พิมพ์หน้านี้ - Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 45 [END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: M2M_Jill ที่ 31-12-2019 01:57:43

หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 45 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-12-2019 01:57:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

-----------------
Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา

โดย มิรันดา

(https://sv1.picz.in.th/images/2019/12/31/RdqsCJ.png)

ใครจะคิดว่า จูบง่ายๆของเด็ก ม.ปลาย ชายล้วนสองคน จะเป็นจุดเริ่นต้นของความฝันอันยาวนาน และเส้นทางอันยาวไกลใน Loveless Society / บทสรุปสุดท้ายของซีรีส์ Loveless Society เพราะรัก...ออกแบบไม่ได้

ภาค 1
Loveless Society เพราะรัก... ออกแบบไม่ได้
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28027.0

ภาค 2
Coldness Town เพราะหัวใจ... ไม่เคยลืม
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34986.0
------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-12-2019 01:58:20
บทที่ 1 Nostalgia

ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ที่สวมทับด้วยเสื้อแจ๊คแกตตัวหนึ่ง เดินทางมาถึงหน้าแกลอรี่อย่างมึนงง เขาไม่รู้ว่าอะไรพาตัวเขามาถึงที่นี่ได้ เขามองเข้าไปในแกลอรี่กลางย่านสุขุมวิทอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก ขณะสอดส่ายสายตาตามหาเพื่อนเก่า ที่นัดหมายให้เขามาเจอกันที่นี่

“ขอโทษนะคะ พอดีแกลลอรี่เราปิดแล้วค่ะ” เสียงของรีเซ็ปชั่นตรงเคาท์เตอร์หน้าแกลอรี่พูดขึ้นกับเขา

“เอ่อ... พอดีผมมาหาคุณกายสิทธิ์คับ เขานัดผมมา” เขากล่าวตอบ

“ได้แจ้งชื่อไว้หรือเปล่าคะ” เธอยังคงถามต่อ

“คับ...เอ่อ… หมึกเทาคับ…” เขายิ้มให้เธอ

“อ๋อค่ะ คุณหมึกเทา ว้าวเอ่อ…” เธอคนนั้นยิ้มให้เขาพลางทำสีหน้าตกใจ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบเจออะไรแบบนี้ หลังจากที่หนังสือของเขาขายดีจนติดอันดับ นามปากกา “หมึกเทา” ของเขา ก็สร้างชื่อให้กับเขาไม่น้อย “ค่ะ เอ่อ...คุณกายอยู่ด้านในค่ะ เดินตรงไปเลี้ยวซ้ายเลยค่ะ ในโถงกลาง”

“ขอบคุณมากคับ”

เขายิ้มให้กับเธอ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในแกลอรี่ นานมากแล้วที่เขาไม่ค่อยชินกับการมาเสพย์งานศิลปะ แต่สิ่งที่แขวนอยู่รายล้อมแกลอรี่ในนี้บอกเล่าเรื่องราวบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ รูปภาพที่เป็นตึก รายล้อมด้วยผู้คนที่ส่งความหมายที่วุ่นวาย เหงา แต่ทว่าก็ดูโหยหาบางอย่าง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ คนที่กำลังอินกับความหมายแบบนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนเก่าของเขานั่นเอง

กายสิทธิ์ พ่อมดแห่งวงการโฆษณา เพื่อนสมัยมัธยมที่สนิทกัน

“หวัดดีกาย” เขาเอ่ยปากทักทายกายที่กำลังยืนกำกับพนักงานขนของอยู่ตรงโถงกลางของแกลอรี่

“อ้าว คุณนักเขียนชื่อดัง มาจนได้นะครับ” กายสิทธิ์ พ่อมดแห่งวงการโฆษณาผู้เป็นหัวหลักใหญ่ของงานจัดแสดงที่เพิ่งจบไปนี้ เดินเข้ามาสวมกอดเขาทันทีพร้อมกับรอยยิ้ม ขณะที่เขาเองก็ไม่ได้เจอเพื่อนรักคนนี้มาพักใหญ่แล้ว

“เออ หวัดดี” เขากล่าวทักทาย

"ได้หนังสือแล้วนะ ปกติไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือเท่าไหร่ แต่ของมึงกูประทับใจมาก เรื่องที่มึงเขียน มันทำให้กูเห็นตัวเองชัดขึ้น” กายพูดทันที

“ขอบใจเพื่อน แต่ กูไม่ได้ตั้งใจเอาเรื่องของพวกเรามาขายหรอกนะเว่ย” เขาพูดติดตลก

“เราไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีกแล้วน่า” กายตบไหล่เพื่อนอย่างจริงใจ “เอ้อ นั่นนัท แฟนกูเอง”

กายชี้ไปยังนัท ที่กำลังนั่งเคลียร์ของอยู่ที่หน้าภาพแสดงภาพใหญ่กลางแกลลอรี่ กายโบกมือให้แฟนหนุ่มของเขา พลางเดินนำเขาเข้าไปพบ

“คุณ ผมเห็นตารางงานของเจนในอีเมล์แล้ว ผมว่าจะให้มิกเอา Loveless Society บินส่งไปให้เจนก่อนวันศุกร์” นัท ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด หน้าตาดูน่ารักที่กายบอกว่าเป็นแฟนของเขาเอ่ยขึ้น กายส่งยิ้มให้กับนัท เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ผมรู้ ผมเลยอยากให้คุณมิกมีเพื่อนร่วมทาง” กายผายมือให้นัทเห็นตัวเขาเองที่ยิ้มให้อย่างงงๆ

“หวัดดีคับ ผมโฟล์คคับ นามปากกาหมึกเทา” เขาแนะนำตัวให้กับแฟนเพื่อน

“หมึกเทาเหรอคับ… คุณนี่เองที่เขียน Endless Dream” นัทส่งรอยยิ้มให้กับโฟล์ค “ผมชอบมากเลยคับคุณโฟล์ค มันเป็นหนังสือที่พูดเรื่องความรักได้งดงามมากเลยคับ” นัทพูดต่อ

“ขอบคุณคับผม ว่าแต่...กาย มึงจะให้กูมาทำอะไรนะ” โฟล์คยังคงตามไม่ทันกับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก

“อ๋อ… ก็พอดีแฟนกูเขาจะเอาภาพนั้นอ่ะส่งไปปารีส เพื่อนเค้าที่เป็นอาร์ตติสจะบินไปวันศุกร์นี้พร้อมภาพ กูเลยอยากให้มึงบินไปพร้อมกันเลย กับเพื่อนแฟนกู”

“อะไรนะ” โฟล์คร้องขึ้น ขณะที่กายกับนัทมองหน้ากันแล้วยิ้มกว้าง

“กูกับแฟน เราสองคนอ่าน Endless Dream แล้ว กูว่ากูรู้นะ ว่ามึงเขียนหนังสือเล่มนั้นถึงใคร”

คำพูดของกาย เหมือนเวทย์มนต์ดึงกาลเวลาบางอย่าง มันทำให้ห้วงความคิดของโฟล์คกลับไปสู่ห้วงภวังค์นั้นอีกแล้ว ห้วงความรู้สึกที่เขาคุ้นชิน มาตลอดเวลาที่เขาเริ่มเขียนหนังสือเล่มนั้น

ใช่...เพื่อนเก่าของเขาพูดถูก

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อคนบางคน

คนบางคนที่พาเขาเดินมาถึงจุดนี้จนได้



กายเดินเข้ามาหาโฟล์คที่นิ่งเงียบไป

“มันก็… เกิดเรื่องอ่ะ… นานแล้ว แล้วก็ย้ายไปอยู่ปารีสถาวร” กายพูดเบาๆ “พอมาคิดคิดดูแล้ว กูก็เลยคิดว่า อาจจะเป็นโอกาสดี ที่มึงจะ…”

“ถึงกูถ่อไปปารีส กูจะไปหามันเจอได้ไง” โฟล์คพูดต่อ

“กูว่าโลกมันกลมกว่านั้น” กายว่า “เพื่อนแฟนกู อาจจะทำให้มึงหามันเจอง่ายขึ้น”

กายหันไปหานัท ที่ส่งยิ้มให้โฟล์คทันที แฟนของกายยื่นตั๋วเครื่องบินให้ตรงหน้าโฟล์ค

“ยังไงคับเนี่ย” โฟล์คร้องถาม

“พอดีเพื่อนผมอีกคน เขายกเลิกไฟล์ท มิกเพื่อนผมที่เป็นอาร์ตติสเลยต้องบินไปปารีสคนเดียว กายเค้าถือวิสาสะเปลี่ยนชื่อตั๋วที่ว่างเป็นชื่อคุณ” นัทยิ้มให้

“ผม...ผมยังไม่เข้าใจ” โฟล์คพูดต่อ

“ผม มิก และสา เราสามคนรู้จักเค้า คนคนนั้นอ่ะคับ” นัทพูดต่อ โฟล์คเงียบสนิททันที ก่อนจะมองตั๋วในมือนิ่ง แต่กายไม่รีรอ หยิบตั๋วและยัดใส่มือของโฟล์คทันที

“มึง… ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย” โฟล์คว่า

“กูไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีมึงไม่เตือนสติกูวันนั้นนะโฟล์ค” กายพูดต่อ “เพราะงั้น มึงไปทำให้ฝันของมึง จบเหมือนในหนังสือเหอะ”

โฟล์คเงียบสนิท ก่อนจะหันหลังเดินจากมา

เรื่องราวร้อยพันตีวนอยู่ในหัวของเขา...

เรื่องราวในอดีต ที่เขาไม่คิดว่าจะได้กลับมาคิดถึงมันอีกครั้ง...

“มันไม่อยากเจอกูหรอก มัน… ไม่ให้อภัยกูหรอกกาย” โฟล์คยิมเศร้าๆให้กับกาย และให้กับตัวเอง

“ก็… ไม่ลองไม่รู้ มึงเคยบอกกูเองนะ” กายยิ้มให้เพื่อน

รอยยิ้มของเพื่อนสมัยมัธยมที่เขาคุ้นเคย

ฉายาพ่อมดของเพื่อนที่ได้ดิบได้ดีในวันนี้กลับมีเวทย์มนต์พาเขากลับไปวันนั้น...

วันที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น….

-------------------

เสียงฝีเท้าของไอ้พวกเด็ก ม.3 วิ่งไปตามระเบียงอีกแล้ว เหมือนพวกมันจะไม่เข็ดที่โดนวิชัยฟาดเรียงตัวเรื่องวิ่งบนอาคาร โฟล์คส่ายหัวให้กับพวกรุ่นน้อง พลางเบื่อกับการที่ต้องทนฟังเสียงดังเอะอ่ะโวยวายในช่วงที่เขากำลังจะนั่งทำการบ้าน เขาถอนหายใจใส่พวกมัน ขณะที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเรียบเรียงเรียงความในวิชาภาษาไทย

เสียงฝีเท้ากังขึ้นอีกและคราวนี้มันวิ่งเข้ามาในห้อง มันยิ่งทำให้เขาขาดสติ

“มึงไปวิ่งกันที่อื่นได้ป้ะ ไอ้เว….”

“ไอ้โฟล์ค มึงไปตีนสะพานด่วนเลย” เป็นไอ้มอสเองที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตะโกนร้องเรียกเขา

“มึงจะวิ่งเข้าห้องมาทำเชี่ยอะไร เดี๋ยววินัยก็เล่นมึงหรอก ทำสันดานเหมือนพวกม.ต้นไปได้” โฟล์คตะโกนใส่ “

“เออน่ะ เรื่องนั้นช่างแม่งก่อน ไปก่อน เร็ว” มอสร้องพลางรัวมือใส่โต๊ะรัวๆ

“กูเคลียร์สุชาดาอยู่ไม่เห็นรึไง” โฟล์คตอบ

“Zodiac โดนหยามอยู่นะเว่ย มึงจะปล่อยเพื่อนมึงโดนทำร้ายอ่อวะ” มอสพูดเสียงเรียบ และนั่นทำให้โฟล์ควางปากกาลงทันที

“มึงว่าไรนะ” โฟล์คพูดต่อ

“แกงค์เราโดน มึงจะปล่อยได้ไง” มอสย้ำคำอีกที และนั่นทำให้โฟล์ครีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

The Zodiac ฉายาของแกงค์ตัวป่วน ม.5 เด็กชายล้วนกางเกงดำ มอส โฟล์ค เบนซ์ กาย อิน ห้าสหายที่มีลวดลายกันไปคนละอย่าง แต่ละคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่กลับกลายเป็นแกงค์ที่สนิทกัน มันก็เริ่มมาจากการมองหน้ากันงงๆ ตอนที่โดนอาจารย์จับให้ทำงานกลุ่มด้วยกัน และเพราะเพิ่งจะมารู้จักกัน ก็เลยเริ่มสนิทกันจากตรงนั้น มอส หัวโจกของกลุ่ม ตัวเล็กเสียงดัง นักบาสประจำโรงเรียน เรื่องเรียนไม่สู้ แต่เรื่องกลุ่มเพื่อนไม่มีถอย โฟล์ค วิ่งตามงานต้อยๆ วันวันนั่งเอาหูฟังอุดหู เพราะติดเสียงเพลง เบนซ์ สาย Gadget บ้าโปรดักส์ ของมันต้องมีก็อยู่ในกระเป๋าหมด กาย เด็กอีสานลูกครึ่ง สู้ชีวิต หอบตัวเองมาเรียนคนเดียว หล่อกระชากใจสาว และอิน ขาวตี๋ ไม่พูดไม่จา เอะอ่ะหาย เอ่ะอ่ะถ่ายรูป

ทั้ง 5 คนจะว่าไปแล้ว ก็คือสายเด็กเรียน เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องต่อยตีนั้นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัว แต่สำหรับโฟล์คแล้ว ถ้าไอ้มอสวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องแล้วบอกว่ามีเรื่อง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อคำของมัน

ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสองวิ่งมาถึงตีนสะพานพุทธ สวนสาธารณะเล็กๆที่เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนเดินไปมาเป็นคู่ๆ โฟล์คหายใจเหนื่อยหอบ พลางมองไปรอบๆ เพื่อหาว่าไหนคือสนามรบที่เกิดขึ้นและเพื่อนคนไหนของเขากำลังโดนรุมสะกำ

“ไหนวะ ไม่เห็นมีใครโดนตีนเลย” โฟล์คร้องตะโกน

“กูบอกมึงตอนไหนว่ามีคนโดนตีน” มอสพูดตอบ

“เอ๊าไอ้ห่า แล้วมึงตามกูมาเพื่อ? กูก็นึกว่าใครในกลุ่มเราโดนกระทืบ” โฟล์คร้องถาม

“กูบอกว่าคนในกลุ่มเราโดนหยามไง และกูหมายถึงนั่น…” มอสชี้ไปยังเก้าอี้ข้างหน้าพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง และนั่นทำให้โฟล์คเห็นอะไรที่คุ้นตา

“มินนี่”

โฟล์คร้องขึ้นมา ภาพของเด็กสาวเซนโยตรงหน้า มินนี่ เธอคุยกับเขาในเฟสมาพักใหญ่แล้ว แถมดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่เขาตกลงไปดูหนังกะเธอเมื่ออาทิตย์ก่อน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาคิดอะไรกับเธอเลยเถิดนัก แต่ทว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันคือมินนี่ ที่กำลังนอนพิงอยู่ในอ้อมแขนของ

ไอ้อิน…

“เชี่ย…” โฟล์คร้องออกมาทันที

“ใช่ เชี่ย… แม่งโคตรหยามสัส… มึงสองตัวโดนเด็กเซนโยปั่นหัวพร้อมกัน เจอของแรงแล้วไอ้โฟล์ค” มอสพูดขณะที่นั่นทำให้โฟล์คหัวร้อนขึ้นทุกที

“ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” โฟล์คถามขึ้น

“กูก็ไม่แน่ใจอ่ะ ก็เห็นไอ้อินมันบอกว่ามันคุยกับคนนึงอยู่ แต่กูไม่รู้ว่าเป็นคนนี้ว่ะ ก็เพิ่งเห็นเนี่ย” มอสว่า “แต่กูเห็นมึงกับมันสนิทกันอ่ะ กูก็นึกว่ามึงกะมันเคยเห็นคนของมึงกันเองแล้ว”

เสียงของมอสที่พูดขึ้นมาไม่ได้ทำอาการหัวร้อนของโฟล์คทุเลาลง แต่มันทำให้ยิ่งร้อนยิ่งขึ้น

ใช่… เพราะโฟล์คสนิทกับอินมาก ที่เขาหัวร้อน เลยไม่ใช่เพราะมินนี่กำลังนอกใจเขาซะด้วย

มันเป็นอย่างอื่น….

โฟล์คกำหมัดแน่นขณะที่ออกเดินไปตรงหน้า

“เชี่ยโฟล์คใจเย็น”

โฟล์คไม่รอช้า เดินตรงไปที่เก้าอี้ตัวงนั้นทันทีและหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งคู่

“โฟล์ค” เสียงของมินนี่ร้องขึ้นทันที และนั่นทำให้เธอตกใจเผลอทำแก้วน้ำหกใส่ตัวของอิน

“เชี่ย” อินร้องเสียงดังเมื่อกางเกงของเขาเปียกโชก ขณะที่มินนี่รีบลุกขึ้น และถอยตัวห่างออกไป พลางจ้องมาที่โฟล์คเขม็ง

“โฟล์ค… มาได้ไงอ่ะ” มินนี่พูดเสียงสั่น

“อะไรกันวะเนี่ย… เดี๋ยวนะ มินนี่รู้จักมันด้วยอ่อ” อินพูดเสียงสูง ดูตกใจกับสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น

“มีอะไรจะพูดป่าว” โฟล์คถามขึ้น

“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้นนะโฟล์ค ตัวกำลังเข้าใจผิด มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ” มินนี่รีบแก้ตัว และนั่นทำให้อินหันไปมองเธอทันที ก่อนจะหันกลับมาหาโฟล์คด้วยสายตาแข็งกร้าว

“เชี่ย นี่...อย่าบอกนะว่า…” อินร้องขึ้นมาบ้าง

“ไม่เลยมินนี่ … ตัวต่างหากที่เข้าใจผิด” โฟล์คพูดพลางมองไปที่อิน “เพราะมันไม่ใช่อย่างที่มินนี่เห็นหรอก”

ในเสี้ยววินาที โฟล์คดึงตัวอินเข้ามาจูบทันที

“หะ…..”

และแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ



ในความรู้สึกของโฟล์ค เขาไม่รู้เลยว่า นาฬิกาอันยาวนานของเขา ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

…………...
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-12-2019 13:22:45
บทที่ 2 - Kiss

“โอเค กูรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ แต่...ที่กูทำไป มันมีเหตุผล” โฟล์คพยายามค่อยๆเปิดปากพูดออกไปทีละคำ การอธิบายของโฟล์คมันยากลำบาก เพราะหลังจากอินเหวี่ยงหมัดใส่เขาจนเซถลาไปแล้ว หน้าของเขายังไปกระแทกกับไหล่ของมอสที่ยืนอยู่ด้านหลังอีก ปากและช่วงแก้มของเขาระบมจนรู้สึกได้

“เหตุผลเชี่ยไรของมึง” อินยังคงนั่งนิ่ง สายตาที่โกรธจัดมองมาที่โฟล์ค ขณะที่มือของอินกำแน่นวางอยู่บนตัก

“ก็ถ้าไม่ให้มึงกะกูดูเป็นแฟนกัน มึงก็ต้องโดนเขาปั่นหัวต่อไปไง” โฟล์คพูดต่อ พยายามมองไปในตาของอิน สายตาที่ดูจะเป็นคำตอบให้โฟล์คฟังได้ว่า มันไม่มีเหตุผลใดใดที่เชื่อถือได้เลย

“แล้วมินนี่เค้าว่าไงอ่ะ” เบนซ์ถามขึ้น ราวกับกำลังนั่งฟังตอนต่อไปของการ์ตูนเล่มโปรด

“ก็ไม่ว่าไงอ่ะ พอกูถอนปากจากมัน เขาก็หายไปแล้ว” โฟล์คพูดต่อ แต่นั่นทำเอาอินทำท่าจะลุกขึ้นอีกครั้ง

“เห้ยๆ ใจเย็น ใจเย็น” มอสรีบถลาเข้าไปห้ามอารมณ์อินทันที

“โธ่เอ๊ย เด็กเซนโย กูเห็นจิ้นวายกันชิบหาย พอเจอของจริงเข้า ก็สตั๊นไปดิ” เบนซ์ว่าต่อ

“พวกมึงนี่ก็นะ กูก็นึกว่าเรื่องอะไรใหญ่โต” กายพูดขึ้นเสียงเรียบง่าย “กูถ่ายรูปอยู่ท่าเตียน อุตส่าห์รีบถ่อกลับมาโรงเรียน ป่านนี้แสงหมดละเนี่ย ไร้สาระไปป่ะ”

“เออ เอาน่ะ แล้วก็แล้วกันไป” มอสพูดขึ้นต่อ “มึงก็คิดซะว่าขำขำไปดิ ยังไงมึงก็อดได้เค้ากันทั้งคู่ไม่ใช่อ่อ”

มอสยังคงสถานะการเป็นตัวเชื่อมของแกงค์ได้เสมอเหมือนเดิม แต่อารมณ์อันครุกรุ่นของอินยังคงมองมาเหมือนเดิม

“กูขอโทษมึงละกั….”

อินไม่รอฟังคำขอโทษจากปากของโฟล์ค มันคว้ากระเป๋าลุกเดินออกไปจากห้องทันที เบนซ์ส่ายหน้าให้กับโฟล์คก่อนจะเดินตามอินออกไปอีกคน ขณะที่มอสยังคงมองหน้าโฟล์คอยู่อย่างนั้น

“อะไร” โฟล์คร้องถามเมื่อสายตาของมอสมองมาที่เขาอยู่อย่างนั้น

“มึงมีอะไรจะพูดกะกูป่ะ” มอสถามต่ออีก

“ไม่มีอ่ะ” โฟล์คตอบย้ำ

“มึงแน่ใจ?” มอสถามต่ออีก

“มึงจะถามเซ๊าซี๊เชี่ยไรเนี่ย” โฟล์คตอบตัดรำคาญ พลางมองไปที่กายที่ยังคงเหล่มองมาที่เขาทั้งคู่เหมือนกัน

“มึงรู้ป่ะ ว่าเรา ม.5 เทอม 2 ละนะ พวกมึงจะยังไงกูไม่รู้นะเว่ย แต่กูไม่มีเวลามาเล่นอะไรแบบนี้กะพวกมึงละนะ” กายพูดเสียงจริงจัง

“เออ กูขอโทษ” มอสส่งเสียงอ้อน “ก็.. กูอยากให้อยู่เคลียร์กันครบๆอ่ะ พวกมึงไม่เคยต่อยกันเลยนะเว่ย มึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่บ้างอ่อ”

“เรื่องใหญ่ของกู ก็คือพวกมึงที่ไม่คิดจะจริงจังเชี่ยไรกันเลย มึงไม่สอบกันหรือไงวะ อนาคตอะไรไม่คิดกันงี้?” กายยังคงพูดต่อ

“คิดเด่ะ ก็ถ้าไม่ให้โฟล์คมันเคลียร์กะอิน เดี๋ยวเราก็เสียฐานการบ้านของแกงค์ไปละแย่เลย” มอสหันมายักคิ้วให้กับโฟล์คที่ด่ากลับอย่างไม่ออกเสียง

กายส่ายหน้าให้กับการกระทำของเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเก็บของและเดินออกจากห้องตามไปอีกคน

“เจอกันพรุ่งนี้”

สิ้นเสียงของกายไป ก็เหลือไว้แต่ความเงียบ

“มันจะโกรธอะไรกันวะเนี่ย พวกเราแกงค์โซดิแอคมันต้องคีพคูลดิวะ” มอสพูดต่อ

“มันก็พูดถูกนะ กูว่า เรื่องนี้แม่งไร้สาระ” โฟล์คพูดต่อ

“เหรอวะ กูว่ามึงจะเป็นคนสุดท้ายนะ ที่คิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระอ่ะ” มอสว่า

“ทำไมวะ” โฟล์คถามต่อ

“มึงคิดว่าทำไมพอกูเห็นอินอยู่กับมินนี่ กูถึงวิ่งมาตามมึงคนแรกวะคับ” มอสพูดพลางยิ้มกริ่ม

“ก...ก็… เพราะกูอยู่ใกล้สุด” โฟล์คพูดเสียงสั่น

“หึ… ก็อาจจะใช่ แต่พอมึงใช้วิธีจูบ กูเลยมั่นใจ” มอสว่าต่อ

“นี่มึง”

“ก็เป็นอันว่า ที่มึงคอยดูแลมันมาตลอดตั้งแต่เข้า ม.4 มาใหม่ๆ ก็คือมีเหตุผล” มอสพูดพลางเป็นฝ่ายหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาพาดบ่า “และอีกอย่าง ถึงกูจะเอาแต่เล่นๆ แต่กูไม่ได้โง่คับ”

มอสเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงก้อนความรู้สึกที่หนักอึ้งในตัว

-----------------------

โฟล์คไม่เข้าใจก้อนความเงียบที่เกิดขึ้นในโต๊ะม้าหินประจำแกงค์หน้าตึกของพวกเขา มันเป็นก้อนความเงียบที่ประหลาดมาก ปกติแล้วแกงค์โซดิแอค จะต้องโหวกเหวกโวยวาย นั่งจมอยู่กับคอมคนละเครื่อง ต่อไวไฟ แล้วลุยเกมส์ไปพร้อมกัน ชื่อตี้ The Zodiac ทีม 5 คน พร้อมไฟว้กับทุกๆแมทช์อยู่แล้ว

แต่วันนี้มันแปลกประหลาดมากสำหรับโฟล์ค แม้เขาจะรู้ตัวดีว่าเป็นเขาเองที่ทำให้เกิดเรื่องเมื่อสองวันก่อน แต่สำหรับเขา สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันออกจะเกินไปหน่อย

เบนซ์ จากที่เคยนั่งหัวเราะอยู่กับมอสสองคน มือติดหนังสือการ์ตูนวันพีชไม่มีวาง วันนี้กลับนั่งจมกองสีโคปิกและกระดาษวาดรูปของมัน ทั้งๆที่งานวิชาศิลปะของอาจารย์แก้วกาญจน์ มันก็ได้คะแนนดีอยู่แล้ว แต่วันนี้เบนซ์กลับนั่งแก้ทุกอย่างอยู่อย่างนั้น ซึ่งออกจะเกินไปหน่อย ในขณะที่กาย นั่งจมกับแมคของตัวเอง มีกล้องและเมมการ์ดวางอยู่ข้างตัว ปกติแล้วรังสีของมันก็ไม่น่าจะเข้าใกล้อยู่แล้วเวลาที่มันทำงาน วันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ส่วนอินวันนี้มันเงียบไป ซึ่งหลังจากที่ไม่ยอมคุยกับโฟล์คมาสองวัน ทุกอย่างก็ยิ่งดูมาคุมากขึ้นไปอีก อินนั่งจมอยู่กับคอมตรงหน้าของมันอย่างเคยอยู่ใกล้ๆกาย พร้อมกับต่อสายเข้ากับโทรศัพท์มือถือของมัน จะมีก็เพียงมอสที่นั่งลอกการบ้านอยู่ข้างๆเขา อาจจะเป็นเพราะมันวันนี้นั่งทำการบ้านอย่างเงียบเชียบ ทุกอย่างเลยดูเงียบลงไปอีก

“มึงไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอวะ” โฟล์คพูดขึ้น

“หือ มึงว่าไงนะ” มอสเงยหน้าขึ้นมาถามต่อ

“โว๊ย ช่างแม่งเหอะ” โฟล์คตะโกนเสียงดังขึ้นมา ทำเอาทั้งแกงค์เงยหน้าขึ้นมามองทันที

“เป็นเชี่ยไรของมึงเนี่ย ตกใจหมด กูลงสีผิดเลย” เบนซ์ร้องขึ้น พลางขยำกระดาษทันทีพลางถอนหายใจ ขณะที่กายส่ายหน้าพลางเปลี่ยนเมมการ์ดเข้าไปในคอมใหม่ โฟล์คได้แต่มองอินที่ไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ใดใดตรงหน้า ได้แต่นั่งนิ่งจ้องคอมตัวเองต่อไป โฟล์คมองไปยังอิน พลางถอนหายใจอยู่อย่างนั้น

“อะไรของมึงวะ” มอสพูดขณะมองหน้าโฟล์ค สะกิดมือของเขาด้วยปากกาเบาๆ

“มึงไม่เห็นอ่อ ว่าแม่งโคตรผิดปกติอ่ะ” โฟล์คลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบแทนเมื่อพูดกับมอส “อยู่ด้วยกันมาเป็นชาติ มึงเคยเห็นกลุ่มเป็นงี้อ่อวะ”

“อ้อ…” มอสหันไปมองเพื่อนๆในแกงค์ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ค่ายเยาวชนนักออกแบบ”

“หะ อะไรนะ” โฟล์คร้องถาม

“ก็ค่ายไง เป็นค่ายที่แจกทุนการศึกษาให้กับเด็ก ม.ปลายทั่วประเทศ ที่มีทักษะในด้านดีไซน์” มอสว่า

“อะไรคือดีไซน์” โฟล์คถามต่อ

“เออ มึงพูดเหมือนกูเปี๊ยบเลยตอนไอ้กายมันเล่าให้ฟัง ก็นะ มึงกะกูมันคนละทางกะพวกแม่งนี่เนอะ” มอสว่า “มันก็...พวกทำให้บ้าน ห้อง สวน เมือง โปรดักส์ แล้วก็สื่อออกมาสวยๆอ่ะ ประมาณนี้”

“แล้วไอ้กายถ่ายรูปเนี่ยนะ” โฟล์คชี้ไปที่กาย

“เห้ย มันเจ๋งนะเว่ย กูไปเห็นในเครื่องมัน มีแบบ 3D ที่ถอดมาจากรูปถ่ายได้ด้วยอ่ะ โคตรเทพ” มอสว่า “ส่วนไอ้เบนซ์มึงก็เห็น มันสเก็ชมือเกรียนอยู่แล้ว”

“แล้วไอ้อินอ่ะ” โฟล์คถามต่อ

“ก็...ไม่รู้ดิ เห็นมันบอกว่ายังงงๆ จับทางไม่ได้ด้วยมั้ง ก็เลย…” มอสยักไหล่

“หน้าแม่งเลยเป็นงั้นดิ” โฟล์คว่าต่อ “ก็นึกว่าโกรธกู”

“อ๋อ เรื่องนั้นมันยังโกรธมึงแน่นอนคับ ไม่ต้องห่วง” มอสพูดกวนตีน โฟล์คเลยเขกกะโหลกเข้าไปทีหนึ่ง ขณะที่มองไปยังอินที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น

“มันจะใช่สำหรับมันเหรอวะ” โฟล์คพูดเบาๆขึ้นมา

ทันใดนั้น อินก็เหลือบตาขึ้นมามองโฟล์ค เขาสะดุ้งก่อนจะหลบตาลง และรีบหยิบหูฟังมาเปิดเพลงทันที พลางรีบหยิบสมุดการบ้านมานั่งทำงานต่อ อินมองโฟล์คอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มอสจะรู้สึกตัวได้ว่าเกิดสงครามสายตาระหว่างกัน

“อ...เอ้อ…พรุ่งนี้บ้านกูเปิดนะคร้าบ พวกมึงมาสิงกันได้” มอสป่าวประกาศทันทีว่าบ้านห้องแถวย่านตลาดพลูของเขาที่เป็นอีกหนึ่งแห่งสิงสถิตของแกงค์นั้น เป็นอีกครั้งที่พ่อแม่เขาไม่อยู่ พวกหนูอย่างเขาก็สามารถไปร่าเริงได้เช่นเคย

“เออก็ดี กูส่งงานเสร็จ จะได้ไปกินน้ำชาบ้านมึง” เบนซ์พูดต่อ “กายมึงไปป้ะ”

“ก็ไปได้นะ เดี๋ยวออกไปเก็บงานแถวนั้นก็เดี๋ยวแวะเข้าไป” กายพูดต่อ “ไปกันหมดเลยป่ะ”

“กูไปไม่ได้ว่ะ” อินพูดขึ้นทันที

“อ้าว...ทำไมวะ” มอสถามต่อ อินเหลือบตาขึ้นมองหน้าโฟล์คที่แอบมองอินอยู่ อินยิ้มเยาะครั้งหนึ่ง

“กูกับไอ้โฟล์คต้องไปสยาม กูกับมันมีนัดกินข้าวว่ะ”

“ห...หะ” โฟล์คร้องขึ้นทันที ขณะที่สายตาของทุกคนมองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว โฟล์คตามไม่ทันนักกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขามองไปยังอินที่ยังส่งสายตามาให้เขาอยู่อย่างนั้น

“เอ่อ...ช...ใช่ กูต้องไปกับมัน พวกมึง ไปรวมกันก่อนเลย ถ้าไม่ดึก เดี๋ยวตามไป”

อินส่งสายตาอาฆาตมาหาโฟล์คแว้บหนึ่งก่อนจะก้มลงไปนั่งทำงานต่อ เหลือก็แต่มอสที่ยังเหล่มองเขาไม่เลิก

“มึงแน่ใจนะ ว่าไม่มีอะไรจะบอกกูอ่ะ”

กลับกลายเป็นว่าพอแกงค์กลับมาพูดคุยกันแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้โฟล์คหายกังวลลงไปได้เลย
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 2 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-12-2019 19:03:23
 o13
เพื่อนสนิทคิดอะไร
ดูอารมณ์หน่วงๆดี


เพื่อนร้ายคล้ายจะรักกัน
อิอิ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 2 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2020 12:07:01
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-01-2020 13:41:59
บทที่ 3 - Angel

โฟล์คนั่งรออยู่ที่สยามในคอฟฟี่ช้อปเขาไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่นักกับการนั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ จากการพยายามคิดทบทวนอยู่หลายตลบแล้วก็ตาม มันก็ยังไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลยซักอย่าง อินส่งข้อความมาหาเขา พร้อมกับเวลานัดหมายและโลเกชั่นของร้าน ไม่มีรายละเอียดอย่างอื่น ขณะที่เขาได้แต่นั่งบวกลบคูณหารในหัวเอาเองว่าจะมาหรือไม่มาอย่างไรดี

การนั่งรอก็ไม่ได้แย่นัก เมื่อมีโฟล์คมีหูฟังติดหูอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เพลงทีฟังสบายในหูตอนนี้ก็ไม่สามารถกลบความคิดที่ตีรวนในหัวไว้ได้เลย

กริ๊ง!

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นพร้อมกับอินที่เปิดประตูร้านเข้ามา มันมองมาที่เขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะ โฟล์คขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่มองอินที่มาในชุดที่ดูดีเกินไปหน่อยในความเห็นของเขา

“ย้ายไปนั่งโน่น” อินพูดขึ้นพลางชี้ไปยังอีกโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่าง โฟล์คไม่ได้ตอบอะไรได้แต่เดินตามไปอย่างนั้น เมื่อนั่งที่ใหม่กันเรียบร้อย โฟล์คมองหน้าอินที่เฉยเมย ก่อนจะพยายามหาคำพูดอะไรบางอย่าง

“กู…” โฟล์คค่อยๆพูดขึ้น

“ถ้ามึงจะพูดเรื่องนั้นอีก กูจะต่อยมึงตรงนี้เลย” อินพูดสวน ทำเอาโฟล์คปิดปากลงทันที อินหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะหยิบไอแพดของตัวเองขึ้นมา ขณะที่โฟล์คเก็บหูฟังของตัวเองลง

“แล้ว… ทำไมไม่ไปบ้านไอ้มอสอ่ะ” โฟล์คถามต่อ

“กูมีนัดอ่ะ” อินตอบห้วนๆ

“ก็รู้ แล้วให้กูมาด้วยทำไม” โฟล์คถามต่อ

“แล้วมึงมาทำไมอ่ะ” อินยักคิ้วกวนๆให้กับโฟล์ค



โฟล์คยอมรับเลยว่าเขาหมั่นเขี้ยวใบหน้านี้ของอินเอามากๆ



“ก็มึง...บอก” โฟล์คตอบเบาๆ

อินเหลือบตาขึ้นจากไอแพดเบาๆ พลางมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น

“โอเค๊…” อินพูดต่อ “วันนั้น มึงบอกว่านั่นเป็นวิธีแก้ปัญหาเรื่องมินนี่ใช่ป่ะ”

“เรื่องจูบอ่ะนะ” 

“กูบอกว่าไม่ต้องพูดเรื่องนั้นไง” อินว่าต่อ โฟล์คปิดปากเงียบอีกครั้ง “ในเมื่อมึงไม่บอกกูดีดีว่าคบซ้อนกัน กูก็เลยลากมึงมานี่ จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องอีก”

“ไม่เข้าใจว่ะ”

อินเหลือบตามองไปหน้าร้าน ขณะที่โฟล์คถาม

“ย้ายมานั่งข้างกูนี่”

“หือ” โฟล์คส่งเสียง ขณะที่ได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย

กริ๊ง!

โฟล์คเหลือบมองหน้าโฟล์คอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปที่ทางเข้าร้าน และนั่นทำให้เขาเห็นคำตอบที่พอจะคาดเดาได้

เด็กสาวสองคนเดินเข้ามาในร้าน คนที่เดินนำหน้ามานั้นมีออร่าบางอย่างที่น่าดึงดูดมากสำหรับโฟล์ค ดวงตาภายใต้แว่นตาอันน่ารักของเธอดูส่องประกายพร้อมรอยยิ้มที่เดินเข้ามาหาเขาและอิน ผมรวบยาวเป็นเปียมาด้านข้าง ชุดสีส้มโทนน้ำตาลของเธอก็ดูน่ารักเอามากๆ เพื่อนของเธอที่เดินมาด้วยกันที่กำลังหัวเราะและพูดคุยอย่างร่าเริง ยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าของเขาเด่นชัดขึ้นไปอีก

“หวัดดีเจน” อินร้องทักขึ้นก่อน ขณะที่เธอและเพื่อนนั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามเขาและอิน

“หวัดดีอิน เออ นี่เพื่อนเราฝนนะ พอดี ออกมาซื้อของด้วยกันน่ะ” เจนยิ้มให้

“อ๋อ หวัดดี นี่ก็เพื่อนเรา โฟล์ค” อินแนะนำเขาให้กับเธอ โฟล์คได้แต่พยักหน้ารับงงๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่ละสายตาไปจากอินและเจนที่ส่งรอยยิ้มหากันได้ 

“หวัดดีคับ” โฟล์คเอ่ยทักขึ้น เจนหันมายิ้มให้พร้อมๆกับฝนที่พยักหน้ารับคำ

“เอ้อ...สั่งไรก่อนมั้ย” อินยกมือเรียกพนักงาน ขณะที่นั่งมองเมนู ส่วนโฟล์คที่ยังตามสถานการณ์ตรงหน้าไม่ทันนัก ก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

“โฟล์คก็จะส่งพอร์ตไปค่ายเหมือนกันใช่หรือเปล่า” เจนถามขึ้น

“ห...หะ ว่าไงนะคับ” โฟล์คตอบอย่างตะกุกตะกัก 

“อ๋อ ไม่ใช่หรอก โฟล์คมันไม่ได้ถนัดสายนี้อ่ะเจน พอดีเดี๋ยวเรากับมันจะไปบ้านเพื่อนกันต่ออ่ะ เลยติดมาด้วย” 

“ค่ายไรวะ” โฟล์คถามต่อ

“ค่ายเยาวชนนักออกแบบที่แจกทุนไง กุกับเจน กำลังจะส่งค่ายนี้” อินตอบ

“อ๋อ… ที่ไอ้มอสเล่าให้ฟังวันก่อน เหมือนไอ้เบนซ์กับไอ้กายก็จะลงด้วย” โฟล์คว่า

“เพื่อนอินลงกันหมดเลยเหรอคะ” เจนร้องถาม

“อ๋อ ป่าวอ่ะคับ มีผมกับเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้ลง พอดี ผมสองคนไม่ถนัดอะไรอย่างนี้” โฟล์คยิ้มให้กับเธอ 

“แล้วเพื่อนเจนอ่ะ ลงป้ะ” อินหันไปถาม

“ก็กำลังดูดูอยู่เหมือนกันอ่ะ ถ้าไหวก็จะลง” ฝนยิ้มให้ขณะที่พนักงานเดินมาพอดี 

“เอาชาเขียวร้อนคับ เจนกินโกโก้ใช่ป่ะคับ ฝนล่ะ” 

“ได้ๆ ฝนเอาเหมือนกันป่ะ” เจนหันไปถามเพื่อนที่พยักหน้ารับ ขณะที่อินหันมาถามโฟล์ค

“มึงอ่ะ จะเอาอะไรป้ะ” มันถามโฟล์คที่หันมามองหน้าอิน

“เหมือนมึงอ่ะ” 

อินมองหน้าโฟล์คอย่างงงๆ ก่อนจะหันไปคอนเฟิร์มเมนูกับพนักงาน 

“แล้ว… อินได้อะไรเพิ่มเติมบ้างหรือยัง” เจนถามต่อ “เจนคิดไว้แล้วว่าของเจนน่าจะเป็นภาพดอกไม้ที่ประกบเป็นลายชุดได้ เจนเคยทำส่งวิชาศิลปะ อาจจะเอามาต่อยอดต่อ”

“เป็นแนวแฟชั่นเหรอ” อินถามต่อ

“ยังไม่ชัวร์อ่ะ ก็กำลังคิดๆอยู่ วันนี้ก็ออกมากับฝน ว่าจะลองไปเดินๆดูผ้ามาตัดกับตุ๊กตาเล่นๆ” เจนยิ้มกว้าง “แต่ก็คิดอยู่ว่าถ้าได้ภาพสวยๆด้วยก็คงดี เลยกำลังจะหาคนมาถ่ายรูปให้ด้วย”

“แล้วได้หรือยังอ่ะ” อินถามต่อ

“ก็ยังนะ กำลังดูๆไปเรื่อยๆอ่ะ” 

และแล้วโฟล์คก็ต้องนั่งอยู่ท่ามกลางบทสนทนาที่เขาไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก เหมือนเขากำลังถูกดึงไปในโลกที่มีเพียงแค่อินและเจนสองคน เขาถอนหายใจเล็กน้อยขณะมองออกไปด้านนอกร้าน อินพาเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง ให้เขามาเจออีกคนที่อินกำลังคุยอยู่ 

เพื่อตอกย้ำว่ามันไม่ได้คบซ้อนกับเขา และให้ลืมเหตุการณ์งี่เง่าเมื่อวันก่อนไปซะ

เหตุการณ์ที่จริงๆแล้ว โฟล์คเองก็….

……..

“นางฟ้าเลยเหรอวะ” มอสพูดเสียงกระซิบที่ลานปูนหลังบ้าน มือข้างหนึ่งถือบุหรี่ขณะที่โฟล์คยืนพิงประตูบ้านอย่างเบื่อหน่าย

“เออ มันว่างั้น แต่...ก็สวยจริงๆ สวยเลยแหละ” โฟล์คพูดตอบ

“เด็กที่ไหนวะ” มอสถามต่อ

“เซนโย” โฟล์คตอบ

“เอาอีกละอ่อ ไม่เข็ดนะเชี่ยอิน” มอสว่าพลางขยี้บุหรี่ทวนสุดท้ายลง

“เด็กเซนโยก็ไม่ได้เหมือนกันทุกคนป่ะวะ” โฟล์คพูดพลางหัวเราะเบาๆ “อีกอย่าง เจนเค้าก็ดู...เจ๋ง”

มอสเหล่มองโฟล์คทันที

“อะไร” โฟล์คร้องถาม

“มึงเหอะ… เอาไง” มอสว่า

“จะให้เอาไงอะไร…” โฟล์คเลิกคิ้ว

“ก็เรื่องมันไง… มึงโอเคป่ะเนี่ย” มอสถามต่อ 

“กูก็ไม่ได้เป็นอะไร จะให้กูยังไงวะ ถามซะงง” โฟล์คว่าต่อ

“ไอ้เชี่ยกาย มึงโกง..”

เสียงแว่วๆของเบนซ์และเพื่อนคนอื่นๆกำลังตะโกนเล่นกันหน้าจอเพลย์สเตชั่นจากชั้นลอยลงมาจากชั้นบน มอสส่ายหน้าให้กับเสียงนั้นก่อนจะเดินเข้ามาหาโฟล์คทันที

“ที่ผ่านมา มีหญิงมาติดมึงสองคน มินนี่ก็คนที่สองมั้งถ้ากูจำไม่ผิด ทั้งสองคนทิ้งมึงไปมีคนอื่นหมด แต่มึงก็เฉยๆ” มอสพูด 

“มึงพูดทำไมเนี่ย” โฟล์คว่า

“ขนาดตอนเกิดเรื่องมินนี่ กูก็ไม่เคยเห็นมึงทำหน้าเซ็งเท่านี้ ทั้งๆที่คนที่คบซ้อนมินนี่ ก็เพื่อนกันเอง” มอสว่า “ถ้าเป็นคนอื่น กูว่าซัดกันนัวไปแล้ว แต่มึงปล่อยผ่านไป มาวันนี้มึงทำหน้ายังกะแพ้แรงค์ติดกันหกตา ถ่อเอาตัวเองกลับมาบ้านกูคนเดียว ด้วยเหตุผลง่ายๆแค่ว่าไอ้อินแม่งออกไปต่อกับเด็กเซนโยคนใหม่” 

โฟล์คหลบสายตาลง

“กูว่า… ประเด็นเรื่องนี้ไม่ใช่คบซ้อนไม่คบซ้อนละมั้ง” มอสพูดช้าๆเสียงดังฟังชัด “ตอนนี้ไม่มีคนอื่นละ ตอบกูมาคำเดียว ใช่ไม่ใช่” 

มอสมองมาที่โฟล์คอย่างเต็มตา 

“มึง… ชอบไอ้อินป่ะเนี่ย”

และแล้วก็เงียบกันไปพักนึง โฟล์คเงียบสนิท ขณะที่มองไปยังมอสที่จ้องหน้าเขา

“ชนะคับผม” 

เสียงของกายดังแว่วลงมา เป็นการประกาศชัยชนะไปได้อีกหนึ่งตา

“เห้ย… พูดเชี่ยไร มึง...เพ้อละ” โฟล์คพูดตอบ

“กูเพื่อนพวกมึงนะเว่ย” มอสว่า “มึงคิดว่ากูดูไม่ออกอ่อ ตั้งแต่ ม.4 ได้มั้ง ตั้งแต่ตอนไอ้อินแม่งโดนแกงค์พี่โจ้แกล้งมันอ่ะ มึงก็ไปช่วยมัน”

“เป็นมึงมึงก็ต้องช่วย” โฟล์คว่าต่อ

“รวมถึงปั่นการบ้านให้มัน แล้วก็แวะเอาไปให้มันที่บ้านตอนมันลาป่วยด้วยป้ะ” มอสว่า “เพราะกูคงไม่ทำอ่ะ”

“เชี่ยมอส” 

“ตอบมาสั้นๆ ใช่ไม่ใช่ มีแค่กูกะมึงเนี่ย”

โฟล์คกัดฟันเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ มองออกไปข้างนอก พลางส่ายหน้า

“โอเค๊… ไม่ก็ไม่”

มอสยักไหล่พลางเดินกลับเข้าตัวบ้านไป

“ไม่มีหวังต่างหาก” โฟล์คพูดต่อ ทำเอามอสนิ่งสนิทพลางเหลียวหลังกลับมาหาโฟล์ค

“ไงนะ”

“กูมองไม่เห็นเลยว่ามันจบยังไง” โฟล์คพูดต่อ “วันนี้กูเห็นความฝันของมันกับนางฟ้าของมันแล้ว กูกับมัน ห่างกันลิบลับเลยว่ะ”

“อืม… จูบนั่นของจริงงั้นดิ” 

โฟล์คยักไหล่ตอบรับ ก่อนจะเดินสวนมอสขึ้นบ้านไปทันที

…………..
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 3 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 01-01-2020 14:18:13
ความอึมครึมนี้


มันอึดอัดไปหมด
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 4 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-01-2020 16:44:08
บทที่ 4 - Incomplete

“ก็มึงก็เอาค่าตรงนี้ ลงไปรวมกับสมการข้างล่าง แล้วก็ตัดออกนี่ไง” โฟล์คชี้ไปที่แบบฝึกหัดในสมุดของมอส ขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องเรียนตอนคาบว่างในบ่ายวันต่อมา

“โอเค เก็ทละ…เสร็จโว้ย” มอสเขียนคำตอบลงไป ก่อนจะเก็บชีทแบบฝึกลงอย่างหมดกังวล ก่อนจะมองนาฬิกา “แล้วสรุปปรีชาคือไม่เข้าแล้วอ่อวะ ไม่งั้นกูจะลงไปซ้อมบอสละนา”

“มึงส่งรายงานสังคมมาให้กูหรือยังอ่ะ ไม่งั้นกูทำพรีเซนต์ไม่ได้” อินตะโกนทวงมาจากโต๊ะด้านหลัง

“เอ๊า สรุปกูทำอ่อ กูนึกว่ามึงให้ไอ้โฟล์คทำ” มอสหันไปถาม

“ตลกละ วันนั้นกูบอกว่าให้มึงอ่ะทำ เพราะกูจะออกไปสยามกะโฟล์คไง” อินพูดเสียงเข้ม

“อ๋อ… วันที่เจอนางฟ้า” มอสส่งเสียงแซว อินที่ชูนิ้วกลางให้เพื่อนทันที ขณะที่มอสเหล่มามองโฟล์ค

“มึงรีบทำเหอะ เดี๋ยวไอ้อิน ไอ้กาย ไอ้เบนซ์ไปค่ายสามวันแล้วจะยุ่ง” โฟล์คพูดเตือนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“เออ กูพิมพ์สองนาทีเสร็จ ยืมคอมแปป” มอสไม่รอช้า ดึงคอมออกจากกระเป๋าของโฟล์คและเริ่มเปิดทำงานทันที

“ข้อมูลอยู่ไดร์ฟจีอ่ะ เออ นั่นแหละ...ทำไปทำไป”

“เบนซ์ มึงถึงไหนแล้ว” กายวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องเสียงตื่น ในมือถือกล้องและนั่งลงข้างๆเบนซ์ที่กำลังใช้มือถือถ่ายรูปสเก็ชของตัวเอง

“ก็เก็บงานเป็นรูป แล้วก็เอาไปโปรเสดในคอมอีกหน่อย ก็เรียบร้อย กูไม่รู้จะแก้อะไรต่อละว่ะ” เบนซ์พูดพลางใช้สมาธิ “แล้วมึงอ่ะหาวิธีทำให้ภาพซอฟต์ลงได้ยัง”

“ก็คิดว่าได้ละ มีคนมาช่วยพอดี” กายพูดพลางเกาหัวเหนื่อยๆ “มึงอ่ะอิน ถึงไหนแล้ว”

“กูก็..ไม่อยากซ้ำกะมึงเรื่องภาพถ่ายคนอ่ะ เลยลองถ่ายเมือง ถ่ายตึกดู” อินพูดมาจากด้านหลัง “แต่ก็ไม่รู้มันจะซ้ำอีกหรือเปล่า แต่ก็ว่าไปค่ายสามวันรอบนี้จะดูๆงานคนอื่นๆแล้วปรับแก้เอาตอนนั้น”

“รอไปค่ายทำไมวะ มึงลองไปถามๆในกรุ๊ปดูเลยดิ เผื่อเด็กค่ายคนอื่นๆจะมีไอเดีย” กายว่า

“กรุ๊ปไรวะ” อินร้องถาม

“กรุ๊ปค่ายในเฟสไง ที่พี่ในค่ายรุ่นที่แล้วจะรวมๆคนที่เคยเข้าปีก่อนๆกับปีนี้ไว้ ก็เห็นมีอะไรก็โยนๆคำถามโยนงานกันไว้ในนั้นอยู่” เบนซ์ตอบ “เดี๋ยว… มึงก็อยู่ไม่ใช่อ่อวะ วันนั้นกูให้ไอ้กายลากมึงเข้าแล้วนะ”

“ตอนไหนวะ ไม่เห็นมีเลย” อินร้องถาม พลางหันไปหากาย “มึงลากกูยังเนี่ย”

กายนิ่งไปพักนึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“กูลืมว่ะ เออ เดี๋ยวกูลากเลย”

อินถอนหายใจ ขณะที่กายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดอยู่สองสามที โฟล์คมองเหตุการณ์ตรงหน้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ขณะที่มอสก็ตบโต๊ะเสียงดัง

“เรียบร้อย” มอสหันมายักคิ้วให้โฟล์คที่นั่งทำงานอยู่ ก่อนจะหันไปหาอิน “กูส่งให้แล้วนะไอ้อิน ทำต่อได้เลย กูขอตัวไปซ้อมบาสก่อน ฟังพวกมึงคุยกันแล้วปวดหัวสัส เหมือนฟังภาษาเอเลี่ยน”

โฟล์คหัวเราะเบาๆให้กับมอสที่รีบลุกพรวดพราดออกไปจากห้องทันที ขณะที่โฟล์คเก็บคอมกลับมาที่ตัวก่อนจะมองที่หน้าจอ และอ่านสิ่งที่มอสพิมพ์ทิ้งไว้

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ไอ้เบนซ์ รายงานสังคมส่วนของมึงนี่ มึงเอามาจากเล่มสองอ่อ” โฟล์คส่งเสียงเตือน

“เรื่องสงครามโลกอ่ะนะ ใช่ ทำไมวะ” เบนซ์พูดต่อ

“ไอ้เวร ไม่ใช่สงครามโลกโว๊ย สงครามเย็น มันอยู่เล่มสาม” โฟล์คหันไปทำเสียงดุ

“เอ๊า ก็ไอ้อินบอก” เบนซ์หันมาว่า

“กูไม่ได้บอกเหอะ กูบอกว่าอยู่ในสองสามเล่มนั้นอ่ะ ไปหาดู” อินว่าพลางเงยหน้าขึ้นมาจากคอม

“มึงไม่ต้องมาเถียงกันเลย มึงไปเอามาใหม่เลย เดี๋ยวมึงสามตัวหายหัวไปสามวันอีก ชิบหายคับ โน่นเลยคับ ห้องสมุดคับ ไปคับ” โฟล์คออกคำสั่งขณะที่เบนซ์ได้แต่ยีหัวตัวเองอย่างมึนงง

“อ่าาา กูยังถ่ายรูปไม่เสร็จเลยมึง” เบนซ์ส่งเสียงบ่น

“มึงไปเหอะ เดี๋ยวกูถ่ายให้” กายพูด

“งั้นอินมึงไปช่วยมันไป เดี๋ยวแม่งหยิบผิดหยิบถูกอีกอ่ะ” โฟล์คหันไปบอกอิน ที่เหลือบตามองเขา

“สั่งอย่างกะเป็นพ่อกูเลยนะ” อินกระแทกเสียงนิดหน่อย ก่อนจะลุกไปจากตรงนั้น และลากเบนซ์ออกไปจากห้อง โฟล์คส่ายหน้าไล่หลังอินไปพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปที่โต๊ะของกาย ที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่

“มามึง มึงทำอะไรของมึงไปก่อนไปเดี๋ยวกูถ่ายรูปพวกนี้ให้ไอ้เบนซ์เอง” โฟล์คว่า

“เออ ก็ดี กูยังไม่เคลียร์งานตรงนี้เลย” กายพูด ขณะยังคงแต่งรูปอยู่ที่หน้าจอของตัวเอง โฟล์คหยิบมือถือของเบนซ์ขึ้นมา และเรอ่มถ่ายรูปกองกระดาษตรงหน้าของเพื่อนไปเรื่อยๆ

“มึงดูจริงจังกับค่ายนี้นะ” โฟล์คว่าต่อ

“ก็เออดิ ถ้าไปพรีเซนต์โปรเจ็คค่ายสามวันผ่านนะ ก็ทำโปรเจ็คดีดีแล้วพรีเซนต์อีกรอบเดียว ก็ประกาศทุนเลยนะเว่ย” กายตอบ

“ทุนไรวะ” โฟล์คถามต่อ

“ทุนต่อ ป.ตรี กับหลักสูตรพิเศษในด้านการออกแบบที่ฝรั่งเศสอ่ะ แล้วแต่ความถนัดของผู้ที่ได้รางวัลช้างเผือกพิเศษ ทั้งค่ายมีสามรางวัลเท่านั้น พอดีกูเห็นสาขาที่ตรงกับที่กูอยากเรียนพอดี ก็เลยจะเอาให้ได้” กายพูดต่อ ขณะที่ทำงานไปเรื่อยๆ

“มึงสามตัวกะคว้ารางวัลใหญ่เลยงั้นดิ” โฟล์คว่า

“ไอ้เบนซ์กะไอ้อินกูไม่รู้ว่ะ ไม่ได้เห็นงานมัน ส่วนกูอ่ะเต็มที่อยู่แล้ว” กายตอบ

“เออว่ะ จำได้ว่าพ่อมึงเป็นสถาปนิกด้วยนี่ ทำงานอยู่ที่นั่นด้วยป้ะ” โฟล์คพูดต่อ

“มั่วละ พ่อกูอยู่เบอร์ลินโว้ย” กายว่า

“แล้ว แม่มึงอ่ะ ไม่กลับแล้วไงหนองคาย จะไปนอกแล้วงี้อ่อ” โฟล์คพูดติดตลก

“ก็...ไม่รู้ว่ะ ติดก่อนแล้วค่อยว่ากัน กูแม่งก็ไม่ค่อยได้กลับอยู่แล้ว แต่ถึงยังไง กูก็ไม่กลับแล้วว่ะ มาลุยแล้วก็ลุยยาวเลย” กายว่า “แล้วมึงกะไอ้มอสอ่ะ เอาไงต่อ”

“ก็… กูคงต่อนิเทศไม่ก็อักษรอ่ะ มันเรื่อยๆ กลางๆ ไม่ติดอะไรมาก” โฟล์คว่า

“เออ มึงไม่ต่อดนตรีวะ ก็เห็นติดเพลงตลอด” กายถาม

“ก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้นอ่ะ ก็เดี๋ยวดูอีกที” โฟล์คพูดขณะถ่ายรูปใบสุดท้ายเสร็จ พลางวางมือถือของเบนซ์ลง ก่อนจะมองไปยังงานของกายในคอม มันเป็นรูปชุดออกแบบและมีลายดอกไม้ในนั้น

“เชี่ย ตุ๊ดจังวะ งานมึงอ่อ” โฟล์คออกปากแซว

“ไอ้สัส ไม่ใช่เว่ย นี่มันงานของอีกคนนึง ที่กูว่าน่าจะโคกันได้ แล้วทำให้งานกูดูซอฟต์ลงอ่ะ” กายว่าพลางกดรูปไปเรื่อยๆ “เขาแม่งเจ๋งนะเว่ย รุ่นเดียวกันกับพวกเรานี่แหละ แต่งานเนี๊ยบอ่ะ ดูเผินๆนึกว่าสเก็ตช์ของพวกไสตล์ลิสต์อาชีพเลยอ่ะ เอาดอกไม้ มาประกบกับชุดตุ๊กตา ดูดีเลยแหละ”

โฟล์คหรี่ตามอง เหมือนเขาเคยได้ยินอะไรแบบนี้มาจากที่ไหนซักแห่ง

“เดี๋ยวนะ งานของเด็กคนอื่นในค่ายอ่อ”

“เออ.. กูคุยกับเค้ามาพักนึงละในกรุ๊ปค่ายอ่ะ นี่ก็ว่าจะนัดกินข้าวกันรอบนึงก่อนไปค่ายสามวันนี้ เผื่อว่าจะได้เริ่มอะไรๆก่อนเลย” กายว่า “แล้วอีกอย่าง….”

กายเม้มปากเบาๆ พลางหันมากระซิบกับโฟล์ค

“โคตรน่ารักอ่ะคนนี้”

กายยักคิ้วให้กับโฟล์คที่รู้สึกไม่ดีมากขึ้นทุกที

“ง...งั้นเหรอ...แล้ว...แล้วเด็กไหนวะ” โฟล์คค่อยๆถามอย่างระมัดระวัง พลางรู้สึกกลัวคำตอบชอบกล

“เด็กเซนโย….ชื่อเจน”

…………

“เชี่ยยยยยยยยยยย” เสียงของเบนซ์ร้องดังบนโต๊ะอาหารในโรงอาหารเช้าวันต่อมา

“เชี่ยเบนซ์ เบาๆ” โฟล์คและมอสส่งสัญญาณให้เบนซ์เงียบเสียงลง พลางมองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาทั้งสามมาเช้ามากพอ ก่อนที่กายและอินจะมาถึงโรงเรียน

เบนซ์หยิบน้ำอัดลมมากินไปอึกหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติมองทั้งสองคนอีกครั้ง

“มึงแน่ใจนะ ว่าคนเดียวกันอ่ะ” เบนซ์ถามอีกรอบ

“เออ… กูไปส่องเฟสมาแล้ว คนเดียวกัน” โฟล์คค่อยๆพูดอย่างระมัดระวัง

“ชิบหาย” เบนซ์อุทานออกมา “เชี่ยอินแม่งดวงเป็นเชี่ยอะไรวะ ต้องโดนซ้อนคันตลอดนะแม่ง”

“เดี๋ยวๆๆ มึงอย่าเพิ่งรีบชง มันยังไม่ได้คบซ้อนกันเว่ย” มอสรีบออกตัวเตือนสติ ก่อนจะหันมาหาโฟล์ค “ใช่ป่ะวะ”

“เออ ยัง… แต่ กูว่าเดี๋ยวได้ซ้ำรอยแน่ๆ” โฟล์คตอบ

“อาจจะแค่คนคุยเฉยๆอ้ะป่าว” เบนซ์หรี่ตามอง

“ก็ไม่รู้เว้ย กูถึงมาบอกมึงอยู่นี่ไง” โฟล์คว่า

“แล้วให้กูทำไงอ่ะ” เบนซ์ถาม

โฟล์คเงียบไปพักนึงพลางใช้คววามคิด

“ก็ถ้าไอ้กายไม่จีบ ไม่อะไร มันก็คงไม่มีอะไรล่ะมั้ง” มอสพูดขึ้นมา

“แต่เขากำลังจะไปทำโปรเจ็คด้วยกันใช่ป่ะ” เบนซ์ว่า

“เย็นนี้” โฟล์คพูดต่อ

“หะ” ทั้งมอสและเบนซ์พูดพร้อมกัน

“เออ เมื่อวานเขานัดกันเสร็จแล้วยด้วย” โฟล์คเล่าต่อ พลางเคาะนิ้วอย่างเป็นกังวล “งั้นเอางี้ วันนี้มึงไปกะไอ้กาย แล้วลองดูดิ๊ว่าแม่งเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า ไอ้กายแม่งจะคั่วคนเดียวกันมั้ย”

“จะให้กูออกไปด้วยงี้อ่อ” เบนซ์ถาม

“เออดิ ก็… มึงวาดรูปไม่ใช่อ่อ เจนเค้าก็วาดรูป ก็น่าจะ...แบบว่า…” โฟล์คพูดต่อ

“เดี๋ยวๆ ไอ้สัส สามเศร้าก็พอแล้ว จะให้กูเพิ่มไปเป็นสี่อ่อ ไม่ไหวมั้ง” เบนซ์ว่า

“ห้าอ่ะสิไม่ว่า” มอสพูดสวนทันที

“อะไรนะ” เบนซ์หันไปถามมอส เช่นเดียวกับที่โฟล์คหันไปทำหน้าดุ

“โอ่ย ไม่ต้องไปฟังไอ้มอสมัน เพ้อเจ้อ กู...กูแค่จะให้มึงไปดูลาดเลาเฉยๆ ว่าแม่งจะเป็นการคั่วซ้อนกันจริงอย่างว่าหรือเปล่า” โฟล์คพูดเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าแม่งเป็นจริง ก็จะได้แก้ปัญหากันถูก”

“แล้วไอ้อินอ่ะ มึงจะเอาไง” เบนซ์ถามต่อ

“เดี๋ยวเย็นนี้กูพามันไปที่อื่นเอง” โฟล์คพูดขึ้น มอสหันควับมาหาเขาทันที

“อ้อ….” มอสส่งเสียงเบาๆ โฟล์คหันไปมองตาเขียว

“เชี่ยเอ้ย ลำบากกูละไง” เบนซ์ว่าพลางยีหัวตัวเองตามเคย “แต่กูว่า… แม่งไม่มีไรหรอก เจนอาจจะไม่ชอบไอ้กายก็ได้มั้ง อาจจะไม่อยากโคโปรเจ็คด้วยก็ได้ แบบ… แยกกันทำ”

“กูก็อยากให้เป็นงั้น” โฟล์คพูด “เพราะกูไม่อยากให้ไอ้อินมัน…”

“ให้กูทำไม”

เสียงของอินดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสี่ทันที อินวางกระเป๋าลงที่โต๊ะกินข้าวและนั่งลงข้างๆเบนซ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาทั้งสี่ไม่ทันตั้งตัว ได้แต่มองหน้ากันปริบๆ และทั้งโต๊ะก็เงียบเสียงลงอย่างกับป่าช้า

“เป็นไรกันวะ” อินมองไปรอบๆ ดูอาการนิ่งสนิทของเพื่อนในแกงค์อย่างไม่เข้าใจอะไรนัก “มีเรื่องเชี่ยไรกัน”

“เอ่อ...คือ….” เบนซ์ผู้ที่เก็บอาการพิรุธไว้ได้ยากที่สุด แถมปากเปราะเป็นที่หนึ่งนั้นดูจะส่งสัญญาณที่แย่มากๆออกไป ขณะที่อินขมวดคิ้วมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงสัย

“คือไอ้โฟล์คมันเห็นว่ามึงตามถ่ายกรุงเทพสวยๆมาพักนึงแล้ว ก็เลยอยากจะออกไปช่วยมึงอ่ะ” มอสพูดต่อคำเบนซ์ทันที “มันไม่อยากให้มึงส่งงานไม่ทันค่าย”

มอสพูดพลางยิ้มกริ่มและหันมามองโฟล์ค

“งั้นอ่อ…” อินหันไปมองโฟล์คที่ได้แต่ส่งสายตาปริบๆกลับมา “เมื่อกี้คือ คุยกันเรื่องนี้?”

“อ...อ่าหะ” เบนซ์ที่ได้สติแล้ว รีบรับช่วงต่อ “ก็เมื่อวาน มอสมันไปช่วยงานกูกับไอ้กาย ก็เลยคุยกันว่าเพื่อความแฟร์ ไอ้โฟล์คน่าจะช่วยงานมึง...ไง”

“ไม่ต้องอ่ะ กูออกไปถ่ายคนเดียวได้” อินพูดเสียงหงุดหงิด

“ทำไมวะ งานมึงยิ่งเร่งๆอยู่ ก็ไปกับมันนั่นแหละ จะเป็นไรไป” มอสรีบชงต่อ

“กูไม่ต้องให้มันช่วยหรอก กู...”

“อิน” โฟล์คส่งเสียงจริงจังไปให้อินตรงหน้า “ไปกับกู”

โฟล์คส่งสายจริงจังไปให้อินอยู่อย่างนั้น และก็เงียบกันไปพักนึง

“เพื่อ?”

“ไปกะกู กูมีที่ที่มึงต้องชอบ”

มอสหันไปมองหน้าโฟล์คทันที

“เชื่อกูเหอะ ให้กูช่วยมึงนะ”

…………..
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 5 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-01-2020 20:54:17
บทที่ 5 - Sunset Sky

อินเดินออกจากประตูหน้าโรงเรียนทันทีที่หมดคาบสุดท้าย เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็พบกับโฟล์คที่ยืนรอออยู่ก่อนแล้ว อินเดินเข้าไปหาพลางมองหน้าโฟล์คอย่างสงสัย

“ทำไมไม่เข้าสุชาดา” อินถามทันที

“ก...ก็… ส่งงานแล้วไง ก็เลย…” โฟล์คพูดพร้อมกับยิ้มกว้างให้ ขณะที่อินยังคงหรี่ตามองอยู่เหมือนเดิม

“มึงดูแปลก” อินพูดต่อ

“ป...แปลกยังไง” โฟล์คถามเสียงสั่น

“ช่างมันเถอะ จะไปยังอ่ะ ที่ที่มึงอยากพาไปนักหนาเนี่ย” อินพูดต่อ

“ไป ไปดิ”

โฟล์คยอมรับว่าเขาไม่ได้คิดจริงจังเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่อิน กาย และเบนซ์กำลังบ้าระห่ำทำกันอยู่ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ เขาไม่มีหัวทางด้านนั้น แต่เท่าที่จับใจความเอาได้จากภาษาเอเลี่ยนของทั้งสาม ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอินกำลังตามหาสถานที่ที่เป็นเมือง ตึก สวยๆ ราวๆนั้น ซึ่งเขาก็นึกออกอยู่ที่นึงที่เขาคิดว่าอินน่าจะชอบ

“เดี๋ยว… อายุมึงถึงอ่อ เข้าได้อ่อ” อินร้องถามทันที เมื่อโฟล์คพาเขาเดินจากโรงเรียนมาไกลถึงที่ มันคือร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงท่าเตียน

“ไม่ถึง” โฟล์คหันมายิ้มให้อิน

“เอ๊าไอ้เวร แล้วจะมาทำเชี่ยอะไร” อินร้องด่า

“กูขึ้นได้น่า” โฟล์คบอกอินที่ยังคงไม่เชื่อนัก

เขาเดินนำอินเข้าไปในร้าน แต่อินก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม พลางมองโฟล์คอย่างไม่ไว้ใจ

“เห้ย ขึ้นได้ ร้านมันปิด แล้วกูรู้จักกับเจ้าของร้าน” โฟล์คยังคงพูดต่อ

“มึงจะรู้จักได้ไง” อินพูดต่อ

“ก็นี่เคยเป็นบ้านกูอ่ะ” โฟล์คยิ้มตอบทันที อินถึงกับเลิกคิ้วเบาๆ ขณะเดียวกับที่พนักงานคนหนึ่งก็เดินมาที่ทางเข้าร้าน

“อ้าวน้องโฟล์ค” เสียงหญิงสาวในชุดสบายๆร้องทักขึ้น

“หวัดดีคับพี่มด” โฟล์คยกมือไหว้ทันที

“สวัสดีจ้ะ นี่มายังไงเนี่ย มากับแม่หรือเปล่า” พี่มดถามไถ่

“อ๋อ...ปล่าวคับ ผมเดินมาจากโรงเรียนอ่ะ คือ...ผมจำได้ว่า ร้านพี่ปิดทุกวันพุธ ผมก็เลยอยากมารบกวนขอขึ้นไปข้างบน” โฟล์คว่า

“ได้เลย ขึ้นไปเลยจ้ะ พี่เพิ่งให้แม่บ้านไปทำความสะอาดให้ แต่...ห้ามไปตอดแอลกอฮอล์พี่บาร์เทนเดอร์เค้าเลยนะ วันนี้ปิดคือปิดโอเค๊” พี่มดพูดกำชับ

“ค้าบ เอ้อพี่มด เพื่อนผมมาด้วยนะพี่ มาถ่ายรูป” โฟล์คแนะนำอิน ที่เดินตามเข้ามาและไหว้ทักทาย “นี่อิน เพื่อนผม”

“สวัสดีคับ” อินกล่าวทัก

“สวัสดีจ้ะ ตามสบายนะ พี่ไปข้างนอกก่อน ไว้เจอกันจ้ะ”

ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านอาหารที่เป็นห้องแถวห้าชั้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่อินมองโฟล์คอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่

“กูนึกว่าบ้านมึงอยู่ฝั่งธน” อินร้องถามขณะเดินตามขึ้นบันไดไป

“ใช่… แต่นี่บ้านเก่ากูสมัยเด็กๆอ่ะ ทำเลมันดี แม่กูเลยเซ้งให้ญาติเปิดเป็นโฮสต์เทล เป็นร้านอาหาร แล้วก็เป็นบาร์ข้างบน” โฟล์คเล่า “พี่มดเค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกูเอง เป็นลูกเจ้าของที่นี่”

“ในแกงค์ไม่เห็นมีใครเล่าให้ฟังเลย” อินถาม

“ก็กูไม่เคยบอกใครอ่ะ บอกไปเดี๋ยวพวกมันแห่มาแดกเหล้ากันวุ่นวายอีก ขี้เกียจมีปัญหา” โฟล์คว่า

“แล้วมันไม่ได้อ่อ” อินถามติดตลก

“อายุมึงถึงกันอ่อ อีกอย่าง พวกเราแม่งก็ไปแดกบ้านไอ้มอสอยู่แล้วป่ะวะ” โฟล์คพูดต่อพลางหันไปหาอิน “นี่กูบอกมึงเป็นคนแรกเลยนะ”

“ต้องขอบคุณมึงงั้นดิ” อินส่ายหน้าใส่โฟล์คทันที

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าที่ปรับให้เป็นบาร์ ฝั่งตรงข้ามทั้งคู่มองเห็นวัดอรุณตั้งตระหง่านพร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน เรียงรายไปด้วยเก้าอี้และโต๊ะที่ว่างเปล่า อินมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกล่องลอย

“โอเคมั้ย” โฟล์คหันไปมองหน้าอินที่ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของอินต้องกับแสงอาทิตย์อ่อนๆที่ สายตาของเขามองไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีเสียงเรือและผู้คนแว่วมากับสายลม เดินค่อยๆเดินไปที่ระเบียงของบาร์ และหลับตาลง

“สงบดี”

โฟล์คมองภาพนั้น มันเหมือนกับว่าเขาถูกดึงเข้าไปในห้วงความรู้สึก หากอินกำลังถูกบรรยกาศโดยรอบดึงเข้าไปหา โฟล์คก็คงกำลังถูกอินดึงเข้าไปหาอีกทอดหนึ่ง โฟล์คเดินเข้าไปใกล้ๆอิน มองใบหน้านิ่งๆนั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆที่อยู่บนหน้าของอิน กลิ่นเหงื่ออ่อนๆหลังเลิกเรียนของมัน ทำเอาโฟล์ครู้สึกประหลาด

ให้ตายเถอะ…

อินกำลังทำให้เขาใจสั่น….

อินลืมตาขึ้นมา โฟล์คจึงรีบหันไปมองวิวแบบเดียวกับอินต่อ อินเหลือบไปมองโฟล์คเบาๆ

“ก็สวย แต่… มันอาจจะซ้ำ” อินว่าพลางหยิบมือถือขึ้นมาและกดถ่ายวิดีโอตรงหน้าเอาไว้

“ก็อาจจะไม่” โฟล์คสะกิดอินให้เดินไปด้านบาร์ และเมื่อทั้งคู่ก็หันไปมองวิวของกรุงเทพด้านหลัง ที่ต้องแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่กำลังตกดิน ซึ่งเป็นมุมมองที่อินไม่เคยเห็นมาก่อน

“โอ้…” อินร้องออกมาเบาๆ พลางหันไปมองโฟล์ค “มาซอกแซกหลังบาร์เค้าบ่อยอ่ะดิ ถึงได้รู้ว่ามีมุมนี้อ่ะ”

“ก็..นะ” โฟล์คยักไหล่ขณะเท้าแขนไปที่ระเบียงสบายๆ “ก็มันเงียบดี เวลาร้านเปิดข้างหน้าคนเต็มบาร์เลย กูเที่ยวไปเดินๆไม่ได้หรอก”

“ก็ดี ก็แปลกดี” อินพูดเบาๆ

“พอจะใช้ได้ป่าว” โฟล์คถามขึ้น

“ไม่รู้อ่ะ ก็คงได้มั้ง ไม่รู้เหมือนกัน” อินตอบเสียงเรียบ

เงียบกันไปพักนึง เหมือนกับว่าคำพูดของอินมันส่งความรู้สึกบางอย่างมาให้โฟล์ครู้สึกได้

“อิน… เรื่องวันนั้น กูขอโทษจริงๆนะเว่ย” โฟล์คพูดขึ้น

“มึงยังไม่เลิกพูดถึงอีกนะ” อินว่ากลับ “ช่างแม่งเหอะ กูไม่ใส่ใจแล้ว”

“อ่านะ… ก็ดี” โฟล์คว่า “มึงไม่คิดมากก็ดีแล้ว”

“เออ ช่วงนี้กูยุ่งๆด้วย ส่วนมึงไม่ต้องพูดถึงมันอีก” อินว่าต่อ

เงียบกันไปอีกรอบ ขณะที่โฟล์คมองไปข้างหน้า

“มึงอยากไปเรียนต่อฝรั่งเศสอ่อ” โฟล์คพูดขึ้นเรียบๆ พยายามคุมไม่ให้น้ำเสียงสั่นจนเกินไป

“มึงรู้เรื่องทุนค่ายนี้กะเค้าด้วยอ่อ” อินว่า

“เออ… กายมันเล่าให้กูฟังอ่ะ” โฟล์คว่า “สามทุนป้ะ ให้โปรเจ็คที่ดีที่สุด”

“ใช่… ก็… ถ้าได้มันก็ดีป่ะวะ… ทุกคนที่ลงค่ายนี้ แม่งก็อยากได้กันทุกคนแหละ” อินพูดตอบ

“แล้วถ้าได้ขึ้นมาจริงๆ… มึงก็จะไปใช่ป่ะ” โฟล์คถามอีก แม้ว่าจะพยายามไม่มองหน้าอิน แต่อินเหลือบมองไปยังโฟล์คครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาและถ่ายวิวตรงหน้า

“กูก็ยังไม่รู้เลย ว่าจะผ่านหรือเปล่า” อินว่าพลางดูภาพที่อัดอยู่ในมือถือตัวเอง “ก็ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างแม่ง”

“เอ๊า… ในขณะที่ไอ้กายแม่งเอาเป็นเอาตาย มึงสบายๆเนี่ยนะ” โฟล์คพูด

“ไอ้กายแม่งก็เงี้ย ทำเหี้ยอะไรนำหน้าไปทุกอย่าง โปรเจ็คนี้กูแม่งอยู่กับมันแล้วโคตรอึดอัดเลย” อินว่า “บางทีกูก็คิดนะเว่ย ว่าแบบ… ทำไมกูกับมันแม่งต้องทำงานทับไลน์กันด้วยวะ กูถ่ายรูป แม่งก็ต้องเสือกถ่ายรูปเหมือนกูอีก กูเลยต้องหลบมาทำวีดีโออาร์ตเนี่ย”

“แล้วมึงไหวป่าวอ่ะ” โฟล์คหันมามองอิน

“ก็...เรื่อยๆอ่ะ ไม่รู้เหมือนกัน” อินตอบ “แม่ง… ถ่ายเหี้ยอะไรอยู่วะเนี่ย จืดชิบหาย”

อินพูดเสียงหงุดหงิดพลางมองวีดีโอในมือตัวเอง โฟล์คมองภาพอินตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคิดอะไรออก

“อ่ะ…”

โฟล์คเสียบหูฟังข้างหนึ่งเข้าหูข้างซ้ายของอิน และเปิดเพลงในโทรศัพท์ของเขาขึ้นมา

“เชี่ยไรเนี่ย” อินร้อง

“ฟัง แล้วดู” โฟล์คชี้ไปตรงหน้าของอิน ขณะค่อยๆเร่งเสียงเพลงช้าๆ มันเป็นเพลงบรรเลงด้วยเปียโน ซึ่งมันทำให้อินมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใหม่

“เพลงไรวะ เพราะดี” อินร้องถาม

“เอ่อ….เพลงบรรเลงจากอนิเมะเรื่องนึงอ่ะ มึงไม่รู้จักหรอก” โฟล์คว่า “ภาพโอเคขึ้นมั้ยอ่ะ

“ดี...ดีเลย มึงนี่ก็ใช้ได้นะ” อินพูด “ไหนไอ้มอสว่ามึงไม่มีหัวเรื่องนี้”

“ไม่มี กูก็แค่กลัวมันเงียบอ่ะ ก็เคยฟังอยู่คนเดียวบนนี้” โฟล์คพูด

“มึงขึ้นมาบนนี้คนเดียวบ่อยอ่อ” อินถาม

“ก็...ทุกวันที่เค้าปิดอ่ะ แล้วให้แม่มารับ” โฟล์คว่า “มันเงียบดี”

“แม่ยังมารับอยู่อีกอ่อมึง” 

อินเหล่มองโฟล์คทันทีอย่างกวนๆ

“ไอ้เวร! แค่อาทิตย์ละครั้งเว่ย” โฟล์คพูดตอบ ก่อนจะยิ้มเบาๆแก้เขิน

“มึงเหอะ… เอาไงอ่ะ หลังจาก ม.6” อินถาม “ยังอยากเข้าอักษรอยู่ป้ะ”

“มึงจำได้ด้วยอ่อ” โฟล์คเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ก็ไม่ได้จจะจำยากเลยนะ ในคาบแนะแนวมึงตอบเหี้ยอะไรอาจารย์ไม่ได้เลย สุดท้าย อาจารย์เค้าก็บอกว่าคนที่อ่านหนังสือเยอะ จมกับหนังสือได้เป็นชั่วโมงๆอย่างมึงคืออักษร กูก็ว่าแม่งแปลกดี แบบ ง่ายๆงี้เลยอ่อวะ” อินสาธยาย

“ก็กูไม่รู้จริงๆนี่ว่า ว่ากูอยากเป็นอะไรอ่ะ กูแค่ชอบอ่านหนังสือเฉยๆ” โฟล์คตอบ “ก็ถ้ามันต้องเป็นอักษร ก็อักษร”

“มึงนี่พอใจอะไรง่ายดีเนอะ” อินว่า “กูแม่ง เหนื่อยชิบหายเลย ยิ่งมีไอ้เชี่ยกายเป็นมาตรฐานด้วย”

อินถอนหายใจแรง ขณะที่เก็บวิดีโอลงกระเป๋า แต่ยังคงฟังเพลงของโฟล์คต่อไป แม้ว่าเพลงเดิมจะจบไปแล้ว

“เพลย์ลิสต์มึงเพราะนะ” อินว่า “แชร์มาให้กูมั่งดิ เผื่อเอาไปประกอบฟุต”

“อืม เอาดิ” โฟล์คตอบ

“ว่างๆพากูมาอีกได้ป่ะ” อินถาม

“ด...ได้… มึง...ชอบอ่อ” โฟล์คถาม

“อืม… เงียบดีอ่ะ อยู่กับมึงสองคนก็ ไม่วุ่นวายดี อยู่กับพวกแม่งแล้วปวดประสาทอ่ะ บางที” อินพูดขึ้น ซึ่งนั่นทำให้โฟล์คหัวเราะเบาๆ

“อื้อ… ได้ตลอด อยากมาก็บอกละกัน กูก็...อยากให้มึงมาบ่อยๆเหมือนกัน”

ยืนกันอยู่อย่างนั้นพักนึง โดยที่อินไม่รู้ตัวเลยว่า โฟล์คไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย

--------------

เดินลงกันมาจากชั้นดาดฟ้า โฟล์คกล่าวลาพี่มด ที่ใจดีเอาขชองกินเล่นในร้านให้โฟล์คติดมือกลับบ้าน ซึ่งเขาก็ไม่รอช้าเดินแกะกินไปมากับอินสองคนขณะเดินกลับโรงเรียน

“มึงลืมอะไรไว้ที่โรงเรียนนะ” โฟล์คเอ่ยขึ้นหลังจากเดินกลับจากท่าเตียนมาได้ครึ่งทาง

“เปล่าอ่ะ จะไปยืมไวไฟใช้อ่ะ” อินว่า

“เอ๊า ไม่บอกวะ จะได้ต่อของที่ร้าน” โฟล์คพูด

“ไม่เอาอ่ะ ของโรงเรียนไวกว่า อีกอย่างเค้าบอกไม่ต้องรีบ เย็นๆค่ำๆค่อยส่งก็ได้ พอดีเค้าอยู่ข้างนอก” อินอธิบาย

“มึงพูดถึงใครเนี่ย” โฟล์คถาม

“อ๋อ...เจนอ่ะ” อินว่า “เค้าอยากให้กูส่งฟุตที่มีดอกไม้เยอะๆให้เค้าหน่อย”

โฟล์คเงียบสนิททันที

“มึง...ชอบเค้าอ่อ” โฟล์คค่อยๆถาม

“เค้าน่ารักนะเว่ย ไม่รู้ดิ ยิ่งอยู่ใกล้ กูยิ่งรู้สึกว่า กูอยากชนะทุนนั่น ถ้าได้ไปด้วยกันกับเขานี่มัน ฝันชัดๆเลยนะเว่ย” อินตอบ “แม่งต้องเจ๋งแน่ๆ”

โฟล์คเงียบสนิท ขณะที่มาหยุดอยู่หน้าโรงเรียนพอดี

“เอ่า...มีไรป่าว” อินถาม

“อ๋อ...ไม่มีไร แล้ว...ยังไง จะให้อยู่เป็นเพื่อนป่าว” โฟล์คถาม

“ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยวกูอัพไฟล์แปปเดียว มึงกลับบ้านเหอะ พรุ่งนี้เจอกัน” อินพูด

“อืม… อยู่โรงเรียนค่ำๆระวังด้วยนะมึง” โฟล์คว่ากวนๆ

“ไอ้สัส มึงกลับไปเลยไป” อินโวยกลับ ขณะที่่ยิ้มให้กันและแยกออกจากันตรงนั้น

โฟล์คหันหลังให้อินและเดินจากมา มันเป็นเย็นที่แปลกประหลาดมากสำหรับเขา มันรู้สึกดีที่เขาและอินเคลียร์เรื่องจูบนั้นกันไปได้ซะที ในขณะเดียวกันเขากลับรู้สึกว่าตัวเขากำลังทำผิดกับอินบางอย่าง กับบางเรื่องที่เขาพยายามทำเพื่ออินในวันนี้

และเช่นกัน เขาก็รู้สึกเศร้ากับสิ่งที่อินต้องเจอ

“เชี่ยโฟล์ค” อินร้องเรียกเขา โฟล์คหันกลับไปมองอิน “ขอบใจนะเว่ย ที่พากูไปที่นั่น”

“อื้อ…”

“กลับบ้านดีดี”

“คับผม… ไว้….เจอกัน”

-----------------
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 6 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 02-01-2020 15:03:58
บทที่ 6 - Uncomfortable

“เฟสเงียบ ทักไลน์ไม่ตอบ ในกรุ๊ปก็เงียบ” มอสพูดพลางวางมือถือลงและมองหน้าโฟล์คทันที

“ก็… อาจจะเครียดกันเรื่องพรีเซนต์มั้ง ไอ้กายเคยบอกว่าค่ายรอบนี้หนัก เพราะชิงประกาศทุนเลย” โฟล์คพูดขณะนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะม้าหินตัวเดิมของแกงค์หน้าตึกในวันจันทร์

“วันนี้วันที่สามแล้วนะเว่ย มันหายไปค่าย ไม่ได้ไปตาย มันต้องทัก ต้องอะไรมาหากูกะมึงมั่งดิ” มอสว่าพลางมองหน้ามือถือ

“มึงใจเย็น” โฟล์คพูด

“กูมีเซนส์ เวลากลุ่มเราจะมีเรื่องอ่ะ เชื่อกูดิ ตอนรอบมึงกะไอ้เชี่ยอินก็ทีละ” มอสพูดพลางเคาะปากกาอย่างเป็นกังวล

ซึ่งจริงๆแล้วคนที่กังวลกับเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่มอส โฟล์คเองก็คิดทบทวนเรื่องนี้มาหลายวันแล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่เขากับอินไปถ่ายรูปที่ดาดฟ้า หลังจากวันนั้นสามตัวของแกงค์ทั้งไอ้กาย ไอ้เบนซ์ และไอ้อิน ก็เก็บกระเป๋าไปเข้าค่ายสามวัน ซึ่งนั่นทำให้วันจันทร์ซึ่งเป็นวันเรียน ทั้งสามก็ไม่ได้เข้าเรียน

และก็ต้องยอมรับว่ามอสก็พูดถูก ที่ความเงียบจากช่องทางสื่อสารเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ด้วยความที่ภาระงานกลุ่มมันมาตกแอ่กอยู่กับโฟล์ค เขาไม่มีเวลาที่จะหัวร้อนไปกับมอสอีกคน ก็ทำได้แค่เคลียร์งานทุกอย่างส่งอาจารย์ไปให้เรียบร้อย

“เชี่ย โฟล์ค นั่นๆ” มอสชี้ไปยังข้างสนามหน้าอาคารเรียน เมื่อรถแทกซี่คันนึงจอดชะลอลง ทั้งเขาและมอสมองตามไป ก่อนจะเห็นเบนซ์ในชุดไปเที่ยวพร้อมกับกระเป๋าเดินทางก้าวลงจากรถ

ซึ่งมีเบนซ์เพียงคนเดียว…

“เอาละไง” มอสพูดพลางลุกขึ้นยืนทันที พลางมองไปที่เบนซ์ที่กำลังสาวเท้าตรงที่โต๊ะม้าหินประจำของพวกเขา ก่อนจะวางกระเป๋าลงข้างๆโต๊ะและมองหน้าโฟล์คกะมอสโดยไม่พูดอะไรซักคำ

“อย่าบอกนะว่า” มอสพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เบนซ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “เชี่ย…”

มอสทรุดตัวลงนั่งทันที ขณะที่โฟล์คถอนหายใจ

“แย่แค่ไหน” เขาร้องถาม

“กูก็ต้องกลับมาคนเดียวนี่ไง” เบนซ์ตอบ

“แล้วมันสองตัวอ่ะ” โฟล์คถามต่อ

“พรีเซนต์เสร็จ มันแยกกันกลับคนละคัน พอถึงกรุงเทพ ไอ้กายพาเจนไปกินข้าว ส่วนไอ้อิน หายไปเลย” เบนซ์ยีหัวตัวเองอย่างเป็นกังวล

โฟล์คหลับตาลงพลางส่ายหน้า ขณะที่เบนซ์นั่งลงพลางถอนหายใจด้วยอีกคน

“ไหนมึงบอกว่าวันนั้นมึงพามันไปเก็บฟุตใหม่ไม่ใช่อ่อวะ ” เบนซ์หันมาถามโฟล์ค

“ก็ใช่ ทำไมวะ” โฟล์คว่า

“กูไม่เห็นมันจะใช้เลย ฟุตดาดฟ้าเชี่ยไรของมึงอ่ะ แล้วไอ้กายกับเจนแม่งพรีเซนต์ดีชิบหาย โปรเจ็คสองคนแม่งเหมือนนัดกันมา เข้าขากันไปหมด แล้วความเหี้ยคือ พออินพรีเซนต์ขึ้นของมัน ฟุตมันก็ซ้ำกับรูปของไอ้กายด้วย” เบนซ์เริ่มเล่า “สามวันมานี่ กูทำตัวไม่ถูกสัสๆ อึดอัดชิบหาย”

“แล้วมึงไม่เอาไอ้อินกลับมาด้วยอ่ะ” โฟล์คถาม

“โอ้โห มึงก็กล้าถามเนอะ” เบนซ์หันมาโวย “เป็นมึง มึงจะกล้าเข้าไปคุยกับมันไหมอ่ะ มึงอย่าลืมนะ มึงเป็นคนบอกให้กูออกไปกับไอ้กายวันนั้นอ่ะ เพราะงั้นเวลาอยู่ด้วยกันสามคน เจนเค้าก็สนิทกะกูไปด้วยไง”

“แล้วยัยนั่นไม่รู้สึกอะไรมั่งเลยอ่อวะ ที่ทำงี้กะพวกเราอ่ะ” มอสร้อง “ไหนมึงบอกว่าเด็กเซนโยไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนไง”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เท่าที่กูเห็นวันนั้นอ่ะ เจนเค้าก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น” โฟล์คแก้ตัวแทน

“อันนี้กูเห็นด้วย” เบนซ์ว่า “เจนเค้าเป็นคนที่แฟร์มากนะ ใช่บอกใช่ ไม่ใช่บอกไม่ใช่ แล้ว….”

“ไอ้อินก็คือไม่ใช่...งั้นดิ” โฟล์คพูดต่อคำ เบนซ์ได้แต่ส่ายหน้าและยักไหล่เป็นคำตอบ

และทั้งสามก็เงียบกันไปพักนึง

“มันจะง่ายขึ้นป่ะวะ ถ้าเรานัดมาคุยกันอีกรอบ เหมือนตอนมินนี่” เบนซ์พูดขึ้น “ถ้า...ให้มันสองตัวพูดกันตรงๆ”

“มันต้องคุยกันตรงๆเว่ย กูไม่ยอมหรอก มึงจะแตกกันเพราะเรื่องผู้หญิงอ่อ ไร้สาระ” มอสว่าก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ทันที

โฟล์คมองพลางถอนหายใจแต่เขาก็มองเห็นเบนซ์ที่เหลือบตามามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง

----------------

เช้าวันต่อมา อินไม่มาโรงเรียน ขณะที่กายกลับเป็นขั้วตรงข้าม มาโรงเรียนแต่เช้า เดินเข้าห้องเรียนมาอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเล่าเรื่องราวในค่ายที่สนุกสนาน และโปรเจ็คในค่ายที่เขาสามารถทำมันออกมาได้อย่างเยี่ยมยอด ความประหลาดคือเบนซ์ที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ก็ได้แต่เออออไปกับกายเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่มอสและโฟล์คทำได้แค่เป็นผู้ฟัง พลางเว้นระยะห่าง ท่ามกลางสายตาของเบนซ์ที่ส่งมาเป็นระยะ

มันคือหายนะมากสำหรับโฟล์ค เซนส์ของมอสไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เมื่ออินกลับมาเรียนในวันปลายสัปดาห์ และมันก็กลายเป็นความเงียบที่ชวนอึดอัด เมื่อมาถึงจุดนี้ โฟล์คเริ่มเข้าใจแล้วว่าเบนซ์รู้สึกยังไงในค่ายสามวันนั้น เพราะก้อนความอึดอัด มันซัดตูมเข้ามาในแกงค์ทันที พวกเขาผ่านแต่ละวันไปด้วยความยากลำบาก อินเริ่มมีรัสมีความไม่เข้ากันกับกลุ่มมากขึ้นทุกที จนโฟล์คเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่า นี่เป็นความเงียบปกติของอิน หรือมันเกิดจากปัญหาที่ทุกๆคนพยายามไม่พูดถึงมัน

ขึ้นสัปดาห์ต่อมา กายยิ่งแล้วใหญ่ ตกเย็นเริ่มไม่ค่อยอยู่กับแกงค์ ซึ่งเบนซ์ก็มากระซิบภายหลังว่ากายออกไปกับเจน และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มชัดเจนขึ้นทุกที ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มแรงกดดันของแกงค์ให้มากขึ้นไปอีก

“กูตัดสินใจละ น้ำชาบ้านกูคืนนี้” มอสพูดเป็นเสียงกระซิบ ขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มจัดโต๊ะเรียนสำหรับคาบบ่าย

“มึงจะเมาเชี่ยไรวันกลางสัปดาห์” โฟล์คพูดเตือน

“ไม่เคลียร์วันนี้ มึงจะรอเมื่อไหร่ มึงดูสภาพกลุ่มดิ๊” มอสพูดพลางทำเป็นเหลือบตามองไปรอบๆ “แล้วมึงเป็นเชี่ยอะไรเนี่ย ขัดกูมาสองอาทิตย์ละนะ”

ใช่แล้ว โฟล์คขัดมอสมาตลอด เพราะเขาเองนั่นแหละ ที่ไม่พร้อมจะให้เกิดการเผชิญหน้ากันทั้งกลุ่มตอนนี้ เพราะความจริงก็คือรอบนี้มันไม่เหมือนกันกับคราวเขากับอินและมินนี่ ครั้งนี้พวกเขา 5 คนมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้มากเกินไป

มันค่อนข้างจะลำบากอยู่เหมือนกัน กับการแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังครุกรุ่นนี้...

“พวกมึง…เย็นนี้ไปน้ำชากัน” เสียงของกายดังขึ้นจากประตูห้อง มันเดินเข้ามากลางวงของโฟล์คและมอสทันที ซึ่งทำเอามอสหันไปทำตาโตใส่

“ม… มึงขอกูหรือยังเนี่ย” มอสร้องถาม

“ทำไมวะ ปกติมึงก็ต้องโอเคอยู่แล้วไม่ใช่อ่อ บ้านมึง ก็เพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว” กายยักคิ้วให้กับมอส

“แล้ว… แล้ว เนื่องในโอกาสไรวะ” มอสถามขณะที่กายนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง

“วันนี้ผลทุนประกาศตอนเที่ยงคืน กูอยากอยู่ลุ้นไปกับพวกมึงให้ครบ”

ทันทีที่กายพูดจบก็เกิดเป็นความเงียบระหว่างกันทันที

“อ้าว ทำไมวะ ไม่ได้อ่อ” กายหันมาพูด

“ด...ได้...ได้ดิ แล้ว… จะให้ชวนทั้ง…” มอสพยายามพูดต่อ

“ชวนดิ กูบอกไอ้เบนซ์แล้วตะกี้ ก็เลยมาขอมึง แล้วมึงก็ไปบอกไอ้อินด้วยอ่ะ” กายพูดต่อ “พักนี้แม่งก็คลุกอยู่แต่ห้องสมุด ทำตัวน่ารำคาญชอบ มึงไปชวนมันด้วยละกัน กูขี้เกียจพูดกับมันหลายรอบ”

โฟล์คลุกขึ้นยืนทันที รู้สึกหัวเสียกับกายขึ้นมาเสียเฉยๆ มอสถึงกับหันควับไปหาโฟล์คที่ยืนมองกายเปิดหนังสือเรียนของตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น โฟล์คถอนหายใจแรงก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“เอ๊า ไปไหนวะ” กายร้องถาม

“ไปห้องสมุด ไปชวนไอ้อินแทนมึงไง”

โฟล์คพูดเสียงเข้ม ทิ้งให้กายและมอสงงอยู่อย่างนั้น

----------------

โฟล์คเดินเข้าไปในห้องสมุดที่เริ่มบางตา เพราะหลายคนก็เตรียมตัวที่จะเข้าเรียนบ่ายกันหมดแล้ว เขาสอดส่ายสายตาหาอินไปตามทางเดินข้างชั้นหนังสือ และเขาก็พบอินนั่งคู้อยู่ในซอกชั้นหนังสือสุดท้ายริมห้อง หัวพิงพนังและดูเหมือนจะกำลังหลับอยู่ โดยมีหนังสือวางอยู่ที่ตัก

โฟล์คถอนหายใจให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆอย่างเงียบเชียบ โฟล์คค่อยๆหยิบหนังสือออกจากตักของอินอย่างเบามือ เพื่อจะเอาไปเก็บที่ชั้น และนั่นทำให้ใบหน้าของเขาเข้าใกล้อินมากขึ้นไปอีก

เขามองหน้านั้นอยู่พักนึง กลิ่นอายของเพื่อนรักตรงหน้า มันทำให้เขานึกถึงวันที่เขาคว้าตัวอินมาจูบ และวันที่เขาเห็นใบหน้าแบบนี้บนดาดฟ้าเมื่อหลานอาทิตย์ก่อน ทุกครั้งที่มันอยู่ในความเงียบแบบนี้ อินเหมือนเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ที่พร้อมจะลากดึงคนที่อยู่ข้างๆให้จมลงไปด้วย

“จะจ้องหน้ากูอีกนานมั้ย” อินพูดขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ลืมตา ทำเอาโฟล์คสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะรีบเอาหนังสือเก็บขึ้นชั้น และรีบกลับไปนั่งอยู่ตรงข้ามอินเหมือนเดิม

“จะโดดอ่อ” โฟล์คร้องถาม

“อืม…” อินขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังคงหลับพิงพนังอยู่อย่างนั้น

“ไม่ดีมั้ง…” โฟล์คร้องทักท้วง

“มึงก็ไปเรียนดิ ทิ้งกูไว้นี่แหละ” อินพูดเบาๆ รัสมีความเงียบยังคงแผ่ออกมาจากตัวของอินอย่างรุนแรง

“ถ้ามึงไม่ไป กูก็ไม่ไป” โฟล์คพูด

“มึงเป็นเชี่ยไรเนี่ย” อินถามเสียงหงุดหงิด โฟล์คถอนหายใจขณะพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม

“ไปน้ำชาบ้านไอ้มอสกันคืนนี้” โฟล์คพูดเบาๆ

“ไม่ไป… คืนนี้กูจะอยู่รอประกาศผล” อินตอบทันที

“กูรู้… เพราะงั้น ไอ้กายเลยชวนให้ไปฟังพร้อมกัน” เมื่อจบคำของโฟล์ค นั่นทำให้อินค่อยๆลืมตาขึ้นมามองเขา

“มันให้มึงมาชวนอ่อ” อินร้องถาม

“ใช่…” โฟล์คตอบ

“กูไม่ไป” อินตอบห้วนๆ “มึงอยากไปมึงไปเลย กูไม่ไป”

เสียงของอินที่ทุ้มเข้ม ทำเอาโฟล์คทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความงัวเงียตรงหน้า หรือเพราาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุไหน มันทำให้โฟล์ครู้สึกไม่อยากให้อินอยู่ในสภาพนี้ แม้แต่นาทีเดียว

“งั้นกูก็ไม่ไป” โฟล์คพูดตอบ

“อะไรของมึงเนี่ย” อินถามต่อ

“มึงไม่ไป กูก็ไม่ไป” โฟล์คว่า “ถ้ามึงอึดอัด ก็ไม่ต้องไป กูไม่บังคับมึงหรอก”

“ไอ้กายใช้ให้มึงมามึงก็มา แถมก่อนหน้านี้ มึงทำกับกูเหมือนกูคิดเองไม่เป็นนะ วันนี้เสือกจะมาตามใจกูงี้อ่อ” อินย้อนกลับ

“กูพูดจริงๆนะเว่ย ถ้ามึงไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป กูก็จะไม่ไปด้วย กูอยู่เป็นเพื่อนมึงแทนก็ได้” โฟล์คว่า “กูไม่ได้จะไปไหน”

“มึงจะอยู่ตรงนี้ ไม่เข้าคาบบ่ายด้วย” อินถามต่ออีก

“เออ… นั่งแม่งตรงเนี้ยอ่ะ” โฟล์คตอบ

“ดีงั้นกูไป” อินลุกพรวดพราดขึ้นทันที แต่โฟล์คก็คว้ามืออินไว้โดยไม่ทันตั้งตัว

“เห้ย ไรของมึงวะเนี่ย ไหนบอกจะไม่ไปไง” โฟล์คถาม ขณะที่อินมองมือที่โดนจับเอาไว้อยู่อย่างนั้น

“กูหมายถึงกูจะไปเรียนคาบบ่าย ไอ้สัส” อินตอบ “ปล่อยมือกูได้ละ”

“อ้อ…โทษที” โฟล์คปล่อยมืออินลง พลางเกาจมูกด้วยความเก้อเขิน ขณะที่อินส่ายหน้าเบาๆ

“ไปบ้านกูป่ะล่ะ” อินพูดขึ้น

“ว่าไงนะ”

“อยากอยู่เป็นเพื่อนไม่ใช่ งั้นมึงไปกับกู เจอกันเย็นนี้”

อินเดินออกไปจากชั้นหนังสือ ทิ้งให้โฟล์คทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้น

---------------
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 7 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 02-01-2020 20:55:16
บทที่ 7 - Loving Space

“กลับมาแล้วคับ” อินพูดเสียงดังเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน ขณะที่โฟล์คมองไปรอบๆบ้านอย่างแปลกตา

บ้านของอินอยู่ในย่านสุขุมวิท ซึ่งนับว่าไกลจากโรงเรียนพอสมควรเลย จนโฟล์ครู้สึกทึ่งว่าอินคงจะต้องทนกับสภาพการจราจรที่ติดขัดเพื่อไปกลับโรงเรียนได้ในทุกๆวัน ซึ่งเป็นอะไรที่ทรหดเอามากๆ แต่เมื่อฝ่ากรุงเทพมาจนถึงบ้านของอินแล้ว เขาก็พบว่าบ้านนี้เป็นบ้านไม้สีขาวที่ตั้งอยู่อย่างเหมาะเจาะ มีต้นไม้ประปรายไม่ครึ้มจนดูเป็นป่า แต่ก็ไม่บางตาจนเต็มไปด้วยปูน มันดูเป็นบ้านของชนชั้นกลางธรรมดาแบบอิน แต่รังสีของความอบอุ่นมันชัดเจนอย่างบอกไม่ถูก

“เข้ามาดิ”

เขาก้าวขาเข้ามาในบ้านพร้อมกับเห็นภาพแม่ของอินที่อยู่ในชุดทำงานกำลังเดินออกมาจากครัวพร้อมกับถุงมือหยิบของร้อน

“ว่าไงตัวแสบ” แม่ของอินตรงเข้ามาหาลูกชาย พลางเอามือยีหัวอินทันที

“โอ๊ย แม่ อย่าดิ” อินทำท่าทีเก้อเขิน พลางหันมามองโฟล์คที่ต้องมาเห็นภาพตัวเขากลายเป็นลูกแหง่ให้กับแม่ตัวเองแทน

“อ้าว วันนี้พาเพื่อนด้วยเหรอหึ” คุณแม่ของอินยิ้มกว้างให้กับโฟล์ค อินได้จังหวะเลยรีบปลีกตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของแม่ได้ทัน

“สวัสดีคับ วันนี้ ผมรบกวนด้วยคับ” โฟล์คหันไปยิ้มกับอินที่พยายามทำท่าทางประหลาดอยู่อย่างนั้น

“ตามสบายเลยจ้ะ” คุณแม่ถาม “งั้นเราสองคนรีบไปล้างมือก่อนไป แล้วมาช่วยแม่หน่อย กับข้าวเต็มเลย”

แม่ของอินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียงอบอุ่น ก่อนจะปลีกตัวหายเข้าไปในครัว ขณะที่โฟล์คเหล่มองอินอยู่อย่างนั้น

“มึงไม่ต้องแซวเลย ตามมา” อินออกคำสั่งขณะที่โฟล์คยิ้มกริ่มและเดินตามไปอย่างว่าง่าย แต่ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น โฟล์คมองเลขหมายในมือ ก็พบว่าเป็นเบอร์ของไอ้มอส เขามองหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นหน้าของอินยืนมองอยู่ที่บันได

“ถ้ามึงรับ มึงกลับไปเลย” อินพูด ก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที

โฟล์คถอนหายใจ ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ไปอย่างนั้น

-------------------

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับลงมาที่ครัว โฟล์คพบว่าอาหารที่แม่ของอินเตรียมไว้นั้นคือกับข้าวที่คุณแม่ลงมือทำเองทั้งนั้น แต่ความประหลาดคือคุณแม่ของอิน ไม่ได้มีลุคเป็นแม่บ้านเฝ้าแต่บ้านแต่อย่างใด คุณแม่ของอินยังคงดูเป็นสาวสวยอยู่ในชุดทำงาน เป็นผู้หญิงที่ดูสมัยใหม่เอามากๆ

“แล้วนี่ เหลือกันอยู่แค่สองคนหรือไงเนี่ยหะอิน คนอื่นๆไปไหนหมดล่ะ ” แม่ของอินถามขึ้นกลางโต๊ะ อินเหลือบตาขึ้นมองโฟล์คครั้งหนึ่งก่อน ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ

“ไม่ได้ชวนอ่ะแม่ พอดีผมกับโฟล์คเป็นงานคู่ ที่เหลือก็แยกกันไป” อินตอบ

“แล้วโฟล์คล่ะ บอกที่บ้านแล้วเหรอ ว่าจะมาค้าง” คุณแม่หันมาถาม

“เรียบร้อยแล้วคับ”

“งั้นเดี๋ยวพอแม่ออกไป อินปิดบ้านให้เรียบร้อยด้วยนะ” แม่บอกกับอิน

“คับผม”

หลังจากกินข้าว ช่วยกันล้างจานจนเสร็จ อินก็ทยอยปิดบ้านของเขา โดยมีโฟล์คที่ยืนมองคุณแม่ค่อยๆขับรถออกไปจากบ้าน

“ทำไมแม่มึงยังออกไปทำงานต่ออีกอ่ะ” โฟล์คถามขึ้น

“แม่กูเป็นหัวหน้าทีมการเงินบริษัทอ่ะ ก็จัดการเวลาได้ เค้าจะออกจากงานมาช่วงบ่ายเพื่อมากินข้าวกับกู แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ” อินอธิบาย นั่นทำเอาโฟล์ครู้สึกทึ่งเอามากๆ

“เพราะงี้อ่อ มึงถึงไม่ค่อยอยากอยู่เย็นกะพวกกู” โฟล์คถาม

“ก็นะ… ก็ นี่บ้านเค้า พื้นที่ของเค้า เค้าอยากหาเวลาอยู่กับกูอ่ะ ก็ต้องให้เค้าอ่ะ” อินว่า

“เวลามึงอยู่กับแม่นี่ก็…”

“มึงพูดให้ดีดี” อินหันมาพูดเสียงเขียว

“ก็แปลกดี… น่ารักดี” โฟล์คหันมายักคิ้วให้อิน ที่เหล่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจนัก

“ขึ้นไปข้างบนเหอะ รีบทำการบ้าน จะได้รอลุ้นผลกะกู” อินพูดพลางเดินกลับขึ้นไปชั้นสองพร้อมกับโฟล์ค

เมื่อถึงห้อง อินก็โอ้เอ้นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนสลับกับฟังเพลงกันไปมา สลับกับที่ไล่โฟล์คไปอาบน้ำขณะที่โฟล์คก็พยายามไม่พูดอะไรให้อินรู้สึกอึดอัด ได้แต่นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ และหยิบหนังสือเรียนจากกระเป๋าขึ้นมาอ่าน

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ยังคงแทรกเข้ามาอีก ยังคงเป็นสายของมอสเหมือนเดิม โฟล์คนั่งมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่พลางมองไปที่อินที่ก้มหน้าทำการบ้านอย่างไม่สนใจอะไร

“หิวว่ะ ข้างล่างมีไรกินมั้ย” โฟล์คพูดขึ้น

“เปิดตู้เย็นดู มีช็อคโกแลตมั้ง หยิบกินเลย” อินพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง โฟล์คจึงอาศัยจังหวะ หยิบโทรศัพท์และเดินลงมาด้านล่างทันที

“ฮัลโหล ว่า…”

“ไอ้สัส กว่าจะรับสายนะ มึงสองตัวไปทำเชี่ยไรกันที่ไหน กูอุตส่าห์ขอแม่ได้เนี่ย”

“กูอยู่บ้านมันเนี่ย”

“เอ๊า… แล้วมึงไปบ้านมันทำห่าอะไร ลากมันมาบ้านกูดิ”

“ก็มันไม่ไปไง มันไม่อยากเคลียร์”

“เชี่ยโฟล์ค กูพยายามทำให้กลุ่มไม่แตกอยู่นะเว่ย มึงไม่เข้าใจอ่อวะ”

“ก็ที่กูมากับมัน ก็คือไม่อยากให้กลุ่มแตกป่ะวะ มึงจะให้กูไปกับพวกมึง แล้วทิ้งมันไว้นี่คนเดียวรึไง”

“มันก็บอกมันเลย ว่าเกิดไรขึ้น แล้วมึงก็ลากมันมาไง”

“เชี่ยมอส กูว่าเรื่องนี้แม่งไม่ง่ายงั้นป่ะวะ กูว่า…”

“อ๋อใช่ดิ… มึงชอบมัน เลยไม่อยากเอาตัวเองมาเอี่ยวด้วยใช่ป่ะ กะแยกไปกันสองคนงั้นดิ กูไม่ยอมนะเว่ย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นไอ้มอส”

“ถ้ากลุ่มแตก กูโทษมึงนะไอ้เหี้ย”

มอสกดวางสายไปทันที ทิ้งให้โฟล์คกำมือถือด้วยความวิตก เขาหลับตาถอนหายใจพลางคิดทบทวนทุกอย่างในหัว ก่อนจะตั้งสติและเดินกลับขึ้นไปบนห้อง

“ลงไปนานนะ หาตู้เย็นไม่เจอรึไง” อินร้องถาม โฟล์คเงียบสนิทขณะปิดประตู

“กู...เข้าห้องน้ำอ่ะ” โฟล์คตอบ “บ้านมึงกว้างนะ ทำอะไรได้เยอะเลย มีมึงกับแม่สองคน ไม่เหงาอ่อวะ”

“ก็… ตั้งแต่พ่อกูเลิกกับแม่ ก็เลยอยู่กันสองคนอ่ะ” อินตอบ

“เห้ย… โทษที” โฟล์ครีบชิงขอโทษก่อน

“นานแล่ว ช่างมันเหอะ” อินว่าพลางนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง “แล้วนี่มึงไม่ทำการบ้านรึไง”

“ไม่เป็นไร กูเคลียร์การบ้านกูเสร็จตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว” โฟล์คตอบ

“อ้าว แล้วไหนมึงบอกแม่มึงว่าจะมาทำการบ้านกะกูไง” อินถาม

“ก็นั่นบอกแม่ แต่กับมึงบอกว่ากูอยากมาอยู่เป็นเพื่อนมึงอ่ะ” โฟล์คพูดพลางมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น

ในหัวของโฟล์ค ตีกันไปมาด้วยคำพูดของมอส และเหตุการณ์หลายอย่างๆ

“มึงมีอะไรจะบอกกูหรือเปล่า” อินร้องถาม

“หะ...ไรนะ” โฟล์คส่งเสียงตะกุกตะกัก

เขาไม่รู้อีกแล้วว่ามันจะอะไรยังไง แต่เขาใจไม่แข็งพอที่จะให้อินไปเผชิญหน้ากับกาย ถ้าอินไม่อยากไป เขาก็ขออยู่กับอินตรงนี้ดีกว่า

“ไม่มี จะมีอะไรวะ” โฟล์คพูดต่อ

“มึงแน่ใจนะ” อินถามย้ำอีกครั้ง พลางส่งสายตามาที่เขา

“อ...เออ… แน่ดิวะ มึงเป็นอะไรป่ะเนี่ย”

โฟล์คยิงคำถามกลับไป หวังให้อินรู้สึกเบาใจขึ้น เขาทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันอยู่พักนึง จนโฟล์ครู้สึกว่านี่มันคือการมองตากันที่นานที่สุดเท่าที่เคยจะมองกันได้

มันเหมือนกับว่าแววตาของอิน มันล้วงลึกเข้ามาถึงห้วงสำนึกของเขา ปากของโฟล์คเผยออกและ

“อิน..คือกู…”

ทันใดนั้นเสียงนาฬิกาก็ดังขึ้นบ่งบอกเวลาสี่ทุ่ม อินหันหลังกลับไปที่หน้าคอมทันที ก่อนจะเปิดหน้าเว็บและกดรีเฟรชรัวๆ เพื่อเช็คผลทุนในหน้าเว็บที่เขาเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำ

โฟล์คก้มหน้าลงและเดินเข้าไปใกล้อินมากขึ้น เพื่อเช็คสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

อินกดคลิ๊กลิงค์ที่อยู่ตรงหน้าและมันก็ปรากฎชื่อให้เขาเห็นสามอันดับบนสุดทันที

กายสิทธิ์

เจนจิรา

.

.

.

อภินันท์

“เชี่ยอิน มึงได้ทุน” โฟล์คพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นรายชื่อ ขณะที่อินมองหน้าจอนั้นอย่างนิ่งสนิทโดยไม่พูดอะไร “อ..อิน”

อินกำหมัดในมือแน่นจนโฟล์คสังเกตได้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของอินก็ดังขึ้น และชื่อที่ปรากฎตรงหน้าจอ คือชื่อของกายนั่นเอง

โฟล์คมองภาพตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดทันที

อินหันหน้ามาหาโฟล์ค ดูเหมือนรังสีในตัวอินจะเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด

“มึงคิดว่ากูไม่รู้ใช่ป่ะ”

คำพูดของอินทำให้โฟล์ครู้เลยว่า หายนะกำลังเกิดขึ้นแล้ว

-------------

“เห้ย เอาน่า ไม่ติดก็ไม่เป็นไร มึงก็ทำเต็มที่แล้ว” กายพูดปลอบใจเบนซ์ที่นั่งทำหน้าเซ็งอยู่ที่ม้าหินประจำของพวกเขาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น

“กูสเก็ตช์มือหงิกไม่เท่าไหร่ แต่แม่งลอกลายในคอมทั้งคืนคือแม่งทรหดสัสๆ” เบนซ์บ่นอิดออด

“เอาน่ะ แล้วก็แล้วไป” มอสพูดพลางตบไหล่

“แต่กูก็สงสัยนะคือแบบ วันนั้นไอ้อินแม่งโดนกรรมการยำเละเลยนะเว่ย แล้วทำไม….”

“ทำไมวะไอ้กาย มึงคิดว่ากูไม่เหมาะกับทุนงั้นอ่อ” เสียงของอินดังขึ้นทันที นั่นทำให้กายและเบนซ์หันมามองอินที่ปรากฎตัวอยู่ด้านหลัง อินที่มาถึงโรงเรียนพร้อมกับโฟล์คที่ยืนห่างออกไปหนึ่งช่วงตัว

“เชี่ย” มอสร้องขึ้นเบาๆ พลางมองหน้าอินที่กำลังแผ่รังสีน่ากลัวส่งมาให้กับพวกเขา “มึงใจเย็นไอ้อิน กายแม่งไม่ได้หมายความว่างั้นหรอก มัน...พูดเล่นอ่ะ ใช่ป่ะวะ”

กายหันไปมองหน้าอินด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะลุกขึ้น

“เมื่อวานมึงไปไหนกันมาวะ กูนัดให้ไปดูผลด้วยกันก็ไม่ไป” กายพูดเสียงเข้ม ซึ่งอินไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองหน้ากายอยู่อย่างนั้น

“กูไปนอนบ้านไอ้อินมาอ่ะ” โฟล์คตอบ “ก็เลยแบบ…”

“มึงไม่ต้องแก้ตัวแทนมันไอ้โฟล์ค กูว่าเข้าประเด็นเลย มึงเป็นเชี่ยไรอิน พักนี้กูโทรหาก็ไม่รับ ทักเหี้ยไรก็ไม่ตอบ” กายหันไปหาอิน

“แล้วมึงพูดว่ากูไม่เหมาะกับทุนคือไร” อินถามต่อ

“มึงไม่ต้องพูดอ้อมก็ได้นะเว่ยอิน ถ้ามึงจะเคลียร์เรื่องเจนอ่ะ มึงพูดออกมาเลย” กายยิงเข้าประเด็นไปตรงๆ และนั่นทำให้พวกเขาที่เงียบเสียงลงทันที
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 8 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 03-01-2020 11:12:04
บทที่ 8 - Friends Zone

เมื่อเหลือเพียงแค่สงครามสายตาระหว่างกายกับอิน เบนซ์ได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่มอสกำลังพยายามทำให้ทั้งคู่ใจเย็นลง ก็มีสีหน้าซีดเผือดไปตามๆกัน

“เชี่ยแล้วไง เห้ยพวกมึงใจเย็นก่อน” มอสรีบลุกขึ้นมายืนระหว่างกลางของอินและกายทันที “มึง ค่อยๆคุยกันนะเว่ย คือกูไม่อยากให้มีเรื่อง”

“มีมันก็ต้องมีป่ะวะ” กายว่าต่อ “มึงจะกลัวเหี้ยไร ถ้าจะชนก็ชน ทำไมอ่ะ ดีกว่าไม่ชนอยู่แล้วป่ะวะ เพราะกูก็เห็นมึงเลี่ยงจะชนกูมาตลอดไม่ใช่อ่อ”

อินยังคงเงียบสนิทพลางกำหมัดแน่น โฟล์คมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างกดดันขึ้นทุกที

“งั้นมึงยอมรับใช่ป่ะ ว่ามึงกับเจนคบกันอ่ะ” อินถามตรงๆ

“ใช่...แล้วไง.. มึงก็ไม่ได้ใส่ใจเค้าแต่แรกป่ะวะ” กายถามต่อ

“กูเจอเค้าก่อนมึง คุยเรื่องโปรเจ็คกับเค้าก่อนมึงไอ้กาย” อินว่า

“ไม่ใช่ไอ้อิน กูเจอเค้าก่อนมึง”

“หะ…”

มอสหันไปมองหน้ากายทันทีหลังจากได้ยินคำตอบจากกาย ซึ่งนั่นทำให้โฟล์คถึงกับเดินเข้ามาใกล้ๆกายทันที

“มึงว่าไงนะ” โฟล์คถามทันที

“ไอ้อินมันไม่ได้อยู่ในกรุ๊ปเด็กค่าย” กายว่า “กูคุยกับเจนในนั้นมาตั้งนานแล้ว ไอ้อินต่างหากที่มาทีหลัง”

“มึงถึงไม่ลากมันเข้าไปใช่ป่ะ” เบนซ์ถามขึ้น

“ลากไม่ลากเดี๋ยวมึงก็ต้องตามเข้าไปอยู่ดีป่ะวะ มึงกะไอ้อินก็สมัครค่ายนี้ตามกู ทุกอย่างไอ้อินก็ตามกูหมดอ่ะ งานมันก็ลอกกู ผู้หญิงมันยังใช้คนเดียวกับกูเลย” กายพูดต่อ

“ไอ้กาย มึงพูดดีดี” มอสเริ่มห้ามปราม

“มึงไม่ต้องมาบอกให้กูพูดดีดีไอ้มอส” กายหันไปหามอส “มึงอยากเคลียร์ไม่ใช่อ่อ กูก็จัดให้ละไง กูจะเคลียร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็มีคนเสือกป๊อดไม่มา เพราะอะไรรู้ป่ะ เพราะมันมีอีกคนพยายามชงให้ไอ้อินได้กับเจนไง”

ถึงตรงนี้กายหันหน้ามาหาโฟล์คทันที

“มึงไปกับไอ้อินใช่ป่ะ ที่สยามวันนั้น ที่มึงไม่ไปบ้านไอ้มอส” กายพูดเสียงดัง

“เชี่ย..ไรอีกวะเนี่ย” เบนซ์ถึงกับร้องออกมาพร้อมกับเอามือยีหัวตัวเอง และนั่นทำให้โฟล์คถึงกับนิ่งสนิท

“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้กาย มึงมั่วแล้ว” โฟล์คว่า

“เจนเล่าให้กูฟังหมดแล้ว วันนั้นเค้าไม่อยากไปคนเดียว เค้าเลยเอาเพื่อนเค้าไปด้วย แล้วเค้าก็บอกด้วย ว่ามีเพื่อนกูไปอีกคนนึง” กายว่า “แล้วมึงนึกว่ากูไม่รู้งั้นดิ ว่าพวกมึงสี่ตัว รวมหัวกันไม่บอกกู ปิดกูมาเป็นเดือนๆอ่ะเรื่องนี้”

“ไม่ใช่เว่ยไอ้กาย วันนั้น...อินมันก็แค่… ก็แค่…” โฟล์คพยายามพูดอะไรบางอย่าง

“ก็แค่อะไร… อะไร… พูดดิ” กายถามจี้ พลางหันไปหาอิน “ว่าไงเพื่อน… มึงจีบเค้า ใช่ป่าว”

อินยังคงเงียบสนิทไม่พูดอะไร

“เห้ย กูว่าแม่งไปกันใหญ่ละ คือแม่งเข้าใจผิดกันเหี้ยๆเลยอ่ะกูว่า พวกมึงจะพ่นไฟใส่กันเพื่อ” มอสเริ่มพูด “วันนี้มึงสองตัวได้ทุนนะเว่ย มึงจะไปฝรั่งเศสด้วยกันไม่ใช่อ่อวะ มึงคุยกันดีดีดิ แม่งจะตีกันเพราะเรื่องเด็กเซนโยเนี่ยนะ”

“มึงไปถามมันโน่น ว่าจะงี่เง่าเชี่ยไรกับเรื่องกูกับเจน” กายว่า “กูไม่ใช่คนที่มีปัญหา กูก็อยากจะเคลียร์ไม่ต่างจากมึงไอ้มอส กูอยากให้มันอยู่กับกูตอนดูผลมันก็ไม่อยู่ ทีงี้แม่งจะมาโวยกูเรื่องกูบอกว่าแม่งไม่ควรได้ทุน”

“ไม่เลยเว่ย มันไม่ได้เกี่ยวไรกับเด็กเซนโยเว่ยมอส” อินพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน และนั่นทำให้กายเงียบเสียงไป “มึงอยากให้กูพูดใช่ป่ะไอ้กาย มึงแน่ใจนะ”

เป็นอินที่เดินเข้าไปหากายบ้าง ซึ่งทำให้โฟล์คคว้าแขนของอินไว้ทันที

“มันเป็นเรื่องที่มึงก็อยากพูดไอ้มอส พวกมึงทุกตัวอยากพูด แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา” อินพูดใส่หน้ากาย “ไม่มีใครพูด งั้นกูพูดเอง เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับที่กูลอกงานมัน แย่งแฟนมัน หรือไอ้โฟล์ครวมหัวกับพวกมึง ปิดเรื่องเจนกับมัน แต่มันคือเรื่องที่เพื่อนมึงคนนี้ แม่งไม่เคยเห็นหัวพวกเราเลยเว่ย”

คำพูดของอินจี้เข้าไปกายอินอีกครั้ง และนั่นทำให้พวกเขาทั้ง 5 เงียบกันไปพักนึง

คำพูดของอิน ที่เหมือนเปิดสวิตช์บางอย่างในหัวของพวกเขา 5 คน

“พวกมึงรู้ดีว่าเรื่องเด็กเซนโยแม่งคือประเด็นรอง คนอย่างมึงอ่ะเหรอ จะมาใส่ใจเรื่องแย่งหญิงกัน ทีตอนเรื่องกูกะไอ้โฟล์ค มึงบอกไร้สาระ วันนี้มึงเสือกคิดเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังอ่อ ไม่ใช่หรอก” อินว่า “มึงอยากรู้ใช่ป่ะ ว่ากูนัดไปกับเจนวันนั้นเพราะอะไร อยากรู้ใช่ป่ะ”

อินสะบัดแขนออกจากโฟล์คและเดินไปหากาย

“ก็เพราะกูไม่เคยรู้เชี่ยไรเกี่ยวกับมึงเลยไงไอ้สัส”

อินผลักอกกายลงไปนั่งกับม้าหิน มอสและเบนซ์ถลาเข้าห้ามทันที

“มึงบอกทุกคนตลอดเวลา ว่าพวกเราแม่งทำตัวไร้สาระไปวันวัน มึงอยากให้พวกเราจริงจัง มึงถามทุกคนตลอดเวลาว่า จบ ม.6 แล้วจะเอาไง มึงกดดันพวกกูตลอด ไอ้มอสมึงถามดิ ว่าใครไม่เคยเจอคำถามนี้จากปากมันมั่ง” อินร้องถาม ก่อนจะหันไปหาเบนซ์ “ว่าไงไอ้เบนซ์ มึงวาดรูปเก่งมาเป็นชาติ คะแนนสุชาดามึงสูงกว่ามันอีก แล้วค่ายนี้มันชวนมึงป้ะ”

เบนซ์ส่งเสียงเงียบเป็นคำตอบ

“มึงด้วยไอ้มอส ไอ้กายแม่งเป็นเด็กหนองคาย ลงมาอยู่กรุงเทพคนเดียว ที่แดกน้ำชาของพวกเราไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าห้องมันป่ะ แล้วมึงคนไหนเคยได้ไปเหยียบห้องมันบ้าง มันเคยเอ่ยปากซักครั้งป้ะ ว่าไปตั้งตี้ห้องมันอ่ะ ทำไมต้องเป็นบ้านมึง ทำไมมึงต้องเป็นคนขอแม่มึงให้พวกกู” อินถามต่อ “แล้วทุกครั้งที่มันไปบ้านมึง พวกเราไปบ้านมึง ใครขอตัวกลับก่อน ใครบอกตลอดว่าที่ทำอยู่แม่งไร้สาระไอ้มอส มันไง มันมองมึงเป็นพวกติดเพื่อน ไม่มีอนาคตอ่ะมึงรู้ตัวป้ะ”

มอสนิ่งสนิท ไร้คำพูดโต้เถียง ก่อนที่อินจะหันกลับมาหาโฟล์ค

“มึงก็อีกตัว มึงไม่เคยรู้เชี่ยอะไรเลย” อินพูดกับโฟล์คสั้นๆ สายตาที่อินส่งมาหาโฟล์ค มันทำให้เขารู้สึกเจ็บข้างใจอย่างบอกไปถูก โดยเฉพาะนัยน์ตาที่แดงก่ำของมันพร้อมกับสีหน้าที่เหมือนจะระเบิดทุกอย่างออกมา  อินมองหน้าโฟล์คอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปหากาย ที่ตอนนี้มองหน้าอินโดยไม่พูดอะไรแม้แต้คำเดียว

“พอกูกับไอ้เบนซ์จะลุยค่ายนี้ไปกับมึง มึงช่วยเหี้ยไรบ้าง วันนี้มึงคิดได้แค่ว่ากูลอกมึง ทำอะไรตามหลังมึง กูกะไอ้เบนซ์สมัครตามมึงอ่ะนะ มึงคิดแต่แข่งขันตลอดเวลาอ่ะ” อินว่าต่อ “กูกับเชี่ยเบนซ์เป็นเพื่อนมึงนะเว่ย แทนที่มึงจะช่วยพวกกู มึงเสือกไปช่วยเด็กเซนโย แล้ว… แล้วมึงยังเสือกบอกว่ากู… ไม่เหมาะที่จะได้ทุนนี่”

หน้าของอินแดงก่ำ เสียงที่สั่นเครือของมันทำโฟล์คใจสั่นตามไปด้วยอย่างไม่รู้เหตุผล มือของอินกำแน่นอยู่ข้างตัว

“มึงทิ้งพวกกูทุกตัวไว้ข้างหลัง มึงเห็นเจนเป็นอนาคตของมึง เป็นความฝันของมึงแล้ว มึงก็เตรียมทิ้งพวกกูได้แล้วไม่ใช่อ่อ มึงจะเอาเหี้ยอะไรอีก” อินหายใจหอบถี่ “ใช่… กูจีบเค้า แต่แล้วไงวะ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่ามึงไม่เคยเห็นหัวพวกกูป่ะ แล้วเมื่อคืน มึงก็คิดว่าจะเปิดบ้านไอ้มอส เคลียร์กับพวกกูรายตัว บอกลาแล้วไปปารีสอย่างสบายใจกับเค้างั้นดิ… มันจะง่ายไปป่ะวะไอ้กาย”

อินชี้ไปที่หน้าอกของเพื่อนที่อยู่สภาพหน้าแดงก่ำไม่ต่างกัน

“พวกกูเพื่อนมึงนะเว่ย ไม่ใช่แบบในรูปที่มึงถ่าย ที่มึงจะดีไซน์ยังไงก็ได้ตามใจนึกอ่ะ” อินว่า

ติ๊ง!!!

เสียงแจ้งเตือน และโทรศัพท์สั่นดังขึ้น พวกเขาหายใจหอบถี่พลางมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนที่เบนซ์จะตั้งสติได้ว่าเป็นโทรศัพท์ของเขาเอง

“พ...พวกมึง ใจเย็นนะ เงียบก่อน” เบนซ์หยิบโทรศัพท์ตัวเองเองมารับสาย “คับผม… คับ… ใช่คับ บดินทร์คับ ใช่คับ สิริคมสวัสดิ์คับ คับ… หะ…. อ...อะไรนะคับ… ผมเหรอ... อ้าว…”

เบนซ์หันมามองหน้าอินทันที

“เค้าได้บอกมั้ยคับว่าทำไม” เบนซ์พูดพลางมองหน้าอิน ที่ยังคงมองหน้ากายอยู่อย่างนั้น “ค...คับ ขอบคุณคับ เดี๋ยวยังไง...ผมแจ้งไปในอีเมล์คับ… ขอบคุณคับ”

เบนซ์วางสายลง ก่อนจะมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น

“มึงสละสิทธิ์เหรอไอ้อิน”

โฟล์คคิดว่านี่มันเกินจะรับไหวแล้ว นี่เป็นวันสุดสัปดาห์ที่เขาเจอเรื่องหักมุมมากเกินไป เช่นเดียวกับพวกเขาที่เหลือ ที่ช็อคกับสิ่งที่เบนซ์พูดออกมา โดยเฉพาะกายที่ดูเหมือนตอนนี้จะไร้ความรู้สึกใดใดผ่านใบหน้าออกมาแล้ว

“มึงไปปารีสกับเจนให้มีความสุขเหอะ” อินพูดเสียงสั่น “กูขอให้อนาคตของมึงกับเค้าโชคดี ประสบความสำเร็จเป็นที่หนึ่งของวงการได้เลยยิ่งดี”

“อิน...กู…” กายพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

“แต่...ถ้าวันนึงมึงเจออะไรที่ไม่ได้ดั่งใจมึง มึงออกแบบไม่ได้ มันก็เรื่องของมึงแล้ว จะไม่มีใครสน ไม่มีใครอยู่กับมึงอีก จะเหลือแต่มึง กับเจนนั่นแหละ กูไม่เอาด้วยแล้ว”

อินหันหลังและคว้ากระเป๋าเดินออกไปจากตรงนั้นทันที

“เชี่ยอิน… เดี๋ยว” มอสร้องตะโกนแต่อินก็ไม่ฟัง

ในสายตาของโฟล์ค การมองเห็นอินหันหลังเดินออกไปจากที่ตรงนี้ มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้อีก เขาทนเห็นภาพนี้ไม่ได้อีกแม้แต่นาทีเดียว

“เชี่ยโฟล์คมึงไปไหนอีกเนี่ย” มอสร้องขึ้น เมื่อเห็นโฟล์คคว้ากระเป๋าตามอินไปอีกคน

“มึง… จะอยู่กับมันก็อยู่ไป” โฟล์คหันมาตอบ “แต่กูจะไม่เป็นอีกคนที่ทิ้งมัน… โชคดีกับความสำเร็จไอ้กาย”

สิ่งที่มอสกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว

The Zodiac แตกอย่างสมบูรณ์

-------------

โฟล์คไม่แน่ใจว่าอะไรพาเขามาที่นี่ แต่มันเหมือนสัญชาติญาณบางอย่างบอกเขาว่ามันต้องเป็นที่นี่ เหตุผลอาจจะเพราะมันใกล้โรงเรียนที่สุด แต่มันก็เป็นอะไรที่พอจะคาดเดาได้อยู่ เพราะทันทีที่เขาเดินมาถึง พี่มดก็หน้าตาตื่นอยู่ที่ด้านล่าง

“โดดเรียนกันมาหรือเปล่าเนี่ยโฟล์ค” พี่มดร้องถาม

“ม...ไม่เชิงคับ มัน...มันมาใช่มั้ยคับ” โฟล์คตอบกลับเสียงสั่น

“ใช่จ้ะ… ขึ้นไปข้างบนแล้ว มีอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย” พี่มดถามทันที

“เปล่าคับ… แค่… มาถ่ายแสงเช้าบ้าง” โฟล์คว่า “ผม… ขึ้นไปนะ”

“จ้ะ.. รีบถ่ายรีบกลับไปเรียนล่ะ”

โฟล์คไม่ทันจะได้รับคำพี่มด เขาสาวเท้าวิ่งขึ้นไปที่ดาดฟ้าทันที เป็นอย่างที่เขาคิด อินมาที่นี่เพราะมันคงเป็นที่ที่สงบพอสำหรับมัน โดยเฉพาะจากเรื่องที่เกิดขึ้น โฟล์คยอมรับว่าเขาไม่รู้มาก่อน ว่าอินต้องแบกความรู้สึกแบบนี้ไว้คนเดียวโดยไม่เคยพูดมันออกมา

คนคนเดียวจะแบกเรื่องพวกนี้ไว้ได้ยังไงกันนะ

ทันทีที่มาถึงชั้นบน เก้าอี้ต่างๆยังระเกะระกะ จากสภาพบาร์เมื่อคืนที่คงปิดดึกและยังเก็บไม่เรียบร้อย อินไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา โฟล์คจึงหันหลังไปมองด้านหลังบาร์แล้วก็เป็นตามที่คิด อันยืนอยู่ตรงระเบียงด้านหลัง ยืนมองไปยังกรุงเทพที่กำลังต้องแสงอาทิตย์ตอนเช้า

โฟล์คถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบ อินมองไปตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรซักคำ โฟล์คไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง จึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆเงียบๆ

“ขอฟังเพลงหน่อย” อินพูดขึ้น “เพลงที่มึงเอามาใส่หูกูวันนั้นอ่ะ”

โฟล์คหยิบหูฟังคู่ใจขึ้นมา ก่อนจะเปิดเพลงในโทรศัพท์และยัดใส่หูอินข้างนึง อินฟังเพลงนั้นและก้มหน้าลงทันทีโดยไม่พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ซึ่งมันกลายเป็นความอึดอัดระหว่างเขาและอินอยู่อย่างนั้น

แต่ความเงียบกลับยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไป เขาเกลียดความเงียบจากอินที่สุด

“ทำไมมึงทำงี้อ่ะ” โฟล์คพูดโพล่งออกมา หลังจากเพลงจบลง “มึงทิ้งความฝันมึง กับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ป่ะวะ”

“มึงจะทำตัวเป็นพ่อกูอีกละนะ...ไม่ต้องพูดเลย”

อินพูดเสียงราบเรียบ ซึ่งนั่นทำให้โฟล์ครู้สึกแย่ขึ้นไปอีก

“แต่...นั่นทุนฝรั่งเศสนะเว่ย” โฟล์คว่า “มึง… มึงทิ้ง...”

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูไม่ได้คิดอะไรง่ายๆแบบมัน” อินว่า

“แล้ว… เพราะอะไรอ่ะ… บอกกูได้มั้ย” โฟล์คถามเสียงนิ่ม นั่นทำให้อินหันไปมองโฟล์คทันที

“ถ้ากูบอกมึง มึงจะตอบคำถามกูป่ะ” อินถามทันที

“...ถาม… เรื่อง?” โฟล์คพูดตะกุกตะกัก

“ตอบกูมาก่อน ว่ามึงจะแฟร์ คนละคำถามไง” อินพูดย้ำ

โฟล์คเงียบก่อนจะตัดสินใจ

“ได้… กูจะตอบ” โฟล์คพูด

“ดี… กูทิ้งทุนนั่น เพราะกูไม่อยากทิ้งแม่ไว้คนเเดียว กูต้องดูแลบ้าน” อินตอบ “กูไม่ได้สิ้นคิดขนาดนั้น และความฝันของกู ก็ไม่ได้เหมือนไอ้กาย มึงเข้าใจยัง”

คำตอบของอิน ก็พอจะทำให้โฟล์คเบาใจลงไปได้บ้าง

“โอเค มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

“ตากูบ้างนะ” อินพูดสวนกลับทันที พลางมองหน้าโฟล์ค

“อ่าหะ” โฟล์คตอบพลางตั้งสติ

“มึงชอบกูใช่ป่ะ”

เป็นอีกครั้งที่อินทำให้เวลาของโฟล์คหยุดลง

-------------------
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 9 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 03-01-2020 15:34:26
บทที่ 9 - Tear Apart 1

“มึงว่าอะไรนะ” โฟล์คถามกลับเสียงสั่น

“กูถามว่า มึงชอบกูใช่ป่ะ” อินถามอีกครั้งหนึ่ง

และนั่นทำให้เกิดความเงียบระหว่างกันอยู่อย่างนั้น

“คนละคำถาม แฟร์ๆ” อินพูดย้ำอีกครั้ง และนั่นทำให้โฟล์คก้มหน้าลง พลางหลับตาลง เพลงที่เปิดดังก้องอยู่ในหูของทั้งเค้าและอินจบลงไปอีกหนึ่งเพลง พร้อมกับคำถามของอินที่เหลือเพียงสายลมที่เงียบสงบ

“กูถึงมาอยู่ข้างมึงไง”

โฟล์คพูดโดยยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น เขาลืมตาขึ้นเพื่อมองหน้าอินตรงหน้า ใบหน้าของอินที่มองมา เป็นอะไรที่โฟล์คคาดเดาไม่ถูก โฟล์คมองแววตาคู่นั้นอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้อินมากขึ้นไปอีก 

“กูตอบคำถามมึงชัดพอมั้ย” โฟล์คยังคงเดินตรงเข้าไปหาอินอีกครั้ง เขาหยิบหูฟังออกจาหูตัวเอง และใส่อีกข้างหนึ่งเข้าไปหาอิน

“อยู่กะกูไหมล่ะ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นแล้ว”

อินหายใจถี่มากขึ้น ก่อนจะหยิบหูฟังของโฟล์คออกจากหู

“มึงเห็นกูอ่อนแอขนาดนั้นเลยอ่อ” อินถามต่อ

“หะ…”

“กูไม่ได้เป็นไอ้ขี้แพ้ ที่มึงต้องมารัก มาสงสารนะ” อินพูดต่อ “ที่มึงจูบกูวันนั้น ก็เพราะแบบนี้ใช่ป่ะ กางแขนปกป้องกูจากมินนี่ ใช่ป่ะ”

โฟล์คหยุดชะงักไปพักนึง

“มึงรู้มั้ย ทำไมกูถึงให้มึงไปกะกูวันที่ไปเจอเจน” อินว่าต่อ “เพราะกูอยากให้มึงรู้ไง ว่ากูไปต่อได้สบายมาก ไม่ต้องให้มึงมาช่วย”

“อิน…”

“มึงพากูมาที่นี่ หาวิธีให้กูถ่ายงาน ไปอยู่เป็นเพื่อนกูที่บ้าน กูไม่ได้โง่เว่ยโฟล์ค กูรู้” อินพูด “แต่กูไม่ได้ใช้ภาพที่นี่ กูไม่อยากใช้ภาพของมึง กูอยู่ได้ โดยไม่มีมึง”

เสียงสั่นเครือของอิน ทำให้โฟล์คใจสั่น เขารู้สึกเหมือนกำลังจะหายใจไม่ออก

“อิน กู… กูไม่ได้…เห็นว่ามึงอ่อนแอเลยนะเว่ย กูขอโทษที่ทำให้มึงรู้สึกอย่างนั้น” โฟล์คพยายามพูดต่อ

“กูขอบใจนะเว่ย ที่มึงปกป้องกู แต่… กูไม่ได้… ชอบมึงว่ะ” อินพูดออกมาในที่สุด “แล้ว… แล้วถ้ามึงยังอยากเป็นเพื่อนกูอยู่ อย่าพยายามปกป้องกูอีก”

“อิน… ฟังกูก่อน”

อินส่ายหน้าให้โฟล์ค

“พอเหอะ… กูเหนื่อยกับพวกมึงมามากแล้วอ่ะ” อินว่า “มึงปล่อยกูไปเหอะ แล้วก็ ไม่ต้องมายุ่งกับกูแล้วนะ กูมานี่ ก็เพื่อจะบอกมึงว่า… กูจะไม่มาให้มึงเจอหน้าอีก ”.

“หมายความว่าไง” โฟล์คร้อง

 อินก้มหน้าลง

“กูจะย้ายโรงเรียน” อินตอบทันที และมันก็เหมือนกับก้อนภูเขาขนาดใหญ่โยนทับใส่เขา

“อ...อะไรนะ” โฟล์คร้อง “อิน… มึง…”

“มึงอย่ามาดราม่า” อินพูด “มึงก็เห็นว่าบ้านกูไกล กูคิดเรื่องนี้มาตลอดปีแล้ว กูสงสารแม่ มึงเข้าใจป้ะ แม่งไม่ใช่แค่เรื่องนี้ โอเคมั้ย กูกลับละนะ”

อินเดินสวยโฟล์คออกไป แต่ทว่าโฟล์คก็คว้าตัวของอินไว้ และสวดกอดอินจากด้านหลังทันที

“กูมาอยู่ข้างมึงแล้วไง… กูขอโทษ” โฟล์คพูดทันที “อย่า… ทิ้งไปเลย”

นิ่งกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่อินจะสะบัดตัวเองออกมาจากโฟล์ค

“กูบอกแล้วไง ว่ากูไม่ได้เป็นอะไร อย่าทำแบบนี้” อินหันมาพูดเสียงเข้มใส่ “กูไม่ใช่คนอ่อนแอโฟล์ค”

โฟล์คยังคงนิ่งเงียบ

“อย่าบังคับให้กูเกลียดมึงไปอีกคนนะ กูขอล่ะ”

อินหันหลังและเดินจากโฟล์คไป

เขาเกลียดวินาทีแบบนี้ที่สุด วินาทีที่อินหันหลังให้กับเขา โดยที่เขาม่สามารถยื้ออะไรไว้ได้เลย

มันเหมือนกับว่าอินได้ลากเอาอนาคตทุกอย่างของเขาหายไปด้วย

อนาคตที่เขาไม่รู้ว่ามันจะไปจบยังไง…..

-----------

“เห้ย โอเคป่าว” เสียงของกายปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ท่ามกลางเสียงประกาศอันอื้ออึงของสนามบิน

“โอเค… ไม่มีไร” โฟล์คยิ้มตอบ ขณะหันไปมองกายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดธรรมดา กายพยักหน้ารับคำอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก ขณะที่หันกลับไปมองนัท แฟนของเขา หนุ่มดีไซน์เนอร์คนนั้นกำลังเช็คอินอยู่ที่เคาท์เตอร์ เพื่อโหลดสัมภาระชิ้นใหญ่ ซึ่งเป็นภาพวาดที่ชื่อว่า Loveless Society เขากอดอกมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างใช้ความคิด

“ของเยอะเหมือนวันนั้นเลยนะ” โฟล์คพูดขึ้น

“วันไหนวะ” กายหันมาถาม

“วันที่มึงไปปารีสกะเจนไง เมื่อตอน ม.6” โฟล์คพูดขึ้นเบาๆ

“อ้อ…” กายรับคำ “วันนั้นไม่มีใครมาส่งกูเลย มีแต่มึงอ่ะ”

“ตอนแรกกูก็นึกว่ามึงกะไอ้เบนซ์จะไปพร้อมกัน” โฟล์คว่า แต่กายส่ายหน้าเบาๆ

“กูทำกลุ่มแตก ไอ้เบนซ์ไม่คุยกับกูเป็นปีปีเลยนะเว่ย เจอกันที่ปารีสมันก็ไม่ทัก” กายพูดพลางเม้มปาก “แม่งเป็นหลายปีที่แย่มากสำหรับกูเลย”

“เกิดไรขึ้นวะ” โฟล์คถามขึ้น

“ก็… แม่กูป่วยอ่ะ ตอนปีสาม กูต้องบินไปกลับปารีส ไทย อุดร แม่งเหนื่อยชิบหาย พ่อกูเค้าก็ ส่งให้แต่เงิน แต่ไม่เคยมาเยี่ยมเลย” กายเริ่มพูด “สุดท้ายพอแม่กูเสีย กูทิ้งทุกอย่างไปปารีส.. แล้ว… กูก็ดันเลิกกับเจนหลังจากนั้น”

“เอ๊า…” โฟล์คอุทานเสียงดัง

“ไอ้อินแม่งพูดถูก กูชอบออกแบบชีวิตคนอื่น เจนเค้าเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีเลย” กายว่า

“แล้วคนเนี้ยอ่ะ” โฟล์คหยักกเพยิดไปหานัทที่ยังคงวุ่นวายอยู่ที่เคาท์เตอร์

“ข้อยกเว้นว่ะ” กายยิ้มกว้าง “กูยกเว้นเค้าไว้คนเดียว”

โฟล์คยอมรับว่าเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้จากกายมาก่อนตลอดหลายปีที่รู้จักกันมา มันเหมือนกับว่าไอ้กายตัวแสบในแกงค์ของเขาเมื่อก่อน ได้ตายไปแล้วอย่างนั้นแหละ

“เรียบร้อยแล้วนะคุณ” นัทเดินมาหากายและโฟล์คที่ลานกว้างหน้าเกท “นี่บอร์ดดิ้งพาสนะคับ”

นัทยื่นบอร์ดดิ้งพาสมาให้กับโฟล์ค

“เออ ผมว่าจะถามนานแล้ว” โฟล์คพูดขึ้นขณะรับบอร์ดดิ้งพาสมาไว้ในมือ “ผมว่าคุ้นหน้าคุณนะคุณนัท เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนป่ะคับ”

นัทยิ้มกริ่มขณะที่หันไปมองกาย ที่โอบไหล่เขาไว้

“ก็… ไม่รู้สิคับ” นัทว่า “แล้ว ถ้าเป็นคนนี้อ่ะ คุณโฟล์คพอจะคุ้นไหม”

นัทพูดพลางชี้ไปที่ประตูทางเข้าสนามบิน โฟล์คมองตามไป ก็เห็นชายคนหนึ่งที่หอบของพะรุงพะรังมา พร้อมด้วยการแต่งตัวที่เต็มไปด้วยเสื้อโคล่งๆประหลาด และผมเผ้าที่ดูไม่ค่อยเป็นทรงดีนัก

“เอ๊ะ…” โฟล์คเหล่มองไปเบาๆ

“มิก ทางนี้” นัทโบกมือร้องเรียก ขณะที่มิกเดินตามมาถึงเสียงเรียก

“หวัดดีนัท โทดที รถโคตรติดเลยอ่ะ หาที่จอดไม่ได้ด้วย แกรู้ป่ะ พอกลับจากงานเลี้ยงรุ่นนะ ไอ้สาที่มันยกเลิกไฟล์ทไม่ไปกับเราเพราะอะไร เพราะมันบินไปกับมาร์คแล้วเมื่อวานเว่ย ทุเรศป้ะ” มิกมาถึงก็บ่นอุบอิบกับนัท พลางกล่าวทักทายทุกคน “หวัดดีกาย หวัดดี...เห… ทำไมคุ้นหน้าจัง”

“เหมือนกัน เราเคยเจอกันป้ะคับ” โฟล์คพูดเช่นกัน

“เดี๋ยวนะ… เห้ย จำได้แล้ว...นายเด็กอักษรนี่หว่า… เพื่อนไอ้ฟ้า” มิกร้องพลางชี้หน้าโฟล์คทันที

“อ๋อ… เดี๋ยวนะคับ นี่ มิก… มิกที่อยู่ชมรมวาดภาพอ่ะนะ” โฟล์คถามต่อ พลางมองไปที่นัท “เห้ย ผมจำได้แล้ว พวกคุณเด็กดีไซน์นี่ เพื่อนคุณอีกคนเป็นผู้หญิงป้ะคับ”

“คับ” นัทยิ้มตอบ “ก็ถ้าเอาทั้งคลาสโฆษณาก็… หกคน”

“รวมไอ้อินด้วย” กายพูดต่อคำของแฟนเขา และนั่นทำให้โฟล์คนิ่งสนิท

“อินอ่ะนะ… ใช่ช่างภาพที่ถ่ายรูปงานหมั้นนายกะนัทป่ะ” มิกถามต่อ “เดี๋ยวอะไรกันวะเนี่ย แล้ว… คือยังไง รู้จักกันอ่อ”

“ผมว่า คุณมิกไปเช็คอินก่อน แล้วรีบขึ้นเครื่องดีกว่า คุณมีเวลาถามไถ่เรื่องนี้กันอีกหลายชั่วโมงเลย” กายยิ้มกว้าง “เพราะครั้งเนี้ย ผมอยากให้คุณ พาเพื่อนผมไปปารีส”

“หะ… คนนี้อ่ะนะ ที่จะไปกับผม… แล้วนี่...แกไม่ไปแล้วอ่อนัท” มิกหันไปหาเพื่อน

“เปลี่ยนใจแล้วอ่ะ… พอดี กายเค้าจะย้ายไปอยู่บ้านกูน่ะ” นัทพูดอย่างเก้อเขิน

“อ้อ…” มิกรับคำเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้นัท “ก็ดี”

“ไม่ต้องมาทำเสียงงี้เลยมิก ไปปารีสคราวนี้ ก็ต้องเอาเรื่องของแกให้จบได้แล้ว” นัทพูดพลางยื่นซองน้ำตาลซองหนึ่งให้มิก

“อะไรวะ” มิกถามต่อ

กายและนัทมองหน้ากันทันที

"ไปเปิดที่ปารีสก็รู้เองอ่ะ" นัทว่า
“สาขาที่อังกฤษไม่มีช่างภาพ แล้วสาก็ไปเบอร์ลิน เพราะงั้น… ผมเลยให้อิน ช่างภาพเพื่อนผมวันนั้น ไปประจำที่อังกฤษ” สิ่งที่กายพูดทำให้มิกและโฟล์คหันไปมองหน้าเขาพร้อมกัน “ผมคิดว่าเอิร์ธต้องมีคนช่วย รวมถึง อาร์ตไดคนใหม่ด้วย”

มิกนิ่งเงียบพลางมองหน้าโฟล์ค ทั้งสี่เงียบกันไปพักนึง

“ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับเที่ยวบินที่ TG964….”

เสียงประกาศปลุกสติของโฟล์คและมิกขึ้นมา

“เอ่อ… ไปเช็คอินแปป” มิกหยิบกระเป๋าตัวเองและเดินไปที่เคาท์เตอร์ ท่ามกลางสายตาของกายและนัท ที่มองตามหลังไปอย่างเป็นห่วง

“จะให้กูไปกะมิกเค้าอ่อ” โฟล์คกระซิบถาม

“ใช่.. กูคงต้องรบกวนมึงช่วยหน่อยว่ะ” กายหันมาตอบ

“ช่วยอะไรวะ”

“ช่วยให้มิกเค้าเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” กายว่า “เหมือนที่มึงเคยช่วยกูวันนั้นไง”

โฟล์คมองหน้ากายพลางคิดทบทวนหลายอย่าง

เริ่มต้นใหม่…

นั่นสิ…

เขาเป็นคนที่เข้าใจความหมายของมันเป็นอย่างดี เพราะเขาเริ่มต้นใหม่กับเรื่องนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว การเดินทางที่เหมือนจะจบ แต่ก็ไม่เคยจบจริงๆสำหรับเขา

“ถ้าในหนังสือ Endless Dream มันจะทำให้คนเราเริ่มต้นใหม่ได้ ผมฝากเพื่อนผมอีกคนด้วยคับคุณโฟล์ค” นัทยิ้มให้กับโฟล์คอีกครั้ง

น่าตลกที่ความหวังที่กายและนัทฝากไว้กับเขานั้น เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นจริงได้ไหม...

------------

“โอ๊ยช่วงหน่อยนะ เราไม่อยากเข้าไปคนเดียวอ่ะ” เสียงใสใสของฟ้า เพื่อนภาคของโฟล์คร้องขึ้นในชุดนักศึกษา เสียงออดอ้อนของเธอทำเอาโฟล์คทำหน้าเซ็ง

“ทำไมวะ เด็กถาปัตย์แม่งน่ากลัวขนาดนั้นเลยไง” โฟล์คถามต่อ

“น้อยไปดิ แกไม่เป็นผู้หญิงแกไม่เข้าใจหรอก ข้างล่างคณะแม่งโคตรแบบ โอ่ยยย” ฟ้าพูดพลางส่ายหน้า

“คือกูก็ไม่ได้รู้จักใครที่นั่นไง แล้วจะให้เดินเข้าไปแล้วยังไง… คลาสโฆษณาอยู่ไหนคับ คนชื่อมิกอยู่ไหม มีคนฝากของมาให้ งี้อ่อวะ” โฟล์คถามต่อ “มึงชอบเค้า มึงก็ไปบอกเค้าเองดิ”

“ก็แค่เดินเข้าไปเป็นเพื่อนไหมล่ะ มาถึงนี่แล้วอ่ะ เดินเข้าไปนิดเดียวเอง ไอ้โฟล์คอย่าเยอะ เร็วๆ” ฟ้ายังคงออดอ้อน และนั่นทำให้โฟล์คถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินตามเข้าไปทันที

คณะสถาปัตย์อยู่แยกออกไปอีกวิทยาเขตนึง มันทำให้ที่นี่ดูมีควาเป็นอาณาจักรที่โดดเดี่ยว เขาเองก็รู้สึกเหมือนกับฟ้า ที่ว่าคนที่นี่ก็จะดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่ในเมื่อฟ้าที่มีฝีมือในการวาดรูป เจียดเวลาตัวเองมาลงวิชาเลือกเป็นวิชา Painting ที่คณะนี้แล้ว แถมดันไปแอบชอบเด็กปีสองคณะนี้อีก เขาก็ไม่มีทางเลือก ก็เลยโดนติดสอยห้อยตามให้มาเป็นเพื่อนอยู่แบบนี้

“เออ ก็แค่นี้แหละ เห็นมะ พอกูมาแกมากะชั้น แม่งก็ไม่มีใครแซวละ ก็แบบเป็นแฟนกันไง” ฟ้าพูดทันทีเมื่อเดินเข้ามาถึงหน้าลิฟต์ ผ่านพวกเด็กที่นั่งรวมตัวกันข้างล่างคณะได้

“เจริญละ แล้วแบบนี้คนนั้นเค้าจะไม่มากระทืบกูทีหลังใช่มะ” โฟล์คพูดแซว

“โอ๊ย ไม่หรอก แกรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวลงมา” ฟ้ายักคิ้วให้ก่อนจะกดลิฟท์ทันที

“อีนี่ ทิ้งเพื่อนเลยนะ” โฟล์คแซวอย่างต่อเนื่อง

ติ๊ง!!!

เสียงประตูลิฟต์เปิดออก ขณะที่ฟ้าเดินสวนเข้าไป แต่ทว่านาฬิกาของโฟล์คกลับหยุดนิ่งอีกครั้ง เมื่อร่างในชุดนักศึกษาพร้อมใบหน้าขาวใส กับผมยาวที่รวบผูกไว้บนหัวนั้นเดินสวนฟ้าออกมา ร่างๆนั้นไม่ได้มองหน้าเขา ได้แต่เดินผ่านเขาไปช้าๆ ขณะที่ฟ้าเข้าไปในลิฟต์และประตูปิดลง

โฟล์คเดินตามร่างนั้นไปราวกับว่าตัวเขาควบคุมตัวเองไม่ได้

“อิน”

โฟล์คร้องเรียก ขณะที่อินหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
หัวข้อ: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 10 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 03-01-2020 22:54:24
อินเหลียวหน้าหันมา โฟล์คค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อีกครั้ง

“นั่นอินป่ะ… อินใช่ป่าว” โฟล์คร้องเรียกอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นร่างๆนั้นก็รีบสาวเท้าเดินหายไปจากหน้าลิฟต์ทันที โฟล์ครีบก้าวเท้าเดินตามไป แต่ทันใดนั้น ฝูงนักศึกษาก็กรูกันออกมาจากลิฟต์คณะอย่างมหาศาลพร้อมกับเสียงพูดคุยอื้ออึงปะปนไปยังลานด้านล่างของคณะ

โฟล์คพยายามเบียดเสียดคนเพื่อเดินไปข้างหน้าให้ได้ แต่ทันใดนั้น เขาก็ชนเข้ากับนักศึกษาหญิงคนหนึ่งจนล้มลง ทำเอารูปถ่ายของเธอร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้น

“ขอโทษคับขอโทษ เป็นอะไรหรือเปล่าคับ” โฟล์ครีบก้มลงช่วยเก็บรูปที่กระจัดกระจาย ขณะที่ฝูงนักศึกษาต่างแหวกทางให้กับเขาและเธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร เอ่อ… รูปนั้นด้วยค่ะ” เธอชี้ไปยังอีกทาง ซึ่งเป็นหนังสือภาพถ่ายของเธอเอง โดยที่หน้าปกเขียนชื่อเอาไว้ด้วยลามือน่ารัก

สา...

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคับ” โฟล์คโกยทุกอย่างกลับมาคืนเธอจนหมด

“ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก นายล่ะ…เป็นไรป่าว” เธอกล่าวถาม

“ไม่คับ ขอโทษทีนะคับ” โฟล์คยังคงขอโทษย้ำ

“ค่ะ ช่วงคนเยอะก็อย่างเนี้ยแหละค่ะไม่เป็นไร” เธอยิ้มกว้างให้กับเค้า

“สาเร็ว...หิวแล้ว เดี๋ยวคนเยอะ…เลิกคลาสยังเนี่ย” เสียงของเพื่อนเธอร้องเรียกขึ้นจากลานหน้าคณะ เธอจึงปัดเนื้อตัวและเดินจากไปสมทบกับเพื่อนของเธออีกคน

“ไปไป… เดี๋ยวกูไปเอารูปจากอินด้วย เออ…”

เสียงพูดคุยของเธอกับเพื่อนดึงสติของโฟล์คให้กลับมาอีกครั้ง

เป็นอันว่าเขาเข้าใจไม่ผิด

เขามั่นใจว่าร่างที่เขาเห็นคือคนคนนั้น

เขาไม่มีทางจำผิดอย่างแน่นอน

--------------

อภินันท์ สุรีเรืองชัย

โฟล์คจ้องรายชื่อนักศึกษาที่อยู่ในเว็บรายชื่อนักศึกษาอยู่อย่างนั้น ขณะที่ฟ้านั่งมองเขาจากโต๊ะตรงข้ามพร้อมกับแต้มสีลงในภาพของเธอ

“คือยังไงนะ… เพื่อนมัธยมที่ลาออกไปเหรอ” ฟ้าถามต่อ

“อืม… ไม่เจอกันมาสามปีแล้วอ่ะ” โฟล์คว่าต่อ แม้ว่ายังคงมองชื่อในเว็บ

“แน่ใจนะว่าคนเดียวกันอ่ะ” ฟ้าถามต่อ

“แน่ดิ จำชื่อได้ ไม่เคยลืม” โฟล์คตอบ

“ชื่ออินเหรอ… ไม่เคยได้ยินมิกพูดถึงนะ แต่… ก็คงไม่แปลกเพราะว่ามิกไม่ได้ลงวิชาเดียวกับเพื่อนทุกตัวอ่ะ” ฟ้าตอบ “อาจจะเป็นคนละเอกกับมิกก็ได้”

“แล้ว… รู้จักคนชื่อ… สา...ป้ะ เป็นผู้หญิง” โฟล์คหันมาถาม

“อ๋อ… รู้ ก็เพื่อนมิกนั่นแหละ เจอด้วยเหรอ” ฟ้าถามต่อ

“เจอดิ… วันนี้ชนเค้าด้วยอ่ะ ตอนวิ่งตามมัน” โฟล์คเล่า

“วิ่งตามเหรอ แล้วเค้าวิ่งหนีแกทำไมวะ” ฟ้าร้องถาม

“เอ่อ…” โฟล์คเงียบไปทันที “อาจจะ...จำไม่ได้มั้ง หรืออาจจะไม่ได้ยิน”

“อ่าหะ… แล้วสาเค้าทำไมอ่ะ” ฟ้าถามต่อ

“ก็ เหมือนได้ยินเค้าพูดชื่ออินอ่ะ น่าจะรู้จัก” โฟล์คถาม

“งั้นก็… อาจจะเด็กเอกโฟโต้ ไม่ก็โฆษณาอ่ะ เพราะสองวิชานี้มิกไม่ได้ลง” ฟ้าตอบ

“อ่าหะ” โฟล์คยังไม่อาจละสายตาไปจากชื่อของอินได้เลย

“นี่… รู้จักกันจริงป่ะเนี่ย” ฟ้าถามต่อ

“รู้จักดิ ทำไมวะ” โฟล์คว่า

“ก็...ไม่รู้สิ แกดู กลัวๆกล้าๆแปลกๆ เป็นอะไรอ่ะ” ฟ้าถาม

“เปล่า… ไม่มีไร” โฟล์คพูดตอบแก้เก้อ “เออฟ้า… แกไปสืบๆให้หน่อยดิว่า อินมันเป็นไงบ้าง แล้วพักหอไหน”

“หือ… แปลกๆละ เพื่อนกันไม่ไปถามกันเองอ่ะ” ฟ้าถามต่อ

“เออน่ะ ช่วยเช็คให้หน่อย เดี๋ยวกูเข้าคลาสก่อน มึงไม่เข้าใช่มั้ย” โฟล์คก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะทันที

“อืม เดี๋ยวต้องเตรียมออกไปราชประสงค์กะมิกอ่ะ ฝากเช็คชื่อด้วย” ฟ้าพูด

“โอเค… แต่ยังไงหาเวลาเข้าบ้างละกัน วิชาปรัชญายากเด้อ” โฟล์คกล่าวเตือน

“จ้า...รู้แล้ว ฝากด้วย”

โฟล์คเดินขึ้นตึกคณะอักษรไปด้วยความรู้สึกในสมองที่ตื้อมึน เขายอมรับเลยว่าตัวเองไม่ได้มีความพร้อมในการเข้าเรียนในวันนี้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะรับปากฟ้าไว้แล้วจะจดเลกเชอร์และตามงานให้ แต่จิตใจของเขาตอนนี้มันปั่นป่วนชอบกล

หลังจากที่อินปฏิเสธเขาไป หลังจากนั้นแค่อาทิตย์เดียวก็สอบปลายภาค แล้วมันก็ไม่กลับมาเรียน ม.6 เขาได้ยินข่าวแว่วๆมาว่ามันไปต่อสาธิตซักที่หนึ่ง แต่ก็จำอะไรไม่ได้มาก แล้วการเตรียมตัวสอบก็วุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะแวะไปหามันที่บ้าน แน่นอนว่ามันบล็อคเฟส ไลน์ และช่องทางการติดต่อจากเขาทุกทาง ยิ่งกับแกงค์ Zodiac ก็ไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนกระจัดกระจาย ไม่มีใครพบกันอีกหลังจากกายไปฝรั่งเศส

เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าอินเรียนที่นี่ อยู่ในรั้วมหาลัยเดียวกับเขา แม้จะคนละพื้นที่ก็เหอะ ตลอดเวลา 2 ปีที่เขาเรียนที่นี่ เขาไม่เคยเจออินเลย แต่ก็อาจจะไม่แปลก เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยเจอนักศึกษาคนอื่นๆในชั้นปีเท่าไหร่ อีกอย่างเด็กอักษรมันเป็นพวกปลีกวิเวก แม้จะไม่เท่าสถาปัตย์ แต่การจมอยู่กับกิจกรรมเชียร์บ้าน และนั่งฟาดกับอาจารย์ในวิชาปรัชญามันก็ทำเอาประสาทจะกินพออยู่แล้ว ไม่มีเวลาออกไปเจอหน้าใครที่ไหน

อาจจะมีก็แค่ฟ้า เพื่อนสนิทที่ตัวติดกับเขามาตั้งแต่โดนจับคู่รหัสกันตอนปีหนึ่ง เธอเป็นเหมือนคนที่หลงเข้ามาในดงของเด็กอักษร ฟ้ามีอะไรหลายอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ที่คณะนี้ หากแต่ควรตามไปอยู่กับแฟนเธอที่คณะสถาปัตย์มากกว่า เธอเป็นผู้หญิงช่างคิด ช่างจินตนาการ เดี๋ยวอ่อนไหว เดี๋ยวแข็งแกร่ง แถมชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ มีอย่างเดียวที่เธอเหมาะกับคณะนี้ก็คือการที่เธอชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองและศิลปะ ซึ่งเธอใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการเข้าชมรมวาดรูป และออกไปทำกิจกรรมทางศิลปะแนวสร้างสรรค์สังคมข้างนอกอยู่บ่อยๆ

“จะเข้ามั้ยคับ” เสียงของเพื่อนร่วมคลาสทักขึ้น เมื่อโฟล์คเผลอยืนอยู่หน้าห้องนานเกินไป

“โทษทีคับ”

เขาเดินเข้าห้องไปอย่างจิตใจเหม่อลอย

--------------

“มาแล้วค้าบบบบ” โฟล์คกล่าวทักทายเสียงยานคางใส่พี่มด เมื่อเขามาถึงร้านในค่ำของวันนั้น

“เอ๊า… ไหนฟ้าเค้าบอกว่าวันนี้เลิกค่ำไง” พี่มดถามขึ้นทันที

“ผมปิดรายงานเร็วอ่ะพี่” โฟล์คยิ้มกริ่มเป็นคำตอบ

“แหนะ เทพตลอดน้องฉันคนนี้ งั้นขึ้นไปช่วยพี่บอลไป แขกวันนี้เยอะ มีโต๊ะจองด้วย” พี่มดพูดขึ้น

“โอเคพี่ ไว้คุยกัน”

โฟล์คใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนมาทำงานพาร์ทไทม์ที่บาร์แห่งเดินที่ร้านดาดฟ้า แม้ว่าแม่ของเขาจะทัดทาน เพราะอยากให้เขาเพ่งสมาธิกับการเรียน และอยากให้เขาอยู่หอมากกว่าการถ่อมาทำงานที่ร้านที่อยู่คนละโยชน์กับมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนื่อยอะไรมากขนาดนั้น

ใช่… พี่บอลเลี้ยงคอกเทลเค้าฟรีด้วย

“หวัดดีพี่” โฟล์คยิ้มให้บอล บาร์เทนเดอร์ที่ประจำอยู่ที่ร้านดาดฟ้า ชายหนุ่มหันหน้ามาส่งเสียงเหนื่อยอ่อน

“โอ่ยยยย ขอบคุณที่มึงมาไอ้โฟล์ค นึกว่ากูจะตายแล้ว มาเร็วๆ ไปรับออร์เดอร์สี่โต๊ะนั้น เป็นโต๊ะจอง เค้ามาปาร์ตี้บริษัท” บอลเริ่มออกคำสั่ง

“ครับผม” โฟล์คคว้าผ้าคลุมมาใส่ ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตไปรับออรเดอร์และตรงไปที่โต๊ะริมระเบียง ดูเหมือนว่าพนักงานบริษัทจะมาจัดเลี้ยงปาร์ตี้กันที่นี่ในคืทนวันกลางสัปดาห์ บรรยากาศของร้านดาดฟ้า ก็หรูหราและมีระดับพอจะให้มากันทั้งแผนก เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นนานๆครั้ง และพี่บอลก็มักจะเกลียดวันแบบนี้ เพราะมันจะทำให้ร้านดูแลยากลำบากไปอีก

“รับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคับ” โฟล์คถามขึ้น

“อ้าว… โฟล์ค นั่นโฟล์คหรือเปล่า” ผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งร้องเรียกเขาทันทีที่มาถึงโต๊ะ เขามองผู้หญิงคนนั้นอยู่พักหนึ่ง

“เอ่อ...คับผม…” โฟล์ครับคำ

“แม่เอง… จำแม่ไม่ได้แล้วแน่เลย...แม่เองลูก แม่อินจ้ะ” เธอส่งเสียงเรียก ซึ่งนั่นทำให้โฟล์คนิ่งสนิทไปพักหนึ่งทีเดียว

“อ...อ้าว สวัสดีคับ” โฟล์คยกมือไหว้ทันที

“นี่ๆ เพื่อนลูกชายชั้น” เธอส่งเสียงให้กับเพื่อนๆของเธอในแผนก ซึ่งโฟล์คก็ยกมือไหว้ทุกคนทันที “ขยันมากเลย ตายละ แล้วนี่ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ย สามได้มั้ง”

“คับผม เอ่อ… เดี๋ยว แม่สั่งก่อนไหมคับ จะได้ไม่เสียเวลา” โฟล์คถามกลับ

“โอ้ได้เลย นี่จ้ะ” เธอยื่นกระดาษมาให้โฟล์ค เขารับมันมา ก่อนจะกดทุกอย่างลงแท็บเล็ตในมือ

“งั้นรอเครื่องดื่มแปปนะคับ” โฟล์คยิ้มให้กับแม่ “งั้นผมขอตัวนะคับ”

“โอเคจ้ะ เดี๋ยวไว้คุยกัน”

โฟล์คหลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะเดินจากมา เขาคิดว่านี่มันต้องเป็นเรื่องสุดประหลาดแน่ๆ ที่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นได้ภายในวันเดียว ขณะที่เขาเดินกลับไปที่บาร์ พี่บอลก็ได้แต่เหล่มองเขา

“ทำไม มีเจ๊เปย์อ่อ” พี่บอลออกปากแซว

“เห้ยไม่ใช่พี่ นั่นแม่เพื่อนผม” โฟล์ครีบแก้ตัว

“จริงดิ ยังสาวอยู่เลยนะ แม่เพื่อนจริงป่าว” พี่บอลร้องถามอีก

“ไม่ใช่และ เอาออร์เดอร์ที่แล้วมาก่อนเลยพี่ มัวแต่แซว ก้อนนั้นป้ะ” โฟล์คไม่รอช้า ขณะที่หยิบแก้วขึ้นถาด และยกกลับไปที่โต๊ะริมระเบียงบาร์

“มาแล้วคับผม” โฟล์คค่อยๆวางแก้วลงทีละแก้ว เหล่าพนักงานในแผนกต่างส่งต่อไปให้กันเรื่อยๆ

“ฮัลโหล จ้ะลูก ขึ้นมาเลย ไหน… นี่ไง แม่อยู่นี่” เสียงของแม่อินที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกฝั่งนึงของโต๊ะ กำลังโบกมือไปยังด้านหลังของโฟล์ค

และเมื่อโฟล์คหันไป มันก็คือการยืนยันภาพที่เขาเห็นเมื่อตอนบ่าย

อินกำลังยืนอยู่ตรงนั้น และถือโทรศัพท์หันมามองแม่ของเขา

ซึ่งนั่นทำให้เขาสบตากับโฟล์คเต็มๆ โดยไม่สามารถหลบตาได้อีก

อินยืนนิ่งซักพักก่อนจะเดินมาที่โต๊ะช้าๆ โดยไม่พูดอะไร เช่นเดียวกับโฟล์คที่เหมือนกับว่าทุกก้าวทีอินเดินเข้ามา กำลังทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้น อินหยุดช้าๆที่หน้าของโฟล์คทันที

“ได้มาตอนกลางคืนซะทีนะ”

เป็นคำพูดธรรมดา ที่ทำเอาเวลาของโฟล์คเดินต่อได้อีกครั้งในรอบ 3 ปี

-------------
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 10 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-01-2020 12:10:30
บทที่ 11 - Rooftop

เป็นธรรมชาติของการเหมาโต๊ะเพื่อจัดเลี้ยง บาร์ดาดฟ้ายังคงเปิดเพลงคลอขับกล่อมบรรยากาศของงานเลี้ยงแผนก โฟล์คก็ยอมรับว่าออกจะเอาเรื่องเกินไปหน่อย กับการต้องวิ่งดูแลความเรียบร้อยไปตลอดคืน แต่มันทำให้ความเหนื่อยของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเขาเห็นอินอยู่ในงาน

พอถึงจุดหนึ่งของงานเลี้ยง พนักงานอย่างเขาก็ไม่จำเป็นอะไรมากนัก โฟล์คปลีกตัวมาที่หลังร้าน มุมเดิมของเขา นั่งอ่านหนังสือและฟังเพลงไปด้วย ขณะที่ปล่อยให้บาร์ดำเนินไป โดยมีพี่บอลเป็นบาร์เทนเดอร์คอยดูแล

แก้วหนึ่งใบวางลงตรงหน้า เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบกับพี่บอลที่ส่งยิ้มให้

“ไง… เหนื่อยอ่ะดิ เอาไปซักหนึ่งดริงค์ไป” พี่บอลกล่าวทักทาย

“ไม่เท่าไหร่พี่ แค่มึนๆมากกว่า คนเยอะอ่ะ” โฟล์คยิ้มตอบพลางรับแก้วมาดื่ม “อื้ม...นี่…”

“โคโคนัทคอกเทล แกชอบกลิ่นนี้นี่ ใช่ป่ะ” พี่บอลยิ้มให้

“จำได้เลยอ่อพี่” โฟล์คถาม

“พี่เป็นบาณ์เทนเดอร์น่ะเว่ย อีกอย่าง น้ำมะพร้าวในสต็อคหายเก่ง มีคนแอบมาชงดื่มเองบ่อยแน่ๆตอนเตรียมร้าน” พี่บอลยักคิ้ว ทำเอาโฟล์คยิ้มเก้อเขิน พลางดื่มต่อไป

“หักตังค์ผมก็ได้เหอะ แหม่” โฟล์คว่าต่อ

“ฟ้องพี่มดง่ายกว่าป่ะ” บอลยิ้มกว้างพลางมองหน้าโฟล์ค

“โทษคับ พอดีโต๊ะโน้นจะสั่งเพิ่มคับ” เสียงอันคุ้นหูของอินดังขึ้น บอลและโฟล์คเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าอินโผล่หน้าเข้ามาที่หลังบาร์

“โอ้ โทษทีคับ” บอลรีบลุกขึ้นทันที

“มาพี่ เดี๋ยวผมไปช่วย” โฟล์ครีบเก็บของพลางลุกขึ้น

“เห้ยไม่ต้องๆ เดี๋ยวพี่จัดการเอง พักไปก่อน” บอลหันพูด “เพื่อนไม่ใช่อ่อ อยู่คุยกันไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ยกไปเสิร์ฟเอง ตามสบายนะน้อง”

บอลเดินออกไปจากหลังร้าน ทิ้งให้โฟล์คและอินยืนมองตากันอยู่อย่างนั้น อินยิ้มให้โฟล์คพอเป็นพิธีก่อนจะหันหลังกลับ

“เดี๋ยวดิ…” โฟล์คร้องเรียกอินไว้ อินยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

ปากของโฟล์คไวกว่าความคิด อันที่จริง เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป มันก็แค่ความรู้สึกที่อยากให้อินยังอยู่ตรงนี้

“มีไร” อินหันกลับมาถามห้วนๆ

“มึง...เอ่อ...อยากดื่มไรป่าว” โฟล์คถาม “เดี๋ยว… กูเลี้ยง”

“กูดื่มไม่ได้ เดี๋ยวกูต้องขับรถให้แม่” อินตอบ

“ม็อคเทลก็ได้ ไม่มีแอลกอฮอล์ พี่บอลทำอร่อยนะ” โฟล์คว่าต่อ แต่อินไม่ฟัง ก่อนจะหันหลังกลับไป แต่คราวนี้โฟล์คไม่ยอมอีกแล้ว เขาเอื้อมมือไปหาอินทันที

“ไรของมึงเนี่ย” อินร้อง พลางมองที่มือของอินที่จับแขนของเขา

“เดี๋ยว… คุยกันก่อนดิ” โฟล์คว่า

“คุยไร” อินถาม ซึ่งก็ถูกของมัน โฟล์คก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะคุยอะไร แต่มันเหมือนกับว่ามีเรื่องราวหลายอย่างที่เขาอยากจะถาม

“มึง… เป็นไงบ้าง”

เสียงลุ่มลึกของโฟล์คส่งผ่านออกไป และนั่นทำให้อินนิ่งเงียบไปเบาๆ

“ก็...ไม่ได้เป็นไร” อินตอบ พลางหันกลับมามองโฟล์ค ที่มองตาเขาอยู่อย่างนั้น

“แล้ววันนี้ทักทำไมไม่ตอบ” โฟล์คถามอีก อินถอนหายใจแต่ไม่ได้พูดอะไร

“ก็ไม่มีอะไร” อินพูดเสียงเรียบ

เป็นความเงียบที่กำลังดึงดูดโฟล์คเข้าไปหาอีกแล้ว ภายใตแววตาที่เหมือนมีเบื้องหลังบางอย่างที่ดึงดูดและดึงตัวเขาให้จมลงไป

“อิน...กู… คิดถ…”

“เอ้อโฟล์คพี่จะ…” บอลเดินเข้ามาหลังบาร์ และพบโฟล์คกำลังจับตัวอินอยู่ในระยะประชิด นั่นทำให้เขาทั้งคู่ผละแยกออกจากกันทันที พลางอยู่ในสภาวะทำตัวกันไม่ถูกทั้งสองฝ่าย

“คับ…” โฟล์คได้สติจึงออกตัวพูดก่อน

“อ๋อ… พี่จะถามว่า เพื่อนโฟล์คจะดื่มไรป่าว เดี๋ยวพี่ทำให้” บอลหันมาถามอิน

“ไม่ดีกว่าคับพี่ ผมแพ้แอลกอฮอล์อ่ะ” อินตอบทันที

“โคโคนัทมอกเทลเลยพี่” โฟล์คพูดขึ้นทันที อินถึงกับหันไปมองด้วยสายตาหงุดหงิด โฟล์คเหล่มองกลับด้วยสายตากวนๆ

“ด...ได้” บอลรับคำ ก่อนจะหายไปที่บาร์อีกรอบ

“อะไรของมึงเนี่ย กูบอกแล้วไงว่าไม่กิน” อินหันมาพูด

“กูไม่เจอมึงมาสามปี ดื่มกับกูซักแก้วจะเป็นไรวะ แม่มึงก็อยู่นี่” โฟล์คหันไปพูด ซึ่งอินยังคงเฉยเมยใส่เขาอยู่แบบนั้น “อีกอย่าง มึงผิดคำพูดเอง”

“ผิดคำพูดอะไรวะ” อินร้องถาม

โฟล์คยิ้มกริ่มก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบอิน

“มึงจะไม่มาให้กูเห็นหน้าอีกไง”

“ไอ้สัส” อินหลบตาลงพลางเดินออกไปจากตรงนั้นทันที อินพูดพลางเดินออกจากหลังบาร์ไป โฟล์คขำเบาๆให้กับอาการของอินแบบนั้น ก่อนจะเดินตามออกไปที่บาร์

พี่บอลกำลังชงโคโคนัทม็อกเทลอยู่ขณะที่โฟล์คเดินไปเท้าบาร์ตรงนั้น พลางมองอินเดินกลับไปที่เก้าอี้มุมหนึ่งของบาร์เงียบๆ ข้างๆแม่ของเขา อินเหลือบตามองโฟล์คเบาๆ และรีบหลบตาลงทันทีเมื่อพบว่าโฟล์คยังคงมองเขาอยู่

“เห้ย… เป็นไรเนี่ยหะ ยิ้มไม่หยุดเลย” บอลสะกิดโฟล์ค

“อ่อ… ไม่มีไรพี่ แค่ ไม่ได้เจอกันนานอ่ะ” โฟล์คยิ้มตอบ “แก้วนี้ใช่ป่ะ… ผมไปเสิร์ฟเอง”

โฟล์คหยิบแก้วของอินและของตัวเองเดินตรงไปยังเก้าอี้ของอิน เขายื่นม็อกเทลให้อินตรงหน้า อินมองมันอยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่มีแอล… สาบาน” โฟล์คพูดย้ำ อินจึงรีบมันไปดื่มโดยพยายามไม่มองหน้าโฟล์คที่จงใจมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น

โฟล์คยอมรับเลยว่าอินดูเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไฟในบาร์ยามค่ำคืน หรือเพราะตัวเขากำลังตกภวังค์กันแน่ แต่อินในชุดนักศึกษา ผมยาวขึ้นกว่าเดิม รวบผูกเป็นจุกอยู่บนหัว มันทำให้อินดูเป็นอินมากกว่าไอ้ตัวเล็กประจำกลุ่มของเขาซะอีก

“โฟล์ค… ว่างๆมาเที่ยวบ้านแม่อีกสิ แม่ไม่ได้เจอนานเลย” เสียงของแม่อินดังข้ามโต๊ะมา

“อ...อ๋อ… ก็… ไปได้คับ ถ้าลูกแม่เค้า… อนุญาตอ่ะ” โฟล์คเหล่มองไปยังอินที่ขมวดคิ้วใส่เค้า

“เห้ย มาเถอะ แวะมากินข้าวกับแม่ ไม่ก็มาอยู่เป็นเพื่อนอินบ้างก็ดี ทุกวันนี้แม่ให้เพื่อนภาคอินมาอยู่ด้วยนะโฟล์ค เผื่อเวลาแม่ไปต่างจังหวัด อินจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวไง” แม่ของอินยิ้มกว้างให้โฟล์คที่หันไปหาอินด้วยความสงสัย

“พูดเยอะละแม่ จะกลับหรือยังอ่ะ เดี๋ยวพีทมันเข้าบ้านไม่ได้นะ”

ทันทีที่อินพูดจบ อินก็หันกลับมามองหน้าโฟล์คทันที และคราวนี้ ก็เป็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคย ใบหน้าเดียวกับวันนั้น วันที่มันเคยมัดมือชกเขาออกไปสยามวันนั้น

อินยิ้มกว้างให้โฟล์คอยู่อย่างนั้น

------------

“โอ๊ยยย พีทไหนอีก” ฟ้าบ่นอุบทันทีไหนวันรุ่งขึ้น ขณะที่โฟล์คพยายามเซ๊าซี้ถามเธอถึงคนชื่อพีทที่เขาได้ยินจากปากอินและแม่ของเขาเมื่อคืน

“ก็พีทอ่ะ ต้องเป็นคนในภาคมันแน่ๆอ่ะ” โฟล์คถามเสียงร้อนรน

“นี่โฟล์ค เมื่อวานแกให้ฉันถามหาสา วันนี้มาถามหาพีท ฉันก็เด็กอักษรเหมือนแกนะเว่ย ไม่ใช่เด็กถาปัตย์ ฉันจะไปรู้จักทุกคนได้ไง” ฟ้าบ่นอุบ

“เอ๊า… ก็แกเป็นแฟนเด็กเอกจิตรกรรมในคณะนั้น มันก็ต้องรู้เด่ะ” โฟล์คว่าต่อ

“ยังไม่ใช่แฟน เอ๊ะแกนี่ อย่าเที่ยวไปพูดไป เดี๋ยวเค้าอึดอัด” ฟ้าตีเข้าให้ที่แขนโฟล์คหนึ่งที

“ใครจะไปรู้อ่ะ ก็เห็นตัวติดกันตลอด” โฟล์คพูดแซว

“ถ้าใช้โลจิกนั้นนะ ฉันกับแกก็เป็นแฟนกันไปแล้ว ฉันอยู่กับแกบ่อยกว่าอยู่กับมิกอีก” ฟ้าพูดทันที

“จริงๆก็ไม่ติดนะ คบกันเลยป่ะล่ะ” โฟล์คแซวต่อเนื่อง

“โอ๊ยยย อย่าเลยโฟล์ค ถ้าแกชอบผู้หญิง แกมีแฟนไปนานละ” ฟ้าพูดทันที และนั่นทำเอาโฟล์คเงียบสนิท “และอันที่จริง ต่อให้แกเป็นเกย์ มันก็มีคนมาจีบแกอยู่พักนึงไม่ใช่อ่อตอนปีหนึ่ง แกก็ไม่สนใจ แต่พักนี้ ฉันว่าแกหมกหมุ่นกับ ไอ้อินอะไรนั่นมากไปหน่อยนะฉันว่า”

“ไม่ยักรู้ว่าแกลงจิตวิทยาด้วยนะ” โฟล์คว่า

“ไม่ต้องลงก็รู้ป้ะ แกเคยเป็นอย่างนี้ที่ไหน วันวันเอาแค่อ่านหนังสือกับฟังเพลง ฉันชวนออกไปวาดรูปก็ไม่ไป คนเดินผ่านแกก็แทบจะเหยียบแกได้อยู่แล้ว อยู่ดีดีก็มาสนใจคนที่อยู่ห่างไปตั้งอีกวิทยาเขตนึง” ฟ้าพูดต่อ “นี่… แน่ใจนะ ว่าแค่เพื่อนอ่ะ”

โฟล์คหายใจแรง มองไปนัยน์ตาของฟ้าที่มองจ้องมา

“ก็...อืม… ก็ไม่เชิงอ่ะ” โฟล์คพูดต่อ

“นั่นไงล่ะ” ฟ้ายิ้มกริ่ม “เอาล่ะซิ คุณโฟล์คมีความรัก”

“เห้ย มันก็… แค่… รู้สึกดีอ่ะ แล้ว… ไม่ได้เจอกันนาน มีอะไรหลายอย่างที่อยากบอก อยากถาม” โฟล์คว่า

“แล้วทำไมมันยากอ่ะ ต้องอ้อมไปหาคนอื่นทำไม” ฟ้าถาม

“เพราะว่าเราสองคนจากกันไม่ค่อยดีอ่ะ” โฟล์คตอบเธอเสียงเศร้า

“อ๋อ… ที่ว่าเค้าย้ายโรงเรียนไปป้ะ” ฟ้ามองหน้าโฟล์คที่มีสีหน้าเศร้าลงทันที “เอาน่า… อย่างน้อยเมื่อคืนก็ ไม่ได้ถึงกับมองหน้ากันไม่ได้นี่นะ แต่… เรื่องคนชื่อพีท คือไม่รู้เลยอ่ะ ไม่เคยได้ยิน”

“เออ ช่างมันเหอะ เงียบได้แล้วไป อาจารย์มาแล้ว”

 โฟล์คสะกิดฟ้าให้มองไปที่หน้าชั้นเรียน ขณะที่เพื่อนนักศึกษากำลังทยอยกรูกันเข้ามาทันที

“เอาล่ะ วันนี้คลาส Public Speaking มีคนย้ายมาเพิ่มนะนักศึกษา เพราะงั้นงานกลุ่มที่ร่วมกันพรีเซนต์ เดี๋ยวอาจารย์อาจจะให้จัดกลุ่มใหม่ละกัน” อาจารย์โอมพูดขึ้นที่หน้าชั้น ขณะที่โฟล์คมองเห็นนักศึกษากรูกันเข้ามาจากหน้าห้อง

“เด็กสินกำชัวร์ เห็นว่าตกเจนเอ็ด เลยต้องมาลงเลือกตัวนี้เพื่อฉุดเกรดกันเยอะ” ฟ้าหันมากระซิบโฟล์คเสียงร่าเริง

“ว่าไปนั่น” โฟล์คทำเสียงดุใส่เธอ

“เอาล่ะ เดี๋ยวจัดกลุ่มใหม่ เป็นกลุ่มละสามคนนะ พูดเรื่องทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 20 เป็นการพูดกลุ่มสลับหัวข้อกันคนกลุ่มละ 5 นาทีพร้อมพรีเซนเทชั่น เอาล่ะ เอื้อเฟื้อให้เพื่อนต่างคณะด้วยนะนักศึกษา”

“โอมใจดีขึ้นมาซะงั้น” โฟล์คพูดกับฟ้า ที่หันมาตีแขนเขา ก่อนที่เธอจะมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนมาเพิ่ม

“เอ่อ… นาย… นายว่างอยู่ไหม เรามีสองคนแล้วอ่ะ รวมกันป่าว… เด็กสินกำป่ะคะ” ฟ้าส่งเสียงสดใสไปให้กับหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งนิ่งวางมดอยู่ข้างหน้าต่าง

“อ๋อได้เลยคับ แต่ผมไม่ใช่เด็กสินดำ ผมเด็กนิเทศน์อ่ะ” เด็กหนุ่มคนนั้นหันมายิ้ม

“โอ้ดีเลย เราฟ้านะ ส่วนนี่โฟล์ค อักษรค่ะ” ฟ้ากล่าวทักทายเสียงชื่นมื่น ขณะที่โฟล์คพยักหน้ารับ

“คับผม...ผมพีทนะ ปีสอง”

เมื่อสิ้นคำทักทาย ฟ้าหันมามองหน้าโฟล์คทันที

-----------------
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 11 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-01-2020 00:38:21
บทที่ 12 - Small World

“ทักษะในศตวรรษที่ 20 มันจะเป็นพวกสกิลที่ต้องครบในตัวเอง พวกทักษะทางภาษา โปรแกรม ดีไซน์ และการจัดการ อะไรพวกนี้คือเราต้องมีครบ ไม่อย่างนั้นจะโดน AI แย่งงาน” พีทพูดสรุปสิ่งที่ต้องพูดอยู่ที่โต๊ะทำงานใต้คณะอักษร ขณะที่ฟ้าและโฟล์คได้แต่มองสิ่งที่พีทกระทำอย่างตื่นตะลึง

“พวกนายฟังอยู่หรือเปล่าคับ” พีทหันมาถามต่อ

“ฟ...ฟัง… ฟังค่ะ นั่นเอ่อ… เยี่ยมมากเลย” ฟ้าพูดต่อเสียงเพ้อฝัน

“โอเคงั้น ถ้าสรุปตามนี้ ผมจะพูดเกริ่นให้ แล้วฟ้าพูดส่วนของ Passive Skills ส่วนนาย พูด Active Skills นะโฟล์ค” พีทว่าต่อ

“โอเค ตามนั้น” โฟล์คพูดตอบ

“งั้นเดี๋ยวเราทำพรีเซนเทชั่น แล้วเรามาซ้อมกันอีกทีนะคับ” พีทพูดต่อ “งั้นวันนี้เรากลับคณะละ มีไรไว้คุยกันในไลน์ละกันนะคับ”

“ได้… ไว้เจอกันนะ” ฟ้าโบกมือลาพีท ที่ลุกขึ้นยิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะเดินจากไป ฟ้ามองท่าทางของพีทที่ดูดึงดูดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ละสายตา

“เอาล่ะ กูว่าเขากับแกมีอะไรเหมือนกันละฟ้า” โฟล์คหันไปพูดกับฟ้า

“อะไร” ฟ้าหันมาตอบ

“เขาไม่เหมาะกับเรียนนิเทศน์ พอพอกับที่แกก็ไม่เหมาะกับการเรียนอักษร” โฟล์คพูดต่อ

“เอ๊า ทำไมอ่ะ” ฟ้าถาม

“ก็แม่งเล่นพูดทุกอย่างเป็นหลักการไปหมด มองอะไรเป็นวิธีการ ผลลัพธ์ แถมคิดอะไรไวด้วย ถ้าบอกว่าเป็นเด็กบริหารธุรกิจก็น่าจะใช่มากกว่า” โฟล์คพูด

“โอ้… วิเคราะห์ขนาดนั้นเชียว” ฟ้าว่า “นี่ใส่ใจเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานกลุ่ม หรือว่าเพราะเขารู้จักกับอินกันแน่”

“ใช่พีทเดียวกันหรือเปล่าเหอะ” โฟล์คพูดเสียงเอื่อย

“แต่ตอนนี้ก็คือแน่ใจไปแล้วถูกมะ” ฟ้าร้องถาม

โฟล์คเงียบสนิทพลางหลบสายตาลง พลางทำเป็นเปิดๆหนังสือที่พีทบอกให้เขาอ่าน ในขณะที่ฟ้าถอนหายใจและมองมาที่โฟล์ค

“นี่โฟล์ค เราว่าถ้ามันผ่านตัวกลางมันจะวุ่นวายหรือเปล่า บางที ถ้าได้พูดกันตรงๆ อาจจะทำให้อะไรๆดีขึ้นก็ได้นะ” ฟ้าพูด

“เหรอ… แล้วทำไมไม่ใช้กับมิกเค้าล่ะ มาฝากคนอื่นทำไมล่ะหึ” โฟล์คแซวเธอกลับ

“โอ๊ยนี่ ย้อนเหรอ…” ฟ้าตีเข้าที่แขนของโฟล์คทันที “งั้นไม่ช่วยละนะทีหลังอ่ะ”

“โอ๋ๆๆๆ ทำเป็นงอน ไม่เว่ย ก็… ถ้าเป็นคนที่จะรู้จักกันได้ มันก็ไม่แปลกหรือเปล่า บางทีโลกอาจจะกลมกว่าที่คิด” โฟล์คตอบ

“โฟล์ค โลกอ่ะกลม คนเราเจอกันง่ายก็จริง แต่รักกันยากนะ” ฟ้าพูดตอบ “คนบางคนเดินสวนกันไปมา แต่รักกันตลอดไป แต่กลับ
บางคน ต่อให้อยู่ใกล้กันแค่ไหน มันก็อาจจะไม่มีวันรักกันได้เลยก็มี”

“ต้องการจะสื่อไรป่ะเนี่ย” โฟล์คร้องถาม

“ก็เปล่า… ก็แค่พูดให้ฟัง” ฟ้าว่า “แล้วจะเอาไงต่ออ่ะ”

“ก็ทำตามที่พีทเค้าบอกไง แยกกันคนละส่วน” โฟล์คว่า

“ไม่ใช่… เรื่องของอินอ่ะ” ฟ้าว่า

“ก็…“ โฟล์คว่าพลางนึกทบทวน “เดี๋ยวไว้มีโอกาสค่อยถามอ่ะ”

“โอ๊ยยยย อึดอาด นี่… ไหนๆเราก็ต้องทำงานนี้อยู่แล้ว ทำไมไม่ลองขอพีทไปซ้อมพรีเซนต์ที่บ้านเขาล่ะ” ฟ้าว่า “ไหนว่าเขาอยู่
บ้านเดียวกับอินไม่ใช่เหรอ”

“เห้ย… จะดีเหรอ” โฟล์คถาม

“ไม่เอาน่า… ถ้าไม่ลุย ก็ไม่รู้ มัวแต่มาอ้ำอึ้งๆ ก็ไม่เวิร์คป้ะ อีกอย่าง เท่าที่ดูดู เราว่าเขาก็ไม่น่าจะเป็นนะ แบบว่า… เขาไม่น่าจะแบบดูเป็นคนมีแฟนแล้ว” ฟ้าว่า “ก็อย่างที่แกบอก เขาดูจริงจังกับเรื่องเรียน เพราะงั้น ถ้าเราขอไปทำงานบ้านเขา หรือหอเขา
เขาน่าจะตกลงนะ”

โฟล์คมองฟ้าพลางคิดทบทวนอยู่อย่างนั้น

“ไปคิดต่อเอาเองนะจ้ะ ขอตัวไปวาดรูปต่อแล้ว” ฟ้าพูดกับเขาเสียงสดใส ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเก็บข้าวของของเธอจากไปอีกคน

โฟล์คได้แต่คิดทบทวนความเป็นไปได้อยู่อย่างนั้น แม้ว่ามันจะดูสิ้นคิดมากๆก็ตามหากทำตามคำแนะนำของฟ้า แต่สองสามวันมานี้หลังจากเขาและฟ้าได้รู้จักกับพีท มันทำให้เขาสลัดคำพูดของอินและแม่ของอินออกจากหัวไม่ได้เลย

อินมีเพื่อนไปอยู่ที่บ้าน เพื่อนคนนั้นชื่อพีท

เพื่อนที่อยู่เป็นเพื่อนอินในเวลาที่คุณแม่เขาไม่อยู่

ความรู้สึกร้อนๆในตัวมันทำให้โฟล์ครู้สึกไม่สบายตัว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาเคยเป็นเมื่อตอนสมัยมัธยม ตอนที่เขาเห็นอินนั่งอยู่กับผู้หญิงต่างโรงเรียนตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังโกรธแต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะโวยวาย มันทำให้เขาเหมือนมีก้อนอะไรแข็งๆมาจุกอยู่ที่ลำคอ หัวใจของเขาเองก็เต้นแรงราวกับจะหลุดออกไปจากตัวทุกครั้งที่เห็นหน้าพีท

แล้วยิ่งพีทดันเป็นอะไรที่เพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ทั้งคำพูด ท่าทาง ความคิด…..

------------------

“โธ่เว้ย…” โฟล์คสบถกับตัวเองพลางทุบโต๊ะอย่างรุนแรงหลังจากความคิด

“เห้ย เป็นไร” พี่บอลสะกิดไหล่โฟล์คทันที เมื่อเห็นเขาจมอยู่กับความคิดมาตลอดช่วงค่ำที่ทำงานที่บาร์

“เปล่าพี่ โทษที แค่… คิดไรเพลินไปหน่อย” โฟล์คตอบเสียงเฝื่อน ขณะที่บอลยังคงเหล่มองเขาอยู่

“มีอะไรปรึกษาได้นะเว่ย” บอลยังคงถามเขาด้วยความเป็นห่วงเช่นเคย “ระบายกับพี่ได้ พี่ไม่เล่าให้ใครฟังหรอก อย่าเก็บไว้คนเดียว”

“ขอบคุณนะพี่ แต่… ผมก็ไม่รู้จะเล่ายังไงเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นไร” โฟล์คว่า

“ทำไมอ่ะ หงุดหงิดเรื่องเรียนอ่อ” บอลถาม

“ไม่ใช่อ่ะพี่ หงุดหงิดคนมากกว่า” โฟล์คตอบ

“จริงดิ” บอลพูด

“ก็ไม่ถึงกับโกรธอ่ะพี่ มันแบบ…” โฟล์คพูดพลางเช็ดโต๊ะต่อไป “มันเป็นอารมณ์อึดอัดเวลาที่แบบ เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร อยากถามก็ถามไม่ได้ อยากรู้เรื่องก็ไม่ได้รู้ แต่พอถามจริงๆ แม่งก็ไม่บอก แล้ว… แถมมีคนอื่นเข้ามาเพิ่มคำถามในหัวเราอีกอ่ะ แม่งแบบ… วัท ดา ฟัค”

“อื้ม… งั้นก็เกมดิ” บอลว่าพลางเช็คแก้วใบสุดท้ายกลับขึ้นไปที่ชั้นวาง “เราหัวอกเดียวกัน”

“หือ ไงนะพี่” โฟล์คหันไปถามบอลทันที “พี่เคยเป็นอ่อ”

“อย่าว่าแต่เคยเลย ตอนนี้ก็เป็นอยู่เนี่ย” บอลว่า “กะเราไง”

“หา… กะผมเนี่ยนะ” โฟล์คร้องถาม

“เอ๊า ก็นี่ไง พี่ก็อึดอัดนะ เวลาที่ไม่รู้ว่าเราคิดอะไร อยากถามก็ถามไม่ได้ อยากรู้เรื่องก็ไม่ได้รู้ แต่พอถามจริงๆแม่งก็ไม่บอก” บอล
ว่า ทำเอาโฟล์คหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไม่ใช่แล้วพี่... “

“พี่ว่าใช่นะ แถมพักนี้ เราก็มีคนอื่น เข้ามาเพิ่มคำถามในหัวพี่อีก…” บอลยิ้มให้โฟล์คที่นิ่งสนิท พลางมองหน้าบอลอยู่อย่างนั้น

“เอ่อ… ใครเหรอพี่” โฟล์คถามกลับเสียงสั่น

“ไม่เอาน่าโฟล์ค อยู่ด้วยกันบนนี้แทบทุกคืนเลยน่ะเว่ย 2 ปีเลยนะ” บอลว่า “เราแปลกไปทำไมพี่จะไม่รู้”
โฟล์คยืนนิ่งสนิท ขณะที่ฟังบอลพูด

“คิดมากน่ะพี่...ผมไม่ได้…”

“เอาไง สรุปเป็นหรือไม่เป็นเนี่ยหะ เมื่อกี้ยังบ่นยาวๆให้พี่ฟังอยู่เลย” บอลเก็บผ้าลงไปที่ซิงค์ ก่อนจะหันมาประจันหน้าโฟล์คอย่างจริงจัง

“อ่านะ..” โฟล์คเริ่มทำตัวไม่ถูกเข้าไปทุกที

“ให้พี่เดานะ… เพราะเพื่อนเราวันนั้นหรือเปล่า ที่มากับแม่เค้าอ่ะ” บอลถามขึ้น และนั่นทำเอาโฟล์คนิ่งสนิทไปพักนึง “แบบนี้...ก็
คงใช่แหะ”

โฟล์คยิ้มน้อนๆให้กับบอลเป็นคำตอบว่ามันก็เป็นอะไรที่พูดยาก ก่อนจะก้มหน้าลงพลางทำเป็นเช็ดโต๊ะต่อไป

“ไม่เล่าก็ไม่เป็นไรคับ เอาที่โฟล์คสบายใจละกัน” บอลพูดเสียงอบอุ่น ก่อนจะเดินออกมาจากบาร์ ขณะที่โฟล์คได้แต่หยิบเก้าอี้ขึ้นวางต่อไปโดยไม่พูดอะไร

รู้สึกตัวอีกที บอลก็หยิบหูฟังของโฟล์คออกจากหูอีกข้าง และนั่นทำให้โฟล์คหันหน้าไปประจันกับพี่บอลที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ว่าไงพี่” โฟล์คถาม

“ไปกินข้าวต้มกัน” บอลร้องถาม

“เอ่อ…”

“มาน่า เดี๋ยวพี่เลี้ยง…” บอลยิ้มให้โฟล์ค ซึ่งทำเอาปฏิเสธไม่ลง

-------------------

   ร้านข้าวต้มที่ไม่ได้ไกลไปจากท่าเตียนนัก เป็นที่ที่โฟล์คไม่คิดว่าจะมีร้านอร่อยๆตั้งอยู่ในซอยแบบนี้ รสชาติแบบนี้ในเวลาตีสอง มันแทบหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   “ดีโคตรอ่ะพี่” โฟล์คพูดขณะตัดหมูกรอบทอดกระเทียมเข้าปากอีกคำ

   “เออ… กินเข้าไปเยอะๆ จะได้ไม่ต้องคิดมาก” บอลว่า

   “พี่… ผมไม่ได้เป็นไรจริงๆ บอกละไง สบายๆ” โฟล์คยักคิ้วให้กับบอล ที่ได้แต่นั่งมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น

   “นี่ โฟล์ค เราน่ะเป็นคนที่อ่านง่ายมากเลยนะรู้ป้ะ วันวันอยู่แต่กับหนังสือ นั่งฟังเพลง รู้สึกอะไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น เรา
ไม่เคยบ่น หรือเครียดอะไรให้พี่เห็นเลยนะ จะไม่ให้พี่เป็นห่วงได้ไง” บอลพูด

“โห… ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยอ่อ” โฟล์คว่า

“จริง… เวลาเราบ่นลูกค้าอ่ะ เราก็บ่นตรงนั้นเลย ไม่สังเกตอ่อ ไม่ต้องให้พี่เคลียร์ คิดอะไร รู้สึกอะไร ก็พุ่งไปตรงๆ แถมเรามันเป็นคนประเภทบิ้วง่ายนะรู้ป่าว” บอลว่าพลางเทน้ำอัดลมเติมให้โฟล์ค “อย่างชวนมานี่ ก็ชวนง่ายดี ตามใจคนอื่นง่าย”
บอลยักคิ้วให้กับโฟล์ค ทำเอาโฟล์คหัวเราะเบาๆ

“เอ๊า ก็พี่บอกจะเลี้ยงอ่ะ” โฟล์คว่า “ของฟรีใครๆก็ต้องกินป่ะ”

“ก็ใช่… แต่… พี่ก็ไม่ค่อยได้ชวนใครมาร้านนี้หรอก ปกติก็ นั่งกินคนเดียวอ่ะ” บอลว่า

“พูดเป็นเล่น” โฟล์คถาม

“จริง… เราอ่ะคนแรกเลย คิดว่าคนทำงานเลิกเวลานี้อย่างเราสองคน จะชวนใครกินข้าวตีสองได้อีกวะหะ” บอลว่า

“อ่านะคับ…ยังไง ก็ขอบคุณนะพี่” โฟล์คว่า

“ไม่เป็นไร เราก็… มีอะไรก็บอกพี่ พูดกับพี่ได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว อย่า… ทำเหมือนพี่เป็นคนอื่นเลย” บอลยิ้่มให้โฟล์ค

“คับ… จริงๆ ผมก็ไม่ได้บอกใครเลยนะ ว่าผมกำลังหัวเสียอ่ะ ไอ้ฟ้าก็ไม่รู้หรอก” โฟล์คว่า “พี่ก็ เป็นคนแรกเหมือนกัน ที่รู้เรื่องนี้อ่ะ”

“เรื่องไหนอ่ะ” บอลว่า

“ก็เรื่อง…. เพื่อนผมอ่ะ” โฟล์คตอบพลางวางช้อนและดื่มน้ำที่บอลเพิ่งจะรินให้

“สรุป… เป็นคนนั้นสินะ ที่โฟล์คให้ความสำคัญ” บอลว่า

“คับ… มัน… สำคัญสำหรับผม” โฟล์คยิ้มเฝื่อนๆ

“อืม...ก็ดี” บอลว่า “แล้วยังไงดี…คิดเงินเลยมั้ย กลับเลยมั้ย ให้พี่ไปส่งมั้ย”

“ไม่เป็นไรคับ เดี๋ยวผมกลับเอง” โฟล์คว่า “พี่เหอะ ขับรถกลับดีดีนะคับ ขับมอไซค์คนเดียวอันตราย”

“ทำไม เป็นห่วงอ่อ” บอลว่า

“แหงดิ เลี้ยงผมแล้วอ่ะ ไปเป็นอะไรกลางทางขึ้นมา ผมรู้สึกผิดนา” โฟล์คว่า

“เออ… เป็นห่วงให้ตลอดเหอะ” บอลว่า พลางยกมือเรียกพนักงานคิดเงินทันที

“ขอบคุณนะพี่บอล” โฟล์คยิ้มให้บอลอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้า ชวนเพื่อนมาด้วยดิ พี่จะได้ช่วยคุย” บอลว่า

“คับ… ไว้จะลองชวน”

เสียงของฟ้าดังขึ้นในความคิดของโฟล์คหลังจากที่พี่บอลพูดจบ ที่ว่าโลกมันไม่ได้เชื่อมถึงกันง่ายขนาดนั้น เลยทำให้คำตอบที่เขาพูดกับพี่บอลไป เป็นอะไรที่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่า

ช่างเป็นหนทางที่มองไม่เห็นตอนจบเลยสำหรับโฟล์ค

-------------------
 
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 12 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-03-2020 01:19:38
แก้ปมนี้เสร็จ..ก็มีปมใหม่ให้ตามแก้กันอีก
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น

ลุ้นให้เค้าสมหวังกันซะที
โฟล์คกับอิน

ขอบคุณฮับ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-03-2020 13:54:56
ตอนที่ 13 Home Again   
    “แน่ใจะนะว่า จะใช้วิธีนี้อ่ะ” โฟล์คร้องถาม ขณะที่นั่งอยู่กับฟ้าที่โต๊ะในโรงอาหารของภาพ
    ”ยังไงมันก็ดีกว่าการนั่งดูแกงมพรีเซนต์แล้วใจลอยแน่ๆอ่ะ เคาะไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด เอ๊ะ...อันนี้น่ากินอ่ะ ขอชิมนะ” ฟ้าพูดพลางตักอาหารเข้าปา “หืมมม... อันนี้อร่อยอ่ะ ไม่เคยมากินโรงอาหารที่นี่มาก่อนเลย เท่าไหร่อ่ะ”
    “ไม่เป็นไร วันนี้กูเลี้ยง” โฟล์คพูด
    “ว้าว ป๋าโฟล์ค ไม่เคยเห็นแกใจปล้ำขนาดนี้ นี่หมายความแกเอาจริงกะเรื่องนี้เหรอเนี่ย เรื่องพีทกะอินเค้าอ่ะ” ฟ้าว่า
    “เออน่า ช่วยพูดให้สำเร็จละกัน” โฟล์คว่า พลางมองไปทางเข้าโรงอาหาร “โน่น มาโน่นละ พีท ทางนี้”
    พีทเดินขึ้นมา ก่อนจะมองเห็นโฟล์คและฟ้าอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินมาตามเสียงเรียกก่อนจะนั่งลงทักทายทุกคน
    “ทำไมมากันถึงที่นี่ล่ะคับ” พีทเอ่ยถาม
    “อ๋อคือ เราเตรียมข้อมูลกันเสร็จแล้ว แล้วพอดีเอ่อ เราอยากจะหาที่ทำพรีเซนต์แล้วก็ซ้อมพรีเซนต์ไปด้วยเลยอ่ะ อยากให้มันวันเดียวจบ เพราะว่าเรานัดเจอกันยากใช่ไหมล่ะ” ฟ้าว่า
    “คับ ก็เลยจะเป็นที่คณะผมเหรอ” พีทถาม
    “อ๋อ ไม่ใช่หรอก คือโฟล์คต้องไปทำงานตอนดึกๆอ่ะ ไกลจากนี่อยู่ และเอ่อ เราเลยกะว่าจะถามนายว่า นายมีที่ที่เราสามคนจะไปทำงานด้วยกันได้ไหมหลังจากเลิกเรียนแล้ว”
    “โห ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหรอนาย” พีทร้องถาม “เหมือนกันเลย เราก็เริ่มหาเงินเองแล้วเหมือนกัน อนาคตแม่งสำคัญ เก็บเงินไว้ดีกว่าใช่ป่ะล่ะ”
    “ก็ประมาณนั้นอ่ะนะ” โฟล์คหันไปเหล่มองฟ้า ที่เลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มกว้างอย่างทำตัวไม่ถูก ที่พีทเริ่มบทสนทนาจริงจังขึ้นมาอีกเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น
    “แล้ว ให้ไปบ้านโฟล์คเหรอ” พีทถาม
    “อ๋อ...เอ่อ...”
    “ไม่ได้หรอก คือโฟล์คเลยไปทำงานแล้วก็จะกลับบ้านเลยอ่ะ แถมนายสองคนเป็นผู้ชาย ไปห้องเรามันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เราเลยจะถามว่าเอ่อ...” ฟ้าพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม
    “จริงๆจะไปห้องผมก็ได้นะ ” พีทยิ้มให้เป็นคำตอบ “แต่ผมไม่ได้อยู่คอนโดนะ ผมอยู่กับเพื่อน ที่บ้านเค้าอ่ะ”
    สิ้นคำของพีท ทั้งโฟล์คและฟ้าเงียบเสียงลงทันที พีทถึงกับมองหน้าทั้งคู่ไปมา
    “เอ่อ.... มีอะไรหรือเปล่า”
    “อ่ออออ... แล้ว...” ฟ้าพยายามพูดก่อน “แล้ว... เพื่อนจะไม่ว่าเหรอ”
    “ไม่หรอก บ้านเพื่อนผมมันเป็นที่ไว้ทำงานอยู่แล้วอ่ะ เพื่อนๆในคลาสโฆษณาก็ไปรวมกันที่นั่นประจำ” พีทว่า “งั้นเดี๋ยวผมบอกเพื่อนผมก่อนละกันว่าดึกๆจะมีเพื่อนไปทำงานที่บ้าน แต่ผมว่าไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวยังไงหมดวิชาบ่าย แล้วผมบอกไปในไลน์ละกัน
    “อ้อ….ดี ดีเลยค่ะ” ฟ้ายิ้มแห้งให้เป็นคำตอบ ขณะที่โฟล์คเงียบไป
    “แล้ว...เอ่อ… เพื่อนพีทนี่ คณะเดียวกับพีทเหรอ” โฟล์คถามต่อ
    “ใช่คับ เด็กนิเทศน์อ่ะ ชื่ออิน”

………………….

    “โอเค แกไม่ได้เปิดโลเกชั่นมานี่ดูด้วยซ้ำ” ฟ้าว่า “แกเคยมาที่นี่ แล้วสินะ”
    ฟ้าพูดขณะที่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านที่โฟล์คคุ้นเคย หลังจากที่พีทส่งโลเกชั่นมาให้ขณะที่เขายังทำงานอยู่ที่บาร์ วินาทีนั้นโฟล์คก็รู้ได้ทันทีเลยว่า พีทคือคนที่อยู่กับอินจริงๆ
    “แล้วเอาไงต่อ” ฟ้าหันไปถาม
    “ก็เข้าไปหาเจ้าของบ้านไง” โฟล์คกดกริ่งที่หน้าบ้านทันที ขณะที่ยืนรอด้วยหัวใจเต้นรัว โฟล์คหายใจหอบแรงจนฟ้าสังเกตได้ เธอจึงเอื้อมมือไปจับมือเพื่อนเอาไว้
    “นี่… เค้าต้องดีใจที่ได้เจอเธอ เชื่อสิ” ฟ้ายิ้มให้ ก่อนที่ประตูบ้านจะเปิดออก
และเวลาของโฟล์คก็หยุดหมุนอีกครั้ง เมื่อคนตรงหน้าก็เป็นใบหน้าที่เขาคาดคิดไว้แล้วว่าจะได้เจออีกครั้ง อิน ในชุดนักศึกษาที่ผมเริ่มยุ่งเหยิง ใบหน้าที่ดูเหนื่อยๆ แต่ก็ยังคงความสดใสไว้เหมือนเดิม
“มึง… มาได้ไง” อินร้องทักก่อน แต่ทว่าโฟล์คก็นิ่งเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกไป ฟ้าที่อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนแทน เธอจึงรีบส่งเสียงก่อน
“เอ่อ… เรามาหาพีทอ่ะ พอดี เราสองคนทำงานกลุ่มเจนเอ็ดด้วยกับเค้า” ฟ้าพูดก่อน “เอ่อ… เข้าไปได้มั้ยคะ”
อินมองหน้าโฟล์คครั้งนึง ก่อนจะเปิดประตูกว้างให้ทั้งคู่เดินตามเข้าบ้านไป
“เห้ย เค้าน่ารักนะ” ฟ้ามากระซิบโฟล์คทันที โฟล์คหันไปทำหน้าดุใส่ขณะเดินตามเข้าไปในตัวบ้าน
ในความรู้สึกของโฟล์ค บ้านของอิน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ทุกอย่างยังคงวางอยู่ตำแหน่งเดิม กลิ่นอายของครัว รถที่จอดอยู่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเหมือนวันที่เขาเคยมาค้างบ้านของอินในวันนั้น
“นั่งรออยู่นี่ก่อนละกัน เดี๋ยวไปตามพีทให้ ถ้าจะกินไรก็ไปค้นตู้เย็นเอาละกัน” อินพูดกับโฟล์คเสียงเรียบ ก่อนจะหายขึ้นไปบนบ้าน
“โอ้…” ฟ้าหันมาเหล่มองโฟล์คพักนึง “รู้ด้วยว่าอะไรอยู่ตรงไหน”
“หยุดเลย” ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินไปที่ครัว และจัดการหยิบน้ำออกมาเท
“นี่โฟล์ค เค้าก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ฉันว่าแกมาเองยังได้เลยอ่ะแบบนี้ ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ฟ้าว่า
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” โฟล์คว่า “คือจริงๆแล้วอ่ะ เรา….”
“หวัดดีคับผม” พีทเดินลงบันไดมาพลางยิ้มกว้างให้กับโฟล์คและฟ้า “มายากป่ะคับ”
“ไม่ยากหรอกค่ะ” ฟ้ายิ้มกริ่ม “ง่ายมาก ง่ายจนเหลือเชื่อเลยแหละพีท”
โฟล์คยังคงหันไปมองฟ้าและส่ายหน้าให้เธอเบาๆ

ติ๊ง!!!

“เอ๊ะ…” พีทส่งเสียงร้อง ก่อนจะชะเง้อไปหน้าบ้าน “อิน…. อิน…. มีใครมาอ่ะ”
อินเดินลงมาชั้นสองและเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อไปรับกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่มนึง ที่กำลังเดินตรงเข้ามาในตัวบ้าน และนั่นทำให้โฟล์คเห็นคนอีกสี่คน และคนหนึ่งในนั้นเขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“มิก” ฟ้าร้องทัก
“อ้าวฟ้า”
มิก คนที่วาดรูปกับฟ้า มาพร้อมกับเพื่อนอีกสามคนที่เขาเคยเห็นที่คณะสถาปัตย์ วันที่เขาเห็นอินครั้งแรก ฟ้าถึงกับตรงรี่ไปหาทันที
“มาทำไรที่นี่เนี่ย” มิกร้องทำ
“เรามาทำวิชาเจนเอ็ด พอดีเราอยู่กลุ่มเดียวกับพีท” ฟ้าร้อง “แล้วมิกอ่ะ หวัดดีนัท สา มากันครบเลย มีอะไรกัน”
“อ๋อ พอดีงานกลุ่มอ่ะ วิชาโฆษณา” นัทยิ้มตอบ “ก็พีทเค้านัด”
“ช่าย แต่กะว่ารีบทำรีบเสร็จ เพราะจะกลับไปทำงานกันต่อที่บ้านนัทอ่ะ เลยลากมิกมาด้วย”
“หะ เรานัดเหรอ” พีทร้องเสียงดัง “เรานึกว่าสากะนัดมาเพื่อทำโฟโต้กะอิน”
“ใช่ เธอนัด” ผู้หญิงอีกคนเดินตามทั้งสามคนมาร้องขึ้น “ก็เธอบอกเราว่าเธอว่างแค่วันนี้อ่ะ เราก็เลยไปตามพวกถาปัตย์เค้ามาด้วยไง จำไม่ได้เหรอ”
“พริม” พีทร้องเสียงดัง เมื่อเห็นหน้าเธอเดินเข้ามาพร้อมกับอินรั้งท้าย
“อ้าว” ฟ้าหันมามองพีทที่ทำสีหน้าว่างเปล่า ดูตื่นตระหนกที่ตัวเองทำนัดชนกัน
“งั้น เอ่อ…. เชี่ย” พีทเกาหัว
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวเรากลับกันก่อนก็ได้” โฟล์คร้องขึ้น “นายอยู่ทำวิชาอื่นก่อนเหอะ”
“เห้ย ได้ไง อุตส่าห์มาแล้วนี่นา” ฟ้าทำเสียงงอแง ซึ่งโฟล์คก็ดูออกว่าเธอดีใจที่ได้เจอมิกที่นี่ แต่เขาก็ได้แต่ทำสายตาดุใส่เธอเพื่อเตือน
“เดี๋ยววุ่นวายเปล่าๆน่ะฟ้า เรากลับไปทำส่วนของเรา แล้วค่อยส่งให้พีทก็ได้มั้ง” โฟล์คพยายามพู “คนเยอะอ่ะ เกรงใจเจ้าของบ้านเค้า”
โฟล์คส่งสายตาไปอินที่มองไปรอบๆก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร บ้านตั้งกว้าง อยู่นี่กันนี่แหละ แยกส่วนกันทำก็ได้ รู้จักกันไว้ก็ดีไม่ใช่อ่อ” อินมองไปยังฟ้าและมิก
“แน่ใจนะว่าจะไม่มึนอ่ะ” นัทส่งเสียงเตือน
“นั่นสิ” พริมพูดเสริม “แล้วพีทเทอมนี้เธอลงเรียนไปกี่ตัวเนี่ยหะ ไปลงเจนเอ็ดเพิ่มอีกเหรอ โทษนะคะ เธอสองคนคณะอะไรอ่ะ”
“อักษรครับ” โฟล์คตอบ
“โอ้… สามคนอยู่ถาปัตย์ สามคนอยู่นิเทศ สองคนอยู่อักษร” มิกพูดทวนอีกครั้ง
“นี่หมายความพีท นายกำลังจะทำสามวิชาในวันนี้เนี่ยนะ” พริมพูดเสริม
“เอ่อ… ก็คงต้องอย่างนั้น เรานัดทุกคนมาแล้วนี่นา” พีทว่า
“มึงเก่งอยู่แล้วไม่ใช่” อินยักคิ้วให้พีท ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ซึ่งนั่นทำให้โฟล์ครู้สึกแปลกๆ
“ก็…. งั้น… แยกกันเป็นสามห้อง เดี๋ยวเราวิ่งวนสามที่เอง สามวิชาใช่มั้ย งั้นโฆษณาอยู่ห้องนั่งเล่น โฟโต้ไปทำที่โต๊ะนอกบ้าน เดี๋ยวลากปลั๊กไปให้ แล้วเจนเอ็ดขึ้นไปห้องเราละกัน” พีทเริ่มไล่ความคิด
“ห้องนายอ่ะนะ รกยังกะอะไรพีท ฟ้ากับโฟล์คอ่ะ ขึ้นไปทำห้องเราแทนดีกว่า” อินพูดขึ้น และนั่นทำให้ทุกอย่างเงียบลง “นายเคยขึ้นไปแล้วนี่น่าจะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน”
อินพูดก่อนจะเดินนำขึ้นไปข้างบน ทิ้งเอาไว้เพียงความเงียบของคนทั้ง 8 ในบ้าน
โฟล์ครู้สึกตัวเองเลยว่า เขากำลังตกเป็นเป้าสายตาครั้งใหญ่ในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 13 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-03-2020 17:35:24
ตอนที่ 14 Not Turning Back

“ผิดคาดเลยใช่มะ” ฟ้าเอ่ยขึ้น ขณะที่โฟล์คกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่
“ใช่ ตอนแรกคิดว่าจะนานกว่านี้ แต่พีทมันสรุปรวบไว้ดีแล้ว เหลืออีกสองหน้าก็เสร็จแล้วเนี่ย” โฟล์คตอบ
“ไม่ใช่เรื่องพรีเซนต์ เรื่องที่ว่าจริงๆแล้วอินไม่ใช่เด็กถาปัตย์ แต่เป็นเด็กนิเทศน์ แถมพอแกได้มาเจอเค้า เค้าก็ไม่ได้โกรธอะไรแก แล้วก็ยังให้แกมาอยู่ในห้องเค้า ทำเหมือนว่าที่นี่เป็นบ้านของแกด้วยงั้นแหละ ให้ขึ้นมาห้องเองแบบนี้ มันต้องคนสนิทเท่านั้นเลยนะ” ฟ้ายิ้มกว่างให้โฟล์ค ที่ยังคงถอนหายใจและส่ายหน้าให้กับเธอ “หรือว่าจริงๆแล้ว แกกังวลไปเองหรือเปล่า”
โฟล์คและฟ้า นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนของอินที่ชั้นบน ขณะที่พีทแวะเวียนมาทำงานด้วยอยู่เป็นพักๆ ผิดกับเจ้าของห้อง ที่ไม่ได้โผล่เข้ามาดูห้องตัวเองเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้โฟล์คและฟ้าทำงานกันเองอยู่ในห้อง
“มันเป็นคนซับซ้อน มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอก” โฟล์คว่า
“แกก็เป็นคนซับซ้อนโฟล์ค กว่าจะมาถึงบ้านเค้า แกอ้อมไปสามโลกนะ” ฟ้าว่า
“ก็ทำตามแกไง ไม่บอกตรงๆ ใช้สัญญะ ใช้ศิลปะ” โฟล์คหันไปยิ้มกริ่ม
“จ้า… อยู่ดีดีก็จะมาเป็นศิลปินตามกันงี้” ฟ้าพูดแซว
“พอพอ เสร็จแล้วเนี่ย แกเอาโพยสคริปต์ลงไปให้พีททีไป บอกเค้าด้วยว่าเรียบร้อยแล้ว เร็วเข้า เดี๋ยวกูต้องไปที่บาร์ต่อ” โฟล์คสั่งฟ้า ที่มองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มครั้งหนึ่ง ก่อนที่เธอจะลุกออกไปตามที่เขาบอก
“รู้อะไรมั้ย ต่อให้วาดรูปไปเป็นร้อย แต่สัญญะก็ใช้ไม่ได้ตลอดหรอก สุดท้ายก็ต้องบอกตรงๆ” ฟ้าพูดขณะเปิดประตูห้อง “และชั้นว่าแกน่าจะลองบอกเค้าไปตรงๆอีกครั้งนะ”
“เออน่ะ รู้ดีน่ะฟ้า” โฟล์คว่า
“งั้นเดี๋วถ้าพีทโอแล้วจะมาบอกนะ แต่แกกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะอยู่กับมิกนะ” ฟ้าว่า
“จ้า แม่คู่รักสีน้ำมัน”
โฟล์คส่งเสียงแซวก่อนเสียงปิดประตูดังขึ้นและเงียบไป ทิ้งให้โฟล์คนั่งนิ่งอยู่ที่จอโน๊ตบุ๊คของฟ้าในห้องนอนที่เขาคุ้นเคย เขามองไปรอบๆก็พบว่ามีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อยกับห้องของอิน เหมือนกับว่าไอ้ตัวเล็กของเค้ามันดูตัวใหญ่ขึ้นพิกล มีเลนส์และกล้องสองสามตัวเพิ่มขึ้นมาจากมุมห้อง รูปถ่าย สมุดสเก็ช หลายเล่มกองอยู่ที่โต๊ะทำงาน อินยังคงรักการถ่ายรูปอยู่เหมือนเดิม แม้มันจะไม่ได้ทุนไปเรียนต่อ
เสียงเปิดประตูเปิดเข้ามา
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย กูจะได้เก็บของแล้วกลับ”
“อยู่อีกแปปดิ แม่มาอ่ะ เค้าอยากเจอมึง” เสียงของอินดังมาจากด้านหลัง โฟล์คหันกลับไปมองทันที ไอ้ตัวเล็กของเขาเดินเข้ามาในห้องก่อนจะไปค้นในลิ้นชักตู้ข้างโต๊ะของเขาเพื่อหาของ และนั่นยิ่งทำให้โฟล์คทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ… อยู่นานไม่ได้จริงๆอ่ะ นี่ก็ เข้างานช้าไปชั่วโมงแล้ว” โฟล์คพูดเสียงสั่น เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เขาได้กลับมาคุยกับอินอีกครั้งสองต่อสองแบบนี้
“ก็ลงไปเจอเค้าซะหน่อยละกัน เก็บของลงไปเลยก็ได้ เหมือนพีทมันบอกผ่านแล้วมั้ง งานมึงอ่ะ” อินพูดขณะหยิบเมมโมรี่การ์ดมาได้ และเดินออกไปจากห้อง “จะมามั้ย”
“ไป...ไปดิ”
เขาตอบก่อนที่อินเดินหายไปจากห้อง โฟล์คหายใจไม่ทั่วท้องเอาซะเลย
เมื่อเก็บของเสร็จ โฟล์คเดินลงมาชั้นล่าง ก่อนจะพบว่าทุกๆคนมากองรวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหมดแล้ว และต่างช่วยกันทำงานสองวิชากันอย่างเต็มที่ รวมถึงฟ้า ที่ก็ไปนั่งอยู่ข้างๆมิก เหมือนกำลังจะช่วยกันเสก็ชอะไรกันบางอย่างอยู่ ขณะที่พีท ก็ไปรวมกลุ่มกับพริมและแกงค์เด็กสถาปัตย์เพื่อทำพรีเซนเทชั่นของอีกวิชา
“อ้าว โฟล์ค” เสียงของคุณแม่ของอินดังขึ้นมาจากครัว “วันนี้มาด้วยเหรอเนี่ย ไงเจ้าอิน ลากมันมาหาแม่ได้แล้วงั้นสิ”
อินหันมามองโฟล์คแว้บหนึ่งก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในครัว ก่อนที่แม่ของอินจะเกิดเข้ามากอดเขาไว้เป็นพิธี
“นี่แม่รู้จักโฟล์คเค้าด้วยเหรอคับ” พีทส่งเสียงมาจากโต๊ะกลางบ้าน ท่ามกลางสายตาของทุกๆคนอีกครั้ง
“นี่อินไม่ได้เล่าให้ฟังล่ะสิ โฟล์คเนี่ยเพื่อนอินที่โรงเรียนเก่าเลยพีท สนิทกันม….”
“แม่ มันต้องไปทำงานต่อนะ” อินพูดตัดบทขึ้นมา
“อ้าว ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันล่ะ นี่แม่ก็กะว่าจะทำเลี้ยงพวกเราทุกคนเลยนะเนี่ย”
“อุ้ยยย ขอบคุณค่ะแม่” เสียงของทุกคนขานรับและพนมมือไหว้ขอบคุณแม่ของอินทันที บรรยากาศอันอบอุ่นของบ้านอินเวลาที่มีคุณแม่ของเขาอยู่ มันดูขยายใหญ่โตขึ้นเมื่อโฟล์คเห็นทุกคนมาอยู่รวมกันที่นี่
“นั่นดิ งั้นอยู่กินข้าวกันก่อนไหมล่ะโฟล์ค” พีทส่งเสียงเรียก เช่นเดียวกับฟ้าที่ยิ้มกริ่มพลางพยักหน้าสนับสนุน
“ไม่ดีกว่าคับแม่ ผมไม่ได้ลางานไว้อ่ะ เดี๋ยวพี่เค้าว่าเอา” โฟล์คตอบพลางมองไปหาอิน “อีกอย่าง ผมว่า ผมมารบกวนมากไปแล้วอ่ะ ผมกลับแล้วดีกว่าคับ”
“รบกวนอะไร โฟล์คเราก็พูดไปนั่นนะ โฟล์คมาได้ตลอดนะสำหรับแม่น่ะ” คุณแม่ยิ้มกว้างให้เขา ขณะที่อินมองเขามาด้วยสายตาครุ่นคิด “งั้นเอางี้ ให้อินเขาไปส่ง บาร์ดาดฟ้าใช่มั้ย”
“เอ่อ...ครับ แต่ ไม่ต้องก็ได้….”
“อิน ไปส่งเพื่อนไป เดี๋ยวกลับมากับข้าวแม่ก็เสร็จพอดีนะ” แม่หันไปบอกอินทันที
“แม่…” อินส่งเสียงมาเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ค่อยพอใจนัก แต่ทว่าพีทก็พูดต่อ
“เออ มึงไปส่งเขาแทนกูหน่อย กูไม่ค่อยได้ช่วยงานวิชนั้นเยอะอ่ะ โทษทีนะคับโฟล์ค” พีทว่า
ซึ่งอินถอนหายใจเมื่อพีทพูดจบ
“แต่โฟโต้กูยังไม่เสร็จ” อินว่า
“ไม่เป็นไรๆ แกไปเหอะ เดี๋ยวตรงนี้จัดการเองได้” สา เด็กสถาปัตย์ที่เขาเคยเดินชนวันนั้นพูดแทรกขึ้นมา
“กูเก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวตรงนี้กูคุมเอง”
โฟล์คเริ่มรู้สึกแล้วว่า เขาไม่ครอยู่ตรงนี้
“ไม่เป็นไรพีท เดี๋ยวเรากลับเอง” โฟล์คถอนหายใจก่อนจะก้าวขา
“ก็ได้… เดี๋ยวกูไปส่งมึงเอง มึงก็เก่งให้จริงนะพีท ถ้างานไม่เสร็จ มึงซวย” อินว่าพลางหันไปเอากุญแจรถที่แขวนอยู่ข้างประตูบ้าน
“งั้นเดี๋ยวผมมานะแม่”
“จ้ะ ขับดีดีนะ แล้วไว้มาใหม่นะโฟล์คนะ”
“คับผม”
โฟล์คมองการกระทำของอิน และตอนนี้เหมือนเขาจะรู้สึกว่าคำพูดของพีทและอิน มีอิทธิพลต่อกันจนเขาสังเกตเห็น
และนั่นมันทำให้เขารู้สึกเจ็บข้างในแปลกๆ

………

บรรยากาศบนรถเต็มไปด้วยความอึดอัด อินเปิดเพลงขณะที่ขับรถไป ส่วนโฟล์คเองที่เหมือนจะเข้าใจในอะไรบางอย่าง จึงเลี่ยงที่จะไม่พูดอะไรมากนัก ทันทีที่อินเลี้ยวออกจากถนนสุขุมวิท อินจึงเอื้อมมือไปปิดเพลงทันที
“มึงมาทำไม” อินพูดขึ้นทันที โฟล์คหลับตาลงครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นอินที่เริ่มต้นทลายความอึดอัด น้ำเสียงที่จริงจังของอิน มันเหมือนวันที่เขาเคยได้ยินตอนที่อินเป็นฝ่ายบอกลาเขา น้ำเสียงที่เหมือนเป็นมีดที่กรีดใจเขาเบาๆ
“มึงพูดถึงอะไร” โฟล์คตอบเลี่ยงเบาๆ
“มึงเลิกทำเหมือนกูเป็นคนโง่ทีได้ป่ะ มึงหาเรื่องมาบ้านกูทำไม” อินพูดต่อ
โฟล์คยังคงเงียบ
“พีทมันไม่เคยนัดพลาดหรอก มันจัดระเบียบความคิดมันเป๊ะตลอดอ่ะ แต่พอมึงมานัดชน แม่งก็เป๋ป้ะ” อินว่า “มึงก็ต้องจงใจมาทำงานเอาวันนี้ ที่บ้านกูเพื่อ?”
โฟล์คหันไปมองหน้าอิน

เป็นอย่างนี้นี่เอง…

เขาคิดในใจ
“แล้วแม่งก็วุ่นวายไปหมด แทนที่กูจะได้อยู่ช่วยงานเพื่อน กูก็ต้องออกมาส่งมึงอยู่เนี่ย” อินพูด
 
เขากลายเป็นตัวปัญหาขึ้นมาแล้วสินะ…

โฟล์คกำมืดตัวเองไว้จนเจ็บ
“มึงทำไปเพื่ออะไรวะโฟล์ค ขาดไปแล้ว ก็ขาดกันไปเลยดิวะ ทำไมต้อง….”
“ก็กูคิดถึงมึงไง” โฟล์คหันไปพูดเสียงดังทันที “กูอยากเจอมึง มึงเข้าใจป่ะ”
อินเงียบเสียงลงพลางหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเพลงให้ดังขึ้นมาอีกครั้ง โฟล์คจึงได้แต่หันหน้ากลับมา และมองออกไปด้านข้างของรถ และไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
อาจเพราะความโกรธที่พุ่งพล่านของทั้งคู่ อินเหยียบความเร็วสูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และนั่นทำให้ทั้งคู่มาถึงบาร์ของโฟล์คได้ในเวลาไม่นาน ทันทีเมื่อรถจอดนิ่งสนิท และเพลงที่ดับลง ก็เกิดเป็นความเงียบที่น่ากลัวขึ้นมาระหว่างกัน
โฟล์คหันไปมองหน้าอินที่จับพวงมาลัยอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เขาหายใจเข้าครั้งหนึ่งก่อนจะพยายามพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ขาดกันอ่อ… มึงกะกูขาดกันไปแล้วงั้นอ่อ” โฟล์คพูดเสียงสั่น ก่อนจะมองไปตรงหน้า “ถ้ามึงไม่อยากเจอกูขนาดนั้น แล้ววันนั้น มึงมารับแม่มึงที่นี่ทำไมวะ มึงขึ้นไปข้างบนทำไม ถ้าไม่อยากเจอกู”
อินยังเงียบสนิท ขณะที่โฟล์คยังมองหน้าเขา
“กูเจอมึงที่ตึกถาปัตย์ กูเรียกมึง มึงไม่หัน กูก็คิดว่ากูอาจจะคิดไปเอง แต่มึงเป็นฝ่ายมาให่กูเจอนะ แล้วกูผิดเหรอวะ ที่กูอยากกลับไปเป็นเพื่อนมึงอีกอ่ะ” โฟล์คพูดเสียงแข็ง “ถ้ามึงไม่อยากเจอกูขนาดนั้น กูขอโทษละกัน ที่วันนี้กูลองเสี่ยงไปบ้านมึง เพราะคิดว่ามึงจะยังเป็นเพื่อนกู กู…. กูไป...ก็ได้”
โฟล์คเปิดประตูลงทันทีโดยไม่รีรอ อินมองโฟล์คที่เกิดลงไป เขาบีบพวงมาลัยจนเจ็บมือ
“เชี่ยเอ้ย”
อินเปิดประตูตามลงไปทันที
“กูไม่ได้จะไล่มึงนะโฟล์ค” อินพูดไล่หลังโฟล์ค ที่หยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง อินหลับตาลงพลางมองไปยังหลังของโฟล์คตรงหน้า “แต่กูแค่ แค่ไม่อยากกลับไปเป็น…”
“เป็นเพื่อนกูอ่ะนะ” โฟล์คหันมาพูดเสียงแข็งใส่ “ทำไมอ่ะ ตอนนี้กูไม่สมควรเป็นเพื่อนมึงแล้วอ่อวะ เพราะอะไรอ่ะอิน เพราะกูเคยบอกชอบมึงงั้นอ่อ”
คำพูดของโฟล์คทำอินเงียบเสียงลง
“มึงอย่าพูด…”
“หรือไม่งั้น ก็อาจจะเพราะเพื่อนใหม่ของมึง ที่ไปอยู่บ้านมึงตอนนี้แล้ว” โฟล์คว่า “เพราะดูท่าแล้ว มึงอาจจะไม่เหมือนเดิมจริงๆแล้วก็ได้มั้ง ผู้หญิงแบบเจนคงไม่ใช่แนวมึงอีกแล้วงั้นดิ”
“นี่ไง กูว่าแล้ว ที่กูไม่อยากเจอมึงก็เพราะอย่างงี้ไง” อินพูดสวนขึ้นมาทันที “กูรู้เลยว่ามึงจะลากกูกลับไปหาเรื่องพวกนั้นอีกอ่ะ”
“ไงนะ”
“เรื่องพวกนั้น เรื่องที่พวกแม่งทำกะกูไว้ เรื่องที่กูไม่อยากหันหลังกลับไปหาไง” อินว่า “แล้วกูก้าวมาแล้วไง มึงไม่เข้าใจอ่อวะ ที่บ้านนั่นคือเพื่อนใหม่ของกู สังคมใหม่ของกู กูไม่อยากกลับไปคิดเรื่องพวกนั้นอีก กูผิดเหรอวะ ที่อยากจะเริ่มต้นใหม่อ่ะ”
“งั้นก็คือ กูผิดงั้นดิ” โฟล์คว่า “เพราะงี้ใช่ป่ะ มึงถึงไม่อยากให้กูไปบ้านมึง หรือเจอมึง”
“โฟล์ค กูไม่ได้ไม่อยากเจอมึง แต่กูไม่อยากอึดอัด กูแค่….”
“โอเค ถ้ากูทำให้มึงอึดอัดนัก กูทำอย่างที่มึงต้องการก็ได้ กูจะไม่ไปให้มึงเห็นหน้าอีก” โฟล์คว่า “ขาดกันไปแล้ว ก็ขาดกันไปเลย”
โฟล์คเดินหันหลังจากมา
“โฟล์ค” อินยังคงร้องเรียก
“มึงก็หาวิธีบอกแม่มึงเอาเองเหอะ” โฟล์คไม่สนใจเสียงเรียกของอินอีก อินมองโฟล์คเดินจากไป ขณะที่ยืนกำหมัดอยู่อย่างนั้น ในขณะที่โฟล์คทันทีที่เขาเดินก้าวเข้าร้านมา ชายหนุ่มหันหน้าไปทุบกำแพงอย่างแรงพลางกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
มันชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่อินเดินหนีเขาวันนั้น อินไม่อยากจะเจอเขาอีก และเขาก็โง่เอง ที่พยายามจะยื้อก้าวที่ไม่หันหลังกลับของอิน หรือมันอาจจะดีกว่าถ้า…
“โฟล์ค” เสียงของพี่บอลดังขึ้น และเมื่อโฟล์คหันไป ก็เห็นว่าพี่บาร์เทนเดอร์กำลังยืนอยู่ที่บันไดพร้อมกับถุงขยะ โฟล์คมองหน้าบอลด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถเก็บอาการย่ำแย่เอาไ้ว้ได้
“โอเคมั้ย” พี่บอลถามด้วยเสียงห่วงใย
“พี่...ได้ยินอ่อ” โฟล์คถามเสียงสั่น
“ก็...นะ” บอลตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ “เราโอเคมั้ย ให้พี่ ไปช่วยพูดมั้ย”
“อย่าเลยพี่ ไม่ต้องหรอก ผม… ผมว่าผม…” โฟล์คเงียบไปพักนึง “ผมไปทำงานละพี่”
โฟล์คเดินสวนบอลขึ้นบันไดไปดาดฟ้าทันที ในขณะที่บอลเดินเอาถุงขยะออกมาทิ้ง และมองรถของอินขับออกไปจาซอยอย่างเร่งร้อ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 14 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-03-2020 00:21:06
ดูเหมือนหมา วิ่งตามเงา เจ้ากระดูก
จะผิดถูก หรือเลวดี เร่งรี่หา
เที่ยวไต่ถาม ตามให้ทัน มั่นหน้าตา
เสียเวลา เปล่าปลี้ มันหนีไป

หยุดนั่งพัก หักเหนื่อย เรื่อยเรื่อยก่อน
ใช้สติ คิดทวนย้อน ร้อนเย็นไหม
ในเมื่อเขา ไม่กลับหลัง เราบ้าไป
ใครที่เจ็บ ช้ำหัวใจ ก็..ใช่เรา

คลายมือกำ ที่ซ้ำซาก ลำบากทิ้ง
ปล่อยความจริง ให้เปิดออก จากความเขลา
ตั้งแต่นี้ ไม่มีเขา ไม่มีเรา
ไม่มัวเมา ไม่ง้อใคร ใจท้าทาย

แค่นี้ก็ให้เค้าไปมากเกินพอแล้ว..โฟล์ค
กับบางคนถึงจะให้อะไรไปก็สูญเปล่า ถ้าเค้าไม่เห็นค่าอะไรของเรา
อย่ายึดติดเค้าเลย ปล่อยเค้าไปตามทางที่เค้าคิดว่าของเค้าดี

ต่างคนต่างอยู่เหอะ ถ้าเจอคนแบบนี้
ชอบได้ก็เลิกชอบได้เว้ยยยยยย

กอดโฟลค์ปลอบใจ
ไม่ปลื้มเล๊ยยยยยย กับอินคนใจดำ

ไม่เชียร์แล้วอ่ะ
หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 14 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-03-2020 00:25:55
ตอนที่ 15 Warp

“เห้ย เบาก่อน” บอลคว้าเอาแก้วออกจากมือของโฟล์ค หลังจากที่เขากระดกมันเข้าปากเป็นชอตที่แปดแล้ว หลังจากลูกค้าโต๊ะสุดท้ายออกจากร้านไปตอนเที่ยงคืนครึ่ง เมื่อโฟล์คเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วมันก็เหมือนกับว่าเขาฟิวส์ขาด ชายหนุ่มเข้าไปหลังบาร์ ก่อนจะคว้าเอาวอดก้าจากใต้ชั้นมาซดอย่างไม่รีรอ
“ผม.. ไม่… เป็นไร… หรอกพี่” เสียงของโฟล์คเริ่มยานคางขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ “เดี๋ยว… ผม ทำงาน… ใช้ คืน...ให้”
“เห้ย… ไม่ใช่… แต่เราเมาแล้ว พอ…”
ตอนแรก บอลก็คิดว่าโฟล์คคงแค่จะดื่มแก้เซ็ง แต่พอมาถึงจุดที่โฟล์คเริ่มผิดปกติ มันเป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บอลคว้าเอาแก้วออกมาจากมือของโฟล์ค และจับตัวของโฟล์คให้นั่งหลังตรง
“ปล่อย...ผม” โฟล์คพูดเสียงเอื่อย
“โฟล์ค เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะเว่ย ใจเย็นดิ” บอลพูด
“พี่ก็เห็นอ่ะ… มันไม่อยากกลับมาเจอผมแล้ว” โฟล์คพูดอย่างไร้สติ “แม่ง… อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วอ่ะ… ทำไม...วะ….”
โฟล์คพยายามจะไปคว้าขวดตากิล่าที่อยู่ใกล้มือมาอีก แต่คราวนี้บอลคว้าเอาไว้ทัน
“โฟล์ค หยุดดิวะ” บอลพูดเสียงเข้ม “เมาเกินไปแล้ว กลับบ้าน”
“พี่...กลับไปดิ… ผมอยู่… เอง”
“พี่ไม่ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวสภาพนี้หรอก จะบ้าอ่อ” บอลคว้าตัวของโฟล์คมาไว้กับตัวทันที
“ผมแม่ง… เป็นตัวปัญหาอีกแล้วอ่ะ… ผมก็แค่อยาก...ดูแล...มัน…”
“ให้พี่ดูแลเราก่อนมั้ยล่ะ” บอลพูดใส่โฟล์คที่ตอนนี้ได้หลับไปบนไหล่ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บาร์เนเดอร์หนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเวลา มันเป็นเวลาเกือบจะตีสองแล้ว เขามองไปรอบๆบาร์ที่เหลือเพียงเคาท์เตอร์ที่ยังเหลือไฟเปิดอยู่
“แล้วจะให้พี่ทำไงเนี่ยหะ” บอลพูดกระซิบเบาๆ ผ่านใบหน้าของโฟล์คที่แดงก่ำและหลับสนิทอยู่ตรงหน้า เขามองหน้าของโฟล์คอยู่อย่างนั้น “ห่วงเค้าอ่ะ ดูตัวเองบ้างไหมเนี่ยหะ”
บอลมองโฟล์คอยู่พักหนึ่งจะคิดได้ว่าคงไม่มีประโยชน์ ที่จะให้โฟล์คมาหลับอยู่แบบนี้ ก่อนจะพยายามแบกตัวของโฟล์คลุกขึ้นเพื่อพาลงไปชั้นล่าง
“ไอ้โฟล์คเอ้ยยยย” บอลส่งเสียง ขณะพยายามยกตัวโฟล์คขึ้น และพาเดินไปยังบันไดทางลงดาดฟ้า “ไอ้คนที่ทำแกอ่ะ เค้าไม่มาสนด้วยซ้ำมั้ง”
แต่ทันใดนั้นบอลก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินขึ้นมาจากบันได คือคนที่บอลคิดว่าเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เจอในคืนนี้
ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้จบลงโดยง่ายแน่ๆ

………….

“โอ๊ย….”
อาการปวดหัวอย่างรุนแรง ฉุดให้โฟล์คตื่นขึ้น เขาจับหัวตัวเองและพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับภาพตรงหน้า ก่อนที่เขาจะรู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่ห้องนอนของใครซักนึง
“เห้ย” โฟล์คสำรวจตัวเอง พลางมองไปรอบๆ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดและบอกเซอร์อย่างง่าย ขณะที่ข้างๆเตียงก็มีของของเขาวางอยู่อย่างครบถ้วน เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็พบว่ามันเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว และเต็มไปด้วยสายที่เขาไม่ได้รับเต็มไปหมดจากฟ้า
“เชี่ยเอ้ย…..” โฟล์คตบหัวตัวเองครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบโทรกลับหาเธอทันที
“ไอ้ คุณ โฟล์ค แก หาย ไป ไหน ทำ ไม ไม่ รับ สาย” ฟ้าตะโกนผ่านสายโทรศัพท์มาทันที
“เห้ย ขอโทษ เมื่อคืนเมาอ่ะ” โฟล์คพูดตอบเธอทันที
“โอ๊ยยย แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า รู้ไหมว่าอีกนิดจะไปแจ้งความแล้วเนี่ย” ฟ้าพูดต่อทันที
“ไม่อ่ะ..แต่ ไม่รู้ตอนนี้อยู่ไหนว่ะ มานอนห้องใครก็ไม่รู้” โฟล์คพูดพลางมองไปรอบๆอีกครั้ง
“เอ๊า โฟล์ค… แล้ว เป็นอะไรไหม โดนทำร้ายหรือเปล่า ของอยู่ครบมั้ย” ฟ้าร้องเสียงดัง
“ก็..ครบอยู่แต่…”
เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้น และหน้าของพี่บอลก็ทำให้โฟล์คเงียบเสียงลงไปทันที
“เอ่อ…. กูรู้แล้วว่าอยู่ไหน” โฟล์คพูดตัดบทเธอ “เอ่อ… กูไม่เป็นไรแล้วฟ้า”
“แน่ใจนะ ฮัลโหล โฟล์ค”
“แน่...แน่ดิ เดี๋ยวถ้าบ่ายไหว เข้าไปหาที่ ม. ละกัน ขอบใจมาก” โฟล์คกดวางสายไป ขณะที่บอลเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงข้างๆพลางยื่นน้ำอุ่นๆที่มีกลิ่นมะนาวเบาๆให้
“ดื่มซะ ปากแห้งไปหมดแล้ว ร่างกายเดรนน่าจะขาดน้ำ” บอลพูด
“พี่ คือผม…”
“ดื่มก่อน เร็ว”
บอลทำเสียงดุ โฟล์คจึงทำได้แต่จิบน้ำทันที และไม่น่าเชื่อว่าน้ำหอมมะนาวอุ่นๆ มันจะทำให้โฟล์ครู้สึกสดชื่น และหายมึนหัวได้ดีขึ้นทันทีอีกด้วย
“โอ้… ดีจังพี่”
“เออ ต้องดีอยู่แล้ว มันเป็นสูตรแก้แฮงค์ พี่ทำบ่อย” บอลว่าพลางมองหน้า “ดื่มเข้าไปให้หมดเลย ยังไม่ต้องพูด”
บอลออกคำสั่งอีกครั้ง ซึ่งโฟล์คก็ได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อหมดแก้วแล้ว เขาวางมันลงที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหันมามองพี่บอลที่มองเขาด้วยสีหน้าดูนิ่งสนิท โฟล์คยิ้มแหยก่อนจะยกมือขึ้นพนมตรงหน้าทันที
“ผม ขอ โทษ ค้าบบบบบบ” โฟล์คลากเสียงพลางหลับตาปี๋
“ไอ้ตัวแสบเอ้ย เมื่อคืนเราเป็นบ้าอะไรเนี่ยหะ” บอลเอื้อมมือไปลดมือของโฟล์คลง ก่อนจะยีหัวเขาครั้งหนึ่ง โฟล์คมองหน้าพี่บอลอย่างรู้สึกผิด
“ไม่มีคำแก้ตัวคับ ผม… ขอโทษคับพี่” โฟล์คพูดเสียงนิ่ม “นี่ พี่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมด้วยอ่อ”
“เออ… ชุดเราพี่เอาไปซักอยู่อ่ะ อีกพักนึงนะ กว่าจะแห้ง” บอลว่า “แล้วโทรศัพท์แม่งก็ดังทั้งคืนเลย จะรับให้ก็เกรงใจ”
“โหย เชี่ย ผม...ผมขอโทษจริงๆนะพี่ ผมแม่ง ไม่ดีเลยว่ะ” โฟล์คว่า “ผมไม่เคยเมาขนาดนี้เลยอ่ะ ผมแม่งแย่มาก ผมขอโทษจริงๆพี่บอล พี่หักตังค์ผมก็ได้นะ”
“ช่างมันเหอะ เมื่อคืนไม่ได้หมดไปเท่าไหร่หรอก อีกอย่างเมาอยู่กับพี่ที่บาร์ก็ดีแล้ว ดีกว่าไปเมาที่ไหน” บอลว่า
“แต่ผมทำพี่ลำบากอ่ะ” โฟล์คว่า
“งั้นทีหลังก็อย่าทำอย่างนี้อีก เข้าใจมั้ย” บอลพูดเสียงดุ
“ค้าบบบบ” โฟล์คตอบทันที “แล้ว พี่ลากผมมานี่ยังไงวะเนี่ย ผมจำไรไม่ได้เลยอ่ะ”
“ก็… ก็เรียกรถ แล้ว...ก็ให้คนที่ร้านช่วย” บอลตอบ
“พี่ไม่พาผมไปส่งบ้านอ่ะ” โฟล์คถาม
“ก็พี่ไม่รู้ว่าบ้านเราอยู่ไหนอ่ะ พี่มดก็กลับไปแล้วด้วย ก็เลยไม่รู้จะทำไง” บอลว่า “นี่ ไม่ทิ้งไว้ร้านก็บุญแล้ว ยังจะมาบ่นอีก”
“เปล่าพี่ ผมเกรงใจอ่า” โฟล์คพูดต่อ “ผมรู้สึกผิดว่ะ ที่ทำให้พี่เดือดร้อนเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมไม่น่าจะไร้ความรับผิดชอบได้ขนาดนั้นเลยอ่ะ”
“จริงๆพี่ว่า เพราะเรารับผิดชอบมามากแล้วมากกว่านะ จากเท่าที่ฟังเราบ่นเมื่อคืน” คำพูดของบอลทำเอาโฟล์คก้มหน้าเงียบเสียงลงไปทันที
“ผม..จำไม่ได้ว่าพูดไรไปบ้างอ่ะดิ” โฟล์คพูดเสียงเขินๆ
“เรื่องเพื่อนเราคนนั้นไง” บอลว่า “พี่คิดว่า พี่เข้าใจนะ”
โฟล์คเงยหน้าขึ้นมามองบอล ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“เรื่องงี่เง่าอ่ะพี่” โฟล์คว่า
“การชอบใครซักคน แล้วทำทุกอย่างเพื่อเขาไม่ใช่เรื่องงี่เง่าหรอกนะโฟล์ค” บอลพูดเสียงจริงจัง
“พี่…”
“แต่ถ้ามันโฟล์คพังขนาดนี้อ่ะ พี่ว่าบางที มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ” บอลพูดต่อ “บางที โฟล์คอาจจะต้องเป็นคนก้าวต่อไปบ้าง ในเมื่อ… เขาก็ก้าวไปแล้ว”
“พี่รู้หมดแล้วอ่อ” โฟล์คว่า บอลยักไหล่เบาๆ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำคืนมา
“ไม่เป็นไร พี่ให้มันจบไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” บอลยิ้มให้โฟล์ค ก่อนจะลุกขึ้น “ลุกขึ้นไปอาบน้ำไป เดี๋ยวไปหาไรกินกัน แล้วจะได้ไป ม.”
“คับ… เอ่อ… ผมขอบคุณนะพี่บอล ถ้าจะมีอะไรให้ผมทำเพื่อพี่ บอกผมนะ ผมทำทุกอย่างเลย” โฟล์คว่า
“ให้มันจริงเหอะ” บอลหันมามองหน้าโฟล์คทันที
“จริงดิพี่ ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นนะ” โฟล์คว่า
“งั้นติดไว้ก่อน เดี๋ยวถึงเวลาแล้วบอก” บอลพูดพลางเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้โฟล์คยังคงติดอยู่ในห้วงความคิดอยู่อย่างนั้น

………

“เออ ไม่ตายก็บุญแล้ว” ฟ้ายังคงบ่นไม่เลิก ขณะที่เดินลงมาจากตึกเรียนพร้อมกับโฟล์ค ที่ก็ยังสดชื่นได้ไม่เต็มที่นัก แต่ก็ยังพอหอบตัวเองมาเรียนคาบบ่ายได้ทันอยู่ ขณะที่ฟ้าก็สวดใส่เขายกใหญ่ทันทีที่เจอหน้าและตลอดคาบวิพากษ์วรรณกรรม
“เข็ดเลยอ่ะ กูสาบานเลยว่าจะไม่ภาพตัดอีกแล้ว แม่งเสียเซลฟ์ชิบหาย ทำงานในบาร์ แต่เสือกวาร์ป” โฟล์คว่า
“แหงสิ แกเคยกินเหล้าหนักที่ไหนล่ะ” ฟ้าว่า “แล้วทีหลังอ่ะ ถ้าแกไม่สบายใจอะไรอ่ะ แกโทรหาชั้นได้นะเว่ยโฟล์ค ฉันเป็นเพื่อนแกนะเว่ย อย่าไปเละเทะแบบนั้นอีก”
“เออ ขอบใจ”
“ชั้นไปวาดรูปที่ชมรมก่อนละ สายละเนี่ย” ฟ้าพูด
“เออๆ ไว้เจอกัน” โฟล์คมองฟ้าเดินจากไป ก่อนนวดขมับตัวเอง ลดความตื้อมึน ยอมรับเลยว่าเป็นวันที่เละเทะมากในชีวิตเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ติ๊งๆ

เสียงข้อความมือถือของโฟล์คดังขึ้น เมื่อเขากดดู ก็พบว่าเป็นข้อความจากแอคเคาท์ที่ไม่คุ้นเคย

กูขอโทษนะ

โฟล์คอ่านข้อความ พลางมองไปยังชื่อแอคเคาท์ AP.i ที่ส่งเข้ามา กับรูปโปรไฟล์ที่เป็นภาพแจกันและกล้องถ่ายรูปที่ดูเรียบๆ
โฟล์คมองข้อความนั้นอยู่อย่างนั้น
หรือว่า…..
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 15 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-03-2020 01:34:57
ปากกับใจ ไม่ตรงกัน มันอันไหน
ให้เชื่อปาก หรือเชื่อใจ ไขว้สับสน
อยู่ต่อหน้า กับลับหลัง คนละคน
อย่าปะปน วนเวียนง่าย หน่ายระอา

พูดอะไรไว้ก่อนหน้านี้
รับผิดชอบคำพูดด้วย

เห๊อะ..มีเพื่อนใหม่แล้ว ก้าวไปข้างหน้าแล้ว
แล้วไงอ่ะ ขอโทษหรอ กลืนน้ำลายตัวเองป่ะ
หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 15 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-03-2020 18:44:47
ตอนที่ 16 Tear apart 2

   โฟล์คเดินตรงรี่ไปที่คณะนิเทศ ขณะที่มือถือยังคงถือสายนึงอยู่กับมือเอาไว้
   “ฮัลโหล เราอยู่ที่ใต้ตึกคณะนายแล้วพีท” โฟล์คพูดเสียงเข้ม “โอเค บอกแค่ว่าให้มันลงมาก็พอ”
   โฟล์ควางหูไป ขณะที่ยืนรออยู่ตรงหน้าบันไดคณะด้วยความรู้สึกร้อนผ่าว ข้อความที่เขาได้รับมาจากแอคเคาท์ที่เขาไม่เคยเห็น และรูปภาพที่เรียบง่ายแบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกตื้อมึน ยิ่งถ้าเกิดว่าเขารู้ว่าคนที่ส่งมานั้น คือ...
   “อิน”
   โฟล์คร้องเรียกอินที่เดินออกมาจากโถงลิฟท์ อินที่ดูตกใจกับการเห็นโฟล์คที่นี่ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ขณะที่โฟล์คเดินเข้าไปหาด้วยความเร็วสูง เมื่ออินเห็นดังนั้น ก็รีบกดปุ่มลิฟท์อีกครั้ง เพื่อกลับขึ้นไปด้านบน
   “เดี๋ยว คุยกันก่อน” โฟล์คคว้าตัวอินเอาไว้ พร้อมกับชูมือถือให้อินดู หน้าต่างข้อความที่เขียนคำว่า ‘ขอโทษนะ’ พร้อกับชื่อแอคเคาท์ที่เขาไม่คุ้นเคย
   “ส่งมาเหรอ”
   โฟล์คถามเสียงเรียบ ขณะที่อินเงียบสนิท และมองหน้าโฟล์คกลับไป กลายเป็นว่าคราวนี้โฟล์คพยายามมองมาที่อินอย่างพยายามหาคำตอบจากใบหน้าที่ว่างเปล่านั้น
   “ว่าไง ส่งมาใช่มั้ย ไอดีมึงใช่ป่ะ”
    อินยังคงเงียบไม่พูดอะไรทั้งนั้น
   “ถ้ามึงไม่พูด กูจะทำลายความเงียบด้วยการลากมึงขึ้นไปถามพีทนะ” โฟล์คพูดต่อ “มันไม่โกหกกูแน่”

   อินหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาแล้วลากตัวโฟล์คเดินออกไปจากตรงนั้น โฟล์คที่ตามไม่ทันกับการกระทำของอิน กลับโดนลากไปจากตรงนั้นด้วยความมึนงงอย่างว่าง่าย อินลากโฟล์คเดินยาวไปจนถึงมุมหนึ่งของหลังตึกคณะที่เงียบสงบและไม่มีผู้คน

   “อะไรของมึงเนี่ย” โฟล์คว่า “ทำไมต้องทำให้ทุกอย่างมัน....
   อินลากตัวโฟล์คมาจูบทันที และนั่นทำให้เวลารอบตัวของเขาหยุดหมุน ความรู้สึกตื้อมึน สับสน โกรธขึ้งที่สะสมมาตั้งแต่วันที่เขาไปบ้านอิน จนเมาไม่ได้สติเมื่อคืนก่อน มันทำให้ทุกอย่างหายไปหมดเลย
   ใช่ มันกลายเป็นความมึนงงมากกว่า
   เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่เข้าใจมากขึ้นไปทุกที
   อินถอนริมฝีปากออกจากโฟล์ค และนั่น ทำให้โฟล์คตกอยู่ในสภาพนิ่งสนิท
   “ไอ้...อิน”
   อินหายใจหอบถี่ และมองหน้าของโฟล์คอยู่อย่างนั้น โฟล์คยอมรับเลยว่าเขาไม่คิดว่าจะมีวันที่อินเป็นคนดึงเขามาจูบ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอที่เขาถ่อมาถึงที่นี่ในวันนี้ แบบนี้มันไกลเกินกว่าที่เขาคิด
   “กู... กูไม่เข้าใจ”
   “มึงไม่เคยเข้าใจอ่ะ มึงไม่เคยเข้าใจอะไรซักอย่าง” อินพูดสวนออกมา และนั่นทำให้โฟล์คถึงกับพ่นลมออกมาด้วยความตื้อมึน
   “หมายความว่าไงวะ”
   “หมายความว่า มึงช้า” อินพูดต่อ
   “อะไรนะ กูช้า.. เหรอ”
   “ใช่ มึงช้า” อินว่า “มึงมาหากูช้าเกินไปเว่ย”
   โฟล์คยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่อินพูด
   “มึงยังเป็นไอ้โฟล์คคนเดิม คนที่พยายามเดินตีนเปล่า จมอยู่กับหนังสือ แล้วก็เพลง แต่มึงไม่เคยมองไปรอบๆเลยอ่ะ” อินพูดต่อ “มึงจมอยู่กับโลกของมึงมาตั้งนาน แล้วมึงก็เพิ่งมาตามหากูเอาตอนนี้เนี่ยนะ”
   “อิน... กูเป็นคนตามหามึงนะ เผื่อมึงจะไม่เห็น กูเป็นคนไปหามึงถึงบ้าน ทั้งๆที่มึงเป็นคนหันหลังใส่กู  มึงปิดประตูใส่กูมาสามปีแล้วนะ มึง...” โฟล์คว่า
   “แต่มึงก็ปิดตัวเองเหมือนกัน เวลามึงอยู่ในโลกของมึง นั่งอ่านหนังสือของมึง คนแทบจะเหยียบมึงอยู่แล้ว ต่อให้กูอยู่ตรงหน้ามึง มึงก็ไม่เห็น” อินพูดเสียงสั่นเครือ และนั่นทำให้โฟล์คมองหน้าอินเหมือนไม่เคยเห็นเขามาก่อน
   “นี่มึงจะบอกอะไรกูเนี่ย” โฟล์คพูด
   “ตอนปีหนึ่ง มึงไม่ได้เข้าเฟรชชี่เกมส์ใช่มั้ย” อินถามขึ้น
   “ก็... น่าจะไม่”
   “มึงไม่ได้เข้า มึงพูดดิ” อินถามต่อ
   “แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรกับเรื่องของเรา...”
   “ก็เพราะว่ามึงกะกูอยู่เซคเดียวกันไง มึงเป็นคู่รหัสบัดดี้กับกูไง” อินพูดเสียงดัง
   โฟล์คถึงกับเงียบเสียงลงทันที
   “เออ... กูผิดเอง ที่กูทิ้งมึงกับ Zodiac มา กูผิดเองที่กูบล็อคพวกมึงทุกคน แต่กับมึง...ถ้ามึงอยากจะเจอกู อยากเริ่มใหม่ ในที่ที่มีแต่มึงกะกู เหมือนที่มึงเคยบอกกูวันนั้น ที่ดาดฟ้าอ่ะ ทำไมมึงไม่เห็นชื่อกูที่บอร์ดปีหนึ่งอ่ะ ทำไมมึงถึงไม่รู้ว่ากูเรียนอยู่นี่ อยู่คณะข้างๆมึงอ่ะโฟล์ค” อินว่า
   “ไอ้อิน”
   “มึงรู้ป้ะ ว่าตอนปีหนึ่ง เด็กอักษรกับนิเทศน์เรียนเจนเอ็ดพร้อมกัน แต่มึงไม่ลงไงโฟล์ค มึงเลือกลงตัวอื่น แล้วกู ที่ต้องมานั่งเห็นมึงนั่งอ่านหนังสืออยู่กับฟ้าทุกวันที่ใต้ตึกคณะมึง มึงคิดว่ากูจะรู้สึกยังไง แล้วพอมึงไม่มา กูก็เลยคิดว่า มึงคงไม่อยากเจอกูแล้ว มันคงผิดเองที่กูเป็นฝ่ายทิ้งมา เพราะงั้น...งั้น” อินหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด “กูก็เลยคิดว่า มึงคง...คงลืม...”
   “กูไม่เคยลืมมึงอิน ไม่เคย” โฟล์คว่า พลางพยายามตั้งสติใหม่อีกครั้ง “โอเค มึงฟังกูนะ กูกับฟ้า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน มึงก็เห็นคืนนั้น ฟ้ากับมิก เด็กถาปัตย์คนนั้น เค้า... เชี่ยเอ้ย อินกูขอโทษ ตอนปีหนึ่ง กูมัวแต่ทำอย่างอื่น กูขอโทษ...”
   โฟล์คดึงตัวอินเข้ามากอดไว้
   “กูอยู่นี่แล้วไง กูหามึงจนเจอแล้วไง มึงอย่าไล่กูไปอีกเลยนะ กูขอร้อง กูไม่อยากเห็นมึงเดินจากไปอีก” โฟล์คพูดเสียงสั่น “มันก็แค่ เราสองคนเดินไม่เสมอกันอ่ะ เรามาเริ่ม...”
   “ไม่ได้โฟล์ค ไม่ได้แล้ว” ภายใต้อ้อมกอดของโฟล์ค อินกลับยืนนิ่ง เป็นน้ำแข็งอยู่ตรงนั้น “ที่เราพูดกันคืนนั้น กูหมายความตามกูพูดจริงๆ”
   โฟล์คผละตัวเองออกจากอิน และมองอินที่ตาแดงก่ำ
   “ขาดกันไปแล้ว เราก็ขาดกันไปเลย มึงกะกูเราเดินไม่ตรงกันแล้วอ่ะโฟล์ค มึงอย่าพยายามเลย ไม่งั้นกูจะดูเหี้ยไปกว่านี้” อินว่า
   โฟล์คนิ่งสนิท
   “กูอึดอัด กูทำตัวไม่ถูก เวลาที่กูตัดสินใจอะไรไปแล้ว แต่มึงก็กลับเข้ามา มึงชอบทำให้กูดูโลเล เป็นคนตัดสินใจอะไรไม่ได้ กูไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ทำอะไรไม่หนักแน่น มึงเข้าใจป้ะ” อินอธิบาย
   “กูไม่เคยมองมึงเป็นแบบนั้น”
   “แต่มึงทำแบบนั้น เพราะมึงชอบกูไม่ใช่อ่อ” อินพูดตรงประเด็นทันที และนั่นทำให้โฟล์คเงียบไป
   “กู... คือกู....”
   “กูรู้สึกดีนะเว่ย ที่มึงปกป้องกูตอนเรื่องไอ้กายอ่ะ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว มึงก็... มีคนรอบตัวมึง... ที่มึงอาจจะสบายใจกว่า เข้าใจมึงมากกว่ากูแล้วด้วย เพราะงั้นกู....” อินพูดเสียงสั่น
   “กูกับฟ้าไม่ได้เป็นอะไรกันอิน มึงกำลังเข้าใจผิด” โฟล์คร้อง
   “ไม่เป็นไร ถึงมึงกับเค้าจะไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรนี่ มึงก็เห็น ว่ากูทำให้มึงดูเป็นยังไงที่บ้านคืนนั้น มึงรู้สึกว่ากูทำให้มึงเป็นคนอื่น เป็นส่วนเกินใช่มั้ย” อินพูด และนั่นก็เป็นเหมือนคำพูดที่ยิงตรงเข้าไปหาโฟล์คทันที
   “กู...คือกู....”
   “กูพยายามแล้วเว่ยโฟล์ค ที่จะหาที่ที่เหมาะกับเราสองคนในวันนั้น หรือในตอนนี้ แต่สุดท้าย กูก็เรียนรู้แล้วว่ามันไม่ได้... มันไม่.... มันไม่เสมอกันไปแล้วอ่ะโฟล์ค” อินพูดต่อ
   “ต้องเป็นพีทใช่ป่ะ” โฟล์คพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้อินชะงัก “นั่นคือคนที่มึงกำลังจะบอกว่า... เดินตรงกับมึงใช่มั้ย มึงถึงให้เขาไปอยู่บ้านมึง แทนที่จะเป็นกูใช่มั้ย”
   เป็นอินที่เป็นฝ่ายเงียบขึ้นมาบ้าง และคราวนี้โฟล์คก็เริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
   “โฟล์คกู...”
   “มึงถึงส่งข้อความมาว่าขอโทษงั้นดิ” โฟล์คว่าพลางเช็ดน้ำตาที่คลออยู่และเมินหน้าไปทางอื่น
   “กูก็อยากเก็บมึงไว้นะ แต่ถ้ามันจะทำให้เราสองคนอึดอัดทั้งคู่ มันก็ต้อง....”
   “เก็บกูไว้อ่อ... ทั้งหมดนี่ คือการกระทำของคนที่อยากเก็บกูไว้เหรออิน” โฟล์คพูดด้วยเสียงที่เข้มมากขึ้น
   “ถ้ามึงจะโกรธกูก็ได้นะ จะเห็นว่ากูเป็นคนที่โลเลก็ได้ แต่... กูไม่อยากให้มึงรู้สึกเหี้ยเพราะกูอีก” อินพูดพลางเอื้อมมือไปจับโฟล์ค แต่โฟล์คก็เป็นฝ่ายถอยตัวหนีแทน โฟล์คเดินสวนอินออกมาจากตรงนั้นทันที
   “โฟล์ค” อินร้องเรียกโฟล์คไว้ เหมือนกับตอนที่เขาลงจากรถมาเรียกไว้ที่บาร์คืนนั้น “กูไม่ได้จะไล่มึงนะ กูแค่ไม่อยาก...”
   “งั้นมึงตอบกูข้อนึงอิน ตอบกูหน่อย” โฟล์คหันมาถามอินอีกครั้งด้วยเสียงจริงจัง “มึงเคยรู้สึกกับกูบ้างหรือเปล่า รู้สึกเหมือนที่กูรู้สึกกับมึงอ่ะ”
   อินเงียบสนิท ขณะที่มองหน้าโฟล์ค
   “ถ้าทิ้งเรื่องทั้งหมดไป แล้วเริ่มต้นใหม่กับกู ตอนนี้วันนี้เลย ได้มั้ย” โฟล์คถามอีกครั้ง
   และแล้วมันก็กลายเป็นความเงียบ ความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน

   “กูขอโทษโฟล์ค”

   เวลาของโฟล์คย้อนกลับอีกครั้ง เหมือนกับที่มันเคยเป็น

...............


   “ขอโทษค่ะ ให้ปรับเก้าอี้ให้มั้ยคะ” พนักงานบนเครื่องบิน กล่าวกับโฟล์คเสียงสุภาพ ขณะที่เธอยื่นกาแฟมาให้กับเขาที่ที่นั่งบนเครื่อง
   “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” โฟล์คยิ้มให้กับเธอ ขณะรับกาแฟมาไว้ในมือ ก่อนที่เธอจะเดินไปตามทางเดินที่แสงสลัว หลังจากที่ผู้โดยสารทั้งลำเริ่มเข้านอนกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงเขาและเพื่อนร่วมทาง ที่ยังคงตาสว่าง หลังจากนั่งฟังเรื่องราวของกันและกันอยู่
   “แล้วก็จบกันแค่นั้นอ่ะเหรอ” มิกถามขึ้นหลังจากที่โฟล์คเงียบไปนาน โฟล์คยิ้มให้มิกเบาๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ
   “ก็... ผมก็ทำตามที่เขานะ ผมก็ไม่ได้หายไป เราแค่...”
   “เว้นระยะกัน” มิกเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
   “คับ... ประมาณนั้น เราก็ยังเจอกันบ้าง ทักทายกันตามปกติ แล้วผมเองก็...เอ่อ...” โฟล์คพยายามพูดอะไรบางอย่าง
   “คุณมีคนอื่นไปแล้ว” มิกถามกลับ
   “ก็ไม่เชิงคับ ก็แค่... พยายามแล้ว แต่ก็ไม่รอด เพราะผม...” โฟล์คเงียบไปพักหนึ่ง “ผมลืมเค้าไม่ได้น่ะ มันเหมือนเป็นคำถามที่คาอยู่ในหัวผมตลอดเวลา แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่สำหรับผม มันก็เป็นหลายปีที่อึดอัดเหมือนกัน จนผมก็งงว่า ที่เขาทำเพื่อไม่ให้ต้องอึดอัดกันทั้งสองฝ่ายเนี่ย สรุปมันเวิร์คหรือไม่เวิร์คกันแน่”
   “ผมว่าผมเข้าใจเค้านะ” มิกว่า
   “จริงเหรอ ผมไม่เคยเข้าใจเลยอ่ะ” โฟล์คพูดต่อทันที
   “เพราะมันก็เกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน แล้ว ที่ผมที่ต้องมานั่งบนเครื่องกับคุณนี่ก็เพราะว่า สิ่งที่ผมเคยทำ เพื่อเว้นระยะห่างจากคนที่ผมรัก มันก็กำลังย้อนกลับมาทำร้ายผม เหมือนที่อินก็คงกำลังเป็นอยู่เหมือนกันมั้ง” มิกว่า
   “ผมได้ยินมาว่า ฟ้าเค้าแต่งงานแล้ว เมื่อปีก่อน” โฟล์คว่า
   “อ๋อ... คือเอ่อ...ไม่ใช่กับฟ้าหรอกคับ คือเอ่อ สุดท้ายแล้วผมไปไม่รอดกับฟ้านะโฟล์ค แล้วผมเองก็ ไม่ได้คุยกับฟ้ามาเป็นปีปีแล้วเหมือนกัน คือผมน่ะ คือผม...ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันน่ะ” มิกว่า
   “อ้อ... คับ” โฟล์ครับคำ “คนที่ กายกับนัทกำลังส่งคุณไปหานี่ใช่มั้ย”
   “คับ เพราะผมก็เพิ่งมารู้เหมือนกัน ว่าเค้าต้องเจออะไรบ้าง คือ ที่ผมบอกว่าผมเข้าใจอินก็เพราะว่า ผมน่ะ ไม่เคยเดินเสมอกับคนที่ผมรักเหมือนกัน” มิกอธิบาย “ผมไม่เคยได้รู้ความจริงอีกด้านของเขาเลย”
   “ความจริงอีกด้านเหรอคับ” โฟล์คร้องถาม
   “ใช่... จริงๆ ผมว่าโฟล์คก็คงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นคืนนั้นเหมือนกันงั้นดิ” มิกถามกลับ
   “คืนนั้น... คืนไหนคับ” โฟล์คถามกลับ
   “นั่นไง... มิน่าล่ะ กายถึงให้เราสองคนเดินทางด้วยกัน” มิกว่า พลางอมยิ้มให้กับตัวเอง
   “ผม... ผมไม่เข้าใจ”
   “ความจริงอีกด้านไงคับ....” มิกว่า “หลังจากที่อินไปส่งโฟล์คที่บาร์แล้วกลับมา”
   “จริงเหรอคับ” โฟล์คถาม
   “ใช่... พวกเรายังอยู่ที่นั่นกันถึงเช้า” มิกพูดต่อ “นี่อาจจะเป็นมุมมองที่โฟล์คไม่เคยรู้ก็ได้นะ”
   โฟล์คมองหน้ามิกราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน หรือบางที มันอาจจะมีบางเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ของเขากับอินกันนะ

...............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 16 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-03-2020 21:22:53
เป็นผู้ล่า หรือถูกล่า ฆ่าชีวิต
จะว่าถูก หรือว่าผิด คิดตรงไหน
เป็นคนทิ้ง หรือถูกทิ้ง ต่างยังไง
มันต่างคน ก็ต่างไป ใช่อยู่ดี

แล้วแต่...หุหุ

ขอบคุณฮับ
อ่านหนุกมาก

ช้อบบบบบ..ชอบ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 16 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-04-2020 17:56:58
ตอนที่ 17 another perspective

   ออฟฟิศเล็กๆในลอนดอน เอิร์ธกำลังบิดขี้เกียจขณะที่อีเมล์เด้งขึ้นมาจากซูเม่ฝรั่งเศส มันแจ้งว่าอาร์ตบุ๊คของเขาไม่ผ่าน และพี่เจน แม่มดตัวร้ายหัวหน้างานของดีไซน์ของเขา สั่งให้แก้มันใหม่ทั้งเล่ม เขาเริ่มรู้สึกกลับมาโมโหเจนอีกครั้งหลังจากความรู้สึกนี้หายไปนาน เป็นได้ไหมนะที่เขาจะกลับมาทำความปราถนาเดิมของพี่ๆสตูดิโอสามแห่ง Lovable Studio กลับมาเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง คือเด็ดหัวเธอมาจิ้มน้ำพริก
   เอิร์ธปิดหน้าจอแมคลงขณะเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังตึกสูงที่อยู่ไม่ไกลจากย่านที่ออฟฟิศของเขาตั้งอยู่ใจกลางลอนดอน เขาคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่เขาออกเดินทางจากเมืองไทย มันไกลและเนิ่นนานมาก เขาตั้งใจมาเพื่อวิ่งตามใครคนหนึ่ง โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขากลางเป็นคนที่วิ่งนำและแซงหน้ามาก่อนแล้ว เขาไม่เคยวิ่งเสมอกับพี่มิกเลยซักครั้ง และมันกลายเป็นว่าวันนี้ เขากำลังกลายเป็นคนที่จะต้องนั่งทำงานเพียงลำพังโดยไม่สนว่าความรักคืออะไร เป็นหนึ่งในคนที่ใช้ชีวิตในสังคมไร้รักอย่างเต็มรูปแบบ เหมือนอย่างที่พี่กายกับพี่เจนเคยเป็น
   แต่ในเมื่อเขาเลือกความทะเยอะทะยานนี้เอง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งเสียใจสินะ
   เขาถอนหายใจ หวังว่าการแก้อาร์ตบุ๊ครอบนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายซักที มันมีอะไรในนั้นที่ขาดไปหรือไงกัน พี่เจนถึงยังไม่โอเค หรือบางทีความเป็นครีเอทีฟในตัวของเขายังไม่พอกันนะ
   หากพี่มิกมาอยู่กะเขาที่นี่ด้วยก็คงดี
   ก๊อก ก๊อก!
   เสียงเคาะประตูดังขึ้น
   “เข้ามาได้คับ” เอิร์ธหันไปตอบ ขณะที่ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
   “มอนิ่งคับน้องเอิร์ธ” เขากล่าวทักทายขณะที่แขวนโค้ทของเสื้อตัวเองไว้กับที่แขวน
   “มาแต่เช้าเลยพี่ ขอบคุณที่มาคับ นั่งก่อน พี่จะดื่มอะไรมั้ย เดี๋ยวผมให้...”
   “เห้ย ไม่ต้อง สบายๆน้อง” เขายิ้มให้เอิร์ธอย่างอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลง “พี่เห็นเมล์แล้วนะ โดนแก้ใช่มั้ย”
   เอิร์ธถอนหายใจก่อนจะลั่งทันที พลางทำหน้าเบื่อหน่ายส่งมา
   “ทำงานกับพี่เจนนะ พี่จะไม่มีทางเบื่อเลย” เอิร์ธว่าพลางเหลือบตาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “แต่รอบนี้เอาตรงๆผมก็มึนนะ เพราะไม่รู้จะแก้อะไรแล้วเหมือนกัน ”
   “ทำตามบรีฟเก่าของเค้าแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มร้องถาม
   “ทำแล้วพี่ แต่พี่เจนอ่ะ ก็เงี้ย” เอิร์ธยิ้มให้
   “บางทีเอิร์ธอาจจะต้องลงไปเคี่ยวกับส่วนอาร์ตไดเรคชั่นให้ดีกว่านี้มั้ง” เขาเริ่มให้คำแนะนำ “แต่เจนเค้าสนใจเอาท์คัม ไม่ใช่โปรเสด เพราะงั้นพี่อาจจะต้องถ่ายรูปใหม่หมดให้เอิร์ธด้วย”
   “คับ อาจจะต้องรบกวนพี่หน่อย ส่วนเรื่องอาร์ตได ผมมีเพื่อนอยู่ปารีส แต่มันก็ติดทำสาขาที่โน่น ผมก็พยายามที่จะหามาประจำที่นี่อยู่เหมือนกัน แต่รอบนี้เราคงต้องลุยกันไปก่อน” เอิร์ธว่า
   “หรือไม่ รอบนี้พี่ว่าเอิร์ธเดินช้าลงหน่อยดีมั้ย จะคริสต์มาสแล้ว พักบ้างก็ดีนะ”
   “พี่เจนฉีกอกผมแน่อ่ะ” เอิร์ธว่าต่อ
   “ไม่หรอก เดี๋ยวพี่คุยให้เอง” ชายหนุ่มยักคิ้วให้ “พี่ว่า เรานี่ไฟแรงไม่เบาเลยอ่ะ เพลาๆบ้าง แค่นี้แกก็เป็นซีเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่อายุน้อยที่สุดที่พี่เคยรู้จักแล้วเนี่ย”
   เอิร์ธมองช่างภาพตรงหน้าตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
   “ให้ตายเหอะ พี่นี่เหมือนพระเจ้าส่งมาให้ผมเลยนะรู้ตัวป่ะ พี่เป็นคนเดียวเลยอ่ะ ที่รู้ว่าผมเป็นไง แถมพี่กายกับพี่เจนก็ยอมฟังพี่ด้วย” เอิร์ธพูด “ผมกะไอ้วินนะ พูดจนน้ำลายแห้ง ไม่เคยได้ผลอ่ะ”
   “ไม่ขนาดนั้นหรอก พี่ก็แค่ปรับให้งานมันยืดหยุ่นขึ้น กายกับเจนเค้าแค่ ไม่ชอบอะไรชักช้า แต่จริงๆแล้วอ่ะ บางอย่างมัน...รอได้” ชายหนุ่มตอบ “และทั้งคู่ก็น่าจะรู้แล้วว่า ถึงจุดนึง ก็ต้องหัดรอซะบ้าง โลกไม่ได้หมุนรอบเค้าสองคนน่ะ”
   ทั้งคู่หัวเราะกับความจริงข้อนั้นอยู่พักหนึ่ง
   “โอเค พักก็พัก รอก็รอคับผม” เอิร์ธว่าพลางยิ้มอย่างไม่สดชื่นนัก “แต่เอาตรงๆนะ ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมพี่เจนถึงส่งมาพี่มาอ่ะ.... พี่ไปรู้จักเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่... มาอยู่กับพวกเราได้ไงอ่ะ.... พี่อิน”
   อินยิ้มกว้างให้เอิร์ธ
   “มาอยู่กับพวกนายได้ไงอ่ะเหรอ จริงๆมันก็เร็วๆนี้เอง พี่เองก็เจอกายเค้าที่งานหมั้นเมื่อปีกลาย แต่ถ้าจะถามว่าพี่รู้จักเค้าสองคนได้ไงนี่มัน.... ยาวมากนะ จะฟังเหรอ” อินพูดต่อ
   “วันนี้เราไม่มีไรทำอยู่แล้วนี่พี่ถ้าพี่ให้ผมรออะ งั้น เราไปหาไรกินกันป่ะ เดี๋ยวผมเลี้ยง” เอิร์ธพูดเสียงใส
   “เจนเตือนมาว่าแกแสบ” อินหรี่ตามองเด็กหนุ่ม “ไม่ใช่ว่าจะหาวิธีล้วงความลับเจนจากพี่หรอกนะ”
   “โห... เจ๊แม่งร้าย ดูออกว่ะ” เอิร์ธร้องทันทีพลางทำตาโตและหัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่นะพี่... โห ผมดูแย่เลยอ่ะ คือ... ผมแค่อยากรู้จักพี่ไงแบบว่า ไหนๆก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วยกัน ถ้าพี่รู้จักพวกพี่กายพี่เจนมานาน ผมก็อยากรู้จักพี่มากขึ้นไงคับ”
   “แน่ใจ...” อินยังคงเหล่ตาถาม
   “ค้าบบบ... ผมอยากฟังเรื่องจากปากพี่บ้างไง นะคร้าบ” เอิร์ธส่งเสียงอ้อน อินหัวเราะให้กับท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถอนหายใจและเงียบเสียงไปพักนึง
   “ฟังแล้วแกอาจจะไม่ชอบพี่เลยก็ได้นะเว่ย”
   อินพูดเสียงเรียบ ขณะที่มองหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น เมื่อห้วงเวลาแห่งความทรงจำมันหวนคืนมาหาตัวเค้าเอง

............

   “ไม่ใช่ๆ แกต้องมองอีกมุมนึง” เสียงของสาพูดกับนัท ที่กำลังง่วนอยู่กับภาพในแมคจอใหญ่ในห้องชมรมถ่ายภาพ “โอ๊ยยย นัท ไม่ใช่ ไปกันใหญ่แล้ว อินมันถ่ายแบบทิ้งสเปซไง หมุนสิ แกไม่เข้าใจที่มันสื่อเหรอเนี่ย”
   “โอ๊ยยย เยอะสิ่งมาก เอาใหม่ก่อน เดี๋ยวใจเย็นๆ” นัทพยายามตั้งสติขณะที่หมุนเมาส์ในมือ
   “ไหวไหมเนี่ยเหอะ สองคน” อินขณะเก็บของขณะที่มองเพื่อนร่วมชมรมอย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี “ให้อยู่ช่วยก่อนมั้ย”
   “ไม่เป็นไรๆ อินกลับไปคณะเถอะ เดี๋ยวพีทเขาว่าเอา” สาออกตัวพูดก่อน
   “ใช่ เพราะถ้าแกอยู่นะ จะยาวอ่ะ เราจะลากแกมาช่วยทำทีสิสด้วย” นัทหันไปพูดเสียงเข้ม
   “โอ่ยๆๆๆ งั้นพอก่อน นี่ก็มีโปรเจ็คจบที่ต้องทำเหมือนกันคับผม” อินรีบยกมือขึ้นห้าม
   “ดี งั้นรีบไปซะก่อนที่เราจะเอาโซ่ล่ามแกไว้ที่นี่อิน” นัทว่า
   “โอเคๆ ไปละ ไว้เจอกัน ส่วนเรื่องฉลองไว้นัดอีกทีละกันนะ”
   “รอไปก่อนเลยจ้ะ รอฉันกับจากปารีสก่อน” สาพูดแทน
   “ได้ นัดมาละกัน” อินเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นไหล่ก่อนจะโบกมือลาทั้งคู่เดินออกมาจากห้องชมรมโฟโต้ ใต้ตึกคณะสถาปัตย์ แม้ว่าชมรมโฟโต้ปีนี้ อาจารย์ไนเจลจะย้ายมาเปิดที่คณะสถาปัตย์ที่อยู่อีกวิทยาเขตนึง แต่อินก็ยังคงตามมาช่วยงานชมรมอยู่ไม่ขาด แม้ว่าในเทอมสุดท้ายของปีสี่ โปรเจ็คจบของเขากำลังจะฆ่าเขาแล้วก็ตามที แต่ก็ด้วยคำขอของสา ที่ดูเหมือนเธอและเพื่อนสนิทของเธออย่างนัท และมิก มีความตั้งใจจะเอางานตัวเองไปจัดแสดงที่แกลอรี่เมืองนอก การทำภาพโมเดลแกลอรี่ให้ออกมาสมบูรณ์ก็เหมือนจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจในความละเอียดในทุกกระเบียดของพวกเด็กถาปัตย์ แต่การได้เข้ามาเรียนรู้งานกับพวกเขา มันก็ทำให้เขาเอาไปปรับใช้กับงานนิเทศน์ของเขาได้
   เมื่อเลี้ยวออกจากมุมตึกของคณะเพื่อไปขึ้นรถระหว่างวิทยาเขต เขาก็เจอเข้ากับเพื่อนของนัทและสา ที่เขาไม่ค่อยจะได้เจอมาพักใหญ่แล้ว และเหมือนว่าจะเดินมากับผู้หญิงคนที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
   “อ้าวเห้ย นั่นเดี๋ยวนะ... อินป้ะ อินนิเทศน์ป้ะ” มิกร้องทัก
   “ใช่คับ... นาย... มิก...ใช่ป่ะ หวัดดีๆ” อินทักตอบ “โห ไม่เจอกันนานเลย”
   “ใช่ นี่อย่าบอกนะ ว่าสามันลากมาช่วยงานชมรมอ่ะ” มิกร้องทัก ขณะที่อินยักไหล่ตอบเบาๆ “เชี่ย ไอ้สาตัวแสบ ปีสี่แล้วยังลากนายมาอีกนะเห้ย เกินไปแล้ว”
   “ไม่ป็นไร ก็พอจะปลีกตัวมาช่วยได้อยู่ นานๆได้กลับชมรมก็ดีเหมือนกัน” อินร้องตอบ “ว่าแต่ ได้ข่าวว่าจะไปจัดแกลทีสิสที่ปารีสกันเหรอ”
   “โอ้ ข่าวไว”
   “เห้ยจริงเหรอมิก ไม่เห็นเล่าให้ฟ้าฟังเลย” ฟ้าส่งเสียงร้องแทรกขึ้นมา
   “ก็นะ...พอ คณะเราจะจัดฟิลด์ทริปให้น้องปีสองไปดูงานที่ลูฟว์ แล้วก็เลยมาถามๆเด็กปีสี่คอมเดสว่าอยากลองท้าทายตัวเอง พ่วงเอางานไปขึ้นแกลที่โน่นเลยไหม” มิกเริ่มเล่า “นัทมันก็เลยตอบตกลง มันแม่งอยากนำเสนองานตัวเองอยู่แล้วด้วย”
   “งานนัทเหรอ... นัทลงมาวาดภาพเป็นทีสิสเหรอ” ฟ้าถาม
   “ภาพสื่อผสมอ่ะ ชื่อ Loveless Society” มิกหันไปตอบ
   “ใช่ เราช่วยออกแบบแกลให้อยู่ตะกี้อ่ะ” อินว่า
   “เนี่ยน้าพวกมันอ่ะ เร่งทำทีสิสให้จบก่อนคนอื่น เพราะอยากเอางานไปแสดงเมืองนอก แล้วก็มาเดือดร้อนคนอื่นเค้าเหอะ” มิกว่า “ไอ้สาอ่ะตัวดี พอมันทำของมันไม่ทัน มันก็เที่ยวขอให้คนอื่นช่วยไปหมดนั่นแหะ”
   “แล้วมิกก็จะไปด้วยใช่ป่ะ” อินถามขึ้น ขณะที่มิกยิ้มตอบรับ “แล้วฟ้าล่ะ อักษรโหดเหรอคับ”
   “กับคนอื่นก็อาจจะไม่ แต่กับเรามันก็นิดหน่อยน่ะ เราอาจจะเหมาะกับอาร์ตมากกว่ามั้ง” ฟ้ายิ้มแห้งๆ “เอ้อ... แต่ตอนนี้ทุกคนๆก็น่าจะปิดโปรเจ็คกันหมดแล้วหรือเปล่า”
   “เหรอ ไม่รู้เลย เราไม่ได้ตามใครเลยช่วงนี้ ทีสิสโหดเหมือนกัน” มิกตอบเธอ “นายอ่ะ”
   “อ๋อ... นิเทศเหลือพรีเซนต์กันรอบสุดท้ายอ่ะ เด็กโฆษณาไม่โหดเท่าพวกเด็กฟิล์มก็จริง แต่ทำการตลาดกันหัวหมุนเลย” อินว่า “นี่ก็กำลังจะไปลุยกับพีทแล้วพริมมันอ่ะ”
   “โอเค งั้นไว้เจอกัน” ฟ้าพูดพลางเดินนำไปที่คณะกับมิก
   “เอ้อมิก... เมื่อกี้ก่อนออกมา เรากับสาแล้วก็นัทคุยกันว่า พวกเราที่เรียนโฆษณาเป็นวิชาเลือกน่าจะไปฉลองไฟนอลพรีเซนต์ด้วยกันอ่ะ” อินว่า “แต่เห็นว่านายสามคนจะไปปารีสกันก่อน ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวรอพวกนายกลับมา ก็ฉลองพร้อมกันเลยดีไหม คือนายไม่ได้อยู่ในคลาส แต่ขอก็ชวนไว้ก่อนเลย เพราะเดี๋ยวสากะนัทก็ต้องลากนายไปด้วยอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ก็ไว้ฉลองทีเดียวเลย”
   “อ้าวเหรอ ได้ๆ ร้านไหนอ่ะ” มิกว่า
   “ยังไม่รู้เลย เมื่อกี้ว่าจะไว้กลับมาค่อยคุยกันอ่ะ” อินตอบ
   “อืม... ร้านคอกเทลล์บาร์ดาดฟ้าที่ท่าเตียนก็ดีนะ เรากะฟ้าเคยไปวาดรูปวัดอรุณที่นั่นกันด้วย เครื่องดื่มโคตรดีเลย” มิกพูดขึ้นพลางมองไปหาฟ้า ที่ตอนนี้เธอเลิกคิ้วขึ้นทันที ก่อนจะมองมาหาอิน
   “เอ่อ... โอ้... ใช่เอ่อ... เราเคยไปร้านนั้นกันนี่เนอะ” ฟ้าพูดเสียงสั่น
   “ดีมั้ย เหมือนจำได้ว่า เพื่อนฟ้าก็ทำงานที่นั่นใช่ป่ะ เค้าชื่อไรนะ...เอ่อ...ชื่อเอ่อ....” มิกพูดพลางพยายามนึกชื่อ
   “งั้นเดี๋ยวเราไปก่อน เดี๋ยวไม่ทันรถ... ขอให้ทริปปารีสสนุกนะ” อินยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินจากมา
   มันจะต้องเป็นอย่างนี้ทุกทีสินะ เวลาที่เขาเข้ามายุ่มย่ามกับแกงค์นี้ มันเหมือนพวกเขาใช้แวดวงศิลปะดึงดูดเขาเข้าไปเจอเรื่องอึดอัดอย่างนั้นแหละ
   เขาไม่อยากจะกลับไปเจอความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
   ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามไม่คิดถึงแล้วก็ตาม
   โฟล์ค....

...........
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 17 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-04-2020 21:37:00
สาดแสงเงา เทาทาบ อาบผืนผ้า
วาดไปตาม จินตนา หาความหมาย
กลับหม่นมัว กลั้วภาพ อันตราย
ดูคลับคล้าย กระหายรัก ที่พักกลัว

อยากจะเดินฝ่าสายฝน
..แต่ก็ยังกลัวเปียก..
ป๊อดว่ะ หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 17 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 02-04-2020 11:44:46
ตอนที่ 18 The Corner

“แคมเปญอันนี้ใช้ได้เลย อาจารย์ชอบแน่ อีกอย่างถ้าเราสำรวจกลุ่มลูกค้าดีดี จะเห็นว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้นลงออนไลน์ไปเลย” พีทพูดขณะที่ชี้ไปยังหน้าจอคอมของพริม
   “มันก็ใช่ แต่ว่าพอมันเป็นออนไลน์อ่ะ มีเดียมันก็จะใช้เยอะขึ้น แล้วอาจารย์เค้าก็ดูเอียนๆกะออนไลน์ป้ะ แบบ มันไม่มีอะไรเห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ไรงี้” พริมเสริมขึ้นมา “หรือว่าไง”
   “ลองโทรถามนัทไหมล่ะ จำได้ว่าตอนคลาสโฆษณาตอนปีสอง นัทมันเก่งเรื่องทำออนไลน์เป็นตัวเลข” พีทพูด
   “ไม่ได้หรอก นัท สา มิกไม่อยู่ ไปจัดแกลที่ปารีสกันอาทิตย์นึง” อินพูดขึ้นขณะนั่งแก้สไลด์ตัวเองอยู่ข้างๆ
   “เอ๊าจริงดิ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่” พริมหันมาถาม “สองสามวันก่อนมั้ง ไม่ชัวร์ แต่ยังไม่กลับ”
   “โอ๊ย นี่ว่าจะให้สาเขามาช่วยถ่ายรูปให้หน่อย” พริมว่า
   “เห ได้แบบแล้วอ่อ” พีทหันมาถาม
   “ได้แล้ว มาร์คไง” พริมร้อง
   “มาร์ค... ที่เรียนสื่อสารการแสดงอ่ะนะ” พีทถาม
   “ใช่ เค้าดูดูกันอยู่นะรู้ป่าว มาร์คกะสาอ่ะ” พริมพูดขำขำ ขณะที่เริ่มเขียนผังการทำงานลงไปใหม่ “งั้นอิน แกถ่ายแทนได้ป่ะ”
   “เหย...” อินส่งเสียงมาทันที
   “นะนะ ไม่งั้นงานนี้ไม่เสร็จซะทีอ่ะ มาร์คมันก็คิวได้แค่ช่วงนี้ด้วยอ่ะ” พริมหันไปพูด
   “โหย... รอแฟนเค้ามาถ่ายเองไม่ดีกว่าเหรอ รู้งานกันอยู่แล้วอ่ะ” อินว่า
   “มันไม่ทันไงคะ ไม่ได้ยินที่พูดเหรอเนี่ย” พริมว่า
   “คือ... กูกลัวไปทำโจทย์เค้าเสียไง แบบ ถ้ามึงรอ....”
   “อิน... หยุดเลย ห้ามปฏิเสธ” พริมหันมาพูดใส่ “ฝีมือแกโอเค โจทย์ไม่เสียหรอกน่า พูดไปนั่น พีทจัดการเพื่อนเธอทีสิ เดี๋ยวมา ขอไปเอาเมมการ์ดก่อน”
   พริมมองค้อนอินแว้บหนึ่งที่ได้นั่งน้ำท่วมปาก ขณะที่เธอเดินออกไปจากโต๊ะใต้คณะ อินถอนหายใจคณะที่มองเธอเดินจากไป พลางเหลือบมองโจทย์ในคอมของสาที่เธอทิ้งไว้
   ทันใดนั้นพีทก็เอามือมาแตะไหล่ของอินไว้ทันที
   “เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำตัวเล็กๆซะทีหะ” พีทพูดขึ้น
   “อะไรวะ” อินหันไปมองพีท
   “ก็มึงอ่ะ ชอบทำเหมือนว่าตัวเองไม่เก่ง แม่งไม่จริงเลยนะเว่ย มึงอ่ะ มีศักยภาพนะ แต่มึงชอบหลบอ่ะ หลบโน่นหลบนี่ แล้วก็เชี่ยไรไม่เสร็จซะที” พีทพูดต่อ
   “มึงจำอาจารย์มาพูดป่ะเนี่ยหะ” อินพูดแซว แต่พีทก็โอบไหล่ของอินมาแน่นขึ้น
   “กูอยู่บ้านมึงมาสองปี กูรู้ว่ามึงนิสัยยังไง” พีทว่า “กู อยากให้มึง ดึงของออกมาใช้ได้แล้ว งานสุดท้ายแล้วนะเว่ย ปล่อยของดิ”
   “นี่มันงานพริมมั้ย กูไม่อยากทำงานเค้าพัง” อินพูด
   “ไม่ทำพังหรอก กูเชื่อใจมึงน่า” พีทบีบไหล่ของอินไว้แน่น และมองเข้ามาในตาของเขาอยู่อย่างนั้น
   “ขนาดนั้นเลย” อินพูดเสียงสั่น
   “กูเคยบอกมึงแล้วนะ กูไม่เคยเห็นมึงกระจอกหรืออ่อนเลยนะอิน มึงเป็นตัวของตัวเองได้แล้ว”
   อินฟังคำพูดของพีทและมองหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น
   เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ... ใช่ เขาไม่ใช่คนแบบนั้น
   และก็เป็นพีททุกครั้ง ที่พูดกับเขาแบบนี้
   “ยังไงคะ สองหนุ่ม” พริมเดิมกลับมาอีกครั้ง ขณะที่พีทตบไหล่อินสองที และลุกขึ้นให้พริมนั่งที่เดิมของเธอ “ยังไงคะคุณอิน สรุปจะช่วยมั้ย”
   “เออ... ก็ได้” อินพูดพลางเหล่มองพีทแว้บนึง “ส่งบรีฟมาละกัน”
   “ก็แค่เนี้ย”

...............

   อินเดินมาถึงร้านกาแฟที่หัวมุมถนนหน้ามหาวิทยาลัย เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินไปในร้านและเริ่มสั่งกาแฟ
   “คาปูชิโน่ร้อนคับ หวานปกติ” อินยิ้มให้กับพนักงานก่อนจะไปหาเก้าอี้นั่งลงเงียบๆอยู่มุมหนึ่ง เขามองออกไปนอกร้านดูผู้คนที่เดินไปมาอยู่พักนึง และปล่อยให้จิตใจล่องลอยออกไป ก่อนที่ไม่นานแก้วกาแฟจะถูกวางลงตรงหน้าเขา
   “ขอบคุณคับ” เขาเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองคนที่เอากาแฟมาให้เขามานั่งลงตรงข้ามเขา เขามองหน้าเธออย่างว่างเปล่าอยู่ครั้งหนึ่ง เลิกคิ้วยิ้มให้พอเป็นพิธีก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ
   “เป็นไร หน้าเป็นตูด” เธอส่งเสียงมา
   “มาถึงก็คอมเมนต์เลยนะฟ้า” อินว่าเสียงเรียบ “ก็ยิ้มให้แล้วไง”
   “เห้อ เธอกับมันนี่ต้องเหมือนกันไปทุกอย่างหรือไงนะ” ฟ้านั่งพิงพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจ
   “นัดมามีอะไร” อินถามเข้าประเด็นทันที
   “โห... ไม่ต้องทำเย็นชาขนาดนั้นก็ได้ นี่เราเองไม่ใช่มัน” ฟ้ารีบออกตัวก่อน
   “เปล่า ไม่ได้อะไร แต่ ไม่ทำโปรเจ็คหรือไงเล่า” อินว่า
   “ทำน่ะมันทำแหละ แต่... อีกสองวันพวกมิกเค้าจะกลับมาแล้ว” ฟ้าพูดต่อ
   “อ่าหะ แล้วไง” อินถาม
   “แล้วไง?... ก็เรื่องฉลองไง” ฟ้าว่า
   “โอ่ย อีกสองวันทางนิเทศน์ก็ต้องพรีเซนต์เหมือนกัน ให้ผ่านไปก่อนได้ไหมล่ะ” อินว่า
   “รู้แล้ว แต่มันก็หมายความว่า หมดวันศุกร์นี้ทุกคนก็ถือว่าจบหมดแล้วป้ะ” ฟ้าว่า
   “อ่าหะ ก็ใช่...” อินว่า
   “แล้วถ้าจะเป็นร้านนั้น เธอจะยังโอเคอยู่ไหม” ฟ้าถามขึ้น และนั่นทำอินกลับมารู้สึกอึดอัดอีกครั้ง
   “ม...ไม่รู้” อินส่ายหน้า พลางมองออกไปนอกร้าน และนั่นทำให้ฟ้ามองเขาด้วยสายตาห่วงใย
   “ยังไม่หายโกรธมันอีกเหรอ” ฟ้าพูด
   “เปล่า ไม่ได้โกรธ” อินว่า “ก็แค่ไม่ได้เจอกันบ่อยตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยไม่รู้ว่า จะต้องทำตัวไงถ้าต้องกลับมาเจอกัน แล้วนี่รวมกันกี่คนนะ แปดป้ะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกอ่ะ”
   อินหันกลับมาพูด แม้ว่าจะพยายามปรับเสียงให้ดูปกติมากที่สุด
   “วันนั้นมันไม่มีใครมีเรื่องเลยเว่ยอิน เธอนั่นแหละที่คิดมาก” ฟ้าพูด “และถ้าเราไม่ช่วยพูดให้เธอกลับไปที่....”
   “ฟ้า...มันเริ่มต้นใหม่ไปแล้ว” อินพูดตัดบทเธอขึ้นมา
   ฟ้าเงียบเสียงลงทันที ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ขณะที่นั่งมองตากัน อินก้มหน้าลงและจับแก้วกาแฟของตัวเองด้วยมือที่เย็นเฉียบ
   “เราไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีกอ่ะ เราต่างคนต่างไปแล้วฟ้า” อินพูดต่อ
   ฟ้าหายใจเข้าลึก พยายามหาคำพูดที่เหมาะสม
   “ที่เราจะพยายามจะพูดนะอิน คือ... เราไม่อยากให้เธอต้องลำบากใจ เพราะเรารู้ว่าโฟล์ค เค้าไม่เคยอยากให้เธอรู้สึกแบบนั้น” ฟ้าว่า “ที่เราพยายามมาเจอเธออยู่เรื่อยๆ คือเราแค่อยากช่วย แล้วก็ ไม่อยากต้องลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”
   อินยิ้มให้เธอ
   “ขอบใจฟ้า เราไม่ว่าอะไรเธอนะ เราแค่...เราแค่พยายามใช้ชีวิตต่อ” อินพูด “เราต่างก็ต้องไปต่อไม่ใช่อ่อ แล้วก็ดูดิ สองปีแล้วมั้ง ก็อยู่กันได้นี่ สบาย”
   ฟ้าเหล่ตามองอินอย่างไม่เชื่อนัก
   “ก็ถึงมาถามนี่ไงว่า ถ้าจะต้องเจอกันที่นั่นอีก จะโอเคมั้ย” ฟ้าถาม
   “ไม่โอมันก็ต้องโอป้ะ มันก็ต้องเป็นงั้น ไม่ต้องห่วง จัดการได้น่า” อินยิ้มให้เธอ
   “เธอสองคนเหมือนกันมาก” ฟ้าว่า “เหมือนกันมากจริงๆ”
   “เธอพูดตั้งแต่คืนนั้นแล้ว”

..............

   อินปิดประตูรถลงมาและเดินกลับเข้าบ้านมาอย่างหัวเสีย โฟล์คไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น มันไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เขารู้สึก และพยายามทำเหมือนว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ ดูแลตัวเองไม่ได้ ซึ่งมันไม่จริง เขารู้ไม่ใช่ไอ้ตัวรั้งท้ายของ Zodiac อีกแล้ว และมันก็หมดเวลาที่เขาทั้งสองคนจะต้องกลับไปเล่นบทนั้นกันอีก มันไม่ใช่
   “โอ๊ะ...”
   อินเดินชนเข้ากับเพื่อนของโฟล์คที่กำลังเดินออกมาจากบ้านพอดี
   “โอ๊ะ ขอโทษๆ เอ่อ... เป็นไรมั้ย” อินประคองตัวเธอไว้
   “ไม่เป็นไรๆ โอเคค่ะ...เอ่อ...อิน ใช่มั้ย” ฟ้าร้องทัก “เมื่อกี้ขับไปส่งโฟล์คที่ร้านเรียร้อยดีนะ”
   “คับ... เรียบร้อยดี... แล้วเอ่อ... จะกลับแล้วเหรอคับ ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ แม่จะทำข้าวต้มให้นะ” อินถาม
   “ไม่ได้อ่ะค่ะ เดี๋ยวหอปิด” ฟ้ายิ้มให้
   “งั้นให้ผมไปส่ง” อินถาม
   “อ๋อไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมิกไปส่ง เขาเข้าห้องน้ำอยู่” ฟ้ายิ้มให้ แต่เธอก็สังเกตเห็นรังสีผิดปกติออกมาจากหน้าของอิน มันคุ้นตาเธอชอบกล
   “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ กับโฟล์คน่ะ” ฟ้าถามขึ้นทันที
   “เปล่าคับ ไม่มี” อินยิ้มให้เธอ
   “ว่าแล้วเชียว” ฟ้าพูดทันที
   “คับ?” อินร้องถาม
   “ก็ โฟล์คก็ชอบพูดแบบนี้อ่ะ เวลาพูดถึงอิน” ฟ้ายิ้มให้อิน
   “พูด...ถึงผมเหรอ” อินส่งเสียงด้วยความสงสัย
   “เอ่อ” ฟ้าหันหลังกลับเข้าไปมองในบ้าน เห็นว่ามิกกำลังกล่าวร่ำลากับเพื่อนๆของเขา รวมถึงคุณแม่ของอินด้วย “ฟ้าว่ามันคงจะซับซ้อนขึ้นไปอีก ถ้าต้องพูดอ้อม เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้ ทุกอย่างมันอ้อมไปอ้อมมาไปหมด งั้นฟ้าขอพูดกับอินตรงๆนะ”
   อินเงียบสนิททันที
   “อินน่าจะรู้อยู่แล้วว่า การมาทำงานที่บ้านอินวันนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รู้ใช่มั้ย” ฟ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาทันที
   อินหลบสายตาลง ก่อนจะพยักหน้า
   “ฟ้าไม่ได้ตั้งใจจะวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของอินหรือของโฟล์คแต่... ฟ้าขอพูดตามความรู้สึกนะคะ เราว่า โฟล์คมันชอบอินจริงๆล่ะ” ฟ้าพูดทันที และนั่นทำให้อินหลับตาลงสนิท “เราไม่รู้ว่าสมัยก่อน เธอสองคนทะเลาะอะไรกันแต่... เราว่าบางที มาถึงวันนี้ ก็น่าจะคุยกันดีดีนะ เพราะโฟล์คเค้าก็ รอเวลาที่จะได้เจออินมาตลอดอ่ะ”
   “เหรอคับ... เค้าเนี่ยนะ” อินร้องถาม
   “ใช่ค่ะ พอเค้าเจอเธอที่คณะถาปัตย์ เค้าก็มาจี้เอากับเรา ช่วยกันสืบเสาะ จนมาผ่านพีทนี่แหละ” ฟ้าว่า “ก็เลยมาเป็นวันนี้นี่แหละ ฟังดูเป็นสโตกเกอร์เนอะ แต่... วุ่นวายกันมาหลายอาทิตย์แล้วแหละ เพราะฉะนั้น อย่าไล่มันเลย คุยกันดีดีเถอะ”
   “ผมก็แค่...ทำตัวไม่ถูกอ่ะ ไม่รู้ว่ามันจะต้องเป็นไง” อินว่า “ไม่รู้สึกแปลกๆกันเหรอ คนสามคณะมาอยู่รวมกัน มัน... ดูไม่เข้ากันหรือเปล่า”
   “เราว่าไม่นะ ดูเรากับมิกสิ” ฟ้าพูดขณะที่มิกเดินออกมาจากบ้านพอดี
   “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” มิกร้องทัก “เราจะไปส่งฟ้าพอดีอ่ะ”
   อินไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแห้งๆให้เธอ
   “ฟ้าไปยัง” มิกเดินไปยังไอ้เต่าทองของเขาที่จอดอยู่ถัดไป
   “ได้ๆ” ฟ้าร้องตอบ ก่อนจะหันกลับมามองอินอีกครั้ง “เราว่าเธอสองคนเข้ากันได้ดีอยู่นะ... ไม่ได้ตัดขาดออกจากกันหรอก ออกจะเหมือนกันมากๆด้วยซ้ำ ไว้เจอกันนะคะอิน”
   เธอเดินไปยังรถสีแดงของมิก ขณะที่ทิ้งก้อนบางอย่างไว้ในหัวของเขาอยู่อย่างนั้น
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 18 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-04-2020 17:46:13
อลวนอลเวงครื้นเครงบุรี..ชิ้บ
ปิดเปิดเปิดปิดเดี๋ยวห่างเดี๋ยวชิดผลุบโผล่..หาย
หุหุ

ตามลุ้นตามติด เป็นสโตกเกอร์เรื่องนี้เลย
อิอิ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 18 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-04-2020 12:10:15
ตอนที่ 19 Past Calling

“อิน อิน... ฟังอยู่ไหม” ฟ้าร้องเรียกเขา ขณะที่เขาเงียบไปนาน
   “อ๋อ...ฟัง” อินหันกลับมาหาเธอ
   “งั้นถ้าพวกมิกเลือกร้านนั้น ก็คือตามนั้นนะ” ฟ้าพูด
   “อื้อ... ได้..” อินตอบ
   “แต่เธอจะไม่เทใช่มั้ย” ฟ้าถาม
   “ยังไงก็ต้องไปกับพีทอยู่แล้ว” อินว่า “ขอบใจมากนะ ที่มาบอกอ่ะ”
   “อื้อ... งั้นเรากลับละ บายนะ” ฟ้าโบกมือลา ก่อนจะเดินออกจากร้านกาแฟไป อินยิ้มส่งลาเธอ ก่อนจะหันกลับมาจมกับตัวเอง
   เขาไม่ชอบเลยจริงๆ กับอะไรแบบนี้ ฟ้าเป็นคนน่ารัก และเขาก็ไม่แปลกใจเลยที่โฟล์ครู้สึกสบายใจและมีเธอเป็นเพื่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอมักจะมีคำพูดชวนให้ฟุ้งฝันและอ่อนโยน แต่ก็มีโลกส่วนตัวที่เธอชอบหายไปหายมา ไม่ได้รุกล้ำความคิดของคนอื่นเข้ามาจนเขาลำบากใจ
   และเพราะเธอเป็นแบบนี้ เขาจึงไม่อยากจะปฏิเสธเธอในเรื่องต่างๆ หลังจากที่พีทฝากพรีเซนต์มาให้เธอตอนนั้น จนถึงปีสี่ เขาก็ออกมาพบเธออยู่บ่อยครั้งเวลาเธอนัดมากินกาแฟที่นี่ เขาก็ปฏิเสธเธอไม่ลง
   การกลับไปร้านบาร์ดาดฟ้าอีกครั้ง คงเป็นอีกเรื่อง ที่เขาไม่กล้าที่จะปฏิเสธเธอ
   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่ออินหยิบมาดูก็ปรากฎเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย
   “ฮัลโหลคับ”
   “ฮัลโหลๆ นั่นอินป่าว” เสียงอันคุ้นหูดังมาจากปลายสาย
   “อ่าา ใช่คับ” อินตอบ
   “เช้ดโด้ว เจอตัวแล้วว่ะ เฮ้ยอิน เป็นไงบ้าง สบายดีป่าว” เสียงนั้นยังคงทักทายหาเขาไม่หยุด
   “เอ่อ... โทษทีคับ นั่นใครอ่ะ” อินร้องถาม
   “เอ๊าไอ้นี่ จำเพื่อนไม่ได้ว่ะ กูเอง มอสไง”
   เสียงของมอสทำเอาเขาตาลุกโพลง ถึงกับหยิบโทรศัพท์มาดูหน้าจออีกครั้ง
   “มอส.... เชี่ยมอสอ่ะนะ....” อินร้องเสียงดัง
   “ใช่แล้วคับผม ผมมอสสุดหล่อแห่ง Zodiac เองฮว๊าฟ” เสียงของมอสที่เหมือนหลุดออกมาจากอดีต ลอยผ่านโทรศัพท์มา
   อินพ่นลมออกมาจากปากครั้งหนึ่ง
   “โห เอ่อ..หวัดดี” อินพูดเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ...เป็นไงมาไงเนี่ย”
   “ก็คิดถึงดิวะสัส กว่าจะล่าเบอร์มึงมาได้นี่ยากชิบหาย แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย พวกกูอยากเจอมึง” มอสร้องถามมา
   “พ...พวกกู” อินทวนคำอีกครั้ง
   “เบนซ์มันกลับมาจากฝรั่งเศสแล้ว แล้วมันอยากเจอพวกเรา อยากเจอมึง” มอสพูด
   “งั้นอ่อ...” อินถาม
   “นี่เบอร์มึงผูกกับไลน์ไว้หรือเปล่า กูแอดไว้นะ เดี๋ยวทักไปอีกที” มอสพูด “ดีใจที่มึงรับสายกูนะเว่ย เดี๋ยวไว้คุยกัน”
   “เอ่อ... เดี๋ยว คือเดี๋ยว...”
   เสียงตัดสายเงียบสนิทไป อินมองโทรศัพท์อย่างงงงวย มันดูเหมือนว่าบ่ายที่ไม่มีเรียนของเขาในวันนี้ เต็มไปด้วยเสียงเรียกจากเรื่องที่เขาอากจะลืมอยู่นั่น
   แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้มอสจะหาเบอร์เขามาได้ยังไง ในเมื่อเขาตัดการติดต่อกับ Zodiac ไปหลายปีแล้ว

   ติ๊ง!!!

   เสียงข้อความดังขึ้น อินหยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง

   -MOSS- กูเองนะ พรุ่งนี้เย็นๆว่างป่าว มาเจอกันหน่อยดิ

   อินถอนหายใจ พยายามคิดหาคำพูดที่เหมาะสม

   AP.i เดี๋ยวกูบอกอีกทีละกัน

   เขาพิมพ์ตอบไป ก่อนที่ข้อความจะขึ้น Read และเงียบไปพักหนึ่ง

   -MOSS- มีแค่กู กะเชี่ยเบนซ์ มึงไม่ต้องคิดเยอะสัส เดี๋ยวกูส่งโลเกชั่นให้

   เขามองข้อความนั้นก่อนจะถอนหายใจ

...............

   หลังจากการคิดอยู่หลายตลบตลอดคืน อินก็คิดได้ว่า การออกไปเจอมอสและเบนซ์แค่สองคน มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย กินข้าวแค่มื้อเดียว ทักทายกันเล็กน้อย มันก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดแปลก แต่ทว่าในเย็นของวันรุ่งขึ้น กลับกลายเป็นวันสายฝนที่โหมกกระหน่ำอย่างหนัก เหมือนเป็นสัญญาณว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงกลางปี
   อินลงจากรถวิ่งเข้าบ้านของมอส รังของ Zodiac ที่เขาเกือบจะจำทางเข้าบ้านของมันไม่ได้แล้ว เมื่อเข้ามาถึงชั้นล่าง มันก็น่าแปลกใจตรงที่ ชั้นล่างนั้นโล่งสนิท ของทุกอย่างที่เขาเคยจำได้ลางๆว่าวางอยู่ตรงไหนนั้น มันหายเกลี้ยงไปหมด ความโล่งนี้ มันทำเอาเขาแปลกประหลาดใจ
   “เห้ยยยยย เค้ามาแล้วว่ะ ไอ้ตูดของกู” มอสเดินลงบันไดมาพร้อมร้องเสียงดัง
   “ว่าไงมึง” อินร้องทักไปยังมอส ที่ดูตัวสูงขึ้นและดูอ้วนขึ้นกว่าเดิม มันเดินตรงมาหาเขาและอ้าแขนทันที
   “คิดถึงมึงโคตรอ่ะ” มอสว่า
   “หยุดๆ มึงไม่ต้องมาดราม่า” อินร้อง
   “อะไรวะ เพื่อนฝูง กูอยากเจอมึงที่สุดเลยรู้ป่าว” มอสไม่สนใจคว้าตัวอินมากอดไว้ อินส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกอดมอสกลับเป็นพิธี ขณะที่ได้ยินเสียงลงบันไดมา และคนตรงหน้านั้นคือเบนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในชุดที่ดูดี รูปร่างหน้าตาทรงผม ทุกอย่างที่เขาเห็นตรงบันไดนั้น ดูเป็นคนละคนกับเบนซ์ที่เขาเคยรู้จัก
   “ไงมึง” อินส่งเสียงเรียบๆไปหา แต่เบนซ์ไม่รีรอ มันลงบันไดมาอย่างว่องไว และคว้าตัวอินมากอดไว้อีกคน เบนซ์กอดอินไว้แน่นเอามากๆ จนเขารู้สึกได้
   “มึงหายไปไอ้สัด ไม่อยู่ให้กูขอบคุณเลย” เบนซ์พูดในอ้อมกอดของอิน
   “ขอบคุณเรื่องไรวะ” อินร้องถาม พลางตบไหล่เพื่อนเบาๆ ก่อนที่เบนซ์จะผละออกมา
   “มึงทำให้กูได้ไปไง” เบนซ์พูดเสียงเรียบ ขณะที่อินยิ้มให้เบนซ์อย่างรู้สึกแปลบเบาๆข้างใน เรื่องราวในวันนั้นแทบจะหายไปจากความทรงจำของเขาแล้ว
   “เออ... กราบกูด้วยดิ” อินพูดขำขำ
   “ไอ้เวร” เบนซ์ต่อยเข้าให้ที่ไหล่ของอินเบาๆ
   “แล้วไงเนี่ย จบแล้วอ่อ” อินถาม
   “เออ กูกลับมาแล้ว วีซ่าหมดอ่ะ ไม่ได้ต่อเวิร์คเพอมิต ก็เลยว่ากลับไทยก็ได้วะ” เบนซ์ตอบ “มึงเปลี่ยนชีวิตกูเลยนะเว่ยอิน”
   และก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง อินได้แต่มองหน้าเบนซ์อยู่ย่างนั้น เขาเองก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าเขาไม่สละสิทธิ์ทุนนั้น ชีวิตของเขากับเบนซ์อาจจะสลับขั้วกันก็ได้
   “มามา ขึ้นไปดื่มคับผม” มอสรีบออกตัวชวนทันที ซึ่งนั่นทำให้อินหัวเราะเบาเบา ไอ้มอสยังคงเป็นสายปาร์ตี้ตามเดิมไม่มีเปลี่ยน และเมื่อขึ้นไปถึงห้องเดิมของมอส อินก็ต้องชะงักงัน เมื่อคนที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องของมอส คือคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอ
   “เป็นไงไอ้โฟล์ค มึงซัดไปคนเดียวหมดป่ะเนี่ย” มอสเอ่ยทักโฟล์คที่หันมาชูนิ้วกลางใส่มอส เบนซ์เดินไปนั่งข้างๆโฟล์ค ขณะที่มอสเดินไปที่ตู้เย็นและหยิบเบียร์มาเพิ่ม
   อินมองไปยังโฟล์คที่หันมามองหน้าเขาและยิ้มให้เบาๆครั้งหนึ่งก่อนจะหันคุยกับเบนซ์
   “เอ๊า มึงจะยืนทำแป๊ะอะไร นั่งดิ มา แดกคับ” มอสยื่นขวดให้อิน ที่รับขวดมาก่อนจะนั่งลงรงหน้าหม้อชาบูที่อยู่กับพื้น
   “นี่มึงแดกกันแต่หัววันเลยงั้นดิ” อินพูดณะที่ยกขึ้นดื่ม
   “จะรออะไรวะ นานๆทีเจอกัน” มอสว่า
   “เออว่าจะถาม ทำไมบ้านมึงโล่งๆวะ ของเก็บไปไหนหมดอ่ะ” เบนซ์ถามขึ้น
   “อ๋อ ป๊ากูเข้าจะย้ายบ้าน” มอสตอบ
   “อ้าว มึงจะไม่อยู่นี่แล้วอ่อ” เบนซ์ร้องถาม
   “จริงๆกูก็ไม่ได้อยู่เท่าไหร่แล้วว่ะ ตั้งแต่ไปเรียนเชียงใหม่ กูก็ไปอยู่ที่นั่นยาวเลย แล้วป๊ากูก็ไม่รู้ขึ้นไปหากูบ่อยหรือไง ดันดีลกับซัพพลายเออร์ที่นั่นได้ แม่งก็ยาวเลยอ่ะ” มอสเริ่มเล่า “มึงถามมันสองตัวดิ ตั้งแต่แยกกัน นี่ก็เพิ่งกลับมาเจอกันเนี่ย ใช่ป่ะ”
   “อ่านะ” อินตอบอ้ำอึ้งพลางทำเป็นใช้ตะเกียบคีบหมูจากหม้อเข้าปาก “แล้วมึงไปหาเบอร์กูมาได้ไง”
   “กูเอาให้มันเองอ่ะ” โฟล์คตอบเรียบๆ พลางหยิบหมูลงใส่หม้อ อินเงียบเสียงไปพักหนึ่ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาค้างมือที่จับตะเกียบไว้อยู่อย่างนั้น และพยายามห้ามตัวเองอย่างยิ่ง ที่จะไม่หันไปมองเข้าของคำพูด
   “เออ มึงสองตัว อยู่ ม.เดียวกัน ได้เจอกันมั้งป่ะ” เบนซ์หันมาถามเขา
   “อ๋อ...ก็”
   “ไม่ค่อยอ่ะ กูไม่ค่อยว่าง” โฟล์คชิงตอบก่อน แม้จะไม่มองหน้าอิน “กูทำงานด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้เข้ากิจกรรม”
   “อ่อ...” เบนซ์ตอบ “มึงอ่ะอิน”
   “กูก็เรื่อยๆอ่ะ เวลากูไม่ตรงกับมัน เจอกันยาก” อินตอบเสียงเรียบเช่นกัน
   “มึงเหอะ อยู่นั่นเจอไอ้กายมั่งป่ะ”
   ประโยคของโฟล์ค ทำเอาทั้งวงเงียบเสียงลงทันที มอสถึงกับสำลักเบียร์ที่กำลังกระดกเข้าคอ ก่อนจะมองไปรอบๆวง ที่อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนกันหมด
   “มึงเปิดได้ดีนะไอ้เชี่ยโฟล์ค” มอสวางขวดลงพลางเช็ดปาก
   “กูไม่ได้เจอ” เบนซ์พูดทันที “เห็นมันครั้งสุดท้ายตอนไปรายงานผลทุน จำได้ว่าสายวิชาที่มันลงก็แปลก เดี๋ยวอาร์ต เดี๋ยวดีไซน์ แม่งเก็บทุกตัวในสายงาน มันก็เลยต้องทำงานหนักที่นั่น”
   มอสเหล่ตามองเบนซ์อยู่อย่างนั้น
   “เอาความจริงไอ้สัส”
   เบนซ์เลิกคิ้วก่อนจะหยิบหมูมากินบ้าง
   “เออ... กูไม่อยากเจอมันด้วยแหละ” เบนซ์ตอบ “เห็นมันแล้วกูรู้สึกเหี้ยที่ได้ทุน เหมือนกู....”
   “ไอ้เบนซ์ กูสละสิทธิ์เอง มึงไม่ต้องคิดเรื่องนั้นแล้ว” อินพูดขึ้นแทรก
   “แต่กลุ่มแตกนะเว่ย มึงจะให้กูรู้สึกไง” เบนซ์ตอบ
   “ถ้าจะมีคนรู้สึกผิดอ่ะ ต้องเป็นคนที่หายไปจากกลุ่มเองป่ะวะ ไม่น่าจะใช่มึงอ่ะ” โฟล์คพูดขึ้น พลางกระดกเบียร์ขึ้นจิบ และนั่นทำให้อินถึงกับหน้าร้อนผ่าว และหันไปมองหน้าโฟล์คอยู่แว้บหนึ่ง
   “เออ... นั่นแหละที่กูจะบอก มึงไม่ต้องไปไรกับมันหรอก มึงมาลงที่กูดีกว่า” อินพูด
   “เห้ยๆๆๆ พอพอ กูไม่ได้นัดพวกมึงมาขุดเรื่องเก่าๆมาตีกันอีก” มอสว่า “กูนัดพวกมึงมาอ่ะ กูอยากให้พวกเราแม่งกลับมาคุยกัน”
   “หึ” เบนซ์หัวเราะเบาๆ “ก็ไม่เห็นสำเร็จนี่มึง ทำไมมึงไม่ชวนมันมาด้วยอ่ะ”
   “ชวนแล้ว มันบอกมันมาไม่ได้” มอสว่า
   “เห็นป่ะ มันทิ้งพวกเราแล้ว มันก็ทิ้งเลย มันกลับไทยมาพักนึงแล้วรู้ป้ะ” เบนซ์ตอบ “ถ้าแม่งจะมา แม่งก็มาได้เว่ย มึงไม่ต้องพยายามหรอกไอ้มอส ไอ้กายอ่ะ มัน...”
   “ไอ้เบนซ์ แม่ไอ้กายเสียเมื่อวาน” มอสพูดขึ้นเสียงดัง เบนซ์ถึงกับหยุดชะงัก ทั้งวงกลับมาเงียบสนิท อินถึงกับถอนหายใจ และวางตะเกียบลงทันที
   “อ้อ” เบนซ์พ่นลมออกมาเบาๆ
   “กูรู้แล้วว่ามันกลับไปมาไทยช่วงปีที่ผ่านมาอ่ะ เพราะแม่งต้องบินไปหนองคายไปดูแม่มัน” มอสพูดต่อ “กูเจอมันที่สนามบิน ช่วงที่กูก็บินไปเรียนเชียงใหม่”
   “มึงติดต่อกับมันอยู่ตลอดอ่อวะ” โฟล์คถาม
   “ก็เออดิวะ” มอสว่า “กูรู้นะว่าพวกมึงสามตัวโกรธมันอ่ะ โดยเฉพาะมึงไอ้อิน แต่ที่กูเรียกพวกมึงมาเจอกันอ่ะ คือกูจะชวนพวกมึงไปงานศพแม่มันที่หนองคาย อย่างน้อยก็ไปเผาวันพฤหัสนี้”
   เบนซ์เป็นอีกคนที่วางขวดลง ทั้งวงยังคงเงียบสนิท
   “เห้ยไม่เอาดิวะ กลับไปเจอกัน คุยกันให้รู้เรื่อง โตโตกันแล้วนะเว่ย จะโกรธเชี่ยไรกันวะ” มอสว่า “ไอ้เบนซ์ มึงก็ควรไปป่ะวะ มึงไปเรียนกะมันมานะเว่ย มึงจะทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้”
   เบนซ์ถอนหายใจครังหนึ่ง
   “เออ...” เบนซ์ว่า “กูก็นึกแล้วเชียว ว่าทำไมแม่งโทรมชิบ ตอนที่เจอวันรายงานทุน”
   “แล้วมึงไม่เสือกเข้าไปถามไถ่เพื่อนมึงเนอะ ไอ้เวร” มอสว่า “มึงอ่ะโฟล์ค”
   “ก็ได้ เดี๋ยวกูลางานที่ร้านให้” โฟล์คพูดขึ้น “อีกอย่าง กูไม่ใช่คนที่มีปัญหา”
   “มึงอ่ะอิน” มอสหันมาถามเขา
   นี่มันมากไปแล้ว เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อต้องมาตัดสินใจอะไรแบบนี้
   “กู... คือกู....”
   “หึ” โฟล์คหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง โฟล์ครู้สึกหน้าร้อนขึ้นมากกว่าเดิม
   “เห้ย... ไม่เอาดิ” มอสพูดต่อ “เพื่อนกันนะเว่ย”
   “มันไม่อยากไป มึงก็ไม่ต้องไปบังคับมันไอ้มอส” โฟล์คพูดต่อ “มันเริ่มต้นใหม่ไปแล้ว มึงลากมันมานั่งอยู่นี่ได้ มึงต้องขอบคุณมันด้วยซ้ำมั้ง”
   อินเหลือบตาไปมองโฟล์คที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาอีกครั้ง
   “เอ๊า ก็กูอยาก....”
   “เออ...กูจะไป” อินว่า “ถ้าพวกมึงอยากให้กูเคลียร์ เดี๋ยวกูจัดให้ พอใจพวกมึงแล้วช้ะ”
   อินคว้าขวดเบียร์มา แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
...............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 19 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-04-2020 16:54:14
ตอนที่ 20 Swap

อินเดินลงมาจากชั้นสอง หลังจากที่ปาร์ตี้เล็กๆของ Zodiac จบลงแล้ว แต่ทว่าฝนก็ยังตกอยู่ มอสเดินมาเปิดประตูหน้าบ้านของตัวเองออก ขณะที่พวกเขาที่เหลือเดินตามออกมา
   “เชี่ยอิน กูขอบคุณมากนะเว่ย ที่มึงยอมออกมาเจอกู แล้วก็ ยอมไปงาน” มอสว่า
   อินหันหลังกลับมา มองไปยังโฟล์คที่กำลังคุยอยู่กับเบนซ์
   “เออ อย่าลืมส่งทุกอย่างมาละกัน” อินว่า
   “ได้ ไว้ทักไป” มอสพูด “เบนซ์มึงขับรถมาช้ะ”
   “ใช่ๆ เดี๋ยวกูไปก่อน กูมีงานต้องไปเคลียร์ว่ะ” เบนซ์พูด
   “อ่าๆ เจอกันมึง” มอสกล่าวลาเบนซ์ที่ไม่รีรอ วิ่งฝ่าสายฝนออกจากประตูบ้านมอสไปยังฝั่งตรงข้ามที่รถจอดอยู่
   “แม่งพอเรียนจบก่อนคนอื่น ก็ทำงานก่อนเลยว่ะ ไอ้นี่” มอสบ่นขณะมองเบนซ์ขับรถออกไป “ฝนยังตกอยู่เลย อินมึงก็เอารถมานี่ มึงกลับทางไหนวะ ไม่เอาไอ้โฟล์คติดไปด้วยอ่ะ”
   “อ่าหะ....”
   “ไม่ต้องอ่ะ” โฟล์ครีบพูดทันที “มันอยู่คนละทางกะกูแล้ว”
   “เอ๊า นึกว่ามึงจะกลับ ม. มึงกัน” มอสว่า
   “เปล่าอ่ะ เดี๋ยวแฟนกูมารับ” โฟล์คพูดพลางยิ้มให้มอสทันที “อ้ะ... นั่นไง”
   รถคันหนึ่งจอดเทียบที่หน้าบ้านห้องแถวของมอสชิดอยู่กับประตูทันที เมื่อกระจกเปิดออก ใบหน้าของคนที่อินเคยเจอในคืนนั้นปรากฎอยู่ที่เบาะคนขับ
   “โฟล์ค ไปกันยัง”
   “คับพี่บอล” โฟล์ครับคำ “ไว้เจอกันพวกมึง”
   โฟล์คบอกลาทุกคนและเดินตัดผ่านประตูบ้านไป อินหลบสายตาลงขณะที่โฟล์คเดินผ่านเขาไปขึ้นรถคันนั้นก่อนที่มันจะแล่นจากไป
   อินมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างชินชา โดยไม่ทันสังเกตว่ามอสเองกำลังตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเห็นเหมือนกัน
   “เชี่ย” มอสพูดกับตัวเอง ก่อนจะหันมามองอิน ที่ยิ้มให้มอส
   “กู...กลับละ” อินว่าก่อนจะหันหลังเดินออกจากบ้านไป
   “กูว่าไม่ใช่” มอสพูดเสียงดัง “ไม่ใช่แน่ๆ”
   อินหันหลังกลับมามองเพื่อน
   “อะไรไม่ใช่”
   “มันจะมีคนอื่นได้ไง ก็มันชอบมึงอยู่คนเดียว” มอสว่า อินขมวดคิ้วทันที
   “หะ มึง...”
   “เออ กูรู้ ตั้งแต่แรกด้วย” มอสบอกทันที “มันไม่ได้บอกกู แต่กูรู้ กูดูแม่งออกตั้งแต่ที่มันคว้ามึงมาจูบแล้ว ตอน ม.5 มึงจำได้ป่าว”
   อินเงียบสนิททันที พลางเมินหน้าไปทางอื่น
   “อ่อ... นี่คือ ที่มึงอ้ำอึ้งๆกันสองคนตะกี้” มอสเดินมาใกล้อินมากขึ้น “มึงสองตัวคงไม่ได้ยุ่งจนไม่ได้เจอกันจริงๆหรอกมั้งกูว่า”
   มอสมองหน้าอินที่หายใจถี่พลางมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเงียบกันไปพักหนึ่ง
   “อะไร” อินพูดเสียงสั่น
   “กูจำสายตาแบบนี้ได้” มอสว่า “กูเคยเห็นคนที่มีอาการแบบนี้ ที่นี่แหละ เมื่อตอน ม.5 วันที่มึงไปต่อกับเด็กเซนโย แล้วไม่มาบ้านกู”
   อินหลบสายตาลง
   “นี่มึง...ปฏิเสธมัน...” มอสพูดพลางหรี่ตา “ไม่ไม่ไม่ ไม่ง่ายอย่างนั้น มึงมันไอ้ตัวซับซ้อน เชี่ยอิน”
   มอสยังคงมองหน้าอินและประเมิณอะไรบางอย่าง
   “อ่อ... มึงปอด” มอสพูดต่อ
   “มึงว่าไงนะ” อินร้อง
   “มึงไม่กล้าจะเก็บมันไว้” มอสพูด “กูไม่รู้ว่าทำไม แต่มึงกลัว และกูก็ไม่รู้ว่ามึงกลัวเชี่ยไร”
   “มึง...มั่วละ” อินว่า
   “เชี่ยอิน กูรู้สันดานพวกมึงทุกตัว” มอสว่า “กูรู้ว่าต้องดีลกับพวกมึงยังไง ถึงจะกลับมาคุยกันได้ ไม่งั้นกูลากพวกมึงไปจเอไอ้กายที่งานศพเลยก็ได้ แต่กูเอามึงมาเจอกะกูก่อน เพราะกูอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ช่วงที่กูไปเรียนเชียงใหม่ และตอนนี้กูรู้แล้วว่าไอ้โฟล์คคิดผิด”
   มอสเงียบไปพักหนึ่ง
   “มันคงไม่รู้ว่า มันไม่ได้หมดหวังซะทีเดียวแล้วละมั้ง” มอสว่า
   “กูไม่ได้คิด....”
   “มึงไม่ต้องพูดไอ้อิน มึงกลับไปคิดทบทวนดีดี” มอสว่า “กูบอกมึงได้แค่ว่า ที่ไอ้โฟล์คมันทำ ที่มึงทำ เล่นเหี้ยไรใส่กันตอนนี้ พวกมึงหลอกตัวเองกันก็ได้ แต่มึงหลอกเทพมอสไม่ได้คับผม”
   มอสยิ้มกริ่มใส่อิน
   “กลับบ้านดีดีเพื่อน”
.............

   “เสร็จแล้วอาจารย์ก็ถามคำถามผม ตอนแรกผมก็กังวลนะคับ แต่กลายเป็นว่าคำถามอาจารย์เค้าคือว่า โมเดลนี้มีคนสนใจดีลไปหรือยัง ถ้าไม่มีอาจารย์เขาจะขอให้ผมลองไปคุยกับทางลูกค้าที่เขารู้จักดู” เสียงของพีทดังขึ้นที่โต๊ะอาหารกลางบ้าน
   “จริงเหรอ ไม่ใช่ว่ามึงโชว์พราวเองก่อนตอนแรกไม่ใช่อ่อ” อินพูดขณะที่กำลังกดแก้รูปสุดท้ายบนโต๊ะกินข้าว
   “อิจฉาเหรอคับมึง” พีทยักคิ้วให้อินที่ส่ายหน้าให้เขาอย่างเบื่อหน่าย
   “งี้ก็หมายความว่าถ้าพีทเรียนจบ ก็คงได้ไปช่วยงานคุณพ่อแล้วมั้งเนี่ย” แม่ของอินยิ้มกว้างให้ ก่อนจะวางกับข้าวอีกสองจานลงที่โต๊ะ
   “ผมบอกคุณพ่อแล้ว ว่าผมขอไปลุยเรื่องลงทุนดีกว่าน่ะคับ” พีทยิ้มกริ่ม
   “แม่ สรุปนี่พีทมันลูกเพื่อนแม่ หรือลูกแม่กันแน่อ่ะ” อินพูดใส่แม่ของเขา
   “เอ๊า ก็เพื่อนแม่เค้าฝากพีทไว้กับแม่ แม่ก็ต้องดูแลสิ และที่สำคัญ พีทเค้าก็เก่งจะตาย” แม่อินเดินไปโอบตัวพีทเอาไว้ ขณะที่เจ้าตัวหันมายักคิ้วใส่อินด้วยสีหน้ากวน “เราเหอะ พรีเซนต์ไฟนอลเป็นไงบ้าง”
   “โอเคคับ ก็... ดีสำหรับการอดนอนมาสี่วันอ่ะแม่” อินว่า
   “เห้อ ลูกแม่สองคนจะเรียนจบซะที” แม่ของอินนั่งลงและเอื้อมมือมาจับพีทและอินไว้ “มาจ้ะ รีบกิน เดี๋ยวจะเย็น”
   “วันนี้แม่จะออกไปอีกป่ะ” อินถาม
   “อ๋อไปสิ... แม่มีงานต้องไปเคลียร์รอบดึก แต่คงไม่ดึกมากเท่าไหร่หรอก ไม่เกินเที่ยงคืนแม่ก็คงกลับแล้ว” แม่อินว่า “ทำไม จะเอารถไปไหน”
   “เปล่า น้ำมันจะหมดแล้ว แม่อย่าลืมเติมนะ”
   ทั้งคู่ตักอาหารทานกัน ขณะที่เสียงโทรศัพท์ของพีทดังขึ้น เขากดรับทันที
   “ว่าไงพริม” พีทถามขณะที่ฟังพริม เขาหันมาอินครั้งหนึ่ง “อ้อเหรอ... เอ้อ... เหรอ.... ก็...ก็ได้แหละ ไม่ได้ซีเรียส แต่... มันไม่เห็นบอกเลย..... อ่า....อ่า ได้ได้... งั้นไว้เสาร์หน้า โอเค บายคับผม”
   พีทกดวางโทรศัพท์ไป พลางหันมาหาอิน
   “มึงกะเด็กอักษรจะไปหนองคายอ่อ” พีทถามขึ้นทันที อินถึงกับสำลักน้ำเบาๆ
   “หืม... มึงรู้ได้ไง” อินถามต่อ
   “พริมโทรมาบอก ว่าทางเด็กถาปัตย์เขาขอเลื่อนปาร์ตี้ออกไป เพราะเพื่อนฟ้าเค้าไม่ว่าง ต้องไปหนองคายกะมึงอ่ะ” พีทว่า
   “อ้าว อินจะไปหนองคายกะโฟล์คเหรอ” แม่ร้องถาม
   “อ๋อ... เอ่อ... คับแม่ คือ... แม่จำไอ้กายได้ไหม” อินตอบเสียงเรียบ “คือ... แม่มันเสียแล้ว”
   “ตายจริง” แม่อินส่งเสียงเศร้า “แล้ว...สวดกี่วันล่ะเนี่ย”
   “ก็...ผมไม่ชัวร์อ่ะ แต่ ผมกับเพื่อนๆโรงเรียนเก่า จะไปงานเผาเลย ที่หนองคาย บ้านไอ้กายอ่ะแม่” อินว่าก่อนจะหันไปหาพีท “โทษทีที่มันชนปาร์ตี้ แต่เลื่อนไปก่อนก็ทันมั้ง”
   “เออ... ไม่เป็นไรหรอก มึงก็แทนที่จะบอกกูนะ” พีทว่า
   “ก็มัวแต่ยุ่งพรีเซนต์ไง กูก็ลืม” อินตอบ
   “แล้วจองตั๋วอะไรเรียบร้อยหรือยังลูก” แม่ถาม
   “คับ มอสมันจัดการอ่ะแม่ เดี๋ยวมันบอกวันนี้” อินตอบ
   “จะไปแล้วบอกแม่ด้วยนะ แม่อยากฝากเงินช่วยทำบุญ” อินตอบรับขณะที่ตัดข้าวกินต่อ “แล้วพีทล่ะ ได้คุยกับพ่อบ้างหรือเปล่าหึเรา”
   “ก็... คุยคับ พ่อจะกลับจากฝรั่งเศสแล้วคับ หมดโปรเจ็คกับลูกค่าที่โน่นแล้ว เดือนหน้าพ่อก็จะกลับมาดูแลสตูดิโอโฆษณาเค้าที่นี่เหมือนเดิมแล้ว” พีทยิ้มกว้าง
   “เอ๊า งี้พีทก็ต้องไปแล้วสิ” แม่ของอินพูดเสียงเศร้า
   “ก็... อาจจะไม่มั้งคับ” พีทพูดเสียงกวนๆ พลางเหล่มองมาทางอิน “ถ้าแม่ให้ผมอยู่ ผมก็อยากอยู่นะ”
   “โอ๊ย แม่น่ะ ยินดีให้พีทอยู่ได้เสมออยู่แล้ว พ่อเรานั่นแหละ สรุปจะเอายังไงเนี่ย แม่ก็ยังไม่รู้เลย” เธอกล่าว
   “แล้ว...แม่ได้คุยกับคุณพ่อบ้างหรือเปล่าคับ” พีทร้องถาม
   “ก็... ไม่ได้คุยหลายเดือนแล้วจ้ะ ต่างคนต่างยุ่งอ่ะ แต่พัฒน์เค้าก็ฝากให้แม่ดูแลเราดีดีนั่นแหละ” เธอยิ้มให้พีท ขณะที่ยกน้ำขึ้นมาจิบ “แต่จริงๆ ทั้งพีททั้งอิน ถ้าจบสายงานนี้กันทั้งคู่ เรียนจบแล้วก็น่าจะไปทำงานที่เอเจนซี่ของพัฒน์เค้านะ มันชื่อเอ่อ...อะไรนะพีท”
   “Lovable Studio คับ” พีทตอบ
   “นั่นแหละ แม่ว่าพัฒน์เค้าน่าจะอยากได้ทีมโฆษณาดีดีอยู่นะ ว่าไงล่ะอิน” เธอยังคงถามต่อ
   “เอ่อ...ใจเย็นก่อนไหมแม่ ให้พ่อพีทเค้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อินยิ้มเฝื่อนๆ
   “ถ้ามึงจะทำอ่ะ กูช่วยพูดกับพ่อกูได้นะ” พีทหันมาพูดพร้อมรอยยิ้ม
   “อื้อ...ขอบใจ”

..........
   มื้ออาหารเย็นเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่แม่ของอินขับรถออกไปเคลียร์งานกะดึกเหมือนอย่างที่ทำประจำแล้ว อินและพีทก็กำลังช่วยกันล้างจานเหมือนทุกครั้งที่ได้กินอาหารร่วมกัน อินมองจากหน้าต่างครัวออกไป ขณะที่รถของแม่เขาแล่นออกจากบ้าน
   ทันใดนั้นพีทก็กระโจนเข้ามาโอบไหล่เขาไว้จากด้านหลัง
   “เหม่อไรวะมึง” พีทพูดพลางมองตามอินออกไป แม้ว่าใบหน้าของเขาจะใกล้อินมากขึ้นทุกที
   “เปล่า...” อินตัดบท พลางล้านจานต่อ
   “อยากดูแลแม่อ่อ” พีทพูดเหมือนอ่านใจเขาได้เหมือนทุกที อินหันไปมองหน้าพีทที่ยังคงมองตามอินออกไปยังหน้าบ้านที่ว่างเปล่า
   “ก็...นะ” อินพูด​ “มึงก็เห็นอ่ะ แม่กูเค้าสายพลัง เว้นกะเย็นเข้ามาดูแลกูกะมึง แล้วก็ออกไปอีก ทำแบบนี้มา จะสิบปีแล้วอ่ะ”
   “มึงก็จะเรียนจบแล้วไง ทำงานกะพ่อกู มีกูอยู่ด้วย ช่วยมึงดูแลแม่ เจ๋งป่ะ” พีทพูดต่อ
   “ต้องมีมึงด้วยอ่อ” อินหันไปถามเสียงสูง
   “แหงดิ แม่มึงดูแลกูมาตั้งหลายปี ระหว่างที่พ่อกูไปดีลงานที่ฝรั่งเศส แม่มึงก็เหมือนแม่กูคนนึงนะเว่ย” พีทว่า
   “อ่านะ” อินว่า
   “ก็กูไม่มีแม่นี่หว่า มีแม่อย่างแม่มึงก็น่ารักดีนะ” พีทยิ้มกริ่มขณะที่หันมาหาอิน “เอาไง ทำมั้ย เอเจนซี่พ่อกู
   “ยังไม่รู้ว่ะ เหนื่อย อยากพัก” อินพูดจากใจจริง “ยังไม่อยากคิดไรตอนนี้อ่ะ อยากนอน ดูหนัง เหมือนคนพึ่งเรียนจบใหม่เค้าทำกันอ่ะ”
   “โห... แต่อนาคตมันสำคัญน่ะเว่ย เตรียมพร้อมไว้ก็ดี” พีทยังคงพูดจริงจังเหมือนทุกครั้ง
   “เออ อย่าให้เห็นนะว่ามึงลั่นล้าหลังเรียนจบอ่ะ” อินว่าต่อ
   “แล้วคุณอินจะทำไมเหรอคร๊าบ” พีทหันมาทำเสียงล้อเลียน อินส่ายหน้าให้สิ่งนั้นเบาเบา “ก็ถ้ากูจะพักอ่ะ กูก็พักกะมึงนี่แหละ สบายใจสุดละ”
   “ไอ้เวร” อินหัวเราะในลำคอเบาเบา
   “เห้ย... อิน... ถ้ามีอะไรให้กูช่วยมึง ช่วยแม่มึง หรือดูแลที่นี่ มึงบอกกูได้นะเว่ย” พีทพูดเสียงจริงจัง พลางเปลี่ยนมายืนพิงซิงค์ล้างจาน ก่อนจะมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น “มึงไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว บอกกู เดี๋ยวกูจัดการให้ มึงก็รู้ว่ากูเทพ”
   “จริงจังอะไรนักหนาเนี่ยหะ” อินว่า
   “กูจริงจัง กะมึง กะแม่มึง กะที่นี่ กูจริงจังตลอดอ่ะ” พีทว่า “มึงต้องสัญญามา มีอะไรมึงต้องบอกกู โอเคนะ”
   อินมองพีทที่ยิ้มให้เค้าอยู่อย่างนั้น...

   ติ๊ง!!

   เสียงข้อความมือถือดังขึ้น ดึงให้ทั้งคู่มีสติกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เงียบกันไปอยู่นาน อินหยิบมือถือขึ้นมาดูเพื่ออ่านข้อความ

   -MOSS- สรุปที่ไปมี กู มึง แล้วก็เบนซ์กะโบว์น้องสาวมันอยากไปเที่ยวด้วยอ่ะ กูก็เลยจองเพิ่ม แล้วก็เหมือนเชี่ยโฟล์ค แม่งก็เอาแฟนไปด้วยอีก สรุปเป็น 6 ที่นะ

   อินอ่านข้อความพลางถอนหายใจ ก่อนจะหลบตาขึ้นมา เรื่องพวกนี้ชอบทำให้เขารู้สึกอึดอัดทุกทีเลย ให้ตายสิ
   “มีไรวะ” พีทร้องถามขึ้น
   “ช่างเหอะ ก็แค่เรื่อง...” อินหันมาตอบพีท ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก
   จริงสิ...
   “ถ้ามึงจะพัก มึงจะพักกะกูใช่ป่ะ” อินถาม
   “แหงดิ ให้กูไปพักไหนอ่ะ” พีทว่า
   “ไปเที่ยวหนองคายกัน”
   “หืมมมมม”

............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 20 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 07-04-2020 17:03:57
ตอนที่ 21 Recall

การเตรียมตัวสำหรับเดินทางของอินและพีทไม่ได้วุ่นวายมากนัก หลังจากเขาบอกให้มอสจองตั๋วเพิ่มแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น แม่ของเขาขับมาส่งอินและพีทที่สนามบิน เพราะมอสตั้งแต่จองไฟล์ทที่ออกในวันเดียวกันเลย จะได้มีเวลาเตรียมตัวเดินทางจากอุดรธานีไปยังหนองคายซึ่งคงต้องต่อรถกันไป
เมื่อมาถึงสนามบิน อินและพีทไม่มีเวลาอะไรมากนัก เนื่องจากพวกเขาสายเพราะรถติด จึงรีบเช็คอินและวิ่งขึ้นเครื่องกันหน้าตั้ง กว่าจะได้เจอคนอื่นๆก็คือหน้าเกตแล้ว มอสส่ายหน้าให้เขาแว้บหนึ่ง เพราะคิดว่าเขาจะพลาด และเมื่อขึ้นเครื่อง เขาก็พบว่าโฟล์คได้มากับพี่พนักงานบาร์คนนั้น คนที่เขาเคยพบ แต่ไม่ได้ทันจะได้พูดคุยกัน เขาก็ถูกจับแยกไปนั่งอีกที่หนึ่ง
“เห้ย จะนั่งไหม” พีทร้องถาม ขณะที่อินหันไปมองโฟล์คนานเกินไป
“อ๋อโทษที” อินนั่งลงที่ริมหน้าต่าง พลางนั่งลงอย่างใช้ความคิด ขณะที่พีทมองไปรอบๆอย่างงงๆ
“นึกว่าจะมาโฟล์คเค้าสองคนซะอีก” พีทร้องถาม “ใครวะ ไม่รู้จักใครเลย”
“เพื่อนสมัยเรียนอ่ะ โรงเรียนเก่า” อินตอบ
“ก่อนที่จะย้ายมา ม.6 อ่ะนะ”
อินพยักหน้ารับ ก่อนที่พนักงานต้อนรับจะเริ่มแจ้งเรื่องความปลอดภัย และเครื่องก็เริ่มออกเดินทาง
..........
“โอเค งั้นเดี๋ยวพวกกู ออกจากอุดรก่อน แล้วเดี๋ยวยังไงค่อยว่ากันโอเค๊” มอสพูดขณะเดินไปตามทางออกของสนามบิน “อ่าๆ ใจเย็นมึง พวกกูเพิ่งจะมาถึงเนี่ย อ่าๆ ไว้เจอกัน”
“เบนซ์ มันว่าไง” เบนซ์ถามมอส
“เดี๋ยวมีรถตู้มารับ เดี๋ยวพวกเราไปโรงแรมกันก่อน เก็บของให้เสร็จ แล้วค่อยไปวัด” มอสตอบ “แล้วเดี๋ยวเรื่องเที่ยวเชี่ยไรก็ค่อยว่ากันอีกที”
“เอ้อ ยังไม่ได้รู้จักกันเลย แนะนำกันก่อนมั้ย มัวแต่วุ่นๆกันที่สนามบิน” เบนซ์หันไปมองรอบๆ “เอ่อ...เริ่มที่กูก่อนละกัน นี่โบว์ น้องสาวกู”
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวหน้าตาน่ารัก ที่พวกเขาเคยเห็นอยู่ครั้งสองครั้งสมัยเรียน ยกมือไหว้สวัสดีพี่ๆทุกคน “รบกวนด้วยค่ะทุกคน พอดีหนูเบื่อๆ เลยขอติดมาด้วย”
“สบายๆน้อง” มอสกล่าวแช่มชื่น ซึ่งถ้าอินจำไม่ผิด ก็เหมือนว่ามอสก็เคยพยายามจีบเธออยู่พักนึงสมัยที่พวกเขาเรียนกันอยู่เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเบนซ์ก็ไปปารีสซะก่อน แล้วก็แยกย้ายกันไป
“แล้วคุณล่ะครับคุณโฟล์ค” เบนซ์หันไปยังโฟล์คที่เหมือนกับว่าโฟล์คและพี่บอล กำลังชวนกันดูร้านของฝากที่อยู่ไม่ไกลกัน อินหลบสายตามาอย่างอึดอัด เมื่อเห็นทั้งคู่
“เห้ย เพื่อนเรียกคับผม” มอสย้ำอีกครั้ง และนั่นทำให้โฟล์คหันมามองเพื่อนๆ ขณะที่พี่บอลเอามือมาโอบไหล่โฟล์คไว้
“ว....ว่า” โฟล์คร้องถาม
“โอ้โห ขอโทษพี่นิดนึงนะคับ ... ไอ้เวร มึงไม่แนะนำเพื่อนๆหน่อยหะ เออ ไอ้นี่” มอสว่าต่อ
“อ๋อ...โทษที เอ่อ... ทุกคนนี่พี่บอล เค้าเป็นพี่บาร์เทนเดอร์ที่ร้านดาดฟ้าอ่ะ คือกูทำที่นั่นตั้งแต่จบ ม.6 แล้วก็เลย...”
“พี่เป็นแฟนโฟล์คคับ” พี่บอลยิ้มกว้าง ก่อนจะมองไปที่ทุกคน
“อ้ออออ” มอสอ้าปากค้างนิดหน่อย ก่อนที่จะเกิดเสียงเงียบกันทั้งวง “เอ่อ... สวัสดีค้าบ”
มอสได้สติทำลายความเงียบก่อนด้วยการเอ่ยทักทาย ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนกล่าวทักทายตามกันหมด รวมถึงอินที่มองนิ่งๆ และก้มหัวให้นิดหน่อย
“ก็..นั่นแหละ” โฟล์คยิ้มกว้าง ขณะที่มองทุกคนอยู่เช่นกัน
“ขอติดมาด้วยนะ คงเหมือนน้องคนนั้น อยากมาเที่ยวบ้าง” บอลกล่าว “แล้วน้องอ่ะ...อินป่ะ...มากับใครคับเนี่ย”
บอลชี้มายังอินที่ยืนอยู่ตรงนั้น ขณะที่ทุกคนก็มองมา
“เพื่อนภาคมันอ่ะพี่ ชื่อพีท” โฟล์คตอบแทน “เค้าอยู่บ้านเดียวกันด้วย”
“อ้าวเหรอ” มอสหันไปมอง “งั้นก็รุ่นเดียวกันดิ”
“อ่า...ใช่คับ” พีทยิ้มรับ “คือพอดีอินมัน...”
“พีทเป็นแฟนกูเองอ่ะ” อินพูดขึ้นบ้าง และนั่นทำเอาพีทหันไปมองอินและเงียบสนิท ขณะที่มอสทำหน้าเหวอมากขึ้นเป็นสองเท่า
“เอ่อ....”
“ก็คงเหมือนพี่บอล ผมกับมันอยากมาพัก หลังจากปิดพรีเซนต์แล้ว” อินพูดและยิ้มให้โฟล์ค ที่มองมาทางอินด้วยสายตาว่างเปล่า
“โอ้...ดี ดีเลย...งั้น...เอ่อ.... นั่นๆ ...รถตู้มาแล้วคับผม” มอสชี้ไปยังรถตู้ที่กำลังขับมาจอดเทียบ “โชคดีจังมาซะที มามาทุกคน ยกกระเป๋าคับ”
มอสออกคำสั่ง ขณะที่คนอื่นๆหันไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง และเดินไปยังหลังรถ ขณะที่อินพ่นลมหายใจออก และยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
แต่ทว่าพีทก็เอาคางมาวางไว้ที่ไหล่ของเขา
“มึงพูดเองนะ”
อินหันไปมองพีทที่ยิ้มกริ่ม และเดินหยิบกระเป๋าไปขึ้นรถ ขณะที่ทุกๆคนกำลังทยอยขึ้นรถตู้ไป
..........
แม้จะเป็นการเดินทางโดยรถตู้ประบอากาศอย่างดี แต่การเดินทางจากอุดรธานีตรงไปยังหนองคาย และยังต่อไปยังอำเภอบึงกาฬ เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างทรหดเอามาก บนรถตู้ที่มอสและเบนซ์เป็นคนเปิดบทสนทนาอยู่แทบจะตลอดเวลา เพื่อดึงบรรยากาศให้สนุกสนาน อาจจะเพราะมีน้องโบว์ที่มอสก็พยายามแอ๊วเอินเธอไปตลอดทาง และทำให้ทุกอย่างไม่ดูอึดอัดมากเกินไปนัก แต่ดูเหมือนว่าแถวหลังที่ยึดครองโดยโฟล์คและพี่บอลที่อยู่ และอินกับพีทที่อยู่ที่นั่งอยู่แถวกลาง มันกลายเป็นจุดที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
โฟล์คยังคงติดหูฟังเหมือนเก่า ขณะที่เขาแบ่งหูฟังข้างหนึ่งให้กับพี่บอล และก็เหมือนว่าทั้งคู่จะโดนดึงให้ออกไปจากบรรกาศโดยรอบ และจมหายไปกับท้ายรถเสียงอย่างนั้น ขณะที่อินก็ที่พบว่าตัวเองได้รอยยิ้มประหลาดมาจากพีทอยู่ตลอดเวลาที่หันไปเจอ และมันก็ดันทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
เมื่อมาถึงโรงแรม พวกเขาไม่มีเวลาจัดการอะไรกันมา เนื่องจากใกล้เวลาฌาปกิจเข้าไปทุกที ด้วยความเร่งรีบ พวกเขาจึงได้แต่รีบเอากระเป๋าของทุกคนทิ้งไว้ที่ล็อบบี้รวมถึงน้องโบว์ที่ขอตัวอยู่ที่โรงแรมเพื่อดูแลกระเป๋าให้พวกเขา และที่เหลือก็รีบออกจากโรงแรมมาก่อนที่จะได้ขึ้นห้องตัวเองกันด้วยซ้ำ
การมาถึงวัดที่จัดงานนั้นไม่ได้ไกลจากโรงแรมมาก แต่พวกเขาก็ตื่นตากับวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง และงานศพที่จัดอย่างเรียบง่าย เมื่อรถตู้จอดถึงวัด พวกเขาก็เห็นว่ามีกลุ่มคนอยู่ที่ศาลาอยู่ก่อนแล้ว มอสจึงจัดแจงเป็นคนนำเพื่อนๆทุกคนลงไป
“นั่นไงไอ้กาย ไปกัน แต่เดี๋ยว” มอสหันมาหาอิน “มึงจะไม่เปิดช้ะ”
“กูไม่ได้งี่เง่าไอ้สัส” อินย้อนทันที “ให้จบเผาก่อนมั้ย มึงนี่ก็นะ...”
“โอเค๊... มีสติก็ดี ไปพวกมึง” มอสเดินนำหน้าไป ขณะที่พีทมองไปตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดอย่างที่อินไม่เคยเห็นมาก่อน
“มีอะไรเหรอ” อินร้องถาม
“อ๋อ...เปล่า” พีทตอบ “แล้วเอ่อ... เมื่อกี้... มอสเค้าหมายถึงไรอ่อ”
“อ๋อ... ไม่มีไร คือ เพื่อนเรา เจ้าของงานอ่ะ คือ... เคยทะเลาะกัน แต่ก็นานมาแล้วอ่ะ” อินว่า “ที่มานี่ก็... มอสกะให้มาเคลียร์กันด้วย”
“เคลียร์ในงานศพเนี่ยนะ” พีทร้องถาม ขณะที่อินยักไหล่
“ก็ถึงบอกมันตะกี้ไง ให้ไว้ก่อน” อินว่า “ไปเหอะ”
อินเดินนำพีทเข้าไปที่ศาลา ที่ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนกำลังเตรียมที่จะเข้าสู่พิธีฌาปนกิจแล้ว แขกเหรื่อที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ต่างก็เดินไปมากันค่อนข้างวุ่นวาย เขามองเห็นมอสที่กำลังสวมกอดใครคนหนึ่งอยู่ เพื่อนของเขาที่ไม่ได้เจอมาหลายปี ตอนนี้อยู่ในชุดสูทที่ดูดี ดีเสียจนเขานึกว่าเป็นคนละคนกับกายที่เขาเคยรู้จัก แต่ในสภาพที่ดูดีอยู่นั่น สีหน้าของกายดูย่ำแย่ ในตาของมันแดงก่ำขณะที่เขาเดินไปอยู่ใกล้
“ไม่เป็นไรมึง พวกกูมาแล้ว” มอสพูดปลอบเพื่อนที่ยังกอดมันแน่นอยู่อย่างนั้น มอสหันหลังส่งสายตามาหาอิน ที่เกาจมูกตัเองเบาๆขณะที่เดินมาถึงศาลา
มอสทำหน้าตาส่งสัญญาณให้อินเดินเข้ามาใกล้อีก
“ขอบใจมึงมากเว่ยมอส กู... กูขอโทษที่ไม่ได้บอก มึงด้วยโฟล์ค ขอบคุณที่มา” กายพูดเสียงสั่น พลางมองไปยังโฟล์คที่ตบไหล่เขาเบาๆ
“ไม่ใช่แค่พวกกู โน่น..” โฟล์คชี้ให้กายมองมาที่อิน ชายหนุ่มหันหลังกลับมามองอินที่ยืนอยู่ตรงนั้น และแล้วก็เป็นความเงียบอย่างประหลาด
อินมองหน้ากายอยู่อย่างนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอะไรดี ดูเหมือนเรื่องราวในอดีตที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ กำลังผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของความคิด อินถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ขึ้น
“กูเสียใจด้วย” อินพูดเสียงเรียบ
กายยังคงเงียบสนิทขณะที่มองอิน
“ยังไง... ก็ต้อง...มาป่ะวะ” อินพูดต่อ ขณะที่กายหลับตาลง พลางหันกลับมามองมอส
“มึงนัดมันอ่อ” กายพูดต่อเสียงเข้ม
“เห้ย... ไม่เอาดิ มันอยากมาดูมึง มึงก็ใจเย็นเย...”
กายหันไปคว้าตัวอินมากอดไว้อีกคน และนั่นก็เหมือนกับว่า กายกำลังทำลายกำแพงหลายๆอย่างในตัวอินไปจนหมด
“กูขอโทษเว่ย...” กายพูดเสียงสั่น “กูเสียใจ กูไม่น่าทำกับมึงแบบนั้น”
อินยืนตัวสั่น ขณะที่กายยังกอดเขาอยู่
“กูขอโทษอิน”
อินหลับตาลงก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหลังเพื่อน
“เออ..ช่างมัน...กู ไม่ได้คิดไรแล้ว” อินพูดพลางยิ้มให้มอสที่ส่งยิ้มกลับมา อย่างน้อยความตั้งใจของมอสก็สำเร็จไปแล้วเปลาะหนึ่ง Zodiac กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้งแล้ว
กายผละออกจากอิน พลางมองไปที่ทุกคนตรงหน้า
“กู ดีใจที่พวกมึงมากัน กู...” กายยังคงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เสียงสั่น “คือ.... เดี๋ยวจะเอาแม่ไปแล้ว ไว้คุยละกันคืนนี้นะ กูไปหาหลวงลุงก่อน พอดีเอ่อ...ต้อง ...จัดการ”
“เห้ยไม่เป็นไร มึงไปเหอะ พวกกูโอเค” มอสว่าต่อ
“งั้น ดูแลตัวเองแล้วกัน และ...เห้ย....”
กายมองไปยังพีทที่ยืนอยู่ข้างอิน ก่อนจะเดินไปใกล้ๆเขามากขึ้น อินมองตามไป และก็พบว่าพีทเองก็มองหน้ากายด้วยสีหน้าประหลาดอีกแล้ว เหมือนตอนที่ลงจากรถตู้เมื่อกี้
“...พีท...นั่นพีทป้ะ” กายร้องขึ้น
“กายเหรอ...” พีทถามกลับ “กาย ลูกของลุงพอลอ่ะนะ”
“เห...” มอสส่งเสียงขึ้นมาทันที แต่ทว่าทั้งสองคนก็เงียบสนิทใส่กันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางความงงงันของทุกคนตรงหน้า พีทมองไปยังป้ายงานศพก่อนจะเห็นรูปของแม่อินใสกรอบทองนั้น เขามองกลับมาหากายอีกทีนึง
“ป้าแก้วเสียทำไมมึงไม่บอก”
พีทส่งเสียงไปหากาย ขณะที่กายก้มหน้าหลับตาอยู่อย่างนั้น
..............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 21 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-04-2020 21:15:45
ความเล็กน้อยที่เหลือหลาก
กับ
ความมายมากที่หลากหลาย

อย่างไหนกับแน่..ของเพื่อนกลุ่มนี้
ยังรวมถึงคนรอบข้างเข้าไปอีก

ซับซ้อนเหมือนเชือกซ่อนปลาย
หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 21 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 08-04-2020 17:21:14
ตอนที่ 22 Related

ไม่มีใครเข้าใจภาพตรงหน้าเท่าไหร่ พวกเขาที่เหลือกำลังนั่งมองกายและพีทนั่งคุยอยู่กับหลวงลุงที่ดูเหมือนจะเป็นพระที่คอยจัดการเรื่องทุกอย่างอยู่ เพื่อนเตรียมตัวที่จะจัดขบวนเตรียมส่งศพคุณแม่แก้วขึ้นสู่พิธีฌาปณกิจ ตอนนี้ทุกๆคนที่กำลังมองไปตรงหน้า กายและพีท กลายเป็นสองคนที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมงานเสียอย่างนั้น
   “บ้าชิบหาย” มอสพูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนเงียบไปนานตรงเก้าอี้ในศาลา “กู... กู...ไปหาไรกินหลังศาลาละ นัวชิบ”
   มอสส่ายหัวพลางลุกขึ้น และเดินหายไปด้านหลังทันที ขณะที่โฟล์ควางโทรศัพท์และเดินกลับมานั่งอยู่ข้างๆอินและเบนซ์
   “โบว์กับพี่บอลเอากระเป๋าเข้าห้องให้หมดแล้วนะ” โฟล์คว่า “แล้วก็ถ้าพวกเราจะไปกันต่อก็ไปได้เลย พี่บอลจะดูแลโบว์ให้”
   “เออ... ขอบใจ” เบนซ์หันมาพูดกับโฟล์ค “น้าคนขับรถอ่ะ”
   “หลับอยู่อ่ะ ให้แกพัก” โฟล์คตอบ ขณะที่หันมามองอิน “มึงไม่รู้มาก่อนอ่อ”
   อินตกใจเล็กน้อยที่โฟล์คเริ่มต้นบทสนทนาจริงจังกับเขา
   “เรื่องที่มันเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอ่ะนะ...ไม่รู้” อินตอบ
   “ได้ไงวะ มึงเป็นแฟนกันภาษาไร” เบนซ์ยิงคำถามที่ทำเอาอินสะดุ้งเบาๆ เขาเงียบลง ขณะที่โฟล์คหันมามองเขาอย่างเต็มตา อินจึงทำทีเป็นมองไปตรงหน้า
   “กู.... ก็ไม่เคยเล่าเรื่องพวกเราให้พีทฟังอ่ะ” อินตอบ “แล้ว....ทำยังกะ พวกมึงรู้เรื่องไอ้เชี่ยกายดีงั้นเหอะ แม่มันเป็นคนลาว มันเคยบอกพวกมึงป่ะล่ะ”
   อินเงียบเสียงลงขณะที่เขารู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่จากโฟล์ค
   “อ...อะไร” อินหันไปหา
   “อยู่กับพีทเค้ามาสามปี แต่ไม่เคยถามเรื่องครอบครัวงั้นอ่อ” โฟล์คพูดเรียบๆ ก่อนจะมองไปตรงหน้าตามเดิม “ไม่ได้คุยกันเลยรึไง”
   อินถอนหายใจเบาๆ
   “พีทมันไม่ถนัดพูดอ่ะ” อินว่า “มันถนัดใช้การกระทำมากกว่า”
   อินหันไปมองโฟล์คอย่างจงใจ
   “เห้ย พวกนาย มาเหอะ พร้อมแล้ว....อิน” พีทเดินมาถึงจุดที่พวกเขานั่งรออยู่ เป็นการส่งสัญญาณว่าขบวนที่จะเวียนรอบเมรุพร้อมแล้ว พวกเขาลุกขึ้นและเดินตามพีทไป
   บรรยากาศของพิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึก ดูเหมือนว่าแม่ของกาย จะเป็นที่รักของชุมชนโดยรอบ มีแขกเหรื่อที่เป็นคนพื้นที่มาร่วมพิธีกันมากมาย ขณะที่ตัวลูกชายของแม่แก้ว ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพที่ชุดสุภาพดูดีภายนอก ก็ไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่ย่ำแย่ไปได้ มันดูเหมือนกับว่า กายกำลังส่งผ่านความรู้สึกผิดบางอย่างออกมาอยู่อย่างนั้น
   เมื่อเวลาที่ต้องเผาจริง พวกเขาทั้ง 5 ต่างยืนอยู่ข้างๆกาย ชายหนุ่มกำดอกไม้สุดท้ายเอาไว้ในมือ เขาวางมันลงไปในกองไฟ ก่อนที่ประตูเมรุจะปิดลง กายใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองเบาๆก่อนจะเดินจากออกมา มอสเป็นตัวแทนเพื่อนๆทุกคนในการปลอบใจเพื่อน เขาดึงกายมากอดไว้อีกครั้ง ขณะที่เพื่อนๆทุกคนต่างมองกลุ่มควันแห่งความเศร้าโศกนั้นให้ผ่านพ้นไป
   มอสเดินเอาน้ำมาให้กาย ที่นั่งอยู่ในศาลารายล้อมด้วยเพื่อนๆของเขา ขณะที่แขกเหลื่อหลายคนทยอยกลับไปหมดแล้ว เขายังอยู่ที่นี่เพื่อรอเก็บเถ้ากระดูกให้เรียบร้อย ซึ่งกายไม่รอให้ถึงเช้า หลังจากพูดคุยกับหลวงลุงจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอยากจะให้ทุกอย่างจบลงที่วันนี้ไปเลย
   “ดื่มซะหน่อยเพื่อน” มอสยื่นให้ พลางนั่งลงข้างๆ กายยังคงมองไปที่เมรุอยู่อย่างนั้น
   “แน่ใจนะ ว่าไม่ให้โทรบอกพ่ออ่ะ” พีทถามขึ้น กายหันไปหาพีท
   “ไว้ เรียบร้อยทุกอย่างก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” กายพูด “แม่ไม่อยากให้มันวุ่นอ่ะ แล้วถ้าคนฝั่งพ่อมากันหมด เราจัดการไม่ไหว”
   “ก็ได้... แต่ยูโอเคนะ” พีทเอื้อมมือไปแตะลูกพี่ลูกน้องของเขา
   “อืม... ว่าแต่ ยังไงเนี่ยหะ ยูกับเพื่อนไอไปไงมาไงเนี่ย” กายหันไปมาระหว่างพีทและอิน
   “อ๋อ...” พีทหันไปหาอิน ที่หน้าตึงๆด้วยความเก้อเขิน พีทอมยิ้มเบาๆก่อนจะหันกลับมา “ก็พ่อไอไปยุโรป ดีลกับแบรนด์อะไรซักอย่าง ติดสัญญาที่โน่นสามปี เค้าเลยฝากไอไว้กับแม่อินเค้าอ่ะ เราอยู่บ้านเพื่อนยูจนเรียนจบเนี่ย”
   “งี้นี่เอง อาพัฒน์ถึงไปหาไอที่ปารีส ชวนเราไปทำกะเอเจนซี่เค้าไม่หยุดเลย” กายถอนหายใจ “แล้ว... ยังไงวะ ได้กันที่บ้านหรือไง”
   “เอาเข้าไป” อินพูดขึ้น ขณะที่พีทยิ้มกว้าง
   “ก็ประมาณนั้นมั้ง เพื่อนยูน่ารักดี” พีทยิ้มให้อินด้วยสายตาที่ยียวน ขณะที่อินกลับรู้สึกว่าทุกอย่าง มันดูผิดที่ผิดทางไปมาก
   “มึงเหอะ” โฟล์คพูดสวนขึ้นมา “กลับมาไม่บอกพวกกูเลย”
   “เออใช่” เบนซ์รีบเสริม “ มึงเจอกูที่สถานทูตตอนปีกลาย มึงก็ไม่บอก ไม่อะไรกูเลยนะ”
   กายหันไปมองเบนซ์และโฟล์คที่ถามคำถามยิงตรงเข้าไปที่ความคิดของเขา
   “กูไม่รู้จะพูดหรือเจอพวกมึงยังไงอ่ะ” กายหันไปบอกทุกคน “กูผิดไง ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้ แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นเยอะมากกะชีวิตกู กูว่ากูรู้สึกเหมือนตัวเองแม่ง ทำให้คนที่แคร์กูถูกทิ้งไว้ข้างหลังตลอด มันเหมือน...”
   กายหันมาหาอิน
   “เหมือนที่มึงพูดกะกูวันนั้นไว้มันเป็นเรื่องจริง” กายพูดขึ้น “การเดินเร็วของกูไม่ได้ช่วยเหี้ยไรเลย กูยื้อชีวิตใครไว้ก็ไม่ได้...แม้แต่... คนที่กูรักที่สุด”
   และแล้วก็เงียบกันไปพักนึง อินมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่ามอสเองก็หมดปัญญาที่จะพูดอะไรกะกายแล้ว เขาจึงพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม
   “มึงเลือกอะไรไปแล้ว มึงก็ทำได้แค่ไปต่อเว่ย” อินพูดขึ้นทันที “มันไม่มีประโยชน์ที่จะหันหลังกลับไปแก้เรื่องที่มึงแก้ไม่ได้ มึง กู พวกเราทุกคน แม่งก็มีเรื่องที่ต้องเจอ มีคนที่ต้องรับผิดชอบ ความเปลี่ยนแปลงมาเคาะประตูเราทุกวัน มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ คนอื่นๆที่เราก็ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะงั้น ถ้ามึงมัวแต่เดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วต้องเดินถอยกลับมาอีกสองก้าว มึงก็จะไม่ไปไหนป่ะวะ”
   อินพูดขึ้น ทำเอากายหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
   “ที่กูยอมมาหามึงตามไอ้เชี่ยมอสบอก มันไม่ใช่เพราะกูโกรธหรือไม่โกรธมึง แต่ตอนนี้มึงดูพวกเราทุกคนดิ” อินพูดต่อ “ที่กูจะบอกคือมึงไม่ใช่คนเดียว ที่เดินไปข้างหน้า แล้วรู้สึกผิดที่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เผื่อมึงลืม กูก็ทิ้งพวกมึง แล้วก็เดินไปอีกทางเหมือนกันเว่ยไอ้กาย”
   กายยังคงมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
   “แม่มึงให้ชีวิตไปต่อตั้งแต่ให้มึงลงไปเรียนกรุงเทพคนเดียวแต่แรกแล้วไม่ใช่อ่อวะ และนั่นคือเหตุผลที่ชีวิตพามึงไปไกลถึงปารีส” อินพูด “มึงกลับมาส่งเค้า กลับมาทำหน้าที่ลูกที่ดี นั่นแม่งโคตรดีเลยเว่ย และกูก็ชื่นชมมึงมากๆ แต่กูว่ามันหมดเวลาที่มึงจะทบทวนแล้ว มึงต้องไปต่อ เหมือนที่กู ก็อยากจะมาเคลียร์ให้ทุกอย่างมันจบ กูก็จะได้ไปต่อเหมือนกัน”
   อินหันไปมองโฟล์คที่มองเขาด้วยสายตาบางอย่าง สายตาที่มีความรู้สึกบางอย่างส่งมา อินหลบสายตาคู่นั้นไปครู่หนึ่ง
   “ต่อจากนี้ มันคือชีวิตของพวกเรากันเอง ชีวิตมันก็แค่นี้ มึงต้องหาสิ่งที่มีค่าในชีวิตของมึง แล้วรักษามันไว้แล้วอ่ะ” อินว่า “เพราะหลังจากนี้ กูก็จะทำเหมือนกัน มึงเข้าใจใช่มั้ย”
   ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง กายพยักหน้าเบาก่อนจะยิ้มน้อยๆ
   “ขอบใจมึงมากอิน กูขอบใจมึงมาก”
   กายยิ้มให้อิน และรอยยิ้มนั้น ก็เป็นเหมือนยาประสานมิตรภาพระหว่างกันให้สมบูรณ์

...........

   พีทเปิดประตูห้องน้ำออกมา พลางเช็ดผมไปด้วย ขณะที่อินยืนอยู่ที่ระเบียงโรงแรมอย่างเหม่อลอย พีทมองอินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างๆตรงระเบียง อินหันไปมองพีท ก่อนจะยิ้มเบาๆให้ครั้งหนึ่ง แต่พีทยังคงมองอินอยู่อย่างนั้น
   “อะไร” อินถามเสียงเขิน ขณะที่พีทหัวเราะเบาๆ
   “มองแฟนไม่ได้เหรอ” พีทพูดขึ้น
   “หยุดเลย” อินยิ้มเบาๆ
   “กูไม่รู้นะว่ามึงคิดอะไรอยู่ หรืออยากจะแกล้งอะไรใคร แต่.... กูก็ชอบนะ เป็นแฟนมึงเนี่ย” พีทพูดต่อ “แล้วถ้ากูจีบมึงจริงๆขึ้นมา อย่ามางอแงนะครับ”
   “เพ้อเจ้อป่ะ” อินว่า “มึงเอาพริมไปไว้ไหนเหอะ”
   “กะพริมอ่ะนะ หลังเรียนจบจะเป็นไงเหอะ พริมจะไปต่อเมืองนอกนะมึงรู้เปล่า” พีทว่า “แต่กูเผลอๆติดแหง็กอยู่กับมึงต่อ”
   “ก็เลยเปลี่ยนใจมาคบกูงี้” อินถามต่อ
   “หึหึ ก็กูดีแต่อยู่บ้านมึงอ่ะ” พีทว่า “ยังไม่รู้เลยว่าออกไป จะอยู่เองได้ป่าว”
   “ไหนว่าเทพไง” อินว่า “ทุกคนเค้าพูดเหมือนกันหมด ว่ามึงอ่ะเหมาะกับบริหารธุรกิจมากกว่านิเทศน์ มึงคิดอะไรเป็นระบบไปหมด”
   “ทุกคนที่ว่านี่ทุกคนจริงๆ...หรือคำพูดโฟล์คอ่ะ” พีทถามต่อ และยิ้มเฝื่อนๆให้อิน และนั่นทำให้อินเงียบเสียงไป
   “ก็...เอ่อ...ก็คนอื่นด้วย” อินพูดตะกุกตะกัก “พวกที่ถาปัตย์ก็พูด”
   “อ่านะ... แต่ที่มึงพูดกะไอ้กายวันนี้อ่ะ มันดีมากเลยนะเว่ย” พีทพูดต่อ “แต่กูว่า มึงคงไม่ได้จะบอกไอ้กายคนเดียวหรอกมั้ง”
   “ยังไงวะ”
   “มึงมีอะไรกะโฟล์ค มึงก็รีบเคลียร์นะ” พีทพูดต่อ
   “กูไม่ได้มีเรื่องอะไรกะมันพีท” อินว่ากลับ “เอามาจากไหน”
   “ไม่รู้ดิ พฤติกรรมลูกค้า สัญชาติญาณ คิดอะไรเป็นระบบมั้ง” พีทยักคิ้วพลางมองอิน “ถ้าอยู่ดีดีจะมาเป็นแฟนกู มันก็ต้องเพื่อวัดกะใครซักคนที่มีแฟนเหมือนกันละมั้ง”
   อินหันไปมองพีทโดยไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเขามันชัดเจนจนไม่อาจปิดบังได้ พีทหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ขณะเอาผ้าขนหนูพาดบ่า
   “ถ้ามึงอยากไปต่อโดยไม่หันกลับไปข้างหลัง กูอยากให้มึงจบจริงๆนะเว่ย” พีทพูดเรียบๆ “เพราะว่า... ถ้า.... เป็นไปได้ กูก็... อยากจะไปต่อกับมึง แบบไม่อยากให้มึงหันหลังแล้วเหมือนกัน”
   พีทตบไหล่อินเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป โดยทิ้งอินเคว้งคว้างกับความรู้สึกตื้อมึนอยู่ตรงนั้น
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 22 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-04-2020 21:50:56
จะเหนี่ยวรั้ง หรือยั้งยุด ให้หยุดอยู่
หรือปล่อยไป ไม่อยากสู้ รู้ไม่ไหว
จะทำตาม ความคิด ให้เป็นไป
หรือใช้ใจ นำทาง อย่างไหนดี

ก็นะ..แล้วแต่
หุหุ

เลิกลุ้นแล้ว..ปล่อย
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 22 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 09-04-2020 02:07:48
ตอนที่ 23 Tangled

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พีทเดินไปเปิดประตูห้องพัก ก็พบหน้าของเบนซ์ที่ยืนอยู่
“เชิญรวมตัวหน่อยคร้าบ คุยเรื่องแผนพรุ่งนี้” เบนซ์พูดขึ้น ขณะที่พีททำหน้างงๆ
“เอ่อ... อิน...เพื่อนมา” พีทร้องเข้าไปในห้อง อินจึงเดินออกมาจากระเบียง
“คุยเรื่องแผน หรือจะสังสรรค์อีกมึง” อินถามยิ้มๆ “เออ เดี๋ยวกูตามไป ห้องมอสช้ะ”
“ถูกต้องนะคร้าบ เจอกัน”
เบนซ์เดินจากไปแต่พีทก็ยังหันมาหาอินและมองอย่างกวนๆ
“ดื่มไหวอ่อ....”
“โอ่ยยยย เลิกกวนได้แล้ว จะไปด้วยกันมั้ย” อินว่า
“ไปดิๆ”
ไม่นานทั้งคู่ก็ไปสมทบที่ห้องของมอส ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะมารวมตัวกันอยู่ที่นั่นไปแล้ว สายตาของอินจับจ้องไปยังมุมห้องโดยอัตโนมัติ และเห็นพี่บอลกำลังนอนตักโฟล์คอยู่ เขาหลบสายตาไปครู่หนึ่ง แต่ก็เหมือนพีทรู้ใจของเขา จึงเอามือโอบไหล่เขาเข้ามาในห้องทันที
ทั้งคู่หาที่นั่งลงเหมาะๆ ขณะที่มอสก็ไม่รีรอ ยื่นแก้วเหล้าให้อินทันที
“ไม่อ่ะ กูขอผ่าน” อินปฏิเสธทันที ขณะที่นั่งลง
“เอ๊า กูอุตส่าห์ไปซื้อมา” มอสร้อง
“เบียร์แทนดีกว่าคับ” พีทพูดแทน ก่อนที่เบนซ์จะเป็นฝ่ายยื่นมาให้แทน
“แล้วเป็นไงบ้างอ่ะคับ ทุกอย่างโอเคมั้ยที่งาน” พี่บอลเอ่ยถามขึ้น เหมือนว่าในวงกำลังค้างอยู่ที่บทสนทนาที่เกี่ยวกับงานศพ
“ก็โอเคนะพี่ กายมันจัดการแบบง่ายๆไวๆเลยอ่ะ เห็นว่าจะทำที่เก็บกระดูกไว้ที่วัดเลย แล้วก็ได้ยินว่ามันจะยกบ้านเป็นที่ดินของวัดอีก เหมือนแม่มันเขียนพินัยกรรมไว้แบบนั้น” เบนซ์เริ่มอธิบาย
“เพื่อนเราก็นี่ก็เก่งนะ ตัวคนเดียว แต่จัดการทุกอย่างได้หมดเลย” พี่บอลพูดต่อ
“โอ๊ย มันเจ๋งอยู่แล้วพี่ นี่ก็มันกลับมาไทย ก็เห็นว่าคนสนใจตัวมันเข้าทำงานเต็มไปหมดเลย เพราะมันทำแกลอรี่เองที่เบอร์ลินสำเร็จ แถมจบดีไซน์เมเนจเมนต์อีกตัวด้วย” เบนซ์พูดต่อ “ผมนี่แค่เรียนโปรดักส์ดีกรีเดียวก็แทบลากเลือดเลยอ่ะ”
“โฟล์คเล่าให้พี่ฟังว่าเป็นทุนป้ะ เหมือนทั้งประเทศไปได้สามคน” บอลถาม
“ใช่คับ” เบนซ์ตอบ
“แล้ว กาย กับเบนซ์ แล้วใครอีกคนเหรอคับ” บอลถามขึ้น ทำเอาอินเหลือบขึ้นไปมองหน้าโฟล์คเบาๆ ขณะที่ทั้งวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เด็กโรงเรียนอื่นไงพี่ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง” โฟล์คตอบแทน “แต่พวกเราก็ไม่ได้เจอ กายมันก็...ไม่เห็นพูดถึงเลยวันนี้”
“อ่านะ” บอลหันมามองอินแว้บนึง “พี่ก็ลืมไป”
อินมองทั้งโฟล์คและบอลก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบเบาๆ
“มึงดื่มไหวแน่นะ” พีทหันมาถามเขาเสียงดัง พลางโอบไหล่เขาทันทีอย่างที่รู้ได้ว่าจงใจ
“เอ้อ... เบียร์อ่ะได้ ไม่เป็นไร” อินยิ้มตอบ ก่อนที่จะมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
“อ่าวๆ หวานแข่งกันเข้าไป๊” มอสส่งเสียงแทรกขึ้นมา
“มึงจะตะโกนทำเชี่ยไรมอส เบาๆ” เบนซ์ว่า “แล้วไง เรียกมาคุยเรื่องพรุ่งนี้อ่ะ เอาไง”
“ก็เนี่ย... ว่าจะให้คนรถพาไปตระเวนในตลาดหนองคายริมน้ำตอนเช้า แล้วแวะไปหาไอ้กายที่วัดอีกรอบ รับมันกลับมาด้วยแล้วค่อยวนกลับไปอุดร ทีนี้มึงจะเที่ยว จะเชี่ยไรก็เอาเลยเต็มที่ เราจะค้างที่อุดรกันอีกคืน แล้วมะรืนออกตอนสาย จบทริปครับ” มอสว่า
“ก็โอเคนะ” โฟล์คเสริม
“ถึงอุดรแล้วแยกกันได้ป่ะ เผื่อใครอยากไปไหน” อินพูดขึ้น
“ทำไม มึงอยากจะแยกไปกับพีทอ่อ แหม...” มอสชี้หน้าแซว ขณะที่อินกะพีทมองหน้ากันและยิ้มอย่างเก้อเขิน
“ไม่ต้องหรอก” โฟล์คพูดขึ้น “วางตารางดีดีก็ไปได้หมดอ่ะ อยู่ด้วยกันนี่แหละ น้าคนขับรถจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาป่ะวะ”
น้ำเสียงของโฟล์คที่แทรกขึ้นมาบ่งบอกอะไรบางอย่าง มันทำให้อินต้องกลับมารู้สึกเหมือนกับว่าอะไรๆมันกำลังเริ่มต้นอีกแล้ว
“ถามน้องโบว์ก่อนมั้ย เผื่อน้องเค้าอยากไปไหน” อินพูดสวนเสียงเข้มเช่นกัน เพื่อตอบโต้โฟล์คอย่างจงใจ “แล้ว...น้องมึงอ่ะเบนซ์ ไปไหนวะ”
“จะให้น้องกูมาอยู่ท่ามกลางวงเหล้าพวกมึงเนี่ยนะ ตลกละ” เบนซ์ว่า “มันนอนไปแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่าก็ได้ ตอนนี้ให้มันห่างๆไอ้เชี่ยมอสได้ก็ดี สภาพแม่งไม่ไหวป้ะ”
“ทำไมวะ กูมันไม่ดีตรงไหนหะ” มอสเริ่มพูดเสียงดังขึ้น ชัดเจนเลยว่าไปไกลแล้ว
“เบาเบาหน่อยมึง คืนนี้กูยังไม่ได้อยากฉลอง เกรงใจแม่ไอ้กายมันบ้าง” โฟล์ครีบเอ่ยปาก
“เอ๊า ไอ้กายไม่อยู่นี่ อีกอย่างพิธีเสร็จแล้วโว๊ย ก็ต้องอย่างที่ไอ้อินมันว่า” มอสยกแก้วขึ้นและชูให้อิน “ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เราก็ต้องกลับมาใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันให้คุ้ม”
“ใช่อ่อวะ มันพูดงั้นอ่อ” เบนซ์พูดแซวมอสที่เดาว่าคงกึ่มได้ที่แล้ว ขณะที่คนอื่นๆขำตาม
“เออน่า...” มอสยกแก้วขึ้นจบ “มูฟออนงี้ป้ะ กูเก็ทน่ะเว่ย แต่ในฐานะที่กูเป็นคนรวมพวกมึง Zodiac กลับมาได้ กูก็อยากให้พวกมึงดื่มให้กับความหลัง กับเรื่องราวของพวกเรากันหน่อย”
พวกเขาที่เหลือส่ายหน้าให้กับไอ้มอสทันที
“กูไม่รำลึกอะไรกับมึงทั้งนั้นอ่ะมอส จำคำพูดกูยังไม่ถูกเลย” อินแซวต่อ
“มึงอ่ะตัวดีเลยไอ้ตูด” มอสชี้มาที่อิน “มึงแม่งทิ้งพวกกู ทิ้งทุกตัวในนี้เลย ไอ้เวร”
เอาอีกแล้ว บรรยากาศเริ่มดึงกลับไปในจุดที่อินเริ่มอึดอัดอีกครั้ง
“แต่กูว่า ถ้าจะรำลึกความหลังจริงๆอ่ะ เอาให้ครบๆดีกว่ามั้ย แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากที่บ้านมึงป่ะมอส ตอนนั้นก็ฉลองกันสี่คน” โฟล์คพูดขึ้นเพื่อเบาอารมณ์ของมอสลง “เอางี้มั้ย เสาร์หน้า ไปร้านกู พอดีพวกกูกะแกงค์นิเทศน์แล้วก็ถาปัตย์ที่เรียนโฆษณากะเจนเอ็ดด้วยกัน จะฉลองที่เรียนจบกันอ่ะ พวกมึงก็ไปด้วยดิ ปาร์ตี้รวมๆกันไปเลย หนุกดี”
“ไอเดียดีนี่หว่า” มอสเอนตัวไปชี้หน้าโฟล์ค “จัดไปอย่าให้เสียเพื่อน”
“มึงก็น่าจะรู้คำตอบเชี่ยมอสนะโฟล์ค” เบนซ์หันไปพูด
“เออ... กูรู้” โฟล์คพูดขำขำ ก่อนจะหันไปหาพี่บอล “แต่... มันได้ป่ะพี่ จะพอไหม”
“ก็....โฟล์คชวนแล้วนี่ ก็ต้องพอแหละ” บอลพูดเรียบๆ พลางเปลี่ยนจากนอนตักโฟล์คเป็นลุกขึ้นมานั่ง
“เอางั้นก็ดีนะ จะได้รู้จักหมดเลย” พีทว่า “น่าสนุกดีนะมึงว่าป้ะ”
พีทหันหน้ามาหาอิน ที่ตอนนี้เริ่มมีสีหน้าอึดอัด และอยู่ในจุดที่เริ่มจะทนความกดดันตรงหน้าไม่ไหว
“ไม่รู้ดิ ก็... ก็ได้มั้ง” อินพูดเสียงเข้ม “กูไม่ค่อยดื่ม จะที่ไหนก็คงเหมือนกัน
“ไม่เหมือนดิ คนเยอะๆแม่งจะได้เลิกงี่เง่ากันบ้าง” มอสพูดด้วยคำที่ไม่มีสติมากขึ้น “แดกกันแค่นี้มึงกะไอ้เชี่ยโฟล์ค ยังเสือกเล่นเหี้ยไรกันไม่รู้ มีแฟนประชดกันเฉย”
คำพูดอันสิ้นสติของมอสดึงบรรยากาศของวงให้เงียบขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว สายตาของคนสี่คนมองหน้ากันไปมา ระหว่างอิน โฟล์ค พีท และพี่บอล โฟล์คหายใจแรง ขณะที่บอลหันไปมองเขา เช่นเดียวกับอินที่ก้มหน้าลงมองขวดเบียร์อยู่อย่างนั้น แม้ว่ามือของพีทจะบีบไหล่เขาไว้จนแน่น
“พี่... พี่ง่วงละ พี่ไปนอนก่อนนะโฟล์ค” บอลพูดขึ้น “พี่ขอตัวก่อนนะคับทุกคน”
พี่บอลลุกขึ้น และเดินตัดวงออกไปโดยไม่รีรอ โฟล์คเงียบเสียงลงขณะที่มองพี่บอลเดินออกไป การกระทำที่ดูปกติของพี่บอลนั้น มันกลับไม่ได้ทำให้อะไรปกติขึ้นเลย
“เอ่อ... ดื่มเลย ดื่มกัน” พีทพูดแก้เก้อขึ้นมา พลางยกขวดชนกับเบนซ์ที่ดูจะงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่มอสเริ่มพิงหลังไปมองหน้าโฟล์คด้วยสีหน้าแดงก่ำและไม่พูดอะไรเลย
อินเงียบและกำขวดในมือจนแน่น และเมื่อความรู้สึกมันปะทุขึ้น เขาไม่รอช้าและรีบลุกขึ้นและออกจากห้องไปอีกคน
.................
ความรู้สึกหงุดหงิดของเขาดังพลุ่งพล่านขึ้นในหัว ถึงแม้ว่าเขาจะอยากเคลียร์กับกาย เพื่อให้กลุ่ม Zodiac กลับมาประสานกันได้เหมือนเดิมตามที่มอสว่า แต่การที่มอสมันรุกล้ำเข้ามาในเรื่องพวกนี้อีก มันทำให้เขาทนไม่ได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ถ้าทุกคนยังพยายามลากเขากลับไปหามันอีก เขาจะไม่ได้ไปต่อซะที
มันไม่มีประโยชน์ที่จะหันหลังกลับไปต่ออีก
อินเดินไปตามระเบียงทางเดินของโรงแรม จนกระทั่งไปถึงห้องของตัวเอง เขาหลับตาลงก่อนจะตั้งสติ และเปิดประตูห้องเข้าไป
แต่ทันใดนั้น ร่างๆหนึ่งก็เปิดประตูตามเข้ามา และผลักตัวเขาไปชิดตู้ที่อยู่ริมประตู ก่อนที่จะปิดประตูห้องและล็อคลงทันที ร่างๆนั้นคร่อมตัวของอินอยู่ด้วยใบหน้าแดงก่ำและหอบถี่ อินมองใบหน้าคู่นั้นกลับไปอย่างคุ้นเคยดี
“มึงต้องการอะไร” เสียงของโฟล์คสั่นรัว กลิ่นของเบียร์คละคลุ้งออกมาจากลมหายใจจนอินรู้สึกได้
“ก...กูเปล่า”
ปึ๊ง!!!
“อย่ามาโกหกกู” โฟล์คทุบตู้ด้านหลังของอินเสียงดัง พร้อมกับพูดเสียงดังจนอินต้องหลับตาลง “ทั้งหมดนี่ มึงต้องการเล่นกับความรู้สึกกูอ่อ มึงทำไปเพราะอยากปั่นหัวกูอ่อหะ”
อินยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น
“มึงบอกกูเองไม่ใช่อ่อวะ ว่าขาดกันไปแล้วก็ขาดกันไปเลยอ่ะ แล้วมึงมาทำเหี้ยไร” โฟล์คพูดเสียงสั่นขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาเริ่มเอ่อไปด้วยน้ำใสใส “กูทำตามที่มึงขอแล้วอ่ะ แล้ว...แล้วทั้งหมดนี่คือไรวะ”
อินมองหน้าโฟล์ค เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะพูดสิ่งที่อยู่ข้างในทั้งหมดออกไปยังไง
“กูเริ่มต้นใหม่ไปแล้วอย่างมึงขอแล้วอ่ะอิน กูทำให้มึงแล้วอ่ะ” โฟล์คตัวเริ่มสั่นเทาขณะที่เริ่มร้องไห้ เขากัดฟันและจ้องไปหาอินมากขึ้น “มึงอยากให้กูทำอะไรอีก มึงบอกกูมาเหอะ แต่อย่าทำกูเจ็บแบบนี้ กูขอทีเหอะนะ กูก็มีความรู้สึกนะเว่ย”
อินมองหน้าโฟล์คที่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอยู่อย่างนั้น
“แล้วมึงคิดว่ากูไม่รู้สึกเหรอ” อินว่ากลับทันที “มันก็ ...ก็ใช่ไง กู....ก็ไม่...ไม่ได้ว่าอะไร...ที่มึงเริ่มต้นใหม่แล้ว...ก็...ก็ดีแล้ว ก็ดีแล้วไง”
อินเป็นฝ่ายร้องไห้ออกมาบ้าง
“นี่ไง ชีวิตที่ควรเป็นอ่ะ” อินพูด “มึงกะเค้า...ก็...ก็ดีอ่ะ ดีเหี้ยๆเลย ส่วนกูกะมัน ก็...มันก็โคตรดีเลย”
“มึงไม่ต้องพูด กูไม่ได้อยากรู้” โฟล์คพูดทั้งน้ำตา
“กูมานี่ ก็เพราะกูอยากเคลียร์กับไอ้กาย แล้วหลังจากนี้ พวกเราจะได้ไปในทางอย่างที่ควรจะไป” อินพูดต่อ “เส้นทางที่มึงต้องไป และกูต้องไปไง... เส้นทางที่ไม่ได้มีเราไงโฟล์ค”
“มึงบอกไอ้กายไปแบบนั้น เพราะมึงก็อยากให้กูกะมึงเป็นอย่างนั้นใช่มั้ย” โฟล์คว่า
“ช...ใช่” อินพูด “มัน...ต้องเป็นแบบนั้น เพราะว่า...กูไม่ได้อ่อนแอ และมึง ก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาดูแลกู กูอยู่ของกูได้ และพีทมันก็ไม่ได้ทำให้กูรู้สึกอ่อนแอด้วย ส่วนมึง กูก็เห็นว่ามึงก็โคตรดีไม่ใช่อ่อวะ ที่มีพี่บอลเค้าดูแลมึงอ่ะ มึงอ่ะนะ...จะดูแลกู... มึงยังต้องอยู่ช่วยงานเค้าที่ร้านอยู่เลยโฟล์ค มึงจะเอาอะไรมาดูแลกู”
โฟล์คเม้มปากตัวเองพลางกำมือแน่น
“โอเค มึงมานี่เพราะอยากสะสางเรื่องที่ค้างคาให้จบใช่มั้ย” โฟล์คว่า “ทั้งหมดนี่มึงทำเพราะแค่นั้นใช่มั้ย...ได้”
“ใช่ กูจบกะไอ้กายแล้ว”
“งั้นตอนนี้ มึงมาสะสางเรื่องของกูบ้าง”
โฟล์คคว้าตัวอินมาจูบอีกครั้ง และครั้งนี้อินไม่อาจจะต้านทานความรู้สึกใดใดได้อีกแล้ว โฟล์คที่เหมือนกับว่าจะไม่สามารถคุมตัวเองได้อีก ถาโถมตัวเองเข้าใส่อิน เขาปลดเสื้อเชิ๊ตตัวเองออก พร้อมๆกับเลิกเสื้อของอินขึ้น กลิ่นแอลกอฮอล์จากโฟล์ค บวกกับความรู้สึกที่สั่นไหว ทำให้ทั้งคู่สั่นสะท้านกับความต้องการที่พลุ่งพล่าน โฟล์คคว้าตัวอินแล้วผลักลงกับเตียง ขณะที่ตัวเองปลดกางเกงยีนส์ของตัวเองออก และกระโจนเข้าใส่ตัวอินที่ปลดปล่อยร่างกายไว้อยู่อย่างนั้น
โฟล์คกดตัวอินไว้ครู่หนึ่งพลางมองเข้าไปในตาอินที่ล่องลอยแต่ก็ยังซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้
“กูจะถือว่านี่ เป็นคำตอบของมึงแล้วนะ” โฟล์คพูดด้วยเสียงหื่นกระหาย
“กู...ก็ไม่เคยปฏิเสธป่ะ” อินว่า
“ดี...มึงพูดแล้วนะ”
โฟล์คก้มตัวลงหาอิน และมันก็เหมือนเป็นหลุมลึกที่ดูดทั้งคู่ลงไปในห้วงอารมณ์ที่ร้อนแรงและลึกซึ้ง เมื่อโฟล์คเป็นผู้เกมส์อย่างรู้งาน ขณะที่อินก็สอดรับอย่างล่องลอย ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้ตัวว่า ความรู้สึกใดใดที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงของทั้งคู่ มันเอ่อล้นทะลัก และทลายกำแพงที่ขวางกั้นทั้งหมดออกไป ในขณะทั้งสองฝ่ายได้ปลดปล่อยตัวเองเข้ากันอยู่ในค่ำคืนที่เงียบงัน
.............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 23 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-04-2020 18:18:23
สงครามสงบ
จบกันที่เตียง

 :oo1:
หุหุ


รออ่านให้ถึงตอนนี้เร็วๆ
ฮ่าฮ่า..สมใจอ่ะ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 23 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 09-04-2020 18:38:28
ตอนที่ 24 Keep Your Eyes Open

โฟล์คลืมตาตื่นขึ้นในสภาพที่ร่างกายเปลือยเปล่า เหมือนการตกลงไปในห้วงความรู้สึกที่ดำมืดทำให้เขาสูญเสียพลังและสติในหัวออกไปมาก โฟล์คหายใจหอบถี่ขณะที่ตัวเองค่อยๆลุกขึ้นนั่ง เขามองไปข้างๆ ก็พบกับอินที่นั่งอยู่ข้างเตียงอยู่ก่อนแล้ว ม่านห้องพักที่แง้มออก เผยให้เห็นว่าสายฝนกำลังกระหน่ำสาดเข้ามา และท้องทุ่งที่มืดมิดภายนอก เป็นภาพที่ไม่เห็นแม้แต่อะไรที่อยู่ไกลออกไป
โฟล์คมองอินที่นั่งกอดเข่าบนเก้าอี้อยู่อย่างนั้น เขาจับหัวตัวเองที่ตื้อมึนเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเอาเสื้อผ้าที่กองอยู่ข้างเตียงลุกขึ้นมาใส่อยากลวกๆ พลางหยิบเสื้อผ้าของอินขึ้นมาด้วย โฟล์คเดินอ้อมเตียงไปยังเก้าอี้ริมหน้าต่างที่อินนั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงนั้น ก่อนจะยื่นเสื้อผ้าให้อิน แต่อินก็ยังคงมองไปข้างนอก
“ข้างนอกฝนตก” อินพูดเสียงเรียบ
โฟล์คหันไปมองตาม
“อืม” โฟล์ครับเรียบๆ “ใส่เหอะ เดี๋ยวพีทกลับมา”
อินยังคงเงียบ โฟล์คจึงได้แต่วางเสื้อผ้าลงไว้ข้างๆ พลางนั่งยองๆลงกับพื้นข้างๆเก้าอี้ของอิน เขาก้มหน้าลง เพื่อหาคำพูดที่เหมาะสม
“เจ็บหรือเปล่า” โฟล์คถามเบาๆ อินส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ “โอเค... กู... คือกูอยากจะขอโทษ ถ้าเกิดว่าเมื่อกี้กู...”
โฟล์คมองหน้าอินที่ยังคงมองไปข้างนอกอยู่อย่างนั้น
“กูไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องมองกูแบบนั้น” อินพูดต่อ “ไปเหอะ เดี๋ยวพี่บอลถามหา...
โฟล์คยื่นหน้าเข้าไปจูบอินอีกครั้งทันที ทั้งคู่หลับตาจูบกันอยู่อย่างนั้น จูบที่ต่างจากช่วงเวลาอันร้อนแรงก่อนหน้านี้ มันคือจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและสั่นไหว โฟล์คและอินต่างรู้สึกว่าอยากขอหยุดเวลาตรงนี้เอาไว้ ยื้อเวลาจูบนี้ไว้ให้นานแสนนาน
ทั้งคู่ผละหน้าออกจากกัน ก่อนจะมองกันอยู่อย่างนั้น
“กู... กู...ไปละ”
โฟล์คหักความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตรงไปยังประตูห้องทันที ขณะที่อินก้มหน้าลงและร้องไห้อยู่อย่างนั้น เสียงสะอื้นของอินทำเอาโฟล์คหยุดชะงัก เขากำมือไว้แน่นจนเจ็บ ความรู้สึกของเขาทั้งคู่ไม่ได้ต่างกันเลยซักนิด เขาหลับตาลงก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องทันที
ร่างๆหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องด้วยท่าทีนิ่งสงบ โฟล์คตกใจชะงักไปพักหนึ่ง ขณะที่พีทมองเสื้อเชิ๊ตที่ไม่ติดกระดุมของโฟล์ค ก่อนจะมองหน้าของโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“พีท...” โฟล์คพูดออกมาเบาๆ
“ผม... เข้าไปได้หรือยัง” พีทยิ้มถามเบาๆ
โฟล์คก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดมหันต์ ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนจะหลบตัวหลีกทางให้พีทเดินเข้าไปในห้อง ก่อนที่เขาจะมองพีทปิดประตูห้องพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเสียงปิดประตูห้องดับลง ก็ทิ้งไว้เพียงความเงียบของโฟล์คอยู่อย่างนั้น
พีทเดินเข้ามาในห้อง มองสภาพเตียง และทุกๆอย่างโดบรอบ แม้ว่าทันทีที่พีทเข้ามาอินยังอยู่ในสภาพที่น่ากระอักกระอ่วน อินคว้าอะไรไม่ได้ทันไปมากกว่าหยิบชั้นในมาสวมโดยทิ้งเสื้อผ้าอื่นๆไว้ข้างเตียง
พีทถอนหายใจพลางนั่งลงที่ปลายเตียงและหันหลังให้กับอิน
“ทุกคน...ก็จะเข้าใจว่า ต่างคนต่างแยกไปห้องตัวเอง เพราะก็เมากันหมด” พีทพูดขึ้นเรียบๆ “ทางพี่เค้าก็จะเข้าใจว่า มันหลับอยู่ที่ห้องไอ้มอสปาร์ตี้กันจนดึก น็อค กลับห้องไม่ไหว”
อินยังคงซบหน้าลงไปที่เข่า ขณะที่ปล่อยให้คำพูดของพีทผ่านเข้ามา
“ส่วนกูก็จะเมาอยู่ห้องนั้นพักใหญ่ พาตัวเองกลับมานี่ แล้วก็... เห็นมึงหลับไปแล้ว” พีทพูดต่อ “มันจะต้องแบบนี้ ถูกป่ะ ถึงจะวินวินกันทุกฝ่าย”
อินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะปาดน้ำตาและควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
“กู.. กู...ขอ...ขอโทษมึงด้วยนะ” อินพูดเสียงสั่น ขณะปาดน้ำตาออกจากใบหน้า “ขอโทษ...ที่ ที่ลากมึงเข้ามาในเรื่องเหี้ยๆพวกนี้”
พีทยิ้มให้ตัวเองเบาๆ
“ตอนนี้กูรู้สึกแย่กับตัวเองเหี้ยๆเลย ที่ปล่อยให้แม่งเกิดขึ้น” อินว่า “แม่งควรง่ายกว่านี้ มันควรจะเป็นทริปที่ง่ายกว่านี้ ไม่ใช่ให้กูมาแบกเรื่องเหี้ยนี่เพิ่มอีกอ่ะ”
“หรือบางที มึงอาจจะไม่ได้แบกอะไรเพิ่มป่ะ” พีทว่า “มันอาจจะ อยู่กับมึงมาแต่แรกแล้วก็ได้”
อินเงียบเสียงไปทันที
“คำถามสำคัญก็คือ... จบมั้ย” พีทหันไปหาอินในที่สุด
แต่อินยังคงเงียบสนิท พีทมองอินอย่างเข้าใจก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาอินใกล้ๆ อินเหลือบมองพีทที่ยืนอยู่ข้างเขา มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง
“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ก็ค่อยว่ากัน” พีทเม้มปากเบาๆ พลางก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าของอินที่วางอยู่ข้างๆ “ก่อนอื่นกูว่า... มึงลุกไปอาบน้ำ แล้วนอนเหอะ พรุ่งนี้เราออกกันแต่เช้า”
อินพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน และรับเสื้อผ้ามาจากพีท
“นี่กู... แอบพาชู้มาที่ห้องถูกมะ” อินพูดพลางพยายามยิ้มให้พีท ที่หัวเราะเบาๆอย่างไม่ค่อยจะไปด้วยกันกับสีหน้านัก
“ถ้ายึดตามที่เห็นก็ใช่อ่ะนะ” พีทว่า “ซึ่ง...ตะกี้กูก็ควรต่อยมันด้วยป้ะ ซักหมัดสองหมัด ไม่ก็ อัดคลิปลงโซเชี่ยล”
อินก้มหน้าลง เหมือนกับว่าความรู้สึกผิด มันเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้
“ไม่เอาดิ พอได้แล้ว ลืมตาเหอะ” พีทว่า “กูบอกมึงไปแล้วอ่ะ มีอะไรกูช่วยหมด กูไม่เป็นไร กูอยู่กะมึงได้ ไม่มีปัญหา”
“มึงรับกูได้อ่อหะ” อินพูดต่อ
“ไม่อ่ะ” พีทพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เพราะ...กูจะรุก”
อินยิ้มเบาๆก่อนจะต่อยเข้าที่แขนของพีทครั้งหนึ่ง พีทส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้กับอิน
พีททำได้อีกแล้ว การจัดลำดับความคิดอย่างเป็นระบบของพีท ทำให้อินรู้สึกว่าเขาไม่ต้องจมดิ่งลงไปในห้วงอารมณ์ที่อ่อนไหวและไร้หนทาง ฝนที่ด้านนอกซาลงแล้ว และเขาก็พบว่ามันคือสิ่งที่เขาสบายใจ อบอุ่นใจทุกครั้งที่มีพีทอยู่
“ไว้คราวหน้าละกันนะ” อินพูดขำขำ ก่อนจะเอาหัวไปชนหน้าอกของพีท ชายหนุ่มโอบตัวอินไว้และลูบไหล่เขาเบาๆ
“อย่าคิดมากน่า ไปอาบน้ำไป” พีทตบไหล่ ขณะที่อินเดินไปอาบน้ำอย่างเงียบเชียบ ขณะที่พีทถอนหายใจกับตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่ข้างเตียงและจะปิดไฟนอนไปก่อนโดยไม่รอ
.............
“พิพิธภัณฑ์บ้านเชียงทำกูรู้สึกแก่เลยว่ะ” มอสพูดขึ้นขณะนั่งอยู่ที่เกต “คือมนุษย์โบราณตายตอนอายุ 30 นี่หมายความว่าพวกมึงกะกูนี่คือแก่แล้วนะ มนุษย์เมื่อก่อน 14 หรือ 15 มีลูกกันแล้วด้วยไง”
“ทำไม มึงจะมีลูกตอนนี้เลยอ่อหะ” กายพูดยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพลาง
“โห กูก็อยากมีแฟนป่ะวะ” มอสว่า “กูหล่อไม่ได้แพ้มึงเลยเชี่ยกาย ไม่ต้องเลย”
“พี่มอสยังไม่มีแฟนเหรอคะ” โบว์ถามเสียงชื่นมื่น ขณะที่คนอื่นๆหัวเราะตาม
“ยังคับผม ก็พยายามหาดูอยู่คับ แถวๆนี้แหละ” มอสส่งเสียงอ่อนหวาน
“พอเลยๆ ไอ้เวร” เบนซ์รีบออกตัวกันน้องสาวของเขาทันที ขณะที่โบว์หัวเราะเสียงใส “มึงนี่ก็ชงเหลือเกินนะ”
“แล้วมึงยังไงต่ออ่ะเบนซ์ กลับกรุงเทพไปทำไรวะตอนนี้” กายเริ่มถาม
“เฟอร์นิเจอร์คับ กับไอดีไซน์” เบนซ์ว่า
“โห ไอดีไซน์เลยอ่อ” กายร้องถาม “เล่นตัวท็อปเลยอ่อวะ”
“ก็เค้ามาดูตัวกูไว้ตั้งแต่ที่โน่นแล้วอ่ะ ก็เลยตกลงไป” เบนซ์ตอบ “มึงอ่ะ เห็นว่า B.A.D Award ปีหน้า มีเอเจนซี่ตามตัวมึงกันให้ควัก”
“โห กูยังไม่ขนาดนั้นหรอก เพิ่งเรียนจบมาครึ่งปีเอง อยากลองอะไรไปเยอะๆก่อนอ่ะ” กายพูด
“ใช่อ่อวะ” พีทพูดขึ้นทันที ทำเอาอินที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับเหล่มอง “เท่าที่ได้ยินมา คนในแวดวงโฆษณาเค้าบอกว่าทักษะยูร้ายกาจมาก ที่ไปดีลกับสถาปนิกรายใหญ่ได้ที่เบอร์ลินอ่ะ จนได้เลื่อนเป็นมาสเตอร์ทางด้านช่างภาพทั้งๆที่เพิ่งเรียนจบ”
“ยูไปได้ยินมาจากไหน” กายหันไปบอก
“พ่อยูเล่าให้พ่อไอฟัง” พีทตอบ “พอดี เมื่อวานไอโทรไปหาพ่อไอแล้ว”
“อ่อ...ก็... มันดีลได้เฉยๆ มันก็ทำ” กายว่า
“จริงอ่อวะ จอห์นพอล ที่ทำแบรนด์ดีไซน์ที่นั่นอ่ะนะ เห้ย เค้าว่าแม่งเรื่องเยอะสัสเลยนะเว่ย มึงดีลได้ไงวะ” เบนซ์ร้องถาม
กายยักไหล่อย่างเสียไม่ได้
“กูมีเวทย์มนต์ไง” กายยิ้มกว้าง
“เยดเข้ ไม้กายสิทธิ์งี้ ว่าไปนั่น” มอสยังคงส่งเสียงฮาเหมือนเดิม “แล้วไอ้โฟล์คกับพี่บอลหายไปไหนวะเนี่ย เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก”
อินถอนหายใจให้กับเสียงของมอส ขณะเช็ครูปในกล้องที่พวกเขาไปเที่ยวกันมา ตั้งแต่ออกจากหนองคายและไปรับไอ้กายมา ทุกคนก็สลบบนรถตู้กันหมด กว่าจะตาสว่างตื่นกันอีกทีก็อุดรแล้ว และเหมือนว่าไอเดียของอินจะได้ผล พวกเขาแยกกันไปเที่ยว แล้วค่อยกลับมาเจอกัน และนั่นหมายความว่าทันทีที่ก้าวขาลงที่ตัวเมืองอุดร โฟล์คและพี่บอล ก็ขอแยกไปกันสองคน
“โอเคมั้ย” พีทหันมาถามอินที่เห็นเขาเงียบไปนาน
“อื้อ... โอเค” อินยิ้มให้กับพีท
เมื่อถึงเวลาเช้า อินที่หลับฟุบไปกับโซฟา ก็พบว่าพีทเป็นคนปลุกเขา และแอบเอาอาหารเช้าสั่งขึ้นมาบนห้องให้เขาด้วย เรื่องราวของเมื่อคืนนี้ เงียบงันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และดูเหมือนว่าพีทจะทำให้มันเป็นเช่นนั้นอย่างง่ายดาย
“โน่น มาโน่นละ” กายชี้ไปที่โฟล์คและบอลที่เดินมาด้วยกันด้วยสีหน้าสดใส พร้อมกับข้าวของถุงใหญ่
“โอ้โหไอ้เวร กูนึกว่ามึงตกเครื่องแน่ละ” มอสว่า “ไปไหนกันมาครับเนี่ย”
“พิพิทภัณฑ์คอมมิวนิสต์” โฟล์คว่า “กูอยากไปอ่านปรัชญาน่ะ ก็เลยไป”
“เอ๊าไอ้นี่ เรียนจบแล้วก็ยังหาเรื่องเนอะ” มอสแซวต่อ
“ไม่แต่พี่บอลก็สนุกนะ ไม่ใช่อ่อคับ” โฟล์คหันไปยิ้มให้
“อื้อ ก็ดีนะ ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้เยอะเลย” พี่บอลพูดพลางมองมาที่อินแว้บหนึ่ง “แต่พอดีเราตะลอนซื้อของฝากน่ะ แล้วก็ไปนั่งเล่นกันที่เป็ดเหลืองด้วย โทษทีที่ช้านะ เราหารถมาสนามบินยาก ก็เลยงงๆกันหน่อย”
“ไม่เป็นไรค้าบ” มอสพูดต่อ
เสียงประกาศของสายการบินเรียกให้พวกเขาตื่นตัว มอสจึงลุกขึ้นและทำท่าทีจริงจัง
“เอาล่ะ กูขอพูดปิดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง กูดีใจ ที่เจอพวกมึงที่นี่นะ ไป... กลับกันครับผม” มอสพูด
“เสาร์หน้าเจอกัน ร้านไอ้เชี่ยโฟล์คนะ อย่าลืม... อิน ไปนะ” เบนซ์หันมาชี้
อินยักคิ้วให้ ก่อนที่คนอื่นๆจะเดินนำหน้าไปที่เกต การเดินทางอันสุดอึดอัดนี้จบลงแล้ว แม้ว่ามันจะทำให้อินรู้สึกโหวงข้างในอย่างประหลาด แต่มันก็ดีเท่าที่จะเป็นได้แล้ว
โฟล์คเหลียวหลังหันมามองเขาแว้บหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าประตูหายไปพร้อมกับมอสและกาย รวมถึงพีทที่ตามไปสมทบกับลูกพี่ลูกน้องของเขา อินจึงเดินตามเข้าไป แต่ทันใดนั้น ร่างๆหนึ่งก็มาขวางเขาไว้ทันที
“คับพี่บอล” อินร้องขึ้น ขณะที่พี่บอลมองหน้าของเขา
“ทริปนี้โอเคแล้วใช่ป่ะ ที่ได้กลับมาเจอเพื่อนๆครบแกงค์อ่ะ” พี่บอลถามขึ้น
“เอ่อ...คับ” อินตอบด้วยความงงงวย “ก็คับ...ไม่ขึ้นเครื่องเหรอพี่”
“มันโอเคแล้วถูกป่ะ เราอยากได้อย่างที่เราต้องการแล้วใช่ป่ะ” บอลพูดต่อ และนั่นทำให้อินรู้สึกถึงอะไรบางอย่างอีกครั้ง ขณะที่บอลพยักหน้ากับตัวเองพลางมองไปทางอื่น
“ถ้าไม่ว่าง ไม่ต้องมาก็ได้นะ เสาร์หน้าอ่ะ”
บอลพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินหันหลังขึ้นเครื่องไปทันที
..............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 24 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-04-2020 01:33:57
แรงงงงงงงงงงงง
พี่บอลหึงเป็นจริงเป็นจัง
หึงโฟล์ค จริงๆใช่ไหม

เวรกรรม
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 24 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 10-04-2020 17:41:48
ตอนที่ 23 Reunion

การทำเอกสารเรื่องจบการศึกษา ทำเอาอินหมดพลังงาน ความวุ่นวายหลังจากกลับมาจากหนองคายหลังจากที่ส่งโปรเจ็คหมดแล้วมันหลอกหลอนเขาเอามากๆ ขนาดพีทเองที่ว่ามีความคิดเป็นระบบ และตารางชีวิตได้ดี ยังออกปากบ่นว่าเอกสารและการจัดการเรื่องการเรียนจบก็ค่อนข้างวุ่นวาย อาจจะมีเพียงพริมที่ไปไกลแล้ว เธอใช้เวลาช่วงที่อินและพีทไปหนองคาย วิ่งวุ่นจัดการจนเสร็จสรรพ แถมมีเวลาไปสัมภาษณ์ชิงทุน ป.โท อีกเสียด้วย ซึ่งพีทก็ถึงกับต้องยอมคารวะกับความไวดั่งปีศาจของเธออีกคน
“นี่ก็เหมือนว่าพริมจะอยู่แค่ปาร์ตี้เรานี่แหละ แล้วเธอก็จะไปต่อเลย” พีทพูดต่อ
“พริมจะไม่เข้ารับปริญญาเหรอ” อินถาม
“เค้าบอกว่ามันไม่ทัน” พีทตอบ “ตารางทางโน้นเค้าเร่งมามั้ง ถ้าฟังมาไม่ผิด”
“อ่านะ... แล้ว... คือยังไงอ่ะ จะเลิกกันป้ะ” อินชงคำถามออกไป ทำเอาพีทหัวเราะเบาๆ
“ทำไม มึงหึงอ่อ” พีทเหลือบสายตาถามมาด้วยความยียวน
“ป่าว” อินตอบเสียงยานคาง “ก็...แค่อยากรู้”
“หึหึ” พีทเกาจมูกเบาๆ “ก็...เคยบอกมึงไปแล้วนี่ ยังไงพริมก็ต้องไป แล้ว กูก็ต้องอยู่นี่”
“พีท มึงไม่จำเป็นต้องผูกตัวเองอยู่กับกู กับที่นี่ก็ได้” อินว่า “ถ้ามึงเจออย่างอื่นที่มึงไปได้ดี ก็ไม่ต้องห่วงกูหรอก”
“ก็ถ้ามีแล้วค่อยว่ากัน” พีทว่า “แต่ตอนนี้มันไม่มี.... มึงเหอะ สรุปจะทำกับเอเจนซี่พ่อกูไหม เขากลับมาอาทิตย์หน้าแล้ว”
“ก็ถ้าทำ ทำไมไม่ทำด้วยกันอ่ะ” อินถาม
“มันคงไม่เหมาะสมป่ะ เข้าไปทำในบริษัทพ่อตัวเอง คนอื่นเค้าจะมองไง” พีทตอบ
“แต่ให้กูเข้าไปทำได้เนี่ยนะ” อินย้อน
“ก็... อย่างน้อยก็น่าเกลียดน้อยลงหน่อยน่า” พีทว่า “ยังไงอ่ะ ทำไม่ทำ”
“ก็... ทำก็ได้ ก็พ่อมึงกลับมาค่อยว่ากัน” อินตอบ
“ก็พอดีเลย เพราะเหมือนพวกถาปัตย์ก็จะไปสมัครที่เอเจนซี่พ่อกูเหมือนกัน” พีทว่า
“พวกนัท สา มิก อ่ะเหรอ” อินถาม
“ช่าย...เห็นได้ยินพริมบอก แต่เดี๋ยววันปาร์ตี้ ค่อยไปถามกันอีกทีก็ได้” พีทพูด ซึ่งอินถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง จริงๆหลายวันมานี้ เขาพยายามทบทวน บวกลบคุณหารในหัวอยู่ ว่าเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องไปปาร์ตี้เลี้ยงจบ เพราะบางที มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย
“ยังไม่รู้เลยว่าจะไปได้ป่าว ทำโน่นนี่ยังไม่เสร็จเลย” อินพูดขึ้น พยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ก็เลยจะไม่ไปงั้นอ่อ” พีทร้องถามขณะที่กำลังตักข้าวเข้าปาก
“สัมภาษณ์งาน ตัดชุดครุยอีก ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง” อินพูดเสียงเรียบขณะดูมือถือ
“หืม... จะชิ่ง หลังจากที่ทุกคนนัดไว้ก่อนเป็นอาทิตย์อ่ะนะ” พีทถามต่อพลางเหลือบตาขึ้นมามอง อินยักไหล่เลิกคิ้วเป็นคำตอบพอเป็นพิธี ขณะที่พีทซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะอาหาร
และแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง อินไม่รู้ตัวเลยว่าพีทกำลังนั่งมองเขาอย่างพินิจอยู่ อินวางมือลงจากมือถือ พลางมองพีทกลับ
“อะไร” อินถาม
“มาถึงตอนนี้แล้วอ่ะ คิดอ่อ ว่าจะปิดเราได้อ่ะ” พีทพูดติดตลก
อินถอนหายใจ พลางส่ายหน้า
“ก็ไหนบอกว่าอยากให้มูฟออน อยากให้จบไม่ใช่อ่อ” อินว่า
“มูฟออนมันไม่ใช่การหนีป่ะวะ” พีทว่า “มันจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าเกิดเจอมันได้ปกติ แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
อินเงียบเสียงลง พลางคิดทบทวนหลายอย่างในหัว พีทยิ้มกริ่ม
“งั้นก็แสดงว่า... ทำไม่ได้ใช่ป่ะ” พีทยักไหล่ “แต่... เพราะก็นัดกับพวกโฆษณาไว้แล้ว อีกอย่าง กูอยากไปลาพริม มึงก็น่าจะไปเจอพริมมันหน่อยนะ”
อินยิ้มน้อยๆ เมื่อพีทพูดคำนั้น
“ก็... ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเพื่อนมึง ก็แค่... ไปเจอพวกเรากันเองไง” พีทยิ้ม
“พยายามโน้มน้าวใจผู้ลงทุนอ่อ” อินว่า
“เปล่า ก็แค่...” พีทตอบ “...เออน่ะ... สุดท้ายถ้าจะไม่ไป มันก็ได้แหละ กูไม่บังคับมึงอยู่แล้ว”
ใช่... พีทไม่เคยทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนใจเลยซักครั้ง แต่ครั้งนี้ อินเองก็ตกอยู่ในสภาพความคิดที่หวาดหวั่นจะตัดสินใจ มันเห็นได้ชัดแล้วว่าการให้พีทเป็นแฟนของเขา มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ในเมื่อเขากับโฟล์คจบทุกอย่างไปที่หนองคายแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่พี่บอลเคยพูดกับเขา
เขาไม่ควรกลับไปที่นั่นอีก
..............
“เห้ย อันนี้ดี ลองยังๆ” เสียงของพริมดังขึ้น ขณะที่ยื่นแก้วคอกเทลมาให้พีท
“อ๋อ อันนี้ลองละ ดีดี” พีทรับแก้วมาจากเธอ พลางมองไปรอบโต๊ะ นัท สา และมิก ยืนอยู่ตรงระเบียงบาร์และถ่ายรูปแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกับวัดอรุณพร้อมๆกัน โดยมีฟ้าถ่ายให้ ทั้งสี่ดูรูปกันสนุกสนานขณะที่ โฟล์คเดินเอาชีสฟรายมาเสิร์ฟเพิ่มเติม
“เอ๊า ยังทำงานอยู่เหรอ ไม่มาดื่มด้วยกันอ่ะโฟล์ค” พริมพูดขึ้นกับโฟล์คที่ยังอยู่ในชุดทำงาน
“เห้ย เอาเลยเต็มที่ นี่ก็ไม่ได้ทำไรมาก เดี๋ยวมาลุยด้วย อยู่ช่วยแฟนแป้บ” โฟล์คยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปหานัท สา มิก และฟ้า “แกงค์อาร์ตจะเอาอะไรเพิ่มป่าว”
“ขออันนี้อีกสองช็อต” สายกตากิล่าขึ้นให้โฟล์คดู
“เล่นของแรงเลยอ่อ” มิกร้องถาม
“เอ๊า เรียนจบ ได้งาน วันนี้ก็ต้องฉลองป้ะ” สาพูดต่อ “แล้วถ้าไม่ได้แกลอรี่ Loveless Society ที่นัทมันทำ ก็อย่าหวังว่าจะได้งานกันเร็วแบบนี้เหอะ”
“งั้นวันนี้พวกแกต้องเลี้ยงถูกมะ” นัทว่า
“อ้าวๆๆๆ มีคนจะชิ่ง” มิกร้อง “เอาชีสฟรายแบบโต๊ะโน้นแหละคับ แค่นี้ก่อน”
“ครับผม”
“นี่โฟล์ค วันนี้วันฉลอง ไปบอกแฟนแกเลย ว่าไม่ต้องทำแล้ว” ฟ้าส่งเสียงงอแงมาให้เพื่อนของเธอ
“เออน่ะ เดี๋ยวมาโว๊ย มันมีเพื่อนกูอยู่ฟากโต๊ะโน้นอีก แปปน่า” โฟล์คยิ้มให้กับฟ้าก่อนจะเดินกลับไปที่บาร์เครื่องดื่มที่บอลกำลังง่วนกับออร์เดอร์อยู่
“เพิ่มอีกสามคับ” โฟล์คพูดพลางวางกระดาษลงตรงหน้าบอล
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องช่วย เดี๋ยวพี่ทำเอง” บอลยิ้มกว้างให้โฟล์ค
“ไม่เอาอ่ะ ผมเกรงใจ อีกอย่าง ผมจะทิ้งพี่ให้ทำคนเดียวได้ไงอ่ะค้าบ” โฟล์คว่า
“ไม่เป็นไร พี่ให้พี่มดประกาศแล้วว่าวันนี้มีโต๊ะจองเยอะ ลูกค้าอื่นๆก็จะน้อยไง” บอลว่า “นี่ก็ เพื่อนๆโฟล์คหมดเลยป้ะ กลุ่มนั้น”
“เอ่อ.. ก็ไม่เชิงคับ มันรู้จักๆกันอ่ะ คือภาคโฆษณากับเจนเอ็ดเมื่อตอนปีสอง มันมีตัวที่เรียนไขว้กัน ก็เลยทำเจอๆกันบ่อย” โฟล์คเล่า “ผมอ่ะไม่เท่าไหร่ แกงค์เด็กถาปัตย์สามคนนั้นอ่ะ จะอยู่กับพีทมันบ่อยกว่าผม ส่วนไอ้ฟ้าก็แฟนของมิก คนตัวสูงๆนั่นอ่ะพี่”
“อ๋อ... ก็ดีนะ รู้จักกันไว้เยอะๆ” บอลพูดต่อ “แต่ไปสนุกเหอะ พี่อยู่ได้”
“ไม่เอาอ่ะ ผมทำอยู่กับพี่ ผมก็สนุก” โฟล์คยิ้มให้บอลอยู่อย่างนั้น “ผมมีความสุขดีที่อยู่กับพี่อ่ะ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย” บอลปาผ้าเช็ดโต๊ะใส่โฟล์คด้วยความเก้อเขิน “โน่น พีทมาโน่นอ่ะ ว่าไงพีท เอาไร”
“โทษทีขอเอาโคโคนัทคอกเทลเพิ่มอีกคับพี่” พีทเดินมาสั่งด้วยตัวเองที่บาร์
“ได้ๆ เดี๋ยวเอาไปให้” โฟล์คหันไปตอบ
“ไม่เป็นไร ขอมาพักตรงนี้ก่อน ไม่งั้นโดนพวกถาปัตย์แม่งกรอกปากอีกแน่ แม่งเอ๊ย อึดชิบ” พีทพูดติดตลก
“อ่านะ ถาปัตย์ก็เงี้ย” โฟล์คหัวเราะทันที
“แล้วแฟนพีทเค้าไม่มาเหรอ” บอลยิงคำถามขึ้นมา ซึ่งทำเอาพีทเหลือบสายตาไปมองโฟล์คแว้บหนึ่ง
“อ๋อ... ไม่ชัวร์อ่ะพี่ มันติดธุระอ่ะ ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง” พีทพูดเสียงเรียบ พลางยิ้มให้
“อืม... ก็นะ” บอลพูดขณะที่ชงคอกเทลล์ต่อไป
“เห้ย ไอ้กาย” โฟล์คโบกมือให้กายที่เดินขึ้นมาถึงบาร์ดาดฟ้า เรียกให้กายเดินมาถึงบาร์ ชายหนุ่มในชูดสูทเดินตรงมาหาโฟล์คทันที
“ว้าว นี่ต้องจัดโต๊ะวีไอพีให้มั้งเนี่ยหะ” พี่บอลเอ่ยขึ้นทันทีที่กายเดินมาถึง
“หวัดดีทุกคนคับ” กายยิ้มกว้างทักทาย
“โอ้โหยู... แต่งเต็มขนาดนี้เลยอ่อ” พีทเอ่ยทัก
“ปล่าว ไอไปคุยงานกะลูกค้ามา นี่ก็มาต่อนี่เลย” กายว่า
“อ่านะ พวกเรานั่งแดกกันอยู่นั่นไง” โฟล์คชี้ไปยังเก้าอี้อีกโซนที่จัดอยู่ด้านข้าง ถัดไปข้างหลังบาร์ เหมือนว่าโฟล์คจะรู้ดีว่าพวก The Zodiac จะเอะอ่ะโวยวายกันแค่ไหนถ้าไอ้มอสตัวดีเริ่มกระดกเข้าปาก โฟล์คจึงตัดสินใจแยกไปยังที่ที่จะไม่รบกวนโต๊ะอื่นๆมากนัก ซึ่งจากภาพที่กายและโฟล์คเห็น ก็เป็นดังคาด มอสเริ่มดูไปไกลเหมือนเดิม ขณะที่ไอ้เบนซ์ก็หัวเราะตามไปด้วย
“ไอ้เชี่ยมอสเนี่ยน้า” กายพูดออกมาเบาๆ ทำเอาทุกคนตรงนั้นหัวเราะ “งั้นเดี๋ยวกูไปทักมันก่อน มึงก็เลิกงานบ้าง...พี่บอลให้มันไปฉลองได้แล้วพี่”
“เออ พี่บอกมันแล้วแต่มันไม่ยอม” บอลพูดพลางวางแก้วลงตรงถาดที่มีชีสฟรายวางอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่กายเดินตรงไปยังกลุ่มของตัวเอง “อ่ะนี่ ออร์เดอร์โต๊ะเจ็ด”
“ขอบคุณค้าบ” พีทเอื้อมมือไปหยิบถาด
“เห้ยไม่ต้อง เดี๋ยวยกไปให้” โฟล์คออกปาก
“ไม่เป็นไรๆ กันเองป่ะวะ โฟล์คไปปาร์ตี้กับเพื่อนบ้างเหอะ ตรงนี้จัดการได้ มีแต่พวกเราแล้วป้ะ” พีทว่า เช่นเดียวกับพี่บอลที่พยักหน้าเห็นด้วย “อ่ะนั่นไง นัทมาช่วยแล้ว”
นัทเดินตรงเข้ามาที่บาร์อีกคน
“ขอทิชชู่หน่อยคับ” นัทเอ่ยปากขณะที่บอลก้มลงไปหยิบทิชชู่และยื่นให้ “นี่ของเราป้ะ งั้นขอเลยนะ”
“จัดไปเพื่อน โฟล์คไม่ต้อง จัดการละ ขอตัวคร้าบ” พีทว่าพลางแบ่งถาดกะนัทและเดินออกไปจากบาร์ โดยที่โฟล์คได้แต่อ้าปากค้าง
“เห็นมั้ย กันเองแล้ว อีกอย่างพี่เก็บบิลไว้หมด ไม่มั่วหรอกน่า ไปสนุกเหอะ” บอลยังคงเอ่ยปากเชียร์ แต่ทว่ากายก็เดินย้อนกลับมาที่บาร์และสะกิดเขา
“อ่า จะเอาไร” โฟล์คร้องถาม
“ป่าว จะถามว่า...เอ่อ...” กายพูดอ้ำๆอึ้งๆ
“หะ...มึงมีไร” โฟล์คเบิกตากว้าง ขณะที่มองเห็นกายยืนนิ่ง มองไปยังกลุ่มโต๊ะของพีทและเด็กสถาปัตย์ทั้งกลุ่มตรงริมระเบียงบาร์ “ไอ้เชี่ยกาย มีไร”
กายดูเหมือนตัวเองหลุดไปจากความคิด ขณะที่โฟล์คกำลังร้องเรียก
“เห้ย... ไอ้กาย มีอะไร” โฟล์คพูดเสียงดังขึ้น ขณะที่กายหันมามองเขา
“อ๋อ...เอ่อ... ไม่มีๆ แค่จะสั่ง...” กายพูด แม้ว่าสายตาจะยังมองไปที่กลุ่มของพีทตรงนั้น
“เออ.. ก็ว่ามา ยืนนิ่งอยู่ได้เว้ย” โฟล์คว่า
“เอาโรเซ่ แล้วก็อีกอันเป็นมอกเทล อะไรก็ได้ ผลไม้ก็ได้มั้ง” กายว่า
“หือ... ไอ้มอสจะล้างปากละอ่อ โห เกิดไรขึ้นกะโลกวะ” โฟล์คว่า ขณะที่บอลก็หัวเราะตามเบาๆ
“โอ๊ย รายนั้นอ่ะนะ ไม่พักเบรคง่ายๆหรอก” กายรับลูกต่อด้วยเสียงหัวเราะเช่นกัน “มึงไปดูมันเหอะ มันถามหามึงอยู่อ่ะ”
“เออๆ .. ขี้เกียจฟังแม่งโวยวาย พี่บอล แปปนะพี่ เดี๋ยวผมกลับมาช่วย” โฟล์คยิ้มให้
“ไปเลยก็ได้ พี่ไม่เป็นไร เอ้..เรานี่” บอลพูดเสียงนิ่มขณะที่โฟล์คเดินเข้าไปกอดเอวบอลจากด้านหลังครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปยังโต๊ะของมอส บอลยิ้มให้กับท่าทีน่ารักของโฟล์ค ก่อนจะหันมาหากายที่ส่งยิ้มให้
“น่ารักจังนะคร้าบ” กายพูดแซว
“พอเลยๆ พวกนาย” บอลพูดอย่างเก้อเขิน “แล้วยังไงเนี่ยเรา โรเซ่กับมอกเทลล์ จะเข้มหรือจะอ่อน ยังไงดี ให้พี่ทำสูตรใหม่ป่ะล่ะ มันมีที่กลางๆนะ”
“อ๋อไม่ใช่พี่ โรเซ่อ่ะของผม แต่มอกเทลล์อ่ะของอินคับ เดี๋ยวมันตามขึ้นมา ก่อนมานี่ผมแวะไปรับมาแล้วคับ ตอนนี้มันอยู่ข้างล่างมั้ง”
เพล้ง!
แก้วในมือของบอลหลุดลงแตกทันที
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 25 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-04-2020 23:46:47
ถ้าไม่ใช่..ต่อให้พยายามให้ใช่แค่ไหน..มันก็ไม่ใช่
แต่ถ้าใช่..ไม่ต้องพยายามอะไรเลย..มันก็ใช่

น่าเห็นใจพี่บอล..ต้องมาเป็นตัวแทนของคนอื่น
มันเศร้าอ่ะคร้าบบบบบบ

หดหู่แทนเลย
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 25 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 11-04-2020 20:54:38
ตอนที่ 26 Revenge

“พี่บอล เป็นไรป่ะคับ” กายเอ่ยปากถามหลังจากเห็นบอลมองเศษแก้วตรงหน้า

“อ๋อ... ป่าวๆ ไม่มีไร” บอลเก็บเศษแก้วในมืออย่างระมัดระวัง “เอ่อ...งั้น กายรอแปปนึงละกัน”

“อ้ะ...เห้ย อิน... ทางนี้ๆ”

บอลนิ่งไปพักหนึ่งขณะมองไปที่ทางขึ้นดาดฟ้ามา อินมองมายังบาร์ที่บอลยืนอยู่พลางสบตาหนึ่งครั้ง แต่บอลก็หันหลังเข้าไปหาบาร์ทันที

“เออ... เดี๋ยวกูไปหาพีทก่อน มึงไปเจอพวกมันก่อนเลย” อินส่งเสียงมา ก่อนจะแยกไปยังกลุ่มของพีทและพวกถาปัตย์ ขณะที่กายนั่งอยู่ตรงนั้นและยังคงมองกลุ่มเพื่อนๆของพีทจากมุมของบาร์

อินเดินไปยังกลุ่มเพื่อนๆของพีทที่ส่งเสียงทักทายการมาถึงของเขาทันที

“โห กว่าจะมาได้นะ” พริมร้องถามทันที “พีทบอกว่าแกจะเท นี่กะว่าแกไม่มา ฉันจะบุกไปบ้านแกอ่ะอิน”

“ขนาดนั้นเลย” อินพูดพลางนั่งลงข้างๆพริม

“ใช่ ก็ตัวสุดท้าย แกช่วยชั้นถ่ายรูปแทนสา แล้วโปรเจ็คก็ผ่านฉลุย ได้ทุนอีกต่างหาก ไม่ขอบคุณแกแล้วขอบคุณใครอ่ะ” พริมพูด ทันทีกับที่สารีบเดินมาสมทบทันที

“เฮ้ยยย... อิน... ตัวแกลอรี่ที่แกทำให้พวกชั้นอ่ะ สวยมาก คนที่ปารีสชอบกันหมดเลย” สาส่งเสียงใสมาก่อนเพื่อน ขณะที่นัทก็มานั่งลงข้างๆ

“ขอบคุณมากเลยนาย มันเจ๋งมาก” นัทว่าพลางยกแก้วขึ้นตรงหน้า “เอาล่ะพระเอกของงานมาช้า ก็ต้องชนป้ะ”

“หืม...ไม่ได้มั้ง” พีทส่งเสียงพูด “เอาตัวเบาๆกว่านี้หน่อยป่าว”

“อะไรกัน จะมาแล้วไม่ดื่มเหรอ” พริมว่า

“ก็ไม่อ่ะ กะแว้บมาเจอแป้บเดียว เดี๋ยวกลับละเนี่ย” อินตอบเธอ

“เอ๊าได้ไงอ่า” สาร้องขึ้น “ตะกี้พีทบอกว่าอินจะทำที่ Lovable Studio เหรอ เนี่ย ชั้นสามคนจะทำที่นั่นหมดเลย”

สาชี้ไปยังตัวเธอ นัท และมิกที่ยังคงถ่ายรูปเล่นกับฟ้าอยู่ที่ริมระเบียง

“เอ่อ... ก็... เดี๋ยวลองๆดูก่อนอ่ะ ยังตอบไม่ได้” อินพูดพลางส่ายหน้าให้พีทเบาๆ เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมาช้าไปและบรรยากาศโดยรอบเริ่มเมามายไปไกลแล้ว

“คุยๆกันไปก่อนไป เดี๋ยวสั่งให้เบาๆ” พีทบอกอินที่ส่งสีหน้าห้าม แต่พีทก็บอกให้เขาทนทนไปก่อน พีทเดินกลับมาที่บาร์อีกครั้งและพบกับกายที่นั่งอยู่ที่บาร์ตามเดิม “อ่าว ยังไม่ไปโต๊ะโน้นอีกอ่อ”

“รอเครื่องดื่มพี่บอลอ่ะ สั่งให้อินมันไว้แล้วด้วย” กายตอบลูกพี่ลูกน้องของเขา

“ได้แล้วคับผม” บอลหันมาหาทั้งกายและพีท

“โอเค งั้นเดี๋ยวผมเอาไป” พีทว่า

“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวพี่เอาไปให้เค้าเอง” บอลยิ้มให้พีท ก่อนจะถือแก้วและออกไปจากบาร์ เดินตรงไปยังระเบียงบาร์ด้วยตัวเอง พีทได้แต่จึงนั่งลงข้างๆบาร์กับกาย เพื่อพักจากความเอะอ่ะโวยวายของสาวๆสายปาร์ตี้ตรงระเบียง

“ยู... พวกนั้นใครอ่ะ” กายร้องถาม

“หือ... ไหน” พีทหันไปถาม

“สามคนนั้นอ่ะ ที่โต๊ะข้างๆ” กายชี้ไปยังกลุ่มเด็กถาปัตย์

“อ๋อ... แกงค์เด็กถาปัตย์อ่ะ นัท สา แล้วก็มิก พอดีเรียนโฆษณาตัวเดียวกัน” พีทตอบ “ทำไมอ่อ”

“เปล่าๆ ไม่มีไร” กายทำท่าทางแปลก ขณะที่พีทเหล่มอง “เออ... แล้วทำไมไม่มาด้วยกันอ่ะ ไอต้องถ่อไปรับไอ้อินมันมาเนี่ย”

“หือ... อ๋อ ก็ตอนแรกมันจะไม่มา ก็เลยไม่อยากบังคับ” พีทตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเชียบ

“ทะเลาะกันอ่อ” กายถาม

“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะเลย จะทะเลาะไรกันอ่ะ” พีทตอบ แต่กายก็ทำหน้าเฉลียวใจ

“ใช่อ่อ... ทะเลาะกันก็บอกไอได้นะ เผื่อช่วยเคลียร์ให้” กายพูด

“ไม่เลย.. อินไม่ทะเลาะกับไอแน่อ่ะ ทุกอย่างมันอยู่แกงค์ยูอ่ะแหละ” พีทว่า ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆกาย และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ถือว่ายูเป็นญาติไอนะ เลยจะบอกให้ฟัง เผื่อยูจะได้เอาไปจัดการเคลียร์เรื่องในแกงค์ยูให้จบ”

กายทำหน้างงๆ ขณะที่พีทพูด

“อะไรวะ”

“ไอยังไม่ได้เป็นอะไรกับเพื่อนยูหรอกนะ” พีทพูดขึ้น

“หะ” กายร้องขึ้น แต่พีทก็ทำท่าทางให้กายลดเสียงลง

“เบาก่อน.. คือ... ก็ยังไม่ได้เป็นทางการอ่ะนะ แต่คือ.. ที่งานศพแม่ยู อินมันเป็นให้ไอเป็นแฟนไปก่อน...เพราะ แค่อยาก... ทำให้แกงค์ยูสบายใจอ่ะ” พีทพูดความจริงออกไป แต่กายยังคงขมวดคิ้วอยู่

“สบายใจ...จากอะไรอ่ะ” กายว่า พีทมองหน้าลูกพี่ลูกน้องเขาอีกครั้ง

“ใช้เซนส์ดิ ยูมีเวทย์มนต์ไม่ใช่อ่อ” พีทว่า ขณะที่กายพยายามนั่งนึกทบทวนสิ่งที่มันเกิดขึ้นในแกงค์ของเขาเอง

“เดี๋ยวนะ... เอ่อ...” กายพูดพลางใช้ความคิด และมันก็เหมือนมีบางอย่างกดสวิตซ์ไฟในสมองเขา “เชี่ย มิน่าล่ะ ไอ้โฟล์คมันถึงปกป้องไอ้อินมาตั้งแต่...”

พีทยักไหล่ให้กายเบาๆ

“โธ่เอ๊ยยย ไอ้พวกเวร” กายพูดพลางส่ายหน้าให้กับตัวเอง “ไอไปฝรั่งเศสมาสี่ปี พวกแม่งทำแต่เรื่องกันเก่งนะ”

พีทหัวเราะเบาเบา

“แล้ว ยูก็ตอบตกลงไอ้อินมันไปเนี่ยนะ ให้มันวุ่นเข้าไปอีกอ่อ” กายถามต่อ

“ก็นะ... เพื่อนยูก็...” พีทยิ้มกริ่มเบาๆ “ก็...ไม่ได้แย่ป้ะ ถ้าเกิดมันจะ... เวิร์คขึ้นมา”

“มันไม่เวิร์คหรอก” เสียงทุ้มหนักดังขึ้นจากด้านหลังของบาร์ ดึงให้กายและพีทหันไปดู และร่างที่ยืนอยู่แทนพี่บอล และนั่นทำให้ทั้งพีทและกายถึงกับเงียบเสียงลง

“โฟล์ค” พีทร้องขึ้น ขณะที่กายถอนหายใจ “เห้ย นาย เราอธิบายไ...”

“ไม่ต้อง” โฟล์คพูดต่อ “มัน.. มันไม่ใช่ความผิดนาย พีท...”

โฟล์คมองไปยังโต๊ะของพริมและอิน ก่อนที่เขาจะหยิบผ้ากันเปื้อนออกและเควี้ยงมันไปไว้ที่เคาท์เตอร์บาร์และตรงรี่ออกจากบาร์ไปอีกคน แต่ทว่ากายก็คว้าตัวโฟล์คไว้

“เห้ย... ไม่เอาดิ” กายว่า “แล้วกันไป”

“มึงไม่ต้องห่วง กูไม่ทำกลุ่มแตกหรอก” โฟล์คว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับกลุ่ม มันเป็นเรื่องของกูกะมัน”

“โฟล์คใจเย็น” พีทพูดเสริม

“พีท... เราขอ... อย่าเพิ่งยุ่งตอนนี้” โฟล์คหันไปว่า “นายไม่เข้าใจมันหรอก ถ้านายไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับเรา นายอย่าเพิ่งเอาตัวเองเข้ามาตอนนี้ โอเคนะ”

พีทนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของโฟล์ค เขาสะบัดมือของกายออก และเดินตรงไป ขณะที่พี่บอลก็เดินสวนกลับมาพอดี

“โฟล์ค มีอะไร” บอลร้องถามขณะที่โฟล์คหยุดชะงักและมองหน้าบอลอยู่อย่างนั้น

“พี่บอล ผมขอโทษนะ”

โฟล์คพูดกับพี่บอลพลางหลบสายตาและเดินสวนเขาไป ทิ้งให้บอลยืนยิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินไปหาอินที่โต๊ะทันที อินมองโฟล์คที่เดินมาถึงโต๊ะด้วยสีหน้าที่อินรู้สึกแปลกประหลาด

“อ้าวโฟล์ค มาสิดื่มกัน” ฟ้าที่เห็นโฟล์คเดินมาก็ส่งเสียงทักก่อน ขณะที่โฟล์คยังคงมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น

“ไว้ก่อนฟ้า” โฟล์คตอบเธอแม้ว่าจะยังมองหน้าอินอยู่

“อะไร” อินถามขึ้น

“ไปข้างล่างด้วยกันหน่อยดิ” โฟล์คว่า “พอดี... มอสมัน... จะให้ไปเอาของที่รถไอ้กาย”

อินหรี่ตามองไปยังกายและพีท ที่จ้องมายังเขาทั้งคู่

“มันก็อยู่นั่นไง” อินว่า

“เออน่ะ... ลงไปกะกูหน่อย ได้ป่ะ” โฟล์คถามเสียงเรียบ

อินมองไปหาพีทที่ส่งยิ้มให้เขาเบาๆ ก่อนจะมองมาหาโฟล์คอีกครั้ง

“งั้นเดี๋ยวเรามานะพริม” อินหันไปบอกพริมที่พนักหน้ารับขณะหันไปสังสรรค์ต่อกับแกงค์ถาปัตย์ อินวางแก้วที่เขาดื่มหมดแล้ว ก่อนจะลุกขึ้น และเดินตามโฟล์คลงไปจากดาดฟ้าทันที

.........

เมื่อลงมาถึงชั้นสองที่เป็นโซนห้องพัก โฟล์คไม่เดินลงไปชั้นหนึ่งต่อ เขาเลี้ยวไปยังห้องพักห้องหนึ่งที่อยู่สุดทางไป

“อ้าว ไม่ลงไปข้างล่างอ่ะ” อินถามขึ้น

“ตามมากะกูก่อน เอาของห้องนี้แปป” โฟล์คตอบ ก่อนจะหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“มึงเปิดห้องไว้อ่อ” อินว่า

“ก็...ไม่เชิงอ่ะ พี่มดให้สแปร์ห้องนี้ไว้ เผื่อวันไหนกูกะพี่บอลดึกแล้วเมา พี่มดก็จะให้นอนนี่ถ้าห้องว่าง” โฟล์คตอบ “มึงเข้าไปก่อน แล้วไปหยิบของที่หัวเตียงที”

อินมองหน้าโฟล์คอย่างงงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปตามที่โฟล์คว่า แต่ทันใดนั้น โฟล์คก็ปิดประตูและล็อคทันที ก่อนจะเดินเข้ามาหาอิน และคว้าตัวของอินเข้ามาจูบโดยไม่รีอ อินที่ตกใจและพยายามตั้งสติ จึงผละตัวของโฟล์คออกไป

“เชี่ยโฟล์ค ทำเชี่ยไรของมึงเนี่ย” อินร้องขึ้น

“เออน่ะ อยู่นิ่งๆ” โฟล์คพูดกับอินเสียงเรียบและอบอุ่น ก่อนจะจับแขนอินล็อคไว้กับผนังห้อง สายตาของโฟล์คคราวนี้ แตกต่างไปจากทุกครั้ง อินไม่ได้เห็นความโกรธ หรืออารมณ์ที่ครุกรุ่นออกมาจากแววตาของโฟล์คเหมือนทุกครั้ง คราวนี้มันเหมือนกับโฟล์คคนเดิม สายตาที่เคยดึงให้อินมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นสายตาก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่

โฟล์คค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาจูบเขาไว้อีกครั้ง เป็นจูบเดียวกับที่หนองคายในคืนนั้น จูบที่เหมือนกับว่าจะทำให้เวลาทั้งหลายหยุดลงอีกครั้ง คราวนี้อินกลายเป็นว่าเหมือนโดนดูดพลังงานทุกอย่างออกไปจากตัว และไม่เหลือความต้านทานใดใดอีก จนกระทั่งโฟล์คถอนริมฝีปากออก

โฟล์คยิ้มกริ่มน้อยๆก่อนจะมองหน้าอินที่หายใจหอบถี่และพยายามตั้งสติ

“มันผิด” อินว่า “ไม่ได้แล้ว... จะเป็นอย่างนี้อีกไม่ได้”

“ผิดต่อใครอ่ะ พีทเหรอ” โฟล์คพูดขึ้น “เพราะได้ข่าวว่าไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อยหนิ”

อินหลับตาลงพลางถอนหายใจ

“มันไม่ใช่อย่างนั้น” อินว่า

“แล้วมันอย่างไหน เปิดโอกาสให้มัน แต่ไม่เปิดโอกาสให้กูอ่อ” โฟล์คพูด “ที่ผ่านมามึงไม่ได้ทำให้อะไรๆมันง่ายขึ้นเลยนะ เราวนกลับมาหากันตลอดป่ะวะ”

โฟล์คไม่รอคำพูดของอิน เขาจูบอินอีกครั้ง

“แล้วพี่บอลอ่ะ....” อินพูดขึ้นทันทีหลังจากที่โฟล์คละริมฝีปากออก โฟล์คนิ่งเงียบพลางหลบสายตาลงพลางใช้ความคิด

“กูขอเริ่มต้นใหม่ได้ป่ะ” โฟล์คว่า “กูไม่อยากรอไปอีกนาที หรือซักวินาทีจากนี้แล้วอ่ะ”

“มึงจะเลิกกะเค้าอ่อ” อินว่า “แล้วหลังจากนี้จะยังไง มันไม่ง่ายเลย”

“กูไม่สนอ่ะ นี่มันหกปีแล้วนะเว่ยอิน ที่มึงกะกูเล่นเรื่องเหี้ยๆนี้กันมาอ่ะ” โฟล์คว่า “ตอนนี้มึงกะกูก็รู้สึกเหมือนกันแล้วอ่ะ เราก็แค่...”

“เลิกกับคนของเราแล้วมาคบกันอ่ะนะ” อินทวนคำอีกที “มึงอยากให้มันเป็นแบบนั้นอ่อวะ”

โฟล์คคิดทบทวนสิ่งที่อินพูด มันเป็นจริงอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้

“โฟล์ค... มึงกะกูตกลงกันไปแล้ว อย่าให้มันมากไปกว่านี้เล.....”

โฟล์คไม่รอให้คำพูดของอินเข้ามารบกวนจิตใจอีก เขาจูบอินเข้าไปอีกยกนึง แต่อินก็ยังคงฝืนบางอย่างอยู่

“กูกับมันกำลังไปด้วยกันเวิร.....”

โฟล์คจูบอินเข้าไปอีกยกนึง ขณะที่อินก็พยายามจะผละออก

“ถ้าพี่บอลรู้เรื่อง เค้าไม่....”

โฟล์คไม่รีรออีกต่อไป เขาโถมตัวเองเข้าหาอินและปล่อยตัวเองไปยังเตียงนอนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ปากของเขายังคงจูบอินอยู่ ขณะที่เริ่มถอดเสื้อของตัวเองและอินออก ตัวของอินแดงก่ำขณะที่โฟล์คถอนริวฝีปากออกจากอิน

“อิน...” โฟล์คหายใจหอบถี่ พลางมองไปที่อิน ที่เหมือนกำลังล่องลอยอยู่เช่นกัน “หนีไปด้วยกันเหอะ”

“อะไรนะ” อินถาม

“ไปด้วยกัน ที่ไหนก็ได้ หนีไปจากสิ่งที่มึงกะกูทำไว้” โฟล์คว่า “มีแค่กูกะมึง ก็พอแล้วนะ”

อินเงียบเสียงไป โฟล์คจึงก้มลงไปจูบอีกครั้ง

“คบกะกูนะ”

อินมองหน้าโฟล์คอยู่อย่างนั้น

“กู... กู.... อ่ะหึ”

ทันใดนั้น อินก็เกิดอาการเกร็งตัวขึ้น และไออย่างหนัก ตัวของอินแดงก่ำและร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 26 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-04-2020 23:55:39
โอ้โห..เล่นหนักถึงขนาดจะเอาชีวิตกันเลยเหรอ
อำมหิตเกินไปหรือเปล่า..พิษรักแรงหึงน่ากลัวมาก

พี่บอล..คุกนะ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 26 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 12-04-2020 03:36:51
ตอนที่ 27 Tear Apart 3

“เชี่ยอิน อิน” โฟล์คพยายามเขย่าตัวอิน แต่อินก็ดูเหมือนจะหายใจลำบากและตัวแดงก่ำ “มึงเป็นไรอ่ะ อิน”
“กู... กูร้อนทั้งตัวเลยอ่ะ” อินพยายามพูดทั้งๆที่หายใจลำบาก “กูเหมือนจะ...อ่ะแฮ่ก”
อินไออย่างหนักพลางเอามือกุมหน้าอก โฟล์คสังเกตเห็นตัวของอินเริ่มแดงเป็นจ้ำๆ ขณะที่อินเริ่มงอตัวมากขึ้น โฟล์คมองสภาพตรงหน้าพลางตั้งสติ
“มึง...มึงลุกขึ้นมาแต่งตัวก่อน เดี๋ยวกู... กูไปเอากุญแจรถซักคนมาแล้วพามึงไปหาหมอ” โฟล์คพยายามประคองตัวของอินขึ้น และเริ่มจัดเสื้อผ้าให้อินใหม่ “อดทนไว้หน่อยเว่ย”
โฟล์คลุกขึ้นและกำลังจะหันหลังออกไปจากห้อง แต่อินก็คว้าตัวโฟล์คไว้
“ตาม....พีท” อินว่า “อย่า...บอกคนอื่น แค่....พีท”
โฟล์คเงียบไปพักนึง พลางมองหน้าอิน
“อย่า...เพิ่งตอนนี้....ตาม...พีท”
โฟล์คพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป ความตกใจของโฟล์ค ทำเอาเขาวิ่งขึ้นไปบันไดอย่างรวดเร็วทีละสองสามก้าวเพื่อขึ้นไปถึงดาดฟ้าทันที โฟล์คเหนื่อยหอบอยู่พักหนึ่งก่อนจะมองไปรอบๆ และก็เห็นว่าพีทและกายยังนั่งอยู่ที่บาร์ เขาจึงตรงเข้าไปหา
“พีท...พีท” โฟล์คหายใจถี่ “อิน...อินเป็นอะไรไม่รู้”
“หะ เกิดไรขึ้น” พีทตื่นตกใจ เช่นเดียวกับกาย
“ลงไปดูหน่อย มันตัวแดงทั้งตัวเลย หายใจไม่ออก มึนหัว...มั้งนะ” โฟล์คว่า “ห้อง 202”
“เชี่ย...” พีทร้องขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ขณะที่โฟล์คจะตามไป แต่กายก็คว้าไว้
“เกิดไรขึ้นวะ” กายว่า
“เออ... มึงมีรถใช่ป่ะ กูยืมหน่อย” โฟล์คพูด
“งั้นเดี๋ยวกูขับไหม” กายพูด โฟล์คจึงพยักหน้า กายจึงรุดตามพีทไปอีกคน โฟล์คที่กำลังจะเดินตามไป แต่บอลก็ยื้อแขนไว้
“โฟล์ค....”
โฟล์คหันหน้ามาเจอกับบอล ที่ส่งสีหน้าแปลกประหลาดมาให้เขา
“ผม... เดี๋ยวผมกลับมานะพี่...”
โฟล์คปัดมือของบอลออก ก่อนจะวิ่งตามกายลงไปข้างล่างอีกครั้งอย่างไม่รีรอ
เมื่อไปถึงห้องข้างล่าง พีทกำลังแบกตัวอินออกมาจากห้อง ตอนนี้อินเริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามใบหน้าและเหมือนจะหมดสติซบไปกับพีท ขณะที่กายช่วยประคองอยู่ โฟล์คเมื่อเห็นสภาพของอินก็หน้าซีดเผือดทันที
“เชี่ย... มันเป็นไรอ่ะพีท” โฟล์ครุดเข้าไปหาทันที
“ไปโรงพยาบาลก่อน เดี๋ยวค่อยว่า” พีทพูดเสียงเรียบ ดูเหมือนเขาจะตั้งสติได้ดีที่สุด
“งั้นกาย มึงลงไปเตรียมรถ เดี๋ยวกูช่วยพีทเอง”
............
โฟล์คนั่งอยู่หน้าห้องด้วยความรู้สึกผิดชอบตีกันอยู่ในหัว เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขณะที่กาย เขาและพีทนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เขากำมือถือตัดสินใจส่งข่าวไปยังเพื่อนๆที่อยู่ที่บาร์ แต่พีทก็ดูเหมือนจะกลัวว่าจะตื่นตกใจ และอยากจะตามมาดูอาการอินกันหมด เขาเลยบอกว่าให้บอกเฉพาะแกงค์ Zodiac ของพวกกายก็พอ พริมและแกงค์ถาปัตย์เดี๋ยวเขาจะบอกเองทีหลัง
“โอเค... พวกมึงจะมาก็ได้ แต่เหมือนว่าไม่เป็นไรแล้วอ่ะ” กายพูดผ่านโทรศัพท์ “เออ มันนอนพักอยู่อ่ะ เดี๋ยวยังไงกูพามันกลับบ้านเอง ถ้าปลอดภัยแล้ว เออ... งั้นไม่ต้องมา เออๆ แค่นี้”
กายวางหูก่อนจะหันมาหาโฟล์คและพีท
“คับพี่ ก็เลี้ยวซ้ายคับ ใช่คับ ตึกนั้นแหละพี่ ผมอยู่ตรงล็อบ้ฉุกเฉิน คับ คับพี่” โฟล์คกดวางโทรศัพท์ตามไปอีกคน “พี่บอลกำลังจะมาอ่ะ เขาฝากร้านไว้กับพี่มดแล้ว ปาร์ตี้เลิกแล้วด้วย... คนอื่นว่าไงอ่ะ”
“พอกูกะมึงแล้วก็อินแยกมา ไอ้มอสมันโวยวาย กูเลยต้องบอกไป แต่ตอนนี้กูเคลียร์แล้ว” กายว่า พลางหันไปหาลูกพี่ลูกน้องของเขา “แล้วยูแน่ใจนะ ว่าจะไม่บอกแกงค์เพื่อนยูอ่ะ”
“ไม่ต้องก็ได้ อินมันก็บอกทุกคนอยู่ว่าจะมาแป้บเดียวแล้วรีบกลับ” พีทตอบ “ให้คนอื่นๆกลับบ้านไปเหอะ เดี๋ยวแม่งเครียดกันเปล่าๆ”
“ทำไมนายถึงคิดว่าว่าอินจะไม่เป็นไรวะ” โฟล์คถามขึ้นเสียงหงุดหงิด “ทุกคนจะไม่เป็นห่วงมันกันหน่อยอ่อ”
“เห้ยมึงใจเย็น” กายรีบห้ามเพื่อนทันที แต่พีทก็ยังคงเงียบเสียง
“มึง มึงไม่ได้เห็นตอนมันมีอาการไอ้กาย กู...” โฟล์คเงียบเสียงลง พลางรู้สึกหวาดหวั่นกับภาพที่เขาเห็นตรงหน้า “กูนึกว่ามันจะ...มันจะ...”
“ก็เพราะอย่างนั้นไง เราถึงไม่อยากให้ใครมา” พีทพูดเสียงเรียบ “นายอยากให้ทุกคนรู้อ่อ ว่านายลงไปข้างล่างกับอินสองคนอ่ะ โดยเฉพาะกับแฟนนาย”
พีทพูดตรงเข้าประเด็นทันที และนั่นทำให้โฟล์คเงียบสนิท
“ส่วนคำถามที่ว่าทำไมเราถึงคิดว่าอินจะไม่เป็นอะไร ก็เพราะว่า....” พีทเงียบไปพักหนึ่งพลางมองหน้าโฟล์ค
“เพราะอะไร พูดดิ” โฟล์คถามจี้
“นายดูอาการพวกนั้นไม่ออกจริงดิ นายไม่รู้อ่อ ว่าอาการแบบนั้นคือไร” พีทว่าต่อ แต่โฟล์คยังคงมึนงง “อินมันแพ้แอลกอฮอล์ เอ็นไซม์มันรับได้ไม่คงที่ ถ้ามันมีผสมในเครื่องดื่มเกินไป มันก็จะเป็นแบบนี้”
โฟล์คถึงกับเงียบเสียงไปทันทีเมื่อพีทพูดจบ
“ตอนนายปาร์ตี้กับมัน หรือตอนที่ไปหนองคาย มันก็จิบเบียร์ได้นิดเดียว นายไม่สังเกตอ่อ นั่นคือสาเหตุ ว่าทำไมมันถึงไม่อยากไปปาร์ตี้กับพวกมอส หรือไม่อยากไปบาร์นาย” พีทพูด
“มันไม่ดื่มคอกเทลล์คืนนั้น” โฟล์คพูดเบาๆกับตัวเอง เพราะตบหน้าผากตัวเอง พลางนึกถึงครั้งแรกที่อินมารับแม่ของมันที่ร้าน แล้วอินปฏิเสธที่จะดื่ม แต่เป็นเค้า ที่พยายามยัดเยียดชวนอินดื่มแต่แรก
“เราเห็นว่านายกับมัน... เราก็นึกว่านายจะรู้อ่ะ” พีทว่า
“แต่... เราก็ไม่ได้ให้มันดื่มนะ แล้ว... แล้วถ้ามันรู้ตัว แล้วมันไปนั่งกับแกงค์ถาปัตย์ทำไมวะ” โฟล์คว่า
“มันไม่ได้แดกจากแกงค์ถาปัตย์ไอ้โฟล์ค มันกินจากแก้วที่กูสั่งไว้ให้มัน” กายพูดต่อเสียงเรียบ
“เอ๊า เชี่ยกาย มึงสั่งคอกเทลล์ให้มันอ่อ” โฟล์คหันไปร้อง
“กูเปล่า กูสั่งมอกเทลล์ กูย้ำแล้วด้วยว่าเป็นผลไม้หรืออะไรก็ได้ แต่... เหมือนพี่บอลแฟนมึง น่าจะฟังผิดมั้ง ก็เลย” กายพูดขึ้น
และนั่น ก็ทำเอาเวลาของโฟล์คหยุดนิ่ง และก้อนอะไรบางอย่าง มันก็ปะทุขึ้นมาจ่อคอเขาทันที
“นี่มึงจะบอกกูว่า...” โฟล์คพยายามทวนคำพูดบางอย่าง
“กูไม่รู้ แต่...” กายพูดพลางหันไปมองพีท “มันก็อาจจะ... แค่อุบัติเหตุก็ได้”
“โฟล์ค”
เสียงของพี่บอลดังขึ้น บอลเดินมาตามทางเดิน ขณะที่โฟล์คค่อยๆหันไปหาบอลที่เดินมาหาโฟล์คด้วยสีหน้าห่วงใย ผิดกับโฟล์คที่ตอนนี้หันไปมองบอลด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป
“ม...มีอะไรกัน... แล้ว... น้องเค้าเป็นไงบ้าง” บอลถาม
“มัน...แพ้แอลกอฮอล์อ่ะพี่” พีทเริ่มพูดขึ้นก่อน พลางเหล่ไปมองโฟล์คที่ยังคงมองแฟนตัวเองอยู่อย่างนั้น “อินอาจจะไม่ระวังตัวอ่ะคับ ก็เลย... น่าจะกินจากพวกถาปัตย์อ่ะพี่”
“อ...อ๋อ เหรอ...แย่เลยนะ” บอลพูดต่อ “แล้ว...ปลอดภัยแล้วใช่ป่ะ”
“ก็คับ... หมอให้พักอยู่คับ รอฤทธิ์ยา อีกพักนึงก็กลับได้แล้วคับ” พีทว่า
“โอเค...แล้ว...โฟล์คจะกลับ...กับพี่อยู่มั้ย” บอลหันไปมองโฟล์คที่ตอนนี้มองบอลด้วยสายตาแข็งกร้าว บอลที่เหมือนจะรู้ตัวในอะไรบางอย่าง จึงพยายามหลบตาลง
“ผมจำได้ว่าพี่เป็นบาร์เทนเดอร์มาเจ็ดปี” โฟล์คพูด “พี่รู้วิธีชงทุกอย่าง พี่รู้แม้กระทั่งวิธีทำให้มันไม่มีกลิ่น... ผมรู้ เพราะผมเรียนรู้จากพี่... เพราะผมชื่นชมพี่ ว่าพี่เป็นคนเก่งเรื่องนี้”
บอลเงียบสนิทขณะฟังโฟล์คพูด
“และคืนแรกที่อินมาที่ร้าน พี่ชงม็อกเทลล์แก้วแรกให้มัน มันต้องเคยบอกพี่ ว่ามันแพ้แอลกอฮอลล์” โฟล์คพูดต่อ “ผมพูดถูกป่าว”
บอลหลบสายตาลง นัยน์ตาของบาร์เทนเดอร์หนุ่มแดงก่ำขณะที่ยืนนิ่ง 
“พี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยอ่ะ พี่บอกผมก็ได้ว่าพี่ไม่โอเคอ่ะ.. พี่บอกผมดิ พี่ไปลงกับมันทำไมอ่ะ”
บอลหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางเมินหน้าไปทางอื่น
“ผมก็รู้นะ ว่าช่วงหลังๆมาผม...ผมเหี้ยอ่ะ แต่...เราเคลียร์กันก่อนก็ได้ป่ะพี่ พี่ทำงี้ทำไมอ่ะ”
และแล้วก็เงียบกันไปพักนึง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
“บอกเราเหรอ บอกเราแล้วทำให้เรื่องของเราแม่งจบอ่ะนะ” บอลพูดขึ้นมาทันที “บอกเรา เพื่อให้พี่รู้ว่าเรายังไม่ลืมไอ้เด็กนั่นทั้งๆที่เรื่องมันผ่านมาตั้งสองปีแล้วอ่ะนะ”
คราวนี้โฟล์คเป็นฝ่ายเงียบขึ้นมาบ้าง
“สองปีที่โฟล์คบอกพี่ว่าโฟล์คไม่ติดค้างอะไรแล้ว ไม่มีคนอื่นอีก มีแต่โฟล์คที่กลับมาที่บาร์ทุกเย็น เพื่ออ่านหนังสือ ฟังเพลง แล้วก็คุยเรื่องปรัชญาในวิชาเรียนกับพี่ทุกวัน โฟล์คที่ทำให้ทั้งสองปีที่ผ่านมา เหมือนทั้งบาร์นั้นมีแค่เราสองคน แล้วเราก็บอกกันว่า เราจะทำบาร์กันต่อด้วยกัน” บอลพูดต่อ “ถ้าพี่บอกเรา สองปีที่ผ่านมา มันก็จะกลายเป็นเรื่องโกหกสำหรับพี่อ่อ”
โฟล์คก้มหน้าลง
“วันที่พี่บอกพี่ชอบโฟล์ค โฟล์คบอกพี่ว่าไง” บอลว่า “โฟล์คบอกว่าจะลองดู ตอนนั้นพี่รู้แต่ว่าพี่จะทำทุกนาทีให้โฟล์ครู้ว่าพี่มีแต่โฟล์ค พี่จะไม่ทำให้เราต้องเจ็บ ต้องแบกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก แล้วบอกพี่ดิ ตลอดสองปีมานี่ พี่ผิดคำพูดใช่ป่ะโฟล์ค บอกดิว่าพี่เป็นคนผิดอ่ะโฟล์ค”
“ผมรู้พี่ ผมผิดเอง แต่พี่... คือ...พี่ต้องทำขนาดนี้เลยอ่อวะ”
“ก็แม่งไม่รักษาสัญญาเองนี่” บอลว่า “มันบอกพี่เอง ว่ามันจะไม่มายุ่งกับชีวิตเราอีก แต่พอพี่ไปรับเราที่บ้านน้องมอส พี่รู้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว ว่าไอ้เด็กคนนั้นมันต้องกลับมาในชีวิตโฟล์คอีกอ่ะ แล้วแม่งก็เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่มันบอกแล้วว่ามันจะไม่มา มันบอกกับพี่แล้ว แต่แม่งก็ไม่รักษาคำพูด แม่งตอแหลชิบหาย ไอ้สัส”
“พี่ว่าไงนะ” โฟล์คว่า “สัญญาอะไรวะพี่ ผมไม่เข้าใจอ่ะ”
“สัญญาที่ว่ากูจะไม่มาเจอมึงอีกอ่ะ” เสียงแหบแห้งของอินดังขึ้นจากด้านหลัง ดึงให้ทุกๆคนตรงนั้นหันไปมอง อินเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสภาพที่ดีขึ้นแต่ยังคงซีดเซียว
“เชี่ยอิน” กายร้องขึ้น ขณะที่โฟล์คหันไปมอง แต่พีทเป็นคนที่พุ่งตรงไปประคองอินไว้ก่อน แต่อินหันไปมองพีทด้วยสายตาที่เข้มแข็งขึ้นแล้ว เขาเดินตรงไปหาโฟล์คทันที อินเดินไปประจันหน้ากับบอลที่มองเขาด้วยสายตาโกรธขึ้งปนเสียใจ อินหลบสายตาลงโดยไม่กล้าสบตาของบอล เพราะมันทำให้ภาพจำของวันเก่าๆกลับขึ้นมาอีกครั้ง

บอลมองโฟล์คอยู่พักหนึ่งจะคิดได้ว่าคงไม่มีประโยชน์ ที่จะให้โฟล์คมาหลับอยู่แบบนี้ ก่อนจะพยายามแบกตัวของโฟล์คลุกขึ้นเพื่อพาลงไปชั้นล่าง
“ไอ้โฟล์คเอ้ยยยย” บอลส่งเสียง ขณะพยายามยกตัวโฟล์คขึ้น และพาเดินไปยังบันไดทางลงดาดฟ้า “ไอ้คนที่ทำแกอ่ะ เค้าไม่มาสนด้วยซ้ำมั้ง”
แต่ทันใดนั้นบอลก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินขึ้นมาจากบันได คือคนที่บอลคิดว่าเป็นคนสุดท้ายที่จะได้เจอในคืนนี้
ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้จบลงโดยง่ายแน่ๆ
“พี่บอล” อินร้องเรียก เมื่อเห็นสภาพของโฟล์คซบไปบนไหล่ของบอลอย่างหมดสติ “มาพี่เดี๋ยวผม....”
“ไม่ต้องอ่ะ น้องถอยไปเลย” บอลส่งเสียงดุทันที ทำเอาอินชะงักอยู่ที่บันได “กลับมาทำไมเอาป่านนี้ ไหนเมื่อค่ำทะเลาะไปแล้วยกนึงไม่ใช่เหรอน้อง ไหนบอกว่าจะขาดกันไปแล้ว ก็ขาดกันไปเลยไม่ใช่อ่อ”
“พี่....พี่ได้ยินอ่อ” อินพูด
“เห้ย น้องอิน พี่ว่ามันไปกันใหญ่แล้วว่ะ น้องกับโฟล์คเป็นอะไรกันอ่ะ เอาให้ชัดๆทีดิ” บอลพูดตรงๆ “แบบนี้มันไม่เวิร์คป่ะ พี่ไม่เคยเห็นโฟล์คเป็นงี้อ่ะ พี่ไม่โอว่ะ”
อินยืนนิ่งสนิท
“ยังไงคับเรา สรุปว่าจะยังไง พี่หนักน่ะเว่ย” บอลพูดขณะที่ขยับตัวของโฟล์คให้เข้าที่อีกครั้ง “ถ้าจะให้พี่ดูแลโฟล์คแบบนี้ พี่ก็คิดจริงจังอ่ะ ถ้าเราคิดว่าจะไม่ใช่ก็ถอยไป เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
อินมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะรู้ตัวดีว่า มันไม่ใช่อย่างที่ควรเป็น สิ่งที่เขาพูดกับโฟล์คเมื่อตอนหัวค่ำมันถูกต้องแล้ว ฟ้าคิดผิด มันไม่มีทางที่จะมาเสมอกันได้
ไม่มีทาง....
“ผม.... ไม่มีอะไรพี่....” อินพูดออกไปในที่สุด “ผมแค่... เอางานจากเพื่อนมาให้มันอ่ะ ผมกับมัน... เป็นแค่เพื่อนกัน”
“พูดใหม่ได้นะ เอาดีดี อย่าโกหกกัน” บอลถามย้ำ “พี่ไม่ชอบคนโกหก”
อินหายใจเข้าลึก
“คับ... เราไม่ได้มีอะไรกัน...” อินพูดออกไปในที่สุด และหวังว่าทุกอย่าง จะจบลงซักที
“โอเค.. งั้น... ก็หลีกคับ พี่จะเอามันไปห้องพี่” บอลว่า ขณะที่พยายามเบียดตัวเองลงบันไดไป

อินยืนมองบอลอย่างนิ่งสนิท ขณะที่โฟล์คมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
“มึง...มึงพูดงั้นอ่อ” โฟล์คถามเสียงสั่น
“แล้วสองปีต่อมา มึงก็เสือกกลับมา กลับมาในตอนที่กูกำลังสร้างอนาคตกับมัน” บอลพูด “มึงคิดว่าโลกหมุนรอบมึงอ่อหะ มึงคิดว่ามึงเป็นใครอ่ะ ที่จะมาทำลายทุกอย่างที่กูพยายามทำมาอ่ะ ส่วนเราอ่ะโฟล์ค”
บอลเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกัดฟันอย่างเจ็บปวด
“มึงไม่เคยรักกู แล้วมึงคบกับกูทำไมวะโฟล์ค”
และเหลือเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันตรงนั้น โฟล์คเองก็ตกอยู่ในสภาพความเงียบเช่นกัน
“งั้น... ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วนี่ โฟล์คก็คงไม่กลับกับพี่แล้วช้ะ” บอลพูดเสียงสั่น “งั้น... โชคดีละกัน”
บอลเดินหันหลังจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงความอึดอัดระหว่างกันอยู่อย่างนั้น
“มึงต้องไปขอโทษเค้า” อินพูดขึ้น
แต่โฟล์คยังคงยืนนิ่ง
“มึงไม่ได้ยินที่กูพูดอ่อ ไปดิ” อินพูดเสียงแข็งขึ้นอีก ในขณะที่น้ำตาเริ่มไหล โฟล์คหันไปมองหน้าอินอย่างเจ็บปวดเช่นกัน
“แต่กู... กู....”
“มันยังแก้ไขได้นะเว่ย” อินพูดทั้งน้ำตา “เค้าไม่ได้ผิดอ่ะ มึงกะกูอ่ะผิดโฟล์ค มึงจะทิ้งคนที่ทำดีกับมึงมาสองปีไม่ได้ กู....กูทำไม่ได้”
“แต่มึงกะกูก็....” โฟล์คพยายามพูด
“มันไม่ได้เกี่ยวกับว่ามึงกะกูรู้สึกยังไงโฟล์ค แต่มันคือการตัดสินใจของเราสี่คน” อินว่า “เราตกลงกันแล้ว มึงไปกับเค้า...ส่วนกู.... กูจะไปกับพีท... กูพูด....ชัดพอมั้ย”
อินหันหลังให้กับโฟล์คเพื่อเดินไปหาพีทที่ยืนอยู่กับกาย แต่โฟล์คก็คว้ามือของอินไว้ทันที
“อิน อย่าหันหลังไปแบบนี้ .... กู....กูรักมึงนะ”
โฟล์คพูดขึ้น ขณะที่อินหลับตา
“กูไม่น่ามาเจอมึงเลยโฟล์ค....” อินพูดพลางมองไปหากาย “กูไม่น่ากลับมาเจอพวกมึงเลย”
กายหลบตาลง
“ปล่อยกูไปเหอะนะ”
อินจับมือของโฟล์คปล่อยลง และเวลาของโฟล์คก็หยุดนิ่งไปตั้งแต่นาทีนั้นเอง
...........
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 27 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-04-2020 11:00:34
รักสี่เส้า เคล้าปัญหา พาความทุกข์
ไม่มีใคร เจอความสุข คลุกขลาดเขลา
ทั้งตัวเธอ ตัวเขา และสองเรา
คือมัวเมา ในความรัก ผลักให้จม

เรื่องนี้จะให้ใครเป็นคนผิดอ่ะ
ให้เจ้าความรัก..ผิดแล้วกัน
กาซิก
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 27 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 13-04-2020 14:05:22
ตอนที่ 28 Invented

อินนั่งนิ่งพลางวนนิ้วลงบนแก้วกาแฟด้วยความรู้สึกเฉยชา ขณะที่เอิร์ธมองหน้าช่างภาพของเขาพลางนิ่งเงียบไปตามๆกัน ไม่มีคำพูดใดใดระหว่างกันอีก ขณะที่ไอกาแฟพวยพุ่งส่งมาให้มือได้มีความรู้สึกอะไรอยู่บ้าง

“ตอนนั้น พี่กายก็อยู่เหรอคับ” เอิร์ธถามขึ้น หลังจากเงียบไปนาน

อินเหลือบตาขึ้นมองเด็กหนุ่ม ก่อนจะยิ้มและพยักหน้าเบาๆ เอิร์ธถอนหายใจพลางมองออกไปนอกหน้าต่างร้านกาแฟที่อยู่ข้างๆออฟฟิศของเขาในลอนดอน

“มิน่าล่ะ ตลอดเวลาหลายปีมานี้ เขาถึงพยายามเข้าไปจัดการความรักของคนอื่น” เอิร์ธพูดขึ้น “เขาถึงไม่อยากให้ผมมาที่นี่”

“มันทำงั้นอ่อ” อินร้องถาม

“คับ...เอ่อ... พี่กายเค้า เข้าเคยมาหาผมที่ออฟฟิศซูเม่ปารีส เค้ารู้สึกผิดที่การจัดการหุ้นทุกอย่างมันกลายเป็นว่า ผมโดนโยกมานี่ ทั้งๆที่ตอนแรกมันจะต้องเป็นพี่เค้ากับพี่เจน”

“อ้อ...จริงสิ” อินว่า “ตอนพี่ได้บรีฟจากพี่สุเมธ ตอนแรกพี่ก็เข้าใจว่าพี่จะได้กายกับเจนซะอีก”

“คับ... แต่... มันก็...” เอิร์ธถอนหายใจ “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมก็คงบอกว่าทำไมพวกพี่แม่งชอบทำอะไรให้วุ่นวาย แต่... ตอนนี้ผมก็... ไม่กล้าใช้คำนั้นแล้วแหะ”

“ทำไมอ่ะ” อินถามกลับ

“ก็... ผมเองก็.. ทำเรื่องวุ่นเหมือนกัน เมื่อช่วงกลางๆปี” เอิร์ธบอก “ก็... ผมเพิ่งเลิกกับแฟน”

“อ่าว” อินมองเอิร์ธที่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“ที่เค้าอยากให้ผมอยู่ปารีส เพราะพี่กายเค้า... อยากให้ผมรอ... พี่คนนึง ที่ผมเลิกกับเค้า กลับมา” เอิร์ธพยายามพูดอ้อมๆ

“เล่าให้พี่ฟังได้นะ” อินพูด

“ก็... จริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องของพี่เท่าไหร่หรอก หมายถึงเอ่อ... ด้วยสภาพรอบๆตัว ผมก็รู้ว่าเค้าคิดไง แต่... อะไรหลายๆอย่างรอบตัว มันไม่เอื้อเลยอ่ะ” เอิร์ธพูด “ผมเองก็... ผมรอเค้าไม่ได้อ่ะ เพราะผมรู้ว่าเค้าเป็นไง... เค้าไม่ชอบให้อะไรเปลี่ยน แต่ผมแม่ง... ชีวิตมันต้องพุ่งไปข้างหน้าเว่ยพี่”

เอิร์ธพูดทิ้งท้ายให้ติดตลก แต่ทว่าบรรยากาศและความรู้สึกของทั้งคู่มันไม่ได้เอื้อเลย

“นั่นทำให้เราสองคนมีอะไรเหมือนกันนะรู้ป่ะ” อินว่า “พี่เองก็ ใช้เวลาหลายปีมานี่ ทำงานทำงาน แล้วก็ทำงาน จน... พี่ก็... แทบไม่ได้เจอใครเลย”

“แต่... พอเรียนจบพี่ก็ไม่ได้ทำ Lovable ป่ะ ไม่งั้นพี่นัท พี่สา กับพี่มิก ต้องพูดถึงพี่แล้วอ่ะ” เอิร์ธถาม “พี่ทำกับพี่สุเมธตั้งแต่แรกเลยดิ”

“อื้อ... ตั้งแต่ยังไม่ได้ร่วมทุนกับคอสโม่อ่ะ ตั้งแต่ดีไซน์เฮาส์เล็กๆเลยแหละ” อินว่า

“เดินทางไกลนะพี่ มาไกลถึงนี่อ่ะ” เอิร์ธพูด

“ช่าย... ก็ สู้กับพี่เมธมาแต่ต้น พี่เมธเค้าชอบส่งพี่มาก่อน ให้พี่มาด้อมๆมองๆที่ที่จะเปิดสาขาใหม่ แล้วพออะไรๆมันเข้าที่ พี่เมธก็จะเด้งพี่ไปที่ใหม่” อินว่า “แบบว่า ให้พี่ไปเซอร์เวย์ทุกอย่างก่อนเพื่อนน่ะ”

“ก็พี่เป็นช่างภาพนี่นา” เอิร์ธว่า อินยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเงียบกันไปพักนึง ทั้งคู่ต่างยกกาแฟขึ้นจิบ ปล่อยให้วันที่พยายามตัดงานทุกอย่างออกจากหัว และนั่งดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาในช่วงใกล้ปลายปีแบบนี้

“เห้ เอิร์ธ” เสียงใสใสดังขึ้น เมื่อเอิร์ธหันไปดู ก็พบกับสเตลล่านางแบบสาวที่บินมาทำงานกับเอิร์ธที่ซูเม่สาขาอังกฤษ เธอกำลังเดินหน้าตาตื่นเข้ามาที่ร้านกาแฟ

“อ่าว หวัดดีหวัดหยุดสเตลล์” เอิร์ธร้องทักขึ้น “นั่งก่อนๆ นี่พี่อินนะ ช่างภาพที่ถ่ายเธอเดือนหน้า”

“เอ่อ...ไฮ สเตลล่านะคะ” เธอหันไปพูดกับอิน ก่อนจะทักทายกันพอเป็นพิธีขณะที่เธอหันกลับมาหาเอิร์ธ “เอิร์ธ ยูต้องอยากได้ยินข่าวนี้เลย”

“ว่า” เอิร์ธร้องถาม

“เพื่อนยูเค้ากลับมาแล้วนะ” สเตลล่าพูดขึ้น

“หือ.... ไอ้วินอ่ะนะ” เอิร์ธร้อง

“เยส... ไอเพิ่งได้ข้อความเมื่อวาน แม่ของวินเสียแแล้วเมื่อสามวันก่อน” สเตลล่าว่า “แล้วจีโอก็บอกว่า งานแฟชั่นวีคเมื่อคืน เคลวินไม่ได้อยู่ที่งาน เพราะว่าเค้ากลับไปหาวินที่ห้องแล้ว”

“โอ้” เอิร์ธเลิกคิ้ว อย่างประหลาดใจ “งั้นก็... ดีแล้วนี่... มันก็จะได้อยู่กับแฟนมันซะที ให้ตายเหอะ กี่เดือนแล้ววะเนี่ย”

“ห้าเดือน” สเตลล่าตอบแทน “เกล็ดหิมะระเบิดตอนจูลาย ต้นออทั่มพอดี”

“นับเวลาคุกให้ไลโอเนลล์เลยสินะ” เอิร์ธว่า ขณะที่สเตลล่าได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ “แล้ว ยูจะไม่กลับไปเยี่ยมเพื่อนยูหน่อยเหรอ”

“หือ... ต้องไปด้วยอ่อ” เอิร์ธร้องถาม

“ก็ควรไปนะ เพราะอีกสองวัน เป็นวันเกิดคุณเจน” สเตลล่าว่า “จีโออยากจัดเซอร์ไพร์สวันเกิดให้เธอ แล้วในเมื่อทุกคนกลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน ไอว่าก็น่าสนุกนะ”

“เหรอ...” เอิร์ธส่งเสียง “พี่คิดว่าไงอ่ะ”

เอิร์ธหันไปถามอิน ที่เงยหน้าขึ้นมาจากแก้วกาแฟ

“หือ... ก็... ถ้าอินไป... พี่ก็ต้องอยู่นี่ป้ะ แต่จะไปก็ได้ ไปเจอเจนเค้าก็ถามเรื่องอาร์ตบุ๊คให้รู้เรื่องซะด้วยไง” อินตอบ

“แล้ว... พี่จะไม่ไปด้วยกันอ่อ” เอิร์ธถาม

“คงไม่อ่ะ... พี่อยู่เฝ้าออฟฟิศดีกว่า” อินตอบ ก่อนที่เอิร์ธจะเงียบไปพักนึงพลางคิดทบทวนบางอย่าง

ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันอย่างนั้นเหรอ

“พี่อิน....” เอิร์ธพูดขึ้น “พี่ว่า... เค้าจะกลับมาหาเรากันปะ”

อินมองหน้าเอิร์ธที่ตกอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง ซึ่งคำพูดของน้องเอิร์ธ ก็ทำเอาก้อนความรู้สึกบางอย่าง มันกลับมาจุกที่คอของเขาเหมือนเดิม เพราะคำถามนี้ มันก็ทำให้เขาตกอยู่ในความรู้สึกอึดอัดไม่ได้ต่างไปจากน้องตรงหน้าเหมือนกัน

เขาไม่แน่ใจนักว่า จากทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น โฟล์คจะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม หรือแม้แต่มีเขาเก็บอยู่ในเสี้ยวความทรงจำหรือเปล่า

หรือมันอาจจะจางหายไปแล้ว ตามกาลเวลา

..............

“กาแฟได้แล้วค่ะ” พนักงานบนเครื่องบินเดินเอามาเสิร์ฟให้กับมิก หลังจากที่ทั้งคู่ตื่นจากการพล็อยหลับไปเมื่อบินผ่านน่านฟ้าประเทศอิตาลี

“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงละ” มิกว่าพลางยกกาแฟขึ้นจิบ “เออ... แล้วนี่กะจะไปเจอเขาอย่างเดียวเลยอ่อ”

“อ้อ... ก็....” โฟล์คอึ้งกับคำถามของมิกเล็กน้อย ขณะหยิบกาแฟมาทานเช่นกัน “เอ่อ... ก็ถ้าได้เจอก็ค่อยว่ากันมั้ง กับมัน... ก็ไม่เคยวางแผนได้ไกลเลย เพราะ.... ก็พังตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม”

“อ่านะ” มิกว่า

“มิกคงวางแผนไว้เยอะเลยดิ” โฟล์คถามกลับ

“คับ” มิกตอบทันที “ก็... ที่ผ่านมามันพังเพราะผมไม่วางแผนเลย แล้วเอิร์ธเค้าก็... เป็นเด็กไฟแรง เขาวิ่งตามผม แต่ทำไปทำมา วิ่งแซงเฉย แล้ว... ผมก็ไม่มีอะไรจะไปรั้งเค้าไว้ด้วย”

“แล้วครั้งนี้อ่ะ” โฟล์คถามกลับ

“ก็... ไม่แน่ใจว่าจะพอมั้ย” มิกยิ้มให้ ก่อนจะปรับเก้าอี้ให้กลับมานั่งหลังตรงและเริ่มเก็บผ้าห่ม เช่นเดียวกันกับโฟล์คที่เริ่มนวดคอตัวเองเพราะความเหนื่อยล้าเพราะการเดินทาง

“เอ้อ... นัทบอกว่าโฟล์คคือนามปากกาหมึกเทาเหรอ” มิกว่า

“ใช่คับ” โฟล์คตอบ

“เห้ย Endless Dream เป็นหนังสือที่เจ๋งมากเลย” มิกเอ่ยชม

“ไม่ขนาดนั้นมั้ง” โฟล์คพูดพลางหัวเราะแห้ง

“ไม่ไม่ นายไม่เข้าใจ ปกติผมไม่อ่านพวกหนังสือปรัชญาความรัก” มิกพูด “ผมเอียนเลยแหละ แต่นัทเอามาให้ผมอ่าน แล้วมันยิงตรงเข้าผมเลย ผมว่าความเรียบง่ายที่นายใช้เล่าอ่ะ มันสัมผัสได้เลยว่ามันคือความรักอ่ะ ไม่แปลกใจเลยอ่ะ ว่าทำไมมัน Best Seller”

“โห... ขอบคุณคับผม” โฟล์คตอบ

“แต่... ไปไงมาไงอ่ะ ถึงมาจับงานเขียน ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็งานปาร์ตี้เรียนจบป้ะ” มิกว่า “จำได้ว่าตอนนั้นนายยังทำบาร์อยู่เลยนี่”

คำถามของมิกทำเอานาฬิกาความทรงจำของโฟล์คหมุนอีกครั้ง และมันก็ดันเป็นเข็มวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะนำให้เขาเดินทางมาไกลจนเกือบถึงปลายทางบนเครื่องบินเที่ยวนี้ มันเป็นแรงบันดาลใจสุดท้ายที่เขาได้จากอิน ความรู้สึกสุดท้ายที่มันทำให้เขารู้ตัวเองเลยว่าเขารักอินมากแค่ไหน

“ถ้าเล่านี่ก็ ถึงปารีสเลยมั้ง” โฟล์คพูดขึ้น

“เราไม่มีที่อื่นต้องไปแล้วนี่” มิกพูดขึ้น

.................

“เฮนโหล โฟล์ค ชั้นเอาของมาฝากด้วยล่ะ” เสียงของฟ้าดังขึ้นเสียงสดใส ขณะที่เธอก้าวขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้า โฟล์คที่กำลังเช็ดบาร์อยู่หันมาเจอฟ้าที่อยู่ในชุดที่เริ่มไปไกลจากเพื่อนสมัยเรียนที่เขารู้จักมากขึ้นทุกที

“อ้าว มาซะไวเลย ไหนว่าจะรอไปเจอที่ร้านไง” โฟล์คร้องทัก

“ก็เนี่ย ลงจากเครื่องแล้วก็มาเลยอ่ะ ขี้เกียจอ้อมไปบ้านก่อน เหนื่อย” ฟ้าพูดพลางเดินมาถึงบาร์ของโฟล์ค

“อ่านะ จะเอาไรป่ะล่ะ เดี๋ยวทำให้” โฟล์คทักเธอ

“ไม่เอาอ่ะ ไปกินร้านข้ามต้มเลยก็ได้ บาร์ปิดแล้วอ่ะ เกรงใจ” ฟ้าบอก

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวจัดให้ เอาเบาเบาไหมล่ะ” โฟล์คถาม

“แหม พอเป็นบาร์เทนเดอร์เองแล้วเอาใหญ่เลยนะ ของเขิงในร้านงี้ตามใจชอบเชียว” ฟ้าพูด

“บ้าเหอะ ชั่วคราวไหมล่ะ” โฟล์คว่า “จะเอาอะไรเร็ว จะได้รีบทำรีบไป”

“งั้น เป็นโคโคนัทคอกเทลล์ละกัน เอาแบบอ่อนๆนะ ยังไม่อยากแอลกอฮอล์ตอนนี้” ฟ้าพูดพลางยักคิ้วให้ ซึ่งนั่นทำเอาโฟล์คเงียบเสียงไปทันที “เห้ย... ล้อเล่น.... ขอโทษ”

โฟล์คเหลือบตาขึ้นมามองเธอ

“อะไร” โฟล์คว่า “ยังไม่ได้คิดไรเลย...”

“อ้อ.... ผ่านไปแล้วว่างั้น”

โฟล์คยักคิ้วให้เธอและหัวเราะกับเธอเบาๆ ก่อนจะหันหลังไปชงเครื่องดื่ม โดยที่ฟ้าเองไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ผ่านไปเมื่อหลายเดือนก่อน มันยังไม่ได้ทำโฟล์คดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ทุกอย่าง ยังคงเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 28 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 13-04-2020 15:04:10
แล้วพี่บอลหายไปไหน
หรือว่า..เลิกกันตั้งแต่วันนั้น

โฟล์ค..เธอใจเหี้ยมมากเลยนะ
ชิสสสสสสสสสส์
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 28 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 14-04-2020 18:40:45
ตอนที่ 29 Locked Room

 “ร้านนี้ดีอ่ะ ขนาดข้าวต้มยังละมุนเลย” ฟ้าพูดขณะตัดขึ้นทาน ในร้านข้าวต้มมื้อดึกที่โฟล์คพาเธอมาทานหลังจากเก็บร้านกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว โฟล์คยิ้มกว้างขณะที่ตักผักบุ้งไฟแดงให้เธอ
“แล้วยังไงเนี่ยเหอะ ต้องมากินข้าวต้มรอบดึกกับเพื่อนแล้วอ่อ ฟงแฟนไปไหนหมด” โฟล์คถาม
“อะไร.. แฟนที่ไหน ไม่มี” ฟ้าพูดพลางยิ้มกริ่ม
“หรา....” โฟล์คส่งเสียงแซว “เอาดีดี เล่าได้นะ”
ฟ้าเหลือบตาขึ้นมองโฟล์คครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“ก็... เค้าเลือกไปทำเอเจนซี่โฆษณากับเพื่อน ก็เลย... ห่างๆกันไป” ฟ้าว่า “แต่... มันก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่แรกแล้วด้วยอ่ะ ก็เลยได้แค่นี้ล่ะมั้ง”
คำพูดของฟ้า ทำเอาเขาย้อนกลับมานึกเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“แล้วเรื่องงานอ่ะ” โฟล์คถามต่อ พยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศไม่ต้องจมจนเกินไป
“ก็ปรับตัวอยู่อ่ะ จบอักษร แต่ไปทำอาร์ต ก็... สู้ตายเหมือนกัน” ฟ้าตอบ “ก็ต้องขอบคุณมิกเค้าแหละ ที่สอนเราเรื่องจิตรกรรมไว้เยอะ ตอนนี้แค่ได้วาดรูป ก็มีความสุขแล้ว”
“โดยรวมก็ดีนี่” โฟล์คว่า “แล้วถ่อมาหาเพื่อนทำไมดึกดื่นเนี่ยหะ”
“ก็ลงใต้มา ไปวาดรูปที่พื้นที่เสี่ยงภัย สะท้อนประเด็นสังคมอะไรประมาณนั้นอ่ะ” ฟ้าบอก “ลงเครื่องมาก็ขี้เกียจเข้าบ้านไง นึกถึงก็เลยมาหา ไม่ได้อ่อ”
“ได้ดิ.. แค่แบบ หายไปตั้งนาน ไม่ทักหาไง” โฟล์คตอบ
“ว่าแต่แกเหอะ กะจะทำบาร์ไปตลอดเลยอ่อ เห็นตอนจบมีคนมาทาบทามไปทำการเมืองป้ะ” ฟ้าร้องถาม
“ก็ไม่ใช่การเมืองขนาดนั้น แค่แบบ... คุยกันเรื่องกฎหมายแต่งงานของเอ่อ... เพศเดียวกันอ่ะ” โฟล์คตอบ
“อ้อ..ดีนะ... ยอดมากเลย แต่... ไหงไม่ทำต่ออ่ะ” ฟ้าถามต่อ
“ก็... ดูๆอยู่ ก็... ไม่อยากไปหนักมาก คือ... ไม่ได้เชี่ยวขนาดนั้นด้วยมั้ง แค่อ่านมาเยอะ กลัวไปบ้งๆในทีมเค้าแล้วพังเปล่าๆ” โฟล์คว่า “อีกอย่าง อะไรๆมันไม่ง่ายหรอก ถ้าจะลงไปทำเรื่องนี้มันก็ สู้กันยาวเลย”
ฟ้าเหล่มองโฟล์คขณะที่พูด
“เพราะมันเกี่ยวกับตัวแกเองด้วยป่าว” ฟ้าถามจี้ลงไป ทำเอาโฟล์คถึงกับเงียบสนิท ฟ้าถอนหายใจตาม ขณะที่ทั้งคู่ต่างก็เงียบกันไป
“ก็... ชีวิตเราคิดไกลกับใครไม่เคยได้เลยอ่ะ” โฟล์คตอบเสียงสั่น “มันเหมือน ไม่เคยเดินกับใครได้พอดีเลย... ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
ฟ้าเอื้อมมือไปจับมือเพื่อน
“โฟล์ค ชั้นเป็นห่วงแกนะเว่ย” ฟ้าว่า “นี่เป็นอีกอย่างเลยที่ฉันอยากมาเจอแกบ่อยๆ ฉันไม่อยากให้แกต้องจมอยู่ความรับผิดชอบที่แกไม่จำเป็นต้องแบก”
โฟล์คเงยหน้าขึ้นมองเธอ
“ถ้าไม่ทำแล้วให้เราไปทำไรอ่ะ” โฟล์คถามต่อ “เรา...ทำไรได้อีกอ่อ...ก็ต้องทำตรงหน้าให้ดีที่สุดป่ะ”
“แกรู้ตัวดีว่าตรงหน้าแกไม่ใช้สิ่งที่ดีที่สุด” ฟ้าว่า “แกเป็นคนเชียร์ให้ฉันไปวาดรูปทั้งๆที่ฉันไม่ได้จบจิตรกรรม แต่วันนี้ตัวแกกำลังนั่งทำบาร์ทั้งๆที่แกจบเกียรตินิยมอันดับสามนะ”
โฟล์คหันไปมองถนนด้านข้าง
“ก็แค่รับผิดชอบ ในสิ่งที่ทำไว้... แล้วมันก็... ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น” โฟล์คตอบ “อีกอย่าง ตอนนี้ทุกอย่างก็กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้วด้วย ไม่ได้ไม่เสียอะไร”
“โฟล์ค บางครั้งคนเราก็ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ไร้ค่า” ฟ้าพูดต่อ
“โอ้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” โฟล์คหันมายิ้มให้กับเธอ “กลับมาเอาวิชาปัชญามาฟาดกันแล้วอ่อ”
“ก็แค่พูดให้ฟัง ก็ไปคิดเอา” ฟ้าว่า “ไม่เชื่อก็ตามใจ ชั้นก็แค่อยากให้แกมีความสุข แล้วก็ไปต่อจริงๆ อย่างที่แกว่า”
“ฉันไปต่อไม่ได้ฟ้า” โฟล์คพูด “ฉัน...ต้องอยู่แบนี้... ฉัน...โอเค”
“โอเค...ก็โอเค....”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนจะทานข้าวด้วยกันจนหมด ฟ้าฝากของฝากไปให้กับโฟล์ค และก่อนที่ทั้งคู่จะออกจากร้านและฟ้ากำลังรอรถที่เธอเรียก รถอีกคันหนึ่งก็จอดลงตรงหน้าร้านข้าวต้ม ขณะที่โฟล์คกล่าวลาเธอเพื่อไปขึ้นรถคันนั้น
“วันนี้ช้าจังพี่” โฟล์คทักทายกับพี่บอลทันทีเมื่อขึ้นมาบนรถ
“โทษที พอดีที่เลาจ์โรงแรมมีของมาลงอ่ะ พี่ต้องอยู่จัดการ เลยช้า” พี่บอลกล่าวทักทาย “แล้วฟ้าเค้ามายังไงดึกดื่นน่ะหึ”
“อ๋อ... เค้าเพิ่งลงเครื่องมาอ่ะพี่ มันไปวาดรูปที่สามจังหวัดมา” โฟล์คว่า
“จริงดิ... น่ากลัวนะ” บอลพูด
“ก็...มันทำศิลปะขับเคลื่อนสังคมอ่ะพี่ เจ๋งนะผมว่า” โฟล์คพูดเสริม
“ก็ดีแหละ... แต่ก็นะ... แล้ว... เป็นไงบ้างอ่ะเรา วันนี้” บอลถาม
“ก็เรื่อยๆพี่ ไม่ค่อยมีคนอ่ะวันนี้ ก็สบายๆ” โฟล์คพูดพลางหยิบของฝากจากฟ้าขึ้นมากล่องนึง “อ่ะ... ฟ้าซื้อมาฝากครับ แล้วก็.... ยินดีนะครับ กับการรางวัลบาร์เทนเดอร์ชนะเลิศที่โรงแรมอ่ะ”
“ขอบคุณคับผม” บอลหันมายิ้มให้กับโฟล์ค “จริงๆไม่ต้องลำบากฝากฟ้าไปซื้อก็ได้ พี่ไม่เคยอยากได้อะไรจากโฟล์คอยู่แล้วนะ”
โฟล์คยิ้มกว้างให้พี่บอล
“ผมรู้คับ... แต่... ผมอยากชดเชยให้พี่ ทุกอย่างที่ผมพอจะทำได้” โฟล์คพูดขึ้น และแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง ขณะที่พี่บอลเลี้ยวรถออกจากซอยได้
“พี่บอกแล้วไง ว่าลืมได้แล้ว” บอลพูดขึ้นหลังจากเงียบกันไปนาน “เราก็....ผิดด้วยกันทั้งคู่ป่ะวะ”
“คับ... ผมเข้าใจ... แต่ ให้ผมได้ทำเหอะพี่” โฟล์คว่า “อย่างน้อย...ก็ตอบแทนที่พี่ยังไม่ได้ทิ้งผมไปไหนอ่ะ”
“จะทิ้งได้ไง สอนมากับมืออ่ะหะ” บอลว่า “คิดมากน่า”
บอลขับตรงไปยังคอนโดของโฟล์คได้รวดเร็วในไม่กี่นาทีเนื่องจากเวลาที่ดึกมากแล้ว บอลจอดสนิทที่หน้าคอนโดอันเงียบเชียบขณะที่โฟล์คเริ่มเก็บของ
“ให้พี่ช่วยขนขึ้นไปไหม” บอลร้องถาม โฟล์คนิ่งไปพักหนึ่ง
“อืม...ไม่เป็นไรคับ...ดึกแล้วอ่ะ อีกอย่าง อาทิตย์นี้ห้องผมโคตรเละเลย เดี๋ยวพี่บ่นอีกอ่ะ แหะแหะ” โฟล์คว่า
“เราเนี่ยน้า” บอลว่า “งั้นก็รีบพักผ่อนนะคับ”
“คับพี่ ขอบคุณนะคับที่แวะมาส่งอ่ะ”
โฟล์คกำลังจะเปิดประตูรถลงไปแต่บอลก็คว้ามือโฟล์คเอาไว้
“โฟล์ค.... เรื่องที่พี่ถามอ่ะ... โฟล์คได้คำตอบหรือยัง” บอลพูดขึ้น ทำเอาโฟล์คนิ่งเงียบ
“ผม.... ผมยัง... ไม่ได้คิดเลยอ่ะพี่” โฟล์คตอบ “ขอ...ขอเวลาผมอีกซักพักนะ”
โฟล์คยิ้มให้บอลที่ยังคงมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น ก่อนที่เขาจะปล่อยมือลง
“งั้นก็... ฝันดีคับ”
..................
โฟล์คเดินกลับมาถึงห้องขณะที่มือนึงถือกล่องของฝากที่ได้มาจากฟ้า การกลับมาที่ห้องของเขาในตอนหลังเที่ยงคืนแทบทุกคืนแบบนี้มันดูจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว นาฬิกาชีวิตของเขามันบิดเบี้ยว ไม่เคยตรงกับใครทั้งนั้น และมันดูเหมือนจะไม่มีทางออกอะไรให้เขาเลย โฟล์คมองที่กล่องใบนั้นก่อนจะยิ้มให้ตัวเองเบาๆ และเดินเข้าไปที่ห้องที่เขาคุ้นเคยอย่างเงียบเชียบ เขาวางของลงที่โต๊ะในห้องก่อนจะมองไปข้างในที่มีเพียงแสงสลัวๆเปิดไว้ เขานั่งลงที่โซฟาในห้อง ก่อนจะหยิบซองกระดาษซองนึงขึ้นมา
มันเป็นใบอนุญาติทำงานที่ญี่ปุ่น สำหรับสถานประกอบการเครื่องดื่มที่เล็งเห็นศักยภาพของเขาและพี่บอล ที่งานประกวด Thailand Bartender เมื่อต้นปี แม้เขาจะไม่ได้รางวัลใดใด แต่พี่บอลก็คว้ารางวัลที่สองมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี เขาไม่แปลกใจเลยที่เป็นแบบนั้น พี่บอลมีฝีมือและประสบการณ์กับการชงเครื่องดื่มมานานกว่าเขา รางวัลนี้เหมาะสมกับพี่บอลมากที่สุดแล้วเท่าที่เขาจะนึกถึง
“พี่คิดว่าพี่จะไปอยู่ที่โน่นนะ โฟล์คไปเก็บตังค์กับพี่ไหม ซักสามสี่ปี แล้ว... พอเรากลับมา เรามาสร้างครอบครัวกันไหมโฟล์ค”
พี่บอลเคยพูดกับเขา หลังจากเจ้าของบาร์ที่ญี่ปุ่นเสนอดีลนี้ให้กับพี่บอลหลังจบงาน พี่บอลดูจะตื่นเต้นกับสิ่งนี้มาก เพราะจากการทำงานอย่างหนักมาตลอด 7 ปีในฐานะบาร์เทนเดอร์ สิ่งนึงที่พี่บอลพยายามก็คือการสร้างตัว และนี่ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมกับเขา ในระหว่างการตัดสินใจ เจ้าของบาร์ก็ได้เสนอให้บอลย้ายไปทำที่โรงแรมที่เขาเป็นหุ้นส่วนในกรุงเทพก่อน เพื่อทดลองงานและทำความรู้จักเส้นสาย นั่นหมายรวมถึงการที่โฟล์คได้เลื่อนขึ้นเป็นบาร์เนเดอร์แทนที่บาร์ดาดฟ้า แม้ว่าเขาเพิ่งจะเรียนจบมาไม่นานแต่รายได้ก็เริ่มจะเพียงพอที่เขาจะย้ายออกมาผ่อนคอนโดเอง แม้ว่าจะต้องร่ายยาวกับพ่ออยู่ยกใหญ่ก็เถอะ แต่ก็เพราะเขาโตพอที่จะอยู่เองได้แล้ว พ่อของเขาจึงไม่ค่อยจะยุ่งวุ่นวายกับเขาอีก นอกจากช่วยขนของจากบ้านมาที่คอนโดให้
ชีวิตที่เป็นของเขา พร้อมกับการตัดสินใจเพียงเล็กน้อยที่อยู่ในมือ ด้วยกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นเอง
โฟล์คถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะวางกระดาษนั้นลง พลางนวดคอตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายดายนักในสถานการณ์แบบนี้ ในช่วงเวลาแบบนี้
ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางเดินไปหยิบน้ำมาดื่ม ถอดเสื้อผ้าออกและเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่ออาบน้ำ สายน้ำอุ่นที่รดมาบนตัวระหว่างการใช้ความคิด ไม่ได้ทำให้โฟล์ครู้สึกดีขึ้นมากนัก คำพูดของฟ้าที่ร้านยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
นี่คือชีวิตที่เขาต้องการจริงหรือเปล่า
ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ โฟล์คเห็นว่าไฟสลัวๆในห้องนอนเปิดขึ้นที่หัวเตียง ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน แม้จะอยู่ในผ้าเช็ดตัวแต่โฟล์คก็ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เขานั่งลงข้างๆเตียงก่อนจะมองไปยังร่างๆหนึ่งที่นอนหลับสนิทอยู่ที่ตรงนั้น ร่างๆนั้นลืมตาปรือขึ้นมามองเขา เห็นได้ชัดว่าเสียงกุกกักจากการอาบน้ำคงปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก โฟล์คยิ้มให้เบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเบาๆ
“กลับ...ดึกจัง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอย่างงัวเงีย
“โทษที... พอดีเจอฟ้าอ่ะ เลย... แวะไปกินข้าวต้มกัน” โฟล์คตอบเสียงอ่อนโยน “ขอโทษที่ไม่ได้แชทมาบอก”
“อืม”
ร่างนั้นขยับตัวเบาๆใต้ผ้าห่มพลางมองไปยังโฟล์คด้วยสายตางัวเงีย
“มีของฝากด้วยนะ อยู่ที่โต๊ะ” โฟล์คยังคงมองใบหน้านั้นอยู่อย่างนั้น
“อืม..ค่อยดู...พรุ่งนี้”
“ขอโทษที่ทำเสียงดัง ตื่นเลยอ่ะ” โฟล์คว่าพลางเปลี่ยนไปลูบที่ใบหน้าแทน
“ถ้าขอโทษอีกทีจะโกรธละ” เสียงนั้นเปลี่ยนมาชัดเจนขึ้น โฟล์คถึงกับหัวเราะเบาๆ
“โอเค.. ไม่ขอโทษก็ได้” โฟล์คมองใบหน้าและแววตาคู่นั้นอย่างอ่อนโยน มองอยู่นานจนรู้สึกได้
“คิดไรอยู่” เสียงนั้นถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน โฟล์คยิ้มให้เบาๆก่อนจะส่ายหน้า
ใช่ เขาโกหก
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่มันอยู่ในความคิดออกไปหมดได้ยังไง
“เปล่าอ่ะ” โฟล์คตอบ
“มึงโกหกได้แย่มาก” ร่างนั้นสวนทันที “แต่ช่างเหอะ... ไปใส่เสื้อแล้วนอนเหอะ”
โฟล์คยังคงมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะยิ้มกว้าง
“ทำไมมึงน่ารักจังวะอิน”
อินเลิกคิ้วมองโฟล์คด้วยสีหน้าสงสัย และเป็นสัญญาณว่าอินตื่นเต็มตาแล้ว
“แบบนี้ไม่ได้นอนแหง”
“รู้ก็ดี...”
โฟล์คปลดผ้าเช็ดตัวตัวเองออก ก่อนจะก้มลงไปจูบร่างตรงหน้าทันที และปลดปล่อยความคิดที่หมุนอยู่รอบตัวให้ล่องลอยหายไป
...................
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 29 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-04-2020 20:59:10
เอิ่มมมม..คุณโฟล์ค
เราคนอ่าน..ยิ่งอ่านก็ยิ่งงงในความไบโพลาร์ของคุณมาก
อะไรของมันแว๊ะ???????????

ตกลง..ตอนนี้อยู่คอนโดเดียวกันแล้วกับอิน
แต่พี่บอลก็เคยขึ้นมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน..พี่บอลรู้ ??
แต่ไม่น่ารู้ป่ะ...พี่บอลจะขอขึ้นมาบนห้อง แต่โฟล์คไม่ยอมให้ขึ้นมา..เพราะอินอยู่ช้ะ

แล้วที่พี่บอลชวนให้ไปญี่ปุ่นด้วยกัน..กลับมาแล้วช่วยสร้างครอบครัวด้วยกัน
คืออยู่กินแบบคู่รักผัวเมีย เหรอออออ
แล้วอินอ่ะ..อยู่ตำแหน่งไหน โอ้วววววว..บร๊ะเจ้า เอาท่าไหน หุหุ

ความสงสาร จานเจือ เผื่อความใคร่
มันใช้ใจ อะไรคิด ซักนิดไหม
หรือทำตาม กามกล คนจัญไร
จะเป็นไง ก็ช่างมัน ฉันไม่แคร์

RIP..ความลังเลบนความเห็นแก่ตัว
หึ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 29 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-04-2020 13:44:09
ตอนที่ 30 Tough Route

 เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้า ปลุกให้อินลืมตาตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มปรือตาตื่นขึ้น พลางคว้าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้ตัวมารับสายทันที
“ฮัลโหล...” อินตอบด้วยเสียงงัวเงีย
“อิน นี่พี่เอง” เสียงของพี่สุเมธดังขึ้น ซึ่งทำเอาอินต้องรีบปรับเสียงตัวเองให้ตื่นทันที
“อ๋อ...ครับพี่” อินตอบรับ
“เอ้อ... วันนี้ก่อนเข้าออฟฟิศอ่ะ อินแวะไปเอาแบบงานให้พี่หน่อยสิ ตรงออฟฟิศแถวสุขุมวิท พี่จะส่งโลให้ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันว่าจะวางแผนกันยังไงต่อ” สุเมธยิงงานใส่อินโดยไม่รีรอ อินพยายามตั้งสติฟังทันที
“ได้...ได้คับ อันนี้คือที่พี่จะรวมไปคุยกับคอสโม่ป่ะพี่” อินถามต่อ
“ใช่ใช่ อินอยู่แถวนั้นอยู่แล้วนี่ ไม่วนใช่ไหม” สุเมธถามต่อ
“เอ่อ... คับ เอ่อ ไม่วนคับ” อินตอบ
“โอเค งั้นพี่ฝากด้วยนะ พี่เข้าออฟฟิศบ่ายโมงอ่ะ อินก็ไม่ต้องรีบมากหรอก แต่วันนี้อาจจะดึกหน่อยนะ” สุเมธทิ้งท้าย
“ไม่มีปัญหาคับ” อินตอบรับก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะหายไป ชายหนุ่มหลับตาทำคอตก ก่อนจะดูเวลาที่หน้าจอ ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง และมันก็ยิ่งเป็นการยืนยันความเป็นพี่สุเมธเข้าไปอีก กับการบ้างานเข้าขั้นชนิดที่ว่าลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่เจ้าของแบรนด์นี้จะคิดถึงเป็นอันดับแรกก็คืองาน และสายแรกที่เขามักจะโทรหาก็คืออิน ช่างภาพที่คู่ใจของเขานั่นเอง อินกดดูโลเกชั่นออฟฟิศที่พี่สุเมธส่งมา ก่อนจะตกใจเล็กน้อยและพบว่ามันคือ Lovable Studio ออฟฟิศของพ่อของพีทนั่นเอง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางคิดคำนวณการเดินทางอยู่ในหัว
ทันใดนั้น โฟล์คก็เอื้อมมือมากอดเขาไว้ และลากตัวอินกลับไปซุกในผ้าห่มอยู่ภายใต้อ้อมแขนของโฟล์ค ที่ยังงัวเงียอยู่เช่นกัน
“อือ... ไม่อาว... ไม่รับงานก่อนสิบโมงเด่” โฟล์คส่งเสียงยานคาง
“ก็เคยบอกแล้วไง.... พี่เมธเค้าบ้างาน” อินตอบ และได้แต่ปล่อยให้ตัวเองโดนกอดในผ้าห่มอยู่อย่างนั้น  แต่โฟล์คไม่สนอะไร ได้แต่แนบร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองแนบเข้าอิน
“มึงไม่ต้องมาอยากตอนนี้เลยนะ” อินพูดขึ้นหลังจากรู้สึกถึงร่างกายของโฟล์คภายใต้ผ้าห่ม
“ง่า... ไม่ได้อ่อ” โฟล์คยังคงออดอ้อนต่อด้วยการเอาคางมาเกยที่ไหล่ของอิน
“กูต้องกลับบ้าน” อินพูด และนั่นทำให้โฟล์คเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วใส่
“แวะมานอนกะกูเพราะออฟฟิศมึงอยู่ถัดไปสามซอยไม่ใช่อ่อ” โฟล์คถามด้วยเสียงที่ชัดขึ้น
“เออ... มันก็ใช่... แต่ต้องไปวนเอาของให้เขาไง” อินว่า
“โลกนี้มีมอไซค์” โฟล์คพูดต่อ
“ใช่ แต่โลกนี้ก็มีพี่สุเมธ แล้วก็พ่อไอ้พีท ที่อยากบรีฟงานกูก่อนด้วยไง” อินย้อนกลับ และนั่นทำให้โฟล์คตื่นเต็มตาขึ้นมาจริงๆ พลางลดแรงกอดลงจนอินรู้สึกได้
“อ่อ” โฟล์คพูดเบาๆ พลางผละตัวเองออกจากอิน และหันกลับไปนอนหงาย “โทษที... คือ... กูก็นึกว่า มึงอยู่กะกูแล้ว”
“ไอ้โฟล์ค...” อินหันไปทำเสียงนิ่ม เมื่อเห็นว่าโฟล์คหันไปนอนทำหน้านิ่ง
“อะไร” โฟล์คเหลือบตาหันไปมองอินที่กลายเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปกอดและพิงหน้าลงบนหน้าอกของโฟล์คและไม่พูดอะไรซักคำ โฟล์คจึงโอบตัวของอินไว้และลูบไหล่เบาๆ
“เออน่ะ” โฟล์คพูดต่อ “เซกซ์เฟรนด์ก็เซกซ์เฟรนด์ ไม่ไกลกว่านี้”
อินยังคงเงียบสนิท สายตายังคงสะท้อนความคิดที่วนเวียนอยู่มากมาย
“ขอโทษ” โฟล์คพูดต่ออีก
“บอกแล้วไง ถ้าขอโทษอีก จะโกรธ” อินว่า และนั่นทำให้โฟล์คหัวเราะเบาๆ
“งั้นถามใหม่....หกเดือนแล้ว มึงโอป่ะล่ะ” โฟล์คถาม
“ก็... สำหรับที่ซุกหัวนอนเวลาพี่เมธเลิกดึก แล้วกูขี้เกียจกลับบ้าน แม่งโอมากเลย ไม่งั้นกูน็อคแน่ หลับในตอนขับรถแน่อ่ะ” อินตอบ
“อันนั้นไม่เกี่ยวดิ กูหมายถึง...เอ่อ...” โฟล์คว่า
“อะไร... ลีลามึงอ่อ” อินเหลือบหน้าขึ้นไปถาม
“ไม่ใช่โว๊ย” โฟล์คตบไหล่อินเบาๆ “กูหมายถึง ที่.... เป็นอยู่...อย่างงี้อ่ะ”
“ก็... ดีมั้ง... ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ กูก็เรื่อยๆอ่ะ จนกว่า.... พี่เมธจะเปลี่ยนแผนใหม่” อินตอบเสียงเรียบ “แล้ว....มึงอ่ะ”
“ก็เหมือนกันมั้ง จนกว่าจะมีแผนใหม่” โฟล์คว่า
“แล้วเค้า... ยังดีอยู่ป้ะ” อินถาม
“ก็ดี๊...” โฟล์คขึ้นเสียงสูง “ไม่รู้ดิ... ก็... กูก็คืนให้เค้า ชดเชยให้ทุกอย่างที่เค้าควรได้อ่ะ”
และแล้วก็เงียบกันไปพักนึง
“เห้ย อย่าคิดมากดิ กูโอเค” โฟล์คว่า “อีกอย่าง มันพิสูจน์ว่ากูสับรางเก่งไง มีชู้อย่างมึงอ่ะ”
“ไอ้เวร เค้าไม่เรียกเก่ง เค้าเรียกเหี้ยป่ะ มันต้องทุบด้วยซ้ำ” อินว่าพลางเอื้อมมือไปทุบส่วนกลางของโฟล์คจากนอกผ้าห่มเบาๆ ทำเอาโฟล์คหุบตัวและร้องขึ้นทันที
“โอ๊ยยย อย่าดิ เดี๋ยวตื่นแล้วมึงซวยนะ” โฟล์คร้อง ขณะที่อินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกลับมาเงียบกันอีกครั้ง เป็นความเงียบที่ทั้งคู่ต่างรู้กันดีว่า นี่เป็นเส้นทางที่ยากลำบากด้วยกันทั้งคู่ เส้นทางที่มันสุ่มเสี่ยง และพังทุกอย่างที่ทั้งคู่เป็น
“กู.... ต้องไปละ” อินยื้อตัวเองขึ้นก่อน แต่โฟล์คยังคว้าตัวเขาเอาไว้
“ไม่เอา...” โฟล์คว่า “อยู่กะกูอีกแปปนึงดิ”
“ไม่ได้... เดี๋ยวรถติด” อินตอบ
“ติดไม่เท่ากูติดมึงหรอก ตะกี้ได้ยินอยู่ เข้าบ่ายไม่ใช่อ่อ” โฟล์คร้อง
“มึงเนี่ยน้า... รู้ดี” อินหันไปหงุดหงิด พลางมองโฟล์คที่ยังทำสายตาออดอ้อน
“ขอนะ....” โฟล์คพูดกับอินอีกครั้ง
อินถอนหายใจพลางมองไปทางอื่น ขณะที่โฟล์คเห็นดังนั้นก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ย
“เก่งจริงก็เอากูให้อยู่ละกัน”
อินก้มลงไปจูบโฟล์คอีกครั้งทันที
.........
“โอ้โห... แผนใหญ่มากนะ ไอ้เมธนี่บ้าพลังใหญ่เลยแหะ” บอสพัฒน์แห่ง Lovable Studio พูดขึ้นหลังจากที่นั่งคุยกับอินอยู่ในห้องประชุม “แล้วเราจะไหวเหรอเหอะอิน เฮาส์ของสุเมธมีดีไซน์เนอร์ในมือเท่าไหร่นะ”
“ก็... พอพอกับที่นี่มั้งคับ สองสตู แต่ดีไซน์เนอร์เบียดกว่า มีอาร์ตไดคนเดียวคับ” อินว่า “แปดคนได้คับ ไม่รวมผมกับพี่เมธนะ”
“โอย ตายๆ... วรพัฒน์เค้าจะซื้อหรือเปล่านะ เมธอาจจะต้องหมุนคนเข้าไปเพิ่มนะ” บอสพัฒน์พูด “งั้นฝากไปบอกเมธทีว่าให้ดูโครงสร้างดีดี เพราะงานอ่ะไม่มีอะไรติดหรอก เมธมันเก๋าเรื่องแบรนด์อยู่แล้ว แต่ถ้าจะไปตลาดสากล ต้องวางแผนเยอะหน่อย ตอนนี้ยังไม่เห็นภาพตรงนี้เท่าไหร่”
“แล้วลุงแนะนำยังไงอ่ะคับ” อินถามต่อ
“พูดยากเหมือนกัน เพราะคนมันตามสุเมธไง แต่ยังไม่ได้เห็นคนที่อยู่กับเมธเพิ่มเติม ไม่งั้นเมธอาจจะต้องปั้นดีไซน์เนอร์คนใหม่ หรือทำแบรนด์ให้ติดคอนเนคชั่นมากขึ้น อย่างลุงเองก็กำลังดูดูอยู่ว่าจะเอาทีมสตูลง BAD Award ปีนี้อยู่ เพื่อดันดีไซน์เนอร์เพิ่มอีก” พัฒน์อธิบาย
“แต่ถ้างัด BAD Award มันก็จะเพิ่มงานป่ะคับ” อินว่า
“อ่า...นั่นก็ใช่ เพราะงั้นก็เลยต้องคิดดีดีว่าจะยังไง” พัฒน์ว่า “จริงๆเพื่อนเราอ่ะ เจ้ากายอ่ะ ช่วงนี้มันกำลังมาเลยนะ หลายๆคนในวงการเริ่มพูดถึงอยู่ ว่ามันทำงานฉายเดี่ยวและวางแผนครบจบได้คนเดียว ถ้าเราดีลได้ ก็น่าจะให้มันไปช่วยเจ้าเมธมันนะ”
“อ้อคับ..” อินว่า “แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันอยากจะทำงานกับเฮาส์เล็กๆหรือเปล่าอ่ะคับ เพราะมันจับงานใหญ่มาก่อนแล้ว”
“ไม่รู้เว้ย ถ้าเมธไม่ดีล ลุงจะดีลมันมาทำกับลุงแล้วนะ” พัฒน์กล่าว “ของแบบนี้ ความไวเป็นเรื่องของปีศาจนา”
“คับผม... แต่ไอ้กายมันก็เป็นพ่อมดแห่งวงการโฆษณาไงคับ” อินเสริม และนั่นทำเอาทั้งคู่หัวเราะ ขณะที่อินเริ่มเก็บไอแพดและของรอบๆตัว “งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวผมขอตัวแล้วคับ ต้องเข้าออฟฟิสตอนบ่าย”
“เอ้อ แล้วนี่ เราล่ะเป็นไงบ้าง ทำงานหนักเลยเหรอ แม่เราเค้าบอกว่า ไม่ค่อยกลับบ้าน” พัฒน์กล่าว
“อ๋อ...คับ ก็... บางทีก็ค้างกับพี่เมธ ไม่ก็กับเพื่อนอ่ะคับ กลับบ้านมันไกลอยู่” อินตอบ
“อ่านะ... งั้นก็ดูแลสุขภาพด้วยล่ะ อย่าโหมงานหนักมาก แม่เค้าฝากมาบอก” พัฒน์ว่าต่อ
“อ๋อ...คับ ขอบคุณคับ” อินขมวดคิ้วงงๆกับบอสพัฒน์นิดหน่อยที่อยู่ดีดีก็แสดงความเป็นห่วงต่อเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น “งั้น ผมลาละคับ”
“อ่างั้นเดี๋ยวให้ผึ้งเค้าไปส่ง ผึ้ง ผึ้ง”
“เอ่อไม่ต้องดีกว่าคับ เดี๋ยวผมไปเอง รบกวนเปล่าๆ”
อินไม่รอให้บอสพัฒน์ทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย จึงออกจากห้องประชุมมาทันทีโดยไม่รีรอ พลางเก็บของทุกอย่างลงเป้ใบโปรด และเดินลงไปชั้นล่างของ Lovable Studio
“อ้าว อิน...” เสียงของสาดังขึ้น พลางโบกมือให้เขา และเขาก็ได้พบกับแกงค์ถาปัตย์ที่ไม่ได้เจอนาน นัท สา และมิก ที่กำลังเดินออกจากสตูดิโอตัวเองพอดี
“อ้าว หวัดดีๆ” อินยิ้มทักทาย “เห้ ไม่ได้เจอพวกนายนานมากอ่ะ”
“เออคิดถึงๆ” สาเดินเข้ามาทักทายเขาขณะที่นัทและมิกเดินตามออกมาและโบกมือให้
“มาทำไร เปลี่ยนใจมาสมัครงานที่นี่ป้ะเนี่ย” นัทว่า
“ป่าว... มาเอางานให้พี่ที่ออฟฟิศอ่ะ” อินว่า
“ไปกินข้าวด้วยกันป่าว นี่ก็จะพักเที่ยงพอดีเลย” มิกเอ่ยชวน
“เอ่อ... ไม่ดีกว่า พอดีรีบเข้าออฟฟิศอ่ะ ไกล เดี๋ยวรถติด” อินว่า
“เอ๊า เสียดายเลย” สาร้อง
“ไว้คราวหน้าป้ะ เราว่าเดี๋ยวได้เจอกันบ่อยๆอยู่ละเหอะ” อินยิ้มให้
“นั่นดิ งั้นไว้เจอเนอะ บาย...” นัทโบกมือลา
อินมองทั้งสามเดินไปยังรถเต่าของมิกที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศและขับผ่านออกไป เป็นเรื่องตลกดีที่เขาไม่ได้ตอบตกลงพีทและบอสพัฒน์พ่อของพีทในการมาทำงานที่ Lovable Studio เขารู้สึกว่ามันจะง่ายไปและคงเป็นเรื่องที่อึดอัดเอามากๆ หากจะใช้เส้นสายของพีทเข้ามาทำงานที่นี่ นัท สา มิก คงมองเขาด้วยความรู้สึกที่อึดอัด พอพอกับเขาที่คงมองตัวเองแย่ ดังนั้นเมื่อรุ่นพี่ที่คณะแนะนำให้เขารู้จักกับสุเมธ ที่กำลังทำแบรนด์เล็กๆของตัวเองให้เติบโตขึ้น และกำลังมองหาคนที่จะไปลุยกับเขาในเรื่องสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ อินจึงรู้สึกว่าการโตไปกับอะไรเล็กๆ น่าจะท้าทายตัวเขามากกว่า ซึ่งความตลกก็คือ แวดวงงานของพี่สุเมธ ก็ยังพาเขาวนกลับมาเจอทุกคนอยู่นั่นเอง
ขณะที่ตัวเขาก็เดินออกจาก Lovable Studio และเดินไปยังรถของตัวเอง บอสพัฒน์ก็เดินออกจากออฟฟิศ
“อ้าว อิน ยังอยู่เหรอ... เออ ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม” บอสพัฒน์กล่าว
“เอ่อ...คือ...”
“นั่นไง... เจ้าพีทมาโน่นอ่ะ”
อินหันไปก็เจอกับพีท ที่ดูจะตกใจเล็กน้อยที่เจอกับเขา อินมองหน้าพีทอยู่ครู่หนึ่งขณะที่พีทเดินตรงเข้ามา
“พีท เจออินเค้าพอดีเลย ไปกินด้วยกันเลยดิลูกไป” บอสพัฒน์กล่าวกับลูกชาย ขณะที่พีทมองหน้าอินและหันไปหาพ่อของเขา
“มันน่าจะยุ่งๆอ่ะพ่อ อย่าไปกวนมันเลย” พีทพูดเสียงเรียบ
อินหลบตาลงทันที
“เอ๊า...ถามเค้าก่อนไหมล่ะ แกนี่ก็... อินไป ไปด้วยกัน” พัฒน์ยังคงกล่าวชวน
“คือผม...ต้องรีบเข้าออฟฟิศอ่ะคับ พี่เมธรอแบบอยู่” อินรีบพูดต่อ
“เห็นป่ะพ่อ มันยุ่งตลอดอ่ะ... เราไปกันดีกว่าคับ”
พีทมองหน้าอินด้วยความเรียบเฉย ขณะเดินตัดผ่านเขาไปหาพ่อ อินหลับตาลงเล็กน้อยและพยายามสลัดความรู้สึกอึดอัดที่ก่อตัวมาหลายเดือนแล้ว
ความอึดอัดที่ว่า พีทดูมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป
............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 30 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-04-2020 16:01:12
กระโจนลง หลุมไฟ ให้แผดเผา
มันร้อนเร่า เคล้ากาม ที่ตามหา
ไม่คำนึง ผิดถูก คลุกกายา
อย่าร้องหา เห็นใจ ไม่มีเลย

สันดานบาป จาบจ้วง ควงหมุนติ้ว
มักโหยหิว ลิ่วล่อง จ้องงัดเสย
กล่าวแอบอ้าง ว่ามันเป็น ของคุ้นเคย
จริงๆแล้ว มันเฉลย สันดานคน

ทุศีล..มัวเมาตัณหากามา
หึ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 30 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-04-2020 23:40:31
ตอนที่ 31 Vow

 อินเดินออกมาจากออฟฟิศของพี่สุเมธด้วยความอ่อนเพลีย วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก พี่สุเมธเดินหน้าตามโปรเจ็คของตัวเขาเองอย่างเต็มที่ตามแผนที่ได้วางเอาไว้ และนั่นทำให้อินต้องอยู่ลุยกับทุกงานของพี่สุเมธตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาจนดึกดื่น ไม่แม้แต่กับคืนวันศุกร์แบบนี้ ที่อินก็เพิ่งจะเดินออกจากออฟฟิศมาในเวลาเกือบห้าทุ่ม
ติ๊ง!!
เสียงข้อความดังขึ้น เมื่ออินเอาออกมาเปิดดูก็พบข้อความของโฟล์ค

FoF : คืนนี้ไม่ได้นะ อยู่กับพี่บอล ขอโทษที

อินถอนหายใจให้กับข้อความครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเอง ก็คงต้องหอบร่างกายอันเหนื่อยล้า ขับรถกลับบ้านไป
ถนนที่โล่งสบายในตอนดึกทำให้อินถึงบ้านในไม่ถึงชั่วโมง หลังจากที่ลงรถมาและเดินเข้าบ้าน เขาก็พบว่าแม่ของเขากำลังนั่งอยู่กับพีท และพูดคุยกันอย่างร่าเริงตอนที่เขากำลังเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
“อ้าวอิน... วันนี้กลับบ้านเหรอลูก” แม่ร้องทักเขาก่อน
“คับแม่ แล้ว...นี่แม่ทำงานเหรอ” อินถามกลับ
“อ๋อ แม่กลับมาแล้ว วันนี้เลิกไวน่ะ” เธอยิ้มให้ลูกชาย ขณะที่อินมองไปยังพีทที่หันมามองเขาแว้บหนึ่ง ก่อนจะกลับไปหยิบนมมาดื่ม
“วันนี้มึงกลับมานอนนี่อ่อ” อินถามขึ้น พลางเดินไปหยิบน้ำในครัวมากิน
“ก็...ตอนแรก ก็ว่าจะนอน แต่เดี๋ยวกลับละ” พีทพูดทันที
“อ้าว... ทำไมล่ะพีท ก็นอนนี่แหละ มันดึกแล้ว ขับรถดึกๆอันตรายนะ” แม่พูดขึ้น
“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกคับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมต้องออกไปกับพ่อด้วยอ่ะ” พีทตอบโดยพยายามไม่มองหน้าอิน ขณะที่อินนั่งลงและมองหน้าพีทชัดๆอีกครั้ง
“ก็นอนนี่ไม่ได้อ่อวะ” อินพูดเสียงแข็ง “แม่จะได้ไม่ต้องห่วงไง”
น้ำเสียงของอินดึงให้พีทหันมามองเขา สายตาที่จริงจังของอินทำให้พีทยิ้มให้เขาเบาๆ ก่อนจะหันไปหาคุณแม่
“งั้น... รบกวนด้วยคับ”
..........
ก๊อก ก๊อก
อินเคาะประตูห้องนอนของพีท ก่อนจะได้ยินเสียงตอบรับที่ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะตอบ เขาจึงเปิดประตูห้องเข้าไป ก่อนจะพบว่าพีทกำลังนอนเล่นมือถือ ชายหนุ่มส่งยิ้มมาให้อินแว้บหนึ่ง ก่อนที่อินจะปิดประตูและหันไปมองพีทด้วยสีหน้าสงสัย พีทจึงเงยหน้าขึ้นมามองอินครั้งหนึ่ง
“ไม่อาบน้ำอีกอ่อ” พีทพูดเสียงเรียบ
“เป็นเชี่ยไรของมึงเนี่ย” อินพูดทันที พีทเหลือบตาขึ้นมามองอินแว้บหนึ่ง
“อะไร” พีทถามเสียงใส
“ก็พักนี้ไง มึง...ทำตัวแปลกชิบหายเลย” อินว่า
“แปลกยังไง” พีทว่า
“ก็... มึงดู... ไม่รู้อ่ะ มึง โกรธอะไรกูป่ะพีท” อินถาม
“เปล่า... ไม่ได้โกรธ” พีทพูดพลางกดมือถือต่อ
“ไม่ได้โกรธ แต่ไม่มองหน้ากันตอนคุยเนี่ยนะ” อินพูดพลางเดินหยิบเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงอย่างจริงจัง พีทหลับตาลงพักหนึ่งก่อนจะเก็บมือถือ และหันมาคุยกับอินอย่างจริงจัง
“อ่ะ...หันมาคุยแล้ว โอเคยัง” พีทยิ้มให้
แต่อินก็ยังไม่สบายใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเท่าไหร่
“ไหนบอกว่าอยู่ด้วยกันมาสามปี ต้องคุยกันได้ทุกเรื่องไง” อินพูด
“ก็มันไม่ได้โกรธ เอ๊.. มึงนี่ก็เซ๊าซี๊จังวะ” พีทว่า
“เรื่องกูไปนอนคอนโดโฟล์คอ่อ” อินยิงตรงเข้าประเด็นทันที พีทถึงกับหัวเราะเบาๆ
“นี่ไอ้อิน... ถ้ากูจะหึงมึงเรื่องไอ้โฟล์ค กูคงซัดมึงไปตั้งแต่ที่หนองคายแล้วป่ะวะ” พีทตอบ แต่อินก็ยังไม่พอใจในคำตอบนี้เท่าไหร่
“แล้ว...มึงย้ายออกทำไมอ่ะ” อินว่า “ก็แม่บอกแล้วไงว่าอยู่ได้”
พีทเลิกคิ้ว อินรู้สึกได้ว่าเขากำลังหาคำพูดที่เหมาะสม
“พูดดีดีนะ เอาความจริง” อินเค้นต่อ “มึงไม่พอใจอะไร มึงบอกกูได้ดิ”
“ไม่ใช่” พีทว่า
“แต่มึงย้ายออกไปหลังจากที่กูบอกมึงเรื่องโฟล์ค” อินว่า “คือกูก็รู้ว่ากูผิด... แต่... คือ... ที่ผ่านมามันก็ไม่มีอะไร ก็แค่.. อาศัยนอน”
“อิน... กูไม่ได้ว่าอะไรที่มึงจะนอนกะมัน” พีทว่า “แล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่กูย้ายออกด้วย”
“แล้วมึงหลบหน้ากูทำไม” อินถามจี้เข้าไปอีก และนั่นทำให้พีทเงียบไปพักนึง
“ก็...ก็แค่ยุ่งๆ... เครียดๆกับ... เรื่อง...อนาคต” พีทตอบ ทำเอาอินเหล่ตามองพีทอยู่อย่างนั้น
“อย่างมึงเนี่ยนะ จะเครียดเรื่องอนาคต มีเหี้ยอะไรที่มึงจะจัดการไม่ได้วะ” อินว่า
“หึ... เหมือนทุกคนคิดแบบนี้กะกูหมดเลยเนอะ” พีทพูดออกมา ทำเอาอินชะงักไปพักนึง “ก็... ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องอ่ะ ที่กูจะจัดการได้ มันก็... ก็มีที่ รวนๆไปหน่อย”
“งั้นก็กลับมาอยู่ด้วยกันดิ” อินว่า “มีอะไรจะด้วยช่วยกันแก้ แม่เค้าก็บ่น ว่าเค้าอยากเจอมึง”
พีทเกาจมูกอย่างครุ่นคิด พลางมองหน้าอิน
“งั้นเดี๋ยวกูคุยกับแม่มึงเอง” พีทว่า “มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก”
และก็เงียบกันไปพักนึง อินมองหน้าพีทอยู่อย่างนั้น
“มึงดูไม่ใช่พีทที่กูรู้จักอ่ะ” อินพูดต่อ “กู...กลัวว่า...”
พีทเอื้อมมือไปแตะไหล่ของอินไว้ทั้งสองข้าง พลางจ้องเข้าไปที่ใบหน้าของอิน และนั่นทำเอาอินตกใจเล็กน้อย พีทมองเข้าไปในดวงตาของอิน
“ถ้ามึงกลัวว่าทุกอย่างที่กูเคยสัญญากับมึงจะเปลี่ยนไป กูก็จะบอกมึง ว่ากูยังจะเหมือนเดิม” พีทพูดชัดเจน “แต่...กูแค่....”
พีทเหมือนพยายามจะควบคุมตัวเองบางอย่าง ขณะที่จับตัวของอินไว้ ใบหน้าของเขายื่นเข้ามาใกล้อินมากกว่าทุกครั้ง แต่พีทก็ก้มหน้าลงทันที
“กูแค่... แค่....” พีทพูดเสียงสั่น “ขอเวลา....กูหน่อย... แล้ว... เดี๋ยวก็ผ่านไปได้แหละ”
“มึงโอเคแน่นะ” อินถามอีกครั้ง
“อื้อ... กูโอเค”
..........
“งั้นเดี๋ยวเอาเป็นว่าให้กายลองตีโจทย์พวกนี้ดูก่อนไหม แล้วค่อยว่ากัน” สุเมธพูดขึ้นในเช้าวันจันทร์ ในห้องประชุมของซูเม่ เพื่อคุยในแผนการพัฒนาธุรกิจของแบรนด์ ในขณะที่อินก็นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อจดในประเด็นสำคัญลงไอแพด
“มันก็ได้อยู่นะพี่ แต่ผมว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาเคี่ยวกับมันมากกว่านี้หน่อย ผมว่าผมซื้อไอเดียของอาพัฒน์นะ ว่าให้เราปั้นดีไซน์เนอร์กันก่อน แล้วถ้าทุกคนมีของ ผมว่าอะไรๆมันจะง่ายขึ้น” กายพูดต่อ
“แหม แต่พี่ก็มีกายแล้วไง” สุเมธพูดทันที
“โหพี่... ผมอ่ะ มันก็ตัวคนเดียวไง คือผมจะเซ็นกับพี่ก็ได้เพราะผมไม่ได้เซ็นกับเอเจนซี่ไหน แต่ผมว่าถ้าเราจะเดินเกมส์ระยะยาว ผมว่าเราเดินตามแผนอาพัฒน์ดีกว่าครับ ถ้าเรามีเครือข่ายดีไซน์เนอร์ดีดีอยู่ในมือ แล้วเราเข้าไปต่อรองกับทางคอสโม่ ผมว่าง่ายแน่นอน” กายพูดถูก “แล้วเดี๋ยวเราก็จะยกทั้งก้อนนี้ไปพร้อมกันก็ยังได้คับ ผมว่าพี่อ่ะสู้ตรงนี้ไหว”
“คือใจพี่อ่ะ ภายในสามปี พี่อยากตั้งสาขาที่ปารีสนะ แต่ก็กังวลเรื่องสไตล์ หรือทิศทางของที่โน่น” สุเมธพูดต่อ
“เรื่องนั้นผมก็พอจะมีเพื่อนอยู่ที่โน่นอยู่คับ เธอทำแฟชั่นอยู่ แต่เดี๋ยวยังไงเราค่อยว่า ตอนนี้เดี๋ยวผมจะลองเก็บแผนไว้ก่อน แล้วเราค่อยว่ากัน” กายตอบ
“โอเค... งั้นตามนี้ อิน ทันไหมเรา” สุเมธหันไปถาม
“ทันพี่ แล้ว... กาย มึงจะลง BAD Award มั้ย ทาง Lovable เค้าฝากถามมาอ่ะ” อินถามขึ้น
“โห... ก็ดูดูอยู่ว่ะ กลัวว่าแม่งตอบตกลงกับเอเจนซี่ไหน อีกที่นึงแม่งจะเขม่นเอา ตอนนี้กูแม่งเสือกโดนจ้องทั้งวงการเลย เหนื่อยชิบ” กายพูดขึ้น ซึ่งทำเอาสุเมธหัวเราะ
“ก็นั่นสิน้า พ่อมดแห่งวงการโฆษณา เด็กที่ได้ทุนออกแบบจากสมาคมนักโฆษณา ก็กลายคนที่ทำแคมเปญสินค้าที่เหมือนจะตายไปแล้ว ให้กลับมาดังได้ แถมเด็กคนนั้นก็อายุยังน้อย แล้วก็เป็นฟรีแลน์อีกต่างหาก” สุเมธพูดต่อ
“ยังไม่รวมข่าวมึงกับนางแบบอีกนะ” อินพูดเบาๆ กายถึงกับชูนิ้วกลางให้เพื่อนทันที
“โห... ก็พูดกันไปพี่ แวดวงเรานี่ก็ปั่นข่าวเก่งอ่ะ ผมงี้ยอมเลย” กายว่า “แต่เรื่องลงประกวด เรื่องหาดีไซน์เนอร์เดี๋ยวผมดูๆให้ละกันคับ ไอ้ความที่ทุกคนก็รู้จักผม ชวนผมไปเยอะ เดี๋ยวผมไล่ๆดูให้คับ ไม่ต้องห่วง”
“โอเค ขอบคุณมาก งั้นเดี๋ยวพี่เอาโจทย์นี้ไปให้ทีมพี่ก่อน เดี๋ยวพี่มา อิน... สรุปให้พี่ด้วยนะ” สุเมธกล่าว
“ได้พี่...” อินรับคำ ขณะที่นั่งทำพรีเซนต์ต่อไป เมื่อสุเมธออกไปจากห้องแล้ว กายหมุนเก้าอี้มาหาเพื่อนทันที
“มึงทำงานกับเค้านี่ มึงใช้แบตกี่ก้อนวะเนี่ย” กายร้องทันที
“ทำไมวะ” อินร้องถาม
“เค้าพลังเยอะเหี้ยๆ แถมฝันใหญ่มาก คนแบบนี้คือทุกกระเบียดคืองานเลยนะเว่ย” กายว่า “กูพูดเลยว่า มึงจะโดนเค้าลากไปเซอร์เวย์แน่ๆ เค้าเลือกมึงเป็นเลนส์แทนเค้า”
“ช่าย กูเลยงานท่วมหัวอยู่นี่ไง” อินพูดขณะนั่งจัดหน้ากระดาษในจออยู่
“เออ แล้วนี่มึงรู้ข่าวไอ้มอสหรือยัง” กายว่า
“ข่าวไรวะ” อินเงยหน้าขึ้นมาถาม
“มันจะแต่งงานแล้วนะ” กายพูด
“เห้ย...จริงดิ...” อินร้อง “กะใครวะ”
“หึ... ก็น้องไอ้เบนซ์ไง” อินว่า
“เยดเข้ จริงป่ะเนี่ย โอ้โห... แม่งนักสู้สัส” อินหัวเราะเสียงดังเช่นเดียวกับกาย “แล้วยังไงเมื่อไหร่”
“จัดไปแล้วคับ” กายตอบ
“อ้าว แล้วเพื่อนฝูงไม่ชวนอ่อวะ” อินพูด ขณะที่กายยื่นหน้ามาใกล้ๆ
“พอดีมันรีบ... เดี๋ยวหลานออกก่อน” กายยักคิ้วให้
“อ้อ..... ไอ้เวรเอ้ย” อินส่ายหน้าให้กับเรื่องนี้ทันที มันไม่ผิดคาดจากสิ่งที่เขาคิดไว้เลย “แล้วไอ้เบนซ์แม่งไม่กระทืบเอาเหรอวะ”
“กูอยู่ในเหตุการณ์เลย ไอ้มอสงี้แทบกราบตีนเลยคับ” กายว่าต่อ “แต่ก็ดีอย่าง คือโตโตกันแล้วอ่ะ น้องเค้าก็โตแล้ว ก็รักกัน ก็อยู่ด้วยกัน ก็ดีป่ะวะ รีบแต่งรีบจบ”
“เออ ได้งั้นก็ดีแหละ พวกเราแม่ง วุ่นชิบหาย แต่ละคน” อินว่า
“ช่าย แล้วกูกลับมาคือวิ่งตามแก้ให้พวกมึงรายตัวเลยนะ” กายพูด “ชดใช้กรรมสัส”
“สม” อินว่า
“แล้วมึงกะเชี่ยโฟล์คอ่ะ ยังไง” กายถามบ้าง ทำเอาอินนิ่งไปพักนึง
“ก็...โอเค๊ คุยกันได้ ก็... เจอกันบ้าง ไม่ได้ไร” อินว่า พลางเริ่มเลือกรูปในสไลด์ทันที
“แน่ใจ” กายถาม
“เออ... กูไม่ได้ไรแล้ว ก็เคลียร์กันไปแล้วไง มึงก็อยู่” อินว่า “โตโตกันแล้วอ่ะ งานเยอะชิบ กูกับมันก็ไม่มีเวลา... เชี่ย กาย มึงดึงไอแพดไปเพื่อ กูทำงานอยู่”
กายจ้องไอแพดของอินในมืออยู่อย่างนั้น
“มึงไปเอาภาพนี้มาจากไหน” กายพูดพลางมองภาพวาดภาพหนึ่งที่อยู่ในไอแพด เป็นภาพวาดที่มีผู้คนเดินไปมาวุ่นวายในแสงสีที่สาดไปมาและเมืองที่ดูอ้างว้าง
“หะ... เนี่ยนะ นี่ Loveless Society ภาพของเพื่อนๆที่กูรู้จักอ่ะ ทำไม มึงรู้จักอ่อ” อินถาม
กายมองหน้าอินทันที
“เพื่อนคนนั้น เคยมาปาร์ตี้ที่บาร์ไอ้โฟล์คใช่ป่ะ วันที่พวกมึงเลี้ยงจบกันอ่ะ วันที่มึงแพ้เบียร์” กายว่า
“ก็...ใช่... ใช่ใช่ ทำไมวะ มึงมีไรเหรอ” อินร้องถาม
“เค้าชื่อ... นัทนนท์ ป้ะ” กายร้องถาม
“ก็...ใช่... มึง รู้ได้ไงเนี่ย” อินมองหน้ากายอยู่อย่างนั้น กายที่จ้องภาพในไอแพดอย่างไม่ละสายตา
...........
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 31 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-04-2020 00:38:54
เพียงน้อยหนึ่ง ให้พึงใจ ไม่กระหาย
หรือตะกละ ใครมากมาย หลากหลายแสน
คือความรัก หรือความใคร่ ตะกายแทน
คิดเคืองแค้น หรือขื่นขม จมที่ใจ

มองทางไหน ใจห่อเหี่ยว เปลี่ยวใจก่อ
มองทางนู้น ใจทดท้อ ห่อหวั่นไหว
มองทางนี้ ก็ไม่เจอ ผู้คนใด
ในสังคม ที่ไร้ใจ ไม่มีเลย

..เข่นฆ่าหาประโยชน์ส่วนตน บนความทุกข์ของคนรอบข้าง..
สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า "คน" หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 31 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 16-04-2020 17:55:17
ตอนที่ 32 Lost

 “ครับอา... ได้คับ... คับ งั้นเป็นซักวันอังคารนะคับ คับ... ขอบคุณคับ ค้าบ ไว้เจอกันคับ” กายวางหูไปทันทีขณะที่นั่งอยู่เลาจ์ของโรงแรมในค่ำของวันนั้น หลังจากประชุมกับพี่สุเมธเสร็จเมื่อช่วงบ่าย กายก็ดูเหมือนจะไม่ยอมออกไปไหนต่อ กายนั่งเฝ้าอินอยู่ที่ออฟฟิศจนกระทั่งอินเคลียร์งานจนเสร็จรอบดึก ก่อนจะพาอินออกจากออฟฟิศไปไกลถึงบาร์ที่โรงแรมใจกลางกรุงทันที
“โอเค ได้ละ” กายหันมาพูดกับอินที่ยังคงมองกายด้วยความสงสัยอยู่อย่างนั้น
“กูมึนว่ะ” อินพูดขึ้น
“อ่าว ยังมึนอีกอ่อ นี่ก็พันช์ธรรมดาไม่ใช่อ่อวะ” กายชี้ไปที่แก้วตรงหน้าอิน
“ไม่ใช่เครื่องดื่ม กูหมายถึงมึงเนี่ย” อินว่า “มึงเป็นเชี่ยไรขึ้นมาอ่ะหะ อยู่ดีดีก็เปลี่ยนใจไปลง BAD Award กับ Lovable Studio ซะงั้นอ่ะ แล้วโทรหาเค้านอกรอบด้วย แล้วกูจะบอกพี่เมธว่าไง”
“ก็บอกไป ว่ากูเจอดีไซน์เนอร์ที่น่าสนใจที่นั่นไง” กายว่า แต่อินก็ยังคงขมวดคิ้วใส่
“มึงจะเจอได้ไง มึงไม่เคยไปเหยียบที่นั่นด้วยซ้ำ” อินว่า
“เอาน่า... ช่วยกูซักครั้งนะ” กายพูดต่อ
“ถ้าอยากให้กูช่วย มึงก็ต้องเล่าให้กูฟัง ว่ามันเรื่องเชี่ยไรกัน” อินพูด “ไม่งั้นกูโดนพี่เมธสวดแน่อ่ะ”
กายเงียบไปพักนึง ก่อนจะมองหน้าอิน
“กูเคยเห็นภาพนั้น ภาพในแบบร่างของสตูอาพัฒน์อ่ะ” กายตอบ
“Loveless Society อ่ะนะ” อินว่า “ที่ไหน”
“ที่ปารีส” กายว่า “ภาพนั้นเคยไปจัดแสดงที่นั่น กูจำได้ กูเคยเห็นแน่ๆ”
อินนั่งคิดอยู่พักหนึ่ง
“อ๋อ... ใช่ พวกถาปัตย์ไปจัดแกลทีสิสกันที่โน่น เมื่อปีก่อน” อินว่า “แล้ว... มึง..ยังไง ชอบภาพนี้มากอ่อ”
กายเงียบสนิทพลางตกผลึกความคิดในหัว
“กูอยากรู้จักคนที่วาดภาพนี้อ่ะ มึง... แนะนำให้กูหน่อยดิ” กายพูด อินจึงเหล่ตามองพลางครุ่นคิด
“อยากรู้จัก...แบบไหน” อินถามจี้
“ก็... ไม่รู้ดิ กูอยากรู้ว่าเค้าเป็นใคร มีความคิดยังไง ทุกๆอย่าง” กายพูด “กู...อยากเจอเค้า”
อินยังคงเงียบพลางมองเพื่อนอยู่อย่างนั้น แต่แววตาของกายส่อแววความจริงจังอยู่ในทุกคำพูด ความจริงจังที่อินไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่...ไม่ได้เกี่ยวกับงานใช่ป่ะ” อินว่า “ไม่ใช่เรื่องงานทั้งหมด ถูกป่ะ”
กายยังคงเงียบ พลางหลบสายตาลงทันที และหยิบไวน์ขึ้นมาจิบ อินมองการกระทำนั้นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอะไรบางอย่าง
“มึง...เป็นไรป่ะเนี่ย” อินถามเสียงจริงจัง ขณะที่กายเงียบไปและเหลือบตาขึ้นมองเพื่อนของเขา
“กูเคยคิดอยากสละสิทธิ์ แล้วให้มึงไปแทนนะรู้ป่ะ” กายพูดขึ้นทันที “ที่นั่นแม่ง... ไม่ได้เป็นอย่างที่กูคิด... จนมาถึงตอนนี้ กูก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นชีวิตที่กูอยากได้ป่าว”
“พ่อมดแห่งวงการโฆษณาที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยอ่ะนะ” อินว่า
“แต่กูเสียพวกมึง” กายว่า
“พวกกูก็กลับมาแล้วไง” อินว่า
“แต่กูก็เสียแม่ เสียคนที่กูรัก...” กายเงียบไปพักหนึ่ง “กู... กูเลิกกะเจนแล้ว”
ความจริงข้อนี้ทำเอาอินเงียบเสียงลง สิ่งที่เขาเคยสบประมาทกายไว้ ในวันที่ The Zodiac แตก มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วงั้นสินะ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” อินร้องถาม
“ประมาณปีสาม ช่วงที่แม่เริ่มป่วย” กายว่า
“เค้าเลยไม่กลับมากับมึงอ่อ” อินว่า แต่กายส่ายหน้า
“กูกับเค้ากลับมาคุยกันได้นะ เค้าเอ่อ... จบแฟชั่นแล้วไปได้โคตรไกลเลย” กายว่า “ครั้งสุดท้ายที่กูเจอเค้า เค้ากำลังจะเซ็นกับนิตยสารแฟชั่นที่ฝรั่งเศส ซึ่งกูก็ไปแสดงความยินดีกะเค้าอยู่อ่ะ แต่....กู กู...”
“มึงคิดว่ามึงไม่ได้อยู่ในโลกของเค้าอีกแล้ว” อินพูดต่อ “เดินไม่เสมอกับเค้าอีกแล้ว...ใช่หรือเปล่า”
กายมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น อินเข้าใจความรู้สึกของกายดี เข้าใจอย่างถ่องแท้
“กู Lost นะตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ กู... ไม่รู้จะทำไง เพราะกู ไม่เหลือใครแล้ว กู... กูรู้สึกว่าต้องวิ่งไปข้างหน้า แต่กูไม่รู้ต้องวิ่งไปทำไม เพื่อใคร” กายพูดต่อ “กูดีใจที่เจนเค้าประสบความสำเร็จ กูดีใจที่เราสองคนเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ทะเลาะกัน หรือกลับมาคุยกันไม่ได้ แต่... พอกูกลับมานี่ เป็น อะไรนะ.... พ่อมดแห่งวงการ... อย่างที่เขาพูดกัน แต่... กูไม่เคยแฮปปี้กับโลกวุ่นๆนี่เลยเว่ย กูเหมือน... กูกำลังหาบางอย่างที่...”
กายเงียบไป ก่อนจะจิบไวน์เพิ่มอีก
“คือ...สิ่งที่กูรู้สึก มันเหมือนกับ...”
“Loveless Society ภาพของนัท” อินพูดต่อ กายพยักหน้าเบาๆ
“กูเห็นแกลอรี่ของเค้า วันที่กูแยกกับเจน แล้ว...กูก็คิดว่า กูเคยเจอเค้า อาจจะเคยเดินผ่านกันที่โน่น” กายว่า “แต่กูจำออร่าของเค้าได้ เค้าเหมือน รายล้อมด้วยเพื่อนป้ะ เค้าดูมีเพื่อนอยู่ตลอด เหมือนวันที่ปาร์ตี้ที่บาร์ดาดฟ้า ใช่ป่ะ”
“ใช่... เค้าเป็นงั้นแหละ สามสหาย นัท สา มิก แกงค์ถาปัตย์” อินว่า “กูเรียนโฆษณาตัวเดียวกับเค้า แล้วก็ทำชมรมภาพถ่ายกับพวกเค้าสมัยเรียนอ่ะ”
“พวกเค้า... มีในสิ่งที่พวกเราไม่มี” กายพูด “เค้ามีในสิ่งที่กูไม่มี”
และแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง
“กูเสียใจ ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” กายว่า “มันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ถ้าเกิด...”
“เดี๋ยวกูพาไปเอง” อินพูดขึ้น “Lovable Studio วันอังคารหน้าใช่ป่ะ... เดี๋ยวกูพาไปส่งถึงที่เลย แต่คำถามสำคัญก็คือ... มึงจะยังไงต่อ ถ้าเจอเค้าแล้ว มึงไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อน ไม่เคยคุย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นไง”
“กูอยากเริ่มต้นใหม่ ลองอะไรใหม่ๆ” กายว่า
“ลองของแปลกว่างั้น” อินพูด “แล้วเจนจะว่าไง”
“ไม่รู้สิ... แต่... เขาไม่อยู่นี่ จริงป่ะ” กายยิ้มให้
“โอเค... งั้นก็... ขอมึงโชคดี” อินหยิบแก้วพันช์ของตัวเองขึ้นมา และชนกับกายทันที
ทันใดนั้นเด็กเสิร์ฟคนหนึ่ง ก็วางโคโคนัทมอกเทลล์ลงตรงหน้าทั้งคู่ กายและอินมองหน้ากัยครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาเด็กเสิร์ฟ
“เอ่อ... เรา.. ไม่ได้สั่งคับ” กายพูดขึ้น
“คับผม... ทราบคับ แต่ทางร้านอยากมอบให้คุณคนนี้อ่ะคับ” พนักงานเสิร์ฟหันมองมาทางอินที่ทำหน้างงงัน
“ผม...เหรอคับ” อินร้องถาม
“ใช่คับ จากบาร์เทนเดอร์คับ” พนักงานผายมือให้ทั้งอินและกายมองไปที่บาร์ด้านใน และอินก็ต้องตกใจเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างหลังบาร์คือพี่บอล เขาส่งยิ้มมาให้อินจากตรงนั้น
“เอ๊า...” กายส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะมองมาที่เพื่อนของเขา “มึงต้องจัดการเรื่องของมึงก่อนป่ะเนี่ย”
“เออ... คงงั้นอ่ะ”
.........
อินแยกกับกายที่หน้าเลาจ์ของโรงแรมขณะที่ตัวเขาเองเดินตรงไปที่รถของตัวเอง ขณะที่เสียงเสียงหนึ่งร้องเรียกเขาไว้
“น้องอิน” เสียงของพี่บอลดังขึ้น อินยืนยิ่งสนิทด้วยความตกใจ ขณะที่ค่อยๆหันหลังไปเจอบอลที่วิ่งออกมาจากร้านทั้งชุดทำงาน อินมองบอลด้วยสีหน้านิ่งสนิท และยิ้มให้เบาๆ
“คับ” อินรับคำเบาๆ พยายามทำให้น้ำเสียงราบเรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“พี่ ขอคุยด้วยแปปสิ” บอลพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่อินก็ยังคงมองหน้าของเขานิ่ง
“เอ่อ... คับผม”
“คือ... พี่อยากจะขอโทษ เรื่อง...นั้น....” บอลพูดกับอินทันที และนั่นทำให้อินใจสั่นเบาๆ “พี่...ไม่มีโอกาสจะได้พูดเลยว่า... พี่เสียใจ ที่ทำแบบนั้น...กับเรา”
อินเงียบสนิท ความคิดร้อยพันตีอยู่ในหัว
“พี่ไม่น่าทำตัวงี่เง่าแบบนั้น พี่อาจทำเราตายได้เลยแล้ว.... พี่เสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา” บอลพูดด้วย้ำเสียงจริงจังมากขึ้น “พี่ขอโทษนะคับ”
อินถอนหายใจเบาเบา
“คับ...” อินตอบไป และกลายเป็นว่าคำขอโทษของพี่บอล กำลังซัดความรู้สึกผิดก้อนใหญ่ลงมาที่ตัวเขาทันที
“ไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้นะ พี่แค่... เห็นว่าเรามาที่นี่ แล้วอุตส่าห์เจอ ก็เลย...” บอลพยายามพูดต่อ
“ผมไม่ได้คิดอะไรแล้วคับ” อินพูดต่อไป “ก็... ไม่ได้มีอะไรกัน...แล้ว”
“พี่รู้... โฟล์คบอกพี่แล้ว” บอลพูดต่อ และคำพูดอันเรียบง่ายนั้น ก็ทำให้อินรู้สึกเจ็บแปลกๆ หรือบางที เขาควรจะเป็นฝ่ายสารภาพมันออกไป และยุติเรื่องทั้งหมดนี้
“คือ...ผม...มี....”
“พี่กับโฟล์คกำลังจะไปญี่ปุ่นนะ” บอลพูดต่อทันที โดยที่อินต้องชะงักการพูดของตัวเองไว้แบบนั้น
“..อ...อะไรนะคับ” อินร้องต่อ
“อ๋อ... มันไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ” บอลถาม
“ก็... ไม่ได้เจออ่ะคับ” อินพูดเสียงสั่น
“อ่านะ...คือ พี่ได้เส้นสายที่โน่น แล้วจะไปทำบาร์เทนเนอร์ พี่เลยจะชวนโฟล์คเค้าไปด้วยกัน” บอลว่า “อีกสองเดือนพี่จะย้ายไป”
“เหรอคับ” อินรับคำทั้งๆที่ใจสั่นรัว
“แต่...ไว้พวกเราเจอกันเองแล้ว...ให้มันบอกอีกทีละกัน นี่พี่แค่...มาคุยกับเราส่วนตัวเฉยๆ” บอลว่า พลางเดินเข้ามาใกล้อินมากขึ้น “พี่ไม่อยากผิดใจกับเราก่อนพี่ไป... ยังไงเรา... เคารพกันนะ”
บอลยื่นมือมาหาอินตรงหน้า อินมองมือคู่นั้นก่อนจะหลับตาและยื่นมือไปจับทันที
“งั้นก็.... ขอให้พี่กับมัน...โชคดีนะคับ” อินพูดพลางยิ้มให้พี่บอลอย่างฝืนเต็มที
“ขอบใจนะ...อ้ะ แปป”
บอลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดรับสายและเดินห่างจากอินไปยังมุมหนึ่ง
“อ่าๆ...ได้คับ...งั้น ไว้วันอื่นเนอะ....อื้อ พักผ่อนละกัน... คับ เป็นห่วงเหมือนกัน....คับ ไว้เจอกัน”
อินเมินหน้าหนีบทสนทนานั้นและทำเป็นไม่ได้ยิน มันดูเป็นความอึดอัดก้อนใหม่ที่ถาโถมเข้ามาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ บอลวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะเดินกลับมาหาอิน ที่หันไปยิ้มกว้างในพี่บอล
“ยังไงเอ่อ... เดี๋ยวถ้าอินไม่ติด... พี่อาจจะอยากชวนอินกับเอ่อ...พีทป้ะ... มาทานข้าวกัน แล้ว... คุยกันอีกที ก่อน...ไป” บอลพูด “เราจะได้เอ่อ... เข้าใจใช่ป่ะ”
“คับ... เข้าใจคับ” อินตอบ “แต่... ผมยังไม่รับปากนะพี่”
“พี่เข้าใจ... อินอาจจะยังโกรธพี่อยู่”
“เอ่อ...ไม่ใช่คับ คืองานผมยุ่งจริงๆแล้วพอดีเจ้านายผมเค้า ชอบส่งผมไปเซอร์เวย์ ผม...เดินทางบ่อยมาก เลย... ไม่ชัวร์” อินพูด
“อ่อ...อ่านะ ทำงานกันแล้วนี่เนอะ” บอลว่า “ยังไงก็...เดี๋ยวค่อยว่าละกัน“
“คับ...”
“งั้นเอ่อ...พี่ไม่กวนละ... ขับกลับบ้านดีดีล่ะ” บอลว่า พลางโบกมือและเดินจากลานจอดรถและกลับเข้าไปในโรงแรม อินมองด้านหลังของบอลที่กำลังเดินจากไปด้วยความรู้สึกผิดที่ใหญ่พอพอกับงานที่กองอยู่ที่ออฟฟิศ เขาหลับตาลงครั้งหนึ่ง
“พี่บอล” อินร้องเรียกทันที บาร์เทนเดอร์หนุ่มหันหลังมาหา
เขาไม่ได้อยากให้อะไรๆมันเป็นแบบนี้ อินกำมือแน่นก่อนจะพูดออกไป
“ผมขอโทษนะคับ” อินพูด “ผมขอโทษ...ถ้าเกิดว่า... ผมทำให้มันพัง... ผมขอโทษคับ”
บอลมองหน้าอิน พลางยิ้มให้เบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าโรงแรมไป โดยไม่พูดอะไรกันซักคำ บอลเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบในลานจอดรถ ความเงียบที่อบอวลอยู่ในความคิดของอินเช่นกัน
เสียงของข้อความดังขึ้น อินหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดู
FoF : กลับกี่โมง มาหากูหน่อย คิดถึง
..........
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 32 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-04-2020 22:20:41
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 32 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-04-2020 23:00:22
ไปอ่านเรื่องของกายกับนัทจบแล้ว
กว่าจะลงเอยกันได้ก็ลุ้นจนตอนสุดท้ายเลย
แต่กายก็ไม่ได้แย่นะในเรื่องความรักต่อนัท
ยังพอรับได้ในเหตุผลของกาย
..อ่านสลับกับเรื่องนี้ จนจบ ชอบ เต็มอารมณ์เลย..

แต่โฟล์คนี่ไม่ไหวอ่ะ..ไม่ไหวจริงๆ
เลวววววววววววววววว..รักแบบไหนของมันกันนะ
ปล่อยให้ทั้งพี่บอล ทั้งอินเจ็บปวดใจทั้งสองคนเลย
ยังไงก็จะตามอ่านจนจบ อยากรู้จุดจบความรักของคนแบบนี้


ความตะกละ ตะกุมกาม ตามตัณหา
ความละโมบ โฉบกามา ดั่งห่าฝน
แทบไม่เหลือ หัวใจ ความเป็นคน
เห็นแก่ตัว เหลือล้น จนเกินไป

อยากจะได้ อยากจะมี ในทุกสิ่ง
เหมือนตัวเห็บ ตัวปลิง อิงอาศัย
เที่ยวเกาะดูด เลือดเนื้อ ตามแต่ใจ
จะชาตินี้ หรือชาติไหน ขอไกล..เมิง

พระเอก here! หึ

ป้อล่อ..เรื่องที่สอง(coldness)ยังไม่ได้อ่านเลยฮับ
อิอิ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 32 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 18-04-2020 01:28:21
ตอนที่ 33 Propose

   โฟล์ควางมือถือลงหลังจากที่กดส่งข้อความเสร็จแล้ว ก่อนจะรออยู่หลายนาทีแต่ทว่าข้อความที่ขึ้นว่าอ่านแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับมา โฟล์คมองข้อความนั้นอย่างไม่แน่ใจอะไรนัก ก็ได้แต่เก็บมือถือลงและเริ่มทำงานต่อในช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่บาร์จะปิด
   “หวัดดีนาย” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นที่บาร์ โฟล์คหันมาก็เจอเข้ากับพีทที่อยู่ในชุดสบายๆ กำลังยิ้มกว้างให้กับเขา
   “อ้าว...พีท... หวัดดี” โฟล์คว่า “มาไงเนี่ย”
   “มากับพ่ออ่ะ โน่น” พีทชี้ไปที่เก้าอี้ริมระเบียง ปรากฎชายวัยกลางคนที่กำลังถ่ายรูปวัดอรุณที่อยู่ตรงข้าม
   “อ่อ... แล้วดื่มมั้ย...เอาไรดี” โฟล์คถาม
   “อืม ขอตัวที่ไม่แรงอ่ะ” พีทพูดเสียงเรียบๆ “ของเราคนเดียวก่อน”
   “อ้าว” โฟล์คส่งเสียงสงสัย “แล้วพ่อนาย ไม่ดื่มเหรอ”
   พีทเงียบเสียงไปพักหนึ่ง
   “กำลังรออีกคนอ่ะ” พีทตอบ
   ซึ่งไม่ทันสิ้นคำของพีท โฟล์คก็เห็นผู้หญิงที่คุ้นตาเดินขึ้นมาที่บันใดของดาดฟ้าทันที และเมื่อเขาเพ่งมองดีดีเขาก็เห็นแม่ของอินนั่นเอง
   “อร...ทางนี้คับ” พ่อของพีทร้องเรียกแม่ของอินให้ไปที่โต๊ะริมระเบียง เธอส่งยิ้มให้พ่อของพีท ก่อนจะรีบรุดไปนั่งลงตรงนั้น และส่งเสียงพูดคุยกันอย่างสดใส ขณะที่พีทหันไปมองอยู่แว้บหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาโฟล์ค
   “อ่อ... โอเค นึกว่าใคร จำได้ว่าแม่อินเขาชอบดื่มรสเปรี้ยว เดี๋ยวจะลองทำ...”
   “โฟล์ค... จัดการนี่ให้หน่อย” พีทพูดพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าของเขา และกล่องของบางอย่างที่วางคู่กัน โฟล์คมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบมันออกมาอ่าน
   “พีท... นี่มัน...”

........

   “ไม่นึกว่าอรจะเคยมาร้านนี้” พัฒน์พูดพลางยิ้มให้อรอยู่ที่ริมระเบียงบาร์
   “เพื่อนอินเค้าทำอยู่ที่นี่น่ะค่ะ” อรตอบ “เคยมาครั้งสองครั้งกับที่ออฟฟิศ”
   “อย่างนั้นเหรอคับ” พัฒน์ว่าต่อ “จริงๆ ผมยังไม่ได้ขอบคุณอรเลยนะ ที่ช่วยดูแลพีทให้ผมช่วงที่ผมไปยุโรป.... ขืนปล่อยมันอยู่คนเดียว เผลอๆเตลิดแน่”
   “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พีทเป็นคนเก่ง แล้วก็ขยันมากด้วย อรเองยังอยากให้อินเอาอย่างลูกพัฒน์เลยนะ” เธอกล่าวพลางยกแก้วขึ้นจิบ
   “เสียดายที่อินไม่ยอมมาทำกับผมที่สตู เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกันกว่านี้” พัฒน์ว่า
   “ค่ะ อินเค้าอยากไปลุยเดี่ยวก็ปล่อยเค้าแหละ นี่วันนี้ก็คงดึก เผลออาจจะค้างคอนโดเพื่อน คงไม่ได้กลับบ้าน” อรว่า “พัฒน์ล่ะคะ ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
   “ก็เรื่อยๆคับ เหนื่อยๆหน่อย แต่ก็โอเค” เขายิ้มตอบเธอ พลางมองหน้าอรที่ส่งยิ้มมา พัฒน์เอื้อมมือไปจับมือเธออย่างแผ่วเบา
   “ฉลองเนื่องในโอกาสอะไร คุณยังไม่บอกอรเลยนะ” เธอว่า พัฒน์หัวเราะเบาๆ
   “คือเอ่อ... คือผมเองก็... อยากเจอคุณ” พัฒน์ว่า “จริงๆ วันนี้มันวันครบรอบ 4 ปีของเราแล้วนะอร”
   แม่ของอินยิ้มพลางก้มหน้าลงทันทีเมื่อถึงประโยคนี้
   “ว้าว เอ่อ... อรไม่ได้จำเลยอ่ะค่ะ งานยุ่งมาก แล้วก็...”
   พัฒน์เอื้อมมือไปจับเธอ
   “ผมมีอะไรจะให้” พัฒน์พูดพลางโบกมือมายังโฟล์คที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว เขากลั้นใจพลางเดินไปหาโต๊ะตรงหน้า พลางปั้นยิ้ม
   “โห โฟล์ค ขอบใจจ้ะ... อรยังดื่มอันนี้ไม่หมดเลยพัฒน์” เธอรับแก้วมาจากโฟล์คทันที
   “เหอะน่า...ผมสั่งพิเศษให้คุณนะ” พัฒน์กล่าว
   “ต้องขนาดนี้เลยเหรอพัฒน์” เธอว่า
   “อันนี้เป็นสูตรพิเศษของบาร์คับ ก่อนจะดื่ม ให้ยกก้นหลอดขึ้นมาก่อนคับ” โฟล์คว่า
   “โอ้...” เธอหยิบแก้วขึ้นมาและจับหลอดดู ขณะที่โฟล์คหยิบกระบอกน้ำแข็งแห้งขึ้นมาแล้ว กดเป่าใส่แก้วตรงหน้า และทันทีที่ควันจางหายไป สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าบริเวณก้นหลอด ส่องประกายวาววับต้องกับแสงไฟของร้าน
   มันคือแหวนแต่งงาน
   “อร...ผม... อยากคุย... เรื่องของเรา”
   อรอมยิ้มพลางนิ่งไปพักหนึ่ง
   “พัฒน์....” อรเงยหน้าขึ้นมองพัฒน์ ขณะที่โฟล์คก้มตัวและเดินจากมา
   “คือ ผมรู้ว่าเราก็ยุ่งๆกันทั้งคู่ เวลาก็อาจจะไม่ตรงกันแต่... ผมอยากชัดเจนกับสิ่งที่ผมจะทำ” พัฒน์ว่าต่อ “ผม... อยากใช้ชีวิตอยู่กับคุณ”
   เธอยังคงเงียบไปพักหนึ่ง
   “ผมไม่ได้ต้องการให้อะไรเปลี่ยน คือ... ไม่ต้องจัดงานกันวุ่นวายก็ได้ แต่ผมแค่อยากจะ....” พัฒน์พูดต่อ “ผมแค่อยากให้เรากลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”
   อรมองหน้าพัฒน์อยู่อย่างนั้น
   “คือ... ผมไม่รู้นะ คือ.. ในส่วนของผม ผมว่ามันเวิร์ค พีทกับคุณ อินกับผม... มันเอ่อ...” พัฒน์เสียงสั่นมากขึ้นทุกที “แต่...ถ้าคุณไม่...เอ่อ”
   “ตกลงค่ะ” เธอพูดตอบ พลางยิ้มกว้าง “อรตกลง”
   “โอ้.... ดีเลยคับ....ดีเลย” พัฒน์ยิ้มกว้าง “งั้นเอ่อ... ให้ผม...”
   “ค่ะ”
   อรยื่นมือไปข้างหน้า ขณะที่พัฒน์หยิบแหวนและสวมลงที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
   “ก็อยากจะคุกเข่านะแต่... เราก็ไม่ใช่เด็กๆกันแล้วเนอะ” พัฒน์ว่า ซึ่งนั่นทำเอาอรหัวเราะเบาๆ
   “แค่นี้อรก็....ดีใจแล้วค่ะ” อรว่า “แต่...ไม่ต้องจัดงานเนอะ เรา...เอาแบบเรียบง่ายแล้วกันนะคะพัฒน์ ไม่งั้นเรายุ่งกันแน่เลย”
   “เป็นอีกเรื่องที่เราคิดตรงกันนะ”
   ทั้งคู่ยิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น
   “อร... ยังไม่ได้บอกอินเค้าเลย” เธอว่า พลางมองแหวนในมือ
   “คุณว่าเค้าจะโอเคมั้ย” พัฒน์ถาม
   “อินไม่คิดมากหรอกค่ะ เค้าโตแล้ว... พีทล่ะคะ คุณบอกเค้าหรือยัง” อรถาม
   “คับ...ผมบอกแล้ว”
   โฟล์ควางถาดลงตรงบาร์ ขณะที่มองพีทที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มมองแก้วของตัวเองตรงหน้าพลางครุ่นคิดอะไรหลายอย่างที่กำลังตีวนอยู่ในหัว
   “เรียบร้อยใช่ป่าว” พีทถามขึ้น แม้จะยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากแก้วของตัวเอง
   “อื้อ... ก็... ไม่ใช่ลูกค้าคนแรกหรอกนะ ที่ให้ทำอะไรแบบนี้ที่นี่” โฟล์คพูดเสียงเรียบ “จริงๆ ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในที่ขอแต่งงานที่... สวยอยู่”
   “อ่าหะ... เราเลือกเองอ่ะ” พีทว่า “คิดว่าพ่อน่าจะโอ แม่อรก็น่าจะโอ”
   “แล้วนายอ่ะโอหรือเปล่า”
   คำถามของโฟล์คทำเอาพีทนิ่งเงียบสนิท เขาหยิบวอดก้ามากระดกขึ้นหนึ่งชอตแล้ววางลงอย่างแรง ก่อนจะมองหน้าโฟล์ค
   “อย่าบอกมันนะโฟล์ค”
   โฟล์คเงียบไปพักนึงพลางมองหน้าพีท
   “ทำไมอ่ะ... ข่าวดีไม่ใช่อ่อ”
   สิ่งนั้นทำให้พีทขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก เป็นสีหน้าที่โฟล์คไม่เคยเห็นนัก พีทกำหมัดแน่นอยู่อย่างนั้น
   “ถ้าเราเป็นนาย แม่งคงดีกว่านี้งั้นดิ” พีทว่า “แม่งคง...ไม่เป็นแบบนี้ใช่ป่ะวะ”
   คำพูดของพีทส่งความหมายอะไรมาบางอย่าง และนั่นทำให้โฟล์ครู้สึกได้ ว่ามันคืออะไร
   “ช่างมันเหอะ โฟล์ค นายฟังเรา.... เราอยากให้นาย.... ชัดเจน...ซะที” พีทว่า “ถ้า...นายรักมันจริง... เอามันไปซะตอนนี้เลย...ทำให้ทุกอย่างมันสะอาดซะทีเหอะ”
   “พูดไรของนายวะ”
   “มันหมดเวลาแล้วโฟล์ค วันนี้แม่งมาถึงแล้ว นายต้องตัดสินใจ” พีทพูด “เราดูนายออก ว่านายไม่ได้คิดอะไรกับแฟนนายแล้ว นายต้องปล่อยเค้าไป แล้วดูแลคนที่นายรัก โอเคป่ะ เพราะเรา....”
   เงียบกันไปพักนึง
   “ทำซะ ก่อนที่อินจะรู้เรื่องนี้โฟล์ค”
   ก่อนจะลุกออกไปจากบาร์ทันที พอดีกับข้อความของอินตอบกลับมาแล้ว โฟล์คอ่านอยู่พักหนึ่ง

   APi. : อยากเจอเหมือนกัน แต่มึงไม่ต้องรีบก็ได้ กูเพิ่งเสร็จธุระ ถ้าถึงก่อนจะบอก 

   โฟล์คเงยหน้าขึ้นมองพีทที่เดินจากไป ทั้งๆที่เหตุการณ์อันน่ายินดีตรงหน้า โฟล์คควรจะร่วมแสดงความยินดีกับครอบครัวใหม่ของอิน แต่มันเหมือนพีทได้ทิ้งก้อนบางอย่าง ลงมาที่ตัวเขาทันที

.........

   อินจอดรถตรงลานจอดรถที่อยู่ชั้นที่สูงที่สุดของคอนโดโฟล์ค เขานั่งนิ่งอยู่ในรถอยู่พักหนึ่ง พลางคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงวันนี้ วันที่เขากำลังนั่งอยู่ในรถตัวเอง ที่ต้องวนหาที่จอดรถที่อยู่ในซอกหลืบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตัวเขา ที่กำลังใช้ชีวิตเหมือนเมียน้อยใครซักคน ทำตัวหลบๆซ่อนๆในบางคืน และหลบออกไปในตอนสายของอีกวัน เขาทบทวนทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เขาออกจากโรงพยาบาลในวันนั้น
   เขากลับบ้านไปกับพีท ขณะที่โฟล์คกลับไปขอโทษพี่บอลตามที่เขาบอก เขาเอง ที่ไม่ได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของโฟล์คกับพี่บอลเป็นอย่างไรต่อ แม้ว่าคืนนั้น เขาทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าอยู่กับพีทที่บ้าน และเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้อมึนที่อยู่ในหัว แทบไม่ต่างอะไรจากวันนี้ ความรู้สึกอึดอัดที่เขาพยายามวิ่งหนีมันมาตลอด แต่มันก็กลายเป็นภาระที่เขาต้องแบก
   โฟล์คบุกมาปรากฎตัวอยู่ที่ประตูห้องของเขาอีกสามวันต่อมา เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่โฟล์คกอดเขาไว้และร้องไห้อยู่อย่างนั้น ก่อนที่มันจบลงเหมือนทุกครั้งที่เขาและโฟล์คอยู่ด้วยกัน
   เซกซ์...
   และมันก็เป็นแบบนั้นเรื่อยมา เขาทั้งคู่หลีกเลี่ยงที่จะถามถึงความสัมพันธ์ของอีกฝ่าย แม้จะเจอกันในวันรับปริญญา หรือแม้แต่การนัดรวมของไอ้มอสก่อนที่จะย้ายไปเชียงใหม่ถาวร ทั้งเขาและโฟล์คขีดเส้นความสัมพันธ์ของตัวเองได้เด็ดขาด แม้จะไม่เคยเจอกันสี่คนอย่างจริงจังอีกหลังจากเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล แต่จากสถานการณ์ที่ผ่านมา มันพิสูจน์แล้วว่าทั้งเขาและโฟล์คจัดการเรื่องทุกอย่างได้
   เรื่องที่มันทำให้ทั้งคู่ดำมืดลงทุกที
   อินหยิบบัตรคอนโดที่โฟล์คทำให้ และเข้าลิฟท์ขึ้นตรงไปยังห้องพักของโฟล์ค เปิดประตูเข้าไปเจอบรรยากาศเดิมๆที่ว่างเปล่า ขาของเขาก้าวเข้ามาในห้องนี้จนเขารู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นยังไง ทุกย่างก้าวเดินไปด้วยสัญชาตญาณที่ผิดพลาด ขณะที่ตัวเขานั่งลงที่โต๊ะกลางห้องอย่างหมดเรี่ยวแรง กับคำพูดของพี่บอลที่ยังคงตีวนอยู่ในหัว    
   คำขอโทษที่ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกดีขึ้น แต่กลับฉุดให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไป
   เขาควรจะทำยังไงกับสิ่งเหล่านี้ดี....
   “ไหนว่าถึงแล้วจะบอกไง” โฟล์คเดินออกมาจากห้องน้ำพลางเช็ดหัว อินหันไปยิ้มให้ทันที
   “อ้อ... ก็... พอดี...ลืม” อินว่า “แล้ว...ไหงวันนี้เลิกเร็ว”
   “เปล่า... ก็... อยาก...กลับมาเจอมึงไง” โฟล์คตอบพลางเดินเข้ามากอดอินไว้จากด้านหลัง
   “กูยังไม่ได้อาบน้ำ มึงจะมานัวเหงื่อกูทำไมเนี่ย” อินว่า
   “กูอาบอีกรอบได้น่า อาบกะมึงดีมะ” โฟล์คตอบ อินหัวเราะเบาๆพลางคิดบางอย่างอยู่ในหัว
   หรือว่ามันคงถึงเวลาที่....
   “โฟล์ค... กูมีเรื่องจะบอ....”
   “อิน.... กูจะเลิกกับพี่บอลแล้วนะ” โฟล์คพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้อินชะงัก
   “มึง... มึงว่าอะไรนะ”
   “กู...จะบอกเลิกเค้า” โฟล์คว่า “แล้ว... หลังจากนั้น มึงคบกะกูนะ”

..............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 33 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 18-04-2020 14:40:54
ตอนที่ 34 Out Of Plan

   อินมองหน้าโฟล์คที่คร่อมตัวเขาจากด้านหลังเก้าอี้อยู่อย่างนั้น แววตาของโฟล์คส่งประกายความหมายออกมาอย่างแน่วแน่ ขณะที่อินมองมันด้วยคำพูดร้อยพันที่ตีกันอยู่ในหัว
   “โฟล์ค....มึง.... จะเอางั้นอ่อ” อินร้องถาม โฟล์คยิ้มเบาๆ ก่อนจะย้ายมานั่งอยู่ข้างตัวอิน
   “กูบอกมึงมาตลอด ว่าไม่อยากรอไปอีกวัน หรืออีกนาที ที่ไม่มีมึง” โฟล์คว่า “ตอนนี้มึงกะกูก็เคลียร์เรื่องกลุ่มเรากันจบแล้ว งานมึงกับงานกูก็นิ่งแล้ว มันก็เหลือแค่... แค่คนของเราที่ต้อง....”
   “มึงเริ่มต้นใหม่กับเค้าก็เพราะกูป่ะวะ มึงเคยบอกอ่ะ” อินว่า “มึงคบกับเค้าก็เพราะกู แล้วมึงก็จะเลิกกับเค้าก็เพราะกูอีกอ่ะเหรอโฟล์ค...”
   “ก็ทั้งชีวิตกูมีแต่มึงอ่ะ” โฟล์คว่า    
   “งั้นมึงก็กำลังเหี้ยเพราะกู” อินว่า “พี่บอลเค้าถอยให้มึงมามากแล้วนะเว่ย”
   “แต่เค้าก็เคยทำเหี้ยกับมึงนะ” อินถาม
   “แต่เค้าก็ดีกับมึงไง แล้วตอนนั้นกูก็เป็นคนผิด” อินว่า
   “แต่...กู...” โฟล์คพูดก่อนจะถอนหายใจ “อิน อย่าเพิ่งชวนทะเลาะดิ กูอยากจริงจังกะมึงแล้วอ่ะ กูเบื่อกับการอยู่กันแบบนี้ กูเบื่อกับการที่ต้องทำเหมือนมึงเป็นเมียน้อยกูแบบนี้ กูเจอมึงก่อนเค้านะเว่ย กูรักมึง มึงไม่เข้าใจอ่อวะ”
   อินหายใจเข้าแรง
   “โฟล์ค รักอย่างเดียวไม่พอป่ะ” อินพูดขึ้น “มึงกะกูต้องเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุดดิ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มึงกะกูรักกันแล้วแม่งมีอะไรดีขึ้นมั่งอ่ะ”
   โฟล์คเงียบสนิท
   “ดีสุดก็ได้แค่...เอากันที่นี่ป่ะวะ” อินว่าต่อ “อยู่กันทุกวันนี้ไม่พังกันทั้งคู่ก็ดีตายห่าแล้ว”
   “กูถึงอยากทำให้มันจริงจังไง” โฟล์คพูดเสียงนิ่มว่าพลางจับมืออินขึ้นมาทันที
   “อย่ามาหวานไรแบบนี้ ไม่เอา” อินว่า
   “ฟังกูก่อนได้ป่าว” โฟล์คพูด พลางจับมืออินแน่นขึ้น “กูยื้อกะเค้ามาได้แค่นี้ มันพังมาก่อนหน้านั้นแล้ว และ... ต่อให้มีมึงหรือไม่ มันก็ผิดที่กูใช้เค้าเป็น...ตัวแทนของมึงมาตลอด”
   อินเงียบสนิท
   “กูอาจจะมีมึงเป็นอะไรที่กูวิ่งตาม แต่... ครั้งนี้ให้กูได้ตัดสินใจ กูจะไม่ยอมเสียมึงไปอีกแล...”
   “ไปญี่ปุ่นกะเค้าซะ” อินพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้โฟล์คนิ่งสนิท
   “มึง....รู้เรื่องนี้ได้ไง” โฟล์คว่า
   “เค้าอยากมีอนาคตกะมึงนะเว่ย เค้าไม่ได้แค่รักมึง แต่เค้าคิดถึงทางข้างหน้ากับมึง” อินว่า “แต่กูไม่มีตรงนั้นให้มึง กูมองไม่เห็นอะไรไกลไปกว่ามึงได้กะกูที่นี่อ่ะโฟล์ค และนั่นคือความเหี้ยของมึงกะกู”
   โฟล์คเงียบไป เขามองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
   “มึงเจอเค้ามาอ่อ” โฟล์คถาม แต่อินยังคงเงียบสนิท พลางพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม
   “เอาเป็นว่ากูรู้ละกัน” อินตอบ “มึงไม่ต้องห่วง เค้าไม่ได้รู้เรื่องของเรา”
   โฟล์คถอนหายใจลง
   “เห็นมั้ย มึงยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ว่ามึงจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” อินพูดต่อ “แต่เค้าเลือกให้มึงแล้ว และแม่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับมึงมากเลยนะ”
   “กูตัดสินใจเองได้ ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับกูอิน” โฟล์คว่า
   “แล้วมึงเคยตัดสินใจถูกป่ะ” อินว่าต่อ “ตั้งแต่จูบแรกที่มึงให้กูตอน ม.ปลาย มาจนถึงวันนี้ มีครั้งไหนไหม ที่การตัดสินใจของเราสองคนตั้งอยู่บนความถูกต้องอ่ะโฟล์ค มึงบอกกูทีดิ”
   โฟล์คเป็นฝ่ายเงียบขึ้นมาบ้าง
   “กี่ครั้งแล้วที่มึงกะกูลากตัวเองมาจมอยู่กับความอึดอัด เราเคยมีความสุขกันจริงๆซักครั้งป่ะโฟล์ค” อินพูด “มีครั้งไหนบ้าง ที่มึงตัดสินใจแล้วได้ความสุขอ่ะ และถ้ามึงบอกว่าทุกครั้งการตัดสินใจของมึง เป็นเพราะกู กูก็จะบอกมึงเลยว่า ถ้ามึงเลือกกูครั้งนี้ มึงจะพังกว่าเดิม”
   “พังได้ไง ในเมื่อ...”
   “เพราะชีวิตกู ไม่เคยมีมึงอยู่ในแพลนโฟล์ค” อินพูดต่อ และนั่นทำให้โฟล์คนิ่งสนิท ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น โฟล์คอึ้งไปทันทีที่เจอคำพูดของอิน
   “มึง...ไม่เคย...มีกูในแพลนอ่อ” โฟล์คพูดทวนคำอินช้าๆ อินหายใจเข้าลึก
   “อ...เออ...ไม่เคย” อินว่า “กูใช้ชีวิตวันต่อวัน กูไม่รู้ว่าพี่เมธจะลากกูไปไหนอีก กูไม่รู้ว่ากูจะกลับบ้านกี่โมงด้วยซ้ำในแต่ละวันอ่ะ”
   “แต่กูก็ไม่เคยว่ามึงเลยนะ”
   “แต่ถ้าพี่บอลเค้ามีโอกาสที่ดีกว่าให้อ่ะ มึงก็ควรคว้าไว้ไง” อินว่า “มึงคิดว่ากูอยากเห็นมึง ต้องอยู่กับทางเดินมืดๆอ่อวะ กูไม่อยากให้มึงไม่มีปลายทางในชีวิตนะ”
   โฟล์คหลบตาลงทันที
   “กูขอโทษนะโฟล์ค แต่มึง...ต้องตอบตกลงแล้วไปกับเค้า” อินว่า “มึงไม่มีเวลามากแล้ว อีกสองเดือน มึงต้องจัดการทุกอย่าง คอนโดนี้ก็ ปล่อยเช่าไป ที่บาร์ปั้นเด็กใหม่ไป แล้วมึงก็ออกจากโลกนี้ไป ญี่ปุ่นนะเว่ย ได้งานด้วย ส่วนกูก็....”
   “ไปกับพีทงั้นอ่อ” โฟล์คพูดขึ้นเสียงเข้ม “มึงคิดว่า กูจะจัดการกับมึง เหมือนทุกอย่างรอบตัวกูแบบนั้น แล้วมึงก็จะไปหามันอ่อ มึงคิดว่ากูจะทำกับมึง เหมือนจัดการสิ่งของง่ายๆแบบนั้นอ่อวะอิน ปล่อยมึงไปกับมัน เหมือนกูปล่อยคอนโดอ่ะนะ”
   “โฟล์ค มึงอย่างี่เง่าน่า พีทไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้” อินว่า
   “แต่มันอยู่ในสมการของมึงเสมออิน” โฟล์คว่า “ถ้าพี่บอลถูกกูลากมาเพราะมึง พีทก็ถูกมึงลากมาเพราะกู”
   อินหายใจเข้าลึก
   “ก็ใช่...แต่แล้วยังไงอ่ะ” อินว่า “ขนาดกูไม่ยอมทำงานกับออฟฟิศพ่อเค้า งานของกูยังบีบให้ไปโคกับเค้าอยู่ดี ถึงกูกับมันจะไม่ได้เป็นอะไรกันตอนนี้ แต่กูว่า ถ้ามันเวิร์ค ก็คือจะเวิร์ค”
   โฟล์คหัวเราะเงียบๆในลำคอ
   “นี่เว่ย คือทางที่เหมาะ กูก็เคยบอกมึงไปแล้ว” อินว่า
   “ถ้ามันเวิร์คจริง แล้วทำไมมึงไม่คบกับมันไปตั้งแต่วันนั้นอ่ะ” โฟล์คว่ากลับ “มึงกลับมาเอากะกูทำไมวะ”
   อินเงียบเสียงไป
   “ทำไมมึงถึงมาอยู่กับกูนานถึงหกเดือนวะอิน ทำไมมึงกับมันความสัมพันธ์ไม่ไปไหนซะทีอ่ะ” โฟล์คพูดจี้ใจของอินมากขึ้น
   “กู...กูกับมันก็....” อินพยายามพูดบางอย่าง
   “มันออกจากบ้านมึงไปแล้วไม่ใช่อ่อ.. แล้วทำไมมึงถึงไม่ปล่อยมันไปซะทีอ่ะ” โฟล์คว่า “ในเมื่อมึงก็อยู่กับกูที่นี่อ่ะ กูกำลังทำทางที่มีมึงกะกู แต่มึงเสือกหาทางอื่นให้กู แล้วตัวมึงก็ฝันถึงทางที่มีมึงกับมัน ทางไม่มีทางเป็นจริงได้งั้นอ่อ”
   “ถ้ามึงกับพี่บอลเป็นจริงได้ ทำไมกูกับพีทจะเป็นจริงไม่ได้วะ” อินร้อง
   “ก็เพราะว่า.....” โฟล์คเงียบเสียงลง ก่อนจะกำหมัดแน่น เขากัดริมฝีปากของตัวเองไว้จนเจ็บ เขาไม่อาจจะพูดอะไรไปไกลได้มากกว่านี้แล้ว เขาไม่อยากจะเป็นคนที่ทำให้อินเจ็บไปมากกว่านี้
   พีทพูดถูก เขาต้องไม่ใช่คนที่บอกอิน เขาไม่สามารถเป็นคนที่เห็นแก่ตัวไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
   “เพราะกูหึงมึงไง” โฟล์คว่า “กูไม่อยากเสียมึงให้ใคร... กู....กูอยากเลิกกับพี่บอล แล้วก็ยังมีมึงอยู่...ตรงนี้.... กู....พูดชัดพอมั้ย”
   อินมองหน้าโฟล์คอยู่อย่างนั้น ก่อนจะส่งเสียงขำในคอเบาๆ
   “ก็อย่างที่กูบอก” อินว่า “นั่นมันเลวเกินไป และ... ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น”
   และแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “กู...อาบน้ำละ” อินว่าพลางลุกขึ้น “จริงๆ....คืนนี้กู...ไม่ควรอย....”
   “ไม่” โฟล์คคว้าแขนของอินไว้ “กูไม่ให้มึงไปไหน ต่อให้กูต้องขายวิญญาณให้ปีศาจ เพื่อยื้อมึงไว้อีกนาที กูก็จะทำอิน กูให้มึงกลับบ้านไม่ได้”
   อินเงียบเสียงลง
   “กูไม่อยากให้มึง ต้องเจ็บ... อยู่กะกูเหอะนะ กูขอร้อง” โฟล์คจับข้อมือของอินไว้จนเจ็บ เสียงของโฟล์คสั่นเครือ เสียงที่ทำให้อินสั่นสะท้าน และยอมโฟล์คมาตลอดหลายต่อหลายครั้ง อินหันหลังกลับมาและจับมือโฟล์คไว้
   “จะช้าหรือเร็ว เราก็ต้องไปคนละทางป่ะ” อินพูดเสียงเรียบ
   “แต่คืนนี้... คืนนี้กูอยากอยู่กับมึง” โฟล์คว่า อินยิ้มเบาๆ
   “โฟล์ค... กูแค่จะไปอาบน้ำ... โอเค๊”
   โฟล์คมองหน้าอิน ก่อนจะคว้าเขามาจูบเบาๆครั้งหนึ่ง
   “กูรักมึงนะ” โฟล์คว่า
   “อือ... กูรู้”
   หลังจากอินอาบน้ำเสร็จ มันก็เป็นอีกคืนที่เร่าร้อนสำหรับโฟล์คและอิน มันเป็นเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมาตลอดหลายเดือน ไม่มีอะไรที่ไกลไปกว่าเตียงที่กว้างพอสำหรับคนสองคนที่จะสามารถซุกตัวในผ้าห่มได้ หลังจากที่หมดแรงและจมลงกับเตียงอันหนานุ่มไปทั้งคู่ แสงแดดของวันใหม่ก็สาดส่องเข้ามาอีกครั้ง วันปกติของความสัมพันธ์ในความมืด ที่วนเวียนไปมาไม่รู้จบ อินเป็นฝ่ายที่ลืมตาขึ้นก่อนเหมือนเดิม พลางควานไปหามือถือที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด วันนี้พี่สุเมธนัดประชุมอีกแล้ว อินปรับสายตาให้เข้ากับแสง และปรับความคิดให้เข้ากับสิ่งที่เจออยู่ตรงหน้าให้มากขึ้น
   และเหมือนกับว่ามันปลุกให้เขามองเห็นสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้น โฟล์คยังคงหลับอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า มันนอนคว่ำไปเหมือนกับว่าไม่อยากรับรู้โลกแห่งความจริงที่ต้องเป็น อินคิดทบทวนอะไรหลายๆอย่างอีกครั้ง และก็ขำเบาๆ
   โฟล์คไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยรับรู้สิ่งที่เขาต้องแบก
   และหลายๆอย่าง ก็ควรจบลง ที่ตรงนี้ มันไม่ควรไปไกลกว่านี้
   อินเลิกผ้าห่มขึ้น และเตรียมตัวลุกไปอาบน้ำ แต่ทว่าโฟล์คก็เอื้อมมือมาคว้าไว้
   “กู...รู้นะ... ว่า...มึงคิดอะไร...อยู่” โฟล์คพูดเสียงงัวเงียเช่นเดิม อินหันไปมองด้วยสายตานิ่งเฉย
   “กูไม่ต่ออีกยกแล้ว....กูต้องไป” อินว่า
   “มึง... จะ...ไม่กลับมาหากูอีก....ใช่มั้ย” โฟล์คหันหน้ามาหาอินทันที อินเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่คำพูดอะไรให้โฟล์คอีกแล้ว
   เสียงโทรศัพท์ของโฟล์คดังขึ้นทำลายความเงียบ อินจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์โยนให้กับโฟล์คทันที และหน้าจอก็บ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
   “ฮัลโหลคับ...พี่บอล” โฟล์คกดรับสาย ขณะที่อินเบือนหน้าไปทางอื่น “คับ...ก็...เพิ่งตื่นแหละพี่...แต่ก็...ตื่นแล้ว.... คับ”
   อินเอื้อมไปหยิบกางเกงในมาใส่ ขณะที่โฟล์คพลิกตัวขึ้นมานอนหงาย
   “อ้ะ... พี่อยู่ข้างล่างเหรอคับ” โฟล​์คหันมาหาอินทันที อินยิ้มเบาๆพลางส่ายหน้า “ได้คับ...อ่า.. งั้น ขอผมแต่งตัวแปปนะ... คับ... เดี๋ยวลงไปรับคับ...คับ....”
   อินลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหยิบเสื้อผ้ามาใส่ แต่โฟล์คก็คว้าตัวอินกอดไว้จากข้างหลัง
   “กูไม่อยากให้มึงกลับไป” โฟล์คว่า “เชื่อกูซักครั้งเถอะนะ”
   “จะให้กูอยู่ในนี้ ตอนมึงเอาเค้าขึ้นมาด้วยมั้ยล่ะ” อินว่า
   “อิน กูพูดจริงๆนะ เริ่มต้นใหม่กะกูเหอะ เคลียร์กันเลยก็ได้ กูไม่กลัวอะไรอีกแล้ว” โฟล์คว่า
   “ตลกแล้ว อย่าให้กูเป็นตัวทำให้มึงจบเลย มึง...อยู่คุยกับเค้าเหอะ” อินผละตัวเองออกจากโฟล์คและรีบใส่เสื้อผ้าทันที “อีกอย่าง... มึงรู้มั้ยว่า การออกจากคอนโดมึง มันเหมือนกูเป็น...”
   “อิน... ถ้ามึงกลับไป มึงจะเจ็บนะ” โฟล์คพูดออกไป และนั่นทำให้อินหันไปมองหน้าเขาพลางครุ่นคิด
   “อยู่นี่ ก็เหมือนกันอ่ะ...” อินพูดพลางยิ้มให้
   “กูต้องไปแล้ว... โชคดีนะ”

..........   

หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 34 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-04-2020 22:36:30
เธอมีฉัน แต่ว่าฉันมีใคร
เมื่อฉันเหงา มีสิทธิไหม ได้พบเธอ
เธอยังมีฉัน แต่ไม่รู้ทำไม
ชีวิตฉันเหมือนไม่มีใครสักคน
                   ----------------ดา เอนโดฟิน

ผู้คนในสังคมที่ไร้รัก
เอาแต่จมปลักกับตัวเอง
หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 34 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 19-04-2020 16:54:06
ตอนที่ 35 The Way Begins

   โฟล์คเปิดประตูพาบอลเข้ามาในห้อง พลางสอดส่ายสายตาเข้าไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยอยู่ไหม เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว เขาจึงหลีกตัวให้บอลตามเข้ามาในห้องทันที
   “ผม...ยังไม่ได้เก็บเรียบร้อยเท่าไหร่นะพี่ แหะแหะ” โฟล์คทำเสียงเอื่อย
   “เออ... ไม่เป็นไร” บอลยีหัวโฟล์คเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง “พี่ซื้อข้าวต้มมาฝากอ่ะ เดาว่ายังไม่ได้กินไรแต่เช้าใช่ป่ะเนี่ย”
   “คับ...ก็... เพิ่งตื่นเลยพี่” โฟล์คว่า พลางรับถุงข้าวต้มมาไว้ที่ตัว และเดินตรงไปที่มุมครัว “งั้นผมแกะเลยนะพี่ กินด้วยกันเลยป่ะ”
   “อ่าหะ ก็ได้...” บอลว่าพลางนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง
   “คอนโดนี่ผ่อนกี่ปีนะโฟล์ค” บอลถามขึ้น
   “โห... ก็นานอยู่อ่ะพี่... ทำไม พี่จะช่วยผมผ่อนอ่อ” โฟล์คว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมชามข้าวต้มสองชาม
   “เปล่า แต่...กำลังคิดว่า ถ้าเราไม่อยู่ แล้วจะเอาไงกับมันดี” บอลพูดทันที และนั่นทำเอาโฟล์คอึ้งไปชั่วขณะ
   “ทำไมอ่ะพี่” โฟล์คถาม
   “ทางโน้นเค้าขอคำตอบแล้วอ่ะโฟล์ค เค้าถามว่า พี่จะไปไหม เพราะ... เค้าจัดการเอกสารให้พี่แล้ว ทางพี่ก็พร้อมแล้ว” บอลว่าต่อ “วันนี้พี่... อยากได้คำตอบแล้วอ่ะโฟล์ค”
   โฟล์คนั่งลงกับโต๊ะทันทีพลางมองหน้าพี่บอลอยู่อย่างนั้น
   “วันนี้เลยเหรอคับ” โฟล์คว่าต่อ
   “อื้อ... พี่ว่า มันกำลังจะต้นหนาว แล้ว... คนญี่ปุ่น ก็จะเข้าร้านในช่วงนี้กันเยอะ อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เราจะได้เริ่มเก็บเงิน” บอลว่า “พี่เลยอยากมาคุยแล้วก็... เผื่อมีอะไรให้พี่ช่วยจัดการ โฟล์คบอกพี่ได้นะ”
   โฟล์คนิ่งเงียบพลางมองหน้าพี่บอลอยู่อย่างนั้น มองนานจนพี่บอลรู้สึกได้
   “พี่ทำทั้งหมดนี่ เพื่อผมเหรอ” โฟล์คถามขึ้นทันที
   บอลหัวเราะเบาๆ ทันที
   “ก็... เราเป็นแฟนกันนี่” บอลว่า “พี่ก็... อยากวางอนาคตไว้สำหรับเราสองคน”
   โฟล์คเม้มริมฝีปากตัวเองครั้งหนึ่ง พลางมองไปยังข้าวต้มกุ้งที่อยู่ตรงหน้า
   “พี่รู้... ว่ามันอาจจะเร็วไปแต่... พี่ว่าถ้าเราจัดการดีดี เราก็น่าจะทำได้นะ” พี่บอลพูดต่อ “พี่ว่าวิ่งเตรียมเอกสารแบบเป๊ะๆ อาทิตย์นึงก็น่าจะ...”
   “พี่บอล.... ผมมีอะไรจะบอก”

...............

   “อิน อินฟังพี่อยู่หรือเปล่า” พี่เมธร้องเรียกเขาในบ่ายวันหนึ่ง
   “คับ...” อินรับคำ
   “งั้นอินก็ต้องอธิบายกับพี่มา ว่าอินไปดีลอีท่าไหน กายถึงตอบตกลงกับ Lovable Studio” สุเมธว่า “แล้วไปดีลกันนอกรอบด้วยนะเนี่ย”
   “จริงๆกายมันก็ไม่ได้เซ็นกะเรานะพี่ มันก็ไปได้ป่ะคับ” อินว่า “อีกอย่าง เค้าเป็นอาหลานกันด้วย”
   “ใช่... แต่กายเห็นผลงานดีไซน์เนอร์สตูโน้นจากพี่ไง มันก็ผิดมารยาทกันอ่ะ” สุเมธพูดเสียงหงุดหงิด
   “ผมคิดว่าท้ายที่สุดอ่ะ เดี๋ยวกายมันจะลากดีไซน์เนอร์มือดีกลับมาหาเราได้เองอ่ะพี่ ผมว่าพี่ไม่ต้องห่วงหรอก” อินตอบ ขณะนั่งพิมพ์งานผ่านไอแพด
   “แล้วอินแน่ใจได้ยังไง ว่ากายมันจะไม่สร้างเครือข่ายให้ตัวเอง แทนที่จะมาลงกับเรา” พี่เมธว่า “ของแบบนี้มันต้องคิดด้วยนะ”
   “งั้นพี่ก็ต้องจับมันเซ็นอ่ะ พี่ทำได้ป่ะล่ะ” อินพูดตอบ และนั่นทำให้สุเมธเงียบไป
   “จริงๆพี่น่ะ อยากให้เราเป็นคนเซอร์เวย์ ดูศักยภาพของคนในวงการมากกว่านะ” สุเมธว่า
   “พี่น่าจะเชื่อใจกายคับ มันไม่รวบไว้คนเดียวหรอก มันเป็นฟรีแลนซ์ แล้วก็ลุยเดี่ยว ถ้าพี่ซื้อใจมันได้ มันก็ทำกับพี่แหละ ผมอย่าพี่อย่าบีบใครเลย” อินพูด “ส่วนผม ผมก็ไม่ได้รู้จักที่นี่ใครมากขนาดนั้นอ่ะพี่ ก็แค่... ผ่านๆกันไปมา ผมอยากจะโฟกัสกับอะไรๆใหม่ๆมากกว่า”
   “ถ้าอินจะให้กายดูที่นี่ งั้นอินไปปารีสให้พี่ได้ป่ะล่ะ” พี่สุเมธพูดทันที ทำเอาอินเงยหน้าขึ้นมาจากไอแพด
   “ว...ว่าไงนะพี่” อินร้อง
   “ไปปารีส เซอร์เวย์ที่นั่น ดูทุกอย่างที่เกี่ยวกับแฟชั่น ดีไซน์ ศิลปะ ไปสร้างคอเนคชั่นใหม่ที่นั่น แล้วส่งข้อมูลกลับมาให้พี่” สุเมธพูดเสียงเรียบง่าย แต่ทว่ามันทำให้อินถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง
   “พ...พี่...ก็พูดเป็นเล่นไปพี่” อินทำเสียงกลั้วหัวเราะ
   “พี่ไม่ได้พูดเล่นอิน พี่จะทำจริงๆนะ ถ้าอินยืนยันว่ากายจะทำเส้นสายที่นี่ได้ดี พี่ก็จะให้ให้อินไปทำอย่างอื่น จะได้ไม่ต้องทับไลน์กัน พี่มีคนน้อย” สุเมธหันมาพูด
   “แต่...พี่จะให้ผมไปปารีสเนี่ยนะ ไปเพื่อเซอร์เวย์อ่ะนะพี่ แล้ว ผม..จะอยู่ยังไง ทำอะไร ไหนจะเอกสาร เงิน ทุกๆอย่าง” อินว่า
   “ถ้ากายอยู่ข้างพี่จริง บางที มันอาจจะช่วยจัดการให้พี่ได้” สุเมธว่า “เราเป็นเพื่อนมันนี่ ไปบอกมัน ว่าพี่ต้องการแบบนี้”
   อินเงียบสนิทพลางถอนหายใจทันที บางทีชีวิตที่ไปต่อ อาจจะไม่ได้เกิดแต่กับโฟล์คเท่านั้น

..............

   “แล้วมึงว่าไง” กายร้องถามขึ้นขณะที่อยู่ที่อินนั่งอยู่ที่คลับเลาจ์ของโรงแรมแห่งเดิม อินได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าช้าๆ
   “ไม่รู้ว่ะ กูเลยมาถามมึงก่อนอ่ะ” อินว่า ขณะหยิบน้ำอัดลมขึ้นมาจิบ
   “ก็พูดยากอ่ะ คือกูก็...” กายเกาจมูกตัวเองเบาๆ “คือ... ถ้าพี่เมธจะโยนก้อนนี้มาให้กู กูก็ไม่ได้ติดอะไรหรอก แค่แบบ...”
   “กลัวโดนผูกสัญญาอ่อ” อินถาม
   “ก็ไม่เชิงอ่ะ” กายว่า “คือกูแค่ยังไม่ได้มีที่ลงเป็นหลักเป็นแหล่ง เพราะกูก็ยังร่อนๆไปมาหนองคายอยู่เลย เลยไม่ชัวร์ว่าจะมีเวลาลงกับกรุงเทพมากน้อยแค่ไหนอ่ะ”
   “กูว่ามึงซื้อคอนโดหน่อยก็ดีนะ” อินว่า “ไปๆมาๆหนองคายมันเหนื่อย แล้วมึงนอนโรงแรมแบบนี้ทุกครั้งที่ลงมากรุงเทพ กูว่าไม่ไหว”
   “ก็มีมึงที่มาช่วยกูแชร์เวลาแวะมานอนนี่ไง ไม่ดีอ่อ” กายพูดติดตลก
   “กูมานอนก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นเหอะ” อินว่ากลับ “มึงอ่ะ จะยังไง”
   “ยังไงพรุ่งนี้กูก็ต้องเข้าไป Lovable ว่ะ” กายตอบ “กูตัดสินใจแล้วว่าจะเจอเค้า... กู... กูจะเริ่มต้นใหม่ที่นี่”
   “อ่าหะ... ก็ถ้ามึงจะเอาอย่างนั้น... มันก็...” อินถอนหายใจ
   “เห้ย...ถ้ามึงไม่อยากไปอ่ะ... ให้กูไปเคลียร์กับพี่เมธให้ก็ได้นะ” กายว่า “มันต้องมีทาง...”
   “ไม่มีหรอก มาจนถึงตอนนี้แล้ว มึงไม่เข้าใจอีกอ่อว่าพี่เมธเป็นคนยังไง” อินว่า “เขาเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง ถ้าเค้าจะเอาอะไร มันก็ต้องได้อย่างนั้น และที่สำคัญ... กูผูกสัญญากับเค้าไปแล้ว ว่าจะช่วยเค้าทำซูเม่”
   “เขาจะส่งมึงตะลอนไปล่วงหน้าคนเดียวเหอะ” กายว่า “มันจะไม่จบแค่ปารีสแน่ และต่อให้กูรวมดีไซน์เนอร์ตามมึงไปปารีสได้แล้ว เดี๋ยวเค้าก็จะส่งมึงไปที่อื่นต่อ มึงจะไม่ได้เจอใครในแวดวงเลย”
   “บางทีกูอาจจะเหมาะกับอะไรแบบนั้นก็ได้นะ” อินว่า “กูอาจจะเหมาะกับการไม่เจอใครเลย”
   กายวางแก้วลงทันที
   “นั่นคือเหตุผลที่มึงมานอนกะกูสองวันนี้ไม่กลับบ้านหรือเปล่า” กายถาม
   “ก็...เปล่า... กูแค่เหนื่อยขับกลับบ้าน กูก็แค่หาที่นอนแล้วไปออฟฟิศตอนเช้าแทน” อินตอบ “ก็... คืนนี้ก็คืนสุดท้ายแล้วอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูขับไปส่งมึงที่ Lovable แล้วก็จะแวะกลับบ้าน”
   “มึง...รออะไรอยู่ป่ะวะ” กายถามขึ้น
   “หือ...ป่าวนี่ ก็มึงจะะขึ้นห้องละอ่อ” อินว่า
   “ป่าว... กูหมายถึง ชีวิตมึงอ่ะ” กายย้ำคำถาม “มึง... ใช้ชีวิตเหมือนมึง กำลังรออะไรซักอย่าง ทำไมมึง ไม่เป็นคนตัดสินใจอะไรให้มันโชะโชะไปเลยวะ”
   “มึงจะว่ากู...ไม่เด็ดขาดอ่อ” อินร้อง
   “เปล่า.. กูไม่ได้จะว่ามึง คือ... กูหมายถึงว่า กูคิดว่ามึงกำลังคิดถึงเหตุผลของคนอื่น มากกว่าตัวเอง” กายว่า และนั่นทำให้อินถึงกับหยุดชะงัก “มึง...ห่วงอะไรซักอย่าง ที่บางที มันนอกเหนือการตัดสินใจของมึงอ่ะ กูว่า...บางที กูอยากให้มึงลองคิดถึงตัวมึงเองบ้างก็ได้นะ บางทีมันก็...โอเคนะ ที่จะเห็นแก่ตัวอ่ะ”
   “นั่นมันมึงมากๆเลยไอ้กาย” อินว่า
   “ก็นะ... กูเลยเป็นพ่อมดไง” กายว่า “คือครั้งนี้กูอยากให้มึงลองคิดแบบหนักแน่นไปเลยอ่ะกูว่า แบบ ถ้าเหลือแต่มึงคนเดียว ตัดทุกอย่างออกไปแล้ว มึงอยากทำอะไร หรือไปที่ไหน กูอยากให้มันมาจากตัวมึงจริงๆ”
   อินมองออกไปนอกร้านพลางคิดทบทวน
   “กูว่าพี่เมธเลือกมึง เพราะมุมมองที่ซ่อนอยู่ในตัวมึง ไม่ใช่ความประณีประนอมของมึงอ่ะอิน” กายพูด
   “กูก็แค่อยากให้มีทางออกด้วยกันทุกฝ่ายมากกว่า” อินว่า
   “ทุกฝ่าย มันก็ต้องรวมตัวมึงด้วยนะ อย่าลืม”

..........

   บ่ายอันร้อนระอุบนท้องถนน อินขับพุ่งตรงไปยังออฟฟิศ Lovable Studio ในเส้นสุขุมวิทที่เป็นจุดที่รถติดที่สุด ซึ่งจากออฟฟิศพี่สุเมธที่อยู่ฝั่งธนมันทำให้เขาถอดใจในการเดินทางไปกลับบ้าน ที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศ Lovable มากนัก การพากายไปยัง Lovable ในครั้งนี้ เขาจึงกลับบ้านซักทีในรอบอาทิตย์
   “เห้ย หยุดยุกยิกซะที” อินหันไปดุเพื่อน ที่พยายามจัดเครื่องแต่งตัวอยู่อย่างนั้น รวมถึงหน้าผมของตัวเองเขาด้วย
   “อะไรเล่า” กายหันมาโวยเพื่อน “กูไปเจอญาตินะเว่ย ก็ต้องดูดีหน่อย”
   “เจอญาติหรือเจอใคร เอาดีดี” อินเหล่ไปแซวเพื่อน ก่อนที่กายจะหันมาชูนิ้วกลางให้เขา “นี่กูบอกเลยนะ ว่านัทเค้าเป็นสายเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ขั้นสุด แล้วก็ไฟแรงมาก”
   “งั้นก็ได้เสีย” กายว่า “เพราะกูก็พ่อมดแห่งวงการโฆษณา”
   “ก็แล้วแต่... แต่อาจจะไม่ง่ายมั้ง ไม่รู้ดิ เท่าที่รู้จักผ่านๆ เค้าเอาจริงเอาจังมากๆ” อินว่า “เป็นดีไซน์เนอร์ที่น่าสนใจจริงๆนั่นแหละ”
   “แล้วมึงอ่ะ จะยังไง” กายพูด พลางหยิบมือถือขึ้นมา
   “ก็ เดี๋ยวกูทิ้งรถไว้ให้มึง มึงใช้ไปก่อน กูน่าจะอยู่บ้านซักพัก เดี๋ยวกูค่อยโทรหา” อินว่า “เดี๋ยวกูเรียกมอไซค์กลับบ้านแทน มันแค่นี้เอง”
   กายกดมือถืออยู่ในมือซักพัก ขณะที่อินเลี้ยวรถเข้าออฟฟิศของ Lovable Studio และจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น
   “เอาล่ะถึงละ คุณพ่อมด” อินว่า “ของให้มึงเจอ Loveless Society ของมึงนะ”
   กายหันมายิ้มให้กับอิน ก่อนจะตบไหล่เพื่อนเบาๆ ทั้งคู่จะเปิดประตูรถลง ขณะที่กายยังคงดูมือถืออยู่อย่างนั้น
   “อ่าว จะยืนทำอะไรอยู่ล่ะ เข้าไปดิ” อินว่าขณะหยิบมือถือขึ้นมากดเรียกรถ
   “อิน... เจนกลับไทยแล้วนะ เมื่อวาน” กายพูดขึ้นพลางมองมาที่อิน ที่มองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
   “อ้อ...” อินมองกายอยู่อย่างนั้น กายยังคงมองอินอยู่เหมือนกับรอให้เขาพูดอะไรบางอย่าง “อะไร.. จะให้กูไปรับเขาหรือไง”
   “เปล่า...ก็ เบนซ์มันแชทมาบอกเนี่ย... แล้วเผื่อมึงจะ... แบบว่า...” กายพยายามทำท่าทางบางอย่าง ซึ่งทำเอาอินขำเบาๆ
   “กู... น่าจะมาไกลจาก... มีแฟนหญิงแล้วป่ะวะ” อินยิ้มเบาๆ
   “ก็นะ....” กายว่า “แต่... ถ้าเผื่อมึงตัดสินใจจะไปปารีส กูว่าเจนจัดการให้มึงได้นะ”
   อินมองหน้ากายพลางใช้ความคิด
   “กู....ไปล่ะ อวยพรกูด้วยเพื่อน”
   อินกายเดินหายเข้าไปในออฟฟิศ Lovable Studio เพื่อเริ่มต้นใหม่ในชีวิตของตัวเองอย่างแน่วแน่ ขณะที่อินมองเพื่อนเดินจากไป พลางตั้งคำถามถึงปลายทางของตัวเขาเอง
   ถ้าหากเขาจะต้องตัดสินใจโดยไม่ลังเล และไม่คิดถึงเหตุผลของคนอื่น
   มันจะมีทางเลือกให้เขาอย่างที่เขาต้องการได้หรือเปล่านะ

..........
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 35 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 19-04-2020 18:58:32
เส้นขนาน ถ่างตรง คงตลอด
ไม่เลี้ยวลอด ตัดกัน พันเส้นสาย
แต่ความรัก มีพานพบ จบง่ายดาย
อยากเจอกัน หรือแยกย้าย ไม่ง่ายเลย

คนเดียว..เหงา
หลายคน..ยิ่งเหงา
..ไม่เข้าใจ..
หึหึ

หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 35 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 20-04-2020 14:27:00
ตอนที่ 36 Family

   อินเดินเข้าบ้านมาในขณะที่เขายังคงมองมือถือ เบนซ์ส่งคอนแทคของเจนมาให้ทางกล่องข้อความ เจน ผู้หญิงที่เปลี่ยนชีวิตของเขาและกายไปตลอดกาล เขากดแอดเธอขณะที่ปล่อยให้ความคิดแล่นไป มันหลายปีมากแล้วจากวันนั้นที่เขาเจอเธอครั้งสุดท้าย ตอนนี้ ชีวิตพาเขาเดินทางมาไกลและคงไม่อาจจะถอยหลังกลับได้อีก
   “อิน... กลับบ้านแล้วเหรอ” เสียงของแม่ร้องทักขึ้นขณะที่อินเปิดประตูข้านเข้ามา และนั่นทำเอาอินชะงักงันด้วยความสงสัย
   “แม่?.... ทำไมอยู่บ้านอ่ะ ไม่ทำงานเหรอ” อินร้องถาม ขณะเดินไปวางเป้ที่โซฟา
   แม่ของอินเดินตรงมาหาอินทั้งๆที่อยู่ในชุดทำงาน พลางทำหน้าตาสดใส เธอสวมกอดลูกชายทันทีด้วยความสุข
   “เอ่อะ...อะไรเนี่ยแม่” อินร้องถามอย่างงุนงง
   “หายไปไหนมาตั้งสองสามวันหึ” เธอถามขณะที่อินนั่งลง พร้อมกับที่เธอยิ้มกว้างให้ลูกชาย
   “ก็...ทำงานดิแม่ ยังไม่ชินอีกอ่อ” อินพูดพลางหยิบน้ำที่โต๊ะมาดื่ม “แม่มีไรหรือเปล่า ผมเห็นข้อความแม่นะ แต่ก็ยุ่งๆอ่ะ เลยตอบแค่นั้น”
   “อืม...แม่รู้” เธอยังคงยิ้มให้ลูกชายอยู่อย่างนั้น
   “แล้วนี่แม่รอผมอ่อ ถึงไม่ไปทำงานอ่ะ” อินร้องถาม
   “อิน...แม่ว่า แม่อยากให้อินเปลี่ยนงาน” เธอกล่าว
   “หือ..ทำไมอ่ะ” อินร้องถาม
   “แม่ไม่อยากให้อินเหนื่อยแบบนี้ แม่อยากให้อิน ย้ายไปทำกับพัฒน์” เธอตอบ
   “แม่... เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว ผมไม่อยากไปแบบนั้น มันน่าเกลียด แล้วอีกอย่างตอนนี้งานผมโคตรโอเคเลยแม่” อินตอบแม่ของเขา “ไม่ต้องห่วงหรอก... ผมไม่ได้เหนื่อยไรขนาดนั้น ขับกลับบ้านไม่ไหว ผมก็นอนห้องเพื่อนไง แม่ก็รู้ว่าผมไม่ปาร์ตี้อ่ะ”
   “อืม...แม่รู้” เธอยังคงลูบไหล่ลูกชายและยิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยแววตาเป็นประกาย
   “เอาล่ะ...ผมว่าแปลกๆละ... แม่มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเรากลับมาคุยเรื่องนี้กันอีกอ่ะ” อินว่า “แล้ว ทำไมคุณแม่ต้องยิ้มขนาดนี้ด้วยล่ะครับ”
   “อิน... ที่แม่ขอ เพราะว่า ครอบครัวเรากำลังจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ แล้วแม่ก็อยากที่จะ... จะทำให้ทุกอย่างมันลงตัวมากขึ้น” เธอพูดกับลูกชาย ที่ยังคงตามไม่ทันกับสิ่งตรงหน้า “อิน คือ....แม่ แม่....”
   อินคว้ามือแม่ของเขาที่ลูบตัวเขาอยู่มาจับไว้
   “ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้วแม่” อินพูดกับแม่อย่างอ่อนโยน “ทุกอย่างโอเค..แล้วเราก็.... อ้ะ...”
   อินจับมือของแม่ขึ้นมาดู และเขาก็เห็นบางอย่างถูกสวมเอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของแม่
   “แม่...นี่....นี่มันอะไรอ่ะ” อินร้องถาม ขณะที่เธอยิ้มกว้างให้ลูกชาย
   “อิน... แม่แต่งงานใหม่แล้วนะ”
   คำพูดของเธอทำเอาอินเงียบสนิท เขามองหน้าแม่เหมือนเขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน
   “แต่งงาน.... แต่งงานใหม่... ได้ไง... เมื่อไหร่อ่ะแม่” เสียงของอินลงจริงจังมากขึ้น
   “ก็... ไม่ได้จัดงานหรอกจ้ะ แม่แค่จดทะเบียนใหม่ กับ....พัฒน์เค้า...” เธอตอบลูกชาย
   “หะ” อินพ่นคำพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือแม่ของเขาลง และมองไปเบื้องหน้า
   “แม่ขอโทษที่... ไม่ได้บอกอินก่อน ทุกอย่างมัน เกิดขึ้นเร็วมาก แล้ว แม่ก็คิดว่าแม่พร้อม และอินก็น่าจะ...”
   “เพราะงี้นี่เอง ลุงพัฒน์เค้าถึงพูดกับผมแบบนั้นวันที่ผมไปออฟฟิศเค้า” อินพูดขึ้น
   “ไงนะลูก”
   “เพราะงี้... เค้าถึงอยากได้ผมไปทำกับเค้า...” อินกัดฟันตัวเอง
   “อิน...แม่ขอโทษ แม่ไม่คิดว่าลูกจะ...”
   “แม่...” อินหันไปหาแม่ของเขา “ผมไม่ได้โกรธอะไรแม่นะ....”
   เขาจับมือแม่ของเขาขึ้นมาพลางมองแหวนที่มือของเธอ
   “แหวนนี่สวยมาก แล้วมันก็เหมาะกับแม่มากๆ” อินพูดขึ้น “ผมดีใจด้วยนะแม่”
   อรมองหน้าลูกชายเธอ แต่ดูเหมือนกับว่าอินเต็มไปด้วยออร่าของความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
   “อิน... ถ้าอินไม่โอเค อินบอกแม่ได้นะ แม่ยินดีจะปรับทุกอย่างเพื่อลูก” เธอกล่าว “ยังไงลูกต้องมาก่อนสำหรับแม่”
   “ไม่แม่... แม่ไม่ต้องปรับอะไรเพื่อผมแล้ว” อินว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ดูแลอินมามากแล้ว ผมต่างหาก ที่ทำให้แม่ต้องลำบาก แม่ต้องเว้นกะมาเพื่อผมอ่ะ”
   เธอยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะจับไหล่เขาไว้
   “ก็อินเป็นลูกแม่นี่” เธอกล่าว
   “เพราะงั้นผมถึงโกรธแม่ไม่ได้ไง” อินยิ้มให้ “แต่... ครอบครัวของเรา กับ เค้า... ผมว่า...”
   อินหลับตาพลางเงียบไปพักนึง
   “อิน...พัฒน์เค้าก็ดีกะลูกมากไม่ใช่เหรอ ตอนพีทมาอยู่ที่บ้านเรา ทุกอย่างมันก็ดีอยู่นะ...”
   และมันก็เหมือนมีคนกดสวิตช์ไฟในสมองของอินทันที เขาหันไปมองแม่ของเขา
   “พีทรู้เรื่องหรือยังอ่ะแม่” อินร้องถาม
   “เอ่อ... น่าจะรู้นะ... วันที่พัฒน์เค้า ขอแม่.... พีทก็อยู่” เธอตอบ
   “แม่ว่าไงนะ... พีทอยู่ด้วยวันที่เค้าขอแม่แต่งงานเหรอ” อินว่า
   “อื้อ.... แต่วันนั้นแม่ชวนอินแล้วนะ อินบอกแม่ว่าอินไม่ว่าง อินมีประชุมกับที่บริษัท” เธอพูดต่อ
   “ไม่ใช่แม่... ผมไม่ได้...โกรธอะไรแบบนั้น ผมแค่...” อินหันมาคิดทบทวนกับตัวเอง “มันรู้มาตลอดเหรอ”
   “คิดว่านะ... พ่อลูกเค้าสนิทกันนี่... พัฒน์เค้าเล่าให้แม่ฟังว่า พีทเป็นคนเลือกร้าน แถมมันก็เป็นร้านที่แม่ชอบ” เธอว่า “ที่บาร์ดาดฟ้า ร้านของโฟล์คไง”
   อินหันไปมองแม่ของเขา ก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที
   “แม่ว่าไงนะ” เขาพูดเสียงเข้ม “เค้าขอแม่แต่งงานที่บาร์ไอ้โฟล์คเหรอ”
   “ช...ใช่จ้ะ พีทบอกโฟล์คให้จัดแหวนให้แม่เอง” เธอพูดเสียงสั่นเครือ
   “แม่รู้หรือเปล่า ว่าพีทอยู่ไหน” อินกำหมัดแน่น
   “อิน... อย่าไปโกรธเค้าเลยลูก ทั้งคู่อาจจะแค่ อยากให้แม่เป็นคนบอกอินเองนะ” เธอบอกกับลูกชาย แต่อินไม่ได้เชื่อแบบนั้น
   “ไม่ใช่หรอกแม่... มันไม่ใช่แค่นั้น” อินพูดเสียงสั่น “พีทอยู่ไหนแม่”
   “กูก็อยู่นี่ไง” เสียงของพีทดังมาจากบันได อินมองไปเห็นพีทเดินถือลังบางอย่างที่เหมือนของของตัวเอง เดินลงมาจากห้อง อินเดินเข้าไปหาพีทช้าๆ แต่แม่ก็คว้าแขนของเขาไว้
   “ไม่เอาสิ... อิน อย่าทะเลาะกันเลยลูก” เธอพูดขึ้น พลางเดินมาขวางอินไว้
   “แม่... ผม... ไม่ได้โกรธแม่ ผม... โอเคกับเรื่องนี้มากกว่าทุกคนในนี้แน่ๆแม่” อินพูดกับเธอ “แต่ผม...”
   อินหันไปมองพีทที่หลบสายตาอินอยู่อย่างนั้น
   “ผมขอคุยกับมันส่วนตัวหน่อยนะแม่นะ” อินพูดขณะที่จ้องหน้าพีทเขม็ง “มึงกะกูต้องคุยกันแล้วพีท”
   พีทเม้มปากพลางยิ้มเบาๆและมองหน้าอิน
   “เอาดิ”

.............

   กายโทรหาอิน แต่ก็ไร้การตอบรับ ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางดับเครื่องยนต์และลงจากรถของอินที่เขาขับออกมาจาก Lovable Studio หลังจากเขาได้พบว่าทุกๆอย่างที่นั่น เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาได้พบกับคนที่เขาเฝ้ารอจะเจอมาตลอดหลายปีจนได้ เป็นการเริ่มต้นที่สดใสมากสำหรับกาย เขาลงจากรถและเดินเข้าโรงแรมไปอย่างร่าเริง แต่ทว่าร่างๆหนึ่ง ก็ตรงเข้ามาหาเขาทันที
   “อ้าว ไอ้กาย ทำไมเป็นมึงวะ” โฟล์คพูดขึ้น แม้ว่าตัวเองกำลังวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากโรงแรม
   “เอ๊า แล้วทำไมจะไม่เป็นกูอ่ะ” กายตอบเสียงมึนงง “แล้ว มึงมาไงเนี่ย”
   “กูดิ ต้องถามมึง ว่ามึงมาทำไรที่นี่” โฟล์คถามต่อ
   “ก็กูนอนนี่” กายว่า
   “หะ... นอนโรงแรมเนี่ยนะ” โฟล์คร้อง
   “เออ... ก็กูไม่ได้มีบ้านที่กรุงเทพ กูก็ต้องนอนโรงแรมดิ หมดงานแล้วกูก็กลับหนองคายไง” กายว่า
   “แล้ว... แล้วมึงขับรถมันมาได้ไง” โฟล์คชี้ไปด้านหลัง กายหันไปมองทันที
   “อ๋อก็มันให้กูยืมใช้เมื่อเช้าและ.... เดี๋ยวนะ... มึงรู้ได้ไงว่านี่รถมัน” กายว่า “มันเพิ่งซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเองนะ”
   โฟล์คเงียบสนิท พลางเมินหน้าไปทางอื่น
   “แล้วมึงมานี่.... อ้อ... จริงสิ... เลาจ์ข้างล่าง แฟนมึงเค้าทำอยู่” กายพูดต่อ พลางเดินไปหาโฟล์คที่ทำหน้าตาเคร่งเครียด “มึงมีอะไรกันอีกป่ะเนี่ย”
   “ก็... ป่าว ไม่มี” โฟล์คพูด แต่กายมองหน้าเพื่อนอย่างจริงจัง
   “ในกลุ่มเรามึงโกหกได้แย่สุดในกลุ่มนะ เผื่อมึงจะลืม” กายว่า “มึงตามหามันอยู่อ่อ มีเรื่องกันอีกยกอ่อ”
   โฟล์คหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “กูโทรหามันไม่ติดเลยอ่ะ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ กู...มีเรื่องจะคุยกับมัน” โฟล์คว่า
   “อ่า....หะ... กู...ก็โทรหามันไม่ติดเหมือนกัน มันให้รถกูมาเมื่อบ่าย แล้วก็บอกให้กูใช้ไปก่อน เดี๋ยวมันค่อยมาเอา” กายว่า “แต่... เรื่องของกู ไม่ด่วนเท่าของมึงมั้ง... มึงมีอะไรหรือเปล่า”
   โฟล์คเงียบไปพักนึงก่อนจะพูดขึ้น
   “กูจะไปแล้ว” โฟล์คว่า
   “ไป...ไปไหน” กายว่า
   “กูจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” โฟล์คว่า “กูอยากจะเจอมัน เป็น...ครั้งสุดท้าย”
   กายเงียบเสียงลงทันที
   “เดี๋ยวนะ... มันก็ไม่ได้เจอมึงไม่ใช่อ่อวะ มันยังบอกกูอยู่เลยว่ามันไม่ได้เจอมึงมาเป็นชา...”
   “มันโกหก กูด้วย” โฟล์คพูดต่อทันที “กูกับมันแอบคบกันลับๆ มาจะปีนึงแล้ว”
   กายอึ้งไปพักนึงหลังจากได้ยินคำพูดของโฟล์ค
   “มึง...มึงว่าอะไรนะ” กายพูด
   “กูโกหกพวกมึงทุกคนเลย โกหกทุกคนรอบตัวกู” โฟล์คว่า “จริงๆแล้ว กูกับมัน มีอะไรกันมาตั้งนานแล้ว”
   กายหลับตา พลางเกาจมูกตัวเองอย่างครุ่นคิด
   “ไอ้โฟล์ค..นี่มึง...”
   “มึงอย่าเพิ่งมาสวดกูตอนนี้ไอ้กาย แต่กูขอ มึงช่วยกูหาหน่อย ว่าอินมันอยู่ไหน” โฟล์คว่า “ไม่งั้นกูอาจจะไม่ได้เริ่มต้นใหม่”
   กายถอนหายใจทันที
   “มึงรู้หรือยัง ว่ามันกำลังจะไปปารีสอ่ะ” กายร้องถาม
   “ปารีส... ปารีสไหนอีกวะ” โฟล์คร้องถาม
   “มันกำลังจะไปเร็วๆนี้ มันถึงให้รถกูใช้นี่ไง เพราะกูต้องอยู่นี่เพื่อทำเส้นสายคนในสายงานกู แล้ว... มันก็ถูกส่งไปปารีสแทนกู” กายพูดต่อ
   “อะไรนะ... ทำไมมันไม่เคยพูดให้กูฟังเลยอ่ะ” โฟล์คว่า
   “ตอนนี้กูงงมึงสองตัวมากกว่า มึงบอกว่ามึงแอบคบกันมา แต่พวกมึงแม่งไม่เคยคุยกันอ่อวะ แล้วเป็นไง พอห่างหูห่างตากันไป ก็พังยับหมดเลยนะ แทนที่จะจบๆตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้วป่ะ” กายว่าพลางส่ายหน้าและเดินเข้าโรงแรม
   “กาย มึงช่วยกูหน่อยไม่ได้อ่อวะ” โฟล์คร้อง
   “กูไม่ได้มีหน้าที่ตามแฟนใครนะเว่ยโฟล์ค มึงวิ่งตามมันมาตลอดเองอ่ะ” กายหันมาพูด “กูจำได้นะ ตั้งแต่ ม.4 มั้ง ที่ไอ้มอสตามพวกกูไปนั่งเคลียร์ก็เพราะแค่มึงจูบมันอ่ะ มึงจำได้ป่ะ”
   โฟล์คเงียบสนิทขณะที่กายหันมาพูด
   “ไร้สาระชิบหายเลย พอถึงเวลาที่กูจะเคลียร์ให้ มึงก็วิ่งไปกับมันเฉยเลย ไอ้มอสก็เคยบอก ว่ามึงสองตัวแม่งชอบหายไปด้วยกัน แล้วก็ทำเรื่องด้วยกัน ตลอดหลายปีที่กูไม่อยู่ แม่งก็เป็นงี้” กายว่าต่อ “แล้วพอเกิดเรื่องที่โรงพยาบาล กูก็นึกว่าจะจบ มึงก็เสือกยื้ออีก มาตอนนี้มึงจะขอให้กูช่วย ให้กูช่วยไรอีกอ่ะ”
   กายว่าใส่โฟล์คทันที ตัวเขาได้แต่หลับตาลงเบาๆ กายจึงรู้สึกตัวได้ว่า เขาอาจจะพูดแรงไป จึงได้แต่เบาอารมณ์ลง
   “กู...ก็มีเรื่องต้องทำเหมือนกัน กูต้องหาที่อยู่ในกรุงเทพ เพราะกูก็เพิ่งจะลงงานใหม่ พรุ่งนี้กูก็ต้องไปคุยงานใหม่แล้ว นี่กูก็กำลังจะขึ้นไปทำงานแล้วด้วย” กายว่า “ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกนะที่จะ....”
   “แล้วทำไมมึงถึงมีสิทธิเริ่มต้นใหม่อยู่คนเดียววะ” โฟล์คหันมาตวาดบ้าง “มึงวิ่งไปก่อนคนเดียว ทิ้งพวกกูไว้ข้างหลังได้ แล้วคนอื่นไม่สิทธิอ่อวะหะ”
   กายเงียบเสียงลงทันที
   “มึงเลือกรักกับเด็กเซนโย ไปสร้างอนาคตด้วยกัน แล้วทิ้งพวกกูได้ แล้วทำไมกูจะทำบ้างไม่ได้อ่ะ” โฟล์คว่า “กูกับมันลองทำกันมาตั้งหลายปี กูไม่เคยขอความช่วยเหลือมึงเลยนะเว่ย วันนี้กูขอครั้งสุดท้ายบ้าง มึงทำให้กูไม่ได้ใช่ป่ะ กูจะได้รู้... ว่าที่เขาพูดกันว่ามึงแม่งโคตรเห็นแก่ตัว แม่งเป็นเรื่องจริง”
   กายจ้องหน้าโฟล์คเขม็ง เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่มีเพื่อนพูดแบบนี้กับเขา
   “มึงอยากเริ่มต้นใหม่ กูก็สนับสนุนไง เพราะกูเพื่อนมึง เพราะกูเชื่อ ว่ามึงทำได้ มึงทำได้เสมอไอ้กาย” โฟล์คว่า “​แต่ครั้งนี้กูขอไม่ได้อ่อวะ... กูขอแค่... ขอแค่ครั้งสุดท้ายที่กูจะเจอมัน ให้มึงช่วยกูหามันมันไม่ได้หรือไงอ่ะ”
   กายถอนหายใจพลางหลับตา และแล้วก็เงียบกันไปพักนึง มีเพียงเสียงหายใจหอบถี่ระหว่างกัน
   “เออ... เดี๋ยวกูช่วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” กายพูดเสียงอ่อน “มันไม่รับมันก็คือไม่รับ แล้ว... มันก็อาจจะออกจากบ้านไปแล้วด้วย เพราะมันก็ไม่ได้นอนบ้านใช่ป่ะล่ะ”
   โฟล์คเงียบสนิท
   “มันอาจจะเพลีย แล้วหลับไปแล้ว มือถือไม่ชาร์จก็ได้ มึงก็อย่าเพิ่งไปคิดไรมาก” กายพูดต่อ “เดี๋ยวพรุ่งนี้กู...ตามให้ มึงกลับคอนโดมึงไปนอนไป ดึกแล้ว”
   “กูกลับไม่ได้” โฟล์คพูดขึ้น
   “ไอ้โฟล์ค มึงอย่าเพิ่งงี่เง่า” กายหันมาว่า
   “กูไม่ได้งี่เง่า แต่กูกลับคอนโดไม่ได้แล้ว... กูย้ายออกมาแล้ว” โฟล์คพูดขึ้น ทำเอากายขมวดคิ้ว
   “ย้ายออก ทำไมวะ” กายร้องถาม
   “ก็กูบอกแล้วไง กูจะไม่อยู่แล้ว... กูกำลัง...หาคนอยู่ต่อแทนกู กูจะไปแล้วไง”
   กายมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น

...............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 36 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-04-2020 17:46:31
คำขอโทษ โอดครวญ ชวนสงสาร
เหมือนขอทาน บานเบื่อ จะเชื่อไหว
ตอนทำผิด ไม่คิด หัวใจใคร
มาแก้ตัว ตาใสใส ไม่ถึงการณ์

เอาอารมณ์ ตัวเอง เป็นที่ตั้ง
พอพลาดพลั้ง ทั้งใหม่เก่า แตกร้าวฉาน
โทษนู้นนั่น โทษคนอื่น กลืนสันดาน
แหกปากร้อง ป่าวประจาน สงสารตน

คนพรรค์ไร มั่วได้ขนาดนี้
หึหึ...คงไม่ต้องบอกว่าใคร
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 36 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 20-04-2020 17:58:27
ตอนที่ 37 Almost There

อินปิดประตูห้องนอนของพีทเข้าไป ก็พบกับกองลังสองสามใบ กำลังถูกเก็บเข้าที่เอาไว้ ขณะที่พีทเดินไปที่เตียง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหันมาอินแล้วยิ้มให้
   “ว่าไง มีอะไร” พีทพูดเสียงสุภาพ
   “มึงรู้มานานแค่ไหนแล้ว” อินถามขึ้นทันที ขณะที่พีทเงียบสนิท เขาหายใจเข้าลึก
   “ตั้งแต่พ่อกูกลับมา” พีทตอบ
   “แล้วทำไมมึงไม่บอกกู” อินถาม
   “รู้ตอนนั้น กับรู้ตอนนี้ต่างกันยังไง” พีทว่า และนั่นทำให้อินกำหมัดแน่น เขามองไปรอบๆด้วยความสับสนขั้นสุด
   “นี่คือเหตุผลทั้งหมดถูกป่ะ” อินว่า “เหตุผลว่าทำไมมึงถึงแปลกไป เหตุผลว่าทำไมมึงถึงไม่คุยกับกู แล้วก็... มึงถึงย้ายออกไป”
   พีทมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น โดยไม่พูดอะไรซักคำ
   “ตลกดีนะ... เพราะแม่เค้าก็เข้าใจว่ามึงก็อยู่ที่นี่ได้ อยู่ได้มาตั้งหลายปี” อินพูดต่อ “แต่ถ้าสุดท้าย มึงรับไม่ได้ที่จะเป็นครอบครัวเดียวกับแม่เค้า มึงก็ไปบอกพ่อมึง แล้วก็ไม่ต้องมาสัญญาว่าจะดูแลบ้าน ดูแลแม่ พูดให้กูรู้สึกดีหรอกป่ะ มึงจะโกหกทำไมวะ”
   พีทยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น
   “มึงกับโฟล์คตั้งใจจะปิดกูกันทั้งคู่ เพราะอะไรอ่ะ เพื่อให้แม่บอกกูเองอ่อ มึงไม่ใช่คนแบบนั้นอ่ะพีท เราคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ใช่อ่อ” อินว่า “แล้วถ้าเกิดต้องอยู่บ้านเดียวกัน มันก็ต้องคุย...”
   “กูไม่ได้อยากอยู่บ้านเดียวกับมึงอิน” พีทพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้อินเงียบไป เขาหายใจเข้าลึก และก้มหน้าลง
   “โอเค...งั้น เราลงไปบอกแม่ ว่ามึงไม่เห็นด้วยกับ การแต่งงานของพวกเค้า” อินว่า
   “ไม่ใช่อิน มึงไม่เข้าใจ” พีทเบือนหน้าไปทางอื่น “กูไม่ได้อยากอยู่บ้านมึงแบบนี้”
   อินเงียบเสียงลง เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
   “กูอยากอยู่กับมึงแบบอื่น... แบบที่คนเค้ารักกันเป็นอ่ะ” พีทพูดขึ้นทันที และนั่นทำเอาอินหลับตาลง เช่นเดียวกันกับพีทที่ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงทันที
   อินมองพีทที่อยู่สภาพนั้น ก็ได้แต่ทรุดตัวตามลงไป พีทเอามือจับหัวตัวเองภายใต้มือคู่นั้น ใบหน้าของพีทแดงก่ำ มืออีกข้างของเขากำไว้แน่น
   “กูอยากอยู่กับมึง แบบที่มึงอยู่กับไอ้โฟล์คไง มึงเข้าใจป่ะ” พีทว่า “อยู่แบบนั้น ที่นี่ ที่ไม่ใช่แบบ...พี่น้อง”
   อินมองพีทอยู่อย่างนั้น
   “และถ้ามันเป็นแบบนั้นไม่ได้... กูสู้ไม่อยู่ดีกว่า” พีทว่า
   “มึง.... อย่ามาตลกน่ะ” อินพูดเสียงสั่น “มึงก็รู้เรื่องกูกะโฟล์ค แล้วมึงก็ไม่ได้....”
   “กูไม่เคยหึงมึง เพราะกูคิดว่าสุดท้าย ยังไงมึงกับโฟล์คก็ไปไม่รอด ในเมื่อพวกเค้าเริ่มต้นใหม่ไปแล้ว กูคิดว่า... ยังไงมึงก็ต้องกลับมาหากูที่นี่ ซักวัน” พีทว่า
   “กูกลับมาหามึงอยู่แล้ว มึงเองต่างหากที่...” อินพูด
   “แต่กูรู้ว่ามันมาก่อนกู ถึงมึงไม่เคยพูด แต่การกระทำมึงมันฟ้อง และมึงก็รู้สึกผิด กับอดีตของมึงกับมัน มึงกับมันอยากแก้ตัว อยากแก้ทุกอย่างให้จบแล้วไปต่อ ซึ่งกูไม่มีปัญหาเลยเว่ย กูเข้าใจ” พีทว่า “แต่ในเมื่อโฟล์คเค้ายอมรับไม่ได้ว่าอะไรๆรอบตัวมึงไม่ใช่ทางของเค้า และกับมึง ที่ถึงจะใจอ่อนไปอยู่กับเค้ามาอีกหลายเดือน กูก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะว่าอย่างน้อย มึงก็ยังยอมรับความจริงเป็น”
   พีทหายใจเขาลึก
   “มันทำให้กูเชื่อว่า ท้ายที่สุด ซักวันมึงก็อาจจะยอมรับความจริงซักทีว่า... มึงอ่ะ ควรรักกะกูที่สุดแล้ว”
   “แต่...ก่อนหน้านี้” อินว่า “ก็ก่อนหน้านี้...มึง...พริม”
   “วันเลี้ยงจบ พริมไม่ได้ห้ามมึงไม่ใช่อ่อ ที่มึงยกซดแก้วของพี่บอลอ่ะ” พีทว่า และนั่นทำเอาอินหายใจเข้าลึก
   “อะไรนะ” อินร้องขึ้น
   “กูถึงไม่เอาเพื่อนทุกคนมาดูอาการมึงที่โรงพยาบาลคืนนั้นไง” พีทพูด “เพราะกูไม่อยากให้แม่งพันกันมั่วไปมากกว่านี้ แค่สี่เศร้าแม่งก็แย่ละป่ะ และคนที่เหี้ย อาจจะไม่ใช่แค่มึงกะโฟล์ค แต่อาจหมายถึงกูด้วย”
   อินก้มหน้าลง ก่อนจะส่ายหน้าให้กับตัวเองเบาๆ
   “กูไม่บังคับมึงไปงานปาร์ตี้จบ เพราะวันนั้นกูเองก็กะจะ... คือ...กูก็บอกเลิกพริมวันนั้น และ... กูบอกเค้าไปตรงๆ ว่ากู...กูหวั่นไหวกับมึง”
   “พีท...” อินว่า
   “กูก็ไม่รู้หรอกะเว่ย ว่าความสัมพันธ์แบบ ผู้ชายกับผู้ชายเค้าเป็นไง เพราะกูเองก็ ชอบผู้หญิงมาตลอด แต่... พอคิดไปแล้ว มึงก็รู้ว่ากูวางแผน มึงเป็นคนบอกเอง ว่าชีวิตมึงมีกูอยู่ในแพลน แล้ว...ถ้ามึงเอ่ยปากมาแบบนั้นอ่ะ เทพอย่างกู จะไม่คิดไกลกว่านั้นอ่อ” พีทว่า “กูก็แพลนเว่ยอิน เพราะกูคงชอบคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว นอกจากมึงอ่ะ”
   พีทหายใจเข้าลึก พลางเงยหน้าขึ้น เพื่อพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขามองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
   “มันดีชิบหายเลยเว่ย ตอนที่เรากำลังจะเรียนจบ ดีเหี้ยๆเลย ตอนที่มึงเลิกกับไอ้โฟล์ค ดีเหี้ยๆเลย ตอนที่มึงกะกูเกือบจะตัดสินใจสมัคร Lovable Studio อ่ะ” พีทว่า “แม่งดีเหี้ยๆเลย จนกระทั่ง....”
   พีทกัดริมฝีปากจนเจ็บ
   “พ่อมึงบอกมึงว่า...จะแต่งงาน...กับแม่กู” อินต่อคำของพีทจนจบ แต่พีทหัวเราะและส่ายหน้า
   “นั่นยังไม่เหี้ยเท่ากับตอนที่พ่อกู บอกกูว่า... ให้รักมึงให้มากๆ เหมือนเป็นน้องชายกูคนนึง” พีทพูดเสียงสั่น พลางกำหมัดแน่น น้ำตาของพีทไหลลงทันที “พ่อที่แม่งไม่เคยอยู่ดูแลกูเลย แต่อยู่ดีดีเค้าก็โผล่มา แล้วก็จับทุกอย่างที่กูเคยแพลน แล้วก็คว่ำโต๊ะไปต่อหน้าต่อตากู”
   อินเอื้อมมือไปจับพีทไว้ทันที
   “แล้วมึงจะให้กู...โกรธมึงอ่อ ที่ตอนนั้น โฟล์คมันวิ่งกลับหามึง มาร้องไห้กับมึงที่นี่” พีทว่า “จะให้กูหึงมึงอ่อ ที่มึงเริ่มไปนอนคอนโดมัน เริ่มคบกับมันลับๆอ่ะ”
   อินบีบมือของพีทไว้แน่น
   “มึงจะให้กูยื้อมึงไว้อ่อ ในเมื่อตอนนี้แม่งเป็นตัวกูเอง ที่ไม่มีปลายทางให้มึงอ่ะ” พีทพูดต่อ “มึงจะให้กูอยู่ที่นี่ต่อไปยังไงอ่ะ ในเมื่อเราเป็นแบบเดิมไม่ได้อ่ะ”
   พีทพลิกมือที่กำแน่น มาประสานไว้กับอิน
   “มึง...มึงจะให้กูตัดใจยังไงอ่ะ... ในเมื่อ.... กูรักมึงไปแล้วอ่ะ” พีทมองมือของเขาที่จับกับอินไว้อยู่ “ทำไม...เราต้องเป็นอย่างงี้กันด้วยวะ... มึงกับกู เกือบจะ...ไปถึงปลายทางนั้นแล้วอ่ะ... ทำไมวะ”
   อินจับมือพีทเอาไว้แน่น
   “กู... กูไม่รู้ว่าต่อจากนี้ มันต้องเป็นยังไงแล้วอ่ะอิน” พีทพูดทั้งน้ำตา “กู... ไม่เหลือระบบความคิดในหัวอีกแล้ว...กู...กูคิดอะไรไม่ออกอีกแล....”
   อินคว้าตัวพีทมาจูบทันที เช่นเดียวกันกับพีทที่ปล่อยตัวเองเข้าไปหารอยจูบนั้น พีทจับท้ายทอยของอินเข้าหาตัว และแนบริมฝีปากเข้าใส่ เหมือนกับว่าเขาไม่เคยได้รอยจูบแบบนี้มาก่อน คราบน้ำตาของพีท ส่งความเจ็บปวดมาปะทะใบหน้าของอินอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นจมดิ่งล่องลอยไป
   อินเข้าใจความรู้สึกของพีทดี เขากับโฟล์คเผชิญความรู้สึกแบบนี้มาตลอดหลายปีแล้ว ความดำมืดจากเรื่องรอบตัว ที่ถาโถมเข้ามาดับแสงสว่างอันน้อยนิด ที่พยายามส่องแสงให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน
   เขาเข้าใจมันดี เข้าใจดีจนเจ็บปวดอยู่ทุกวัน
   ผละริมฝีปากออกจากกัน ขณะที่พีทเริ่มตั้งสติและเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะมองหน้าอินอยู่อย่างนั้น
   “นี่มัน...จูบแรก...ของกูเลยนะ” พีทปรับน้ำเสียงตัวเองให้กลับมาปกติ พร้อมกับหายใจเข้าให้เป็นปกติตาม
   “ไม่น่าใช่ป่ะ” อินว่า “ถ้ามึงพูดงั้น พริมคงต้องเอาเหล้ากรอกปากกูแล้ว”
   “คือ...กูไม่เคยจูบกับผู้ชาย” พีทว่า “แล้วยิ่ง...คนนั้นเป็น...น้องกูด้วย”
   อินพ่นลมหายใจพลางครุ่นคิด ขณะที่พีทกลับไปนั่งพิงเตียงเหมือนเดิม แหงนหน้ามองเพดานห้องที่ว่างเปล่า
   “คำถามก็คือ... จะเอาไงกับพวกเค้า” พีทพูดต่อ “พ่อกูกับแม่มึง... เอาไงดี”
   อินยังคงเงียบ
   “กู...คิดเรื่องนี้มาเป็นเดือนๆแล้ว...และ... กูไม่รู้ว่าต้องทำไง” พีทพูด
   คำพูดของพีท ทำให้อินนั่งคิดทบทวนในอะไรบางอย่าง กับสิ่งหลายสิ่งที่เขาต้องพบเจอ บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วอย่างที่กายบอก เวลาที่เขาต้องเลือก ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องการเหตุผลของคนอื่น มันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เขาจต้องตัดสินใจ
   ท่ามกลางความเงียบระหว่างกัน อินหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมามองอยู่อย่างนั้น พลางคิดอะไรบางอย่าง
   “โฟล์คก็รู้เรื่องนี้ใช่ป่ะ” อินถามขึ้น พีทพยักหน้ารับเบาๆ
   “กู... บอกมันเองอ่ะ... ว่าอย่าให้มันบอกมึง” พีทว่า “แล้ว...กูก็...ก็... ก็ถ้ามันจริงจังกับมึงได้ซะที กูก็จะได้....ตัดใจง่ายกว่านี้มั้ง”
   เสียงของพีทกลับมาสั่นเครืออีกครั้ง ขณะที่อินหลับตาลง
   “ไม่มีใครต้องเจ็บปวดเพราะกูอีกแล้ว” อินว่า พลางกดมือถือและโทรออกทันที ขณะที่พีทก้มหน้ากลับมามองอินอีกครั้ง
   “มึงโทรหาใคร..”
   “ชู่ว!....” อินหันมาทำสัญญาณมือใส่พีท ขณะที่รอเสียงตอบรับ และไม่กี่อึดใจ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็รับขึ้นที่ปลายสาย
   “ฮัลโหลค่ะ”
   “ฮัลโหลเจน... นี่เราเองนะ.... อิน” อินพูดขึ้น และนั่นทำให้เสียงปลายสายเงียบไปพักนึง “จำได้หรือเปล่าคับ... เราที่...เคย”
   “จำได้สิ... เจนก็รอให้ยูโทรมาอยู่นะ อิน...กายเล่าให้เจนฟังแล้ว แล้วก็ถ้าเกิดมีอะไรที่เจนพอจะช่วยได้ เพื่อชดชเยกับเรื่องทั้งหมดที่เคยผ่านมา เจนยินดีนะคะ ดีใจที่ยูโทรมานะอิน” เธอตอบอินเสียงใส ขณะที่อินได้แต่หลับตาเบาๆ
   “ฮัลโหล ยังอยู่ไหมคะ อิน...ฮัลโหล”
   “เจนเอ่อ... ผมมีเวลาไม่มาก และเอ่อ... ผมอยากให้คุณช่วย” อินพูดกับเธอทันที พลางมองไปหาพีท
   “ได้ค่ะ...อะไรเอ่ย” เจนถาม
   “วันพรุ่งนี้ ผมอยากให้เจนไปหาผมที่ออฟฟิศของซูเม่ แถวๆวงเวียนใหญ่ ผมกับพี่สุเมธ มีเรื่องอยากให้เจนช่วย เกี่ยวกับ...งาน” อินว่า “เจอกันที่นั่นซักสิบโมงนะ ถ้าไม่เช้าไป แต่...ผมรบกวนให้เจนขอโลเกชั่นจากกายเอา พอดี มือถือผมจะเข้าศูนย์นิดหน่อย แล้วเอ่อ... คุณจะติดต่อผมไม่ได้เลยจนกว่าจะเจอกัน”
   “โอ้... พรุ่งนี้เหรอคะ แปปนะ...”
   ระหว่างรอสายเธอ อินมองหน้าพีทที่ยังคงมองเขากลับมาด้วยความสงสัย
   “โอเคอยู่...ไปได้ค่ะ แต่อาจจะอยู่ได้ไม่นาน” เจนตอบ “มีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าคะ”
   “ก็...ไม่เชิงคับ... เดี๋ยวไว้คุยกันพรุ่งนี้นะเจน” อินว่า
   “อ่า อ่า โอเคค่ะ... เอ่อ... เจนดีใจนะ ที่ยูโทรมา”
   “เช่นกันเจน... ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันคับ บาย”
   อินวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ทันที และหันไปหาพีท
   “กูว่า... บางทีปัญหาอาจจะอยู่ที่กูเอง” อินพูดต่อ “บางที... กูอาจจะต้องเป็นฝ่ายไป แล้ว...ไปให้ไกลกว่าเดิม”
   “มึงจะทำอะไร” พีทว่า
   “กูกำลังจะขอให้มึงทำตามสัญญา” อินพูดต่อ
   “สัญญา?....สัญญาอะไรวะ” พีทร้องถาม
   “สัญญาที่ว่ามึง จะทำตามที่กูขอ ไม่ว่าเรื่องอะไร สัญญาที่ว่ามึงจะอยู่ที่นี่ เพื่อดูแลกู ดูแลแม่” อินว่า “มึงยังจะทำให้กูได้อยู่ไหม”
   พีทเงียบสนิท
   “มึงกำลังจะหนีกู หนีจากทุกอย่างไป เหมือนทุกๆครั้ง” พีทว่า “ใช่หรือเปล่า”
   อินก้มหน้าลง
   “อยู่หรือไป เราก็รักกันไม่ได้ใช่หรือเปล่า” อินว่า พีทก้มหน้าลงทันที “ทางแม่งขีดให้เรามาเจอกัน แต่แม่งไม่พอที่จะให้เราเดินด้วยกัน ถูกมั้ย”
   พีทยังคงเงียบ
   “พี่พีท” อินพูดเสียงชัดเจน ขณะเดินไปหาตรงหน้า และยื่นมือไปหาเขา “เราสองคนจะลงไปข้างล่าง เดินไปหาแม่ แล้วบอกเค้าว่า เราเคลียร์กันจบแล้ว เราไม่ได้ทะเลาะกัน และพี่พีทจะอยู่นี่ เพื่อดูแลบ้าน ดูแลแม่ ในระหว่างที่อินไม่อยู่... พี่จะทำได้หรือเปล่า”
   พีทมองมือคู่นั้นอยู่อย่างนั้น
   “มึงจะไปกับมันใช่มั้ย” พีทร้องถามเสียงสั่น อินยิ้มเบาๆก่อนจะส่ายหน้า
   “ผมไปกับใครไม่ได้ทั้งนั้น” อินว่า “ผมมีแต่จะทำให้ทุกคนเจ็บปวด รวมถึงพี่ด้วย... เราต้อง จบทุกอย่างซะ เชื่อผมเหอะ”
   พีทหลับตาลงก่อนจมองหน้าอินอีกครั้ง
   “งั้น... ถ้าวันไหน... มึงอยากให้พี่มึงคนนี้... แกล้งเป็นแฟนมึงอีก.... ก็บอกละกัน” พีทยิ้มให้อิน ก่อนจะวางมือลงบนมือของอินและลุกขึ้นทันที
   “คับผม” อินยิ้มให้พีทอยู่อย่างนั้น พีทถอนหายใจก่อนจะดึงอินเข้ามากอดอีกครั้ง
   “อย่างน้อยกูก็ยังมีมึงล่ะวะ” พีทพูดเสียงสั่นอยู่ในอ้อมกอด ขณะที่อินหลับตาลงอยู่อย่างนั้น แต่ไม่นานนัก พีทก็ผละตัวเองออกและมองหน้าอินอีกครั้ง
   “แล้วมึง... บอกมันหรือยัง” พีทถามจี้ ซึ่งนั่นทำให้อินหายใจเข้าไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะก้มลงมองมือถือตัวเองในมือ
   “มึงต้องไม่บอกมัน” อินว่า “กูจะไม่เจอมันอีกแล้ว.... กูจะไม่เจอมันอีกเลย”

.................
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 37 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-04-2020 19:01:26
 :m11:
สะใจว้อยยยยยยยยยยยย

อินทำได้ดี
ทิ้งแม่มมมไปเลย

หมาหัวเน่า..ไม่มีใครเอา
 :m4:

 :กอด1: พีท..คนดีที่สุดเล้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 37 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 21-04-2020 12:00:14
ตอนที่ 38 Tear Apart 4

 การเดินทางคืออะไร
คำถามนี้เริ่มกลายเป็นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของอินมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การทำงานในช่วงเวลาที่อยู่ในจุดเปลี่ยนผ่าน และตัดขาดจากทุกอย่างที่เขาต้องแบก เป็นความรู้สึกว่างเปล่าที่กลายเป็นหลุมอยู่ข้างในใจของเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลุมนี้ ทำให้ใจของเขารู้สึกสงบ และทำให้เขาจัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนการเดินทางได้ไม่ยากนัก
แม้ว่าเขายังมองไม่เห็นคำตอบนักว่า การเดินทางคืออะไร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อินหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ฮัลโหลครับพี่เมธ”
“อิน... ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย” สุเมธถาม
“คับพี่... เรียบร้อยดีคับ” อินตอบ
“แล้วอินจะใช้เบอร์นี้ต่อไหม หรือจะติดต่อกันทางอื่น”
“เดี๋ยวผมส่งเครื่องคืนไปที่ออฟฟิศคับพี่ ไปโน่นแล้ว เราติดต่อกันทางไหนเดี๋ยวผมผ่านเจนมาอีกทีคับ” อินตอบ
“โอเค... งั้นก็... เตรียมของให้เรียบร้อยนะ โชคดีกับการเดินทาง”
“ขอบคุณคับพี่ ไว้เจอกันคับ”
อินกดวางโทรศัทพ์ไป ก่อนจะเดินตรงไปยังคอนโดตรงหน้า ดูเหมือนยังเหลืออีกหนึ่งสิ่งที่เขาต้องทำ นั่นคือการคืนคีย์การ์ดที่ใช้มาที่นี่ โฟล์คคงออกไปทำงานแล้วในเวลาบ่ายๆเย็นๆแบบนี้ การเอาคีย์การ์ดมาคืนครั้งสุดท้าย น่าจะพอหลีกเลี่ยงให้เขาไม่เจอได้
เมื่อลิฟต์มาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง อินตั้งสติกับตัวเองครั้งหนึ่ง จึงแตะคีย์การ์ดเข้าไป
ร่างร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า พร้อมกับเข้าของที่ดูเหมือนกำลังจะแพ็คเพื่อเดินทางเช่นกัน อินหน้าตาตื่น เมื่อเห็นสภาพนั้น
“ไอ้กาย” อินร้องทัก
“ไอ้อิน” กายร้องทักตอบเช่นกัน ขณะที่อินพยายามมองเข้าไปในห้อง อย่างมึนงง
“มึง...มานี่ได้ไง” อินร้องถาม ขณะที่กายหัวเราะเบาๆ และยิ้มให้
“มึงสองตัวนี่ ชอบมาอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ ในเวลาที่ไม่ใช่ แล้วสลับที่กันไปมาตลอดเลยนะ” กายว่า “มึงเข้ามาก่อนมา”
อินยังคงยืนนิ่งพลางมองเข้าไปในห้อง
“เข้ามาเหอะ มันไม่อยู่หรอก” กายพูดแบบนั้น อินจึงเดินเข้าห้องตามคำพูดเพื่อน
“มึง...มาค้างห้องมันอ่อ” อินว่า
“ไม่... นี่เป็นห้องกูแล้ว” กายตอบพลางยิ้มให้ “มันไปแล้วเหมือนกันอิน กูก็เลยซื้อต่อ... ก็ตามที่มึงบอกไง... กูควรมีที่อยู่ในกรุงเทพ”
ความจริงจากกาย ทำเอาอินเงียบเสียงไปพักหนึ่ง ก่อนจะมองเข้าไปในห้อง และเขาก็สังเกตได้ว่าหลายๆอย่างในห้องเปลี่ยนไปมาก กายเปลี่ยนห้องที่เขาเคยอยู่กับโฟล์คให้เป็นที่ใหม่อย่างที่ควรเป็นไปแล้ว
“มัน...ไปแล้วอ่อ” อินร้อง พลางถอนหายใจ กายมองหน้าเพื่อนอยู่อย่างนั้น
“ใช่” กายพูดเรียบๆ “รู้มั้ยว่า เมื่อสองสามวันก่อน ถ้าพี่เมธไม่โทรหากู กูจะไปแจ้งความละนะ ว่าเพื่อนหายอ่ะ กูอาจจะเป็นพ่อมดแห่งวงการ แต่วิชาหายตัว มึงนี่ที่หนึ่งเลย”
“กูหนีมึงไง ตั้งแต่ม.ปลายเลย จำไม่ได้อ่อ กูได้มาจากมึงนะเรื่องนี้” อินว่า พลางยิ้มให้ กายหัวเราะเบาๆ
“พรุ่งนี้ป้ะ ใช่มั้ย” กายถามแต่อินส่ายหน้า
“เช็คอินสี่ทุ่ม คง...ออกตอนเที่ยงคืน” อินตอบ กายพยักหน้ารับ
“ถึงโน่นถ้า..มีอะไรให้กูช่วย... ก็บอก... กูมีบ้านพ่อกูอยู่วิลแลต ถ้าถึงแล้ว ก็เดี๋ยวให้....” กายพูด
“เจนจัดการให้แล้ว กูก็คงอยู่บ้านมึงแหละ ซักพัก แล้วค่อยว่ากัน” อินว่าพลางหยิบคีย์การ์ดของห้องนี้ขึ้นมา และยื่นให้กาย “เพราะงั้น... กูคงไม่ได้มาห้องนี้แล้ว เจ้าของห้อง...คนใหม่... ควรเก็บไว้ใช้”
กายมองคีย์การ์ดในมือ ก่อนจะรับมันมา
“มึงไปอยู่บ้านกูที่โน่น ส่วนกูก็มาอยู่ห้องมึงที่นี่ งั้นอ่อ” กายว่า
“ก็...คงงั้น” อินยักไหล่ ก่อนจะมองไปรอบๆ “แล้ว... มึงแต่งตัวเหี้ยไรเนี่ย กระป๋งกระเป๋านี่อีก จะไปไหน”
“อ๋อ...เอ่อ ไปทะเล” กายว่า “บางแสน พัทยา... ซักสองสามวัน”
“ไปทำงานอ่อ” อินถาม
“เปล่า...ก็...ไปเที่ยวอ่ะ...กับเอ่อ....บางคน” กายตอบ
“โอเค...งั้นเอ่อ... กูไปละ โชคดีเพื่อน” อินตบไหล่กาย ก่อนจะเดินไปยังประตูห้อง และความรู้สึกทุกย่างก้าวตรงนี้ มันเหมือนกำลังฉีกความรู้สึกของอินเป็นเสี่ยงๆ
“มึงรู้ใช่มั้ยว่ามันจะไม่หยุดตามหามึงอ่ะ” กายพูดขึ้น ทำเอาอินหยุดชะงัก อินเหลียวหลังมาหากายเล็กน้อย
“รู้ดิ” อินตอบ “เพราะงั้น... กูถึงต้องไปให้ไกลไง”
กายมองอินเดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจให้กับเรื่องราวของเพื่อนรักของเขาทั้งสองคน
.........
ที่สนามบินในตอนค่ำ โฟล์คหยิบกระเป๋าใบใหญ่ลงจากรถเข็น และวางมันลงไปที่สายพานเคาท์เตอร์ ขณะที่บอลรับบอร์ดดิ้งพาสคืนจากพนักงานเช็คอิน
“เรียบร้อยนะพี่” โฟล์คหันไปถาม
“อื้อ... เรียบร้อย” บอลหันมาหาโฟล์ค “จะหาไรกินก่อนมั้ย”
“ผมไม่หิวอ่ะ พี่อ่ะ หิวหรือเปล่า ผมวิ่งไปซื้อให้ได้นะ ยังทันอยู่ป้ะ” โฟล์คว่า
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปซื้อข้างในก็ได้” บอลว่า “งั้นไปกันเลยมั้ย”
“ได้คับ”
โฟล์คเดินตามบอลไปจนถึงหน้าเกทที่จะต้องเช็คอินเข้าไปครั้งสุดท้าย บอลเดินนำเข้าไปในเกตขณะที่โฟล์คยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองภาพตรงหน้าพลางคิดทบทวนอะไรบางอย่าง บอลหันกลับมาหาโฟล์คทันที
“เป็นไรโฟล์ค... ทำหน้ายังกะ...ลืมอะไรงั้นแหละ” บอลพูด
“อ๋อ...ป่าวคับ ไม่ได้ลืม...” โฟล์คว่า พลางส่ายหัวไล่ความคิดบางอย่างออกไปจากหัว ก่อนจะยื่นบอร์ดดิ้งพาสและเช็คอินตามไป เมื่อเข้าไปในเกตแล้ว โฟล์คปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไป และเมื่อเข้าไปในเกต โฟล์คหยิบเป้ที่ตรวจเช็คเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับบอลที่หยิบของของตัวเอง ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะยิ้มให้กัน
“เกตไหนนะพี่” โฟล์คร้องถาม
“โห...โน่นอ่ะ 25 ต้องเดินไปอีก ทางโน้น” บอลว่าพลางมองไปด้านซ้าย ก่อนจะหันมาหาโฟล์ค “แล้วเราอ่ะ.... เกตไหน”
โฟล์คหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองบอร์ดดิ้งพาสในมือ
“อยู่ทางขวาคับ” โฟล์คตอบ และแล้วก็ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ รอยยิ้มที่สดใสหายไปจากใบหน้าของโฟล์ค ขณะที่บอลยิ้มให้เขา
“งั้น... เดี๋ยว... พี่ไปก่อนนะ...”
“พี่บอล....” โฟล์คร้องเรียกพี่บอลเอาไว้ ขณะที่ความทรงจำบางอย่างย้อนกลับขึ้นมาหาเขา

“.....ผมมีอะไรจะบอก” โฟล์คพูดขึ้น พลางวางช้อนลงในชามข้าวต้มตรงหน้า
“อื้อ...ว่าไง” บอลร้องถาม เมื่อเห็นว่าโฟล์คพูดแทรกขึ้นมา เขามองเห็นโฟล์คกำมือแน่น เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“ผม... ผม... คงไปญี่ปุ่นกับพี่ไม่ได้” โฟล์คพูดขึ้นทันที และนั่นทำให้ความเงียบของห้องเข้ามาแทนที่ บอลหายใจเข้าลึกทันที
“ก็...ค่อยๆ เตรียมไปดิ... อย่าเพิ่งไปเครียด...มันจัดการได....”
“จัดการไม่ได้พี่ มันพังไปแล้ว” โฟล์คพูดเสียงชัดเจน ขณะมองไปหาพี่บอล และนั่นทำให้เขาเงียบเสียงลง
“มันยัง....ไม่ดีพอเหรอ” บอลพูดเสียงเรียบ ขณะที่โฟล์คเริ่มหายใจแรงขึ้น ชายหนุ่มก้มหน้าลง
“เพราะมันดีเกินไปอ่ะพี่ และผม ไม่สมควรได้รับมันเลย” โฟล์คตอบ “ผม... ไม่ได้อยากได้ชีวิตแบบนั้น”
บอลเงียบสนิท
“ผมขอโทษ ที่ไม่ได้บอกพี่ก่อน ผมขอโทษที่ปล่อยให้มันมาถึงตอนนี้ แต่... ผมไม่ใช่คนดีเลยพี่” โฟล์คว่า “ผม... ไม่ได้คิดถึงอนาคตของเรา... ผม... เคยคิดว่า มันอาจจะเวิร์ค แต่... ผมพยายามแล้วพี่... แต่ผม...”
“ไม่ได้รู้สึก...สินะ” บอลพูดเสียงสั่นเครือ พลางเม้มปากตัวเองช้าๆ “ไม่งั้นโฟล์คคงให้คำตอบพี่ไปแล้ว...สินะ”
“พี่เคยถามผมใช่ป่ะ ว่าถ้าผมไม่ได้รักพี่ แล้วผมคบกับพี่ทำไม” โฟล์คว่า “คำตอบคือ...ชีวิตผมมันไม่มีอะไร... มันไม่มีอะไรจนพี่เข้ามา”
บอลหันกลับมามองหน้าโฟล์คอีกครั้ง
“ชีวิตผมมีแต่หนังสือ กับเพลง.. แต่ผมไม่เคยเขียนหนังสือ หรือเล่นดนตรี” โฟล์คว่า “ผมแค่สนุกไปกับมัน แต่ผมไม่รู้ ว่าผมจะสร้างอะไรจากมันได้... จนพี่... ทำให้ผมเห็น ว่าผมมีอะไรมากกว่าที่ผมมี”
โฟล์คพูดต่อ
“ผมรู้ว่าพี่รักผม พี่ดูแลผมมาตลอด และผมก็พยายามที่จะรักษาทุกอย่างไว้ แต่ผมก็ทำพัง ผมทำพังตลอดเลย ผมไม่เคยสร้างสรรค์อะไรได้เลย ผม... ดีแต่ทำลาย” โฟล์คว่า “ผม... ผมไปกับพี่ไม่ได้ เพราะถ้าผมไป ผมก็จะไปทำพังอีก และผมไม่อยากทำชีวิตพี่พังกว่านี้อีกแล้ว”
บอลยิ้มเบาๆ
“พี่ไม่ได้ผิดนะ แต่ผม... ผมรู้สึกแย่ ที่... ที่ผมเป็นเหมือนเด็ก ที่พี่ต้องคอยดูแล” โฟล์คว่า “เด็กที่ไม่รู้จักโตซะที และผม... ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ตอนที่เราไปที่โน่น เพราะ... ถ้าผมต้องพูดแบบนี้ตอนเราอยู่ที่โน่น มันจะลำบากกว่าเราจบมันกันที่นี่และ ผมว่าผม...”
“พี่เข้าใจ” บอลพูดเสียงเรียบ “พี่เข้าใจตั้งแต่วันแรก ที่พี่ขอโฟล์คเป็นแฟนแล้ว”
โฟล์คกลายเป็นฝ่ายเงียบบ้าง
“พี่นับทุกๆวัน ว่าจะมีวันไหนไหม ที่โฟล์คบอกว่า...โฟล์ครักพี่” บอลว่า “แต่... มันก็ไม่เคยมี”
“พี่บอลผม...ผมขอโทษ...”
บอลเงียบไปพักนึง พลางมองหน้าโฟล์ค
“ก่อนน้องอินจะออกไป โฟล์คก็น่าจะให้ชุดใหม่เค้าเปลี่ยนไปทำงานนะ” บอลว่า “ใส่ชุดซ้ำกับเมื่อวานไปทำงาน คนเค้าจะมองแย่เอา”
คำพูดของบอลทำเอาโฟล์คเงียบสนิท
“พี่บอล...”
“พี่รู้... รู้มาตั้งนานแล้ว” บอลว่า “พี่เป็นแฟนโฟล์คนะเว่ย พี่จะไม่รู้ได้ไง เวลาที่แฟนพี่โกหกอ่ะ แล้วพี่ก็คิดว่า ทุกคนรอบตัวโฟล์ค ก็คงพูดเหมือนกันหมดว่า โฟล์คเป็นนักโกหกที่แย่มาก”
โฟล์คหลบสายตาลงทันที
“แล้วโฟล์คก็อาจจะไม่รู้ตัวว่า... ทุกครั้งที่โฟล์คอยากจะบอกเลิกพี่ โฟล์คจะ...พูดคำว่า ขอโทษ” บอลพูดต่อ “ตลอดหกเดือนมานี้ เราพูดขอโทษกับพี่บ่อยมาก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยพูดมาก่อน”
บอลว่าต่อ
“และครั้งแรก ที่โฟล์คพูด ก็คือ... ที่บาร์วันนั้น วันเลี้ยงจบของพวกเพื่อนโฟล์ค ตอนที่โฟล์คเดินสวนพี่ไป”
โฟล์คหายใจเข้าช้าๆ ขณะมองหน้าบอล
“ใช่...เราพูดถูก มันพังไปแล้ว และพี่เองก็แค่ คนที่หลอกตัวเอง ว่ามันจะไปได้ต่อ” บอลว่า “และคราวนี้ พี่เลยเป็นฝ่ายโกหกโฟล์คบ้าง”
“โกหก...ผมเหรอ” โฟล์คว่า “โกหกเรื่องอะไร”
“มันไม่เคยมีดีลให้ที่ญี่ปุ่นหรอกนะ ดีลนั้น มันสำหรับพี่คนเดียว” บอลพูดต่อ “เอกสารนั่นเป็นของปลอม พี่แค่ใช้มัน... เพื่อบีบให้โฟล์ค พูดเรื่องนี้ออกมา พูดซะที... ว่าเราไปกันไม่ได้”
“พี่บอล....”
“พี่เป็นคนขอเราคบ แต่พี่จะไม่เป็นคนขอเลิก พี่ขอเป็นฝ่ายโดนบอกเลิก มันจะแฟร์กว่า” พี่บอลว่า “เพราะมันก็....มันก็สาสมแล้ว กับสิ่งที่พี่ ไปลงกับคนที่โฟล์ครัก”
บอลลุกขึ้นทันที แต่โฟล์คก็คว้าตัวพี่บอลไว้
“ผมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราเปลี่ยน” โฟล์คว่า “ผมอยากชดใช้ให้พี่ทุกอย่าง กับสิ่งที่ผมทำ”
บอลหันกลับมายิ้มให้โฟล์ค ก่อนจะจับมือเขาไว้
“สำหรับพี่มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนโฟล์ค” บอลยิ้มให้ “เราก็ยังเป็นน้องที่พี่รักเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ตอนนี้พี่จะไม่อยู่แล้ว ส่วนโฟล์ค... โฟล์คก็ต้องคิดเอาเอง... ว่าไม่มีพี่แล้ว... ชีวิตโฟล์คจะเอาไง จะผิดเหมือนที่เคยผิดมาอีกหรือเปล่า...”
โฟล์คหายใจเข้าลึก
“เขากำลังจะไปแล้วคับ” โฟล์คว่า “ผม... ถึงเวลาต้อง... ชดใช้ในสิ่งที่ผมทำแล้ว”

บอลมองหน้าโฟล์คที่ยืนนิ่งอยู่ในเกตอย่างนั้น
“ว่าไง...” บอลถามขึ้น
“ค็อกเทลล์ฝีมือพี่ อร่อยที่สุดเลยนะ” โฟล์คว่า ทำเอาบอลยิ้มกว้าง “ไว้ผม...จะไปชิมอีกนะคับ”
“งั้นพี่คง...ต้องใส่แอลกอฮอล์เยอะๆ” บอลตอบก่อนจะยิ้มให้
“โชคดีคับพี่” โฟล์คว่า
“ลาก่อนโฟล์ค”
บอลเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแค่ความเงียบงันท่ามกลางผู้คนมากมายของสนามบิน เขามองหลังของอีกหนึ่งคนที่เขาทำลายความรู้สึกไป คนคนนั้นกำลังไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หมดสิ้นจากเรื่องแย่ๆที่เขาทำ เรื่องแย่ๆที่ตอนนี้เขาขอกลายเป็นคนที่แบกรับมันไว้คนเดียวก็พอ
เขาพยายามแล้วที่จะตามหาอิน แต่ในเมื่ออินก็เป็นอีกคนที่หันหลังเดินจากเขาไป ดังนั้นจึงไม่เหลือทางเลือกอะไรให้กับเขาอีก เขาที่เป็นเพียงคนเลวที่ทำได้เพียงทำลายความรู้สึกของคนอื่น
คนที่ไม่เคยมีปลายทางให้กับใครอย่างจริงจัง
โฟล์คหลับตาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก
“ฮัลโหล... มอสอ่อ.... กูเองนะ” โฟล์คว่า
“เอ้อ... ออกมายัง เดี๋ยวกูไปรับ” มอสพูดผ่านเสียงปลายทาง
“ยังอ่ะ... กำลังจะขึ้นเครื่องอีกชั่วโมงนึง กูถึงเชียงใหม่” โฟล์คว่า
“โอเช... มึงชัวร์แล้วนะ ว่าจะมาอยู่กะกูที่นี่อ่ะ” มอสถามอีก
“อืม.. กู... ไม่มีอะไรติดค้างที่นี่แล้ว” โฟล์คพูดชัดเจน “ไว้เจอกัน”
โฟล์ควางสายไป พลางกดปิดเครื่องและหายใจเข้าลึก ก่อนเขาจะรู้สึกได้ว่า มีสายตาคู่หนึ่งมองเขาจากทางเดินอันเวิ้งว้าง แต่เมื่อหันกลับไป มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า โฟล์คเพ่งมองไปด้วยสายตาที่เจ็บปวด มันคงเป็นเพียงภาพความคิดที่ไม่เป็นจริง
สองเท้าของเขาเดินออกไปจากตรงนั้นด้วยสายตาที่อ่อนล้า และหวังว่ามันจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายเสียที เมื่อโฟล์คเดินจากไปแล้ว อินวางแก้วน้ำในร้านของฝากของสายการบินลง ขณะที่เขาหันหลังให้กับโฟล์คที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วหลบเข้าไปยังร้านค้าที่อยู่ใกล้กัน ชายหนุ่มหลับตาเพื่อลืมความเจ็บปวดทั้งหลาย และก้าวเดินไปยังทางเดินที่อยู่ตรงข้ามกัน
ทางเดินที่กลายเป็นเส้นขนานอันยาวนาน
............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 38 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 21-04-2020 19:46:05
ตอนที่ 39 Destination

การก้าวลงที่สนามบิน Charles de Gaulle หลังจากที่การเดินทางอันยาวนาน ทำให้โฟล์ครู้สึกตื้อและเพลียเล็กน้อย แต่ทันทีที่ขาของเขาก้าวออกมาจากเกต มันทำให้ตัวของเขาร้อนผ่าว มันเหมือนกับว่าการนอนบ้างไม่ได้นอนบ้างบนเครื่องหลายชั่วโมงกับมิก มันไม่ได้มีผลต่อร่างกายของเขาเลย หรืออาจจะหมายรวมถึงความรู้สึกบางอย่างของเขาที่ปั่นป่วนมาตลอดเส้นทางด้วย เพราะสำหรับเขา เรื่องเล่าระหว่างทางของเขากับมิก มันคือการเดินทางที่ยาวนานมากกว่าเที่ยวบินสิบกว่าชั่วโมงจากกรุงเทพ มาปารีสมากมายนัก 
“คนเราต่างมองหาปลายทางของตัวเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าปลายทางที่ไม่มีคนที่เรารักรออยู่ มันอ้างว้างกว่าที่ผมเคยคิด เพราะสุดท้ายแล้ว ผมก็มาเรียนรู้ว่า เราไม่อาจจะมีอนาคตไปได้ ถ้าข้างในหัวใจและความคิดของเราไม่สมบูรณ์ ความรู้สึกดี ความรัก ความห่วงใย มันเป็นของให้เปล่า ให้แล้วให้เลย มันให้ไปพร้อมกับหัวใจ เมื่อเรายกมันให้ใครไปแล้ว เราเอาคืนมาไม่ได้ ต่อให้ความรักมันสูญสลายไป แต่หัวใจเราก็จะไม่มีทางกลับมาอีก”
มิกเดินอ่านหนังสือ Endless Dream ขณะเดินไปตามทางเดินของส่วนผู้โดยสารขาเข้า
“พาร์ทนี้มันโคตรจี้ผมเลยนะ” มิกว่าพลางปิดหนังสือลง ก่อนจะหันไปหาโฟล์คที่ยิ้มให้อย่างเก้อเขิน “มันคือชีวิตผมเลย... ผมซึ้งเลยกับบทนี้”
“อ่านะ... ก็... ถ้าบอกว่าไม่ใช่ชีวิตผมด้วยก็คงโกหก” โฟล์คพูด
“ช่าย และเหมือนทุกคนก็ยืนยันแล้ว ว่านายเป็นนักโกหกที่แย่มาก” มิกพูดพลางหัวเราะ ขณะที่โฟล์คส่ายหน้าเบาๆ “ใช้เวลาเขียนนานมั้ย”
“อืม...ก็เป็นปีเลยนะ เพราะว่าไม่ได้เขียนทีเดียวจบ แต่ค่อยๆประกอบร่างมันทีละนิดละหน่อย” โฟล์คตอบ
“หลังจากนั้นก็ไปอยู่เชียงใหม่เลยเหรอคับ” มิกถาม
“คับ... เพื่อนผมกับแฟนเปิดร้านกาแฟที่โน่น เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ แล้วก็ทำอะไรได้เยอะ” โฟล์คว่า “ผมเองก็ได้มีเวลากับตัวเองมากขึ้น แล้วก็เลย เริ่มเขียนหนังสือ แบบว่า... ได้ลองทำงานที่ตัวเองเรียนมาซะที”
“ปรัชญาความรักยุคนี้ชวนอ้วกหลายเล่ม แต่กับเล่มนี้ผมซื้อนะ” มิกพูด “มันไม่ต้องการอะไรหวือหวา อีกอย่าง ความรักคือความผิดพลาด และผมว่า เราคงต้องยอมรับมันซะที”
มิกยิ้มให้กับโฟล์คที่เดินมาถึงสายพานรับของ
“มาปารีสครั้งแรกป่ะ” มิกหันไปถาม
“อ่าหะ” โฟล์คตอบพลางมองไปรอบๆ อย่างตกประหม่า ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายๆได้แล้ว หลังจากที่โฟล์คสังเกตได้จากนาฬิกาในเกต ก่อนที่ตัวเองจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาปรับตาม
“โอเค เดี๋ยวผมไปเอาภาพก่อน”
“งั้นเดี๋ยวไปเอารถเข็นมาให้”
โฟล์คเดินไปหยิบรถเข็นมา ขณะที่มิกรอของที่ไหลมาตามสายพาน และแล้วภาพภาพหนึ่งที่หุ้มฟูกกันกระแทกและหีบห่ออย่างดีก็ไหลมา มิกคว้ามันมาใส่รถเข็นก่อนสัมภาระของตัวเขาอีก
“ภาพชื่ออะไรนะ” โฟล์คร้องถาม
“Loveless Society” มิกตอบ
“ของเพื่อนนายที่ชื่อนัทป้ะ” โฟล์คถาม
“อื้อ มันต้องใช้ในงานเดินแบบคืนพรุ่งนี้อ่ะคับ” มิกว่าขณะจัดแจงสัมภาระ “ภาพนี้ก็เหมือนหนังสือนายอ่ะโฟล์ค มันมีผลกับชีวิตผม”
“กับหลายๆคนด้วยมั้ง มันเดินทางไกลมากนะภาพนี่” โฟล์คว่า
“ช่าย และผมก็ว่า... เห้ย... นั่น...” มิกมองข้ามไหล่โฟล์คไปเจอเข้ากับเด็กหนุ่มคนนึงที่กำลังหยิบสัมภาระตัวเองจากสายพานเช่นกัน มิกเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนจะร้องเรียก
“วิน...”
เด็กหนุ่มหันมาหามิกตามเสียงเรียกก่อนจะอึ้งไปพักหนึ่งที่เห็นมิกตรงหน้า
“พี่มิก...” วินร้องตอบด้วยท่าทีตกใจ “เอ่อ....หวัดดีคับ”
“นี่วินมา...จากไหนเนี่ย.. ไฟล์ทเดียวกับพี่เหรอ” มิกถาม วินจึงมองไปเห็นแท็กกระเป๋าที่ปรากฎสายการบินของพี่มิก และของตัวเอง
“คงใช่อ่ะพี่” วินยิ้มให้ “ผมมาจากไทยคับ”
“เอ๊า ไม่เจอบนเครื่อง” มิกว่า “แต่... พี่ได้ข่าวเรื่องเอ่อ... พี่เสียใจด้วยนะ เรื่อง... คุณแม่”
“คับ” วินตอบพลางยิ้มเฝื่อนๆ “ผม...ทำเต็มที่แล้ว”
มิกเอื้อมมือไปแตะไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนร่วมทาง
“เอ้อนี่...เอ่อ... เพื่อนพี่...เอ่อ เพื่อนพี่กายกับพี่นัท เอ่อ...พี่โฟล์ค” มิกว่า วินจึงยกไหว้สวัสดีทันที
“หวัดดีคับ” โฟล์คยิ้มให้
“แล้วกลับมานี่บอกใครหรือยัง” มิกถามต่อ
“เอ่อ...ยังเลยคับ” วินตอบ “คือ ผมตั้งใจว่า จะไปหา...เอ่อ... ไปทอร์ควิลก่อน แล้วหมดแฟชั่นวีคพรุ่งนี้ ผมจะ...เข้าไปรายงานตัวกับพี่เจนเอง”
“เออ.. ตอนเราหายไปอ่ะ เห็นเค้าวุ่นวายกันใหญ่เลย” มิกพูด
“ผมขอโทษคับพี่” วินพูดเสียงนิ่ม
“พี่ว่าแกไม่ลงหรอก เพราะพี่ก็...ชิ่งเหมือนกัน” มิกยิ้มให้ “ไปข้างหน้ากันเหอะ เผื่อจะเจอแทกซี่”
มิกนำทั้งวินและโฟล์คเดินออกจากเกต และเข้าสู่ทางเข้าสนามบิน อากาศที่หนาวเย็นของปารีสทำเอาโฟล์คขนลุกเบาๆ เขาไม่เคยมาต่างประเทศมาก่อน อากาศที่หนาวและความแปลกประหลาดรอบตัวจึงทำให้เขาสะท้านไปถึงความรู้สึกข้างใน
อยู่ดีดีเขาก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาเฉยๆซะงั้น
“มิก มิก!!!” เสียงอันหวานใสของสา ตะโกนเรียกมิกจากหน้าสนามบิน เธอและแฟนหนุ่มของเธอ มาร์คยืนโบกมืออยู่ตรงนั้น ขณะที่สาวิ่งเข้ามาสวมกอดเขาทันที
“เบาก่อนคุณเธอ โอ่ย” มิกส่งเสียงร้องอยู่ในอ้อมกอดของเธอ “หวัดดีมาร์ค”
“หวัดดีหวัดดี” มาร์คยิ้มให้
“คิดถึงแกมากอ่ะ เป็นไงบ้าง เดินทางโอเคนะ” สาร้องถาม
“อื้อ โอเค” มิกยิ้มให้เธอ “แล้วเธออ่ะ มาจากเบอร์ลินตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เพิ่งถึงตะกี้เลยค่ะ แล้วพอนัทมันส่งข้อความมาว่าแกจะถึงนี่ ก็รออยู่นี่เลย รอแกเนี่ย จะได้ไปหาไรกินกัน” สาพูด “เอ๊า เดี๋ยวนั่นน้องวิน เพื่อนน้องเอิร์ธนี่”
“อื้อ...มาด้วยกันเนี่ย” มิกตอบ “แล้วก็นี่... จำได้ป่าว”
มิกผายมือไปยังโฟล์คที่เข็นรถตามออกมา สาหรี่ตามองเขา
“เห้ยคุ้น เดี๋ยวนะ เคยเจอที่ไหนอ่ะ เอ๊ะ เอ๊ะ ติดอยู่ที่ปาก” สาชี้นิ้วย้ำๆไปที่โฟล์ค ขณะที่โฟล์คและมิกมองหน้ากันขำขำ
“รับเครื่องดื่มซักแก้วไหมคับ” โฟล์คพูดทันที
“โอ๊ย จำได้แล้ว บาร์เทนเดอร์ที่บาร์ดาดฟ้า เพื่อนแฟนเก่าแกป้ะ เพื่อนฟ้า” สาร้องทันที
“คับผม โฟล์คคับ” เขายิ้มให้เธอ ขณะที่เดินตามมารวมกลุ่ม
“แล้วยังไงคะเนี่ย ยังไงอ่ะมึง ทำไมอยู่ดีดีมาโผล่นี่กัน” สาถามขึ้น มิก โฟล์ค และวินต่างก็ทำสีหน้าไปในทางเดียวกันหมด จนสาตกใจ เธอจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
“เอ่อ... กู...”
“ผมกลับมาทำงานคับ” วินพูดขึ้นก่อนทันที “ผมหมดธุระจากที่ไทยแล้ว ก็เลย... อยาจะกลับมาช่วยพี่เจน”
สายิ้มให้กับวิน พลางเหล่มองมาหาเพื่อนของเธอ
“แล้วเพื่อนกูคนนี้ล่ะ” สาว่า “วินมันเป็นอาร์ตได มึงก็เป็นอาร์ตได จะต้องมีคนนึง ไม่ได้อยู่นี่ถูกมะ”
“อืม... ก็... กูก็ตั้งใจว่า เจอเจนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” มิกพูด
“แล้วโฟล์คล่ะคะ” สาหันไปถาม
โฟล์คมองไปมองมาระหว่างทุกคน
“คือผม... ผมมาตามหาคนคนนึง” โฟล์คพูด “แล้วผมคิดว่า ทุกคนอาจจะพอช่วยได้”
“คนไทยเหรอคะ” สาว่า “เริ่มจากเกล็ดหิมะได้ค่ะ ไม่น่าจะ...”
“อินอ่ะคับ ผมมาหาอิน” โฟล์คพูดต่อ สาถึงกับตาโต
“โอ้” สาร้องเบาๆ “คุณเลนส์ไวด์”
“มึงว่าไงนะ” มิกร้องถาม
“ก็...อินไง เค้าชอบใช้เลนส์ไวด์ ฉันตีกะเค้าบ่อยๆ ตอนถ่ายงาน” สาว่าก่อนจะหันไปหาโฟล์ค “คุณมาผิดที่แล้วล่ะค่ะ อินไม่ได้อยู่ปารีส”
คำพูดของสาทำเอาโฟล์คเงียบสนิท หน้าของเขาถอดสีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มิกถึงกับหันไปทำหน้ามุ่ยใส่สาทันที
“แต่ไม่เป็นไรนี่ เดี๋ยว...ช่วยๆกัน ตามๆได้ แค่นี้เอง” มิกส่งเสียงสูง “เอ่อ...เราไปกันก่อนมั้ย แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
มิกพยายามจะพูดให้บรรยากาศดีขึ้น แม้ว่าโฟล์คจะไม่ค่อยเอาด้วยเท่าไหร่
“งั้นเดี๋ยวผมขอแยกไปก่อนดีกว่าคับ ผมเอ่อ... อยากกลับทอร์ควิล” วินพูด “ไว้เจอกันที่ออฟฟิศพี่สุเมธคับ”
“เห้ยไม่ไปด้วยกันอ่ะ” มาร์คหันไปถาม
“นั่นดิ” สาว่า “พี่ไปส่งได้นะ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่าคับ พวกพี่ไปหาไรกินกันเหอะ” วินว่า
“เอาเดี๋ยวกูไปกับวินดีกว่า” มิกว่า
“เอ๊าทำไมอ่ะ ไม่เอา ไปกับชั้น” สาส่งเสียงงอแง
“ไม่ คือกูเอา Loveless Society มา เจนเค้าจะใช้แสดงแฟชั่นพรุ่งนี้” มิกว่า “เดี๋ยวไม่ทัน”
“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปเองพี่” วินว่า “ยังไงผมผ่านออฟฟิศซูเม่อยู่แล้ว เดี๋ยวผมจัดการให้”
“เอางั้นอ่อ” มิกว่า
“ไม่เป็นไรพี่ งานผม” วินว่า
“งั้นเดี๋ยวผมไปกับน้องเค้าเอง” โฟล์คเอ่ยขึ้น
“อ...อ้าว” มิกว่า “แล้วจะโฟล์คจะเข้าที่พักได้ไงอ่ะ จะไม่หลงใช่มั้ย”
“ถ้าน้องเค้าผ่านที่ทำงานอิน ผมอาจจะเจอเจนเค้าที่นั่น ผม... รู้จักเธอ” โฟล์คว่าก่อนจะหันไปหาวิน “เจนเค้าจะอยู่ที่นั่นไหม”
“ก็...ไม่แน่คับ” วินว่า “พี่มากับผมก็ได้ เดี๋ยวยังไงผมพาเค้าไปส่งโรงแรมเอง”
มิกเดินเข้ามาหาโฟล์คทันทีด้วยความเป็นห่วง
“โฟล์ค... ใจเย็นน่า... เราต้องได้เจอเค้า เดี๋ยวพวกเราจะช่วยหา” มิกพูดขึ้น
“ผมรู้มิก” โฟล์คตอบ “แต่ประเด็นมันไม่ใช่แค่ ผมมาหาคนไง ผมกำลังคิดว่า มันอาจจะไม่ได้อยากเจอผม และถ้าผมจับมันไว้แน่นพอ มันอาจจะหนีผมไปอีกก็ได้”
มิกเงียบสนิท คำพูดของโฟล์คสะท้อนเข้าหาเรื่องราวของเขาโดยตรง
“ผมจะหาเขาเอง ให้ผมได้ทำด้วยตัวผมเหอะนะ” โฟล์คว่า
..........
โฟล์คนั่งมองท้องถนนของปารีสไปด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า มือนึงของเขาจับภาพ Loveless Society โดยมีวินนั่งอยู่ข้างๆบนท้ายรถแท๊กซี่จากสนามบิน และพุ่งตรงเข้าปารีส เขารู้ดีว่าทุกๆคนที่นี่ น่าจะคุ้นเคยกับอิน และจะช่วยเค้าตามหาได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากใครซักคนไปบอกอินว่ามีคนกำลังตามหาอินอยู่ มันก็อาจเป็นไปได้มากว่า อินจะหนีเขาไปอีกครั้ง และเขาจะไม่ขอให้มันเกิดขึ้น เขาจะเดินตีนเปล่าอย่างที่อินเคยบอกเค้า เดินดุ่ยๆไปด้วยสองเท้าของเค้าเอง
“สำหรับคนที่มาปารีสครั้งแรก พี่ดูไม่ตื่นเต้นกับอะไรๆรอบตัวเลยนะคับ” วินพูดขึ้น ทำเอาโฟล์คหันหน้าไปหา
“ไม่ ก็..สวยดี... บ้านเมืองเค้าดีกว่าบ้านเราอยู่แล้วป้ะ” โฟล์คตอบพลางยิ้มให้
“คับ... แต่จริงๆก็ไม่ขนาดนั้น ปารีสกับกรุงเทพมีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง” วินว่า “มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครใครฝันไว้ขนาดนั้น”
“อยู่นี่มานานแล้วอ่อคับ” โฟล์คหันไปถาม
“ก็... จริงๆแค่ปีเดียวพี่ แต่... เมืองนี้ทำผมไว้เยอะ” วินว่า “ผมเข้าใจพี่นะ ผมรู้ว่ามันรู้สึกยังไง”
“หือ”
“ความรู้สึกที่ว่า มาเมืองนี้โดยไม่รู้ว่าเราจะเจอปลายทางของเราหรือเปล่า” วินพูด “ผมเคยเป็น”
“อ่านะ” โฟล์คตอบรับเสียงขรึม “แล้ว... เราเจอมั้ย... ปลายทางของเราอ่ะ”
วินยิ้มกับตัวเองเบาๆ
“เจอคับ” วินว่า “แล้วผมก็กำลังไปหามันอยู่ มีพี่ไปด้วยเนี่ย”
“เหรอ” โฟล์คส่งเสียงสงสัย “เห็นมิกเค้าบอกว่า... เรากลับไปไทยมา ทิ้งที่นี่ไปนี่”
“คับ” วินตอบ “ก็... ผมกลับมาเพราะว่า ผมวางปลายทางไว้แล้ว ยังไงผมก็...ต้องมา ซักวัน”
โฟล์คฟังเด็กหนุ่มพูดแล้วก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าพลังอบอุ่นบางอย่าง ส่องประกายมาจากเขาอย่างไม่รู้ตัว มันเต็มไปด้วยพลังแห่งความหวังจนโฟล์ครู้สึกได้
บางทีการเดินทางครั้งสุดท้ายนี้ มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด
รถแท๊กซี่จอดนิ่งรออยู่ที่ถนนฮักโซ วินวิ่งลงไปในตึกที่อยู่ไม่ไกลกัน ขณะโฟล์คนั่งรออยู่ในรถ เด็กหนุ่มพูดกับใครซักคนที่อยู่อยู่หน้าตึก พลางชี้เข้ามาที่รถ ก่อนที่เขาจะเดินมาพร้อมคนคนนั้น
“พี่โฟล์คคับ พี่เจนไม่ได้อยู่นี่นะ” วินว่า
“อ้าวเหรอ... งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เข้าที่พักก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” โฟล์คว่า
“ไม่พี่ ผมรู้แล้วว่าเขาอยู่ไหน เดี๋ยวเราภาพทิ้งไว้นี่คับ คนของซูเม่จะเอามันไปที่จัดงานเลย เดี๋ยวผมจะไปส่งพี่ที่เกล็ดหิมะ ทุกคนอยู่นั่น ส่วนผมก็จะกลับบ้านที่ทอร์ควิล” วินว่า
“เกล็ดหิมะเหรอ” โฟล์คว่า
“ร้านอาหารไทยน่ะคับ พี่ควรไปที่นั่น ทุกๆคนที่เกี่ยวข้องกับที่นี่ เคยไปที่นั่น” วินว่า “ไม่ต้องห่วงพี่ พี่เจอเค้าแน่”
 ............
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 38 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-04-2020 19:54:02
ตอนที่ 38
--------------------
ผลของกรรม เกิดจากกรรม ที่ทำก่อ
ไม่เคยรอ รั้งท่า อย่าฝ่าฝืน
เป็นไปตาม ความนั้น มันหวนคืน
ถึงแม้หลับ ลืมตาตื่น ยื่นชะตา

คงได้แต่ ก้มหน้า ยอมรับผล
ต้องอดทน ยืนสู้ เต็มสองขา
รอเวลา หมดกรรม ที่ทำมา
ถึงวันนั้น จึงเงยหน้า หาโชคดี

--เราจะไม่ซ้ำเติมใคร--
ปล่อยให้เวรกรรมได้ทำงานอย่างเต็มที่
หุหุ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 38 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-04-2020 20:20:45
ขอให้โชคดี..หาอินให้เจอนะโฟล์ค
ไปให้ถึงปลายทางของทั้งสองคน

Good luck!
 :L2:
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 38 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 23-04-2020 20:17:15
ตอนที่ 40 Assembly
“วินจะไม่เข้าไปเหรอ” โฟล์คร้องถามเมื่อลงมาจากรถแท็กซี่แล้ว
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าคับ... ผมจะไปทอร์ควิลแล้ว” วินว่า “ทุกคนน่าจะอยู่ข้างใน”
“แล้วเอ่อ...” โฟล์คหันซ้ายหันขวาพลางมองเข้าไปในร้านอย่างตกประหม่า
“ไม่ต้องกังวลคับพี่ ร้านเกล็ดหิมะจะช่วยพี่” วินยิ้มให้ “โชคดีคับ”
รถแท็กซี่ของวินจากไป ทิ้งไว้เพียงความงงงันขณะที่โฟล์คมองไปยังร้านอาหารตรงหน้า กับป้ายร้านที่เขียนว่า flocon de narge โฟล์คถอนหาใจให้กับตัวเองครั้งหนึ่ง
เขาไม่มีอะไรจะต้องคิดอีกแล้ว ในเมื่อนี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย
เขาเปิดประตูร้านเข้าไปพลางหิ้วกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้วย ก็พบกับพนักงานที่กำลังเก็บร้าน สภาพของโต๊ะแต่ละตัวเหมือนกับว่ามันเพิ่งผ่านงานปาร์ตี้มาไม่นาน มีกลุ่มคนอยู่ประปรายที่กำลังอยู่ที่โต๊ะริมสุดในร้าน โฟล์คมองไปอย่างไม่คุ้นชินกับสิ่งรอบตัว ก่อนที่จะเดินไปตรงไปเจอเข้ากับผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง
“คนไทยหรือเปล่าคะ” เธอกล่าวขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา โฟล์คมองหน้าเธอทันที
“คับ สวัสดีคับ” โฟล์คหันไปตอบอย่างอัตโนมัติ
“ว่าแล้วเชียว บิล กาแฟแก้วนึงจ้ะ” เธอตอบ
“เอ่อ... ไม่ต้องก็ได้คับ ผมแค่เอ่อ...”
“ที่นี่จะเสิร์ฟกาแฟให้คนไทยทุกคนที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรก และกล่าวสวัสดีจ้ะ” เธอพูดต่อทันที “ขอต้อนรับสู่เกล็ดหิมะนะคะ มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
“โอ้... ขอบคุณมากเลยคับ” โฟล์ครู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว “เอ่อ...ผม มาหาเอ่อ...คนไทยคับ คือเอ่อ...มีคนแนะนำให้ผมมานี่ แล้ว ผมจะเริ่มต้นได้ที่นี่ แบบว่า เขาบอกว่าเธออยู่ที่นี่...แต่ถ้าไม่รู้จักก็ไม่เป็นไรนะคับ ผม...”
“คนไทยที่นี่เราหากันง่ายค่ะ บางทีเราอาจจะช่วยคุณได้นะ” เธอตอบ “คุณตามหาใครเหรอคะ”
“เอ่อ...”
โฟล์คไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ขณะที่เขากำลังคิดทบทวนว่าจะต้องพูดอย่างไร กาแฟแก้วหนึ่งก็วางลงตรงหน้าเขาทันที
“ขอบคุณคับ... เอ่อ... ผม.. กำลังตามหา...ผู้หญิงคับ คือเอ่อ จริงๆผมไม่ได้จะหาเธอ แต่... ถ้าผมเจอเธอ เธออาจจะพาผมไปเจอคนที่ผมหาจริงๆได้” โฟล์คว่า
“ใจเย็นๆค่ะ ค่อยๆคิด” เธอกล่าว “แล้วเอ่อ มีที่พักหรือยังคะ”
“จริงๆก็ มีที่ที่มองไว้คับ เป็นโรงแรมแต่.. ยังไม่ได้เข้าไปเช็คอินเลย” เขาตอบ
“แล้วพอจะรู้ไหมคะว่า เธอทำอาชีพอะไร มาอยู่ปารีสนานหรือยัง มีข้อมูลไหมคะ” หญิงคนนั้นถามต่อ
“เอ่อคับ.... เธอชื่อเจนคับ แล้ว..”
“เห...คงไม่ใช่แฟนไอนะ”
เสียงกวนๆของหนุ่มคนนึงดังขึ้นจากโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะที่เขาเดินตรงมาที่บาร์
“จีโอ... อาจจะไม่ใช่ก็ได้” เธอหันไปพูด
“ที่นี่มีเจนอยู่ไม่กี่คนหรอกค้าบมาดาม” จีโอมานั่งลงข้างๆเธอ ก่อนจะหันมาหาโฟล์ค “บอกผมสิ ว่ายูไม่ได้หาเจน ที่เป็นสไตลิส ทำงานแฟชั่น แล้วก็กำลังยุ่งๆอยู่ช่วงนี้ เพราะพรุ่งนี้เธอต้องจัดแสดงงานแฟชั่น”
โฟล์คหันไปมองหนุ่มมาดกวนคนนั้นอย่างเต็มตา
“ครับ...เอ่อ...ใช่คับ...ผมเอ่อ...หาเจนนั้นแหละคับ” โฟล์คตอบ “พอดี เด็กคนนึง บอกว่าเธออยู่นี่ เขาเลยมาส่งผมที่นี่ ก่อนจะไปบ้านแถวทอร์ควิล”
“หะ...” หญิงสาวคนนั้นหันมาหาโฟล์คทันที
“คับ... เค้าชื่อวิน”
“อ้าว...” เธอร้องเสียงดัง
“ว้าว” ชายหนุ่มมาดกวนคนนั้นร้องตาม “วันนี้วันรวมญาติซะแล้วคับมาดาม”
“เจ้าวินกลับมาแล้วเหรอเนี่ย โอ๊ยย แล้วเค้าไม่เข้ามาทักทายเจ๊หน่อยเหรอ” เธอหันไปชะเง้อมองหน้าร้าน
“ก็เค้าบอกอยู่นะมาดาม วินเค้าคงรีบกลับไปหาเคลวินแหละ” จีโอพูด “เห้อ ถึงเวลาซะทีนะ สองคนนั้น”
“เอ่อ...เดี๋ยวนะคับ แล้วเอ่อ... เจนเค้า...อยู่ไหนเหรอคับ อยู่นี่ใช่มั้ย” โฟล์คร้องถามต่อ
“ยูมาช้าไปแปปเดียว เจนเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้ เอาภาพที่ออฟฟิศไปที่จัดงาน” จีโอว่า
“งั้น ผมไปหาเธอที่นั่นดีกว่าคับ ยังไงขอบคุณมากนะคับ” โฟล์คว่า
“เดี๋ยวๆๆๆๆ จะไปไหน” ชายคนที่ชื่อจีโอคว้าแขนไว้ “มีธุระอะไรกับแฟนผมเหรอ”
“นี่จีโอ ปล่อยเค้าเลยนะ” เธอตีมือของจีโอทันที “เค้ามาหาเพื่อนของเจน ก็เลยจะหาเจนเค้าก่อน ใช่มั้ยคะ”
“คับ... เธอรู้จักเค้า เค้าทำงานกับเธอ” โฟล์คตอบ
“เห... ใครอ่อ” จีโอร้องถาม
“อินคับ... เขาชื่ออิน” โฟล์คตอบ แต่จีโอก็ทำหน้างงๆ
“อิน... จำไม่ได้ว่าที่ซูเม่มีคนชื่อนี้ หรือมีหว่า” จีโอส่งเสียงสงสัย และทำเอาโฟล์คใจหล่นตุ๊บอีกครั้ง
“ก็เดี๋ยวให้เค้าอยู่รอถามกันเองดีกว่า” เธอว่า “งั้นก็อยู่นี่ค่ะ พักที่นี่ก็ได้นะคะ ข้างบนเป็นห้องพัก เดี๋ยวให้บิลจัดการให้”
“เอ่อ...อย่าเลยคับ รบกวนป่าวๆ ผมพักโรงแรมได้” โฟล์คว่า
“เห้ ไม่ต้องซีเรียสน่า เจ้าวินให้มานี่ ก็แสดงว่านายควรอยู่นี่ ทุกคนที่รู้จักเจน ยังไงก็ต้องมานี่” จีโอยิ้มให้ “ที่นี่เป็น...บ้านของทุกคน เราเป็นครอบครัว”
“น่ารักมากพ่อหนุ่ม” เธอหันไปบีบไหล่จีโอก่อนจะยิ้มกว้าง “ยินดีต้อนรับสู่เกล็ดหิมะนะคะ เรียกพี่เจ๊ใหญ่ก็ได้จ้ะ”
“เอ่อคับ...ผมโฟล์คคับ เป็นเพื่อนเจน แล้วก็เอ่อ เพื่อนกายกับมิก ไม่รู้พวกคุณ...”
“อ้อ...ไอ้หล่อตัวกวน แฟนเก่าเจน” จีโอว่าต่อพลางเหล่ตามองโฟล์ค “งั้นนายอยู่นี่แหละ ผมมีเรื่องอยากรู้เกี่ยวกับแฟนเก่าของเจนเยอะเลย ถามเท่าไหร่ก็ไม่เคยตอบ คืนนี้ผมก็นอนนี่แหละ อยู่ดื่มด้วยกันเหอะ นะนาย”
“เอ่อ...” โฟล์คออกจะงงๆ กับสิ่งตรงหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ
“ไม่ต้องห่วงน่า เพื่อนเจน เพื่อนกาย ก็เหมือนเพื่อนเราคับผม” จีโอยิ้มให้
“แล้วเราจะช่วยหนุ่มหาคนคนนั้นเองจ้ะ คืนนี้พักให้สบายที่นี่เถอะนะ ให้ทางเจนเค้าจัดงานให้เรียบร้อยไป วันนี้ทุกคนยุ่งๆจ้ะ” เจ๊ใหญ่บอก “แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายนะ เจ๊คิดถูกกว่าโรงแรมแน่นอน”
“งั้น... เอางั้นก็ได้คับ” โฟล์คยิ้มตอบเธอ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ขณะที่เจ๊ใหญ่ส่งซิกให้บิลมาหยิบกระเป๋าของโฟล์คไป ขณะที่จีโอยักคิ้วให้พลางเอาขวดเบียร์มาชนกับแก้วกาแฟของเขา ทำเอาโฟล์คหัวเราะเบาๆ
เอาล่ะ เจ้าเด็กวินทำให้เขารู้สึกได้เลยว่า เมืองนี้มีความอบอุ่นรายล้อมอยู่รอบตัวของพวกเขา เหมือนว่าการเดินทางของภาพวาด Loveless Society แฟนของไอ้กาย จะทำให้เขาเจอคนที่ประหลาดอยู่รายล้อมมัน มันอย่างนั้นแหละ
บางทีอินอาจจะเป็นอีกคนที่จะโดนแรงดึงดูดนั้นกลับมาหาเขาที่ปารีสเหมือนกันไหมนะ
“อย่ากังวลไปนาย ทุกคนกลับมาที่นี่เสมอ” จีโอยิ้มให้ “พักให้สบายที่นี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมพาไปงาน”
“คับ... ขอบคุณคับ”
...................
เสียงชัตเตอร์กัดรัวไปมาขณะที่เช็ทแฟชั่นโชว์ของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลดำเนินไป เจนจิรานั่งอยู่แถวหน้าสุดริมแคทวอร์ค เฝ้ามองนางแบบของเธอแต่ละคนอวดเสื้อผ้าที่ประณีตบรรจงของแบรนด์ออกสู่สายตาผู้ร่วมงาน Paris Fashion Week เธอและพี่สุเมธนั่งมองความสำเร็จของตัวเองอย่างมีความสุข หลังจากเวลายี่สิบนาทีของโชว์สิ้นสุดลงเสียงปรบมือดังกึดก้อง แสงแฟลชสาดกระจายไปยังเบลล่าที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่านางแบบ โดยมีภาพ Loveless Society ตั้งอยู่กลางเวทีเป็นฉากหลัง นัทส่งภาพมาให้เธอได้ทันเวลา และทำให้งานแสดงของซูเม่ ตามความตั้งใจดั้งเดิมของเธอเป็นไปอย่างสมบูรณ์ งานศิลปะและแฟชั่นเดินทางไปพร้อมกัน เธอและพี่สุเมธลุกขึ้นปรบมือให้กับความสำเร็จของตัวเองชิ้นนี้
After Party หลังเวทีเป็นไปย่างวุ่นวาย เหล่าช่างภาพ ด๊ไซน์เนอร์ นักเขียน นางแบบ เดินไปมาให้ควักอยู่หลังเวทีที่ถูกเซ็ทเป็น After Party อย่างมีสไตล์ทำให้ดูเหมือนทุกๆคนได้เข้ามาสัมผัสการทำงานของซูเม่จริงๆ สุเมธจับมือทักทายกับสไตลิสจากทั่วทุกแบรนด์ในโลก ขณะที่เจนจิราเหนื่อยกับการแบกร่างของตัวเองเอาไว้บนส้นสูง และการฉีกยิ้มบนเมคอัพเต็มทนแล้ว จึงปลีกตัวเองมานั่งลงที่เก้าอี้มุมหนึ่งเพื่อนวดน่องของตัวเองอย่างโอดโอย แฟนตัวดีของเธอจึงปรีเข้ามาหาเธอทันที
“จะกลับหรือยังครับเจ้าหญิง” จีโอพูดขึ้นเสียงหวาน เจนจิราอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าเขา
“เจ้าหญิงยังกลับตอนนี้ไม่ได้ ยังมีราชทูตจากอีกหลายแบรนด์ที่ต้องเข้าเฝ้า” เจนพูดติดตลก “พระเจ้าหลุยห์ วิคตองค์พระองค์นั้นด้วย”
เจนชี้ไปยังเอเจนซี่จากหลุยห์ที่แวะมาชมแฟชั่นโชว์ในงานนี้ จีโอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลับมาช่วยเธอนวดเท้า
“ผมไม่นึกเลยว่าคุณทำทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว” จีโอว่า “ผมแบบ ไม่เห็นโลกด้านนี้เลยอ่ะ มาปารีสก็บ่อยแต่ไม่เคยมาแฟชั่นวีคเลยอ่ะ”
“งั้นคุณก็ไม่รู้จักเมืองนี้เลยน่ะสิ” เจนว่า “นี่เบาแล้วค่ะ เมื่อก่อน เจนต้องขึ้นไปฟินาเล่เองด้วยซ้ำ หนักกว่านี้อีกเยอะค่ะ”
จีโอลุกขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าใกล้เธอ
“แล้วจุมพิตจากเจ้าชายจะช่วยให้หายเหนื่อยได้มั้ยนะ” จีโอว่า เจนขำเบาๆ
“ขอเป็นพันช์เย็นๆซักแก้วจะดีกว่านะ” เจนตอบพลางชำเลืองไปยังคอกเทลล์บาร์ที่เธอหมดปัญญาจะหอบร่างเดินไปเอง
“งั้นรอแปป” จีโอว่า “คงต้องฝ่าฝูงคนเข้าไปน่ะ”
“สู้ๆค่ะ” เจนยิ้มให้จีโอก่อนที่เขาจะหายเข้าไปกลุ่มผู้คนที่เดินไปเดินมาในงาน เจนกลับมานวดขาต่ออีกหน่อย เพื่อบรรเทาอาการเกร็งของส้วนสูง
“แหม..... แม่มดเจนจิรา สิ้นลายแล้วเป็นแบบนี้นี่เองเหรอยะ” เสียงอันคุ้นหูที่ปลุกสัญชาติญาณความแกร่งของเจนให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เจนเหลือกตาขึ้นด้วยความเหยื่อยหน่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันไปประจันหน้ากับเจ้าของเสียง ที่ยืนมองเธออยู่พักนึงแล้ว
“มันก็ไม่ได้ต่างกันซะเท่าไหร่หรอกจริงมั้ย” เจนว่ากลับ “คุณสา...”
ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักนึงก่อนนะกรีดร้องใส่กัน
“เซอร์ไพร์ส!” สากระโจนเข้าหาเจนขณะที่เธอยิ้มกว้างอยู่ในวงแขนของไม้เบื่อไม้เมาของเธอคนนี้ เจนได้รับข่าวมาเดือนกว่าๆแล้วว่าสากำลังมีโปรเจ็คถ่ายงานแถบชานเมืองปารีสอยู่ แต่ก็ไม่มีโอกาสเจอกันซักที
“นึกว่าจะไม่เจอซะแล้วคุณสา” เจนว่า
“จะบ้าเหรอหล่อน ความสำเร็จหล่อนทั้งที ไม่มาได้ยังไงยะ เผื่อหล่อนเดินตกส้นสูง ฉันจะได้เป็นคนแรกที่หัวเราะทัน” สาว่า เจนส่ายหน้าใส่เธอทันทีก่อนจะหัวเราะ
“แล้วทานอะไรหรือยังอ่ะ คืนนี้พักที่ไหน” เจนถามขึ้น
“เรียบร้อยหมดแล้ว คนนี้เค้าจัดการให้” สาเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่ยืนซ้อนหลังเธออยู่ ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่ได้เจอมากว่าสี่เดือนแล้ว ตั้งแต่เขาเข้ามาในห้องเธอพร้อมกับวีนใส่เธอเป็นชุดแล้วทิ้งเพียงจดหมายลาออกเอาไว้ให้
มิก...
“เห้...... คุณกลับมา” เจนกล่าวเบาๆ ขณะที่มิกเดินเข้ามาหาเธอ
“อย่านะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาหาคุณซะทีเดียวหรอก” มิกว่า สาหันมายิบตาให้เธอเพื่อเป็นการส่งซิก
“อ่าหะ” เจนว่า “ก็มีไม่กี่เรื่องหรอก ที่จะลากคุณออกจากถ้ำได้น่ะ”
มิกหัวเราะเบาๆพลางเกาหัวตัวเอง
“ผมเอ่อ....อยากจะขอโทษ” มิกว่า “เรื่องที่ผมพูดกับคุณวันนั้น ผมคิดว่าผมเรียนรู้แล้วว่าที่จริง คุณเองก็ทำเพื่อคนผมมาตลอดเหมือนกัน เพียงแต่ มันเป็นรูปแบบที่ผมไม่เข้าใจ”
“ไม่ใช่รูปแบบที่คุณคาดหวังน่ะสิ” เจนจิราว่า “แต่เดี๋ยวนะ.... คุณเป็นคนเอา Loveless Society มาเหรอ แล้วทำไมฉันไม่เจอคุณที่แอร์พอร์ทเมื่อวานล่ะ”
“เค้ามาหาฉันไงยะ” สาพูดขึ้น
“อ้อ....” เจนว่า “ขอบคุณมากนะมิก ไม่อย่างนั้น งานวันนี้แย่แน่เลย”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เธอเชื่อใจคนอื่นเป็น” สาหันมาพูดกับเจน “เธอไม่เหมือนกับยัยตัวร้ายที่ฉันเคยรู้จัก”
“ฉันก็ยังร้ายอยู่นะคุณสา จะว่าไปแล้ว” เจนตอบ
“อ้อข้อนั้นฉันเชื่อ เชื่อสนิทใจเลยย่ะ” สาว่าพลางหัวเราะเสียงดัง จีโอเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วให้กับเจนทันที
“ขอบคุณค่ะ” เจนว่า
“อ้าว พวกคุณ” จีโอพูด “ยินดีต้อนรับครับผม”
สาและมิกมองหน้ากันอย่างรู้ดี พลางเหล่ไปทางเจนจิราเป็นนัยๆ
“หยุดเลย ไม่ต้องแซวเลย” เจนพูดเสียงแข็งก่อนจะรับพันช์มาดื่ม
 “เออเจน เซลม่าอยู่ไหน ฉันอยากได้เธอไปเป็นแบบอ่ะ อยากคุยกับเธอหน่อย” สากล่าว
 “อ้อ...อืมมม” เจนมองไปรอบๆงาน “นั่นไง ตรงนั้น....... คุยได้เลย แต่ระวังหน่อยนะ ยัยนี่เรื่องเยอะน่าดูเลย”
 “โอ๊ยยย ฉันผ่านเธอมาได้ ที่เหลือเด็กๆย่ะ พูดเลย” สาส่งสายตาค้อนเจนไปแว้บนึง
 “ค่ะ แม่คนเก่ง จีโอคะ รบกวนพาคุณสาไหาเซลม่าหน่อย ปล่อยไปเอง เจนว่าเดี๋ยวโดนคนเหยียบตายแน่นอน คุณนำเธอไปหน่อยนะ” เจนว่า
 “ด้วยความยินดีค้าบบบบ” จีโอนำสาเดินไปหาเซลม่าที่มุมหนึ่งของงานขณะที่เจนนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม มิกจึงนั่งลงข้างๆ
 “ขอโทษนะที่ทิ้งงานไป ผมเอ่อ...งี่เง่าเอง” มิกพูดขึ้น เจนส่งเสียงในลำคอครั้งนึง
 “ช่างมันเถอะค่ะ เจนเข้าใจ บางทีคนเราก็อยากได้เวลาไปพัก” เจนว่า “เจนไม่ได้อนุมัติการลาออกของคุณนะ ถ้าคุณอยากจะกลับมาทำงาน เจนก็ยินดี”
 “กายก็บอกผมอย่างนั้น” มิกว่า “แต่ผมอยากสะสางเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
 “เรื่องเอิร์ธ...ใช่มั้ย” เจนพูด มิกก้มหน้าลงเบาๆ
 “คุณคิดว่า ผมจะดูแลเค้าได้มั้ย ผมกลัวว่า ผมจะไม่ดีพอ ไม่เจ๋งพอสำหรับเค้า เค้าเคยคิดว่าเค้าวิ่งตามผม แต่จริงๆแล้วผมต่างหากที่กำลังวิ่งตามเค้า” มิกว่า “ผมไม่รู้ว่าผมจะวิ่งตามเค้าทันมั้ย”
 เจนหันมามองหน้ามิก
 “กายเคยบอกฉันว่า เมืองนี้น่ะมันแปลกประหลาด คนที่จะไว้ใจกันได้มันมีแค่พวกเรากันเองเท่านั้น” เจนพูด “สิ่งที่กายพูดหมายความว่า ที่นี่เรามีคนไทยอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการเรา ยังไงซะเรื่องมันก็ต้องวนกันเอง”
 “หมายความว่าไง” มิกถาม
 “หมายความว่า คุณวิ่งไล่จับกันในเมืองที่มันไม่ได้กว้างเลยค่ะ” เจนตอบ “เอิร์ธไม่ได้วิ่งไปไหน คุณก็เหมือนกัน คุณสองคนแค่ ไม่ได้ให้เวลากับกันและกัน แล้วก็ชอบห่างกันบ่อยๆ เจนว่าถ้าลองคุกันดีดี ถอยให้กันบ้าง ก็น่าจะโอเค”
 “ให้ตายเหอะ ผมกำลังโดนแม่มดร่ายมนต์ใส่อีกแล้ว” มิกพูด
 “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณละกัน เจนไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าแฟนให้ใครค่ะ” เจนตอบ
 “ขอบคุณมากนะเจน สำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่มาที่เมืองนี้อ่ะ” มิกพูด “ขอบคุณมากจริงๆ”
 เจนยิ้มให้มิกครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
 “ฉันมีงานอย่างนึงให้คุณทำ” เจนพูดเสียงชัดเจน มิกเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที
“อะไรอ่ะ” มิกว่า
“เมื่อวาน เอิร์ธส่งอาร์ทบุ๊ตมาให้เจนตรวจ จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรต้องแก้แล้วล่ะ เพราะถ้ามันต้องแก้ ก็ต้องมีการส่งกลับไปอังกฤษกันอีกรอบซึ่งเจนก็ไม่มีเวลา” เจนยิ้มกว้าง “แต่...ถ้าคุณอยากให้เจนแก้ แล้วจะลำบากทำตัวเป็นคนส่งของ ส่งเล่มกลับไปแก้ที่อังกฤษอีกรอบ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”
     มิกมองหน้าเธอพลางอมยิ้มก่อนจะมองหน้าไปทางอื่น
     “แล้วเอ่อ....อ่ะฮึ่ม” มิกกระแอมในคอ “อาร์ทบุ๊คอยู่ไหนล่ะ”
     เจนยิ้มกว้างให้กับมิก เป็นครั้งแรกตั้งแต่เธอมาที่นี่ ที่เธอรู้สึกว่าเมืองนี้เธอได้ไว้ใจมิกอย่างเต็มหัวใจแล้ว เธอนึกขอบคุณกายอยู่ในใจ และแอบหวังเล็กๆว่า มิกน่าจะลงเอยกับเอิร์ธอย่างมีความสุขได้ไม่ยากนัก
     เธอหวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
    “อยู่ที่ออฟฟิศค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจนเข้าไปเอาให้” เจนยิ้มตอบ ”ว่าแต่ คุณได้ของจากกายหรือยัง”
    “ของ...ของอะไรคับ” มิกร้องถาม
    “ก็เอกสาร บางอย่าง...” เจนว่าพลางขยิบตาให้
    “เอกสารเหรอ” มิกทบทวนก่อนจะจำได้ว่า นัทยื่นซองน้ำตาลให้กับเขาที่แอร์พอร์ท ก่อนที่เขาจะบินมาปารีส “อ๋อ.. จำได้ละ แต่ผมยังไม่ได้เปิดเลย”
    “เปิดอ่านดูค่ะ แล้วดูว่า คุณโอเคมั้ย บางทีมันอาจจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น” เจนยิ้มให้มิก ขณะที่เขายิ้มตอบเธอ สำหรับเขาตอนนี้ เจนไม่ใช่แม่มดร้ายสำหรับเขาอีกแล้ว
    มิกมองเห็นจีโอเดินมาพร้อมกับโฟล์คท่ามกลางฝูงคนในงาน
    “เอ้อ… เจน มีคนนึงเค้าอยากเจอคุณนะ” มิกว่า
    “เห… อ๋อ ใช่ จีโอข้อความมาบอกเมื่อเช้า ว่าถ้าเลิกงาน มีคนมาหาเจนจากไทย” เจนว่า “เขามากะคุณเหรอ”
    “ใช่ แล้วเค้ามาโน่นแล้ว” มิกชี้ไปยังทางที่จีโอเดินมา
    เจนมองเห็นโฟล์คเดินเข้ามาและนั่นทำให้เธอถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง ผู้ชายตรงหน้า คือคนที่เธอเกือบลืมไปจากความทรงจำแล้วด้วยซ้ำ
    “หวัดดีเจน” โฟล์คส่งเสียงเรียก
    “เห้… เอ่อ...คุณ...เดี๋ยวนะ” เจนคิดทบทวน “โฟล์ค...ใช่มั้ย เพื่อนกาย แล้วก็เพื่อนอิน…”
    “ใช่คับ… ผมเอ่อ…” โฟล์คมองหน้าเธอพลางพูดอะไรไม่ออก แต่มิกก็ส่งสัญญาณเพื่อให้โฟล์คพูดออกไปด้วยความกล้า “เอ่อ… ผมมาตามหาอิน”
    และแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง หลงเหลือเพียงเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนรอบๆงาน
    “เจนเสียใจด้วยค่ะโฟล์ค อินไม่ได้มางานวันนี้” เจนพูด “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
    คำพูดของเธอ ทำให้โฟล์คยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
……...
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 40 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-04-2020 23:04:45
พยายามเข้านะโฟล์ค
สู้..สู้ว้อยยยยยยยย

มีความตั้งใจดีนี่นาย
เชียร์แล้วนะ
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 40 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-04-2020 14:25:45
ตอนที่ 41 Pérignon or Paris

“แล้วโฟล์ค ก็เลยตัดสินใจมาที่นี่น่ะเหรอ” เจนพูดที่ร้านเกล็ดหิมะ หลังจากที่ทุกๆคนจบงานแฟชั่นโชว์เมื่อวาน และวันนี้เธอก็ยังใช้ร้านเกล็ดหิมะ เป็นที่ประชุมสรุปงาน บวกกับจัดเลี้ยงขอบคุณทุกคนกันต่ออีกวัน โฟล์คนั่งคุยกับเธออยู่ที่เคาท์เตอร์กาแฟ ขณะที่คนอื่นๆกำลังนั่งทานอาหารและพูดคุยกัน โฟล์คตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังตามคำแนะนำของมิก
“คับ จริงๆ...กายส่งผมมาแทนแฟนเค้า” โฟล์คว่า “แล้วผมก็…”
“อินไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ” เจนพูดต่อ “เจนไม่ได้เจอเค้าปีนึงได้แล้ว”
“ปีนึง เลยเหรอคับ” โฟล์คว่า “แต่ เจนทำงานกะมันไม่ใช่เหรอ มันมาอยู่ที่นี่ได้เพราะเจนช่วยนี่ กายบอกผม”
“ค่ะ...ใช่ เจนเป็นคนหางาน จัดการเรื่องเอกสาร ที่พักชั่วคราว ทุกๆอย่าง” เจนพูด “อินมาอยู่ที่นี่คนเดียวหนึ่งปี ก่อนที่เจน พี่สุเมธ และทัพดีไซน์เนอร์ที่กายรวบรวมไว้ จะทยอยตามกันมาหมด แต่พี่สุเมธเค้าจะชอบส่งอินไปที่อื่น ล่วงหน้าเสมอ”
“ไปไหนคับ” โฟล์คถาม
เจนยักไหล่ พลางส่ายหน้า
“ทุกที่ค่ะ” เจนตอบ “พี่สุเมธต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับยุโรป ทุกๆอย่าง ไม่ใช่แค่ธุรกิจหรือแฟชั่น แต่คือมุมมอง เมือง ศิลปะ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต ไลฟ์สไตล์ ทุกๆอย่าง พี่เมธต้องการรายงานจากอิน ผ่านมุมมองของเขา”
“เจ้านายเจนส่งอินตะลอนไปทั่วยุโรปคนเดียวน่ะเหรอ” โฟล์คร้องถาม
“ก็...ตามเมืองใหญ่เป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ปัจจัยจะเอื้ออ่ะค่ะ” เจนว่า “ก็ตามค่าใช้จ่ายที่มี บวกกับโคสตูดิโอที่เรามีเส้นสายกับเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นปารีส เบอร์ลิน ลอนดอน”
เสียงเฮฮาดังมาจากมุมโต๊ะ จีโอแฟนของเจนกำลังชนแก้วกับน้องๆในทีมของเธอ ทั้งคู่หันไปมองอยู่แว้บหนึ่ง
“มันไม่มาฉลองงานนี้กับเจนเหรอ” โฟล์คว่า “งานใหญ่ ความสำเร็จของเจ้านายเจนเลยไม่ใช่เหรอ”
“อินไม่ได้ทำแฟชั่นค่ะ อินทำอะไรที่ลึกกว่านั้น” เจนตอบ “เจนทำตรงนี้เพราะมันทำเงิน แต่เราทำมากกว่าแฟชั่น เราทำศิลปะด้วย ขณะที่กายถ่ายแบบ และอะไรที่จับต้องได้ แต่อินเค้า…”
“มองในมุมที่คนอื่นไม่เห็น” โฟล์คพูดต่อ เจนยิ้มให้ตามคำพูดของเขา
มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะคนที่ทำให้อินเห็นมุมมองนั้นคนแรกคือเขาเอง ในวันที่เขาพาอินไปถ่ายรูปที่บาร์ดาดฟ้าหลังโรงเรียนเลิก เหตุการณ์ที่แทบจะเลือนหายไปจากความทรงจำแล้ว
“จริงๆ ถ้าโฟล์คอยากพบเค้า ทำไมไม่ให้เจน หรือพี่เมธเรียกเค้ามาให้ล่ะ จริงๆเขาก็มาได้นะคะ” เจนว่า “เมื่อวานเจนก็จะโทรให้แล้วอ่ะ แต่โฟล์คก็…”
“ผมกลัวว่าถ้าเค้ารู้ว่าผมมา แล้วเค้าจะไม่มา” โฟล์คว่า “เพราะจริงๆแล้ว… ผมเป็นต้นเหตุ ให้ชีวิตเค้ามาจบลงที่นี่ ให้เค้าหลุดออกจากทุกคนไปแต่แรก”
เจนถอนหายใจ พลางเงียบเสียงลง
“ผมไม่แน่ใจว่า… เค้าอยากเจอผมไหม” โฟล์คว่า “ผมอยากเป็นฝ่ายไปหาเค้า แล้ว….”
กริ๊ง!
เสียงเปิดประตูร้านดังขึ้น โฟล์คและเจนมองออกไปก็พบกับชายหนุ่มลูกครึ่งคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
“หวัดดีคับเจน” เขากล่าวทักทายเธอ
“อ้อ คุณเคลวิน” เจนโผเข้ากอดทักทายเค้าทันที “ขอบคุณที่มาค่ะ”
“เมื่อวานผมขอโทษนะที่ไม่ได้ไปที่งานอ่ะ” เคลวินตอบเธอเสียงสุภาพ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณไป คือหัวหมุนแน่ เจนเอาอยู่ค่ะ” เธอยิ้มกว้าง “ว่าแต่ มีธุระด่วนเหรอคะ”
“ก็… ไม่เชิงคับ”
กริ๊ง!
เสียงประตูร้านดังขึ้นอีกรอบ และคราวนี้เป็นวินที่เดินเข้ามาในร้านแทน
“หวัดดีคับพี่เจน” วินยิ้มให้เธอ
“คุณวิน” เธอร้อง พลางมองหน้าเคลวิน เขาโอบกอดวินไว้ก่อนจะยิ้มให้เจน “โอ้… อย่างนี้นี่เอง”
“ผมขอโทษคับที่ไม่ได้แวะไปเจอที่งาน” วินว่า “ผมอยากให้มันเป็นงานของพี่จริงๆ”
เจนยิ้มให้กับวิน
“ไม่นึกว่าคุณจะกลับมา” เธอกล่าว “เจนได้ข่าวคุณแม่ เสียใจด้วยนะ”
“คับผม… ตอนนี้ ผมกลับมาแล้วคับ” วินยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปหาเคลวิน “ผมกลับมาอยู่บ้านแล้ว”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนจะหันกลับมาหาเจน
“ขอต้อนรับกลับปารีสจ้ะ” เธอว่า
“คับผม แล้วเรื่องงาน…” วินร้องถาม
“วันนี้ยังไม่คุยงานนะ พอก่อน พัก” เจนว่าพลางหัวเราะ “ไปหาไรทานไป เดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“คับผม...อ่าวพี่โฟล์คหวัดดีคับ” วินโบกมือให้กับโฟล์คที่ยิ้มให้ เจนหันไปมองอย่างงงๆ ก่อนจะหันมาหาวิน
“เจอกันแล้วคับ ที่แอร์พอร์ต” วินว่า “งั้นขอตัวนะคับ”
“ไว้เจอกันคับผม” เคลวินเดินโอบตัววินไปยังมุมอาหาร และเจ๊ใหญ่ที่เห็นตัววิน เธอก็ส่งเสียงร้อง และโผเข้ากอดเขาอย่างเฮฮาอยู่ตรงนั้น รวมถึงจีโอที่ส่งขวดแชมเปญให้กับเคลวินและเริ่มต้นสังสรรค์เฮฮากัน เจนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่โฟล์คได้แต่ถอนหายใจ เธอจึงกลับมานั่งลงข้างๆเขาอีกครั้ง
“เขาเป็นเด็กน่ารักนะคับ น้องคนนั้น” โฟล์คชี้ไป “เขาเป็นคนแนะนำให้ผมมาที่นี่”
“วินน่ะเหรอคะ อ๋อ...ก็...โชคดีที่โฟล์คจอเขาในเวอร์ชั่นนี้” เจนว่า “ก่อนหน้านี้เขาแสบมากแล้วเอ่อ… เกิดเรื่องขึ้นที่นี่ด้วย กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทำเอาเราเกือบตาย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคับ” โฟล์คว่า
“ค่ะ… เมื่อสี่เดือนก่อน มีการสับเปลี่ยนโครงสร้างในบริษัท ก็เพิ่งจะมานิ่งเมื่อไม่นานนี้เอง” เจนว่า “แต่ พอเขาทั้งคู่ ทั้งเคลวินและวิน เข้ามาช่วยเจน ทุกอย่างก็เลยเรียบร้อย เค้าทั้งคู่เป็น คู่รักที่น่ารักค่ะ”
โฟล์คมองไปยังเคลวินและวิน ที่นั่งพิงไหล่กันอยู่ที่โต๊ะนั้น พลางคิดทบทวนถึงเรื่องราวของเขาและอิน
มันจะสามารถจบลงได้ดีเหมือนคนอื่นๆหรือเปล่า
“อินมันโดนอะไรไปกับเค้าด้วยไหมคับ” โฟล์คว่า
“ถือเป็นโชคดีที่เค้าไม่อยู่นี่ ไม่งั้นทุกอย่างอาจจะวุ่นกว่านี้” เจนว่า “อินเค้ามี… ความสามารถพิเศษในการเอาตัวเองออกจากเรื่องน่าอึดอัดได้ตลอดค่ะ”
“ใช่คับ… ผมเลยต้องตามหาเขาอยู่นี่” โฟล์คตอบพลางถอนหายใจ “เพราะ...ผมกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดสำหรับเขา และเป็นมาตลอด”
และก็เงียบกันไปพักนึง
“เจนจะดูให้นะ ว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง” เจนพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “เจนจะโทรหาเขา หรือไม่อาจจะลองคุยกับพี่เมธดูว่า จะเรียกตัวอินกลับมาเรื่องอะไรได้บ้างไหม โฟล์คอยู่ปารีสได้ถึงเมื่อไหร่คะ ไฟล์ทกลับไทยวันไหน”
“เอ่อ… ผมไม่มีเที่ยวกลับคับ” โฟล์คตอบเสียงเรียบ “ผมจะไม่หยุดตามหาเขา จนกว่าจะเจอ”
เจนยิ้มให้กับโฟล์คทันที
“โอเคค่ะ...เจนจะลองดู” เธอกล่าวก่อนจะหันไปหาพนักงานในร้าน “แพริออนค่ะ”
พนักงานหยิบขวดแชมเปญและเทลงแก้วสองใบ ก่อนที่เจนจะรับมันมาให้เขา
“ให้การเดินทางของคุณค่ะ” เจนพูดพลางยกแก้วให้กับโฟล์ค เขายิ้มให้กับเธอและชนแก้วทันที
…………
มิกนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่ซูเม่ในวันต่อมา ขณะที่เขาค่อยๆจัดข้าวของของตัวเองลงกับโต๊ะอีกครั้ง การกลับมาทำงานที่นี่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองขาดเสี้ยวอะไรบางอย่างในชีวิตไป
ล้วงหยิบกระเป๋าเพื่อจัดวางสีโคปิค และทุกๆอย่างลงตรงหน้า ก่อนจะค้นพบกับซองน้ำตาลซองหนึ่งที่นัทยื่นให้กับเขาในวันที่เขาออกเดินทาง เพราะมัวแต่วุ่นๆ เขาเลยไม่ได้เปิดออกซักที ก่อนที่เขาจะค่อยๆแกะมันและเปิดออกอ่าน
เนื้อความในนั้น ทำเอามิกลุกขึ้นยืนพลางหายใจหอบถี่
“บ้าไปแล้ว” มิกพูดพลางเก็บเอกสารนั้นลง พลางรีบวิ่งออกจากห้องทำงานและตรงไปยังห้องของเจนที่อยู่อีกฟากนึงของชั้นทันที
เจนที่กำลังนั่งคุยงานอยู่กับวินในช่วงบ่าย พร้อมกับแบบร่างสเก็ชตรงหน้า หันไปมองเสียงเปิดประตูอย่างร้อนรนของมิกที่เดินเข้ามาในห้อง
“อ้าว มาพอดีเลย นั่งก่อนสิ จะได้คุยเรื่องอาร์ตไดกัน” เจนว่า
“เรื่องนั้นไว้ก่อน เจน นี่หมายความไงอ่ะ” มิกวางเอกสารซองน้ำตาลลงตรงหน้าเธอ
“คะ?” เจนทวนคำ
”ก็เอกสารนี่ไง ที่เธอบอกให้เราอ่าน” มิกว่า “มันหมายความว่าไง”
เจนยิ้มน้อยๆ ขณะวินที่กำลังตกใจกับสิ่งตรงหน้า เด็กหนุ่มชะเง้อมองไปยังเอกสารนั้น พลางอ่านสิ่งที่อยู่ข้างใน
“โห….” วินร้องขึ้น “ว้าว… บ้านหลังนั้นอ่ะเหรอพี่…”
วินพูดพลางหันไปมองมิกทันที มิกที่มองไปหาเจนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ทำไมอ่ะ… คุณน่าจะดีใจนะ” เจนว่าพลางยิ้มให้ แต่มิกยังคงทำหน้าตาตื่น ก่อนจะเอามือลูบหัวตัวเองเบาๆ
“นั่งก่อนพี่” วินเขยิบเก้าอี้ข้างๆตัวเขา พลางลุกขึ้นจับตัวมิกและนั่งลง เจนขำกับสิ่งตรงหน้าเบาๆ
“ผมไม่เข้าใจอ่ะ… มัน ได้เหรอ” มิกว่า
”ได้สิ” เจนตอบ “มันไม่มีใครอยู่ที่นั่นอีกแล้ว ทิ้งไว้มันก็...ปล่าวประโยชน์”
“แล้วกายอ่ะ นัทอ่ะ” มิกร้องถาม
เจนยิ้มเบาๆก่อนจะมองมาที่วิน
“เขาไปแล้ว เขาจะไม่กลับมาอีก” เจนพูดขึ้น และนั่นทำเอามิกมองหน้าเจนอีกครั้ง
“อะไรนะ…” มิกว่า “เป็นไปได้ไง…”
“จริงๆมันก็ไม่ได้ แต่… มันก็เป็นไปแล้ว” เจนพูด “พวกเค้า เลือกแล้ว”
“เห้ย… แล้วทำไมมันไม่บอกเรา” มิกพูด
”เจนเดาว่า เพราะเค้ารู้ว่าคุณไม่ยอมแน่” เจนว่า
“จะยอมได้ไง มันไม่ใช่เรื่องจะให้กันได้ง่ายๆหรือเปล่า” มิกว่า “แล้ว จะดูแลยังไง…”
เจนถอนหายใจ
“กายฝากบอกว่า ถ้ามีอะไรให้ช่วย ก็ให้คุณบอกเจน แต่… ยังไงเค้าตัดสินใจไปแล้ว” เจนพูด “ส่วนเรื่องงาน… เค้าทั้งคู่ จะกลับไปดูแลส่วนของประเทศไทย แล้ว… จะไม่กลับมาอีก”
เงียบกันไปพักนึง ขณะที่วินทำได้แค่หยิบน้ำมารินใส่แก้วและยื่นให้มิก เจนขำเบาๆกับการกระทำนั้น
“พี่เมธอ่ะ” มิกถาม
”ก็...โกรธมาก แต่… มันช่วยไม่ได้ เขาก็ต้องยอมรับตามนั้น” เจนพูด
มิกหลับตาลง พลางคิดทบทวน
“เรามีอย่างละสามเสมอ ไม่เห็นเหรอ” เจนว่า “อาร์ตไดมีสาม พี่เมธ คุณ แล้วก็น้องวิน ซึ่งทั้งสองคนก็อยู่นี่ ช่างภาพก็มีสาม คุณสา กาย แล้วก็อิน ส่วนดีไซน์เนอร์ก็มีสาม เจน นัท แล้วก็…”
“เอิร์ธ” มิกพูดต่อจนจบ
“ทุกสาขา จะต้องมีสามเสมอ” เจนพูดต่อ “คำถามสำคัญที่เราต้องจัดการก็คือ เราจะวางคนให้เหมาะกับงานยังไง ช่างภาพ อาร์ตได ดีไซน์เนอร์ ต้องอยู่ทำงานให้ครบทุกที่ และพอดี”
“นี่เรียกประชุมวันนี้เพราะเรื่องนี้ใช่หรือเปล่า” มิกว่า
“ก็… พี่เมธเพิ่งบินกลับไทยไปเมื่อเช้า” เจนว่า “ส่วนคุณสาและมาร์ค ก็มานี่แล้ว มิกก็คงเห็น”
“แล้ว… มันต้องเป็นยังไง… คือ ควรเป็นยังไง ต่อจากนี้” มิกร้องถาม
“เจนอยู่นี่ และเจนกำลังจะเลือกอาร์ตไดแค่คนเดียว ให้อยู่ที่ปารีส” เจนว่า “มันหมายความว่า ไม่มิกกับวิน คนนึง จะต้องไปช่วยเอิร์ธที่อังกฤษ และนั่นจะทำให้เรามีคนพอดี”
“แต่…” มิกหันไปมองวินที่ทำหน้าเฉยชา “วิน...กับเคลวิน...มัน...”
“ไม่พี่ก็ผม...ต้องเลือก” วินพูดต่อ “ถ้าผมไปอังกฤษ พี่ก็จะอยู่นี่ แต่ไม่ได้อยู่กับได้เอิร์ธ แต่ถ้าพี่อยากให้มันมาอยู่นี่ เพื่อบ้านหลังนั้น ทุกอย่างที่เราวางไว้ ก็จะปรับใหม่หมด ผมพูดถูกไหมพี่เจน”
เจนพยักหน้าทันที
“กายเป็นต้นคิดเรื่องนี้เหรอ” มิกร้องถาม
“กายเค้าแค่เลือกอยู่กับคนรักของเขา แล้ว…”
“แล้วให้เราที่เหลือจัดการกันเองเหรอ” มิกร้อง เจนพยักหน้าเบาๆ
“ให้ตายเหอะ มันจะสร้างเรื่องยันวินาทีสุดท้ายไม่ได้ป่ะวะ” มิกร้อง “แล้วใครจะเป็นคนตัดสินใจอ่ะ”
“จริงๆมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนะ ว่าต้องเป็นคุณอ่ะมิก” เจนว่า พลางหยิบสมุดอาร์ตบุ๊คขึ้นมา และยื่นให้กับมิก “เปิดดูสิ”
มิกมองหน้าเจนงงๆ ก่อนจะหยิบสมุดมาเปิดออก และสิ่งสำคัญมากที่สุด ก็โจมตีใส่เขาเป็นครั้งที่สองในรอบวัน
“เชี่ย” มิกร้องขึ้น
“มันขึ้นอยู่กับคำตอบของเอิร์ธ” เจนว่า “แล้วเค้าจะเป็นคนตัดสินใจแทนเราทั้งหมด”
“เจน…” มิกร้อง ก่อนจะหันไปหาวิน “นายเห็นด้วยเหรอ วิน… มันได้เหรอ”
“มันเหลือแค่พี่กับมันแล้วอ่ะ ที่ยังไม่จบ” วินร้อง “พวกเราเลยคิดว่า… ให้พี่กับมันตัดสินใจ แล้วพวกเราที่เหลือ ก็จะทำตามละกัน”
“เพื่อความสบายใจกันทุกฝ่าย จะได้ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลังอีก” เจนว่า “ถึงได้บอกไงว่า คุณน่าจะดีใจกับเรื่องนี้”
มิกปิดสมุดอาร์ตบุ๊คพลางตั้งสติ ก่อนจะมองเจนอีกครั้ง
“หมายความว่า...ผมต้องไปลอนดอนเหรอ” มิกร้องถาม
“ไม่ต้องคับ” วินพูดขึ้น “มันกำลังจะมาปารีส จะถึงนี่ตอนค่ำ ผมตามมันมาแล้ว”
มิกหันไปมองหน้าวินที่ยิ้มให้ และกลายเป็นว่านาฬิกาที่เดินไปสู่ปลายทางสุดท้าย มันกำลังขึ้นอยู่กับเขา
“แล้ว...โฟล์คกับอินล่ะ จะเอาไง” มิกถามต่อ
“ไม่รู้ค่ะ” เจนว่า “ถ้าเขาสองคนใจตรงกัน มันก็จะจบลงที่นี่ ที่ปารีสนี่แหละ”
มิกมองออกไปยังหน้าต่างห้องทำงานของเจน หอไอเฟลที่อยู่ไกลออกไปท่ามกลางความสดใสของท้องฟ้า
เรื่องราวทุกอย่างของทุกคนที่เกี่ยวกับ Loveless Society จะจบลงที่นี่อย่างนั้นสินะ
“โอเค ได้” มิกพูดเบาๆ “งั้นเรามาเสี่ยงกัน”
…………….
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 41 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-04-2020 18:14:15
 :pig4:
:3123:
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 41 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-04-2020 21:14:01
ต้องชดใช้ให้กับความโลเล ไม่แน่นอนในอดีตของตัวเอง
อีกมากน้อยซักแค่ไหนกัน คุณหมึกเทา หุหุ

อิน..อย่ายอมกลับมาเจอเค้าง่ายๆนะ
อย่างน้อยก็ต้องให้ทุรนทุราย ตะเกียกตะกายให้แสนสาหัสก่อน

ดัดนิสัยโลเลให้หายอย่างถาวร ค่อยกลับมาพิจารณาอีกที
เอาให้เข็ด 5555
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 41 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 25-04-2020 01:08:20
ตอนที่ 42 Birthday Girl

โฟล์คเดินลงมาที่ชั้นล่างของร้านเกล็ดหิมะ บรรยากาศของร้านในค่ำวันนี้ดูไม่แปลกไปจากสองสามวันที่ผ่านมา เขาพบเจ๊ใหญ่และบิลโบกมือทักทายเขาเช่นเคย ลูกค้าเข้ามาทานกาแฟและอาหารบ้างประปราย ขณะที่โฟล์คกำลังจะเดินออกไปจากร้าน เขาก็สังเกตเห็นมิก วินและเคลวินวินนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้าน
“โฟล์ค” มิกร้องเรียกเขา โฟล์คจึงเดินเข้าไปหาและกล่าวทักทาย
“หวัดดีมิก หวัดดีคับ หวัดดีคับ” โฟล์คยิ้มให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“หวัดดีพี่โฟล์ค” วินร้องทัก “นึกว่าพี่ออกไปเที่ยวซะอีก”
“อ๋อเปล่า… เจนให้พี่รออยู่นี่” โฟล์คพูด ก่อนจะยิ้มให้ แต่เขาก็เห็นวินและมิกหันมามองหน้ากันเป็นระยะ
“ไม่ออกไปไหนเหรอคับ ถ้าอยากไปเที่ยว เปิดหูเปิดตาบ้าง ผมพาไปได้นะ” เสียงอันอบอุ่นของเคลวินพูดขึ้นมา ชายหนุ่มที่ดูภูมิฐานคนนั้น นั่งอยู่พลางโอบไหล่วินเอาไว้
“คับเอ่อ… ก็จริงๆกะจะไปเดินเล่นรอบๆอยู่เหมือนกัน” โฟล์คตอบ “ว่าแต่มีอะไรกันหรือเปล่าคับ”
โฟล์คพูดพลางจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ วินมองหน้ามิกครั้งหนึ่ง
“พี่มิก” วินร้องเรียก แต่มิกก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองเขา
“เออ...รู้น่า… วินก็ไม่ต้องบอกมันละกัน ว่าพี่กลับมาแล้ว ไปรับมัน แล้วเจอกันที่งานเลย” มิกพูด
“งั้นให้มันนอนห้องเราละกันนะไกด์” วินหันไปพูดกับเคลวินแฟนของเขา
“อื้อ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เคลวินตอบ “งั้นผมขอตัวเลยละกัน เจอกันพรุ่งนี้”
โฟล์คไม่เข้าใจอะไรนัก ขณะที่วินและเคลวินลุกออกไปจากตรงนั้น
“ถ้าอยากไปเที่ยวไหนก็บอกได้นะคับ บอกผ่านเจ๊ใหญ่ก็ได้ เดี๋ยวผมมารับ” เคลวินพูดกับโฟล์คทิ้งท้าย
“เจอกันคับพี่โฟล์ค” วินเดินผ่านออกจากโต๊ะไป ขณะที่โฟล์คยังคงเห็นมิกนั่งหน้านิ่งพลางใช้ความคิดอยู่อย่างนั้น โฟล์คย้ายที่ไปนั่งตรงข้ามมิกแทนขณะที่มองมิกอย่างเต็มตา
เคลวินก่อนที่จะลุกไป ชายหนุ่มหันกลับมาหามิกและโฟล์ค
“เรื่องบางเรื่อง… ต้องเผื่อให้อีกคนช่วยคิดนะคับ” เคลวินว่า “ปล่อยให้เป็นเรื่องของสองคนนะคับมิก”
เคลวินยิบตาให้ ก่อนจะเดินจากไปกับวิน โฟล์คไม่เข้าใจคำพูดนั้นนัก ขณะมองชายหนุ่มที่เดินทางข้ามโลกมากับเขา ไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะความเครียด ใบหน้าของเขาสะท้อนการคิดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เหมือนกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในทุกนาทีที่ผ่านไปตั้งแต่เท้าของเขาเหยียบปารีส และกำลังรอคำตอบจากเจน
“เห้ โอเคหรือเปล่า” โฟล์คสะกิดถามขึ้น ขณะหันมาหาโฟล์ค เหมือนเขากำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
“โอเค…” มิกพูดเสียงเรียบ “โฟล์ค… พวกเรารู้แล้วนะ ว่าอินอยู่ไหนอ่ะ”
“ว่าไงนะ” โฟล์คร้องขึ้นอย่างดีใจ “อยู่ไหน”
“อังกฤษ ที่ซูเม่สตูดิโอในลอนดอน” มิกว่า “เขาอยู่กับ...เอิร์ธ”
“เอ๊า...ซะงั้นอ่ะ” โฟล์คว่า “เอ่อ… งั้น...งั้นดีเลย ขอบคุณมากนะมิก ผม...ผมขอบคุณทุกคนมากเลย งั้นผมจะได้ไปเตรียมตัว จองตั๋ว...”
โฟล์คลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะอย่างเร่งร้อน แต่ทว่ามิกก็คว้าตัวเขาไว้ก่อน
“เดี๋ยวโฟล์ค ฟังก่อน อย่าเพิ่ง นายยังไปไม่ได้” มิกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่โฟล์คหันมามองและนั่งลงตามเดิม
“ทำไมอ่ะ” โฟล์คถาม
มิกมองหน้าโฟล์คด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พรุ่งนี้วันเกิดเจน” มิกว่า
“อ้าวเหรอ…” โฟล์คพูด “โอเค… งั้นเอ่อ… ผมจะทิ้งของขวัญไว้ให้เธอ แล้วเอ่อ…”
“ไม่โฟล์ค ไม่ใช่แค่นั้น” มิกพูด “พรุ่งนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับซูเม่ยุโรปจะมางานวันเกิดเจน”
“อินจะมาด้วยเหรอ” โฟล์คพูด
“ไม่รู้ว่ามาไหม แต่เอิร์ธกำลังเดินทางมา วินกับเคลวินเพิ่งจะออกไปรับเมื่อกี้” มิกพูด
“อ้าว...ผมจำได้ว่า มิกบอกว่ามิกกับเอิร์ธเป็น...เอ่อ… แล้วทำไมไม่ไปรับเขาเองอ่ะ” โฟล์คพูด
“เพราะผม… คือพรุ่งนี้ในงานวันเกิดเจน มันอาจจะมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แล้ว มันอาจจะ...ส่งผลกับที่อยู่ของอิน” มิกพูด
“ยังไงคับ” โฟล์คถาม
“โฟล์ค… เคลวินกับวิน เพิ่งจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน หลังจากหลายๆอย่างบีบให้ต้องแยกกัน ส่วนผม ก็ทำงานทับไลน์กับวินเค้าอยู่ มันต้องมีแค่คนเดียวที่ต้องอยู่นี่” มิกอธิบาย “และถ้าเอิร์ธกลับมาพรุ่งนี้ แล้วถ้าผมคืนดีกับเค้าได้ ผมกับเอิร์ธไม่ก็เคลวินกับวิน อาจจะต้องเลือก ว่าใครจะอยู่ปารีส ใครจะต้องเดินทางต่อ”
โฟล์คฟังมิกอย่างตั้งใจ
“แล้วผมจะช่วยอะไรได้คับ” โฟล์คถามตรงๆ ขณะที่มิกมองหน้าโฟล์คก่อนจะหายใจเข้าลึก
“ผมอยากให้นายเดินทางต่อ” มิกพูดขึ้นทันที “ถ้านายรับปากว่าจะคุยกับอินให้ ผมจะบอกที่อยู่ของอิน แล้วเรามาจบการเดินทางของเรากัน”
“ว่าไงนะ” โฟล์คว่า “ผม...ผมยังไม่เข้าใจ”
”โฟล์ค….ผมอยากอยู่กับเอิร์ธที่นี่” มิกพูดทันที “ผมไม่อยากเสียเวลาอีกนาที ที่จะปล่อยให้เอิร์ธวิ่งหนีไปอีกแล้ว”
และแล้วก็เกิดความเงียบทันที
“แล้วมิกจะให้ผม…”
“ผมอยากให้อิน อยู่กับที่ซะที” มิกว่า “เพราะถ้าอินรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องอาสาพี่เมธเดินทางหนีทุกอย่างไปเริ่มต้นที่อื่นอีกเหมือนทุกครั้ง มันอาจจะเป็นเบอร์ลินหรือที่ไหนอีกก็ได้ที่เขาเคยไปเซอร์เวย์มา พี่สุเมธซื้อไอเดียเขาแน่ และผมไม่อยากให้ทุกอย่างหลังจากนั้น จะต้องกลายเป็นการเดินทางไม่รู้จบแบบนี้อีกแล้ว”
โฟล์คมองมิกพูดด้วยความรู้สึกจริงจังอยู่อย่างนั้น
“Endless Dream หนังสือที่นายเขียนโฟล์ค มันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวอิน อินเป็นคนที่ฝันไปได้เรื่อยๆ และเดินทางแบบไม่มีจุดจบ ก็เพราะมันรอนาย” มิกพูดต่อ “ผมกับเจนเราเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพี่เมธถึงซื้อมุมมองของอินแต่แรก เพราะอินไม่มีความฝันเป็นของตัวเอง อินทำหน้าที่เฝ้ามองคนอื่น และเห็นเหตุผลของคนอื่นสำคัญกว่าตัวเองเสมอ มุมมองภาพถ่ายของมันเลยสะอาด ไม่มีอีโก้ ไม่มีสัญญะ มีแค่ความจริงจากมุมมองของเค้าเอง”
คำพูดของมิก เปิดสวิตช์ไฟในหัวของโฟล์คทันที
“นายพูดเอง ว่าเขาชอบเอาตัวเองหนีไปจากความอึดอัดมาตลอด กายมันก็รู้ และนั่นคือเหตุผล ที่มันส่งนายมากับเรา มันส่งนายมาหยุดอินโฟล์ค” มิกว่า “ถ้านายหยุดอินไม่ได้ซะที พวกเราทั้งหมดก็จะต้องวิ่งกันไปแบบนี้ ไม่งั้นภาพ Loveless Society ก็จะต้องเดินทางต่อไปเรื่อย และพี่สุเมธ ก็จะไม่หยุดที่จะขยายตัวเอง อินก็จะยิ่งเดินทางต่อไป และกายก็จะไม่มีทางส่งดีไซน์เนอร์วิ่งตามอินได้ทันอีกแล้ว นายต้องจบเกมส์ของพวกนาย 5 คน การหนีกันข้ามโลกของกายกับอิน มันต้องจบลงซะที”
“นาย...หมายถึง...ให้ผม…”
“นายต้องสัญญากับผมโฟล์ค ถ้านายไปถึงลอนดอน นายต้องทำทุกวิถีทาง จบเรื่องราวของนายกับอินที่นั่นให้ได้ ทำให้อินประจำอยู่ที่นั่นให้ได้ ไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้ว” มิกว่า “แล้วทุกอย่าง จะจบ จบจริงๆ ปลายทางของพวกเราทุกคน จะจบลง”
โฟล์คเงียบสนิท พลางมองออกไปนอกร้าน
เขาไม่เคยคิดอะไรได้ไกลเลย หลังจากทุกอย่างที่ผ่านมา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าถ้าเจออินแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ทั้งหมดที่เขาทำมา มันคือการขอเพียงเจอหน้าอินอีกซักครั้ง ก่อนที่เขาจะ…
“นายไม่ได้คิดใช่หรือเปล่า ว่าเจอเขาแล้วจะเป็นยังไงต่อไป” มิกว่า
โฟล์คหันมาหามิกที่เหมือนอ่านใจเขาออก
“ผมก็เป็น และตอนนี้ก็เป็นอยู่” มิกพูด “แต่… ตะกี้นายก็ได้ยินเคลวินพูดใช่หรือเปล่า เรื่องบางเรื่อง เราต้องให้อีกคนนึงช่วยคิด”
โฟล์คมองหน้ามิกอยู่อย่างนั้น
“ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแต่… ผมยังเชื่อว่า เอิร์ธยังรักผมอยู่” มิกพูด “ผมจะใช้ความเชื่อใจนั้น จบเรื่องของผม… และผมก็อยากให้นาย ทำเหมือนกัน”
มิกเริ่มเก็บข้าวของของตัวเองทันที
“ปาร์ตี้วันเกิดเจนจัดที่นี่เหมือนเดิมคับ แต่ผมจะไม่อยู่ เพราะต้องไป...เตรียมตัว” มิกว่า “ส่วนนาย….”
มิกลุกขึ้นก่อนจะมองหน้าโฟล์คเป็นครั้งสุดท้าย
“ออฟฟิศของซูเม่สตูดิโอ อยู่ที่ย่านเซาท์วาร์ค ริมแม่น้ำเทมส์” มิกว่า “นายจะรู้ได้เอง ว่ามันคือที่ไหน”
มิกเดินออกจากเกล็ดหิมะไปทันที
…………
งานปาร์ตี้วันเกิดของเจนมาในธีมสีส้ม สีโปรดของเธอ ร้านเกล็ดหิมะที่พยายามแต่งทุกอย่างให้เป็นสีส้ม จึงเป็นอะไรที่แปลกตาไปมากสำหรับโฟล์ค แม้ว่านี่จะเพิ่งเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน และอากาศเริ่มหนาวเย็นประปราย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่า ความอบอุ่น ยังคงแผ่ซ่านอยู่ที่เกล็ดหิมะในทุกๆนาที ที่เขาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม
โฟล์คมองดูจีโอและเจนที่เปิดเพลงเต้นรำกันอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน พลางถอนหายใจกับสิ่งที่มิกบอกให้เขาทำ เขาเดินทางมาไกล เพื่อตามหาอิน และตอนนี้ มันก็ดูเหมือนอิน ก็ไม่ได้อยู่ไกลเดินที่เขาจะเอื้อมแล้ว แต่การตัดสินใจที่ให้อินอยู่กับเขา อยู่ที่นั่น ไม่เดินทางไปไหนอีกแล้ว มันอาจจะหมายถึงตัวเขาเอง ที่ต้อง…
มันจะถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจบางอย่างลงไปในชีวิตแล้วสินะ
เขาเดินตรงเข้าไปยังมุมปาร์ตี้ก่อนจะเริ่มหยิบขวดน้ำต่างๆและเริ่มลงมือผสม
“ตายแล้ว ไม่ต้องทำเองหรอกค่ะ คุณเป็นแขก เดี๋ยวให้บิลเค้า...” เจ๊ใหญ่ถลาตัวมาทันทีเมื่อเห็นโฟล์คเริ่มชงเครื่องดื่ม
“พอดีผมเป็นบาร์เทนเดอร์น่ะคับ” เขายิ้มกล่าวเธอ “ให้ผมชงเหอะ ผมถนัดนะ”
“เอ๊า… ดีจังเลย” เจ๊ใหญ่ร้องเสียงหลง “งี้ถ้าอยู่นี่ยาวๆ เจ๊จะขอตัวมาทำงานนะ เจ๊กำลังจะเปิดโซนบาร์พอดีเลย”
“โอ้ เหรอคับ…” โฟล์คว่า
“ใช่จ้ะ… ร้านจะได้เปิดดึกได้อีกหน่อยด้วย” เจ๊ใหญ่พูดต่อ
“อะไรกันเจ๊ จีบคนมาทำงานที่ร้านอีกแล้วเหรอ” จีโอเดินมาสมทบทันที ขณะที่โฟล์คเริ่มลงมือชงเครื่องดื่มด้วยความเชี่ยวชาญ “แต่โห… ทำไมดูคล่อง”
“ผมชงมาหกเจ็ดปีได้แล้วอ่ะคับ” โฟล์คว่า พลางยื่นแก้วให้กับจีโอทันที “ลองซักหน่อยมั้ยคับ”
“ด้วยความยินดีคับผม” จีโอรับแก้วมาทันทีด้วยหน้าตาชื่นมื่น ก่อนจะยกขึ้นจิบ “อ่าห้า…ลื่นคอมาก ไม่แรงไปไม่เบาไป เจ๋งเลยเจ๊ ถ้าเจ๊ไม่รับ ผมจะชิงตัวเขาไปที่บาร์โรงแรมเพื่อนผมแล้วนะ”
“ว้าว คุณทำโรงแรมเหรอคับ” โฟล์คหันไปถาม
“หุ้นส่วนกับเพื่อนน่ะคับ สาขาโรงแรมทั่วไปตามเมืองใหญ่ในยุโรป เคลวินก็เคยทำ แต่ถ้านายจะทำล่ะก็ บอกได้นะ เดี๋ยวจัดให้” จีโอยิ้มให้เป็นคำตอบ และนั่นทำให้โฟล์คคิดทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ในหัว
แต่ทว่าทันใดนั้นไฟก็ดับพรึ่บลงทันที และทุกอย่างก็เงียบเสียงลงซักพัก
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู” เสียงอันทุ้มลึกดังขึ้นจากหลังร้าน แสงเทียนเล่มเล็กๆ ปักบนเค้กน่ารัก และถือโดยเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับวิน ที่ช่วยกันประคองเค้กมาทั้งคู่ และเดินตรงเข้าไปหาเจน พอดีกับที่ร้องเพลงจบพอดี
“เอิร์ธ” เจนส่งเสียงทันทีเมื่อเธอได้เห็นใบหน้าในแสงเทียนนั้นว่าเป็นใคร
“อธิษฐานก่อนพี่” เอิร์ธส่งเสียง ขณะที่เจนได้แต่ยิ้มกว้าง ก่อนที่เธอจะหลับตาไปพักหนึ่ง และเมื่อความเงียบจบลง เธอลืมตาขึ้นและเป่าเทียนทันที ก่อนที่ไฟในร้านจะกลับมาติดอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้อง
“สุขสันต์วันเกิดคับพี่เจน” วินและเอิร์ธส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน และยื่นเค้กให้กับเธอ เจนมองเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“เซอร์ไพร์สมาก” เจนว่า “เธอมาได้ไงเนี่ย”
“วันเกิดพี่ แถมไอ้วินมันมาปารีสแล้ว ผมก็ต้องมาเด่ะ” เอิร์ธว่า “มีความสุขมากๆนะเจ๊”
“จ้า…” เจนรับเค้กมาจากมือของเอิร์ธ ก่อนจะวางลงกับโต๊ะ
“ผมกับเอิร์ธเราไม่ได้ซื้ออะไรให้พี่นะ แต่...เค้กนั่น เราช่วยกันทำ” วินชี้ไป ซึ่งนั่นทำให้เจนตาลุกวาว
“ยังไม่ทิ้งลายคนครัวสินะคะ” เจนยิ้มให้กับวิน และเคลวินที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน
“ส่วนผม… อาจจะไม่มากไม่มายแต่ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ” เคลวินยื่นกล่องของสิ่งหนึ่งให้กับเธอ เจนรับมันมาและเปิดดู ก็พบว่ามันเป็นปากกาด้ามงาม ที่เหมาะกับการเอาไว้เซ็นเอกสารนั่นเอง “สุขสันต์วันเกิดนะคับ หุ้นส่วน”
“ขอบคุณค่ะเคลวิน” เจนรับมันมา “น่าจะแพงนะคะเนี่ย”
เคลวินยักไหล่ให้เป็นคำตอบ พอดีกับที่จีโอเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“ส่วนผม จริงๆแล้ว อยากมอบจุมพิตให้เจ้าหญิงมากกว่านะ” จีโอพูดกับเธอ ซึ่งนั่นทำให้คนในงานส่งเสียงโห่ร้องแซวกันยกใหญ่ “แต่ไม่ก็ได้...งั้นก็เป็นอันนี้”
จีโอกำมือขึ้นตรงหน้าเธอ ก่อนจะปล่อยมือออกมาเป็นจี้รูปพระจันทร์ที่ทำจากเพชร แต่ทว่ามันดูน่ารักและทรงคุณค่าเอามากๆ
“ซื้อเครื่องประดับให้กับคนทำงานแฟชั่นเหรอคะ” เจนหรี่ตามองจีโอ
“แหงะ… ไม่ถูกใจอ่อ” จีโอส่งเสียง
“ปล่าว ก็น่ารักดีค่ะ” เจนว่า
“แหมๆๆๆๆ” สาส่งเสียงแซว พร้อมกับมาร์คที่หัวเราะมาจากโต๊ะริมหน้าต่าง ซึ่งเธอเดินตรงมาหาเจนที่ทำหน้าเก้อเขิน
“หยุดเลยคุณสา” เจนว่า ขณะที่สามองเธอ
“สำหรับชั้น นี่จ้ะ แม่คู่กัดตัวดี” สาถือกล่องให้เธอ
“อะไรคะเนี่ย” เจนร้องถาม
“ชุดว่ายน้ำ” สาว่า
“หะ” เจนร้อง
“เอ๊า ก็ขั้นไม่เคยเห็นเธอใส่ชุดว่ายน้ำ” สาว่า “เผื่อชั้นจะได้ถ่ายหล่อนไงยะ”
ทุกๆคนในงานหัวเราะกับสิ่งตรงหน้ากันอย่างขำขัน
“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ งั้นเอ่อ...ปาร์ตี้เนอะ” เจนยิ้มให้ทุกคน ก่อนที่จีโอจะเดินไปเปิดเพลง และทุกๆคนก็เริ่มที่จะแยกย้ายไปพูดคุยกันตามมุมต่างๆ เจนเดินไปหาเอิร์ธและวินที่ยิ้มให้เธออยู่
“ว่าไงตัวแสบ” เจนพูดกับเอิร์ธ “นี่กลับมาเพราะพี่เหรอ”
“แน่นอนดิพี่” เอิร์ธว่า “อ้ออีกอย่าง พี่อินส่งผมมา ให้ถามพี่ว่าจะเอายังไงกะอาร์ตบุ๊คอ่ะ”
“อ้อ…” เจนว่า พลางมองไปยังวินที่มองเธอกลับมาพลางส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
“ว่าไงพี่ ให้แก้ตรงไหน ผมงง” เอิร์ธร้องถามอีกครั้ง
“Loveless Society” เจนพูดทันที และทำให้เอิร์ธตาโต
“ไงนะพี่” เอิร์ธร้องถาม
“ภาพของนัทไง เธอไม่ได้ใส่มันลงไป มันเป็นแรงบันดาลใจในงานของซูเม่ เธอลืมได้ไง” เจนร้องถาม
“จริงด้วยแหะ” เอิร์ธเกาหัว “งั้นเดี๋ยวผมใส่ให้คับ”
“ถ่ายใหม่” เจนพูดต่อ “เธอต้องถ่ายใหม่ จัดวางกับเซ็ตอาร์ตอันใหม่ด้วย ให้อินเค้าถ่าย”
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนกลับ ผมเข้าออฟฟิศไปถ่ายให้ละกันคับ” เอิร์ธว่า
“ภาพไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศแล้วเอิร์ธ พี่ส่งภาพกลับไปอยู่ที่วิลแลต” เจนว่า
“อ๋อ… บ้านพี่กาย” เอิร์ธว่า “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ให้คนไปเอาให้คับ”
“ไม่ เธอต้องไปวันนี้เลย” เจนพูด
“หา…” เอิร์ธร้อง
“ใช่...ไปเดี๋ยวนี้ อาร์ตบุ๊คพี่ก็อยู่ที่นั่น พอดีพี่ดันหยิบใส่ไปกับรถที่ส่งภาพไปอ่ะ ไหนๆไปนั่นแล้วก็เอากลับมาเลยด้วยละกันนะ” เจนพูดต่อ
“เอ๊า ได้ไงวะ” เอิร์ธร้องต่อ
“วันนี้วันเกิดพี่ แกต้องตามใจพี่สิ ถูกมั้ย” เจนยิ้มให้ “วิน ไปกับเพื่อนเธอสิ”
“โอ้...ผมเอ่อ… ผมต้องอยู่กับเคลวินอ่ะ” วินร้องตอบ “กู...กูไม่ว่างนะ”
“เอ๊าไอ้นี่ ได้ไง ไปกะกู” เอิร์ธหันไปว่า “มึงทำอาร์ตได กูจะได้รู้ว่าต้องทำไงด้วย มึงอ่ะไปกะกูถูกแล้ว เดี๋ยวพี่อินไม่เข้าใจ”
“พี่ไปเอง” โฟล์คส่งเสียงขึ้นมา และดึงให้ทั้งสามคนหันไปมอง “พี่ไปกะเราเอง เราเอิร์ธใช่ไหม”
“คับ...ใช่คับ พี่เป็นใครอ่ะ” เอิร์ธร้องถาม
“ดีเลยค่ะ” เจนพูดแทรกขึ้นมา “เอิร์ธ นี่พี่โฟล์คนะ เพื่อนพี่อิน”
เอิร์ธมองหน้าโฟล์คอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“หะ...พี่คือ...พี่โฟล์คเหรอ” เอิร์ธร้องทันที
“ใช่คับ..” โฟล์คตอบ และนั่นทำให้เอิร์ธกระพริบตาถี่ทันที
“งั้นโอเคแล้วช้ะ” วินหันมายิ้มให้กับโฟล์ค “งั้นฝากมันด้วยคับพี่”
“ได้ งั้นเดี๋ยวพี่หารถให้ละกัน” เจนพูดก่อนจะเดินไปหน้าร้าน แต่เอิร์ธก็คว้าตัวไว้
“เดี๋ยวๆๆๆๆ พี่เจน เดี๋ยว นี่มันอะไรกันอ่ะ ผมว่ามันแปลกๆ ทำไมต้องให้ผมไปวันนี้ด้วย แล้วพี่โฟล์คมาไง พี่รู้หรือเปล่าเนี่ย ว่าเค้ากับพี่อิน...” เอิร์ธร้องถาม แต่เจนก็ทำหน้าตานิ่งเฉย
“รู้สิ” เจนตอบทันที “พี่เลยอยากให้เธอดูแลเรื่องนี้ให้ดีดีด้วย”
“แต่...ทำไมต้องผมอ่ะ ผมแค่มาเอาอาร์ตบุ๊ค” เอิร์ธว่า
“ไปถึงบ้านนั้นก็เข้าใจเอง” เจนว่า
“แล้วทำไมต้องเป็นคืนนี้” เอิร์ธยังคงสงสัยไม่เลิก
“ก็เธอจะกลับพรุ่งนี้ ไม่เอาวันนี้แล้วจะเอาวันไหนเอิร์ธ” เจนว่า ซึ่งทำให้เอิร์ธยังคงหรี่ตามองอยู่
“แต่นี่มันงานวันเกิดพี่นะ จะไม่ปาร์ตี้กันต่อเหรอ” เอิร์ธว่า
“เดี๋ยวได้ปาร์ตี้แน่ ไปวิลแลตซะก่อน ไม่ได้หรือไง” เจนย้ำคำ เอิร์ธเงียบไปพักหนึ่ง
“เอ้อ….ก็ได้ โอเค๊ ไปก็ไปวะ” เอิร์ธหันไปมองโฟล์คที่ยืนมองเจนอยู่อย่างนั้น “พี่คือพี่โฟล์คช้ะ… พี่แม่ง ให้ตายเหอะ”
เอิร์ธเดินไปเก็บของขณะที่โฟล์คเดินตรงไปหาเจนทันที
“เจน...ยังไม่ได้บอกเลยว่าสุขสันต์วันเกิด” เขาพูดกับเธอ
“ขอบใจมากโฟล์ค ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ย ว่าอินอยู่กับเอิร์ธ” เจนว่า “ตามแกไปละกัน แกจะพาคุณไปหาอินเอง”
โฟล์คถอนหายใจก่อนจะหยิบหนังสือ Endless Dream ออกมาจากกระเป๋า พลางยื่นให้เธอ
“นี่เป็นหนังสือที่ผมเขียน เรื่องราวของพวกผม ของกาย ของอิน ของทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก มันมีเรื่องของอยู่คุณในนั้นด้วย มันได้ Best Seller ที่ไทย นามปากกาหมึกเทาคือผมเอง” โฟล์คพูด “ผมไม่มีอะไรจะให้ ผมให้เล่มนี้กะคุณละกัน”
“โอ้..ขอบคุณค่ะโฟล์ค ขอบคุณมาก” เจนรับหนังสือมาไว้ในมือ ก่อนจะมองหน้าปกมันอย่างพินิจ “มันเอ่อ...ดีมากเลยค่ะ เจนจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆซะที”
“มึงจำไว้เลยนะไอ้วินนะ กูให้ช่วยไม่ช่วยน้า” เอิร์ธส่งเสียงบ่นเพื่อนขณะเดินออกมาจากโซนปาร์ตี้และตรงมาที่หน้าร้านที่โฟล์คและเจนยืนอยู่ “โอเค ไปกันหรือยังอ่ะพี่ พี่เจนได้รถหรือยัง”
เจนมองหน้าเอิร์ธครั้งหนึ่ง ก่อนจะโยนกุญแจให้ และเอิร์ธคว้ามันมาไว้ทันที
“ผมขับเองด้วยงี้?” เอิร์ธร้อง
“ขับดีดีด้วยล่ะ รถพี่กายเค้า” เจนว่า
“เอาเข้าไป โอเค๊ เจ้าของวันเกิดน้า เอาได้เอาใหญ่เลยน้า โอเค๊” เอิร์ธว่าพลางหันมาหาโฟล์ค “มาพี่โฟล์ค ผมมีเรื่องต้องบอกพี่เยอะเลย”
โฟล์คเลิกคิ้วก่อนจะเดินตามไป แต่ทว่าเขาก็หันไปหาเจนอีกครั้ง
“เจน ถ้าเกิดท้ายที่สุดมันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็น ผมอยากให้เจน ยอมเปลี่ยนนะ” โฟล์คว่า “อ่านหนังสือเล่มนั้น แล้วคุณจะเข้าใจ”
เจนมองหน้าโฟล์คอย่างพยายามเข้าใจความหมายนั้น
“เอ่อ...คะ?”
“เรามาถึงปลายทางแล้วคับ” โฟล์คว่า “ขอบคุณมากนะ สำหรับทุกๆอย่าง” โฟล์คพูดกับเธอ
เจนยิ้มกว้างให้กับเขา
“ค่ะ….งั้นก็โชคดีนะโฟล์ค” เธอว่า ก่อนที่โฟล์คและเอิร์ธจะออกจากร้านไป
………….
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 42 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 25-04-2020 17:48:26
แสงสว่าง ปลายอุโมงค์ ส่องโลกกว้าง
ชี้เห็นทาง ยาวไกล ไปให้ถึง
ยังต้องใช้ แรงกาย คลายหย่อนตึง
บวกแรงใจ แข็งขึง ซึ่งปลายทาง

เอาใจช่วย..เสริมแรงให้นะ
ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว

เชียร์
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 42 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 25-04-2020 22:04:57
ตอนที่ 43 Be True

        ถนนอันมืดมิด และสองข้างทางที่เต็มไปด้วยทิวต้นสน รถคันหนึ่งวิ่งผ่านถนนไปอย่างเร่งร้อน เอิร์ธที่นั่งฝั่งคนขับกับโฟล์คที่นั่งอยู่ข้างกัน ได้แต่คิดถึงจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป
“วิลแลต ทำไมต้องเป็นที่นี่ทุกที” เอิร์ธพูดบ่นกับตัวเอง “ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ทำไมต้องเล่นอะไรกันแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ”
“ใจเย็นคับน้อง ทุกคนก็อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีแหละ” โฟล์คว่า
“ก็เห็นพูดงี้กันทุกทีอ่ะ แล้วสุดท้ายก็เละ” เอิร์ธหันมาตอบ “พี่อ่ะตัวดีเลย”
“หา”
โฟล์คถึงกับงงทันที เมื่อเอิร์ธหันมาลงที่เขา
“พ..พี่เหรอ…” โฟล์คร้อง
“ใช่...ผมรู้นะ ว่าพี่เป็นใครอ่ะ พี่อินเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว” เอิร์ธว่า และนั่นทำเอาโฟล์คเงียบไปพักหนึ่ง
“อิน พูดถึงพี่เหรอ” โฟล์คว่า “มันยัง...พูดถึงพี่เหรอ”
“ใช่” เอิร์ธพูด “ผมต้องรู้จักเค้าไง เราต้องทำความรู้จักกัน เพราะผมต้องทำงานกับเค้า อีกอย่าง ผมอยากรู้ว่าเขารู้จักพี่กายพี่เจนได้ไง เพราะอยู่ดีดีเค้าก็โผล่มากลางพวกเรา เหมือนพี่นั่นแหละ ผมถึงรู้เรื่องพี่จากพี่อินอ่ะ”
เอิร์ธว่าต่อ และนั่นทำให้โฟล์คอมยิ้มเบาๆ
ถ้าเด็กคนนี้พูดแบบนี้ ก็แสดงว่าเขายังพอมีหวังอยู่สินะ
“ไม่ไม่ พี่ไม่ต้องมาดีใจอะไรตอนนี้เลยนะ เพราะผมจะบอกให้ ว่าพี่แม่งเป็นคนที่โคตรป๊อดเลย” เอิร์ธว่าเสียงแข็ง “พวกพี่ทุกคนเลย ทั้งก๊กพี่อ่ะ ทั้งแกงค์ แม่งทำอะไรกันก็ไม่รู้ ทำคนอื่นหัวหมุนหมด พี่กายพี่เจนเนี่ยตัวดี พี่อินก็บ้าจี้ตาม แล้วพี่ก็เสือกโลเลอีก”
โฟล์คหันไปมองหน้าเอิร์ธทันที
“เอ่อ…”
“ไม่ต้องมาเอ่อเลยพี่” เอิร์ธพูดต่อ “ผมขอพูดไม่เกรงใจละ ถ้าพี่เอาพี่อินอยู่หมัดตั้งแต่แรกนะ ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนี้ ชีวิตผมที่ผ่านมาแม่งหัวหมุนตลอดเพราะพวกพี่ทุกคนเลย เพราะงั้นอย่าหาว่าผมบ่นเลยนะ ผมอ่ะ ต้องอยู่ท่ามกลางโลกของพวกนี่เนี่ย ผมอึดอัดน่ะเว่ย”
โฟล์คมองเอิร์ธที่ยังคงขับไปบ่นไป
“พี่รู้ป้ะว่าผมต้องเลิกกับแฟนเพราะพวกพี่เลยนะ เรื่องพวกนี้แม่งทำลายพวกเราทุกคนเลย ผมขอบอก แล้วถ้าสุดท้ายพี่อินไม่อยากเจอพี่นะ ผมจะไม่แปลกใจเลยอ่ะ” เอิร์ธว่า ขณะเลี้ยวรถตรงแยกข้างหน้าเพื่อเข้าชาโตว์วิลแลต ขณะที่โฟล์คที่กำลังตกอยู่ในความรู้สึกที่แปลกประหลาด
เขาที่ควรจะโกรธเด็กหนุ่มแปลกหน้า คนที่เขาเคยแค่ได้ยินชื่อจากมิก เพื่อนร่วมทางของเขา เด็กที่ไม่ควรมีสิทธิมาตำหนิเขาด้วยซ้ำกับสถานะคนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน แต่เรื่องที่เอิร์ธพูด กลับยิงตรงเข้าความรู้สึกเค้าทุกคำ
ไม่นานนัก รถก็จอดสนิทอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง หน้าบ้านที่อยู่ริมเนินเขาเล็กท่ามกลางป่าสนและลำธารเล็กๆ เอิร์ธนั่งนิ่งสนิทขณะที่จับพวงมาลัยไว้
“ขอโทษนะพี่ ที่หงุดหงิดไปหน่อยอ่ะ แต่...มันก็เรื่องจริงอ่ะ” เอิร์ธว่า “แต่ก็ช่างมันเหอะ ผมเข้าไปเอาของแปปเดียวพี่ แล้วเดี๋ยวไปต่อยังไงค่อยว่ากัน เอาเรื่องตรงหน้าก่อน ผมก็แค่พยายามจะทำใจกับสิ่งที่ผมต้องทำ… เพื่อตามใจพวกพี่อ่ะ”
เอิร์ธกำลังจะเปิดประตูรถลงไปแต่โฟล์คก็ร้องเรียกไว้
“เอิร์ธ พี่ขอโทษ” โฟล์คหันไปพูด
“เห้ย… ช่างมันพี่ ผมแค่...บ่นบ่นอ่ะ ผม...ไม่ได้โกรธพี่” เอิร์ธว่า “จะโกรธได้ไงถูกป่ะ เราเพิ่งเจอกัน”
“ไม่ไม่ พี่เข้าใจเว่ย พวกพี่รู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าเราทำลายชีวิตคนอื่นกันมามากแค่ไหน เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองอ่ะ” โฟล์คว่าต่อ “ทุกคนรู้ ไอ้กายรู้ เจนก็รู้ พวกพี่เลยอยากแก้ตัว พวกพี่อยากชดเชยสิ่งที่พวกพี่ทำกับคนอื่น ทำกับทุกอย่าง… ทำกับเรา”
“พี่ไม่ได้ทำอะไรผม” เอิร์ธว่า “คนที่ควรขอโทษผมอ่ะ ไม่ได้อยู่นี่ซักคน ดูวันนี้ดิ วันนี้พี่เจนยังใช้ผมมานี่อีก พวกเค้าแหละ ที่ต้องขอโทษผมอ่ะ ไม่ใช่พี่”
“งั้นก็คงถูกแล้ว ที่วินและเจน ให้พี่รอที่เกล็ดหิมะ รอเจอทุกคน รอเจอเรา” โฟล์คพูดต่อ “มันคงถูกวางมาแล้วให้ที่มาเจอเราและมาที่นี่เอิร์ธ”
“ฮะ?” เอิร์ธร้อง ขณะที่โฟล์คหันไปมอง
“เข้าไปเอาของดิ… นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เอิร์ธหาอยู่ก็ได้นะ” โฟล์คว่า “คำขอโทษ จากพวกพี่ทุกคน”
เอิร์ธมองหน้าโฟล์คแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองในตัวบ้าน บ้านของกายที่เอิร์ธเคยเจ็บปวดกับที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถ พลางเดินไปยังทางเข้าบ้านของกาย บ้านที่ไม่ควรจะมีใครอยู่ แต่เหมือนกับว่า มันมีแสงไฟถูกเปิดเอาไว้ที่นั่น เอิร์ธหันมามองโฟล์คที่กำลังลงจากรถเช่นกัน เขามองเข้าไปในบ้าน และก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
เอิร์ธวิ่งตรงเข้าไปในบ้าน ตามทางเดินที่คุ้นเคย ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปทันที บ้านของกายชั้นล่าง ยังคงกลิ่นอายเหมือนเดิม เหมือนที่เขาเคยมา และเขาก็พบภาพ Loveless Society ถูกวางเอาไว้ที่เดิมตรงห้องรับแขก เอิร์ธเดินเข้าไปมองภาพนั้นช้าๆอย่างคุ้นเคย มันเหมือนยังถูกหีบห่อเอาไว้ด้วยซองกันกระแทก มันเหมือนเพิ่งจะขนย้ายมา
ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“ได้เจน… ตามนั้น แล้วเราอยากให้เป็นตามนั้น” มิกเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เอิร์ธหันไปมองทันที “ใช่… ถ้าเธอไม่ยอม เธอก็ต้องหาคนใหม่...ใช่ และเราคิดว่า มันคงถึงเวลลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว….”
เอิร์ธมองหน้ามิก และมันก็เหมือนเข็มนาฬิกาของเอิร์ธหยุดลง
“อ่าหะ” มิกยังคงคุยโทรศัพท์ต่อ “ขอบคุณมากเจน… สุขสันต์วันเกิด”
มิกกดวางโทรศัพท์ไป และยืนจ้องหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
“หวัดดีเอิร์ธ” มิกร้องทักทันที แต่เอิร์ธยังคงยืนนิ่ง “ไม่ได้...เจอกันนานเลย”
“พี่ พี่มาได้ไง ไหนว่ากลับไทยไปแล้ว….” เอิร์ธพยายามพูดอย่างติดขัด ขณะที่มิกเลิกคิ้วและยิ้มกริ่ม
“สนใจด้วยอ่อ” มิกพูดเสียงกวน
“ป่าว” เอิร์ธพูดทันที “ผม...แค่มาเอาของ”
“เอาอะไรอ่ะ” มิกถาม
“ภาพนั่น Loveless Society แล้วก็… อาร์ตบุ๊คของพี่เจน” เอิร์ธว่า
“อันนี้อ่ะนะ” มิกหยิบขึ้นมาจากด้านหลัง ซึ่งเป็นสมัดอาร์ตเวิร์คที่เขาส่งมาให้เจนตรวจเมื่อเดือนก่อนนั่นเอง
“คับ.. งั้น ผมขอเอาไปนะ” เอิร์ธพูด พลางเดินไปที่รูปภาพ
“ไม่ได้” มิกพูดเสียงแข็งทันที ก่อนจะเดินไปขวางเอาไว้
“พี่มิก ผมไม่ได้จะมาทะเลาะด้วย ผมจะเอาไปทำงาน” เอิร์ธพูดตอบเสียงแข็ง
“พี่ก็ไม่ได้จะทะเลาะด้วย แต่พี่ไม่ให้” มิกพูด
“พี่มิก” เอิร์ธพูดเสียงแข็ง “อะไรของพี่วะ มันใช่เวลาป่ะ หลีกผม”
“พี่ให้ไม่ได้ เพราะภาพนี่เป็นของพี่แล้ว” มิกพูดทันที
“หะ” เอิร์ธร้อง “เล่นเชี่ยไรของพี่อ่ะ ผมไม่มีเวลานะ ผมจะเอาภาพไป สมุดนั่นด้วย”
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้ ไม่เข้าใจอ่อ ภาพนั่นเป็นของพี่” มิกว่า “ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ มันเป็นของพี่ ใครจะเอาอะไรไปพี่ต้องยินยอมก่อน”
เอิร์ธมองหน้ามิกอย่างเต็มตาทันที
“พี่...พี่ว่าไรนะ” เอิร์ธร้อง
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ที่นี่เป็นบ้านพี่แล้ว” มิกพูด “และ Loveless Society ก็เป็นภาพของพี่ นัทให้พี่แล้ว”
“อะไรนะ” เอิร์ธว่า “พี่มิก...ผมไม่ตลกนะ
“พี่ก็ไม่ได้ตลกด้วยซะหน่อย ก็พี่ไม่ให้” มิกว่า “ถ้าไม่เชื่อ ข้อความหาพี่กายดิ พี่นัทก็ได้ ถามเค้า ว่าที่นี่บ้านใคร เอาดิ”
มิกยื่นโทรศัพท์ให้ แต่เอิร์ธได้แต่มองมันอย่างครุ่นคิด มิกไม่เคยโกหกเขา ทุกอย่างที่เขาได้ยิน เป็นน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“พี่...หมายความว่า… พี่มาอยู่ ที่นี่แล้วอ่อ” เอิร์ธร้องถามทันที
“ใช่… นี่บ้านพี่ และถ้าจะเอาอะไรไป พี่ต้องยินยอมก่อน พี่พูดชัดพอไหม” มิกว่า
วินาทีนั้น เอิร์ธเข้าใจแล้วว่ามิก ได้ยืนอยู่คนละฝั่งกับเขาแล้วในที่สุด สิ่งที่เอิร์ธได้ตัดสินใจลงไปที่บ้านหลังนี้เมื่อห้าเดือนก่อน กำลังย้อนศรกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง
จริงสิ… เขาเป็นคนบอกเลิกเองนี่ เพราะงั้นมันก็…
“โอเคพี่…” เอิร์ธพูดเสียงนิ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงพยักหน้ากับตัวเอง “ผม… ผมเข้าใจ”
“งั้นก็ดี” มิกพูดต่อ “มีอะไรจะพูดอีกไหม”
“งั้น...ผมจะ… ไปคุยกับพี่เจนใหม่ แล้ว… ทำหนังสือเอ่อ...มาขอ อย่าง… เป็นทางการ” เอิร์ธว่า
“หนังสือไม่ต้องอ่ะ” มิกพูด “เราพูดกันไม่กี่คำก็จบเอิร์ธ”
เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิก ที่ส่งสายตาอันแน่วแน่มาหาเขา
“พี่มิก” เอิร์ธพูด
“ไม่เอาแบบนี้ดิ พูดให้รู้เรื่อง ให้ชัดเจน ไม่เอาโลเล ไม่เอาไม่รู้” มิกพูดทวนคำ “กับพี่ เอิร์ธไม่ต้องใช้หนังสือหรอก เพราะเรา อยากได้แค่ได้ หรือไม่ได้...ไม่ใช่อ่อ”
เอิร์ธกำหมัดด้วยความเจ็บปวด
ใช่แล้ว… เขาต้องการแบบนี้ เขาเคยอยากได้คำตอบแบบนี้จากมิก
และถึงคราวนี้เขาต้องตอบ
“งั้น..ถ้า...ถ้าพี่ไม่ให้...ผมก็...ก็จะ…” เอิร์ธพูดด้วยน้ำเสียงติดขัด และหายใจแรง “ผม...ขอตัว”
“ยอมแพ้แล้วอ่อ” มิกว่าต่อ “คนอย่างเอิร์ธ ยอมแพ้ง่ายขนาดนี้อ่อคับ”
เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิกด้วยสายตาแดงก่ำ
“แล้วพี่...จะให้ผมทำไง” เอิร์ธว่า “จะเอาคืนผมเหรอ...ผมต้องทำไงให้อีกอ่ะ พวกพี่ทุกคนถึงจะพอใจอ่ะ...อะไรอีกที่ผมต้องทำอ่ะพี่…”
มิกเงียบสนิทลงบ้าง เมื่อเห็นเสียงที่สั่นไหวของเอิร์ธ
“ผมเดินไปสุดทางแล้วนะ” เอิร์ธว่า “ผมไม่รู้นะว่าต้องทำไงต่ออ่ะ...ผมแค่ทำ… ทำสิ่งที่ต้องทำ...ทำสิ่งที่พวกพี่ทุกคนอยากให้ผมทำอ่ะ… ผมยัง...ทำดีไม่พออีกอ่อ… กะอีแค่...ภาพนั้นภาพเดียว… มันต้อง...ขนาดนี้...เลยอ่อ”
เอิร์ธเสียงสั่นเครือลงทุกที ขณะที่มิกเดินมาใกล้เขามากขึ้น
“ผม… ขอโทษละกัน ที่...ทำให้พี่...รู้สึก…” เอิร์ธว่า “ผมขอโทษที่...อยากมาอยู่ในโลกของพวกพี่แต่แรก...ผม...ขอโทษที่…”
“ไม่เอาแบบนี้” มิกพูดอีก “ไม่เอาขอโทษ เอาแค่ได้ หรือไม่ได้”
มิกพูดเสียงเรียบ ขณะที่เอิร์ธเงยหน้ามองมิกอย่างสงสัย และทันใดนั้น มิกก็ยื่นสมุดอาร์ตบุ๊คให้เอิร์ธตรงหน้า
“คับ?” เอิร์ธร้องถาม
“อยากให้พี่ยินยอมอ่ะ ไม่ต้องใช้หนังสืออะไรให้วุ่นวายหรอก” มิกว่า “ตอบแค่ได้หรือไม่ได้ก็พอเอิร์ธ… รับไปดิ”
เอิร์ธขมวดคิ้ว ก่อนจะรับมันมาอย่างงๆ
“เปิด….แล้วตอบ” มิกพูดต่อ ก่อนที่เอิร์ธจะค่อยๆเปิดสมุดอาร์ตบุ๊คนั้นออกมา และมันปรากฎข้อความเขียนเอาไว้กลางหน้าสมุดนั้น
ไอ้ตัวแสบ
แต่งงานกันนะ
และภายใต้ตัวอักษรนั้น กระดาษถูกเจาะเอาไว้เป็นหลุมเล็กๆ และสิ่งที่ใส่เอาไว้ในนั้น คือสิ่งที่เอิร์ธเกือบจะลืมหายไปจากความทรงจำไปแล้ว
แฟลชไดร์ฟรูปหีบและกุญแจ ที่เอิร์ธเคยทิ้งไว้ให้มิกในวันที่เขาหมดเวลาฝึกงานที่ Lovable Studio
เกิดเป็นความเงียบขึ้นมา ก่อนที่เอิร์ธจะเงยหน้าขึ้นมองมิกที่ยังคงมองหน้าเขาอยู่
“เพราะถ้าบอกว่าได้… ที่นี่มันก็… จะเป็นของเรา” มิกพูดต่อ “แล้ว… แกจะเอาอะไรไปก็ได้… หรือไม่ก็… ไม่ต้องเอาอะไรไปไหนอีกแล้ว”
เอิร์ธมองหน้ามิกอยู่อย่างนั้น
“เพราะพี่ก็… ไม่อยากให้แกไปไหนอีกแล้ว” มิกพูดต่อ “พี่...อยากอยู่กับแกที่นี่…”
เอิร์ธยังคงถือหนังสืออยู่อย่างนั้น
“ก็รู้...ว่าแกอาจจะไม่ชอบแหวน… มันคงไม่เหมาะกับคนอย่างแก” มิกว่า “และพี่ก็นึกภาพตัวเองให้แหวนคนอื่นไม่ออก… แต่แฟลชไดร์ฟนั่น มันเป็นของของเรานี่… ของของเราเอง ไม่เกี่ยวกับ Loveless Society ถูกมั้ย”
เอิร์ธยิ้มเบาๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาตัวเองเบาๆ ขณะที่มิกขำเบาๆกับภาพที่เห็น
“ร้องไห้แล้วว่ะ ตัวแสบกูร้องไห้เป็นกะเค้าด้วยเว้ย” มิกพูดกับตัวเอง “เอาไงคับ...ได้ หรือไม่ได้ บ้านก็มีแล้ว อยู่นี่ให้แล้ว มีทุกอย่างให้แล้วนะ พอใจยังอ่ะ”
เอิร์ธเงยหน้าขึ้นมองมิกในที่สุด
“นึกว่าผมจะหายโกรธอ่อหะ” เอิร์ธว่า “นึกว่าโผล่หัวกลับมาแค่นี้ แล้วคือผมต้องยอมเลยงั้นดิ ง่ายๆงั้นเลยอ่อ”
“ใช่” มิกว่า “กับแกไม่ต้องซับซ้อนป้ะ ง่ายๆงี้แหละ”
เอิร์ธยิ้มให้มิกทันที
“ถ้าผมอยู่นี่ นั่นหมายถึง ผมต้องทิ้งทุกอย่างที่อังกฤษนะ ทุกอย่างที่ผมทำเลยนะ” เอิร์ธว่า “พี่เจนไม่ยอมหรอก”
“เมื่อกี้ เค้าก็ยอมอยู่นี่ แล้วก็ถ้าลองไม่ยอมดิ” มิกว่า “เดี๋ยวกูจะโวยให้…”
เอิร์ธถึงกับเลิกคิ้วมองมิกทันทีอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“พ่อมดแห่งวงการแย่งแฟนเก่าพี่ไปแล้ว พี่คงไม่ปล่อยให้แม่มดของวงการเอาแฟนใหม่พี่ไปอีกคนป่ะ” มิกว่า “กูไม่ปล่อยมึงไปแล้วเอิร์ธ มึงต้องอยู่นี่ อยู่กับพี่เหอะนะ”
เอิร์ธยิ้มกว้าง ก่อนจะปิดหนังสือเล่มนั้นลง
“ยังไง...ได้ หรือไม่ได้” มิกร้องถาม
“ไม่” เอิร์ธพูดเบาๆ “ไม่เอาภาพแล้วก็ได้คับ...ไม่เอาอะไรอีกแล้วอ่ะ…. ผม… ผมเหนื่อยแล้วอ่ะพี่…. ผมขอโทษ”
เอิร์ธโผเข้ากอดมิกทันที ก่อนจะร้องไห้ในอ้อมกอดของมิกอยู่อย่างนั้น มิกตกใจเล็กน้อย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของเอิร์ธเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ผมตกลง…” เอิร์ธพูด “ผมอยู่นี่แล้วพี่...ผมตกลงพี่”
เอิร์ธส่งเสียงสะอื้นเหมือนเด็กๆ ซึ่งทำเอามิกขำเบาๆ พลางโอบตัวของเอิร์ธเอาไว้ทันที
“ไอ้แสบเอ้ย” มิกกอดเอิร์ธตอบทันที พลางขยี้หัวเอิร์ธเบาๆ
“ผมเหนื่อยแล้วอ่ะพี่ ผมไม่อยากไปไหนแล้วอ่ะพี่มิก” เอิร์ธยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“เออ… ไม่ไปแล้ว ไม่ไปแล้วคับ” มิกกอดเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
โฟล์คเปิดประตูบ้านเข้ามา และมองเห็นมิกและเอิร์ธกอดกันอยู่ตรงนั้น มิกส่งรอยยิ้มให้โฟล์คผ่านอ้อมกอด โฟล์คมองภาพตรงหน้าพลางสะท้อนใจกับตัวเอง
ปลายทางของมิกจบลงแล้ว เพื่อนร่วมทางของเขา ถึงปลายทางก่อนตัวเขาแล้วในที่สุด
“ขอบใจนะโฟล์ค” มิกพูด “ขอบใจมาก”
โฟล์คพยักหน้ารับเบาๆ พลางยิ้มกว้างให้กับมิกอยู่อย่างนั้น
เมืองนี้มันเป็นเหมือนที่เด็กวินคนนั้นบอกเขา มันหนาวเย็น แต่ก็อบอุ่นอย่างประหลาด
และเขาหวังว่า ปลายทางของเขา มันจะต้องไม่ต่างกัน
………..
“โอเคมึง...เออ… กูก็กะแล้วล่ะ อ่าหะ… รับทราบ เขาก็อยู่กะกูเนี่ย เออ… เออ…ได้ เดี๋ยวเคลียร์ให้ มึงไม่ต้องร้องแล้ว” วินพูดผ่านโทรศัพท์ขณะที่ตัวเขายังอยู่ที่งานปาร์ตี้ โดยที่เจนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเก้าอี้ และเคลวิน ที่ยังไงนั่งอยู่ข้างเขาเสมอ “เออ...กูก็รักมึงเพื่อน… ไว้เจอกัน….บาย”
วินกดวางโทรศัพท์พลางยิ้มให้กับมันอยู่อย่างนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเจน
“คับ… ตามนั้น” วินพูดสั้นๆ
“ให้ตายสิ” เจนถอนหายใจ พลางมองออกไปนอกเกล็ดหิมะทันที “บ้า...นี่มันบ้ามาก…”
เจนมองออกไปยังถนนอันคุ้นเคยในปารีส ริมฝีปากของหญิงสาวแห่งเมืองแฟชั่น เผยอออก ใจที่สั่นเทาขณะที่มือของเธอเย็นเฉียบ
“ที่รักโอเคนะ” จีโอกุมมือเธอไว้ และนั่นทำให้เจนหันกลับมาอีกครั้ง
เจนมองไปยังวิน และเคลวินที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองจีโอ คนรักของเธอ และพยายามหาคำพูดบางอย่าง
“เจน...เจนอยู่ที่นี่มาหกปี” เจนพูด “ทุกสิ่งทุกอย่างของเจนคือที่นี่… เจนเพิ่งทำแฟชั่นจบไปด้วยซ้ำ”
เธอพูดเสียงสั่น ขณะที่จีโอกุมมือของเธอเอาไว้
“มันคงเป็น...การเปลี่ยนแปลงที่….ใหญ่มากสำหรับ….เจน” เธอพูดขึ้น
“เธอจะสู้อีกไหมล่ะ” สาที่ยืนพิงมุมหนึ่งของร้าน ส่งเสียงท้าทายเธอมาเช่นเคย
“คะ?” เจนส่งเสียงถาม
“สู้ไง เหมือนที่เธอเคยทำ” สาพูดต่อ “เธอไม่เคยถอยนี่ จำได้หรือเปล่า ตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่เรื่องกายนัทเป็นต้นมา เธอก็ไม่เคยอ่อนเลยนะเจน และ ถ้าเธอไม่ยอม ฉันก็จะไม่แปลกใจเลย”
สาพูดพลางส่งสายตาที่คุ้นเคยมาให้
จริงสิ… ทำไมคนอย่างเธอจะต้องยอมง่ายๆ เธอคือแม่มดแห่งวงการแฟชั่น และทุกๆอย่างจะต้องเป็นอย่างที่เธอต้องการ
ถ้าเธอบอกว่าไม่ มันก็คือไม่
ฉะนั้น
“ไม่ค่ะ” เจนพูดตอบทันที “มันจะเป็นอย่างที่มิกเค้าพูดค่ะสา”
“โอ้” สาร้อง “เธอ...ไม่สู้เหรอ”
เจนหายใจเข้าลึก
“ไม่ค่ะ….ถ้าเกิดท้ายที่สุดมันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็น มันก็สมควรแล้ว ที่จะเป็นแบบนั้น” เจนพูดทันที “เจนทำร้ายทุกคนมามาก เพื่อซื้อเก้าอี้ให้ตัวเองอยู่ที่นี่ บางที….”
เธอหันไปมองจีโอ
“มันอาจถึงเวลาแล้วที่เจนต้องเป็นฝ่ายไปบ้าง” เจนยิ้มกว้างก่อนจะหันไปหาทุกคน “มันก็...เป็นของขวัญให้ตัวเองที่ดีเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรที่รัก” จีโอพูด “ยังไงผมก็จะอยู่กับคุณ”
“ขอบคุณค่ะ” เจนว่า
“เจน…” สาเดินตรงเข้ามาหาเธอทันที “ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจนพูดกับเธอ “เจนฝากปารีสด้วยนะ”
“อื้อ… โชคดีนะ”
สาและเจนสวมกอดกันอยู่ตรงนั้น และแน่นอนว่า สงครามอันยาวนานของทั้งสองสาว ได้จบลงแล้ว เจนยิ้มให้กับตัวเองอยู่ตรงนั้น เมื่อผละออกจากกัน เธอจึงตั้งสติ ก่อนจะหันไปหาวิน
“วิน เราคงต้องไปด้วยกัน ถูกมั้ย” เจนว่า
“คับ” วินตอบ
“แล้ว เธอกับเคลวิน” เจนหันไปหาเคลวิน ที่กำลังหันไปยิ้มด้วยกันกับวิน
“ผมกับวิน เราคุ้นชินการไม่ได้อยู่ด้วยกันมาห้าเดือน แล้ว...เราก็เข้าใจกันดีคับว่า เราต้องเดินทาง” เคลวินว่า “ผมกับวินเราไม่เป็นไร แล้วอีกอย่าง...ห่างกันบ้างก็ดี เผื่อว่า เวลาเจอกันจะได้…”
เคลวินหันไปสะกิดไหล่ของวินที่ทำเป็นเก้อเขิน
“โอ่ยยยย…. จะพูดให้หล่อทำไมคร้าบ เดี๋ยวไอก็ต้องไปดูแลโรงแรมที่ลอนดอนกับเจนเค้าไง เดี๋ยวช่วยดูแลวินเค้าให้ สเตลล่าก็อยู่นั่นไง โวะ แค่นี้ก็ต้องหวานว่ะ” จีโอว่าแซว ทำเอาทั้งร้านจึงหัวเราะใส่กัน
“งั้น… เราคงต้องไปเอา Loveless Society ด้วยตัวเอง แล้วส่งกลับไปให้อินเค้าทำอาร์ตบุ๊ค” เจนว่า “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ วินเข้าไปวิลแลตไปกับพี่ แล้ว…”
“ไม่ทันละคับ” วินยิ้มให้กับเจน “พี่โฟล์ค เอา Loveless Society บินไปลอนดอนแล้ว”
เจนพ่นลมออกจากริมฝีปาก พลางมองไปยังหนังสือ Endless Dream ที่วางอยู่บนโต๊ะ
เธอยิ้มให้กับมันทันที
“เรามาจบเรื่องนี้กันซะทีนะกาย”
………...
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 43 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-04-2020 01:45:55
ตอนที่ 44 There And Back Again

          การเดินทางคืออะไร
โฟล์คตั้งคำถามกับตัวเอง ขณะที่เขาใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงบนสายการบินอันเร่งด่วนจากปารีสมายังลอนดอน การหาเที่ยวบินอย่างเร่งร้อนในช่วงไฮซีซั่นแบบนี้เป็นเรื่องแสนยากลำบาก แต่การเดินทางจากปารีสมาลอนดอน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังงาน เพราะเส้นทางที่สั้นและใช้เวลาไม่นาน ต่างจากไทยสู่ฝรั่งเศสมากนัก แต่ถึงแม้มันจะกินเวลาไม่นาน โฟล์คก็รู้สึกได้ว่าเขาช่างเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการเดินทางนี้ ทั้งๆที่มันแค่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ
เขารุดมาลอนดอนอย่างปัจจุบันทันด่วน เขาไม่ได้บอกลาใคร ไม่แม้แต่กับเจนที่เขาพยายามตามหาเธอเพื่อขอความช่วยเหลือแต่แรกด้วยซ้ำ และคำถามที่เขาเคยค้างคาอยู่ในหัว ตอนที่เขาเริ่มออกเดินทาง ตอนนี้มันเริ่มได้คำตอบแน่ชัดเข้าไปทุกทีแล้ว
มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าการเดินทางคืออะไร แต่ตอนนี้ เขาต้องหาปลายทางให้เจอเท่านั้นเอง
โฟล์คหิ้วภาพ Loveless Society ออกจากแอร์พอร์ตไปตัวเปล่า มีเพียงตัวเขา กับภาพ Loveless Society และเป้เพียงแค่หนึ่งใบเท่านั้น สัมภาระอื่นๆ เขาทิ้งมันไว้ที่ปารีสที่ร้านเกล็ดหิมะ เขากำลังทำอย่างที่อินเคยบอกเขา
วิ่งตามหาทุกอย่างด้วยตีนเปล่าด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว
“เซาท์วาร์ค” เขากล่าวกับแท๊กซี่คันเหลืองที่จอดรับเขาหน้าสนามบิน ก่อนที่มันจะขับมุ่งตรงไปยังตัวลอนดอนทันที ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว เขาควรที่จะรีบตามหาอินให้เจอ ก่อนที่อะไรๆจะยากลำบากไปกว่านี้
แต่เขาจะหาเจอได้อย่างไร มิกไม่ได้บอกอะไรเขาไปมากกว่าย่านเซาท์วาร์คและแม่น้ำเท็มส์ มันจะหายากเกินไปหรือไม่สำหรับเขา หรือไม่อย่างนั้น เขาอาจจะต้องพยายามหาออฟฟิศของซูเม่สตูดิโอให้เจอ
โฟล์คกดมือถือของตัวเองพลางเสิร์ชชื่อของซูเม่สตูดิโอลงในแผนที่ แต่มันก็ไม่มีอะไรปรากฎให้เห็น เขาส่ายหน้าให้กับตัวเองก่อนจะจำได้ว่า ทุกๆอย่างเพิ่งจะมาเริ่มต้นที่นี่ได้ไม่ถึงปี เจนบอกเขาว่าซูเม่ ยังไม่มีสาขาที่นี่อย่างเป็นทางการ
ทันทีที่รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้าลอนดอน มันก็ทำให้เขามองเห็นอะไรอย่างประหลาด ที่นี่ขับรถเลี้ยวขวาเป็นหลัก พวงมาลัยอยู่อยู่ด้านขวา มันทำให้เรารู้สึกได้ว่าทุกๆอย่างมันเหมือนกับที่กรุงเทพอย่างไม่น่าเชื่อ และทันทีที่รถขับข้ามสะพานลอนดอนเหนือแม่น้ำเทมส์ พร้อมกับแสงตะวันที่กำลังสาดแสงลงต้องกับชิงช้าสวรรค์ Eyes of London ที่อยู่เยื้องไป โฟล์คมองออกไป มันก็ทำให้เขานึกอะไรบางอย่างออก
“นายจะรู้ได้เอง ว่ามันคือที่ไหน”
จริงสิ… ถ้าอินถูกส่งมาไกลถึงที่นี่เพียงลำพัง มุมมองที่ไม่เหมือนคนอื่น ในแบบที่เขาเคยให้อินเห็น มุมมองเหนือแม่น้ำเทมส์ ชิงช้าสวรรค์ สะพานลอนดอนแบบนี้
มันเหมือนกับ…
“Sorry… Southwark is around the left side of the bridge right?” โฟล์คร้องถามคนขับแท็กซี่
“Yes sir” คนขับหันมาตอบด้วยสำเนียงอังกฤษ
โฟล์คมองไปยังด้านซ้ายของสะพานตามแม่น้ำเทมส์ไปเรื่อยๆ แสงตะวันสาดส่องไปในทิศทางที่เขาคุ้นชิน
ใช่แล้ว!!!
“Is there any building with the rooftop in the Southwark right?” โฟล์คร้องถาม “Someplace that can see a sunset in some of offices avenue or something. It has one or two right?”
“Of course. There’s a lot of building there but with the rooftop” คนขับพูดพลางคิดบางอย่าง “It was a cocktails bar actually on the riverside.”
โฟล์คนิ่งสนิทไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ
“Great. Take me there please” โฟล์คพูด “Take me there before the sun is down”
ใจของโฟล์คพองโตขึ้นทันทีเมื่อแท็กซี่คันนี้เริ่มเร่งความเร็วขึ้น
อิน… ไม่เคยลืมเขาเลย แม้แต่นาทีเดียว
“วินาทีนั้น ผมรู้ได้ทันทีว่า การจากลา บางครั้ง มันไม่ใช่การบอกลา แต่การจากลาของผมมันก็คือการบอกรัก มันคือเสียงที่ผมตะโกนผ่านความเงียบไปในวันนั้นว่า ผมรักเขามากแค่ไหน แม้ว่าผม จะต้องบอกลาเขาถึงสี่ครั้งในชีวิตของผม เฝ้ามองเขาเดินจากผมไปถึงสี่ครั้งในชีวิต”
หน้ากระดาษต่อไปถูกเปิดอ่านต่อ ด้วยมือที่สั่นเทา
………...
เจนจิราสวมกอดสา ที่มาส่งเธอที่แอร์พอร์ต ขณะที่รอบๆตัวเธอเธอ เต็มไปด้วยสัมภาระอีกมากมายถึงสองรถเข็น ซึ่งยังไม่รวมกับของวินและจีโอที่ก็เยอะพอกัน เธอยิ้มให้กับสา ก่อนจะหันไปมองมิกและเอิร์ธ มิกโอบแขนวางอยู่บนไหล่ของเอิร์ธ ทั้งคู่ส่งรอยยิ้มมาให้เจน ที่เข้าใจได้ดีว่า นี่จะเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของเธอบ้างเสียที
………..
“เขาเดินจากไป พร้อมกับเอาความฝันของผมไปด้วย เขาจากไปนานจนผมลืมนับเวลา เขาจากไปทั้งๆที่เขายังมีตัวตนอยู่ในทุกเสี้ยวความทรงจำของผมในทุกๆนาทีหลังจากนั้น เขาจากไปทั้งๆที่ผมยังเห็นเขาทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน เห็นในทุกๆวันที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา แม้ว่าผมจะเริ่มต้นใหม่ซักกี่ครั้ง แต่ผมก็ไม่สามารถลืมเขาได้เลย แต่เมื่อย้อนกลับไปในวินาทีนั้น ผมก็ยังปล่อยให้เขาเดินจากไป โดยไม่มีโอกาสที่จะขอโทษ หรือทำให้เขารู้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรักเขามากมายแค่ไหน”
ตัวอักษรที่ตัว มันเหมือนมีดที่กรีดลงไปในความรู้สึกของเขา เขาจับหน้ากระดาษนั้นไว้จนมือเจ็บเกร็ง
“คนเราต่างมองหาปลายทางของตัวเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าปลายทางที่ไม่มีคนที่เรารักรออยู่ มันอ้างว้างกว่าที่ผมเคยคิด เพราะสุดท้ายแล้ว ผมก็มาเรียนรู้ว่า เราไม่อาจจะมีอนาคตไปได้ ถ้าข้างในหัวใจและความคิดของเราไม่สมบูรณ์ ความรู้สึกดี ความรัก ความห่วงใย มันเป็นของให้เปล่า ให้แล้วให้เลย มันให้ไปพร้อมกับหัวใจ เมื่อเรายกมันให้ใครไปแล้ว เราเอาคืนมาไม่ได้ ต่อให้ความรักมันสูญสลายไป แต่หัวใจเราก็จะไม่มีทางกลับมาอีก”
…………
เคลวินดึงตัววินมากอดไว้ ขณะที่วินยิ้มกว้างอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะไปอีกแล้ว” เคลวินว่า “เราเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ห้าวันเองนะ”
“ไม่เอาดิ อย่าทำงี้ดิไกด์” วินว่า “อย่าทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ”
“ฉันจะคิดถึงนายทุกวัน ฉันจะโทรหานายทุกวัน ฉันสัญญา” เคลวินว่า
“ไกด์ ยังไงฉันก็รักนาย” วินว่า “ฉันกลับมาหานายเสมอ นายก็รู้ ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันตกลง นายคือบ้านของฉันนะ”
วินผละออกจากไกด์ พลางยิ้มให้
“ดูแลตัวเองด้วยนะ” เคลวินพูด “แล้วไว้จะไปหา”
“ฉันจะกลับมาก่อนนายคิดถึงอีก อยู่นี่ก็...ช่วยเอิร์ธมันด้วยนะ”
“อื้อ”
เจนเดินมาหาวินและเคลวินที่ยืนอยู่หน้าเกต ทั้งคู่ยิ้มให้เธอ
“เจนจะดูแลเค้าให้ค่ะ ไม่ต้องห่วง” เจนว่า
“ดูแลหรือโขกสับอ่ะพี่ เอาดีดี” วินว่า
“จริงๆ นายเป็นอาร์ตได ส่วนพี่เป็นสไตลิส เราต้องตีกันอีกนานวิน” เจนว่า
“ไม่มีเอิร์ธแล้ว คราวนี้แฟร์เกมส์คับ หนึ่งต่อหนึ่ง พี่กับผมเนอะ” วินว่า พลางหัวเราะกันสองคน
“ไปกันเหอะ เดี๋ยวไม่ทัน” จีโอเดินมาจับมือเจนไว้
มือที่เจนรู้สึกได้ว่า นี่จะเป็นมือที่จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป
เคลวินจับมือวินครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสามเดินเข้าเกตไปในที่สุด
………..
“คุณเคยตั้งคำถามหรือเปล่า ว่าความฝันของคุณมันจะไปจบลงที่ตรงไหน ทุกๆก้าวในชีวิตที่คุณทำตามความฝันของตัวเอง ใช้ชีวิตของตัวเองไป คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ตอนที่คุณไปถึงความฝันแล้ว คุณจะมีความสุขจริงไหม แต่สำหรับผม ความฝันของผมคือเขา และตอนนี้ผมกำลังใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่มีจุดหมายอีก
เพราะงั้น ถ้าผมจะเริ่มค้นหาปลายทางของตัวเองอีกครั้ง ค้นหาความฝันของตัวเองอีกครั้ง มันก็คงเป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดจบ ไม่มีปลายทาง มันคือการเดินทางที่ผมต้องตามหาความฝันที่หายไป หายไปกับคนเพียงคนเดียวที่ผมจะรักได้
และผมหวังว่าเขาจะรอผมอยู่ที่ปลายทาง
ปลายทางที่มีเราสองคนอยู่ด้วยกัน”
อินปิดหนังสือลง พลางมองไปยังดวงตะวันที่กำลังจะคล้อยต่ำลงตรงฝั่งตรงข้าม มุมมองจากบาร์ดาดฟ้าที่นี่มันหนาวเย็น ต่างจากที่เขาเคยรู้จัก ความรู้สึกบางอย่างที่ส่งผ่านตัวหนังสือมา มันทำให้เขารู้สึกตื้อตัน เขารู้สึกว่าตัวเองถูกดึงจมไปกับหนังสือเล่มนี้
ความรู้สึกอ้างว้างจับหัวใจ
อินวางหนังสือลงตรงหน้า พลางนั่งพิงเก้าอี้อย่างเหม่อลอย
ปลายทางที่มีเราสองคนอยู่ด้วยกัน
คงเป็นปลายทางที่ไม่มีอยู่จริง
อันหลบสายตาลง ขณะที่พนักงานเสิร์ฟค็อกเทลล์แก้วหนึ่งวางลงตรงหน้า
“Thanks” อินหันไปกล่าว ก่อนที่จะมองที่แก้วนั้นอย่างคุ้นตา แต่ก็เหมือนกับสิ่งต่างๆรอบตัว ทุกๆอย่างดูคุ้นตาอยู่แล้วที่นี่ มันแทบไม่ได้ต่างอะไรจากวันนั้น ตรงนั้นเลยซักนิด มันไม่มีอะไรต่างกัน
อินหยิบแก้วนั้นขึ้นมาดื่ม และทันทีที่รสชาติของค็อกเทลล์แตะริมฝีปาก เขาดึงแก้วออกมามองอีกครั้ง
รสชาติแบบนี้มัน
ทันใดนั้น หูฟังข้างนึง ก็ถูกเสียบเข้าหูซ้ายของเขา เพลงบรรเลงเพลงหนึ่งดังขึ้น เพลงบรรเลงที่เคยทำให้จิตใจของเขาสงบ เพลงบรรเลงที่เขาเคยฟังอยู่กับใครบางคนเมื่อนานแสนนานมาแล้วที่ดาดฟ้ายามตะวันตกดิน
ใครบางคนที่เอาหูฟังมาเสียบให้เขา และนั่งลงข้างๆ
ใครบางคนที่ทำให้เวลาอันยาวนานของเขาหยุดหมุนลง
“โอเคมั้ย” โฟล์คพูดขึ้นหันไปมองหน้าอินที่ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของอินต้องกับแสงอาทิตย์อ่อนๆที่ สายตาของเขามองไปยังแม่น้ำเจ้าเทมส์ที่มีเสียงเรือและผู้คนแว่วมากับสายลม เขามองโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“โฟล์ค”
โฟล์คมองภาพนั้น มันเหมือนกับว่าเขาถูกดึงเข้าไปในห้วงความรู้สึก หากอินกำลังถูกบรรยกาศโดยรอบดึงเข้าไปหา โฟล์คก็คงกำลังถูกอินดึงเข้าไปหาอีกทอดหนึ่ง โฟล์คยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆอิน มองใบหน้านิ่งๆนั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆที่อยู่บนหน้าของอิน กลิ่นเหงื่ออ่อนๆจากไอร้อนในช่วงบ่ายของอิน ทำเอาโฟล์ครู้สึกสั่นไหว
“มึง… มึงจริงๆเหรอ” อินร้องถามเสียงสั่นเครือ
“อื้อ… กูเอง” โฟล์คตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือเช่นกัน เขายิ้มให้อินพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอย่างไม่รู้ตัว
“มึง…” อินพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่โฟล์คก็เอื้อมมือไปแตะใบหน้าของอินไว้ทันที
“กูอยู่นี่แล้วนะ” โฟล์คว่า “กู...หามึงจนเจอแล้วนะเว่ย”
อินยังคงมองอินอย่างนั้นเอง
“ไม่จริงอ่ะ...มึง อยู่นี่…” อินพูดพร้อมๆกับร้องไห้ออกมาอีกคน เขามองโฟล์คไปทั่วใบหน้า และเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของโฟล์คเช่นกัน “มึง...นี่...มึงจริงๆ….ด้วยแหะ”
อินพ่นลมหัวเราะออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทาง
“อ...อื้อ” โฟล์คร้องตอบ พลางยิ้มกว้าง “มึงนี่… วิ่งหนี...เก่งนะ…ไอ้ตูด...มึง…มึงรู้ไหมว่ากู… กูคิดถึงมึง...แค่ไหนอ่ะ หื้มมมม”
“โฟล์ค…”
อินและโฟล์คคว้าตัวของกันและกันเข้าหากัน และปล่อยให้ร่างกายดึงดูดเข้าหากันพร้อมอ้อมกอดที่อ่อนละมุน ทั้งคู่กอดกันและปล่อยให้น้ำตาแห่งความคิดถึงปะปนไปกับแสงแดดยามเย็นที่ส่องประกายมา
“มึง...มึงหากูจริงๆด้วยอ่ะ” อินพูดเสียงสั่น “มึง...ไม่ได้ลืมกูจริงๆด้วยอ่ะ”
เสียงร้องไห้ของอินยิ่งเหมือนคำร้องขอให้โฟล์คกอดอินแน่นอยู่อย่างนั้น
“ต่อให้มึงข้ามโลกไปอีก กูก็ไม่หยุดหามึงหรอก” โฟล์คพูดในอ้อมกอดนั้น
อินหลับตา ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดนั้น และมองหน้าของโฟล์คทันที
“มึงแม่ง…. บ้าชิบหาย” อินต่อยเข้าที่แขนของโฟล์คทีนึง “มึงมานี่ได้ไงเนี่ย”
“เอ๊า...ต่อยกูไมอ่ะ” โฟล์คว่า
“ก็มึงแม่ง…” อินว่าพลางสะอึดสะอื้น “สามปีเลยนะเว่ย...มึงทำเหี้ยไรอยู่วะ มึงหายไปไหนมา”
โฟล์คเงียบสนิท
“ก็กู...กลัวมึงจะไม่อยากเจอกูอีกอ่ะ” โฟล์คพูด “กูแม่ง...เหี้ยอ่ะ… กูไม่รู้จะแก้ตัวยังไง แล้ว...กูแม่ง ทำให้ชีวิตมึงเป็นงี้… กูเลย…”
“ใครบอกมึง ว่ากูไม่อยากเจอมึง” อินว่า “กูอยากเจอมึงตลอดอ่ะ แต่มึงแม่ง… มึงแม่งไม่เคยเข้าใจเหี้ยไรเลย มึงแม่ง…”
“กูก็...มาหามึงแล้วนี่ไง” โฟล์คว่า “หยุดด่ากูเหอะ”
อินมองหน้าโฟล์ค พลางทำหน้ามุ่ย
“หนังสือมึงนี่ น้ำเน่าโคตร” อินว่า พลางเหลือบตาไปมองหนังสือ Endless Dream ที่วางอยู่ที่โต๊ะ
“มึง… มึงมีได้ไง” โฟล์คเห็นหนังสือของตัวเอง ก็ร้องถามด้วยความสงสัย
“มีคนส่งมาให้” อินว่า พลางหยิบหนังสือแล้วเปิดหน้าสุดท้าย พลางหยิบโปสการ์ดอันนึงยื่นให้โฟล์ค
ของขวัญจากพี่ชาย ไม่ต้องห่วงนะ แม่สบายดี ลองอ่านดูนะ เพราะคิดว่าคิดว่ามันยังคิดถึงอินอยู่
พีท
“อ้อ…” โฟล์คร้อง พลางเหลือบตามองอินด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ
“พลิก พลิก” อินพูดต่อ
โฟล์คจึงพลิกโปสการ์ด และเห็นว่าพีท ได้ยิ้มกว้างอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง พร้อมกับลูกเล็กๆน่ารักๆในอ้อมกอดของทั้งคู่
“นี่มัน…” โฟล์คเงยหน้าขึ้นมาพูด
“ลูกสาว” อินว่า “พีทกับพริม ทำให้เราเป็นอาแล้ว”
“อ่านะ” โฟล์คว่า “ก็..ดี ยินดีด้วย”
“แล้วจริงป้ะ” อินถามต่อทันที
“จริงอะไร” โฟล์คว่า
“ก็ทั้งหมดที่เขียนอ่ะ หมายถึงกูอ่อ” อินถามทันที
โฟล์คเงียบสนิท
“ไม่ใช่มั้ง” โฟล์คพูด
“เหรอ… ทั้งหมดนี่ คือที่มึงรู้สึก กะกูเหรอ” อินว่า “ตลอดเวลา หลายปีที่ผ่านมาเหรอ”
“กูบอกรักมึงไปหลายรอบแล้วอ่ะ” โฟล์คว่า “แต่มึงไม่เคยเชื่อกูเลย”
“กูเชื่อ แต่กูรักมึงไม่ได้ไง มึงกะกูรักกันไม่ได้ไง” อินตอบ
“แล้วตอนนี้อ่ะ ได้ยัง…” โฟล์คว่า และนั่นทำให้อินถอนหายใจอีกครั้ง เสียงถอนหายใจที่ทำให้โฟล์ครู้สึกได้ เพราะมันคุ้นตาเขามาหลายครั้งแล้ว
“ไม่เอานะ อย่าเป็นครั้งที่ห้านะ” โฟล์คพูดต่อทันที “กูข้ามโลกมาหามึงเลยนะเว่ยอิน กูไม่ได้มีใครแล้ว กูอยู่คนเดียวต่อไปไม่ได้อีกแล้วถ้าไม่มีมึง ถ้ามึงไม่ตกลงรอบนี้ กูจะลากมึงโดดแม่น้ำเทมส์เดียวนี้เลย เพราะกูจะไม่กลับไปไหนอีกแล้ว กูมาที่นี่ เพื่ออยู่กับมึง”
อินกระพริบตาถี่ๆ มองโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“กูไม่สนว่าใครจะพูดยังไง กูไม่สนว่ามึงจะต้องออกจากงานไหม กูจะลากคอมึงออกไปจากเรื่องพวกนี้ก็ได้ กูไม่สนไอ้กาย ไม่สนเจน ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะรั้งมึงไว้ที่นี่ หรือต้องให้กูต้องจ่ายเท่าไหรเพื่อฉีกสัญญามึงกับซูเม่กูก็จะทำ กูเคลียร์ทุกอย่าง ทุกคน เพื่อมาเจอมึงที่นี่แล้ว กูจะไม่ยอมให้มึงไล่กูไปอีกแล้ว กูจะพามึงหนีจากหนีไปสุดขอบโลกอีก กูก็จะทำแล้ว” โฟล์คว่า “กูจะไม่แบกภาพนั่นไปไหนอีก กูจะให้มึงทิ้งภาพนั่นแล้วไปกับกูเดี๋ยวนี้ถ้ามึงไม่ยอม มึงเข้าใจกูมั้ยหะ ไม่กูกับมึง ก็ภาพนั่น ต้องมีซักอย่างลงแม่น้ำอ่ะ กูพูดเลย”
อินอมยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
“มึงไม่ต้องมายิ้มไอ้สัส กูไม่ได้ถ่อมานี่ เพื่อให้มึงหัวเราะกูนะ” โฟล์คว่า “มึงห้ามพูดกับกูว่ามึงกะกูรักกันไม่ได้ กูไม่ฟังแล้ว พอที”
และแล้วก็กลายเป็นความเงียบ เหลือเพียงเสียงหายใจหอบถี่ของโฟล์คเท่านั้น
“โฟล์ค...กูกับมึงรักกันไม่ได้อ่ะ...คือกูหมายถึงตอนนั้น” อินว่า “ส่วน...ตอนนี้...”
……………..
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 44 UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-04-2020 19:28:16
ตอนที่ 45 Endless Dream [จบ]

“อะไรอีก…” โฟล์คร้องถาม
“ตอนนี้กูก็อยากให้มึงอยู่แต่…” อินมองโฟล์คพลางถอนหายใจ “แต่มึงจะอยู่ยังไง… งานที่นี่กูก็เพิ่งเริ่ม แล้วกูก็ไม่รู้ว่าพี่เมธจะส่งกูไปไหนอีก แล้วมึงก็ต้องกลับไทย แล้วทุกๆอย่างก็…”
โฟล์คคว้าตัวอินมาจูบทันที และปล่อยให้คำพูดที่เหลือกลืนหายไปกับไอของเครื่องดื่มที่อวลอยู่ในริมฝีปาก อินผละโฟล์คอีกครั้ง
“มึงไม่เข้าใจ กูไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง กูต้องเดินทาง กู…”
โฟล์คดึงอินเข้ามาจูบอีกครั้ง อินหลับตา และพยายามตั้งสติ และผลักโฟล์คออกไปอีก
“มึงไม่รู้หรอกว่าที่นี่เป็นไง มันไม่ได้ง่ายเหมือน…”
โฟล์คจูบอินอีกเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้มันอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง เขาไม่ฟังอีกแล้ว ไม่ขอฟังทุกข้ออ้าง ไม่ขอฟังอะไรก็ตามที่จะทำให้ความฝันของเขาไม่เป็นจริงอีก พอกันทีกับความฝันที่ไม่มีจุดจบของอิน
คราวนี้โฟล์คเป็นฝ่ายผละริมฝีปากออกจากอิน เขาเห็นอินเงียบสนิทพลางร้องไห้อยู่เงียบๆ
“กู...กูไม่อยากให้มึง… ต้องไปกับคนที่ไม่มีอะไรอย่างกูโฟล์ค” อินพูดเสียงสั่นเครือ
แต่โฟล์คเอื้อมมือไปปาดน้ำตาของอินเอาไว้เบาๆ และยิ้มให้ทันที
“เรื่องบางเรื่อง เราต้องเผื่อให้อีกคนช่วยคิดนะ” โฟล์คว่า “เผื่อให้กูคิดบ้างก็ได้อิน… ให้เป็นเรื่องที่เราสองคนช่วยกันคิดเถอะนะ”
อินมองโฟล์คอยู่อย่างนั้น
“เพราะถ้ามึงเลือกกู… อยากให้กูอยู่ กูก็จะอยู่ กูจะทำทุกอย่างเพื่อที่อยู่ และมันต้องมีทางเว่ย มันต้องมีปลายทางของเราดิวะ” โฟล์คตอบ “คำถามก็คือ...มึงเลือกกูหรือเปล่าอิน… มึงอยากให้กูอยู่มั้ย”
อินยังคงเงียบสนิท
“มึง...ยังรักกูอยู่เปล่าอิน” โฟล์คถาม
อินมองหน้าโฟล์ค พลางยิ้มเบาๆ แม้จะมีความคิดร้อยพันตีอยู่ในหัว โฟล์คคงไม่รู้สินะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเกิดอะไรขึ้น โฟล์คคงคิดว่าตัวเอง เป็นฝ่ายที่ต้องเดินทาง เป็นฝ่ายที่ต้องค้นหา ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายรอคอย
เขาต่างหากที่….
“มึงคิดว่าจูบมึงได้ผลงั้นดิ” อินเงยหน้าขึ้นมองโฟล์คเบาๆ
“ก็ได้ผลนะ เพราะที่จริงแล้ว… กูก็ไม่น่าถามมึงเท่าไหร่ตะกี้ จริงๆที่มึงห่วงกู กลัวว่ากูจะอยู่ไม่ได้ กังวลแทนกู คำตอบก็ชัดแล้วน้า” โฟล์คว่า พลางเหล่ตามองอิน ที่หลบตาลงด้วยความเก้อเขิน “ยังไม่รวมที่กูหามึงเจอที่นี่ เพราะมึงเอาตัวเองมาอยู่ในที่ที่เหมือนอยู่กับกู ทุกอย่างแม่งโคตรเหมือนที่บาร์กูเลยนะ แบบนี้มันก็
โฟล์คยื่นหน้าเข้ามาหาอิน ที่จ้องหน้าโฟล์คกลับ
“มึง...รักกูใช่ป่ะอิน” โฟล์คยิ้มให้
“อ่อ… มึงคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะจูบมึงงั้นดิ” อินว่า
“แน่อยู่แล้ว” โฟล์คยักคิ้ว “จูบกูทำมึงติดกับกูตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่มึงโฟล์ค มันเพราะกู” อินว่า
“เหรอ...งั้นเชียว” โฟล์คว่า “มันยังไงซิคับ”
โฟล์คยังคงยิ้มกริ่มในชัยชนะของปลายทางตัวเอง อินพ่นลมออกมาเบาๆทั้งน้ำตา
“มึงนี่แม่ง โคตรอยู่แต่กับตัวเองเลยเนอะ” อินพูด “มึงแม่ง ไม่เคยรู้อะไรเลยอ่ะ”
“แล้วกูต้องรู้อะไรอ่ะ” โฟล์คว่า “พูดดิ กูอยากฟัง”
“มึงคิดว่ากูชอบมินนี่จริงๆงั้นดิ” อินพูดขึ้น พลางมองหน้าโฟล์คอยู่อย่างนั้น “มึงคิดว่าตอนนั้น กูจีบเด็กเซ็นโยที่มึงจีบมึงอยู่ แล้วลากเขามานั่งเล่นอยู่ที่หน้าโรงเรียนโดยไม่รู้อ่อวะ มึงคิดอย่างนั้นอ่อ”
คราวนี้เป็นโฟล์คที่เงียบสนิท
“มึงคิดว่า เป็นเรื่องบังเอิญอ่อ ไม่เว่ย ไม่ใช่”
“มึง...มึงว่าอะไรนะ” โฟล์คพูดติดขัด
“มึงคิดว่ากูชอบมากงั้นดิ ที่เห็นมึงคุยกับหญิงอ่ะ” อินว่า “ถ้ากูไม่ทำแบบนั้น กูจะรู้มั้ย ว่าจริงๆแล้ว มึงรู้สึกไง ขนาดมึงได้จูบกูไปแล้ว มึงยังไม่ยอมรับมาตรงๆอีกอ่ะ”
“ไอ้อิน…”
“กูไม่ได้ต่อยมึง ที่มึงจูบกูหรอกนะ” อินว่า “กูต่อย เพราะมึงแม่งไม่เคยรู้สึกเหี้ยอะไรเลย แล้วพอเกิดเรื่องกายกับเจน.. ก็ยิ่งทำให้กูมั่นใจ ว่ามึงคิดยังไงกับกู”
“แล้วตอนนั้นมึงปฏิเสธกูทำไมหะ” โฟล์คร้องถามเสียงดัง พลางต่อยเข้าที่แขนของอินทีนึง “มึงเอาเรื่องของเราทำกลุ่มแตกเลยนะเว่ย”
“โอ๊ยยยย” อินเอี้ยวตัวหลบ “มึงทำร้ายกูอ่อ”
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยไอ้สัส กูตามมึงมาจะสิบปี มึงปฏิเสธกูมาสี่ครั้ง แล้วอยู่ดีดี มึงจะมาบอกว่า มึงก็...รักกูมาแต่รักงั้นเนี่ยนะ” โฟล์คว่า “มึงหนีกูนะเว่ย มึงหนีกูมาตลอดเลยนะเว่ย ทุกคนชีวิตเปลี่ยนเพราะมึงกะกูเลยนะ”
“เออ...กูรู้” อินว่า “กูเลยหนีมาไง… กูเสียใจที่ทำให้ทุกคนเป็นแบบนั้น...โดยเฉพาะมึง”
โฟล์คหายใจเข้าลึก
“กูไม่ได้หนีมึง กูแค่...หนีความรู้สึกผิดของตัวเองอ่ะ กูแค่คิดว่า...ถ้าทุกคนไม่มีกู มันคงง่ายกว่านี้ กูเลยจากมาง่ายกว่า แล้ว..มันก็เวิร์คนะ สามปีที่ผ่านมา กายก็เจอรักใหม่ มึงก็ได้เขียนหนังสือ ทุกคนดีขึ้น เมื่อไม่มีกู”
อินพูดเสียงเรียบ
“มันก็เลย อาจจะเวิร์คกว่านะ ถ้า….”
“ถ้านี่เป็นข้ออ้างอีก กูจูบอีกนะ” โฟล์คว่าพลางชี้หน้าอิน
“เออ… กูคิดเยอะเองอ่ะ กู… ขอโทษนะ” อินว่า “กูไม่พูดแล้วก็ได้”
โฟล์คลดมือลง
“แต่กูแค่จะบอกว่า… มึงไม่ใช่คนเดียวที่… รอ...หรอกน่า” อินว่า “กู...ขอโทษนะ ที่ทำให้มึงต้องเดินทางไกลขนาดนี้...เพื่อกู”
“กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษอิน กูอยากได้คำตอบ” โฟล์คพูดต่อ “มึงรักกูหรือเปล่า”
อินยื่นหน้าเข้าไปหาโฟล์คทันที
“กูรักมึงโฟล์ค…” อินพูดพลางยิ้มให้
“ไม่มีแต่แล้วนะ” โฟล์คชิงพูดทันที
“อื้อ...ไม่มีก็ได้” อินก้มหน้าลง
“ก็แค่เนี้ย”
และทั้งคู่ก็กอดกันอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าโลกนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นเอง ภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่น
“กู...ไม่ไปไหนแล้วก็ได้...กูอยู่นี่แล้วก็ได้...ถ้า...มึงอยู่”
อินพูดเบาๆในอ้อมแขนของโฟล์ค
“กูจะถือว่านี่เป็นคำขอให้กูอยู่แล้วนะ” โฟล์คว่า “แล้วมึงก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เรื่องอื่น เป็นรองเรื่องรอง กูมีมึงอยู่ปลายทาง ...มีเราน่ะเว่ย อิน”
อินมองไปยังภาพ Loveless Society ที่วางพิงอยู่ข้างโต๊ะ ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวไกลเหลือเกิน
“ขอบคุณนะ”
………
มิกและเอิร์ธช่วยกันจัดบ้านให้เข้าที่เข้าทาง แม้ว่าการทะเลาะกันเรื่องมุมทำงาน และการวางของที่มิกตัดใจทิ้งไม่ลงจะทำให้ทุกอย่างเสียเวลากว่าที่เป็น เพราะเอิร์ธก็มองว่าของส่วนใหญ่ที่มิกไม่ยอมทิ้ง เป็นของของกายและนัท ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเขาสองคนเลยซักนิด แต่มิกก็ยังคงความเป็นอาร์ตตัวพ่อ แม้แต่รูปถ่ายของสตูดิโอสาม เขาก็ยังอุตส่าห์จะเก็บเอาไว้ให้ได้นั่นเอง
เคลวิน ที่แวะเอาเฟอร์นิเจอร์จากห้องของเขามาช่วยตกแต่งบ้านของมิกเอิร์ธ กำลังวีดีโอคอล์ให้วิน คนรักของเขาดูการทะเลาะกันของมิกและเอิร์ธที่บริเวณโซนโซฟา วินหัวเราะขณะที่นั่งอยู่ในห้องพักของเจนและะจีโอ สองคู่รักที่กำลังช่วยกันแกะข้าวของออกจากกล่องเช่นกัน โดยมีสเตลล่า ที่มาช่วยกำกับคนยกของให้ ในฐานะที่เธออยู่ที่นี่มาก่อนทุกคนนั่นเอง
วินโบกมือทักทายเคลวินผ่านกล้องและยิ้มกว้าง แม้การเดินทางของเขาและเคลวินจะไม่ได้จบลงที่การอยู่ด้วยกันเหมือนคนอื่น แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าความรักของเขาทั้งคู่ลดลงไปเลย วินบอกรักเคลวินผ่านวีดีโอคอลล์ ขณะที่เอิร์ธก็เหล่มองเห็นจากมุมหนึ่งของบ้าน
“อื้อ...เราก็รักนายวิน” เคลวินพูดตอบพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นเช่นเคย “แล้ว มันหยุดวันไหนมั่งนะ”
“มีประชุมใหญ่อีกสองครั้ง เดือนหน้าก็ว่างแล้วล่ะ” วินตอบ “นายมาหาดิ จะได้ไปเที่ยวกัน”
“อื้อ ได้… เดี๋ยวไปทำอาหารให้กินอีก เอาป่ะ” เคลวินถาม
“ดีเลย อยากกินอาหารไทยฝีมือนายอีก” วินว่า “งั้นไว้เจอกันนะ คิดถึงนาย”
“คิดถึงนะเหมือนกันคับ” เคลวินว่า
“อ๋อๆๆๆ แอบหวานเหรอมึง ไหนๆๆ” เอิร์ธส่งเสียงแซว
“ไอ้แสบ ไม่ต้องไปยุ่งกับเค้า มาจัดนี่ก่อน เอิร์ธ” มิกออกคำสั่ง แต่เอิร์ธที่ดูเหมือนจะไม่ฟัง พลางส่งเสียงร้องและวิ่งเข้าไปหาเคลวิน เพื่อคว้ากล้องมาคุย ส่วนเคลวินที่พยายามยกกล้องหนีและไล่จับกันอยู่ตรงนั้น มิกที่ได้แต่ส่ายหน้า และทำความเข้าใจได้ว่าการจัดบ้านครั้งนี้ ก็ดูเหมือนจะไกลคำว่าเสร็จตามเวลามาขึ้น
เพราะมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะระหว่างกันอยู่อย่างนั้น
เสียงหัวเราะท่ามกลางความเหน็บหนาวของวิลแลตชานเมืองปารีส และลอนดอน สองเมืองที่มีสายสัมพันธ์บางอย่างเชื่อมถึงกัน
ความรักที่ยึดโยงทุกคนเข้าหากันในสังคมที่วุ่นวาย ความรัก ที่ดูเหมือนจะเลือนหายไป แต่ยังคงส่องประกายให้เห็นได้อยู่
ความรักในสังคมไร้รัก ที่มีตัวตนอยู่จริง
………..
ความเงียบสงัดของท้องฟ้าในกรุงเทพ ที่บ้านใจกลางเมืองอันเงียบสงบ นัทยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านของเขา ขณะมองดูหนังสือเชิญในมือ เขาอ่านมันและทำความเข้าใจ ก่อนจะพับมันเก็บ และเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กว้างไกล นัทมองมันไปไกลพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป
“อ่านไรอ่ะคับ” กายเดินเข้ามาโอบตัวของนัทไว้จากด้านหลัง นัทตกใจเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้กายโอบกอดเขาไว้อยู่อย่างนั้น
“เนี่ยเหรอ จดหมายเชิญจาก Virtual Art” นัทหันไปตอบ “ฟ้าส่งมาให้อ่ะ เขาชวนผมให้ไปร่วมวาดภาพเพื่อขับเคลื่อนสังคม แบบที่มิกเคยไปวาดอ่ะ”
“อ๋อ… ขับเคลื่อนเรื่องอะไรอ่ะ” กายถาม
“ยังไม่ได้คิดอ่ะ” นัทว่า พลางมองท้องฟ้าต่อไป และก็เข้าสู่ความเงียบระหว่างกัน “คุณว่าพวกเค้าจะเป็นยังไงกันบ้าง”
“ใครอ่ะ” กายพูด แม้จะยังซุกใบหน้าลงที่ต้นคอของนัท
“ทุกคน...ที่นั่น” นัทว่า “คุณว่าพวกเค้า จะเจอปลายทางของตัวเองมั้ย”
“เจอสิ” กายพูดทันที
“เหรอ… ทำไม...คุณคิดงั้นอ่ะ” นัทหันไปถาม
“ก็… เพราะคุณไง” กายตอบ
“หือ...ผมเหรอ” นัทว่า “ยังไง”
“Loveless Society” กายพูด “ภาพของคุณ ยังทำให้ผมมาลงเอยกับคุณได้เลย มันก็ต้องทำให้ทุกๆคนลงเอยกันได้เหมือนกัน”
“ขนาดนั้นเลยอ่อ” นัทว่า
“คุณไม่เห็นเหรอ ทุกๆคนรอบตัวเรา จะต้องเกี่ยวกับภาพนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” กายว่า “เหมือนทุกคนเรียกหามัน และมันก็เรียกหาทุกคน”
“นี่คุณเริ่มเปลี่ยนจากช่างภาพ เป็นนักวิจารณ์ศิลปะแล้วถูกมะ” นัทร้องแซว
“เห้ย ผมพูดจริงๆนะ ผมเลยขอให้คุณปล่อยภาพนั้นไปไง” กายว่า
“ผมก็ยังเสียงดายอยู่นะ” นัทว่า “มันสร้างชื่อให้ผมนะน่ะ”
“ผมรู้” กายว่า “แต่มันคงถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องแบ่งปันมันให้กับคนอื่น ผมอยากเป็นคนเสียสละให้ทุกคนสมหวังบ้าง”
นัทหันไปมองกายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“พ่อมดแห่งวงการจะทิ้งลายเหรอคับ” นัทว่า
“เปล่า.. ผมแค่จะใช้เวทย์มนต์ของผม ทำให้ทุกคนสมหวังซะที” กายตอบพลางยิ้มกว้าง แต่นัทยังกังวล และปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป
“ผมคิดถึงพวกเขา” นัทว่า “ถ้าพวกเขาเกิด ไม่…”
“มันจะจบลงด้วยดีนัท” กายว่า “พรุ่งนี้ เวลานี้ เราสองคนจะได้รับข่าวดีแน่ ผมเชื่อในตัวพวกเขาทุกคนเลย ปล่อยให้พวกเขาอยู่กันที่โน่น สมหวังกันที่โน่นเถอะ มันเหมาะกับพวกเขาที่สุดแล้ว”
“ส่วนคุณ ก็เลือกกลับมาอยู่กับผมที่นี่อ่ะนะ กลับมาจบกันที่นี่งี้” นัทว่า
“ใครว่าจบ” กายพูดพลางผละออกจากนัท พลางหันหลังพิงระเบียง ขณะที่นัทหันมามองกาย
“อะไรอีก” นัทถาม
“เราแต่งงานกันที่นี่ไม่ได้” กายว่า “พวกเค้าทำได้ เพราะที่โน่นทำได้ แต่เราไม่ได้”
“เดี๋ยว...นี่คุณ...ขอผม..เหรอ” นัทถาม
“ก็...ตอนนี้ยัง แต่ผมคิดว่า ผมรู้แล้ว ว่าเราควรจะทำอะไรกันต่อไป ระหว่างที่อยู่ที่นี่” กายว่า “คงเป็นเราสองคนที่ต้องทำ ถ้าอยากให้พวกเค้ากลับมา”
กายมองไปยังหนังสือเชิญในมือของนัท นัทมองมือตัวเองก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองกาย และยิ้มกว้าง
“คงมีประเด็นให้คุณต้องทำแล้วล่ะ” กายว่า
“คุณขอให้ผม วาดภาพใหม่อีกภาพใช่มั้ย” นัทยิ้มถาม
“และครั้งนี้ ผมจะช่วยคุณวาดเอง” กายพูดพลางขยับมาใกล้นัทมากขึ้น “เรามาออกแบบมันไปด้วยกันนะนัท”
นัทยิ้มให้กาย ก่อนจะปล่อยให้รอยจูบของกันและกัน มีพลังมากกว่าที่เป็น
“ผมรักคุณนะนัท” กายกระซิบเบาๆ
“ผมก็รักคุณกาย”
และทั้งคู่ก็ได้รับรู้แล้วว่า พลังที่การเดินทางอันยาวไกลได้ให้คำตอบ มันสร้างสรรค์ให้ทุกอย่างเป็นไปได้
และความรัก…
มันออกแบบได้เสมอ
จบบริบูรณ์
……

เตรียมพบกับ “เพราะรัก...ต้องออกแบบ Loveless Society The Series” เร็วๆนี้
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 45 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 26-04-2020 21:23:44
 :L1:
รัก

 :กอด1:
ปลายทาง

กว่าจะมาถึง..ลุ้นซะ
อิอิ


ขอบคุณจ้า..คนแต่ง
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา [ภาคจบ Loveless Society] - ตอนที่ 45 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 27-05-2020 20:55:13
อ่านแบบอึดอัดตามเลย  สุดท้ายทุกคนก็เจอปลายทางของตัวเองชักที  :pig4: :pig4: :L1: