.:บทเรียนที่ 1:.
ปัง!
เมื่อประตูถูกปิดลง ชายหนุ่มทิ้งตัวเอนพิงพนักโซฟานุ่มอย่างอ่อนล้า เขาทำได้เพียงถอนหายใจหนัก แหงนหน้ามองเพดานอย่างเลื่่อนลอย สมองที่ว่างเปล่ากลับหนักอึ้ง เขายกสองมือขึ้นมาขยี้หน้าไปมา อดแปลกใจไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำร้อนชื้นคละเคล้ามากับฝ่ามือหนาทุกครั้งที่ปาดผ่านสองตา ร่างสูงเลื่อนมือข้างนึงมาเกาะกุมหน้าอกข้างซ้าย ความรู้สึกวูบโหวงเหมือนหายใจผิดจังหวะทำให้เขารู้สึกเหนื่อยสุดกำลัง หัวใจที่ตอนแรกเคยเจ็บจี๊ดตอนนี้เหมือนมันจะสงบลง ที่จริงไม่ใช่ไม่เจ็บแต่ตอนนี้มันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยต่างหาก มันเหมือนหัวใจของเขาไม่ได้อยู่ตรงที่เดิมอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มยิ้มเยาะกับตัวเอง แค่เดือนเดียวยังเป็นได้ขนาดนี้ เขารู้แล้วว่าตกหลุมรักอีกฝ่ายมากแค่ไหน นึกโทษตัวเองที่ยอมเผลอตัวเผลอใจไปได้ขนาดนี้
ทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าคนแบบเขาไม่มีใครมารักจริงๆ หรอก
“ต้น...” ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน เขาเหยียดหลังตรงเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ อีกฝ่ายมายืนอยู่ข้างตัวเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงประตูห้องนอนเปิดออกมาด้วยซ้ำ
“ได้ยินเสียงประตูปิดไปตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่เข้ามาในห้องสักที” รวินทร์เดินตรงเข้ามานั่งตักชายหนุ่ม ยกสองมือคล้องคออีกฝ่ายอย่างออดอ้อน ก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง
“คนอะไร ไร้มารยาทที่สุด ต้นน่าจะเรียกพี่ยามข้างล่างมาไล่ไปนะ” คนบนตักเอ่ยถึงคนที่เพิ่งออกไป นึกรู้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นเด็กคนใดคนหนึ่งของตั้งต้น แต่ใครๆ ก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่จริงจังกับใคร เบื่อเมื่อไหร่ก็ทิ้ง รวินทร์รู้สึกสะใจ เมื่อเห็นเต็มๆ ตาว่าตั้งต้นอยู่กับเขาแบบนี้ก็คงชัดเจนพอแล้ว จะได้เลิกมาระรานสักที คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มาโวยวายแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
“เสียงดังโวยวายอย่างกับคนไม่มีกา...” ไม่ทันได้จบประโยครวินทร์ก็ต้องหยุดเมื่อโดนมองตาขวาง เขารู้ได้ทันทีว่าทำให้คนตัวโตไม่ชอบใจเข้าแล้ว รวินทร์ที่หวังให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนท่านั่งเอาขาทั้งสองข้างพาดเอวประจันหน้ากับคนร่างสูง นิ้วชี้เรียวยาวลูบไล้ไปตามแผงอกอย่างเบามือ เมื่อเห็นว่าคนตัวโตมีแววตาอ่อนลง เขาก็ยิ่งเบียดเข้าไปแนบชิด วันนี้โดนขัดจังหวะตลอด ยังไปไม่ถึงไหนกันเลย หลังจากนี้จะไม่ยอมให้มีอะไรหรือใครมาขวางทางอีกแล้ว เจ้าตัวคล้องแขนสองข้างรอบคอแกร่งอีกครั้ง ก่อนที่จะประกบเรียวปากลงไปที่อวัยวะเดียวกันของอีกฝ่าย ลากเลียลิ้นร้อนไปตามริมฝีปากนุ่มทั้งบนล่าง ลิ้นร้อนดุนดันตามรอยแยกเบาๆ ไม่ได้ลุกล้ำ เหมือนรอคอยคำอนุญาตจากอีกฝ่ายสำหรับการเริ่มต้นทำอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่านี้ ตั้งต้นที่ตอนแรกนั่งนิิ่งเมื่อโดนกระตุ้นมากขึ้นเจ้าตัวที่แทบจะไม่มีสติอยู่แล้วก็เหมือนจะยอมปล่อยตัวไปตามอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า เพราะสมองที่หนักอึ้งทำให้เขาไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว ความว้าวุ่น ความร้อนกรุ่นในอกถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นจูบที่ดึงดัน ชายหนุ่มโอบรัดตัวคนบนตักแน่นแนบชิด จากที่เป็นฝ่ายถูกปลุกเร้า เขากลับเป็นฝ่ายจู่โจม ร่างสูงถาโถมเข้าไปหาอีกฝ่าย ดูดเม้มริมฝีปากบางจนบวมเจ่อ เลื่อนไหลจมูกโด่งได้รูปไปตามซอกคอ ฟันคมกัดกินอีกฝ่ายจนขึ้นรอยแดงเพื่อหวังจะลืมความเว้าแหว่งภายในใจ
RRrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
ตั้งต้นชะงัก เสียงจูบดูดดื่มที่ดังก้องทั่วห้องโดนกลบด้วยเสียงเรียกเข้า เมื่อเขานิ่งคนตัวเล็กจึงไม่รอช้าเปลี่ยนเป็นฝ่ายเล้าโลมแทน ชายหนุ่มตัดสินใจเพิกเฉยสายเสียงโทรศัพท์จนในที่สุดมันก็หยุดไปเอง ร่างสูงเอื้อมมือไปดึงบอคเซอร์สีแดงของคนตัวเล็กบนตักให้ร่วงหลุดไปที่ขาขวา แต่ก่อนที่จะได้ถอดกางเกงวอร์มของตัวเองออกเสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“โธ่เว้ย..” ชายหนุ่มสบถอย่างสุดทน ก่อนจะยกคนบนตักวางลงบนโซฟา คนตัวเล็กหน้ามุ่ย รู้สึกรำคาญเหลือเกินที่วันนี้ถูกขัดจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งต้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างโทรทัศน์จอใหญ่ พอเห็นว่าใครโทรมาก็กดรับอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เหี้ยดิน ถ้าธุระมึงไม่สำคัญมึงโดนแน่” ปลายสายหัวเราะร่า มันโมโหขนาดนี้รู้เลยว่าเขาต้องโทรมาขัดจังหวะเวลาความสุขของมันแน่นอน
[โทษทีว่ะ มึงอยู่กับกีหรอ] บดินทร์เอ่ยแซวเพื่อนตามประสา แต่สิ่งที่เอ่ยมาทำให้อีกฝ่ายชะงัก ความโมโหที่โดนเพื่อนขัดจังหวะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกละอายในจิตใจกับการกระทำของตน
“ปะ..เปล่า มึงมีอะไรก็ว่ามา”
[ก็เรื่องคอนโดมึง สรุปอินจะย้ายเข้ามาอยู่กับกู กูแค่จะโทรมาถามว่ามึงจะเอายังไง เอาห้องเดิมไว้หรือจะหาที่ใหม่] บดินทร์เข้าเรื่อง เขาสองคนเคยเป็นรูมเมทกันมาก่อน ด้วยความที่บดินทร์อยากมีห้องของตัวเองมาตลอด เขาถึงพยายามสะสมเงินทั้งหมดที่ได้จากการร้องเพลงมาหลายปีเพื่อซื้อมัน เมื่อก่อนก็เคยสัญญากับมันว่าถ้าซื้อคอนโดแล้วจะให้มันย้ายมาอยู่ด้วย แต่พอตอนนี้บดินทร์มีแฟน ตั้งต้นมันก็เลยเสนอมาว่าถ้าเขาอยากอยู่กับแฟนมันแยกไปอยู่คนเดียวก็ได้ เมื่อเป็นแบบนั้นเขาก็เลยตัดสินใจชวนอินมาอยู่ด้วยกัน
“กูอยู่ห้องเดิมก็ได้ ไม่มีปัญหา” ตั้งต้นตอบ เขาไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ค่าเช่าห้องแค่ไม่กี่บาทไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจอะไร ทั้งคู่คุยกันเกี่ยวกับรายละเอียดหอพักอีกเล็กน้อย นัดแนะกันเกี่ยวกับวันย้ายของออกจากห้อง รวินทร์มองคนที่ไม่ยอมวางโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย วันนี้คงไม่ใช่วันของเขาจริงๆ พอท้องเริ่มร้องคนตัวเล็กก็เลยเดินไปทางตู้เย็นเพื่อเปิดหาของกินเล่น ขณะที่เดินผ่านโต๊ะอาหารสายตาก็ไปสะดุดกับถุงกระดาษใบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ พอก้มลงดูก็ยกยิ้มอย่างดีใจที่เห็นเค้กชอคโกแลตก้อนโตอยู่ข้างใน รวินทร์มองไปทางคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“ต้น ริวขอกินนะ” เสียงตะโกนทำให้ร่างสูงหันไปมองคนที่ชี้ถุงกระดาษ พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจเป็นการอนุญาตก่อนที่จะกลับไปโฟกัสกับบทสนทนา เมื่อได้รับอนุญาตร่างเล็กก็ปรบมือดีใจ รีบยกเค้กก้อนโตออกมาบนโต๊ะแกะสก๊อตเทปใสที่ยึดฝากล่องแล้วเดินไปในครัวเพื่อหามีดและส้อมมาตัดเค้กกิน
[เออ ว่าแต่มึงยังมีชีวิตดีอยู่นะ] ปลายสายว่ากลั้วหัวเราะ
“หมายความว่าไงว่ะ”
[เอ้า ก็เนี่ย อินพึ่งบอกกูว่ากีทำเค้กให้มึง] อินแฟนของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับกีแฟนมัน วันนี้ตอนที่เขาไปรับอีกฝ่ายมาดูห้อง เจ้าตัวเพิ่งบอกว่ากีไปให้สอนทำขนม เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะกีเป็นพวกคุณหนูที่โดนตามใจของแท้ อย่าว่าแต่เข้าครัว งานบ้านสักอย่างก็ทำไม่เป็น
[กูนึกว่ามึงจะท้องเสียน้ำหมดตัวไปแล้วซะอีก] ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อฟังเสียงหัวเราะร่าของเพื่อนสนิท สองตาเหลือบมองคนตัวเล็กในครัวที่หาอุปกรณ์เจอแล้วมุ่งหน้าเดินกลับไปที่โต๊ะ
“แค่นี้นะ” ตั้งต้นตัดสายเพื่อนโดยไม่รอฟัง เดินเข้าไปหาร่างบาง
“ริว” คนที่ตั้งอกตั้งใจตัดเค้กเงยหน้าขึ้นมาเมื่อโดนเรียก ยิ้มหวานสบตาคนที่มายืนเคียงข้าง
“วันนี้กลับไปก่อนได้ไหม” รวินทร์คิ้วขมวดชนกัน หรี่ตามองอย่างไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า” ร่างบางถาม
“เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย” ชายหนุ่มว่าต่อ พยายามหาเหตุผลที่จะไม่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายเกินไป คนตัวเล็กรุดเข้ามาหาแต่พอเขาปฎิเสธจริงจังอีกฝ่ายก็ยอมละถอยกลับไป ไม่อยากทู่ซี้ให้อีกคนนึกรำคาญใจไปมากกว่านี้
เมื่อได้อยู่คนเดียวแล้วจริงๆ ร่างสูงก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ตาเรียวเพ่งลงตรงวัตถุตรงหน้า
“ใจเย็นไอ้ต้น มันก็แค่เค้ก...” ตั้งต้นจ้องมองเค้กที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว ชอคโกแลตครีมที่โดนปาดไปมามากบ้างน้อยบ้างไม่เรียบเนียนอย่างที่ควรจะเป็น ด้านบนมีตัวหนังสือเอียงๆ เขียนว่า หนึ่งเดือน ลายมือขยุกขยิกจนแทบจะอ่านไม่ออกอยู่แล้ว ต้นยกมือกุมหน้าอกซ้ายแน่นอีกครั้ง
“แค่เค้กก้อนเดียว ทำไมมึงต้องเต้นแรงขนาดนี้ว่ะ” เขาพูดกับใจตัวเอง
เอื้อมมือหยิบส้อมไปตักเค้กเข้าปากหนึ่งคำ ความหวานจัดที่แตะลิ้นผ่านตรงไปที่กระบอกตาร้อนก่อเกิดเป็นของเหลวชื้นเอ่อล้นตาคม ชายหนุ่มหลับตา ประสาทสัมผัสทั้งหมดมารวมอยู่กับเค้กเพียงหนึ่งคำที่ทำให้ร่างกายสั่นไหว ความหวานอบอุ่นที่ได้รับมันสร้างฮอร์โมนความสุขไปทั่วร่างกาย
มันจริงเกินไป...
ทั้งที่พยายามบอกว่าสิ่งที่อีกคนทำให้ตลอดมามันเป็นการเสแสร้ง แต่ความหวานละมุนจนอกที่วูบโหว่งอุ่นซ่านมันจริงเกินไป ตั้งต้นลืมตามองเค้กตรงหน้า จินตนาการถึงภาพขะมักเขม้นของคนทำได้เป็นตุเป็นตะ ความสุขที่ได้รับทิ่มแทงหัวใจจนต้องยกมือกุมอกซ้ายอีกครั้ง พึมพำบางอย่างเหมือนอยากให้คนบางคนที่ไม่สามารถสลัดออกจากใจได้ยิน
“รสชาติแย่กว่าที่คิดนะ”
เขายกยิ้ม เจ้าตัวจะโวยวายแค่ไหนกันนะถ้าได้ยินแบบนี้..
.
.
.
.
.
ชายหนุ่มจอดรถคันหรูที่ลานจอดรถ VIP ของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ เดินตรงไปที่ห้องบอลลูนห้องแรกที่อยู่ชั้นหนึ่งของโรงแรม วันนี้เขาต้องเป็นตัวแทนมางานแสดงเครื่องเพชรของคุณนิภารุ่นน้องคนสนิทของแม่ ตั้งต้นอยู่ในชุดสูทเรียบหรูพอดีตัวสีเทา ผมที่เคยละประบ่าโดยรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบร้อย เมื่อถึงบริเวณงานชายหนุ่มเดินตรงไปที่เจ้าของงาน ยกยิ้มการค้าที่ฝึกจนเคยชินให้อีกฝ่ายเป็นการทักทาย
“คุณน้านิสวัสดีครับ ยินดีด้วยนะครับ” เจ้าตัวว่ายื่นช่อดอกไม้ที่เตรียมไว้ส่งให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ
“แหม๋ ไม่น่าลำบากเลยนะตาต้น เป็นอย่างไรบ้างลูก คุณพ่อคุณแม่สบายดีนะ” คนเป็นผู้ใหญ่พูดทักทายกลับอย่างเป็นกันเอง
“สบายครับ ท่านทั้งสองฝากความคิดถึงมาให้คุณน้าด้วยครับ โดยเฉพาะคุณแม่บอกให้คุณน้าหาเวลาว่างไปเที่ยวที่บ้านที่หัวหินให้ได้ ไม่งั้นท่านจะงอนจริงๆ แล้วนะครับ” หญิงรุ่นใหญ่หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะฝากบอกแม่ของเขาว่าหลังจากงานนี้จะหาโอกาสไปให้ได้ แถมบอกให้เจ้าตัวเตรียมอาหารทะเลสดรอไว้ได้เลย
“แล้วเราล่ะ ได้ข่าวว่าเข้าไปช่วยงานที่บริษัทคุณพ่อหรอช่วงนี้ งานหนักไหมลูก”
“ครับช่วงปิดเทอมคุณพ่ออยากให้ผมเริ่มเรียนรู้งานที่บริษัท ช่วงนี้เลยต้องเข้าไปทุกวันแต่สนุกดีครับไม่เหนื่อยเท่าไหร่” นิภาพยักหน้ารับรู้ จ้องมองชายหนุ่มอย่างชื่นชม เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ตั้งต้นเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอมา รูปร่างหน้าตาก็หล่อเลิศได้ข่าวว่าเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ไม่ต้องพูดถึงฐานะการเงินและหน้าตาในสังคมที่เพรียบพร้อม และแม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกชายคนเดียวของคุณวุฒิและคุณแก้วตาแห่งภาคภูมิไพศาล แต่เจ้าตัวก็ยังขยันขันแข็งไปทำงานทุกวันแบบไม่มีบ่น คุณสมบัติขนาดนี้ถ้าได้มาเป็นลูกเขยคงจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวเขาไม่น้อย
“ถ้าว่างๆ ก็มาพายัยชาไปกินข้าวบ้าง รายนั้นบ่นถึงพี่ต้นตลอดเลย” ชายหนุ่มยิ้มรับ ในหัวพาลนึกถึงน้องนิชาจอมแก่นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่เด็ก เขารู้ว่าผู้ใหญ่พยายามจับคู่ให้พวกเขามาตลอด แต่เขาไม่ได้คิดอะไรกับน้อง น้องเองก็เหมือนกัน สำหรับน้องแล้วเขาเป็นแค่เพียงข้ออ้างเวลาที่จะขอคุณนิภาไปเที่ยวกับแฟนเท่านั้น
“ได้ครับ แล้วผมจะหาเวลาไปหาน้องนะครับ” ตั้งต้นตอบกลับอย่างสุภาพ คุยกับเจ้าภาพอีกนิดหน่อยจึงขอตัวเข้าไปด้านใน ภายในงานมีโต๊ะกลมสีขาวขาตั้งสูงถูกจัดไว้เรียงราย งานนี้เป็นงานแบบคอกเทล ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งเป็นหลักแหล่ง บรรยากาศสบายๆ ที่ทำให้แขกเรื่อเดินคุยกันได้อย่างสะดวกสบาย มีเพียงตรงกลางห้องที่กั้นดอกไม้สีขาวสลับฟ้าซ้ายขวาสำหรับใช้เป็นแนวแคทวอร์คให้กับเหล่านางแบบนายแบบที่จะโชว์เครื่องเพชรคืนนี้ ตั้งต้นมาแต่หัววันตามมารยาท เขาต้องรออีกนานกว่างานจะเริ่ม เจ้าตัวเอ่ยปากทักทายคนที่พอจะเคยเห็นหน้าคร่าตากันในงานสังคมตลอดทางเดิน ตลอดระยะทางเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองเขาด้วยแววตาที่สื่อความใน ถ้าเป็นปกติเขาคงกวาดยิ้มเรียกคะแนน ตัดสินใจเลือกใครสักคนจากหนึ่งในนั้น และหาโอกาสที่จะทำให้งานสังคมที่น่าเบื่อแบบนี้เร้าร้อนขึ้นมาบ้าง แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกอัดแน่นในอกที่ยังชัดเจนมันทำให้เขาไม่อยากเริ่มต้นคุยกับใคร
ทั้งๆ ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ
เค้กที่ละเลียดกินก็หมดไปหลายวันแล้ว
แต่ภาพของจอมโวยวายที่น้ำตาท่วมหน้าก็ยังผ่านเข้ามาทุกครั้งที่เผลอตัว
เมื่อเจอโต๊ะว่างก็เดินเข้าไปแสดงความเป็นเจ้าของ หยิบแก้วคอลเทลจากในถาดที่ยริกรยื่นให้ จิบน้ำสีฟ้าขมปะแหล่มไปนิด ก่อนจะลอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเกลียดงานแบบนี้ ที่สุด ที่ที่มีแต่คนยิ้มแย้ม พูดคุยทักทายกันอย่างเป็นมิตร แต่หาความจริงใจจากใครไม่ได้เลย แม้แต่เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมา เขายังสัมผัสได้ถึงความเสแสร้งในนั้น เหม่อลอยมองคนรอบตัวอยู่นาน ใจก็เผลอคิดถึงคนที่พูดจาโผลงผาง เก็บความรู้สึกไม่เก่ง คิดอะไรก็พูดออกมาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายเอาแต่ใจ แต่พอเขาตามใจก็อดห่วงความรู้สึกเขาจนเผลอตามใจกลับไม่ได้
คนที่จริงใจที่สุดที่ชีวิตนี้เคยเจอ
พอคิดได้ถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดที่หลบอยู่ในซอกหนึ่งของหัวใจก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบส่ายหัวเรียกสติ พยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำมันดีแล้ว สิ่งที่เห็นและรู้สึกมันก็เป็นแค่ภาพลวงตา เป็นแค่ละครบทหนึ่งที่สร้างมาให้เขาติดกับ ก็เห็นมากับตาตัวเองแล้วแท้ๆ เขายังจะหวังอะไรอีก แอบรู้สึกโกรธที่ส่วนหนึ่งของใจยังคงเถียงว่าเขาเข้าใจผิด ได้แต่ด่าตัวเอง ต้องโง่แค่ไหนถึงจะยังคิดว่าอีกฝ่ายรักแค่เขาคนเดียว
“ไงมึง” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับวงแขนที่วางพาดบนแผ่นหลัง หันไปก็เห็นว่าเป็นภูผาเพื่อนสนิทตน ตบไหล่ทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย แอบอดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่อย่างน้อยคืนนี้จะมีมันมาอยู่เป็นเพื่อน
“หนีไม่รอดหรอมึง” ต้นเอ่ยหยอกล้อคนที่เกลียดงานสังคมแบบนี้ที่สุดแต่ก็โดนบังคับให้มาทุกครั้ง ภูผาเป็นเพื่อนสนิทที่อายุห่างกันห้าปี ทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่เด็กเพราะได้มีโอกาสเจอกันตามงานสังคมที่ต้องไปบ่อยๆ ด้วยความที่นิสัยใจคอหลายๆ อย่างคล้ายกัน เขาทั้งสองจึงเริ่มสนิท และในที่สุดมันก็กลายเป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง ยิ่งในช่วงตอนอายุสิบสี่ที่เขารับรู้เรื่องแม่ นอกจากบดินทร์เพื่อนตายแล้วก็มีมันนี่แหละที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา
“เออ กูตรงมาจากพัทยาเลยนะ ย่ากูสนิทกับคุณนิ” ภูผาตอบเพื่อน ยกคอกเทลในมือขึ้นจิบก่อนจะทำหน้าหยี รสชาติห่วยแตกที่สุด
“แล้วเป็นไงมึง ร้านอยู่ตัวหรือยัง” เขาเอ่ยถามถึงผับสาขาที่ 5 ของเพื่อนที่พัทยา เขาเคยไปแค่ครั้งเดียวเมื่อเดือนก่อนตอนงานฉลองวันเปิดร้าน พอนึกย้อนไปถึงวันนั้นภาพของคนบางคนก็ย้อนกลับมาอีกครั้งจนได้
ปกติเขาจะไม่พาคนที่เขาคบอยู่ไปหากลุ่มเพื่อนสนิทเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะแนะนำคนที่เดี๋ยวก็เลิกกันให้รู้จัก แต่สำหรับคนคนนี้ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรถึงเอ่ยชวน พอนึกขึ้นได้ว่าวันที่ไปที่ร้าน คนของเขามองเพื่อนสนิทด้วยสายตาแบบไหนก็นึกโมโห ทั้งๆ ที่มีเขายืนหัวโด่อยู่ข้างๆ ยังมีหน้าชายตามองคนอื่นด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม ความรู้สึกผิดที่ครอบคลุมใจก่อนหน้าฟืบลงกลับไปที่ซอกลืบเดิม มีความครุกรุ่นร้อนรนเข้ามาแทนที่ เป็นอีกครั้งที่บอกตัวเองว่าเขาคิดถูกแล้วที่ตัดอีกฝ่ายไปแบบนั้น เพราะถ้าขืนปล่อยตัวเองให้ก้าวเข้าไปมากกว่านี้ คนที่เจ็บก็คงมีแค่เขา
“ก็คนเยอะดี นักท่องเที่ยวก็เยอะ ปัญหาก็ไม่เยอะอย่างที่กูคาดไว้” ตั้งต้นพยักหน้ารับรู้ แต่สมองยังจดจ่อถึงเรื่องบางคนในหัว
“ว่าแต่กับน้องกีเป็นไงบ้าง” ภูผากระแทกศอกเบาๆ กระเซ้าถามถึงแฟนอีกฝ่าย คนที่ทำให้เพื่อนเขาหึงจนออกหน้าออกตา วันที่เจอกันที่ร้านตอนแรกมันบอกว่าเป็นแค่เพื่อน เห็นว่าน่ารักดีก็เลยลองจีบดู แต่ไปไงมาไงไม่รู้กลับโดนหึงจนมันตะโกนใส่หน้าว่าคนนี่เป็นแฟนมัน เขาถึงกับอึ้ง จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง คบกันมากี่ปีต่อกี่ปี มันเคยมีแฟนซะที่ไหน
“เลิกคุยกันแล้ว” ชายที่เด็กกว่าตอบสั้นๆ
“เห้ย ทำไมว่ะ”
“ก็เหมือนทุกที ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ”
คำพูดเรียบเฉยไม่ได้ทำให้ภูผาสนใจเท่ากับท่าทางผิดปกติของมัน เขารู้จักมันมาตั้งแต่เด็กๆ จะไม่รู้ได้ไงว่ามันพยายามปิดบัง จริงๆ แล้วใจไม่ได้เฉยอย่างที่เห็นเลยสักนิด
“มึงก็รู้ว่ากูดูออกเวลาที่มึงโกหก” ภูผาหัวเราะ ตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ
“ชอบเขาแล้วหรอ”
“เปล่า...”
“ถ้าไม่อยากเล่าก็บอก กูจะไม่รบเร้า แต่อย่าโกหกกู”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ..” ชายหนุ่มยังยืนยัน
“โอเค งั้นกูขอได้ไหม” ตอนแรกภูผาตั้งใจจะแหย่มันเล่น แต่จริงๆ แล้วเขาก็เห็นว่าอีกคนน่ารักดีจริงๆ ถ้าได้จริงก็ไม่เกี่ยงเหมือนกัน
“...” ชายหนุ่มหันมามองหน้าเขา ท่าทางพะอืดพะอมไม่รู้จะตอบยังไงของมันทำให้เขานึกขำ ทั้งมันและเขาต่างก็ไม่มีพี่น้อง บางครั้งเขาก็แอบรู้สึกเอ็นดูมันเหมือนน้องชายเขาคนนึง
“ก็แล้วแต่มึง...” นั่น...มันยังจะปากแข็ง ภูผาหัวเราะดังลั่นจนคนโต๊ะอื่นหันมามอง
“มึงชอบเขาแล้วไอ้ต้น..อย่าเถียงกู” ตั้งต้นไม่ทันได้เอ่ยปฎิเสธก็โดนดักคอไว้ก่อน
“เป็นแบบนี้แล้วจะเลิกกันทำไมว่ะ” เขายังลังเลใจอยู่นิดเมื่อโดนจี้ต่อ แต่รู้ดีว่าไอ้ภูผาไม่เลิกแน่ถ้าไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจเปิดปากเล่าทุกเหตุการณ์ที่อยู่ในหัว ไม่ว่าจะเรื่องที่เจอกีกับนทพรอดรักกันหน้าร้าน หรือเรื่องที่กีไปเจอเขากับริวที่ห้อง ที่จริงเขาก็อยากระบายให้ใครสักคนฟัง แต่เขายังไม่อยากเล่าให้ไอ้ดินได้รู้ มันเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทกี ไม่อยากให้มันต้องลำบากใจที่จู่ๆ ต้องกลายมาเป็นคนกลาง
“สรุปว่ามึงคิดไปเองว่าเขานอกใจแล้วมึงก็เหี้ยใส่เขา?” ภูผาสรุปกลั้วหัวเราะ
“กูไม่ได้คิดไปเอง กูเห็นกับตา มึงไม่เห็นหรอ ขนาดวันที่ไปร้านมึง ไปกับกูแต่เขายังมองมึงตาเป็นมัน มึงจะให้กูไว้ใจหรอ” ตัั้งต้นยังพยายามอธิบาย แอบฉุนเพื่อนที่หาว่าเขาคิดไปเอง ไม่ได้มาเห็นกับตาแบบเขาก็พูดได้สิ คนแก่กว่ายังหัวเราะร่วน เข้าใจว่ามันอยากบอกอะไร วันนั้นเขาก็เห็นที่อีกฝ่ายมองมา แต่มันก็แค่ครั้งแรกที่เจอกัน หลังจากนั้นพอเขาเข้าไปจีบทางนั้นก็ตั้งกำแพงป้องกันอย่างชัดเจนจนทำอะไรไม่ได้
“มึงเห็นเขามองกูยังไง กูก็เห็นเหมือนกันว่าเขามองมึงด้วยสายตาแบบไหน แล้วกูจะบอกมึงให้เลยว่า มันไม่ใครมองมึงได้ลึกซึ้งกว่านั้นแล้ว”
“...”
“ถ้าชอบเขา มึงก็ไปคุยกันให้รู้เรื่อง ให้โอกาสตัวมึงเองกับตัวเขาด้วย”
“...”
“ถ้าเขาจะยังยอมคุยกับคนเหี้ยอย่างมึงน่ะนะ” ว่าจบเขาก็หัวเราะ ยกมือขอค็อกเทลแก้วใหม่จากบริกร จิบน้ำสีฟ้ารสชาติห่วยพร้อมเหลือบมองเพื่อนรักที่คิ้วขมวดครุ่นคิดอย่างหนัก ภูผาอมยิ้ม เขาเข้าใจดีเหลือเกินว่ามันไม่ง่ายสำหรับมัน ไอ้ต้นมันเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน มันกลัวจะโดนทำให้เจ็บ กลัวโดนหลอกให้รัก มันถึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวลอยไปลอยมาไม่รักใครแบบนี้ จะโทษมันว่าคิดมากเกินเหตุก็ไม่ได้ เพราะสำหรับสิ่งที่มันเจอมาก่อน ใครไม่ใช่มันก็คงไม่เข้าใจเหมือนกัน
“คนอยากกู ไม่มีทางเจอคนจริงใจหรอก” ชายหนุ่มพึมพำเหมือนบอกตัวเองมากกว่าคุยกับเขา คนที่แก่กว่าอดเอื้อมมือไปผลักหัวอีกคนเบาๆ ไม่ได้ เก่งทุกเรื่องดันมาตกม้าตายเพราะความรัก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“กูกํไม่ใช่คนที่จะมาสอนมึงหรอกนะ” เขาว่า
“แต่มึงลองคิดง่ายๆ ถ้ามึงอยากเจอคนที่จริงใจ มึงก็ต้องลองแสดงความจริงใจกับเขาก่อนไม่ใช่หรอว่ะ”
“...”
“แล้วการที่คนอย่างเขา มาตกลงลองคบกับคนอย่างมึงที่ได้ชื่อว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ ได้หมดถ้าสดชื่น คืนเดียวจบไม่คบต่อแบบมึง มึงว่าคนที่กลัวโดนนอกใจควรจะเป็นเขาไม่ใช่หรอ”
ตั้งต้นหน้าชานิ่งฟังคำเพื่อน คำพูดที่ได้ยินอีกฝ่ายกระซิบบอกตอนใกล้จะหลับแว่บเข้ามาในหัว
‘แม้เรื่องของเราอาจจะต้องจบลงที่แค่หนึ่งเดือนก็ตาม แต่เราก็ดีใจที่เรื่องทััั้งหมดมันเกิดขึ้น และดีใจยิ่งกว่าที่มันเกิดขึ้นกับนาย’
ชายหนุ่มหลับตาแน่น รู้ตัวว่าทำผิดพลาดไปแล้ว เผลอตัวไปตามอารมณ์ร้อนจนทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่คิดถามให้ดี ภาพในอดีตหลั่งไหลกลับมา วันที่มีคนน่ารักเคียงข้าง วันที่ได้ยิ้มและหัวเราะโดยไม่ต้องเสแสร้ง ความรู้สึกผิดครอบคลุมในจิตใจ แต่ที่มากกว่าคือความโหยหา แม้จะไม่แน่ใจแต่เขาอยากกลับไปอีกครั้ง กลับไปในวันที่ใจที่ปล่าวเปลี่ยวดวงนี้อุ่นแน่นด้วยมวลความสุข
ตั้งต้นกังวล..
ถึงจะยังเคลือบแคลงและยังไม่มั่นใจในความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายมีให้
แต่ถ้ามันจริง..
ถ้าสิ่งที่อีกคนเคยให้มาคือรักที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอจริงๆ
เขายังจะรักษามันไว้ได้หรือเปล่า...
คนเลวๆ แบบเขา จะยังมีโอกาสได้รับมันอีกหรือเปล่า..
****************
อ้าววววว ด่ามา 5555 เกลียดพระเอกได้แต่ห้ามหยุดอ่านนะ! ต้นมันสับสนซะจนคนเขียนสับสนตามไปด้วย คือความรู้สึกมันจะยังสลับไปสลับมาว่าควรจะกลับไปหาน้องดีหรือเปล่า อารมณ์ประมาณว่า อยากกลับไปแต่ก็ยังกลัวเจ็บ ไม่รู้คนอ่านงงจะงงกับมันกันไหมเนี้ย แต่คนมันสับสนเนาะ ฮืออ
ตอนนี้ยาวหน่อยนะคะ อยากเล่าให้ละเอียดเผื่อบางคนไม่ได้อ่านรักมือสอง (แต่ไปอ่านเถอะ ขอร้องละจ้า อิ่มแน่นกว่าแน่นอน) ใครที่คิดถึง น้องกีมาแน่นอนตอนหน้านะคะ คือเขียนโครงเรื่องจบแล้วแต่ว่าไม่มีเวลาได้นั่งเขียนเนื้อเรื่องเลย ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่จะรีบมาต่อเร็วๆ นะคะ แล้วตอนนึงเราพยายามจะให้มันแน่นๆ หน่อย ก็เลยออกช้านิดนึง ถ้ามันเอื่อยไปก็แนะนำมาได้นะคะ
สำหรับ #รักมือสองอินดิน มีตอนพิเศษเร็วๆ นี้แน่นอนจ้า สลับกันไปนะคะ ถ้าอ่านควบคู่กันไปจะยิ่งอินมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกแน่นอน
ชอบไม่ชอบยังไง ฝากเม้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไปคุยกันในทวิตเตอร์ได้น้า @maywrite1
#ต้นคนรักไม่เป็น
เจอกันค่า!