอยากจะกลับมาทำงาน เจนก็ยินดี”
 “กายก็บอกผมอย่างนั้น” มิกว่า “แต่ผมอยากสะสางเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
 “เรื่องเอิร์ธ...ใช่มั้ย” เจนพูด มิกก้มหน้าลงเบาๆ
 “คุณคิดว่า ผมจะดูแลเค้าได้มั้ย ผมกลัวว่า ผมจะไม่ดีพอ ไม่เจ๋งพอสำหรับเค้า เค้าเคยคิดว่าเค้าวิ่งตามผม แต่จริงๆแล้วผมต่างหากที่กำลังวิ่งตามเค้า” มิกว่า “ผมไม่รู้ว่าผมจะวิ่งตามเค้าทันมั้ย”
 เจนหันมามองหน้ามิก
 “กายเคยบอกฉันว่า เมืองนี้น่ะมันแปลกประหลาด คนที่จะไว้ใจกันได้มันมีแค่พวกเรากันเองเท่านั้น” เจนพูด “สิ่งที่กายพูดหมายความว่า ที่นี่เรามีคนไทยอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการเรา ยังไงซะเรื่องมันก็ต้องวนกันเอง”
 “หมายความว่าไง” มิกถาม
 “หมายความว่า คุณวิ่งไล่จับกันในเมืองที่มันไม่ได้กว้างเลยค่ะ” เจนตอบ “เอิร์ธไม่ได้วิ่งไปไหน คุณก็เหมือนกัน คุณสองคนแค่ ไม่ได้ให้เวลากับกันและกัน แล้วก็ชอบห่างกันบ่อยๆ เจนว่าถ้าลองคุกันดีดี ถอยให้กันบ้าง ก็น่าจะโอเค”
 “ให้ตายเหอะ ผมกำลังโดนแม่มดร่ายมนต์ใส่อีกแล้ว” มิกพูด
 “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณละกัน เจนไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าแฟนให้ใครค่ะ” เจนตอบ
 “ขอบคุณมากนะเจน สำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่มาที่เมืองนี้อ่ะ” มิกพูด “ขอบคุณมากจริงๆ”
 เจนยิ้มให้มิกครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
 “ฉันมีงานอย่างนึงให้คุณทำ” เจนพูดเสียงชัดเจน มิกเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที
“อะไรอ่ะ” มิกว่า
“เมื่อวาน เอิร์ธส่งอาร์ทบุ๊ตมาให้เจนตรวจ จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรต้องแก้แล้วล่ะ เพราะถ้ามันต้องแก้ ก็ต้องมีการส่งกลับไปอังกฤษกันอีกรอบซึ่งเจนก็ไม่มีเวลา” เจนยิ้มกว้าง “แต่...ถ้าคุณอยากให้เจนแก้ แล้วจะลำบากทำตัวเป็นคนส่งของ ส่งเล่มกลับไปแก้ที่อังกฤษอีกรอบ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”
     มิกมองหน้าเธอพลางอมยิ้มก่อนจะมองหน้าไปทางอื่น
     “แล้วเอ่อ....อ่ะฮึ่ม” มิกกระแอมในคอ “อาร์ทบุ๊คอยู่ไหนล่ะ”
     เจนยิ้มกว้างให้กับมิก เป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอมาที่นี่ ที่เธอรู้สึกว่าเมืองนี้เธอได้ไว้ใจมิกอย่างเต็มหัวใจแล้ว เธอนึกขอบคุณกายอยู่ในใจ และแอบหวังเล็กๆว่า มิกน่าจะลงเอยกับเอิร์ธอย่างมีความสุขได้ไม่ยากนัก
     เธอหวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
    “อยู่ที่ออฟฟิศค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจนเข้าไปเอาให้” เจนยิ้มตอบ ”ว่าแต่ คุณได้ของจากกายหรือยัง”
    “ของ...ของอะไรคับ” มิกร้องถาม
    “ก็เอกสาร บางอย่าง...” เจนว่าพลางขยิบตาให้
    “เอกสารเหรอ” มิกทบทวนก่อนจะจำได้ว่า นัทยื่นซองน้ำตาลให้กับเขาที่แอร์พอร์ท ก่อนที่เขาจะบินมาปารีส “อ๋อ.. จำได้ละ แต่ผมยังไม่ได้เปิดเลย”
    “เปิดอ่านดูค่ะ แล้วดูว่า คุณโอเคมั้ย บางทีมันอาจจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น” เจนยิ้มให้มิก ขณะที่เขายิ้มตอบเธอ สำหรับเขาตอนนี้ เจนไม่ใช่แม่มดร้ายสำหรับเขาอีกแล้ว
    มิกมองเห็นจีโอเดินมาพร้อมกับโฟล์คท่ามกลางฝูงคนในงาน
    “เอ้อ… เจน มีคนนึงเค้าอยากเจอคุณนะ” มิกว่า
    “เห… อ๋อ ใช่ จีโอข้อความมาบอกเมื่อเช้า ว่าถ้าเลิกงาน มีคนมาหาเจนจากไทย” เจนว่า “เขามากะคุณเหรอ”
    “ใช่ แล้วเค้ามาโน่นแล้ว” มิกชี้ไปยังทางที่จีโอเดินมา
    เจนมองเห็นโฟล์คเดินเข้ามาและนั่นทำให้เธอถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง ผู้ชายตรงหน้า คือคนที่เธอเกือบลืมไปจากความทรงจำแล้วด้วยซ้ำ
    “หวัดดีเจน” โฟล์คส่งเสียงเรียก
    “เห้… เอ่อ...คุณ...เดี๋ยวนะ” เจนคิดทบทวน “โฟล์ค...ใช่มั้ย เพื่อนกาย แล้วก็เพื่อนอิน…”
    “ใช่คับ… ผมเอ่อ…” โฟล์คมองหน้าเธอพลางพูดอะไรไม่ออก แต่มิกก็ส่งสัญญาณเพื่อให้โฟล์คพูดออกไปด้วยความกล้า “เอ่อ… ผมมาตามหาอิน”
    และแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง หลงเหลือเพียงเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนรอบๆงาน
    “เจนเสียใจด้วยค่ะโฟล์ค อินไม่ได้มางานวันนี้” เจนพูด “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
    คำพูดของเธอ ทำให้โฟล์คยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
……...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2020 20:31:05 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
พยายามเข้านะโฟล์ค
สู้..สู้ว้อยยยยยยยย

มีความตั้งใจดีนี่นาย
เชียร์แล้วนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 41 Pérignon or Paris

“แล้วโฟล์ค ก็เลยตัดสินใจมาที่นี่น่ะเหรอ” เจนพูดที่ร้านเกล็ดหิมะ หลังจากที่ทุกๆคนจบงานแฟชั่นโชว์เมื่อวาน และวันนี้เธอก็ยังใช้ร้านเกล็ดหิมะ เป็นที่ประชุมสรุปงาน บวกกับจัดเลี้ยงขอบคุณทุกคนกันต่ออีกวัน โฟล์คนั่งคุยกับเธออยู่ที่เคาท์เตอร์กาแฟ ขณะที่คนอื่นๆกำลังนั่งทานอาหารและพูดคุยกัน โฟล์คตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังตามคำแนะนำของมิก
“คับ จริงๆ...กายส่งผมมาแทนแฟนเค้า” โฟล์คว่า “แล้วผมก็…”
“อินไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ” เจนพูดต่อ “เจนไม่ได้เจอเค้าปีนึงได้แล้ว”
“ปีนึง เลยเหรอคับ” โฟล์คว่า “แต่ เจนทำงานกะมันไม่ใช่เหรอ มันมาอยู่ที่นี่ได้เพราะเจนช่วยนี่ กายบอกผม”
“ค่ะ...ใช่ เจนเป็นคนหางาน จัดการเรื่องเอกสาร ที่พักชั่วคราว ทุกๆอย่าง” เจนพูด “อินมาอยู่ที่นี่คนเดียวหนึ่งปี ก่อนที่เจน พี่สุเมธ และทัพดีไซน์เนอร์ที่กายรวบรวมไว้ จะทยอยตามกันมาหมด แต่พี่สุเมธเค้าจะชอบส่งอินไปที่อื่น ล่วงหน้าเสมอ”
“ไปไหนคับ” โฟล์คถาม
เจนยักไหล่ พลางส่ายหน้า
“ทุกที่ค่ะ” เจนตอบ “พี่สุเมธต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับยุโรป ทุกๆอย่าง ไม่ใช่แค่ธุรกิจหรือแฟชั่น แต่คือมุมมอง เมือง ศิลปะ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต ไลฟ์สไตล์ ทุกๆอย่าง พี่เมธต้องการรายงานจากอิน ผ่านมุมมองของเขา”
“เจ้านายเจนส่งอินตะลอนไปทั่วยุโรปคนเดียวน่ะเหรอ” โฟล์คร้องถาม
“ก็...ตามเมืองใหญ่เป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ปัจจัยจะเอื้ออ่ะค่ะ” เจนว่า “ก็ตามค่าใช้จ่ายที่มี บวกกับโคสตูดิโอที่เรามีเส้นสายกับเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นปารีส เบอร์ลิน ลอนดอน”
เสียงเฮฮาดังมาจากมุมโต๊ะ จีโอแฟนของเจนกำลังชนแก้วกับน้องๆในทีมของเธอ ทั้งคู่หันไปมองอยู่แว้บหนึ่ง
“มันไม่มาฉลองงานนี้กับเจนเหรอ” โฟล์คว่า “งานใหญ่ ความสำเร็จของเจ้านายเจนเลยไม่ใช่เหรอ”
“อินไม่ได้ทำแฟชั่นค่ะ อินทำอะไรที่ลึกกว่านั้น” เจนตอบ “เจนทำตรงนี้เพราะมันทำเงิน แต่เราทำมากกว่าแฟชั่น เราทำศิลปะด้วย ขณะที่กายถ่ายแบบ และอะไรที่จับต้องได้ แต่อินเค้า…”
“มองในมุมที่คนอื่นไม่เห็น” โฟล์คพูดต่อ เจนยิ้มให้ตามคำพูดของเขา
มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะคนที่ทำให้อินเห็นมุมมองนั้นคนแรกคือเขาเอง ในวันที่เขาพาอินไปถ่ายรูปที่บาร์ดาดฟ้าหลังโรงเรียนเลิก เหตุการณ์ที่แทบจะเลือนหายไปจากความทรงจำแล้ว
“จริงๆ ถ้าโฟล์คอยากพบเค้า ทำไมไม่ให้เจน หรือพี่เมธเรียกเค้ามาให้ล่ะ จริงๆเขาก็มาได้นะคะ” เจนว่า “เมื่อวานเจนก็จะโทรให้แล้วอ่ะ แต่โฟล์คก็…”
“ผมกลัวว่าถ้าเค้ารู้ว่าผมมา แล้วเค้าจะไม่มา” โฟล์คว่า “เพราะจริงๆแล้ว… ผมเป็นต้นเหตุ ให้ชีวิตเค้ามาจบลงที่นี่ ให้เค้าหลุดออกจากทุกคนไปแต่แรก”
เจนถอนหายใจ พลางเงียบเสียงลง
“ผมไม่แน่ใจว่า… เค้าอยากเจอผมไหม” โฟล์คว่า “ผมอยากเป็นฝ่ายไปหาเค้า แล้ว….”
กริ๊ง!
เสียงเปิดประตูร้านดังขึ้น โฟล์คและเจนมองออกไปก็พบกับชายหนุ่มลูกครึ่งคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
“หวัดดีคับเจน” เขากล่าวทักทายเธอ
“อ้อ คุณเคลวิน” เจนโผเข้ากอดทักทายเค้าทันที “ขอบคุณที่มาค่ะ”
“เมื่อวานผมขอโทษนะที่ไม่ได้ไปที่งานอ่ะ” เคลวินตอบเธอเสียงสุภาพ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณไป คือหัวหมุนแน่ เจนเอาอยู่ค่ะ” เธอยิ้มกว้าง “ว่าแต่ มีธุระด่วนเหรอคะ”
“ก็… ไม่เชิงคับ”
กริ๊ง!
เสียงประตูร้านดังขึ้นอีกรอบ และคราวนี้เป็นวินที่เดินเข้ามาในร้านแทน
“หวัดดีคับพี่เจน” วินยิ้มให้เธอ
“คุณวิน” เธอร้อง พลางมองหน้าเคลวิน เขาโอบกอดวินไว้ก่อนจะยิ้มให้เจน “โอ้… อย่างนี้นี่เอง”
“ผมขอโทษคับที่ไม่ได้แวะไปเจอที่งาน” วินว่า “ผมอยากให้มันเป็นงานของพี่จริงๆ”
เจนยิ้มให้กับวิน
“ไม่นึกว่าคุณจะกลับมา” เธอกล่าว “เจนได้ข่าวคุณแม่ เสียใจด้วยนะ”
“คับผม… ตอนนี้ ผมกลับมาแล้วคับ” วินยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปหาเคลวิน “ผมกลับมาอยู่บ้านแล้ว”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนจะหันกลับมาหาเจน
“ขอต้อนรับกลับปารีสจ้ะ” เธอว่า
“คับผม แล้วเรื่องงาน…” วินร้องถาม
“วันนี้ยังไม่คุยงานนะ พอก่อน พัก” เจนว่าพลางหัวเราะ “ไปหาไรทานไป เดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“คับผม...อ่าวพี่โฟล์คหวัดดีคับ” วินโบกมือให้กับโฟล์คที่ยิ้มให้ เจนหันไปมองอย่างงงๆ ก่อนจะหันมาหาวิน
“เจอกันแล้วคับ ที่แอร์พอร์ต” วินว่า “งั้นขอตัวนะคับ”
“ไว้เจอกันคับผม” เคลวินเดินโอบตัววินไปยังมุมอาหาร และเจ๊ใหญ่ที่เห็นตัววิน เธอก็ส่งเสียงร้อง และโผเข้ากอดเขาอย่างเฮฮาอยู่ตรงนั้น รวมถึงจีโอที่ส่งขวดแชมเปญให้กับเคลวินและเริ่มต้นสังสรรค์เฮฮากัน เจนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่โฟล์คได้แต่ถอนหายใจ เธอจึงกลับมานั่งลงข้างๆเขาอีกครั้ง
“เขาเป็นเด็กน่ารักนะคับ น้องคนนั้น” โฟล์คชี้ไป “เขาเป็นคนแนะนำให้ผมมาที่นี่”
“วินน่ะเหรอคะ อ๋อ...ก็...โชคดีที่โฟล์คจอเขาในเวอร์ชั่นนี้” เจนว่า “ก่อนหน้านี้เขาแสบมากแล้วเอ่อ… เกิดเรื่องขึ้นที่นี่ด้วย กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทำเอาเราเกือบตาย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคับ” โฟล์คว่า
“ค่ะ… เมื่อสี่เดือนก่อน มีการสับเปลี่ยนโครงสร้างในบริษัท ก็เพิ่งจะมานิ่งเมื่อไม่นานนี้เอง” เจนว่า “แต่ พอเขาทั้งคู่ ทั้งเคลวินและวิน เข้ามาช่วยเจน ทุกอย่างก็เลยเรียบร้อย เค้าทั้งคู่เป็น คู่รักที่น่ารักค่ะ”
โฟล์คมองไปยังเคลวินและวิน ที่นั่งพิงไหล่กันอยู่ที่โต๊ะนั้น พลางคิดทบทวนถึงเรื่องราวของเขาและอิน
มันจะสามารถจบลงได้ดีเหมือนคนอื่นๆหรือเปล่า
“อินมันโดนอะไรไปกับเค้าด้วยไหมคับ” โฟล์คว่า
“ถือเป็นโชคดีที่เค้าไม่อยู่นี่ ไม่งั้นทุกอย่างอาจจะวุ่นกว่านี้” เจนว่า “อินเค้ามี… ความสามารถพิเศษในการเอาตัวเองออกจากเรื่องน่าอึดอัดได้ตลอดค่ะ”
“ใช่คับ… ผมเลยต้องตามหาเขาอยู่นี่” โฟล์คตอบพลางถอนหายใจ “เพราะ...ผมกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดสำหรับเขา และเป็นมาตลอด”
และก็เงียบกันไปพักนึง
“เจนจะดูให้นะ ว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง” เจนพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “เจนจะโทรหาเขา หรือไม่อาจจะลองคุยกับพี่เมธดูว่า จะเรียกตัวอินกลับมาเรื่องอะไรได้บ้างไหม โฟล์คอยู่ปารีสได้ถึงเมื่อไหร่คะ ไฟล์ทกลับไทยวันไหน”
“เอ่อ… ผมไม่มีเที่ยวกลับคับ” โฟล์คตอบเสียงเรียบ “ผมจะไม่หยุดตามหาเขา จนกว่าจะเจอ”
เจนยิ้มให้กับโฟล์คทันที
“โอเคค่ะ...เจนจะลองดู” เธอกล่าวก่อนจะหันไปหาพนักงานในร้าน “แพริออนค่ะ”
พนักงานหยิบขวดแชมเปญและเทลงแก้วสองใบ ก่อนที่เจนจะรับมันมาให้เขา
“ให้การเดินทางของคุณค่ะ” เจนพูดพลางยกแก้วให้กับโฟล์ค เขายิ้มให้กับเธอและชนแก้วทันที
…………
มิกนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่ซูเม่ในวันต่อมา ขณะที่เขาค่อยๆจัดข้าวของของตัวเองลงกับโต๊ะอีกครั้ง การกลับมาทำงานที่นี่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองขาดเสี้ยวอะไรบางอย่างในชีวิตไป
ล้วงหยิบกระเป๋าเพื่อจัดวางสีโคปิค และทุกๆอย่างลงตรงหน้า ก่อนจะค้นพบกับซองน้ำตาลซองหนึ่งที่นัทยื่นให้กับเขาในวันที่เขาออกเดินทาง เพราะมัวแต่วุ่นๆ เขาเลยไม่ได้เปิดออกซักที ก่อนที่เขาจะค่อยๆแกะมันและเปิดออกอ่าน
เนื้อความในนั้น ทำเอามิกลุกขึ้นยืนพลางหายใจหอบถี่
“บ้าไปแล้ว” มิกพูดพลางเก็บเอกสารนั้นลง พลางรีบวิ่งออกจากห้องทำงานและตรงไปยังห้องของเจนที่อยู่อีกฟากนึงของชั้นทันที
เจนที่กำลังนั่งคุยงานอยู่กับวินในช่วงบ่าย พร้อมกับแบบร่างสเก็ชตรงหน้า หันไปมองเสียงเปิดประตูอย่างร้อนรนของมิกที่เดินเข้ามาในห้อง
“อ้าว มาพอดีเลย นั่งก่อนสิ จะได้คุยเรื่องอาร์ตไดกัน” เจนว่า
“เรื่องนั้นไว้ก่อน เจน นี่หมายความไงอ่ะ” มิกวางเอกสารซองน้ำตาลลงตรงหน้าเธอ
“คะ?” เจนทวนคำ
”ก็เอกสารนี่ไง ที่เธอบอกให้เราอ่าน” มิกว่า “มันหมายความว่าไง”
เจนยิ้มน้อยๆ ขณะวินที่กำลังตกใจกับสิ่งตรงหน้า เด็กหนุ่มชะเง้อมองไปยังเอกสารนั้น พลางอ่านสิ่งที่อยู่ข้างใน
“โห….” วินร้องขึ้น “ว้าว… บ้านหลังนั้นอ่ะเหรอพี่…”
วินพูดพลางหันไปมองมิกทันที มิกที่มองไปหาเจนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ทำไมอ่ะ… คุณน่าจะดีใจนะ” เจนว่าพลางยิ้มให้ แต่มิกยังคงทำหน้าตาตื่น ก่อนจะเอามือลูบหัวตัวเองเบาๆ
“นั่งก่อนพี่” วินเขยิบเก้าอี้ข้างๆตัวเขา พลางลุกขึ้นจับตัวมิกและนั่งลง เจนขำกับสิ่งตรงหน้าเบาๆ
“ผมไม่เข้าใจอ่ะ… มัน ได้เหรอ” มิกว่า
”ได้สิ” เจนตอบ “มันไม่มีใครอยู่ที่นั่นอีกแล้ว ทิ้งไว้มันก็...ปล่าวประโยชน์”
“แล้วกายอ่ะ นัทอ่ะ” มิกร้องถาม
เจนยิ้มเบาๆก่อนจะมองมาที่วิน
“เขาไปแล้ว เขาจะไม่กลับมาอีก” เจนพูดขึ้น และนั่นทำเอามิกมองหน้าเจนอีกครั้ง
“อะไรนะ…” มิกว่า “เป็นไปได้ไง…”
“จริงๆมันก็ไม่ได้ แต่… มันก็เป็นไปแล้ว” เจนพูด “พวกเค้า เลือกแล้ว”
“เห้ย… แล้วทำไมมันไม่บอกเรา” มิกพูด
”เจนเดาว่า เพราะเค้ารู้ว่าคุณไม่ยอมแน่” เจนว่า
“จะยอมได้ไง มันไม่ใช่เรื่องจะให้กันได้ง่ายๆหรือเปล่า” มิกว่า “แล้ว จะดูแลยังไง…”
เจนถอนหายใจ
“กายฝากบอกว่า ถ้ามีอะไรให้ช่วย ก็ให้คุณบอกเจน แต่… ยังไงเค้าตัดสินใจไปแล้ว” เจนพูด “ส่วนเรื่องงาน… เค้าทั้งคู่ จะกลับไปดูแลส่วนของประเทศไทย แล้ว… จะไม่กลับมาอีก”
เงียบกันไปพักนึง ขณะที่วินทำได้แค่หยิบน้ำมารินใส่แก้วและยื่นให้มิก เจนขำเบาๆกับการกระทำนั้น
“พี่เมธอ่ะ” มิกถาม
”ก็...โกรธมาก แต่… มันช่วยไม่ได้ เขาก็ต้องยอมรับตามนั้น” เจนพูด
มิกหลับตาลง พลางคิดทบทวน
“เรามีอย่างละสามเสมอ ไม่เห็นเหรอ” เจนว่า “อาร์ตไดมีสาม พี่เมธ คุณ แล้วก็น้องวิน ซึ่งทั้งสองคนก็อยู่นี่ ช่างภาพก็มีสาม คุณสา กาย แล้วก็อิน ส่วนดีไซน์เนอร์ก็มีสาม เจน นัท แล้วก็…”
“เอิร์ธ” มิกพูดต่อจนจบ
“ทุกสาขา จะต้องมีสามเสมอ” เจนพูดต่อ “คำถามสำคัญที่เราต้องจัดการก็คือ เราจะวางคนให้เหมาะกับงานยังไง ช่างภาพ อาร์ตได ดีไซน์เนอร์ ต้องอยู่ทำงานให้ครบทุกที่ และพอดี”
“นี่เรียกประชุมวันนี้เพราะเรื่องนี้ใช่หรือเปล่า” มิกว่า
“ก็… พี่เมธเพิ่งบินกลับไทยไปเมื่อเช้า” เจนว่า “ส่วนคุณสาและมาร์ค ก็มานี่แล้ว มิกก็คงเห็น”
“แล้ว… มันต้องเป็นยังไง… คือ ควรเป็นยังไง ต่อจากนี้” มิกร้องถาม
“เจนอยู่นี่ และเจนกำลังจะเลือกอาร์ตไดแค่คนเดียว ให้อยู่ที่ปารีส” เจนว่า “มันหมายความว่า ไม่มิกกับวิน คนนึง จะต้องไปช่วยเอิร์ธที่อังกฤษ และนั่นจะทำให้เรามีคนพอดี”
“แต่…” มิกหันไปมองวินที่ทำหน้าเฉยชา “วิน...กับเคลวิน...มัน...”
“ไม่พี่ก็ผม...ต้องเลือก” วินพูดต่อ “ถ้าผมไปอังกฤษ พี่ก็จะอยู่นี่ แต่ไม่ได้อยู่กับได้เอิร์ธ แต่ถ้าพี่อยากให้มันมาอยู่นี่ เพื่อบ้านหลังนั้น ทุกอย่างที่เราวางไว้ ก็จะปรับใหม่หมด ผมพูดถูกไหมพี่เจน”
เจนพยักหน้าทันที
“กายเป็นต้นคิดเรื่องนี้เหรอ” มิกร้องถาม
“กายเค้าแค่เลือกอยู่กับคนรักของเขา แล้ว…”
“แล้วให้เราที่เหลือจัดการกันเองเหรอ” มิกร้อง เจนพยักหน้าเบาๆ
“ให้ตายเหอะ มันจะสร้างเรื่องยันวินาทีสุดท้ายไม่ได้ป่ะวะ” มิกร้อง “แล้วใครจะเป็นคนตัดสินใจอ่ะ”
“จริงๆมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนะ ว่าต้องเป็นคุณอ่ะมิก” เจนว่า พลางหยิบสมุดอาร์ตบุ๊คขึ้นมา และยื่นให้กับมิก “เปิดดูสิ”
มิกมองหน้าเจนงงๆ ก่อนจะหยิบสมุดมาเปิดออก และสิ่งสำคัญมากที่สุด ก็โจมตีใส่เขาเป็นครั้งที่สองในรอบวัน
“เชี่ย” มิกร้องขึ้น
“มันขึ้นอยู่กับคำตอบของเอิร์ธ” เจนว่า “แล้วเค้าจะเป็นคนตัดสินใจแทนเราทั้งหมด”
“เจน…” มิกร้อง ก่อนจะหันไปหาวิน “นายเห็นด้วยเหรอ วิน… มันได้เหรอ”
“มันเหลือแค่พี่กับมันแล้วอ่ะ ที่ยังไม่จบ” วินร้อง “พวกเราเลยคิดว่า… ให้พี่กับมันตัดสินใจ แล้วพวกเราที่เหลือ ก็จะทำตามละกัน”
“เพื่อความสบายใจกันทุกฝ่าย จะได้ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลังอีก” เจนว่า “ถึงได้บอกไงว่า คุณน่าจะดีใจกับเรื่องนี้”
มิกปิดสมุดอาร์ตบุ๊คพลางตั้งสติ ก่อนจะมองเจนอีกครั้ง
“หมายความว่า...ผมต้องไปลอนดอนเหรอ” มิกร้องถาม
“ไม่ต้องคับ” วินพูดขึ้น “มันกำลังจะมาปารีส จะถึงนี่ตอนค่ำ ผมตามมันมาแล้ว”
มิกหันไปมองหน้าวินที่ยิ้มให้ และกลายเป็นว่านาฬิกาที่เดินไปสู่ปลายทางสุดท้าย มันกำลังขึ้นอยู่กับเขา
“แล้ว...โฟล์คกับอินล่ะ จะเอาไง” มิกถามต่อ
“ไม่รู้ค่ะ” เจนว่า “ถ้าเขาสองคนใจตรงกัน มันก็จะจบลงที่นี่ ที่ปารีสนี่แหละ”
มิกมองออกไปยังหน้าต่างห้องทำงานของเจน หอไอเฟลที่อยู่ไกลออกไปท่ามกลางความสดใสของท้องฟ้า
เรื่องราวทุกอย่างของทุกคนที่เกี่ยวกับ Loveless Society จะจบลงที่นี่อย่างนั้นสินะ
“โอเค ได้” มิกพูดเบาๆ “งั้นเรามาเสี่ยงกัน”
…………….
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2020 14:45:21 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ต้องชดใช้ให้กับความโลเล ไม่แน่นอนในอดีตของตัวเอง
อีกมากน้อยซักแค่ไหนกัน คุณหมึกเทา หุหุ

อิน..อย่ายอมกลับมาเจอเค้าง่ายๆนะ
อย่างน้อยก็ต้องให้ทุรนทุราย ตะเกียกตะกายให้แสนสาหัสก่อน

ดัดนิสัยโลเลให้หายอย่างถาวร ค่อยกลับมาพิจารณาอีกที
เอาให้เข็ด 5555

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 42 Birthday Girl

โฟล์คเดินลงมาที่ชั้นล่างของร้านเกล็ดหิมะ บรรยากาศของร้านในค่ำวันนี้ดูไม่แปลกไปจากสองสามวันที่ผ่านมา เขาพบเจ๊ใหญ่และบิลโบกมือทักทายเขาเช่นเคย ลูกค้าเข้ามาทานกาแฟและอาหารบ้างประปราย ขณะที่โฟล์คกำลังจะเดินออกไปจากร้าน เขาก็สังเกตเห็นมิก วินและเคลวินวินนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้าน
“โฟล์ค” มิกร้องเรียกเขา โฟล์คจึงเดินเข้าไปหาและกล่าวทักทาย
“หวัดดีมิก หวัดดีคับ หวัดดีคับ” โฟล์คยิ้มให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“หวัดดีพี่โฟล์ค” วินร้องทัก “นึกว่าพี่ออกไปเที่ยวซะอีก”
“อ๋อเปล่า… เจนให้พี่รออยู่นี่” โฟล์คพูด ก่อนจะยิ้มให้ แต่เขาก็เห็นวินและมิกหันมามองหน้ากันเป็นระยะ
“ไม่ออกไปไหนเหรอคับ ถ้าอยากไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาบ้าง ผมพาไปได้นะ” เสียงอันอบอุ่นของเคลวินพูดขึ้นมา ชายหนุ่มที่ดูภูมิฐานคนนั้น นั่งอยู่พลางโอบไหล่วินเอาไว้
“คับเอ่อ… ก็จริงๆกะจะไปเดินเล่นรอบๆอยู่เหมือนกัน” โฟล์คตอบ “ว่าแต่มีอะไรกันหรือเปล่าคับ”
โฟล์คพูดพลางจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ วินมองหน้ามิกครั้งหนึ่ง
“พี่มิก” วินร้องเรียก แต่มิกก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองเขา
“เออ...รู้น่า… วินก็ไม่ต้องบอกมันละกัน ว่าพี่กลับมาแล้ว ไปรับมัน แล้วเจอกันที่งานเลย” มิกพูด
“งั้นให้มันนอนห้องเราละกันนะไกด์” วินหันไปพูดกับเคลวินแฟนของเขา
“อื้อ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เคลวินตอบ “งั้นผมขอตัวเลยละกัน เจอกันพรุ่งนี้”
โฟล์คไม่เข้าใจอะไรนัก ขณะที่วินและเคลวินลุกออกไปจากตรงนั้น
“ถ้าอยากไปเที่ยวไหนก็บอกได้นะคับ บอกผ่านเจ๊ใหญ่ก็ได้ เดี๋ยวผมมารับ” เคลวินพูดกับโฟล์คทิ้งท้าย
“เจอกันคับพี่โฟล์ค” วินเดินผ่านออกจากโต๊ะไป ขณะที่โฟล์คยังคงเห็นมิกนั่งหน้านิ่งพลางใช้ความคิดอยู่อย่างนั้น โฟล์คย้ายที่ไปนั่งตรงข้ามมิกแทนขณะที่มองมิกอย่างเต็มตา
เคลวินก่อนที่จะลุกไป ชายหนุ่มหันกลับมาหามิกและโฟล์ค
“เรื่องบางเรื่อง… ต้องเผื่อให้อีกคนช่วยคิดนะคับ” เคลวินว่า “ปล่อยให้เป็นเรื่องของสองคนนะคับมิก”
เคลวินยิบตาให้ ก่อนจะเดินจากไปกับวิน โฟล์คไม่เข้าใจคำพูดนั้นนัก ขณะมองชายหนุ่มที่เดินทางข้ามโลกมากับเขา ไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะความเครียด ใบหน้าของเขาสะท้อนการคิดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เหมือนกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในทุกนาทีที่ผ่านไปตั้งแต่เท้าของเขาเหยียบปารีส และกำลังรอคำตอบจากเจน
“เห้ โอเคหรือเปล่า” โฟล์คสะกิดถามขึ้น ขณะหันมาหาโฟล์ค เหมือนเขากำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
“โอเค…” มิกพูดเสียงเรียบ “โฟล์ค… พวกเรารู้แล้วนะ ว่าอินอยู่ไหนอ่ะ”
“ว่าไงนะ” โฟล์คร้องขึ้นอย่างดีใจ “อยู่ไหน”
“อังกฤษ ที่ซูเม่สตูดิโอในลอนดอน” มิกว่า “เขาอยู่กับ...เอิร์ธ”
“เอ๊า...ซะงั้นอ่ะ” โฟล์คว่า “เอ่อ… งั้น...งั้นดีเลย ขอบคุณมากนะมิก ผม...ผมขอบคุณทุกคนมากเลย งั้นผมจะได้ไปเตรียมตัว จองตั๋ว...”
โฟล์คลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะอย่างเร่งร้อน แต่ทว่ามิกก็คว้าตัวเขาไว้ก่อน
“เดี๋ยวโฟล์ค ฟังก่อน อย่าเพิ่ง นายยังไปไม่ได้” มิกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่โฟล์คหันมามองและนั่งลงตามเดิม
“ทำไมอ่ะ” โฟล์คถาม
มิกมองหน้าโฟล์คด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พรุ่งนี้วันเกิดเจน” มิกว่า
“อ้าวเหรอ…” โฟล์คพูด “โอเค… งั้นเอ่อ… ผมจะทิ้งของขวัญไว้ให้เธอ แล้วเอ่อ…”
“ไม่โฟล์ค ไม่ใช่แค่นั้น” มิกพูด “พรุ่งนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซูเม่ยุโรปจะมางานวันเกิดเจน”
“อินจะมาด้วยเหรอ” โฟล์คพูด
“ไม่รู้ว่ามาไหม แต่เอิร์ธกำลังเดินทางมา วินกับเคลวินเพิ่งจะออกไปรับเมื่อกี้” มิกพูด
“อ้าว...ผมจำได้ว่า มิกบอกว่ามิกกับเอิร์ธเป็น...เอ่อ… แล้วทำไมไม่ไปรับเขาเองอ่ะ” โฟล์คพูด
“เพราะผม… คือพรุ่งนี้ในงานวันเกิดเจน มันอาจจะมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แล้ว มันอาจจะ...ส่งผลกับที่อยู่ของอิน” มิกพูด
“ยังไงคับ” โฟล์คถาม
“โฟล์ค… เคลวินกับวิน เพิ่งจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน หลังจากหลายๆอย่างบีบให้ต้องแยกกัน ส่วนผม ก็ทำงานทับไลน์กับวินเค้าอยู่ มันต้องมีแค่คนเดียวที่ต้องอยู่นี่” มิกอธิบาย “และถ้าเอิร์ธกลับมาพรุ่งนี้ แล้วถ้าผมคืนดีกับเค้าได้ ผมกับเอิร์ธไม่ก็เคลวินกับวิน อาจจะต้องเลือก ว่าใครจะอยู่ปารีส ใครจะต้องเดินทางต่อ”
โฟล์คฟังมิกอย่างตั้งใจ
“แล้วผมจะช่วยอะไรได้คับ” โฟล์คถามตรงๆ ขณะที่มิกมองหน้าโฟล์คก่อนจะหายใจเข้าลึก
“ผมอยากให้นายเดินทางต่อ” มิกพูดขึ้นทันที “ถ้านายรับปากว่าจะคุยกับอินให้ ผมจะบอกที่อยู่ของอิน แล้วเรามาจบการเดินทางของเรากัน”
“ว่าไงนะ” โฟล์คว่า “ผม...ผมยังไม่เข้าใจ”
”โฟล์ค….ผมอยากอยู่กับเอิร์ธที่นี่” มิกพูดทันที “ผมไม่อยากเสียเวลาอีกนาที ที่จะปล่อยให้เอิร์ธวิ่งหนีไปอีกแล้ว”
และแล้วก็เกิดความเงียบทันที
“แล้วมิกจะให้ผม…”
“ผมอยากให้อิน อยู่กับที่ซะที” มิกว่า “เพราะถ้าอินรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องอาสาพี่เมธเดินทางหนีทุกอย่างไปเริ่มต้นที่อื่นอีกเหมือนทุกครั้ง มันอาจจะเป็นเบอร์ลินหรือที่ไหนอีกก็ได้ที่เขาเคยไปเซอร์เวย์มา พี่สุเมธซื้อไอเดียเขาแน่ และผมไม่อยากให้ทุกอย่างหลังจากนั้น จะต้องกลายเป็นการเดินทางไม่รู้จบแบบนี้อีกแล้ว”
โฟล์คมองมิกพูดด้วยความรู้สึกจริงจังอยู่อย่างนั้น
“Endless Dream หนังสือที่นายเขียนโฟล์ค มันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวอิน อินเป็นคนที่ฝันไปได้เรื่อยๆ และเดินทางแบบไม่มีจุดจบ ก็เพราะมันรอนาย” มิกพูดต่อ “ผมกับเจนเราเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพี่เมธถึงซื้อมุมมองของอินแต่แรก เพราะอินไม่มีความฝันเป็นของตัวเอง อินทำหน้าที่เฝ้ามองคนอื่น และเห็นเหตุผลของคนอื่นสำคัญกว่าตัวเองเสมอ มุมมองภาพถ่ายของมันเลยสะอาด ไม่มีอีโก้ ไม่มีสัญญะ มีแค่ความจริงจากมุมมองของเค้าเอง”
คำพูดของมิก เปิดสวิตช์ไฟในหัวของโฟล์คทันที
“นายพูดเอง ว่าเขาชอบเอาตัวเองหนีไปจากความอึดอัดมาตลอด กายมันก็รู้ และนั่นคือเหตุผล ที่มันส่งนายมากับเรา มันส่งนายมาหยุดอินโฟล์ค” มิกว่า “ถ้านายหยุดอินไม่ได้ซะที พวกเราทั้งหมดก็จะต้องวิ่งกันไปแบบนี้ ไม่งั้นภาพ Loveless Society ก็จะต้องเดินทางต่อไปเรื่อย และพี่สุเมธ ก็จะไม่หยุดที่จะขยายตัวเอง อินก็จะยิ่งเดินทางต่อไป และกายก็จะไม่มีทางส่งดีไซน์เนอร์วิ่งตามอินได้ทันอีกแล้ว นายต้องจบเกมส์ของพวกนาย 5 คน การหนีกันข้ามโลกของกายกับอิน มันต้องจบลงซะที”
“นาย...หมายถึง...ให้ผม…”
“นายต้องสัญญากับผมโฟล์ค ถ้านายไปถึงลอนดอน นายต้องทำทุกวิถีทาง จบเรื่องราวของนายกับอินที่นั่นให้ได้ ทำให้อินประจำอยู่ที่นั่นให้ได้ ไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้ว” มิกว่า “แล้วทุกอย่าง จะจบ จบจริงๆ ปลายทางของพวกเราทุกคน จะจบลง”
โฟล์คเงียบสนิท พลางมองออกไปนอกร้าน
เขาไม่เคยคิดอะไรได้ไกลเลย หลังจากทุกอย่างที่ผ่านมา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าถ้าเจออินแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ทั้งหมดที่เขาทำมา มันคือการขอเพียงเจอหน้าอินอีกซักครั้ง ก่อนที่เขาจะ…
“นายไม่ได้คิดใช่หรือเปล่า ว่าเจอเขาแล้วจะเป็นยังไงต่อไป” มิกว่า
โฟล์คหันมาหามิกที่เหมือนอ่านใจเขาออก
“ผมก็เป็น และตอนนี้ก็เป็นอยู่” มิกพูด “แต่… ตะกี้นายก็ได้ยินเคลวินพูดใช่หรือเปล่า เรื่องบางเรื่อง เราต้องให้อีกคนนึงช่วยคิด”
โฟล์คมองหน้ามิกอยู่อย่างนั้น
“ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแต่… ผมยังเชื่อว่า เอิร์ธยังรักผมอยู่” มิกพูด “ผมจะใช้ความเชื่อใจนั้น จบเรื่องของผม… และผมก็อยากให้นาย ทำเหมือนกัน”
มิกเริ่มเก็บข้าวของของตัวเองทันที
“ปาร์ตี้วันเกิดเจนจัดที่นี่เหมือนเดิมคับ แต่ผมจะไม่อยู่ เพราะต้องไป...เตรียมตัว” มิกว่า “ส่วนนาย….”
มิกลุกขึ้นก่อนจะมองหน้าโฟล์คเป็นครั้งสุดท้าย
“ออฟฟิศของซูเม่สตูดิโอ อยู่ที่ย่านเซาท์วาร์ค ริมแม่น้ำเทมส์” มิกว่า “นายจะรู้ได้เอง ว่ามันคือที่ไหน”
มิกเดินออกจากเกล็ดหิมะไปทันที
…………
งานปาร์ตี้วันเกิดของเจนมาในธีมสีส้ม สีโปรดของเธอ ร้านเกล็ดหิมะที่พยายามแต่งทุกอย่างให้เป็นสีส้ม จึงเป็นอะไรที่แปลกตาไปมากสำหรับโฟล์ค แม้ว่านี่จะเพิ่งเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน และอากาศเริ่มหนาวเย็นประปราย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่า ความอบอุ่น ยังคงแผ่ซ่านอยู่ที่เกล็ดหิมะในทุกๆนาที ที่เขาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม
โฟล์คมองดูจีโอและเจนที่เปิดเพลงเต้นรำกันอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน พลางถอนหายใจกับสิ่งที่มิกบอกให้เขาทำ เขาเดินทางมาไกล เพื่อตามหาอิน และตอนนี้ มันก็ดูเหมือนอิน ก็ไม่ได้อยู่ไกลเดินที่เขาจะเอื้อมแล้ว แต่การตัดสินใจที่ให้อินอยู่กับเขา อยู่ที่นั่น ไม่เดินทางไปไหนอีกแล้ว มันอาจจะหมายถึงตัวเขาเอง ที่ต้อง…
มันจะถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจบางอย่างลงไปในชีวิตแล้วสินะ
เขาเดินตรงเข้าไปยังมุมปาร์ตี้ก่อนจะเริ่มหยิบขวดน้ำต่างๆและเริ่มลงมือผสม
“ตายแล้ว ไม่ต้องทำเองหรอกค่ะ คุณเป็นแขก เดี๋ยวให้บิลเค้า...” เจ๊ใหญ่ถลาตัวมาทันทีเมื่อเห็นโฟล์คเริ่มชงเครื่องดื่ม
“พอดีผมเป็นบาร์เทนเดอร์น่ะคับ” เขายิ้มกล่าวเธอ “ให้ผมชงเหอะ ผมถนัดนะ”
“เอ๊า… ดีจังเลย” เจ๊ใหญ่ร้องเสียงหลง “งี้ถ้าอยู่นี่ยาวๆ เจ๊จะขอตัวมาทำงานนะ เจ๊กำลังจะเปิดโซนบาร์พอดีเลย”
“โอ้ เหรอคับ…” โฟล์คว่า
“ใช่จ้ะ… ร้านจะได้เปิดดึกได้อีกหน่อยด้วย” เจ๊ใหญ่พูดต่อ
“อะไรกันเจ๊ จีบคนมาทำงานที่ร้านอีกแล้วเหรอ” จีโอเดินมาสมทบทันที ขณะที่โฟล์คเริ่มลงมือชงเครื่องดื่มด้วยความเชี่ยวชาญ “แต่โห… ทำไมดูคล่อง”
“ผมชงมาหกเจ็ดปีได้แล้วอ่ะคับ” โฟล์คว่า พลางยื่นแก้วให้กับจีโอทันที “ลองซักหน่อยมั้ยคับ”
“ด้วยความยินดีคับผม” จีโอรับแก้วมาทันทีด้วยหน้าตาชื่นมื่น ก่อนจะยกขึ้นจิบ “อ่าห้า…ลื่นคอมาก ไม่แรงไปไม่เบาไป เจ๋งเลยเจ๊ ถ้าเจ๊ไม่รับ ผมจะชิงตัวเขาไปที่บาร์โรงแรมเพื่อนผมแล้วนะ”
“ว้าว คุณทำโรงแรมเหรอคับ” โฟล์คหันไปถาม
“หุ้นส่วนกับเพื่อนน่ะคับ สาขาโรงแรมทั่วไปตามเมืองใหญ่ในยุโรป เคลวินก็เคยทำ แต่ถ้านายจะทำล่ะก็ บอกได้นะ เดี๋ยวจัดให้” จีโอยิ้มให้เป็นคำตอบ และนั่นทำให้โฟล์คคิดทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ในหัว
แต่ทว่าทันใดนั้นไฟก็ดับพรึ่บลงทันที และทุกอย่างก็เงียบเสียงลงซักพัก
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู” เสียงอันทุ้มลึกดังขึ้นจากหลังร้าน แสงเทียนเล่มเล็กๆ ปักบนเค้กน่ารัก และถือโดยเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับวิน ที่ช่วยกันประคองเค้กมาทั้งคู่ และเดินตรงเข้าไปหาเจน พอดีกับที่ร้องเพลงจบพอดี
“เอิร์ธ” เจนส่งเสียงทันทีเมื่อเธอได้เห็นใบหน้าในแสงเทียนนั้นว่าเป็นใคร
“อธิษฐานก่อนพี่” เอิร์ธส่งเสียง ขณะที่เจนได้แต่ยิ้มกว้าง ก่อนที่เธอจะหลับตาไปพักหนึ่ง และเมื่อความเงียบจบลง เธอลืมตาขึ้นและเป่าเทียนทันที ก่อนที่ไฟในร้านจะกลับมาติดอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้อง
“สุขสันต์วันเกิดคับพี่เจน” วินและเอิร์ธส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน และยื่นเค้กให้กับเธอ เจนมองเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“เซอร์ไพร์สมาก” เจนว่า “เธอมาได้ไงเนี่ย”
“วันเกิดพี่ แถมไอ้วินมันมาปารีสแล้ว ผมก็ต้องมาเด่ะ” เอิร์ธว่า “มีความสุขมากๆนะเจ๊”
“จ้า…” เจนรับเค้กมาจากมือของเอิร์ธ ก่อนจะวางลงกับโต๊ะ
“ผมกับเอิร์ธเราไม่ได้ซื้ออะไรให้พี่นะ แต่...เค้กนั่น เราช่วยกันทำ” วินชี้ไป ซึ่งนั่นทำให้เจนตาลุกวาว
“ยังไม่ทิ้งลายคนครัวสินะคะ” เจนยิ้มให้กับวิน และเคลวินที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน
“ส่วนผม… อาจจะไม่มากไม่มายแต่ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ” เคลวินยื่นกล่องของสิ่งหนึ่งให้กับเธอ เจนรับมันมาและเปิดดู ก็พบว่ามันเป็นปากกาด้ามงาม ที่เหมาะกับการเอาไว้เซ็นเอกสารนั่นเอง “สุขสันต์วันเกิดนะคับ หุ้นส่วน”
“ขอบคุณค่ะเคลวิน” เจนรับมันมา “น่าจะแพงนะคะเนี่ย”
เคลวินยักไหล่ให้เป็นคำตอบ พอดีกับที่จีโอเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“ส่วนผม จริงๆแล้ว อยากมอบจุมพิตให้เจ้าหญิงมากกว่านะ” จีโอพูดกับเธอ ซึ่งนั่นทำให้คนในงานส่งเสียงโห่ร้องแซวกันยกใหญ่ “แต่ไม่ก็ได้...งั้นก็เป็นอันนี้”
จีโอกำมือขึ้นตรงหน้าเธอ ก่อนจะปล่อยมือออกมาเป็นจี้รูปพระจันทร์ที่ทำจากเพชร แต่ทว่ามันดูน่ารักและทรงคุณค่าเอามากๆ
“ซื้อเครื่องประดับให้กับคนทำงานแฟชั่นเหรอคะ” เจนหรี่ตามองจีโอ
“แหงะ… ไม่ถูกใจอ่อ” จีโอส่งเสียง
“ปล่าว ก็น่ารักดีค่ะ” เจนว่า
“แหมๆๆๆๆ” สาส่งเสียงแซว พร้อมกับมาร์คที่หัวเราะมาจากโต๊ะริมหน้าต่าง ซึ่งเธอเดินตรงมาหาเจนที่ทำหน้าเก้อเขิน
“หยุดเลยคุณสา” เจนว่า ขณะที่สามองเธอ
“สำหรับชั้น นี่จ้ะ แม่คู่กัดตัวดี” สาถือกล่องให้เธอ
“อะไรคะเนี่ย” เจนร้องถาม
“ชุดว่ายน้ำ” สาว่า
“หะ” เจนร้อง
“เอ๊า ก็ขั้นไม่เคยเห็นเธอใส่ชุดว่ายน้ำ” สาว่า “เผื่อชั้นจะได้ถ่ายหล่อนไงยะ”
ทุกๆคนในงานหัวเราะกับสิ่งตรงหน้ากันอย่างขำขัน
“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ งั้นเอ่อ...ปาร์ตี้เนอะ” เจนยิ้มให้ทุกคน ก่อนที่จีโอจะเดินไปเปิดเพลง และทุกๆคนก็เริ่มที่จะแยกย้ายไปพูดคุยกันตามมุมต่างๆ เจนเดินไปหาเอิร์ธและวินที่ยิ้มให้เธออยู่
“ว่าไงตัวแสบ” เจนพูดกับเอิร์ธ “นี่กลับมาเพราะพี่เหรอ”
“แน่นอนดิพี่” เอิร์ธว่า “อ้ออีกอย่าง พี่อินส่งผมมา ให้ถามพี่ว่าจะเอายังไงกะอาร์ตบุ๊คอ่ะ”
“อ้อ…” เจนว่า พลางมองไปยังวินที่มองเธอกลับมาพลางส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
“ว่าไงพี่ ให้แก้ตรงไหน ผมงง” เอิร์ธร้องถามอีกครั้ง
“Loveless Society” เจนพูดทันที และทำให้เอิร์ธตาโต
“ไงนะพี่” เอิร์ธร้องถาม
“ภาพของนัทไง เธอไม่ได้ใส่มันลงไป มันเป็นแรงบันดาลใจในงานของซูเม่ เธอลืมได้ไง” เจนร้องถาม
“จริงด้วยแหะ” เอิร์ธเกาหัว “งั้นเดี๋ยวผมใส่ให้คับ”
“ถ่ายใหม่” เจนพูดต่อ “เธอต้องถ่ายใหม่ จัดวางกับเซ็ตอาร์ตอันใหม่ด้วย ให้อินเค้าถ่าย”
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนกลับ ผมเข้าออฟฟิศไปถ่ายให้ละกันคับ” เอิร์ธว่า
“ภาพไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศแล้วเอิร์ธ พี่ส่งภาพกลับไปอยู่ที่วิลแลต” เจนว่า
“อ๋อ… บ้านพี่กาย” เอิร์ธว่า “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้คนไปเอาให้คับ”
“ไม่ เธอต้องไปวันนี้เลย” เจนพูด
“หา…” เอิร์ธร้อง
“ใช่...ไปเดี๋ยวนี้ อาร์ตบุ๊คพี่ก็อยู่ที่นั่น พอดีพี่ดันหยิบใส่ไปกับรถที่ส่งภาพไปอ่ะ ไหนๆไปนั่นแล้วก็เอากลับมาเลยด้วยละกันนะ” เจนพูดต่อ
“เอ๊า ได้ไงวะ” เอิร์ธร้องต่อ
“วันนี้วันเกิดพี่ แกต้องตามใจพี่สิ ถูกมั้ย” เจนยิ้มให้ “วิน ไปกับเพื่อนเธอสิ”
“โอ้...ผมเอ่อ… ผมต้องอยู่กับเคลวินอ่ะ” วินร้องตอบ “กู...กูไม่ว่างนะ”
“เอ๊าไอ้นี่ ได้ไง ไปกะกู” เอิร์ธหันไปว่า “มึงทำอาร์ตได กูจะได้รู้ว่าต้องทำไงด้วย มึงอ่ะไปกะกูถูกแล้ว เดี๋ยวพี่อินไม่เข้าใจ”
“พี่ไปเอง” โฟล์คส่งเสียงขึ้นมา และดึงให้ทั้งสามคนหันไปมอง “พี่ไปกะเราเอง เราเอิร์ธใช่ไหม”
“คับ...ใช่คับ พี่เป็นใครอ่ะ” เอิร์ธร้องถาม
“ดีเลยค่ะ” เจนพูดแทรกขึ้นมา “เอิร์ธ นี่พี่โฟล์คนะ เพื่อนพี่อิน”
เอิร์ธมองหน้าโฟล์คอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“หะ...พี่คือ...พี่โฟล์คเหรอ” เอิร์ธร้องทันที
“ใช่คับ..” โฟล์คตอบ และนั่นทำให้เอิร์ธกระพริบตาถี่ทันที
“งั้นโอเคแล้วช้ะ” วินหันมายิ้มให้กับโฟล์ค “งั้นฝากมันด้วยคับพี่”
“ได้ งั้นเดี๋ยวพี่หารถให้ละกัน” เจนพูดก่อนจะเดินไปหน้าร้าน แต่เอิร์ธก็คว้าตัวไว้
“เดี๋ยวๆๆๆๆ พี่เจน เดี๋ยว นี่มันอะไรกันอ่ะ ผมว่ามันแปลกๆ ทำไมต้องให้ผมไปวันนี้ด้วย แล้วพี่โฟล์คมาไง พี่รู้หรือเปล่าเนี่ย ว่าเค้ากับพี่อิน...” เอิร์ธร้องถาม แต่เจนก็ทำหน้าตานิ่งเฉย
“รู้สิ” เจนตอบทันที “พี่เลยอยากให้เธอดูแลเรื่องนี้ให้ดีดีด้วย”
“แต่...ทำไมต้องผมอ่ะ ผมแค่มาเอาอาร์ตบุ๊ค” เอิร์ธว่า
“ไปถึงบ้านนั้นก็เข้าใจเอง” เจนว่า
“แล้วทำไมต้องเป็นคืนนี้” เอิร์ธยังคงสงสัยไม่เลิก
“ก็เธอจะกลับพรุ่งนี้ ไม่เอาวันนี้แล้วจะเอาวันไหนเอิร์ธ” เจนว่า ซึ่งทำให้เอิร์ธยังคงหรี่ตามองอยู่
“แต่นี่มันงานวันเกิดพี่นะ จะไม่ปาร์ตี้กันต่อเหรอ” เอิร์ธว่า
“เดี๋ยวได้ปาร์ตี้แน่ ไปวิลแลตซะก่อน ไม่ได้หรือไง” เจนย้ำคำ เอิร์ธเงียบไปพักหนึ่ง
“เอ้อ….ก็ได้ โอเค๊ ไปก็ไปวะ” เอิร์ธหันไปมองโฟล์คที่ยืนมองเจนอยู่อย่างนั้น “พี่คือพี่โฟล์คช้ะ… พี่แม่ง ให้ตายเหอะ”
เอิร์ธเดินไปเก็บของขณะที่โฟล์คเดินตรงไปหาเจนทันที
“เจน...ยังไม่ได้บอกเลยว่าสุขสันต์วันเกิด” เขาพูดกับเธอ
“ขอบใจมากโฟล์ค ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ย ว่าอินอยู่กับเอิร์ธ” เจนว่า “ตามแกไปละกัน แกจะพาคุณไปหาอินเอง”
โฟล์คถอนหายใจก่อนจะหยิบหนังสือ Endless Dream ออกมาจากกระเป๋า พลางยื่นให้เธอ
“นี่เป็นหนังสือที่ผมเขียน เรื่องราวของพวกผม ของกาย ของอิน ของทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก มันมีเรื่องของอยู่คุณในนั้นด้วย มันได้ Best Seller ที่ไทย นามปากกาหมึกเทาคือผมเอง” โฟล์คพูด “ผมไม่มีอะไรจะให้ ผมให้เล่มนี้กะคุณละกัน”
“โอ้..ขอบคุณค่ะโฟล์ค ขอบคุณมาก” เจนรับหนังสือมาไว้ในมือ ก่อนจะมองหน้าปกมันอย่างพินิจ “มันเอ่อ...ดีมากเลยค่ะ เจนจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆซะที”
“มึงจำไว้เลยนะไอ้วินนะ กูให้ช่วยไม่ช่วยน้า” เอิร์ธส่งเสียงบ่นเพื่อนขณะเดินออกมาจากโซนปาร์ตี้และตรงมาที่หน้าร้านที่โฟล์คและเจนยืนอยู่ “โอเค ไปกันหรือยังอ่ะพี่ พี่เจนได้รถหรือยัง”
เจนมองหน้าเอิร์ธครั้งหนึ่ง ก่อนจะโยนกุญแจให้ และเอิร์ธคว้ามันมาไว้ทันที
“ผมขับเองด้วยงี้?” เอิร์ธร้อง
“ขับดีดีด้วยล่ะ รถพี่กายเค้า” เจนว่า
“เอาเข้าไป โอเค๊ เจ้าของวันเกิดน้า เอาได้เอาใหญ่เลยน้า โอเค๊” เอิร์ธว่าพลางหันมาหาโฟล์ค “มาพี่โฟล์ค ผมมีเรื่องต้องบอกพี่เยอะเลย”
โฟล์คเลิกคิ้วก่อนจะเดินตามไป แต่ทว่าเขาก็หันไปหาเจนอีกครั้ง
“เจน ถ้าเกิดท้ายที่สุดมันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็น ผมอยากให้เจน ยอมเปลี่ยนนะ” โฟล์คว่า “อ่านหนังสือเล่มนั้น แล้วคุณจะเข้าใจ”
เจนมองหน้าโฟล์คอย่างพยายามเข้าใจความหมายนั้น
“เอ่อ...คะ?”
“เรามาถึงปลายทางแล้วคับ” โฟล์คว่า “ขอบคุณมากนะ สำหรับทุกๆอย่าง” โฟล์คพูดกับเธอ
เจนยิ้มกว้างให้กับเขา
“ค่ะ….งั้นก็โชคดีนะโฟล์ค” เธอว่า ก่อนที่โฟล์คและเอิร์ธจะออกจากร้านไป
………….
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2020 00:12:30 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
แสงสว่าง ปลายอุโมงค์ ส่องโลกกว้าง
ชี้เห็นทาง ยาวไกล ไปให้ถึง
ยังต้องใช้ แรงกาย คลายหย่อนตึง
บวกแรงใจ แข็งขึง ซึ่งปลายทาง

เอาใจช่วย..เสริมแรงให้นะ
ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว

เชียร์

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 43 Be True

        ถนนอันมืดมิด และสองข้างทางที่เต็มไปด้วยทิวต้นสน รถคันหนึ่งวิ่งผ่านถนนไปอย่างเร่งร้อน เอิร์ธที่นั่งฝั่งคนขับกับโฟล์คที่นั่งอยู่ข้างกัน ได้แต่คิดถึงจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป
“วิลแลต ทำไมต้องเป็นที่นี่ทุกที” เอิร์ธพูดบ่นกับตัวเอง “ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ทำไมต้องเล่นอะไรกันแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ”
“ใจเย็นคับน้อง ทุกคนก็อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีแหละ” โฟล์คว่า
“ก็เห็นพูดงี้กันทุกทีอ่ะ แล้วสุดท้ายก็เละ” เอิร์ธหันมาตอบ “พี่อ่ะตัวดีเลย”
“หา”
โฟล์คถึงกับงงทันที เมื่อเอิร์ธหันมาลงที่เขา
“พ..พี่เหรอ…” โฟล์คร้อง
“ใช่...ผมรู้นะ ว่าพี่เป็นใครอ่ะ พี่อินเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว” เอิร์ธว่า และนั่นทำเอาโฟล์คเงียบไปพักหนึ่ง
“อิน พูดถึงพี่เหรอ” โฟล์คว่า “มันยัง...พูดถึงพี่เหรอ”
“ใช่” เอิร์ธพูด “ผมต้องรู้จักเค้าไง เราต้องทำความรู้จักกัน เพราะผมต้องทำงานกับเค้า อีกอย่าง ผมอยากรู้ว่าเขารู้จักพี่กายพี่เจนได้ไง เพราะอยู่ดีดีเค้าก็โผล่มากลางพวกเรา เหมือนพี่นั่นแหละ ผมถึงรู้เรื่องพี่จากพี่อินอ่ะ”
เอิร์ธว่าต่อ และนั่นทำให้โฟล์คอมยิ้มเบาๆ
ถ้าเด็กคนนี้พูดแบบนี้ ก็แสดงว่าเขายังพอมีหวังอยู่สินะ
“ไม่ไม่ พี่ไม่ต้องมาดีใจอะไรตอนนี้เลยนะ เพราะผมจะบอกให้ ว่าพี่แม่งเป็นคนที่โคตรป๊อดเลย” เอิร์ธว่าเสียงแข็ง “พวกพี่ทุกคนเลย ทั้งก๊กพี่อ่ะ ทั้งแกงค์ แม่งทำอะไรกันก็ไม่รู้ ทำคนอื่นหัวหมุนหมด พี่กายพี่เจนเนี่ยตัวดี พี่อินก็บ้าจี้ตาม แล้วพี่ก็เสือกโลเลอีก”
โฟล์คหันไปมองหน้าเอิร์ธทันที
“เอ่อ…”
“ไม่ต้องมาเอ่อเลยพี่” เอิร์ธพูดต่อ “ผมขอพูดไม่เกรงใจละ ถ้าพี่เอาพี่อินอยู่หมัดตั้งแต่แรกนะ ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนี้ ชีวิตผมที่ผ่านมาแม่งหัวหมุนตลอดเพราะพวกพี่ทุกคนเลย เพราะงั้นอย่าหาว่าผมบ่นเลยนะ ผมอ่ะ ต้องอยู่ท่ามกลางโลกของพวกนี่เนี่ย ผมอึดอัดน่ะเว่ย”
โฟล์คมองเอิร์ธที่ยังคงขับไปบ่นไป
“พี่รู้ป้ะว่าผมต้องเลิกกับแฟนเพราะพวกพี่เลยนะ เรื่องพวกนี้แม่งทำลายพวกเราทุกคนเลย ผมขอบอก แล้วถ้าสุดท้ายพี่อินไม่อยากเจอพี่นะ ผมจะไม่แปลกใจเลยอ่ะ” เอิร์ธว่า ขณะเลี้ยวรถตรงแยกข้างหน้าเพื่อเข้าชาโตว์วิลแลต ขณะที่โฟล์คที่กำลังตกอยู่ในความรู้สึกที่แปลกประหลาด
เขาที่ควรจะโกรธเด็กหนุ่มแปลกหน้า คนที่เขาเคยแค่ได้ยินชื่อจากมิก เพื่อนร่วมทางของเขา เด็กที่ไม่ควรมีสิทธิมาตำหนิเขาด้วยซ้ำกับสถานะคนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน แต่เรื่องที่เอิร์ธพูด กลับยิงตรงเข้าความรู้สึกเค้าทุกคำ
ไม่นานนัก รถก็จอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง หน้าบ้านที่อยู่ริมเนินเขาเล็กท่ามกลางป่าสนและลำธารเล็กๆ เอิร์ธนั่งนิ่งสนิทขณะที่จับพวงมาลัยไว้
“ขอโทษนะพี่ ที่หงุดหงิดไปหน่อยอ่ะ แต่...มันก็เรื่องจริงอ่ะ” เอิร์ธว่า “แต่ก็ช่างมันเหอะ ผมเข้าไปเอาของแปปเดียวพี่ แล้วเดี๋ยวไปต่อยังไงค่อยว่ากัน เอาเรื่องตรงหน้าก่อน ผมก็แค่พยายามจะทำใจกับสิ่งที่ผมต้องทำ… เพื่อตามใจพวกพี่อ่ะ”
เอิร์ธกำลังจะเปิดประตูรถลงไปแต่โฟล์คก็ร้องเรียกไว้
“เอิร์ธ พี่ขอโทษ” โฟล์คหันไปพูด
“เห้ย… ช่างมันพี่ ผมแค่...บ่นบ่นอ่ะ ผม...ไม่ได้โกรธพี่” เอิร์ธว่า “จะโกรธได้ไงถูกป่ะ เราเพิ่งเจอกัน”
“ไม่ไม่ พี่เข้าใจเว่ย พวกพี่รู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าเราทำลายชีวิตคนอื่นกันมามากแค่ไหน เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองอ่ะ” โฟล์คว่าต่อ “ทุกคนรู้ ไอ้กายรู้ เจนก็รู้ พวกพี่เลยอยากแก้ตัว พวกพี่อยากชดเชยสิ่งที่พวกพี่ทำกับคนอื่น ทำกับทุกอย่าง… ทำกับเรา”
“พี่ไม่ได้ทำอะไรผม” เอิร์ธว่า “คนที่ควรขอโทษผมอ่ะ ไม่ได้อยู่นี่ซักคน ดูวันนี้ดิ วันนี้พี่เจนยังใช้ผมมานี่อีก พวกเค้าแหละ ที่ต้องขอโทษผมอ่ะ ไม่ใช่พี่”
“งั้นก็คงถูกแล้ว ที่วินและเจน ให้พี่รอที่เกล็ดหิมะ รอเจอทุกคน รอเจอเรา” โฟล์คพูดต่อ “มันคงถูกวางมาแล้วให้ที่มาเจอเราและมาที่นี่เอิร์ธ”
“ฮะ?” เอิร์ธร้อง ขณะที่โฟล์คหันไปมอง
“เข้าไปเอาของดิ… นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เอิร์ธหาอยู่ก็ได้นะ” โฟล์คว่า “คำขอโทษ จากพวกพี่ทุกคน”
เอิร์ธมองหน้าโฟล์คแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองในตัวบ้าน บ้านของกายที่เอิร์ธเคยเจ็บปวดกับที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถ พลางเดินไปยังทางเข้าบ้านของกาย บ้านที่ไม่ควรจะมีใครอยู่ แต่เหมือนกับว่า มันมีแสงไฟถูกเปิดเอาไว้ที่นั่น เอิร์ธหันมามองโฟล์คที่กำลังลงจากรถเช่นกัน เขามองเข้าไปในบ้าน และก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
เอิร์ธวิ่งตรงเข้าไปในบ้าน ตามทางเดินที่คุ้นเคย ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปทันที บ้านของกายชั้นล่าง ยังคงกลิ่นอายเหมือนเดิม เหมือนที่เขาเคยมา และเขาก็พบภาพ Loveless Society ถูกวางเอาไว้ที่เดิมตรงห้องรับแขก เอิร์ธเดินเข้าไปมองภาพนั้นช้าๆอย่างคุ้นเคย มันเหมือนยังถูกหีบห่อเอาไว้ด้วยซองกันกระแทก มันเหมือนเพิ่งจะขนย้ายมา
ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“ได้เจน… ตามนั้น แล้วเราอยากให้เป็นตามนั้น” มิกเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เอิร์ธหันไปมองทันที “ใช่… ถ้าเธอไม่ยอม เธอก็ต้องหาคนใหม่...ใช่ และเราคิดว่า มันคงถึงเวลลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว….”
เอิร์ธมองหน้ามิก และมันก็เหมือนเข็มนาฬิกาของเอิร์ธหยุดลง
“อ่าหะ” มิกยังคงคุยโทรศัพท์ต่อ “ขอบคุณมากเจน… สุขสันต์วันเกิด”
มิกกดวางโทรศัพท์ไป และยืนจ้องหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
“หวัดดีเอิร์ธ” มิกร้องทักทันที แต่เอิร์ธยังคงยืนนิ่ง “ไม่ได้...เจอกันนานเลย”
“พี่ พี่มาได้ไง ไหนว่ากลับไทยไปแล้ว….” เอิร์ธพยายามพูดอย่างติดขัด ขณะที่มิกเลิกคิ้วและยิ้มกริ่ม
“สนใจด้วยอ่อ” มิกพูดเสียงกวน
“ป่าว” เอิร์ธพูดทันที “ผม...แค่มาเอาของ”
“เอาอะไรอ่ะ” มิกถาม
“ภาพนั่น Loveless Society แล้วก็… อาร์ตบุ๊คของพี่เจน” เอิร์ธว่า
“อันนี้อ่ะนะ” มิกหยิบขึ้นมาจากด้านหลัง ซึ่งเป็นสมัดอาร์ตเวิร์คที่เขาส่งมาให้เจนตรวจเมื่อเดือนก่อนนั่นเอง
“คับ.. งั้น ผมขอเอาไปนะ” เอิร์ธพูด พลางเดินไปที่รูปภาพ
“ไม่ได้” มิกพูดเสียงแข็งทันที ก่อนจะเดินไปขวางเอาไว้
“พี่มิก ผมไม่ได้จะมาทะเลาะด้วย ผมจะเอาไปทำงาน” เอิร์ธพูดตอบเสียงแข็ง
“พี่ก็ไม่ได้จะทะเลาะด้วย แต่พี่ไม่ให้” มิกพูด
“พี่มิก” เอิร์ธพูดเสียงแข็ง “อะไรของพี่วะ มันใช่เวลาป่ะ หลีกผม”
“พี่ให้ไม่ได้ เพราะภาพนี่เป็นของพี่แล้ว” มิกพูดทันที
“หะ” เอิร์ธร้อง “เล่นเชี่ยไรของพี่อ่ะ ผมไม่มีเวลานะ ผมจะเอาภาพไป สมุดนั่นด้วย”
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้ ไม่เข้าใจอ่อ ภาพนั่นเป็นของพี่” มิกว่า “ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ มันเป็นของพี่ ใครจะเอาอะไรไปพี่ต้องยินยอมก่อน”
เอิร์ธมองหน้ามิกอย่างเต็มตาทันที
“พี่...พี่ว่าไรนะ” เอิร์ธร้อง
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ที่นี่เป็นบ้านพี่แล้ว” มิกพูด “และ Loveless Society ก็เป็นภาพของพี่ นัทให้พี่แล้ว”
“อะไรนะ” เอิร์ธว่า “พี่มิก...ผมไม่ตลกนะ
“พี่ก็ไม่ได้ตลกด้วยซะหน่อย ก็พี่ไม่ให้” มิกว่า “ถ้าไม่เชื่อ ข้อความหาพี่กายดิ พี่นัทก็ได้ ถามเค้า ว่าที่นี่บ้านใคร เอาดิ”
มิกยื่นโทรศัพท์ให้ แต่เอิร์ธได้แต่มองมันอย่างครุ่นคิด มิกไม่เคยโกหกเขา ทุกอย่างที่เขาได้ยิน เป็นน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“พี่...หมายความว่า… พี่มาอยู่ ที่นี่แล้วอ่อ” เอิร์ธร้องถามทันที
“ใช่… นี่บ้านพี่ และถ้าจะเอาอะไรไป พี่ต้องยินยอมก่อน พี่พูดชัดพอไหม” มิกว่า
วินาทีนั้น เอิร์ธเข้าใจแล้วว่ามิก ได้ยืนอยู่คนละฝั่งกับเขาแล้วในที่สุด สิ่งที่เอิร์ธได้ตัดสินใจลงไปที่บ้านหลังนี้เมื่อห้าเดือนก่อน กำลังย้อนศรกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง
จริงสิ… เขาเป็นคนบอกเลิกเองนี่ เพราะงั้นมันก็…
“โอเคพี่…” เอิร์ธพูดเสียงนิ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงพยักหน้ากับตัวเอง “ผม… ผมเข้าใจ”
“งั้นก็ดี” มิกพูดต่อ “มีอะไรจะพูดอีกไหม”
“งั้น...ผมจะ… ไปคุยกับพี่เจนใหม่ แล้ว… ทำหนังสือเอ่อ...มาขอ อย่าง… เป็นทางการ” เอิร์ธว่า
“หนังสือไม่ต้องอ่ะ” มิกพูด “เราพูดกันไม่กี่คำก็จบเอิร์ธ”
เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิก ที่ส่งสายตาอันแน่วแน่มาหาเขา
“พี่มิก” เอิร์ธพูด
“ไม่เอาแบบนี้ดิ พูดให้รู้เรื่อง ให้ชัดเจน ไม่เอาโลเล ไม่เอาไม่รู้” มิกพูดทวนคำ “กับพี่ เอิร์ธไม่ต้องใช้หนังสือหรอก เพราะเรา อยากได้แค่ได้ หรือไม่ได้...ไม่ใช่อ่อ”
เอิร์ธกำหมัดด้วยความเจ็บปวด
ใช่แล้ว… เขาต้องการแบบนี้ เขาเคยอยากได้คำตอบแบบนี้จากมิก
และถึงคราวนี้เขาต้องตอบ
“งั้น..ถ้า...ถ้าพี่ไม่ให้...ผมก็...ก็จะ…” เอิร์ธพูดด้วยน้ำเสียงติดขัด และหายใจแรง “ผม...ขอตัว”
“ยอมแพ้แล้วอ่อ” มิกว่าต่อ “คนอย่างเอิร์ธ ยอมแพ้ง่ายขนาดนี้อ่อคับ”
เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิกด้วยสายตาแดงก่ำ
“แล้วพี่...จะให้ผมทำไง” เอิร์ธว่า “จะเอาคืนผมเหรอ...ผมต้องทำไงให้อีกอ่ะ พวกพี่ทุกคนถึงจะพอใจอ่ะ...อะไรอีกที่ผมต้องทำอ่ะพี่…”
มิกเงียบสนิทลงบ้าง เมื่อเห็นเสียงที่สั่นไหวของเอิร์ธ
“ผมเดินไปสุดทางแล้วนะ” เอิร์ธว่า “ผมไม่รู้นะว่าต้องทำไงต่ออ่ะ...ผมแค่ทำ… ทำสิ่งที่ต้องทำ...ทำสิ่งที่พวกพี่ทุกคนอยากให้ผมทำอ่ะ… ผมยัง...ทำดีไม่พออีกอ่อ… กะอีแค่...ภาพนั้นภาพเดียว… มันต้อง...ขนาดนี้...เลยอ่อ”
เอิร์ธเสียงสั่นเครือลงทุกที ขณะที่มิกเดินมาใกล้เขามากขึ้น
“ผม… ขอโทษละกัน ที่...ทำให้พี่...รู้สึก…” เอิร์ธว่า “ผมขอโทษที่...อยากมาอยู่ในโลกของพวกพี่แต่แรก...ผม...ขอโทษที่…”
“ไม่เอาแบบนี้” มิกพูดอีก “ไม่เอาขอโทษ เอาแค่ได้ หรือไม่ได้”
มิกพูดเสียงเรียบ ขณะที่เอิร์ธเงยหน้ามองมิกอย่างสงสัย และทันใดนั้น มิกก็ยื่นสมุดอาร์ตบุ๊คให้เอิร์ธตรงหน้า
“คับ?” เอิร์ธร้องถาม
“อยากให้พี่ยินยอมอ่ะ ไม่ต้องใช้หนังสืออะไรให้วุ่นวายหรอก” มิกว่า “ตอบแค่ได้หรือไม่ได้ก็พอเอิร์ธ… รับไปดิ”
เอิร์ธขมวดคิ้ว ก่อนจะรับมันมาอย่างงๆ
“เปิด….แล้วตอบ” มิกพูดต่อ ก่อนที่เอิร์ธจะค่อยๆเปิดสมุดอาร์ตบุ๊คนั้นออกมา และมันปรากฎข้อความเขียนเอาไว้กลางหน้าสมุดนั้น
ไอ้ตัวแสบ
แต่งงานกันนะ
และภายใต้ตัวอักษรนั้น กระดาษถูกเจาะเอาไว้เป็นหลุมเล็กๆ และสิ่งที่ใส่เอาไว้ในนั้น คือสิ่งที่เอิร์ธเกือบจะลืมหายไปจากความทรงจำไปแล้ว
แฟลชไดร์ฟรูปหีบและกุญแจ ที่เอิร์ธเคยทิ้งไว้ให้มิกในวันที่เขาหมดเวลาฝึกงานที่ Lovable Studio
เกิดเป็นความเงียบขึ้นมา ก่อนที่เอิร์ธจะเงยหน้าขึ้นมองมิกที่ยังคงมองหน้าเขาอยู่
“เพราะถ้าบอกว่าได้… ที่นี่มันก็… จะเป็นของเรา” มิกพูดต่อ “แล้ว… แกจะเอาอะไรไปก็ได้… หรือไม่ก็… ไม่ต้องเอาอะไรไปไหนอีกแล้ว”
เอิร์ธมองหน้ามิกอยู่อย่างนั้น
“เพราะพี่ก็… ไม่อยากให้แกไปไหนอีกแล้ว” มิกพูดต่อ “พี่...อยากอยู่กับแกที่นี่…”
เอิร์ธยังคงถือหนังสืออยู่อย่างนั้น
“ก็รู้...ว่าแกอาจจะไม่ชอบแหวน… มันคงไม่เหมาะกับคนอย่างแก” มิกว่า “และพี่ก็นึกภาพตัวเองให้แหวนคนอื่นไม่ออก… แต่แฟลชไดร์ฟนั่น มันเป็นของของเรานี่… ของของเราเอง ไม่เกี่ยวกับ Loveless Society ถูกมั้ย”
เอิร์ธยิ้มเบาๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาตัวเองเบาๆ ขณะที่มิกขำเบาๆกับภาพที่เห็น
“ร้องไห้แล้วว่ะ ตัวแสบกูร้องไห้เป็นกะเค้าด้วยเว้ย” มิกพูดกับตัวเอง “เอาไงคับ...ได้ หรือไม่ได้ บ้านก็มีแล้ว อยู่นี่ให้แล้ว มีทุกอย่างให้แล้วนะ พอใจยังอ่ะ”
เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิกในที่สุด
“นึกว่าผมจะหายโกรธอ่อหะ” เอิร์ธว่า “นึกว่าโผล่หัวกลับมาแค่นี้ แล้วคือผมต้องยอมเลยงั้นดิ ง่ายๆงั้นเลยอ่อ”
“ใช่” มิกว่า “กับแกไม่ต้องซับซ้อนป้ะ ง่ายๆงี้แหละ”
เอิร์ธยิ้มให้มิกทันที
“ถ้าผมอยู่นี่ นั่นหมายถึง ผมต้องทิ้งทุกอย่างที่อังกฤษนะ ทุกอย่างที่ผมทำเลยนะ” เอิร์ธว่า “พี่เจนไม่ยอมหรอก”
“เมื่อกี้ เค้าก็ยอมอยู่นี่ แล้วก็ถ้าลองไม่ยอมดิ” มิกว่า “เดี๋ยวกูจะโวยให้…”
เอิร์ธถึงกับเลิกคิ้วมองมิกทันทีอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“พ่อมดแห่งวงการแย่งแฟนเก่าพี่ไปแล้ว พี่คงไม่ปล่อยให้แม่มดของวงการเอาแฟนใหม่พี่ไปอีกคนป่ะ” มิกว่า “กูไม่ปล่อยมึงไปแล้วเอิร์ธ มึงต้องอยู่นี่ อยู่กับพี่เหอะนะ”
เอิร์ธยิ้มกว้าง ก่อนจะปิดหนังสือเล่มนั้นลง
“ยังไง...ได้ หรือไม่ได้” มิกร้องถาม
“ไม่” เอิร์ธพูดเบาๆ “ไม่เอาภาพแล้วก็ได้คับ...ไม่เอาอะไรอีกแล้วอ่ะ…. ผม… ผมเหนื่อยแล้วอ่ะพี่…. ผมขอโทษ”
เอิร์ธโผเข้ากอดมิกทันที ก่อนจะร้องไห้ในอ้อมกอดของมิกอยู่อย่างนั้น มิกตกใจเล็กน้อย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของเอิร์ธเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ผมตกลง…” เอิร์ธพูด “ผมอยู่นี่แล้วพี่...ผมตกลงพี่”
เอิร์ธส่งเสียงสะอื้นเหมือนเด็กๆ ซึ่งทำเอามิกขำเบาๆ พลางโอบตัวของเอิร์ธเอาไว้ทันที
“ไอ้แสบเอ้ย” มิกกอดเอิร์ธตอบทันที พลางขยี้หัวเอิร์ธเบาๆ
“ผมเหนื่อยแล้วอ่ะพี่ ผมไม่อยากไปไหนแล้วอ่ะพี่มิก” เอิร์ธยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“เออ… ไม่ไปแล้ว ไม่ไปแล้วคับ” มิกกอดเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
โฟล์คเปิดประตูบ้านเข้ามา และมองเห็นมิกและเอิร์ธกอดกันอยู่ตรงนั้น มิกส่งรอยยิ้มให้โฟล์คผ่านอ้อมกอด โฟล์คมองภาพตรงหน้าพลางสะท้อนใจกับตัวเอง
ปลายทางของมิกจบลงแล้ว เพื่อนร่วมทางของเขา ถึงปลายทางก่อนตัวเขาแล้วในที่สุด
“ขอบใจนะโฟล์ค” มิกพูด “ขอบใจมาก”
โฟล์คพยักหน้ารับเบาๆ พลางยิ้มกว้างให้กับมิกอยู่อย่างนั้น
เมืองนี้มันเป็นเหมือนที่เด็กวินคนนั้นบอกเขา มันหนาวเย็น แต่ก็อบอุ่นอย่างประหลาด
และเขาหวังว่า ปลายทางของเขา มันจะต้องไม่ต่างกัน
………..
“โอเคมึง...เออ… กูก็กะแล้วล่ะ อ่าหะ… รับทราบ เขาก็อยู่กะกูเนี่ย เออ… เออ…ได้ เดี๋ยวเคลียร์ให้ มึงไม่ต้องร้องแล้ว” วินพูดผ่านโทรศัพท์ขณะที่ตัวเขายังอยู่ที่งานปาร์ตี้ โดยที่เจนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเก้าอี้ และเคลวิน ที่ยังไงนั่งอยู่ข้างเขาเสมอ “เออ...กูก็รักมึงเพื่อน… ไว้เจอกัน….บาย”
วินกดวางโทรศัพท์พลางยิ้มให้กับมันอยู่อย่างนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเจน
“คับ… ตามนั้น” วินพูดสั้นๆ
“ให้ตายสิ” เจนถอนหายใจ พลางมองออกไปนอกเกล็ดหิมะทันที “บ้า...นี่มันบ้ามาก…”
เจนมองออกไปยังถนนอันคุ้นเคยในปารีส ริมฝีปากของหญิงสาวแห่งเมืองแฟชั่น เผยอออก ใจที่สั่นเทาขณะที่มือของเธอเย็นเฉียบ
“ที่รักโอเคนะ” จีโอกุมมือเธอไว้ และนั่นทำให้เจนหันกลับมาอีกครั้ง
เจนมองไปยังวิน และเคลวินที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองจีโอ คนรักของเธอ และพยายามหาคำพูดบางอย่าง
“เจน...เจนอยู่ที่นี่มาหกปี” เจนพูด “ทุกสิ่งทุกอย่างของเจนคือที่นี่… เจนเพิ่งทำแฟชั่นจบไปด้วยซ้ำ”
เธอพูดเสียงสั่น ขณะที่จีโอกุมมือของเธอเอาไว้
“มันคงเป็น...การเปลี่ยนแปลงที่….ใหญ่มากสำหรับ….เจน” เธอพูดขึ้น
“เธอจะสู้อีกไหมล่ะ” สาที่ยืนพิงมุมหนึ่งของร้าน ส่งเสียงท้าทายเธอมาเช่นเคย
“คะ?” เจนส่งเสียงถาม
“สู้ไง เหมือนที่เธอเคยทำ” สาพูดต่อ “เธอไม่เคยถอยนี่ จำได้หรือเปล่า ตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่เรื่องกายนัทเป็นต้นมา เธอก็ไม่เคยอ่อนเลยนะเจน และ ถ้าเธอไม่ยอม ฉันก็จะไม่แปลกใจเลย”
สาพูดพลางส่งสายตาที่คุ้นเคยมาให้
จริงสิ… ทำไมคนอย่างเธอจะต้องยอมง่ายๆ เธอคือแม่มดแห่งวงการแฟชั่น และทุกๆอย่างจะต้องเป็นอย่างที่เธอต้องการ
ถ้าเธอบอกว่าไม่ มันก็คือไม่
ฉะนั้น
“ไม่ค่ะ” เจนพูดตอบทันที “มันจะเป็นอย่างที่มิกเค้าพูดค่ะสา”
“โอ้” สาร้อง “เธอ...ไม่สู้เหรอ”
เจนหายใจเข้าลึก
“ไม่ค่ะ….ถ้าเกิดท้ายที่สุดมันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็น มันก็สมควรแล้ว ที่จะเป็นแบบนั้น” เจนพูดทันที “เจนทำร้ายทุกคนมามาก เพื่อซื้อเก้าอี้ให้ตัวเองอยู่ที่นี่ บางที….”
เธอหันไปมองจีโอ
“มันอาจถึงเวลาแล้วที่เจนต้องเป็นฝ่ายไปบ้าง” เจนยิ้มกว้างก่อนจะหันไปหาทุกคน “มันก็...เป็นของขวัญให้ตัวเองที่ดีเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรที่รัก” จีโอพูด “ยังไงผมก็จะอยู่กับคุณ”
“ขอบคุณค่ะ” เจนว่า
“เจน…” สาเดินตรงเข้ามาหาเธอทันที “ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจนพูดกับเธอ “เจนฝากปารีสด้วยนะ”
“อื้อ… โชคดีนะ”
สาและเจนสวมกอดกันอยู่ตรงนั้น และแน่นอนว่า สงครามอันยาวนานของทั้งสองสาว ได้จบลงแล้ว เจนยิ้มให้กับตัวเองอยู่ตรงนั้น เมื่อผละออกจากกัน เธอจึงตั้งสติ ก่อนจะหันไปหาวิน
“วิน เราคงต้องไปด้วยกัน ถูกมั้ย” เจนว่า
“คับ” วินตอบ
“แล้ว เธอกับเคลวิน” เจนหันไปหาเคลวิน ที่กำลังหันไปยิ้มด้วยกันกับวิน
“ผมกับวิน เราคุ้นชินการไม่ได้อยู่ด้วยกันมาห้าเดือน แล้ว...เราก็เข้าใจกันดีคับว่า เราต้องเดินทาง” เคลวินว่า “ผมกับวินเราไม่เป็นไร แล้วอีกอย่าง...ห่างกันบ้างก็ดี เผื่อว่า เวลาเจอกันจะได้…”
เคลวินหันไปสะกิดไหล่ของวินที่ทำเป็นเก้อเขิน
“โอ่ยยยย…. จะพูดให้หล่อทำไมคร้าบ เดี๋ยวไอก็ต้องไปดูแลโรงแรมที่ลอนดอนกับเจนเค้าไง เดี๋ยวช่วยดูแลวินเค้าให้ สเตลล่าก็อยู่นั่นไง โวะ แค่นี้ก็ต้องหวานว่ะ” จีโอว่าแซว ทำเอาทั้งร้านจึงหัวเราะใส่กัน
“งั้น… เราคงต้องไปเอา Loveless Society ด้วยตัวเอง แล้วส่งกลับไปให้อินเค้าทำอาร์ตบุ๊ค” เจนว่า “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ วินเข้าไปวิลแลตไปกับพี่ แล้ว…”
“ไม่ทันละคับ” วินยิ้มให้กับเจน “พี่โฟล์ค เอา Loveless Society บินไปลอนดอนแล้ว”
เจนพ่นลมออกจากริมฝีปาก พลางมองไปยังหนังสือ Endless Dream ที่วางอยู่บนโต๊ะ
เธอยิ้มให้กับมันทันที
“เรามาจบเรื่องนี้กันซะทีนะกาย”
………...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2020 22:27:32 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 44 There And Back Again

          การเดินทางคืออะไร
โฟล์คตั้งคำถามกับตัวเอง ขณะที่เขาใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงบนสายการบินอันเร่งด่วนจากปารีสมายังลอนดอน การหาเที่ยวบินอย่างเร่งร้อนในช่วงไฮซีซั่นแบบนี้เป็นเรื่องแสนยากลำบาก แต่การเดินทางจากปารีสมาลอนดอน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังงาน เพราะเส้นทางที่สั้นและใช้เวลาไม่นาน ต่างจากไทยสู่ฝรั่งเศสมากนัก แต่ถึงแม้มันจะกินเวลาไม่นาน โฟล์คก็รู้สึกได้ว่าเขาช่างเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการเดินทางนี้ ทั้งๆที่มันแค่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ
เขารุดมาลอนดอนอย่างปัจจุบันทันด่วน เขาไม่ได้บอกลาใคร ไม่แม้แต่กับเจนที่เขาพยายามตามหาเธอเพื่อขอความช่วยเหลือแต่แรกด้วยซ้ำ และคำถามที่เขาเคยค้างคาอยู่ในหัว ตอนที่เขาเริ่มออกเดินทาง ตอนนี้มันเริ่มได้คำตอบแน่ชัดเข้าไปทุกทีแล้ว
มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าการเดินทางคืออะไร แต่ตอนนี้ เขาต้องหาปลายทางให้เจอเท่านั้นเอง
โฟล์คหิ้วภาพ Loveless Society ออกจากแอร์พอร์ตไปตัวเปล่า มีเพียงตัวเขา กับภาพ Loveless Society และเป้เพียงแค่หนึ่งใบเท่านั้น สัมภาระอื่นๆ เขาทิ้งมันไว้ที่ปารีสที่ร้านเกล็ดหิมะ เขากำลังทำอย่างที่อินเคยบอกเขา
วิ่งตามหาทุกอย่างด้วยตีนเปล่าด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว
“เซาท์วาร์ค” เขากล่าวกับแท๊กซี่คันเหลืองที่จอดรับเขาหน้าสนามบิน ก่อนที่มันจะขับมุ่งตรงไปยังตัวลอนดอนทันที ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว เขาควรที่จะรีบตามหาอินให้เจอ ก่อนที่อะไรๆจะยากลำบากไปกว่านี้
แต่เขาจะหาเจอได้อย่างไร มิกไม่ได้บอกอะไรเขาไปมากกว่าย่านเซาท์วาร์คและแม่น้ำเท็มส์ มันจะหายากเกินไปหรือไม่สำหรับเขา หรือไม่อย่างนั้น เขาอาจจะต้องพยายามหาออฟฟิศของซูเม่สตูดิโอให้เจอ
โฟล์คกดมือถือของตัวเองพลางเสิร์ชชื่อของซูเม่สตูดิโอลงในแผนที่ แต่มันก็ไม่มีอะไรปรากฎให้เห็น เขาส่ายหน้าให้กับตัวเองก่อนจะจำได้ว่า ทุกๆอย่างเพิ่งจะมาเริ่มต้นที่นี่ได้ไม่ถึงปี เจนบอกเขาว่าซูเม่ ยังไม่มีสาขาที่นี่อย่างเป็นทางการ
ทันทีที่รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้าลอนดอน มันก็ทำให้เขามองเห็นอะไรอย่างประหลาด ที่นี่ขับรถเลี้ยวขวาเป็นหลัก พวงมาลัยอยู่อยู่ด้านขวา มันทำให้เรารู้สึกได้ว่าทุกๆอย่างมันเหมือนกับที่กรุงเทพอย่างไม่น่าเชื่อ และทันทีที่รถขับข้ามสะพานลอนดอนเหนือแม่น้ำเทมส์ พร้อมกับแสงตะวันที่กำลังสาดแสงลงต้องกับชิงช้าสวรรค์ Eyes of London ที่อยู่เยื้องไป โฟล์คมองออกไป มันก็ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก
“นายจะรู้ได้เอง ว่ามันคือที่ไหน”
จริงสิ… ถ้าอินถูกส่งมาไกลถึงที่นี่เพียงลำพัง มุมมองที่ไม่เหมือนคนอื่น ในแบบที่เขาเคยให้อินเห็น มุมมองเหนือแม่น้ำเทมส์ ชิงช้าสวรรค์ สะพานลอนดอนแบบนี้
มันเหมือนกับ…
“Sorry… Southwark is around the left side of the bridge right?” โฟล์คร้องถามคนขับแท็กซี่
“Yes sir” คนขับหันมาตอบด้วยสำเนียงอังกฤษ
โฟล์คมองไปยังด้านซ้ายของสะพานตามแม่น้ำเทมส์ไปเรื่อยๆ แสงตะวันสาดส่องไปในทิศทางที่เขาคุ้นชิน
ใช่แล้ว!!!
“Is there any building with the rooftop in the Southwark right?” โฟล์คร้องถาม “Someplace that can see a sunset in some of offices avenue or something. It has one or two right?”
“Of course. There’s a lot of building there but with the rooftop” คนขับพูดพลางคิดบางอย่าง “It was a cocktails bar actually on the riverside.”
โฟล์คนิ่งสนิทไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ
“Great. Take me there please” โฟล์คพูด “Take me there before the sun is down”
ใจของโฟล์คพองโตขึ้นทันทีเมื่อแท็กซี่คันนี้เริ่มเร่งความเร็วขึ้น
อิน… ไม่เคยลืมเขาเลย แม้แต่นาทีเดียว
“วินาทีนั้น ผมรู้ได้ทันทีว่า การจากลา บางครั้ง มันไม่ใช่การบอกลา แต่การจากลาของผมมันก็คือการบอกรัก มันคือเสียงที่ผมตะโกนผ่านความเงียบไปในวันนั้นว่า ผมรักเขามากแค่ไหน แม้ว่าผม จะต้องบอกลาเขาถึงสี่ครั้งในชีวิตของผม เฝ้ามองเขาเดินจากผมไปถึงสี่ครั้งในชีวิต”
หน้ากระดาษต่อไปถูกเปิดอ่านต่อ ด้วยมือที่สั่นเทา
………...
เจนจิราสวมกอดสา ที่มาส่งเธอที่แอร์พอร์ต ขณะที่รอบๆตัวเธอเธอ เต็มไปด้วยสัมภาระอีกมากมายถึงสองรถเข็น ซึ่งยังไม่รวมกับของวินและจีโอที่ก็เยอะพอกัน เธอยิ้มให้กับสา ก่อนจะหันไปมองมิกและเอิร์ธ มิกโอบแขนวางอยู่บนไหล่ของเอิร์ธ ทั้งคู่ส่งรอยยิ้มมาให้เจน ที่เข้าใจได้ดีว่า นี่จะเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของเธอบ้างเสียที
………..
“เขาเดินจากไป พร้อมกับเอาความฝันของผมไปด้วย เขาจากไปนานจนผมลืมนับเวลา เขาจากไปทั้งๆที่เขายังมีตัวตนอยู่ในทุกเสี้ยวความทรงจำของผมในทุกๆนาทีหลังจากนั้น เขาจากไปทั้งๆที่ผมยังเห็นเขาทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน เห็นในทุกๆวันที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา แม้ว่าผมจะเริ่มต้นใหม่ซักกี่ครั้ง แต่ผมก็ไม่สามารถลืมเขาได้เลย แต่เมื่อย้อนกลับไปในวินาทีนั้น ผมก็ยังปล่อยให้เขาเดินจากไป โดยไม่มีโอกาสที่จะขอโทษ หรือทำให้เขารู้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรักเขามากมายแค่ไหน”
ตัวอักษรที่ตัว มันเหมือนมีดที่กรีดลงไปในความรู้สึกของเขา เขาจับหน้ากระดาษนั้นไว้จนมือเจ็บเกร็ง
“คนเราต่างมองหาปลายทางของตัวเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าปลายทางที่ไม่มีคนที่เรารักรออยู่ มันอ้างว้างกว่าที่ผมเคยคิด เพราะสุดท้ายแล้ว ผมก็มาเรียนรู้ว่า เราไม่อาจจะมีอนาคตไปได้ ถ้าข้างในหัวใจและความคิดของเราไม่สมบูรณ์ ความรู้สึกดี ความรัก ความห่วงใย มันเป็นของให้เปล่า ให้แล้วให้เลย มันให้ไปพร้อมกับหัวใจ เมื่อเรายกมันให้ใครไปแล้ว เราเอาคืนมาไม่ได้ ต่อให้ความรักมันสูญสลายไป แต่หัวใจเราก็จะไม่มีทางกลับมาอีก”
…………
เคลวินดึงตัววินมากอดไว้ ขณะที่วินยิ้มกว้างอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะไปอีกแล้ว” เคลวินว่า “เราเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ห้าวันเองนะ”
“ไม่เอาดิ อย่าทำงี้ดิไกด์” วินว่า “อย่าทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ”
“ฉันจะคิดถึงนายทุกวัน ฉันจะโทรหานายทุกวัน ฉันสัญญา” เคลวินว่า
“ไกด์ ยังไงฉันก็รักนาย” วินว่า “ฉันกลับมาหานายเสมอ นายก็รู้ ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันตกลง นายคือบ้านของฉันนะ”
วินผละออกจากไกด์ พลางยิ้มให้
“ดูแลตัวเองด้วยนะ” เคลวินพูด “แล้วไว้จะไปหา”
“ฉันจะกลับมาก่อนนายคิดถึงอีก อยู่นี่ก็...ช่วยเอิร์ธมันด้วยนะ”
“อื้อ”
เจนเดินมาหาวินและเคลวินที่ยืนอยู่หน้าเกต ทั้งคู่ยิ้มให้เธอ
“เจนจะดูแลเค้าให้ค่ะ ไม่ต้องห่วง” เจนว่า
“ดูแลหรือโขกสับอ่ะพี่ เอาดีดี” วินว่า
“จริงๆ นายเป็นอาร์ตได ส่วนพี่เป็นสไตลิส เราต้องตีกันอีกนานวิน” เจนว่า
“ไม่มีเอิร์ธแล้ว คราวนี้แฟร์เกมส์คับ หนึ่งต่อหนึ่ง พี่กับผมเนอะ” วินว่า พลางหัวเราะกันสองคน
“ไปกันเหอะ เดี๋ยวไม่ทัน” จีโอเดินมาจับมือเจนไว้
มือที่เจนรู้สึกได้ว่า นี่จะเป็นมือที่จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป
เคลวินจับมือวินครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสามเดินเข้าเกตไปในที่สุด
………..
“คุณเคยตั้งคำถามหรือเปล่า ว่าความฝันของคุณมันจะไปจบลงที่ตรงไหน ทุกๆก้าวในชีวิตที่คุณทำตามความฝันของตัวเอง ใช้ชีวิตของตัวเองไป คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ตอนที่คุณไปถึงความฝันแล้ว คุณจะมีความสุขจริงไหม แต่สำหรับผม ความฝันของผมคือเขา และตอนนี้ผมกำลังใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่มีจุดหมายอีก
เพราะงั้น ถ้าผมจะเริ่มค้นหาปลายทางของตัวเองอีกครั้ง ค้นหาความฝันของตัวเองอีกครั้ง มันก็คงเป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดจบ ไม่มีปลายทาง มันคือการเดินทางที่ผมต้องตามหาความฝันที่หายไป หายไปกับคนเพียงคนเดียวที่ผมจะรักได้
และผมหวังว่าเขาจะรอผมอยู่ที่ปลายทาง
ปลายทางที่มีเราสองคนอยู่ด้วยกัน”
อินปิดหนังสือลง พลางมองไปยังดวงตะวันที่กำลังจะคล้อยต่ำลงตรงฝั่งตรงข้าม มุมมองจากบาร์ดาดฟ้าที่นี่มันหนาวเย็น ต่างจากที่เขาเคยรู้จัก ความรู้สึกบางอย่างที่ส่งผ่านตัวหนังสือมา มันทำให้เขารู้สึกตื้อตัน เขารู้สึกว่าตัวเองถูกดึงจมไปกับหนังสือเล่มนี้
ความรู้สึกอ้างว้างจับหัวใจ
อินวางหนังสือลงตรงหน้า พลางนั่งพิงเก้าอี้อย่างเหม่อลอย
ปลายทางที่มีเราสองคนอยู่ด้วยกัน
คงเป็นปลายทางที่ไม่มีอยู่จริง
อันหลบสายตาลง ขณะที่พนักงานเสิร์ฟค็อกเทลล์แก้วหนึ่งวางลงตรงหน้า
“Thanks” อินหันไปกล่าว ก่อนที่จะมองที่แก้วนั้นอย่างคุ้นตา แต่ก็เหมือนกับสิ่งต่างๆรอบตัว ทุกๆอย่างดูคุ้นตาอยู่แล้วที่นี่ มันแทบไม่ได้ต่างอะไรจากวันนั้น ตรงนั้นเลยซักนิด มันไม่มีอะไรต่างกัน
อินหยิบแก้วนั้นขึ้นมาดื่ม และทันทีที่รสชาติของค็อกเทลล์แตะริมฝีปาก เขาดึงแก้วออกมามองอีกครั้ง
รสชาติแบบนี้มัน
ทันใดนั้น หูฟังข้างนึง ก็ถูกเสียบเข้าหูซ้ายของเขา เพลงบรรเลงเพลงหนึ่งดังขึ้น เพลงบรรเลงที่เคยทำให้จิตใจของเขาสงบ เพลงบรรเลงที่เขาเคยฟังอยู่กับใครบางคนเมื่อนานแสนนานมาแล้วที่ดาดฟ้ายามตะวันตกดิน
ใครบางคนที่เอาหูฟังมาเสียบให้เขา และนั่งลงข้างๆ
ใครบางคนที่ทำให้เวลาอันยาวนานของเขาหยุดหมุนลง
“โอเคมั้ย” โฟล์คพูดขึ้นหันไปมองหน้าอินที่ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของอินต้องกับแสงอาทิตย์อ่อนๆที่ สายตาของเขามองไปยังแม่น้ำเจ้าเทมส์ที่มีเสียงเรือและผู้คนแว่วมากับสายลม เขามองโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“โฟล์ค”
โฟล์คมองภาพนั้น มันเหมือนกับว่าเขาถูกดึงเข้าไปในห้วงความรู้สึก หากอินกำลังถูกบรรยกาศโดยรอบดึงเข้าไปหา โฟล์คก็คงกำลังถูกอินดึงเข้าไปหาอีกทอดหนึ่ง โฟล์คยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆอิน มองใบหน้านิ่งๆนั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆที่อยู่บนหน้าของอิน กลิ่นเหงื่ออ่อนๆจากไอร้อนในช่วงบ่ายของอิน ทำเอาโฟล์ครู้สึกสั่นไหว
“มึง… มึงจริงๆเหรอ” อินร้องถามเสียงสั่นเครือ
“อื้อ… กูเอง” โฟล์คตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือเช่นกัน เขายิ้มให้อินพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอย่างไม่รู้ตัว
“มึง…” อินพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่โฟล์คก็เอื้อมมือไปแตะใบหน้าของอินไว้ทันที
“กูอยู่นี่แล้วนะ” โฟล์คว่า “กู...หามึงจนเจอแล้วนะเว่ย”
อินยังคงมองอินอย่างนั้นเอง
“ไม่จริงอ่ะ...มึง อยู่นี่…” อินพูดพร้อมๆกับร้องไห้ออกมาอีกคน เขามองโฟล์คไปทั่วใบหน้า และเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของโฟล์คเช่นกัน “มึง...นี่...มึงจริงๆ….ด้วยแหะ”
อินพ่นลมหัวเราะออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทาง
“อ...อื้อ” โฟล์คร้องตอบ พลางยิ้มกว้าง “มึงนี่… วิ่งหนี...เก่งนะ…ไอ้ตูด...มึง…มึงรู้ไหมว่ากู… กูคิดถึงมึง...แค่ไหนอ่ะ หื้มมมม”
“โฟล์ค…”
อินและโฟล์คคว้าตัวของกันและกันเข้าหากัน และปล่อยให้ร่างกายดึงดูดเข้าหากันพร้อมอ้อมกอดที่อ่อนละมุน ทั้งคู่กอดกันและปล่อยให้น้ำตาแห่งความคิดถึงปะปนไปกับแสงแดดยามเย็นที่ส่องประกายมา
“มึง...มึงหากูจริงๆด้วยอ่ะ” อินพูดเสียงสั่น “มึง...ไม่ได้ลืมกูจริงๆด้วยอ่ะ”
เสียงร้องไห้ของอินยิ่งเหมือนคำร้องขอให้โฟล์คกอดอินแน่นอยู่อย่างนั้น
“ต่อให้มึงข้ามโลกไปอีก กูก็ไม่หยุดหามึงหรอก” โฟล์คพูดในอ้อมกอดนั้น
อินหลับตา ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดนั้น และมองหน้าของโฟล์คทันที
“มึงแม่ง…. บ้าชิบหาย” อินต่อยเข้าที่แขนของโฟล์คทีนึง “มึงมานี่ได้ไงเนี่ย”
“เอ๊า...ต่อยกูไมอ่ะ” โฟล์คว่า
“ก็มึงแม่ง…” อินว่าพลางสะอึดสะอื้น “สามปีเลยนะเว่ย...มึงทำเหี้ยไรอยู่วะ มึงหายไปไหนมา”
โฟล์คเงียบสนิท
“ก็กู...กลัวมึงจะไม่อยากเจอกูอีกอ่ะ” โฟล์คพูด “กูแม่ง...เหี้ยอ่ะ… กูไม่รู้จะแก้ตัวยังไง แล้ว...กูแม่ง ทำให้ชีวิตมึงเป็นงี้… กูเลย…”
“ใครบอกมึง ว่ากูไม่อยากเจอมึง” อินว่า “กูอยากเจอมึงตลอดอ่ะ แต่มึงแม่ง… มึงแม่งไม่เคยเข้าใจเหี้ยไรเลย มึงแม่ง…”
“กูก็...มาหามึงแล้วนี่ไง” โฟล์คว่า “หยุดด่ากูเหอะ”
อินมองหน้าโฟล์ค พลางทำหน้ามุ่ย
“หนังสือมึงนี่ น้ำเน่าโคตร” อินว่า พลางเหลือบตาไปมองหนังสือ Endless Dream ที่วางอยู่ที่โต๊ะ
“มึง… มึงมีได้ไง” โฟล์คเห็นหนังสือของตัวเอง ก็ร้องถามด้วยความสงสัย
“มีคนส่งมาให้” อินว่า พลางหยิบหนังสือแล้วเปิดหน้าสุดท้าย พลางหยิบโปสการ์ดอันนึงยื่นให้โฟล์ค
ของขวัญจากพี่ชาย ไม่ต้องห่วงนะ แม่สบายดี ลองอ่านดูนะ เพราะคิดว่าคิดว่ามันยังคิดถึงอินอยู่
พีท
“อ้อ…” โฟล์คร้อง พลางเหลือบตามองอินด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ
“พลิก พลิก” อินพูดต่อ
โฟล์คจึงพลิกโปสการ์ด และเห็นว่าพีท ได้ยิ้มกว้างอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง พร้อมกับลูกเล็กๆน่ารักๆในอ้อมกอดของทั้งคู่
“นี่มัน…” โฟล์คเงยหน้าขึ้นมาพูด
“ลูกสาว” อินว่า “พีทกับพริม ทำให้เราเป็นอาแล้ว”
“อ่านะ” โฟล์คว่า “ก็..ดี ยินดีด้วย”
“แล้วจริงป้ะ” อินถามต่อทันที
“จริงอะไร” โฟล์คว่า
“ก็ทั้งหมดที่เขียนอ่ะ หมายถึงกูอ่อ” อินถามทันที
โฟล์คเงียบสนิท
“ไม่ใช่มั้ง” โฟล์คพูด
“เหรอ… ทั้งหมดนี่ คือที่มึงรู้สึก กะกูเหรอ” อินว่า “ตลอดเวลา หลายปีที่ผ่านมาเหรอ”
“กูบอกรักมึงไปหลายรอบแล้วอ่ะ” โฟล์คว่า “แต่มึงไม่เคยเชื่อกูเลย”
“กูเชื่อ แต่กูรักมึงไม่ได้ไง มึงกะกูรักกันไม่ได้ไง” อินตอบ
“แล้วตอนนี้อ่ะ ได้ยัง…” โฟล์คว่า และนั่นทำให้อินถอนหายใจอีกครั้ง เสียงถอนหายใจที่ทำให้โฟล์ครู้สึกได้ เพราะมันคุ้นตาเขามาหลายครั้งแล้ว
“ไม่เอานะ อย่าเป็นครั้งที่ห้านะ” โฟล์คพูดต่อทันที “กูข้ามโลกมาหามึงเลยนะเว่ยอิน กูไม่ได้มีใครแล้ว กูอยู่คนเดียวต่อไปไม่ได้อีกแล้วถ้าไม่มีมึง ถ้ามึงไม่ตกลงรอบนี้ กูจะลากมึงโดดแม่น้ำเทมส์เดียวนี้เลย เพราะกูจะไม่กลับไปไหนอีกแล้ว กูมาที่นี่ เพื่ออยู่กับมึง”
อินกระพริบตาถี่ๆ มองโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“กูไม่สนว่าใครจะพูดยังไง กูไม่สนว่ามึงจะต้องออกจากงานไหม กูจะลากคอมึงออกไปจากเรื่องพวกนี้ก็ได้ กูไม่สนไอ้กาย ไม่สนเจน ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะรั้งมึงไว้ที่นี่ หรือต้องให้กูต้องจ่ายเท่าไหรเพื่อฉีกสัญญามึงกับซูเม่กูก็จะทำ กูเคลียร์ทุกอย่าง ทุกคน เพื่อมาเจอมึงที่นี่แล้ว กูจะไม่ยอมให้มึงไล่กูไปอีกแล้ว กูจะพามึงหนีจากหนีไปสุดขอบโลกอีก กูก็จะทำแล้ว” โฟล์คว่า “กูจะไม่แบกภาพนั่นไปไหนอีก กูจะให้มึงทิ้งภาพนั่นแล้วไปกับกูเดี๋ยวนี้ถ้ามึงไม่ยอม มึงเข้าใจกูมั้ยหะ ไม่กูกับมึง ก็ภาพนั่น ต้องมีซักอย่างลงแม่น้ำอ่ะ กูพูดเลย”
อินอมยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
“มึงไม่ต้องมายิ้มไอ้สัส กูไม่ได้ถ่อมานี่ เพื่อให้มึงหัวเราะกูนะ” โฟล์คว่า “มึงห้ามพูดกับกูว่ามึงกะกูรักกันไม่ได้ กูไม่ฟังแล้ว พอที”
และแล้วก็กลายเป็นความเงียบ เหลือเพียงเสียงหายใจหอบถี่ของโฟล์คเท่านั้น
“โฟล์ค...กูกับมึงรักกันไม่ได้อ่ะ...คือกูหมายถึงตอนนั้น” อินว่า “ส่วน...ตอนนี้...”
……………..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2020 02:21:53 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 45 Endless Dream [จบ]

“อะไรอีก…” โฟล์คร้องถาม
“ตอนนี้กูก็อยากให้มึงอยู่แต่…” อินมองโฟล์คพลางถอนหายใจ “แต่มึงจะอยู่ยังไง… งานที่นี่กูก็เพิ่งเริ่ม แล้วกูก็ไม่รู้ว่าพี่เมธจะส่งกูไปไหนอีก แล้วมึงก็ต้องกลับไทย แล้วทุกๆอย่างก็…”
โฟล์คคว้าตัวอินมาจูบทันที และปล่อยให้คำพูดที่เหลือกลืนหายไปกับไอของเครื่องดื่มที่อวลอยู่ในริมฝีปาก อินผละโฟล์คอีกครั้ง
“มึงไม่เข้าใจ กูไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง กูต้องเดินทาง กู…”
โฟล์คดึงอินเข้ามาจูบอีกครั้ง อินหลับตา และพยายามตั้งสติ และผลักโฟล์คออกไปอีก
“มึงไม่รู้หรอกว่าที่นี่เป็นไง มันไม่ได้ง่ายเหมือน…”
โฟล์คจูบอินอีกเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้มันอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง เขาไม่ฟังอีกแล้ว ไม่ขอฟังทุกข้ออ้าง ไม่ขอฟังอะไรก็ตามที่จะทำให้ความฝันของเขาไม่เป็นจริงอีก พอกันทีกับความฝันที่ไม่มีจุดจบของอิน
คราวนี้โฟล์คเป็นฝ่ายผละริมฝีปากออกจากอิน เขาเห็นอินเงียบสนิทพลางร้องไห้อยู่เงียบๆ
“กู...กูไม่อยากให้มึง… ต้องไปกับคนที่ไม่มีอะไรอย่างกูโฟล์ค” อินพูดเสียงสั่นเครือ
แต่โฟล์คเอื้อมมือไปปาดน้ำตาของอินเอาไว้เบาๆ และยิ้มให้ทันที
“เรื่องบางเรื่อง เราต้องเผื่อให้อีกคนช่วยคิดนะ” โฟล์คว่า “เผื่อให้กูคิดบ้างก็ได้อิน… ให้เป็นเรื่องที่เราสองคนช่วยกันคิดเถอะนะ”
อินมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“เพราะถ้ามึงเลือกกู… อยากให้กูอยู่ กูก็จะอยู่ กูจะทำทุกอย่างเพื่อที่อยู่ และมันต้องมีทางเว่ย มันต้องมีปลายทางของเราดิวะ” โฟล์คตอบ “คำถามก็คือ...มึงเลือกกูหรือเปล่าอิน… มึงอยากให้กูอยู่มั้ย”
อินยังคงเงียบสนิท
“มึง...ยังรักกูอยู่เปล่าอิน” โฟล์คถาม
อินมองหน้าโฟล์ค พลางยิ้มเบาๆ แม้จะมีความคิดร้อยพันตีอยู่ในหัว โฟล์คคงไม่รู้สินะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเกิดอะไรขึ้น โฟล์คคงคิดว่าตัวเอง เป็นฝ่ายที่ต้องเดินทาง เป็นฝ่ายที่ต้องค้นหา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายรอคอย
เขาต่างหากที่….
“มึงคิดว่าจูบมึงได้ผลงั้นดิ” อินเงยหน้าขึ้นมองโฟล์คเบาๆ
“ก็ได้ผลนะ เพราะที่จริงแล้ว… กูก็ไม่น่าถามมึงเท่าไหร่ตะกี้ จริงๆที่มึงห่วงกู กลัวว่ากูจะอยู่ไม่ได้ กังวลแทนกู คำตอบก็ชัดแล้วน้า” โฟล์คว่า พลางเหล่ตามองอิน ที่หลบตาลงด้วยความเก้อเขิน “ยังไม่รวมที่กูหามึงเจอที่นี่ เพราะมึงเอาตัวเองมาอยู่ในที่ที่เหมือนอยู่กับกู ทุกอย่างแม่งโคตรเหมือนที่บาร์กูเลยนะ แบบนี้มันก็
โฟล์คยื่นหน้าเข้ามาหาอิน ที่จ้องหน้าโฟล์คกลับ
“มึง...รักกูใช่ป่ะอิน” โฟล์คยิ้มให้
“อ่อ… มึงคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะจูบมึงงั้นดิ” อินว่า
“แน่อยู่แล้ว” โฟล์คยักคิ้ว “จูบกูทำมึงติดกับกูตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่มึงโฟล์ค มันเพราะกู” อินว่า
“เหรอ...งั้นเชียว” โฟล์คว่า “มันยังไงซิคับ”
โฟล์คยังคงยิ้มกริ่มในชัยชนะของปลายทางตัวเอง อินพ่นลมออกมาเบาๆทั้งน้ำตา
“มึงนี่แม่ง โคตรอยู่แต่กับตัวเองเลยเนอะ” อินพูด “มึงแม่ง ไม่เคยรู้อะไรเลยอ่ะ”
“แล้วกูต้องรู้อะไรอ่ะ” โฟล์คว่า “พูดดิ กูอยากฟัง”
“มึงคิดว่ากูชอบมินนี่จริงๆงั้นดิ” อินพูดขึ้น พลางมองหน้าโฟล์คอยู่อย่างนั้น “มึงคิดว่าตอนนั้น กูจีบเด็กเซ็นโยที่มึงจีบมึงอยู่ แล้วลากเขามานั่งเล่นอยู่ที่หน้าโรงเรียนโดยไม่รู้อ่อวะ มึงคิดอย่างนั้นอ่อ”
คราวนี้เป็นโฟล์คที่เงียบสนิท
“มึงคิดว่า เป็นเรื่องบังเอิญอ่อ ไม่เว่ย ไม่ใช่”
“มึง...มึงว่าอะไรนะ” โฟล์คพูดติดขัด
“มึงคิดว่ากูชอบมากงั้นดิ ที่เห็นมึงคุยกับหญิงอ่ะ” อินว่า “ถ้ากูไม่ทำแบบนั้น กูจะรู้มั้ย ว่าจริงๆแล้ว มึงรู้สึกไง ขนาดมึงได้จูบกูไปแล้ว มึงยังไม่ยอมรับมาตรงๆอีกอ่ะ”
“ไอ้อิน…”
“กูไม่ได้ต่อยมึง ที่มึงจูบกูหรอกนะ” อินว่า “กูต่อย เพราะมึงแม่งไม่เคยรู้สึกเหี้ยอะไรเลย แล้วพอเกิดเรื่องกายกับเจน.. ก็ยิ่งทำให้กูมั่นใจ ว่ามึงคิดยังไงกับกู”
“แล้วตอนนั้นมึงปฏิเสธกูทำไมหะ” โฟล์คร้องถามเสียงดัง พลางต่อยเข้าที่แขนของอินทีนึง “มึงเอาเรื่องของเราทำกลุ่มแตกเลยนะเว่ย”
“โอ๊ยยยย” อินเอี้ยวตัวหลบ “มึงทำร้ายกูอ่อ”
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยไอ้สัส กูตามมึงมาจะสิบปี มึงปฏิเสธกูมาสี่ครั้ง แล้วอยู่ดีดี มึงจะมาบอกว่า มึงก็...รักกูมาแต่รักงั้นเนี่ยนะ” โฟล์คว่า “มึงหนีกูนะเว่ย มึงหนีกูมาตลอดเลยนะเว่ย ทุกคนชีวิตเปลี่ยนเพราะมึงกะกูเลยนะ”
“เออ...กูรู้” อินว่า “กูเลยหนีมาไง… กูเสียใจที่ทำให้ทุกคนเป็นแบบนั้น...โดยเฉพาะมึง”
โฟล์คหายใจเข้าลึก
“กูไม่ได้หนีมึง กูแค่...หนีความรู้สึกผิดของตัวเองอ่ะ กูแค่คิดว่า...ถ้าทุกคนไม่มีกู มันคงง่ายกว่านี้ กูเลยจากมาง่ายกว่า แล้ว..มันก็เวิร์คนะ สามปีที่ผ่านมา กายก็เจอรักใหม่ มึงก็ได้เขียนหนังสือ ทุกคนดีขึ้น เมื่อไม่มีกู”
อินพูดเสียงเรียบ
“มันก็เลย อาจจะเวิร์คกว่านะ ถ้า….”
“ถ้านี่เป็นข้ออ้างอีก กูจูบอีกนะ” โฟล์คว่าพลางชี้หน้าอิน
“เออ… กูคิดเยอะเองอ่ะ กู… ขอโทษนะ” อินว่า “กูไม่พูดแล้วก็ได้”
โฟล์คลดมือลง
“แต่กูแค่จะบอกว่า… มึงไม่ใช่คนเดียวที่… รอ...หรอกน่า” อินว่า “กู...ขอโทษนะ ที่ทำให้มึงต้องเดินทางไกลขนาดนี้...เพื่อกู”
“กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษอิน กูอยากได้คำตอบ” โฟล์คพูดต่อ “มึงรักกูหรือเปล่า”
อินยื่นหน้าเข้าไปหาโฟล์คทันที
“กูรักมึงโฟล์ค…” อินพูดพลางยิ้มให้
“ไม่มีแต่แล้วนะ” โฟล์คชิงพูดทันที
“อื้อ...ไม่มีก็ได้” อินก้มหน้าลง
“ก็แค่เนี้ย”
และทั้งคู่ก็กอดกันอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าโลกนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นเอง ภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่น
“กู...ไม่ไปไหนแล้วก็ได้...กูอยู่นี่แล้วก็ได้...ถ้า...มึงอยู่”
อินพูดเบาๆในอ้อมแขนของโฟล์ค
“กูจะถือว่านี่เป็นคำขอให้กูอยู่แล้วนะ” โฟล์คว่า “แล้วมึงก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เรื่องอื่น เป็นรองเรื่องรอง กูมีมึงอยู่ปลายทาง ...มีเราน่ะเว่ย อิน”
อินมองไปยังภาพ Loveless Society ที่วางพิงอยู่ข้างโต๊ะ ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวไกลเหลือเกิน
“ขอบคุณนะ”
………
มิกและเอิร์ธช่วยกันจัดบ้านให้เข้าที่เข้าทาง แม้ว่าการทะเลาะกันเรื่องมุมทำงาน และการวางของที่มิกตัดใจทิ้งไม่ลงจะทำให้ทุกอย่างเสียเวลากว่าที่เป็น เพราะเอิร์ธก็มองว่าของส่วนใหญ่ที่มิกไม่ยอมทิ้ง เป็นของของกายและนัท ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเขาสองคนเลยซักนิด แต่มิกก็ยังคงความเป็นอาร์ตตัวพ่อ แม้แต่รูปถ่ายของสตูดิโอสาม เขาก็ยังอุตส่าห์จะเก็บเอาไว้ให้ได้นั่นเอง
เคลวิน ที่แวะเอาเฟอร์นิเจอร์จากห้องของเขามาช่วยตกแต่งบ้านของมิกเอิร์ธ กำลังวีดีโอคอล์ให้วิน คนรักของเขาดูการทะเลาะกันของมิกและเอิร์ธที่บริเวณโซนโซฟา วินหัวเราะขณะที่นั่งอยู่ในห้องพักของเจนและะจีโอ สองคู่รักที่กำลังช่วยกันแกะข้าวของออกจากกล่องเช่นกัน โดยมีสเตลล่า ที่มาช่วยกำกับคนยกของให้ ในฐานะที่เธออยู่ที่นี่มาก่อนทุกคนนั่นเอง
วินโบกมือทักทายเคลวินผ่านกล้องและยิ้มกว้าง แม้การเดินทางของเขาและเคลวินจะไม่ได้จบลงที่การอยู่ด้วยกันเหมือนคนอื่น แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าความรักของเขาทั้งคู่ลดลงไปเลย วินบอกรักเคลวินผ่านวีดีโอคอลล์ ขณะที่เอิร์ธก็เหล่มองเห็นจากมุมหนึ่งของบ้าน
“อื้อ...เราก็รักนายวิน” เคลวินพูดตอบพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นเช่นเคย “แล้ว มันหยุดวันไหนมั่งนะ”
“มีประชุมใหญ่อีกสองครั้ง เดือนหน้าก็ว่างแล้วล่ะ” วินตอบ “นายมาหาดิ จะได้ไปเที่ยวกัน”
“อื้อ ได้… เดี๋ยวไปทำอาหารให้กินอีก เอาป่ะ” เคลวินถาม
“ดีเลย อยากกินอาหารไทยฝีมือนายอีก” วินว่า “งั้นไว้เจอกันนะ คิดถึงนาย”
“คิดถึงนะเหมือนกันคับ” เคลวินว่า
“อ๋อๆๆๆ แอบหวานเหรอมึง ไหนๆๆ” เอิร์ธส่งเสียงแซว
“ไอ้แสบ ไม่ต้องไปยุ่งกับเค้า มาจัดนี่ก่อน เอิร์ธ” มิกออกคำสั่ง แต่เอิร์ธที่ดูเหมือนจะไม่ฟัง พลางส่งเสียงร้องและวิ่งเข้าไปหาเคลวิน เพื่อคว้ากล้องมาคุย ส่วนเคลวินที่พยายามยกกล้องหนีและไล่จับกันอยู่ตรงนั้น มิกที่ได้แต่ส่ายหน้า และทำความเข้าใจได้ว่าการจัดบ้านครั้งนี้ ก็ดูเหมือนจะไกลคำว่าเสร็จตามเวลามาขึ้น
เพราะมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะระหว่างกันอยู่อย่างนั้น
เสียงหัวเราะท่ามกลางความเหน็บหนาวของวิลแลตชานเมืองปารีส และลอนดอน สองเมืองที่มีสายสัมพันธ์บางอย่างเชื่อมถึงกัน
ความรักที่ยึดโยงทุกคนเข้าหากันในสังคมที่วุ่นวาย ความรัก ที่ดูเหมือนจะเลือนหายไป แต่ยังคงส่องประกายให้เห็นได้อยู่
ความรักในสังคมไร้รัก ที่มีตัวตนอยู่จริง
………..
ความเงียบสงัดของท้องฟ้าในกรุงเทพ ที่บ้านใจกลางเมืองอันเงียบสงบ นัทยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านของเขา ขณะมองดูหนังสือเชิญในมือ เขาอ่านมันและทำความเข้าใจ ก่อนจะพับมันเก็บ และเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กว้างไกล นัทมองมันไปไกลพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป
“อ่านไรอ่ะคับ” กายเดินเข้ามาโอบตัวของนัทไว้จากด้านหลัง นัทตกใจเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้กายโอบกอดเขาไว้อยู่อย่างนั้น
“เนี่ยเหรอ จดหมายเชิญจาก Virtual Art” นัทหันไปตอบ “ฟ้าส่งมาให้อ่ะ เขาชวนผมให้ไปร่วมวาดภาพเพื่อขับเคลื่อนสังคม แบบที่มิกเคยไปวาดอ่ะ”
“อ๋อ… ขับเคลื่อนเรื่องอะไรอ่ะ” กายถาม
“ยังไม่ได้คิดอ่ะ” นัทว่า พลางมองท้องฟ้าต่อไป และก็เข้าสู่ความเงียบระหว่างกัน “คุณว่าพวกเค้าจะเป็นยังไงกันบ้าง”
“ใครอ่ะ” กายพูด แม้จะยังซุกใบหน้าลงที่ต้นคอของนัท
“ทุกคน...ที่นั่น” นัทว่า “คุณว่าพวกเค้า จะเจอปลายทางของตัวเองมั้ย”
“เจอสิ” กายพูดทันที
“เหรอ… ทำไม...คุณคิดงั้นอ่ะ” นัทหันไปถาม
“ก็… เพราะคุณไง” กายตอบ
“หือ...ผมเหรอ” นัทว่า “ยังไง”
“Loveless Society” กายพูด “ภาพของคุณ ยังทำให้ผมมาลงเอยกับคุณได้เลย มันก็ต้องทำให้ทุกๆคนลงเอยกันได้เหมือนกัน”
“ขนาดนั้นเลยอ่อ” นัทว่า
“คุณไม่เห็นเหรอ ทุกๆคนรอบตัวเรา จะต้องเกี่ยวกับภาพนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” กายว่า “เหมือนทุกคนเรียกหามัน และมันก็เรียกหาทุกคน”
“นี่คุณเริ่มเปลี่ยนจากช่างภาพ เป็นนักวิจารณ์ศิลปะแล้วถูกมะ” นัทร้องแซว
“เห้ย ผมพูดจริงๆนะ ผมเลยขอให้คุณปล่อยภาพนั้นไปไง” กายว่า
“ผมก็ยังเสียงดายอยู่นะ” นัทว่า “มันสร้างชื่อให้ผมนะน่ะ”
“ผมรู้” กายว่า “แต่มันคงถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องแบ่งปันมันให้กับคนอื่น ผมอยากเป็นคนเสียสละให้ทุกคนสมหวังบ้าง”
นัทหันไปมองกายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“พ่อมดแห่งวงการจะทิ้งลายเหรอคับ” นัทว่า
“เปล่า.. ผมแค่จะใช้เวทย์มนต์ของผม ทำให้ทุกคนสมหวังซะที” กายตอบพลางยิ้มกว้าง แต่นัทยังกังวล และปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป
“ผมคิดถึงพวกเขา” นัทว่า “ถ้าพวกเขาเกิด ไม่…”
“มันจะจบลงด้วยดีนัท” กายว่า “พรุ่งนี้ เวลานี้ เราสองคนจะได้รับข่าวดีแน่ ผมเชื่อในตัวพวกเขาทุกคนเลย ปล่อยให้พวกเขาอยู่กันที่โน่น สมหวังกันที่โน่นเถอะ มันเหมาะกับพวกเขาที่สุดแล้ว”
“ส่วนคุณ ก็เลือกกลับมาอยู่กับผมที่นี่อ่ะนะ กลับมาจบกันที่นี่งี้” นัทว่า
“ใครว่าจบ” กายพูดพลางผละออกจากนัท พลางหันหลังพิงระเบียง ขณะที่นัทหันมามองกาย
“อะไรอีก” นัทถาม
“เราแต่งงานกันที่นี่ไม่ได้” กายว่า “พวกเค้าทำได้ เพราะที่โน่นทำได้ แต่เราไม่ได้”
“เดี๋ยว...นี่คุณ...ขอผม..เหรอ” นัทถาม
“ก็...ตอนนี้ยัง แต่ผมคิดว่า ผมรู้แล้ว ว่าเราควรจะทำอะไรกันต่อไป ระหว่างที่อยู่ที่นี่” กายว่า “คงเป็นเราสองคนที่ต้องทำ ถ้าอยากให้พวกเค้ากลับมา”
กายมองไปยังหนังสือเชิญในมือของนัท นัทมองมือตัวเองก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองกาย และยิ้มกว้าง
“คงมีประเด็นให้คุณต้องทำแล้วล่ะ” กายว่า
“คุณขอให้ผม วาดภาพใหม่อีกภาพใช่มั้ย” นัทยิ้มถาม
“และครั้งนี้ ผมจะช่วยคุณวาดเอง” กายพูดพลางขยับมาใกล้นัทมากขึ้น “เรามาออกแบบมันไปด้วยกันนะนัท”
นัทยิ้มให้กาย ก่อนจะปล่อยให้รอยจูบของกันและกัน มีพลังมากกว่าที่เป็น
“ผมรักคุณนะนัท” กายกระซิบเบาๆ
“ผมก็รักคุณกาย”
และทั้งคู่ก็ได้รับรู้แล้วว่า พลังที่การเดินทางอันยาวไกลได้ให้คำตอบ มันสร้างสรรค์ให้ทุกอย่างเป็นไปได้
และความรัก…
มันออกแบบได้เสมอ
จบบริบูรณ์
……

เตรียมพบกับ “เพราะรัก...ต้องออกแบบ Loveless Society The Series” เร็วๆนี้

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :L1:
รัก

 :กอด1:
ปลายทาง

กว่าจะมาถึง..ลุ้นซะ
อิอิ


ขอบคุณจ้า..คนแต่ง
 :pig4:

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
อ่านแบบอึดอัดตามเลย  สุดท้ายทุกคนก็เจอปลายทางของตัวเองชักที  :pig4: :pig4: :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด