ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++  (อ่าน 9543 ครั้ง)

ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่6

พอได้ยินว่าการทดสอบผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่าการทดสอบคืออะไร แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่ค่อยชอบมันเท่าไร ทุกครั้งที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องการทดสอบในหัวของมนุษย์ มักจะเป็นความคิดแง่ลบเป็นต้นว่า ไม่อยากทำหรือเครียดเป็นต้น

ดังนั้นผมเลยกลัวมาก แต่พอถึงเวลาจริงเซียกลับเหมือนแค่นั่งถามคำถามผมไปเรื่อยๆ หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือเป็นการพูดคุยสนทนากันธรรมดาๆ มากกว่า

“นายอ่านใจมนุษย์ได้นี่เอง” เซียว่าขณะที่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ แววตาแสดงความสนใจอย่างเห็นได้ชัด “มีสัตว์น้อยตัวที่ทำแบบนั้นได้ ตัวไหนที่มีความสามารถพิเศษนั้นก็จะกลายเป็นที่รู้จักในพวกมนุษย์ อย่างเช่น หมาที่คาบใบไม้มาแลกกับอาหารน่ะ”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วย?”

“มีสิ” ทันทีที่เซียเอ่ยจบก็ค้นหนังสือพิมพ์แล้วส่งให้เขาดู “นี่ไง”

ผมรับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาดูถึงได้เห็นว่าบนหน้าหนังสือเป็นภาษาของมนุษย์ แล้วก็เป็นเรื่องของมนุษย์ด้วย แต่มันเก่ามากแล้ว น่าแปลกที่ผมสามารถอ่านภาษาของมนุษย์ออกทั้งที่ไม่เคยเรียนวิธีการอ่านตัวอักษรด้วยซ้ำ ผมเลื่อนสายตาไปมองวันที่ จากนั้นจึงได้เห็นว่ามันเป็นปีบนโลกที่ผมอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้

“ทำไมฉันถึงอ่านออก”

“ที่โลกนี้ไม่มีข้อจำกัดด้านภาษาแต่แรกแล้ว” เซียพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ไม่มีใครรู้ว่าทำไม แต่เราอ่านได้ทุกภาษาของมนุษย์ ไม่ว่าสื่อสารกันด้วยภาษาไหน เราก็เข้าใจเหมือนกันหมด”

แปลกดี ผมหยุดคิดตามคำพูดของเซีย จากนั้นก็คิดว่าคงเพราะมนุษย์ใช้ภาษาในการสื่อสาร แต่สัตว์ใช้สัญญะในการสื่อสารหรือเปล่านะ

พอหยุดคิดแล้วมองใบหน้าของเซียอีกรอบ ผมถึงเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มอีกฝ่าย บางครั้งการยิ้ม สีหน้าหรือท่าทางของเซียทำให้ผมนึกถึงจิ้งจอกหรืออะไรแบบนี้มากกว่าฉลาม ถ้าไม่รู้คำตอบจากปากเจ้าตัว ผมคงเดาว่าเขาเป็นจิ้งจอกไปแล้ว

“แล้วทำไมที่นี่ถึงมีกฎห้ามถามสัตว์ที่เคยเป็นมาก่อนล่ะ”

“มันคือการเหมารวมน่ะ” เซียเอ่ยขึ้น จากนั้นก็เว้นจังหวะครู่ใหญ่แล้วค่อยพูดต่อ “ถ้าฉันไม่บอกว่าเป็นฉลาม นายคิดว่าฉันจะเป็นอะไร”

“จิ้งจอก..?”

“แล้วทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

นั่นสิ ทำไมก็ไม่รู้ เพราะว่าคำพูดกับท่าทางของเซียดูเจ้าเล่ห์หรือเปล่านะ ผมกะพริบตาปริบๆ “เพราะว่านายดูเจ้าเล่ห์..”

“พอรู้ว่าใครเป็นอะไรมาก่อน เราจะเกิดอคติต่ออีกฝ่ายทันที” ทันทีที่เอ่ยจบ เซียก็หยุดเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วค้นหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ ส่งให้ “อย่างเช่นถ้าฉันรู้ว่านายเป็นสลอท ฉันก็จะคิดว่านายขี้เกียจ พอคิดแบบนี้แล้วก็จะเกิดการแบ่งแยกกันแล้วก็เกิดสงครามเหมือนมนุษย์”

ผมคิดว่าคำพูดของเซียค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ผมเคยได้ยินจากความคิดของมนุษย์ในหัวว่ามีสงครามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต แต่ไม่เคยได้รู้จริงๆ ว่าตกลงแล้วมันเกิดสงครามขึ้นเพราะอะไร

พอเหลือบตามองหนังสือที่เซียส่งมาให้ ผมถึงเห็นว่ามันเป็นหนังสือที่เล่าเกี่ยวกับสงครามของมนุษย์ ผมเปิดอ่านผ่านๆ รู้สึกว่าเยอะมากจนอ่านแค่วันเดียวไม่น่าจบ

แต่ยิ่งเปิดอ่านผ่านๆ มากเท่าไรผมก็ยิ่งคิดตาม ดูเหมือนว่าคำพูดของเซียน่าจะเป็นเรื่องจริง มนุษย์เริ่มทำสงครามกันตั้งแต่ตอนที่มีการตั้งชื่อดินแดนหรือชนชาติของตนเอง พอเปิดอ่านไปสักพักผมถึงปิดหนังสือ แล้วเอ่ยถามในประเด็นอื่นต่อ

“สัตว์ทุกตัวจะได้มาที่นี่หมดหรือเปล่า”

“ส่วนมากก็มาหมดนะ” เซียเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่บางตัวก็ไม่อยากมาที่นี่เพราะเหนื่อยที่จะปรับตัว ไม่ก็เหนื่อยที่จะมีชีวิตรอด”

“คือฉันอยากหาสัตว์ที่ตนเองรู้จัก มันจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือเปล่า”

ตอนที่พูดประโยคนี้ ในหัวผมก็นึกถึงปลาหมึกไปด้วย ผมอยากรู้ความเป็นไปของเขาจะแย่แล้ว ถ้าเจอกันในโลกนี้อีกครั้งก็คงดี ผมอยากสื่อสารได้ อยากรู้มานานแล้วว่าเขาคิดเกี่ยวกับผมอย่างไร

“โดยปกติสัตว์ที่รู้จักกันในโลกนั้นจะมาเจอกันในโลกนี้อยู่แล้ว แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำไม” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไปสักพัก “แต่พอนายมาอยู่ที่โลกนี้ ทุกคนจะเป็นสัตว์ที่ตัวเองต้องการ เลยมีโอกาสหากันเจอจริงๆ น้อยมาก”

แสดงว่าอย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้เจอกับเขาที่นี่ใช่ไหมนะ ผมถอนหายใจเฮือกรู้สึกว่าภาระในอกเบาลงไปหนึ่งอย่าง

"ว่าแต่นายมีชื่อหรือยัง"

"ชื่อ? "

"มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไว้ใช้สร้างความเป็นตัวตนของตนเอง" ทันทีที่เซียเอ่ยจบก็เลื่อนกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา "หรือถ้านายยังเลือกไม่ได้ ฉันมีชื่อให้นะ"

ผมก้มมองกระดาษแผ่นหนึ่ง สายตากวาดมองข้อความในนั้น ถึงได้เห็นว่ามันเป็นชื่อที่มนุษย์ใช้กัน

ที่จริงผมยังไม่ได้คิดเรื่องชื่อ ไม่มีชื่ออะไรเป็นพิเศษที่ชอบเลยด้วย ผมกะพริบตา หยุดคิดสักพัก "ชื่อโนอาดีไหม"

"นายเป็นคนใช้ชื่อ นายจะมาถามความเห็นฉันทำไม"

"ก็ปกติเห็นมนุษย์ดูใช้เวลากับการตั้งชื่อนานมาก"

"แต่เราไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย มีชื่อเรียกก็พอแล้ว" เซียพูดค้างไว้สักพัก "นายนี่มีความเป็นมนุษย์สูงดีนะ"

ฟังจากน้ำเสียงของเซียแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ "เป็นคำชมหรือคำด่า"

"ทั้งคู่มั้ง มนุษย์เข้าใจยากจะตาย บางครั้งมนุษย์ยังไม่เข้าใจกันเองเลย"

ในเมื่อเป็นได้ทั้งคู่ งั้นผมคิดไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นคำชม "แสดงว่าฉันผ่านการทดสอบใช่ไหม"

"อย่าเรียกการทดสอบเลย" พอพูดมาถึงตรงนี้เซียก็หลุดหัวเราะ "ปกติก็ผ่านกันหมดอยู่แล้ว ความเป็นมนุษย์มีเกณฑ์วัดที่ไหน ขนาดมนุษย์แต่ละคนยังให้ความหมายไม่เหมือนกัน"

สรุปว่าผมกดดันไปเองตั้งแต่ต้น ผมกะพริบตา เริ่มอยากรู้คำตอบของคำถามข้อนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง "แล้วความเป็นมนุษย์ในมุมมองนายคืออะไร"

"คืออิสระในการหาความสุขมั้ง" เซียตอบผมแบบที่ไม่เหมือนคำตอบเท่าไร ฟังแล้วผมไม่เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม "เพราะปกติมนุษย์ชอบแสวงหาความสุข ส่วนพวกเราทำเพื่อเอาชีวิตรอด ตรงนี้อาจจะเป็นจุดที่แตกต่างระหว่างเรากับมนุษย์"

ผมงง รู้สึกเข้าใจและก็ไม่เข้าใจไปพร้อมๆ กัน เลยตัดสินใจเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน "ว่าแต่ฉันจะไปอาศัยอยู่ที่ไหน แล้วพวกเรื่องเงิน.."

"แล้วนายอยากได้บ้านแบบไหนล่ะ? "

………………….

………...

เซียพาผมออกมานอกห้องทำงาน ตอนที่ออกมาข้างนอกผมถึงได้เห็นว่าโลกข้างนอกจริงๆ เป็นยังไง

ที่โลกนี้แตกต่างจากโลกมนุษย์มาก อาคารแต่ละหลังไม่สูงเท่าไรนัก ที่นี่มักจะเป็นอาคารชั้นเดียวมากกว่าตึกสูงอย่างที่มนุษย์ชอบทำ

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นถึงเพิ่งเห็นว่าสัตว์ส่วนมากที่เดินข้างทางมักจะเป็นพวกกึ่งคนกึ่งสัตว์มากกว่า พวกเขาแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เลยเพราะส่วนใหญ่ก็สวมเสื้อผ้ากันหมด

ระหว่างทางที่เดินพวกเขามองมาทางพวกเราด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้หลายคน ผมรู้สึกแปลกๆ กับการโดนจับจ้องขนาดนี้ ปกติแล้วถ้าถูกคุกคามขนาดนี้ผมจะหดตัวเองเข้าไปในเปลือกหอย แต่ตอนนี้ตัวเองไม่มีเปลือกหอยแล้ว ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร

"ปกติมนุษย์ไม่มีอะไรปกปิดร่างกายเลยเหรอ"

เซียที่กำลังพาผมเดินชมเมืองก็กวาดตามองตั้งแต่หัวจดเท้า "นายก็ใส่เสื้อผ้าอยู่ไม่ใช่หรือไง"

"ก็ใช่ แต่มันไม่ปลอดภัย"

เซียกลอกตาไปรอบๆ “งั้นลองซื้อพวกเสื้อฮู้ดหรือหมวกอะไรแบบนี้ดีไหม”

ผมยังไม่ทันตอบว่าไอเดียของเขาดีหรือไม่ดี เขาก็พาผมเข้าไปในร้านแล้ว ไม่รู้ว่าจะถามทำไมถ้าตั้งใจไม่ขอความเห็นตั้งแต่แรก ผมกวาดตามองรอบๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เลยเลือกซื้อหมวกแก็ปมา

แน่นอนว่าผมไม่มีเงินหรอก ตอนที่เซียเห็นราคาถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วอย่าลืมเอาเงินมาคืนฉันด้วยล่ะ”

ตอนที่ซื้อของเสร็จแล้วเดินออกมาจากร้าน ผมหยิบหมวกขึ้นมาใส่แล้วถึงพูดขึ้นลอยๆ “ปกติแล้วยูโทเปียมีเงินด้วยหรือ”

“ถ้าที่โลกมนุษย์ก็ไม่มี แต่โลกนี้มีเพื่อจูงใจให้สัตว์ทำงาน” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดเดิน “ถึงแล้ว ไปเลือกงานกับลงทะเบียนกัน”

สถานที่ที่เซียพามาหน้าตาเหมือนกับอาคารอื่นๆ ในละแวกนี้ อย่างเดียวที่แตกต่างจากอาคารอื่นมีแค่ป้ายชื่อที่ระบุว่าสำนักงานศูนย์กลางเท่านั้น ผมเดินตามเข้าไปแบบงงๆ ก่อนจะเห็นว่ามีปลาหมึกนั่งจุมปุ้กอยู่บนเก้าอี้

ผมยืนนิ่งด้วยความงุนงงไปสักพักหนึ่ง จากนั้นถึงเพิ่งรู้สึกว่าหมึกตัวนี้หน้าตาเหมือนกับปลาหมึกตัวที่ผมเคยเจอเลย

ถึงจะรู้ว่าไม่ควรคิดเองเออเองไปก่อน แต่ผมก็หันไปมองเซียที่ยืนอยู่ด้านข้างทันที “ปลาหมึกที่นั่งตรงนั้นทำงานมานานหรือยัง”

เซียมองผมสลับกับหมึกตัวที่นั่งอยู่ “คิดว่าน่าจะเพิ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ก่อนมั้ง”

“ฉันทำงานที่นี่ได้ไหม”

ผมคิดแค่ว่าถ้าทำงานในศูนย์นี้ อย่างน้อยก็น่าจะพอหาโอกาสใกล้ชิดกับปลาหมึกมากขึ้น ถึงผมจะไม่รู้ว่าโลกที่แล้วปลาหมึกตัวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นปลาหมึกเดียวกันหรือเปล่า แต่ถึงไม่ใช่ การทำงานที่นี่ก็น่าจะเพิ่มโอกาสในการเจอเขามากขึ้น เพราะที่นี่จะต้องพบเจอกับสัตว์ทุกชนิด

“อะไรนะ” เซียพูดกับผมเหมือนไม่เชื่อหู “นายอยากทำงานที่นี่หรือ คิดดีแล้วใช่ไหม”

“ทำไม”

“ปกติไม่ค่อยมีสัตว์ตัวไหนอยากทำงานที่นี่” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เบาเสียงลง “อะไรทำให้นายอยากทำงานที่นี่กัน”

“ก็แค่รู้สึกว่าน่าจะได้เจอกับสัตว์เยอะดี”

เซียมองหน้าผมเหมือนจะบอกว่าบ้าหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ อีกฝ่ายเบือนสายตามองไปทางอื่น “เอาที่นายเลือกแล้วสบายใจล่ะกัน”

“ทำงานที่นี่ไม่ดีหรือ”

“ถ้านายทำงานตรงนี้ นายจะเจอสัตว์มากมาย แล้วก็ต้องนั่งนิ่งๆ ในนี้ทั้งวัน แต่สัตว์หลายตัวไม่ชอบอยู่ร่วมกับสัตว์ตัวอื่น และไม่ชอบนั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ขยับตัว” พอพูดมาถึงตรงนี้เซียก็หยุด “แต่งานที่นี่ให้เงินเดือนเยอะสุดในบรรดางานทั้งหมด”

“สัตว์ตัวอื่นไม่ได้เลือกงานที่เงินหรือ”

“ปกติเลือกเพราะความสบายใจหรือความคุ้นชินมากกว่า” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ อีกฝ่ายก็เดินนำมาที่เคาน์เตอร์ “เซธ หมอนี่จะทำงานที่นี่แน่ะ”

เซธหรือปลาหมึกหันมามองทางผม ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกมองก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาแล้วลองยิ้มแบบที่มนุษย์ชอบทำกันเวลาทักทายกับคนอื่น “สวัสดี ฉันโนอา”

“สวัสดี” เซธว่าก่อนจะยื่นหนวดปลาหมึกอันหนึ่งมาให้ผมเหมือนเป็นการทักทาย น้ำเสียงของเขาค่อนข้างทุ้ม “คนนี้มาใหม่หรือ”

“ใช่ เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เอง” เซียพูดขึ้นมาก่อนโดยไม่รอให้ผมได้ตอบ

“เลือกเป็นมนุษย์ตั้งแต่แรกเลย” ปลาหมึกพูดขณะเลื่อนสายตามามองที่ผม “แปลกดี”

ผมจับหนวดปลาหมึกอันนั้นเพื่อเป็นการทักทาย ความรู้สึกหนึบหนับทำให้ผมเริ่มคิดถึงเขาคิดมาแบบจริงจัง จากนั้นผมก็ปล่อยมือออก ที่แท้ความรู้สึกของการได้สัมผัสสัตว์ตัวอื่นได้ก็ดีแบบนี้นี่เอง

“แล้วที่นี่มีตำแหน่งอะไรเหลือบ้าง” ผมพูดขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเงียบจนเกินไป เซธใช้หนวดปลาหมึกเคลื่อนที่ไปยังคอมพิวเตอร์ที่วางไว้อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็เลื่อนจอดูตำแหน่งงานที่เหลือ

“เหลือแค่งานต้อนรับ”

“เอางานนั้นก็ได้” ผมว่า ขณะที่เซธเลื่อนกระดาษใบหนึ่งมาให้ผมกรอกข้อมูลส่วนตัว ยังไม่ทันที่จะได้กรอก เซียก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“โนอา นายอยากได้บ้านแบบไหน”

“มีบ้านแบบไหนบ้าง?”

“หลักๆ จะมีบ้านบนบกกับใกล้น้ำ” เซียเอ่ย ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วหยิบกระดาษเคลือบแผ่นหนึ่งขึ้นมา “ปกติสัตว์น้ำสามารถหายใจบนบกของโลกนี้ได้ก็จริง แต่สัตว์น้ำบางตัวก็ยังชอบที่จะอยู่ใกล้น้ำ หรือถ้านายเลือกบ้านบนบก ก็จะมีสภาพแวดล้อมหลายอย่างให้เลือกเช่นอยู่ที่สูงหรืออยู่ในที่มืด”

“สัตว์ตัวอื่นเลือกตัวไหนกัน”

“ปกติก็เลือกบนบกแล้วก็ที่ราบกันเป็นส่วนใหญ่”

“งั้นเอาอันนั้นนะ”

เซียเงียบไป ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังอึ้งอยู่หรือว่าอะไร “ตอนแรกฉันนึกว่านายเป็นสัตว์น้ำเสียอีก ตกลงว่าไม่ใช่หรือ”

“นายรู้ได้ยังไง”

“พออยู่ไปนานๆ ก็จะเริ่มแยกออกน่ะ” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ฉันคิดว่าพอเดาได้ด้วยว่านายคืออะไร”

“ที่นี่มีกฎห้ามถามไม่ใช่หรือ” ผมทวนความจำเขา

“ก็ไม่ได้ถามนี่ แค่เดาเฉยๆ” เซียว่าก่อนจะวางกระดาษในมือลง “ฝากเขาด้วยล่ะเซธ สอนเรื่องโลกนี้ให้เขาทีนะ”

หลังจากเอ่ยจบเซียก็เดินไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ผมรีบละสายตาจากกระดาษที่กำลังกรอกทันที “เดี๋ยว จะไปแล้วหรือ”

“ใช่ ก็หมดหน้าที่ฉันแล้ว” เซียว่า ก่อนจะผลักประตูออกไป “แต่ถ้าอยากมาหาหรือมีอะไรสงสัยก็แวะมาหาได้”

หลังจากที่เอ่ยจบเซียก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามองอีก ผมกะพริบตาก่อนจะยื่นใบข้อมูลที่เพิ่งกรอกเสร็จให้อีกฝ่าย

เซธใช้หนวดรับข้อมูลของผมไป ก่อนคีย์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องคิดมากหรอก เซียก็เป็นแบบนั้นแหละ”

เป็นแบบนี้หมายถึงแบบไหน ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูด เท้าก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เริ่มลังเลว่าควรจะหาที่นั่งดีๆ “ฉันต้องทำงานวันนี้เลยหรือเปล่า”

“ยังไม่ต้องทำงานวันนี้หรอก รออีกสักสามวันแล้วค่อยเริ่มงานก็ได้” เซธพูดขณะที่ยังคงใช้หนวดปลาหมึกจิ้มแป้นพิมพ์ขนาดใหญ่ไปด้วย “มานั่งตรงนี้ก็ได้ จะได้เลือกแบบบ้านถนัด”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาใช้หนวดปลาหมึกชี้ สายตาก็มองไปรอบๆ อาจจะเพราะว่าเซธเริ่มเห็นท่าทางประหม่าของผมเลยเอ่ยขึ้นมาเพื่อสร้างความคุ้นเคย “ฉันเซธนะ นายชื่ออะไร”

“โนอา” ผมพูด ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ อาจจะเพราะได้นั่งใกล้กับปลาหมึกที่หน้าตาคล้ายตัวเดียวกับที่เคยเจอมั้ง ผมเลยรู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “ทำไมนายถึงมาเลือกทำงานนี้ล่ะ”

“เพราะได้เจอสัตว์เยอะน่ะ” พอพูดมาถึงตรงนี้เซธก็เงียบไป ท่าทางดูเหมือนจะหงอยลงอย่างบอกไม่ถูก “ตอนอยู่ที่โลกนั้นฉันอายุสั้นมาก ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็ตายก่อน”

ไม่คิดว่าจะเจอสัตว์ที่มีความคิดคล้ายผมด้วย ผมขยับตัวชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่ด้วยความสนใจ แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากเพราะความกลัวบางอย่างที่มีต่อสัตว์นักล่ายังคงอยู่ “ทำอะไรน่ะ”

“กรอกข้อมูล” พอเซธพูดจบ อีกฝ่ายก็ใช้หนวดเลื่อนหนังสือรวมแบบบ้านให้ดู “เลือกบ้านสิ อันนี้คือบ้านที่ยังว่างอยู่”

ผมเปิดหนังสือรวมรูปแบบบ้านผ่านๆ บ้านที่อยู่ในนี้สวยแทบทุกหลังเลย แถมมีหลายสภาพภูมิแวดล้อมให้เลือกต่างหาก “บ้านพวกนี้คือฟรีหรือ”

“ว่ากันตามตรงก็ไม่ฟรี บ้านพวกนี้ก็ได้จากการหักเงินเดือนเราไปสร้างบ้านกับพัฒนาสภาพแวดล้อมเมืองต่อ”

ผมส่งเสียงอืมในลำคอ จากนั้นก็ชี้ที่บ้านหลังหนึ่งในสมุด “บ้านหลังนี้ยังว่างอยู่ใช่ไหม”

เซธหันหัวมามอง จากนั้นก็มองผมสลับกับภาพของบ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“แน่ใจนะว่าจะเอาบ้านหลังนี้”

-------------------------------------------------



(Talk)

ตอนแรกว่าจะเขียนให้ถึงตอนทำงาน แต่ปรากฎยาวไปเลยขอตัดตอนก่อน

ป.ล.ทำไมคนอ่านเหมือนจะเชียร์เซียให้เป็นพระเอก55555

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
หืมมมมม มนุษย์กับหมึก..... ล้ำไปอี๊กกกก....

ออฟไลน์ shinyface

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
 :mew6:แฟนตาซีมากกกกกก

รอลุ้นต่อไป แต่ว่าแต่ละตอนสั้นจัง T3T

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ตะไมเรารู้สึกว่าเซธ ไม่ใช่พี่หมึก แต่แค่เป็นปลาหมึกเหมือนกันเฉยๆ :hao5:

ออฟไลน์ ืืnanana21

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
บ้านหลังนั้นมีอะไรเหรอ

มาต่อเร็ว​ ๆ​ นะคะสนุก​มาก​เลย​

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ใช่พี่ปลาหมึกรึเปล่า???   :katai1:

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2

ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่7

ตอนที่ผมแวะมาดูทำเลบ้าน ผมถึงเพิ่งรู้ว่าปกติแล้วบ้านหลังนี้สัตว์ไม่ค่อยชอบกัน อย่างแรกคือมันเป็นบ้านที่มีรูปทรงคล้ายกับบ้านของมนุษย์ ไม่ค่อยกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม แล้วก็โดดเด่นสะดุดตามากเกินไป สัตว์ตัวอื่นเลยไม่เลือกเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่ในบ้านที่โดดเด่นขนาดนี้

ผมเลือกบ้านหลังนี้เพราะรู้สึกแค่ว่ามันสวย มันเป็นบ้านสองชั้นที่ค่อนข้างดี ผมคิดว่ามนุษย์น่าจะชอบก็เลยเลือกมา อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองเหมือนมนุษย์มากขึ้น

แต่ความจริงผมไม่เหมือนมนุษย์หรอก

คืนนั้นผมสำรวจเดินรอบบ้านเพื่อจดจำว่าส่วนไหนเอาไว้ทำอะไรบ้าง ตอนนั้นถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบ้านหลังนี้มีเตียงสองอัน และข้าวของหลายๆ อย่างก็ดูเหมือนบ้านที่ไม่ได้มีไว้ให้แค่คนเดียวอาศัย

ความจริงมันอาจจะเป็นบ้านสำหรับสองคน แต่ผมงงจังว่าสัตว์ที่ไหนจะยอมอยู่ร่วมกับสัตว์ตัวอื่นที่ตนเองไม่รู้จัก

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ แต่ผมว่าคนออกแบบคงเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองแน่ๆ

เช้าวันถัดมามาถึงอย่างรวดเร็วเพราะผมมัวแต่เดินสำรวจรอบบ้านจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ฉะนั้นตอนที่ได้ยินเสียงกดกริ่งผมถึงกับสะดุ้ง

ความจริงคือผมเพิ่งจะล้มตัวลงนอน แล้วเสียงกดกริ่งก็ดังพอดี

ผมลากเท้าเดินลงไปเปิดประตูด้านล่าง รู้สึกง่วงจนปวดหัวตุบๆ ทำไมร่างกายของมนุษย์ถึงได้เหนื่อยง่ายแบบนี้นะ

เมื่อมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ผมก็กะพริบตา จากนั้นก็ยืนงงไปอยู่พักใหญ่

ว่าแต่ประตูเปิดยังไง

ตอนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ เซธเป็นคนมาส่งและเปิดประตูให้ แล้วตอนเข้ามาในบ้านหลังนี้ครั้งแรก ผมก็พบว่าทุกประตูถูกเปิดออกตั้งแต่แรกแล้ว ผมเลยไม่ได้สนใจเรื่องประตูเลย

ผมยืนเหงื่อแตกพลั่กๆ จากนั้นก็ย่อตัวลง สำรวจมองลูกบิด จากนั้นก็พยายามเค้นสมองจากความทรงจำส่วนลึกที่สุด

ดูเหมือนว่าผมต้องเสียบอะไรบางอย่างเข้าไปในรูตรงกลางลูกบิดหรือเปล่านะ.. แต่ทำไมลูกบิดอันนี้ถึงไม่มีรูตรงกลางลูกบิด แต่กลับมาปุ่มอะไรบางอย่างแทน

ผมลองกดตรงปุ่มลูกบิดที่ยุบตัวลงจนมันเด้งแล้วส่งเสียงดังกึก

แต่ประตูก็ยังคงไม่เปิดอยู่ดี

คราวนี้ผมเลยพยายามดึงลูกบิดออกมา แต่ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก หลังจากดึงจนเหนื่อย ผมก็เริ่มสงสารคนที่รออยู่อีกฟากหนึ่งของประตูแทน หลังจากได้ยินเสียงกดกริ่งซ้ำอีกครั้งผมเลยเคาะประตูกลับไปแรงๆ เผื่อว่าคนที่แวะมาจะได้ยิน

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจผมได้ พอเคาะกลับไปแรงๆ สักสองสามครั้ง ประตูก็ถูกเปิดออกพอดี

เซียยืนอยู่ที่ด้านหน้าของประตู ยอมรับว่าแวบหนึ่งผมผิดหวังนิดหน่อยที่เปิดประตูออกมาแล้วไม่ใช่เซธ อีกฝ่ายกวาดตามองสภาพที่เหงื่อแตกพลั่กของผมแล้วถาม “ทำอะไรอยู่น่ะ”

“เปิดประตูไม่เป็น”

“ไม่ได้เรียนเรื่องนี้จากมนุษย์หรือไง”

ความจริงก็เรียน แต่ผมรู้สึกว่ายุ่งยากชะมัด ต้องหาอะไรมาใส่แล้วทำอะไรอีกก็ไม่รู้ อีกอย่างผมรู้สึกว่าเรื่องมันค่อนข้างใกล้ตัวผมไปหน่อย ผมเลยไม่ได้เก็บมาจำใส่ใจ

“ลืมไปแล้ว”

เซียไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายยื่นถุงที่ใส่ของบางอย่างให้ “ปิดประตูบ้าน เสียบกุญแจแล้วก็หมุน เดี๋ยวเราจะออกไปเที่ยวกัน”

ผมรับของในถุงมา จากนั้นถึงเห็นว่าของด้านในเป็นขนมปังกรอบแบบที่มนุษย์ชอบกิน รู้สึกว่ามันน่าจะชื่อบิสกิต ผมหยิบขึ้นมากินคำหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไร ผมเลยยัดมันกลับใส่เข้าไปในถุง แล้วลองพยายามหยิบกุญแจขึ้นมาเสียบเพื่อปิดประตูตามที่เซียบอก

ตอนที่ผมล็อคประตูเสร็จ เซียก็ลองหมุนลูกบิดเหมือนเขาไม่ไว้ใจ พอเห็นว่าประตูถูกล็อคจริงๆ แล้ว เซียถึงยอมเดินออกมา

………………………..

………………..

ทีแรกเซียบอกว่าจะพาผมมาเที่ยว แต่จริงๆ เหมือนเป็นวิธีการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่มากกว่า

เพราะผมรู้อะไรหลายอย่างมาจากมนุษย์แล้ว เซียเลยไม่ได้สอนอะไรมาก เพราะระบบของที่นี่เหมือนกับของมนุษย์ทั้งหมดเลย เช่นเรื่องเงิน การใช้จ่ายหรือภาษีต่างๆ เป็นต้น

มีบ้างบางกฎที่โลกมนุษย์ไม่มี แต่โดยรวมก็ไม่ค่อยมีอะไรต่างกันมากเท่าไร

“บิสกิตไม่อร่อยหรือ”

เซียพูดขึ้นขัดห้วงความคิด ผมชะงักเล็กน้อย ในมือยังคงถือถุงบิสกิตที่อีกฝ่ายเอามาให้ แต่ผมเพิ่งแตะไปแค่ชิ้นเดียวหลังจากเดินจนจะครบรอบเมืองอยู่แล้ว

ความจริงแล้วผมต้องตอบว่าไม่อร่อยหรือเปล่านะ แต่ว่าถ้าพูดความจริงไปน่าจะทำให้เซียเสียใจ ผมละล้าละลัง รู้สึกว่าไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากพูดความจริง

ปกติแล้วการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่ถ้าพูดความจริงออกไปก็น่าจะไม่ดีเหมือนกัน

“ไม่อร่อยจริงๆ ด้วย” เซียว่าหลังจากสังเกตมองใบหน้าของผม จากนั้นก็หยุดไปสักพักหนึ่ง “ทำหน้าอมทุกข์ทำไม ไม่อร่อยก็พูดสิ”

“ปกติมนุษย์อมทุกข์ได้ด้วยเหรอ” ผมถามเพราะรู้สึกสงสัยในประเด็นนี้มากกว่า “คายยังไง”

แวบหนึ่งเซียทำหน้าเหมือนสำลักอากาศ แต่แล้วอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดสั่นนิดหน่อย “คำเปรียบเปรยน่ะ คายไม่ได้หรอก”

ผมรู้สึกได้ว่าเซียกำลังหัวเราะ แต่พยายามกลั้นหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

“ไม่ได้โกรธใช่ไหม”

เซียพยายามหยุดหัวเราะ ก่อนจะตอบกลับมา “โกรธทำไม”

“เปล่า ก็แค่คิดว่าพูดความจริงไปน่าจะไม่ชอบ”

“มีแต่มนุษย์มั้งที่คิดมากกับเรื่องแค่นี้” พอพูดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็หยุดเล็กน้อย สายตามองไปทางร้านที่อยู่ข้างทาง “อย่างพวกมารยาทน่ะ”

ผมอดมองตามสายตาของอีกฝ่ายไม่ได้ จากนั้นถึงได้เห็นว่าร้านที่เซียมองคือร้านขายของทั่วไป แน่นอนว่ามันไม่แตกต่างอะไรจากร้านอื่นๆ เสียเท่าไรนัก

แต่ผมเอะใจกับของที่อยู่ด้านในมากกว่า

ผมรั้งแขนเสื้อเซียเอาไว้ให้อีกฝ่ายหยุดเดิน สายตาก็ยังคงจ้องมองของที่อยู่ด้านในร้าน

“นั่นอะไร”

เซียหยุดตามแรงดึงของผม ก่อนจะมองตาม “อะไร”

“อันนั้นน่ะ”

เซียมองตามที่ผมชี้ จากนั้นก็กะพริบตาถี่ๆ “ไม่รู้จักเหรอ นี่นายอ่านใจมนุษย์ได้จริงหรือเปล่าเนี่ย”

“ก็ไม่ได้แปลว่ารู้จักทุกอย่างสักหน่อย” ผมแย้ง “มีแค่คำอธิบายอย่างเดียวในหัว แต่ไม่มีภาพให้เห็นมันนึกตามยากนะ”

“มันคือเต็นท์น่ะ”

เต็นท์? ผมนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้น “ที่มนุษย์พกไว้เดินป่าหรือ”

“ประมาณนั้น”

“เหมือนเปลือกเลย” ผมพูดขึ้นลอยๆ “อยากได้”

ตอนแรกผมตั้งใจจะพูดเต็มๆ ว่าเหมือนเปลือกหอย แต่คิดอีกทีไม่บอกเซียว่าเป็นสัตว์อะไรน่าจะดีกว่า

คู่สนทนาเลิกคิ้ว สีหน้าดูงุนงงกับสิ่งที่ผมพูด “จะเอาไปทำอะไรล่ะ”

“เอาไปวางในบ้าน”

“ทำไม”

“ก็อยู่ในบ้านมันรู้สึกไม่ปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัยยังไง”

ผมเลิกลั่ก อยากจะบอกว่าบ้านมันมีขนาดใหญ่มากเกินไป ความรู้สึกเหมือนเลือกเปลือกหอยที่ขนาดใหญ่กว่าตัวเองมาสิบเท่า แต่ไม่แน่ใจว่าพูดออกไปจะดีหรือเปล่า

“ก็มันขนาดใหญ่เกินไป”

“เปลี่ยนบ้านไหม”

จริงๆ ต่อให้เปลี่ยนบ้านผมก็ไม่น่าจะรู้สึกดีขึ้น ผมรู้สึกพะว้าพะวง ไม่รู้ว่าตนเองกำลังกลัวอะไร บางทีอาจจะเพราะผมกำลังติดนิสัยตอนที่ยังเป็นสัตว์ เวลาอยู่ในร่างมนุษย์ที่ผิวเนื้อนุ่มนิ่ม ไม่มีเกราะกำบังอะไรนอกจากเสื้อผ้า ผมก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยเลย

“ไม่ดีกว่า”

“ฉันซื้อให้ก็ได้นะ ถ้าอยากได้จริงๆ” เซียพูดขึ้นในที่สุดหลังจากที่เห็นท่าทีของผม “ยังไงฉันก็เป็นผู้ดูแลนาย ถ้าสบายใจที่จะทำอะไรก็ทำเถอะ”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป เซียก็เดินตรงเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็ออกมาพร้อมกับชุดเต็นท์ที่ผมมองในตอนแรก

จากนั้นเซียก็ยัดเต็นท์ใส่มือผม ผมจับสายของเต็นท์ขึ้นมาเพื่อหิ้ว จากนั้นถึงคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยก็ควรขอบคุณสักหน่อย

“ขอบคุณมาก” ผมว่า “เอาไว้ถ้าเงินออกแล้วเดี๋ยวมาคืน”

“ไม่เป็นไร ฉันรวยอยู่แล้ว ไม่ต้องคืนหรอก”

ผมเงียบกริบ รู้สึกว่าตัวเองควรจะตื้อมากกว่านี้หน่อยเหมือนที่พวกมนุษย์ชอบทำ แต่ในเมื่อพวกเราเป็นสัตว์ทั้งคู่ ผมถึงรู้ว่าความหมายตามที่ประโยคนั้นพูดจริงๆ ไม่ได้มีความนัยแฝงเหมือนที่มนุษย์ชอบแกล้งทำเป็นปฏิเสธทีแรกแล้วค่อยรับ

เผลอๆ ถ้าพูดซ้ำรอบที่สองจะรำคาญเสียเปล่าๆ ผมเลยเดินตามเซียไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

………………………………….

………………….

เพราะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เซียเลยพาผมแวะที่ร้านอาหารเมื่อเข้าสู่เวลาสาย ในร้านที่อีกฝ่ายพาเข้าไปนั้นมีอยู่ไม่กี่โต๊ะ ผมกวาดตามองรอบเดียว รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ในร้านอาหารเพราะไม่เคยเข้ามาก่อน

พนักงานที่ออกมาต้อนรับพวกเราเป็นกระต่ายดำ แวบแรกกระต่ายตัวนั้นเหมือนจะพูดต้อนรับ แต่ก็เปลี่ยนไปพูดอย่างอื่นแทน “อ้าว เซียเองหรือ”

“ขอโทษล่ะกันที่ทำให้ผิดหวัง”

“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” กระต่ายหัวเราะ ก่อนจะผายมือไปที่โต๊ะด้านในสุด “ตรงนั้นนั่งได้”

เซียเดินตรงเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดของร้านทันที เมื่อผมเดินตามมานั่ง กระต่ายก็แจกเมนูให้พวกเรา ผมเปิดเมนูออกมา รู้สึกว่าตาลายจนเลือกไม่ถูก

ดูเหมือนเซียก็รู้ดี อีกฝ่ายเลยพูดขึ้นมา

“ปกตินายกินเนื้อหรือเปล่า”

“ที่นี่มีเนื้อสัตว์ขายด้วยหรือ”

“เป็นเนื้อที่ปลูกจากพืชน่ะ ไม่ใช่เนื้อสัตว์จริงๆ หรอก”

ผมทวนคำซ้ำ ขณะที่พยายามนึกภาพตาม “เนื้อที่ปลูกจากพืช?”

“ก็ต้นไม้ที่งอกผลออกมาเป็นเนื้อ”

“..บนโลกมนุษย์มีของแบบนั้นด้วยหรือ”

“มีในช่วงยุคหลัง” พอพูดมาถึงตรงนี้เซียก็เร่งผมอีกรอบ “ตกลงว่ากินเนื้อไหม”

“กิน”

“งั้นเอากุ้งกับปลาอย่างละจานนะแมรี่”

พอกระต่ายดำเก็บเมนูแล้วเดินออกไป ผมก็ถามเรื่องที่ค้างคาอยู่เมื่อครู่ทันที “หมายความว่ายังไงที่ว่ามีในยุคหลัง”

“ที่นายอยู่เป็นโลกในอนาคตอีกหลายพันปีถัดไปแล้ว”

ผมกะพริบตา “หมายความว่าไง”

“โลกมันมีหลายไทม์ไลน์น่ะ แต่ละไทม์ไลน์ก็จะมีโลกของตนเองที่มีวิวัฒนาการของสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตไม่เหมือนโลกอื่น ที่นายอยู่ก็เป็นโลกหนึ่ง แต่เป็นโลกที่ไกลจากโลกที่นายอยู่มาอีกหลายพันปี ถ้านึกไม่ออกลองคิดถึงตอนที่นายเข้ามาที่นี่ครั้งแรกก็ได้”

ตอนที่ผมเข้ามาที่นี่ครั้งแรกหรือ.. ผมย้อนคิด จากนั้นถึงจำได้ว่ามันมีรูปภาพที่แขวนอยู่บนผนังเต็มไปหมด แสดงว่ารูปพวกนั้นเป็นภาพของไทม์ไลน์แต่ละโลกนั่นเอง

“เพราะแบบนี้โลกนี้ถึงไม่มีมนุษย์หรือ”

ตอนแรกผมนึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์ สรุปว่าเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น

“ที่นี่เป็นโลกหลังความตายสำหรับสัตว์เท่านั้น” เมื่อเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็เงียบไปพักหนึ่ง “ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอก รู้แค่ว่าที่นี่เป็นโลกหลังความตายและไกลจากโลกที่อยู่มาหลายพันปีก็พอ”

“แล้วฉันจะตายในโลกนี้ได้ไหม”

“ตายได้ถ้าต้องการที่จะตาย”

ผมรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่แปลกดี “ยังไง”

“ที่โลกนี้เราจะกำหนดเวลาตายของตนเองได้” เซียว่า “แต่จะไม่สามารถมีลูกหรือสืบพันธุ์ได้”

ผมตั้งใจจะถามอะไรบางอย่างต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ แมรี่ก็โผล่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ผมสะดุ้งเฮือก ขณะที่กระต่ายนั้นยิ้มให้ผม ก่อนหันไปมองเซีย

“ฉันต้องเก็บตังที่นายใช่ไหม”

“ตามนั้น”

แมรี่เดินออกไปแล้ว ผมเลยจ้องมองอาหารในจาน จานของผมน่าจะเป็นกุ้งเผา ผมเกือบจะหยิบขึ้นมากินตามนิสัยเก่า จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าปกติแล้วต้องใช้ส้อมกับมีดในการกิน

“อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

ผมเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของเซียพูดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“อะไร”

“เรื่องที่ว่าโลกมีหลายไทม์ไลน์” เซียว่า จากนั้นก็หยุดไปราวกับเพิ่งคิดอะไรได้ “เออ แต่ถึงนายพูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก สัตว์ตัวอื่นไม่เข้าใจที่นายพูดอยู่ดี”

“ทำไม”

“เพราะปกติแล้วสัตว์ไม่มีจินตนาการ พวกนั้นไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่นายพูดหรอก”

ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ ที่ผมเข้าใจคำพูดของเซียเพราะได้ยินความคิดของมนุษย์มามาก ดังนั้นจึงสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องแบบนี้ได้ทันที

“แสดงว่านายก็อ่านใจมนุษย์ได้”

“ใช่”

เซียยอมรับออกมาง่ายๆ แต่ก็ไม่ต่างจากที่คาดเดาไว้เท่าไร ผมเลยไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมาก

“แล้วปกติพวกสัตว์ที่อยู่ในโลกนี้ไม่สงสัยพวกสิ่งมีชีวิตหรือพืชที่ตนเองไม่เคยเห็นเลยหรือ”

ผมคิดว่ามันออกจะประหลาดไปสักหน่อย ถึงสัตว์ที่อยู่ที่นี่จะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่จะเป็นไปได้หรือที่สัตว์พวกนั้นไม่ตั้งคำถามหรือสงสัยอะไรเลย

“ไม่เคย” เซียหัวเราะเล็กน้อย “นี่แหละข้อแตกต่างของพวกเรากับมนุษย์”

ผมเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยเปลี่ยนอิริยาบทกลับมากินอาหารต่อ

ไม่รู้ว่าทำไม แต่คำพูดของเซียถึงติดอยู่ในหัวผมไม่ยอมไปไหนสักที

----------------------------------------------------


มีบทต่อไปด้วยนะคะ



ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่8

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ เซียก็มาส่งผมที่บ้านพร้อมกับกำชับวิธีการเปิดประตูให้

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้านแล้ว ผมก็เดินตรงเข้าไปด้านใน กระเป๋าเต็นท์ที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นทันที ผมย่อตัวลง จากนั้นก็เริ่มลองแกะเต็นท์ที่พับอยู่ออกมา

เมื่อสายที่รัดเต็นท์อยู่ถูกดึงออกจนหมด เต็นท์ก็กางออกมาทันที ผมจ้องมองตรงรอยต่อของผ้า ก่อนจะใช้มือข้างที่ถนัดเลิกขึ้น

อย่างที่คิดไว้ อยู่ข้างในแล้วอุ่นกว่าจริงๆ ด้วย

ผมรีบมุดเข้าไปด้านใน ขดตัวอยู่ในนั้น รู้สึกว่าสบายกว่านอนบนเตียงในบ้านหลังใหญ่เสียอีก

เพราะด้านในอุ่นสบายมาก ผมเลยกลิ้งตัวอยู่ในเต็นท์สักพักจนผล็อยหลับไป

……………..

…….

ช่วงนี้ผมยังมีเวลาใช้ชีวิตอยู่บ้างก่อนจะเริ่มทำงานแบบมนุษย์

ในเมืองนี้มีอะไรหลายอย่างสนุกกว่าที่คิดไว้ตอนแรก ตอนเช้าตรู่ผมก็รีบออกไปด้านนอกเพื่อซื้ออาหารมากิน

อาหารที่ผมซื้อมากินจากร้านขายอาหารด้านข้างคือปะการัง ผมล้วงปะการังขึ้นมาจากถุงก่อนจะแทะกิน

รสชาติของปะการังค่อนข้างกรอบแล้วก็มีรสเค็มนิดๆ เพราะรู้สึกว่าอร่อยดี ผมเลยนั่งกินจนหมดที่ม้านั่ง จากนั้นก็เดินวกกลับเข้าไปซื้ออีกรอบเผื่อสำหรับมื้ออื่นๆ ด้วย

ระหว่างที่เดินออกมาจากร้านนั้น ผมก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมา พอหันไปมองตาม ผมถึงเห็นว่าเซธกับเซียกำลังวิ่งมาทางนี้

"โนอา จับให้หน่อย!" เสียงของเซธดังขึ้น ผมกะพริบตา ขณะที่กำลังจะถามว่าอะไร ผมก็เห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้าไปทันที

โดยสัญชาตญาณ ผมเลยขยับตัวเข้าไปขวางเอาไว้ ร่างของอีกฝ่ายกระแทกจนผมล้มลงไปนอนที่พื้น ขณะที่ร่างของอีกฝ่ายคร่อมอยู่บนร่างของผม

สิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้คือ หนัก

จากนั้นสิ่งที่เห็นต่อมาก็ทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

คนที่คร่อมทับร่างของผมเป็นหอยชักตีนตัวขนาดใหญ่ สูงจนเกือบจะเท่าคนได้ ผมนอนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ขณะที่เซียกับเซธวิ่งเข้ามาช่วยประคองให้หอยชักตีนลุกขึ้นยืนดีๆ

"เจ็บหรือเปล่า?" เซธหันมาถามผมก่อนจะยื่นหนวดปลาหมึกมาให้จับ ผมรีบคว้าเอาไว้เพื่อพยูงตัวขึ้น แล้วหันไปมองหอยชักตีนขนาดยักษ์ที่กำลังคุยกับเซียอยู่

"ใครน่ะ?"

ผมเอ่ยปากถาม ไม่รู้ว่าสายตาตนเองเผลอมองไปทางนั้นตั้งแต่เมื่อไร

"คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่น่ะ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหานิดหน่อย"

"ปัญหา?"

"ลองถามเซียดู" เซธว่าก่อนจะขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย "ฝากบอกเซียด้วยว่าฉันกลับก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบฉัน"

อืม ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่นะ หมึกสายกับหอยชักตีนเป็นผู้ล่ากับเหยื่อนี่

ผมพยักหน้าให้เซธ พอเซธเดินจากไป ผมเลยสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้เซีย

ยังไม่ทันที่จะได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เซียก็หันขวับมาทางผม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี "จริงด้วย นายช่วยดูแลแลนซ์ให้หน่อยนะ"

หะ

ผมยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูด เซียก็ดึงตัวผมเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบาลงว่า "ช่วยหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะเจอเรื่องไม่ดีมาน่ะ เดี๋ยวฉันจะให้ค่าตอบแทน"

"แล้วทำไมต้องฉัน"

จริงๆ ผมตัวคนเดียวยังไม่รอดเลย จะไปดูแลใครได้

"เพราะเขาเสนอเงื่อนไขน่ะสิว่าจะไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้นยกเว้นบ้านนาย"

"เขา?"

"หอยชักตีนตัวนั้นไง"

ผมเหลือบตาไปมอง จากนั้นก็กะพริบตาถี่ๆ

"ใช่เหรอ"

"ใช่สิ เดี๋ยวฉันมีธุระต้องรีบไปทำต่อ เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันจะหาคนอื่นมาดูแลแทน ระหว่างนี้ก็ฝากนายด้วยนะ"

"เฮ้ย" ผมรีบท้วง แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เซียก็รีบวิ่งสวนไปแล้ว ท่าทางดูรีบร้อนมากจนผมงุนงงว่าอีกฝ่ายไปไหน

แต่ยังไงก็คงปล่อยอีกฝ่ายไว้ตรงนี้คนเดียวไม่ได้

ผมสาวเท้าเกินเข้าไปใกล้ สายตาอดสำรวจเปลือกหอยไม่ได้ รู้สึกว่าลายของมันสวย งดงามและเป็นเอกลักษณ์มาก

อีกฝ่ายจ้องมองผม เหมือนรับรู้ได้ว่าผมมองเขาอยู่ ผมเลยกระแอมแล้วเบือนสายตาลงมาเพราะรู้สึกเสียมารยาท

"แลนซ์ใช่ไหม" ผมว่า ก่อนจะยื่นมือให้เขา "ฉันโนอานะ"

แลนซ์จ้องมองมือผมแบบงงๆ ท่าทีนั้นทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าปกติมารยาทแบบนี้มีแค่มนุษย์ที่ทำ ฉะนั้นสัตว์ทั่วไปจะไม่รู้จัก

ผมเลยรีบลดมือลง รู้สึกกระดากอายขึ้นมานิดหน่อย แต่แลนซ์กลับก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วเอาปลายเปลือกหอยชนเข้ากับมือของผม

หือ

ผมงุนงงกับการกระทำของเขา เลยรีบชักมือออก แวบหนึ่งผมรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า

"ถ้าอย่างนั้นมาบ้านฉันก่อนก็ได้" ผมว่าเพราะไม่รู้จะพาไปไหน แถมผมก็อยากเอาของไปเก็บที่บ้านด้วย "เดี๋ยวฉันซื้ออะไรให้กิน"

อีกฝ่ายนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรต่อผมเลยนอกจากการขยับเปลือกหอย ผมถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายตอบรับ

ผมถอนหายใจ ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านก็แอบด่าเซียไปตลอดทาง

…………………

…….
 
ดูเหมือนว่าแลนซ์เป็นคนที่ไม่ชอบพูดเท่าไร

แลนซ์แทบไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางที่ผมแนะนำสถานที่ในบ้าน ขนาดสีหน้ายังนิ่งเฉยจนผมเริ่มหวั่นๆ แล้วว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่ชอบหรือเปล่า

ในบ้านหลังนี้มีห้องนอนสองห้อง ฉะนั้นผมกับเขาจึงแยกกันอยู่ได้ ตอนที่พามาส่งถึงห้อง แลนซ์ก็จ้องมองผมตาไม่กะพริบ

"เอ่อ" ผมกระแอมเล็กน้อย อยู่ๆ ก็เริ่มคิดคำถามที่อยากถามขึ้นมาได้ "ทำไมถึงอยากมาอยู่บ้านฉันล่ะ"

"ฉัน?" แลนซ์ทวนคำ "เปล่านี่"

เอ้า

แสดงว่าเซียหลอกผมใช่ไหม ผมนิ่วหน้า เริ่มอยากบีบแก้มเซียขึ้นมาตงิดๆ

"อยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันซื้อมาให้" ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ไม่พูดถึงประเด็นเดิมต่อ

ความจริงตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว ผมว่าควรจะออกไปซื้ออะไรสักหน่อย แล้วค่อยกลับมาอีกที

"อะไรก็ได้"

"งั้นนายอยู่ในบ้านไปก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา"

พอพูดจบผมก็รีบเดินออกมา เพื่อที่จะให้เวลาแลนซ์ได้สำรวจบ้านบ้าง

…………….

………

ดูเหมิอนว่าแลนซ์ต้องพักที่บ้านผมสักพัก

เพราะเป็นสัตว์ที่ไม่สามารถอ่านใจมนุษย์ได้เหมือนผมกับเซีย ดังนั้นต้องใช้เวลาสอนเรื่องทั่วไปอยู่นาน ทีแรกผมเริ่มจากการสอนเปิดประตูก่อน แล้วจากนั้นก็เริ่มสอนการดูเวลา

แลนซ์ตั้งใจฟังผมมาก อีกฝ่ายฟังแค่รอบเดียวก็พอจะทำตามได้แล้ว

ขณะที่ผมกำลังเดินรอบบ้านแล้วคิดว่าควรจะสอนอะไรต่อดีนั้น แลนซ์ก็ใช้เท้าเขี่ยแขนผม

ผมหันหลังกลับไปเพราะนึกว่ามีอะไร แต่กลับได้เห็นแลนซ์ยืนนิ่งแทน

"แลนซ์?"

ผมเรียกสติเขา

"ทำไมถึงเลือกเป็นมนุษย์ล่ะ" แลนซ์ถามขึ้น ขณะที่เท้าของเขายังแตะกับแขนผม "ก่อนหน้านี้นายเคยเป็นหอยชักตีนไม่ใช่หรือ"

เฮ้ย

เดี๋ยวนะ ผมกะพริบตา จำไม่ได้เลยว่าเคยไปบอกอีกฝ่ายตอนไหน เหมือนผมจะไม่ได้บอกอะไรด้วยซ้ำ

"รู้ได้ยังไง"

"ฉันอ่านใจสัตว์ได้"

ฮะ

ผมกะพริบตา จากนั้นก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เดาแม่นขนาดนี้

น่าแปลกที่ผมอ่านใจมนุษย์ได้ แต่อ่านใจสัตว์ไม่เคยได้เลย

"อ่านใจฉันแล้วได้อะไรไปไหม"

"ได้รู้แค่ว่านายเคยเป็นใคร" แลนซ์ตอบผม "แล้วนายก็กำลังตามหาปลาหมึกตัวหนึ่งอยู่"

ผมอึกอักนิดหน่อย "ก็ใช่"

"แล้วเจอหรือยัง"

"ไม่แน่ใจ"

แลนซ์ดูไม่แปลกใจ "ก็ที่นี่มันกว้าง"

ผมเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะนึกสิ่งที่สงสัยขึ้นมาได้ "แล้วฉันยังต้องสอนนายเปิดอุปกรณ์ต่างๆ อยู่อีกไหม"

"อันที่จริงไม่ต้องก็ได้"

งั้นผมก็ไม่สอนล่ะ "สงสัยอะไรก็ถามแล้วกัน"

"นายอยู่มานานแค่ไหน" แลนซ์ถามขึ้น "ตอนที่แตะตัวกัน นายรู้เยอะมาก"

"ไม่กี่วันนี้เอง"

"นายคงอ่านใจมนุษย์ได้"

"ใช่"

แลนซ์ดูไม่ค่อยแปลกใจแล้ว อีกฝ่ายเดินตามผมก่อนจะหันไปทางชั้นหนังสือที่วางเรียงกัน

"นายซื้อหรือ"

"เปล่า ฉันไม่ได้ซื้อ"

แลนซ์เดินตรงไปชั้นหนังสือด้วยท่าทีสนใจ ก่อนจะเปิดดู

"ฉันอ่านออกด้วย"

ผมชะโงกหน้ามอง "มันเป็นภาษากลางที่นี่"

ปกติที่นี่จะมีภาษากลางอยู่ ไม่ว่าสัตว์ตัวไหนก็ใช้ภาษาเดียวกัน แม้จะไม่เคยเรียน แต่ก็เข้าใจได้

"แปลก" แลนซ์ว่า จากนั้นก็ปิดหนังสือ แล้วหันมาเดินตามผมต่อ

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงครั้งแรกที่เจอกันได้ ผมลังเลไปสักพักก่อนพูดขึ้น "ทำไมตอนแรกนายถึงวิ่งหนีล่ะ"

แวบหนึ่งนั้นผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกไป

ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนกำลังนึก หรือไม่ก็ไม่อยากตอบ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไหนกันแน่

--------------

ตัวละครหลักครบแล้วค่ะ 555555555 น้ำตาจะไหล





ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
มาอ่านอีกทีน้องเป็นคนกันหมดแล้วอ้าวๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ครบแล้วนี่คือหมึกโผล่มาในโลกนี้หรือยัง

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่หมึกคือตัวใหนละเนี่ยย

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เดาไม่ถูกเลย..ยยยยยยย   :hao4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
หรือว่า...พี่หมึกมาเกิดเป็นหอยชักตีน เพื่อตามหาน้องหอยใช่มั้ยย

ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่9

ท่ามกลางความเงียบนั้น แลนซ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





"เพราะฉันไม่ชอบหมึก"





เหตุผลเดียวกับที่ผมคิดจริงๆ ด้วย





ผมเลิกแปลกใจ ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นอะไรมาก่อน แต่การอยู่ในรูปร่างแบบนั้น ก็ไม่น่าจะถูกชะตากับสัตว์ที่เป็นนักล่าตนเองเท่าไร





ถึงเซธจะดูเหมือนไม่กินสัตว์ตัวไหนก็เถอะ





“ปกติเซธไม่ทำร้ายใครนะ”





“ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องทำร้าย แต่แค่ไม่ชอบ”





“แค่ไม่ชอบเฉยๆ เหรอ”





แลนซ์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่ามีท่าทีที่ไม่อยากจะพูดถึง จากนั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจไปที่อย่างอื่นแทน “นั่นคืออะไร”





“เอ่อ..มันคือต้นไม้” ผมพูดก่อนจะกระแอมเล็กน้อย นี่เป็นต้นไม้ที่ผมได้มาจากเซธตั้งแต่วันแรก เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไรเลยเสียเวลาอ่านหนังสือแล้วหาวิธีปลูกอยู่นาน “ลองออกไปดูด้วยกันไหม”





“เดินนำไป”





ผมเดินตรงไปที่ระเบียง มือรีบเปิดบานกระจกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าแลนซ์ที่เดินตามหลังมาจะหน้าชนกระจกเหมือนกับผมวันแรกๆ





เพราะขนาดตัวของแลนซ์ค่อนข้างใหญ่ ผมเลยกลัวว่าจะติดประตู แต่ดูเหมือนว่าบ้านหลังนี้ได้รับการออกแบบมาดีพอสมควร เพราะตั้งใจออกแบบมาให้สัตว์ขนาดใหญ่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้





ผมขยับตัวมายืนด้านข้าง ขณะที่แลนซ์จ้องมองต้นไม้ในกระถาง จากนั้นก็พูดขึ้นลอยๆ “มีต้นไม้หน้าตาแบบนี้ด้วยหรือ”





ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ที่ให้ผลเป็นเนื้อ ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นเนื้ออะไรแล้วต่างกันยังไงเพราะไม่เคยเห็น แต่ฟังจากที่เซธพูดเอาเลยทำให้ผมรู้ว่ามันคือต้นเนื้อวัว





ดูเหมือนว่าเซธจะอยู่ที่นี่มานานแล้วถึงได้รอบรู้เรื่องต่างๆ ผมหยุดคิดเรื่องของเซธเมื่อแลนซ์หันมามองก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





“นี่คือวิทยาการที่คนในโลกนี้คิดขึ้นหรือ? ”





ผมมองตามสายตาของแลนซ์ จากนั้นจึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่น “เปล่า ของที่โลกมนุษย์น่ะ”





“โลกมนุษย์มีของแบบนี้เสียที่ไหน”





เอ๊ะ





ไหนเซียบอกว่าสัตว์จะไม่ตั้งคำถามไม่ใช่หรือไง! ตกลงหมอนั่นพูดอะไรที่เป็นความจริงออกมาจากปากบ้าง ตั้งแต่เดินมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ ผมเห็นแลนซ์เอาแต่มองสิ่งต่างๆ แล้วก็ตั้งคำถามไม่หยุดเลย





แล้วจะตอบว่ายังไงดี ในเมื่อเซียไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกไปด้วย





ผมเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าจะพูดออกไปยังไง ขณะที่ในใจก็รู้สึกโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้อ่านใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วย





แลนซ์มองท่าทีของผมสลับกับต้นไม้แล้วพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ





“แสดงว่าโลกที่เราอยู่นี่เป็นโลกในอนาคตใช่ไหม”





ทำไมหมอนี่ถึงเข้าใจคำว่าอนาคต





ผมชั่งใจนิดหนึ่งก่อนถาม “นายอ่านใจมนุษย์ได้งั้นเหรอ”





แต่ไหนเซียบอกว่าสัตว์ที่อ่านใจมนุษย์ได้มีน้อยมากไง แล้วทำไมรอบตัวผมถึงมีแต่สัตว์ที่อ่านใจมนุษย์ได้เต็มไปหมด





แลนซ์ขยับเปลือกหอยก่อนตอบ “ฉันอ่านไม่ได้”





แล้วทำไมแลนซ์ถึงเข้าใจเรื่องพวกนี้





นี่คือคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว ปกติแล้วเรื่องเวลาอดีต อนาคต ปัจจุบันเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ความคิดที่อยู่ในสัตว์ ฉะนั้นถ้าไม่ได้รับอิทธิพลความคิดจากมนุษย์แล้วจะได้มาจากไหน





ผมกำลังคิดจะถามต่อ แต่ก็รู้สึกว่าถ้าถามมากกว่านี้จะก้าวล่วงเรื่องอดีตของอีกฝ่ายหรือเปล่า ปกติแล้วโลกนี้มีกฎว่าห้ามถามเกี่ยวกับอดีตหรือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ





เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะล่วงเกินอดีตอีกฝ่ายหรือเปล่า ผมเลยตัดสินใจไม่ถามออกไป แล้วเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นแทน





“ว่าแต่นายเลือกงานเอาไว้หรือยัง”





“งานอะไร”





ดูทรงแบบนี้แล้วยังไม่น่าได้เลือก





“ถ้าอยู่ที่นี่ทุกคนจะต้องทำงานน่ะ” ผมอธิบายอย่างใจเย็น “ตัวอย่างงานก็เช่น เอ่อ…”





อยู่ๆ ผมก็นึกไม่ออกกะทันหันว่าที่นี่มีงานอะไรบ้าง





“เอางานที่นายทำล่ะกัน”





“ได้” ผมตอบรับไปก่อนจะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยว นายรู้ด้วยหรือว่าฉันทำงานอะไร”





“ไม่รู้”





ผมกะพริบตาปริบๆ





“แล้วนายจะมาเลือกงานเดียวกับฉันทำไม”





“อยู่บ้านเดียวกัน ถ้าไปทำงานที่เดียวกันก็น่าจะสะดวกกว่า”





ผมหยุดคิดแล้วก็พบว่าคำตอบของอีกฝ่ายถือว่ามีเหตุผลอยู่ “แต่ฉันทำงานเป็นฝ่ายต้อนรับ นายอาจจะไม่ชอบ”





“มันเป็นงานเกี่ยวกับอะไร”





“ก็ทำงานต้อนรับ” ผมตอบออกไปสั้นๆ ก่อนจะอธิบายเพิ่ม “คือคอยต้อนรับคนที่เข้ามาติดต่อ แล้วก็อาจจะมีช่วยดำเนินการส่งเอกสารอะไรแบบนี้”





“ฟังดูเป็นงานที่น่าเบื่อมาก”





โคตรตรง ตรงจนผมอึ้งไปพักใหญ่ แต่ปกติพวกสัตว์ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมแค่รับอิทธิพลความคิดของมนุษย์มากเกินไปมากกว่า





“บอกแล้วว่านายไม่น่าชอบ”





“ไม่ชอบแต่ก็จะทำอยู่ดี” แลนซ์ว่าก่อนจะเดินเตาะแตะกลับเข้ามาข้างในบ้าน “ไปกินอาหารกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”





ผมถอนหายใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะเหนื่อยหรืออะไรกันแน่ มือก็ปิดประตูระเบียงแล้วเดินตามกลับเข้าไปข้างในบ้านตามอีกฝ่าย





……………………………………………….





……………………………





เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างแล้ว แลนซ์ก็เดินตรงเข้าไปที่มุมหนึ่งของบ้าน ผมเลยรีบเดินตามไปก่อนจะทักท้วง





“ตรงนั้นไม่ใช่ห้องกินอาหารนะ”





“รู้แล้ว ฉันแค่เดินมาเพราะอยากถามนายว่ามันคืออะไรเฉยๆ ”





ผมมองตามทิศทางที่แลนซ์หันไปหา ก่อนจะเห็นว่ามันคือห้องครัวที่ผมไม่กล้าแตะนั่นเอง “มันเป็นห้องครัว อันที่นายมองอยู่มันคือกระทะ”





“มีไว้ทำอะไร”





“ทำอาหาร”





“ทำให้ฉันกินหน่อย”





“นายอยากเห็นบ้านไฟไหม้เหรอ”





“แค่ทำอาหารทำไมบ้านถึงไฟไหม้”





“.....”





ผมรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา ในหัวกำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ สุดท้ายผมเลยตัดบทอีกฝ่ายแทน “ฉันทำไม่เป็น อย่าเสี่ยงทำเลย ไปกินอาหารที่ฉันซื้อมาเถอะ”





“อุ้มฉันไปหน่อย”





“เดินเองสิ”





“ตัวมันหนัก เวลาเดินเองแล้วมันช้า”





ผมมองขนาดของหอยแล้วเริ่มเครียด ไม่รู้ว่าตัวเองจะอุ้มไหวหรือเปล่า ขนาดของมันอีกนิดก็เกือบจะเท่าตัวคนอยู่แล้ว ขณะที่เท้าทั้งสองข้างกำลังจะเดินตรงเข้าไปหาหอยที่อยู่ตรงนั้น แต่อีกฝ่ายกลับเดินสวนผมมาก่อนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





“ล้อเล่นน่ะ ไม่ต้องช่วยหรอกถ้าจะทำหน้าอย่างนั้น”





ผมยืนเอ๋อไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดทำสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ก็ถอนหายใจรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวันแล้วเดินตามอีกฝ่ายออกไปข้างนอกห้องครัว





อะไรของหมอนี่ เดาใจยากจัง





……………………………………….





…………………………





ตอนแรกผมนึกว่าอยู่กับแลนซ์จะแย่ เพราะอีกฝ่ายดูเอาแต่ใจมาก แต่พออยู่ไปสักวันสองวันก็รู้สึกว่าไม่ได้แย่เท่าที่คิด





ช่วงนี้ผมยังไม่ต้องไปทำงานเลยอ่านหนังสืออยู่บ้าน แลนซ์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ยังไม่ต้องทำงานเช่นกันเลยอ่านหนังสืออยู่บ้านเหมือนกับผม อีกฝ่ายมีความชอบคล้ายผมหลายอย่าง ไม่ว่าจะของที่ชอบกิน สิ่งที่ชอบทำหรือหนังสือที่ชอบอ่าน





อยู่กันแค่ไม่กี่วันแต่กลับรู้สึกสนิทเหมือนอยู่มาด้วยกันหลายวัน





ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องจนรู้สึกแสบตา สายตาจับจ้องมองเพดานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง





เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ผมถึงลุกขึ้นไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า





พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมาข้างนอก ผมถึงเห็นว่าแลนซ์นั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนอยู่แล้ว ด้วยความที่ตัวของเขาค่อนข้างใหญ่เลยไม่สามารถนั่งเก้าอี้แบบมีพนักพิงได้ ต้องนั่งเก้าอี้กลมแบบไม่มีพนักแทน





เป็นหอยสบายอย่างตรงที่ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า แต่ถ้าเป็นมนุษย์ ผมจะรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ควรหาเสื้อผ้าใส่ แม้จะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น





“ออกไปหาอะไรกินกัน”





มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะต้องออกไปหาอะไรกินตอนเช้าเพราะทำอาหารไม่เป็น เช้านี้ก็เหมือนกับวันที่ผ่านมา ผมพยักหน้าก่อนจะรอเขาเดินออกมานอกบ้าน จากนั้นจึงค่อยเดินออกมาล็อคประตู





ผมควานหากุญแจในกระเป๋า หลังจากที่ปิดประตูบ้านเสร็จแล้วและเสียบกุญแจเข้าไปในรู อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ





“อะไรทำให้นายเลือกที่จะเป็นมนุษย์งั้นหรือ”





ผมนิ่งไปสักพัก เพราะว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายถามเหมือนกัน





“อาจจะเพราะได้ยินสิ่งที่มนุษย์คิดมาตลอดมั้ง เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ”





“คงจะจริงเพราะฉันก็รู้สึกว่านายน่าสนใจเหมือนกัน”





……





ฮะ





“ฉันไม่ใช่มนุษย์จริงๆ สักหน่อย”





“ก็ให้ความรู้สึกคล้ายอยู่” แลนซ์ตอบผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนที่เพิ่งพูดไปเป็นเรื่องธรรมดาๆ “แล้วเป็นมนุษย์ให้ความรู้สึกยังไงบ้าง”





“ก็ดี อย่างน้อยฉันก็ได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำมาตลอด”





“ฉันเริ่มอยากเป็นมนุษย์บ้างแล้วสิ”





ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะรีบไขกุญแจแล้วใส่ลงกระเป๋าเพื่อออกไปหาอะไรกิน





อย่างน้อยๆ ในช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ผมต้องเดินออกไปหาร้านอื่นหรือสำรวจในพื้นที่ที่ไม่เคยไป เผื่อว่าจะมีโอกาสเจอกับเขามากขึ้น





------------------------------------



กลับมาแล้วค่ะ หายไปนานมากๆ เพราะติดสอบและอะไรหลายๆอย่างจนไม่ว่างเลย




ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
สับสนว่านางใช่พี่หมึกไหม

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แลนซ์ก้อ...น่าสนใจ ดูมีลับลมคมในชอบกล   o2

ออฟไลน์ squall

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตอนเป็นเรื่องสั้นก็ว่าสนุกแล้วนะคะ พอเป็นเรื่องยาว แล้วแหวกมาเป็นแนวใหม่เราก็ว่ามันน่าสนใจดี ดูมีอะไรใหม่ๆดีค่ะ น่าติดตามมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เชียร์แลนซ์
อาจชอบโนอาตอนโน้น เลยอยากเป็นหอยชนิดเดียวกัน เพื่อจะได้เรียนรู้โนอาก็เป็นได้

ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่10

หลังจากอยู่ด้วยกันสักวันหรือสองวันกับแลนซ์ เซียก็ส่งจดหมายมาหาผม

เนื้อหาใจความในจดหมายนั้นสั้นๆ เขาเขียนไว้แค่ว่า 'อนุญาตให้เลื่อนวันที่เข้างานวันแรกเป็นวันเดียวกับแลนซ์ได้'

ความจริงผมจะต้องไปทำงานพรุ่งนี้อยู่แล้ว แลนซ์ที่มาทีหลังนั้นจึงต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆ ไปอีกหลายวัน ตอนแรกผมยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ทว่าพอรู้แบบนี้ก็สบายใจขึ้น

ผมหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เป็นแลนซ์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร อีกฝ่ายวางจานลงตรงหน้าผม ก่อนจะวางจานที่ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งกิน

พอกินอาหารแช่แข็งกับอาหารด้านนอกไปได้สักสามหรือสี่มื้อ ในที่สุดแลนซ์ก็ทนไม่ไหว อีกฝ่ายขลุกตัวอยู่กับหนังสือทำอาหารทั้งวัน แล้วลุกขึ้นมาทำอาหารให้ผมกิน

ผมกินอาหารแช่แข็งมาเกือบจะสัปดาห์ติดยังไม่พูดอะไร แต่พอเห็นแลนซ์ที่ดูกะตือรือร้นขนาดนั้น ผมก็เลยไม่กล้าขัดขวาง แต่ในมือถือถังดับเพลิงไว้แล้ว เผื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจริงๆ

ผมไม่คิดว่าแลนซ์จะทำไฟไหม้จริงๆ หรอก แต่แค่เผื่อไว้เฉยๆ ไง

ผมกินอาหารขณะที่เหลือบขึ้นมองอีกฝ่าย พลันรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

ความจริงผมยังมีปัญหาที่กลุ้มใจนิดหน่อย

ดูเหมือนว่าแลนซ์จะไม่ชอบปลาหมึกหรือเซธเท่าไรนัก ผมเลยยังนึกไม่ออกว่าถ้าเกิดทำงานร่วมกันขึ้นมาจะเอายังไงดี

ไม่รู้ว่าปัญหานี้มีใครฉุกคิดขึ้นมาได้หรือยัง เหมือนจะยังไม่มี

"แลนซ์เกลียดปลาหมึกขนาดไหนหรือ"

ผมเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่กินอาหาร พยายามไม่มองภาพที่หอยใช้งวงดูดอาหารเข้าปาก

เมื่อก่อนวิธีกินผมแย่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

"แบบไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้"

"นี่นายรู้หรือยังว่าเซธทำงานที่เดียวกับฉัน"

"..."

เงียบ

ผมวางส้อมลง มาสภาพแบบนี้ไม่น่าจะรู้แน่ๆ

"แล้วแบบนี้จะเอายังไงดี"

"ไม่รู้เหมือนกัน"

ผมกุมขมับ จากนั้นก็ลองพยายามคิดวิธีอื่น แต่ก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี

หรือควรจะลองถามเซีย

หมอนั่นอยู่มานานมาก น่าจะรู้อะไรมากกว่าผม เผลอๆ อาจจะเคยเจอปัญหานี้มาแล้วด้วยซ้ำ

"เปลี่ยนงานได้ไหม"

"หา"

"นายกับฉัน พวกเราเปลี่ยนไปทำงานอื่น"

"แล้วจะทำอะไร"

"ไม่รู้สิ"

ผมถอนหายใจ ถึงข้อเสนอของแลนซ์จะน่าสนใจ แต่ผมไม่คิดว่าจะมีงานอื่นที่ดีกว่างานนี้

แน่นอนว่าผมยังไม่ลืมจุดประสงค์แรกว่าทำไมตนเองถึงเลือกทำงานนี้ ที่ผมเลือกทำงานนี้ตั้งแต่แรกก็เพื่อจะได้เจอกับสัตว์เยอะๆ

"ฉันกำลังตามหาสัตว์หนึ่งอยู่"

"ปลาหมึกใช่ไหม ฉันรู้แล้ว"

เขาย้ำ จากนั้นผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเผลออ่านใจผมไปครั้งหนึ่ง

"ใช่ ฉะนั้นฉันเลยเลือกงานนี้จะได้เจอสัตว์เยอะๆ"

แลนซ์เงียบไป "เขาสำคัญกับนายขนาดนั้นเลยหรือ"

"ใช่"

"เป็นตัวที่กินนายก่อนตายเลยอยากจะฆ่าล้างแค้นหรือเปล่า"

"....." อะไรทำให้หมอนี่คิดแบบนี้วะ ผมงุนงงไปพักหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่า อืม ไม่น่าแปลก เพราะโดยธรรมชาติปลาหมึกถือว่าเป็นนักล่าของหอย "เปล่า เขาเป็นเพื่อนฉัน"

"ปลาหมึกกับหอยน่ะนะ" ท่าทางของแลนซ์เหมือนจะไม่เชื่อผม "แล้วไปทำแบบไหนถึงเป็นเพื่อนกันได้"

ผมก็ยังไม่แน่ใจเลย

ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมปลาหมึกถึงเลือกที่จะไว้ชีวิตผมแล้วพากลับมาเลี้ยง พอลองคิดถึงเหตุผลกับพฤติกรรมของเขาแล้วผมก็รู้สึกขนลุกนิดหน่อย

หรือความจริงเขาจะชอบผม

"เขาน่าจะชอบฉันมั้ง"

"ชอบเพราะรสชาติตัวนายอร่อยล่ะสิ"

เห็นท่าทางแลนซ์ดูเงียบๆ วันแรก ผมไม่คิดเลยว่าผ่านมาไม่กี่วันเขาจะกวนประสาทเก่งขนาดนี้ แต่น้ำเสียงของแลนซ์เหมือนไม่ได้ตั้งใจ ต่างกับเซียที่รู้สึกได้ชัดเจนว่าจงใจพูด

"เปล่า..คือชอบในแง่แบบนั้นน่ะ"

แลนซ์เงียบไปสักพักหนึ่ง "จริงหรือ"

"ฉันไม่ได้โกหก"

ท่าทางของอีกฝ่ายดูประหลาดใจมากจนพูดไม่ออกไปอีกพักใหญ่ "อืม แปลกดี ทั้งที่คนละสายพันธุ์น่ะนะ"

ผมไม่พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้ารับเฉยๆ

“แสดงว่านายชอบปลาหมึกใช่ไหม”

พอเจอคำถามนี้ผมถึงกับตั้งตัวไม่ถูกไปสักพักใหญ่ พอลองไตร่ตรองดูดีๆ แล้วผมก็พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบปลาหมึกทุกตัว แค่รู้สึกว่าชอบเขาเป็นพิเศษมากกว่า

“อาจจะ”

ผมตอบแบบคลุมเครือเพราะยังให้คำตอบกับเรื่องนี้ไม่ได้ จากนั้นในหัวก็หวนคิดถึงเรื่องงานว่าควรจะเอาอย่างไรต่อดี

ดูเหมือนว่าผมต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเซียอย่างจริงจัง แต่พอจะไปหา ผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่รู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายสักหน่อย

ที่ผ่านมาเซียเป็นคนมาหาผมตลอด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ผมก็ชะงักเล็กน้อย ในหัวพลันนึกถึงจดหมายที่เขาส่งมา ทว่าเมื่อเดินไปหยิบซองจดหมายขึ้นมาดู ด้านหน้ากลับไม่มีเขียนที่อยู่ มีแค่ชื่อเท่านั้น

หรือควรจะไปถามเซธดี

หมอนั่นทำงานพวกทะเบียนควบด้วย อย่างน้อยก็น่าจะรู้ที่อยู่เซีย...

"มาเปิดร้านขายขนมด้วยกันไหม"

"หะ?"

ผมหยุดคิด ขณะที่จ้องมองเขาด้วยความงุนงงกับความคิดกะทันหันของเขา

"ร้านขายขนมไง นายจะได้เจอสัตว์เยอะๆ"

ผมคิดว่าไอเดียนี้ก็ไม่แย่ แต่ที่นี่เปิดร้านขายของเองได้ด้วยหรือ

"เรื่องนั้น.."

"เดี๋ยวฉันจะลองถามเซียให้" แลนซ์เอ่ยจบก็ลุกขึ้น "รอที่นี่นะ"

ผมพยักหน้ารับแบบงงๆ ขณะที่มองแลนซ์เดินออกไปที่หน้าประตู จากนั้นในหัวก็เพิ่งนึกถึงความจริงบางอย่างขึ้นมาได้

ว่าแต่แลนซ์รู้ด้วยหรือว่าบ้านเซียอยู่ที่ไหน

………………………

…………….

หลังจากที่แลนซ์ออกไป ผมก็วุ่นวายอยู่กับการอ่านหนังสือ ในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เขาเสนอไม่หยุด

ผมคิดว่าการเปิดร้านขนมก็ดูเป็นไอเดียที่ดี แต่ผมก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย ถ้าย้ายไปทำงานในร้านอาหาร แสดงว่าต่อจากนี้ผมน่าจะได้เจอเซธน้อยลง

แต่ก็คงดีกว่าการนั่งเฉยๆ

ผมใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือจนเพิ่งรู้ว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เกือบจะพระอาทิตย์ลับฟ้าเสียด้วยซ้ำ ผมเดินไปที่ตู้เย็นแล้วแกะอาหารแช่แข็งออกมาเวฟ

ทำไมแลนซ์ไปนานขนาดนี้

หมอนั่นมันรู้ทางกลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม

ผมกินอาหารในเย็นวันนั้นด้วยความกระวนกระวาย จนเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ดึกจนแทบจะเลยเวลานอนผมอยู่แล้ว แต่แลนซ์ก็ยังไม่กลับมาสักที

ผมผุดลุกขึ้นจากเตียง จริงๆ ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดพร้อมนอนเรียบร้อย แต่ยังนอนไม่หลับเพราะมัวแต่กังวล

ถ้าเข็มยาวชี้เลขหกเมื่อไรแล้วแลนซ์ยังไม่กลับมา ผมตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปด้านนอก เพราะผมไม่แน่ใจว่าแลนซ์จะกลับบ้านถูกหรือเปล่า เขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่กี่วันด้วย

ผมนั่งรออย่างอดทน สายตาจ้องมองนาฬิกาสลับกับประตู เข็มยาวชี้เลขหกแล้ว แต่แลนซ์ยังไม่กลับมา

ผมทนรอไม่ไหวเลยหยิบเสื้อนอกมาสวมทับ เท้ารีบเดินตรงไปทางประตูอย่าวรวดเร็ว ทว่าพอเปิดประตูออกไป ผมก็ชะงักทันที

ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูมีปลาหมึกขนาดยักษ์ยืนอยู่ ใหญ่จนเกือบจะเท่าตัวของผมเสียด้วยซ้ำ ผมผงะจนเผลอก้าวเท้าถอยไปด้านหลัง สายตาจ้องมองปลาหมึกตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ดูเหมือนว่าจะเป็นหมึกสาย

ผมกะพริบตาถี่ๆ คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมาผิดบ้าน ถ้าเกิดแลนซ์กลับมาแล้วเห็นเข้าน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร ผมกลัวว่าแลนซ์จะตกใจจนเป็นลมเมื่อได้เห็นหมึกสายตัวใหญ่ที่หน้าบ้าน

"ขอโทษนะครับ มาบ้านผิดหลังหรือเปล่--"

ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยจบ ปลาหมึกตัวนั้นก็ใช้หนวดของมันเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วแล้วใช้หนวดคว้าตัวผมเข้าไปสวมกอด ผมสะดุ้งจนเกือบทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ผมก็รีบผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว

“ทำอะไรของคุ--”

“ฉันเอง” เสียงที่เอ่ยขึ้นนั้นทำให้ผมที่กำลังขัดขืนเปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นก็เป็นค่อยๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าราวกับจะพิจารณา

“แลนซ์..?”

“ใช่”

เดี๋ยวนะ ผมประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ “ก่อนไปฉันยังเห็นนายเป็นหอย..”

“ฉันไปเปลี่ยนมา”

“มันเปลี่ยนได้ด้วยรึไง”

“ฉันไปถามวิธีจากเซียมา วุ่นวายอยู่นานเลยกลับบ้านดึก”

ผมเพิ่งรู้ว่ามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นได้ด้วย แต่การที่ได้เห็นเขาในร่างปลาหมึกก็ผิดคาดอยู่ดี บนโลกนี้สัตว์ตัวสุดท้ายที่อยากจะเป็นปลาหมึกก็น่าจะเป็นแลนซ์นี่แหละ

“ทำไมถึงเป็นปลาหมึก..”

“เพราะนายชอบ”

“ฮะ” ผมอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อหู “เพราะเหตุผลแค่นี้น่ะนะ”

“ก็นายชอบปลาหมึก” แลนซ์อธิบายอย่างใจเย็น “ต่อจากนี้จะอยู่ด้วยกันแล้ว ฉันก็จะเปลี่ยนไปแบบที่นายชอบดีกว่า”

ผมคาดไม่ถึงกับคำตอบอีกฝ่าย เห็นแลนซ์ดูมีท่าทีเหมือนไม่ค่อยใส่ใจหรือสนใจผมเท่าไรนัก ไม่คิดว่าเขาจะถึงกับลงทุนยอมเป็นในสิ่งที่ตัวเองเกลียดเพื่อผม “ก็ดีใจอยู่หรอก แต่ในเมื่อนายไม่ชอบ นายก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อฉัน”

“เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”

“ยังไง?”

“ถ้าจะเปลี่ยนต้องรออีกหนึ่งเดือน”

“....” ผมพูดไม่ออกไปพักใหญ่ สุดท้ายเลยยื่นมือออกไปลูบเข้าที่หนวดของเขาเบาๆ เพื่อปลอบประโลม “งั้นช่างมันเถอะนะ ไว้รออีกหนึ่งเดือนค่อยไปเปลี่ยนกลับก็ได้”

แลนซ์จ้องมายังทางผม แต่ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมพูดเลย เหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างมากกว่า

“นายยิ้ม?”

“หือ” ผมชะงักเล็กน้อย จากนั้นพอเลื่อนมือขึ้นมาแตะบนใบหน้าและปากของตนเองถึงเพิ่งสังเกตว่าตนเองยิ้มจริงๆ ด้วย แต่ไม่ใช่การยิ้มอย่างเป็นมารยาทเพื่อการทักทายอย่างที่เคยทำ เพราะไม่รู้ว่าใบหน้าของตนเองเวลายิ้มเป็นอย่างไร ผมเลยเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่นด้วยความอับอาย “เอ่อ โทษที เผลอตัวไปหน่อย”

แต่แลนซ์กลับไม่ได้สนใจคำขอโทษของผม อีกฝ่ายใช้หนวดแตะเข้าที่ริมฝีปาก จากนั้นก็จับยึดใบหน้าของผมเอาไว้ให้หันกลับมา “หันหน้าหนีทำไม เวลานายยิ้มก็ดูดีออก”

มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่สัตว์จะพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกมา ตรงไปตรงมาต่างกับมนุษย์ ทว่าในความตรงไปตรงมานั้นกลับทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือผลักให้หนวดอีกฝ่ายถอยห่างออกไป

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนั้นก็ได้”

แลนซ์ยอมถอยห่างออกไปและละหนวดปลาหมึกลง ผมถึงค่อยหายใจสะดวกขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกอับอายเกินกว่าจะอยู่ที่นี่แล้วยืนจ้องหน้าเขาสองต่อสองอยู่ดี ผมเลยเบือนหน้าหนีแล้วแสร้งทำเป็นง่วงนอนแล้ว

“ฉันง่วงแล้ว ราตรีสวัสดิ์”

พอเอ่ยจบผมก็รีบก้าวเท้าออกมาเร็วๆ โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองเขาที่ยืนอยู่อีกเลย

----------------------------------------



[Talk]



สวัสดีค่ะกลับมาแล้วหลังหายไปเกือบเดือน เรามาอัพตอนต่อแล้วนะคะ > < ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่า

ออฟไลน์ shinyface

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
แลนซ์แปลกไป แต่เพราะอะไร??

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นะค้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Dangdang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 อยากให้น้องหอยรู้เร็วๆจังเลยว่าแลนซ์เป็นใครมาก่อน
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ :mc4:

ออฟไลน์ larza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
บทที่11


หลังจากนั้นผมกับแลนซ์วางแพลนจะเปิดร้านด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าก่อนจะเปิดร้าน สถานที่ที่ตั้งร้านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

 

ปกติเวลาเลือกซื้อที่ ทุกคนต้องแวะมาที่ทำการทั้งนั้น สีหน้าของแลนซ์ดูเหนื่อยหน่ายมากเมื่อพบว่าตนเองต้องไปหาเซธเพื่อทำการดูสถานที่เปิดร้าน

 

 

"ถ้าไม่อยากไปขนาดนั้น ไม่ต้องไปก็ได้นะ"

 

 

"ก็ว่างั้นแหละ" แลนซ์ว่า พลางเหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อย คงเพราะเห็นว่าน้ำเสียงกับสีหน้าของผมอารมณ์ดีจนจับสังเกตได้ "ดีใจที่ฉันไม่ได้ไปด้วย? "

 

 

"นิดหน่อย แต่จริงๆ ดีใจที่จะได้เจอเซธ"

 

 

สีหน้าแลนซ์ดูบูดบึ้งขึ้นมาทันที ท่าทีเหมือนเด็กเอาแต่ใจ "เปลี่ยนใจล่ะ ฉันไปดีกว่า"

 

 

"ไหนนายบอกไม่ชอบเซธไม่ใช่หรือไง"

 

 

"ไม่ชอบที่ไหน ไม่มี"

 

 

ผมเลิกคิ้ว ตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เพราะสีหน้ากับน้ำเสียงแลนซ์ดูหงุดหงิดแปลกๆ เลยเปลี่ยนประเด็นที่พูดคุยกันไปเรื่องอื่น

 

 

“ตอนนี้ฉันมีสถานที่ที่เล็งไว้สองที่” ผมเกริ่น จากนั้นก็เอ่ยต่อไป “คือใกล้สถานที่ทำการกับบริเวณพลาซ่า นายมีที่อื่นจะเสนอเพิ่มไหม”

 

 

“เลือกที่พลาซ่าสิ” แลนซ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับแทบจะไม่ได้เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ “แถวนั้นคนเยอะกว่า จะไปเปิดแถวสถานที่ทำการทำไม”

 

 

ผมอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อถูกเขาจี้ตรงๆ แบบนี้ หลังจากชั่งใจเพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองอยู่ครู่หนึ่งผมจึงตอบเขา “แถวที่ทำการมีคนเยอะระดับหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไปเปิดแถวนั้นจะหาลูกค้าประจำง่ายกว่า ตรงสถานที่ทำการส่วนมากจะมีแต่พวกลูกค้าหน้าใหม่”

 

 

“จริงๆ คือนายอยากเจอเซธ”

 

 

“ก็ถูก..”

 

 

“งั้นไปเปิดที่พลาซ่า” แลนซ์สรุปให้อย่างรวดเร็ว “ถ้านายอยากขายของก็ต้องเน้นที่ลูกค้าเยอะ ไม่ใช่เปิดเพราะอยากเจอหน้าคนที่นายชอบ”

 

 

ใบหน้าผมร้อนขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่แลนซ์พูดเป็นความจริงจนเถียงไม่ออก “เอาตามนั้นก็ได้ ตกลงว่าเราจะไปเปิดที่พลาซ่า”

 

 

พอแลนซ์ได้ยินคำพูดของผม อีกฝ่ายก็ดูมีสีหน้าพึงพอใจขึ้น “แล้วคิดไว้หรือยังว่าอยากจะทำอะไรบ้าง”

 

 

“ลองสำรวจรอบๆ พลาซ่ามาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์หลายชนิดปะปนกัน” ผมพูดขึ้นหลังจากลองไปสังเกตมาวันก่อน “อาจจะทำขนมสักสามชนิด แต่ต้องมีหลายรสสำหรับสัตว์แต่ละประเภท เช่นคุ๊กกี้หญ้า ขนมปังไข่ เค้กหน้าเนื้อ”

 

 

“อาจจะไม่ดี” แลนซ์ออกความเห็น “พวกเราไม่เคยกินของหวานกันอยู่แล้ว ถ้าเน้นการทำของหวานมากเกินไป อาจจะไม่มีใครซื้อ”

 

 

“หรือควรจะทำเป็นขนมปังหน้าต่างๆ แทน? ”

 

 

“ทำเป็นขนมปังหน้าต่างๆ ก็น่าสนใจ” แลนซ์ว่า “พวกคุ๊กกี้ก็ดี แต่เค้กไม่ควรทำเพราะว่ารสชาติจัดเกินไปสำหรับสัตว์แบบเรา”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเอาพวกบิสกิตมาแทนเค้กก็ได้” ทันทีที่เอ่ยจบ ผมก็ก้มหน้าลงแล้วหยิบกระดาษกับดินสอมาจดบันทึกความคิดเอาไว้ “ตอนนี้มีสามเมนูแล้ว อีกสองเมนูฉันยังนึกไม่ออก”

 

 

“อีกเมนูเอาเป็นทาร์ตผลไม้ดีไหม” แลนซ์พูดขึ้นขณะยกหนวดขึ้นมาสัมผัสใบหน้าตนเอง แม้ว่าจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาจ้องผมแทบจะตาไม่กะพริบ “แค่สี่เมนูก่อนก็ได้ จะได้ดูผลตอบรับของลูกค้าก่อน”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวมาเริ่มคิดกันว่าต้องซื้อวัตถุดิบอะไรบ้าง” ผมว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นถึงเห็นว่าแลนซ์จ้องผมแทบจะไม่ละสายตาไปไหน จนผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่า? ”

 

 

“ไม่มีอะไร” แลนซ์ละสายตาไปมองทางอื่น ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น “เดี๋ยวฉันช่วยค้นหนังสือให้ว่าเราต้องซื้อวัตถุดิบอะไรบ้าง แล้วจะใส่ส่วนผสมยังไง”

 

 

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าแลนซ์จงใจเบี่ยงประเด็น แต่ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ผมก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ถาม ไม่อย่างนั้นพอคาดคั้นมากเข้าบรรยากาศตอนอยู่ร่วมกันจะอึดอัดเกินไป

 

 

……………………………………

 

 

…………………….

 

 

ช่วงเวลาที่นั่งคิดและวางแผนเรื่องส่วนผสมกับวัตถุดิบกันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุกและตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยใช้สมองคิดเรื่องไหนเยอะๆ มาก่อน ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องแรกที่ผมวางแผนจะทำอะไรอย่างจริงจัง

 

 

พอวางแผนได้แล้วว่าจะซื้อวัตถุดิบจากที่ไหนและตั้งราคาคร่าวๆ ที่เท่าไร ผมก็นึกถึงปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

 

 

ปัญหาก็คือผมกับแลนซ์ ไม่มีใครทำอาหารเป็นสักคน

 

 

ฉะนั้นพวกเราเลยต้องมาเรียนวิธีการใช้เตาอบและเครื่องครัวเป็นอย่างแรก โดยมีแลนซ์ยืนอ่านคู่มืออยู่ข้างๆ ส่วนผมทดลองทำตามที่เขาบอก

 

 

“ใส่ยีสต์ลงไปในแป้งด้วย” แลนซ์ว่า ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือ ผมพยักหน้ารับก่อนจะผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วเอานมสดที่ผสมไข่ไก่กับน้ำตาลทรายใส่ลงในส่วนผสมแป้ง

 

 

เนื่องจากว่าผมกับแลนซ์จะเป็นคนทดลองเสี่ยงตายชิมอาหารสองคนแรก ฉะนั้นขนมปังที่ผมกับแลนซ์ทดลองทำจึงเป็นรสที่เราสองคนชื่นชอบ นั่นคือรสเนื้อ พอผสมทุกอย่างเข้ากันแล้ว ผมก็เริ่มแบ่งแป้งออกเป็นก้อนๆ ทาเนย แล้วใส่ถาดก่อนนำเข้าไปอบ

 

 

แลนซ์ช่วยปิดประตูเตาอบ ก่อนจะตั้งค่าไฟแล้วเปิดให้เครื่องทำงาน

 

 

เพราะว่าทำเป็นขนมปังแบน ผมเลยต้องเอาออกมาพลิกกลับด้านก่อนจะอบต่ออีกรอบ เมื่อเสร็จแล้วผมเลยดึงถาดออกมาด้วยความลุ้นระทึกว่าขนมปังที่ออกมาจะรสชาติเป็นยังไง ถึงผมจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับการทำครั้งแรก แต่อย่างน้อยก็แอบหวังว่ามันน่าจะพอกินได้แล้วก็มีรสชาติไม่ทุเรศเกินไปจนต้องคายทิ้ง

 

 

แลนซ์เป็นคนแรกที่หยิบไปชิมก่อน ผมเหลือบสายตาไปมองเขา สีหน้าของแลนซ์นิ่งเฉยมากจนผมไม่แน่ใจว่ามันแย่จนแสดงสีหน้าไม่ออกหรือเปล่า ผมเลยหยิบมากิน ขณะที่ภาวนาให้รสชาติพอกินได้

 

 

ทว่าพอลองชิมแล้วกลับผิดคาด ผมนึกว่าจะแย่ แต่ดันออกมาดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก

 

 

“ก็อร่อยนี่” ผมออกความเห็นหลังจากลองกิน “แล้วทำไมนายทำสีหน้าแบบนั้น”

 

 

“แบบไหน”

 

 

“แบบที่นายทำอยู่นี่ไง”

 

 

แลนซ์เลิกคิ้ว ก่อนจะเคี้ยวขนมปังจนหมดก้อน “กำลังแปลกใจที่มันออกมาดีกว่าที่คิด เลยไม่รู้จะแสดงสีหน้าแบบไหนดี”

 

 

เหตุผลของแลนซ์ประหลาดมาก แต่พอลองนึกดูว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์มาก่อน คงไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร ผมเลยพยักหน้ารับเฉยๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทำตามสูตรนี้ก็ได้ งั้นเดี๋ยวมาทดลองทำเมนูอื่นกัน”

 

 

พอลองทำเมนูแรกแล้ว รสชาติไม่แย่อย่างที่คิดเอาไว้ ผมกับแลนซ์ก็เริ่มมีกำลังใจในการทำเมนูอื่นๆ ต่อ อาจจะเพราะกำลังใจดี ไม่ก็ฝีมือในการทำของผมไม่แย่ ดังนั้นเมนูอื่นๆ จึงออกมาดีเกินกว่าที่คาดหมายไว้เหมือนกัน

 

 

หลังจากทดลองทำหลายๆ สูตรเพื่อเป็นที่พอใจแล้ว ผมกับแลนซ์ก็ช่วยกันจดสูตรที่อร่อยที่สุดลงไปในกระดาษเพื่อที่จะได้เอาไว้ใช้สำหรับเปิดร้าน รวมถึงต้องคำนวนพวกวัตถุดิบและจำนวนที่จะทำในแต่ละวันด้วย

 

 

คืนนั้นผมเข้านอนไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับการเลือกซื้อวัตถุดิบในวันพรุ่งนี้จนนอนไม่หลับทั้งคืน

 

 

…………………………………………….

 

 

………………………….

 

 

“ตื่นเช้าผิดปกตินะ”

 

 

แลนซ์ทักขึ้นเมื่อเห็นว่าผมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะมีขนมปังที่ผมกับเขาทำด้วยกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเก็บเอาไว้ในตู้เย็น

 

 

“ยังไม่ได้นอนต่างหาก”

 

 

“แล้วทำอะไรถึงยังไม่นอน” แลนซ์ว่าก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ ผม มืออีกฝ่ายก็ยื่นเข้ามาจับที่ข้างแก้ม “ได้ยินมาว่าปกติเวลามนุษย์อดนอนแล้วขอบตาจะดำ ขอบตานายก็ดำจริงๆ นั่นแหละ”

 

 

ผมกะพริบตา รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีที่ใกล้ชิดและเข้ามาใกล้จนผิดวิสัยขนาดนี้ ผมเลยปัดมือของเขาออก “ก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปซื้อของจนนอนไม่หลับ”

 

 

แลนซ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมละมือออก “ทำเหมือนไม่เคยซื้อ ตอนทดลองทำวัตถุดิบก็เคยไปซื้อมาแล้ว”

 

 

“รอบนี้มันไม่เหมือนกัน”

 

 

นอกจากจะไปซื้อวัตถุดิบแล้ว ผมยังต้องไปซื้อของสำหรับตกแต่งร้านอีก เช่น พวกชั้นวางขนมปัง ถาดใส่ขนมปัง ตะกร้า ถึงแม้ว่าจะมีสถานที่ให้ใช้ แต่ด้านในสถานที่แทบจะว่างเปล่า ของต่างๆ ต้องหาซื้อเอาเอง

 

 

โชคดีที่มีจำนวนเงินตั้งต้นสำหรับคนที่เพิ่งเกิดใหม่ในโลกนี้เยอะมากจนเพียงพอที่จะทำธุรกิจแบบเล็กๆ ได้สบาย ผมกับแลนซ์เลยไม่ค่อยลำบากเรื่องเงินเท่าไรนัก แต่เพื่อความระมัดระวังก็เลยกะจำนวนขนมปังที่ทำวันแรกเอาไว้น้อยๆ แล้วก็ตั้งใจว่าอาจจะทำซุ้มให้ชิมฟรีก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะจากที่ลองไปสังเกตมา ผมเพิ่งเห็นว่าแม้จะมีร้านขนมปังมากมายตามทางเดิน แต่ไม่มีร้านไหนทำขนมหวานขายเลย

 

 

การตัดสินใจลงทุนทำขนมหวานจึงเป็นเรื่องที่ใหม่มากและไม่มีใครลองทำมาก่อน ดังนั้นโอกาสไปไม่รอดจึงสูงมาก ผมกับแลนซ์เลยตัดสินใจว่าจะทำขนมปังไว้ในอัตราส่วนที่เยอะ ส่วนพวกขนมอย่างคุ๊กกี้ บิสกิต ทาร์ตผลไม้ ผมทำในจำนวนที่น้อยลงมากว่าแทนเพื่อดูผลตอบรับของคนซื้อก่อน

 

 

“รสชาติอาหารที่นายทำออกมาโอเคอยู่แล้ว” แลนซ์พูดให้กำลังใจ “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น”

 

 

“ขอบใจ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย จากนั้นจึงพึ่งคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่แลนซ์หัวเราะ “ว่าแต่นายเริ่มแสดงสีหน้าเป็นแล้วหรือ”

 

 

แลนซ์นิ่งไปราวกับกำลังไตร่ตรองในสิ่งที่ผมพูด จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วตอบด้วยน้ำเสียงทื่อ “อย่าล้อได้ไหม”

 

 

แวบหนึ่งผมเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงขึ้นนิดหน่อย ความจริงผมตั้งใจจะทักถามด้วยความหวังดี ไม่ได้ตั้งใจล้ออะไรเลย สัตว์บางตัวที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่นี่แรกๆ แทบจะแสดงอารมณ์ไม่ได้เลย แต่เมื่ออยู่ไปสักระยะหนึ่งจะเริ่มแสดงอารมณ์และมีสีหน้ามากขึ้น

 

 

บางทีมันอาจจะเกิดจากการที่สัตว์ทุกตัวสามารถสื่อสารด้วยระดับภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้น

 

 

“ไม่ได้ล้อ ก็แค่ถามเฉยๆ ” ผมว่าจากนั้นเลยหยอกเขาไปทีหนึ่ง “เขินหรือไง”

 

 

“ฉันยังแสดงอารมณ์ไม่ค่อยเก่ง” แลนซ์ตอบแต่ไม่ตรงประเด็นกับสิ่งที่ผมถาม “ถ้านายชอบ..ฉันจะพยายามแสดงอารมณ์ให้มากขึ้น”

 

 

“เอาตามที่นายสะดวกเถอะ” ผมตอบกลับ “เป็นตัวของตัวเองดีกว่า ไม่ต้องมาตามเอาใจฉันหรอก”

 

 

แลนซ์ไม่ได้โต้ตอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก “ออกไปซื้อของสำหรับเตรียมเปิดร้านกันเถอะ”

 

 

เมื่อเห็นว่าเขาปัดตกประเด็นนี้ไป ผมเลยไม่พูดถึงอีกจากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะหยอกเพิ่มอีกนิดหน่อย

 

 

ตอนแรกที่มาอยู่ด้วยกันผมยังคิดว่าเขาไม่น่าคบหาหรือเข้าใกล้อยู่เลย ทว่าพออยู่ด้วยกันนานๆ ผมก็เริ่มรู้สึกเอ็นดูเขาขึ้นมาบ้าง

 

 

--------------------------------------------------------

 

มือแลนซ์ในตอนนี้ = หนวด

 

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ติดตามครับ

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด