| Day 10 |
Brundy
(9/11/62)
“เป็นยังไงบ้างอิฐ หลับสบายมั้ย ทานอะไรได้มากขึ้นรึเปล่า”
วันนี้เป็นวันที่ผมมีนัดกับหมอรักษ์อีกครั้ง เขาทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มไม่กดดันพร้อมกับรอยยิ้มใจดีพลอยทำให้ผมคลายความกังวลไปด้วย ผมเล่นนิ้วตัวเอง มองที่โต๊ะทำงานแทนที่จะมองหน้าหมอรักษ์
“ผมนอนบ่อยขึ้นครับ แต่ก็ทานได้เท่าเดิม”
“นอนบ่อยขึ้น หมายถึงพอทานยาแล้วเพลียใช่มั้ย”
“ครับ”
หมอจดบันทึกลงไป
“น้องอิงบอกหมอว่า อาทิตย์ก่อนอิฐไปนั่งรถเล่นจนไปโผล่แถวฝั่งธนฯ เป็นยังไงบ้าง รู้สึกสบายใจขึ้นมั้ย”
ผมกระตุกยิ้มแห้ง อยากบอกเขาเหลือเกินว่าเพราะไปนั่งรถเล่นเนี่ยแหละถึงทำให้ผมเครียดกว่าเดิมอีก เพราะเจอคุณจิณณ์มาแล้วไม่รู้ว่าตอนนั้นพ่นอะไรออกไปบ้าง
“ไม่ครับ” ผมตอบความจริง หมอรักษ์เลิกคิ้ว
“ทำไมเหรอ”
“ผม... เจอกับคุณจิณณ์ คนที่คุณเพย์ไม่ชอบ ผมเลยกังวลว่าเขาอาจจะมีปัญหากัน”
“จิณณ์? หืม... บังเอิญจังนะ”
“หมอรู้จักกับคุณจิณณ์ด้วยเหรอครับ” ผมเงยหน้าสบตาหมอเพื่อถาม หมอรักษ์พยักหน้า
“เพื่อนเก่าเพย์ แต่มีปัญหากันจนตอนนี้เหมือนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้ว”
“ระ... เรื่องอะไรเหรอครับ”
หมอรักษ์ยิ้มจางๆ
“เรื่องเก่าๆ น่ะ”
ทำเอาผมอยากรู้ซะแล้วสิ...
หลังจากนั้นผมก็ได้รับใบสั่งยาตัวใหม่มา ผมเล่าช่วงที่ผ่านมาให้หมอฟังคร่าวๆ แอบขอให้หมอช่วยบอกคุณเพย์ให้ทีว่าผมอยากกลับไปทำงาน ผมเบื่อการต้องอยู่เฉยๆ แล้วฟุ้งซ่าน ให้ผมไปใช้ความคิดในการหาเส้นทางที่ไม่ต้องเจอรถติดให้คุณเพย์จะดีกว่า
หมอรักษ์บอกว่า งั้นขอรอดูอาการผมอีกสองอาทิตย์ ถ้ายาตัวนี้ได้ผลแล้วผมดีขึ้น เขาจะยอมรับรองให้ว่าผมสามารถกลับไปทำงานได้แล้ว ผมจึงได้แต่ทำหน้าเศร้ากลับไปอยู่ในเซฟโซนของตัวเองอีกครั้ง
ผมแยกกับน้องอิงที่หน้าโรงพยาบาล เพราะเธอต้องแวะกลับไปมหา’ลัยอีก ถึงตอนแรกเธอบอกว่าจะขอแวะไปส่งผมก่อนก็ตาม แต่ผมปฏิเสธไปเพราะมันดูลำบากและผมเองก็ไม่ได้มีอาการอะไรที่น่าเป็นห่วงสามารถกลับแท็กซี่เองได้ ถ้าถึงแล้วจะโทรบอก เธอจึงยอมปล่อยให้ผมกลับเอง
นี่ผมหรือน้องอิงเป็นพี่กันแน่นะ
เสียงมือถือดังขึ้น เรียกเข้าจากเจ้านายของผมที่ตอนนี้คงเพิ่งจะเลิกประชุม ผมกดรับสายระหว่างกำลังยืนรอแท็กซี่อยู่หน้าโรงพยาบาล
“ครับ คุณเพย์”
[“อยู่ไหน?”]
คำถามห้วนๆ แต่เขาไม่ได้หงุดหงิด นั่นทำให้ผมค่อนข้างโล่งใจ ผมตอบกลับ
“โรงพยาบาลครับ กำลังจะกลับ”
[“อาการเป็นยังไงบ้าง”]
ผมแปลกใจที่เขาถาม อาจเป็นอาการห่วงลูกน้องตามปกติ
“หมอให้ยาตัวใหม่มาครับ คาดว่าน่าจะได้ผลดีกว่ายาตัวเก่า”
[“เหรอ”] คุณเพย์เงียบไป ผมรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อสักพัก ก่อนจะขอวางสาย คุณเพย์ก็พูดขึ้นพอดี [“อยากกินอะไรมั้ย กูออกบริษัทพอดี จะไปรับ”]
“มะ... ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองดีกว่า คุณเพย์วันนี้มีนัดคุณโซอี้ไว้ไม่ใช่เหรอครับ”
ผมเตือนเขาเพราะยังคงแอบดูตารางของเขาอยู่ทุกวันตามความเคยชิน ซึ่งตารางงานของคุณเพย์จะซิงค์อยู่ในระบบเลขาของเขา มันซิงค์เข้าเครื่องผมด้วยเนื่องจากผมเองก็ต้องคอยดูตารางให้เจ้านายแม้จะไม่ใช่เลขาก็ตาม และคุณโซอี้ก็คือดีไซเนอร์ชื่อดังที่รับตัดชุดในงานประชุมที่อเมริกาเดือนหน้า โดยมีคุณเพย์กับคุณภีม ลูกชายคนที่สองเป็นตัวแทนไปร่วมประชุมครั้งนี้
นั่นแปลว่าผมจะไม่ได้เจอหน้าคุณเพย์ประมาณสองสามอาทิตย์
[“มึงแอบดูตารางกูอีกแล้ว”] น้ำเสียงเขาห้วนแล้ว ผมจึงรีบขอโทษ ผมไม่คิดว่าเขาจะโกรธ เพราะปกติผมก็เป็นคนทำหน้าที่นี้ไม่ใช่เหรอ
“ผมขอโทษครับคุณเพย์ที่ยุ่งย่ามเรื่องงาน”
เสียงจ๋อยสนิท คุณเพย์เงียบไปก่อนจะถอนหายใจ
[“กูไม่ได้โกรธที่มึงยุ่งเรื่องของกู มึงควรพักผ่อน”]
ผมรู้สึกตื้นๆ ในอก นอกจากน้องอิงที่พักนี้ค่อนข้างห่างเหินกับคุณเพย์จนน่าแปลก คุณเพย์ก็ยังมาทำตัวเป็นเจ้านายที่ดีให้แปลกยิ่งกว่าอีก หรือนี่จะเป็นเซอร์วิสให้คนป่วยกันนะ
ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็อยากป่วยไปตลอด คุณเพย์จะได้ใจดีกับผมมากขึ้น
ผมสะดุ้งกับความคิดของตัวเอง... ก่อนจะยกมือนวดขมับ
ฝันเฟื่องอีกละไอ้อิฐ
“ครับ คุณเพย์”
[“สรุปอยากกินอะไร?”]
เขาวนกลับมาคำถามเดิน เหมือนลืมสิ่งที่ผมพึ่งเตือนเขาไปอีกแล้ว
“เอ่อ... คือ แล้วคุณโซอี้...”
[“นัดตอนทุ่มนึง เลิกพูดมากได้แล้ว เร็ว กูจะถึงโรงพยาบาลแล้วเนี่ย”]
“ฮะ??”
ผมมองซ้ายมองขวา นี่เขาคุยโทรศัพท์ขณะขับรถไปด้วยเนี่ยนะ อันตรายนะครับคุณเพย์
“ผะ... ผมกินอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่คุณเพย์...”
สายถูกตัดไป วินาทีเดียวกับที่รถเมอร์เซเดส เบนซ์สีดำสนิทเลี้ยวผ่านโค้งตรงมาจอดที่หน้าโรงพยาบาลพอดี ผมตะลึงงัน คุณเพย์ลดกระจกแล้วตะโกนเรียกให้ผมขึ้นรถ ผมรีบวิ่งไปหาเขาฝั่งคนขับ
“คะ... คุณเพย์ครับ เดี๋ยว เดี๋ยวผมขับให้ดีกว่า”
ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยนั่งรถที่เจ้านายขับมาก่อนเลย แถมยังไม่ค่อยเห็นคุณขับเอง ไม่ว่าจะไปกินเหล้า ปาร์ตี้ งานราษฎร์งานหลวง เขาล้วนใช้ผมขับทั้งนั้น
“ขึ้น!”
ผมสะดุ้งเมื่อเขาสะบัดเสียง จึงรีบเปิดประตูหลังแล้วมุดเข้าไป... เฮ้ย เดี๋ยวนะ โพซิชั่นนี้ไม่เหมาะ เหมือนผมเป็นเจ้านายเขาแทนแล้วนะแบบนี้
คุณเพย์ถอนหายใจยาว สั่งอีกรอบ
“กูเป็นคนขับรถมึงรึไง มานั่งข้างหน้า!”
“คะ... ครับ”
ผมตาลีตาเหลือกลงจากรถอ้อมไปนั่งฝั่งข้างคนขับ ปิดประตูรถ คาดเข็มขัดอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังทำเวลาอยู่ คุณเพย์เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง ความรู้สึกการเป็นคนนั่งแทนคนขับครั้งนี้ช่างแตกต่างกับตอนคุณจิณณ์ มันทั้งตื่นเต้น เกร็ง และประหม่า มือผมชื้นเหงื่อจนเหนียวเหนอะ
“กินอาหารอิตาเลี่ยนได้มั้ย?”
จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ผมที่นั่งตัวเกร็งมองเข่าสะดุ้งก่อนหันไปมองคนถามที่ตอนนี้คลายเนคไทลงมา กระดุมเชิ้ตเม็ดบนก็ถูกปลดออกสองเม็ดจนเห็นแผ่นอกสีขาวแน่นวับๆ แวมๆ ผมรีบเบือนสายตาหลบ พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ แต่เหมือนคุณเพย์จะไม่ทันได้มอง เขาจึงถามย้ำอีกรอบ
“อะไรก็ได้ครับ แล้วแต่คุณเพย์”
“เอาที่มึงกินได้”
เมื่อคุณเพย์อนุญาตให้ผมเลือก งั้นก็ขอเลือกหน่อยแล้วกัน.... ผมมองตามข้างทาง ก็เห็นร้านน่าเข้าที่ผมอยากกินขึ้นมา เผื่อมันจะทำให้ผมอยากอาหารขึ้นบ้าง
“ผมอยากกินส้มตำครับ”
“ป้าครับ ขอส้มตำปูปลาร้า เผ็ดมาก แล้วก็... ขนมจีนหนึ่งกับโค้กอีกสองขวดครับ”
ผมสั่งทันทีที่ก้นติดเก้าอี้ในร้านส้มตำข้างทาง คุณเพย์กอดอกหน้าบึ้งสนิท ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เอ่ยถามเขา
“คุณเพย์จะกินอะไรดีครับ แต่คุณเพย์ไม่ค่อยกินเผ็ด ลองตำไทยพริกสามเม็ดดูมั้ยครับ”
“เออ”
ผมยิ้มเมื่อเขาขานรับ คงหวังไว้ล่ะสิว่าผมจะอยากกินของหรูในห้างหรือภัตตาคาร อาหารแพงหูดับตับไหม ไม่ชินลิ้นคนจนแบบผมหรอกครับคุณเพย์
ผมสั่งเพิ่ม ย้ำว่าเผ็ดน้อย แถมขนมจีนให้อีก 2 ห่อ เพราะคุณเพย์เป็นคนทานเยอะอยู่แล้ว
เมื่อโค้กถูกเสิร์ฟก่อน ผมก็ทำหน้าที่เดิมคือจัดการเทให้คุณเพย์และตัวเอง เขารับไปดูดอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนที่เขาจะถามถึงการไปพบหมอวันนี้
“พี่รักษ์บอกว่ามึงอยากกลับไปทำงาน”
“ครับ” ผมตอบรับตรงๆ คุณเพย์ถอนหายใจ
“กูไม่อยากให้มึงขับรถตอนที่กินยานั่น”
“ผมสบายดีครับ หมอรักษ์บอกว่า ยาตัวนี้จะไม่ทำให้ง่วงระหว่างวัน แล้วอีกอย่าง ผมอยู่เฉยๆ เอาจริงๆ นะ ผมค่อนข้างจะฟุ้งซ่าน”
ผมยอมรับไปตรงๆ คุณเพย์เหมือนจะรู้อาการของผมอยู่แล้ว เขาเงียบไป ผมก็ไม่อยากพูดอะไรถ้าเขาไม่ถาม
“มาแล้วจ้า ตำปูปลาร้าเผ็ดสะเด็ด กับ ตำไทยเด็กน้อยสุดๆ”
คุณเพย์เหลือบมองป้าตาขวางเมื่อได้ยินชื่อเมนู จนป้าถึงกลับหน้าแหยไป คงนึกว่าการแสดงออกแบบนี้จะทำให้ลูกค้าประทับใจถึงความเป็นกันเองล่ะมั้ง ผมรับมาแล้วยิ้มให้ ทำลายบรรยากาศที่คุณเพย์สร้างขึ้น
“ขอบคุณครับ น่าอร่อยนะครับ”
“จ้ะ กินให้อร่อยนะ”
ผมมองจานของตัวเองสลับกับของคุณเพย์ ส้มตำปูปลาร้าของผมสีน้ำตาลปี๋ พริกเต็มอัตรา แค่เห็นก็น้ำหยดแล้ว... ส่วนของคุณเพย์ สีจืดจางสมเป็นตำไทยรุ่นเด็ก
“เอ่อ... คุณเพย์กินเป็นมั้ยครับ ส้มตำ?”
“เป็น”
เขามองมันสักพัก ก่อนจะเริ่มจับช้อนส้อม ผมลุ้นว่าเขาจะกินมันท่าไหน เพราะตลอดเจ็ดปีผมไม่เคยเห็นเขาทานส้มตำสักครั้ง เลยคิดเอาว่า ตั้งแต่เกิดคุณเพย์เคยรับรู้รสชาติของดีประเทศไทยบ้างมั้ย
คุณเพย์เขี่ยเส้นมะละกอไปมา ก่อนจะตักมันเข้าปากด้วยสีหน้าประหลาด ผมเองก็ตักเจ้าตำปลาร้าเข้าปากพลางมองแบบลุ้นๆ ตาม
เจ้านายผมค่อยๆ ลิ้มรสชาติของมัน ก่อนจะทำหน้าเหมือน... มันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า ก่อนจะตักคำที่สองและสามต่อ ผมสบายใจละ เขากินได้... หลังจากนั้นผมก็เลิกสนใจเขาแล้วกินของตัวเองบ้าง ไอ้เจ้านี่เผ็ดสุดยอดไปเลย
“อร่อยเหรอ ไอ้น้ำดำๆ นั่นน่ะ”
“ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นมา คุณเพย์เท้าคางมองผมกินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ในขณะที่จานของเขาไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว ขนมจีนก็หมดห่อ เจ้านายผมนี่กินง่ายจริงๆ ผมมองจานตัวเองที่พร่องเกือบหมดแล้วหัวเราะแห้ง
“ก็อร่อยครับ คือผมไม่ได้กินมานานแล้ว”
“งั้นวันหลังจะพามากินอีก” คุณเพย์ยิ้ม ผมใจกระตุก ค่อยๆ วางช้อนส้อมลง
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
“ตั้งแต่รู้จักกันมา มึงกินน้อย กินอะไรก็ไม่ค่อยหมด มีไอ้นี่ ที่มึงกินเอาๆ”
“อา... เพราะมันกินง่ายมั้งครับ”
“กินเยอะๆ สิ”
ผมอยากมุดโต๊ะหนี... คุณเพย์แปลกไปจริงๆ ผมว่าเขาควรไปหาหมอ... สมองอาจกระทบกระเทือน
เขายังจ้องผมไม่เลิก เหมือนดูแมวป่วยที่เลี้ยงไว้สามารถกินอาหารได้ มันทำเอาผมไม่อยากกินต่อแล้ว
“คุณเพย์ครับ จ้องหน้าผมมีอะไรรึเปล่า”
เหมือนเขาเพิ่งรู้สึกตัว คุณเพย์ยืดตัวขึ้นก่อนจะกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีไปมองเมนู มองป้าย มองพัดลมที่ส่ายไปมา
“คือว่า... เดี๋ยวคุณเพย์ต้องไปพบคุณโซอี้ จะไปเลยมั้ยครับ ผมกินเสร็จแล้ว เดี๋ยวแยกกันตรงนี้เลย”
ผมจัดการส้มตำในจานจนหมดแล้วถึงได้ถาม คุณเพย์ก็ยังสายเปย์เหมือนเดิม เขาเป็นคนออกเงินค่าอาหารมื้อนี้ คุณเพย์เดินนำออกมาที่รถแล้วแล้วสั่ง
“ไปกับกู”
“ครับ... ให้ผมขับรถให้เหรอ”
ผมตาวาว รู้สึกคันไม้คันมืออยากจับพวงมาลัยจะแย่ แต่คุณเพย์กลับทำลายความฝันของผมโดยการเข้าไปนั่งในที่คนขับแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงเผด็จการเหมือนเดิม
“ขึ้นรถ”
“ครับ”
คุณเพย์บอกให้ผมเช็คตารางของวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมก็ยินดีที่จะทำ เหมือนได้กลับมาทำตัวมีค่าอีกครั้งหลังจากถูกสั่งให้นั่งๆ นอนๆ มาเกือบสามอาทิตย์ ผมร่ายตารางงานของคุณเพย์ที่ดูจากหน้าจอไอแพดของเขา
“คุณเพย์อยากให้เลื่อนนัดกับคุณศิวัฒน์ออกไปก่อนมั้ยครับ” ผมถามเพราะดูจากตารางงานก่อนหน้านี้เหมือนเลขาคนใหม่ของเขาจัดให้ไม่ดีพอจนไปซ้อนทับกับการประชุมโปรเจคสัมปทานที่อาจกินเวลาลากยาว
“เวร จัดตารางซ้อนอีกแล้วเหรอวะ” คุณเพย์บ่น
“เอ่อ... จะให้ผมบอกเลขาคนใหม่ให้มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง ไล่ออก”
“คุณเพย์ ใจเย็นสิครับ เขาเพิ่งเข้ามาทำงาน”
ผมกรอกตา เอะอะคุณเพย์จะไล่ออกท่าเดียวนี่ผมว่ามันไม่ใช่นะครับ ขนาดผมยังต้องเรียนรู้ตั้งสามสี่ปีกว่าจะเข้าใจการทำงานของเขา เจ้านายผมจิปากรำคาญแต่ก็ไม่พูดซ้ำคำเดิมแล้ว ถ้าคุณเพย์พูดรอบสอง มีหวังพรุ่งนี้ซองขาวร่อนไปถึงโต๊ะเลขาคนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์แน่นอน เพราะคุณเพย์ไม่เคยปล่อยให้มีรอบสาม
“อีซี่ มึงไม่สนใจมาเป็นเลขากูจริงๆ เหรอ”
จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ผมหัวเพราะแผ่วเบา
“ผมเป็นแบบนี้ ไม่สามารถช่วยงานคุณเพย์ได้เต็มประสิทธิภาพหรอกครับ”
รถเบรกจอดติดไฟแดง ร่างสูงหันมาทั้งตัวก่อนจะเอื้อมมือมาจับหน้าผมไว้แล้วดึงเข้ามา จูบร้อนที่ห่างหายไปนานประกบแนบสนิท ผมร้องอู้อี้ในลำคอ มือปล่อยไอแพดไว้บนตักเพื่อเปลี่ยนมาใช้ยันอกหนานั่นให้ออกห่าง แต่เหมือนคุณเพย์จะไม่ยอม เขาล็อคเอวผมแน่น ถอนจูบออกแล้วลามไปที่ซอกคอพลางดูดดึงจนขึ้นสี
“คุณเพย์!”
“ทำไมมึงชอบดูถูกตัวเอง”
คุณเพย์ขมวดคิ้ว ปล่อยผมแล้วกลับไปจับพวงมาลัย ผมหอบหายใจถี่ ตาขวางบ่งบอกเลยว่าโกรธมากที่เขาทำอะไรอุกอาจแบบนี้ทั้งๆ ที่เขาควรจะซื่อสัตย์กับน้องอิงได้แล้ว หลังจากที่เขารู้ว่าผมป่วย เขาไม่ควรทำอะไรแบบนี้อีก
“เพราะคุณเพย์นั่นแหละ ยังจะมาถาม”
“อิฐ”
“อะไร?”
ผมเสียงห้วน เขาเข้าเกียร์เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเตรียมออกรถ
“มึงยังคิดกับอิงแบบนั้นอยู่มั้ย”
ผมเม้มปากแน่น แน่นอน... คุณเพย์รู้ รู้ว่าผมคิดกับน้องอิงมากกว่าน้องสาว... และเขาเป็นคนเข้ามาช่วยน้องอิงไว้จากการถูกข่มขืนจากผม...
ความสัมพันธ์ของเราสามคนมันสับสนวุ่นวายเกินไป... ผมไม่เข้าใจน้องอิง อันที่จริง น้องอิงควรออกไปให้ห่างจากผมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่เธอกลับยอมยกโทษ ให้อภัยและพร้อมจะอยู่เคียงข้างผมต่อ ผมซึ่งยึดเหนี่ยวเธอเป็นที่พึ่งทางใจเดียวก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยให้เธอหายไปจากชีวิต แต่ก็อยู่ด้วยความหวาดระแวงตัวเองมาตลอด แต่สิ่งที่ทำให้ผมสามารถควบคุมตัวเองและยอมให้ตัวเองอยู่ใกล้น้องอิงต่อไปได้ก็คือคุณเพย์
อย่างน้อยๆ เขาก็ทำให้ผมนึกถึงหน้าเขาตอนที่ผมคิดอุบาทว์กับน้อง
“คำถามนั้น ผมไม่ขอตอบครับ”
ผมมันก็ระยำไม่แพ้พ่อตัวเองหรอก
...
วันนั้นเมื่อห้าปีก่อน...
“น้องอิง พี่ซื้อขนมมาฝาก”
“ว้าว พี่เพย์ใจดีจังค่ะ อิงอยากกินพอดีเลย”
เด็กสาววัยสิบห้าในชุดนักเรียนมอปลายเดินเร็วๆ มาที่โต๊ะอาหาร คุณเพย์วางกล่องขนมราคาไม่น่าจับต้องไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเรียกผมที่กำลังล้างมือที่อ่างในครัวให้มากินด้วยกัน
“อย่ากินเยอะนะ เดี๋ยวอ้วน”
ผมบอกน้องอิงขำๆ เด็กสาววัยกำลังแตกเนื้อสาวหันมาส่งค้อนให้ผมอย่างน่ารัก ผมชอบที่จะมองน้องสาวทำอะไรต่างๆ มันเพลินเหมือนดูสารคดีสัตว์โลกน่ารัก
“ไม่อ้วนหรอก อย่าไปเชื่อมัน”
คุณเพย์เถียงแทนน้องอิง เด็กสาวหันไปควงแขนคนเอาใจพลางเอ่ยลอยๆ
“นี่ไงคะ ต่อให้อิงอ้วน พี่เพย์ก็ยังบอกว่าอิงน่าร้าก”
ผมกรอกตามองบน จ้า... แม่สาวน้อยน้องรักคุณเพย์
“ถ้าอิงเป็นแฟนพี่ พี่เลี้ยงจนอ้วนตาย ไม่ปล่อยให้ผอมหรอก”
คุณเพย์แซวเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผม มันไม่ปกติ... จิตใจผมตอนได้ยินคำพูดแบบนี้ของคุณเพย์มันวูบโหวงจนอยากจะเดินหนีไม่ก็ต่อยปากคุณเพย์สักหมัด
“พี่เพย์ล่ะก็ งานนี้ต้องขอพี่อิฐแล้วล่ะค่ะ”
สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องตลกๆ ประจำวันไป
แต่ผมไม่ตลก...
“พี่อิฐคะพี่อิฐ มีคนให้จดหมายอิงด้วยแหละวันนี้”
เด็กสาวกลับห้องมาพร้อมเสียงทักทาย ผมเองก็กำลังจะออกไปรับคุณเพย์ที่คอนโดเพื่อไปส่งที่สนามบิน เขาจะบินไปแคนาดาคืนนี้ ผมเลิกคิ้วถามกลับ
“จดหมายอะไรเหรอ?”
“จดหมายสารภาพรัก... อิง... อิงเพิ่งเคยได้รับอะไรแบบนี้ ทำไงดีคะพี่อิฐ”
เด็กสาวดูสับสน ผมรับจดหมายมาเปิดดู เนื้อความมันเขียนพรรณนาถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอ อะไรกัน... อิงเพิ่งจะสิบห้า เด็กสมัยนี้ไวไฟกันเกินไปแล้ว ผมถอนหายใจยาว
“รู้จักเขารึเปล่า”
“เอ่อ... น่าจะเป็นรุ่นพี่ห้องหนึ่งน่ะค่ะ” น้องอิงแอบเกาแก้มหน้าแดง ผมขมวดคิ้วแน่น โยนจดหมายลงถังขยะ
“พี่ว่ามันเร็วไปสำหรับอิงนะ ตั้งใจเรียนเถอะ”
น้องอิงหน้าจ๋อยไป มองจดหมายที่ผมเพิ่งโยนทิ้งอย่างอาลัยอาวรณ์
ทำไม? ชอบมันรึไง?
“ค่ะพี่อิฐ”
สุดท้ายน้องก็รับฟังสิ่งที่ผมพูด
ผมไปรับคุณเพย์ ระหว่างทางคุณเพย์ถามหาน้องอิง ผมเริ่มหงุดหงิด ทำไมอะไรๆ ก็น้องอิงๆ
“แม่กูบอกว่าอยากได้ลูกสะใภ้แบบน้องอิง น่ารัก ใจดี ฉลาด” คุณเพย์กระดิกเท้า ก่อนยื่นหน้าข้ามช่องว่างระหว่างเบาะตรงกลางมาหาผม “มึงว่าไง แม่กูเอ็นดูน้องอิงหนักเลยนะเว้ย จะจีบน้องต้องขอพี่ก่อนป่ะ”
ผมไม่รู้ว่าคุณเพย์อยากแซวผม หรืออยากหาเรื่อง หรือพูดจริงกันแน่ แต่มันทำให้ผมอยากตะโกนกลับไปว่า น้องอิงยังอายุแค่สิบห้านะเว้ย มึงจะพรากผู้เยาว์เหรอไอ้คุณเพย์! แต่ก็ได้แต่ข่มไว้ในใจ แม้สองปีมานี้ผมกับเขาจะสนิทกันขึ้นเพราะต้องไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนแทบจะเรียกว่าตัวติดกันเลยก็ว่าได้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้เขามาทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับน้องอิงจนเกินควร น้องสาวผมยังเด็ก...
“แล้วแต่คุณเพย์เลยครับ”
“ไฟเขียวให้ว่ะ ไม่น่าเชื่อ” คุณเพย์ขยี้หัวผมจนคลอน ผมสะบัดหัวหนีอย่างหงุดหงิด “กูล้อเล่นน่า อย่างอนสิอีซี่”
ผมมุ่ยปาก
“งอนบ้าอะไรครับ ไร้สาระ”
ผมได้ยินเรื่องแบบนี้วนไปเวียนมาอยู่หัว เป็นแบบนี้มาอาทิตย์กว่าแล้ว... มันทำเอาผมหลับไม่ได้ พยายามจะข่มตานอนทีไร เรื่องของน้องอิงก็เข้ามาหลอกหลอนในหัวผมทุกที
ผมไม่ยกให้ กับใครผมก็ไม่ยกให้
“พี่อิฐคะ ทำไมตาคล้ำขนาดนั้น ไม่สบายรึเปล่า”
เช้าที่สดใสของน้องอิง แต่เป็นอีกเช้านึงที่ผมแทบจะไม่ได้นอน ผมเหมือนเป็นไอ้บ้าที่ติดน้องจนกลายเป็นหวงไปแล้ว มันเริ่มจะเกินพอดี... ผมมองน้องอิงที่นั่งกินข้าวเช้าอยู่ตรงข้าม ลอบสังเกตเธอ... วันนี้วันเสาร์ จะแต่งสวยไปไหน?
“วันนี้ไปไหนเหรอน้องอิง”
น้องอิงเลิกคิ้ว หัวเราะแหะๆ
“รู้ได้ไงคะว่าอิงจะไปไหน”
“แต่งสวยผิดปกติ” ผมแซวแต่ในใจคือพูดจริง
“มีนัดดูหนังกับเพื่อนน่ะค่ะ ที่สยาม”
“กระโปรงนั่น ไม่สั้นไปเหรอ เปลี่ยนเถอะ ในโรงหนังน่าจะเย็น”
ผมทักเตือนแบบไม่จริงจัง แต่น้องอิงถึงกลับหน้าจ๋อย ดึงกระโปรงลงแล้วค้อนขมุบขมิบ
“อิงอยากใส่บ้างน่ะค่ะ อุตส่าห์ซื้อมาแล้ว”
ผมชะงักไป ปกติน้องอิงจะไม่ดื้อกับผม ผมบอกอะไรเธอจะทำตามโดยไม่ต้องให้บอกรอบสอง แต่วันนี้กลับแย้งขึ้นมา สงสัยใกล้เข้าวัยต่อต้านแล้วล่ะมั้ง ผมถอนหายใจ ดื่มน้ำเปล่าแล้วลุกขึ้นกลับเข้าห้องไปไม่พูดต่อ บ่งบอกว่า ผมไม่พอใจ...
น้องอิงออกไปดูหนังแล้ว ส่วนผมนั่งอ่านเอกสารประกอบการเรียนภาคพิเศษอยู่ในห้อง จู่ๆ ข้อความก็เด้งขึ้นมา ผมกดอ่าน ปรากฏว่ามาจากคุณเพย์ เขาบอกว่าคุณแม่เขามีของมาฝากน้องอิง เป็นของฝากจากอิตาลี ผมขมวดคิ้ว...
น้องอิงอีกแล้ว...
ทำไมใครๆ ชอบยุ่งกับน้องสาวผมจัง
ผมมองนาฬิกา จะสองทุ่มแล้วแต่น้องอิงยังไม่กลับ... มือถือก็ไม่มี ผมจะติดต่อน้องก็ไม่ได้
ผมลุกออกจากห้องไปในครัว ค้นหาบรั่นดีของคุณเพย์ที่ชอบเอามาทิ้งไว้ออกมา อยากลองซักช็อต เผื่อคืนนี้จะนอนหลับบ้าง ผมนอนไม่หลับติดกันมาหลายคืนแล้ว
แต่มันไม่จบแค่นั้น บรั่นดีไม่ได้ทำให้ผมง่วง... แต่มันทำให้ผมขาดสติ...
น้องอิงกลับมาตอนสี่ทุ่ม เธอดูกล้าๆ กลัวๆ โดยเฉพาะเมื่อไฟในบ้านปิดมืด เธอคงคิดว่าผมเข้านอนไปแล้ว แต่ทันทีที่เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะกินข้าว ก็สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผมนั่งเงียบๆ อยู่บนโซฟา บนโต๊ะกระจกมีขวดบรั่นดีรสหวานกับแก้วที่ไม่มีอะไรอยู่
“พะ... พี่อิฐ มานั่งทำอะไรมืดๆ คะเนี่ย ไฟไม่เปิด?”
“ไปไหนมา?”
ผมถามเสียงเย็น เหลือบตามองเด็กสาวด้วยอารมณ์ที่เดือดปะทุ น้องอิงกอดกระเป๋าตัวเองแน่น คงจะกลัวน้ำเสียงของผมตอนนี้มากแน่ๆ เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ
“ขอโทษค่ะพี่อิฐ อิงได้ดูหนังรอบทุ่ม เลยกลับมาดึกไปหน่อย วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีก”
ผมลุกขึ้น เดินย่างเข้าไปหาเซๆ กลิ่นเหล้าคงตีหึ่งจนน้องอิงถอยหลังหนี ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้สภาพผมเป็นยังไง รู้แค่ว่าความหวง ความหึง ความโกรธมันประดังประเดเข้ามาเต็มไปหมด ผมคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วบีบแน่น กระชากจนร่างนั้นปลิวเข้ามา
“คิดว่าโตแล้วเหรอฮะ? กลับดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ อิงจะทำให้พี่อกแตกตายรึไง!”
“พี่อิฐ! อิงเจ็บนะคะ อิง... อิงขอโทษค่ะ”
ร่างเล็กๆ พยายามฝืนตัวออกห่าง สีหน้าที่มองเห็นได้จากแสงไฟที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่นั้นทั้งหวาดกลัว สับสน น้ำตาของเธอไม่มีผลในตอนที่อารมณ์ผมเป็นแบบนี้
กระโปรงตัวนั้น... เธอไม่ยอมเปลี่ยน
“ไหน? พี่อุตส่าห์บอกว่ามันสั้น ยังอยากจะใส่อีก ได้!”
ผมจัดการถลกกระโปรงเธอขึ้น น้องอิงกรีดร้องลั่น พยายามผลักและตีผมอย่างสุดชีวิต ผมยื้อยุดจนสามารถดึงกระโปรงสั้นๆ นั่นออกมาจากเอวบางได้ จนเหลือแค่ชั้นในตัวเล็กตัวเดียว ผมผลักเธอล้ม... แล้วตามลงไปทับ จับตรึงบนพื้นไม้ที่เย็นเยียบ
“ฮือ! พี่อิฐปล่อยอิง ปล่องอิงนะ ฮือ!”
น้องอิงพยายามผลักผมออกด้วยเรี่ยวแรงที่มี ผมรู้สึกขัดใจมาก แรงทุบตีนั่นทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่าน ผมโน้มตัวลงไปไซร้ซอกคอหอมนุ่มนั่นอย่างไร้ซึ่งจิตสำนึกใดๆ เสียงร้องไห้และร้องขอของน้องอิงไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์และความโกรธที่บังตา
“พี่อิฐ ฮือ! นี่อิงเอง น้องสาวพี่อิฐไง ฮือ... ปล่อยอิงเถอะค่ะ”
เด็กสาวตัวเล็กพยายามยกมือขึ้นไหว้ขอร้องแต่ผมไม่สนใจ โน้มตัวลงไปบดขยี้ริมฝีปากช่างเจรจานั่นอย่างรุนแรงจนได้กลิ่นคาวเลือด
น้องอิงเป็นของพี่อิฐ...
เป็นของพี่
ของพี่คนเดียว
พี่เองก็จะเป็นของน้องอิงคนเดียว...
เรามีแค่กันและกันไม่ใช่เหรอ
น้องอิงจะทิ้งพี่ไปไหน...
“โอ๊ย... พี่อิฐ พี่อิฐ... อิงเจ็บ ฮือ... เจ็บค่ะ...”
“น้องอิง...”
เรี่ยวแรงที่ทุบตีผมอยู่เริ่มอ่อนลง เมื่อผมพยายามยัดเยียดความแข็งขืนให้เธอ ความคับแน่นที่ผมไม่สามารถแทรกผ่านไปได้... เสียงที่เงียบไป... กับเสียงเคาะประตูรัว... เสียงเปิดประตู...
“ไอ้อิฐ!!! ทำเหี้ยอะไรมึงเนี่ย!”
ร่างผมกระเด็นออกไปไกลจากแรงผลัก... ผมค่อยๆ ลุกขึ้น สะบัดหัว... หัวแตกจากการกระแทกขอบโต๊ะกระจก คนที่เข้ามาขวางคือเจ้านายของผมเอง
“คะ... คุณเพย์”
“เป็นเหี้ยอะไรมึง มึงทำอะไรน้องอิง!”
คุณเพย์ตะคอกใส่ ในอ้อมแขนมีร่างเล็กที่อยู่ในสภาพอเนจอนาถ คุณเพย์รีบถอดเสื้อสูทของตัวเองออกมาคลุมร่างเล็กไว้แล้วอุ้มขึ้น น้องอิงหมดสติไปแล้ว ผมนั่งคุกเข่า มองมือตัวเอง มองสภาพตัวเอง
“ผม... ผม... ผมทำอะไรไป”
“มึงตั้งสติอยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน! กูจะพาน้องอิงไปโรงพยาบาล!”
แล้วคุณเพย์ก็จากไป ส่วนผม... ตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาแห่งความรู้สึกผิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ คร่ำครวญ และขอโทษ ขอโทษกับสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย
“พี่ขอโทษน้องอิง... พี่ขอโทษ!”
หลังจากคุณเพย์ออกไป ผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก่อนจะลากตัวเองเข้าไปในห้องนอน เดินไปหยิบคัตเตอร์แล้วเข้าไปในห้องน้ำ ผมพร่ำขอโทษด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า สิ่งที่ผมทำมันไม่มีอะไรชดใช้ได้เลย ไม่มีเลย... ไม่มี
สิ่งเดียวที่ผมจะชดใช้ให้น้องอิงได้...
รอยกรีดเป็นทางยาวในแนวขนานกับแขนทำให้เลือดจำนวนมากซึมออกมา ผมออกแรงกดใบมีดอีก กดมันให้ลึก ให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่น้องอิงรู้สึก จากเลือดที่ค่อยๆ ซึม กลายเป็นนอง... นองจนเต็มอ่างน้ำ ผมวางแขนลงไป... รอเวลาให้พระเจ้าลงโทษ
ผมนั่งพิงอ่างน้ำสีขาว ปล่อยแขนข้างซ้ายลงในอ่าง มันจะได้ทำความสะอาดง่ายหน่อย...
น่าจะช้าไป...
ผมยกคัตเตอร์ขึ้นมา จรดปลายลงบนลำคอ
งานนี้เร็วแน่...
“อิฐ!!!”
เสียงของคุณเพย์ดูตกใจกว่าเมื่อกี้อีก มือใหญ่จับคว้าเอาที่ใบมีดคัตเตอร์ก่อนมันจะลงลึกที่คอผม เขากำมันไว้แน่นจนฝังเข้าไปในมือ เลือดของเขาผสมกับเลือดของผมจนเปรอะไปทั่ว หน้าผมตอนนี้คงมีแต่เลือดสีแดง นัยน์ตาว่างเปล่าเลื่อนลอย... ไม่มอง ไม่สนใจ สติเริ่มเลือนไปทุกที
คุณเพย์พยายามเหลือเกินที่จะเอาผ้าเช็ดตัวมาพันแขนกับกดแผลที่คอผมไว้ ร่างผอมแห้งถูกอุ้มออกมาในสภาพที่เลือดท่วม น่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ... ผมแทบไม่ได้สติ ทุกอย่างวูบไหว สุดท้ายก็เลือนหายไป...
ผมภาวนา ขอให้ผมไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย