✁ ความลับของช่างตัดเสื้อ (BDSM) ✁ ตอน 37 [The end] (update 22/11/2021)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✁ ความลับของช่างตัดเสื้อ (BDSM) ✁ ตอน 37 [The end] (update 22/11/2021)  (อ่าน 24166 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ช่วงนี้ชีวิตบีมดีมากเลยค่ะ พ่อแม่เข้าใจ มีนัทคอยอยู่เคียงข้าง
เอ็นดูบีมที่ความคิดเปลี่ยนไปบ้างแล้ว และค่อยๆ เติบโต

ขอให้การกลับบ้านครั้งนี้ ลบเลือนความทรงจำไม่ดีในอดีตนะคะ

หวังว่าแก้วคงไม่มีอะไรแอบแฝงนะ เพราะบีมโทรหาหลายรอบ
พึ่งมารับตอนใช้อีกเบอร์ และกลับมาถึงบ้าน

สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้เป็นปีที่ดีและมีความสุขในทุกวันค่ะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 24


หลังจากกลับมาอยู่ในเขตชนบท เสียงนกร้องถือเป็นนาฬิกาปลุกชั้นดี เวลานี้บีมจึงพยายามยืดเส้นยืดสายให้สาแก่ใจ แต่ทว่ากลับไม่อาจทำได้ เพราะข้อมือข้างหนึ่งถูกกุญแจมือพันธนาการไว้กับขาโต๊ะ
 
ด้วยความงัวเงียและไม่ค่อยคุ้นชินกับแสงสว่างยามเช้า บีมจึงหรี่ตาควานหาลูกกุญแจท่ามกลางอุปกรณ์ตัดเย็บอันระเกะระกะ เนื่องจากหลายวันมานี้สถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อนมากที่สุดคือโต๊ะทำงาน เพราะบีมมีเวลาไม่มากแล้ว ซึ่งการนอนหลับไม่ได้เกิดจากความเต็มใจแต่อย่างใด

“ทำไมบ้านนั้นถึงได้ดูเงียบเหงานัก หรือพี่แก้วจะอยู่ที่บ้านของว่าที่สามี” กระทั่งสายตากลับคืนสู่สภาพปกติ บีมจึงมองออกไปยังนอกหน้าต่างพร้อมวิจารณ์สถานการณ์ของบ้านตรงข้ามด้วยความแปลกใจ เพราะบีมลองสังเกตมาหลายวันแล้ว ไม่ว่าจะตอนเช้าหรือตอนกลางคืน บ้านของพี่แก้วก็ยังคงเงียบสงัดราวกับไม่มีผู้พักอาศัย

“บีมแม่เอามื้อเช้าวางไว้ที่ระเบียงนะลูก” เมื่อได้ยินเสียงแม่ที่เพิ่งจะกลับมาจากการกรีดยาง เจ้าของห้องเสื้อจึงชะโงกหน้าออกไปยังนอกหน้าต่างพร้อมร้องตะโกนในเชิงรับรู้ จากนั้นบีมจึงรีบไปล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อเตรียมทานมื้อเช้าริมระเบียงเหมือนทุกวัน


กระทั่งได้เวลาลิ้มรสแกงอ่อมไก่ที่แม่เตรียมให้ บีมจึงถ่ายรูปบรรยากาศริมบึงส่งไปให้ท่านประธานอิจฉาเล่น เพราะเวลานี้วิวทิวทัศน์ที่บีมได้สัมผัสคือธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยนกกระยางสีขาวกำลังโบยบินหาอาหารท่ามกลางดงบัวแดงอันละลานตา

“วันนี้ไม่มีประชุมเหรอครับ” บีมตัดสินใจส่งข้อความเสียงทันทีที่อีกฝ่ายเปิดอ่าน

‘กำลังจะประชุมครับ’ เมื่ออีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาแค่นั้น บีมก็ไม่คิดจะรบกวนเวลาอันแสนวุ่นวายอีกต่อไป มื้อเช้าจึงพร่องลงอย่างรวดเร็ว

ไม่นานแม่ก็ตามมาเก็บจานชามถึงที่ คงเพราะเห็นว่าบีมยังไม่แอบไปเก็บล้างที่ห้องครัวเหมือนทุกวัน โดยอ้อมมาทางด้านหลังของตัวบ้านที่เต็มไปด้วยสวนยางพาราสูงตระหง่าน เพราะตรงส่วนของระเบียงชมบัวจะมีบันไดประมาณสองสามขั้นเชื่อมกับทางเดินของห้องครัวบ้านใหญ่

หลังจากนั้นบีมจึงใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก เพราะช่วงเวลาที่ยาวนานกำลังจะถูกจับจองโดยชุดแต่งงานของพี่แก้ว ส่วนวันพรุ่งนี้บีมมีแพลนจะร่วมพรีเซนต์คอลเลกชันใหม่กับฝ่ายขาย เนื่องจากเครือข่ายที่ใช้ได้ดียังคงเป็นแบรนด์เดิม

ซึ่งบีมใช้เวลาทุ่มเทอยู่กับการทำงานจนแสงอาทิตย์เริ่มอาบไล้เข้ามายังห้องตัดเสื้อจึงต้องย้ายหุ่นโชว์ไปไว้มุมอื่น จากนั้นเก้าอี้พลันถูกลากมายังฝั่งที่มีการใช้ผ้าลูกไม้ต่างผ้าม่าน แสงแดดจึงไม่อาจสาดส่องได้อย่างเต็มที่

ขณะเดียวกันเสียงเพลงบรรเลงจากฝีมือของคุณนัทที่เคยอัดไว้ยังคงดังระงมสลับกับเสียงของจักรเย็บผ้าที่ใช้ในการประกอบชิ้นส่วนของชุดวิวาห์ไม่แปรเปลี่ยน นับเป็นบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย ต่างกันแค่มื้อกลางวันไม่ใช่คุณนัทที่ทำหน้าที่เป็นไลน์แมน

“ช่วงนี้ประชุมบ่อยเลยนะครับ กำลังจะเปิดสาขาใหม่หรือเปล่า” บีมเอ่ยถามคนปลายสายในระหว่างทานมื้อกลางวันตรงบริเวณปากประตูระเบียงชมบึง เนื่องจากช่วงเวลาเที่ยงวันแบบนี้ แสงแดดแรงกล้าเกินกว่าจะไปนั่งกินบนโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ที่ไม่ค่อยสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย เจ้าของห้องเสื้อจึงต้องทนนั่งกินกับพื้น เพราะไม่อยากให้กลิ่นอาหารไปติดตามเสื้อผ้า ขณะใส่หูฟังไร้สายที่เพิ่งจะค้นเจอในกระเป๋า

‘ใช่ครับ วางแผนจะเปิดแถวภาคอีสานกับภาคใต้เพิ่มอีกแห่ง’ จากคำตอบของคุณนัททำให้บีมนึกถึงช่วงเวลาที่ขับผ่านบริเวณตัวเมือง 

“ถ้าหากผมจำไม่ผิด สาขาแถวบ้านผมกำลังจะเปิดให้บริการอาทิตย์หน้า” บีมยังคงชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ขณะนั่งกินตำข้าวปุ้น กุ้งสดฝีมือแม่อย่างเอร็ดอร่อย

‘ครับ คุณมีน กุลนิษฐ์ แล้วก็คุณเจมส์ อชิระก็ไปร่วมงานเปิดตัวด้วย คุณรู้จักหรือเปล่า’ คุณนัทเอ่ยถามราวกับเป็นผู้คร่ำหวอดแห่งวงการบันเทิง แต่เปล่าเลยเจ้าตัวไม่เคยสนใจเลยสักนิด ถ้าหากไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน

“รู้สิครับ เพราะพี่มีนเป็นทั้งเพื่อนแล้วก็พี่สาวที่ดีที่สุดสำหรับผม ต่อให้เรามีเวลาให้กันมากน้อยแค่ไหน แต่พอเจอกันช่องว่างก็ไม่เคยเพิ่มขึ้น ที่สำคัญเธอเป็นคนเดียวที่ผมไว้วางใจมาตลอด จนกระทั่งมีคุณก้าวเข้ามาความไว้วางใจของผมเลยถูกแบ่งออกเป็นสอง” บีมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาปลายสายหลุดหัวเราะด้วยความเก้อเขิน

“ส่วนคุณเจมส์ เป็นดอมคนแรกของผม” บีมบอกกล่าวโดยไม่คิดปิดบัง เพราะการเพลย์สำหรับบีมคือวิธีการคลายเครียดอย่างหนึ่ง 

‘ถ้าอย่างนั้นผมยิ่งต้องรีบเคลียร์ตารางงานให้ว่าง จะได้ไปขอบคุณที่เขาประกาศสละโสดจนทำให้คุณต้องมาหาดอมคนใหม่’ สิ้นคำกล่าวจากบุคคลปลายสาย บีมก็ได้แต่กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม

“คุณนัทพูดจริงหรือพูดเล่นครับเนี่ย” กระทั่งเผลอหัวเราะออกมาครู่หนึ่ง บีมจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

‘จริงครึ่งหนึ่งไม่จริงครึ่งหนึ่งครับ เพราะผมต้องไปดูงานอยู่แล้ว จูเลียตอย่างคุณจะแอบมาหาโรมิโออย่างผมได้หรือเปล่าครับ’ คุณนัทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนบีมสามารถจินตนาการสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายได้

“คุณทำให้ผมคิดถึงขนาดนี้ ถ้าหากผมละทิ้งโอกาสนี้ไปคงจะเสียดายแย่” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกเก้อเขินกับคำพูดของตัวเอง

‘ผมต้องไปทำงานแล้วล่ะครับ สักสองทุ่มผมจะโทรไปหาใหม่ ส่วนเรื่องร้านคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะช่วยดูให้’ คุณนัทกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งเร่งรีบ บีมจึงได้แต่เอ่ยขอบคุณเป็นการปิดท้าย ซึ่งมันก็พอดีกับจังหวะที่แม่เดินกลับมารับถาดเหล็กไปเก็บล้าง ซึ่งมื้อนี้บีมยังไม่ทันแย่งหน้าที่ล้างจานเหมือนทุกวัน เพราะมัวแต่คุยกับคุณนัทจนเลยเวลา และแม่ก็ไม่ยอมให้บีมเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ คงเพราะเข้าใจว่าการตัดชุดแต่งงานต้องใช้เวลา

“ตอนเย็นแม่ไม่ต้องยกมาให้บีมนะครับ บีมจะไปนั่งร่วมวงด้วย” ทันทีที่ได้ยินบีมเอื้อนเอ่ยออกไปแบบนั้น แม่ที่กำลังเดินทิ้งห่างจากบันไดระเบียงชมบึงไปกว่าครึ่งก็หันกลับมามองด้วยความแปลกใจ

“พอดีบีมมีอะไรอยากจะให้พ่อกับแม่ดู” ผู้เป็นลูกบอกกล่าวด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม เพราะวันนี้บีมได้รับสเตทเม้นท์เกี่ยวกับรายได้ของห้องเสื้ออิสระจากทางธนาคารแล้ว

“ได้สิ เดี๋ยวแม่จองที่ไว้ให้” สิ้นคำตอบรับของแม่ สมองของบีมก็คล้ายกับจะหยุดโฟกัสอยู่ที่ช่วงเวลานั้น เพราะบีมยังจดจำรอยยิ้มและท่าทางกระตือรือร้นได้


กระทั่งการปักลวดลายลงบนตัวเสื้อโดยใช้วิธีซ่อนด้ายเสร็จสิ้น บีมก็ยืนบิดขี้เกียจอยู่หลายที เพราะร่างกายเหนื่อยล้ามาตั้งแต่เริ่มกลึงผ้าลูกไม้ที่จะต้องอาศัยความพิถีพิถัน

“หกโมงเย็นแล้วเหรอ” บีมอุทานอย่างไม่อยากเชื่อว่าเวลาจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมเดินตรงไปยังห้องนอน เพื่อใช้เส้นทางบริเวณระเบียงริมบึงที่เชื่อมกับเขตบ้านใหญ่จึงสวนทางกับแม่ที่มาตามไปกินข้าว

“บีมทำให้ทุกคนต้องรอหรือเปล่าครับ” เจ้าของห้องเสื้อเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ เพราะถ้าหากตัวเสื้อยังไม่เสร็จสิ้น ป่านนี้บีมอาจจะยังง่วนอยู่กับการตัดเย็บจนหลงลืมเรื่องราวที่เคยพูดกับแม่ตั้งแต่ช่วงบ่าย

“ไม่หรอก ปกติพ่อกับแม่ก็กินมื้อเย็นกันประมาณนี้”  แม่เอ่ยตอบพลางยกยิ้ม บีมจึงเริ่มสบายใจมากขึ้น

“วันนี้ที่บ้านเราดูคึกคักเป็นพิเศษเลยนะครับ” บีมเปรยขึ้นด้วยความอึดอัด แต่เพราะลั่นวาจาไปแล้วจึงต้องเดินหน้าอย่างกล้าหาญ

“เพราะวันนี้ไร่ของเราเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวโพดไปบ้างแล้ว แม่กับพวกน้าพินเลยต้องทำมื้อเย็นเลี้ยงพวกเขาเยอะหน่อย ฤดูเก็บเกี่ยวคราวหน้าจะได้ไม่ต้องควานหาแรงงานให้เสียเวลา” บีมพยักหน้ารับฟังโดยไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่ในหัวกำลังคิดวิเคราะห์อย่างละเอียด

“แม่หมายถึงบ้านเราจ้างแรงงานชั่วคราวด้วยใช่ไหมครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความสนใจ เพราะจากคำพูดของแม่ ทำให้บีมคาดเดาว่ากลุ่มคนที่มาสร้างความแตกแยกให้กับครอบครัว อาจไม่ใช่เหล่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและคนงานกว่าสามสิบชีวิตที่มารับหน้าที่กรีดยาง แต่กลับเป็นแรงงานชั่วคราวที่มาช่วยเก็บเกี่ยวข้าวโพดเสียมากกว่า

“ใช่จ้ะ” ทันทีที่แม่เฉลยคำตอบ บีมก็เดินเข้าไปยังใต้ถุนบ้านที่มีการจัดแบ่งอาหารเป็นกลุ่ม ๆ ราวกับโต๊ะจีนมื้อใหญ่ โดยบีมนั่งร่วมวงกับพ่อแม่รวมถึงเหล่าผู้ใหญ่บ้านและภรรยาที่อาจจะพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทของพวกท่าน เพราะบีมคุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุด แถมพวกเขายังเดินขึ้นเดินลงบนชั้นสองของตัวบ้านอยู่บ่อยครั้ง และยังคอยเอาใจใส่ความรู้สึกของบีมราวเป็นลูกหลานของตัวเอง ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ยังคงเป็นเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ในอดีตดวงตาของบีมยังถูกบดบังด้วยอคติของการเหมารวม

“ว่าแต่บีมมีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ล่ะ” จนกระทั่งพ่อเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา บีมถึงได้เงยหน้าจากมื้ออาหารแสนอบอุ่นที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินมากนัก เพราะเดิมทีบีมไม่ชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่ บวกกับยังไม่สนิทใจต่อพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้

“พอดีบีมเพิ่งได้รับสเตทเม้นท์เกี่ยวกับรายรับของห้องเสื้ออิสระก็เลยอยากจะเอามาให้พ่อกับแม่ดู จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าบีมจะลำบาก” เจ้าของห้องเสื้อกล่าวพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ เพราะบรรยากาศรอบกายที่ดูวุ่นวายกลับเงียบสนิท คล้ายกับทุกคนให้ความสนใจคำพูดของบีมยิ่งกว่ามื้ออาหารในครั้งนี้

“โห รายได้เยอะขนาดนี้เชียว” หลังจากแม่หยิบโทรศัพท์ของบีมไปดูแล้วส่งต่อให้พ่อ กลุ่มคนที่บีมเคยปรามาสว่าไร้ซึ่งความเกรงใจกลับไม่คิดละลาบละล้วง ผิดกับผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่บีมคาดว่าน่าจะเป็นแรงงานชั่วคราว เพราะทันทีที่ได้ยินพ่ออุทานก็รีบเข้ามารุมล้อมด้วยความสนใจ

“ทำไมรายได้มันแตกต่างกับยายผมที่เป็นช่างตัดเสื้อขนาดนั้นล่ะลุงผู้ใหญ่” ชายหนุ่มที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับบีมกล่าวด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ หลังจากถือวิสาสะลอบมองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่กระนั้นบีมก็ไม่ได้รู้สึกขวางหูขวางตาอะไร เพราะวิธีนี้ถือเป็นการป่าวประกาศที่ค่อนข้างได้ผล นับว่าไม่เสียแรงที่บีมก้าวเดินออกมาจากเซฟโซนของตัวเอง

“ก็ห้องเสื้อของเจ้าบีมมันอยู่ในห้างหรู ๆ ไม่ได้รับตัดแก้ตามแบบที่ลูกค้ารายเล็ก ๆ อย่างยายเอ็งต้องการนี่หว่า” แม่เอ่ยตอบอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งมันทำให้บีมถูกความสุขอัดแน่นจนเต็มอก

“ร้านของเจ้าบีมนี่นะ หรูหราไฮโซสุด ๆ แถมยังออกแบบเป็นคอลเลกชันตามฤดูกาลเหมือนพวกฝรั่งด้วย” บีมเหลือบมองแม่ที่กำลังขยายความเรื่องห้องเสื้ออิสระอย่างออกรส รอยยิ้มจึงประดับตรงมุมปาก ขณะที่สองข้างแก้มยังคงเต็มไปด้วยปลาส้มแบบแผ่นและข้าวเหนียวปั้นก้อนหนึ่ง

“ลูกชายผู้ใหญ่หนุ่ยเก่งจริง ๆ เลยนะ” บีมได้แต่ยิ้มรับอย่างไม่ค่อยคุ้นชิน เมื่อถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เคยเห็นหน้าค่าตามาบ้างแล้ว แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเป็นเรื่องราวเอ่ยชม

“ใช่ ๆ แบบนี้ผู้ใหญ่หนุ่ยกับเจ๊นุ้ยคงสบายไปทั้งชาติ ไหนจะมีธุรกิจของลูกชาย แล้วยังมีสวนยางพารากับข้าวโพดอีกตั้งหลายไร่ พวกฉันคงได้แต่พึ่งใบบุญแล้ว” เหล่าคนงานในความดูแลของพ่อกับแม่เอื้อนเอ่ยด้วยความจริงใจ หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะมองเป็นการประจบประแจงก็ย่อมได้ เพียงแต่ยิ่งอยู่นานบีมกลับยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองมากขึ้น จึงแอบกระซิบถามแม่ว่าคนกลุ่มไหนเป็นแรงงานชั่วคราว เนื่องจากมีคนคนหนึ่งที่บีมจดจำใบหน้าและคำพูดของมันได้

จนกระทั่งอาหารมื้อค่ำอันแสนคึกคักจบลง ผู้คนที่เคยมารวมตัวกันจนละลานตาจึงเริ่มทยอยกลับบ้าน บีมกับแม่และเหล่าภรรยาของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีกสี่คนจึงทยอยขนย้ายจานชามไปยังด้านหลังบริเวณห้องครัวเพื่อทำการเก็บล้าง เพียงแต่คราวนี้แม่ไม่ยอมให้บีมช่วยเหลือเหมือนแต่ก่อน อาจเพราะบีมยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเลยไม่อยากให้เสียเวลา

บีมจึงอดจะโต้แย้งไม่ได้ เพราะจานชามในวันนี้กองพะเนินจนบีมยังตกใจ ซึ่งถ้าหากบีมไม่ช่วยแม่เก็บล้าง แล้วใครจะมาคอยช่วย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้บีมเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ ซึ่งก็คือตอนนั้นบีมยังเด็กแม่เลยอยากให้ช่วยทำงานบ้าน ส่วนวันนี้พวกน้า ๆ จะคอยช่วยแม่เก็บล้างเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งท่าทีแสนเป็นกันเองของพ่อกับแม่ ทำให้บีมรับรู้ได้ว่าพวกท่านให้ความสำคัญกับเพื่อนกลุ่มนี้และเหล่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน

เพียงแต่จุดเริ่มที่ทำให้มุมมองดี ๆ เริ่มห่างหาย กลับมาจากแรงงานชั่วคราวเพียงไม่กี่รายที่มาช่วยเก็บเกี่ยวข้าวโพดตามฤดูกาล แถมยังชอบทำตัวสอดรู้สอดเห็นพร้อมกับเอาความหวังดีมาบังหน้า บีมในตอนนั้นที่ยังเป็นเด็กและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจทางการเกษตรของครอบครัว จึงไม่อาจแยกแยะได้ว่าเหล่าคนงานที่คอยเดินเข้าเดินออกภายในตัวบ้าน ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่ม เพราะจำนวนคนมันเยอะมาก และส่วนใหญ่บีมก็มักจะหลบเลี่ยงความอึดอัดด้วยการแอบไปนั่งกินข้าวเพียงลำพังตรงสะพานไม้ข้ามฟากจนเป็นเหตุให้ได้รู้จักกับพี่แก้ว

ทว่าการกลับมาของบีมในคราวนี้ ทำให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ อีกมากมาย เพราะทุกครั้งที่บีมแอบมาล้างจานหลังห้องครัว บีมไม่เคยได้ยินเสียงนินทาเล็ดลอดออกมาจากใต้ถุนบ้านอย่างที่เคยได้ยิน การเหมารวมจึงไม่อาจเกิดขึ้นอีกต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นบีมกลับไปทำงานต่อนะครับ” บีมบอกลาแม่พร้อมกับคนอื่น ๆ ในครัว โดยเลือกใช้เส้นทางที่เชื่อมกับระเบียงริมบึง แต่ท้ายที่สุดกลับเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปทางข้างบ้าน เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามค่ำคืนครู่หนึ่ง เพราะยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าคุณนัทจะโทรหา

“ถ้าชีวิตในเมืองกรุงมันร่ำรวยขนาดนั้น แล้วจะกลับมาอยู่บ้านนอกทำไมจริงไหมป้า” ปลายเท้าที่กำลังเหยียบย่ำลงบนพื้นดินพลันหยุดนิ่ง เมื่อโสตประสาทแห่งการรับรู้ได้ยินถ้อยคำบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับตัวเอง บีมจึงอาศัยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ริมบึงหลบซ่อนกายจากแรงงานชั่วคราวกลุ่มนั้นที่กำลังจะเดินออกจากเขตรั้วบ้าน

“คงจะโดนผู้ชายหลอก แต่ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ล่ะสิ” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเริ่มแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง

“เป็นไปได้ที่สุดเลยป้าแดง พวกตุ๊ดมันก็แบบนี้ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งใช้มาก พ่อกับแม่เลยต้องทำงานงก ๆ อยู่ที่บ้านนอก” สิ้นคำพูดของไอ้พวกปากสว่าง บีมจึงได้แต่ยืนกำหมัดแน่น เพราะคำพูดคำจาเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยความเหยียดหยามจนแสลงหู ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลยสักอย่าง แถมเงินที่พวกมันได้รับส่วนหนึ่งอาจจะมาจากน้ำพักน้ำแรงของบีมก็ได้ เพราะบีมโอนเงินให้พ่อกับแม่ไม่เคยขาด

กระทั่งคุณนัทโทรมาหา บีมจึงหลุดออกจากภวังค์และก้าวเดินเข้าสู่ตัวบ้านอย่างรวดเร็ว

“ตรงเวลาจังครับ” บีมเปิดประเด็นพลางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานพร้อมนำผ้าลูกไม้ที่กำลังบดบังทัศนวิสัยออก พบว่าบ้านของพี่แก้วยังคงเงียบเชียบเหมือนอย่างเคย ข้อสันนิษฐานที่ว่าหญิงสาวคงจะย้ายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งในหมู่บ้านจึงเป็นไปได้มากที่สุด เพราะเท่าที่บีมเคยสอบถามแม่ เจ้าบ่าวเป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้าน เพียงแต่บีมไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนก็เลยไม่เคยได้ยินชื่อ

‘กลัวคุณคิดถึงผมไงครับ’ ทันทีที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำแสนหวาน บีมก็ได้แต่กลั้วหัวเราะด้วยความชอบใจ เพราะช่วงหลังพอได้ยินมาก ๆ เข้า บีมก็เริ่มจะด้านชามากกว่าจะเขินอาย

“วันนี้ผมไปนั่งล้อมวงกินข้าวกับคนอื่น ๆ มาด้วยครับ” พอบทสนทนาเริ่มจะหมดลง บีมจึงเป็นฝ่ายบอกเล่าขึ้นมาบ้าง

‘อึดอัดหรือเปล่าครับ’ คุณนัทเอ่ยถามอย่างรู้ใจ

“ตอนแรกก็อึดอัดนะครับ แต่พอเริ่มเปิดใจกับมุมมองบางอย่าง ความอึดอัดเลยค่อย ๆ เบาบาง เพราะที่จริงสภาพแวดล้อมรอบตัวมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่เป็นผมที่เหมารวมไปเอง” บีมเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มพลางตั้งข้อศอกมองไปยังบึงบัวอันมืดสนิท

“การกลับมาบ้านครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อน ถึงได้เริ่มเข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ต้องคอยอกเอาใจคนอื่นขนาดนั้น เพราะที่จริงแรงงานในแถบนี้หายากมากเลยครับ บวกกับราคายางพาราค่อนข้างตกต่ำ พ่อกับแม่เลยต้องคอยดูแลพวกเขาให้ดีจะได้อยู่ช่วยกันนาน ๆ ส่วนกลุ่มคนที่น่ารังเกียจในสายตาผม กลับเป็นแรงงานชั่วคราวที่มาช่วยเก็บเกี่ยวข้าวโพดไปเสียได้” บีมบอกเล่าด้วยความเหม่อลอย เพราะในใจเผลอนึกไปถึงบทสนทนาลับหลังเหล่านั้น

‘ผมเคยได้ยินมาว่ารายได้จากสวนยางจะต้องแบ่งให้คนงานเกือบครึ่ง ๆ เลยนะครับ’ สิ้นคำบอกเล่าจากคนรัก บีมจึงหวนคิดขึ้นมาได้ว่าครอบครัวของบีมถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของแรงงานกว่าสามสิบชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

ซึ่งถ้าหากบีมทราบรายละเอียดในส่วนนี้ก่อน บีมก็อาจจะแยกแยะดีชั่วได้นานแล้ว เพราะบีมเชื่อว่าพวกน้าพินและคนอื่น ๆ คงไม่กล้าทุบหม้อข้าวของตัวเองด้วยการสร้างความแตกแยกให้กับครอบครัวของนายจ้าง ต่างกับแรงงานชั่วคราวที่ไม่ได้มีความสนิทสนมมากนัก นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดโดยไม่ต้องเกรงใจ 

“วันนี้ผมเอารายได้ไปให้พ่อกับแม่ดูด้วยครับ คุณรู้ไหมว่าพวกท่านแสดงออกยังไง” แต่แล้วบีมก็ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะยังมีอีกเรื่องที่น่ายินดีรอคอยอยู่

‘พวกท่านคงจะชื่นชมคุณไม่หยุด หรือไม่ก็คงจะพูดถึงเรื่องของคุณด้วยสีหน้าแห่งความภาคภูมิใจ’ คุณนัทเอื้อนเอ่ยราวกับเป็นส่วนหนึ่งของผู้ร่วมสถานการณ์เสียอย่างนั้น

“รู้ได้ยังไงครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

‘ฟังจากน้ำเสียงดีใจของคุณ ผมก็รู้คำตอบแล้วครับ’ พอได้รับคำอธิบายบีมก็หัวเราะด้วยความสดใส เพราะบีมยังจดจำช่วงเวลาที่แม่พยายามจะบอกเล่าความแตกต่างระหว่างห้องเสื้ออิสระและร้านตัดเสื้อของใครสักคนที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบได้

“สถานการณ์ของผมกำลังไปได้ดีขนาดนี้ คุณนัทไม่คิดว่าเราสองคนควรจะฉลองกันสักหน่อยเหรอครับ” บีมเอื้อนเอ่ยอย่างมีนัยยะ อาจเพราะภาพรวมในชีวิตกำลังพบเจอแต่เรื่องที่น่ายินดี ถ้อยคำนินทาเมื่อครู่จึงไม่อาจทำให้อารมณ์ขุ่นมัวได้ตลอดรอดฝั่ง

‘เพราะผมรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องที่น่ายินดีแบบนี้ไงครับ ผมถึงได้เตรียมของขวัญไว้ให้คุณล่วงหน้า’ คุณนัทกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ

‘คุณพร้อมที่จะรับของขวัญจากผมหรือยังล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็รีบถอดเสื้อลูกไม้ที่แสนรกตาออกซะ แล้วคลานเข้าไปในห้องนอน ผมจะได้เลือกของขวัญให้คนรักที่แสนเชื่องอย่างคุณได้เร็ว ๆ’ เมื่อชายหนุ่มในมาดของนายท่านสั่งการราวกับตาเห็นจนเสร็จสิ้นก็รีบวางสาย เพื่อวีดิโอคอลไปยังโทรศัพท์อีกเครื่องที่มักจะทำแต่เรื่องสุ่มเสี่ยง

‘เมื่อกลางวันคุณบอกว่าคิดถึงผม เพราะฉะนั้นผมจะให้โอกาสคุณได้แสดงความคิดถึงอย่างเต็มที่ ก่อนอื่นคุณควรจะเขียนความคิดถึงที่มีให้ผมลงบนกระดาษ ผมจะได้มองเห็นความคิดถึงของคุณได้ชัด ๆ’ นายท่านสั่งการด้วยท่าทีที่แสนผ่อนคลาย ขณะจิบแอลกอฮอล์บริเวณเคาน์เตอร์บาร์อันเงียบสงบ


‘ที่รัก.. คุณควรจะเขียนตัวบรรจงสักหน่อย เพราะไม่อย่างนั้นผมอาจจะมองความคิดถึงของคุณเป็นเรื่องชุ่ย ๆ’ กระทั่งบีมเริ่มเขียนถ้อยคำที่อีกฝ่ายสั่งการด้วยความรวดเร็ว ลายมือจึงออกมาในลักษณะไก่เขี่ย บีมเลยต้องฉีกกระดาษทำแพทเทิร์นอีกส่วนหนึ่ง เพื่อเขียนคำคำเดิมลงไป เพียงแต่ต้องใช้เวลามากหน่อย เพราะตอนนี้ภายในห้องตัดเสื้อไม่ได้เปิดไฟสักดวง

‘เขียนเสร็จแล้วคุณก็คาบไว้’ กระทั่งบีมยื่นกระดาษแผ่นดังกล่าวเข้าไปใกล้หน้าจอสี่เหลี่ยมที่กำลังวางตั้งอยู่ตรงแท่นวางโทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน คนในจอสี่เหลี่ยมก็เริ่มสั่งการ

‘เปิดไฟด้วยสิ ผมจะได้เห็นคุณให้ชัดกว่านี้’ ผู้เป็นดอมสั่งการอีกระลอก บีมจึงคาบกระดาษแทนความ ‘คิดถึง’ เดินไปเปิดไฟจนสว่างจ้า ก่อนจะกลับมายืนตรงหน้าจอสี่เหลี่ยมเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไปอย่างชื่นมื่น

‘แก้ผ้าเสียเลยสิ ผมจะได้รู้ว่าร่างกายของคุณมันคิดถึงผมด้วยหรือเปล่า’ สิ้นคำสั่งจากนายท่านหัวใจของบีมก็เริ่มเต้นระรัว เพราะเวลานี้แรงงานกรีดยางยังทยอยกลับบ้านไม่หมด คาดว่าอาจจะกำลังดื่มแอลกอฮอล์กันอยู่ เนื่องจากบีมได้ยินสุ้มเสียงของพ่อและคนอื่น ๆ เล็ดลอดเข้ามายังตัวบ้าน

‘ที่รัก.. คุณทำตัวลีลาแบบนี้ ดูไม่สมกับความคิดถึงที่บรรจงเขียนให้ผมเลยนะ แบบนี้จะไม่ใช่ผมคิดได้ยังไงว่าคุณแอบไปทำตัวร่าน ๆ ลับหลังผม’ นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันคล้ายกับกำลังหึงหวงจนเลือดขึ้นหน้า พลางเคาะปลายนิ้วลงบนเคาน์เตอร์บาร์เพื่อเป็นการกดดัน ขณะที่ความสุขของบีมกำลังตีตื้น เมื่อถ้อยคำหยามเหยียดถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของชายคนรัก

‘ถ้าไม่ใช่ก็ถอดซะ ไม่เห็นต้องเหนียมอายอะไรเลยนี่’ ทันทีที่บีมส่ายหัวจนเส้นผมกระจุยกระจาย นายท่านก็เริ่มเร่งเร้าขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมจิบแอลกอฮอล์ด้วยความสำเริงสำราญ คล้ายกับวันนี้อีกฝ่ายเพียงแค่อยากควบคุมให้บีมต้องเผชิญกับเรื่องที่น่าอับอายจนสาแก่ใจ

‘เดี๋ยวก่อน ผมเปลี่ยนใจแล้ว เรามาเล่นเป่ายิงฉุบกันดีกว่าที่รัก ถ้าหากคุณชนะก็ไม่ต้องถอด แต่ถ้าหากคุณแพ้ต้องถอดออกทีละชิ้น เพียงแต่คุณจะมีโอกาสเสี่ยงโชคแค่ 3 ครั้ง’ นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความสุนทรีย์ ซ้ำยังใช้แววตาฉ่ำเยิ้มมองมาอย่างเปิดเผย บีมจึงเริ่มรู้สึกสนใจต่อเงื่อนไขดังกล่าว เพราะมันมีช่องโหว่ที่อาจจะทำให้บีมไม่ต้องเปิดเปลือยล่อนจ้อนอย่างที่คิด นับว่าเป็นการแข่งขันที่ค่อนข้างท้าทายอย่างบอกไม่ถูก

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 11:23:22 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
‘ที่รัก.. คุณนี่มันขี้อ่อยจังเลยนะ ทำเป็นออกค้อนหลังจากที่ผมออกกระดาษแบบนี้ได้ยังไง’ ทันทีที่รู้ผลแพ้ชนะในรอบแรก อีกฝ่ายก็รีบปรามาสอย่างรวดเร็ว

“ถ้าไม่มีหลักฐาน ไม่ควรปรักปรำกันนะครับ” บีมรั้งกระดาษออกจากริมฝีปากพร้อมวางลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แต่ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความอภิรมย์

‘ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบถอดกางเกงขาสั้นออกเสียสิ ผมจะได้รีบหาหลักฐาน’ ชายหนุ่มจากเมืองกรุงเอ่ยท้าทาย ซ้ำยังยักคิ้วอย่างเป็นต่อ บีมจึงไม่รอช้าที่จะปลดเปลื้องปราการชิ้นแรกออกจากร่างด้วยความอ้อยอิ่ง

‘หึ เห็นได้ชัด คุณกำลังเรียกร้องความสนใจจากผม’ ทันทีที่รู้ผลแพ้ชนะในรอบที่สอง ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจพลันขบขันต่อลูกเล่นแสนแพรวพราวของบีมอีกหน

“ผมจะถอดแล้วนะครับ จับตาหาหลักฐานให้ดี ๆ นะครับนายท่าน” บีมกล่าวพลางจับชายเสื้อลูกไม้ที่ไม่ได้มีความเปิดเผยเนื้อหนังอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมทำเป็นเล่นหูเล่นตาใส่บุคคลในหน้าจอสี่เหลี่ยมด้วยความเย้าหยอก

‘ที่รัก.. คุณมัวแต่ลีลาจนผมอยากจะฟาดก้นสั่งสอนสักที’ นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับรำคาญเต็มที แต่ทว่านัยน์ตาสีนิลกลับพราวระยับแข่งกับแสงไฟบนยอดตึกด้านหลัง

“ผมดื้อขนาดนี้ คุณยังอยากจะฟาดผมแค่ทีเดียวเองเหรอครับ แย่จัง.. ขนาดตัวผมยังรู้สึกว่าคุณควรจะลงโทษให้ก้นลายไปเลย” บีมยังคงต่อล้อต่อเถียง ซ้ำยังหันหลังโชว์สะโพกกลมสวยภายใต้อันเดอร์แวร์สีขาวสะอาดตา พร้อมปลดเปลื้องอาภรณ์เบื้องบนออกจากเรือนกายด้วยความเชื่องช้า ก่อนจะหันหน้ามาให้อีกฝ่ายเชยชมยอดอกสวยอย่างกระจ่างชัด

กระทั่งผลของการเสี่ยงทายในครั้งสุดท้ายเริ่มปรากฏ ริมฝีปากของบีมจึงวาดเป็นรอยยิ้ม พร้อมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้บุคคลในหน้าจอสี่เหลี่ยม ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนเสียดายว่า “น่าเสียดายจังครับ ตานี้คุณแพ้ผมแล้ว”

‘จริงอยู่ว่าผมแพ้ แต่คุณก็ขัดคำสั่งผมไม่ใช่เหรอ.. ใครอนุญาตให้คุณเลิกคาบกระดาษความในใจไม่ทราบ ผมว่าคุณรีบเปลื้องผ้าเสียเถอะ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำอีกเลย’ นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยสีหน้าของคนเหนือกว่า ซ้ำยังใช้สายตาออกคำสั่ง บีมจึงต้องเปิดเปลือยเรือนร่างทุกซอกทุกมุมอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะบีมสุดแสนจะเต็มใจทำตามกฏกติกา

‘ดีมาก พาผมไปเลือกของขวัญให้คุณได้แล้วที่รัก’ สิ้นคำสั่งของนายท่าน บีมจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องโปรดและคลานสี่ขาไปยังห้องนอนอันเงียบสงัดที่มีเพียงแสงจันทร์เล็ดลอดผ่านจากประตูระเบียงกระจก

‘วางผมไว้ตรงข้างตู้เสื้อผ้าสิ ส่วนคุณก็คลานกลับไปคาบกระดาษความในใจเข้ามาด้วย’ เมื่อได้รับคำสั่งบีมจึงรีบคลานกลับไปยังโต๊ะทำงานด้วยความว่าง่าย สะโพกกลมมนจึงลอยเด่นอยู่ท่ามกลางห้องหับอันเงียบสงัด ก่อนจะแสดงตัวอย่างชัดแจ้งเมื่อดวงไฟสีขาวสว่างอาบไล้ผิวกาย เพียงแต่ชายหนุ่มภายในหน้าจอสี่เหลี่ยมไม่อาจมองเห็นภาพที่แสนงดงามดังกล่าว เนื่องจากวิถีของมุมกล้องไม่ได้ครอบคลุมไปถึงบริเวณโต๊ะทำงาน

‘ที่รัก.. คุณคลานได้เซ็กซี่มาก ดูสะโพกของคุณสิ มันส่ายไปส่ายมาจนผมอยากจะฝากรอยมือไว้จริง ๆ’ ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำแสนจาบจ้วง ความรู้สึกของบีมก็คล้ายกับถูกปลดแอก ยอดอกพลันแข็งขืน ขณะที่ช่วงล่างกลับเริ่มแตกตื่น

‘นี่เราเพิ่งจะห่างกันแค่อาทิตย์กว่าเองนะ ร่างกายของคุณ หัวใจของคุณก็เอาแต่คิดถึงผมขนาดนี้เชียวเหรอ’ สุ้มเสียงจากวีดิโอคอลยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งชัดแจ้งเมื่อบีมเริ่มคลานเข้ามายังห้องนอน ขณะที่ถ้อยคำแห่งความพึงพอใจของนายท่านกลับทำให้บีมเม้มริมฝีปากด้วยความหวามไหว แผ่นกระดาษจึงเริ่มเปียกยุ่ยจนเสียรูปทรง

‘ดูสิ เด็กน้อยของคุณเริ่มจะออกอาการซะแล้วน่ะ แต่จะทำยังไงดีล่ะ ผมเตรียมของขวัญไว้ให้คุณเล่นตั้งเยอะแยะเลย’ กระทั่งบีมวางกระดาษชุ่มน้ำลงบนพื้นตรงหน้าโทรศัพท์เครื่องหรู นายท่านก็เอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำแสนสุภาพ แต่ทว่าแววตากลับจาบจ้วงต่อ ‘เด็กน้อย’ จนบีมเก้อเขิน ซ้ำยังทำเป็นพูดจาเล่นลิ้น เพื่อบอกกล่าวเป็นนัย ๆ ว่าตนเองไม่อยากจะเสียเวลา ‘เลือกของขวัญ’ ไปมากกว่านี้

“เปิดของขวัญก่อนก็ได้ครับ” บีมกล่าวพลางแอบซ่อนใบหน้าด้วยความเอียงอาย แต่กระนั้นช่วงล่างกลับไม่ยอมหลบเลี่ยงต่อวิถีแห่งการมองเห็น ราวกับตั้งใจจะโอ้อวดเสียด้วยซ้ำ มุมปากของผู้เป็นนายจึงอดจะกระตุกยิ้มด้วยความถูกใจไม่ได้

‘หยิบกล่องที่ผมเคยบอกไม่ให้คุณเปิดจนกว่าผมจะสั่งออกมาสิ’ เมื่อได้รับภารกิจใหม่ บีมจึงไม่รอช้าที่จะเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกล่องไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ซ้ำยังมีแม่กุญแจคล้องผูกอย่างแน่นหนา

“กุญแจล่ะครับ” บีมเอ่ยถามหลังจากที่นำกล่องไม้ออกมาวางบนกระดาษบอกความในใจ

‘อยู่ตรงฝากล่องรองเท้าที่ผมใส่โมบายมาให้คุณ’ สิ้นคำตอบบีมก็รีบคลานไปหยิบกล่องดังกล่าวพร้อมเปิดฝาด้วยความสงสัย เพราะบีมจดจำได้ว่าภายในกล่องนั้นไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

‘ข้าง ๆ น่ะ ผมเอาสก๊อตเทปแปะไว้’ จนกระทั่งค้นหากุญแจดอกสำคัญพบ บีมก็ไม่รอช้าที่จะเปิดกล่องของขวัญที่อีกฝ่ายเตรียมให้ด้วยความตื่นเต้น เพราะบีมทราบเป็นอย่างดีว่า ‘สิ่งของ’ ที่อยู่ข้างในไม่ใช่ของขวัญประเภทเดียวกับโมบายแฮนด์เมค

‘ชอบหรือเปล่า ?’ ทันทีที่ของขวัญแสนล้ำค่าปรากฏสู่สายตา นายท่านก็เอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่ ขณะที่บีมได้แต่พิจารณาว่ามันมีอะไรบ้าง

“ชอบครับ” แต่แล้วบีมก็เงยหน้าตอบพร้อมยกยิ้มอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังจ้องมองของขวัญชิ้นสำคัญด้วยแววตาเป็นประกาย ส่งผลให้รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของผู้ให้อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง

‘ใส่สร้อยที่ผมสั่งทำให้คุณก่อนสิ’ ทันทีที่นายท่านเอื้อนเอ่ย บีมจึงเอื้อมไปหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงด้วยความสนใจ ก่อนจะเทบางอย่างที่อยู่ในนั้นลงบนฝ่ามือ พบว่ามันคือสร้อยที่ออกจะประหลาดสักหน่อย เพราะตัวสร้อยไม่ได้มีไว้เพียงประดับลำคอ แต่ยังเผื่อเหลือมาถึงบั้นเอว

‘รีบใส่สิ ผมอยากรู้ว่ามันเหมาะกับคุณหรือเปล่า’ สิ้นคำสั่งบีมจึงลุกขึ้นยืนจนคนในจอสี่เหลี่ยมมองเห็นแค่เพียงปลายเท้า

กระทั่งเสร็จสิ้นบีมจึงเอื้อมหยิบโทรศัพท์เครื่องหรู เพื่ออำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายพิจารณา ซึ่งแววตาของผู้ให้ก็ลากไล้จาบจ้วงตั้งแต่บริเวณบั้นเอวที่มีสร้อยทองเชื่อมกับเพชรเม็ดงามตรงบริเวณกลางอกไปจนถึงเส้นสายตรงบริเวณลำคอ และหยุดลงที่จี้รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันเป็นสร้อยคอแบบสั้นที่อยู่ด้านในสุด

‘คิดไม่ผิดจริง ๆ  มันเหมาะกับคุณมาก วันที่เรานัดเจอกันคุณอย่าลืมใส่มาด้วยล่ะ เวลาที่ผมสั่งให้คุณถอดเสื้อจะได้ยิ่งดูน่าสนใจ’ ผู้เป็นเจ้าของสร้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ ขณะที่สีหน้าและแววตาไม่อาจปิดมิด ส่งผลให้บีมยิ่งรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองมีเสน่ห์มากกว่าทุกวัน ความเพลิดเพลินอันแสนผ่อนคลายจึงดำเนินต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ

‘คุณรีบหยิบของที่น่าสนใจ อย่างเช่น ไวเบรเตอร์กับบัตต์ปลั๊กออกมาสิที่รัก’ ทันทีที่การพิจารณาความงดงามของตัวสร้อยผ่านพ้นไป นายท่านก็สั่งการอย่างต่อเนื่อง บีมจึงหยิบบัตต์ปลั๊กที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ออกมาวางบนเตียงนอน ตามด้วยไวเบรเตอร์แบบเรียวยาวขนาดเล็กอีกหนึ่งอัน และจบลงที่ไวรเบรเตอร์ขนาดปกติอีกหนึ่งอัน

‘ใส่ความคิดถึงของผมลงไปในก้นอันแสนตะกละของคุณสิ’ กระทั่งบีมเงยหน้ามองจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า อีกฝ่ายจึงสั่งการขึ้นมาอีกครั้ง

“ครับ นายท่าน” สิ้นคำตอบรับด้วยความยินดี บีมก็รีบเคลื่อนย้ายนายท่านมาวางบนพื้น ก่อนจะหยิบเจลหล่อลื่นออกมาใช้งานจนบัตต์ปลั๊กชุ่มโชก จากนั้นบีมจึงโอ้อวดสะโพกเปลือยเปล่าให้กับผู้เป็นนาย พลางผลักดันบัตต์ปลั๊กเข้าไปยังช่องทางด้านหลังด้วยความใจเย็นจนสำเร็จ

‘จูบความคิดถึงของผมสักหน่อยสิ’ นายท่านเริ่มสั่งการอย่างต่อเนื่อง เมื่อบีมกำลังจะนำพาความคิดถึงอีกหนึ่งอันเข้าไปทักทายยังความอ่อนนุ่ม บีมจึงต้องล้มตัวนอนราบลงกับพื้นพร้อมจุมพิตไวเบรเตอร์เรียวยาวที่มีขนาดเล็กสุดให้บุคคลปลายสายดูเป็นขวัญตา จากนั้นจึงกลับมานั่งโก้งโค้งเพื่อเตรียมสอดใส่ความคิดถึงที่เพิ่มจำนวน

“อา..นายท่าน..เห็นหรือเปล่าครับ..ผ..ผมตอบรับความคิดถึงของนายท่านแล้ว” บีมเอ่ยถามพลางเอี้ยวตัวมองคนรักด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม เมื่ออารมณ์แห่งความต้องการค่อย ๆ แสดงอำนาจอย่างต่อเนื่อง

‘เห็นสิ มันน่ารักมาก’ สิ้นคำชื่นชมความหวามไหวพลันแล่นริ้วจนเต็มอก ก่อนจะเคลื่อนผ่านไปยังส่วนไวสัมผัส จนบีมเผลอชักพาความคับแน่นด้วยความเพลิดเพลิน

‘ที่รักยังเหลือความคิดถึงจากผมอีกหนึ่งอัน อย่าเพิ่งสนใจเด็กน้อยแสนตะกละของคุณสิ’ สิ้นถ้อยคำนั้นบีมก็รีบผละมือออกจากส่วนอ่อนไหว ขณะพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ก็ช่างยากเย็น

‘เลียมันด้วยความคิดถึงแล้วบอกรักผมสักหน่อยสิ’ ทันทีที่ไวเบรเตอร์อันสุดท้ายปรากฏอยู่ในมือ นายท่านก็เริ่มสั่งการเหมือนทุกครั้ง บีมจึงไล้เลียด้วยความช่ำชอง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยว่า “ผมรักคุณ” ด้วยสีหน้าราวกับถูกความต้องการครอบงำอย่างเต็มรูปแบบ ความคับแน่นของบุคคลปลายสายจึงถูกเร่งเร้าปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว

‘ใส่มันให้ผมดูหน่อยสิที่รัก’ กระทั่งได้รับคำอนุญาตให้ดำเนินการในขั้นตอนถัดไป บีมจึงนั่งโก้งโค้ง พร้อมกับพยายามสอดใส่ความคิดถึงที่ชโลมด้วยเจลหล่อลื่นจนชุ่มโชก

“ผม..ใส่ไม่ได้” บีมบอกกล่าวด้วยความเป็นกังวล

‘ใจเย็น ๆ สิที่รัก คุณต้องทำได้แน่ ๆ’ ทันทีที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย บีมจึงพยายามส่งมอบความคิดถึงของนายท่านเข้าสู่ความอ่อนนุ่มอีกครั้ง แต่ทว่าขนาดของมันกลับใหญ่เกินกว่าจะหาช่องทางเติมเต็ม

“ผมทำไม่ได้” บีมยังคงส่ายหน้าพร้อมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ราวกับว่ามันเริ่มจะคับแน่นจนเกินไป ซึ่งบีมก็ทราบดีว่าความคิดถึงยังสามารถสอดใส่เข้าไปได้ เพียงแต่บีมยังอยากจะออดอ้อนคนรักก็เท่านั้น

‘แต่มันคือความคิดถึงจากผมนะ คุณปฏิเสธได้ลงคอเชียวเหรอ’ สิ้นคำพูดของอีกฝ่าย บีมก็รีบส่ายหน้าระรัวแม้ว่าผู้เป็นนายจะมองไม่เห็น

“ผม..จะพยายาม” บีมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหวิวไหวพลางดึงรั้งความคิดถึงอันที่สองออก ก่อนจะสอดใส่ความคิดถึงลำดับที่สามเข้าไปอย่างเชื่องช้า พลางหอบหายใจถี่ด้วยความหวามไหว

“อา..นายท่าน..เห็นความตั้งใจของผมหรือเปล่าครับ” บีมเอ่ยถามพลางเชิดหน้าด้วยความซาบซ่าน ขณะที่สะโพกกลมสวยกลับอวดโฉมอยู่ตรงหน้ากล้องไม่แปรเปลี่ยน ต่างกันแค่เวลานี้บีมกำลังพยายามส่งความคิดถึงชิ้นสุดท้ายเข้าไปยังตัวตนอย่างตั้งใจ

‘เห็นสิ ก้นของคุณมันตะกละอย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วยที่รัก’ กระทั่งความคิดถึงเข้ามาทักทายจนคับแน่น บีมก็ทิ้งตัวนอนราบลงกับพื้นด้วยความผ่อนคลาย ขณะที่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความสุขจากม่านราคะอย่างเต็มรูปแบบ

‘รีบไปหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องแล้วสั่งให้พวกมันทำงานสิที่รัก’ ทันทีที่ได้รับคำสั่ง บีมจึงต้องก้าวเดินด้วยความกระมิดกระเมี้ยนไปยังโต๊ะทำงาน จากนั้นแข้งขาก็คล้ายกับไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะความเสียวซ่านที่กำลังทำงานเริ่มเข้ามาทักทายจนเกินควร

“อ๊ะ..พวกมัน..” กระทั่งนำพาตัวเองกลับมาหานายท่านตรงบริเวณหน้าตู้เสื้อผ้าได้สำเร็จ บีมจึงรีบออดอ้อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหวามไหวแสนรัญจวนใจ

‘พวกมันทำไมเหรอ ?’ นายท่านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสนเอ็นดู

“พวกมัน..อ๊า..คิดถึงผม..อื้อ..มาก” บีมร้องครวญครางพลางหลับตาปริ้มด้วยความสุขสม ก่อนจะลืมตามองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาหยาดเยิ้ม ราวกับอยากจะถูกกระทำย่ำยีเสียเดี๋ยวนี้

‘อันที่จริงผมยังมีความคิดถึงส่งไปให้เด็กน้อยของคุณอีกนะ อยากได้หรือเปล่าที่รัก’ สิ้นคำถามบีมจึงรีบพยักหน้าด้วยความหวามไหว ขณะบิดเร้ากายด้วยความเสียวซ่าน

‘ถ้าอย่างนั้นก็รีบใส่ความคิดถึงอีกชิ้นหนึ่งให้กับเด็กน้อยของคุณสิ’ ทันทีที่ได้รับคำสั่ง บีมก็รีบคลานเข้าไปหากล่องไม้อันเต็มไปด้วยของขวัญอีกมากมายที่ดูเหมือนว่านายท่านอยากจะใช้มันให้หมดในคืนนี้

‘คุณใส่เป็นหรือเปล่าที่รัก’ ทันทีที่บีมหยิบกระบอกสูญญากาศมาไว้ในครอบครอง นายท่านก็เอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่ บีมจึงพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว พร้อมหอบหายใจจนแผ่นอกกระเพื่อมไหว

‘นอนหันหน้ามาทางผมแล้วรีบใส่มันให้ผมดูสิ’ ผู้เป็นดอมยังคงสั่งการไม่หยุดหย่อน ขณะที่แววตากลับฉายความเอ็นดูอย่างเหลือล้น อาจเพราะการควบคุมให้อีกฝ่ายตกอยู่ม่านกามารมณ์ ถือเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มพึงพอใจยิ่งกว่าการถูกปรนเปรอด้วยความช่ำชอง เพราะนัทหลงใหลช่วงเวลาที่คนรักกำลังตกอยู่ในสภาพอันไร้ยางอายมากที่สุด และจะยิ่งคลั่งไคล้มากขึ้นถ้าหากภาพอันแสนสวยงามเหล่านั้นเกิดจากฝีมือของเขาเอง

“ส..ใส่..อ๊า..แล้ว” บีมเอ่ยเสียงกระเส่า พลางจ้องมองอีกฝ่ายราวกับรอรับคำชมเชย

‘คุณเก่งมากเลยที่รัก ถ้าอย่างนั้นคุณลองเสี่ยงทายสักหน่อยสิว่าผมคิดถึงเด็กน้อยที่แสนตะกละของคุณมากแค่ไหน’ กระทั่งนายท่านเปิดโอกาสให้ทายทัก บีมจึงบีบลูกยางเพื่ออัดลมแห่งความคิดถึงอย่างต่อเนื่องจนความคับแน่นเริ่มขยับขยาย

ทว่าบีมกลับได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนกำลังเดินมาตามเส้นทางที่เชื่อมกับตัวบ้าน บีมจึงรีบลนลานหยิบโทรศัพท์พร้อมเก็บกล่องของขวัญไว้ในตู้เสื้อผ้า ซ้ำยังคอยโผล่หน้าออกไปสังเกตการณ์โดยใช้ประตูตู้เสื้อผ้าเป็นเกาะกำบัง พร้อมกับเม้มริมฝีปากแนบแน่น เมื่อความตื่นเต้นและสถานการณ์สุ่มเสี่ยงกำลังทำให้พลังแห่งการเพลย์ล้นหลามไปด้วยมนต์เสน่ห์แสนเย้ายวน 

จากนั้นบีมจึงตัดสินใจเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าพร้อมกับหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำ เมื่อเงาร่างของหญิงวัยกลางคนทอดตัวลงมายังระเบียงไม้ที่มีแสงจันทร์เล็ดลอดผ่านมาถึงด้านใน

“บีม” ทันทีที่แม่เอื้อนเอ่ย ลมหายใจของบีมก็เริ่มทำหน้าที่ด้วยความบกพร่อง ฝ่ามือพลันเย็นเฉียบเมื่อเหงื่อไหลซึม

“แม่เอานมมาให้..” เสียงของแม่ดูเหมือนจะอยู่ในห้องตัดเสื้อ แต่ทว่าจุดประสงค์ของแม่กลับทำให้บีมนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่ช่วงที่แม่พาพี่แก้วมาวัดตัว นมอุ่นก็มักจะถูกนำมาเสิร์ฟทุกค่ำคืน เพราะแม่อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวพูดคุยและเฝ้ามองบีมในมาดของช่างตัดเสื้อ

“แปลกจริง นอนแล้วเหรอ” ดูเหมือนแม่จะเดินกลับมายังห้องนอนด้วยความสงสัย หัวใจของบีมจึงยิ่งดิ้นพล่าน แต่ทว่าความหวามไหวกลับทวีคูณ บีมจึงได้แต่เม้มปากแน่น เพราะหวาดกลัวว่าจะเผลอเปล่งเสียงแปลก ๆ ออกไป สีหน้าแห่งความเสียวซ่านจึงเปล่งประกายอย่างงดงามท่ามกลางความมืดที่มีเพียงผู้เป็นดอมที่ได้เห็น แถมแข้งขาก็ยังสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม เนื่องจากบีมไม่อาจทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นไม้เรียบเนียนได้อย่างสะดวกใจ เมื่อความคิดถึงของชายคนรักยังคงอัดแน่นเสียขนาดนั้น

'ออกไปบอกแม่ของคุณสิว่าไม่ต้องเก็บนมกลับไป’ สิ้นคำสั่งบีมได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ พลางหายใจหอบถี่มากขึ้นทุกขณะ เมื่อจินตนาการไปถึงเรือนร่างของตัวเองที่กำลังแต่งแต้มไปด้วยของเล่นสุดหรรษา

“ผม..ไม่กล้า” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วราวกับขนนกพลางส่ายหน้าด้วยความหวามไหวและหวั่นกลัว แต่กระนั้นหัวใจกลับรู้สึกวูบวาบเสียจนปฏิเสธไม่ได้ว่าบีมชื่นชอบการลิ้มรสความรู้สึกของการตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มากแค่ไหน

‘หน้าไม่อาย’ จึงเป็นคำเดียวที่บีมใช้ปรามาสตัวเองได้

‘ที่รักของผมปกติใจกล้าจะตายไป ขนาดอยู่ที่ลานจอดรถในร้านอาหาร คุณยังแสดงความสามารถตั้งเยอะแยะ น่าเอ็นดูจังเลยนะ.. ให้รองเท้าของผมปลุกความใจกล้าของคุณสักหน่อยดีหรือเปล่า’ สุ้มเสียงของนายท่านในเวลานี้แผ่วเบาราวกับกระซิบกระซาบ เพราะบีมเป็นฝ่ายลดโวลุ่มด้วยตัวเอง จากนั้นบีมจึงขยับตัวเพียงเล็กน้อย เพื่อให้สะดวกต่อการปลอบโยนที่แสนเมตตา เนื่องจากบีมรู้ดีว่าคุณนัทไม่เคยทำอะไรที่เกินลิมิต ดังนั้นคำสั่งดังกล่าวก็เป็นเพียงการกระตุ้นอารมณ์วาบหวามให้พุ่งสูง

‘ใช้ลิ้นเล็ก ๆ แสนช่ำชองของคุณเลียมันสิที่รัก เลียให้เหมือนกับตอนที่คุณอยากจะปรนนิบัติผมน่ะ’ สิ้นคำสั่งอันแสนเรียบง่าย บีมจึงโอ้อวดปลายลิ้นให้บุคคลในหน้าจอสี่เหลี่ยมได้เห็น ก่อนจะเล็มไล้รองเท้าหนังที่นายท่านนำมาให้ด้วยความคิดถึง สลับกับร้องครวญครางในลำคอด้วยความระมัดระวัง เพราะแม่ยังคงอยู่ในห้องตัดเสื้อ

‘จูบมันสักหน่อยสิ’ หลังจากได้รับคำสั่งบีมก็รีบชักพาริมฝีปากเข้าไปจุมพิตบริเวณด้านในของรองเท้าอย่างไม่นึกรังเกียจ ซ้ำยังแนบใบหน้าลงบนรองเท้าหนังคู่นั้นด้วยความหลงใหล แววตาฉ่ำเยิ้มพลันเปล่งประกายเสียจนผู้เป็นดอมนึกอิจฉาโดเรม่อนที่มีประตูวิเศษเปิดว๊าบดังใจหมาย

‘ผมคิดว่าคุณควรจะออกไปดื่มนมที่แม่ของคุณเตรียมมาให้สักหน่อยนะที่รัก’ กระทั่งเสียงฝีเท้าของแม่เคลื่อนผ่านบริเวณห้องนอนและตามมาด้วยเสียงเปิดปิดประตูระเบียงผ่านพ้นไปสักพักใหญ่ นายท่านก็เริ่มสั่งการที่แสนผาดโผนขึ้นมาอีกครั้ง บีมเลยค่อย ๆ แง้มประตูตู้เสื้อผ้าพร้อมโผล่หน้าออกไปสังเกตการณ์ จนกระทั่งความเงียบสงัดเข้ามาทักทาย บีมจึงพานายท่านออกมาจากที่ซ่อนตัวด้วยความรู้สึกโล่งอก

‘รีบคลานเข้าไปสิที่รัก’ ชายหนุ่มจากเมืองกรุงเริ่มสั่งการขึ้นมาอีกครั้ง บีมจึงต้องรีบคืบคลานเข้าไปยังห้องทำงานที่บัดนี้ไม่ได้สว่างไสวเหมือนวินาทีแรก พร้อมเปล่งเสียงครวญครางด้วยความซาบซ่านอย่างเต็มรูปแบบ

‘เทลงบนพื้นสิที่รัก’ กระทั่งคุณนัทสั่งการด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ บีมจึงหลุดออกจากภวังค์เพียงชั่วคราว เนื่องจากข้าวของที่อยู่บนโต๊ะทำงานคล้ายกับถูกรื้อค้นจนสับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างเห็นได้ชัด

‘ที่รักคุณกำลังดื้อดึงกับผมอีกแล้วนะ’ เมื่อฝ่ายดอมเล็งเห็นคนในอาณัติยังทำเป็นหูทวนลมจึงเริ่มกดเสียงต่ำลงอีกครั้ง

“ขอโทษครับ” สิ้นการแสดงความรู้สึกผิด บีมจึงรีบเทนมสดอุ่น ๆ ลงบนพื้นในระยะที่แสงจันทร์เล็ดลอดผ่าน จากนั้นจึงหยิบแท่นวางโทรศัพท์ลงมายังพื้นเบื้องล่าง เพื่อที่นายท่านจะได้มองเห็นท่าทางแสนเชื่องได้อย่างชัดแจ้ง

‘สภาพมอมแมมของคุณในตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงคลิปที่ลูกแมวกำลังดื่มนมพร้อมกับแม่ของมันเลย เพราะตัวแม่มันตะกละ จนทำให้ใบหน้าของตัวลูกเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำนม ต่างกันแค่พอเป็นคุณ ผมกลับนึกถึงภาพที่ความสุขของผมกำลังรินรดอยู่บนใบหน้าของคุณด้วยความภาคภูมิใจ’ นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยความเอ็นดู แต่ทว่าวาจากลับสร้างภาพแห่งจินตนาการให้เตลิดเปิดเปิง บีมจึงยิ่งเร่งเร้าจังหวะของการตวัดลิ้นเล็มไล้นมอุ่นร้อนด้วยความเอาใจ ขณะที่ความความคิดถึงจากนายท่านยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้บางครั้งบีมไม่อาจทรงตัวได้อย่างมั่นคง ใบหน้าของบีมจึงคลุกเคล้านมสดอุ่น ๆ ด้วยความหวามไหว

‘รีบดื่มให้หมดสิ ผมยังมีความคิดถึงอีกกระบุงใหญ่ให้คุณได้ลิ้มลองนะที่รัก’

“ค..อ๊า..ครับ” บีมเอ่ยตอบรับอย่างกระตือรือร้นพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ทว่าความหวิวไหวทั้งสรรพางค์กายกลับเป็นอุปสรรค จนสุดท้ายสะโพกกลมสวยก็จำต้องโยกย้ายด้วยความเสียวซ่าน เพราะมันถูกปลุกเร้าเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว

‘เก่งมาก เอาความคิดถึงของผมออกสิ’ กระทั่งบีมดื่มนมของแม่จนหมดนายท่านก็สั่งการเป็นลำดับต่อมาด้วยความใจเย็น

‘เล่นกับเด็กน้อยของคุณพร้อมกับคลานไปหยิบดิลโด้ที่ผมเพิ่งสั่งมาให้คุณโดยเฉพาะสิที่รัก แต่คุณห้ามปลดปล่อยก่อนที่ผมจะอนุญาตล่ะ’ สิ้นคำสั่งนั้นบีมจึงหยอกล้อความคับแน่นที่วันนี้อ่อนไหวยิ่งกว่าวันไหน ๆ เพราะทันทีที่สัมผัส บีมก็แทบจะปลดปล่อยความสุขสมออกมาจนหมดสิ้น

‘ชอบหรือเปล่า’ กระทั่งของเล่นสุดหรรษาปรากฏสู่สายตา นายท่านก็เอ่ยถามอย่างเอาใจใส่

“ช..ชอบครับ” บีมเอ่ยตอบเสียงแผ่ว เพราะขนาดของมันใหญ่เกินกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่ารูปลักษณ์ของมันคล้ายกับส่วนแข็งแกร่งของอาชาวัยเจริญพันธุ์ แถมยังมีสายยางลำเลียงอะไรบางอย่างพ่วงมาด้วย บีมจึงรับรู้ได้ทันทีว่าอุปกรณ์หรรษาชนิดนี้ มาพร้อมกับออฟชั่นเสริมที่น่าสนใจ

‘อันที่จริงผมไม่น่าถามคุณเลยที่รัก เพราะก้นที่แสนตะกละของคุณ มันบอกผมตั้งแต่แรกแล้ว’ นายท่านยังคงเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ขณะที่แอลกอฮอล์ก็พร่องลงไปมาก

‘หยิบความคิดถึงที่มากล้นของผม ไปตั้งไว้ตรงหน้าประตูบ้านของคุณ แล้วขย่มมันด้วยความเร่าร้อนสักหน่อยสิ’ สิ้นคำสั่งนั้นบีมก็รีบนำพาอุปกรณ์ดังกล่าวไปวางตั้งตรงบริเวณที่แสงจันทร์เล็ดลอดผ่าน พร้อมนำโทรศัพท์วางลงบนแท่นวางอย่างไม่รีบร้อน คล้ายกับต้องการถ่วงเวลาให้ผู้เป็นนายรู้สึกอยากจะสั่งสอนอีกสักที

‘ให้ผมได้เห็นความคิดถึงของตัวเองตอนที่กำลังทักทายคุณอย่างเต็มรูปแบบจะดีกว่านะที่รัก’ ทันทีที่นายท่านเอื้อนเอ่ยแบบนั้น บีมจึงรีบเคลื่อนย้ายมุมกล้องเสียใหม่ จากนั้นจึงเริ่มฉีดเจลหล่อลื่นลำเลียงไปตามสายยาง จนกระทั่งดิลโด้แท่งนั้นปลดปล่อยของเหลวออกมาจนชื้นแฉะ นัยน์ตาวาววับของบีมจึงเปล่งประกายด้วยความสนใจ

‘ผมอดใจไม่ไหวแล้วล่ะที่รัก คุณอย่าลีลาอีกเลย’ เมื่อผู้เป็นดอมเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างนั้น บีมจึงไม่รอช้าที่จะนำพาความอ่อนนุ่มเข้าไปทักทายความคิดถึงอันมากล้นของอีกฝ่าย

“อา..มัน..แน่นมาก” กระทั่งบีมคล่อย ๆ กลืนกินความคิดถึงชิ้นดังกล่าวด้วยความตะกละตะกลาม สุ้มเสียงแห่งความหวามไหวพลันเปล่งประกายอย่างไม่อาจหักห้าม ขณะที่ใบหน้ากำลังเชิดตรงด้วยความเสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก

‘ถึงมันจะคับแน่นมาก แต่ก้นขี้ตะกละของคุณมันกลืนกินจนหมดแล้วนะ’ สิ้นถ้อยคำของคนรัก บีมจึงเริ่มไหวเอนราวกับกำลังนั่งควบอยู่บนหลังอาชาที่กำลังพุ่งทยานออกไปข้างหน้าด้วยความสง่าผ่าเผย

‘คุณเซ็กซี่เป็นบ้าเลยที่รัก’ ยิ่งได้รับคำชมบีมกลับยิ่งเพิ่มเรี่ยวแรงมากขึ้น สุ้มเสียงพลันเปล่งประกายด้วยความไพเราะ ขณะที่เสี้ยวหน้ายังคงเต็มไปด้วยความหวามไหว เพราะบีมไม่อาจอดกลั้นความต้องการไม่ให้ปลดปล่อย

‘ให้ตายเถอะ ผมเห็นความสุขของคุณพุ่งทยานอย่างน่าไม่อายเลยนะนั่น’ เมื่อได้ยินสุ้มเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยแซว บีมก็พลันเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก เพราะเมื่อครู่มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริง ๆ และหลักฐานก็ยังปรากฏอยู่บนประตูกระจกอย่างชัดแจ้ง

‘ครางดัง ๆ สิ คุณก็รู้ว่าผมชอบฟังเสียงร่าน ๆ ของคุณแค่ไหน’ สิ้นถ้อยคำอันแสนหยาบโลน ร่างกายของบีมก็พลันร้อนระอุอย่างบอกไม่ถูก ช่วงล่างจึงเริ่มควบขี่ด้วยความเชี่ยวชาญ

“อ๊ะ..อ๊า..ผมกำลังจะ..อื้อ..ปลดปล่อยอีกแล้ว” ทันทีที่บีมเอื้อนเอ่ยออกมาแบบนั้น ฝ่ามือก็พลันสูบฉีดสารหล่อลื่นไม่ยั้ง จนกระทั่งมันปลดปล่อยเข้ามายังความอ่อนนุ่มจนเต็มเปี่ยม บีมจึงอาศัยจังหวะที่กำลังจะปลดปล่อยอวดโฉมความตะกละตะกลามของตัวเองให้อีกฝ่ายดูเป็นขวัญตา ซึ่งมันก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นนายอย่างเหลือล้น

‘ที่รักความคิดถึงของผมทำให้ก้นที่แสนตะกละของคุณคลั่งไคล้จนแทบบ้าเลยให้ตายสิ แล้วแบบนี้ตัวตนของผมยังจะมีความหมายอยู่อีกเหรอ’ บีมได้แต่หอบหายใจ ขณะฟังถ้อยคำแสนลามกที่เต็มไปด้วยความสุขสมของอีกฝ่าย

“มีสิครับ เพราะผมชอบสัมผัสจากคุณมากที่สุด”



--------------------------✁

[1] ข้าวปุ้น คือ ขนมจีนในภาษาอีสาน

แวะมาเพิ่มแผนที่บ้านของบีมตามที่มีคนรีเควชมาค่ะ
https://imgur.com/ay8cJdd


มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้อาจจะลงลึกเรื่องปมอีกหน่อย

และตามมาด้วยการเพลย์ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นซีนสุดท้ายก่อนปิดเรื่องหรือเปล่า 555

เพราะจากที่วางแผนไว้ไป ๆ มา ๆ มันเหมาะกับการแก้ปมอย่างเดียวแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 11:46:21 โดย Chomin »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
แย่แล้วๆ เปลี่ยนสถานที่และห่างกันหลายวัน ยิ่งคึกมากจ้า
แม่ก็มาได้จังหวะมากเลย อย่าพาหลอนหลายรอบนะคะ 5555

บีมโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจ และมีนัทคอยสนับสนุนเสมอ
บีมได้เปิดโลกและเข้าใจมุมมองอื่นเยอะขึ้น
ความคิดก็บวกมากขึ้น เอ็นดูน้อง

แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีค่ะ เหมือนงานแก้วหรือบ้านแก้ว มีเงื่อนงำ


ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 25

เช้าวันนี้บีมตื่นขึ้นมาด้วยความเมื่อยขบ แต่กระนั้นก็ยังไม่ทรมานไปกว่าอาการบาดเจ็บตรงบริเวณข้อมือ บีมจึงนิ่วหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปลดปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้จูเลียตกลับมาคลั่งไคล้เดรสลูกไม้อีกครั้ง คงเป็นเพราะแม่ต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะทำงาน

ความกังวลใจจึงกลับกลายเป็นม่านหมอกอันหนาทึบ เนื่องจากหัวข้อที่เคยปัดตกกำลังถูกนำมาประกอบการพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมันก็เป็นไปได้ว่าแม่อาจจะเห็นรูปแสนอนาจารนั่น เพียงแต่ยังระบุไม่ได้ว่าบุคคลในภาพเป็นใคร โทรศัพท์จึงตกอยู่ในความสนใจของแม่ เพราะทุกครั้งที่แม่เอานมมาให้ก็จะอยู่คุยเล่นกับบีมครู่หนึ่ง เพียงแต่ตำแหน่งที่แม่ปักหลักมักจะอยู่ไม่ไกลจากโทรศัพท์มากนัก หรือบางทีแม่อาจจะกำลังสงสัยว่าบีมเอาแต่คุยโทรศัพท์กับใคร ซึ่งถ้าหากเป็นเพราะอย่างหลังจริงบีมจะยิ่งสบายใจมาก

เนื่องจากบีมครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้วว่าจะไม่ปิดบังตัวตนที่แท้จริง แต่จะให้เดินดุ่ม ๆ ไปบอกพ่อกับแม่ว่า บีมยังชื่นชอบผู้ชายด้วยกันเหมือนอย่างเคย แถมยังพัฒนาจนถึงขั้นคบหาดูใจกับนักธุรกิจท่านหนึ่งก็ออกจะขวานผ่าซากเกินไปหน่อย บีมจึงค่อย ๆ ชักนำคุณนัทก้าวเข้าสู่การรับรู้ของแม่ทีละนิด เพื่อที่พวกท่านจะได้มองเห็นความเอาใจใส่และความพึ่งพาได้ของอีกฝ่าย

แต่แล้วบีมก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะทุกความกังวลล้วนเกิดจากการคาดเดาทั้งสิ้น บีมจึงตัดสินลุกออกจากเตียงเพื่อไปล้างหน้าแปรงฟัน โดยไม่ลืมเช็คข้อความจากคนรักเหมือนอย่างเคย เพราะบีมเชื่อว่าท่าทีต่อต้านการพันธนาการ คงจะอยู่ในความรับรู้ของคุณนัท ซึ่งก็เดาไม่ผิดไปจากความจริงนัก บีมเลยเผลอยกยิ้มจนเต็มแก้มเมื่อได้อ่านข้อความดังกล่าวที่มีใจความว่า..

‘อย่าลืมทายานะครับ ผมเป็นห่วงคุณนะ’


กระทั่งจัดการตัวเองเรียบร้อย บีมก็เดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่เพื่อค้นหาอุปกรณ์ทำแผล ซึ่งบ้านไม้ยกสูงในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เพราะแม่ออกไปกรีดยางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนพ่อคงจะออกไปปฏิบัติงานที่ไหนสักแห่ง

“นี่แม่นุ้ย อย่าหาว่าฉันจุ้นจ้านเลยนะ ทำไมไม่ให้ลูกชายมาช่วยกรีดยางล่ะ เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านแบบนี้ใช้ไม่ได้เลย” สิ้นเสียงของหญิงวัยกลางคนที่ชื่อป้าแดง จังหวะการก้าวเดินลงจากบันไดก็มีอันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะพาตัวเองกลับไปแอบซ่อนตัวอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน แม้ว่าเจ้าของบทสนทนาจะกำลังพูดคุยอยู่ในส่วนของห้องครัวระหว่างเติมน้ำใส่กระติกเก็บความเย็นขนาดใหญ่ก็ตามที

“เจ้าบีมกลับมาพักผ่อนที่บ้านทั้งที คงไม่เหมาะมั้งป้าแดง” คำตอบของแม่ทำเอาบีมยิ่งขมวดคิ้วหนัก เพราะจุดประสงค์ของการกลับมาก็เห็น ๆ กันอยู่ แต่ทำไมทุกคนถึงได้ทำราวกับว่างานแต่งของพี่แก้วไม่มีอยู่จริง

“พักผ่อนจนเกือบจะครึ่งเดือนขนาดนี้ คงไม่ใช่แล้วมั้งแม่นุ้ย พูดก็พูดเถอะ หลานคนเล็กของฉันไปทำงานที่กรุงเทพจะลาแต่ละทีก็แสนลำบาก” ป้าแดงเริ่มชี้แนะอย่างคนรู้มาก แต่บีมกลับขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด เพราะอะไรบางอย่างกำลังร้องตะโกนอยู่ในใจว่า งานแต่งงานของพี่แก้วต้องมีความลับอะไรสักอย่างเพียงแต่บีมยังคาดเดาไม่ออก

“เจ้าบีมมันเป็นเจ้าของห้องเสื้อนี่ป้า จะหยุดจะลาตอนไหนก็ไม่ใช่ปัญหา” สิ้นคำพูดของแม่ ริมฝีปากของบีมก็เริ่มคลายยิ้ม แต่กระนั้นในอกกลับร้อนรุ่มด้วยความไม่สบายใจ

“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่แม่นุ้ยลองคิดดูนะ ถ้ากิจการกำลังไปได้ดีจริง ๆ จะกลับมานั่งแกล่วอยู่ที่บ้านทำไม สู้ฉวยโอกาสทำเงินไม่ดีกว่าเหรอ ดูอย่างหลานคนโตของฉันสิ ไปได้ผัวดีที่กรุงเทพ เปิดโรงแรมเสียใหญ่โต ต้องคอยบริหารอยู่ตลอด จะกลับบ้านแต่ละทีมีแต่จะห่วงหน้าพะวงหลัง” ฟังไปฟังมาบีมกลับรู้สึกว่าป้าแดงกำลังโอ้อวดบรรดาหลาน ๆ ของตัวเองเสียอย่างนั้น แต่ทว่าหัวข้อสนทนาดังกล่าวกลับสอดคล้องต่อคำนินทาของแรงงานชั่วคราวกลุ่มนั้นที่แปลความหมายได้ไม่ต่างกับบีมกลับมาเกาะพ่อแม่กิน

“ร้านของเจ้าบีมหรูหราขนาดนั้น ถ้าหากจะเลิกกิจการง่าย ๆ นะป้า ขาดทุนตายชัก มันสร้างของมันมากับมือ ฉันเชื่อว่ามันคงไม่ปล่อยให้พังลงกับตาหรอก ต่อให้อยู่ที่ไหนคนมันอยากจะพัฒนามันก็พัฒนาได้ทั้งนั้นแหละป้า อีกอย่างเทคโนโลยีมันไปไกลแล้ว วันก่อนฉันยังเห็นเจ้าบีมวีดิโอคอลคุยกับพวกพนักงานของห้องเสื้ออยู่เลย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจในต้นประโยคใส่ป้าแดง ถือเป็นสัญญาณอันดีที่อาชีพดีไซเนอร์ได้รับการยอมรับจากครอบครัวอย่างแท้จริง

แต่พอนำทุกเรื่องราวมาผนวกกัน บีมกลับไม่สบายใจเลยสักนิด เพราะบ้านหลังข้าง ๆ ยังเต็มไปด้วยความน่าสงสัย ที่บีมไม่อาจหาคำตอบได้อย่างแน่ชัด ว่าพี่แก้วอาศัยอยู่ที่บ้านของสามีจริงหรือเปล่า และบีมก็ไม่รู้ว่าจะออกไปค้นหาความจริงได้อย่างไร


กระทั่งพวกท่านกำลังจะกลับไปที่สวนยาง บีมจึงรีบวิ่งลงจากบันไดชั้นสองของตัวบ้าน

“แม่” ทันทีที่บีมเอื้อนเอ่ย แม่ดูจะตกใจไม่น้อย แต่กระนั้นก็ใช้เวลาปรับตัวเพียงไม่นาน

“ว่าไงบีม” แม่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะที่สองมือไม่ได้ห่างจากการขนย้ายกระติกใบโตขึ้นสู่รถพ่วงข้าง

“บีมขอยืมกล่องปฐมพยาบาลหน่อยนะครับ พอดีเป็นแผล” เจ้าของห้องเสื้อกล่าวพลางยกกล่องยาสามัญประจำบ้านให้ผู้เป็นแม่เห็น บาดแผลจึงปรากฏอย่างชัดแจ้ง

“ทำไมข้อมือถึงได้เป็นแบบนั้นล่ะบีม” แม่ถลาเข้ามาถามด้วยความห่วงใย ขณะที่แววตาเป็นกังวลอย่างปิดไม่มิด

“พอดีบีมต้องเร่งตัดชุดแต่งงานให้พี่แก้วเลยทำให้เหนื่อยจนนอนละเมอฟาดหัวเตียงมั้งครับ” บีมบอกกล่าวความจริงเพียงกึ่งหนึ่ง พร้อมช้อนสายตามองผู้เป็นแม่และป้าแดงที่อยู่ไม่ไกลนัก

“งั้นก็รีบไปทำแผลเถอะ” แต่แล้วแม่ก็เริ่มรุนหลังให้บีมเดินกลับไปยังบ้านหลังเล็กเพื่อนั่งทำแผล ซึ่งบีมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ขณะที่จังหวะการก้าวเดินยังคงเชื่องช้าคล้ายกับเฝ้ารอเบาะแสชิ้นต่อไป

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม นอกเสียจากเสียงเครื่องยนต์ขับเคลื่อนตรงไปยังสวนยาพาราอันกว้างใหญ่


ซึ่งการทำงานของบีมในวันนี้ ล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคกว่าที่คิด เพราะข้อมือได้รับบาดเจ็บและสมองก็เต็มไปด้วยความกังวล แต่กระนั้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าคุณนัท บีมจำเป็นต้องปรับสีหน้าให้ร่าเริงเข้าไว้ เพราะบีมไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามจะปกปิดก็ยิ่งปิดไม่มิด เวลานี้ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจจึงบรรเลงบทเพลงอันแสนผ่อนคลายให้บีมฟังระหว่างตัดเย็บกระโปรงจากเนื้อผ้าทูลที่ใช้เป็นซับในตั้งแต่เช้าจดค่ำ

จากนั้นผ้าลูกไม้ก็ถูกนำมาตัดเย็บเป็นกระโปรงชั้นนอกเป็นลำดับต่อไป เพียงแต่ในวินาทีนี้ สมองของบีมคล้ายกับเริ่มปลอดโปร่ง เพราะได้รับการปัดเป่าความไม่สบายใจออกเพียงชั่วคราว การตัดเย็บจึงคืบหน้าไปมากโข เวลาเที่ยงคืนแบบนี้จึงทำให้บีมนำชิ้นส่วนท่อนบนและล่างสวมทับลงบนหุ่นโชว์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนพิจารณาอยู่นานสองนาน จึงก้มลงจัดชายกระโปรงด้วยความประณีต

‘ดูเหมือนใกล้จะเสร็จแล้วนะครับ’ ทันทีที่คุณนัทเอื้อนเอ่ย บีมจึงหันกลับไปมองหน้าจอโทรศัพท์ที่วางตั้งไว้บนโต๊ะทำงานพร้อมทั้งสะบัดข้อมือไปมาอยู่หลายครั้ง

“ยังเหลือเก็บรายละเอียดอีกเยอะเลยครับ” บีมกล่าวพลางเดินกลับมานั่งพักที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่าง

‘ข้อมือดูบวม ๆ นะครับ น่าจะเคล็ดแล้วก็ได้แผลด้วย’ อีกฝ่ายเอ่ยอย่างใส่ใจ ซ้ำยังไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

“เทียบกับแผลที่เคยถูกคุณตีแล้ว ครั้งนี้ยังเจ็บน้อยกว่าเยอะ” บีมกล่าวพลางตั้งศอกพร้อมแนบปลายคางลงบนหลังฝ่ามือ ระหว่างกำลังพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยความผ่อนคลาย

‘คุณก็ช่างสรรหาคำพูดมาทำให้ผมสบายใจจริง ๆ เลย’ คุณนัทกล่าวพลางกลั้วหัวเราะจนหัวคิ้วเริ่มคลายตัวออกมาบ้าง

“ผมพูดจริง ๆ นะครับ” บีมแย้งเสียงอ่อนพร้อมยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ขณะที่แววตากำลังปรือปรอย เพราะหลายวันมานี้ได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง

“จะตีหนึ่งแล้ว คุณรีบไปนอนดีกว่าครับ ผมว่าจะเก็บรายละเอียดอีกนิดก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน” บีมเสนอความคิดเห็นเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจะหาวหวอดแล้ว

‘เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ ก่อนนอนอย่าลืมใส่กุญแจมือด้วยนะ’ สิ้นถ้อยคำห่วงใย บีมจึงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน จากนั้นก็เริ่มตัดแต่งชายกระโปรงอย่างตั้งใจ พร้อมกับพยายามกลั้นหาวจนน้ำตาไหลจึงต้องคอยสะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุนเป็นระยะ เพราะมันอาจจะทำให้การเล็มชายกระโปรงเกิดข้อผิดพลาด


กระทั่งไก่ขันเป็นสัญญาณบอกถึงเช้าวันใหม่ เจ้าของห้องเสื้อแบรนด์อิสระจึงละมือออกจากชุดแต่งงานของพี่สาวข้างบ้าน สองเท้าพลันเหยียบย่ำอย่างเชื่องช้า ขณะที่แผ่นหลังกลับตั้งตรงราวกับหุ่นยนต์ ส่วนนัยน์ตาสุขใสกลับเต็มไปด้วยหลุมดำอันวูบโหวง คล้ายกับเจ้าตัวยังคงหลงใหลอยู่ในห้วงนิทรา

“เสื้อลูกไม้” สุ้มเสียงราบเรียบเอื้อนเอ่ย พลางมองซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนก คล้ายกับไม่เห็นตู้เสื้อผ้าอันแสนคุ้นเคย ส่งผลให้ชายหนุ่มในหน้าจอสี่เหลี่ยมพลันตื่นจากนิทราอย่างรวดเร็ว เพราะตั้งแต่ทราบว่าคนรักมีอาการเดินละเมอก็ไม่เคยมีค่ำคืนใดหลับใหลได้อย่างสนิทใจ

‘บีม!’ ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจตะโกนลั่นด้วยความร้อนรน แต่ทว่าสุ้มเสียงนั้นดูเหมือนจะส่งไปไม่ถึงใครอีกคน

‘ที่รักรับสายสิ’ ชายหนุ่มเมืองกรุงได้แต่เดินวนไปวนมาในห้องอย่างนั่งไม่ติดที่ เมื่อเสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายกำลังแผดลั่น แต่ทว่าผู้เป็นเจ้าของกลับไม่ให้ความสนใจ

จนกระทั่งปลายเท้าของคนรักหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชุดแต่งงานที่ยังไม่เสร็จสิ้น ความร้อนรนก็เริ่มเบาบาง อาจเพราะนัทยังจดจำได้ดีว่าทันทีที่ได้รับคำชื่นชม อีกฝ่ายก็จะหวนกลับสู่ห้วงแห่งนิทราที่ควรเป็น

นัทจึงเฝ้ามองคนรักในคราบของจูเลียตด้วยความเงียบสงบ โดยที่แววตาคมกริบไม่ขยับเขยื้อนไปจากเรือนร่างเปลือยเปล่าที่กำลังสวมใส่ชุดเจ้าสาวแบบเปิดโชว์แผ่นหลังอย่างตั้งใจ เพราะเนื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ถูกดีไซน์ราวกับปีกบางใสของผีเสื้อ ส่วนช่วงลำตัวมีการเลือกใช้เนื้อผ้าซับในและกระดุมทรงกลมเป็นการปกปิดแผ่นหลังเนียนสวยเพียงเสี้ยวหนึ่ง โดยที่ชิ้นส่วนของตัวเสื้อและกระโปรงยังไม่ได้เย็บติดกัน

‘คุณ..’ แต่ทว่านัทยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยจนจบประโยค บีมในมาดของจูเลียตก็พยายามจะเดินออกจากตัวบ้าน ซ้ำยังปลดล็อกกลอนประตูได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความตึงเครียดจึงเริ่มเร่งเร้าให้ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพราะดูเหมือนว่าภาพฝันของอีกฝ่ายกำลังสั่งการให้เดินไปถามความคิดเห็นจากใครสักคน

ซึ่งจุดหมายปลายทางของร่างเพรียวก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล แต่กลับเป็นชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบีมถึงได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูห้องหมายเลข 005 เพราะอันที่จริงบีมอาจจะต้องการสอบถามความคิดเห็นจากบุคคลสำคัญ แต่เมื่อไม่พบบุคคลที่ต้องการ ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจจึงกลายเป็นหนูทดลองแห่งความมั่นใจ

ไม่นานข้อมือที่ยังคงบาดเจ็บก็สะบัดลงบนประตูไม้บานหนึ่งเป็นจังหวะเรียบง่าย แต่ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเปิดประตูออกมาต้อนรับ จูเลียตคนงามในชุดวิวาห์จึงยืนนิ่งเพียงครู่ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำแสนคุ้นชินว่า “สวยไหม ?”

จากนั้นจึงเดินลงจากบันไดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม คล้ายกับได้รับคำชื่นชมจนพึงพอใจ ชายกระโปรงยาวกรุยกรายจึงกอบโกยเศษใบไม้ตั้งแต่บริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่มาจนถึงบ้านหลังเล็กสีขาวอย่างปลอดภัย ส่งผลให้หัวใจของคนไกลเริ่มจะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูบ้าน

‘ขอโทษครับ ผมโทรผิด’ ชายหนุ่มกล่าวกับมารดาของอีกฝ่ายเพียงแค่นั้นแล้วก็รีบวางสาย เพราะนึกลังเลอยู่นานว่าควรจะขอความช่วยเหลือจากพวกท่านดีหรือเปล่า เพราะอีกใจหนึ่งยังนึกกังวลว่าอาการเดินละเมอจะสร้างปมขัดแย้งที่มากขึ้น เนื่องจากคนรักกำลังทำในสิ่งต้องห้าม แต่กระนั้นใจก็ร้อนรนเกินกว่าจะนิ่งเฉย ท้ายที่สุดจึงต้องยอมโทรหาบุคคลใกล้ชิด เพียงแต่ฝ่ายนั้นกว่าจะรับสายก็เสียเวลาอยู่นาน คงเพราะเป็นช่วงเวลาของการกรีดยาง จึงประจวบเหมาะกับจังหวะที่คนรักเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน ซ้ำยังมุ่งตรงไปยังเตียงนอน นัทจึงต้องยุติความตั้งใจเดิม เพราะบีมเคยย้ำเตือนเอาไว้ว่า เบอร์โทรฉุกเฉินให้โทรได้เฉพาะตอนที่เกิดเหตุอันยากจะควบคุม เนื่องจากเจ้าตัวยังเป็นกังวลว่าพ่อกับแม่จะรับไม่ได้ที่ลูกชายยังชอบสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง

และถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบสุขแล้ว นัทก็ไม่อาจหลับใหลได้อีกต่อไป สองมือพลันยกขึ้นบดบังใบหน้าอย่างคิดไม่ตก เพราะตนเองไม่สามารถปลีกตัวไปเฝ้าระวังให้อีกฝ่ายได้ เนื่องจากภาระงานหลาย ๆ อย่างยังเคลียร์ไม่สำเร็จ แต่เรื่องความปลอดภัยของบีมก็สำคัญ นัทจึงคล้ายกับมืดแปดด้าน น้ำตาแห่งความกังวลจึงไหลรินอย่างไม่อาจห้าม

จนกระทั่งเริ่มคิดไอเดียดี ๆ ออก จิตใจถึงค่อยสงบลง


--------------------------✁


มาอัพแว้ววว เอาจริงๆ หลายตอนมานี้มีคนเดาพฤติกรรมของคุณแม่ถูกด้วยว่าไม่น่าไว้ใจ!
คุณแม่คิดจะทำอะไรกันแน่ ลองเดากันดูจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 12:02:58 โดย Chomin »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เดาแม่ไม่ถูกเลยอ่ะ แต่งานแต่งคงไม่มีแน่ๆใช่มะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ยังไงดีล่ะ สงสารบีมอะ กลับมาคิดมากอีกแล้ว
ขนาดถึงขั้นละเมอตอนเช้า ทั้งที่ยังไม่ได้นอน
เหมือนดับกลางอากาศไปเฉยน่ะ

นัทก็เครียดตามไปอีก ลุ้นว่านัทจะช่วยบีมยังไง

แม่ต้องการอะไรน้า เดายากจังเลยค่ะ
อยากรู้ว่าลูกยังเป็นเหมือนเดิมไหม
อยากรู้ว่าลูกชอบผู้ชายไหม
อยากแยกบีมออกจากนัทหรอ

แล้วชาวบ้านนี่ ปากก็เก็บไว้พูดเรื่องดีๆ บ้างก็ได้ค่ะ



ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 26

การตื่นขึ้นมาพบกับอาการสุ่มเสี่ยงทำให้บีมรู้สึกเคร่งเครียด แต่ก็โชคดีที่คุณนัทช่วยปัดเป่าความไม่สบายใจเหล่านั้น ด้วยการนำเสนอวิธีการเฝ้าระวังอันรัดกุม บีมจึงต้องขับรถเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อไปเลือกซื้อกล้องวงจรปิด ซึ่งคุณนัทก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี เพราะอีกฝ่ายเร่งค้นหาทางออกตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มจะสงบลง

“พี่แก้ว!” บีมลดกระจกลงเมื่อขากลับสายตาสบกับว่าที่เจ้าสาวที่กำลังเดินออกจากสวนยางพารา แต่ทว่าสุ้มเสียงของบีมกลับไม่อาจร้องเรียกความสนใจจากเธอได้ เพราะเวลานี้พี่สาวข้างบ้านและคนงานคนอื่น ๆ กำลังย่ำเท้ามุ่งตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งตรงกันข้าม

“พี่แก้ว!” บีมร้องเรียกสาวเจ้าอีกครั้งพร้อมทั้งบีบแตรเพียงอึดใจ ไม่นานเธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นตระหนก

“มีอะไรหรือเปล่าบีม” กระทั่งข้ามถนนมายังฝั่งสวนยางพาราได้ พี่สาวข้างบ้านก็รีบส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

“ตอนนี้ชุดแต่งงานเหลือแค่เก็บรายละเอียดแล้วครับ บีมเลยอยากให้พี่แก้วมาลองฟิตติ้งดูก่อน ถ้าหากมีส่วนไหนที่ต้องแก้จะได้แก้ทัน” เจ้าของห้องเสื้อรีบชี้แจงอย่างเป็นการเป็นงาน พร้อมกับพิจารณาพี่สาวข้างบ้านด้วยความคลางแคลงใจ เพราะบีมมั่นใจว่าตัวเองร้องเรียกจนสุดเสียง เป็นไปไม่ได้ที่พี่แก้วจะไม่ได้ยิน นอกเสียจากเธอได้ยิน แต่ชื่อเสียงเรียงนามที่เอื้อนเอ่ยไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ

“พรุ่งนี้พี่ค่อยไปลองนะบีม วันนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่” ว่าที่เจ้าสาวเอื้อนเอ่ยพลางแย้มยิ้มด้วยความเกรงใจ

“ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่พี่แก้วไม่กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วเหรอ” เมื่อหมดธุระที่นำมาเป็นข้ออ้าง บีมเลยถือโอกาสถามไถ่เรื่องราวที่ยังค้างคาใจ

“อ้อ.. พี่ย้ายมาอยู่เรือนหอก่อน จะได้ช่วยครอบครัวของแฟนกรีดยางด้วย” พี่แก้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่แววตากลับดูเลิ่กลั่ก

“แบบนี้พี่แก้วก็ไม่ได้กลับไปอยู่ที่กรุงเทพแล้วสิครับ” บีมยังคงตะล่อมถามอย่างใจเย็น เพราะยิ่งได้พูดคุยกลับยิ่งรู้สึกว่าพี่แก้วที่บีมเคยรู้จักแตกต่างกับพี่แก้วคนปัจจุบันราวกับเป็นคนละคน

“อื้อ” หญิงสาวส่งเสียงตอบในลำคอ พลางพยักหน้าอย่างแข็งขัน

“แล้วแบบนี้ไม่กระทบกับโรงเรียนสอนเต้นเหรอครับ” บีมเริ่มปล่อยหมัดฮุกอย่างเต็มรูปแบบ เพราะสิ่งที่ถามไถ่เกิดจากการประติดประต่อเรื่องราวจากความฝันในวัยเด็กของพี่สาวข้างบ้าน แต่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็สุดจะคาดเดา

“โรงเรียนสอนเต้น ? อ้อ.. ไม่กระทบหรอกจ้ะ” สิ้นคำถามสีหน้าของพี่แก้วก็คล้ายกับจะงุนงงและตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แต่แล้วเธอก็คิดหาคำตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเราสองคนจะทำตามความฝันของตัวเองจนสำเร็จ บีมยังจำช่วงเวลาที่พวกเราบอกเล่าความฝันตรงสะพานไม้ข้ามฟากได้อยู่เลย” บีมโป้ปดออกไปเล็กน้อย เพราะถ้าหากหญิงสาวคนนี้คือพี่แก้วตัวจริง จะต้องทราบว่าเราสองคนไม่เคยพูดคุยเกี่ยวกับความฝันอย่างจริงจัง แต่ที่บีมทราบเป็นเพราะเคยถามไถ่ด้วยความสงสัยว่าทำไมพี่แก้วถึงได้ชอบคะยั้นคะยอให้ไปเรียนบัลเล่ต์

“นั่นสินะ เพราะเหตุการณ์เหมือนเพิ่งจะผ่านไปเมื่อวานนี้เอง ถ้าตอนนี้ยังมีสะพานข้ามฟากอยู่ก็คงจะดีเนอะ” สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว บีมก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แต่ทว่าในอกกลับได้รับคำตอบอย่างกระจ่างชัดว่า ‘พี่แก้ว’ ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่พี่สาวข้างบ้านในวันวาน บีมจึงเริ่มเข้าใจความรู้สึกที่ไม่ค่อยสนิทสนมและยากจะเข้าหาในวินาทีแรกได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นงานแต่งที่แม่กล่าวอ้างก็อาจจะไม่มีอยู่จริง


กระทั่งเริ่มตกแต่งรายละเอียดของกระโปรงทรงเอไลน์ด้วยการเย็บมืออย่างประณีตได้สักพัก เสียงเครื่องยนต์ก็ดังระงมจนทั่วบ้าน บีมจึงวางมือจากภาระงานออกไปต้อนรับช่างติดตั้งกล้องวงจรปิด ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจของผู้คนที่มารวมตัวกันตรงบริเวณใต้ถุนบ้านในเวลาพักเที่ยง

ซึ่งบีมไม่ได้เอามาใส่ใจ เพราะต้องรีบนำทางไปยังบริเวณที่ต้องการติดตั้งตามที่คุณนัทแนะนำ แต่ก็นับว่าโชคดีที่พ่อกับแม่ช่วยเดินเรื่องเพื่อขอติดตั้งสัญญาณไวไฟ เพราะตอนที่ประชุมงานผ่านทางอินเตอร์สัญญาณรบกวนค่อนข้างมาก ไม่อย่างนั้นบีมอาจจะรับงานกลับมาดูแลเองค่อนข้างลำบาก

“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้ครับ” หลังจากช่างเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้สักพัก บีมก็ขันอาสานำน้ำมาเสิร์ฟเลยต้องเดินย่ำเท้าตรงไปยังบ้านใหญ่

“อันที่จริงพวกฉันก็ไม่ได้รังเกียจตุ๊ดหรือกระเทยหรอกนะ แต่ดูพฤติกรรมของลูกเธอสิแม่นุ้ย หลงใหลคลั่งไคล้ผู้ชายขนาดไหน ระวังเถอะลูกเธอจะถูกหลอกจนหมดตัว ยิ่งพ่อแม่ห้ามปรามอะไรไม่เคยฟังอยู่ด้วย” หญิงวัยกลางคนเอื้อนเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า แถมยังตัดสินการกระทำของผู้อื่นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด

“เจ้าบีมมันออกไปซื้อกล้องวงจรปิดน่ะป้า ช่างพวกนั้นก็แค่มาติดตั้งให้” แม่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายกับพยายามกดข่มอารมณ์แห่งความไม่พึงพอใจ และยังทราบถึงตัวตนของลูกชายเป็นอย่างดี บีมจึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเคร่งเครียด

“นี่แม่นุ้ยเธอจะแน่ใจได้ยังไง อย่าลืมสิลูกชายเธอควงผู้ชายเป็นว่าเล่นที่กรุงเทพเชียวนะ เธอเองก็เห็นมากับตาว่าหลานฉันไม่ได้ใส่ความ” สิ้นคำพูดของหญิงวัยกลางคน บรรยากาศรอบกายก็คล้ายกับจะเงียบสงัด และบีมก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะก้าวเดิน

“ใช่ ป้านุ้ยไม่น่าใจอ่อนเลย ถ้าส่งไอ้บีมไปรักษาตั้งแต่ตอนนั้นนะ ป่านนี้ก็หายวิปริตผิดธรรมชาติไปแล้ว” สิ้นคำพูดของไอ้โต้ง บีมก็ได้แต่ยืนกำหมัดแน่น พร้อมกับพยายามสูดลมหายใจจนสุดปอด เพราะถ้าหากบีมวู่วามใช้แต่อารมณ์ คนที่จะเดือดร้อนก็เห็นจะหนีไม่พ้นตัวเอง

“ธรรมชาติของเอ็งหรือของเจ้าบีมกันแน่วะไอ้โต้ง จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง” น้าพิมกล่าวพลางใช้มะเหงกเขกหัวไอ้โต้งไม่เบานัก ซึ่งมันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทัศนคติเกี่ยวกับเพศทางเลือกล้วนขึ้นอยู่กับตัวบุคคล 

บีมจึงเดินเข้าไปในครัวอย่างเงียบเชียบเพื่อเทน้ำแข็งใส่กระติก ก่อนจะไปตักน้ำฝนจากในตุ่ม แล้วเดินกลับไปยังบ้านสีขาวหลังเล็กด้วยท่าทีราวกับหุ่นยนต์ โดยไม่มีแม้แต่สุ้มเสียงน่ารำคาญใจจากบริเวณใต้ถุนบ้านให้ได้ยินอีกเลย เพราะบีมกำลังร่วงหล่นไปในหลุมดำแห่งความไม่สบายใจ


กระทั่งกล้องวงจรปิดถูกติดตั้งจนครบถ้วน บีมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงราวกับหมดอาลัยตายอยาก เพราะการกระทำของแม่ดูเหมือนจะตั้งใจเอาเรื่องงานแต่งของพี่แก้วมาบังหน้าเพื่อที่จะแยกบีมออกจากคุณนัท

ซึ่งบีมไม่อยากกระโตกกระตาก และยังมืดแปดต้านอย่างบอกไม่ถูก ในใจจึงเฝ้าแต่นับวันรอให้คุณนัทเดินทางมาร่วมงานเปิดห้างสรรพสินค้าโดยเร็ว ม่านหมอกอันน่าอึดอัดจะได้ถูกปัดเป่าในทิศทางที่เหมาะสม เพราะบีมไม่อยากใช้วิธีแข็งข้อ และยังหวาดกลัวว่าอะไร ๆ จะยิ่งบานปลาย

“ไม่เปิดไฟล่ะบีม” แม่เอ่ยถามพลางเปิดสวิตช์จนทั้งห้องสว่างโล่ บีมจึงหยีตาเล็กน้อย เพราะอยู่กับความมืดมาเนิ่นนาน

“แม่เอามื้อเย็นมาให้ วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างนอกแน่ะ” แม่กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะเดินออกไปยังนอกระเบียงบ้าน คาดว่าคงจะกำลังจุดยากันยุงเตรียมไว้ให้ บีมจึงลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปยืนพิงกรอบประตู ขณะที่ริมฝีปากพลันขยับขึ้นลงคล้ายกับอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก

จนกระทั่งแม่ผละห่างจากระเบียงริมบึงด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม บีมจึงหยุดยืนอยู่ตรงขั้นบันได ขณะที่สายตาได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังของแม่ที่กำลังเดินตรงไปยังห้องครัวของบ้านหลังใหญ่ที่เชื่อมกับบริเวณใต้ถุนบ้านที่ยังเต็มไปด้วยผู้คนมากมายกำลังทานมื้อเย็นกันอย่างคึกคัก

จากนั้นบีมจึงกลับมานั่งทานมื้อเย็นที่ให้ความรู้สึกยากจะกลืนกินจนเสร็จสิ้น เพียงแต่ช่วงเวลานี้ยังเป็นเวลาพักผ่อนของคุณนัท บีมเลยไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก สองเท้าจึงก้าวเดินไปยังห้องครัวเพื่อนำจานชามไปเก็บล้างเหมือนทุกวัน

“จ๊ะเอ๋!” บีมสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ใครบางคนก็ตรงเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง ซ้ำยังกระเส้าเย้าแหย่อย่างสนิทสนม บีมจึงเผลอถองศอกใส่อีกฝ่ายไม่ยั้งเรี่ยวแรงด้วยความตกใจ

“โหย! รุนแรงจังวะ” ไอ้จาหนึ่งในแก๊งค์ที่เคยหมายหัวร้องโอดโอยอย่างมีน้ำโหพลางกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวด

“ก็ไม่ชอบ!” บีมบอกกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะเร่งทำความสะอาดจานชามให้เร็วขึ้น

“อย่าทำฟอร์มไปหน่อยเลยน่า พวกตุ๊ดอย่างมึงชอบอะไรแบบนี้จะตาย ดูอย่างไอ้สินหลานป้าสำอางสิ กระดี้กระด้าฉิบหายเวลาโดนกูกอด” ไอ้จาพูดพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง

“น้องมันอาจจะชอบมึงก็ได้ ถึงได้ยอมให้มึงลวนลาม” บีมตอบโต้อย่างไม่สบอารมณ์และยังบอกเป็นนัย ๆ ว่าไม่ใช่เพศทางเลือกทุกคนจะมีความสุขกับการถูกผู้ชายโอบกอดโดยไม่ยินยอม

“มึงอย่าพูดให้กูขนลุกสิวะ” ไอ้จากล่าวพลางลูบข้างแขนของตัวเองอยู่หลายครั้ง

“สงสารน้องมันนะที่ชอบคนอย่างมึง” บีมกล่าวพลางผลักอีกฝ่ายออกห่าง ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวด้วยความรวดเร็ว เพราะไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานนัก

“หึงกูเหรอว้า เดินส่ายตูดใส่อารมณ์เชียวน้า” บีมได้แต่ส่ายหัวพร้อมทั้งมองบนด้วยความเหนื่อยใจกับคำพูดแสนไร้สาระ เพราะคนอย่างไอ้จาไม่เคยอยู่ในสายตาเลยสักนิด แถมบีมยังทราบดีว่าไอ้จาชอบหยอกล้อแบบนี้ก็เพื่อความบันเทิงส่วนตัว เพียงแต่มันเป็นการล้อเล่นที่บีมไม่โอเค


กระทั่งกลับเข้าสู่เซฟโซนของตัวเองได้ คุณนัทก็วีดิโอคอลมาหาเหมือนทุกวัน ม่านหมอกในจิตใจจึงค่อย ๆ ถูกปัดเป่าโดยไม่รู้ตัว

‘ทำไมวันนี้คุณดูไม่สดใสเลยครับ’ คุณนัทเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง คงเพราะเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ผ่านทางแอปพลิเคชันของกล้องวงจรปิดมาบ้างแล้ว

“พอดีมีเรื่องรบกวนจิตใจนิดหน่อยครับ แต่ว่ามันก็เป็นแค่การคาดเดาของผมเอง” บีมระบายความในใจ ขณะนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง

‘เล่าให้ผมฟังได้นะ’ สิ้นข้อเสนอบีมก็นิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ เพราะลำพังแค่อาการเดินละเมอไปสวมใส่ชุดแต่งงานออกจากบ้านก็น่าเป็นห่วงจะแย่ ขืนบอกว่าพ่อกับแม่ดูเหมือนจะมีเจตนาไม่ดี คุณนัทคงได้กระวนกระวายหนักกว่าเดิม

“เอาไว้ถ้าหากผมแน่ใจมากกว่านี้ ผมจะรีบขอคำปรึกษาจากคุณ” บีมเอื้อนเอ่ยอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้คิดปิดบัง เพียงแต่อยากจะรอเวลาในการตกตะกอนความคิดอีกสักหน่อย

‘แผลที่แขนเป็นยังไงบ้างครับ’ หลังจากคุณนัทพยักหน้ารับฟังอย่างแข็งขันก็ถามไถ่ถึงอาการเจ็บปวดด้วยความห่วงใย

“ดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึงครับ” บีมตอบกลับพลางยกยิ้มให้กับคนในจอสี่เหลี่ยม

‘เดี๋ยวผมเอากุญแจมือหนังไปให้ คุณจะได้ไม่เจ็บตัวอีก’ คุณนัทเริ่มวางแผนอย่างรัดกุม บีมจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะเดิมทีบีมก็ครุ่นคิดอยู่เหมือนกันว่าจูเลียตที่กำลังนอนละเมอจะเอาตัวรอดจากการถูกพันธนาการได้อย่างไร เพียงแต่บีมไม่ทันคาดคิดว่าจูเลียตในตอนนั้นจะทุ่มเทเรี่ยวแรงขัดขืนจนสุดตัว

‘ว่าแต่การตัดเย็บคืบหน้าไปเยอะแล้วเหรอครับ วันนี้ถึงได้มานอนอู้งาน’ คุณนัทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เพราะบีมไม่เคยมีพฤติกรรมเกเรมาก่อน

“ยังหรอกครับ พอดีผมรู้สึกล้า ๆ เลยอยากจะพักสักหน่อย” บีมกล่าวพลางยกยิ้มในความมืด เพราะในใจกำลังซีดเซียวเป็นอย่างมาก

‘ถ้าอย่างนั้นผมเล่นเปียโนกล่อมคุณดีไหมครับ แล้วก็ค่อยปลุกคุณก่อนที่จะเริ่มเดินละเมอสักครึ่งชั่วโมง พอดีผมไปเจอทางออกแบบใหม่มาเลยอยากจะลองเอามาใช้กับคุณว่าจะได้ผลหรือเปล่า’ คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ทำให้บีมรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยมากขึ้น บีมจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย

บานประตูและหน้าต่างจึงถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา จากนั้นเสียงเพลงบรรเลงจึงค่อย ๆ ลอยล่องออกมาจากโทรศัพท์เครื่องเก่ง ขณะที่ดวงตาก็ค่อย ๆ ปิดสนิทจนมองเห็นแพขนตาเรียงตัวสวย เพียงแต่ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้บีมก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอย่างรวดเร็ว

‘ที่รัก..’ กระทั่งเวลาผ่านพ้นไป ชายหนุ่มในจอสี่เหลี่ยมจึงร้องเรียกคนรักด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติ

“อื้อออ” บีมได้แต่พลิกตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ซ้ำยังนำหมอนใบโตมาแนบหู ราวกับมันจะช่วยลดทอนสุ้มเสียงอันรบกวนได้ นัทจึงไม่รอช้าที่จะกระหน่ำโทรเข้าอีกเครื่อง เสียงโทรศัพท์จึงแผดลั่นจนเจ้าของห้องเสื้อไม่อาจซุกตัวอยู่บนเตียงนอนได้อีกต่อไป

‘ลืมตามองผมได้แล้วครับคนขี้เซา’ สิ้นคำกล่าวอันแสนอ่อนหวาน ทำเอาบีมที่กำลังง่วงงุนถึงกับหน้าร้อนเห่อ แต่กระนั้นดวงตากลมสวยก็ไม่วายจะปฏิบัติตามความต้องการของอีกฝ่ายแต่โดยดี รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของคุณนัทจึงฉายชัดอยู่ในความมืด


--------------------------✁


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ทำไมเราถึง "นอนละเมอ?" ควรปลุกให้ตื่นหรือไม่ ? https://www.sanook.com/health/10801/


มาต่อแล้วค่า เฉลยปมออกมาแล้ว อิอิ มีคนเดาถูกมาตั้งแต่แรกเลย
แต่เหตุผลของแม่จะยังเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกชายเป็นเกย์อยู่หรือเปล่าต้องติดตามกันต่อไป~
ส่วนเรื่องที่ชาวบ้านชอบนินทาอันนี้มันจะต่างกับสังคมเมืองอยู่มาก เพราะถ้าเป็นสังคมเมืองจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน
แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดจะค่อนข้างถึงกันหมด เราเลยพยายามจะเขียนทั้งคนที่ดีและไม่ดี เพราะของแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลด้วย ส่วนวิธีการรับมือกับอาการเดินละเมอที่เราเขียนไปในตอนนี้ เราว่ามันต้องอาศัยความเอาใจใส่มาก ๆ เพราะคนทำจะต้องรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะหลับลึกภายในเวลาเท่าไหร่ จากนั้นถึงค่อยปลุกให้ตื่น 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 20:47:28 โดย Chomin »

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นัทน่ารัก 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แม่พาเครียดอีกละ ดีนะที่มีคุณนัทคอยปลอยใจ เมื่อไหร่เค้าจะเจอกัน :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 27

หลังจากการฟิตติ้งชุดแต่งงานครั้งสุดท้ายผ่านพ้นไป การประดับลวดลายอันแสนประณีตก็ดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า เพราะบีมยังมองไม่เห็นความจำเป็นอื่นใดที่จะต้องอดตาหลับขับตานอนให้เสียสุขภาพ แต่กระนั้นบีมก็นึกอยากรู้ว่าแม่จะเดินเกมอย่างไรต่อไป บีมจึงคิดวางแผนอยู่หลายตลบว่าควรจะอาศัยจังหวะนี้พูดคุยกันอย่างเปิดอกดีหรือไม่ อีกอย่างงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้าในเขตตัวเมืองก็ทิ้งช่วงห่างจากกำหนดงานแต่งของพี่แก้วไม่กี่วัน
 
“คุณนัทจะเริ่มเดินทางเมื่อไหร่ครับ” บีมเอ่ยถามเพื่อคำนวณแผนการ ขณะละเลียดมื้อเช้าตรงระเบียงริมบึง ในตำแหน่งที่มองเห็นนกอีแจวสีน้ำตาลปนขาว หางโค้งยาวอย่างเป็นเอกลักษณ์กำลังก้าวเดินอยู่บนใบบัว

‘ผมว่าจะเดินทางล่วงหน้าสักหนึ่งวันครับ จะได้รีบเอากุญแจมือหนังไปให้คุณ’ ปลายสายเอื้อนเอ่ยขณะเปิดเอกสารเป็นระยะ คาดว่าคงไม่มีกิจกรรมเร่งด่วน วันนี้จึงทำงานไปด้วยพูดคุยไปด้วยอย่างผ่อนคลาย

“ผมอยากแนะนำให้คนที่บ้านรู้จักกับคุณ” ทันทีที่บีมพูดถึงประเด็นสำคัญ เสียงวางปากกาก็ดังมาตามสาย บ่งบอกได้ว่าคุณนัททั้งตกใจและจริงจังกับหัวข้อที่ได้รับฟัง

“แม่ของผมดูเหมือนจะรู้เรื่องของเราแล้ว ชุดแต่งงานของพี่แก้วเลยเป็นเหมือนฉากบังหน้า เพื่อที่จะแยกผมออกห่างจากคุณ” บีมกล่าวด้วยความหวั่นใจ แต่ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบอย่างบอกไม่ถูก

‘สาเหตุที่คุณกลับมาเดินละเมอเป็นเพราะเรื่องนี้เหรอครับ’ สุ้มเสียงของคุณนัทแผ่วเบาราวกับจะลอยหายไปในอากาศ คงเพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายคิดว่าการอดหลับอดนอนคือสาเหตุหลัก

“แต่มันอาจจะไม่จริงก็ได้ครับ เพราะทุกอย่างผมแค่คาดเดาและปะติดปะต่อเอาเอง” บีมแก้ตัวอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้สบายใจนัก เนื่องจากมันไม่มีเหตุผลอื่นใดที่แม่จะเลือกใช้งานแต่งของพี่แก้วมาบังหน้า แถมยังแอบจัดหาคนมาสวมรอยเป็นพี่แก้ว ด้วยความมั่นใจว่าบีมกับพี่แก้วไม่เคยพบเจอกันมานานแล้ว บวกกับวัยเด็กและวัยสาวอาจจะมีความแตกต่างกันอย่างก้าวกระโดด ช่องโหว่จึงกว้างใหญ่กว่าที่คาดคิด

“ตั้งแต่กลับมาที่บ้านเกิด ผมก็เริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเราไปบ้างแล้ว เพราะผมตั้งใจจะบอกความจริงกับพวกท่านก่อนจะกลับกรุงเทพ แต่ไหน ๆ คุณก็จะมาเปิดห้างสรรพสินค้าอยู่แล้ว ผมเลยอยากให้คุณแวะมาตรวจดูกล้องวงจรปิด พ่อกับแม่จะได้รู้ว่าผมเป็นโรคเดินละเมอ แต่ก็ยังมีคุณคอยให้ความช่วยเหลือ พวกท่านจะได้วางใจว่าผมสามารถฝากชีวิตไว้กับคุณได้” บีมอธิบายเป็นฉาก ๆ ขณะใช้ปลายนิ้วชี้เกลี่ยหยดน้ำตรงบริเวณข้างแก้ว

‘ถ้าหากคุณพร้อมที่จะบอกความจริงกับพวกท่าน ผมก็พร้อมที่จะสนับสนุนความตั้งใจของคุณ อีกอย่างผมจะได้สบายใจเกี่ยวกับอาการเดินละเมอของคุณด้วย’ คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและจริงจัง บีมจึงมีความมั่นใจมากขึ้น

ส่งผลให้การประดับลวดลายของชุดแต่งงานคล้ายกับเป็นกิจกรรมฆ่าเวลา ขณะเดียวกันอาการเดินละเมอก็เริ่มดีขึ้น เพราะคุณนัทมักจะปลุกให้บีมตื่นหลังจากที่หลับลึกไปสองชั่วโมง แต่ปัญหามักอยู่ตรงที่กว่าบีมจะหลับได้อีกครั้งก็แสนลำบาก


กระทั่งคุณนัทโทรมาสอบถามเส้นทางที่มุ่งตรงสู่อาณาบริเวณของผู้ใหญ่หนุ่ยในเวลาสามโมงเย็น บีมจึงวางมือจากการเนรมิตผ้าคลุมผมสำหรับเจ้าสาวเพื่อออกไปรอรับอีกฝ่าย

“ไปไหนน่ะบีม” แม่ตะโกนถามจากบริเวณใต้ถุนบ้าน ระหว่างเตรียมทำอาหารให้กับเหล่าคนงาน และพ่อที่กำลังนั่งจับกลุ่มปรึกษาภาระงานกับผู้ช่วย   “ออกไปรอรับเพื่อนครับ กลัวว่าจะขับรถเลยบ้าน พอดีบีมให้มาช่วยดูกล้องวงจรปิดว่ามุมที่เซ็ตไว้มันครอบคลุมความปลอดภัยมากแค่ไหน” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยจงใจละทิ้งข้อความอันน่าสงสัย ก่อนจะออกมายืนรอตรงบริเวณหน้าบ้าน พลางเตะก้อนหินสลับกับเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ จากนั้นจึงเบือนหน้าไปยังบริเวณใต้ถุนบ้าน พบว่าแม่กำลังไปรวมกลุ่มกับพ่อและบรรดาผู้ช่วย คาดว่าประเด็นร้อนคงจะหนีไม่พ้นคำพูดของลูกชายเพียงหนึ่งเดียว

ครั้นรถยนต์คันคุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้า บีมจึงรีบโบกมือให้อีกฝ่ายขับเคลื่อนเข้ามายังตัวบ้าน โดยที่ทุกการกระทำตกอยู่ในความสนใจจากผู้คนรอบข้าง บีมจึงรอให้คุณนัทเปิดประตูออกมาทักทาย พร้อมหยิบของชิ้นสำคัญที่แอบซ่อนตัวอยู่ในถุงกระดาษส่งมาให้

“สวัสดีครับ” บีมเดินนำคุณนัทเข้าไปยังใต้ถุนบ้าน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังไหว้ทักทายผู้คนในบริเวณนั้นอย่างคนมากอัธยาศัย

“นี่คุณนัทครับ เป็นเพื่อนของบีมแล้วก็เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่บีมไปเช่าพื้นที่ขาย” บีมแนะนำให้ผู้หลักผู้ใหญ่รู้จักกับชายหนุ่มมาดนักธุรกิจ โดยจงใจให้ทางครอบครัวรับรู้ถึงสถานะที่เกื้อหนุนกัน และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อสนับสนุนสถานะที่แท้จริงให้พวกท่านทราบอย่างเป็นทางการ เพราะคงไม่มีผู้บริหารที่ไหนเข้ามาคลุกคลีกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดขนาดนี้

“ถ้าหากเสร็จธุระแล้ว อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนนะนัท” หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันเบื้องต้นแล้ว พ่อก็ชักชวนให้คุณนัทมาร่วมทานมื้อเย็น ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบรับด้วยความยินดี จากนั้นบีมจึงพาคุณนัทเดินไปยังบ้านสีขาวหลังเล็กตรงริมสระบัว

“บ้านของคุณน่าอยู่มากเลยครับ ถ้าหากพ่อกับแม่แล้วก็คุณย่าของผมมาเห็นเข้า คงจะชอบมากแน่ ๆ” คุณนัทกล่าวพลางกวาดตามองไปยังบึงบัวแดงที่กำลังอาบไล้แสงแดดในยามเย็น

“นั่นสิครับ เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บในบ้านก่อนดีกว่า” บีมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะเอ่ยขอตัว นัทจึงเริ่มสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด เพราะไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์มานานแล้ว

“เรื่องกล้องวงจรปิด..” สิ้นถ้อยคำจากหญิงวัยกลางคน นัทจึงหันกลับมาทางด้านหลัง พบว่าเป็นคุณแม่ของคนรัก ชายหนุ่มจึงยิ่งระมัดระวังกิริยามารยาทมากขึ้น

“เจ้าบีมบอกกับน้าว่าเพื่อความปลอดภัย มันหมายความว่ายังไงเหรอนัท ปกติแถวบ้านเราไม่มีขโมยนะ” คุณแม่เอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะสภาพแวดล้อมที่ท่านอยู่ มีลักษณะเหมือนกับน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไม่ต่างกับบรรยากาศของบ้านสวนมากนัก

“บีมเป็นโรคเดินละเมอครับ ฟังดูเหมือนจะไม่เป็นอันตราย แต่ที่จริงมันอันตรายมากเลยครับ เพราะตอนที่บีมกำลังเดินละเมอจะไม่รู้ตัวแล้วก็จดจำอะไรไม่ได้ ผมถึงได้แนะนำให้เขาติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้จะได้ช่วยกันเฝ้าระวัง” นัทอธิบายพร้อมแย้มยิ้มอย่างใจเย็นเพราะกลัวว่าท่านจะตั้งรับไม่ทัน

“ไม่เห็นบีมบอกน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันน่าตีนัก” คุณแม่เอ่ยแกมดุไปถึงคนที่เข้าไปเก็บของอย่างไม่จริงจังนัก

“บีมคงกลัวว่าคุณน้ากับคุณลุงจะไม่สบายใจครับเลยไม่กล้าบอก” นัทให้เหตุผลอย่างระมัดระวัง เพราะสาเหตุที่แท้จริงยังไม่อาจบอกกล่าวในตอนนี้ได้

“เราสองคนดูสนิทกันดีนะ” ทันทีที่คนอายุมากกว่าเปรยขึ้น นัทก็ได้แต่แย้มยิ้ม เพราะไม่รู้จะตอบกลับว่าอย่างไร

“เอ้อ! เดี๋ยวน้าขอตัวกลับไปทำกับข้าวก่อนดีกว่า ตามสบายนะ” พอลูกชายเพียงหนึ่งเดียวเดินออกมาจากตัวบ้าน คุณแม่ก็ขอตัวไปเตรียมมื้อเย็น โดยไร้ซึ่งพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่บีมเป็นกังวล คาดว่าท่านคงกำลังทบทวนเจตนารมณ์ของตัวเองใหม่ เพราะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับลูกชายที่เพิ่งจะทราบ

“หวังว่าผมคงจะไม่เดินเกมผิด” บีมเอื้อนเอ่ยขณะมองไปยังใต้ถุนบ้านแน่นิ่ง

“ผมเคยได้ยินมาว่าที่วัดป่าภูก้อนสวยมากเลยนะครับ หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ เราสองคนไปไหว้พระขอพรกันดีไหม คุณจะได้สบายใจขึ้นด้วย” เมื่อเห็นคนรักเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด นัทจึงเสนอความคิดเห็น ซึ่งบีมก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด เพราะตั้งแต่กลับมายังบ้านเกิดก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน และวัดแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านมากนัก


กระทั่งมื้อเย็นพรั่งพร้อมในเวลาอันรวดเร็วกว่าปกติ บีมจึงพาแขกคนสำคัญไปร่วมวงที่ใต้ถุนบ้าน ซึ่งเวลานี้เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เพราะยังเป็นเดือนแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร

“เรื่องกล้องวงจรปิดมีตรงไหนที่ควรจะติดตั้งเพิ่มอีกหรือเปล่านัท” แม่เป็นฝ่ายเอ่ยถาม ระหว่างที่พวกน้าพินกำลังเดินลำเลียงอาหารไปตามวงล้อมที่ตอนนี้เริ่มจะประเดิมด้วยเครื่องดื่มมึนเมา

“เท่าที่ดูก็ไม่มีแล้วนะครับ เพราะตัวกล้องที่ผมแนะนำเป็นแบบที่สามารถปรับทิศทางผ่านทางแอปพลิเคชั่นได้” คุณนัทกล่าวพลางเอื้อมมือไปรับแก้วเบียร์จากพ่อด้วยความนอบน้อม

“แล้วถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ นัทจะช่วยเจ้าบีมยังไง” ชายผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งบีมไม่แน่ใจว่าพ่อต้องการจะทดสอบไหวพริบหรือว่าเพราะอะไรกันแน่

“ก่อนหน้านี้ผมเตรียมโมบายมาให้บีมแขวนครับ จะได้เป็นสัญญาณเตือนว่าบีมกำลังเดินละเมอออกจากบ้าน แล้วบีมก็ให้เบอร์โทรศัพท์ของคุณลุงกับคุณน้าไว้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ถ้าจะให้ดีผมอยากให้ลงแอปพลิเคชันของกล้องวงจรปิดไว้ด้วยครับ จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย” ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสนใจเอ่ยตอบ พลางกวาดตามองมื้อเย็นอันแสนแปลกตาด้วยความสนใจ จากนั้นจึงเริ่มดาวน์โหลดแอปพลิเคชันให้กับคนอายุมากกว่า พร้อมทั้งสอนวิธีการใช้งานอย่างคล่องแคล่ว


“คุณทานเผ็ดได้ น่าจะไม่มีปัญหา” หลังจากบทสนทนาถูกเมนูอาหารเรียกร้องความสนใจไปจนหมด บีมเลยถือโอกาสพูดคุยกับคนรักเป็นประโยคแรก

“ปลาส้มทอดฝีมือน้าพินโอเคมากเลยครับ คุณลองชิมดูสิ” บีมเริ่มโฆษณาชวนเชื่อพร้อมบรรจงแกะปลาทอดให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจใส่ โดยที่แม่ครัวก็ได้แต่นั่งยิ้มจนแก้มปริ

“นัทเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าตั้งแต่อายุยังน้อยเลยนะ เก่งจริง ๆ” พ่อเริ่มเปิดประเด็นเกี่ยวกับแขกคนสำคัญอีกครั้ง นัยหนึ่งอาจเพราะต้องการขัดจังหวะ หรืออีกนัยหนึ่งอาจต้องการใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายมากขึ้น แต่กระนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด บีมก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความเป็นสุข

“คงเพราะเป็นกิจการของที่บ้านด้วยครับ ผมเลยมีโอกาสได้แสดงฝีมือ” คุณนัทก็ยังคงเป็นชายหนุ่มผู้แสนถ่อมตนเหมือนอย่างเคย เพียงแต่บีมทราบเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายใช้ความสามารถเข้าสู้ จนกระทั่งได้รับการยอมรับโดยไม่มีข้อแม้

“เพนท์เฮ้าส์ที่ผมอยู่ก็เป็นของคุณนัทด้วยครับ” บีมถือโอกาสสำทับไปอีกเรื่อง จะได้ปกปิดช่องโหว่ที่อาจจะทำให้พ่อกับแม่และพวกช่างยุแยงเกิดความคิดในแง่ร้าย เพราะถ้าหากคุณนัทเต็มไปด้วยความเพียบพร้อม ทุกคนก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าบีมจะถูกปอกลอกจนหมดตัว ซึ่งคุณนัทก็ได้แต่ยิ้มรับด้วยความนอบน้อม

“ว่าไปแล้วระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นั่นดีมากเลยนะพ่อ” แม่เริ่มขยายความจากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะพ่อยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพ เนื่องจากต้องคอยจัดการภาระงานของผู้ใหญ่บ้าน ซ้ำยังเห็นได้ชัดว่าตอนนี้พ่อกับแม่เริ่มจะมีทัศนคติที่ดีต่อคุณนัท นับได้ว่าบีมเดินเกมมาถูกทางแล้ว

“ผมได้ยินมาว่าคุณลุงกับคุณน้ามีไร่ข้าวโพดด้วย ถ้าหากทางห้างของผมอยากจะขอทำธุรกิจร่วมด้วยจะได้หรือเปล่าครับ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยอย่างชาญฉลาด เพราะถ้าหากบีมคาดเดาไม่ผิด อีกฝ่ายคงต้องการผูกมัดเราสองครอบครัวไว้กับผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง เจตนาเดิมที่พ่อกับแม่เคยวางแผนจะได้ผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากกว่าเดิม

“ราคาเดิมที่ลุงเคยได้ก็โอเคอยู่นะ” สิ้นคำตอบของพ่อ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่บีมเคยคาดการณ์ไม่ได้ผิดไปจากความจริง เพราะคงไม่มีชาวสวนคนไหนกล้าปฏิเสธทางเลือกที่จะนำพาเงินทองมาก่ายกองอยู่ตรงหน้า

“ผมสามารถให้ราคามากกว่าเจ้าเดิมถึงสองเท่าเลยครับ” ทันทีที่คุณนัทเริ่มแสดงความใจปล้ำ แววตาของทุกคนในบริเวณนี้ก็เริ่มเต็มไปด้วยความแพรวพราว เพราะมันหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น

“พอดีทางห้างของเรากำลังจะเปิดสาขาในแถบนี้อีกเยอะเลยครับ การจัดหาผลผลิตมาวางขายก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย ยิ่งไร่ของคุณลุงอยู่ในเขตภูมิภาคอีสานก็ยิ่งง่ายต่อการขนส่ง อีกอย่างทางเราเชื่อว่าข้าวโพดจากไร่ของคุณลุงต้องได้มาตราฐานแน่ ๆ ครับ” บีมหันไปมองคนรักอย่างเหลือเชื่อ แต่กระนั้นก็หวั่นใจว่าพ่อจะผิดสังเกตและคุณนัทจะดูไม่น่าเชื่อถือ เพราะบีมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจทางการเกษตรของครอบครัวแต่อย่างใด ดังนั้นคำพูดของคุณนัทอาจจะเรียกได้ว่าไม่ค่อยมีมูลความจริงสักเท่าไหร่

“นัทยังไม่เคยมาลงพื้นที่และเจ้าบีมก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน แล้วนัทจะมั่นใจได้ยังไงว่าผลผลิตของเราได้มาตราฐานตามที่ห้างต้องการ” พ่อเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว ซึ่งแววตาของพ่อคล้ายกับต้องการประเมินความสามารถของคุณนัทไปในตัว

“ก่อนหน้านี้ผมได้รับข้อเสนอผ่านพ่อค้าคนกลางมาครับ ราคาที่คุณลุงเคยได้รับอาจจะถูกกดลงจากที่ผมเสนอให้ อีกอย่างผมกำลังดำเนินโครงการรับซื้อสินค้าผ่านเกษตรกรโดยตรงอยู่ครับ” คุณนัทให้เหตุผลอย่างเป็นต่อ ซึ่งข้อเสนอนี้ครอบครัวของบีมจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป ประมุขของบ้านจึงเริ่มคล้อยตามอย่างเห็นได้ชัด มื้อเย็นจึงกลับกลายเป็นการเจรจาธุรกิจอันแสนเรียบง่ายอย่างไม่ทันคาดคิด

กระทั่งการรับประทานอาหารจบลงด้วยดี บีมจึงขอพ่อกับแม่เดินทางไปยังวัดป่าภูก้อนตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร อาจเพราะการชื่นชมวัดในเวลาที่ท้องฟ้ากำลังจะมืดมิด ถือเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด

“ผมล่ะเหลือเชื่อกับคุณจริง ๆ” บีมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ ระหว่างนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้กับชายหนุ่มผู้มีหัวการค้าจนเต็มเปี่ยม

“ถึงแม้เจตนาของผมจะต้องการลดความสุ่มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ของเรา แต่ที่จริงผมกำลังเร่งดำเนินโครงการนี้อยู่นะครับ การตกลงในครั้งนี้ผมถือว่ามีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย” คุณนัทกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะขับรถด้วยความระมัดระวัง เพราะเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว

“เท่าที่ผมสังเกต ดูเหมือนพ่อกับแม่จะชื่นชมคุณอยู่นะครับ” บีมกล่าวพลางยกยิ้มเล็กน้อย แม้ว่าการเจรจาธุรกิจจะยังไม่เรียบร้อยดีนัก เพราะพ่อต้องการเวลาพูดคุยกับพ่อค้าคนกลางอีกสักหน่อย ซึ่งบีมคาดเดาเอาเองว่าพ่ออาจจะอ่านเกมของคุณนัทออก จึงขอเวลากลับไปตั้งหลัก แต่ถึงอย่างนั้นบีมก็ถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี

“ว่าแต่คุณนัทเคยสังเกตไหมครับ ทำไมเพลงลูกทุ่งสมัยก่อนหรือไม่ก็ละครเกี่ยวกับคนต่างจังหวัด ถึงได้ชอบนำเสนอในทำนองที่คนกรุงเทพชอบมาหลอกคนบ้านนอกให้ช้ำรัก” บีมเริ่มเปิดประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ เพราะเรื่องราวที่แม่เคยเล่าทำให้บีมฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“นั่นสิครับ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เพราะสำหรับผมไม่ว่าจะคนกรุงหรือคนต่างจังหวัดก็มีโอกาสโดนหลอกและไปหลอกคนอื่นได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มสารถีแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับสันดานของแต่ละคนมากกว่า

“แม่เคยบอกกับผมว่า สมัยก่อนจะมีแม่สื่อมาคอยจัดหาคนบ้านนอกไปแต่งงานกับคนกรุงเทพ แต่บางคนก็โดนหลอกไปเป็นเมียน้อย หรือบางคนก็ถูกข่มเหงสารพัด แล้วก็มีการกว้านซื้อที่ดินกันเยอะ” บีมบอกเล่าด้วยความหดหู่ เพราะกำลังคาดเดาความสัมพันธ์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอย่างละเอียด จนกระทั่งพบว่าครอบครัวของเหล่าคนงานรวมไปถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อาจจะเคยถูกนายหน้ากว้านซื้อที่ดินไปจนหมด ถึงต้องมาคอยรับจ้างใช้แรงงานอยู่แบบนี้

“แต่สมัยนี้คงไม่มีแล้วล่ะครับ เพราะวันก่อนผมยังได้ยินป้าแดงโอ้อวดหลานเขยที่มีฐานะร่ำรวยอยู่เลย อีกอย่างพ่อกับแม่และคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็ไม่เคยห้ามปรามให้ลูกหลานเข้าไปเรียนที่กรุงเทพด้วย” บีมปิดท้ายด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ทว่าในใจก็ยังเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

เนื่องจากพฤติกรรมแรกเริ่มของพ่อกับแม่ เกิดจากความต้องการหลอกล่อให้ลูกชายกลับบ้าน ซึ่งบีมคิดว่าเหตุผลที่ดูเป็นไปได้มากที่สุดอาจจะเกิดจากรูปภาพอันแสนอนาจารนั่นที่เป็นแรงผลักดันให้พ่อกับแม่คิดอยากจะพาตัวบีมกลับบ้าน เพราะดูเหมือนพวกท่านจะทราบดีว่าบีมใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพยังไง

ดังนั้นตัวตนของบีมอาจจะไม่ได้มีผลเกี่ยวกับการตัดสินใจมากไปกว่า ‘รสนิยม’ อันยากจะเข้าใจ

“ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง พวกท่านจะต้องยอมรับความเป็นคุณและไว้วางใจในความสัมพันธ์ของเรา โดยที่ไม่สนความคิดเห็นของคนอื่น เพราะไม่อย่างนั้นพวกท่านคงไม่ยอมนำข้อเสนอของผมไปไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน และคงไม่เลือกที่จะเดินเข้ามาพูดคุยกับผมเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด ทั้ง ๆ ที่พวกท่านจะเลือกถามเอาจากคุณก็ได้” พอคุณนัทเริ่มชี้หนทางสว่าง บีมก็เริ่มสบายใจมากขึ้น เพราะพฤติกรรมของพ่อกับแม่ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเริ่มเปิดใจให้กับความสัมพันธ์แบบชายรักชายบ้างแล้ว ดังนั้นสาเหตุที่น่าเป็นกังวลอาจจะไม่หนักหนาเหมือนวินาทีแรก สองแขนจึงยกรองบริเวณศีรษะพร้อมทั้งฮัมเพลงไปตามท่วงทำนองที่คลื่นวิทยุเปิดไว้อย่างสบายใจ


กระทั่งตัวรถขับเคลื่อนเข้ามายังลานจอดที่มีนักท่องเที่ยวต่างถิ่นประปราย บีมก็อดโล่งใจไม่ได้ เพราะถึงแม้หมู่บ้านจะอยู่ไม่ไกลจากตัววัดมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าหวั่นใจ เนื่องจากบางวันประตูพระวิหารก็จะปิดทำการเร็วกว่าปกติ

“ดูเหมือนที่นี่เริ่มจะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นแล้วนะครับ เจริญกว่าแต่ก่อนเยอะเลย” บีมเอื้อนเอ่ยพลางเดินตรงไปยังทางขึ้นพระวิหาร พร้อมถอดรองเท้าอย่างรู้งาน

“คงเพราะตอนนี้วัดป่าภูก้อนเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของอุดรด้วยมั้งครับ” ชายหนุ่มต่างถิ่นสำทับอย่างคนที่ชอบใช้เวลาพักผ่อนไปกับการท่องเที่ยว จากนั้นไม่นานปลายสายตาก็สบกับสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์ สมัยรัตนโกสินทร์อันวิจิตรงดงามที่เน้นไปในโทนสบายตา สองเท้าของผู้มาเยือนจึงเหยียบย่างลงบนพื้นกระเบื้องด้วยความเชื่องช้า ก่อนจะหยุดยืนอยู่ในจุดชมวิวที่ใช้ชื่นชมกระไอหมอกยามเช้า เพราะวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่าสงวนอันกว้างใหญ่

ขณะเดียวกันสีฟ้าสลับขาวของตัวพระวิหารอันโอ่อ่าและพระมหาเจดีย์กลับดูกลมกลืนกับสีฟ้าครามของแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในยุคประวัติศาสตร์ ขณะที่แสงไฟสีเหลืองนวลกำลังส่องประกายหยอกล้อกับสีทองเหลืองอร่ามตรงบริเวณหน้าจั่วอย่างงดงาม

จนกระทั่งปลายเท้าเหยียบย่างเข้าไปใกล้ประตูพระวิหารที่มีการสลักลวดลายแบบนูนต่ำ สิ่งแรกที่บีมมองเห็นจึงเป็นพระพุทธรูปหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่ตระการตา

“พ่อเคยบอกกับผมว่า ถ้าหากส่องไฟขึ้นไปบนเพดาน ลวดลายของกระเบื้องจะปรากฏลงบนองค์พระ” บีมทรุดตัวลงนั่งพร้อมเอื้อนเอ่ยให้อีกฝ่ายทราบถึงความลับอันแสนตระการตาที่ไม่ได้หาดูได้ง่าย ๆ เพราะปกติประตูพระวิหารจะปิดสี่โมงเย็น ตอนที่บีมเดินทางมาถึงก็เลยโล่งใจเอามาก ๆ  แต่ทว่าบีมก็ไม่ได้เลอะเลือนจนถึงกับมองข้ามความผิดปกติเหล่านี้ และในใจก็ทราบดีว่าคงจะมีใครบางคนที่ไม่ค่อยประสงค์ออกนามคอยอำนวยความสะดวก

“จริงเหรอครับ ?” ชายหนุ่มต่างถิ่นเอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อ ขณะที่บีมกำลังกราบไหว้องค์พระด้วยความศรัทธา ก่อนจะหลับตาท่องบทสวดมนต์พร้อมทั้งอธิษฐานขอพรตามความตั้งใจอันแน่วแน่ ชายหนุ่มต่างถิ่นจึงเริ่มปฏิบัติตาม ความเงียบสงบอันแสนอุ่นใจจึงโอบล้อมคนทั้งคู่ไว้ โดยที่บีมเป็นฝ่ายหันกลับไปจ้องมองคนรักเป็นคนแรก

“คุณอธิษฐานอะไรเหรอครับ” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเอ่ยถาม หลังจากค้นพบว่าตนเองถูกลอบมองอยู่นานแล้ว

“ผมขอให้คนที่ผมรักมีสุขภาพแข็งแรง แล้วก็ขอให้ความรักของเรามีแต่ความราบรื่น” บีมเอื้อนเอ่ยอย่างไม่คิดปิดบัง ขณะมองไปยังคนรักที่กำลังใช้แสงแฟลชจากโทรศัพท์ฉายไปยังเพดานอันตระการตา ความวิจิตรงดงามของแผ่นกระเบื้องจึงส่องประกายลงบนพระพุทธรูปนอนสีขาวบริสุทธิ์ จนมองเห็นลวดลายราวกับดอกไม้ไล่ระดับตามจังหวะการเคลื่อนตัวของลำแสง ท่ามกลางความมืดสลัวของแสงเทียนสีเหลืองนวล   

“ส่วนผมขอให้ทุกสิ่งที่คุณปรารถนาประสบความสำเร็จ และขอให้คุณปราศจากภยันอันตราย” คุณนัทกล่าวพลางแย้มยิ้มอันแสนอบอุ่น แต่ทว่าดวงหน้าหล่อเหลากลับอาบไล้ไปด้วยลวดลายจากกระเบื้องบนเพดานพระวิหาร เพราะเวลานี้อีกฝ่ายไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งตระการตาในวินาทีแรก ลำแสงจึงพลันหักเหจากตำแหน่งเดิม

“ผมขอโทษนะครับที่ดีแต่ทำให้คุณหวาดกลัว และยังเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ แล้วก็ต้องขอโทษที่อาการของผมทำให้คุณไม่กล้าปล่อยวางให้ผมอยู่คนเดียวจนมันกระทบกับหน้าที่การงานของคุณ” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่ขอบตาจะร้อนผ่าวเมื่อคิดไปถึงช่วงเวลาที่คุณนัทไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากเฝ้ามองบีมที่กำลังตกอยู่ในอาการเดินละเมอผ่านหน้าจอโทรศัพท์

“คุณไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยบีม เราสองคนรักกันไม่ใช่เหรอครับ เพราะฉะนั้นการดูแลกันคือเรื่องที่ผมสมควรทำ” เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่แสนรื่นหู บีมจึงพยักหน้าระรัวพร้อมใช้ปลายนิ้วปัดป่ายหยาดน้ำตาที่กำลังขลังคลอให้หมดไป

“เรากลับกันเถอะครับ” สิ้นถ้อยคำชักชวนคนสองคนจึงก้าวเดินเคียงข้างกันท่ามกลางความเงียบสงบเหมือนอย่างเคย ต่างกันแค่เวลานี้หลังฝ่ามือของทั้งคู่กำลังหยอกล้อกันไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากระยะห่างระหว่างกันมีเพียงสายลมลอดผ่าน แต่กระนั้นความอุ่นใจกลับอบอวนไปทั่วอณูความรู้สึก


-อ่านต่อด้านล่าง-

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
จนกระทั่งตัวรถขับเคลื่อนออกจากรั้วบริเวณวัด บีมจึงเอนซบลาดไหล่ของอีกฝ่าย ซ้ำยังดอมดมราวกับคิดถึงกลิ่นไออันแสนคุ้นเคย

“ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมทั้งกลัวแล้วก็สับสน ความคิดของผมมันเลยยุ่งเหยิงไปหมด” บีมเปรยขึ้นท่ามกลางความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดระหว่างกัน ขณะที่ปลายจมูกยังคงเคล้าคลอคนรักไม่ห่าง ชายหนุ่มสารถีที่สองมือจำเป็นจะต้องประคองพวงมาลัยรถอย่างระมัดระวัง เพราะเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว ในใจคิดอยากจะคว้าฝ่ามือที่เคยโดดเดี่ยวมากอบกุมไว้ แต่ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

“แต่พอได้เห็นหน้าคุณ เหมือนกับผมได้รับความเข้มแข็งกลับมากระบุงใหญ่” สุ้มเสียงของบีมแม้ว่าจะแผ่วเบาราวกับปุยนุ่น แต่ทว่านัทกลับรับรู้ได้ถึงความดีใจอันเต็มเปี่ยม ที่ส่งผ่านมาทางอ้อมกอดอันหละหลวม

“ผมคิดถึงคุณ เวลาที่ไม่มีอ้อมกอดของคุณ มันทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวว่าจะเป็นอันตรายจากการเดินละเมอ คงเพราะผมเคยชินกับการมีคุณคอยดูแลในทุกช่วงชีวิตไปแล้ว” กระทั่งตัวรถขับเคลื่อนเข้ามายังเขตหมู่บ้าน ความมืดมิดก็ยังคงเป็นสิ่งคุ้นเคย เพราะระหว่างทางไม่มีเสาไฟฟ้าคอยให้แสงสว่าง คุณนัทจึงอาศัยจังหวะนี้จุมพิตลงบนหลังฝ่ามือของบีมจนไออุ่นแผ่ซ่านไปถึงขั้วหัวใจ ส่งผลให้สีหน้าของตุ๊กตาหน้ารถเต็มไปด้วยความเก้อเขินท่ามกลางม่านราตรีอันเงียบเหงา

“แถวนี้เป็นไร่ข้าวโพดของครอบครัวผมหมดเลยครับ ถัดไปก็เป็นสวนยางพารา” บีมเริ่มหาตัวช่วยในการลบล้างบรรยากาศแสนเก้อเขิน พลางชี้ชวนให้อีกฝ่ายมองดูที่ดินของพ่อกับแม่ที่ทอดตัวลึกลงไปอีกหลายไร่

“ขนาดคงพอ ๆ กับสวนมะพร้าวของบ้านผมเลยมั้งครับ” คุณนัทแสดงความคิดเห็นอย่างคล้อยตาม บรรยากาศแสนเงอะงะจึงหดหายไป

“เทียบกันแล้วคุณชอบบรรยากาศแบบไหนมากกว่ากันเหรอครับ” สิ้นคำถาม บีมก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่

“ผมชอบบรรยากาศแบบสวนมะพร้าวของบ้านคุณมากกว่านะ เพราะมันดูร่มรื่นแล้วก็สบายตากว่า แถมยังมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า” บีมให้คำตอบด้วยความสัตย์จริง เพราะที่บ้านสวนของคุณนัทเต็มไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ แถมการดำเนินชีวิตก็ยังเต็มไปด้วยความเรียบง่ายและไม่ค่อยวุ่นวาย อีกทั้งยังมีวัตถุดิบลงครัวที่คุณย่าสรรหามาปลูกตั้งมากมาย ซึ่งบีมยังจดจำได้ดีว่าครั้งล่าสุดคุณย่าทำกล้วยเชื่อมที่เป็นผลผลิตจากสวนมาให้กิน เรียกได้ว่าอร่อยเหาะกว่าเจ้าไหน ๆ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยกความดีความชอบให้คุณนัทที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกโจรลอบทำร้าย คุณย่าก็เลยคอยเอาอกเอาใจ ส่วนเจ้าตัวก็ถือโอกาสออดอ้อนด้วยท่าทีที่น่าเอ็นดู

“ถ้าอย่างนั้นหลังจากกลับกรุงเทพ ผมจะพาคุณไปเที่ยวที่บ้านสวนอีก เราสองคนจะได้หาเรื่องสนุก ๆ ทำด้วยกัน แล้วเราก็จะได้กินขนมอร่อย ๆ จากคุณย่า” คุณนัทเริ่มวางแผนอย่างรวดเร็ว คงเพราะไม่ได้กลับไปที่บ้านสวนพักใหญ่ เนื่องจากต้องคอยเคลียร์งานเพื่อเตรียมเดินทาง

“แต่ถ้าหากวันไหนต้องทำงานสวนจนเหนื่อย เราก็พาพวกท่านไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 25 บาทเหมือนวันนั้น” บีมกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะบรรยากาศที่เคยสัมผัสยังคงประทับแน่นอยู่ในใจ ซึ่งบีมสามารถลั่นวาจาได้เลยว่า บ้านสวนของคุณนัทก็เป็นเหมือนเซฟโซนอีกแห่งหนึ่งสำหรับบีม 

“แต่คราวนี้คุณคงต้องเตรียมเดรสคอลเลกชันใหม่ไปเยอะ ๆ เพราะคุณย่าของผมท่านความจำดีมาก” พอคุณนัทพูดมาถึงประเด็นนี้ บีมก็รีบพยักหน้าพร้อมกลั้วหัวเราะอย่างเห็นด้วย เพราะการไปเยือนที่บ้านสวนเมื่อครั้งล่าสุด บีมถูกคุณย่าหยอกล้อว่าทำไมที่ร้านถึงได้มีคอลเลกชันเสื้อผ้าน้อยจัง


ทันทีที่ตัวรถเข้ามาจอดเทียบท่าตรงหน้าบ้าน ใกล้บริเวณริมรั้วที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าบดบัง บีมก็เดินลงมาจากตัวรถด้วยความอ้อยอิ่ง เพราะยังอยากใช้เวลาร่วมกับคนรักให้นานกว่านี้ แต่เนื่องจากคุณนัทหวั่นเกรงว่าจะเป็นการเร่งเร้าพ่อกับแม่มากไป แถมพรุ่งนี้ยังต้องรีบไปตรวจดูความเรียบร้อยก่อนห้างจะเปิด ชายหนุ่มจึงต้องขับรถกลับเข้าสู่ตัวเมืองเพียงลำพัง โดยที่บีมให้คำมั่นสัญญาว่าพรุ่งนี้จะตามไปให้กำลังใจและจะแนะนำให้คุณนัทได้รู้จักกับพี่มีนอย่างเป็นทางการ

ซึ่งแพลนในส่วนนี้ได้มีการนัดแนะกับพี่มีนแล้ว จึงส่งผลให้ดาราสาวแทบอยากจะเร่งวันเร่งคืน เพราะอยากเห็นคนรักของบีมใจจะขาด

“ขับรถดี ๆ นะครับ” บีมเอื้อนเอ่ยพลางใช้ปลายนิ้วโป้งลูบไล้ข้างแก้มของคนรักด้วยความห่วงใย ซ้ำยังชะโงกหน้าข้ามผ่านบานกระจกที่ลดระดับไปกว่าครึ่ง เพื่อสังเกตความอ่อนล้าในแววตาอย่างจริงจัง เพราะวันนี้อีกฝ่ายเพิ่งจะเดินทางมาถึง แต่ก็ยังหาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยล้า เพียงเพราะรู้ว่าบีมกำลังไม่สบายใจ

“สัญญาว่าผมจะไม่หลับในให้คุณเป็นห่วง” คุณนัทจุมพิตลงบนหลังฝ่ามือของบีม พลางใช้อีกมือชูสามนิ้วในระดับหางคิ้ว จากนั้นบานกระจกที่เคยขวางกั้นก็ถูกลดระดับลงจนสุดทาง

“แฟนใครเนี่ยอยู่ในโอวาทจัง” บีมเอ่ยแซวพลางบิดปลายคางของอีกฝ่ายด้วยความหยอกเย้า คุณนัทจึงกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจ จากนั้นแววตาของทั้งคู่ก็มองสบกันแน่นิ่งและไม่นานริมฝีปากต่างก็ดึงดูดกันและกัน รสสัมผัสจึงเต็มไปด้วยความโหยหา ขณะที่หัวใจกลับเต้นกระหน่ำด้วยความลุ่มหลง ก่อนจะเร่งร้อนลิ้มชิมความหอมหวานอันลึกซึ้งอย่างไม่มีใครยอมใคร

“ถึงโรงแรมแล้วผมจะโทรมารายงานตัวนะครับ” ทันทีที่ริมฝีปากผละห่างออกจากกัน คุณนัทก็เอื้อนเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งฝากฝังจุมพิตตรงบริเวณข้างแก้มของบีมฟอดใหญ่

“ส่งมาแค่ข้อความก็พอครับ แล้วคุณก็รีบเข้านอนด้วย ส่วนผมสัญญาว่าจะไม่เผลอหลับจนลืมใส่กุญแจมืออีก” บีมผละตัวออกมายังด้านนอกพลางค้อมหลังให้อยู่ในระดับเดียวกันกับคนรัก พร้อมทั้งชูสามนิ้วประกอบคำพูด

“ฝันดีนะที่รัก” กระทั่งได้รับคำมั่นสัญญาอันพึงพอใจ ชายหนุ่มต่างถิ่นจึงพยักหน้ารับคำพร้อมทั้งเอื้อนเอ่ยเป็นประโยคสุดท้าย โดยที่บีมก็ได้แต่เฝ้ามองดวงไฟสีแดงสดตรงบริเวณท้ายรถที่ค่อย ๆ เคลื่อนหายไปจากสายตา


--------------------------✁


มาต่อแล้วจ้า ตอนแรกคาดว่าเรื่องนี้จะจบภายใน 30 ตอน แต่เราเขียนรายละเอียดบางส่วนเยอะไปหน่อย น่าจะขยายตอนจบออกไปอีกนะคะ แต่คิดว่าน่าจะไม่เกิน 35 และยังมีฉากเพลย์เหลืออยู่อีก ช่วงครึ่งหลังจะเห็นได้ว่าเราค่อนข้างเน้นไปในประเด็นทางสังคมเยอะหน่อย ต้องบอกก่อนว่าแต่ละประเด็นเราเอามาจากที่เคยได้ยินหรือที่เคยอ่านผ่านตา อย่างเรื่องที่มีคนคิดว่าการเป็นเกย์คืออาการทางจิต เราก็เอามาจากความคิดของคนสมัยนี้นี่แหละค่ะ เพียงแต่มันเป็นส่วนน้อย และการนินทากันของชาวบ้านก็จะออกแนวไม่อยากเห็นใครดีกว่าตัวเองหรือลูกหลานของตัวเอง รวมไปถึงการล้อเลียนเพศทางเลือกในทางตลกขบขัน ก็ยังมีให้เห็นอยู่ แต่อาจจะไม่เด่นชัดมากนัก

ส่วนเรื่องปมครอบครัวของน้องบีมก็มาคอยเอาใจช่วยกันต่อไปจ้า เพราะตอนนี้คุณนัทและน้องบีมเริ่มแก้เกมกันบ้างแล้ว


อันนี้เป็นบรรยากาศของวัดป่าภูก้อนค่ะ แต่ช่วงเวลาที่จะทำให้มองเห็นภาพสะท้อนของลวดลายบนเพดานวัดเราไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปจะสามารถเข้าดูได้หรือเปล่า เพราะเท่าที่หาข้อมูลเหมือนว่าประตูพระวิหารจะเปิดตอนฟ้าสว่างแล้ว แต่การจะเห็นภาพสะท้อนได้เราคิดว่าภายในพระวิหารก็ต้องมืดด้วย แล้วแสงสว่างจากข้างนอกก็น่าจะต้องรำไรหน่อยๆ

ปล. วิธีที่เราใช้ในนิยาย เราคาดเดาจากคลิปนี้นะ มันอาจจะใช้ไม่ได้จริง แต่อยากใส่ฉากนี้เข้ามาเพราะมันดูสวยดี 55 https://youtu.be/DGlKqVFaeZQ

https://imgur.com/rEph34Q
https://imgur.com/e94adx0
https://imgur.com/mGStgx8

Cr : https://www.junjaonews.com/archives/42553

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ลุ้นไปอีก เปิดตัวแล้วพ่อกับแม่จะรับได้มั้ยนะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 28


เที่ยงนี้บีมเลือกเจรจาท่ามกลางวงล้อมขนาดใหญ่ตรงบริเวณใต้ถุนบ้าน เพราะมันคือช่วงเวลาอันเหมาะเจาะ เนื่องจากพ่อจะกลับมากินข้าวด้วย ซึ่งบีมเอาดาราสาวอย่างพี่มีนมากล่าวอ้าง เพื่อที่จะได้กลับบ้านในเวลามืดค่ำ

ส่งผลให้ผู้คนบริเวณนั้นแตกตื่นกันยกใหญ่ เพราะไม่ทันคาดคิดว่าบีมจะรู้จักกับผู้ที่มีชื่อเสียง ภารกิจล่าลายเซ็นจึงถูกฝากฝัง ซึ่งบีมเกรงใจพี่มีนมาก แต่กระนั้นก็ต้องรีบโทรไปขอความช่วยเหลือ พ่อกับแม่เลยถือโอกาสฝากข้าวโพดสดไปให้พี่มีนกระสอบใหญ่ บีมถึงกับนั่งกุมขมับเพราะกลัวว่ามันจะกลายเป็นภาระให้กับดาราสาว แต่เพราะไม่อาจขัดเจตนารมณ์ของพ่อกับแม่ที่ต้องการจะตอบแทนได้ ข้าวโพดกระสอบนั้นจึงถูกนำขึ้นท้ายรถ

“ผมมาถึงแล้วนะครับ กำลังเดินไปหาพี่มีนที่ซุ้มแต่งตัวหลังเวที” บีมเอื้อนเอ่ยพลางเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นบนสุด เพราะสถานที่จัดงานเป็นระเบียงกระจกสี่ด้าน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสวนสาธารณะหนองประจักษ์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่เป็ดยักษ์สีเหลืองลอยน้ำ จึงทำให้ห้างสรรพสินค้าในเครือของคุณนัทตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของธรรมชาติ ไม่ต่างกับสาขาทางใต้ที่อยู่ติดชายทะเล

‘ผมก็อยู่แถวนั้นเหมือนกันครับ ได้คุยกับเพื่อนของคุณบ้างแล้ว แต่ผมยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการตามที่คุณขอไว้’ คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ เพราะสุ้มเสียงรบกวนในบริเวณนั้นมีมากจนเกินไป

“รอจบงานก่อนแล้วกันครับ” บีมพูดไปก็อมยิ้มไป เพราะกำลังนึกสนุกที่ได้แกล้งเพื่อนรักต่างวัย

‘ได้ครับ ผมเห็นคุณแล้ว วันนี้คุณแต่งตัวน่ารักมาก’ สิ้นคำพูดของคนรัก บีมก็ได้แต่ย่นจมูกใส่เป้าหมาย ก่อนจะผลุบหายไปยังซุ้มรับรองของพี่มีนที่หันหน้าเข้าหาหนองน้ำขนาดใหญ่

“ผมวางสายก่อนนะครับ” บีมกล่าวพลางวางกระเป๋าที่บรรจุเรื่องย่อละครหลายสิบเล่มลงบนโต๊ะรับรองทางฝั่งห้องแต่งตัวของนักแสดงหญิงที่มีการนำฉากมากั้นความเป็นส่วนตัว พร้อมกับเดินตรงไปยังกระจกบานใหญ่สำหรับช่างแต่งหน้า เพื่อสำรวจการแต่งตัวในวันนี้ เพราะบีมกำลังสงสัยว่าเสื้อลูกไม้สีขาวตัวบางแสนโคร่งมันน่ารักตรงไหน ที่สำคัญเสื้อตัวนี้ยังยับเยินราวกับผ่านสมรภูมิรบก็ไม่ปาน เนื่องจากบีมนำมาสับเปลี่ยนที่ลานจอดรถ

“ตั้งแต่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน ส่องกระจกนานขึ้นนะเรา” ทันทีที่เพื่อนต่างวัยเอ่ยแซว บีมก็รีบหยุดการกระทำดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนมาหยิบเรื่องย่อละครวางกองลงตรงหน้าสาวสวย

“เซ็นเลย” บีมทำเป็นวางมาดเข้ม แต่ทว่าใบหน้ากลับร้อนผ่าว เรียวนิ้วจึงยกขึ้นถูปลายจมูกแก้เก้อ

“โห คนนี้ท่าจะเด็ด แซวแค่นี้ถึงกับอายม้วน” พี่มีนยังคงหยอกเย้าไม่หยุด ขณะที่ฝ่ามือก็บรรจงเปิดเรื่องย่อละคร เพื่อมอบหมายลายเซ็นอันล้ำค่าให้กับแฟนคลับด้วยปากกาเมจิสีทองอร่าม

“ผมยังไม่มีเวลาดูละครเรื่องใหม่ของพี่มีนเลย” บีมเปิดประเด็นพร้อมกับพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนโต๊ะตัวใหญ่สำหรับแต่งหน้า ขณะมองดูเพื่อนต่างวัยบรรจงลากปากกาเมจิลงบนเนื้อกระดาษ

“ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ” หญิงสาวเอื้อนเอ่ยพลางยกยิ้ม แต่ทว่าบีมกลับไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะปกติจะเป็นคนให้คอมเมนต์เกี่ยวกับฝีมือการแสดงอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่พี่มีนก็ยินดีรับฟังความคิดเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียน

“แล้วไปถ่ายละครในป่าเป็นยังไงบ้าง ?” บีมเอ่ยถามพลางแกว่งขาไปมาราวกับเด็ก เพราะเวลานี้บีมกำลังเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

“ยุงกัดดิ แพ้ด้วย” พอได้ทีพี่มีนก็รีบฟ้องยกใหญ่ ซ้ำยังยื่นแขนมาให้ดูเป็นขวัญตา

“ทายาหรือยัง ไหนบอกไม่ชอบงานลุย ๆ ไง” บีมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมย้ำเตือนด้วยความห่วงใย

“ทาแล้ว แต่ที่เริ่มรับบทลุย ๆ เพราะพี่รู้สึกว่าตัวเองควรจะพลิกบทบาทได้แล้ว จะได้พัฒนาฝีมือด้วย” บีมหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อสุ้มเสียงของเพื่อนต่างวัยค่อย ๆ เบาลง

“มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอีกแน่ ๆ พระเอกเป็นใครนะ” บีมแกล้งเอื้อนเอ่ยด้วยความครุ่นคิด

“เดี๋ยวเถอะ! ยอกย้อน! แล้วไหนแฟนเราที่ว่าจะพามาแนะนำล่ะ” พี่มีนแกล้งข่มขู่ แต่ทว่าใบหน้ากลับแดงซ่าน บีมจึงตั้งใจว่าถ้าหากมีเวลาจะลองไปเสิร์ชข่าวบันเทิงอ่านสักหน่อย

“เห้อ~ ไปซื้อชานมไข่มุกกินดีกว่า” บีมแกล้งถอนหายใจพร้อมก้าวเดินอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังทันได้ยินพี่มีนบ่นอุบว่าบีมไม่กินของแบบนี้ ซึ่งก็จริงเพราะบีมตั้งใจจะซื้อมาเลี้ยงอีกฝ่าย


กระทั่งได้ชานมไข่มุกไว้ในกำมือ บีมก็รีบเดินขึ้นบันไดเลื่อน เพียงแต่คราวนี้ไม่ได้ขึ้นมาเพียงลำพัง เพราะบังเอิญเจอกับพี่เจมส์เข้าพอดี

“บีมดูสดใสขึ้นนะ” ดาราหนุ่มภายใต้แว่นกันแดดสีชาเอ่ยทัก บีมจึงได้แต่ยิ้มรับ เพราะรู้ตัวดีว่ามันเป็นแบบนั้น

“พี่เจมส์ล่ะครับสบายดีไหม” บีมย้อนถามขึ้นมาบ้าง

“ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะนับวันความพยายามที่จะปรับตัวเข้าหากันก็กล้ำกลืนเต็มทน พี่เลยคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับวนิลลาสักเท่าไหร่” เมื่อได้ยินพี่เจมส์เปิดประเด็น บีมก็รับรู้ได้ทันทีว่า ‘รสนิยม’ แบบ BDSM ทำให้อีกฝ่ายเจอปัญหาใหญ่

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมดีไหมบีม ?” พี่เจมส์เอ่ยถามด้วยถ้อยคำง่าย ๆ คงเพราะเลิกศรัทธากับความรักครั้งเก่าแล้ว ซึ่งบีมเข้าใจดีว่ารสชาติของการมีเซ็กส์หากไม่ได้รับการเติมเต็มก็นับเป็นปัญหา บีมถึงได้ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน

“พี่เลิกกับเขาแล้วล่ะ” เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว บีมก็รีบหันรีหันขวาง เพราะกลัวคนอื่นจะมาได้ยินแล้วอีกฝ่ายจะตกที่นั่งลำบาก แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ค่อยแคร์สักเท่าไหร่

“แต่ผมมีแฟนแล้วครับ เราเจอกันเพราะการนัดเพลย์” บีมบอกกล่าวอย่างจริงจัง ขณะเดินเข้าไปในซุ้มแต่งตัวที่จัดเตรียมไว้

“พรหมลิขิตแบบนี้เล่นเอาพี่อิจฉาเลย” พี่เจมส์เอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ บีมเลยได้แต่ยิ้มแก้มปริ ขณะที่หัวใจก็พลันรู้สึกจักจี้กับคำว่า ‘พรมหมลิขิต’ จึงทำให้การนั่งรอเพื่อนต่างวัยแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นไปอย่างไม่น่าเบื่อ


จนกระทั่งได้รูปคู่หลากหลายมุมไว้เป็นหลักฐานให้พ่อกับแม่ดู บีมก็ขอแยกตัวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งตลอดทางบีมรับรู้ได้ว่ามีใครคนหนึ่งคอยสะกดรอยตาม แต่ก็ยังชะล่าใจจนถูกลากเข้าห้องน้ำสำหรับแม่และเด็กอย่างรวดเร็ว

หัวใจของบีมจึงเต้นรัวอย่างแรงกล้า ขณะที่ลำคอกำลังถูกมือหนาล็อกติดกำแพงด้วยสัมผัสที่ไม่รุนแรงมากนัก ส่วนช่วงล่างพลันถูกเรียวขาภายใต้กางเกงสแล็คสีดำเข้าชุดกับสูทแบรนด์หรูแทรกแซงอย่างรวดเร็ว

“หัวร่อต่อกระซิกอะไรกันครับ ดูมีความสุขจัง” สิ้นคำถามจากคุณนัทในมาดนายท่าน บีมก็มองสบแววตาของอีกฝ่ายแน่นิ่ง เพื่อสำรวจความไม่พึงพอใจอย่างเป็นกังวล เพราะบีมยังจดจำได้ดีว่าคุณนัทเป็นคนขี้หึง

“พี่เจมส์บอกว่าความรักของเราคือพรมหมลิขิตที่น่าอิจฉา” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว พลางตอบรับจุมพิตจากอีกฝ่ายด้วยความยินดี ฝ่ามือจึงกอบกุมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดภายใต้เสื้อสูทด้วยความหวามไหว

“คุณก็เลยออกอาการเก้อเขินขนาดนั้น ?” นักธุรกิจหนุ่มเอ่ยถามพลางจับยึดข้อมือของบีมไว้เหนือศีรษะด้วยฝ่ามือเดียว ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างกำลังผลักดันให้บีมเชิดหน้ารอรับความหวามไหวจากริมฝีปากคู่นั้น ก่อนจะใช้เป็นหมอนรองศีรษะเพื่อที่บีมจะได้ไม่บาดเจ็บ

“ค..ครับ” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยความติดขัด เมื่อลมหายใจกำลังพบเจออุปสรรคจากเรียวลิ้นร้อนที่กำลังหยอกเย้าลูกกระเดือกอันโดดเด่น จนผิวกายชุ่มโชกไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของ

“แต่ผมหึงคุณไปแล้ว จะรับผิดชอบยังไง ?” คุณนัทเอ่ยถามราวกับเป็นใบเบิกทางแห่งการเพลย์ ซ้ำยังมอบรสสัมผัสแสนรัญจวนไม่ขาดสาย ความรู้สึกของบีมจึงยิ่งปั่นป่วน

“ผมบอกพ่อกับแม่แล้วว่าจะกลับดึก” บีมเอ่ยตอบด้วยสุ้มเสียงหวิวไหว พลางหอบหายใจเพียงเล็กน้อย ขณะลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะคุณนัทยังคงให้ความสนใจกับลูกบอลลูกนั้นไม่แปรเปลี่ยน

“หลังจากผมแนะนำให้คุณรู้จักกับพี่มีนอย่างเป็นทางการแล้ว” บีมยังคงตั้งหน้าตั้งตาตอบคำถามอย่างว่าง่าย แต่ทว่าดวงตาเรียวสวยกลับหลับพริ้มด้วยความเคลิบเคลิ้ม บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าบีมชื่นชอบการปลุกเร้าในรูปแบบนี้

“คุณจะลงโทษที่ผมทำให้คุณหึงนานแค่ไหนก็ได้ หรือจะสั่งให้ผมทำตัวไร้ยางอายมากกว่าที่ผ่านมาก็ไม่ขัด แต่อย่าเก็บเอาไปใส่ใจจนคิดมากเลยนะครับ” กว่าจะบอกเจตจำนงจนจบประโยคก็ใช้เวลาอยู่เนิ่นนาน แต่เพราะคนฟังตั้งใจที่จะรับฟัง บีมจึงพร้อมใจพลีกายให้อีกฝ่ายควบคุมอย่างไม่มีข้อแม้

“หึ จำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดีนะที่รัก” กระทั่งอีกฝ่ายผละออกจากกัน บีมก็หอบหายใจ ซ้ำยังยืนตัวสั่นด้วยความต้องการ ขณะที่หัวใจกลับยินดีปรีดาในคำพูดนั้น เพราะมันแปลว่าบีมอาจจะพบเจอประสบการณ์แปลกใหม่มากกว่าที่เคย

“อารมณ์ของคุณจุดติดง่ายมากเลยที่รัก คิดถึงผมมากเลยเหรอ ?” คุณนัทเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู ซ้ำยังรั้งบีมเข้าสู่อ้อมกอดพร้อมลูบแผ่นหลังราวกับต้องการปลอบโยนจิตใจที่กำลังร้อนรุ่ม

“ครับ” บีมยอมรับอย่างไม่คิดปิดบัง ขณะยกสองแขนโอบรอบลำตัวของอีกฝ่ายอย่างที่นึกอยากทำตั้งแต่ได้พบหน้ากัน

“ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกันที่รัก” สิ้นถ้อยคำที่อยากได้ยิน บีมก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเองเพียงลำพัง ก่อนจะโอบรัดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น จนได้ยินเสียงหัวใจที่มันเต้นรัวเป็นจังหวะเดียวกัน ขณะที่คุณนัทก็จุมพิตลงบนเรือนผมด้วยความนุ่มนวล

“ใกล้ได้เวลาเริ่มงานแล้ว ผมว่าเรากลับไปที่หน้าเวทีกันดีกว่า” กระทั่งคุณนัทย้ำเตือน บีมถึงได้ยอมผละกายออกห่างจากอ้อมกอดที่แสนคิดถึงเป็นคนสุดท้าย จากนั้นจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยที่อีกฝ่ายจะยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อที่จะได้เข้างานพร้อมกัน


กระทั่งอีเว้นท์เปิดห้างสรรพสินค้าดำเนินไปได้ครู่หนึ่ง พื้นที่โดยรอบก็ถูกจับจองโดยเหล่าแฟนคลับของดาราคู่ขวัญ คุณนัทจึงพาบีมเดินลัดเลาะเข้าไปยังอาณาบริเวณของแขกผู้มีเกียรติ ก่อนจะปล่อยให้บีมนั่งเคว้งคว้างอยู่เพียงลำพัง เพราะบนเวทีในช่วงเวลานี้เป็นของเหล่าผู้บริหารระดับสูง

จากนั้นไม่นานดาวเด่นที่แท้จริงก็ปรากฏ เสียงเชียร์จึงดังระงมจากรอบทิศทาง บีมเลยอดจะภูมิใจกับความสำเร็จของเพื่อนรักต่างวัยไม่ได้ เพราะดูท่าแล้วกระแสตอบรับของละครเรื่องใหม่กำลังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางกว่าที่คิด บีมจึงไม่แปลกใจนักที่เหล่าคนงานมีความกระตือรือร้นที่จะไปหยิบเรื่องย่อละครหลังข่าวจากที่บ้าน เพื่อฝากให้บีมเอามาให้พี่มีนเซ็น มิหนำซ้ำยังกำชับขอรูปเซลฟี่ของดาราสาวจากงานในวันนี้อีกต่างหาก

“พอได้ดูการแสดงชุดมณีเมขลาแล้ว ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนมหาลัยเลยครับ” บีมเปิดประเด็นขณะหลบสายตาอันเฉียบแหลมจากคนบนเวทีอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังทันเห็นริมฝีปากของหญิงสาวคลี่เป็นรอยยิ้ม ทั้ง ๆ ที่บทบาทของการแสดงกำลังอยู่ในช่วงหลอกล่อรามสูรด้วยดวงแก้วอันแวววับ จนเกิดฟ้าแลบแปลบปลาบด้วยเทคนิคตระการตา คงเพราะเธอทราบแล้วว่าใครคือคนรักของเพื่อนสนิทต่างวัย

“เดาว่าคุณคงจะเคยแสดงในงานประกวดดาวเดือน” คุณนัทเริ่มทำนายทายทักด้วยความสนใจ บีมจึงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่คิดปิดบัง

“ใช่ครับ” บีมยืนยันคำตอบขณะโฟกัสสายตาไปที่พี่มีนในคราบของนางเมขลาและพี่เจมส์ในคราบของรามสูร จึงไม่ทันเห็นว่าเวลานี้ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจหาได้สนใจการแสดงบนเวทีแต่อย่างใด เพราะคนที่เขาอยากจะเฝ้ามองให้นานที่สุดกลับอยู่ใกล้เพียงแค่นี้

“คุณดูจะชอบเกี่ยวกับการเต้นหรือไม่ก็การร่ายรำมากนะครับ” ชายหนุ่มเจ้าของห้างสรรพสินค้าเอื้อนเอ่ยด้วยความเอาใจใส่ พร้อมกับจดจ้องด้วยความลึกล้ำมากกว่าเดิม เมื่อคนรักกำลังแย้มยิ้มด้วยแววตาอันเป็นประกาย คงเพราะกำลังนึกถึงช่วงเวลาในอดีตอันเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ

“แต่ก็ไม่ได้ชอบจนถึงขั้นต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะ ๆ หรอกครับ ถ้าไม่ใช่เพราะมันคือการแสดงพิเศษที่ส่งผลต่อคะแนนเก็บของวิชาพละ ให้ตายผมก็ไม่คิดจะทำ” บีมบอกกล่าวถึงความเป็นตัวเอง พลางหันมายกยิ้มให้กับคนข้างกาย

“โอกาสหน้า ถ้าหากผมพาคุณไปที่งานเพลย์ปาร์ตี้ คุณคิดอยากจะเป็นจุดสนใจหรือว่าอยากจะเป็นผู้ชมมากกว่ากันเหรอครับ” เมื่อได้ยินคนรักเอื้อนเอ่ยออกมาแบบนั้น ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจก็อดจะถามไถ่ด้วยความเอาใจใส่ไม่ได้ เพราะลักษณะของงานแทบไม่ต่างกับการร่ายรำบทเวที

“คุณก็รู้ ถ้าหากเกี่ยวกับการเพลย์..” บีมเคลื่อนใบหน้าเข้าไปชิดใกล้คนรักพร้อมกับเอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำกระซิบซาบ

“ผมเป็นพวกชอบโชว์และยังหน้าไม่อายสิ้นดี” สิ้นคำกล่าวนั้นคุณนัทก็หัวเราะในลำคอราวกับถูกอกถูกใจนักหนา ขณะที่บีมกำลังยิ้มค้างทันทีที่ได้เห็นคนรู้จักแถวหมู่บ้านมองมาด้วยความสนใจ บีมจึงรีบผละกายออกห่างจากคุณนัท

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ?” คุณนัทเอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะจับสังเกตได้ว่าการเปิดประเด็นยั่วเย้าเมื่อสักครู่กำลังจบลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

“ผมเห็นไอ้โต้ง..” บีมเอื้อนเอ่ยอย่างเป็นกังวล

“เขาเป็นใครเหรอครับ ?” นัทเอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่พร้อมกับจูงมือคนรักเดินไปยังซุ้มรับรองของเหล่านักแสดง

“มันเป็นพวกเดียวกับแรงงานชั่วคราวที่มาช่วยบ้านผมเก็บเกี่ยวข้าวโพด แล้วก็เป็นคนที่ชอบล้อเลียนตัวตนของผมเหมือนกับเรื่องตลก แถมมันยังคิดว่าสิ่งที่ผมเป็นคือโรคที่ต้องรักษา” บีมเริ่มระบายความรู้สึกทันทีที่ถูกโอบล้อมด้วยความเป็นส่วนตัว แต่ยิ่งพูดน้ำเสียงกลับยิ่งแผ่วเบา เพราะทุกถ้อยคำที่แอบได้ยินในวันนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในใจ อีกทั้งเรื่องราวที่แม่เคยบังคับลากถูก็ยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา ซึ่งบีมยอมรับว่าในใจยังคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นจึงต้องคอยกลบทับด้วยความเริงร่า เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับทะเลที่คลื่นลมกำลังเงียบสงบ

“พวกเขาจะคิดยังไงก็ปล่อยให้คิดไปดีไหมครับ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกของคนในครอบครัว ถ้าหากพ่อกับแม่ของคุณคิดว่าการเป็นเกย์หรือการชอบผู้ชายด้วยกันคืออาการเจ็บป่วยเหมือนที่ผ่านมา พวกท่านจะยอมปล่อยให้คุณใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคุณชอบผู้ชายได้นานขนาดนี้เลยเหรอครับ เพราะถ้าหากเป็นผมคงจะรีบลากตัวกลับทันทีที่รู้ความจริง และผมก็เชื่อว่าพวกท่านน่าจะทราบถึงตัวตนของคุณมานานแล้วว่ามันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแต่พวกท่านอาจจะยังทำใจยอมรับไม่ได้ถึงได้ทำเป็นไม่รู้ต่อหน้าคุณ”

“แต่วิธีที่พวกท่านเลือกใช้ ทำให้ผมรู้สึกว่าความพยายามและความทุ่มเทของผมไม่มีค่าเลย” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่แววตากำลังไหวระริกด้วยความผิดหวังและเสียใจ ที่พ่อกับแม่คิดถึงแต่ผลลัพธ์ในมุมมองที่พวกท่านต้องการจนไม่สนวิธีการ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกใช้งานแต่งของพี่แก้วมาเป็นข้อกล่าวอ้าง ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันครอบครัวของพี่แก้วย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แถมยังหาใครสักคนมาสวมรอยเป็นเพื่อนต่างวัยของลูกชายเพียงหนึ่งเดียว โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อความรู้สึกของบีมเลยสักนิด

“ที่รัก.. ผมอยากให้คุณคิดเสียว่ามันคือโอกาสอันดีที่จะทำให้พวกท่านมองเห็นว่าความรักของพวกเรามั่นคงมากแค่ไหน และยังทำให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่าสามารถดูแลคุณที่มีอาการเดินละเมอได้ดี ดังนั้นคุณเองก็ต้องคอยเป็นทัพเสริมให้กับผม เพราะทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดีถ้าหากเราสองคนร่วมมือกัน” คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยความจริงจัง ซ้ำยังประคองสองข้างแก้มของบีมด้วยความนุ่มนวล เพื่อที่บีมจะได้จ้องมองแววตาอันอบอุ่นได้อย่างชัดเจน ความมั่นใจและความกังวลจะได้ถูกปัดเป่าจนหมดสิ้น

“พอได้ฟังคุณพูดแบบนี้ ผมกลับยิ่งมั่นใจว่ารูปอนาจารนั่นคือสาเหตุหลัก เพราะผมไม่เคยพาใครมาเพลย์ที่ห้องและไม่เคยพลาดพลั้งเหมือนวันนั้น แต่การที่รถของแม่สตาร์ทไม่ติดก็เหมือนกับแม่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ผมเลยไขว้เขวและหวาดกลัวว่าความเงียบสงบในตอนนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มของพายุลูกใหญ่” บีมเอื้อนเอ่ยพลางถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก และยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิว่าตัวเองค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย อาจเพราะบีมไม่อยากให้คนดี ๆ อย่างคุณนัทหลุดมือไป บวกกับนิสัยใจคอของแม่ก็ดูสุขุมแตกต่างจากวันวาน บีมจึงรับมือไม่ค่อยถูก

“เราสองคนก็ทำตัวให้เหมือนกับนักกีฬาโต้คลื่นสิครับ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพลางแย้มยิ้ม บีมจึงเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยความสงสัย

“เรื่องรูปเราอาจจะบอกความจริงกับพวกท่านไม่ได้ เพราะมันจะยิ่งทำให้พวกท่านเป็นห่วง และหวาดกลัวว่าผมจะเพลย์กับคุณรุนแรงจนเกินไป ถ้าหากพวกท่านสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณอาจจะต้องโกหกว่าในตอนนั้นท่านกำลังตาฝาด ระหว่างนี้เราสองคนก็เตรียมถ่ายรูปในมุมมองที่คล้าย ๆ กันไว้เป็นข้อแก้ตัว” คำแนะนำของคุณนัทยังคงเป็นทางออกที่ดีเสมอ เพราะบีมเข้าใจดีว่าพ่อกับแม่คงไม่มีทางเข้าใจรสนิยมแบบ BDSM ได้ง่าย ๆ เพราะประเทศไทยยังไม่เปิดรับมากมายขนาดนั้น

แถมบุคลากรทางการแพทย์บางคนก็ยังคิดว่ารสนิยมแบบนี้ คืออาการเจ็บป่วยทางจิตเวชและยังเป็นความวิปริตทางเพศ ซ้ำยังมีสื่อแขนงต่าง ๆ คอยนำเสนอด้วยความผิวเผิน จนสร้างภาพจำให้กับคนทั่วไปแบบผิด ๆ เพียงเพราะมันไม่เคยถูกนำเสนอด้วยขอบเขตของคำว่า ‘รสนิยม’ ที่ขับเคลื่อนไปด้วย ‘ความปลอดภัย’ แต่กลับถูกนำเสนอด้วยความรุนแรงเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้กว่าจะเกิดความเข้าใจก็ต้องผ่านการค้นคว้าอย่างจริงจัง

แต่ทว่าจะมีชาววนิลาสักกี่คนที่คิดจะทำแบบนั้น และมันก็ใช่ว่าการอ่านข้อมูลจะทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ บีมจึงมองเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน ว่าถ้าหากพ่อกับแม่ทราบถึงรสนิยมในส่วนนี้ คงจะต้องร้องขอให้บีมและคุณนัททำอะไรที่อยู่ในขอบเขตที่พวกท่านรับได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันคงจะไม่ใช่ขั้นที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกของบีมกับคุณนัท หรือบางทีมันอาจจะเลวร้ายจนถึงขั้นสะบั้นความสัมพันธ์ต่อกัน จึงไม่แปลกที่พ่อกับแม่เลือกที่จะหลอกล่อให้บีมกลับมาเป็นช่างตัดเสื้อประจำสตูดิโอในบ้านสีขาวหลังเล็ก

“เพราะฉะนั้นความปลอดภัยของคุณคือกระดานโต้คลื่นอันมั่นคง และผมเชื่อว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหน ไม่ไว้วางใจคนที่ลูกของเราสามารถพึ่งพาได้ ผมคิดว่าการเปิดเกมของคุณมาถูกทางแล้ว เหลือแค่คนที่เล่นเกมอย่างผมจะต้องคอยจับมือของคุณฝ่าด่านเหล่านั้นไปด้วยกัน” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพลางเลื่อนมากอบกุมฝ่ามือของบีมไว้พร้อมกับจุมพิตเพียงแผ่ว

“แล้วเราจะผ่านด่านนี้ยังไงดีครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความผ่อนคลายมากขึ้นพลางเดินไปยังโต๊ะแต่งหน้าของพี่มีน เพื่อตรวจดูว่าอีกฝ่ายมอบลายเซ็นให้กับเหล่าแฟนคลับครบหรือไม่

“พรุ่งนี้ผมจะไปดูที่ดินที่หนองคาย ระหว่างนี้ผมจะคอยดูแลคุณเหมือนที่ผ่านมา เพียงแต่ทุกการกระทำของคุณ จะตกอยู่ภายใต้สายตาของพ่อกับแม่ เพราะผมลงแอปพลิเคชันของกล้องวงจรปิดเอาไว้ ดังนั้นพวกท่านจะเห็นทั้งความไว้วางใจและความสุขของคุณที่เกิดขึ้นเพราะผมอย่างชัดเจน หลังจากนั้นผมจะกลับมาขอสิทธิ์ในการดูแลคุณในสถานะคนรักก่อนจะกลับกรุงเทพตามแพลนที่คุณวางไว้” คุณนัทก้าวเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง พลางจุมพิตเรือนผมของบีมด้วยความรักใคร่ ใบหน้าของบีมจึงร้อนผ่าวและแดงก่ำอย่างเปิดเผย

“แล้วถ้าหากไม่สำเร็จล่ะครับ ?” หลังจากบีมเริ่มปรับความรู้สึกให้คุ้นชินแล้วจึงเอ่ยถามเป็นการเผื่อใจ และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อคิดหาวิธีรับมือ

“ผมก็คงต้องเลือกบริหารงานด้วยวิธีเดียวกับคุณ เพราะก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ผมก็คิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ ทุกอย่างมันเลยไม่ฉุกละหุกมากนัก และพ่อของผมก็เต็มใจให้ความช่วยเหลือ” คุณนัทพลิกตัวของบีมให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน พลางใช้วงแขนกางกั้นอาณาเขตทำให้บีมตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อแม้

“ที่รัก.. ระหว่างที่ผมต้องเดินทางไปหนองคาย คุณอย่าคิดมาก อย่าเป็นกังวลเรื่องของเราจนเกินไป เชื่อมั่นในตัวผมเหมือนที่เคยเป็นมาก็พอครับ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยความเว้าวอน คงเพราะลึก ๆ กำลังหวาดกลัวว่าบีมจะเก็บไปคิดมากจนทำให้จูเลียตออกมาเดินอาละวาดเหมือนที่ผ่านมา

“คุณเป็นเหมือนพรวิเศษจากเบื้องบน เพราะแค่ผมแบ่งปันความคิดหรือเรื่องราวให้คุณฟัง ในใจของผมก็เหมือนกับถูกปัดเป่าด้วยวิธีที่ถูกต้อง และถ้าหากผมไม่ได้รู้จักกับคุณ ผมก็คงไม่รู้ว่าตัวเองเดินละเมอออกไปข้างนอก ซึ่งถ้าหากความจริงเปิดเผยผมก็คงต้องอยู่กับความหวาดระแวงชั่วชีวิต เพราะอาการเดินละเมอของผมมันน่ากลัวมาก แต่คุณก็ยังพยายามหาวิธีช่วยเหลือผมในเบื้องต้น และยังทำให้ผมกล้าที่จะไปหาหมอ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมจะไม่เชื่อมั่นในตัวคุณ”

“ขอโทษนะที่วันนั้นผมเผลอหลับไปกลางอากาศ จนทำให้หัวใจของคุณเกิดบาดแผลโดยไม่ตั้งใจ” บีมซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่ายพลางโอบรัดด้วยความแนบแน่น พร้อมกับเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“หลังจากนี้ผมจะใช้ความสุขกับความกล้าหาญรักษาแผลใจของคุณ และสัญญาว่าจะไม่ทำให้จูเลียตมีโอกาสออกมาเดินเล่นอีก เพราะผมจะไม่โหมงานหนักจนปล่อยให้ตัวเองหลับกลางอากาศเหมือนวันนั้น และจะไม่คิดมากเพราะเรื่องของเรา” บีมเงยหน้าสบตาคนรักพลางขยับเข้าไปจุมพิตริมฝีปากอันคุ้นเคยด้วยความแผ่วเบา แต่ทว่ากลับดูดดื่มโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมไอจากดาราสาวพร้อมกับจังหวะเคาะฉากกั้นประมาณสองสามที

ทั้งคู่จึงต้องผละออกจากกันด้วยความเก้อเขิน



--------------------------✁


สำหรับตอนนี้มีประเด็นที่เราตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับ BDSM ในมุมมองจากชาววนิลลาอยู่บ้าง เพราะถึงแม้ปัจจุบันรสนิยมแบบ BDSM จะเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีเพจคอยให้ความรู้อย่างถูกต้อง แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจ เรื่องของเรื่องเราเคยอ่านเจอในทวิตว่าเค้ามองรสนิยมแบบนี้เป็นเรื่องผิดปกติทางจิต ส่วนหนึ่งเราคิดว่าเป็นเพราะบรรทัดฐานของสังคมด้วยแหละ ถึงทำให้ยากที่จะมองว่ามันคือรสนิยม และด้วยความมือบอนก็เสิร์ชไปเจอเพจเกี่ยวกับหมอที่มีการวิจารณ์หนังเรื่อง Fifty shade of grey ว่ามันคือความวิตถาร เราเลยอยากใส่ข้อมูลตรงนี้เข้าไปในนิยายของเรา เพราะส่วนหนึ่งเราคิดว่าสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นละคร นิยาย หรือแม้แต่ข่าว ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มวนิลลามันออกมาในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง ความเข้าใจเลยผิดไปจากความเป็นจริงมาก ที่เห็นได้ชัด ๆ เลยคือ พอพูดถึงนิยายแบบ BDSM กลับกลายเป็นหานิยายที่เป็น BDSM จริงๆ ยากมาก เพราะส่วนใหญ่มันมักจะพ่วงมากับความรุนแรงและการข่มขืน ความเข้าใจของคนทั่วไปมันเลยถูกปลูกฝัง 

ทีนี้มันก็จะเข้ากับประเด็นที่บีมคาดเดาว่าแม่หลอกให้กลับบ้านเพราะรูปอนาจาร ถ้าตีความจากมุมมองของผู้ใหญ่เราคิดว่าการหลอกกลับบ้านคือการปกป้องลูก แม้ว่าวิธีการที่ใช้จะเต็มไปด้วยช่องโหว่ก็ตาม แต่ผลลัพธ์ถ้ามันคือการทำให้ลูกกลับบ้านได้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายนะ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างบีมกับพี่แก้ว เราอยากให้นึกถึงเพื่อนสมัยมอต้นที่เคยสนิทกัน แต่พอโตขึ้นกลับกลายเป็นคนแปลกหน้า เพราะไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว แถมบางคนก็เปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ แล้วบีมก็สนิทกับพี่แก้วแค่คนเดียว แม่ถึงเลือกหยิบเอาคนที่ไม่มีตัวตนมาใช้งาน เพราะไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว อีกอย่างมุมมองดี ๆ เกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเอง บีมก็เพิ่งจะมองเห็นหลังจากกลับมาอยู่ที่นี่ด้วย คนอ่านอาจจะลืมไปว่าบีมในตอนนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว ถูกมองเป็นตัวตลก แล้วยังถูกบังคับให้อยู่ในกรอบ ปัจจุบันบีมเลยกลายเป็นคนเก็บกดจนคิดมากด้วย เพื่อนคนเดียวที่ดีกับบีมจริงๆ ก็คือพี่แก้วเพียงแต่เธอจะมาเล่นด้วยทุกปิดเทอม (คาดว่าตรงนี้เราเขียนให้ความคิดของบีมสวิงตามเรื่องราวที่แม่บอกด้วยก็เลยทำให้กลายเป็นเนื้อหาที่อาจจะไม่สำคัญ)

แฮร่ อธิบายซะยืดยาวพอดีมีคนถามเข้ามาในเพจ เราเลยถือโอกาสพูดในหน้านิยายด้วย เผื่อจะมีคนสงสัยเหมือนกันค่ะ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พ่อพระเอกอบอุ่นเหลือเกินหาได้ทีทไหน

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 29


ทันทีที่งานอีเว้นท์ผ่านพ้นไป พี่มีนก็เลือกใช้สิทธิ์ความเป็นคนกันเองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการไปรับประทานอาหารตามร้านหรู ดูจะเอิกเกริกเกินไปหน่อยและไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวสักเท่าไหร่ จึงตกลงกันว่าจะเปิดปาร์ตี้ขนาดย่อมที่โรงแรม เพราะคุณนัทกับพี่มีนก็พักอยู่ที่เดียวกัน

“ฝากขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยนะบีม พี่ล่ะเกรงใจ” พี่มีนกล่าวขณะที่บีมกำลังเปิดกระโปรงหลังรถ เพื่อที่คุณนัทจะได้ช่วยหอบหิ้วกระสอบใบโตไปไว้ที่รถของดาราสาว โดยมีผู้จัดการส่วนตัวคอยจัดแจงพื้นที่ด้วยความรีบร้อน

“อันที่จริงบีมไม่อยากให้พี่มีนขนย้ายลำบากหรอก แต่จะขัดพ่อกับแม่ก็กระไรอยู่ อีกอย่างของตอบแทนแค่นี้ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” บีมเอื้อนเอ่ยขณะประคองกระสอบใบโตจนมือแดงก่ำ เพราะน้ำหนักของมันไม่ใช่เล่น ๆ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวถึงกองถ่ายพี่ค่อยให้พวกผู้ชายมาช่วยยกเอาก็ได้ เพราะถึงยังไงพี่ก็คงกินคนเดียวไม่หมดอยู่แล้ว อีกอย่างการที่พี่ช่วยบีมเกี่ยวกับห้องเสื้อ พี่ถือว่าเรายื่นหมูยื่นแมว ไม่มีอะไรติดค้างกันนะ เพราะบีมก็ช่วยพี่เรื่องเรียนตั้งเยอะ” สิ้นคำพูดของเพื่อนสนิทต่างวัย บีมก็ได้แต่ยกยิ้ม เพราะพี่มีนยังคงเป็นเพื่อนและพี่สาวที่ดีที่สุดเสมอ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กว่าบีมจะตั้งตัวได้ก็นานอยู่นะ พี่มีนก็คิดเสียว่าข้าวโพดกระสอบนี้เป็นของพ่อกับแม่สิจะได้ไม่เกี่ยวกับบีม” กระทั่งเดินโซเซมาจนถึงที่หมาย ทั้งบีมและคุณนัทก็ช่วยกันยกใส่หลังรถ จากนั้นบีมจึงปัดฝ่ามือของตัวเองเพียงเบา ๆ พร้อมกับเอื้อนเอ่ยอย่างเป็นกันเอง

“จ้า พี่จะถือซะว่าได้ของกินเล่นในกองเพิ่มก็แล้วกัน ว่าแต่หกโมงเย็นเจอกันที่ห้องของคุณนัทเลยเนอะ” พี่มีนยิ้มแฉ่งพร้อมกับล็อกรถเป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะเริ่มนัดแนะช่วงเวลาอย่างจริงจัง

“ไม่มีปัญหาครับ แล้วพี่มีนอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” บีมเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่ ขณะมุ่งหน้าไปยังอาคารสีส้มอิฐสไตล์โมร็อคคัน

“ก่อนหน้านี้พี่อยู่แต่ในป่ามาตั้งนาน อยากกินพิซซ่าอ่ะ” พี่มีนแอบกระซิบกระซาบพลางเหลือบมองไปยังชายหนุ่มมาดนักธุรกิจที่เดินตามหลังด้วยความเกรงใจ

“ถ้าอย่างนั้นพี่มีนก็เลือกหน้าที่อยากกินได้เลย เดี๋ยวบีมสั่งเองเวลารับของจะได้ไม่วุ่นวาย” บีมเอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะอยากตามใจเพื่อนสนิทต่างวัยที่ไม่ได้เจอหน้ากันสักพักใหญ่ เนื่องจากอีกฝ่ายต้องไปเก็บตัวถ่ายละครเรื่องใหม่ในพื้นที่อับสัญญาณ และยังต้องบุกป่าฝ่าดงเพื่อให้ฉากของละครเรื่องนั้นเต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ

แต่กระนั้นมิตรภาพระหว่างกันกลับไม่ได้ห่างเหิน อาจเพราะก่อนที่พี่มีนจะมีชื่อเสียง พวกเราต่างแบ่งปันเรื่องราวมากมายให้แก่กัน ไม่ว่าจะเป็นการที่พี่มีนถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องฝีมือการแสดงจนขาดความมั่นใจก็ได้บีมคอยเติมเชื้อเพลิงให้อีกฝ่ายฮึดสู้ พี่มีนถึงได้เชื่อมั่นในความคิดเห็นของบีมมาก บึมจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ยังไม่ว่างดูละครของอีกฝ่าย

หรือแม้แต่เรื่องรสนิยมแสนพิเศษ บีมก็ได้พี่มีนคอยให้ความช่วยเหลือด้วยความเข้าใจ มิหนำซ้ำช่วงเวลาที่พี่มีนเริ่มเป็นยอมรับในวงการบันเทิงก็ยังไม่ลืมเพื่อนสนิทต่างวัยคนนี้ จนทำให้บีมสามารถลืมตาอ้าปากในสถานะเจ้าของห้องเสื้อได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ซึ่งบีมสามารถเอื้อนเอ่ยได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ถ้าหากไม่ได้รับกำลังใจจากพี่มีนก็คงจะไม่มี ‘ห้องเสื้ออิสระ’ และในทางกลับกันถ้าหากพี่มีนไม่ได้รับกำลังใจจากบีมก็คงจะไม่มี ‘มีน กุลนิษฐ์’ ในวันนี้

“คุณนัทจะโอเคหรือเปล่า” พี่มีนย้อนถามด้วยความเกรงใจ

“รายนั้นไม่ค่อยเรื่องมากหรอกครับ พี่มีนสบายใจได้ พรุ่งนี้พี่ต้องกลับกาญจนบุรีแล้ว มีโอกาสได้กินของที่อยากกินก็รีบตามใจปากเถอะ ส่วนพวกผมถ้าหากอยากกินอย่างอื่นค่อยไปหากินวันหลังเอาก็ได้” บีมเอื้อนเอ่ยอย่างมีเหตุผล เพื่อที่เพื่อนสนิทจะได้วางใจ

“ใช่ครับคุณมีน เดี๋ยวมื้อนี้ผมเลี้ยงเอง อย่าเกรงใจเลยครับ คนสำคัญของบีมก็เหมือนคนสำคัญของผม” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเอ่ยสำทับอย่างคนใจกว้าง ส่งผลให้หญิงสาวผู้เป็นแขกคนสำคัญเริ่มสบายใจขึ้น อีกทั้งยังปล่อยวางความรู้สึกห่วงใยที่มีต่อเพื่อนรักต่างวัยได้อย่างสนิทใจ

“ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวเจอกันนะบีม พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับเราเยอะแยะเลย” พี่มีนรั้งลาดไหล่ของบีมเข้ามาแนบชิด ก่อนจะรีบเดินนำหน้าด้วยท่าทีสดใส คงเพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ดาราสาวใกล้จะได้แช่น้ำอุ่นอย่างที่ใจต้องการ

“แล้วเจอกันครับ” บีมยกยิ้มพลางโบกมือตอบด้วยสีหน้าร่าเริง ก่อนจะทำหน้าเหวอด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกคนรักฉุดรั้งให้เดินกลับไปยังลานจอดรถ

“ผมเพิ่งจะคิดได้ว่าเราควรใช้โลเกชั่นของที่นี่เพื่อเอาตัวรอด อีกอย่างผมเตรียมเดรสลูกไม้มาให้คุณด้วย เพราะตอนที่ผมจองห้องพักของโรงแรมนี้ ผมคิดว่าคุณคงจะมีความสุข ถ้าหากได้สวมเสื้อผ้าจากแบรนด์ของตัวเอง โดยที่มีผมคอยถ่ายรูปในทุกอิริยาบถของคุณ ท่ามกลางบรรยากาศในแถบตะวันออกกลาง” คุณนัทให้คำอธิบายพร้อมกับเปิดล็อกรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นถุงกระดาษแบรนด์หรูก็ถูกส่งต่อมายังผู้ที่ต้องสวมใส่

“แต่..” บีมเอื้อนเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคก็เงียบไป เพราะใจหนึ่งยังเป็นกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของภาพถ่าย แต่อีกใจหนึ่งก็เปิดรับข้อเสนอของคนรักด้วยความเข้าใจ เนื่องจากบีมทราบดีว่า เหตุผลแรกที่คุณนัทนำเสนอคงไม่เพียงพอที่จะทำให้แม่ปล่อยวางได้ง่าย ๆ เนื่องจากบีมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเผลอแสดงสีหน้าออกไปยังไงบ้าง อีกอย่างภาพนั้นมันคือภาพอนาจาร หากแม่เห็นมันอย่างที่คาดการณ์ ข้อกล่าวอ้างที่ว่าตาฝาดคงไม่อาจทำให้บีมรอดพ้น ดังนั้นการเบี่ยงประเด็นด้วย ‘รสนิยม’ อีกอย่างหนึ่งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“คุณยังไม่คิดจะบอกพวกท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอครับ ?” ชายคนรักเอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่

“ครับ เพราะผมยังไม่รู้ว่าจะพูดออกไปยังไงดี ที่สำคัญผมกลัวผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง” บีมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เนื่องจาก ‘ความลับ’ อันเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับครอบครัวมีมากจนเกินไป แต่ละประเด็นที่เคยคาดเดาว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจจึงเต็มไปด้วยความกังวล

“แต่ถ้าหากเทียบกันแล้ว ผมกลัวว่าพวกท่านจะรู้เกี่ยวกับรสนิยมแบบ BDSM ของผมมากกว่า” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเพียงบาง ๆ เมื่อคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้ว เรียวเท้าจึงก้าวเดินตรงไปยังตัวโรงแรมสีส้มอิฐด้วยความมั่นคง เนื่องจากบีมไม่อยากให้รสนิยมส่วนตัว ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์จนขาดสะบั้น และไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วง เพราะบีมเข้าใจดีว่าความน่าหลงใหลของมัน คงจะถูกมองเป็นเรื่องแปลกประหลาด และอาจจะเลยเถิดจนถึงขั้นเหมารวมว่าบีมมีความผิดปกติทางจิต ชีวิตคงจะยุ่งยากและวุ่นวายมาก


กระทั่งพาตัวเองเดินเรียบเส้นทางในร่มที่อยู่ไม่ไกลจากลานกว้างหน้าโรงแรม บีมก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศสไตล์โมร็อคคันทีละนิด เพราะสิ่งแรกที่โดดเด่นในระยะสายตาคือตะเกียงที่ประดับตกแต่งอยู่บนฝ้าเพดาน รวมไปถึงกำแพงอันโออ่าที่มีการออกแบบคล้ายกับบีมกำลังเดินรอดอุโมงค์ที่มีรูปทรงของสิ่งก่อสร้างอันมีชื่อเสียงอย่างทัชมาฮาล

แต่พอก้าวเข้ามายังด้านในของตัวโรงแรม บีมกลับถูกความหรูหรากระแทกตาเข้าอย่างจัง เพราะแม้แต่ผ้าม่านอันโอ่โถงก็เลือกใช้สีน้ำตาลแกมทอง แถมเฟอร์นิเจอร์ก็ล้วนแต่แสดงถึงความเป็นอาหรับราตรีอย่างเต็มรูปแบบ เพียงแต่เน้นใช้สีแดงตัดกับพื้นและเพดานสีขาวขุ่น โดยมีระเบียงสีดำสนิทบ่งบอกถึงจำนวนห้องพักอันมากมาย

มิหนำซ้ำด้านบนของน้ำพุตรงใจกลางลานล็อบบี้ ยังมีแชนเดอเลียร์สีดำอันหรูหราที่เวลากลางคืนคงจะเปล่งแสงสว่างอย่างโดดเด่น บีมจึงเข้าใจความรู้สึกของคนรักในระหว่างจองห้องพักเป็นอย่างดี เพราะการตกแต่งของที่นี่เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก

“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ” ทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณนัท บีมก็หยุดการหันรีหันขวางด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปยังห้องน้ำอันเงียบสงบที่การตกแต่งยังคงเน้นไปในโทนหรูหราสไตล์อาหรับ อ่างล้างมือจึงเลือกใช้สีทองเหลืองอร่ามเป็นตัวขับเน้น

“รอสักครู่นะครับ” บีมเอื้อนเอ่ยก่อนจะพาตัวเองไปแอบซ่อนตัวยังห้องน้ำด้านในสุด จากนั้นจึงเปิดถุงกระดาษใบโต พบว่าชุดที่คุณนัทเตรียมให้ค่อนข้างพิเศษและเข้ากับสไตล์อาหรับอยู่บ้าง เพราะอีกฝ่ายเตรียมผ้าลูกไม้แบบ CHANTILLY LACE ผืนใหญ่ไว้ให้บีมคลุมผม

ส่วนเดรสตัวสวยเป็นแบบแขนกุดสีตุ่นที่มีการประดับลวดลายด้วยผ้าลูกไม้ชนิดเดียวกัน ตั้งแต่บริเวณลำคอไปจนถึงชายกระโปรง เพียงแต่ไม่ได้กลืนกินเนื้อผ้าสีตุ่นจนหมองหม่น เดรสชุดนี้จึงเหมาะกับสาวน่ารักและเรียบร้อย

“คุณซื้อวิกมาให้ผมใหม่เหรอ ?” บีมเอ่ยถามทันทีที่การแต่งตัวเสร็จสิ้น พร้อมกับเดินมายืนหันหลังให้อีกฝ่ายรูดซิปบริเวณแผ่นหลัง

“ใช่ครับ สีน้ำตาลแดงน่าจะเหมาะกับคุณ” คุณนัทกล่าวพลางฉุดรั้งให้บีมหันมาเผชิญหน้ากัน เพราะเจ้าตัวจะเริ่มทำหน้าที่เป็นช่างทำผมด้วยความตั้งใจ บีมจึงยืนเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายเล่นด้วยความเพลิดเพลิน เนื่องจากแววตาแห่งความมุ่งมั่นของคนรักกำลังทำให้บีมรู้สึกหลงใหล

“เวลาที่เห็นผมแต่งตัวแบบนี้ โดยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การเพลย์ คุณนัทรู้สึกยังไงเหรอครับ คือผมหมายถึงเดี๋ยวผมก็แต่งเป็นผู้ชาย เดี๋ยวก็แต่งเป็นผู้หญิง” บีมเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ เพราะคุณนัทไม่เคยเอื้อนเอ่ยถึงประเด็นนี้ มีแต่จะส่งเสริมด้วยความเข้าใจ

“อืม.. ถ้าหากคำถามของคุณหมายถึงผมรู้สึกแปลก ๆ หรือเปล่า ก็ไม่นะครับ คงเพราะลึก ๆ ผมชอบให้พาร์ทเนอร์แต่งครอสเพลย์อยู่แล้ว ดังนั้นการแต่งตัวแบบนี้ในชีวิตจริงของคุณ ผมโอเคนะ เพราะมันทำให้ผมได้เห็นว่าความคิดอันสร้างสรรค์ของคุณ แถมเวลาที่คุณแต่งตัวเหมือนผู้หญิงยังมีด้านที่สวยหวานและสวยเซ็กซี่ แต่เวลาที่คุณแต่งตัวตามเพศสภาพก็ดูน่ารักและเซ็กซี่ได้เหมือนกัน ผมเลยถือเป็นกำไรชีวิตที่ได้เห็นคุณในรูปลักษณ์ต่าง ๆ เพราะสำหรับผมมันดีทั้งหมดเลยครับ” ทันทีที่ได้ฟังคำตอบริมฝีปากของบีมก็คลี่เป็นรอยยิ้ม แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่บีมคาดเดาได้ตั้งแต่แรก เพราะการกระทำของอีกฝ่ายมันตอบคำถามได้ทั้งหมด เพียงแต่บีมอยากจะได้ยินจากปากก็เท่านั้น

“อย่างวันนี้คุณดูเหมือนสาวเรียบร้อย ลูกคุณหนูพันล้านที่ต้องมีบอดี้การ์ดคอยอารักขา” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพลางขยับเข้ามายืนซ้อนหลัง พร้อมกับนำผ้าคลุมวางลงบนวิกผมสีน้ำตาลแดงด้วยความนุ่มนวล ขณะที่แววตากำลังชี้ชวนให้บีมมองตัวเองในกระจกเงา จึงส่งผลให้พวงแก้มเริ่มแดงก่ำ

“เพียงแต่บอดี้การ์ดประจำตัวอย่างผม กลับหลงใหลคุณหนูอย่างคุณหมดหัวใจ” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มยังคงชักจูงให้บีมเคลิบเคลิ้มไม่แปรเปลี่ยน แต่ทว่าถ้อยคำราวกับสวมบทบาทดูไม่ต่างจากการบอกรัก พวงแก้มอันแดงซ่านจึงทวีความแดงก่ำไปกันใหญ่ คงเพราะความเก้อเขินจากบีมไม่ได้หาดูได้ง่าย ๆ พอสบโอกาสเหมาะคุณนัทจึงมักจะไขว่คว้าอย่างรวดเร็ว

แต่กระนั้นบีมก็ยังรู้จักเอาตัวรอด จึงรีบผละกายออกห่างจากความใกล้ชิดและห้องน้ำอันเงียบสงบแต่แสนอันตรายต่ออัตราการเต้นของหัวใจ


“คุณคิดว่ามุมไหนคล้ายกับภาพนั้นมากที่สุดเหรอครับ” เมื่อคุณนัทเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกล้อง DSLR ตัวคุ้นเคย บีมจึงเอ่ยถามหลังจากที่ยืนมองความหรูหราตรงหน้าอย่างคิดไม่ตก เพราะมุมภาพนั้นดูเหมือนจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งท่ามกลางแสงจันทร์อันมืดสลัว

“อืม.. ผมว่าตรงตะเกียงอาราดินก็เหมาะอยู่นะครับ อีกอย่างผมว่าเราควรจะถ่ายเก็บ ไว้หลาย ๆ รูป แล้วค่อยมาคัดดูอีกที” คุณนัทกล่าวพลางชี้ไปยังมุมถ่ายภาพด้านหลังที่ดูเหมือนจะเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่

“คุณว่าผมควรจะทำหน้าเหมือนคนเดินละเมอด้วยดีไหม เผื่อจะได้ใช้เป็นเหตุผลสนับสนุน” หลังจากบีมโพสต์ท่าถ่ายรูปด้วยความร่าเริงก็เริ่มเกิดไอเดียที่น่าสนใจ เพราะอย่างน้อยบีมก็จะได้อธิบายความชอบของตัวเองง่ายขึ้น

“เอาตามที่คุณครีเอทเลยที่รัก” ทันทีที่คุณนัทส่งมอบอิสระทางความคิด บีมก็เริ่มหลงลืมจุดประสงค์หลักไปโดยปริยาย รู้ตัวอีกทีพี่มีนก็ทักแชทมาหาตามที่ตกลงกันไว้ บีมจึงรีบโทรสั่งมื้อเย็นตรงบริเวณโซฟาใกล้ลานน้ำตกกลางล็อบบี้ ส่วนคุณนัทคงจะถูกความสวยงามของสถานที่ดึงดูดเข้าจนเต็มเปา ถึงได้หายตัวไปพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคู่ใจอย่างไร้ร่องรอย

จนกระทั่งเสร็จสิ้นธุระของปากท้อง บีมก็เริ่มกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย จึงสังเกตเห็นว่าคนรักกำลังยืนเล็งโฟกัสมาที่บีมจากระเบียงชั้นสอง ริมฝีปากของบีมจึงคลี่เป็นรอยยิ้ม เพราะไม่ได้ตั้งใจจะส่งยิ้มให้กับเลนส์กล้อง เมื่อคนหลังกล้องสามารถดึงดูดความสนใจได้มากกว่า


หลังจากได้รับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว บีมก็เหลือเวลาจัดเตรียมสถานที่ตรงระเบียงด้านนอกห้องสวีทที่คุณนัทจับจองครู่หนึ่ง จึงทันเห็นได้ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน บีมเลยถือโอกาสนั่งชันเข่าบนโซฟาตัวยาวติดกำแพงสีส้มอิฐที่มีการมุงหลังคาและประดับด้วยโคมไฟสไตล์อาราเบียนทุกช่วงเสา พลางเท้าคางมองไปยังลำแสงสีส้มที่ระบายอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่คุณนัทก็รับหน้าที่ในส่วนนั้นแทน แล้วจึงมานั่งดูรูปถ่ายด้วยความตั้งใจ เพราะแม้แต่เสียงกดกริ่งหน้าประตูห้องพักอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ยิน บีมเลยต้องเดินออกไปต้อนรับผู้มาเยือน โดยที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแต่อย่างใด

“บีม ?” ทันทีที่ประตูบานใหญ่เปิดกว้าง ดาราสาวก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ บีมจึงพยักหน้าตอบรับ

“เฮ้ย! น่ารักอ่ะ เหมือนตุ๊กตาเลย ทำไมตอนที่เราเจอกันไม่แต่งตัวแบบนี้เนี่ย” พอก้าวเข้ามาในห้องของคุณนัทได้ พี่มีนก็รีบหันไปปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโดดเข้ามากอดบีมจนเต็มรัก เล่นเอาบีมเกือบจะเสียหลัก

“ตอนนั้นมัน..” บีมกล่าวพลางลูบต้นคอด้วยความเก้อเขิน

“ยากจะเปิดเผยความชอบในส่วนนี้” บีมได้แต่อ้อมแอ้มให้คำอธิบาย เพราะก็อย่างที่ทราบกันดี ว่าพี่มีนรับรู้ถึงรสนิยมแบบ BDSM ของบีมจนหมดไส้หมดพุงแล้ว แถมช่วงหนึ่งยังอาสาสวมบทบาทของดอมได้ไม่เลว ดังนั้นพี่มีนก็เลยคาดไม่ถึง ว่าบีมจะมีอีกหนึ่งรสนิยมที่ไม่เคยรับรู้

“โหย ลุคนี้กินขาดมาก เชอะ อิจฉาคนหน้าสวย” พี่มีนแกล้งบึนปากด้วยท่าทีแสนงอน ก่อนจะบิดแก้มบีมเสียยกใหญ่ บีมจึงแกล้งตีมือของหญิงสาวเพียงเบา ๆ พร้อมกับร้องโอดโอยราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดา จนกระทั่งได้รับอิสระ บีมจึงรีบวิ่งออกไปยังระเบียงด้านนอก ส่งผลให้คนรักมองมาด้วยความไม่เข้าใจ

“เชิญตามสบายนะครับคุณมีน” เมื่อพี่มีนวิ่งเข้ามาสมทบ คุณนัทก็เอื้อนเอ่ยในฐานะเจ้าบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปยังด้านใน คาดว่ารูมเซอร์วิสกำลังนำไวน์รสชาติดีมาเสิร์ฟตามที่ร้องขอ จากนั้นไม่นานโคมไฟสไตล์อาหรับอันมากมายบนกำแพงสีส้มอิฐตรงมุมขวามือติดกับบริเวณห้องน้ำที่มีอ่างจากุชชี่ก็ส่องแสงสว่างอย่างพร้อมเพียง ก่อนจะตามมาด้วยการปรากฏตัวของคุณนัท

“ว่าไปแล้วชีวิตของพี่ตอนนี้อยู่ในจุดที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้สัมผัส ปรับตัวยากอยู่เหมือนกัน” กระทั่งเจ้าของห้องพักก้าวเดินเข้าไปในส่วนนั่งเล่นในร่ม สองเพื่อนสนิทจึงพากันจับกลุ่มพูดคุยตรงบริเวณแนวกำแพงสีส้มอิฐที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอก โดยมีกำแพงอันเต็มไปด้วยดวงโคมไฟหลากหลายรูปแบบเป็นฉากหลัง

“อึดอัดเหรอครับ ?” บีมย้อนถามด้วยความห่วงใย

“ไม่เชิงหรอก คงเป็นเพราะพี่ยังไม่ชินมากกว่า” บีมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะละครเรื่องล่าสุดถือเป็นเรื่องที่พลิกชีวิต จนทำให้พี่มีนดังเป็นพลุแตกอย่างทุกวันนี้

“เอ้อ แฟนเราคนนี้ พี่ให้สิบผ่านเลย รู้ป่ะห้องพักของพี่ก็เป็นห้องสวีทเหมือนกัน ทีแรกพี่ก็งง ๆ อยู่ เพราะปกติเอนเจนซี่ไม่ได้ทุ่มทุนขนาดนี้ แต่พอรู้ว่าบีมคบกับคุณนัท พี่เลยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากจะเทคแคร์พี่ให้ดี เพราะรู้ว่าพี่กับบีมสนิทกัน แต่ก็แปลกที่แม้แต่เจมส์ก็ยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอีกเหมือนกัน” พี่มีนเอื้อนเอ่ยพลางท้าวคางลงบนแนวกำแพงสีส้มอิฐ ขณะส่งเสียงกระซิบเพื่อป้องกันเจ้าของห้องล่วงรู้

“คงเพราะคุณนัทรู้ว่าพี่เจมส์เคยเป็นพาร์ทเนอร์ของบีมมั้งครับ” ทันทีที่ได้รับคำตอบ ดาราสาวก็เริ่มแสดงความฉงนสงสัย

“จริงดิ เขาไม่หึงบีมกับเจมส์เหรอ ?” พี่มีนเอ่ยถามพลางบุ้ยใบ้ไปยังชายหนุ่มมาดนักธุรกิจที่กำลังรินไวน์แดงใส่แก้วทรงสูง ก่อนจะยกจิบด้วยความสุนทรีย์

“คุณนัทเป็นคนขี้หึงนะครับ แต่ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะเขาไว้ใจผม อีกอย่างผมมีโอกาสได้รู้จักกับเขาก็เพราะพี่เจมส์ไปคบหากับคุณกันต์” บีมเอื้อนเอ่ยพลางอมยิ้มขณะมองคนที่กำลังตกเป็นเป้าหมายโดยไม่รู้ตัว

“แปลก..” ทันทีที่พี่มีนอุทานออกมาแบบนั้น บีมก็หันกลับมาให้ความสนใจต่อคนข้างกาย ก่อนจะย้อนถามว่า “แปลกยังไงครับ ?”

“เจมส์ในตอนนั้นก็ดูแลบีมเป็นอย่างดี แถมทั้งสองคนยังเข้ากันได้ดีมาก จนพี่หลงคิดไปแล้วว่าเพื่อนรักจะมีแฟนเป็นดาราดัง แต่ทำไมความสัมพันธ์ถึงได้หยุดอยู่แค่สถานะของคู่เพลย์ล่ะ” พี่มีนเอื้อนเอ่ยด้วยความสงสัยตามแบบฉบับของชาววนิลลา คงเพราะความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้มันเข้าใจยาก อีกทั้งก่อนหน้านั้นบีมยังสมบทบาทของที่ปรึกษาทางด้านความรักให้กับพี่เจมส์ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นบีมยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้อย่างจริงจัง

“คงเพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกด้วยมั้งครับ แถมความสัมพันธ์แบบ BDSM มันมีเส้นแบ่งความรู้สึกที่ค่อนข้างชัดเจนด้วย ระหว่างผมกับพี่เจมส์เลยคบหากันในสถานะเพื่อน ทุกเรื่องที่เราพูดคุยและปฏิบัติต่อกันเลยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการเพลย์ กับคุณนัทแรก ๆ ความสัมพันธ์ก็เดินไปในสถานะเดียวกับพี่เจมส์นะครับ แต่เพราะการเอาใจใส่ของอีกฝ่ายมันถูกจุดด้วย ความรู้สึกของเราก็เลยคลิกกัน” ยิ่งพูดถึงประเด็นแห่งความประทับใจที่คนรักมีให้ บีมก็ยิ่งคลี่ยิ้มด้วยความสดใส แต่ดูเหมือนพี่มีนยังไม่ค่อยเข้าใจจึงเอ่ยถามด้วยความสนใจว่า “ยังไงเหรอ ?”

“หลังจากเพลย์ไปได้สักพัก คุณนัทก็แวะมาหาบีมที่ห้องเสื้อครับ แล้วก็อยู่รอจนเลิกงาน เพราะเขาบอกว่าชอบดูบีมตัดเสื้อ แถมยังให้ความสนใจเกี่ยวกับผ้าลูกไม้ที่มองดูอย่างผิวเผินก็เหมือน ๆ กันหมด บีมเลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนช่างเอาใจใส่แล้วยังช่างสังเกต แต่พอได้รู้จักกันจริง ๆ คุณนัทยังมีอีกหลายด้านที่น่าทึ่งและยังเป็นคนที่อบอุ่นมาก ๆ ด้วย” ทันทีที่พี่มีนได้ฟังเหตุผล สีหน้าของหญิงสาวก็คล้ายกับเคลิ้มฝัน คงเพราะคนแบบคุณนัทเหมือนกับถอดแบบออกมาจากอุดมคติ

“ได้ยินแบบนี้พี่ก็ยิ่งเบาใจ เพราะพี่ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่บีมเหมือนแต่ก่อนแล้ว ขนาดจะโทรติดต่อกันทียังลำบาก โชคดีที่วันนั้นพักกองพี่เลยหนีเข้าตัวเมือง ไม่อย่างนั้นบีมคงจะติดต่อหาพี่ไม่ได้” พี่มีนยกยิ้มกว้างก่อนจะเดินควงแขนบีม ตรงไปยังมุมรับรองในร่ม มื้อเย็นและเสียงพูดคุยแห่งการทำความรู้จักอันสนิทสนมจึงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น


“ได้เจอบีมครั้งนี้ พี่รู้สึกว่าบีมสดใสขึ้นและยังให้ความสนใจกับอย่างอื่นเป็นแล้ว” หลังจากบีมเลิกละเลียดแป้งพิซซ่าที่ยังกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง เพราะก่อนการเพลย์บีมไม่อยากทานอะไรที่มันหนักท้อง จึงหันมาดื่มด่ำกับรสชาติของไวน์แดงเป็นส่วนใหญ่

“คุณนัทเป็นคนสอนครับ พอเริ่มคุ้นชินการดื่มไวน์ก็เลยกลายเป็นเรื่องสนุก เพราะบีมจะชอบมองดูขาของไวน์ที่ไหลอยู่ตามขอบแก้ว และชอบสังเกตกลิ่นบูเก้ว่ามันคือกลิ่นอะไร” บีมอธิบายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะหันไปสบตากับคนคอเดียวกัน เพราะตอนนี้พี่มีนกำลังนั่งมองตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจ

“ฟังดูยากจะเข้าใจ เออนี่ พี่จะโชว์คิวบู๊ให้ดู” ว่าแล้วดาราสาวก็รีบวางพิซซ่าชิ้นที่เหลือลงบนฝากล่อง ก่อนจะออกมายืนตรงบริเวณกลางแจ้ง จากนั้นก็เริ่มตั้งการ์ดและออกท่าทางอย่างทะมัดทะแมง ขณะที่บีมได้จับจ้องเพื่อนสนิทต่างวัยด้วยความแน่วแน่ เพราะบีมกำลังพิจารณาท่วงท่าของอีกฝ่ายอย่างละเอียด แม้ว่าจะไม่มีความรู้ในด้านนี้

“เป็นไง ?” พี่มีนหอบหายใจพลางเดินกลับมานั่งที่เดิม ก่อนจะขอความคิดเห็น

“บีมไม่ค่อยมีความรู้ในด้านนี้เท่าไหร่ แต่การออกหมัดและการเตะของพี่มีน ดูแข็งแรงแล้วก็ทะมัดทะแมงอยู่นะ แถมการเคลื่อนไหวก็ดูคล่องตัว บีมว่าโอเคเลยแหละ” บีมเอ่ยพลางพยักหน้าสนับสนุน ส่งผลให้ดาราสาวยกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

“เห้อ! ค่อยโล่งอกหน่อย” สาวสวยเพียงหนึ่งเดียวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นเรื่องเล่าในกองถ่ายก็ถูกถ่ายทอดสู่เพื่อนสนิทต่างวัยจนน้ำไหลไฟดับ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ดำเนินมาจนถึงทุ่มครึ่งแล้ว พี่มีนจึงขอตัวกลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางตั้งแต่เช้ามืด สองเพื่อนสนิทจึงโอบกอดกันแนบแน่นครู่หนึ่ง จากนั้นความเงียบสงัดก็ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ เพราะเจ้าของห้องกำลังเก็บกวาดระเบียงด้านนอกให้เรียบร้อย


แต่เพราะการเพลย์หลังจากกินแป้งพิซซ่าซึ่งเป็นอาหารหนักไม่ค่อยจะเหมาะนัก บีมกับคุณนัทเลยตกลงกันว่าจะเดินย่อยอาหารตรงบริเวณระเบียงด้านนอกที่มีการออกแบบด้วยความเรียบง่าย เพราะตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยรูปภาพในสไตล์อาหรับราตรีสักครึ่งชั่วโมง จากนั้นถึงค่อยมาอาบน้ำ เพราะบีมอยากกลับถึงบ้านในเวลาเที่ยงคืน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าคนงานมากนัก

“เพลย์สำหรับวันนี้ผมอยากจะลองใช้แท่งซาวน์ดิ้งดู คุณติดขัดหรือเปล่าครับ” คุณนัทเอ่ยถามหลังจากก้าวเดินไปจนสุดเส้นทาง ทั้งคู่จึงจับจองพื้นที่ตรงระเบียงกรงเหล็กในระดับเดียวกับแชนเดอร์เลียอันใหญ่ เพื่อเฝ้ามองความคึกคักตรงบริเวณล็อบบี้ด้านล่าง เนื่องจากแสงไฟจากดวงโคมหลากหลายมุมกำลังส่องประกายตัดกับโซฟาสีแดงกำมะหยี่และไม้ดอกที่เน้นไปในโทนแดงร้อน

“ผมยังไม่เคยลอง แต่ก็น่าสนใจอยู่นะครับ” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะการซาวน์ดิ้งถือเป็นการเพลย์ที่ค่อนข้างอันตรายและยังต้องใช้ความชำนาญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการสอดใส่ท่อปัสสาวะหากรุนแรงหรือลึกเกินไปก็จะทำให้เกิดบาดแผล นับว่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ดังนั้นอุปกรณ์และขั้นตอนจะต้องคำนึงถึงความสะอาดมากที่สุด

“ระหว่างเพลย์ผมจะใส่ถุงมือยางเพื่อป้องกันการปนเปื้อน และก่อนที่จะเพลย์ ผมจะทำการฆ่าเชื้ออีกครั้ง คุณจะได้มั่นใจ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง ขณะที่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ คงเพราะอีกฝ่ายอยากให้บีมไว้วางใจ

“ที่รัก.. คืนนี้คุณช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผมด้วยนะครับ” บีมโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างใบหูของชายหนุ่มมาดนักธุรกิจด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า แต่ทว่าคำตอบกลับเป็นการส่งมอบความเชื่อใจให้อีกฝ่ายอย่างเหลือล้น

เพียงแต่สรรพนามที่บีมเลือกใช้กำลังทำให้คุณนัทหน้าแดงซ่าน อีกทั้งใบหูก็ยังแดงก่ำด้วยความเก้อเขิน


--------------------------✁


ยังไม่ถึงฉากเพลย์นะคะ 555 พอดีเราอยากใส่ความสัมพันธ์ของบีมกับพี่มีนให้ทุกคนได้เห็นอีกสักหน่อย เพราะตัวละครตัวนี้ถือว่าเป็นคนสำคัญในปัจจุบันของบีมเหมือนกัน รายละเอียดเกี่ยวกับการซาวน์ดิ้งไว้เราจะลงอ้างอิงในตอนหน้าอีกทีจ้า

ปล. ตอนนี้เป็นเวอร์ชั่นที่เรายังไม่ได้ตรวจทานรอบไฟนอลก่อนลงนะคะ เพราะช่วงนี้เรามีปัญหาเรื่องสุขภาพค่ะ เรานอนไม่ได้มาหลายคืนแล้ว หลับตาแล้วจะวูบเหมือนเรากำลังจะตายไปเลย หายใจไม่ออก มือชา เท้าชา เราเลยไปหาหมอ สรุปหมอบอกว่าเราเป็นโรควิตกกังวล เราเลยอยากปล่อยวางเรื่องนิยายเอาไว้ก่อน เพราะหมอบอกว่ามันก็มีส่วนเกี่ยวข้อง คือมันต้องใช้ฟีลลิ่งในการเขียนเยอะมาก ถ้าหากอาการเราดีขึ้น นอนหลับได้บ้างแล้ว เราจะกลับมาเขียนต่อให้จบค่ะ แต่พล็อตบางส่วนที่เหลือเราอาจจะต้องปรับใหม่ เพื่อเซฟความรู้สึกตัวเองตอนเขียนค่ะ และถ้าหากเป็นไปได้เราก็อยากจะเขียนให้จบภายในเดือนนี้นะ (แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทันมั้ย) ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ปล่อยให้ค้างคา

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ไม่เป็นไรเลยค่ะ รักษาตัวเองให้หายดี และพร้อมอีกครั้งค่อยกลับมาเจอกันอีกค่ะ
ส่งกำลังใจให้นะคะ ยิ่งช่วงนี้ อะไรหลายอย่างก็ดูไม่รื่นเริงด้วย

บีมมีนคือเป็นไปด้วยดีมากค่ะ ขอบคุณมีนที่ทำให้บีมเดินต่อมาได้ขนาดนี้
ต่างคนต่างใส่ใจกันและกัน เข้าใจกันในเวลาที่พอดี

ว้าวว คุณนัทไม่ธรรมดาค่ะ วางแผนมาดี พร้อมเป็นแรงใจที่ดีให้บีมด้วย
เป็นคนที่อบอุ่นแบบไม่ต้องพยายาม การใช้คำพูดบอกกล่าวกัน ไม่เร่งรัด
ไม่ทำให้บีมกังวลเพิ่ม มีแต่ช่วยให้ผ่อนคลาย

บีมเป็นคนน่ารักนะ โดยเนื้อแท้แล้ว เสียดายความสุขที่ไม่เติมเต็มมานาน
เอ็นดูความเป็นบีมมากค่ะ พยายามได้ดี และพยายามมากแล้ว

พ่อแม่จะเข้าใจมันยาก แต่ค่อยๆ ปรับกันไปนะคะ อนาคตมีอะไรรออีกเยอะ
ดีกว่ามาคอยกีดกันความสุข และพากันทุกข์ไม่จบสิ้นเนาะ

เรื่องงานแต่งแก้วก็เหมือนกัน พอถึงวันจริงๆ แม่จะทำตัวกันยังไงต่อ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
รักษาสุขภาพด้วยนะไรท์รออ่านนิยายดีๆอยู่จ้า

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 30

   
คุณหนูจูเลียตอย่างบีมได้แต่ส่งยิ้มหวานให้กับชายคนรักที่ยังคงยืนเงียบงันผิดวิสัย เรียวนิ้วสวยจึงขมวดปลายวิกผมสีน้ำตาลแดงด้วยท่าทีเหนียมอาย ก่อนจะหันหลังก้าวเดินอย่างร่าเริงล้อไปกับแสงไฟระยิบระยับจากแชนเดอร์เลียเรือนงาม


เป็นเหตุให้ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจล่วงรู้ว่า..


ควรต้องรีบสวมบทบอดี้การ์ดคู่ใจของคุณหนูผู้แสนบริสุทธิ์ในอุดมคติ

“ก่อนหน้านี้คุณหนูอนุญาตให้บอดี้การ์ดอย่างผม ไขว่คว้าหัวใจของคุณหนูมาครอบครองได้..” กระทั่งประตูห้องพักอันเคยคุ้นใกล้จะปิดสนิท ฝ่ามือใหญ่ของผู้เป็นดอมก็ขวางกั้นไว้ ซ้ำยังเอื้อนเอ่ยถ้อยคำชวนหวั่นไหว

“อ..อ้อ” หลังจากคุณหนูคนสวยนึกถึงบทสนทนาเมื่อตอนเย็น ตรงบริเวณห้องน้ำของโรงแรมได้ ก็เอาแต่อ้อมแอ้มตอบในลำคอด้วยความเก้อเขิน

“หากผมอยากจะเด็ดดอกฟ้าอย่างคุณหนูมาดอมดมแบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน คุณหนูจะอนุญาตหรือเปล่าครับ” สุ้มเสียงแหบพร่าดังมาพร้อมกรงขังเนื้อมนุษย์ ความใกล้ชิดส่งผลให้ลมหายใจเล่นงานหัวใจดวงน้อยจนอ่อนยวบ แววตาใสซื่อจึงได้แต่เสหลบดวงตาคมของบอดี้การ์ดหนุ่มด้วยความเงอะงะ

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจปฏิเสธดวงตาอันน่าดึงดูดได้อย่างใจนึก ความเผลอไผลชวนหลงใหลส่งผลให้ริมฝีปากอวบอิ่มของคุณหนูในโอวาทเอื้อนเอ่ยด้วยจิตใจล่องลอย

“อื้อ---” ยังไม่ทันที่บีมจะพูดอะไรมากกว่านั้น ริมฝีปากของนายท่านก็บดขยี้ริมฝีปากอวบอิ่มอย่างเอาแต่ใจ ซ้ำยังล็อกฝ่ามือทั้งสองข้างไว้กับประตูบานใหญ่ ก่อนจะสร้างความเคลิบเคลิ้มเสียจน ซับอย่างบีมไม่อาจต้านทานความต้องการในส่วนลึก
ไฟราคะพลันลามไล้ทั่วเรือนกายของคนสองคนที่กำลังพัวพันกันไม่ห่าง


   
กระทั่งเสียงรองเท้าของใครสักคนดังกึกก้องไปทั่วทางเดิน บอดี้การ์ดหนุ่มจึงผละตัวออกห่างอย่างสุภาพ ขณะที่บีมกำลังหอบหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย


เพราะรสจูบร้อนแรงกำลังแผดเผาลมหายใจอย่างไม่ปรานี


“แต่ถึงคุณหนูจะอนุญาต ผมก็ยังอยากแน่ใจ ว่าคุณหนูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ” สิ้นถ้อยคำชวนหัวใจหยุดเต้นที่มาพร้อมกับบรรดาทีมงานในวงการบันเทิงและเบลบอยกำลังเดินผ่านหน้าห้อง


สติของบีมกระเจิดกระเจิงไปไกลแล้ว

เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินและได้เห็นอะไรบ้าง

แต่กระนั้นความตื่นเต้นร้อนรนผสมปนเปจนยากจะอธิบาย เมื่อบีมโปรดปรานสถานการณ์แบบนี้ยิ่งกว่าอะไร

เพียงแต่สถานที่ดันสุ่มเสี่ยงพบเจอคนรู้จักมากเกินไป

อีกทั้งการเพลย์ในครั้งนี้ ยังเป็นการเพลย์อย่างเต็มรูปแบบในรอบหลายเดือน ทำให้ความสุขไร้รูปร่างโจนจ้วงทั่วสรรพางค์กาย
รู้ตัวอีกทีความเย็นเฉียบของหนังสัตว์ชั้นดีก็ทาบทับบนลำคอ

“คุณหนูคงจะทราบดีใช่ไหมครับ ก่อนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบที่ผมต้องการได้ ต้องทำอย่างไรบ้าง” นายท่านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสนใจดี



แต่ทว่าการกระทำกลับนำพาให้บีมตื่นเต้นกว่าที่เคย เพราะสายจูงสัตว์ที่คล้องเกี่ยวปลอกคอกำลังผูกมัดมือจับของประตูบานหรู

“รีบแสดงความเป็นผู้ใหญ่เข้านะครับ ส่วนผมจะไปคุยธุระกับคุณพ่อของคุณหนูก่อน เดี๋ยวท่านจะรอนาน” รอยยิ้มของนายท่านในเวลานี้คล้ายกับเคลือบยาพิษ เพราะบีมทราบแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการให้ทำอะไร ถึงได้จำกัดให้พื้นที่เล็กแคบราวกับล่ามโซ่สุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

“คุณอยากให้ผมค่อย ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยการช่วยตัวเองให้คนอื่นเห็น.. จริงเหรอครับ ?” ทันทีที่บอดี้การ์ดประจำตัวเดินอ้อมผ่าน เพื่อก้าวออกจากห้องด้วยความเร่งรีบ บีมก็รีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ พลางย้อนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับหวาดกลัวในคำตอบ

ทว่าในอกกลับลิงโลดเสียเต็มประดา

เพราะสถานการณ์กำลังพลิกผันให้ตนคุมเกมชั่วคราว

“แน่นอนว่าผมไม่ได้ใจดีขนาดนั้น” นายท่านแย้มยิ้มด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะดันร่างของบีมให้นั่งในท่าเบญจางคประดิษฐ์

“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เป็นพวกชอบแบ่งปันอยู่บ้าง” บอดี้การ์ดหนุ่มผู้มีสถานะพลิกกลับคุมเกม เชยปลายคางของบีมด้วยความแผ่วเบา ซ้ำยังแย้มยิ้มอบอุ่นส่งมาให้ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใดนอกจากโทรศัพท์ในมือ

คล้ายกับบอกเป็นนัยว่า..

คุณหนูรีบเติบโตเสียเถอะ อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่เลย



เมื่อคิดได้แบบนั้นบีมก็ลุกขึ้นยืนด้วยความมั่นใจ แต่พอดีกับจังหวะก้าวเดินอันสม่ำเสมอของเบลบอย ทำเอาใจของบีมสั่นรัวด้วยความตื่นเต้น เพราะบริเวณลำคอในเวลานี้กำลังคล้องผูกสายจูงอย่างเปิดเผย

ส่งผลให้ดวงตาแสนอวดดี เสหลบบุคคลแปลกหน้าด้วยความเอียงอาย

แต่ขณะเดียวกันก็ดูพาวน์ทูพรีเซ็นต์ต่อสิ่งที่ผู้เป็นดอมมอบให้

เพียงแต่เบลบอยคนนั้นเหมือนยังมีภารกิจเร่งด่วน เขาเลยไม่สนใจบีมในมาดของคุณหนูจูเลียตที่กำลังถูกบอดี้การ์ดควบคุมราวกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อย

ม่านสายตาจึงค่อย ๆ ปรากฏภาพของเบลบอยคนนั้น หยุดยืนอยู่ตรงหน้านายท่านตัวดี พร้อมพูดคุยอะไรบางอย่างด้วยท่าทีจริงจัง ก่อนจะโค้งตัวลาด้วยความนอบน้อม

บีมจึงรับรู้ได้ทันทีว่า..

ชั้นสวีทกำลังถูกปิดโซนโดยคุณนัท จนกลายเป็นอีกหนึ่งเซฟเวิร์ดอันแสนรัดกุม



แต่กระนั้นความเงียบเชียบรอบกายกลับส่งผลให้จังหวะการก้าวเดินของนายท่านยังคงคีพลุคบอดี้การ์ดมือหนึ่งอย่างไม่บกพร่อง ก่อนจะหยุดยืนตรงระเบียงฝั่งตรงข้าม

คล้ายกับจะเฝ้ามองการเติบโตของคุณหนูในอาณัติจากตรงนั้น

บีมเลยไม่รอช้าที่จะปลดเปลื้องเดรสลูกไม้แขนกุดสีตุ่นด้วยความทุลักทุเล เพราะซิปที่ใช้เป็นแบบลดความโดดเด่นทำให้ไม่โชว์ฟันซิป แต่กลับคงทนต่อการดึงรั้งต่ำมาก!
 
มันเลยกินเนื้อผ้าจนน่าหงุดหงิด!

มิหนำซ้ำนายท่านยังทำเป็นคุยโทรศัพท์ แต่กลับส่ายหน้าแล้วหันหลังให้!

คล้ายกับการเติบโตของบีม ไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ส่งผลให้ความเสียหน้าเล่นเอาบีมลนลานจนมือสั่น หัวใจพลันเต้นรัวราวกับระลอกคลื่น

แต่สมองไม่เคยหยุดทำงานอย่างที่ควรเป็น

ปลายนิ้วเรียวจึงออกแรงกระชากตัวซิปจนเกิดบาดแผล แต่บีมก็หาได้สนใจไม่ ซ้ำยังใช้ปลายลิ้นปลอบประโลมความรู้สึกเจ็บแสบด้วยความยั่วยวน ราวกับสิ่งที่ตนเองเล็มไล้คือไอศกรีมรสเลิศที่กำลังถูกความร้อนหลอมละลาย

รู้ตัวอีกทีนายท่านก็เฝ้ามองจากระเบียงฝั่งตรงข้ามด้วยสายตายากจะอธิบาย ส่งผลให้เลือดลมสูบฉีดอย่างลำพองใจ ฝ่ามืออันซุกซนของคุณหนูจูเลียตจึงค่อย ๆ สะกิดเนื้อผ้าสีตุ่นให้หลุดเลื่อนออกจากเรือนร่าง จนมองเห็นส่วนโค้งเว้าผ่านร่องรอยระยิบระยับจากสร้อยทองรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่อีกฝ่ายสั่งให้สวมใส่เมื่อพบหน้ากัน

ลมหายใจของบีมพลันติดขัดอย่างไม่อาจห้าม เมื่อเดรสตัวสวยร่วงหล่นอยู่บนข้อเท้า ผ้าคลุมผมจึงถูกนำมาบดบังส่วนอ่อนไหวอย่างหมิ่นเหม่ คล้ายกับเรียกร้องให้บอดี้การ์ดตรงหน้ารีบเข้ามากระทำชำเราจนต้องร้องขอชีวิต
แต่อีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับเขินอายจนลนลาน


กระทั่งนายท่านเก็บโทรศัพท์เครื่องสำคัญใส่กระเป๋ากางเกง บีมจึงเปิดเผยส่วนน่าเอ็นดูที่ค่อย ๆ ออกอาการประท้วง จนต้องคอยปลอบประโลมด้วยการชักนำอย่างเผ็ดร้อน

ริมฝีปากพลันอดกลั้นสุ้มเสียงให้สมกับตำแหน่งคุณหนูผู้แสนเรียบร้อย พลางเชิดหน้ามองผู้เป็นนายด้วยสายตาเว้าวอนโดยไม่รู้ตัว

ทุกจังหวะย่างก้าวของบอดี้การ์ดหนุ่ม คล้ายกับเหยียบย่ำลงบนเรือนกายจนไอร้อนพวยพุ่งทุกสัดส่วน บีมจึงอดใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งที่เปรอะเปื้อนหยาดหยดแห่งความสุขสันต์ลูบไล้ไปตามแผ่นอกเปลือยเปล่าเรื่อยไปจนถึงเม็ดทับทิมสีหวานไม่ได้

“อา..อึก” บีมผู้หลงระเริงอยู่ในกามารมณ์ถึงกับอดกลั้นเสียงไม่อยู่ เมื่อสัมผัสวาบหวิวกำลังถูกปรนเปรอตามการย่างก้าวของผู้เป็นนาย ส่งผลให้เรียวขาสั่นระริกจนแทบยืนไม่อยู่

เพราะอีกไม่นานคุณนัทในมาดของบอดี้การ์ดก็จะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เพียงแต่บีมยังคงเป็นคุณหนูผู้แสนเรียบร้อยอย่างสุดความพยายาม จนต้องนำผ้าลูกไม้คลุมผมพันรัดส่วนต้องห้าม

พร้อมถอยหลังเข้าไปแอบซ่อนหลังกำแพง

“คุณหนูดูช่ำชองดีนะครับ แสดงว่าก่อนที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ คุณหนูคงฝึกฝนไว้ยั่วยวนบอดี้การ์ดประจำตัวแทบทุกวัน” ทันทีที่นายท่านเข้ามาเห็นสภาพนั่งยองอ้ากว้างอย่างเปิดเผย ดวงตาคมกริบที่ไม่แพ้ริมฝีปากก็เล่นงานทันที

“ม..ไม่ใช่นะ” บีมปฏิเสธพอเป็นพิธี เพราะฝ่ามือและความสนใจทั้งหมดถูกควบคุมด้วยความกระหายอยากในรสชาติของการร่วมรัก

ซึ่งคุณนัทก็คงทราบดี เพราะส่วนแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกำลังชูชันอย่างเห็นได้ชัด

“คำพูดก็เหมือนลมปากนั่นแหละครับ คุณหนูคงต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ว่าการฝึกเรื่องอย่างว่าก่อนมาเจอผม ไม่ได้ทำเพื่อยั่วยวนใคร” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางคว้าสายจูงมาถือไว้ ก่อนจะปิดประตูสร้างความเป็นส่วนตัว
 
เมื่อพื้นที่สาธารณะหมดความน่าสนใจไปนานแล้ว


“อ..อื้อ..พ..พิสูจน์” บีมพยักหน้ารัวจนเส้นผมสีน้ำตาลแดงละไปตามใบหน้า

“เมื่อก่อนผมเคยเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง แต่มันตายไปแล้ว..” บอดี้การ์ดแสนเจ้าเล่ห์ลดตัวลงมาหาคุณหนูในอุดมคติ พร้อมกระซิบตรงข้างใบหู แต่ทว่าหัวเข่าข้างหนึ่งกลับเย้าหยอกความไม่ประสีประสา จนร่างกายของบีมคล้ายกับเต็มไปด้วยสายฟ้าฟาดกระหน่ำ ก่อนจะซ่านเซ็นใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“หึ” พอเกิดเหตุการณ์น่าเอ็นดู นายท่านก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่อาจมองเห็นสีหน้าและแววตาได้

“ถ้าหากคุณหนูยอมละทิ้งศักดิ์ศรีแล้วปลอมเป็นหมาตัวนั้น ผมอาจจะหายข้องใจก็ได้นะครับ” กระทั่งบอกเจตนารมณ์จนหมดเปลือก เจ้าของ ‘หมา’ ที่ว่าก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งคล้ายกับสอบถามความยินยอม
ทั้ง ๆ ที่สายจูงกำลังทำหน้าที่ฉุดรั้งบีมให้เข้าใกล้เตียงนอนสไตล์อาราเบียน

“สวมมันซะคุณหนู” ชายหนุ่มมาดเข้มโยนหน้ากากสุนัขทำจากยางลาเท็กซ์หนานุ่มสีดำชั้นดี ครอบคลุมตั้งแต่ใบหน้าจนถึงลำคอเหลือเพียงดวงตาลงบนหน้าขาของบีมที่กำลังนั่งจ๋องอยู่บนพื้นข้างเตียง

“ผมจะพาหมาของผมไปเดินเล่นนอกระเบียง ทีนี้มันอยากจะฉี่หรืออึเรี่ยราดแค่ไหน ผมก็ไม่ห้าม” บอดี้การ์ดหนุ่มยังคงอธิบายซีนคร่าว ๆ เพียงไม่กี่ประโยค

แต่บีมก็คาดเดาได้เลยว่า..

การเดินเล่นครั้งนี้อาจถูกสั่งให้ฉีกแข้งขาฉี่ ราวกับสุนัขจรจัดก็ไม่ปาน

“ถ้าคุณหนูทำใจลดตัวลงมาเล่นเป็นหมาของผมไม่ได้ก็ถอดปลอกคอที่ผมใส่ให้ออกซะ” ชายในชุดเสื้อเชิ้ตนั่งลงบนเตียงหลังกว้างที่เต็มไปด้วยแสงไฟสลัวจากดวงโคม ราวกับจุดตะเกียงในกระโจมท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างไกล

ฝ่ายบีมได้แต่จ้องมองหน้ากากสุนัขในมือด้วยแววตาหวั่นไหว

“แต่ถ้าหากคุณหนูไม่อยากให้ผมใช้ปลอกคอแสดงความเป็นเจ้าของ..” นายท่านขยับเข้ามาลูบไล้ปลอกคอสีดำพลางใช้นิ้วชี้กวัดแกว่งจี้รูปหัวใจเพียงเบา ๆ

“คุณหมายถึง.. การเพลย์แบบ ‘Golden shower & Brown Shower’[1]” สิ้นคำถามชายหนุ่มมาดบอดี้การ์ดก็ยักไหล่เพียงเล็กน้อย สร้างความกำกวมเป็นอย่างดี

บีมจึงเริ่มจินตนาการว่า บีมอาจจะต้องรับบทเป็นหมาจรจัดที่ไม่ต่างกับกระโถนตามพื้นที่สาธารณะ ให้เจ้าของผู้สูงศักดิ์ปัสสาวะใส่ปากยามเดินเล่น หรืออาจจะอุจจาระลงบนร่างของหมาจรจัดเพื่อสร้างอาณาเขตความเป็นเจ้าของ

“ผมคิดว่าตัวเองน่าจะไม่โอเคกับการสวมบทเป็นหมาจรจัด” บีมสวมหน้ากากสุนัขจนมองเห็นเพียงดวงตา ส่งผลให้สุ้มเสียงที่กำลังเปล่งวาจาฟังยากกว่าปกติ เพราะตัวหน้ากากมีเพียงรูเล็ก ๆ ตรงข้างแก้มไว้เพื่อหายใจ ส่วนปลายจมูกชนกับเบาะนุ่มอย่างพอดิบพอดี

“คุณแค่ทำท่าทางก็พอครับ เพราะผมก็ยังเพลย์ไปไม่ถึงขั้นนั้น” คุณนัทแย้มยิ้มด้วยความยินดี

เพราะถึงอย่างไรการเพลย์อันแปลกใหม่นี้

ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ทั้งคู่ไม่อาจทำได้



กระทั่งบีมตกลงปลงใจแน่แล้ว ฝ่ายเจ้าของก็พาสุนัขพันธุ์ล็อตไวเลอร์สีดำปราดเปรียวก้าวเดินออกจากบริเวณของห้องนอน ก่อนจะเลยผ่านบริเวณห้องรับแขกที่มีเคาน์เตอร์เหล็กดัดเป็นลวดลายแบบโมร็อคคันพร้อมวางตั้งเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวให้กับบรรดาแขกผู้เข้าพัก

“บีม! ถ้ามึงไม่ฉี่ไปทั่ว กูจะให้ขนมกิน” หลังจากเจ้าของหมาอย่างคุณนัทหยิบขนมขบเคี้ยวเป็นกอบกำ หันมาดุล็อตไวเลอร์แสนเชื่องอย่างบีมที่กำลังนั่งจ๋องอยู่บนพื้นข้างเคาน์เตอร์ก็ได้แต่ทำหูลู่หางตก เพราะบีมกำลังตั้งท่าจะสวมบทบาทเป็นหมาจรจัดอย่างเต็มตัว ขาข้างหนึ่งเลยค่อย ๆ ลดระดับความสูงด้วยความประหม่าและยังสร้างความอับอายอย่างเหลือจะกล่าว

“ตามมานี่ไอ้บีม!” นายท่านโน้มตัวลงมาตีก้นบีมไม่เบานัก คล้ายกับส่งสัญญาณให้หมาตัวโปรดรีบพุ่งทยานออกไปนอกระเบียง บีมจึงรีบวิ่งสี่ขาด้วยความร่าเริงราวกับกระหายบรรยากาศอันเย็นฉ่ำ จนนายท่านต้องพยายามดึงรั้งไว้

เล่นเอาความสุขของบีมพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง

เพราะ ‘หมา’ ตัวนี้เป็นหมาตัวโปรดของนายท่าน


“เอาไป” กระทั่งนายท่านนั่งบนโซฟาตรงระเบียงด้านนอก คุกกี้ผสมน้ำผึ้งกับงาอันขึ้นชื่อของโมร็อคโคก็วางลงบนฝ่ามือ คล้ายกับจะให้บีมเล็มเลียได้สะดวก

“ดื้อ มึงจะเอาแต่ห่วงเล่นหรือไงบีม” เจ้าของหมาที่ชื่อบีมลั่นวาจาด้วยความดุดัน ทำเอาบีมตกใจจนกระตุกสายจูงหลุดออกจากฝ่ามือของนายท่าน พลางคลานสี่ขาเข้าไปหลบหลังน้ำพุสไตล์โมร็อคคันที่กำลังไหลเอื่อยจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง

“โฮ่ง!” บีมเห่าเสียงดังลั่น เพื่อประท้วงนายท่านพลางส่ายหน้าเพียงเบา ๆ ก่อนจะเผยตัวออกมานอนกลิ้งอยู่บนพื้น
ราวกับโกลเด้นตัวโตกำลังนอนอ้าขาผึ่งพุง

“อะไรของมึงวะไอ้บีม” เจ้าของหมาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ หมาอย่างบีมเลยได้แต่ใช้ฝ่ามือลูบหน้ากากใบใหญ่พร้อมกลิ้งไปมาราวกับจะเถือกไถจนกว่าจะหลุดออกจากใบหน้า

“งั้นมึงคลานสักรอบ แล้วหาที่ดี ๆ สักที่ฉี่ให้เรียบร้อย กูจะได้ถอดตระกร้อครอบปากให้ แล้วค่อยเอามึงเข้านอน” นายท่านเตะก้นของบีมไม่เบานัก แต่มันกลับกระตุ้นให้บีมรีบคลานสี่ขา ขณะที่สายตาก็เอาแต่สอดส่ายหามุมเหมาะ ๆ ที่จะใช้ยั่วอารมณ์ผู้เป็นนาย

ท้ายที่สุดบีมก็เลือกห้องอาบน้ำที่เต็มไปด้วยกลิ่นเทียนหอมฉุย เสริมสร้างความวาบหวามอยู่ในที จนเสี้ยวหนึ่งบีมเผลอคิดไปว่า หากตนเองยกขาฉี่อย่างหมาจรจัดบนกำแพงจนของเสียไหลรินไปตามพื้น

นายท่านจะรู้สึกรังเกียจ..

หรือมองว่ามันชวนให้มีอารมณ์มากกว่ากัน

“หึ” จนกระทั่งนายท่านหลุดหัวเราะในลำคอเพียงเบา ๆ ขณะยืนพิงอ่างล้างหน้าอย่างสบายอารมณ์ พร้อมเฝ้ามองสุนัขตัวโปรดที่กำลังยกแข้งขาด้วยท่าทีเหนียมอาย เล่นเอาลมหายใจและส่วนอ่อนไหวเกิดปฏิกิริยาอย่างไม่คาดคิด

เพียงแค่ได้มองเห็นเรียวขาสวยเอื้อมแตะกำแพงปูนสีส้มอิฐ พร้อมหยาดหยดสีขาวใสที่เกิดจากการดื่มน้ำในปริมาณมาก รินรดมุมกำแพงที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนจากเปลวเทียนจนทำให้ภาพสุดเซ็กซี่ถูกครอบงำไปด้วยม่านมายาอันน่าหลงใหล

รู้ตัวอีกทีความอุ่นร้อนของอะไรบางอย่างก็สัมผัสบริเวณแทบเท้าของผู้เป็นดอมจนค่อย ๆ ครอบครองพื้นที่ใต้ฝ่าเท้าอย่างไม่เกรงกลัว ขณะที่บีมได้แต่ลอบมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกยากจะบอกกล่าว

เพราะมันทั้งสุขสมและก็หวั่นกลัวอย่างบอกไม่ถูก

บีมจึงเอาแต่ก้มหน้าชิดปลายคาง



“คุณไม่ต้องเป็นหมาแล้วล่ะ..” สิ้นคำพูดของนายท่าน หัวใจของบีมพลันหยุดเต้น แววตาสั่นระริกด้วยความกังวลและสับสน
 
“เป็นคุณหนูร่าน ๆ ให้ผมดีกว่าเยอะ” กระทั่งนายท่านขยับเข้ามาใกล้ชิดอย่างไม่นึกรังเกลียดของเสียในกายของซับคนโปรด ซ้ำยังถอดหน้ากากสุนัขพันธุ์ดุออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะถอดกางเกงสแล็กส์พร้อมชักนำความเป็นชายให้อีกฝ่ายปลุกเร้าอย่างไม่อาจควบคุม

“อึก..อื้อ..” คุณหนูแสนร่านได้แต่กลืนกินไอศกรีมรสเลิศอย่างตะกรุมตะกราม จนทำให้สุ้มเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ดวงตาเรียวสวยกลับฉายแววตื่นเต้นและสุขสม เมื่อผู้เป็นดอมถึงกับเสียหลักเรียกร้องรสสัมผัสแห่งการเสพสม

“อ่า..ค..คุณหนู..ร่านกว่านี้อีกสิ” สิ้นคำกระตุ้นเตือนฝ่ามือหนาก็ขยุ้มกลุ่มผมของบีมด้วยความเสียวซ่าน ซ้ำยังร้องซี๊ดไม่ขาดปาก เล่นเอาบีมที่กำลังคุมเกมแทบสำลักเพราะความคับแน่น ถึงกับบดเบียดช่วงขาเพื่อบรรเทาความกระสันของตัวเอง

“ดูดให้แน่น..อา..กว่านี้สิ” นายท่านยังคงควบคุมจนความคับแน่นเข้ามาทักทายจนบีมสุดจะกลั้น แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีไปตั้งหลักได้ เมื่อผู้เป็นนายกำลังใช้สองมือโอบประคองใบหน้าของบีมให้แนบชิดกับส่วนนั้น

ขณะที่ฝ่าเท้าอันเปียกชื้นกลับปรนเปรอช่วงล่างของฝ่ายซับราวกับเป็นการแลกเปลี่ยน ส่งผลให้สองเสียงร้องผสานราวกับท่วงทำนองของดนตรีคลาสสิก

เบาบ้าง ดังบ้าง ตามแต่จังหวะการรุกราน จนกลายเป็นโน้ตดนตรีบนบรรทัดห้าเส้นอันมีชีวิตชีวา ก่อนจะเงียบหายราวกับวาทยากรใช้ไม้บาตองสั่งให้นักดนตรีหยุดการประสานเสียง

ส่งผลให้ความสุขสันต์รินรดใบหน้าและเส้นผมของบีมอย่างไม่ทันตั้งตัว

ทว่ากลับเสริมสร้างความรู้สึกอิ่มเอมเกินคาด

จนบีมในมาดของคุณหนูร้อนร่าน อดจะเล็มเลียหยาดหยดขาวละมุนด้วยความตะกรุมตะกรามไม่ได้



--------------------------✁


[1] Golden shower & Brown Shower คือ การที่ดอมและซับนำปัสสาวะและอุจจาระเข้ามามีบทบาทในการเพลย์ โดยดอมจะสั่งให้ฝ่ายซับดื่มหรืออาบสิ่งเหล่านั้น นับเป็นการด้อยค่าความเป็นมนุษย์และต้องการทำให้อับอาย



สวัสดีค่าทุกคนนนนน เรากลับมาแล้วจ้าาาาาา ฮือออ กว่าอะไรหลาย ๆ อย่างจะดีขึ้นก็ใช้เวลานานเลยปีกว่าแน่ะ ตอนนี้ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าตัวเองเขียนได้ดีเท่ากับที่เคยเขียนไว้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็น่าพอใจสำหรับเราพอสมควร ตอนต่อไปอาจจะมาอัพสักอาทิตย์หน้าประมาณวันจันทร์หรืออาจจะเร็วกว่านั้นงับ ต้องดูตารางการติ่งและเวลาทำงานก่อน 5555 

ยังไงก็คอมเมนต์เข้ามาเยอะ ๆ เลยน๊า เราจะได้มีกำลังใจเขียนต่อไปค่ะ! และเราอยากรู้ว่าการเขียนของเราตอนนี้เป็นยังไงบ้างค่ะ

ทั้งนี้ต้องขอบคุณแอดมินเพจ Thailand BDSM : Let's Play and Learn มาก ๆ เลยค่ะที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำดี ๆ สำหรับการเขียนฉากเพลย์ในบางช่วง >.<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 31

หลังจากเหตุการณ์สุดเร่าร้อนยกแรกผ่านพ้นไป บีมก็ล้างเนื้อตัวก่อนจะมานอนซบอกของคุณนัท ขณะแช่น้ำอุ่นในอ่างจากุซซี่ด้วยกัน ท่ามกลางกลิ่นหอมจากเทียนหอมที่คุณนัทเตรียมมา   

“คุณชอบเทียนหอมกลิ่น Fresh Air หรือเปล่าครับ” คุณนัทเอ่ยถามขณะวางปลายคางลงบนศีรษะของบีม ส่วนฝ่ามือทั้งสองข้างกำลังโอบรัดรอบเอวไม่ห่าง

“ชอบครับ สดชื่นแล้วก็ผ่อนคลายดี” บีมเอ่ยตอบพลางขยับตัวให้ได้องศาเหมาะเจาะจะได้จุมพิตริมฝีปากคนรักสักหนึ่งที
ก่อนจะจมอยู่กับความเงียบงันพักใหญ่

“คิดอะไรอยู่ครับ ?” คุณนัทกระซิบถามด้วยความสงสัย เพราะเวลานี้ความรู้สึกของบีมกำลังเตลิดไกล เพียงเพราะฝ่ายดอมปลดปล่อยน้ำรักจนซ่านเซ็นเต็มใบหน้า บีมจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่า..

ถ้าหากอีกฝ่ายปล่อยให้ของเหลวแสนน่าหลงใหลราดรดไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนจะดื่มกินราวกับอาหารเลิศรส

มันจะน่าตื่นตาตื่นใจจนบีม ‘เสร็จสม’ โดยไม่ต้องปลอบประโลมเลยหรือเปล่า



“ผมกำลังคิดว่าหลังจากใช้แท่งซาวน์ดิ้งจะต่อด้วย Cum play เลยดีหรือเปล่า” บีมขยับตัวเพียงนิดเพื่อจดจ้องแววตาคู่คมของคนรักด้วยความแน่วแน่ ราวกับการพูดคุยผ่านสายตา จะช่วยบอกเล่าความรู้สึกทั้งหมดได้

“คุณอยากเล่นกับน้ำรักของผม ?” คุณนัทเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

“อ..อื้อ” ขณะที่บีมได้แต่ถูปลายจมูกพลางตอบรับในลำคอด้วยความเก้อเขิน เมื่อบีมเพิ่งจะค้นพบเฟติชแบบใหม่ เพราะที่ผ่านมาบีมชอบที่จะถูกปรนเปรอและโดนสั่งห้ามไม่ให้ปลดปล่อยเสียมากกว่า

นายท่านคนดีจึงไม่ค่อยเรียกร้องให้บีมทำออรัลบ่อยนัก

“ถ้าหากเราคุยกันเร็วกว่านี้ การเพลย์ของเราคงจะสมบูรณ์แบบมาก” คุณนัทแสดงความคิดเห็น ซึ่งบีมก็เห็นด้วย เพียงแต่มันก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะที่ผ่านมาบีมไม่เคยถูกดอมคนไหนทำให้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรัก
 
มีแต่จะถูกสั่งให้กลืนกินอย่างตะกละตะกรามเสียมากกว่า
 
“ผมเพิ่งจะค้นพบรสนิยมใหม่ของตัวเองเมื่อครู่นี้เองครับ เพราะดอมคนเก่าชอบให้ผมทำออรัลแล้วกลืนกินมันมากกว่า พอเปลี่ยนมาเป็นคุณผมก็เลยเคยชินแบบนั้น แถมคุณยังไม่ค่อยเพลย์ในแบบที่ผมต้องทำออรัลมากเท่าไร ผมเลยเข้าใจว่าคุณน่าจะใส่ใจกับการเล่นสนุกไปตามบทบาทและการเล้าโลมมากกว่า”

“ก็จริงของคุณ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มซาวน์ดิ้งกันเลยสิครับจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น” คุณนัทรวบตัวบีมให้ลุกจากอ่างอาบน้ำพร้อมกระซิบข้างใบหูจนลมร้อนรินรด เล่นเอาบีมขนลุกชันด้วยความรวดเร็ว

“คนไข้มาตรวจภายในแบบนี้ คงต้องสวมเสื้อคลุมก่อนนะครับ” กระทั่งปลายเท้าของบีมแตะพื้นได้ คุณนัทก็ส่งเสื้อคลุมที่ทางโรงแรมแขวนเตรียมไว้ให้

“รอหมอเรียกชื่อตรงห้องรับแขกก่อนนะครับ” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจที่กำลังกลายร่างเป็นคุณหมอแสนใจดีกระซิบเสียงแผ่วพร้อมรุนหลังให้บีมก้าวเดินออกจากห้องน้ำ

เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เตรียมพร้อมสำหรับการเพลย์อันแสนสุ่มเสี่ยง



บีมได้แต่นั่งรอนายแพทย์จำเป็นที่กำลังเดินไปมาอยู่ตรงบริเวณห้องนอน เพราะกำลังว้าวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ต้องนำมาใช้ และยังต้องสวมถุงมือยางเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

แต่ทว่ากลับเร่งเร้าให้ธีมการแพทย์ดูสมจริงยิ่งขึ้น

“คุณธาวินเชิญที่ห้องตรวจได้เลยครับ” สิ้นคำเชิญบีมก็รีบกระเด้งตัวออกจากโซฟาตัวนุ่มอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในใจกำลังสั่นรัวด้วยความตื่นเต้น
 
จนกระทั่งเดินเข้าไปยังเคาน์เตอร์แบบบิวท์อินสำหรับโต๊ะเครื่องแป้งที่มีแท่งซาวน์ดิ้งแบบสแตนเลสสตีลหลายขนาดวางเรียงรายอยู่ บีมก็ได้แต่หันรีหันขวางเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

“ขึ้นไปนั่งข้างบนเลยครับ” ดอมในมาดของคุณหมอผู้แสนใจดีบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางหยิบเอกสารบางอย่างมาเปิดอ่านตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จนทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายและช่วงล่างของบีมอยู่ในระดับสายตาที่เหมาะสม

“จากประวัติการรักษา คุณธาวินมีอาการอุดตันทางระบบท่อปัสสาวะ” สิ้นคำพูดของคุณหมอจำเป็น บีมได้แต่นั่งนิ่งราวกับถูกสาป เพราะลึก ๆ ก็รู้สึกหวาดกลัว แต่อีกใจก็ดึงดันอยากจะลองเพลย์ตามข้อเสนอของคุณนัท

“คุณธาวินยังไม่เคยทำซาวน์ดิ้งมาก่อน วันนี้หมอจะใช้ขนาดเล็กที่สุด พอเริ่มคุ้นชินแล้วพวกเราค่อยขยับไปตามแพลนการรักษานะครับ” คุณหมอจำเป็นสวมแว่นสายตาราวกับเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมไล้ฝ่ามือไปตามอุปกรณ์จำเป็นที่มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเรียบหรือแบบลูกคลื่นก็มีเต็มไปหมด

“ทำใจให้สบายนะครับ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย” ผู้เป็นดอมยังคงปลอบโยนด้วยความอบอุ่น เล่นเอาหัวใจของบีมซึมซับความอบอุ่นนั้นจนลึกสุดใจ ก่อนจะต้องใจสั่นเมื่อฝ่ามือใหญ่แยกเรียวขาของคนป่วยจำเป็นให้อ้ากว้าง ส่งผลให้สายคล้องเอวค่อย ๆ คลายตัวออกอย่างรู้งาน

“เจลเย็น ๆ ช่วยได้เยอะเลยครับ” ฝ่ายดอมยังคงเอื้อนเอ่ยราวกับต้องการให้ซับอย่างบีมค่อย ๆ ผ่อนคลาย โดยที่ฝ่ามือหนึ่งก็ลูบไล้ต้นขาของบีมด้วยความแผ่วเบา เสริมสร้างความกระสันได้ไม่ยาก แต่กระนั้นบีมก็จำต้องกลั้นไว้

“อา..” แต่จนแล้วจนรอดบีมก็อดจะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ เมื่อความเย็นจากเจลหล่อลื่นกำลังครอบครองส่วนที่ต้องได้รับการรักษาจนเหนียวเหนอะ

“อ๊า..” กระทั่งปลายนิ้วของคุณหมอจำเป็นแตะต้องเครื่องเพศบริเวณส่วนปลาย ร่างกายพลันสั่นสะท้านด้วยความอ่อนไหว เพราะบีมเคยคุ้นกับการปลุกเร้าจากนายท่านจนแทบจะเข้าขั้นหลงใหลมัวเมา

“ถ้าหากคุณธาวินเจ็บก็บอกผมนะครับ เพราะอันที่จริงการทำซาวน์ดิ้งไม่เจ็บนะ ถ้าหากทำถูกวิธี” สิ้นคำพูดของดอมผู้ทรงเสน่ห์ บีมก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ แต่สมองกลับโผบินไกลเกินกว่าจะเรียกคืน เมื่อนายท่านใช้ปลายนิ้วที่สวมถุงมือสำหรับผ่าตัด ลูบไล้ส่วนปลายของความอ่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังจงใจกดย้ำช่องทางเล็ก ๆ ไม่ขาด ส่งผลให้บีมหวามไหวไปทั่วสรรพางค์กาย

“หมอกำลังจะสวนท่อปัสสาวะให้คุณธาวินแล้วนะครับ” แววตาล่องลอยของบีมคล้ายกับถูกดึงรั้งให้กลับมาจดจ่อที่ขั้นตอนการรักษาอย่างลุ่มหลง เมื่อความเย็นของสแตนเลสสตีลค่อย ๆ รุกล้ำเข้ามายังช่องทางเล็กแคบ เล่นเอาบีมรู้สึกมวนท้องอย่างบอกไม่ถูก

“ผ่อนคลายอีกสักหน่อยนะครับคุณธาวิน” ดอมอย่างคุณนัทยังคงปลอบขวัญไม่หยุดปาก พร้อมใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค่อย ๆ นวดเฟ้นส่วนขยายจนออกอาการ แต่กระนั้นการสอดใส่แท่งซาวน์ดิ้ง ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเชื่องช้า เพราะไม่อาจทำด้วยความรีบร้อน

“อ๊ะ..อื้อ..คุณหมอ..” บีมเชิดหน้าเอนหลังพิงกระจกบานใหญ่พลางครวญครางด้วยความกระสัน เมื่อความเย็นค่อย ๆ กลืนกินความอุ่นร้อนภายในร่างกาย ก่อนจะถูกดันออกราวกับต่อต้านสิ่งแปลกปลอม

“เจ็บเหรอครับ” คุณหมอจำเป็นเอ่ยถาม แม้ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวจะเป็นเรื่องปกติของการสอดใส่แท่งซาวน์ดิ้ง

“อ๊ะ..ป..เปล่าครับ” บีมส่ายหน้าตอบอย่างลนลาน พลางจิกปลายเล็บลงบนเคาน์เตอร์แต่งหน้าลายหินอ่อน เมื่อคุณหมอจำเป็นเริ่มกดแท่งซาวน์ดิ้งให้จมลึกและปล่อยให้มันดันออกอย่างเป็นธรรมชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนอะไรบางอย่างกำลังปะทุจากภายใน
 
“รู้สึกอย่างไรต้องบอกหมอให้หมดนะครับ” ทันทีที่ฝ่ายดอมย้ำเตือน บีมก็ได้แต่เม้มปากแน่น
เพราะการเพลย์ในรูปแบบนี้..

มันโคตรจะเสียวซ่านจนไม่อาจหาอะไรมาเทียบได้

“ม..มัน..จะ...” ทว่าบีมยังพูดไม่ทันจบคุณหมอผู้แสนใจดีก็ถอดถอนความเรียบลื่นอันเรียวเล็กออก เล่นเอาบีมรู้สึกค้างคากระวนกระวายจนแทบคลั่ง

“จะ.. อะไรเหรอครับ ?” คุณหมอจำเป็นจี้ถามไม่หยุด คล้ายกับอยากได้คำตอบแต่ก็ไม่อยากได้คำตอบเสียทีเดียว

“ลองเปลี่ยนเป็นแบบลูกคลื่นบ้างนะครับ” นายท่านยกยิ้มอ่อนโยนแต่ทว่าแอบแฝงความสุขสมในส่วนลึก

เพราะการปรนเปรอให้ฝ่ายซับกระหายอยาก..

คือสิ่งที่นายท่านโปรดปราน

“มันอาจจะเสียวกว่าแบบเรียบ ๆ ก็ได้.. ว่าไหมครับคุณธาวิน” คุณหมอจำเป็นเอื้อนเอ่ยอย่างรู้ใจ เมื่อหันมาเห็นน้ำรักสีขาวขุ่นกำลังไหลรินราวกับไอศกรีมละลายในหน้าร้อน

“อ๊ะ..ผ..ผม..” บีมได้แต่ครวญครางไม่ได้ศัพท์ เมื่อลูกคลื่นกำลังโหมกระหน่ำอย่างเอื่อยเฉื่อยภายในความเวิ้งว้างอันขุ่นข้น

“คุณธาวินอยากจะปลดปล่อยเหรอครับ” คุณหมอจำเป็นยังคงตั้งคำถามที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว จนบีมแทบอยากกระชากอีกฝ่ายเข้ามาจูบให้แนบแน่น พร้อมบดขยี้กลีบปากให้บวมเจ่อจะได้ลดทอนความกระหายอยากไปได้บ้าง

“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะมีอารมณ์ระหว่างการรักษา” แต่แล้วช่องท้องของบีมก็วูบโหวงจนน่าใจหาย เมื่อนายท่านในมาดคุณหมอกำลังชักพาแท่งซาวน์ดิ้งออกห่างจากความอ่อนไหว

“เอาเป็นว่าผมให้เวลาคุณไปสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่าครับ” สิ้นคำพูดนั้นนายท่านก็รีบเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เดินออกจากห้องนอนอย่างไม่สนใจใยดีซับอย่างบีมที่กำลังค้างคา

จนในใจสุมทรวงด้วยความกระหายอยากต่อการเอาชนะ



บีมในชุดคลุมรุ่ยร่ายรีบก้าวตามผู้เป็นดอมด้วยความรวดเร็ว เพราะบีมทั้งอึดอัดและอยากปลดปล่อยให้อีกฝ่ายเห็น จึงต้องคอยตามตื้อด้วยความดื้อดึง

“ดูเหมือนส่วนนั้นของคุณหมอก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากผมนะครับ” บีมทำใจเย็นด้วยการยืนพิงขอบประตูห้องน้ำสีส้มอิฐ พร้อมมองไปยังแผ่นหลังกว้างของดอมผู้เคร่งครัดในกฏระเบียบของการรักษา

“ไม่อยากให้ผมช่วยจริง ๆ เหรอครับคุณหมอ” บีมเอ่ยถามพลางนั่งลงบนโถสุขภัณฑ์ที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาตรงบริเวณอ่างล้างมือ ก่อนจะอ้าขาอย่างเชื่องช้าพร้อมดึงทึ้งเสื้อคลุมจนร่วงหล่นออกจากผิวกาย

“อ๊ะ..อ๊า..ดูผลพวงของการรักษาสิครับ..คุณหมอ..” บีมยังคงเอื้อนเอ่ยอย่างปากดี ขณะรูดรั้งความแข็งขืนด้วยจังหวะเผ็ดร้อน จนของเหลวไหลย้อยไปตามรูปทรงของอะไรบางอย่างที่ยังคงได้รับความสนใจ

“มันทำให้ผม..อื้อ..ง..เงี่ยนขนาดนี้เลย..อ๊า” ท้ายที่สุดบีมก็ไขว่คว้าความสุขสมมาครอบครองได้

“ที่รักผมคงถนอมคุณไม่ได้แล้ว” สิ้นคำพูดนั้นชายหนุ่มมาดนักธุรกิจก็ กลายร่างเป็นเสือโหย คว้าตัวบีมอุ้มพาดบ่าพร้อมตีสะโพกเนียนสวยเป็นการสั่งสอนด้วยความเอ็นดู

“ยั่วเก่งขนาดนี้ ผมเอาคุณไม่หยุดขึ้นมาจะแย่นะ” ทันทีที่บีมถูกโยนละลิ่วลงบนเตียงนอน ตามด้วยการทาบทับของชายคนรักที่กำลังเล่นเกมตาต่อตาฟันต่อฟัน

“ก็ดีสิครับ ยิ่งกลับดึก คนแถวบ้านผมก็ยิ่งหลับสนิท..” บีมยักคิ้วท้าทายพร้อมกระตุกริมฝีปากยกยิ้มข้างเดียวอย่างยั่วเย้า ทำเอาคุณนัทจับพลิกคว่ำในทีเดียว ซ้ำยังล็อกฝ่ามือทั้งสองข้างไม่ให้เกะกะ ขณะที่สะโพกอันล่อตากำลังฉายภาพกลีบดอกไม้ที่พยายามจะแย้มบานร้องเรียกภุมรินให้มาดอมดม

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดศรัทธานะที่รัก” สิ้นประโยคนั้นเรียวลิ้นร้อนก็เล็มไล้หยอกเย้ากลีบบุปผาให้ผลิบานตามใจนึก

“อ๊า..ท..ที่รัก..ช..ช้าหน่อย” บีมได้แต่ร่ำร้องขอชีวิตเมื่อคุณนัทผู้แสนอ่อนโยนกำลังทำหน้าที่ภุมรินผสมเกสรอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังซอกซอนหาน้ำหวานเลิศรสจากความอุ่นร้อนที่กำลังเต้นตุบ ๆ

“บังเอิญผมต้องรีบทำเวลา เพราะคืนนี้ผมต้องเดินทางไปหนองคายนะครับ คุณลืมแล้วเหรอ” ทันทีที่ได้ยินข้ออ้างของชายคนรัก บีมก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายมีแพลนจะเดินทางจริง เพียงแต่กว่าจะเดินทางก็ตีหนึ่งครึ่ง

เอาอะไรมารีบทำเวลา ?

“นี่มันเพิ่งจะสี่ทุ่มครึ่ง คุณนัท! คุณมันบ้าไปแล้ว” บีมโต้ตอบเสียงกระเซ่า แต่กระนั้นก็ไม่ได้จริงจังนัก เพราะความถึงพริกถึงขิงในวันนี้ ทำให้ห้วงอารมณ์ในส่วนลึกลอยล่องไปทั่วเรือนกาย

“ถ้าผมบ้า คุณก็คงบ้าไม่ต่างกัน เพราะคุณน่ะ.. โคตรชอบเลยไม่ใช่เหรอ” คุณนัทยังคงกระซิบข้างใบหู ขณะที่ปลายนิ้วเปล่าเปลือยกำลังชักนำความกระสันต์ให้ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“อีกอย่างการ Cum play มันต้องใช้เวลาสะสมพลังงานไม่ใช่เหรอที่รัก ไม่อย่างนั้นผมจะแตกบนตัวคุณได้อย่างไร” คุณนัทพลิกร่างของบีมให้นอนหงายพลางขยับกายเข้ามากระซิบราวกับต้องการให้รู้กันสองคน แม้ว่าภายในห้องจะมีเพียงแค่เรา
ส่งผลให้ร่างกายเสียดสีกันอย่างหวามไหว

“ตรงนี้ของคุณ.. พร้อมหรือยังนะ” คุณนัทใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งจับยึดเรียวแขนของบีมไว้เหนือศีรษะ ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างกำลังทำหน้าที่ชะโลมเจลหล่อลื่นด้วยความเบามือ จนบีมอดขยับกายสอดรับความหอมหวานนั้นไม่ได้

“อ๊ะ..ผม..พร้อมแล้ว..” บีมเอ่ยตอบเสียงดังฟังชัดพลางขยับเรียวขาโอบรอบเอวของคุณนัทไว้ จนอีกฝ่ายคล้ายตกอยู่ในกรงขังก็ไม่ปาน

แต่กระนั้นเสือโหยก็ยังเป็นเสือโหยอยู่วันยังค่ำ

“อ๊า” ทันทีที่ความแข็งแกร่งสอดใส่เข้ามาจนสุดปลายทาง ร่างกายของบีมก็สะเทือนไปตามแรงส่งคล้ายกับเรือลำน้อยถูกพายุโหมกระหน่ำ

แถมยังไม่ใช่พายุธรรมดา!

“ลึกพอไหมที่รัก..” คุณนัทกระซิบข้างใบหูพลางขบกัดเล่นด้วยความเพลิดเพลิน แต่กระนั้นช่วงล่างก็ยังกระแทกกระทั้นราวกับไม่อาจควบคุมใด ๆ ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ ห่างหายกันไปนานแล้ว

“ม..ไม่!” บีมโอบรอบลำคอของคนรักพร้อมตอบด้วยความดื้อรั้น แม้ว่าเวลานี้ภายในกายจะกำลังปั่นป่วนจนยากจะรับมือ

“เผ็ดร้อนเสียจริง” คุณนัทหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจุมพิตข้างขมับอันชื้นเหงื่อ

“อ๊ะ..อ๊า..ก็ผมเฝ้าแต่นับวันรอ..อื้อ..จะได้เอากับคุณให้จุใจ..อ๊า” กระทั่งบีมโต้ตอบด้วยความปากดีสมใจ ความสุขสมก็พร่างพรมลงบนเนื้อตัวของคุณนัท ขณะที่อีกฝ่ายก็เร่งเครื่องราวกับควบม้าในสนามแข่ง ก่อนจะถอดถอนส่วนสำคัญจนของเหลวสีขาวขุ่นกลาดเกลื่อนไปทั่วเรือนกายอันงดงามของคนรัก

“สภาพของคุณตอนนี้ทำเอาผมอยากถ่ายรูปเก็บไว้ แต่อีกใจก็กลัวคนอื่นจะได้เห็นความสวยงามจนน่าขย้ำของคุณ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพลางขยับกายเข้ามาใกล้ริมฝีปากของบีมคล้ายกับจะให้ทำความสะอาดส่วนแข็งแกร่งจนเกลี้ยงซ้ำยังลูบไล้ความรักอันเปี่ยมล้นไปทั่วเรือนกายของบีม ก่อนจะส่งให้บีมลิ้มลองจนหลงใหลมัวเมา

กว่าการเพลย์จะดำเนินมาจนถึงจุดจบได้

ก็เล่นเอาทั้งสองได้แต่ตระกองกอดกันราวกับไม่อยากแยกห่าง



เพียงแต่เวลาแห่งความสุขมักจะหมดลงอย่างรวดเร็ว บีมกับคุณนัทจึงต้องเดินทางออกจากโรงแรมสไตล์โมร็อคคันในเวลาเดียวกัน เพราะคุณนัทเป็นห่วงอีกทั้งยังอยากประวิงเวลาไว้ให้นานที่สุด

“ออกเดินทางได้แล้วครับ” กระทั่งมาถึงหน้าประตูบ้านของผู้ใหญ่หนุ่ย บีมก็ดับเครื่องยนต์ก่อนจะเดินไปหาคุณนัทที่ขับรถตามหลัง เพื่อเตือนให้อีกฝ่ายรีบทำตามแพลนที่วางไว้

“ที่รักผมเตรียมก้านน้ำมันหอมมาให้ แต่ดันลืมให้คุณเสียได้ หวังว่ามันจะช่วยให้คุณคลายความตึงเครียดระหว่างที่ผมไปทำงานได้บ้างนะ” คุณนัทส่งถุงกระดาษแบรนด์ดังผ่านทางหน้าต่างรถ ฝ่ายบีมก็ได้แต่รับมาพร้อมรอยยิ้ม

“มะรืนนี้เจอกันนะครับ” บีมเอื้อนเอ่ยพลางส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มเมื่อใจยังคงอยากอยู่ใกล้ ๆ คนรักที่เต็มไปด้วยไออุ่นของความปลอดภัย

“แล้วเจอกันครับที่รัก..” สิ้นคำลาบีมก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปจุมพิตคนรักด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งเตาะแตะไปยังรถของตัวเอง เพื่อขับเข้าไปยังอาณาบริเวณบ้านของผู้ใหญ่หนุ่ย

เพียงแต่บีมไม่ทันคาดคิดว่า..

แม่จะนั่งรออยู่ตรงใต้ถุนบ้าน!


--------------------------✁


วันนี้มาลงเร็วหน่อย เพราะติดภารกิจติ่งจ้า 5555 ตอนต่อไปอาจจะนานหน่อยนะคะ หมดสต๊อกแล้ว ขอเวลาปั่นก่อนน รอสักอาทิตย์นู้นนนนเลย ฉากเพลย์อาจจะยังไม่ดีมากนัก แต่ถ้ามีโอกาสได้แก้ในรวมเล่มจะมาแก้ให้แซ่บขึ้นให้ได้เลย T_T

ปล. ถ้าเป็นไปได้อยากให้ย้อนไปอ่านตอน 30 อีกรอบเพราะจริงๆ แล้วสถานการณ์มันต่อกัน แต่เราลงห่างกันเพราะว่านุกลัวหมดสต๊อก 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2021 16:18:45 โดย Chomin »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ชั้นหลงรักคู่นี้  :jul1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 32

หลังจากดับเครื่องยนต์บีมใช้เวลาสงบใจอยู่พักใหญ่ เพราะการเหยียบย่ำในเขตรั้วบ้านตอนตีหนึ่งครึ่ง ควรเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสม
ส่งผลให้หัวใจของคนมีชนักติดหลัง ค่อย ๆ ถูกแร่ออกเป็นชิ้น ๆ ไม่ต่างกับดอกเดซี่ที่กำลังถูกหญิงสาวทำนายทายรัก เพราะบีมไม่แน่ใจว่าแม่แค่มานั่งรอด้วยความห่วงใย หรือมีคนมารายงานเรื่องบีมกับคุณนัท
“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” บีมทำเป็นใจดีสู้เสือเดินไปนั่งข้าง ๆ แม่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน
“แม่นอนไม่ค่อยหลับน่ะ แล้วก็เป็นห่วงบีมด้วยเลยมานั่งคอย” หญิงวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้หัวใจคนฟังเกิดความปั่นป่วน
“บีมแค่ไปสังสรรค์กับเพื่อนเองครับ ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วงเลย” บีมคว้าฝ่ามือของแม่มากอบกุมไว้ พลางลูบหลังมือที่ไม่ได้เรียบเนียนเพียงเบา ๆ
ขณะที่สมองยังคงพร่าเบลอเพราะการตีตนไปก่อนไข้

“บีม..” หลังจากแม่ใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งเปิดบทสนทนา หัวใจของบีมคล้ายถูกม่านหมอกของความหวาดกลัวกัดกินทีละนิด
“ครับ”  บีมยังคงแย้มยิ้ม ทว่าสีหน้าและน้ำเสียงไม่ได้สัมพันธ์กันแต่อย่างใด
“วันนี้.. บีมกับนัททำอะไรประเจิดประเจ้อเกินไปหรือเปล่า” สิ้นคำพูดของแม่ บีมก็นั่งตัวแข็งทื่ออย่างคนทำอะไรไม่ถูก เพราะคำพูดนั้นค่อนข้างกำกวมจนบีมกลัวว่าการเพลย์ที่โรงแรมในวันนี้ จะถูกถ่ายทอดออกไปโดยผู้ไม่ประสงค์ดีอย่างไอ้โต้ง
“แม่..หมายความว่าอย่างไรครับ” บีมพยายามทำหน้าซื่อตาใส แต่ทว่าในอกกลับดิ้นพล่านราวกับคนกำลังจมน้ำ
“แม่รู้ว่าบีมไม่ชอบให้ใครมานินทาลับหลัง แต่ทำไมครั้งนี้บีมถึงไปกอดจูบกับนัทกลางงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้าล่ะ”
“แม่! งานนี้มันสำคัญกับคุณนัทมาก บีมจะไปทำลายภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือของคุณนัทกลางงานแบบนั้นได้อย่างไร อีกอย่างบีมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แม่เองก็น่าจะเชื่อใจบีมมากกว่าคำพูดของคนอื่น” บีมขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียดขณะแก้ตัวโดยที่ไม่แน่ใจว่าจะฟังขึ้นหรือเปล่า แต่บีมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กอดจูบกับคุณนัทต่อหน้าสาธารณะชนในงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้าแน่นอน
“แล้วรูปนี้ล่ะ บีมจะแก้ตัวว่าเป็นมุมกล้องเหรอ ?” ทันทีที่แม่หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดรูปบางอย่างให้บีมดู เสียงของจิ้งหรีดเรไรก็พากันขับขานจนบีมรู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก เพราะภาพที่เห็นมันคือมุมกล้องที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรคนในรูปก็กำลังจูบกันท่ามกลางผู้คนที่มาร่วมงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้า
“บีมแค่กระซิบคุยกับคุณนัท ไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลย แม่ถามบีมแบบนี้เหมือนแม่ปักใจเชื่อไปแล้วว่าบีมไร้วิจารณญาณ” บีมพูดด้วยความร้อนรนทั้งยังใส่อารมณ์ด้วยความโมโหที่ไอ้โต้งมาสร้างปัญหาให้ไม่ต่างจากวันวาน
“ก็ถ้าบีมมีวิจารณญาณมากพอ บีมจะถ่ายรูปแบบนั้นตั้งบนหน้าจอโทรศัพท์เหรอ!” แม่แผดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดที่เห็นบีมทำตัวเหลวไหล เล่นเอาบีมถึงกับเงียบเป็นเป่าสาก เพราะไม่อาจหาคำไหนมาอธิบาย
“แม่ก็ว่าแต่บีม แล้วที่แม่หลอกใช้ความฝันของบีมกับงานแต่งของพี่แก้วตัวปลอมล่ะ เรียกว่ามีวิจารณญาณที่ดีแล้วเหรอ” บีมลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหและร้อนรน เพราะสิ่งที่แม่พูดไม่เกินจากความจริงเลยสักนิด
เพียงแต่มันคือรสนิยมที่บีมไม่อาจอธิบายให้แม่เข้าใจ
เรื่องของพี่แก้วจึงถูกนำออกมาสะสางแทนที่จะถูกแม่ไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว

“บีม!!!” แม่ตะโกนจนเสียงดังลั่นด้วยเพราะถูกวาจาแทงใจดำ
“แม่รู้ไหม บีมคาดหวังกับงานนี้มาก เพราะบีมอยากให้ทุกคนเห็นความสามารถของบีม พ่อกับแม่จะได้ภูมิใจในตัวบีม ตอนอยู่ที่กรุงเทพบีมต้องอดหลับอดนอนเพื่อเคลียร์งานเก่า เพราะถ้าบีมวางมือก็จะกระทบกับส่วนงานของคนอื่น พอมาอยู่ที่นี่บีมก็ต้องอดหลับอดนอน เพราะกลัวจะทำชุดให้พี่แก้วไม่ทัน”
“แต่แม่กลับใช้ความฝันและความเชื่อใจของบีมเป็นเครื่องมือ จนใจของบีมมันพังยับเยินไปหมดแล้ว!” บีมร้องตะโกนพร้อมทุบอกของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งน้ำตาอาบหน้า
เพราะทุกอย่างที่เคยสดใส มันสลายหายไปกับตา!

“พี่แก้วที่แม่หามา ทำงานได้ดีเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นบีมคงไม่ถูกคนอื่นดูถูกว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จจริง เลยต้องกลับมาเกาะพ่อแม่กินเพราะถูกผู้ชายหลอกจนหมดตัว” ยิ่งพูดน้ำตาของบีมก็ยิ่งไหล เพราะคำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นหินก้อนใหญ่คอยถ่วงใจจนเต็มไปด้วยความขมขื่น
เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
บีมก็เป็นได้เพียงหัวข้อสนทนาที่เอาไว้พูดคุยอย่างสนุกสนานของคนบางกลุ่ม

“แผนการของแม่แยบยลดีนะครับ แค่อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างบีมกับพี่แก้วสมัยเด็กและช่องว่างของการไม่ได้พบเจอกันมานานเท่านั้นเอง” บีมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันขึ้นเรื่อย ๆ
“แถมพ่อกับแม่ยังใจดีสร้างบ้านริมน้ำให้บีมใช้สำหรับตัดเสื้อโดยเฉพาะ เพื่อหลอกให้บีมอยู่ที่นี่.. น่าดีใจเป็นบ้า!” บีมยังคงประชดประชัน ขณะหัวเราะทั้งน้ำตาพร้อมยิ้มเย้ยหยันให้ตัวเอง
“ถ้าหากบีมไม่ทำตัวเหลวไหลแบบนั้น แม่จะสร้างเรื่องหลอกบีมเพื่ออะไร?” แม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับสะเทือนใจเมื่อบีมเริ่มขุดคุ้ยแผนการออกมาจนหมดเปลือก
“แม่เคยถามบีมเกี่ยวกับรูปนั่นสักคำไหม! ไม่เลย! แล้วบีมจะอธิบายได้อย่างไรว่ารูปนั่นเป็นแค่เรฟเฟอเร้นท์ในการทำงานของบีม!” เจ้าของห้องเสื้ออิสระตะโกนออกไปอย่างสุดกลั้น
“บีมคิดว่าแม่โง่นักเหรอ! ถึงมาโกหกแบบนี้!” หญิงวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังพร้อมใส่อารมณ์ไม่ต่างกัน
“แม่! ถ้าบีมโกหก บีมจะกล้าเอาภาพถ่ายเซ็ตนั้นให้แม่ดูไหม ?” บีมพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น พร้อมหยิบโทรศัพท์เครื่องที่ใช้ทำงานยัดใส่มือแม่ โดยไม่ลืมเปิดไฟล์ PDF สำหรับพรีเซ็นต์งานที่เพิ่งจะทำขึ้นหลังจากสุขสมไปกับการเพลย์อันแสนหนักหน่วง
เพราะบีมกับคุณนัทคิดเห็นตรงกันว่า..
ข้ออ้างที่เคยคิดไว้ อาจไม่มีน้ำหนักมากพอ

ไฟล์ดังกล่าวจึงมีทั้งรูปของบีมที่ถ่ายกันวันนี้และภาพแนวโน้มของตลาดแฟชั่นในคอลเลกชันต่อไป แน่นอนว่าต้องไม่ลืมการพรีเซ็นต์บราเซียร์และอันเดอร์แวร์จากผ้าลูกไม้ในรูปแบบเซ็กซี่ แถมโชคยังเข้าข้างสุด ๆ เพราะคุณนัทบังเอิญเจอภาพถ่ายของนางแบบที่โพสต์ท่าทางคล้ายคลึงกับภาพอนาจารนั่นบนอินเทอร์เน็ต
“เรื่องนี้แม่..” หญิงวัยกลางคนพูดได้เพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไปคล้ายกับน้ำท่วมปาก ขณะที่แววตาแสดงออกถึงความสับสนและรู้สึกผิดอย่างไม่อาจปิดบัง 
“แล้วการที่บีมคบกับคุณนัทมันผิดมากเหรอครับ แม่ถึงอยากลบตัวตนของบีมด้วยการขังบีมไว้ที่นี่ ทำไมครับ.. ความรักของเรามันแปลกแยกนักเหรอ บีมไม่เข้าใจเลย แทนที่แม่จะมีความสุขและสบายใจที่บีมมีคนดูแล แม่กลับอายที่ชีวิตของบีมเป็นแบบนี้!” เมื่อสบโอกาสบีมก็เริ่มหว่านแหไปที่ประเด็นอื่น
แม่จะได้ไม่มีเวลาพิจารณาช่องโหว่ของการเอาตัวรอด
“บีม! แม่ไม่เคยอายที่บีมชอบผู้ชายเลย! แม่แค่ไม่อยากเห็นบีมถูกย่ำยีจนต้องทำตัวไร้ศักดิ์ศรีเหมือนที่ห้องน้ำกลางห้างวันนี้!” สิ้นคำพูดของแม่คล้ายกับมีเสียงระฆังดังก้องอยู่ในหัว เมื่อกระจ่างแล้วว่าภาพอนาจารเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้แม่เลือกใช้แผนการนี้ เพราะมันยังไม่เท่ากับการที่แม่ทราบถ้อยคำหยอกเย้าในสถานะดอมกับซับที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบจากไอ้โต้ง
ส่งผลให้เวลานี้แม่เลือกที่จะแตกหักกับบีมก่อนจะบานปลาย
“เลิกกับนัทเถอะนะบีม” แม่เดินเข้ามากุมมือของบีมไว้ พลางอ้อนวอนด้วยนัยน์ตาเจ็บปวด
“บีมอยากเป็นอะไร อยากแต่งตัวแบบไหน พ่อกับแม่รับได้ทั้งนั้น แต่ขออย่างเดียวเลิกยุ่งกับนัทเถอะนะ” แม่จ้องมองบีมด้วยแววตาไหวระริกระคนสับสน เพราะใจหนึ่งแม่คงทราบดีว่าคุณนัทดูแลบีมได้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นบีมอาจจะเดินละเมอจนเกิดอุบัติเหตุไปนานแล้ว
“รับปากแม่สิบีม!” แม่กระชับฝ่ามือของบีมแน่น ราวกับหวาดกลัวว่าบีมจะสะบัดออก
“คำขอของแม่ บีมทำให้ไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณนัทดีเกินกว่าบีมจะปล่อยให้หลุดมือไป” บีมสะบัดมือของแม่ออกอย่างแรง พร้อมยืนยันเสียงแข็งแต่ก็เผยความอ่อนล้าออกมาอย่างปิดไม่มิด สมองพลันรวนเรจนน่าอึดอัด เมื่อสิ่งที่น่ากลัวที่สุดกำลังเกิดขึ้น
“บีมบอกว่าเขาดีมาก แม้ว่าเขาจะสั่งให้บีมทำอะไรที่เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของตัวเอง บีมก็เต็มใจทำอย่างนั้นเหรอ ?” แม่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจซ้ำยังทำสีหน้าเจ็บปวดที่ลูกชายเพียงหนึ่งเดียวมีพฤติกรรมแบบนี้ หัวอกของคนเป็นแม่คล้ายกับจะขาดรอนเสียให้ได้
“คุณนัทไม่เคยสั่งให้บีมทำอะไรแบบนั้นเลยครับ!” บีมตอบได้เพียงแค่นั้น เพราะไม่อาจอธิบายให้แม่เข้าใจได้มากกว่านี้ เมื่อทุกถ้อยคำมันอาจส่งผลให้ชีวิตคู่ระหว่างบีมกับคุณนัทเกิดความแตกหัก
เพียงเพราะพ่อกับแม่เป็นกังวลต่อพฤติกรรมระหว่างการเพลย์
ถ้าหากเรื่องราวดำเนินไปจนถึงขั้นนั้น ความสุขที่เคยมีก็คงขาดหาย หลงเหลือเพียงแต่ความอึดอัดใจไว้ให้ดูต่างหน้า
“บีมทำไมถึงต้องแก้ตัวแทนเขาแบบนั้นด้วย ไม่แม่เข้าใจเลยจริง ๆ” หญิงวัยกลางคนเริ่มทำสีหน้ายับย่น เพราะลูกชายเพียงหนึ่งเดียวยังคงมีแต่ท่าทีดื้อดึงจนยากจะทำใจให้ยอมรับได้
“เพราะเขาไม่เคยไม่ให้เกียรติบีมเลย บีมถึงได้กล้าพูดต่อหน้าแม่!” บีมเม้มริมฝีปากแน่นพลางเน้นย้ำทุกคำตอบ ราวกับจะสร้างความหนักแน่นต่อข้ออ้างของตัวเอง คำพูดจากปากของไอ้โต้งจะได้ถูกลดทอนความน่าเชื่อถือ
“แล้วเขาก็ไม่เคยโกหกบีม! ไม่เคยเชื่อคำพูดของคนอื่นและไม่เคยแคร์ใครมากกว่าบีมเหมือนที่พ่อกับแม่ทำ!”

เพี๊ยะ!

เมื่อลูกชายเพียงหนึ่งเดียวถูกฟาดจนหน้าหัน หญิงวัยกลางคนได้แต่มองพวงแก้มบอบช้ำของลูกชายด้วยความตกใจอยู่พักใหญ่
ก่อนจะทุ่มเถียงกันไม่เลิกรา

“ใช่! แม่มันไม่ดี บีมอยากเป็นช่างตัดเสื้อ แม่ก็ยังเป็นนางมารร้าย แต่บีมรู้ไหม ถึงแม่จะรู้ทั้งรู้ว่าบีมกำลังทำอะไร แต่แม่ก็ไม่เคยคิดจะตัดสายอินเตอร์เน็ตสักครั้ง แล้วก็ไม่เคยคิดจะบอกพ่อเลยว่าบีมกำลังจะออกนอกลู่นอกทาง” แม่เอื้อนเอ่ยพลางตบอกตัวเองขณะที่น้ำตากำลังไหลรินไม่ขาดสาย เมื่อย้อนคิดไปถึงวันวานอันเข้มงวด
“แล้วทำไมตอนนั้นแม่ถึงต้องตีบีมด้วย ทำไมแม่ถึงต้องทำเหมือนต่อต้านความชอบของบีมด้วย! ทำไมแม่ถึงต้องหาว่าบีมเป็นบ้าเพียงเพราะบีมชอบแต่งหญิง! ทำไมล่ะแม่! ทำไม!” บีมก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองพลางหลับตาแน่นิ่ง แต่กระนั้นหยดน้ำตาก็ยังคงรินไหล ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยจึงเต็มไปด้วยความสั่นเครือและแรงอารมณ์
“เพราะบีมไม่เชื่อฟังแม่ไง! นึกอยากทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ พ่อเราคาดหวังให้มารับราชการมากขนาดนั้น คิดอยากจะเปลี่ยนใจก็ทำอย่างปุบปับได้เหรอ!” สิ้นคำพูดของแม่ บีมก็ได้แต่เม้มปากแน่น เพราะมันคือความจริงทุกอย่าง
เพียงแต่ตอนนั้นบีมเข้าใจว่า..
แม่พยายามจะเกลี้ยกล่อมก็เลยยิ่งดื้อแพ่ง

“จะทำอะไรคิดถึงความรู้สึกของพ่อบ้างไม่ได้เหรอบีม” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าและสั่นเครืออยู่ในที
“แล้วพ่อกับแม่เคยคิดถึงความรู้สึกของบีมไหม! ไม่เลย! ไม่เคยมีวันนั้น! ความรู้สึกของบีมถึงได้พังยับเยินแบบนี้!!” หลังจากตะโกนลั่นด้วยความปวดใจ บีมก็เดินลิ่ว ๆ ไปยังบ้านไม้สีขาวริมบึง พร้อมกระชากประตูกระจกให้เปิดออกและปิดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้โมบายจากกะลามะพร้าวรูปนางเงือกที่คุณนัทมอบให้หล่นลงกับพื้นจนเกิดรอยแตกร้าว
ไม่ต่างกับใจของบีมที่กำลังเป็นแผล
 
บีมที่กำลังสะอื้นจนตัวโยนรีบล็อกประตูปิดกั้นความจริงจากแม่ ก่อนจะก้มหยิบโมบายเงือกน้อยเข้ามากอดพร้อมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เพราะสิ่งที่แม่พูดมาก็มีส่วนถูก ตรงที่บีมไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของพ่อ อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับคำแก้ตัวของแม่ที่ฟังอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นสักนิด
เพราะการสนับสนุนของแม่ ไม่ใช่การสนับสนุนอย่างแท้จริง..
แต่เป็นคำแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจากการกระทำในอดีต

“เมื่อไหร่คุณจะกลับมา.. ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” บีมลูบไล้ภาพวาดนางเงือกด้วยฝ่ามืออันสั่นเทา พร้อมเอื้อนเอ่ยถึงคนไกลด้วยความรู้สึกคะนึงหาความปลอดภัย จนน้ำตากลอกกลิ้งเป็นประกายราวกับเกลียวคลื่นอยู่ในโมบายกะลามะพร้าว
“แม่เอาแต่บอกให้ผมนึกถึงความรู้สึกของพ่อกับแม่ แต่ไม่เคยมีใครนึกถึงความรู้สึกของผมเลย ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นอกจากการตัดชุดแต่งงานและการพูดคุยกับคุณแล้ว ผมไม่เคยมีความสุขเลย” บีมชันเข่าพลางก้มหน้าซบเรียวแขนของตัวเองพร้อมปล่อยให้น้ำตาไหลริน แต่ท้ายที่สุดบีมก็อดจะสะอื้นจนตัวโยนไม่ได้ เพราะเรื่องราวในวันวานไม่เคยลบเรือนไปจากความทรงจำของบีมเลย
ในใจจึงมีเพียงความรู้สึกอยากจะส่งข้อความหาคนรักว่า..
‘ที่รัก.. ผมต้องการคุณ ไม่ต้องไปทำงานแล้วได้ไหม’
แต่บีมก็รู้ดีว่าไม่อาจทำได้ เพราะการกระทำของบีม ส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของคุณนัท
บีมเลยได้แต่จมอยู่กับความหดหู่และมืดมน ท่ามกลางห้องตัดเสื้ออันหนาวเหน็บ


--------------------------✁


สวัสดีค่า มาลงช้ากว่าที่ตั้งใจไว้เพราะเค้าเพิ่งตื่น ฮือ สำหรับตอนนี้เราไม่แน่ใจว่าเขียนออกมาได้พอดีมั้ยหรือว่าน้ำหนักยังน้อยไปหรือเปล่า คือเราชั่งใจอยู่หลายวันเลยค่ะ ปรึกษาคนโน้นคนนี้บ้าง จนเริ่มมาลงตัวตอนได้มาคุยกับเพื่อนนักขียนคนนึงที่บอกว่า ถ้าพี่เขียนมุ่งประเด็นไปทางชุมชนของคนบ้านนอกมันได้แล้วนะพี่ เพราะตัวละครแม่คือคนที่ไม่ยอมรับผิดและไม่เคยขอโทษลูกเลย พอถูจี้ใจดำก็จะหาข้ออ้างที่คิดว่าตัวเองถูกมาปกปิดความรู้สึกแย่ของตัวเอง ส่วนบีมถึงแม้จะเป็นการโกหกแต่มันคือเรื่องของรสนิยมส่วนตัวที่ไม่สามารถบอกให้ใครเข้าใจได้ และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายจึงต้องโกหกแม่แบบนี้ เราคาดว่าเหลืออีก 2 ตอนก็น่าจะปิดเรื่องได้ค่ะ (ถ้าไม่เขียนตอนต่อไปมันมืออ่านะ 555)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 33

TW : การฆ่าตัวตาย

แววตาเหม่อลอยของบีมกวาดมองข้าวของภายในห้องตัดเสื้ออันเปรียบเสมือนกรงขังอยู่เนิ่นนาน ราวกับต้องการตอกย้ำความรู้สึกของตัวเองที่ไม่ต่างกับลูกโป่งอัดแก๊สใบใหญ่
เพียงแต่แก๊สเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยมลพิษทางความรู้สึก เพราะบีมถูกบีบอัดด้วยความต้องการที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของพ่อกับแม่ บวกกับหน้าตาทางสังคมที่พวกท่านอยากให้บีมแบกรับ มันเลยทำให้แก๊สพิษค่อย ๆ ซึมลงสู่ขั้วหัวใจจนด้านชา
ลูกโป่งใบที่ชื่อ ‘บีม’ จึงระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ
โดยไม่อาจประกอบเป็นรูปร่างได้ดังเดิม

เพราะ ‘ความสำเร็จ’ คือปัจจัยหลักของการเกิดมลพิษ จนอนุมานเส้นทางแห่งความฝันอันงดงาม กลายเป็นทางเดินโรยด้วยกลีบกุหลาบทอดยาว ที่แอบซ่อนหนามแหลมไว้อย่างมิดชิด
เรียวเท้าที่กำลังเหยียบย่ำจึงเต็มไปด้วยบาดแผลจากคำหลอกลวง เมื่อการตัดเสื้อที่บีมภูมิใจนำเสนอ เป็นเพียงข้ออ้างที่พ่อกับแม่นำมาใช้
ชายหนุ่มบนเส้นทางกลีบกุหลาบ หยุดการก้าวเดินด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง จนต้องนั่งคู้ตัวเป็นก้อนกลม เพื่อปกป้องไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไรความเจ็บปวดก็ไม่เคยหายไป เพราะเขาถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอันเล็กแคบของทุ่งกุหลาบสีชมพูสดใส
ทุกการขยับตัวจึงไม่ต่างจากการถูกทำร้ายและไม่อาจกลายเป็นคนที่เข้มแข็งอย่างใจหวัง เมื่อบีมผู้เรียนรู้ความเจ็บปวดถูกคำหลอกลวงในฝันหล่นทับจนสะบักสะบอม 

บีมได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า หากชีวิตนี้ไม่สามารถประสบความสำเร็จในฐานะ ‘เจ้าของห้องเสื้ออิสระ’ จะมีวันที่พ่อกับแม่มองเห็นคุณค่าของความพยายามหรือเปล่า
“หึ” บีมแค่นหัวเราะทั้งน้ำตา เมื่อคำตอบมันแน่ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีทาง! เพราะพ่อกับแม่มองเห็นแต่ความมั่นคงและหน้าตาทางสังคมของตัวเอง
การชื่นชมความสำเร็จของบีมต่อหน้าเหล่าคนงาน จึงเป็นเพียงการโอ้อวดทองเส้นโตก็เท่านั้น เพียงแต่ทองเส้นนี้ดันหม่นหมองเกินไป พ่อกับแม่เลยต้องขจัดคราบสกปรกเสียใหม่ด้วยการขัดถูเพียงเบา ๆ แต่กลับใช้น้ำยาไม่ถูกชนิด ทองคำเส้นงามจึงไม่อาจเปล่งประกายได้ดังเดิม
ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากคำพูดลอยลมของแม่ที่สื่อถึงการยอมรับตัวตนของบีมได้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะถ้าแม่เข้าใจจริง
แม่คงไม่บังคับให้บีมต้องเลือกระหว่าง..
‘ความฝัน’ กับ ‘คุณนัท’

หากถามว่าบีมเกลียดชุดแต่งงานของพี่แก้วตัวปลอมไหม ตอบได้เลยว่าเกลียดมาก เพราะมันทำให้บีมย้อนคิดถึงช่วงเวลาอันยาวนานของการตัดเย็บและจิตวิญญาณทั้งหมดของผู้รังสรรค์
เรี่ยวแรงแห่งความอยากทำลายล้างพลันปะทุขึ้น
แต่ก็ต้องมอดไหม้ให้กับความหลงใหลที่มีต่อการตัดเสื้อ
สองเท้าพลันถูกความงดงามดึงดูดอย่างรวดเร็ว จนบีมต้องเดินเข้าไปใกล้ชุดแต่งงานสุดหรูกลางห้องตัดเสื้อ ก่อนจะจดจ้องผลงานของตัวเองอยู่เนิ่นนานถึงค่อยเดินไปข้างหลังหุ่นมูลาจ เพื่อปลดชุดแต่งงานอันเลอค่า สวมทับบนลำตัวอย่างประณีตจะได้ไม่เกิดความเสียหาย
จากนั้นผู้ดีไซน์ก็เดินไปหยิบเวลคลุมหน้าเจ้าสาวแบบ ‘Mantilla’ ที่มีความยาวเป็นพิเศษมาสวมใส่ ทำให้ชุดแต่งงานอันหรูหราเต็มไปด้วยความงดงามอย่างที่เคยวาดไว้
แต่ทว่าบีมยังไม่พอใจนัก จึงจัดแต่งเวลเสียใหม่ ให้กลายเป็นผ้าคาดผมแบบผูกข้างปล่อยชายละไปตามพื้นอยู่นานสองนาน กว่าจะได้รูปลักษณ์ที่ตนเองพอใจ เพียงแต่ผ้าคาดผมที่ควรจะคาดบริเวณท้ายทอยกลับกลายเป็นผูกปมวนรอบลำคอ
เพื่อแสดงออกถึงการแอบซ่อนความรู้สึกมืดมน
ผ่านคอลเลกชันที่ไม่มีวันใช้งาน..

“หึ” บีมหลุดหัวเราะออกมาเพียงเบา ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนอ่อนแรง หยดน้ำตาไหลริน ริมฝีปากเปล่งเสียงหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน ฝ่ามือทุบพื้นกระเบื้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ความเจ็บปวดยังคงไม่จางหาย
“เกลียด! เกลียด! เกลียด! เกลียด!” เจ้าของห้องเสื้ออิสระเงยหน้าพลางร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด เมื่อเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายตนเองทางอ้อม ฝ่ามือทั้งสองข้างจึงดึงทึ้งผ้าลูกไม้ชั้นดีที่ตั้งใจหอบหิ้วมาจากกรุงเทพอย่างไม่คิดเสียดาย
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้..” บีมทิ้งตัวนอนขดอยู่บนพื้นอย่างอ่อนล้าพลางเอื้อนเอ่ยด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ริมฝีปากสั่นเครืออย่างคนต้องการบีบบังคับให้ตัวเองเข้มแข็ง แววตาพลันเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
เมื่อความโดดเดี่ยวทำให้เกิดภัยหนาวแพร่กระจายไปทั่วเรือนกาย

“คุณนัท..”

จนกระทั่งจุดรวมสายตาอยู่ที่โมบายกะลามะพร้าวรูปเงือกน้อยท่ามกลางท้องทะเล ชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยวก็รีบคลานเข้าไปใกล้ของสิ่งนั้น ก่อนจะลูบไล้ด้วยความทะนุถนอมและมองหาเก้าอี้เพื่อนำมันกลับสู่ตำแหน่งเดิม
โดยมีความรุ่มร่ามของชุดแต่งงานเป็นอุปสรรค
ส่งผลให้ร่างเพรียวสะดุดชายกระโปรงที่สวมใส่จนเกือบพลัดตกจากเก้าอี้!

ฝ่ายชายหนุ่มผู้เดินทางไกลจนมาถึงที่พักอย่างปลอดภัย ล้มตัวลงนอนก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเปิดแอปพลิเคชันกล้องวงจรปิด เพราะตลอดการเดินทางไม่สามารถเปิดดูได้อย่างใจนึก เมื่อสัญญาณโทรศัพท์ไม่เอื้ออำนวย
ซ้ำในอกยังร้อนวูบอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับมีอะไรบางอย่างย้ำเตือนว่าใครอีกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย นัทจึงเฝ้ามองหน้าจอโทรศัพท์แน่วแน่
แล้วก็ต้องตกใจเมื่อภาพที่เห็น คือภาพของคนรักที่กำลังดิ้นทุรนทุรายจากการใช้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว แขวนคอกับตะปูตัวที่ใช้แขวนโมบายที่ตนเองมอบให้
นัทจึงไม่รอช้าที่จะโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมหยิบกุญแจรถวิ่งออกจากห้องพักอย่างไม่รั้งรอแต่อย่างใด ขณะที่ดวงตากำลังแดงก่ำจนแทบจะเห็นเส้นเลือด แต่สมองยังคงสั่งการให้โทรหาพ่อกับแม่ของคนรักด้วยความยากลำบาก เพราะฝ่ามือกำลังสั่นเทา
อีกทั้งความหวาดกลัวยังกัดกินหัวใจดวงโตอย่างไม่ปรานี

“รับสิ!” นัทวิ่งลงบันไดหนีไฟพลางตะโกนลั่นอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อลิฟต์ก็ไม่เป็นใจ แถมทางรอดของคนรักที่น่าจะรวดเร็วที่สุดกลับไม่ยอมรับสาย
“ทำไมเป็นอย่างนี้วะ!!!” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจแทบไม่เหลือภาพลักษณ์ที่เคยมีอีกต่อไป เมื่อสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นจริง
โดยที่เขาไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้..
“พ่อครับ..” กระทั่งปลายสายมีการตอบรับ นัทก็รีบรัวคำพูดใส่อีกฝ่ายจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“นั่นใครน่ะ ?” ผู้ใหญ่หนุ่ยขมวดคิ้วพลางหรี่ตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีแต่แสงแยงตา
“บีมกำลังจะฆ่าตัวตายครับพ่อ!” นัทตะโกนลั่นด้วยความร้อนใจ ขณะวิ่งลงบันไดทีละสองสามขั้นอย่างบ้าคลั่ง เมื่อใจกำลังปลิดปลิวไปถึงบ้านคนรัก
แต่ทว่าขากลับวิ่งวนอยู่ตรงบันไดหนีไฟของโรงแรมชั้นบนสุด
“ว..ว่าไงนะ!” ฝ่ายปลายสายทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนอย่างไม่สงวนท่าที
“บีมกำลังจะฆ่าตัวตายครับ ช่วยบีมด้วย” นัทพูดด้วยความอ่อนล้าและอึดอัดใจที่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ เลยยิ่งเพิ่มความเร็วในการวิ่งของตัวเองมากขึ้น จนมาถึงรถยนต์ส่วนตัวอย่างปลอดภัย
ชายหนุ่มพยายามตั้งสติให้มากที่สุด ก่อนจะสตาร์ตรถและขับออกไปจนได้ยินเสียงล้อรถบดถนนเป็นจังหวะลากยาว ขณะที่ฝ่ามือก็พยายามจะเปิดภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดเพื่อดูความเป็นไปของสถานการณ์อันตราย
แต่กลับทำให้หัวใจของนัทคล้ายถูกบีบจากมือที่มองไม่เห็น เพราะสีหน้าของบีมเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ปลายเท้าจึงเหยียบคันเร่งด้วยความร้อนใจ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าการเดินทางของตนเองในครั้งนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เมื่อระยะเวลาในการเดินทางคืออุปสรรคอันใหญ่หลวง

“ที่รัก.. ผมกำลังจะไปหาคุณ” ชายหนุ่มพูดกับคนรักด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ต่างจากในใจที่กำลังว้าวุ่น เพราะบีมพยายามจะดึงรั้งผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้หลงเหลือหนทางในการหายใจ
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช
ริมฝากคู่สวยจึงค่อย ๆ ซีดเซียว ขณะที่ใบหน้ากลับหมองคล้ำจนยิ่งมองยิ่งปวดใจ นัทจึงเหยียบคันเร่งจนสุด โดยที่สายตาคอยชำเลืองมองสถานการณ์อันตรายสลับกับเส้นทางตรงหน้า
รู้ตัวอีกทีแสงไฟดวงใหญ่ก็สาดเข้ามาโครมใหญ่
ส่งผลให้นัทไม่อาจบังคับทิศทางให้มั่นคง ตัวรถจึงส่ายไปมาราวกับงูเลื้อย ก่อนจะหัวใจหายวาบ..
เมื่อตัวรถเคลื่อนผ่านหน้ารถบรรทุกเข้าอย่างจัง!

--------------------------✁

สวัสดีค่าทุกคน จริง ๆ เราเขียนเสร็จหลายวันแล้ว แต่เรายังไม่ค่อยมั่นใจกับซีนฆ่าตัวตายเท่าไหร่ แต่ไป ๆ มา ๆ เราคิดว่าเขียนแบบไม่ละเอียดน่าจะดีกว่า ซึ่งอันที่จริงก่อนจะเขียนซีนนี้เราตัดสินใจยากมาก ปรึกษาน้องที่เป็นพยาบาลก็แล้วเพื่อนในด้อมที่เป็นพยาบาลก็แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นบทที่เขียนยากอยู่ดี ทำให้เขียนไม่ออกอยู่หลายวันเลยค่ะ แล้วอีกอย่างคือเราต้องนึกถึงผลกระทบในอนาคตด้วยว่าการกระทำนั้นจะส่งผลต่อการ bdsm และการใช้ชีวิตของบีมหรือเปล่า เพราะถ้ามันส่งผลกระทบ เส้นเรื่องที่วางไว้เกี่ยวกับรสนิยม bdsm ก็จะเสียไป เพราะด้วยความเป็นคุณนัทหากการกระทำนั้นจะทำให้บีมเสี่ยงอันตราย เขาคงไม่ทำแน่ ต่อให้บีมอยากจะเล่นซีนที่ผาดโผนหรืออะไรก็ตาม ความสุขระหว่างทั้งสองคนจะต้องหายไปแน่ๆ มันเลยทำให้เราต้องตัดสินใจให้ดี 

เอาล่ะ เราไม่มีอะไรจะขอมาก นอกจากอยากอ่านความคิดเห็นของทุกคนว่าซีนนี้เป็นยังไงบ้าง เราทำได้ดีมั้ย ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์ต่อการเขียนในตอนต่อไปมาก ๆ เลยค่ะ ส่วนมุมมองด้านของพ่อกับแม่นั้น โปรดติดตามตอนต่อไปค่าาา

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 34

ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจผู้ผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาหมาด ๆ ได้แต่กำพวงมาลัยรถแน่น พลางหอบหายใจจนตัวโยน เมื่อเขาหักหลบจากวิถีอันตรายเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เรียวขาพลันจิกเกร็งจนเป็นตะคริวโดยไม่รู้ตัว เพราะต้องเหยียบเบรกสุดแรง
กระทั่งสติแจ่มชัดนัทก็หักหลบเข้าข้างทางพร้อมใช้ฝ่ามือสั่นเทาลูบใบหน้าและสูดลมหายใจเข้าก่อนจะปล่อยออก เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลงกว่านี้
พอรู้ตัวอีกทีสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ตัดขาดสถานการณ์จากอีกฝั่งไปแล้ว
ความร้อนใจทำเอานัทแทบอยากขับรถยนต์คู่ใจพุ่งทะยานไปถึงบ้านของคนรักให้เร็วที่สุด แต่เหตุการณ์เสี่ยงตายเมื่อครู่ก็เตือนสติของนัทได้เป็นอย่างดี เขาจึงขับรถด้วยสมาธิทั้งหมดที่มี
แต่แล้วเสียงเรียกเข้าจากปลายสายก็ดึงความสนใจทั้งหมดไป
นัทจึงรีบตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง

“บีมเป็นอย่างไรบ้างครับพ่อ” นัทเอ่ยถามทันทีที่กดรับสาย
“ปลอดภัยแล้ว..” ผู้ใหญ่หนุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มแต่ก็ยังมีความโล่งใจผสมอยู่ในน้ำเสียง
“โชคดีที่ผ้าขาดก่อน” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายกับใจกำลังแตกสลาย ทำเอานัทไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาปลอบใจ เพราะตนก็ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
“...”
“รีบมานะ เจ้าบีมมันไม่กล้าอยู่คนเดียว” ผู้ใหญ่หนุ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“ครับ” นัทรับปากอย่างหนักแน่น
“แต่ไม่ต้องรีบมาจนเกิดอุบัติเหตุล่ะ” สิ้นคำเตือน คนเป็นผู้ใหญ่กว่าก็วางสายไป นัทจึงเริ่มรวบรวมสมาธิ เพื่อขับรถไปหาคนรักอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่สงบลง..

วันทั้งวันระหว่างบีมกับคุณนัทมีแต่ความนิ่งเงียบมอบให้กัน แต่กระนั้นก็เป็นความนิ่งเงียบที่บีมรู้สึกปลอดภัย
เพราะการมีคนรักอยู่ข้าง ๆ ทำให้บีมมั่นใจว่า..
จะไม่เกิดเหตุการณ์เดินละเมอไปฆ่าตัวตายอีก
“คุณคงตกใจแย่” บีมหันมองคนขับรถที่กำลังพาตัวเองออกจากโรงพยาบาลประจำจังหวัด หลังจากเอ็กซเรย์กระดูกต้นคอและเข้ารับการรักษาโรคทางจิตเวชแล้ว
“...” คุณนัทได้แต่ยิ้มมุมปาก คงเพราะไม่รู้จะพูดถึงความลับของช่างตัดเสื้อคนนี้อย่างไร เมื่อบีมมีอาการซึมเศร้ามาตั้งแต่สมัยมัธยมจนถึงขั้นคิดอยากจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่อาจทำใจยอมรับความกดดันที่พ่อกับแม่หยิบยื่น
แถมยังมารู้อีกว่าบีมไม่ได้ดรอปเรียนเอกดีไซน์เพียงเพราะเหตุผลเกี่ยวกับเงิน แต่มันเป็นเพราะบีมได้รับผลกระทบจากโรคซึมเศร้าจนไม่สามารถเรียนต่อได้
การตัดเสื้อให้กองถ่ายจึงเป็นเพียงก้าวแรกของการหาเงินเลี้ยงชีพ
เพียงแต่ช่วงชีวิตในตอนนั้น ไม่ง่ายเลย เพราะแม้แต่การตัดเสื้อบีมก็ทำออกมาได้ไม่ดี จนทำให้พี่แก้วโดนลูกหลงจากผู้จัดการกองถ่ายไปด้วย บีมเลยได้แต่กลับไปตั้งใจเรียนวิชาของคณะบัญชีให้จบ แต่ก็ทำเกรดได้ไม่ดีนัก โชคดีที่ตอนสมัครงานฝ่ายบุคคลยังให้โอกาส และยังมีพี่แก้วกับการเพลย์คอยเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจ
“ผมอ่อนแอใช่ไหม ?” บีมเอ่ยถามแม้จะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้รับคำชมที่พอจะทำให้ยิ้มได้ในเวลาแบบนี้
“ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ คุณยอดเยี่ยมมากเลยที่รัก” คุณนัทแย้มยิ้มด้วยความจริงใจซ้ำยังพูดด้วยความแน่วแน่
ราวกับรู้ดีว่าบีมกำลังต้องการคำพูดปลอบใจเป็นที่พึ่ง
“ผมไม่อยากกลับบ้านเลย” บีมถอนหายใจเมื่อตัวรถเคลื่อนผ่านป้ายบอกทางที่มุ่งสู่บรรยากาศอันเวิ้งว้าง
“แต่ไม่กลับก็ไม่ได้ คุณยังไม่ได้นอนพักเลย..” บีมพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไป เมื่อสายตาทอดมองบรรยากาศข้างทางด้วยจิตใจเลื่อนลอย พลันนึกถึงวินาทีแรกที่ตื่นขึ้นมาพบว่า..
บริเวณลำคอกำลังถูกเวลที่ทำจากผ้าลูกไม้ประดับด้วยลูกปัดเม็ดงามพันรัดจนหายใจไม่ออก ขาทั้งสองข้างลอยอยู่กลางอากาศ เนื้อตัวชาวาบจนส่งผลให้บีมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองค่อย ๆ เต้นเบาลงเรื่อย ๆ ทำให้ไม่ว่าจะดีดดิ้นด้วยเรี่ยวแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์น่ากลัวได้
เพราะเมื่อคืนเป็นวันที่บีมได้รับรู้ว่า..
การถูก ‘ความตาย’ กลืนกิน มันน่ากลัวกว่าที่คิด

กระทั่งตัวรถขับเคลื่อนเข้ามายังอาณาบริเวณบ้านของผู้ใหญ่หนุ่ย บีมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก แต่กระนั้นก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมวันนี้บรรยากาศภายในบ้านถึงดูเงียบงันนัก เพราะปกติเหล่าคนงานและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ตรงใต้ถุนบ้านในยามเย็น
“วันนี้พ่อกับแม่ของคุณลางานน่ะ” นัทไขข้อข้องใจ เพราะตั้งแต่รอดตายมาได้บีมก็เอาแต่ร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว ซ้ำยังไม่ยอมให้พ่อกับแม่เข้าใกล้
พอนัทมาถึงบีมก็รีบพุ่งเข้ามากอดพร้อมปล่อยโฮจนร่างกายอ่อนล้า แต่นัทก็จำต้องฝืนใจตัวเองเพื่อพาบีมไปตรวจร่างกาย
ครอบครัวของอีกฝ่ายจะได้ไม่เป็นห่วงและนัทก็จะได้เบาใจ

“ผม.. เข้าจากหลังบ้านได้ไหม” บีมลงจากรถพร้อมมองตรงไปยังประตูกระจกสีขาวริมบึงที่มีหญิงชายวัยกลางคนยืนอยู่ ด้วยดวงตาคลอวาวน้ำ ก่อนจะหันไปถามนัทอย่างขอความคิดเห็น
แต่กระนั้นความเงียบสงบก็นำพาถ้อยคำของบีมไปหาพ่อกับแม่
“ผมแค่ไม่อยากนึกถึงเรื่องเมื่อคืน..” บีมเดินนำคนรักไปยังทางเดินเชื่อมระหว่างครัวใหญ่กับบ้านริมบึง โดยไม่ลืมชี้แจงความรู้สึกของตัวเองให้ทุกคนทราบ
“อื้ม ผมจะเดินไปกับคุณ” นัทคลี่ยิ้มให้กับคนรักก่อนจะโค้งทักทายผู้เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงด้วยความนอบน้อม จนกระทั่งได้รับสัญญาณจากผู้ใหญ่หนุ่ย นัทถึงเดินไปจับมือบีม ก่อนจะพาเดินเข้าบ้านทางระเบียงริมบึงที่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับจากแสงตะวัน
“ผมไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับพ่อแม่ดี..” บีมเท้าแขนตรงระเบียงริมบึงพลางมองนกอีแจวเดินย่ำอยู่บนใบบัว
“ผมโกรธ แต่ไม่ได้เกลียด ผมเสียใจ แต่ก็เข้าใจความห่วงใยของพวกท่าน” บีมหันหน้ามาหาคุณนัทพร้อมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว ราวกับกลัวว่าบุคคลในหัวข้อสนทนาจะได้ยิน
“...”
“ผมสับสน.. ผมไม่รู้ว่าจะทำให้แก้วที่แตกร้าวกลับมาผสานกันอย่างไร ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรต้องรู้สึกอย่างไร ต้องพูดอย่างไร เพราะการพูดคุยของพวกเรา น้อยครั้งนักที่จะไม่ทะเลาะกัน” บีมลูบใบหน้าของตัวเองไม่เบานักราวกับเรียกสติ จนกระทั่งแววตาสบกับดวงตาคมกริบที่กำลังสั่นระริก ริมฝีปากของบีมก็เริ่มสั่นเทา
“ถ้าเราไม่ประชดประชันใส่กัน พูดกันด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์แบบที่คุณหมอบอก มันจะได้ผลใช่ไหมครับ” บีมเดินเข้าไปกอดช่วงเอวของคุณนัทพร้อมซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นที่ปลอดภัย ฝ่ามือทั้งสองข้างจึงขยุ้มเนื้อผ้าของอีกฝ่ายจนยับย่น
“มันต้องได้ผลแน่ ๆ ครับ” นัทได้แต่ปลอบคนรักด้วยหัวใจหนักอึ้ง เพราะเขาก็จนปัญญาจะให้คำปรึกษา มีก็แต่การอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายเท่านั้นที่สามารถทำได้
“แต่ผมกลัวการเริ่มต้น..” บีมพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้เมื่อน้ำตากำลังไหลอย่างเงียบ ๆ
“คุณเลยต้องกินยาตามที่คุณหมอแนะนำก่อนเริ่มต้นไงครับ ระหว่างนี้ผมจะคอยกรุยทางไว้ให้คุณและพวกท่านดีไหมที่รัก” คุณนัทเอ่ยถามพลางลูบแผ่นหลังของบีมราวกับตุ๊กตามาสคอตผู้คอยปลอบโยนเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้โยเยในสวนสนุก
“กรุยทางอย่างไรเหรอครับ ?” บีมเอ่ยถามเหมือนเด็กจำไม
“ทำความเข้าใจกับความคิดและการกระทำของพวกท่านไงครับ” นัทเอ่ยตอบก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการขยับตัวไปมาราวกับคุณย่ากำลังร้องเพลงโยกเยกเอยเพื่อกล่อมให้นัทในวัยทารกเลิกร้องไห้จะได้รีบเข้านอน
“ที่รักคุณจะเป็นสายสืบให้ผมเหรอ..?” บีมเอ่ยถามพลางอมยิ้ม แม้ว่าในใจลึก ๆ จะไม่ค่อยมั่นใจต่อวิธีนี้นัก
“อื้ม ผมจะสืบให้คุณทุกอย่างเลย”

--------------------------✁


สำหรับตอนนี้มาลงเร็วผิดปกติ 555 เพราะหมดช่วงยากลำบากแล้ว และมันใกล้จะจบแล้วจ้า ฮืออ ตอนหน้าเคลียร์ปมจริงๆ จ๊ะ

ใครยังไม่ได้อ่านมาอ่านโลด ชวนเพื่อนชวนพี่น้องชวนทุกคนมาอ่านกันเลยจ้า ไม่ค้างคาแบบที่ผ่านมาแน่นอน ฮรึก

ปล. เราไม่ได้ลงเรื่องการรักษาอะไรมากนัก เพราะเดิมทีนิยายเรื่องนี้ต้องการนำเสนอปัญหาในครอบครัวและรสนิยม bdsm ค่ะ เลยจะมีการรับรู้เกี่ยวกับการรักษาบ้างผ่านตัวละครหลัก แต่จะเกี่ยวกับการเคลียร์ปมเท่านั้นจ้า ซึ่งก็คือตอนต่อไป แฮร่ พอดีเขียนแล้วมันลงล็อกให้นัทปลอบบีมพอดี เราเลยขอตัดฉากตรงนี้ 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 ใจแป้วไปหมดเลย

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 35

หลังจากให้คำมั่นสัญญากับคนรัก นัทโอนงานเกี่ยวกับที่ดินทั้งหมดให้เลขาที่มาด้วยกันรับผิดชอบ ส่วนคุณพ่อจะช่วยบริหารงานห้างสรรพสินค้าให้ชั่วคราว ระยะนี้นัทจึงใช้เวลาอยู่กับบีมที่บ้านไม้ริมบึงอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นคนป่วยอย่างบีมก็ยังกังวลใจ
นัทจึงต้องคอยพูดให้อีกฝ่ายสบายใจว่าเจ้าตัวไม่ใช่ภาระ
“ฝากคุณย่ากับคุณแม่คุยเป็นเพื่อนบีมก่อนนะครับ ผมจะไปเอาอาหารเช้า” นัทพูดกับบุคคลปลายสายที่มักจะวีดิโอคอลมาคุยเล่นกับบีม หลังจากทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้บีมคลายความว้าวุ่นใจไปได้บ้าง
“เชิญเถอะจ้ะ” คุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความสนใจ หลานชายผู้ตกกระป๋องเลยได้แต่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอสี่เหลี่ยม ก่อนจะทำปากจู๋คล้ายส่งจูบทางไกลถึงค่อยลุกออกจากเตียงตามคำไล่ของบุพการี
จนกระทั่งบทสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องจิปาถะ นัทจึงวางใจเดินไปยังห้องครัวผ่านเส้นทางเชื่อมกับบ้านใหญ่

เสียงร่ำไห้ของหญิงวัยกลางคนปานจะขาดใจยังเป็นเสียงที่นัทคุ้นเคย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง บีมเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านหลังเล็ก อาหารแต่ละมื้อนัทจึงรับหน้าที่นำมาให้
ความห่างเหินระหว่างครอบครัวกลายเงามืดอันน่ากลัว
ซึ่งนัทยังหาจังหวะทำตัวเป็นสายสืบให้คนรักไม่ได้
“พ่อ..แม่เกือบทำให้บีมต้องตาย..แม่ทำให้ลูก..เกือบตาย..” นัทได้แต่ยืนนิ่ง เพราะเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องทนฟังเสียงปวดร้าวของผู้ให้กำเนิดคนรัก
“เรื่องร้าย ๆ มันผ่านไปแล้วแม่ ตอนนี้ลูกของเราปลอดภัยแล้ว” ผู้ใหญ่หนุ่ยได้แต่ลูบหลังภรรยาด้วยความหนักใจ แต่ก็ไม่วายปลอบโยนไม่ขาดปาก
“บีมคงเกลียดแม่แล้วพ่อ..” แม่นุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจนนัทพลอยสะเทือนใจไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำให้นัทลดอคติในใจได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรการกระทำของอีกฝ่ายก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บีมต้องเจ็บทั้งตัวและใจ
“ถ้าแม่อยากให้พ่อช่วยหาทางออก แม่ต้องบอกให้พ่อเข้าใจก่อน ว่าทำไมแม่ถึงต้องหลอกเจ้าบีมเรื่องงานแต่งของแม่แก้ว” ผู้ใหญ่หนุ่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ภรรยากลับเอาแต่นั่งน้ำตานองไร้คำตอบ
ราวกับต้องการปกปิดเรื่องรูปอนาจารไว้ไม่ให้บานปลาย

“แม่เป็นห่วงที่บีมต้องอยู่กรุงเทพคนเดียว” หลังจากความเงียบโรยตัวหญิงวัยกลางคนก็ให้คำตอบที่ผ่านกระบวนการคิดเป็นอย่างดีแล้ว
“แม่พูดเหมือนเจ้าบีมเพิ่งย้ายไปอยู่ที่นั่นหมาด ๆ เราเลยต้องแอบตามไปเฝ้าดูเหมือนแต่ก่อน พ่อว่าลูกของเราโตแล้วนะแม่ แถมพ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากที่ประสบความสำเร็จมาจนถึงขั้นนี้ เพราะพ่อไม่สามารถดื่มกินความฝันจนลืมมองความเป็นจริงว่าเรากำลังจะอดตายได้” ผู้ใหญ่หนุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูมิใจ แต่ก็สะท้อนความอิจฉาอยู่ในที
“แม่เข้าใจผิด คิดว่าบีมละเมอทำเรื่องสุ่มเสี่ยงกว่าตอนอยู่ในวัยต่อต้าน.. แม่เลยไม่ไว้ใจให้ลูกอยู่คนเดียว” คำพูดของหญิงวัยกลางคนทำให้นัทยิ่งเจ็บแปลบ เพราะอาการเดินละเมอของคนรักเกิดจากโรคซึมเศร้าที่กัดกินความรู้สึกเป็นเวลาหลายปีกว่าที่คิด
“แม่น่าจะบอกพ่อก่อน” ผู้ใหญ่หนุ่ยถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก
“แม่ไม่อยากให้พ่อคิดมาก เพราะตอนนั้นพ่อก็บาดเจ็บจนทำงานไม่ได้” หญิงวัยกลางคนพูดพลางหลบตาสามีเป็นระยะ ทำให้ผู้ใหญ่หนุ่ยได้แต่ทอดถอนใจ
“แม่ก็รู้ว่าเรื่องของเจ้าบีมมันละเอียดอ่อนมานานแล้ว ตั้งแต่ทะเลาะกันหลังรื้อสะพานครั้งนั้น พ่อก็รู้แล้วว่าเราสอนลูกด้วยอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองเกินไป เราสองคนถึงได้พยายามกอบโกยเศษซากแห่งความผิดพลาดขึ้นใหม่ด้วยการส่งเสริมให้ลูกเรียนบัญชีตามที่ต้องการ”
“แต่บีมไม่เคยอยากเรียนบัญชีเลยนะครับ” นัทโพล่งออกมาด้วยความพลั้งเผลอ เพราะรู้ดีว่าบีมต้องการสิ่งใด
“ใช่ มันเป็นอีกหนึ่งความผิดพลาดที่พ่อตัดสินใจ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พ่อก็จะทำเป็นเข้าใจว่าบีมอยากเป็นช่างตัดเสื้อเพราะอาการเดินละเมอ”
“...”
“เพราะพ่อไม่อยากให้บีมเจ็บปวดเวลาที่ความฝันพังทลาย เพียงเพราะรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่บีมใฝ่ฝันต้องมาพร้อมกับต้นทุนชีวิตสูงกว่าที่เป็นอยู่ เพราะสำหรับครอบครัวของเราแล้ว ประเทศนี้ไม่เหมาะให้คนทำตามความฝันนอกจากอยู่กับความเป็นจริงและทำตัวเป็นเครื่องจักรเพื่อความอยู่รอด”
ทันทีที่ได้ฟังเหตุผลของผู้ใหญ่หนุ่ย นัทก็รับรู้ได้ว่าต้นทุนชีวิตของแต่ละคนสำคัญต่ออนาคตมากจริง ๆ เพราะนัทก็นับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีต้นทุนชีวิตดีจนไม่ต้องขวนขวาย แต่ถึงอย่างนั้นมุมมองของนัทก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมนัก เพราะการทำอะไรก็แล้วแต่ ย่อมต้องถูกการยอมรับตามกลไกทางสังคมที่เรายืนอยู่ ถึงจะเรียกว่าไขว่คว้าผลสำเร็จไว้ในกำมือได้
“นัทคงไม่เข้าใจว่าโลกใบนี้โหดร้ายกว่าที่คิด เพราะนัทไม่ต้องเผชิญหน้ากับความอดอยาก พ่อกับแม่ถึงเลือกที่จะปกป้องบีมไว้ในโลกความเป็นจริง”
“แม้ว่ามันจะทำให้บีมต้องเจ็บปวดและเข้าใจเจตนารมณ์ของพ่อกับแม่ผิดเหรอครับ ?” นัทย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ โดยที่คำถามนี้มีแต่ความเงียบงันเป็นคำตอบ
เพราะคนอาบน้ำร้อนมาก่อนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า..
ลึก ๆ ในใจยังมีความรู้สึกอื่นแอบแฝง

ด้วยความเข้าใจที่แตกต่างกันทำให้ต้องยกโขยงไปหาคุณหมอ หลังจากครบสองอาทิตย์ตามการนัดหมาย ซึ่งครั้งนี้บีมกับคุณหมอได้พูดคุยกันก่อนแล้ว ว่าจะมีการพูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อทำความเข้าใจและหาตรงกลางระหว่างกัน
“คืนนี้นอนห้องเดิมดีไหมบีม แม่จะทำความสะอาดให้” ทันทีที่ลงจากรถ แม่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยถาม บีมจึงหยุดก้าวเดินพักใหญ่
“ถ้าแม่ว่างก็รบกวนด้วยครับ” บีมมองไปรอบ ๆ ก่อนจะตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อสังเกตได้ว่าช่วงนี้ไม่มีบุคคลภายนอกเดินเข้าออกบริเวณบ้านเลย
“ว่างสิ ๆ ช่วงนี้แม่กับพ่อลาหยุด” หญิงวัยกลางคนตอบรับอย่างกระตือรือร้นก่อนจะกระทุ้งสีข้างสามีให้ช่วยกันหาวิธีสมานบาดแผลตามคำแนะนำของคุณหมอ
“ขอบคุณครับ” บีมตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินนำไปยังบ้านไม้ริมบึง นัทเลยต้องรีบเดินตามต้อย ๆ เพื่อคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

“ผมกลัวจัง” เมื่อเข้ามาในห้องบีมก็ทิ้งตัวนอนพลางมองคนรักพร้อมบอกความในใจอย่างไม่คิดปิดบัง
“กลัวอะไรครับ” คุณนัทนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่รู้สิครับ” ถึงแม้บีมจะตอบอย่างนั้น แต่นัทก็เข้าใจดีว่าคนรักกำลังหวาดกลัวผลลัพธ์ของความพยายาม
เพราะต่างฝ่ายต่างไม่อาจคาดเดาได้ว่า..
เหตุผลตามมุมมองของตัวเองจะสร้างเรื่องแบบที่แล้วมาหรือเปล่า
“บางทีการพูดคุยครั้งนี้อาจเหมือนตอนที่คุณเพิ่งเข้าใจว่า แม่ของคุณต้องคอยเอาอกเอาใจคนอื่นเป็นเพราะท่านต้องการรักษาแรงงานคนไว้ ผลลัพธ์ที่มันคาดเดาได้ยากอาจเป็นเหมือนตอนที่คุณกล้าที่จะเอาเม็ดเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคุณให้พวกท่านดู เพื่อให้ท่านยอมรับความสามารถของคุณ”
“แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จนี่ครับ..” บีมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะการทะเลาะกันครั้งล่าสุดทำให้ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องลอยลม
“ที่รัก.. ในมุมมองของผม คุณทำสำเร็จนะ” นัทจ้องดวงตาของคนรักด้วยความจริงจัง
“…”
“คุณยังจำเรื่องเล่าจากห้องครัววันนั้นได้หรือเปล่าครับ” ทันที่ได้ยินคำถามบีมก็พยักหน้าตอบ เพราะคุณนัทมาเล่าให้ฟังว่าที่จริงแล้วพ่อกับแม่ยอมรับความสามารถของบีมจากใจจริง แต่เพราะรูปอนาจารทำให้แม่เลือกจะแก้ปัญหาด้วยความรนราน
“เรื่องเล่าในวันนั้นทำให้พวกเราเข้าใจความคิดของพวกท่านไม่หมด วันนี้อาจเป็นวันที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันและหาช่องว่างที่ดีสำหรับทุกฝ่ายก็ได้นะ” นัทพูดด้วยรอยยิ้มพลางล้มตัวลงนอน ก่อนจะเกลี่ยปอยผมของบีมด้วยความทะนุถนอม
“ไหนดูซิ วันนี้คุณหมอเปลี่ยนยาให้คุณหรือเปล่า” แต่แล้วคุณนัทก็ชวนบีมคุยเรื่องอื่น ราวกับไม่อยากให้บีมคิดมาก บีมเลยต้องลุกขึ้นมาหยิบยาให้อีกฝ่ายดู
“ยาเดิมน่ะครับ คุณหมอบอกว่ามันได้ผล เพียงแต่ช่วงแรกอาจจะมีเอฟเฟคมากหน่อย ถ้าร่างกายเริ่มปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหา” บีมอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าอาการอยากอาเจียนตลอดวันไม่ใช่เรื่องอันตราย
“แต่อาการง่วงซึมดูท่าน่าจะเป็นปัญหาต่อการตัดเสื้อ เพราะในหัวของผมคิดอะไรไม่ออกเลยครับ”
“เดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้น เหมือนตอนที่คุณกินยาช่วยนอนหลับจนทำให้อาการเดินละเมอของคุณหายไปไงครับ”
“อื้ม”

ความง่วงเหงาหาวนอนทำให้บีมรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาว บีมจึงรีบอาบน้ำกินข้าวเพราะต้องกินยาตามหมอสั่ง
“ที่รัก.. พร้อมไปนอนบ้านใหญ่หรือยังครับ” ทันทีที่ล็อกประตูกระจกตรงระเบียงริมบึง คุณนัทก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใยพร้อมยื่นมือมาตรงหน้า
“พร้อมแล้วครับ” บีมตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนวางฝ่ามือลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อซึมซับไออุ่นระหว่างกัน
“ห้องนอนสมัยเด็กของคุณเป็นอย่างไรนะ จะมีแต่ผ้าลูกไม้หรือเปล่า” นัทเอ่ยถามพลางเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้านอันเงียบเหงา คงเพราะเจ้าของบ้านตัวจริงพากันเก็บตัวอยู่ในห้อง
“ถ้าไม่ถูกพ่อกับแม่ทิ้งไปเสียก่อนก็น่าจะเป็นแบบนั้นครับ” บีมยังคงตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะพาคุณนัทเดินผ่านห้องโถงที่เหล่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและภรรยา ชอบมานั่งรวมตัวตอนช่วงหัวค่ำเพื่อรอดูละครหลังข่าว จนมาถึงประตูห้องริมสุดของระเบียงทางเดิน
บีมกลั้นหายใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปยังโลกใบเดิม ฝ่ามือคลำหาสวิตช์ไฟเพื่อให้แสงสว่าง ทันทีที่ทุกอย่างกระจ่างชัดทำเอาบีมรู้สึกหายใจไม่ออก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิม
“ห้องของคุณดูอบอุ่นจังครับ” นัทกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง โดยเริ่มจากผ้าม่านลูกไม้ที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลมจากหน้าต่าง ปลอกหมอน ผ้าคลุมโต๊ะเขียนหนังสือ แจกันดอกพุดซ้อน ผ้าคลุมเตียง ต้นไม้ขนาดเล็กที่เจริญงอกงามบนหลังตู้ไม้สไตล์วินเทจ พอมาอยู่รวมกันทำให้ห้องของบีมดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“ตอนกลางคืนผมมักจะแอบจุดเทียนและนั่งถักผ้าลูกไม้ตรงโต๊ะตัวนี้” บีมบอกเล่าด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงความทรงจำที่ยังคงงดงามในหัวใจ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง
“ผ้าคลุมโต๊ะตัวนี้ ผมทอด้วยกระสวยด้ายเส้นเล็ก ๆ จนออกมาเป็น Bobbin Lace ผืนใหญ่ ทำยากมาก ๆ เลยครับ เพราะต้องใช้กระสวยตั้งหลายอัน ส่วนผ้าม่านผมใช้เข็มถักจนออกมาเป็น Needle Lace เพราะเทคนิคการทำลูกไม้มันแตกต่างกันครับ ชื่อเรียกของผ้าลูกไม้ก็เลยแตกต่างกันด้วย”
“แล้วผ้าคลุมเตียงล่ะครับ คุณใช้เทคนิคแบบไหน เนื้อผ้าดูนุ่มดีจัง” คุณนัทเอนตัวเท้าแขนไปข้างหลังขณะนั่งอยู่ตรงปลายเตียง
“ใช้วิธีการถักแบบนิตติ้งครับ” บีมตอบพลางเดินเข้ามาก้มมองใต้เตียง ก่อนจะลากกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา
“กล่องแห่งความลับของผมเองครับ” บีมไขข้อข้องใจให้กับคนรัก ก่อนจะเปิดมันด้วยหัวใจเต้นระรัว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่ถูกทิ้งไป
“ผมนึกว่าแม่ทิ้งกล่องใบนี้ ตั้งแต่วันที่บังคับให้ผมอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก ตอนนั้นผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนค่อย ๆ บ่มเพาะความบาดหมางระหว่างกัน เพราะผมเข้าใจว่าแม่พยายามทำสงครามกับผม”
“...”
“ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วแม่คอยสนับสนุนผมอย่างเงียบ ๆ แต่วันที่เราทะเลาะกันอย่างรุนแรง ผมเข้าใจว่าแม่แก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ”
“...”
“พอมองย้อนกลับไปแล้ว เป็นผมต่างหากที่กำลังทำสงครามประสาทใส่พ่อกับแม่ เพราะยิ่งพวกท่านอยากให้ผมเดินในทิศทางที่วาดหวังมากเท่าไร ผมก็ยิ่งเดินออกนอกเส้นทางมากเท่านั้น พวกเราเลยกระทบกระทั่งกันใหญ่โตจนยากจะแก้ไข”
“แต่หัวใจของผมก็ยังเจ็บอยู่ดี เพราะวิธีการแสดงออกของพวกท่านเต็มไปแรงอารมณ์ไม่ต่างกัน..” บีมพูดไปก็ขุดค้นความทรงจำจากกล่องไม้เงียบ ๆ จนกระทั่งมองเห็นก้นกล่องที่มีจดหมายวางอยู่
“...”
“นี่มัน..” บีมอุทานอย่างเหลือเชื่อ เพราะข้อความในจดหมายมีคำ ‘ขอโทษ’ ตัวโต ๆ ลงท้ายด้วยชื่อของพ่อกับแม่และวันที่ที่เขียน เล่นเอาฝ่ามือของบีมสั่น เพราะไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะเอ่ยคำนี้
“ท่านเพิ่งเขียนวันนี้..” คุณนัทย้ายมานั่งข้าง ๆ พลางอ่านจดหมายเงียบ ๆ ก่อนจะหันมาตอกย้ำความจริง ส่งผลให้หยดน้ำตาแวววาวได้แต่คลออยู่ในหน่วยตาของบีมตอนที่กำลังพยักหน้าให้คุณนัท

ทันทีที่ไฟดับจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด บีมได้แต่อุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะรนรานหาไม้ขีดเพื่อใช้เทียนให้แสงสว่าง
แต่เพราะบุคคลที่สามและสี่เดินเข้ามาในห้องอันมืดมิด บีมเลยได้แต่นั่งนิ่งตามเดิม
“พ่อขอโทษนะบีมที่พ่อคิดว่าสิ่งที่พ่อเลือก มันคือเส้นทางที่ถูกต้องจนฝากความคาดหวังทั้งหมดไว้ที่บีม โดยไม่สนใจเลยว่าสิ่งที่พ่อคิดว่าดี มันดีสำหรับบีมจริงหรือเปล่า เพราะกว่าจะรู้มันก็เกือบสายเกินแก้”
“...”
“พ่ออยากให้บีมรับราชการไม่ใช่เพราะพ่ออยากให้มีคนนับหน้าถือตาเหมือนตอนนี้ แต่เพราะมันเป็นอาชีพที่ทำให้พ่อรู้สึกมั่นคงพอที่บีมจะเลี้ยงดูตัวเองได้ บีมก็รู้ว่าพ่อคงอยู่กับบีมทั้งชีวิตไม่ได้ พ่อก็เลยเป็นห่วงกลัวว่าบีมจะต้องเจอกับความผิดหวังที่ไม่อาจทำตามความฝันของตัวเองได้ เพราะพ่อไม่มีปัญญาแม้แต่จะหาเงินมาซับพอร์ตชีวิตของบีมให้ดี จนบีมไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องปากท้องของตัวเอง”
“พ่อเลยคิดว่าถ้าหากบีมรับราชการ อย่างน้อยช่วงเวลาที่บีมต้องสู้กับโลกใบนี้เพียงลำพังก็ยังมีเงินบำนาญให้ใช้ทุกเดือน ป่วยก็ยังใช้สิทธิ์ข้าราชการไปหาหมอได้ พ่อก็เลยทำลายความฝันของบีม โดยที่พ่อลืมไปว่าบีมสามารถทำมันเป็นงานอดิเรกอย่างที่แม่เคยบอกได้”
“บีมพ่อกับแม่ไม่เคยรังเกียจที่บีมชอบเต้นบัลเล่ต์ หรือว่าชอบแต่งหญิงเลย แต่ที่พ่อแสดงออกไป พ่อยอมรับว่าตั้งตัวไม่ทันและลึก ๆ ในใจก็ต้องการเวลายอมรับในสิ่งที่บีมเป็นให้ได้ แต่สิ่งที่พ่อกลัวที่สุดคือคำพูดของคนอื่นเวลาที่เขาพูดถึงบีม มันทำให้พ่อไม่อยากให้บีมมาได้ยิน พ่อกับแม่เลยเลือกที่จะขังบีมไว้ในห้องตอนปิดเทอม และรื้อสะพานไม้ข้ามฟากที่เป็นทางเชื่อมมิตรภาพระหว่างบีมกับแม่แก้ว”
“...”
“แต่ที่พ่อกับแม่ต้องขังบีมไว้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเพราะบีมเดินละเมอออกมาข้างนอกแล้วยังแต่งชุดเดรสที่ตัวเองตัด”
“พ่อกับแม่เลยเข้าใจผิดคิดว่าบีมกำลังต่อต้าน..” ยิ่งผู้ใหญ่หนุ่ยพูดมาถึงตรงนี้ เสียงสะอื้นของแม่นุ้ยก็ดังกลบทุกสิ่งอย่าง
เพราะแม่ตีบีมจนขาลาย
บีมเลยเข้าใจผิด คิดว่าพ่อกับแม่ไม่อาจยอมรับตัวตนของบีมได้
“แม่ขอโทษบีม.. แม่ขอโทษ..” หญิงวัยกลางคนร้องบอกด้วยความทรมานพลางคลานเข่าเข้ามากอดบีมไว้
ส่วนบีมได้แต่นั่งนิ่งให้แม่กอดเงียบ ๆ ท่ามกลางหยดน้ำตาที่กำลังไหลริน
“บีมอย่าเกลียดแม่นะ” แม่พูดพลางเขย่าตัวบีมไปมาพร้อมกอดบีมแน่นกว่าเดิม
“บีมไม่เคยเกลียดพ่อกับแม่ บีมแค่เจ็บปวดกับสิ่งที่พวกเราต่างทำร้ายกัน แทนที่จะพูดคุยกันดี ๆ เพราะบีมก็มีความลับที่ปกปิดพ่อกับแม่ไว้”
“...”
“บีมตั้งใจสอบคณะที่พ่อต้องการไม่ได้ บีมจะได้ไปเรียนบัญชีภาคพิเศษ เพราะอย่างน้อยพ่อกับแม่ก็ยอมรับอาชีพนี้มากกว่าความฝันของบีม พอบีมเริ่มเก็บเงินได้บีมก็เริ่มสมัครเรียนดีไซน์”
“แล้วบีมก็ย้ายออกมาอยู่หอนอกจะได้ทำอะไรได้สะดวก เพราะบีมรู้ว่าถ้าหากอยู่หอในพ่อกับแม่ยังมีรูมเมทคอยเป็นสายให้”
“แม่ให้โอ๊ตช่วยดูแลบีม เพราะแม่รู้ว่าบีมไม่สบาย กลัวว่าบีมจะเป็นอันตราย พอรู้ว่าบีมออกไปอยู่หอนอก เราเลยใช้แต่อารมณ์ปะทะใส่กัน เพราะแม่กลัวว่าบีมอยู่คนเดียวแล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน” แม่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาปนสะอื้น
“แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงยอมลงให้บีมก่อนล่ะครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าบีมมีอาการเดินละเมอก็ไม่น่าจะปล่อยให้บีมใช้ชีวิตอย่างอิสระแบบที่ผ่านมา
“เพราะแม่กลัวว่าบีมจะยิ่งเตลิดก็เลยแอบตามดูแลอยู่ห่าง ๆ” สิ้นคำพูดของแม่ทำให้บีมคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
“พี่มีนรู้จักกับแม่เหรอครับ” บีมเอ่ยถามอย่างไม่ลังเล
“บีมอย่าโกรธแม่นะ คือแม่รู้จักกับเธอโดยบังเอิญเลยไหว้วานให้เธอช่วยดูแล เพราะเธออยู่ห้องข้าง ๆ บีม แล้วก็เป็นเพื่อนร่วมคณะของบีมด้วย” แม่พูดด้วยความร้อนรน แต่บีมยังคงเงียบงัน เพราะเรื่องของพี่มีนอยู่เหนือความคาดหมายมาก และมันก็เป็นไปได้ว่าพ่อกับแม่อาจทราบเรื่องราวของบีมเป็นอย่างดี
“ที่แม่บอกว่าจะพาบีมไปโรงพยาบาลบ้า เป็นเพราะบีมเดินละเมอตั้งแต่อยู่ที่บ้านเหรอครับ” หลังจากเงียบไปนาน บีมก็อดตั้งคำถามไม่ได้ เพราะบีมยังจดจำบาดแผลจากการถูกลากถูลูถูกังได้เป็นอย่างดี
เมื่อมันประทับอยู่ในใจของบีมทุกขณะจิต
จนบีมหวาดกลัวการไปหาหมอ
“ตอนนั้นแม่เป็นห่วงบีม แม่มันปากไม่ดี แถมยังเข้าใจเกี่ยวกับโรคจิตเวชไม่ดีพอ แม่ขอโทษนะบีม ขอโทษที่ทำร้ายบีมมาตลอด แม่ขอโทษ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางโอบกอดบีมด้วยความแนบแน่น ราวกับกลัวว่าบีมจะโกรธหรือหนีหายไปอย่างวันนั้น
“บีมเข้าใจทุกอย่างครับ” บีมเอ่ยตอบพลางลูบแผ่นหลังของแม่ด้วยความปลอบโยน จนกระทั่งพ่อเข้ามาโอบกอดพวกเราไว้
บีมเลยได้แต่ซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ใฝ่หา
ขณะที่หยดน้ำกำลังไหลรินด้วยความรู้สึกดีใจและเจ็บปวดอยู่ในที


--------------------------✁


กว่าจะเขียนตอนนี้ได้ ลากเลือดมากเลยค่ะ เหมือนว่าในสมองเรามันมีประเด็นลอยเต็มไปหมด แต่หยิบออกมาเขียนเป็นเรื่องราวไม่ได้ ฮือ ต่อไปจะไม่เขียนปมครอบครัวที่มัดแน่นแบบนี้แล้ว นุเครียดดด มันยากกก สำหรับตอนนี้ก็ได้เข้าใจความคิดและความรู้สึกของพ่อกับแม่มากขึ้นแล้ว ซึ่งมันคือประเด็นปัญหาที่จะว่ายังไงดี เราพบเจอกับตัวเอง เพราะความฝันของเราคือการเขียนนิยาย แต่มันไม่สามารถทำเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อกับแม่ได้ เราเลยอยากเล่นประเด็นนี้ผ่านครอบครัวของน้องบีม เพราะพ่อแม่ของน้องบีมไม่มีต้นทุนชีวิตมากพอที่จะส่งเสริมความฝันของลูกได้ ความอยู่รอดและความเป็นจริงคือสิ่งที่ทุกคนต้องโฟกัสเป็นหลักค่ะ พูดแล้วก็น่าเศร้าค่ะ เพราะการจะทำตามความฝันได้เหมือนบีมมันไม่ง่ายเลยและโอกาสก็ไม่ได้มีเพื่อปลาตัวเล็ก ๆ ในหนองน้ำใหญ่ด้วยค่ะ โอกาสจะเฉิดฉายมันเลยกลายเป็นแล้วแต่บุญแต่กรรม T__T

ปล. ขอเลื่อนตอนจบไปอีก 1 ตอนนะคะ อยากปิดท้ายอย่างสวยงามด้วยฉากเพลย์ให้สมกับแนวนิยายหน่อยค่ะ 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด