ต่อจากด้านบน120 ปีต่อมา
“อินท์ ไปเรียกพี่เขาลงมากินข้าวสิลูกเดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายกันพอดีหรอก” แม่ตะโกนบอกลูกชายที่ยืนจัดโต๊ะอาหารอยู่
“ครับแม่ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” ลูกชายรับคำแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปทันที เขามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องๆ นึงซึ่งเป็นห้องของพี่ชายเขาเอง สองพี่น้องอายุห่างกันแค่ปีเดียว มันเลยทำให้ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าพี่น้อง อินท์ยกมือขึ้นและกำลังจะเคาะประตูห้อง แต่ประตูก็ถูกเปิดออกทำให้มือที่กะว่าจะเคาะประตูนั้นดันเคาะไปโดนหน้าผากของคนที่เปิดประตูออกมาพอดี
“โอ๊ย!! ดูมั่งสิอินท์นี่หัวคนนะเคาะมาได้เจ็บชะมัด” คนที่ถูกมะเหงกน้องชายร้องพลางเอามือลูบหน้าผากป้อยๆ
“ขอโทษครับพี่สินธุ์ ผมไม่รู้นี่ว่าพี่จะเปิดประตูออกมาพอดี แม่ให้มาตามไปกินข้าวกันครับ” อินท์ลดมือลงแล้วขอโทษพี่ชายเป็นการใหญ่
“อื้ม ได้ยินแล้วล่ะ เราลงไปกันเถอะ” สินธุ์รับคำแล้วก็ชวนกันลงมากินข้าวเช้าข้างล่าง เมื่อกินเสร็จทั้งคู่จึงออกเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน เพราะพวกเขาเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน
“อินท์ ถามอะไรหน่อยสิ” สินธุ์เอ่ยขึ้นระหว่างที่เดินไปโรงเรียน
“อะไรเหรอครับ?” อินท์ถามกลับอีก
“ถ้าสมมติว่าฉันไม่ใช่พี่ชายของนาย นายจะรู้สึกกับฉันเหมือนที่นายรู้สึกกับไอ้พัชมั้ย?” ได้ยินสินธุ์ถามดังนั้นอินท์ก็ถึงกับชะงักฝีเท้ากึก ทำเอาสินธุ์ที่เดินนำไปก้าวหนึ่งต้องหยุดและถอยหลังกลับมาเช่นกัน
“...” อินท์ไม่ตอบอะไรได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
“มีอะไรรึเปล่า อย่าคิดมากน่าฉันแค่ถามเล่นๆ เฉยๆ” สินธุ์ตบบ่าน้องชายเพราะเห็นว่าอินท์เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“ครับ ผมรู้ว่ายังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน แต่ถ้าสมมติว่าเราไม่ใช่พี่น้องผมก็คงจะรักพี่มากเลยล่ะครับ อันที่จริงผมหวังว่าสักวันนึงผมจะได้เจอกับใครสักคนที่ผมรักมากๆ และผมอยากให้คนๆ นั้นเหมือนกับพี่ในตอนนี้ด้วยครับ” อินท์ก้มหน้าตอบ ตอนนี้ดูเหมือนหน้าเขาจะขึ้นสีเรื่อนิดหน่อยด้วยความเขิน
“งั้นเหรอ แล้วไอ้พัชล่ะ ตอนนี้นายคบกับมันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” สินธุ์ถามต่อ
“มันก็ใช่ครับ แต่ผมก็ยังคิดว่าพี่พัชยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับผม” อินท์ตอบ
“งั้นเหรอ ถ้ามันยังไม่ใช่สำหรับนายแล้วยังคบกับมันอยู่ทำไมล่ะ?” สินธุ์ถามต่ออีก
“ก็มัน...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไม แล้วพี่ล่ะครับเจอคนที่ใช่สำหรับพี่รึยัง?” อินท์ที่ไม่รู้จะตอบอะไรก็เบี่ยงประเด็นถามสินธุ์กลับบ้าง
“เจอแล้วล่ะ แต่ว่ามันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคบกัน” สินธุ์ตอบขณะที่ตอนนี้พวกเค้าเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“อ้าว ทำไมล่ะครับ เขามีแฟนแล้วเหรอแล้วเขาเป็นใครครับ?” อินท์เร่งถามอย่างอยากรู้
“ใช่ เขามีแฟนแล้ว เขาคนนั้นคือนายไงอินท์” สินธุ์หันไปมองหน้าน้องชายก่อนที่จะพูดมาออกพร้อมกับรอยยิ้มที่มาจากพี่ชายที่แสนดีทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งไปเลย
“เฮ้ย! ผมเป็นน้องพี่นะ พี่คิดกับผมแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าลงกลางเมืองหรอก” อินท์ร้องออกมาและเอามือตีไหล่พี่ชายให้ทีนึง
“ฮ่าๆๆๆ ก็มันจริงนี่ เพราะคนที่ใช่สำหรับฉันน่ะมันเหมือนนายไงล่ะ” สินธุ์หัวเราะออกมาแต่ก็ยังย้ำคำตอบจากใจของเค้าเอง
หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบไปและเดินไปโรงเรียนเรื่อยๆ ตามถนนที่คุ้นเคยอยู่ทุกวัน เมื่อมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งทั้งคู่จะต้องหยุดยืนและมองทอดสายตาไปยังสายน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องหน้านั้นทุกครั้ง ราวกับว่าสิ่งนี้คือกิจวัตรประจำวันที่ทั้งคู่จะต้องทำไปเสียแล้ว
“พี่รู้มั้ย ผมรู้สึกคุ้นกับที่นี่มากเลยล่ะ” อินท์บอกกับสินธุ์ในขณะที่สายตายังคงจ้องมองไปข้างหน้า
“อืม ฉันก็รู้สึกเหมือนนายนั่นแหละ”
หลังจากได้มองแม่น้ำอย่างสบายอารมณ์แล้วทั้งคู่ก็เดินทางไปจนถึงโรงเรียน และเข้าเรียนตามปกติจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน สินธุ์ก็มารออินท์ที่หน้าประตูโรงเรียนอย่างเคยเพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน
“เฮ่ อินท์” สินธุ์ทักน้องชายที่เดินคอตกออกมาจากอาคารเรียนและกำลังจะเดินเลยเขาไปเหมือนมองไม่เห็น
“อ้าว พี่มาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” อินท์เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยทักพี่ชาย
“มารอตั้งนานแล้วนายนั่นแหละเป็นอะไรเดินคอตกอย่างกับคนอกหักมาแน่ะ” สินธุ์ตอบกลับแถมยังเอ่ยแซวน้องอีก
“ใช่ครับ ผมอกหัก พี่พัชเพิ่งจะบอกเลิกกับผมมาเมื่อกี้นี้เอง” สินธุ์อึ้งอ้าปากค้างไปเลยที่ได้ยินว่าอินท์อกหักอย่างที่เค้าแกล้งแซวจริงๆ
“เฮ้ย จริงอ่ะ? ฉันจะไปถามมันให้รู้เรื่อง กล้าดียังไงมาบอกเลิกกันแบบนี้” พูดจบก็ตั้งท่าจะพุ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง
“ไม่ต้องพี่สินธุ์ ไม่ต้องไป ช่างมันเถอะครับ ผมก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก รู้สึกเฉยๆ ซะมากกว่า” ฝ่ายน้องชายรั้งแขนพี่ชายเอาไว้
“เฉยๆ แล้วทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้ทำไม” จิ้มหน้าผากจนคนน้องแทบหน้าหงาย
“โหยยยยย เพิ่งโดนบอกเลิกนะ มันก็ต้องมีอารมณ์แบบ อึ้งๆ อึนๆ บ้างแหละ แต่ขอบอกเลยข้างในเฉยๆ มาก” อินท์ยักไหล่แบบแล้วไงใครแคร์
“เป็นงั้นก็ดี แต่ว่าถึงยังไงไอ้พัชก็ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับนายอยู่แล้วนี่เนอะ” สินธุ์โอบไหล่น้องเข้ามาชิดตัว มืออีกข้างก็ขยี้หัวน้องจนยุ่ง
“ผมว่าก็ดีนะที่เลิกกันได้เพราะไม่อย่างนั้นคบกันไปก็ทรมานใจทั้งคู่” อินท์เงยหน้าขึ้นมามองพี่ชายแล้วก็ปรับสีหน้าเป็นปกติเพราะเขาตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้รักพัชเลย
“อืม ในเมื่อคิดได้แล้วก็กลับบ้านกันเถอะ” ตบบ่าน้องชายแล้วทั้งคู่ก็เดินกลับบ้านกันตามปกติ โดยที่ขากลับก็ยังต้องแวะดูแม่น้ำที่สะพานแห่งเดิมแล้วจึงจะเดินกลับบ้าน
“เฮ้ออออ ผมชักอยากให้พี่เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชายผมซะแล้วสิ” จู่ๆ อินท์ก็พูดออกมาส่วนสินธุ์ก็แอบอมยิ้มอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของน้องชายอย่างอินท์อยู่ดี “พี่ยิ้มอะไรของพี่น่ะ” อินท์ถาม
“เปล่าหรอก ฉันกำลังคิดว่านายน่ะคิดเหมือนฉันตอนนี้เลย” สินธุ์ตอบแต่แววตาของเขาจากที่เคยเปล่งประกายกลับหมองเศร้าลงในพริบตา
“เหอะๆๆๆ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ? ผมน่ะอยากให้ชาติหน้าเกิดมาไม่ใช่เป็นพี่น้องกับพี่แต่เป็นคนรักมากกว่าน่ะนะ” อินท์พูดด้วยสีหน้าแดงระเรื่ออีกครั้ง ในใจคิดว่าเรื่องนี้น่ะมันไม่สมควรจะพูดกับคนที่เป็นพี่ชายของตัวเองเลย
“นั่นน่ะสินะ เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งเราเลยเนอะ เกิดเป็นพี่น้องแต่มีความรู้สึกมากกว่าพี่น้องมันไม่ควรเลยจริงๆ”
อินท์หันไปมองใบหน้าด้านข้างของพี่ชายที่ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย ขยับเคลื่อนตัวเข้าไปยืนข้างๆ สอดนิ้วมือประสานกับฝ่ามือใหญ่ที่อบอุ่นของคนเป็นพี่ไว้แน่น คนเป็นพี่หันมามองหน้าน้องชายก่อนจะไล่สายตาลงไปยังมือที่กุมกันอยู่ และเงยหน้ากลับขึ้นมามองหน้าน้องที่ส่งรอยยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตาที่สดใสนั่นอีกครั้ง
รอยยิ้มกว้างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสินธุ์ กว้างเสียจนเห็นรอยบุ๋มตรงข้างแก้มทั้งสองข้าง ซึ่งคนเดียวที่ทำให้เขายิ้มกว้างขนาดนี้ได้คงมีเพียงเจ้าเด็กตัวเล็กน่าทะนุถนอมที่ยืนอยู่ข้างๆ กันนี่แหละ ตอนนี้เป็นพี่น้องเขาก็จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายในขอบเขตฐานะของพี่น้องที่ทำได้ ทั้งสองต่างหันกลับไปมองท้องน้ำเบื้องหน้า และมือยังกระชับกันแน่นแทบไม่มีที่ให้แม้แต่อากาศจะลอดผ่านไปได้
“ตึก ตึก ขึ้นมาสิอินท์” สินธุ์ละสายตาจากแม่น้ำ ก้าวขึ้นบนขอบสะพาน แต่ก็ไม่ใช่ขั้นบนสุดที่อันตรายอะไรเพราะมีโครงเหล็กกั้นเป็นราวกันเอาไว้อยู่
“พ...พี่สินธุ์จะทำอะไรครับ” ฝ่ายน้องดูจะตกใจกับการกระทำของพี่ชายที่กระตุกมือที่กุมกันอยู่ และพยายามดึงให้น้องขึ้นมายืนข้างกัน
“คิดอะไรอยู่หืมเด็กบ๊อง” คลายมือออกพร้อมแจกมะเหงกลงบนหน้าผากเจ้าเด็กที่เริ่มมีความคิดอะไรแปลกๆ ในหัว
“พี่สินธุ์คงไม่คิดจะ...”
“ฆ่าตัวตาย?” สินธุ์พูดต่อให้จนจบ
“ครับ” คนน้องก็ตอบรับแผ่วเบา
“ไร้สาระน่า นี่ไม่ใช่นิยายเรื่องสะพานรักสารสินนะที่จะโดดสะพานลงทะเลตายไปพร้อมกันเพราะไม่สมหวังในความรักน่ะ” ได้รู้ความคิดของน้องแล้วก็พูดปนอมยิ้มขำ
“ใครจะไปรู้เล่า จู่ๆ ก็ชวนขึ้นไปยืนบนขอบสะพานแบบนั้นน่ะ น่าหวาดเสียวจะตาย” คนน้องเถียงกลับ
“ก็แค่จะพาขึ้นมายืนรับลมด้วยกันแค่นั้นเอง แล้วก็....”
“แล้วก็....” อินท์ทวนคำพี่ชายเอียงคอมองรอให้อีกฝ่ายพูดต่อให้จบ
“มาอธิษฐานด้วยกัน” สินธุ์พูดต่อ
“อธิษฐานอะไรครับ”
“ขอให้ชาติหน้าเราสองคนได้เกิดเป็นคนรักกัน”
“แล้วถ้าชาติหน้ายังไม่สมหวังล่ะครับ”
“งั้นก็ขอเผื่อไว้ทุกๆ ชาติเลยเป็นไง ถ้าชาติหน้าไม่สมหวัง ชาติต่อๆ ไปก็ขอให้สมหวัง มันต้องมีสักชาตินึงล่ะที่เราสองคนสมหวัง สวรรค์คงไม่ใจร้ายกลั่นแกล้งเราไปตลอดกัลปาวสานหรอกมั้ง” คนเป็นพี่ตอบน้องชายด้วยเสียงหนักแน่นและมั่นคง
“ครับ” อินท์รับคำแค่นั้นแล้วก้าวขาขึ้นไปยืนที่ขอบสะพานโดยมีพี่ชายคอยประคองไม่ให้น้องพลัดตกลงไป
“พร้อมมั้ยอินท์” สินธุ์หันมาถามน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พร้อมครับ” ตอบรับและกระชับมือของพี่ชายไว้แน่น ทั้งสองหันกลับไปมองท้องน้ำเบื้องหน้า สายลมเย็นๆ พัดพลิ้วอยู่รอบตัว
สองพี่น้องค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ตั้งจิตอธิษฐานในใจ ขอให้ไม่ว่าเกิดชาติใด ขอให้ทั้งสองได้เกิดเป็นคนรักกันสมดังที่หวัง หากชาติหน้าไม่สมหวังก็ขอให้สมหวังในชาติต่อๆ ไป
อธิษฐานจบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันมองหน้ากันและกัน ส่งยิ้มให้กัน ปล่อยให้สายลมพัดผ่านรอบตัวไปเรื่อยๆ สองมือกระชับกันไว้แน่นไม่ปล่อยออกจากกัน...
“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นน่ะทั้งสองคน!!” แล้วก็มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นขัดบรรยากาศของทั้งสองพี่น้อง จนต้องหันหลังกลับไปมอง
“แม่!!” สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน
“ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ขึ้นไปยืนบนขอบสะพานแบบนั้นได้ยังไงมันอันตราย!!” คนเป็นแม่แหวขึ้นเสียงดังด้วยอารมณ์เป็นห่วงกลัวลูกทั้งสองพลัดตกลงไป
ได้ยินดังนั้นทั้งคู่ก็คลายมือออกจากกัน สินธุ์กระโดดลงมาก่อนแล้วคอยรับตัวอินท์ที่กระโดดตามลงมา
“พี่สินธุ์ทำไมถึงพาน้องขึ้นไปยืนบนที่ที่อันตรายแบบนั้นห๊ะ!” เมื่อทั้งคู่ลงมายืนบนพื้นโลกอย่างปลอดภัยแล้ว คนเป็นแม่ก็เข้าประชิดลูกชายคนโตทันที มือเรียวๆ ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นนิดๆ ตามอายุขัย หนีบเข้าเนื้อน้อยๆ ตรงช่วงเอวของลูกชายทันที
“โอ๊ย! แม่ๆ ผมเจ็บ” ลูกชายร้องโวยวาย
“ก็หยิกให้เจ็บน่ะสิ พาน้องเล่นอะไรก็ไม่รู้ แม่เห็นแล้วหัวใจจะวาย ถ้าตกลงไปจะทำยังไง” คนเป็นแม่ดุกลับ ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ บ่งบอกถึงความห่วงใยและความรักที่มีต่อลูกชายจริงๆ
“ผมขอโทษครับแม่ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วครับ” สินธุ์เห็นสีหน้าและสายตาของแม่ก็เลิกร้องโวยวาย และขอโทษแม่ด้วยความสำนึกผิด
“ผมก็ขอโทษครับแม่” อินท์ก็ขอโทษแม่ด้วยน้ำเสียงสลดเช่นกัน
“คราวหน้าก็อย่าทำอีกนะลูก แม่หัวใจจะวาย” คนเป็นแม่ลูบหัวลูกชายทั้งสองแผ่วเบา
“แล้วนี่แม่ออกมาทำอะไรครับ” สินธุ์ถาม
“ก็จะออกมาซื้อกับข้าวมื้อเย็นน่ะสิ แต่ดันมาเจอลูกลิงสองตัวเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ กันอยู่พอดี” พูดจบก็สะบัดหน้าหนีลูกชายตัวดีทันที
“โอ๋ๆ คนสวยไม่งอนนะครับ คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” ลูกชายคนโตตรงเข้าไปคลอเคลียคนเป็นแม่
“ปะ งั้นไปช่วยแม่ถือของเลยทั้งสองคนแล้วจะได้กลับบ้านกัน”
“ครับผม!” ลูกชายทั้งสองยกมือขึ้นตะเบ๊ะและรับคำอย่างแข็งขันพร้อมกัน จนคนเป็นแม่หลุดยิ้มกับท่าทางของลูกชาย
สองพี่น้องหลุดขำออกมาเบาๆ มองหน้ากัน แล้วเดินตามคนเป็นแม่ไป...
ความรักที่มั่นคงของทั้งคู่ต้องใช้เวลากี่ชาติภพไม่มีใครรู้ว่าจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อไหร่ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะสวรรค์ต้องการทดสอบทั้งคู่ หรือเพราะเวรกรรมแต่เก่าก่อนก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ในใจของทั้งคู่นั้นมีกันและกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตพวกเค้าก็จะยังมีกันและกันตลอดไป....
................จบเหอะ..............
จบแล้ว จบแบบนี้เลย ฮาาาาาา (หลบรองเท้า)
ก็ไม่รุ้ว่าเวอร์ฟิคหรือเวอร์ชั่นวายอันไหนมันจบหักมุม
เอาเป็นว่าเวอร์ชั่นรีเมคนี้ขอจบแบบนี้ละกันน้าาาาาาา
เผื่อมีตอนพิเศษภาคอนาคต (จะได้รึเปล่าไม่รู้)
ปล.อ่านจบแล้วอย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจให้คนแต่ด้วยน้าาาาา แม้จะเป็นเรื่องรีเมคแต่ก็อยากได้กำลังใจจากคนอ่านทุกคนน้าาาาาา