จะเป็นนายได้ไหม...Please // ตอนที่ 10 เรื่องของเขาและความเศร้าของผม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จะเป็นนายได้ไหม...Please // ตอนที่ 10 เรื่องของเขาและความเศร้าของผม  (อ่าน 3017 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

เป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่ง  ฝากเนื้อฝากตัว และฝากแนะนำ/ติชมด้วยนะคะ ^^
....
ตอนที่ 1  รู้จักกันหน่อย

“ขอพวกพี่นั่งด้วยได้ไหมครับ” มุกเดิมๆ  ผมเจอแบบนี้ทุกวันจนชินละ  ทุกครั้งที่พวกเรามานั่งกินข้าวที่โรงอาหารคณะ  มักจะได้เจอเหตุการณ์นี้ประจำ  ผมยังคงนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปโดยไม่ยอมเงยหน้ามองผู้พูด ก็มันหิวแล้วรีบด้วย  ผมไม่มีเวลาให้เรื่องไร้สาระพวกนี้มากเท่าไหร่  ทั้งโต๊ะยังคงเงียบ รอดูว่าผู้ชายคนนี้จะขุดมุกไหนมาเล่น  คงหนีไม่พ้น คนเยอะ โต๊ะไม่ว่างอะไรเทือกๆนี้
“ คนเยอะมากเลยเนอะ  ไม่มีที่ว่างแล้วด้วย  นะ นะครับ ขอพวกพี่นั่งด้วยนะครับ” 
“หึ” หลังจากได้ยินประโยคนี้ทำให้ผมหลุดขำออกมา พร้อมกับเงยหน้าข้นมองคนพูด  และถึงกับต้องอึ้ง  อึ้งครับ เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเราคือแก็งสามทหารเสือแห่งสถาปัตย์ฯ  พี่ปอนด์  พี่โทน และพี่ต้น  ผู้ชายครบเครื่องตามฉบับนิยาย  หล่อ  รวย  (....)ใหญ่ อย่างหลังผมไม่รู้นะครับ บังเอิญได้ยินใครๆเค้าพูดกันมาอีกที  ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงกลายเป็นที่ต้องการของเหล่าสาวแท้สาวเทียมของมหา’ลัยผม  รวมถึง ‘ ฟ้า’  เพื่อนรักของผม  ฟ้าแอบปลื้มพี่ปอนด์ ผู้ชายมีเสนียด เอ้ย  มีเสน่ห์ หน้าเกาหลี ขี้เล่น ... มิน่าหละถึงได้เงียบกัน คงอึ้งอยู่หละสิ  ผมหันไปมองหน้าฟ้า  เธอยิ้มน้อยๆ  แล้วพยักหน้าน้อยๆให้พี่ปอนด์ พร้อมน่าขึ้นสีชมพู  ดูแล้วหน้าหยิก
“ขอบคุณครับ”  พร้อมนั่งลงตรงข้ามฟ้า
ครับ  พี่ปอนด์เข้ามาจีบฟ้าโดยไม่ต้องสงสัย  ทำไมจะไม่ใช่หละครับ  ก็ฟ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักน่าทะนุถนอมดั่งกระต่ายน้อยขนปุกปุย  ด้วยความน่ารักสดใสของฟ้าทำให้ตำแหน่งดาวบริหารธุรกิจของปีนี้ตกมาเป็นของฟ้าอย่างไม่ยากเย็นนัก  และผลของมันก็ทำให้มีชายหนุ่มทั้งหลายทยอยมาขายขนมจีบอยู่ทุกวัน
“สวัสดีครับน้องๆ” แต่สายตายังคงมองแต่ฟ้า  “พี่ชื่อปอนด์นะครับ  ส่วนนี่ไอ้โทน  กับไอ้ต้นครับ  สถาปัตย์ฯปีสามครับ”
“อะแฮ่มๆ”  เสียงของ ‘หนึ่ง’ ผู้ชายตัวเล็กๆ  หน้าตาน่ารัก  แต่ออกหยิ่งๆหน่อยๆ  อาจจะเป็นดวงตาเฉี่ยวๆ ดวงนั้น  หรือนิสัยดื้อรั้น ไม่เกรงกลัวใคร คิดอะไรพูดแบบนั้น  ไม่แคร์ ไม่ง้อใคร (ยกเว้นคนที่สนิทมากๆอย่างครอบครัว และผมกับฟ้านะครับ)  ทำให้หนึ่งได้ฉายาว่าแมวน้อย  (ที่คิดว่าตัวเองเป็นเสือ....ขู่คนอื่นแง่วๆแต่ไม่มีใครกลัวเลย 555)
“ผมหนึ่ง นี่ฟ้า  และนี่เต้ยครับ”  อ่า...เต้ย  คุณได้ยินหนึ่งพูดถึงใช่ไหมครับ  นั่นหละชื่อผมหละครับ
“พวกเราเรียนบริหารฯปีหนึ่งครับ  ซึ่งพวกพี่น่าจะรู้ข้อมูลพวกนี้อยู่แล้ว”  พร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย
หนึ่งเป็นคนที่คอยคัดกรองคนที่เข้ามาจีบฟ้า  ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ที่หนึ่งตั้งไว้หนึ่งก็จะทำการกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว (ซึ่งเกณฑ์ที่ว่านี้น่าจะมีซักร้อยข้อเป็นอย่างต่ำ 555) จนป่านนี้พวกเราขึ้นปีหนึ่งเทอมสองมาได้เดือนกว่าๆ ละ ฟ้าก็ยังโสดอยู่เลย 
“555 เป็นไงหละไอ้ปอนด์  เจอไปหนึ่งดอก  สมฉายาแมวน้อยจริงๆ “ เสียงพี่โทนพูดขึ้นมาด้วยความขบขันปนเอ็นดู พร้อมยักคิ้วให้พี่ปอนด์ไปหนึ่งจึก  ส่วนพี่ปอนด์ยิ้มให้เพื่อนพร้อมยักไหล่ แสดงให้เพื่อนเห็นว่าแค่นี้ชิวๆ 
“พี่เพิ่งเคยมาทานที่นี่เป็นครั้งแรก ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป น้องฟ้าช่วยแนะพี่หน่อยได้ไหมค่ะว่าพวกควรทานร้านไหนดี”
“เอ่อ...ร้านป้าพร้อมดีไหมค่ะ  กับข้าวป้าพร้อมหลากหลาย รสชาติไม่เผ็ด  วันนี้มีไก่ผัดเม็ดมะม่วงที่พี่ปอนด์ชอบด้วยค่ะ”
“น้องฟ้ารู้ด้วยหรอค่ะว่าพี่ชอบทานอะไร” พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมา
“เอ่อ.....”  ไม่ทันแล้วฟ้าเอ้ย...หลุดออกไปจนได้
“ว่าแต่ร้านป้าพร้อมอยู่ตรงไหนค่ะ”
“ร้านริมสุดทางซ้ายค่ะ  ที่คนเยอะๆค่ะ”  ตอบพี่ปอนด์แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผู้ฟังเลยสักนิด
“555 แล้วพวกมึงหละกินไร”  หันไปถามเพื่อนทั้งสอง
“อืม กินร้านเดียวกันกับมึงแหละ  เดี๋ยวไปซื้อพร้อมกัน”
“น้องๆเอาอะไรเพิ่มไหม  เดี๋ยวพี่ซื้อมาให้”  พวกเราส่ายหัวกันทุกคน
“ถ้างั้น  น้องฟ้าพี่ฝากกระเป๋าหนังสือด้วยนะครับ อย่าเพิ่งหนีพี่นะคะ”
หงึกๆ  ฟ้าพยักหน้ารับ  เพราะยังไม่เลิกเขิน
แก็งสามทหารเสือลุกไปแล้ว

“ฮืออออ   หนึ่ง ต้น   ฟ้าจะทำยังไงดี  นั่นพี่ปอนด์นะ  พี่ปอนด์เลยนะ  ฟ้าหลุดอะไรออกไปเยอะไหมอะ   น่าขายหน้าชะมัดเลย”  พร้อมทำหน้ามุ่ย  แต่ดวงตายังคงยิ้มอยู่ไม่เลิก
“ไม่หรอก  ก็ฟ้าชอบพี่ปอนด์มาตั้งนานแล้วหนิ  หลุดแสดงออกไปบ้างก็ไม่แปลกหนิ” ผมพูดพร้อมยิ้มให้กำลังใจฟ้า
“แต่ฟ้าควรจะเก็บอาการให้ได้มากกว่านี้นะ  ผู้ชายนะยิ่งได้ยากยิ่งมีคุณค่า  โดยเฉพาะคนอย่างพี่ปอนด์  ข่าวเรื่องผู้หญิงน้อยซะที่ไหนหละ”  หนึ่งพูดบ้าง  พร้อมทำหน้าดุใส่ฟ้า   ฟ้าได้แต่ยิ้มแหยๆ  แล้วมองตาเต้ยเพื่อขอความช่วยเหลือ
“เราต้องไปห้องสมุดแล้วนะ  ได้เวลาแล้ว  เดี๋ยวสายอาจารย์นิตยาได้หักตังค์ไม่เหลือค่าข้าวให้ลูกๆกันพอดี”  ผมมองนาฬิกาข้อมือ
“ต้องไปทำงานอีกแล้วหรอ”   เสียงฟ้าหงอยๆ
“อืม   ส่วนเรื่องพี่ปอนด์ตอนเย็นไว้คุยกันอีกทีนะ  ตอนนี้เชื่อฟังพ่อหนึ่งไปก่อน  อย่าดื้อ อย่าซน  แล้วเจอกันคาบบ่าย  โอเค๊”
“เค / เค” 
“สงสารเต้ยจังเลยอะหนึ่ง  เมื่อไรจะรู้สึกผิดน้อยลงก็ไม่รู้เนอะ”
...................................
ต้น

“นะ นะ  พวกมึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อย  คนนี้กูจริงจังนะเว้ย  นะนะ”  ไอ้ปอนด์ครับมันเพ้อถึงน้องฟ้าให้ผมกับไอ้โทนมาสักพักละ  แถมยังเซ้าซี้ให้พวกผมช่วยมันจีบน้องฟ้าอีก  ทีน้องกิ๊บ เชอร์รี่ น้องไวน์  และอีกมากมายไม่เห็นจะถึงมือพวกผม  มันก็จีบของมันเอง  กินของมันเอง 5555  ท่าทางคนนี้จะรักจริงอย่างมันว่า “ นะ ไอ้โทน  มึงไม่สนใจน้องหนึ่งหรอวะ  น่ารัก แก่น เสี้ยว สเปกมึงเลยนะเว้ย  มึงไม่อยากลองปราบพยศแมวน้อยหน่อยหรอวะ”  ไอ้ปอนด์มันรู้ว่าได้โทนมันชอบอะไรท้าทายๆ
“เหี้ยละ  ไอ้ห่ากูไม่ได้ชอบผู้ชาย  ถึงจะสเปกกูก็เหอะ” แหนะมีน้ำเสียงเสียดายนิดๆ
"อีกอย่างนะ  เสี้ยวกูไม่สนใจหรอก  แต่ถ้าเสียวหละก็"  โป๊ก  ต้องตบหัวไปทีหนึ่งครับเพื่อระงับความกามในตัวมัน
"เจ็บนะโว๊ย"  พร้อมเอามือโลบหัวที่โดนเพื่อนประทุษร้าย
“นะนะ พวกมึง”  ไอ้นี่ก็ยังไม่เลิกงอแง  “เอ้า  เดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้าพวกมึกเลยทั้งอาทิตย์  ตกลงไหม”
“ตกลง พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว  เอ้า.. เร็ว  มึงจะไปไหม”  ไอ้โทนครับ  สาบานว่ามันไม่ได้เห็นแก่กิน
นี่เป็นสาเหตุให้พวกผมทั้งสามคนตกมาเป็นเป้าสายตาของเหล่าสาวแท้สาวเทียมแห่งคณะบริหารฯในขณะนี้
แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น  แม้พวกเราจะเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆได้มากแค่ไหน  แต่ก็ไม่เรียกร้องให้เค้าเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวได้เลย  (ไม่รู้จะรีบไปไหนจ้วงเอาจ้วงเอา)  จนไอ้ปอนด์มันยิ่งมุกจีบสาวห่วยๆของมันออกมานั่นแหละครับ  ผมถึงได้ยินเสียง “หึ” พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่ทำให้คนอย่างผม  ที่ผ่านอะไรมาไม่ใช่น้อย (แบบแอบๆนะครับ)  ถึงกับไปไม่เป็น ไม่อาจละสายตาจากใบหน้านี้ได้  หรือจะเป็นเพราะปากเล็กๆ น่าจูบอันนั้น  หรือจะเป็นเพราะจมูกเล็กๆปลายๆรั้นๆน่าขบกัดอันนั้น หรือจะเป็นเพราะแก้มยุ้ยๆ นิ่มๆน่าสูดดมสองข้างนั้น  หรือดวงตาคู่นั้น ที่มีทั้งความสดใสและหมองเศร้าในเวลาเดียวกันถึงแม้จะมีแว่นตาอันใหญ่บดบังไว้    ผมอยากรู้นักว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความเศร้าออกมาได้เช่นนี้.....  ชักน่าสนใจแล้วสิแล้ว หนูแฮมสเตอร์
ว่าแต่หนูแฮมสเตอร์จะชอบกินเมล็ดทานตะวันเหมือนในการ์ตูนหรือเปล่านะ...ต้องขอพิสูจน์ซะแล้ว...ฮึฮึ
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 17:28:18 โดย k2g »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #1 เมื่อ25-07-2019 16:51:08 »

+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #2 เมื่อ25-07-2019 21:17:08 »

เป็นการเขียน และงานเขียนเรื่องแรก
อ่านแล้วไม่งงใช่ไหมค่ะ :heaven

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #3 เมื่อ25-07-2019 23:40:11 »

น่าอ่านต่อครับผม,,,

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #4 เมื่อ25-07-2019 23:50:53 »

ไม่งงค่ะ รอลุ้นต่อๆ

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 2  น้องเต้ยคนดี

“ พี่ขอนั่งด้วยคนนะครับ”
เหตุการณ์ ณ โรงอาหารวันนั้นพี่ปอนด์ก็ได้ไอดีไลน์ ของฟ้าไปเรียบร้อย  (เรื่องนี้ทำให้ฟ้าต้องโดนหนึ่งงอนด้วยข้อหา ง่ายเกินไป  และฟ้าก็ง้อหนึ่งได้สำเร็จภายใน 10 นาที เพราะสัญญาว่าจะทำเค้กมะพร้าวของโปรดมาให้)  หลังจากวันนั้นผมก็ได้เห็นหน้าพี่ปอนด์  กับพี่โทนเกือบทุกวัน  (พี่ต้นไม่เห็นเลยครับ  พี่โทนบอกว่าติดทำโปรเจคกับอาจารย์อยู่  แต่ก็ไม่วายฝากเมล็ดทานตะวันมาฝากพวกเราทุกครั้ง..ไม่รู้พี่แกชอบกิน  หรือที่บ้านแกมีโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันกันแน่นะ) พี่ปอนด์คอยมารับมาส่งฟ้าเป็นบางวัน   บางครั้งก็แค่แวะเอาขนมมาให้  หรือทานข้าวเที่ยงด้วยกัน  (ได้ข่าวว่าปีสามก็เรียนหนักเหมือนกัน เพราะต้องเริ่มเขียนแบบกันแล้ว  ไหนจะต้องช่วยรุ่นพี่ รุ่นลุงทำโปรเจคอีก) เป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักดีครับ  ผมเห็นเพื่อนมีความสุขก็พลอยสุขไปด้วย  หวังว่าพี่ปอนด์จะจริงใจกับเพื่อนผมนะครับ  ผมไม่อยากเห็นใครต้องเสียใจกับความรักเหมือนอย่างผมอีก

“พี่ปอนด์มาหาฟ้าใช่ไหมครับ...แล้วพี่มาทำไมเนี่ย”  หนึ่งพูดกับพี่ปอนด์แต่ประโยคสุดท้ายหันไปมองพี่โทน
“อ้าว...ก็พี่ได้ข่าวว่าสาวๆบริหารมีแต่สวยทั้งนั้นเลย  พี่ก็ต้องมาพิสูจน์ด้วยตาตัวเองสิครับ”
“แล้วเจอบ้างไหมหละครับ”
“อืม...ก็เจอนะครับ   แต่พี่ว่า...หนุ่มๆน่ารักกว่า”  แล้วมองหน้าหนึ่ง
“ฮะ/ฮะ/ฮะ/คะ”
“ตกใจอะไรกัน  กูแค่พูดเล่น   ขำๆน่า”  พร้อมตบบ่าพี่ปอนด์
“กูก็นึกว่ามึงจะเปลี่ยนแนว..อย่างมึงจะไปเป็นเมียใครได้วะ..ขนลุก” 
“ห่าปอนด์  กูต้องไปเป็นผัวไหม..ขนลุกสัตว์”
ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า   พวกเราพร้อมใจกันหัวเราะพี่โทนที่ทำท่าทางขนลุกขนพอง  ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตัวโตๆ ลุคแบดๆอย่างพี่โทนจะมีมุมนี้ด้วย 

“เสาร์นี้น้องฟ้าว่างไหมค่ะ  ไปดูหนังกัน”
“เสาร์นี้ฟ้ามีนัดแล้วค่ะพี่ปอนด์...ฟ้าขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ  แต่พี่ถามได้ไหมค่ะ  ว่าน้องฟ้าไปไหนหรอ” 
“คือ.....”  ฟ้าหันมาขอความเห็นจากผม   ผมหยักน้องให้ฟ้า
“ฟ้านัดกับหนึ่งแล้วก็เตยค่ะ  คือช่วงวันหยุดต้นเดือน  ถ้าเราไม่ติดอะไรเราจะไปเยี่ยมลูกๆของเต้ยกันนะคะ”
“ลูก ?  เต้ยมีลูกแล้วหรอครับ?”
“น้องหมานะคะ”  ฟ้าพูด แล้วหันมามองหน้าผมอีกครั้ง   ผมหยักหน้าให้ฟ้า  เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี
ผมรู้ดีว่าฟ้ารู้ ว่าควรพูดอะไรได้แค่ไหน  “เต้ยรับเลี้ยงน้องหมา 3 ตัว ค่ะ  น่ารักมากเลย “
“แล้วเลี้ยงที่ไหน  ที่บ้านเต้ยหรอ”  “อ่อ...เต้ย  พี่ขอโทษนะ  พี่ถามละลาบละล้วงไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ   ไม่ได้เป็นความลับอะไร  ผมฝากไว้ที่บ้านป้าใจครับ  บ้านป้าใจเป็นศูนย์พักพิงสุนัขครับ พอดีว่าแม่ผมท่านแพ้ขนน้องหมานะครับ  เลยเลี้ยงเองไม่ได้”
"อ๋อ"
“และที่เต้ยทำงานพี่เศษที่ห้องสมุดก็เพื่อหาค่าข้าวให้ลูกๆมันเนี่ยแหละครับ ... เป็นไงหละครับเพื่อนผม  พวกเราจะช่วยก็ไม่ยอม  บอกอยากเลี้ยงลูกด้วยเงินตัวเอง”  หนึ่งพูด  ขณะที่ยิ้มแล้วมองหน้าเพื่อนอยากภาคภูมิใจในตัวเพื่อน
“ก็มันไม่ได้หนักหนาอะไร   อีกอย่างเราทำงานก็แค่ช่วงที่มีคาบเรียนว่างเอง  ได้อ่านหนังสือแปลกๆด้วย  เห็นไหมมีแต่ข้อดีทั้งนั้น  แม่เรายังชมเลยว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  รู้จักคิด  ได้ค่าขนมมาเพิ่มอีก  มีแต่ได้กับได้ 555
“น้องเต้ยทำให้พี่รู้สึกละอายเลยนะครับเนี่ย  เหมือนตัวเองไม่โตเลยเนี่ย  ...  พี่คิดออกแล้ว  พี่รับเลี้ยงเด็กสักคนบ้างดีกว่า  เอาแบบหมวยๆ  อึ๋มๆด้วยพี่ชอบ”   โป๊ก   
“อย่าบอกใครนะว่ามึงเป็นเพื่อนกู...บอกตรงๆกูอาย”
“จ้า  พ่อคนดีศรีธัญญา  แต่ก่อนมึงก็สเปกเดียวกันกับกูแหละว้า”
“ก็เมื่อก่อนไง   แต่ตอนนี้กูเจอคนที่ใช่แล้วหวะ  เรื่องสเปกไม่สำคัญอีกต่อไป”
“อ้วก/อ้วก”  เสียงพี่โทนกับหนึ่งครับ  พร้อมใจสามัคคีกันน่าดู   ผมได้แต่ยิ้ม  ส่วนฟ้านะหรอค่ะ  เขินบิดเป็นขนมอานสตี้แอนส์ไปเรียบร้อยแล้วครับ  พี่ปอนด์ขยันหยอดจริงๆเลยนะครับ  สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสามทหารเสือ  ส่วนพี่โทนผมค่อนข้างเซอร์ไพรส์นะครับ  ไม่คิดว่าแกจะเป็นคนแบบนี้  หื่นฮามากครับ  และไม่คิดว่าพวกพี่เค้าจะสุภาพกันขนาดนี้ด้วย  เรียกน้องทุกคน  พูดครับทุกคำ  ก็ได้ยินมาว่าเด็กสถา’ปัตย์ฯ  เค้าจะเถื่อนๆกัน  ก็ตามสไตล์ถิ่นชายเยอะอะครับ
“แล้วถ้าพวกพี่ขอไปเยี่ยมลูกๆ ของเต้ย ด้วยได้ไหมครับ...ได้ไหม  ได้ไหม “ พี่ปอนด์เป็นคนที่ถ้าอยากได้อะไรจะทำเสียงออดอ้อน  แล้วถามซ้ำๆ  (แกคงคิดไปเองว่ามันจะน่ารักขึ้น..แต่ก็คงจะน่ารักขึ้นสำหรับฟ้าแหละครับ  ถึงได้หลวมตัวให้ไอดีไลน์พี่ปอนด์ไป) 
ทุกคนหันมามองหน้าผม   เพื่อขออนุญาต
“ได้สิครับ  ผมกำลังต้องการแรงงานยกกะสอบข้าวพอดีเลย”
“ไม่มีปัญญา  เอ้ย  ไม่มีปัญหาครับผม”  พี่โทนพูดพร้อมทำท่าตะแบะอย่างนายทหารรับคำสั่งนาย
พี่โทนเป็นคนตลก
..........................

ต้น

ผมอยากไปคณะบริหารฯบ้าง  (งองูล้านตัว)  แต่ติดที่ผมต้องทำโปรเจคเพื่อส่งเข้าประกวดนี่แหละครับ  ที่บ้านผมทำธุรกิจรับออกแบบและก่อสร้างครับ (ไม่ได้มีโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันอย่างที่หลายๆคนกำลังเข้าใจผิดนะครับ)  กิจการ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่พอเลี้ยงครอบครัวเราให้สุขสบายได้อย่างทุกวันนี้เองครับ    พ่ออยากให้ผมรับช่วงต่อกิจการหลังจากที่ผมเรียนจบให้เร็วที่สุด  แต่การผมจะนั่งเก้าอี้ต่อจากพ่อมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  มันไม่ใช่ว่าแค่เราเป็นลูกเจ้าของบริษัทแล้วจะเข้าไปทำได้เลย   การที่ผมยังโนเนมอยู่แบบนี้  ไม่มีผลงานอะไรเลย สั่งงานไป ใครจะเชื่อฟังอย่างเคารพหละครับ  เพราะฉะนั้นผมจึงพยายามเก็บผลงานการประกวดต่างๆ  อย่างน้อยหลังจากที่จบผมก็มีสิ่งการันตีในความสามารถบ้างในฐานะสถาปนิกหนุ่มไฟแรง การันตีความสามารถด้วย...บลาบลาบลา  (เท่ห์ฉิบหาย)
“เฮ้ยต้น  เสาร์นี้มึงว่างป่าววะ”  ชวนกูเที่ยวอีกแล้ว  กูก็อยากนะเว้ย  แต่โปรเจคยังคิดไม่ออกเลยเนี่ย
“ก็ว่างนะ  แต่กูยังคิดโปรเจคไม่ออกเลยหวะ  ส่งไปหลายหัวข้อแล้วเนี่ย  แต่อาจารย์ยังไม่ให้ผ่านเลย ”  ผมแทบไม่เคยบ่นเรื่องเรียน  หรือโปรเจคให้พวกมันฟังเลยครับ  ผมเป็นคนพูดน้อย  เน้นการกระทำมากกว่า
“งั้นไม่เป็นไรเว้ย  พอดีว่านัดกับน้องๆ ไว้ว่าจะไปเยี่ยมน้องหมาด้วยกัน  แต่ถ้ามึงไม่ว่างก็ไม่เป็นไร  แล้วถ้ามีอะไรให้พวกกูช่วยก็บอกนะเว้ย  ไม่ต้องเกรงใจ”
“อืม  ขอบใจมาก  ว่าแต่พวกมึงนัดกับน้องๆไหนวะ”
“แหม  ช่วงนี้จะมีน้องไหนว้า  ก็น้องฟ้าของไอ้ปอนด์  น้องหนึ่ง แล้วก็น้องเต้ยไง”  โทนพูดด้วยความหมั่นไส้ หรืออิจฉาไอ้ปอนด์อันนี้ผมไม่แน่ใจ
“ถ้างั้นกูไปด้วยแล้วกัน  เผื่อมีไอเดียคิดโปรเจคด้วย”
“โอเค  เดี๋ยวกูไลน์บอกน้องฟ้าก่อน  คงดีใจมีคนช่วยอาบน้ำน้องหมาอีกคน”
“เออ  มึงรู้ปะว่าน้องเต้ยมีลูกแล้ว”  ผมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“เป็นน้องหมา 3 ตัว  ที่เรากำลังจะไปเยี่ยมนี่แหละ  กูอึ้งเลยเว้ย”  กูก็อึ้งเหมือนกันครับ  แต่ตอนนี้โล่งละ
ผมได้ฟังเรื่องราวของแฮมสเตอร์  ทำให้ผมยิ้มออกมาได้  ซึ่งก่อนหน้าหนี้ทั้งสัปดาห์ผมขยับโหนกแก้มขึ้นไปไม่ได้เลย  มันเครียดไปหมด  แปลกดีนะครับ  คนคนหนึ่งสามารถทำให้เรายิ้มได้เพียงได้ฟังเรื่องราวของเขา 

ว่าแต่หนูแฮมสเตอร์มีลูกเป็นน้องหมา   อยากเห็นเร็วๆแล้วว่าจะเป็นยังไง

 :mew6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2019 18:30:54 โดย k2g »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #6 เมื่อ27-07-2019 17:41:10 »

 :katai2-1:
 :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
สนใจอย่างลับๆเหรอคะพี่ต้น
ว่าแต่เต้ยอกหักมาเหรอ

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 3  เรื่องมะหมา

แปดโมงเช้าวันอังคาร ถึงจะนานที่ผ่านมา  ไม่ใช่ไม่ใช่  แปดโมงเช้าวันเสาร์  (จะมีใครเกิดทันเพลงนี้ไหมอะ?)

‘ฮัลโหลเต้ย  หนึ่งมาถึงแล้วนะ  รออยู่ข้างล่างกับฟ้า’
‘เค  เดี๋ยวเรารีบลงไป   ไม่เกิน 5 นาทีจ้า’
เรานัดกันไว้ตอนแปดโมง  ปกติถ้าหนึ่งไปด้วยเขาเป็นคนขับรถไปรับฟ้าก่อน  และก็เลยรับผมที่คอนโดอีกที  วันนี้ก็เช่นกัน 
“รอนานไหม...โทษทีนะ”
“ไม่เลย  เพราะเรารู้ว่าต้องมีอะไรอยู่ในเป้ข้างหลังเต้ย”
“อืม  วันนี้เป็นแซนวิชทูน่านะ  วันนี้เราตื่นสายนิดหน่อยเลยทำได้แค่เมนูนี้”
“โอ้ย  แค่นี้ก็ดีถมเถไปสำหรับหนูหนึ่งจอมตะกละแล้วหละ”  ฟ้าพูดบ้าง
“เราก็แค่ต้องการสารอาหารเยอะกว่าคนปกติเท่านั้นเอง...จริงๆนะ”
“555 รีบไปกันเลยไหม  เราคิดถึงลูกๆแล้ว  ป่านนี้โก้โก้ ชานม กับ ชาเขียวคงนั่งรอพ่อแล้วมั้ง”
“ได้ยินชื่อลูกๆหนึ่งแล้วเราหิวเลย  แล้วนี่ฟ้านัดพี่ปอนด์ไว้ที่ไหน”
“เราส่งโลเคชั่นร้านข้าวสารไปให้พี่ปอนด์แล้วแหละ  ไปเจอกันที่นั่นเลย”
“ไปไปกัน แซนวิชทูน่ารออยู่  ยู้ฮู  ยู้ฮู้” หนึ่งร้องเพลงที่แต่งขึ้นเองโดยไม่เข้ากับทำนองเลยสักนิด  พร้อมกะโดดหยองแยงไปที่รถ  ผมกับฟ้าได้แต่หัวเราะแล้วเดินตามหนึ่งไปด้วยความขบขัน

วันนี้หนึ่งแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม ลายการ์ตูนน่ารัก  กางเกงขาสั้นสีดำเลยหัวเข่านิดหน่อย  กับสนีคเกอร์ขาว  (คิดว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะอีกทีตอนลงจากรถ  เพราะจะสะดวกกว่าเวลาที่เราจับน้องหมาอาบน้ำ  จะได้ไม่เลอะเทอะด้วย)  ฟ้าใส่เสื้อยืดสีดำ  กางเกง 4 ส่วน ลายสก็อตขาวดำ  คีบรองเท้าแตะ  พร้อมสำหรับภารกิจ  ส่วนผมที่มีหนึ่งเป็นไอดอลในการแต่งตัว  (ก็หนึ่งใส่แล้วน่ารัก)  ก็สวมเสื้อยืดสีกรมท่า  กางเกงขาสั้นสีดำเลยหัวเข้านิดหน่อย  ส่วนรองเท้าแตะครับ  ง่ายๆพร้อมลุยครับ
เมื่อมาถึงร้านขายข้าวสาร  ก็เจอหนุ่มๆ สามทหารเสือรออยู่แล้ว  พี่ๆแต่งตัวสบายๆพร้อมสำหรับลุยเช่นกัน  ผมยกมือไหว้ พร้อมยิ้มทักทายพี่ๆทั้งสามคน  แต่ยิ้มเขินๆให้พี่ต้น  เพราะผมไม่สนิทกับพี่แกเลย  และไม่คิดว่าพี่ต้นจะมาด้วย (ก็ฟ้าไม่ได้บอกนี่นา) 
“เดี๋ยวผมไปสั่งข้าวสารก่อนนะครับ”
..............
“พี่ช่วยยกใส่รถให้ด้วยนะครับ  กระบะทะเบียน ...... นะครับ”
“อ้าว   พี่ไม่ต้องยกหรอ  เนี่ยพี่อุตส่าห์ฟิตร่างกายมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลยนะครับเนี่ย”  พี่โทนพูดด้วยความเสียดาย แต่หน้ายิ้มอย่างปิดไม่มิด  (คือไร)
“ไม่ต้องห่วงฮะ  พี่ได้ยกแน่  เพราะที่ศูนย์ฯ มีป้าใจคนเดียว  5 ถุงนี้พี่เหมาหมดเลยไหมครับ?”  หนึ่งไม่ปล่อยให้พี่โทนลอยนวล
“อ้าว  ถ้าพี่เหมาหมด ไอ้ปอนด์จะเอาอะไรไปโชว์พาวหละครับ  อย่าลืมว่าช่วงนี้มันเร่งทำคะแนนอยู่นะครับ  ถ้าเผื่อน้องฟ้าเปลี่ยนมาสนใจพี่โทนคนนี้แทนจะแย่นะครับ  พี่ยังไม่อยากผิดใจกับเพื่อน... ไอ้เราก็ยิ่งหน้าตาดีอยู่  จะมาเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็คอะไรได้ขนาดนี้..แบบนี้เพื่อนๆอิจฉาแย่เลย”
“มั่นหน้ามั่นโหนกมากเลยนะมึง  ...ไปเถอะครับน้องฟ้า   ไอ้นี่มันไร้สาระ” พี่ปอนด์ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายเพื่อน
“น้องฟ้ามานั่งคันเดียวกับพี่ไหมค่ะ  เดี๋ยวคันโนนให้ต้นมันขับให้  ”
“จะดีหรอค่ะ  เกรงใจพี่ต้นค่ะ”
“ดีครับ  ให้มันทำอะไรบ้างเถอะครับ  เนี่ยตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงมันเลย  ค่าตัวแพงมากนักรึไงมีงนะ” 
พี่ปอนด์บ่นให้เพื่อนอย่างไม่จริงจังอะไร
“พูดมาก   ไปกันเลยไหม  น้องหนึ่งพี่ขออนุญาตขับรถให้นะครับ”
“หนึ่งรอคำนี้มานานแล้วคร๊าบบบบ”
ความน่ารักของหนึ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะ   ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปขึ้นรถ

ปัง/ ปัง/ ปัง   เสียงปิดประตูรถ
หนึ่งนั่งหน้าคู่กับพี่ต้น
“พี่ต้นตามสบายเลยนะครับ   เดี๋ยวหนึ่งบอกทางให้  ไกลหน่อยนะครับ”  หนึ่งพูดพร้อมยิ้มตาหยีให้พี่ต้น
“เต้ยจ๋า  เราขอเสบียงหน่อยสิ”
“อะ “  ผมหยิบกล่องแซนวิชในเป้ส่งให้หนึ่ง  “แบ่งให้พี่ต้นด้วยนะ  อย่ากินหมดคนเดียวหละ”
“ขอบใจนะเพื่อนเลิฟ”
“พี่ต้นทานอะไรมาหรือยังครับ  แซนวิชสักหน่อยไหมครับ  เนี่ยฝีมือเต้ยนะครับ  หาทานยากมาก  ถ้าไม่ได้อานิสงค์จากหนึ่ง หรือฟ้า  รับรองพี่ไม่มีโอกาสได้ทานแน่นอน  เนอะเต้ยเนอะ”
“ถ้างั้นพี่ขอสักชิ้นให้เป็นบุญปากหน่อยนะครับ”
“จัดไปครับ...  “  หนึ่งยื่นแซนวิชไปจ่อใกล้ปากให้พี่ต้น
ตอนแรกต้นทำหน้างงไม่แน่ใจว่าหนึ่งเจตนาจะป้อนเขาหรือเปล่า  เพราะเขากับหนึ่งก็เพิ่งรู้จักกันเอง  ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น  แต่ดูจากลักษณะการจ่อเข้าใกล้ปากของเขาแล้วคงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
“อ่อ   พี่ถือเองก็ได้ครับน้องหนึ่ง” 
“ไม่ได้ๆ  ขับรถมือเดียวอันตรายครับ “  “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ  หรือพี่ต้นรังเกียจ  แต่หนึ่งเช็ดมือสะอาดแล้วนะครับ”
“เปล่าครับ  พี่แค่รู้สึกแปลกๆ  ปกติอยู่กับไอ้พวกนั้นมันไม่มีโมเม้นท์แบบนี้นี่ครับ”
“โถ่  หนึ่งคิดภาพพี่โทนป้อนแซนวิชพี่ต้นไม่ออกเลยครับ  คงพิลึกน่าดู”
“นั่นแหละครับ”  ผมคิดภาพตาม  แล้วพวกเราก็หัวเราะพร้อมกัน   
“เอ้า    กัดเลยครับ  หมดก่อนหนึ่งไม่รับผิดชอบนะครับ”
พี่ต้นเหลือบมามองหน้าเต้ยนิดหน่อย   เต้ยยิ้มให้พี่ต้น  พร้อมพยักให้แบบไม่เป็นไรครับ  ไม่ต้องเกรงใจ
“อร่อยใช่ไหมหละครับ  ฝีมือเพื่อนหนึ่ง  ใครได้เป็นไปแฟนโชคดีสุดๆ  นี่เต้ยแอบใส่กัญชาด้วยหรือเปล่าเนี่ย ทำไมหนึ่งกินทีไรก็อร่อยทุกที  ไส้ทูน่าแต่ไม่เหมือนทูน่า....”  หนึ่งพูดด้วยกินด้วยไปเรื่อย  มือซ้ายถือแซนวิชเข้าปากตัวเอง  ข้างขวาก็คอยป้อนเข้าปากพี่ต้น  ผมมองภาพนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้
ระหว่างทางหนึ่งเป็นคนชวนพี่ต้นคุยไปตลอดทาง  หรือเรียกอีกให้ถูกต้องคือซักประวัติพี่ต้นนั่นแหละครับ  ทำให้ผมได้รู้ว่า แก๊งสามหารเสือเขาเรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยมปลาย  พี่ต้นอยากเป็นสถาปนิกเพราะที่บ้านทำธุรกิจด้านนี้  (ไม่ได้มีโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันอย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก อ้อ พี่ต้นแปลกใจด้วยที่ผมไม่ได้ชอบทาน  ก็ทานได้ไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบ)   ส่วนอีกสองคนไม่รู้จะเรียนอะไรจึงเรียนตามพี่ต้น  อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนช่วยเข็นให้จบ  พี่ต้นไม่ยอมเผาเพื่อนทั้งสองคนเลยครับ  ไม่รู้เพราะแกรักเพื่อน  หรือกลัวโดนเอาคืนก็ไม่รู้  เมื่อหนึ่งถามถึงสเปกผู้หญิงที่พี่ต้นชอบ  พี่ต้นก็ได้แต่ส่ายหัว
“ พี่ไม่มีหรอกครับ  ไม่รู้จะมีทำไม  พอเวลาเราเจอคนที่ใช่ ใจมันจะบอกเราเองครับ  ทั้งๆที่เราคิดว่าแบบนี้ไม่น่าจะใช่แบบที่เราชอบ  แต่พอเจอคนนั้นเข้าจริงๆ  มันจะไม่มีเหตุหรือเรื่องสเปกเข้ามาเกี่ยวข้องเลยหละครับ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ต้นเจอคนนั้นแล้วหรอครับ”
พอผมเงยหน้าขึ้นมองกระจกส่องด้านหน้า  ก็เจอพี่ต้นมองมันอยู่ก่อนแล้ว
“พี่คิดว่าเจอแล้วนะครับ   แต่ขอเวลาพิสูจน์ให้แน่ใจก่อน”
“หูย   พี่แม้นสุดๆ” 
“หนึ่งหมายถึง  โรแมนติก ครับ”  เต้ยช่วยเสริมเมื่อเห็นพี่เต้ยทำหน้างง
“อ๋อ  พี่ก็งงดิครับ  ใครคือพี่แม้น”
.................................................

ต้น

ศูนย์พักพิงสุนัข หรือบ้านป้าใจ  เต้ยเล่าให้ฟังว่าป้าใจเป็นคุณครูเกษียณอายุ  เมื่อก่อนสมัยที่แกยังสอนอยู่  แกก็เลี้ยงน้องหมาที่โรงเรียนนี่แหละครับ  ได้เศษอาหารจากโรงอาหารในการเลี้ยงดู  แต่พอเกษียณไม่มีใครดูแลน้องหมาต่อ  แกเลยขนย้ายน้องหมาเกือบ 10 ตัวมาเลี้ยงเองที่บ้าน  แต่เนื่องจากบ้านที่แกอยู่เดิมเป็นทาวเฮาส์หลังเล็กๆ  ไม่มีพื้นที่ให้น้องหมาวิ่งเล่น  อีกทั้งกลางคืนด้วยลักษณะนิสัยของหมาจะชอบเห่าเสียงดังก่อให้เกิดความรำคาญให้เพื่อนบ้าน    ป้าใจกลัวมีปัญหากับเพื่อนบ้าน  จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่  แถบปทุมธานี  ห่างไกลจากแหล่งชุมชนเล็กน้อย  อาจจะไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง เนื่องจากป้าใจมีแค่รถมอเตอร์ไซด์เก่าๆหนึ่งคันที่ต่อพ่วงด้านข้างเป็นซาเล้ง  (ป้าใจเรียกมันว่าอีแก่  และเรียกตัวเองว่าอีแก่กว่า)  ที่นี่ขนาดพื้นที่ประมาณ 2 งาน (ครึ่งไร่) ป้าใจเก็บเงินซื้อตั้งแต่สมัยเริ่มทำงานสอนแรกๆ  เพราะหวังว่าเมื่อเกษียณแล้วอยากจะทำไร่นาสวนผสม  ตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง  แต่ตอนนี้ผิดแผนนิดหน่อยเพราะมีน้องมามาอยู่ด้วย  จากตอนแรกก็มีแค่ 10 ตัว  แต่อยู่มาเรื่อยๆก็เพิ่มมาเป็นเกือบ 30 ตัวแล้ว  เนื่องจากชาวบ้านที่ไม่อยากเลี้ยงแล้วมักจะเอามาทิ้งไว้ให้แกเลี้ยง   (สมัยก่อนชาวบ้านจะเอาหมาไปแลกคุถัง กะละมัง  แต่เนื่องจากสมัยนี้มี พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ออกมาจึงได้แค่เอามาทิ้งไว้) 

พวกเราไปถึงบ้านป้าใจตอนเกือบ 10 โมง  โดยมีรถของปอนด์ขับตามกันมาไม่ห่าง
“สวัสดีครับป้าใจ”  พวกเรายกมือไหว้ และกล่าวสวัสดีป้าใจ  ป้าใจเป็นผู้หญิงสูงอายุร่างผอม  มีผมขาวแซมดำบ้างประปราย  หน้าตายิ้มแย้มใจดี 
“ผมพาแรงงานพม่ามาด้วย 3 คนครับ  พี่ต้น  พี่โทน  พี่ปอนด์ครับ”  หนึ่งแนะนำพวกผมให้ป้าใจรู้จัก
“ดีจ๊ะ  หน่วยก้านดีนะเนี่ย  ก่อนอื่นยกกระสอบข้าวไปไว้ในครัวให้ป้าก่อนนะคะ  เดี๋ยววันนี้ป้าทำข้าวเที่ยงเลี้ยงเอง  ผักบุ้งกำลังขึ้นยอดสวยเลย  วันนี้ทำเทโพหมาสามชั้นแล้วกันเนอะ”
“ดีครับ  เอาโก้โก้ ลูกเต้ยนะครับ  หนึ่งหมั่นไส้มันมานานละ  ไม่ยอมมาเล่นกับหนึ่งเลย   เดินตามพ่อมันต้อยๆ”
“อยากตายหรอ”  ผมเพิ่งเคยได้ยินเต้ยพูดอะไรแบบนี้ครับ  ท่าทางจะแตะลูกๆเขาไม่ได้ครับ
“ยอม ยอม   แตะต้องไม่ได้เลยนะ”  “อย่าให้เผลอนะจะเตะสักป๊าบ”  หนึ่งแอบบ่นประโยคหลังเบาๆ
“ได้ยินนะ”
“ก่อนที่จะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น   ป้าว่าเราแยกย้ายกันไปทำงานดีกว่าเนอะ”
“รบกวนพี่ๆช่วยยกข้าวสารให้หน่อยนะครับ  เดี๋ยวพวกเราสามาคนจะไปอาบน้ำให้น้องหมา  ถ้าพี่ๆสนใจก็ตามมาได้ครับ”  เต้ยเป็นคนแจกแจงงาน
พวกเรารับงานแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน   
ข้าว 1 ถุง ประมาณ 50 กิโลกรัม  พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลัก  พวกเราเป็นผู้ชายแมนๆครับ  ถึงจะไม่ใช่พวกลูกคุณหนูแต่ไม่เคยยกอะไรหนักๆแบบนี้กันหรอกครับ 
“เอาไงดี  คนเดียวไม่น่าไหว”  ปอนด์
“ทรีซั่มนี่แหละ  ช่วยๆกันน่าจะพอไหว”  โทน
พวกเราช่วยกันยกข้าวสารไปที่ครัว  ระยะทางไม่ได้ไกลอะไร  แต่ว่าแต่ละรอบเล่นเอาพวกผมล้าแขนได้เหมือนกันครับ
“ถุงสุดท้ายแล้วมึง  ฮึบๆ”  โทน
ขณะที่พวกผมหิ้วได้ไปครึ่งทาง  เสียงป้าใจทำให้พวกผมสตั๊นท์กันไปหลายวิ
“ลูกๆทำอะไรกัน   ทำไมไม่ใช้รถเข็นในครัวหละลูก”  “หิ้วแบบนี้ไม่ปวดแขนกันแย่หรอ”
“อ้อ  ไม่เป็นไรครับ  พวกเรากำลังต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อแขนกันอยู่นะครับ  เนี่ยถือเป็นการออกกำลังไปในตัวด้วยนะครับเนี่ย”
“เป็นเด็กหนุ่มก็ดีแบบนี้แหละน๊า   ร่างกายแข็งแรงกันดี   ถ้างั้นก็ตาสบายกันนะจ๊ะ  เดี๋ยวป้าเข้าไปทำกับข้าวก่อน  ได้ผักบุ้งมาละ”
พวกเรามองหน้ากัน  มีคำหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ  ‘โง่’  ก็คิดอยู่นะว่าถ้าเป็นปกติที่พวกเราไม่ได้มาด้วย  เขายกกันไหวได้ยังไง..... ‘โง่’ นั่นแหละถูกต้องแล้ว
“รีบยกกันเถอะวะ “  พวกเรายกถุงสุดท้ายตามหลังป้าใจเข้าครัวมา 
“พวกเรายกเสร็จแล้ว  ป้ามีอะไรให้เราช่วยอีกไหมครับ”
“ป้ากำลังจะทำอาหารกลางวันจ๊ะ  มีใครทำอาหารเป็นไหม?” พวกเราส่ายหัวกันแทบหลุด
“ห่าห่า  ไม่เป็นไรจ๊ะ  ถ้างั้นก็พักดื่มน้ำกันก่อน  ป้าทำน้ำกระเจี๊ยบไว้ในตู้เย็น  บริการตัวเองกันนะ  เสร็จแล้วจะไปช่วยทางนู้นอาบน้ำน้องๆก็ได้นะจ๊ะ  คงวุ่นวายกันน่าดู”  ป้าใจยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“ขอบคุณครับ”  ผมเดินไปหยิบน้ำกระเจี๊ยบออกมาจากตู้เย็น  พร้อมแก้วน้ำ  ตั้งใจออกไปนั่งพักกันให้หายเหนื่อยที่หน้าบ้าน  ตรงนั้นมีม้านั่งใต้ต้นมะม่วง  อากาศน่าจะเย็นสบายดี   จังหวะที่กำลังจะเดินออกไปนอกประตู   ผมก็มองเห็นรถเข็นจอดอยู่ตรงนั้น  แล้ว  4 รอบที่ผ่านมา  ทำไมเรามองไม่เห็นมันวะ  ต้องใช่แน่ๆ  ป้าใจต้องเพิ่งย้ายมันมาอยู่ตรงนี้แน่ๆ  คิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
เราพักกันครู่หนึ่ง  แล้วเดินอ้อมไปหลังบ้านเพื่อช่วยน้องๆ อาบน้ำน้องหมา  แต่เมื่อไปถึง  ภาพที่เจอคือ  เปียกครับเปียก  ทั้งคนทั้งหมา  ผมไม่เคยอาบน้ำให้น้องหมาหรอกครับ  ที่บ้านผมไม่ได้เลี้ยงสัตว์อะไรเลย  แต่สิ่งที่ผมเห็นคงพอเข้าใจได้ว่า น้องหมาคงไม่ชอบการอาบน้ำเป็นแน่แท้ 
“เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยนะคะเนี่ย”  ปอนด์เดินเข้าไปหาน้องฟ้า  พร้อมปัดผมที่ปกลงมาที่หน้าผากน้องขึ้นให้
“ก็น้องๆไม่อยู่นิ่งๆกันเลยนิค่ะ”  น้องฟ้าบ่นน้อยๆให้ปอนด์ฟัง  น่ารักครับ
“งั้นเดี๋ยวพวกพี่ช่วยเอง  จับคู่กันดีไหมค่ะ  1 คู่ กับน้องหมา 1 ตัว น่าจะง่ายกว่า”
“ดีมากเลยค่ะ” 
ผมเดินเข้าไปหาเต้ยเป็นการจับคู่อาบน้ำให้น้องหมา  (แค่นั้นจริงๆครับ  สาบ๊าน)
“พี่ไม่เคยอาบน้ำให้น้องหมานะครับ  ยังช่วยสอนพี่ด้วยนะ”
“ได้ครับ  เริ่มจากพี่ต้นจับน้องก่อนเลย  จับตรงคางครับ  แล้วก็ลูบตัวเค้าแบบนี้ครับ  หมาก็ชอบความอ่อนโยนเหมือนคนแหละครับ”  ผมทำตามที่น้องบอก  น้องหมานิ่งๆ  ก็น่ารักดีนะครับ
“เดี๋ยวผมจะราดน้ำใส่ตัวน้อง  น้องอาจจะตกใจแล้วดิ้น  พี่ต้นก็กดน้ำหนักในการจับเพิ่มขึ้นนะครับ  อย่าลืมลูบขนเขาด้วยจะได้หายตกใจครับ”
“ครับ”  แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลย  พอเต้ยราดน้ำลงมา  ดิ้นเลยครับ  ทั้งผมทั้งน้องหมา  จับไม่อยู่ครับ  จนเต้ยต้องทิ้งขันน้ำ แล้วมาช่วยผมจับและลูกน้องหมาให้สงบ  หันไปมองข้างๆ อีก 2 คู่ สภาพไม่ต่างกันมากครับ  แต่ผมได้ครูดีไงครับเลยดูเหมือนจะไม่หนักเท่าคู่ที่เหลือ
“ดีครับ    เก่งมากครับ”  เต้ยพูดกับน้องหมา  แล้ก็เงยมามองหน้าผม
“พี่ต้นก็เก่งเหมือนกันครับ”  ยิ้มสิครับรออะไรอยู่
“พี่ต้นผสมแชมพูกับน้ำเปล่าใส่ฝ่ามือ แล้วเอามาลูบตัวน้องนะครับ”
ผมผสมแชมพูเสร็จ  กำลังจะเอาไปลูกตัวน้องเต้ย
“พี่ต้นครับ  ลูบน้องหมาครับไม่ใช่น้องเต้ย”   พร้อมแยกเขี้ยวใส่ผมอย่างน่ารัก
“ 555 โทษทีๆ  พี่เข้าใจผิด”   
ผมลูบแชมพูบันตัวน้องหมาเบาๆ  สักพักก็เกิดฟอง  เมื่อลูกจนทั่วไปตัวแล้วก็ราดน้ำเอาแชมพูออกให้สะอาด  เอาผ้าขนหนูซับเบาๆที่ขน  (เหมือนคนเลยแฮะ)  แล้วปล่อยน้องหมาเป็นอิสระได้  เสร็จไป 1 ตัว  เราวนทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ  ได้ประมาณ 3 ตัว ป้าใจก็มาตามไปทานข้าวกลางวัน
“เหนื่อยไหมครับพี่ต้น “ 
“ก็ไม่นะครับ  ตอนแรกผิดคิดว่าน่าจะยากกว่านี้ซะอีก  คงเพราะได้ครูดีพี่เลยทำได้”
“ไม่หรอกครับ  เพราะเราช่วยกันต่างหาก”  เต้ยพูดออกมาโดยที่ไม่คิดอะไร  แต่ผมนี่สิครับ  ไปไกลละ
“ผ้าขนหนูครับ  เดี๋ยวเช็ดตัวก่อนนะครับ  แล้วค่อยไปทานข้าว”
“แล้วน้องเต้ยไม่เช็ดหรอครับ”
“นี่ไงครับ  ผมมีผืนเล็กอีกผืน”
“ขอบคุณนะครับ”
เสร็จแล้วผมกับเต้ยก็เดินออกไปก่อน  เพราะต้องไปช่วยป้าใจจัดโต๊ะ  สักพักที่เหลือก็ตามมา  บรรยากาศในการทานข้าว  เหมือนทานกับที่บ้านผมเลยครับ  น้องเต้ยดูเหมือนจะพูดเก่งขึ้นนะครับถ้าเป็นเรื่องน้องหมา  ผมอยากจะช่วยอะไรได้บ้าง
“ป้าใจครับ  คือตอนนี้ผมกำลังหาโปรเจคในการเข้าประกวดอยู่นะครับ  ผมอยากจะขออนุญาตใช้ศูนย์ฯนี้ เป็นไอเดียในการทำโปรเจคได้ไหมครับ”
“คอนเซ็ปประมาณว่าที่อยู่อาศัยสำหรับคนและน้องหมาที่สามารถอยู่ร่วมกันได้  โดยใช้งบประมาณในการสร้างน้อยที่สามารถทำได้จริง”
“ได้เลยจ๊ะ  ป้าไม่ได้ขัดข้องอะไร  อันที่จริงป้าก็อยากจะปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้เหมาะสมกว่านี้เหมือนกันค่ะ  แต่คนชราอย่างป้าก็มีแค่เงินบำนาญที่พอสำหรับแค่ข้าว ค่ายาน้องหมาแค่นั้นแหละจ๊ะ”
ผมหันไปมองหน้าเพื่อนทั้ง 2 คน  “พวกมึงเอาด้วยไหม”
“ตกลง / ตกลง”  พวกแท็กมือกันเพื่อยืนยันข้อตกลง
“พวกพี่เอาอะไร  ตกลงกันไรกัน”   หนึ่งถามขึ้นมาอย่างงงงวย   ก็จากหน้าคงไม่ใช่แค่หนึ่งหรอกครับ  ผมว่าน่าจะทั้งหมดยกเว้นพวกผม 3 คนนี่แหละครับ
“ก็ตกลงปรับปรุงศูนย์นี้ให้กลายเป็นจริงไงหล่ะครับ”  โทนบอกกับน้องๆ  “ไม่ต้องห่วงนะครับป้าใจ  เราจะช่วยป้าใจเอง”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ลูกๆยังเรียนกันอยู่เลย จะเอาเงินเอาทองที่ไหนมาทำบ้านหลังนี้หละค่ะ  ไม่ดีหรอกค่ะ”
“ป้าไจไม่ต้องห่วงนะครับ  ตอน ม.ปลายพวกเราเคยทำโครงการประมาณนี้อยู่แล้วครับ ตอนนั้นเป็นการหาเงินช่วยเหลือบ้านพักเด็กฯ  ใช่ไหมวะปอนด์   ประมาณนั้นแหละครับป้าใจ  ได้เงินไม่ได้มากมายอะไร  แต่ก็คงพอช่วยเหลือน้องๆในบ้านได้บ้าง  แต่ตอนนี้พวกเราโตขึ้นแล้ว  ฉลาดคิดมากขึ้นด้วย   เราน่าจะหาเงินมาช่วยปรับปรุงบ้านหลังได้มากพอสมควร  ป้าไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปหลอกเอาเงินใครมานะครับ   ถึงหน้าผมจะให้ก็เหอะ  พวกเรายังมีเพื่อนๆ  ที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกันอยู่ครับ  ถ้าขอความร่วมมือไปรับรองว่าพวกมันต้องช่วยแน่นอนครับ”  โทนอธิบายให้ป้าใจสบายใจขึ้น (รีเปล่า)
“ หนึ่งเอาด้วย  “  ฟ้าเอาด้วยคนค่ะ “  “ผมด้วยครับ  ให้พวกเราช่วยด้วยอีก 3 คนนะครับ”
“ตกลงครับพีน้องคร๊าบ”  โทนพูด  พร้อมยื่นมือออกมาข้างหน้า 1 ข้าง  เพื่อให้คนอื่นๆ วางทับเพื่อเป็นการรวมพลังกัน
น้องฟ้าวางลงไปเป็นคนสุดท้าย   แล้วพวกเราก็พร้อมใจกันหันไปมองหน้าป้าใจเพื่อกดดัน
“ป้าใจครับ”  เต้ยพูดกับป้าใจด้วยน้ำเสียงออดอ้อน  ป้าใจมองหน้าพวกเรา  พวกเราพยักหน้าให้ป้าใจ
“เอาก็เอาจ๊ะ”  แล้ววางมือไว้บนสุด   “เย้”  ประสานเสียงพร้อรวมพลังกัน
“ถ้ามีอะไรให้ป้าช่วยก็บอกได้เลยนะจ๊ะ”
“ถ้างั้นผมขอเดินดูบ้าน  และบริเวณโดยรอบหน่อยนะครับ” 
“ได้จ๊ะ  งั้นให้เต้ยเดินไปเป็นเพื่อนด้วยละกันนะ  ถ้าเจอเจ้าถิ่นจะได้ช่วยจัดการได้”  ผมหันไปมองหน้าเต้ย  แล้วผมได้รับรอยยิ้มกลับมา  “ไปกันครับพี่ต้น” 
ที่ศูนย์เป็นบ้าน 2 ชั้นขลาดเล็ก 1 หลัง  ข้างบนเป็นไม้ ข้างล่างเป็นปูน ปีกด้านขวาต่อเติมเป็นห้องครัว  ด้านซ้ายมุงลังคาสังกะสี  ล้อมลอบด้วยตาขาย  ใช้เป็นที่นอนน้องหมา  ด้านหลังเป็นที่อาบน้ำปูพื้นซีเมนต์ และมีถังน้ำ 3ใบ  ไกลออกไปทางซ้ายของที่ดิน  เป็นไร่สวนผสมที่มีผักสวนครัวครบ  โดยมีบ่อน้ำขุดไว้ตรงกลางสวน  เต้ยบอกว่าบางทีน้องหมาร้อนๆก็มาเล่นน้ำที่นี่กัน
“เป็นไงบ้างวะ”  ผมสำเร็จบ้านเสร็จก็เดินเข้ามารวมกับเพื่อนๆ
“ก็พอจะได้ไอเดียบ้างแล้วแหละ  แต่ก็ต้องหาข้อมูลเพิ่ม เพราะกูก็ไม่มีความรู้เรื่องน้องหมาเลย”
“และก็ถ้าทุกคนช่วยกันออกความคิดเห็นด้วยก็จะดีมาก”  ผมหันไปมองหน้าน้องๆ  “พี่ก็ไม่รู้ว่าไอเดียพี่มันจะดีพอสำหรับน้องหมาหรือเปล่า”
“เอาแบบนี้ดีไหมค่ะ  เดี๋ยวเราตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา  ถ้าใครมีไอเดียอะไรก็เอามาปรึกษากันในกลุ่ม  จะได้ช่วยกันคิด”  น้องฟ้าเสนอความคิด   
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย   “เดี๋ยวฟ้าตั้งเองค่ะ  แล้วพี่ปอนด์ก็ลากพี่ๆเข้ากลุ่มนะคะ”
เข้าทางผมหละ  บอกเลยเนียนกว่านี้ก็ครีมรองพื้นละคร๊าบบบบบ
.......................

จบตอนที่ 3 อยากให้ชื่อว่า “ลากเลือด” มากกว่า :hao7:
ขอบคุณทุกคนที่ยังคงอ่านเรื่องนี้อยู่นะคะ
กำลังใจจากผู้อ่าน ทำให้ไรท์มีแรงฮึดสู้มาเขียนต่อ
ติชมกันมาได้เลยนะคะ  เพราะบางช่วงบางตอนก็คิดว่ามันไม่ค่อยสมูทเหมือนกันค่ะ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2019 10:35:12 โดย k2g »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #9 เมื่อ29-07-2019 09:16:52 »

 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
« ตอบ #9 เมื่อ: 29-07-2019 09:16:52 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 4 คนไม่มีเวลา

พี่อยู่หน้าห้องสมุดแล้วนะครับ
เราอยู่ไหน
พี่ต้นเข้ามาข้างในเลยครับ
ผมอยู่ในห้องสมุดแล้วครับ
เคครับ..เดี๋ยวพี่เข้าไปเลย


“หวัดดี”
“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้พี่ต้น 
“พี่ต้นหาที่นั่งก่อนดีไหมครับ  ผมต้องเอาหนังสือพวกนี้เก็บเข้าชั้นให้เรียบร้อยก่อน  เดี๋ยวแว๊บไปช่วยพี่ต้นหาหนังสือ”
“ให้พี่ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรครับ  ใกล้เสร็จแล้ว  ขอบคุณมากนะครับ  ^^”
“อืม”  พี่ต้นตอบผม เลยเดินหันหลังไปหาที่นั่ง  ช่วงบ่ายนักศึกษาค่อยข้างเยอะ  แต่ก็ยังพอมีที่ว่างอยู่  (ผมก็ไม่ได้จองที่นั่งไว้ให้ด้วยสิ..ก็คนมันลืมอะ)
ก่อนหน้านี้พี่ต้นได้แจ้งความคืบหน้าในการออกแบบให้พวกเราฟังในไลน์กลุ่ม  และต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงเพาะชำ  พี่ต้นบอกว่าจะทำบ้านให้ป้าใจใหม่ จากเดิมบ้านสองชั้นที่ด้านบนเป็นไม้  ก็จะเปลี่ยนเป็นบ้านชั้นเดียว เพราะป้าใจอายุมากแล้วขึ้นลงบ้านคงลำบาก และอันตรายด้วย  ส่วนไม้ที่รื้อลงมาพี่ต้นจะเอามาทำเป็นห้องเก็บอุปกรณ์การเกษตรและทำโรงเรือนเพาะชำ  เผื่อไว้ให้ป้าใจเพาะพวกต้นอ่อนผักบุ้ง ทานตะวัน หรือไม่ก็พวกผักสลัดไว้ทานและเผื่อขายด้วย  จึงอยากมาข้อมูลเพิ่มที่ห้องสมุด  ซึ่ง วันนี้ช่วงบ่ายผมมีคาบว่างจึงมาทำงานพี่ห้องสมุด  เลยนัดพี่ต้นมาด้วย  จะได้ช่วยพี่แกหาข้อมูล  ผมอยากมีส่วนร่วมในการทำบ้านให้เหล่าลูกๆ  ถึงผมจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็เหอะ
“พี่ต้น...เป็นไงบ้างครับ  ได้อะไรมาบ้างครับ”
“อืม  ได้มาหลายเล่มแล้วหละ  เท่าๆที่ดูพี่ก็เริ่มมีไอเดียขึ้นมาบ้างแล้วแหละ  เดี๋ยวกลับไปออกแบบมาให้เราดู”
“^^ พี่ต้นครับ  ผมขอออกไอเดียหน่อยได้ไหมครับ  เผื่อเป็นประโยชน์ได้บ้าง”
“เอาสิ”
“คือตอนที่พวกเราอาบน้ำให้น้องหมาอะครับ  มันค่อนข้างใช้น้ำเยอะมาก  มันก็แค่อาบใช่ไหมครับ  จะเป็นไปได้ไหมครับที่เราจะเอาหลังจากการอาบน้ำน้องๆไปรดน้ำต้นไม้ในสวน”
“ไม่ใช่แค่น้ำจากการอาบน้ำน้องหมานะครับ  จริงๆแล้วน้ำต่างๆจากที่เราใช้นั่นแหละ เราสามารถเอามาบำบัดให้เป็นน้ำสะอาดแล้วใช้งานต่อได้  เรียกว่าการบำบัดน้ำเสียในครัวเรือน  เรื่องพวกนี้น่าจะใช้งบไม่เยอะ  เดี๋ยวพี่ลองศึกษาอีกที ขอบคุณสำหรับไอเดียครับ  เก่งมากเลย”  พี่ต้นอธิบายเพิ่มเติมให้ผมฟัง  และยังชมผมอีกด้วย  ดีใจครับที่ไอเดียผมมีประโยชน์  ผมยิ้มให้กับพี่ต้น  แล้วพี่ต้นก็ยกมาลูบหัวผม   คงจะเอ็นดูผมแล้วหละสิ
“เราทำงานเสร็จกี่โมง”
“6 โมงครับ”  ผมตอบพี่ต้นงงๆ
“โอเคครับ  เดี๋ยวพี่นั่งอ่านหนังสือรอนะครับ”
“เอ่อ...พี่ต้นรอผมทำไมครับ”  งงกว่าเดิมอีกครับ
“ก็รอไปทานข้าวเย็นด้วยกัน  เสร็จแล้วก็ไปส่งที่ห้องไงครับ... ไม่ได้หรอครับ?”
“ก็  ...  ได้ครับ  แต่...”
“ถ้างั้นเราก็ไปทำงานเถอะครับ  พี่ไม่กวนเราละ”  โดนพี่ต้นพูดตัดบทเฉย
“ครับ”  ผมตอบพี่ต้นแบบงงๆ  แล้วเดินกลับไปทำงานหน้าเคาท์เตอร์

.......................

“เอาปลาหมึกผัดไข่เค็ม  ปีกไก่ทอด  ต้มยำทะล  ผัดผักรวมหมูกรอบ  ข้าวเปล่า 2 จาน ครับ”
“เราเอาอะไรเพิ่มไหม”    “ไม่เอาแล้วครับ”
“แค่นี้ครับ  ขอบคุณครับ”  พี่ต้นหันไปบอกพนักงานร้านอาหาร
หลังเลิกงานพี่ต้นพาผมมาทานข้าวร้านหลังมอ  เป็นร้านธรรมดา ติดแอร์นั่งสบายๆ   ราคาเหมาะกับกระเป๋านักศึกษา  ผมเคยมาทานกับฟ้าและหนึ่งหลายครั้ง  อร่อยดี  คิดอะไรไม่ออกก็มาร้านนี้แหละครับ
“เราเคยมาร้านไหม”
“ครับเคยมาครับ”
“หรอ...มากับใครครับ”  แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดด้วยหละ
“ฟ้ากับหนึ่งครับ”
‘ฟู่วว’   เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของพี่ต้น

“พี่ก็มากับไอ้ปอนด์กับไอ้โทนบ่อยครับ  อาหารเค้าอร่อยดี  แต่แปลกนะครับพี่มาที่บ่อยนะแต่เรากลับไม่เคยเจอกันเลย”
“เคยครับ”
“ฮะ”
“ผมเจอพวกพี่ที่นี่หลายครั้งแล้วครับ”
“หรอครับ  น่าเสียดายจัง”
“หือ  เสียดายอะไรหรอครับ”
“เปล่าครับ”
“บางครั้งผมก็เห็นพวกพี่มากับสาวสวยๆ ครับ“
“ก็พวกเพื่อนที่คณะนั่นแหละครับ”
“ไม่นะครับ  เพราะบางครั้งผมก็เห็นว่าเป็นเข็มของมหาลัยอื่น”
“อาหารมาพอดีเลย  ทานกันเลยนะครับ”
“ครับ”

อาหารมาแล้วผมก็ทานไปไม่พูดมาก  ผมหิวและอาหารก็อร่อยด้วย  ส่วนพี่ต้นก็เล่าเรื่องไอเดียโปรเจคให้ผมฟัง  ผมว่ามันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วหละครับ  พี่ต้นเก่งจริงๆเลย  ทั้งที่เรียนก็หนักอยู่แล้ว ยังต้องทำโปรเจคนี้อีก  คงเหนื่อยน่าดู
เราทานเสร็จพี่ต้นก็มาส่งผมที่คอนโดอย่างที่บอกไว้ 
“ให้พี่ขึ้นไปส่งข้างบนไหม”
“ไม่เป็นไรครับ  แฮะๆ”
“อืม  ถ้างั้นพี่กลับละนะครับ  เดี๋ยวถึงคอนโดแล้วพี่ไลน์หา”
“ครับ  สวัสดีครับ”  ต้องไลน์มาบอกด้วยหรอ  ได้แต่สงสัยแต่ไม่กล้าถามออกไป  มันคงเป็นธรรมเนียมของพี่ต้นเค้าหละมั้ง  ....ชั่งเหอะ 
ผมเข้ามาถึงห้องก็รีบอาบน้ำ  เหนื่อยมาทั้งวัน  นั่งอ่านหนังสือได้นิดหน่อยก็มีไลน์เข้า


พี่ถึงห้องแล้วนะ
ครับ
เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรไปมากกว่านี้

พี่กำลังจะไปอาบน้ำ  แต่อยากคุยกับเราก่อน
ครับ  พี่ต้นมีอะไรหรือเปล่าครับ
เราทำอะไรอยู่หรอ
                            ...เออ...
กำลังนั่งอ่านหนังสือครับ
อ้าว  ถ้างั้นพี่ก็มากวนเรานะสิ
แล้วตามด้วยส่งสติ๊กเกอร์หมีหงอย

ไม่กวนหรอกครับ   ผมแค่ทบทวนบทเรียนนิดหน่อยครับ
จริงนะ
ครับ
สติ๊กเกอร์หมีร่าเริงก็มา
วันเสาร์นี้เราว่างไหม พี่อยากไปเก็บข้อมูลแล้วก็ถ่ายรูปสถานที่ที่บ้านป้าใจอีกนิดหน่อย
 เราช่วยไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหมครับ
ต้องไปตอนกี่โมงครับ 
ปกติเสาร์อาทิตย์ผมจะต้องไปช่วยงานที่ร้านของคุณแม่ครับ
แต่ถ้าเป็นช่วงบ่ายๆ ก็พอได้ครับ  น่าจะขอคุณแม่ออกมาได้
ช่วงบ่ายได้ครับน่าจะเก็บข้อมูลไม่เยอะ
ให้พี่ไปรับที่ไหนดีครับ
งั้นบ่าย 2 ที่พารากอน  พี่ต้นสะดวกไหมครับ
สะดวกครับ

งั้นตกลงตามนี้นะครับ
พี่ไม่กวนละ
Good night ครับ
ครับ Good night เช่นกันครับ

ผมรู้สึกแปลกๆนะครับ   แต่มันคงเป็นเรื่องปกติแหละมั้งสำหรับรุ่นพี่รุ่นน้องที่จะบอก   Good night กัน
..........................................................................

ต้น

พี่ถึงแล้วนะครับ
พี่นั่งรอที่สตาร์บัคส์ชั้น 1 นะครับ
ไม่ต้องรีบนะ
ผมส่งข้อความไปบอกน้องเต้ย  เพราะผมมาก่อนเวลานิดหน่อย  ระหว่างรอก็เอาชีทขึ้นมาอ่าน  ใช้เวลาให้คุ้มค่าครับ  ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานผมต้องทำให้เต็มที่
 

ครับเดี๋ยวผมลงไปเลย

………..
“พี่ต้นครับ  สวัสดีครับ”  น้องยกมือไหว้ผม   ผมได้แต่พยักหน้า แล้วพูด  “หวัดดีครับ”  ใจจริงอยากบอกให้น้องว่า  ถ้าน้องจะมารยาทดีทุกครั้งที่เราเจอกันขนาดนี้  ก็ช่วยมาไหว้ซบลงต้องอกพี่หน่อยจะดีกว่านี้    แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดแหละครับ  ใครมันจะไปกล้า  เดี๋ยวไก่ได้ตื่นพอดี
“รอนานไหมครับ”
“ไม่ครับ  พี่มาถึงก่อนเวลานัดเราด้วย”
“นี่หิ้วอะไรมาเยอะแยะเลยครับ”
“พวกของเล่นน้องหมานะครับ  “
“หือ”  ผมทำหน้าสงสัย
“แบบนี้ไงครับ  กระดูกยางช่วยนวดเหงือกและขัดฟัน   มีลูกบอลยางด้วยครับ  อันนี้ช่วยพัฒนา IQ  มีเสียงด้วยนะครับ  เจ๋งมากเลยครับ”
“อ๋อ”  ผมฟังน้องพูดอย่างมีความสุข  ได้เจอน้องบ่อยๆ ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วน้องก็เป็นคนคุยเก่ง  และก็ยิ้มเก่งด้วย  หรือเราจะสนิทกันแล้วนะน้องถึงยอมเปิดเผยตัวตนให้ผมรู้จัก
“พี่ต้น  เราไปกันเลยไหมครับ”
“ครับ”
........................

“โก้โก้ ชานม ชาเขียว  พ่อมาหาแล้วครับ”  น้องหมา 3 ตัว วิ่งเข้ามาหาน้องเต้ยเมื่อได้ยินเสียงเรียก  ตัวหนึ่งสีดำสนิททั้งตัว  น่าจะชื่อโกโก้   ตัวหนึ่งสีขาวแซมด้วยสีส้ม  น่าจะชื่อชานม  ส่วนตัวสุดท้ายสีขาวแซมดำเหมือนวัว  ตัวนี้ชื่อ  “ตัวนี้ชาเขียวหรือเปล่าครับ”  เพราะไม่แน่ใจลักษณะตัวกับชื่อจึงหันไปถามน้อง
“ครับ  น้องเล็กชาเขียว”
“ทำไมถึงชื่อชาเขียวหละครับ”
“ก็ตอนที่เอาที่นี่ใหม่ๆ  ชาเขียวชอบลงไปลุยสวนผักป้าใจนะสิครับ  ป้าใจเลยตั้งชื่อให้ว่าชาเขียว”
“อ๋อ  น่ารักดีนะครับ”
“ครับ น่ารักมากเลย  เห็นแบบนี้ซนมากเลยครับ”
“พี่หมายถึงเราต่างหาก”
“เอ้า  ทำไมเป็นผมหละครับ” 
“ไม่รู้สิ  ก็เราน่ารักนี่นา”
“อย่างผมไม่เรียกว่าน่ารักหรอกครับ  ต้องแบบหนึ่งสิถึงจะเรียกว่าน่ารัก  ถ้าพี่ชอบแบบน่ารักนะครับ”
“ถ้าพี่ชอบแบบเราหละต้องเรียกว่าอะไร”
น้องอึ้งอยู่  ไม่ยอมตอบคำถามผม   ผมไม่รู้ว่าอะไรดนใจให้ผมพูดอะไรแบบนี้ออกไป  มันออกจะเร็วไปหน่อยถ้าเทียบกับเวลาที่เราเพิ่งได้รู้จักกัน  แต่ผมไม่มีเวลามากหรอกนะครับ  ผมควรจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่ผมมีอยู่ดีกว่า
“ว่าไงครับ  เรียกว่า...”
“ป้าใจครับ   เต้ยมาแล้วคร๊าบบบบ”   เรียกหาป้าใจเฉยเลย  เลี่ยงได้เลี่ยงไป  รอดูพี่เอาจริงละนะ
ผมเล่าโปรเจคของเราให้ป้าใจฟังว่าเราจะทำอะไรบ้าง  เปลี่ยนตรงไหนบ้าง  และรับฟังป้าใจว่าต้องการอะไรในส่วนไหนเพิ่มเติมไหม
“ป้าไม่มีความเห็นอะไรหรอกลูก  ป้าแค่อยากได้โรงนอนของน้องหมาที่แข็งแรงทนฟ้าทนฝนแค่นั้นเองลูก  สงสารน้องๆ  ฝนตกแต่ละทีก็สาดเข้ามาในโรงนอนจนหมด  น้องๆก็ตากฝนกัน  ป้าก็ไม่รู้จะทำยังไง  บ้างครั้งก็ต้องต้อนเข้ามาในบ้าน”
“ครับ  ในส่วนของโรงนอนผมจะทำเป็นแบบโปร่งนะครับ  อากาศจะได้ถ่ายเทได้สะดวก  แล้วก็มีผ้าใบแบบสามารถม้วนขึ้นลงได้นะครับ  ถ้าฝนตกก็ม้วนลงกันฝนสาดได้ครับ”
“ขอบใจมากนะลูกนะ  ถ้าไม่มีพวกลูกๆป้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรครับ  ถ้ายังไงผมขอออกไปเดินดูสถานที่อีกรอบได้ไหมครับ”
“จ๊ะ  ตามสบายเลยนะลูกนะ....ระวัง’เจ้าถื่น’ด้วยนะ”
ผมเดินบริเวณหลังบ้านเพื่อดูแนววางท่อที่จะทำการบำบัดน้ำ จากที่อาบน้ำน้องหมา  ไปยังแปลงผัก  มีน้องเต้ยเดินอยู่ข้างๆ  จากที่แดดร้อนๆในตอนบ่าย กลับพบว่าไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิดไว้
‘แฮก ๆ ๆ ๆ  ’
ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยิน  เห็นหมาตัวใหญ่กำลังวิ่งตรงมายังพวกเรา
“ระวัง”  ไม่ทันแล้ว ผมรีบคว้าตัวเต้ยมากอดไว้  ด้วยความเร็วและแรงในการดึงตัว  น้องเซมาที่อกผมแล้วเราก็ล้มกลิ้งม้วนกันไปหลายตลบ  ผลที่ได้ตอนนี้คือเรานอนกอดกันโดยมีน้องอยู่ด้านบนและผมก็รองรับร่างน้องไว้ด้านล่าง  หน้าเราห่างกันแค่คืบ  ผมสบตากับน้องอย่างลึกซึ้ง  ไล่สายตาลงมามองที่จมูก  ปากแดงๆ  พวงแก้มที่เริ่มขึ้นสี  ตอนนี้ผมค่อยๆรู้สึกถึงความนุ่มลื่นและเปียกชื้นข้างแก้มเหมือนกับว่ามีใครกำลังเลียแก้มผมอยู่ 
‘แพล๊บ ๆ ๆ ๆ’ 
ผมค่อยๆหันไปทางขวา  ...ชัดเลยครับ  ลิ้น  ลิ้นใหญ่มาก
“เฮ้ย / เจ้าถิ่น”
น้องเต้ยรีบเด้งตัวลุกขึ้นไปคว้าคอตัวต้นเหตุ  แล้วลูกหลังมันอย่างรักใคร่
“เจ้าถิ่น  มาได้ไงเนี่ยเรา  ฮืม  แอบไปเล่นน้ำที่บ่อมาอีกแล้วใช่ไหมฮืม”
เจ้าถิ่นคือหมาตัวใหญ่ที่ผมเห็นว่าวิ่งเข้ามาหาพวกเราก่อนหน้านี้  ตอนนี้มันเปลี่ยนเป้าหมายจากที่เลียหน้าผมอยู่ตอนแรก ไปเลียหน้าน้องเต้ยเรียบร้อยแล้ว  อยากเลียด้วยคน   อิจฉาหมาได้ไหมครับ
ขณะที่ผมกำลังพยุงตัวเองลุกขึ้น
“ซี๊ดดด”
“พี่ต้นเป็นอะไรครับ”
“เจ็บข้อมือนิดหน่อยครับ”
“ขอผมดูหน่อยครับ”
“แดงเลยครับพี่ต้น   เจ็บมากไหมครับ”
“ไม่มากครับ  น่าจะแค่ข้อมือซ้น”
“ถ้างั้นเรารีบเข้าไปในบ้านป้าใจดีกว่าครับ  เดี๋ยวผมประคบน้ำแข็งให้”
“ครับ”
“เจ้าถิ่นรีบตามมา”
................

ขณะที่น้องเต้ยกำลังปฐมพยาบาลผมอยู่
“พี่ต้นดีขึ้นไหมครับ”
“ก็ดีขึ้นครับ  แต่ก็ยังปวดอยู่”
“ต้องประคบอย่างต่อเนื่องไปสักพักครับ   แล้วแบบนี้พี่ต้นจะขับรถกลับไหวไหมครับ”
“ยังเหลือมือขวาอีกข้างครับสบายมาก”
“ผมขอโทษนะครับ  ผมช่วยอะไรพี่ต้นไม่ได้เลย”
“ไม่เป็นไรครับ  แต่ถ้าเรารู้สึกผิดจริงๆ  ก็ทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนพี่นะครับ”
“ได้อยู่แล้วครับ  แถมบริการประคบเย็นให้อีกรอบก่อนกลับด้วยครับ”
“แต่ถ้าไม่กลับเลยจะดีกว่านะครับ”
 --------------    Dead air ------------   หวี่  หวี่  หวี่ -----------*
“เดี๋ยวเราเข้าไปลาป้าใจ  แล้วกลับกันเลยดีไหมครับ”
……………………………………………….

เราไม่ได้แวะร้านอาหารกัน  เนื่องจากผมขับรถไม่ถนัดจึงตรงกลับมาที่คอนโดขอผมเลย   ก่อนขึ้นห้องเราแวะซื้อซุปเปอร์ใต้คอนโดเพื่อทำอาหารทานกัน  เมนูวันนี้มีผัดผักรวม  ไข่เจียว  กับข้าวต้มกุ้ยร้อนๆ  น้องบอกว่ากินข้าวต้มแหละดีแล้ว  จะได้ย่อยง่าย ๆ  ผมว่าน้องเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า  ผมข้อมือซ้นนะไม่ใช่เป็นไข้หวัด  หรือโรคกระเพาะอาหารอักเสบ  แต่ก็เอาเถอะผมไม่อยากขัดความหวังดีของน้องเค้า  อ้อ  อาหารทั้งหมดนี้รังสรรค์โดยเชฟตุ้ยเค้าหละ  น่ารักแล้วยังทำกับข้าวเป็นอีก แรไอเท็มแบบนี้ผมต้องรีบรวบหัวรวบหางแล้วหละ
“เต้ยครับ”
“ครับ”
“เรารู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้พี่เนี่ยเรียนหนัก  ไหนจะต้องช่วยงานรุ่นพี่  ไหนจะต้องทำโปรเจคเพื่อส่งประกวดอีก “
“ครับ”
“โปรเจคนี้ที่จะส่งไปก็ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่า  ถึงจะไม่ผ่านแต่พี่ก็จะพยายามทำมันให้สำเร็จให้ได้  ส่วนเรื่องการหาเงินทำการมาปรับปรุงศูนย์ฯพี่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้  แต่พี่ไว้ใจปอนด์กับโทนมันในเรื่องนี้  ตอนนี้ก็ได้คุยกับเพื่อนเก่าๆที่เคยทำโครงการมาด้วยกัน  พวกมันก็เอาด้วย  พร้อมช่วยเต็มที่  พี่เลยไม่ห่วงเรื่องนี้แล้ว”
“ครับ”
“ก็จะมีแต่เรื่องของเรานี่แหละ   อย่างที่บอกพี่ไม่ค่อยมีเวลา  หลังจากที่เริ่มโปรเจคก็จะยิ่งยุ่งมากขึ้น  จะไปรับไปส่งเราอย่างที่ใจคิดก็ไม่ได้   จะมาชวนเราทานข้าวด้วยบ่อยๆก็คงยาก  พี่รู้ว่ามีใครอื่นที่เขาพร้อมกว่าพี่  แต่พี่ไม่อยากให้เราเปิดโอกาสให้ใครเลย  อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว  แต่พี่ขอเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ไหม”
“เอ่อ....พี่ต้นครับ  คือผมงงอะครับ  ที่พี่ต้นพูดมาไม่ใช่ว่ากำลังโอกาสจากผมเพื่อจะ ..จ ..จีบหรอกนะครับ”
“ครับ  นั่นแหละครับคือสิ่งที่พี่อยากจะบอก  ขอโอกาสพี่จีบเราได้ไหมครับ”
------- --  เพล้ง --  --------

---------

เรื่องอาจจะช้าหน่อยนะคะ  อย่าเพิ่งเบื่อกันน๊าาาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2019 18:27:15 โดย k2g »

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 5   คำตอบ


ตืดดดดด   ....... ตืดดดด.................. ตืดดดด..................

‘สวัสดีครับ  ต้นพูดสายครับ’
‘สวัสดีครับพี่ต้น  นี่เต้ยนะครับ’
‘อ้าวเต้ยหรอ  มีอะไรไหมครับโทรมาแต่เช้าเลย’  น้ำเสียงคือแปลกใจ
‘ขอโทษทีครับที่โทรมารบกวน  แต่ตอนนี้พี่ต้นช่วยลงมาข้างล่างหน่อยได้ไหมครับ  ผมเอาอาหารเช้ากับยามาให้ครับ’
‘ไม่ไม่ ไม่รบกวนเลย   เดี๋ยวพี่ลงไปนะ  รอพี่แป๊บหนึ่ง’ 
‘ครับ’
..........

ผมนั่งรอพี่ต้นที่หน้าล็อบบี้คอนโด
ติ๊ง ....
ผมมองไปที่หน้าลิฟต์  พี่ต้นออกมาในสภาพหัวยุ่งเหยิง  เสื้อกล้าม  กางเกงบ็อกเซอร์  เหมือนคนที่รีบเด้งตัวออกจากที่นอนแล้วตรงลงมาที่นี่เลย  ระหว่างที่เดินเข้ามาหาผมพี่ต้นก็พยามลูบผม  ลูบหน้าลูบตาเพื่อให้ดูเรียบร้อยขึ้น  ก่อนส่งยิ้มมาให้ผม

“พี่ต้น สวัสดีครับ”  ผมกล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้พี่ต้นอย่างที่เคยทำ
“หวัดดีครับ  โทษทีนะพี่ขอยืนห่างเราหน่อยแล้วกัน  เพราะพี่ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย  พอวางสายจากเราแล้วพี่ก็รีบลงมาเลย”
“ไม่เป็นไรครับ   นี่โจ๊ก ปาท่องโก๋  น้ำเต้าหู้ กับยาครับ  มียาแก้ปวด  แก้อักเสบ  แล้วก็ยานวดคลายกล้ามเนื้อด้วยครับ”
“ขอบคุณครับ  ปะขึ้นข้างบนกันก่อน”
“เอ่อ..  “
“ขึ้นมาเถอะครับ  เนี่ยข้อมือพี่ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยนะครับ  ไม่มีคนประคบให้เลย  คนที่บอกว่าจะประคบให้กันเมื่อคืนก็หนีไปซะก่อน”
.............

“เอ่อ....พี่ต้นครับ  คือผมงงอะครับ  ที่พี่ต้นพูดมาไม่ใช่ว่ากำลังโอกาสจากผมเพื่อจะ ..จ ..จีบหรอกนะครับ”
“ครับ  นั่นแหละครับคือสิ่งที่พี่อยากจะบอก  ขอโอกาสพี่จีบเราได้ไหมครับ”
‘เพล้ง’
ผมตกใจจนปัดแก้วน้ำตกแตก  ผมไม่เคยคิดเลยว่าพี่ต้นจะคิดกับผมแบบนั้น  เราเพิ่งรู้จักกันเอง  เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันก็แค่ไม่กี่ครั้ง  แล้วทุกครั้งที่ไปก็เกี่ยวโปรเจคนี้ด้วย  มีแค่วันนี้เท่านั้นที่พี่ต้นพูดจาแปลกๆกับผมแค่นั้นเอง  เรื่องราวมันเกิดขึ้นเร็วมากสำหรับผม
ผมรีบก้มลงไปเก็บแก้วที่ตกแตก   พี่ต้นตามลงมาจับมือผมไว้ 
“ใช้ที่ตักขยะดีกว่านะครับ  เดี๋ยวบาดมือ”  มือผมสั่น  แต่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดจากมือผมเอง หรือมือของคนที่จับมือผมไว้กันแน่
“ครับ  อยู่ตรงไหนครับ  เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อยู่ตรงระเบียงครับ”
ผมเดินเอาไม้กวาด และที่ตักขยะจัดการเรียบร้อย  พร้อมเก็บจานชามบนโต๊ะ  ในระหว่างนั้นก็พยายามรวบรวมสติให้มากที่สุด 
ถ้าถามว่าผมรู้สึกอย่างไรกับพี่ต้น  พี่ต้นเป็นผู้ชายหน้าตาดี  ตัวสูงใหญ่สมวัยชายฉกรรจ์  เรื่องความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงเด็กมหา’ลัยปีสามก็เหอะ  ช่วงที่ผมได้ใกล้ชิดกับพี่ต้นทำให้ผมได้เห็นข้อดีเหล่านี้  ดังนั้นไม่คงไม่ยากหากผมจะชอบพี่เขาถึงแม้จะยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ตาม  แต่ผมก็อยากเปิดโอกาสให้ตัวเองอีกสักครั้ง  ผมเคยผิดหวังกับเรื่องของความรักมาก่อน   แต่ผมไม่อยากจมอยู่กับมันอีกต่อไปแล้ว  หากเป็นไปได้ผมก็อยากมีใครสักคนที่ดีต่อใจ  ให้เราช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน  เป็นที่พึ่งทางใจ  เป็นคนที่คอยแบ่งปันเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุขก็ตาม  ......  แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้ว  ต้องหนีไปตั้งสติก่อนครับ
“เอ่อ  พี่ต้นครับ  ผมเก็บทำความสะอาดให้เสร็จแล้วนะครับ  ยังไงผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”  ผมหันไปบอกพี่ต้นที่นั่งรอผมอยู่ที่โซฟา  “เอ่อ  แล้วเรื่อง...”
“ฮาววว  ผมง่วงมากเลยครับ  เหนื่อยมาทั้งวันแล้วครับ  อยากกลับไปพักผ่อนแล้วครับ”
“ได้ๆ  เดี๋ยวพี่ไปส่งนะครับ”
“ไม่ ไม่เป็นไรครับ  ผมกลับแท็กซี่สะดวกกว่าครับ  อีกอย่างพี่ต้นก็ยังเจ็บข้อมืออยู่ขับไม่สะดวกหรอกครับ  ผมไปแล้วนะครับ  สวัสดีครับ”
“เอ่อ.....”
ผมรีบขว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกจากห้องพี่ต้นไป  หวังว่าพี่ต้นจะเข้าใจว่าผมยังไมพร้อมจะคุยตอนนี้นะครับ

..........


“ได้ครับ  แต่ผมอยู่ได้ไม่นานนะครับ  ต้องไปช่วยงานที่ร้านคุณแม่ตอน 10 โมงนะครับ”
“โอเคครับ  นี่เพิ่ง 8 โมงเอง  เหลือๆครับ”   พบคนหน้าบาน 1 อัตรา  พี่ต้นเดินนำผมเข้าไปในลิฟต์


“เรานั่งรอพี่ที่โซฟานี่ก่อนนะครับ  พี่ขอเข้าไปอาบน้ำก่อน  เดี๋ยวออกมากินโจ๊กกัน”
“ครับ”
ระหว่างรอผมก็สำรวจห้องพี่ต้นไปด้วย   เป็นห้องที่ไม่ได้ใหญ่มาก  มี 2 ห้องนอน  ห้องนั่งเล่นที่พี่ต้นแบ่งมุมหนึ่งไว้สำหรับทำงาน  ฝั่งใกล้ระเบียงเป็นโซนห้องครัวที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน  มีโต๊ะทานข้าวเล็กๆสำหรับ 2 คน 
ผมเดินไปแกะถุงโจ๊กใส่ถ้วย  เทน้ำเต้าหู้ใส่แก้ว  เอาปาท่องโก๋ใส่จาน  รอพี่ต้นออกมาทาน
‘แอ๊ดดด’

ผมยิ้มให้พี่ต้นที่เดินหอมฉุยออกมาจากห้อง
“พี่ทานได้เลยไหม”
“ตามสบายเลยครับ”
“ทำไมมีแค่ถ้วยเดียวหละครับ”
“ผมทนชานมาแล้วครับ”
“พี่ทานคนเดียวก็เขินแย่สิครับ”
“นี่ไง  เดี๋ยวผมทานปาท่องโก๋เป็นเพื่อน”   ผมไม่ชอบเห็นพี่ต้นทำหน้าหงอยเลยครับ  ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเพียงการแสดงก็เหอะ   เมื่อมานั่งใกล้ๆพี่ต้นถึงได้เห็นว่าตาพี่เขาคล้ำมากเลย
“พี่ต้นนอนดึกหรอครับ  ตาดำเชียว”
“ครับ  พอดีมีเด็กแถมนี้ทำให้พี่คิดมาก นอนไม่หลับ  เลยต้องนั่งปั่นงานจนถึงเช้า  เพิ่งได้งีบตอน 6 โมงนี่เองครับ”
“แคกๆๆ”  สำลักปาท่อโก๋ครับ
“ดื่มน้ำก่อนๆ”
“ขอบคุณครับ”
 .....  หวี่   หวี่   หวี่......

ผมยังคงไม่พูดอะไร  ละเลียดกินปาท่องโก๋  เหลือบมองพี่ต้นบ้างเป็นบางครั้ง
พี่ต้นเองก็เงียบกินโจ๊ก  ตามด้วยน้ำเต้าหู้จนหมด  แล้วเดินเอาถ้วยกับแก้วไปล้าง  เดินกลับมาที่โต๊ะ หยิบทิชชูมาเช็ดมือให้ผม  จับมือผมเดินไปนั่งที่โซฟา  เรานั่งข้างๆกัน   ผมไม่รู้จะพูดอะไร  หรือทำอะไรดี   ได้แต่นั่งแกะเล็บแล้วเสหน้าไปอีกฝั่ง
“ที่เรามาหาพี่วันนี้  พี่พอจะคิดไปเองได้ไหมว่า ...  พี่ได้รับโอกาสนั้น”  อยู่ๆ พี่ต้นก็พูดขึ้นมา
“ก็เมื่อคืนคิดขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้พี่กินยาอะไรเลยนี่ครับ   ผมกลัวพี่เจ็บข้อมือนิครับเลยรีบเอามาให้แต่เช้า  “
“ส่วนเรื่องโอกาสอะไรนั้น  ผมก็ไม่เคยปิดกั้นใครนะครับ  “
“แสดงว่าพี่จีบเราได้”
“ก็... แล้วแต่พี่สิครับ”
“แล้วแต่พี่หรอ   งั้นพี่ไม่จีบละ”
“เป็นแฟนกันเลยดีกว่า”
“ยังครับ  ต้องจีบก่อน”  ผมรีบโพล่งออกไป
“ 555  ได้ครับ  จีบกันก่อนเนอะ  ค่อยเป็นค่อยไปเนอะ”  แล้วจะเอามือมายีหัวผมทำไมเนี่ย
“พอแล้วครับ  ผมเสียทรงหมดแล้วครับ”
“แต่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมนะครับ”
“พี่ต้น  พอเลยครับ”

.................................
ตอนที่5  มาสั้นๆหน่อยนะคะ
 :hao5:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 6  เพื่อนร่วมขบวนการ


‘ไลน์’

( เข้าห้องเรียนหรือยังครับ )
“เข้าแล้วครับ  ตอนนี้รออาจารย์อยู่ครับ”
( แล้วอาหารเช้าอร่อยถูกปากไหมครับ )
“อร่อยครับ  ขอบคุณนะครับ”
“แต่อยากเจอหน้าคนที่เอามาฝากไว้ด้วย”
( ไม่ได้หรอกครับ   ถ้าได้เห็นหน้าเราพี่คงยาว )
( ถ้าเราไม่ได้ไปเรียนจะทำยังไงหละครับ )
“ก็แค่กินข้าวเช้าด้วยกันเองครับ”
“ไม่ได้หรอครับ”
( อย่ามาอ้อนครับ   เดี๋ยวพี่พุ่งตัวไปหาเดี๋ยวนี้เลย )
ตามด้วยสติ๊กเกอร์  ‘หมีปั่นจักรยาน’
( อดทนหน่อยนะครับ  ตอนนี้โปรเจคผ่านแล้ว  พี่ต้องเร่งทำโมเดล  ดีที่ได้พวกน้องๆมาช่วยตัดโม  คืบหน้าไปเยอะแล้วครับ )
ผมส่งสติ๊กเกอร์  ‘เต้ยรับทราบ’
“อย่าหักโหมมากนะครับ  มีคนเป็นห่วง”
( อยากไปเอากำลังใจตอนนี้เลย  ทำไงดี )
“ก็มาดิคร๊าบบบ”
(โอ๊ย...อย่ามายั่วพี่นะครับ )
“ 55555 “
“ไม่แกล้งแล้วครับ”
“ตั้งใจทำงานนะครับ  แล้วค่อยเจอกันเย็นนี้ครับ”
 (ครับผม  พี่จะตั้งใจทำงานเพื่ออนาคตของเรานะที่รัก )
(อยู่บ้านพี่ฝากดูแลลูกๆของเราด้วยนะครับ)
“ไม่ใช่ละ”
“รีบไปทำงานเลยนะครับ  ชิ่วชิ่ว”
( 5555 )
ตามด้วย ‘กระต่ายส่งจูบ’
 
 
หลังจากวันที่ผมเปิดโอกาสให้พี่ต้น  เราก็แทบจะไม่มีเวลาเจอกันเลยอย่างที่พี่ต้นได้เคยบอกไว้   แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าพี่ต้นหายไปไหนเลย  เพราะพี่ต้นก็ไลน์มาหาผมตลอด  วันละหลายๆรอบด้วย บางครั้งก็ขอคุยแบบวีดีโอคอล  แต่ผมยังไม่เคยเปิดตอบรับสายหรอกนะครับ  ก็มันจะรู้เขินๆ  เราต้องจ้องหน้ากันตลอดเวลาที่คุยกันใช่ไหมหละครับ  ผมไม่เอาด้วยหรอครับ  เขินตายห่า     

“อะแฮ่ม  อะแฮ่ม” เสียงของหนึ่งที่นั่งข้างขวามือผม
“ยิ้มหน้าบานเชียวนะ”
“ไม่รู้ว่าคนแถวนี้มีอะไรจะสารภาพกับเราหรือเปล่าเนอะฟ้าเนอะ”
ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องผมกับพี่ต้นให้เพื่อนฟัง  ก็ไม่ได้จะปิดบังอะไรนะครับ  แต่มันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี  แต่คิดว่าเพื่อนๆคงสังเกตเห็นแหละครับ  ก็ปกติผมก็ไม่ค่อยจะได้เล่นมือถือ หรือจะมานั่งติดตามความเคลื่อนไหวของโลกโซเซียลก็หาได้ยากครับ  แต่ช่วงนี้ผมหยิบมันขึ้นมาใช้ทุกครั้งที่พอจะมีเวลา

ผมหันหน้าไปยิ้มให้หนึ่งทีหนึ่ง   แล้วก็หันไปยิ้มให้ฟ้าอีกทีหนึ่ง
“อาจารย์เข้าแล้ว  เดี๋ยวกลางวันเล่าให้ฟัง”
หนึ่งเอาแขนมาคล้องที่แขนผม
“แบบนี้แหละจะได้หนีไม่ได้”
“หีๆ  เราไม่ได้จะหนีสักหน่อย  ปล่อยก่อนเร็วเราเขียนไม่ถนัด”
หนึ่งหันไปขอความเห็นจากฟ้า
ฟ้าหยักหน้าให้หนึ่ง  แล้วคล้องแขนซ้ายผมแทนหนึ่ง  อะไรเนี่ยไม่ไว้ใจกันเลยหรอเนี่ย


‘กรี๊ดดดดดด’
“จริงหรอเต้ย   พี่ต้นเค้าพูดแบบนั้นจริงๆหรอ”  ฟ้าถามด้วยความตื่นเต้น
ผมพยักหน้ายืนยัน
“แล้วเต้ยก็ตอบตกลงใช่ไหม”
“เราอยากเปิดโอกาสให้ตัวเองด้วย”
“ฟ้าดีใจนะที่เต้ยยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองสักที  ที่ผ่านฟ้ากับหนึ่งเป็นห่วงมากเลยนะ  เรารู้ว่าเรื่องเกิดกับเต้ยมันหนัก  แต่ยังไงเราก็ไม่อยากให้เต้ยจมอยู่กับมันตลอดไปหรอกนะ”
“อืม  เรารู้  แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ  เราลืมไม่ได้จริงๆ”
“เต้ยไม่ลืมมันนะดีแล้ว  แค่จำมันไว้เป็นบทเรียน”  หนึ่งพูดบ้าง
“แต่พี่ต้นเขาก็ประวัติเรื่องผู้หญิงไม่ใช่น้อยนะ  เต้ยแน่ใจหรอ”
“เราไม่รู้หรอกหนึ่ง  เราไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงเป็นพี่ต้นด้วย  อาจจะเป็นเพราะพี่เขาเข้ามาตอนที่ใจของเรามันเข้มแข็งมากขึ้นก็ได้มั้ง  ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มกับการเสี่ยงไหม  คราวนี้เราอาจจะเจ็บเหมือนเดิมก็ได้  แต่ถ้าเราไม่ออกมาเซฟโซนสักที  เราก็จะไม่มีโอกาสเจอความรักดีๆสักที  จริงไหม”
“เต้ย/เต้ย”  ฟ้ากับหนึ่งเข้ามากอดผม   ผมจึงโอบกอดเพื่อนทั้งสองคนตอบ
“แต่เรารู้ว่าต่อให้คราวนี้เราเจ็บอีกครั้ง  เมื่อมองกลับมาเราจะยังเห็นฟ้ากับหนึ่งยืนอยู่ข้างเราเสมอ  จริงไหม?”
“แน่นอนเพื่อนเอ๋ย 555 “   
“ลุยให้เต็มที่   นายยังมีเราเสมอเพื่อน “  นายแมนมากเลยหนึ่ง 

………………

ตอนเย็นพวกเรามีนัดกับพี่สามทหารเสือและเพื่อนๆพวกพี่แกที่เข้าร่วมทำโปรเจคครั้งนี้  ที่ห้องชมรมดนตรี   พวกเราคิดว่าจะจัดคอนเสิร์ตเพื่อเป็นการระดมทุน  โดยมีหนุ่มๆสามทหารเสือนี่แหละเป็นตัวหลักในการแสดง  แค่พวกแฟนคลับและสาวๆของพวกพี่แกก็เยอะอยู่  ไม่ใช่ว่าเราหลอกใช้บรรดาแฟนคลับพวกพี่แกหรอกนะครับ  เรียกว่าเป็นการคืนกำไรให้กับท่านผู้ชมดีกว่าครับ  แถมยังได้ร่วมกันทำบุญให้กับน้องหมาด้วยนะเออ

“แต่ตอนนี้เรายังไม่มีเงินทุนกันเลยนะ  ถึงแม้ในชมรมจะมีเครื่องดนตรีสำหรับเล่น   แต่พวกเครื่องเสียงของเราก็ไม่ได้มีคุณภาพมากพอสำหรับการจัดคอนเสิร์ตหรอกนะ  ต้องเช่าจากข้างนอกน่าจะเวิร์คกว่า  แล้วไหนจะค่าเช่าสถานทีอีกหละ”
พี่แมท  หนุ่มผมมยาวสุดเซอร์ ซึงเป็นประธานชมรมวงดนตรี  พูดขึ้น

“เรื่องสถานที่ผมได้ไปดูไว้บ้างแล้วหละครับ  นี่ครับ”  พี่โทน  ส่งรูปสถานที่ให้พวกเราดู  ซึ่งสถานที่เป็นร้านเหล้าคล้ายๆโรงเบียร์  ข้างในร้านกว้างขวาง  มีเวทีสำหรับเล่นดนตรีอยู่แล้ว  น่าจะจัดคอนเสิร์ตที่ร้านเป็นประจำ
“เจ้าของร้านชื่อพี่เบิร์ดเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของผมเอง  ผมได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับโครงการของเราให้พี่เบิร์ดให้  แกเลยให้เรายืมสถานที่จัดคอนฯฟรีๆ  แต่เราต้องจัดกลางวันนะครับ  ไม่เกินบ่ายสอง  เพราะแกต้องเตรียมเปิดร้านก่อนบ่ายสาม”
“อืม  จัดกลางวันก็ดีเหมือนกันเราจะได้ไม่เหนื่อยกันมากนัก  จะได้มีเวลาพักเหนื่อยหลังจากนี้  จัดตั้งแต่ 10 โมง ถึงเที่ยง แล้วก็เคลียร์สถานที่อีกไม่สองชั่วโมง  เป็นไงโอเคกันไหม”  พี่แมทเสนอความเห็น
ไม่มีใครคัดค้าน   บางคนก็พยักหน้า
“ส่วนเรื่องสตาฟ  ก็พวกน้องๆในชมรมนี่แหละ  แล้วก็ฉันได้ไปคุยกับเพื่อนที่อยู่นิเทศฯละ  เดี๋ยวพวกมันมาช่วยอีกที”
“เรื่องสถานที่ผ่าน  เรื่องสตาฟผ่าน  แล้วเครื่องเสียงเราจะขอใช้ของทางร้านได้ไหม”
“เดี๋ยวผมถามพี่เบิร์ดอีกทีครับ”
“เอ่อ  ผมขอเสนอความคิดนิดหนึ่งนะครับ”  ผมเสนอความเห็นบ้าง
  “ไหนๆกลุ่มเป้าหมายของเราก็เป็นบรรดาแฟนคลับของพวกพี่ทั้งสามคนแล้ว  จะดีไหมครับถ้าเราจะทำพวกเสื้อยืดขายด้วยเลย”
“ก็ดีนะ  ทำหลายๆอย่างจะได้เงินเข้ามาหลายๆทาง”
“นิ้งขอรับผิดชอบการออกแบบ  และจัดทำเสื้อได้ไหมค่ะ  พอดีมีเพื่อนที่เค้าออกแบบเก่งๆนะคะ”
“จัดไปน้อง”
“ถ้าได้แบบแล้วเดี๋ยวนิ้งส่งให้พวกเราดูอีกทีนะคะว่าโอเคกันไหม”
“แต่พี่สงสัยว่า   คนที่ว่านี้แค่เพื่อนจริงหรอ “ พี่ในทีมเอ่ยแซวพี่นิ้ง  คงรู้อะไรดีๆแน่เลย พี่นิ้งถึงได้อายม้วนต้วนอย่างนั้น
“ไม่แซวสิค่ะ  นิ้งเขิน”  5555
“แล้วถ้าเราจะจัดประมูลของรักของหวงของพี่ๆทั้งสามคนด้วยดีไหมครับ “  คราวนี้หนึ่งเป็นคนเสนอแนะบ้าง
“พี่ว่าไม่ดีกว่าครับ   พี่ก็ไม่ใช่คนดังอะไรขนาดนั้น  ทำแบบนี้พี่จะคิดว่าตัวเองเป็นเจมส์ จินะครับเนี่ย”   พี่ต้นพูดขึ้นขำๆ
“โอ๊ยยยย   พวกพี่ดัง  ดังมาก  เชื่อผม”  หนึ่งแย้ง
“คนโฟโลเป็นแสนไม่เรียกว่าดังจะเรียกว่าอะไรค่ะ   นิ้งเห็นด้วยกับความคิดของน้องหนึ่งนะคะ   แต่ของที่จะเอาประมูลขอเป็นแบบพิเศษๆนะคะ  รับรองสาวๆแย่งกันตรึม “
“เอาจริงหรอ”   พี่ต้นพูดแล้วหันไปขอความเห็นจากคนอื่นๆ  พี่แนทพยักหน้า  แล้วทุกคนก็ตกลงเห็นด้วย  พี่ปอนด์ได้แต่ยิ้มแหยๆ  ส่วนพี่โทนยักไหล่   
“กูยังไงก็ได้”
“เราว่าไง”  พี่ต้นหันมาถามผม
“ก็เจ๋งสิครับ  เดี๋ยวผมร่วมประมูลด้วย”  ผมยิ้มสนับสนุนคำพูด
“เราต้องประมูลให้ได้นะครับ  อย่าปล่อยให้พี่ตกไปเป็นของใคร “  ได้ข่าวว่าแค่ของไหมครับพี่ต้น
“เอ้า  เร็วๆ หน่อย  ว่าไง  หมูกระทะรออยู่”  พี่แนทพี่กระตุ้น
“เอาก็เอาครับ  ว่าไงว่ากัน”
“มันต้องแบบนี้สิไอ้น้อง”


..............

หนุ่มๆ  จะเอาอะไรมาประมูลนะ :katai2-1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2019 18:36:56 โดย k2g »

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #13 เมื่อ17-08-2019 16:38:29 »

+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

อยากให้ติดตามกันไปจนจบเรื่องนะคะ... ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สนใจอย่างลับๆเหรอคะพี่ต้น
ว่าแต่เต้ยอกหักมาเหรอ

ไม่อยากให้เดาเลยค่ะ   เพราะมันจะถูก 5555

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #15 เมื่อ17-08-2019 16:41:10 »

น่าอ่านต่อครับผม,,,

ช่วยตามลุ้นต่อด้วยนะคะ..  มีอะไรก็แนะนำการเขียนได้ค่ะ
 :impress2:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #16 เมื่อ17-08-2019 16:43:21 »

:pig4:
 :L2: :3123: :L1:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ... เพิ่งตอบเป็นค่ะ  (ใช้เล้าเป็นไม่ค่อยเป็ด  อยากตั้งชื่อตัวเองว่าเป็ดเซ่อจังเลยค่ะ) :กอด1:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 7    เราคือเพื่อนกัน

ณ  ร้านหมูกระทะ

“อ้าว  โชนนนนน”
บางแก้วก็เบียร์  บางแก้วก็น้ำอัดลม 
“พี่ต้นไม่ดื่มหรอครับ”
“วันนี้ไม่หละ  เดี๋ยวต้องไปส่งเราอีก”
“เฮ้ย  แล้วกูหละ  วันนี้กูไม่ได้เอารถมานะเว้ย”  เสียงพี่โทนโวยวาย
“มึงก็เป็นซะแบบนี้  เห็นแฟนดีกว่ากู  ใช่สิกูมันคนเก่าไปแล้วหนิ  มึงจะมาสนใจใยดีอะไรกู”  เอ่อพี่ครับ  ยังไม่ใช่แฟนครับ  ผมอยากบอกพี่โทนนะแต่คงคิดได้แค่ในใจ  ก็พี่แกเล่นบ่นยืดยาวไม่เว้นช่องว่างให้ใครได้แทรกเลย
“แต่กูไม่ง้อมึงก็ได้  ผัวขาไปส่งเค้าหน่อยนะค้า”  พี่โทนหันไปออดอ้อนพี่ปอนด์อย่างน่ากลัว  ก็ผู้ชายตัวใหญ่ๆทึกๆ  ทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่  แถมยังพยายามออเซาะแนบอิงแอบอีกต่างหาก  เป็นผมวิ่งป่าราบครับ
“ขอโทษนะอีกะเทยควาย  กูต้องไปส่งน้องฟ้าไม่ว่างพามึงไปสนามหลวงหรอก  เชิญมึงไปหาต้นมะขามสิงเองละกันนะจ๊ะ”
พี่ปอนด์พูดพร้อมเอามือพลักหัวพี่โทนออกไปอย่างนึกรังเกียจ   เรียกเสียงฮาจากพวกเราที่เหลือได้เป็นอย่างดี
“เค้าเสียใจ  ฮึกฮึก”  แล้วแทรงทำเป็นร้องไห้เสียใจ  โถ  ถ้าพี่แกเป็นผู้ชายตัวเล็กๆ มันคงดูน่ารักดีหรอกนะครับ
“พี่โทนอยู่แถวไหนครับ”  หนึ่งถามขึ้น
“โทน  9 นิ้ว เอ้ยพระราม 9 ครับผม”   
“ไม่ใช่ทางผ่าน”
“อ้าว”
“แต่แวะไปส่งได้ครับ”
“หนึ่งผัวขา  ทูนหัวของเมียน่ารักมากเลยค่ะ   เดี๋ยวคืนนี้เมียให้รางวัลชุดใหญ่เลยนะคะ”
“เอ่อ   ผมไม่ไปส่งแล้วได้ไหมครับ  ผมกลัว”  555  หนึ่งพูดด้วยความสยองขวัญอีกคน
.
“น้องจูนจ๋า”
‘พลั๊ก’
.
.
.
.
พี่นิ้งส่งแบบเสื้อมาให้พวกเราดูแล้ว  เป็นเสื้อลายน้องหมา มีแบล็คกราวด์เป็นรูปบ้าน  สื่อถึงจุดประสงค์อย่างชัดเจน  ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน  แต่มีความน่ารัก  เนื้อผ้าค็อตตอนใส่สบาย  เราคิดกันว่าจะทำออกมา 2 สี  คือขาว  กับกรมท่า  สำหรับคนที่ชอบใส่สีเข้มๆ  พี่นิ้งติดต่อร้านที่รับทำไว้แล้ว  แต่ทางร้านขอเงินมัดจำก่อน 30 เปอร์เซ็นต์   แต่เรายังไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายกันเลยสักบาท   ฟ้าจึงเสนอว่าเราควรออกรับบริจาคเพื่อระดมทุน  โดยใช้สามหนุ่มเป็นตัวล่อ (อีกเช่นเคย)  และเพื่อแลกกับเงินรับบริจาค  หนุ่มๆต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวกันนิดหน่อย 

โฮมฮักครับ   ร่วมกันบริจาคเพื่อสร้างบ้านให้น้องหมาครับ”
“บริจาควันนี้  แถมฟรีกอดอบอุ่นๆครับ”
“เร่เข้ามาเลยจ้า”

งานนี้พวกเราค่อยข้างสบายเลยครับ  ไม่ต้องทำอะไรมาก  แค่ยืนถือกล่องรับบริจาค  และก็ประชาสัมพันธ์บ้างนิดหน่อย  เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ลงโปรโมทไว้ในไอจีของพี่ทั้งสามคนแล้ว  และได้รับการตอบรับจากบรรดาสาวๆเป็นอย่างดี  คอมเม้นต์ถล่มทลาย  บางคนก็บอกว่าขอทำมากกว่ากอดได้ไหม  บ้างก็เข้ามาคอมเม้นต์ว่าจะขยำให้หนำใจ  (หนึ่งเอามาให้ผมอ่าน  ผมถึงกับขำพรืด  ....  เหลือไว้ให้ผมใช้งานบ้างเถอะนะครับ”
ตอนนี้แถวยาวมาก  มีทั้งสาวแท้สาวเทียมต่อแถวรอกันอย่างไม่ยอมแพ้  หวังว่าวันงานคอนเสิร์ตจะมีคนมาเยอะๆเหมือนแบบนี้นะครับ

“พี่ต้นดื่มน้ำก่อนครับ”
ผมเดินเอาน้ำไปให้พี่ต้นดื่มก่อนที่จะเป็นลมไปซะก่อน   ถึงแม้ว่าช่วงเย็นจะไม่ค่อยมีแดดแล้วแต่อากาศก็อบอ้าวมาก  ยิ่งได้เห็นปริมาณที่พี่ต้นต้องให้บริการแล้ว   ผมว่าผู้ชายแมนๆก็ทรุดได้ครับ  แต่พี่ต้นไม่บ่นซักคำ  อาจจะมีเหนื่อยบ้าง  แต่พี่ต้นก็ยังคงยิ้มส่งให้เหล่าแฟนคลับได้  คงเป็นเพราะผมที่คอยยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆหละมั้ง  (คิดเอง  เออเอง  มั่นมาก ณ จุดนี้)

“ขอบคุณครับ”  ดื่มน้ำแล้วหันไปให้บริการต่อ  เพราะแถวยังยาวอยู่มาก
พี่ปอนด์ยืนอยู่ข้างๆพี่ต้น  โดยมีฟ้าคอยยืนดูแลและให้กำลังใจอยู่ข้างๆเช่นกัน
พี่โทนอยู่ถัดไปจากพี่ปอนด์อีกที  หน้าตาไม่ได้มีความใกล้เคียงกับคำว่าเหน็ดเหนื่อยเลย  ตรงกันข้ามกันเสียอีก  น่าใช้คำว่า ‘ระริกระรี้’  ถึงจะถูกต้องที่สุด  จัดเต็มทุกบริการ  ไม่ว่าจะเป็นการจับมือ  กอด  หอมแก้มก็มี  (นี่ถ้าจูบปากแล้วไม่น่าเกลียดแกคงทำไปละ)  หนึ่งคงนึกหมั่นไส้พี่โทนเหมือนผมหละมั้ง  ถึงได้มองพี่โทนตาถลนทุกครั้งที่มีคนขอหอมแก้มพี่โทน

ในที่สุดก็หมดซักที  นี่ก็ปาเข้าไปจะสองทุ่มแล้ว  ผมสงสารพี่ๆทั้งสาม  ยืนบริการ (กอด)  มาเกือบ 4 ชั่วโมง  แทบไม่ได้พักกันเลย  ในขณะที่เรากำลังรวบรวมกล่องรับบริจาคเพื่อไปนับที่ห้องชมรมดนตรีกัน

“โอ๊ยยย  หนึ่งใจเย็นครับ”
“เต้ย  เราขอตัวแป๊บหนึ่งนะ  เดี๋ยวตามไป”
หนึ่งพูดพร้อมกับดึงหูพี่โทน  แล้วลากออกไปจากตรงนี้
“หนึ่งครับ  ใจเย็นก่อน  พี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
“ไม่ต้องพูดมาก   ตามหนึ่งมานี่”

ผม  และคนที่เหลือ  มองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
พร้อมมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาในใจขณะที่มองหน้ากัน

‘#ถ้าคุณขี้เสือก  เราคือเพื่อนกัน’
 


................

เคยบอกไปหรือยังน๊าาาา  ว่าหนูหนึ่งเป็นลูกชายนายตำรวจใหญ่   :mc4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #18 เมื่อ18-08-2019 09:54:50 »

 :katai2-1:
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #19 เมื่อ22-08-2019 15:38:04 »

เก็บสถิติผู้อ่าน 300 ครั้ง
ขอบคุณทุกๆคนนะคะ :กอด1:
เสาร์นี่เจอกันใหม่ค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-08-2019 15:38:04 »





ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 8   ทางด่วนพิเศษ

‘ไลน์’

NongToei  :  พี่ต้น  เต้ยมาถึงแล้วครับ
Tonsung :  รอพี่อยู่หน้าตึกนะ  เดี๋ยวพี่ลงไปรับ

วันนี้หลังจากที่ผมทำงานที่ห้องสมุดเสร็จ  ก็เดินไปซื้อข้าวที่โรงอาหาร  แล้วก็แวะซื้อน้ำขนมและนมเนย  สำหรับมื้อเย็นให้พี่ต้น  และเพื่อนๆพี่เขาที่มาช่วยงาน  ผมมักจะทำแบบนี้เป็นประจำ  ช่วงนี้พี่ต้นก็ยังต้องเร่งทำโมอยู่  (พี่ต้นบอกเกือบเสร็จละ)  ถ้าขืนรอให้พี่ต้นว่างแล้วเราค่อยมาเจอกัน  ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่คืบหน้ากันพอดี  ในเมื่อพี่ต้นไม่ว่าง ผมก็ต้องหาเวลาสำหรับเราสอง   เพราะฉะนั้นช่วงเย็นของทุกวัน  เด็กสถาปัตย์ฯ  จะเห็นผมที่ตึกคณะประจำ  (แต่พี่ต้นไม่เคยให้ผมขึ้นตึกไปคนเดียว  พี่ต้นจะต้องลงมารับผมทุกครั้ง  “ที่นี่ลูกเสือ  พ่อตะเข้มันเยอะ”  พี่ต้นเคยกล่าวไว้” )

“พี่ต้น  สวัสดีครับ”
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ยเรา “   พี่ต้นพูดพร้อมยื่นมือมาแย่งของจากผมไปถือเองด้วยมือข้างเดียว  ส่วนมืออีกข้างก็ยีหัวผมของผมไปด้วย
“พี่บอกหลายครั้งแล้วนะครับ  ว่าไม่ต้องซื้อมาเผื่อพวกนั้นหรอก  พวกมันหาอะไรกินเองได้   ดื้อจริงนะเรา”  พร้อมยีหัวผมหนักกว่าเดิม
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยครับ  พี่ๆอุส่าห์มาช่วยงานพี่ต้น  เรื่องแค่นี้เอง”
“ไม่เป็นอะไรได้ไงครับ  เนี่ยมือแดงหมดเลย ...จุ๊บ”  พี่ต้นดึงมือผมมาดูก็เห็นว่ามันขึ้นรอยแดง  จากนั้นก็จุบบนรอยนั้น
“ยึย...  พี่ต้นทำไรเนี่ย  เดี๋ยวนี้เป็นคนแบบนี้ใช่ไหม  หา หา “  ผมชี้หน้าคาดโทษ  มาทำอะไรตรงทางเดินเนี่ย  คนอื่นมาเห็นทำไงหละ   จากที่ตอนแรกแดงแค่มือ  ตอนนี้ผมว่ามันลามขึ้นมาที่คอ  หู  และหน้าผมแล้วหละครับ
“อ้าว  เราไม่เคยหรอ  ตอนเด็กๆ  พี่เจ็บทีไร  แม่พี่ก็เข้ามาจุ๊บให้ทุกที  หายเลยนะ  อะอะ  ไม่เชื่อพี่จุ๊บอีกทีแล้วกัน”
“พี่ต้น!!!  หยุดเลยนะครับ  ผมโตแล้ว  ไม่ต้องมาหลอกเป็นเด็กๆ”
“อ้าว  ไม่เด็กแล้วหรอ  ก็เห็นน่ารักใสๆ  ก็นึกว่ายังเด็กอยู่”   แล้วเอาหน้ามาใกล้ทำไมเนี่ย  มันเขินนะเว้ย
“อืม  หรือผมจะยังเด็กอยู่จริงๆน๊า    แม่บอกว่าไงน๊า”  ผมทำท่าคิดทบทวน
“อ๋อ   เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรแม่แฟน “  พร้อมดีดนิ้วประกอบท่าทาง
พี่ต้นอึ้งไปเลยที่ผมกล้าเล่นมุกนี้
“ไม่เอาไม่เล่นกันแล้วดีกว่าเนอะ  ปะปะเข้าห้องกันดีกว่า”  พี่ต้นจูงมือผมเข้าห้องทำโปรเจค 
ห้องโปรเจคเป็นห้องใหญ่ขนาดห้องเรียน  ฝาห้องเป็นไวท์บอร์ดทั้งหมดสำหรับขีดเขียน  ด้านหน้ามีจอโปรเจคเตอร์  กลางห้องมีโต๊ะตัวใหญ่วางอยู่  บนนั้นมีโมเดลที่พี่ต้นและเพื่อนช่วยกันทำ  มีโน๊ตบุ๊คเครื่องหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ  ซึ่งผมจำได้ว่ามันคือของพี่ต้น  เพราะผมแอบเอาสติ๊กเกอร์รูปน้องหมามาติดไว้ที่มุมบน  พี่ต้นเห็นแล้วแต่ไม่ยอมแกะออก  บอกว่าน่ารักดี  เห็นแล้วจะได้พอทุเลาความคิดถึงถึงคนที่เอามันมาติดได้บ้าง

“อ้าว   แล้วพี่ๆหายไปไหนกันหมดครับ”
“พี่ไล่พวกมันไปหาอะไรกินข้างนอกเองแหละ”
“ทำไมหละครับ”
พี่ต้นไม่ตอบ  แต่เดินไปนั่งบนโต๊ะ  กางขาออกกว้าง  ดึงผมเข้าไปอยู่หว่างขา  ใช้มือข้างหนึ่งเกี่ยวเอวผมเข้าไปชิดตัว  เราจ้องตากันในระยะประชิด 
‘ตึก   ตึก   ตึก...  ตึกตึกตึกตึกตึกตึก’ ผมไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นของผม  ของพี่ต้น   หรือของเรากันแน่
จากนั้นพี่ต้นก็พละหน้าไปเกยคางไว้บนลดไหล่ผม 
“ถ้าพวกนั้นอยู่เราก็ไม่ยอมให้พี่ทำแบบนี้นะสิ”   ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร  มันรู้สึกดีเกินกว่าที่จะปฏิเสธ 
เราอยู่แบบนั้นกันไม่รู้ว่านานเท่าไหร่  ผมรู้สึกอิ่มเอมจนคิดว่าวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นกันก็ได้
‘โครกกกกกก’
แต่ร่างกายช่างทรยศความรู้สึกจริงๆ เลย

.......................

‘กรี๊ดดดดด’

“พวกแกเห็นหรือยัง  รูปที่พี่โทนลงในไอจีอะแก   งานดีโคตร”
เมื่อคืนเราปล่อยภาพของที่พี่โทนจะเอาไปประมูล  นั่นคือ  ‘กางเกงบ็อกเชอร์’  ตัวเก่งที่พี่โทนชอบใส่ประจำ  โดยภาพที่ลงเป็นภาพขาวดำของนายแบบที่สวมใส่ผลิตภัณฑ์เพียงชิ้นเดียว  เปลือยท่อนบนที่โชว์กล้ามแขนล่ำ   หน้าอกแน่นตึง  และซิกแพ็คทั้ง 6 ลูก ที่เรียงตัวกันลงมาอย่างสวยงาม   มือข้างหนึ่งเสยผมขึ้น  อีกข้างใช้นิ้วโป้งดึงขอบกางเกงลงมาเพื่อให้เห็นไลน์วีเชฟนิดหน่อย  สายตาที่มองมาอย่างดุดัน  ดูเซ็กซี่และแบดได้อีก
ไม่แปลกใจเลยที่ภาพนี้จะทำให้สาวเทียมเลือดกำเดาไหลได้  ส่วนสาวแท้ผมว่า  ต้องมีจิกปลายเท้ากันบ้างแหละครับ
“โอ๊ยแก   เห็นแล้วอยากกินห่อหมกขึ้นมาทันทีเลย “
“ห่อหมกไรวะ”
“แกไม่เห็นหรือไง  ที่ตุงๆออกมาอะ  ท่าทางจะเป็นห่อหมกปลาช่อนนะแก  ดูสิเนี่ย”
“ว๊ายย   งานดีอะแก”
“พิชชี่อยากได้  พิชชี่อยากโดนอะค้า”
“อิจฉาพวกที่โดนจริงๆเลย   คงฟินไปถึงชาติหน้า”
“อย่าไปอิจฉาเลยแก  แกเห็นนังพริ้ง นิเทศฯนั่นปะ  คิดว่าตัวเองเจ๋งน่าดูหละมั้งที่ได้ควงพี่โทน   ทำเป็นอวดไปทั่วมหา’ลัย เป็นโทนตามใจอย่างโง้น  เปย์ให้อย่างงี้   แล้วเป็นไงหละพี่เขาควงได้ถึงเดือนไหม    สุดท้ายก็เหมือนกับคนก่อนๆ  “
“จริง จริง”
“แต่ต่างกับคนอื่นๆ ตรงที่นางโดนเท  แล้วไม่ยอมอะจ๊ะ    ยังตามตื้อไม่เลิก  ทั้งที่โดนบล็อกทั้งเฟส ไลน์  ไอจี  แล้วนะ  ยังไปดักรอพี่แกถึงคณะ  เจอแบบนี้พี่โทนถึงกับหนีหัวซุกหัวซุน”
“ข้อมูลแน่นเวอร์”
“อะแน่นอน  เรื่องผัวๆของพวกเรา  พลาดได้ไงหละพีระพงษ์”
“ว๊ายยย  ไม่เอาพิชชี่รับไม่ได้  ห้ามเรียกชื่ออีกนะคะอุดม  พิชชี่ไม่โอเค”

พวกเรานั่งฟังเพื่อนๆเม้าท์กันที่หลังห้อง

“หนึ่ง   หนึ่ง  “
“ฮ  ฮะ  ว่าไงนะ”
“หนึ่งโอเคไหม” ฟ้าถาม
“เรื่องนั้นนะหรอ”  พร้อบุ้ยปากไปด้านหลังห้อง
“ทำไมจะไม่โอหละ  มันเรื่องจริงทั้งนั้น  แต่นั่นมันก็เป็นแค่อดีต  แต่ถ้าปัจจุบันยังทำอยู่หละก็...เราไม่เอาไว้แน่”
“แล้วลงรูปนี้จะดีหรอ  แบบนี้พวกเอ่อ...คนที่พี่โทนเคยๆด้วย  จะไม่มาวุ่นวายกันหมดเลย”
“ฮึฮึ  นี่แหละคือสิ่งที่หนึ่งต้องการ  มากันเยอะๆ  มากันให้หมดเลยยิ่งดี  จะได้ล้างบางพร้อมกันเลยทีเดียว”
ผมมองหน้าฟ้า  แล้วจับมือหนึ่งเพื่อให้กำลังใจ  เราต้องเชื่อในการตัดสินใจของเพื่อน  ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าแผนการของหนึ่งคืออะไรก็ตาม


เรื่องราวระหว่างหนึ่งกับพี่โทน  เกิดขึ้นรวดเร็ว  และไปไกลเกินความคาดคิดของพวกเรามาก   แต่ผมเล่าเรื่องนี้ไม่ได้  เดี๋ยวจะเป็นการนินทาเพื่อน    งั้นให้หนึ่งมาเล่าเองแล้วกันนะครับ

..............................................
(มีต่อจ้า)
 :katai4:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: จะเป็นนายได้ไหม...Please
«ตอบ #21 เมื่อ24-08-2019 20:23:32 »

(ต่อจากด้านบนค่ะ)

หนึ่ง


สวัสดีครับ   ผมหนึ่งครับ   ตอนนี้เรียนบริหารธุรกิจ  ปี 1 ครับ  เป็นลูกชายคนเดียวของ  พลตำรวจเอก  อาทิตย์  ภัทรกิติกุล  (ชื่อ  สกุลเป็นเพียงนามสมมติของผู้แต่งเท่านั้นค่ะ)   ผมเป็นผู้ชายตัวเล็ก  เมื่อเทียบกับผู้ชายทั่วไป  ผิวขาว  หน้าตาเรียกได้ว่าน่ารักเกินชาย  รูปลักษณ์ภายนอกที่ได้กล่าวไปอาจจะทำให้เข้าใจได้ว่าผมเป็นผู้ชายนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอม  แต่เปล่าเลยครับ   ความเป็นจริงแล้วผมออกจะแข็งแรง เก่งกาจเกินชายทั่วไปด้วยซ้ำไป   เพราะผมได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก  แต่ก็แค่ไม่กี่อย่างหรอกครับ   ก็มีแค่มวยไทย   ยูโด  คาราเต้  เคนโด้   แล้วก็ยิงปืน  แค่นี้เองครับ (ยักไหล่หนึ่งที)  ผมรู้จักกับฟ้าตั้งแต่ ม.ต้นเพราะเรียนที่เดียวกันห้องเดียวกัน  ฟ้าเป็นคนยิ้มง่ายอัชฌาสัยดี  แต่ตอนนั้นยังไม่สนิทกันหรอกครับเพราะอยู่กันคนละกลุ่ม  เพิ่งมาสนิทกันตอนขึ้น ม.ปลาย  เพราะย้ายมาจากโรงเรียนเดียวกัน   
ส่วนเต้ยมารู้จักกัน ตอน ม.ปลาย   อยู่ห้องเดียวกัน  แต่ไม่สนิท  ออกจะหมั่นไส้ด้วยซ้ำ  พวกลูกคุณหนู   ไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนคอยรับคอยส่ง    แต่ช่วง ม.6 มีเหตุการณ์ทำให้เราได้มาสนิทและกลายมาเป็นเพื่อนรักกันจนถึงทุกวันนี้
ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายหน้าตาหวาน  จึงทำให้มีชายมากหน้าหลายตาเข้ามาขายขนมจีบไม่เคยขาดสาย  (ส่วนสาวๆไม่เข้าใกล้ผมเลย  เพราะโดนกลบรัศมีความน่ารักหมด  ใครจะอยากมีแฟนน่ารักกว่าตัวเองจริงไหมหละครับ) 
ถึงจะโดยขายขนมจีบไม่ขาดสาย  แต่เชื่อไหมว่าจนทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เคยมีแฟนเลย   เพราะคนที่เข้ามาถ้าไม่เป็นพวกลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ  ก็เป็นพวกเจ้าชู้ประตูดิน  ดีแต่พูดเกี้ยวพาราสีไปวันๆ  (ศัพท์แสงช่างโบราณเสียนี่กระไร) ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงทำให้ผมครองโสดมาได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้
กับพี่โทน  ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรนะครับ  ( พี่แกก็คงไม่ได้คิดอะไรกับผมด้วยหละมั้งครับ)  พี่โทนเป็นเพื่อนของพี่ปอนด์  ผู้ชายที่เข้ามาจีบฟ้า  ตอนหลังก็พี่ต้น   เพื่อนอีกคนที่เข้ามาจีบเต้ย  (แต่ไม่แน่ใจว่าใครจีบใครอยู่กันแน่  ส่งกับข้าวกับน้ำ  แบบเช้าถึงเย็นถึงขนาดนั้น...เฮ้อ) 
พี่โทนเป็นผู้ชายเจ้าชู้เต็มขั้น    ประวัติเรื่องผู้หญิงเยอะกว่าเนื้อหาวิชาที่แกเรียนมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปัจจุบันเสียอีก   ช่วงแรกผมมักจะพูดจากวน (ตีน) พี่โทนบ่อยๆ  เพราะผมไม่ชอบพวกเจ้าชู้อยู่แล้ว  พี่แกก็ไม่เคยว่าอะไร  ส่วนมากจะขำผมซะมากกว่า   แต่ช่วงที่ได้ทำโปรเจคทำให้เราสนิทกันมากขึ้น  รู้จักพี่โทนผู้มุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน มากขึ้น   ผู้ชายจิตใจดีและเสียสละเพื่อน้องหมา   จนกระทั่ง
“พี่โทน  พี่โทนฮะ  ถึงคอนโดที่แล้ว  ตื่นเร็ว”
’เงียบ' ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก’

 “พี่โทนตื่นโว๊ยยยยย!!”
“อืม  น้องจูนจ๋า  เสียงดังดีจังเลยจ๊ะ  มามะมาให้พี่จูบปิดปากสักทีนะจ๊ะ “
พี่โทนพยามจะเข้ามาจูบผม  แต่ผมจับหน้าพี่โทนดันออกไปได้   แต่มือไม้พี่แกอยู่นิ่งซะที่ไหนหละ   จะกอดให้ได้ใช่ไหม…ได้
“น้องจูนจ๋า”
‘พลั๊กกก’ บาทาประทะมาร  พี่โทนกระเด็นติดประตูรถแล้วแน่นิ่งไป

“พี่โทน  พี่โทนตื่นโว๊ยยยยย!!  นี่สลบหรือหลับอีกแล้วเนี่ย   โว๊ยยย  วุ่นวายฉิบหาย”
ผมตัดสินใจแบกพี่ต้นลงมาจากรถแล้วหิ้วแกขึ้นห้องแกไป   ถามว่ารู้ได้ไงว่าแกอยู่ห้องไหน  ก็ถามฟอนต์ของคอนโดนั่นแหละครับ  แถมได้รับบริการช่วยหิ้วถึงเตียงด้วยครับ  ที่นี่ดีจริงๆเลย  ส่วนกุญแจห้องก็ค้นๆเอาในกระเป๋าพี่แกหละครับ
“มีอะไรให้ผมช่วย  โทรลงมาที่ฟอนต์ได้เลยนะครับ”
“ครับ  ขอบคุณมากเลยนะครับ”  ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่ฟอนต์
ตอนนี้พี่โทนนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงอย่างสบายอุรา  ผมเดินไปเปิดเสื้อพี่โทนเพื่อดูร่องรอยที่เจอฝ่าเท้าผมเข้าไป
มีรอยแดงหน่อยๆ  ผมออกแรงไม่เยอะหรอกครับ  พอแค่สลัดปลิงให้หลุดไป…  เอาไงต่อดี  ...กลับเลยไหม
ผมตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อหาอุปกรณ์สำหรับเช็ดตัว  กลับเข้าห้องนั่งบนเตียงแล้วถอดเสื้อพี่โทนออกจะได้เช็ดตัวให้สะอาด   บิดผ้าหมาดๆ  แล้วเริ่มลูบเช็ดหน้าให้พี่โทน   
“อืม”
ลูบไล้ลงมาที่คอ
“อืม”
เช็ดแขนทั้งสองข้าง
เอาผ้าจุ่มน้ำแล้วบิดหมาดอีกครั้ง   ...  น้ำดำโสโครกได้ใจจริงๆ
เช็ดตามลำตัว  ไล่ตั้งคอลงมา  ผ่านเม็ดลูกเกด  ลงมาที่แพ็คที่ 1   แพ็คที่ 2  และ ...... ‘หมับ’
ข้อมือผมถูกจับไว้  พี่โทนจ้องหน้าผมอยู่
“เอ่อ.....”
“หนึ่งทำอะไร”
“ขัดห้องน้ำครับ”   ก็เห็นๆอยู่  ยังจะถาม
“รู้สึกตัวก็ดีแล้วครับ  มาเช็ดต่อเองเลยครับ  หนึ่งจะกลับแล้ว”  พี่โทนยังคงไม่ปล่อยจากข้อมือผม  แถมยังจับแน่นขึ้นอีก
“ครอกฟี้  ครอกฟี้”
“ไม่เนียน  ไปเรียนมาใหม่”
“อ้าวหรอ  อิอิ”
“ไม่น่ารักด้วย  แล้วก็ปล่อยมือหนึ่งด้วยครับ”
“เช็ดตัวให้พี่หน่อยนะครับ  เนี่ยพี่ปวดหัวมากเลย”
“แล้วจะกินเข้าไปทำไมเยอะแยะ  เมาแล้วก็ลำบากคนอื่นไปทั่ว”  ผมบ่นแต่พี่โทนกลับยังยิ้ม
“ยิ้มอยู่นั่นแหละ   จะให้เช็ดให้ก็ลุกขึ้นดีๆ  เร็ว”
“คร๊าบบบบ”   พี่โทนหน้าตาดูดีขึ้น  คงเริ่มสร่างบ้างแล้ว
ผมค่อยๆลูบเช็ดตัวให้พี่โทน  ไล่ลงมาตั้งคอ  เพราะจำไม่ได้แล้วว่าเช็ดตรงไหนไปแล้วบ้าง  พี่ลากมือผ่านหัวนม (อีกครั้ง)  พี่โทนก็ขุนลุกซู่ทั้งตัว
“หนาวหรอครับ  ทนหน่อยนะครับ  ใกล้เสร็จแล้ว”
“หนึ่ง....”
ผมมองหน้าที่โทน  ที่ตาจ้องมองผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ไม่โทนไม่พูดอะไร   ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน    เราจ้องตากันอยู่อย่างนั้น
.
.
.
พี่โทนเลื่อนมาจับที่มือของผมทั้งสองข้างมาวางบนตักพี่แก
“พี่....จูบนะ”

ผมยังไม่ได้ตอบอะไร  พี่โทนโฉบปากลงมาที่กลีบปากของผม  ดูดดึงที่กลีบปากด้านบนย้ำๆ แล้วเปลี่ยนมาเล่นกับกลีบปากล่าง   ผมได้แต่หลับตาปล่อยให้พี่โทนทำตามใจ  โดยที่มือของเรายังคงจับกันอยู่  บางจะหวะพี่โทนก็บีบมือผมเบาๆ
ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันนานแค่ไหน  รู้แค่ว่าตอนนี้ผมต้องการอากาศเพื่อหายใจแล้ว   พี่โทนเหมือนจะรู้จึงพละจูบออกมา  แต่ก็เพียงไม่กี่วินาที   ก็โฉบลงมาอีกรอบ  เพียงแต่รอบนี้พี่แกเล่นรุนแรงเลยครับ  นอกจากจะดูดแล้ว  ก็ยังเลียอีก  (ปากแฉะปากเปียกเป็นแบบนี้นี่เอง)
“อ้าปากหน่อยครับ”
ผมอ้าปากเล็กน้อย  พี่โทนก็จ้วงลิ้นเข้ามา  อดอยากมาจากไหนครับ  แดกหมูกระทะไม่อิ่มหรอครับ  มาแดกลิ้นผมทำไม
“อะ อืม”  หลุดครางแม่มเลย
“อะ”  โดนพี่โทนยกมานั่งควบตักพี่แก  อืม  แบบนี้ค่อยถนัดหน่อย
“อืมมม”  มือก็ว่างไม่รู้จะทำอะไร  จิกหัวพี่มันเลย  ไม่ใช่อะไรครับ   นานไปละ  หายใจไม่ออก
“โอ๊ย”  คราวนี้เสียงพี่โทน
“หายใจไม่ทันแล้วเนี่ย  อะไรหนักหนากับลิ้นหนึ่งเนี่ย  เอาไปเล่นที่บ้านคนเดียวเลยไหม”   ผมบ่นอย่างหัวเสีย  อันที่จริงเรียกว่าบ่นแก้เขินดีกว่าครับ 
“หึหึ”   หัวเราะเหมือนรู้ทัน  “ขอโทษครับ...  ต่อกันเลยนะครับ”
 ยังไม่ทันได้ตอบอะไร    ลิ้นร้อนๆก็เสิร์ฟเข้าปากผมทันที  อืม  ถูกสุขอนามัยดีครับ

“อืม   หอม  หอมจังเลยครับหนึ่ง”   งานไซร้คอก็มา
“พิ  พี่โทน  อืม  หนึ่งเสียว”  ไม่เสียวได้ไงครับ  คอก็โดนดูด  ตูดก็โดนขยำ    Hum ก็ขยี้กันอีก
พี่โทนไม่ตอบอะไร  เพียงแค่จัดการถอดเสื้อผมขว้างทิ้ง  แล้วเข้าจู่โจมหน้าอกแบนๆ ของผมด้วยปาก  ทั้งดูดทั้งเลีย
“อืมมมม “  เสียวแอดแวนซ์ไปอีก!!  ไม่ทนมันแล้วครับ  ผมไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวหรอกครับ  มันไม่ใช่วิถีของหนึ่งคนจริง   
บดครับ  เบียดครับ  ส่ายครับ  โยกครับ 
“อ๊า  หนึ่ง พี่ไม่ไหวแล้วครับ”
“อะ”   พี่โทนเขวี้ยงผมลงไปนอนบนเตียง  ต่อด้วยกระชากกางเกงสแล็คออก  เหลือเพียงชั้นในตัวเดียว  รุนแรงจริงพ่อคู๊น
เมื่อจัดการผมเสร็จ  พี่โทนก็หันไปจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองไม่เหลือสักชิ้น   อื้อหือ  กระสวยอวกาศลำนี้   คาดว่าตูดแหกแน่กู    ผมยังไม่มีเวลาได้พิจารณาถึงความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น  พี่โทนก็ลงมาแหกขาผมออก  แล้วแทรกกลางลงมาทาบทับตัวผมไว้  ระดมจูบปาก  กระชากลิ้น  มือก็ลูบไล้ตามข้างลำตัว  ไล้ไปตามแผ่นหลัง  แล้วล้วงเข้าไปในกางเกงขยำก้อนแน่นเนื้อหนัน   ไล้มือมาด้านหน้าแล้วกอบกุมมะเขือยาวของผมเต็มลำ  ลูบแล้วก็ขยำ
“อือออ  พี่โทนไม่เล่นครับ”
“ครับ”  พี่โทนถดตัวลงมาจุ๊บ  และลากลิ้นเลียตามขาวยาวของมะเขือยาวของผมผ่านกางเกงในสีขาว  จากนั้นก็ดึงมันออกมาตามเรียวขาของผม  คราวนี้พี่โทนไม่ใจร้อนแล้วครับ  ระหว่างที่มือค่อยลากกางเกงในผมลงมา  สายตาก็โลมเลียตามกางเกงในลงมาด้วย

พี่โทนนั่งทับส้นเท้าตัวเองอยู่บนเตียง   ยกขาข้างหนี่งของผมพาดบนบ่า  กดจูบตั้งแต่ข้อเท้าลงมาถึงปลีน่อง   พักเลียวนรอบหัวเข่า  กดจูบต่อเรื่อยมาที่ต้นขาโดยเน้นหนักไปที่ต้นขาด้านใน  มืออีกข้างก็ลูบวนที่สะโพก  ก่อนลัดเลาะมาลูบคลำที่ซอกขาเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปากพี่โทนเดินทางจูบมาถึงซอกขาอีกด้านของผมพอดี  พี่โทนตลัดลิ้นเลียจากซอยขาขวาเลาะชิมโดยข้ามจุดกึ่งกลางของผมไปที่ซอกขาซ้าย  เลียซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น  ก่อนที่จะโฉบปากอมมะเขือพวงทั้งสองลูกเข้าปากไป  แล้วใช้ลิ้นเดาะเล่นเบาๆ   แล้วปล่อยออกจากปาก ‘ บล๊วก’   อมเข้าไปใหม่  แล้วปล่อย  ทำวนไปซ้ำ  ผมแทบขาดใจ  ได้แต่ดิ้นพล่าน  ยกก้นลอย  มือก็ขยุ้มผ้าปูที่นอนเพื่อลดความเสียวซ่าน   เมื่อพี่โทนอมดูดจนสาแก่ใจแล้วก็เปลี่ยนเป้าหมาย  ขยับระดับมาเลียรอบฐานมะเขือยาว  แล้วลากลิ้นจากฐานขึ้นบนปลายยอด  ทำอยู่สี่ห้ารอบจากนั้นก็เลียวนยอดจนชุ่มแล้วจับยัดเข้าปากจนมิด
‘โอวววว’  ผมโดนโมกครับท่านผู้ชม   เสียว  เสียวน้ำแทบแตก   ผมไปอยู่ไหนมาถึงไม่เคยสัมผัสความสุขสมแบบนี้  ผู้ชายคนนี้มาเปิดมิติใหม่ให้ผม 

ผมเปลี่ยนมือจากการขยุ้มผ้าปูที่นอน  มาขยุมหัวพี่โทนแทน
พี่โทนจูบที่ปลายแรงๆทีหนึ่งก่อนที่พละออกมา  แล้วเราก็จูบกัน  ณ เวลานี้ให้ผมทำอะไรผมก็ทำอย่างว่าง่ายครับ
พี่โทนเอาหมอนมารองใต้สะโพกผม  แล้วเอื้อมมือไปหยิบเจลและถุงยางอนามัยจากลิ้นชักโต๊ะหัวเตียง  บีบเจลบนนิ้วมือจนชุ่ม ทาวนรอบปากทาง  บีบเจลใส่นิ้วอีกรอบหนึ่ง  ก้มลงมาจูบผมอย่างดูดดื่ม  ผมรู้ว่ามันเป็นการหลอกล่อ  แต่ผมก็คลอยตามอย่างว่าง่าย  ก่อนที่พี่โทนจะค่อยแหย่นิ้วเข้าทางในช่องทางพิเศษแบบไม่ต้องจ่ายค่าทางด่วน  แต่งานนี้ไม่ Easy Pass  นะครับ
“โอ๊ย”   ไม่ถึงกับเจ็บมากหรอกครับพอทนได้  แต่มันคือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในตัวเราไงครับ  มันก็เกิดการต่อต้านเป็นธรรมดา
พี่โทนถอนนิ้วมือออกมา  “หนึ่งไหวไหมครับ “ 

ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้บอบบางขนาดนั้น  แต่จะให้พรวดพราดเข้ามาเลยก็คงจะเกินรับไหว  ผมขอเวลาทำใจ 3 .. 2 .. 1 
“พี่โทนเอาเข้ามาเลย”
“ฮะ”
“เอาของพี่เข้ามาเลย  ก่อนที่หนึ่งจะทนไม่ไหว”
“ไม่ได้!!!  มันอันตราย  ตรงนั้นอาจฉีกขาดได้ถ้าไม่ได้รับการเตรียมความยืดหยุ่นก่อน”
“ได้ งั้นหนึ้งจัดการเอง”  ผมขว้าเอาขวดเจลที่อยู่ใกล้ตัวที่โทนมาบีบลงนิ้วผมจนชุ่ม  ลังเลอยู่แป๊บหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง  ก่อนตัดสินใจ   ขุกเข่าโก่งโค้ง  หันก้นให้พี่โทน  เอื้อมมาไปด้านหลัง  ดันนิ้วที่บีบเจลไว้เข้าไป  เจ็บครับ ไม่ได้แตกต่างจากที่พี่โทนทำเลย  แต่ผมก็อดทนดันเข้าไปเรื่อยๆจนสุดปลายนิ้ว แช่ไว้ครู่หนึ่งจึงถอยนิ้วออก  แล้วดันเข้าใหม่  ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนรู้สึกว่าข้างในคล่องขึ้น  ก็เพิ่มนิ้วที่สองเข้าไป  ในระหว่างนั้นพี่โทนก็ร้องบอกให้ผมหยุด
“หนึ่งพอเถอะครับ  เดี๋ยวพี่ช่วยเอง  นะครับ นะ”

ผมไม่สนใจเสียงพี่โทน  ได้แต่เอี้ยวตัวไปมองกระสวยอวกาศของพี่โทน  ..  สองนิ้วไม่พอสินะ  ท่าทางต้องยัดเข้าไปทั้งกำปั้นแล้วหละ    นิ้วที่สามเข้าไปอย่างยากลำบากแต่เพราะชโลมเจลไปเยอะจึงไม่ค่อยเจ็บมากเท่าไหร่   ผมกดนิ้วเข้าออกซ้ำ  จนแน่ใจว่าช่องทางพร้อมแล้ว  ดึงนิ้วออก  คลานเข่าเข้าไปหาพี่โทนที่ยังคงทำหน้าอึ้งไม่เชื่อสายตาตัวเองอยู่   ผมเริ่มต้นจูบพี่โทนก่อน  ไม่น่าเชื่อว่าจูบแบบเงอะๆงะๆของผมจะทำให้พี่โทนเคลิ้มตามได้  หรืออาจจะเป็นเพราะพี่แกลำคาญผมก็เป็นได้  จึงเริ่มตะโบมจูบผมกลับอย่างดูดดื่ม  ผมทิ้งตัวลงนอนโดยรั้งต้นคนพี่โทนตามมาด้วย 
“หนึ่งพร้อมแล้ว  เอาหนึ่งที”  ผมกระซิบข้างหูไม่โทนแผ่วเบา  (มึงแรดมากหนึ่ง  ผมได้ยินเสียงความคิดตัวเองอีกด้านหนึ่ง)
“พี่จะไม่ทำให้หนึ่งผิดหวัง”  พี่โทนหยิบถุงยางอนามัยมาสวมใส่กระสวยอวกาศ  จับมันถูไถปากทางเพื่อยั่วอารมณ์  หยิบขวดเจลบีบลงไปอีกครั้ง  จับขาผมวางบนตักพี่แก  แล้วค่อยๆขยับเข้าประชิตปากทาง  ยัดหัวเข้ามาได้นิดหน่อยผมก็สะดุ้งเฮือก  เราจับมือผสานกันไว้  พี่โทนกดมือผมลงไปข้างตัว  พี่โทนค่อยๆขยับมาเข้ามา ค่อยๆ ค่อยๆ  อย่างใจเย็นจนมิด 
‘อุ๊ก’  เจ็บและจุกไปตามระเบียบ

“เก่งมากเลยครับ”  พี่โทนก้มลงจูบให้รางวัลคนเก่ง
“พี่ขยับนะครับ”
“อะ  อืม”
พี่โทนขยับออกนิดหน่อย  แล้วกลับเข้าใหม่   ซอยถี่ๆไปเรื่อยๆจนผมเริ่มคุ้นชิน  ก่อนที่จะเริ่มถอยยาว  แล้วกระแทกเข้ามาใหม่ในจังหวะช้าๆ  เน้นๆ 
‘อุ๊ก’
 หนักทุกดอกบอกเลย

“อะ   อะ   อะ”
“ซี๊ด  อะ  ซี๊ด  อะ “
จากจังหวะช้าๆเน้น  ค่อยๆเปลี่ยนเป็นแบบ Hi  Speed เพิ่มความเร็ว  แต่ไม่ลดความแรง 
“พี่โทน  อะ  อะ  นะ หนึ่ง  สะ  เสียว”  กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ
ผมพยายามเอื้อมมือมาช่วยเหลือมะเขือยาวที่น่าสงสารของผมเมื่ออารมณ์ใกล้ขีดสุด  แต่ก็โดนพี่โทนจับรวมข้อมือขึ้นเหนือหัว 
“คราวนี้ให้พี่ทำให้นะครับ”
“อะอะอะ”  ทั้งกระแทกทั้งสาว   ช่วยด้วยผมเจอรุม!!!!
“อะอะอะ  พิ พี่โทน  อะ อะ อะ  มะ มะ  ไม่ไหว ละ แล้ว”  มาแบบถี่รัวเลยครับ
“ซี๊ด  อะ  พี่ก็ไม่วะ ไหว เหมือนกันครับ   ซี๊ด  อะ  รัดพี่แน่นเหลือเกิน”
แล้วรัวเข้ามาอีกชุดใหญ่
“อะ อะ อะ อ๊า อ๊า”
“ซี๊ดดดด  อ๊า”

แตก  แตกกระจายไม่เหลือเลย
พี่โทนยังคงโยกต่ออีกนิดหน่อยถึงแม้ว่าจะแตกตามผมมาแล้วก็ตาม  ก่อนที่จะแน่นิ่งไปแล้วทิ้งตัวซบลงบนไหล่ผม
ส่วนผมยังคงเหนื่อยหอบอยู่  ดีที่ผมร่างกายแข็งแรงไม่งั้นคงสลบเหมือดไปแล้ว

‘บล็อก’

พี่โทนถอนกระสวยอวกาศออกไปแล้ว
โล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จุ๊บ “  พี่โทนจุ๊บหน้าผากผม  “อาบน้ำไหม”
“อืม”
“พี่จะทำอะไรเนี่ย”  พี่โทนกำลังจะช้อนตัวผม
“ก็พาหนึ่งไปอาบน้ำไงครับ”
“โนว โนว  หนึ่งอาบเองได้  ไม่ต้องมาทรีทหนึ่งเลย”
“แต่... หนึ่งไหวหรอครับ   เอ่อ  ครั้งแรกของหนึ่งไม่ใช่หรอ”
“ไหวดิ  ไหว   เนี่ยเดี๋ยวหนึ่งลุกให้ดูเลย  โอ๊ย...ซี๊ด”
“หนึ่ง!!  เป็นยังไงบ้าง  พี่ขอโทษนะ”  พี่โทนพูดความรู้สึกผิด
“ก็  มันก็เจ็บๆขัดๆอะครับ  ก็แผลสดใหม่นี่เนอะ”
“ถ้ายังไงรบกวนพี่โทนอุ้มหนึ่งไปส่งในห้องน้ำหน่อยนะครับ”  แล้วเอามือไปคล้องคอพี่โทน
“ได้สิครับเจ้านายน้อย”
.
.
“ให้พี่ช่วยอาบไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้น  พี่ออกไปรอข้างนอกนะครับ  มีอะไรก็เรียกพี่ได้  พี่รออยู่หน้าประตูนี่แหละ”   ผมขว้าผ้าขนหนูที่พี่โทนใส่อยู่อย่างหมิ่นเหม่  แล้วก้มหน้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“เอ่อ ...  พี่โทนครับ  หนึ่งอาบน้ำประมาณหนึ่งชั่วโมงนะครับ  ระหว่างนี้หนึ่งอยากให้พี่คิดทบทวน  ทบทวน  เอ่อ  เรื่องของเรา”
“พี่ตอบหนึ่งตอนนี้เลยก็ได้  พี่”
“หยุด หยุด หยุด  อย่าเพิ่งพูดอะไรออกมาครับ  หนึ่งอยากให้พี่คิดทบทวนอย่างใจเย็น  และมีสติกว่านี้ก่อน  หนึ่งไม่อยากให้พี่เสียใจทีหลัง  ไม่ว่าพี่จะคิดยังไง  เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า  โอเคไหม”
“ได้ครับ   พี่จะคิดทบทวนอย่างดียิ่ง   อีก 1 ชั่วโมงเจอกันนะครับ”
“ครับ”
ไม่ใช่ว่าผมให้เวลาพี่โทนคิดหรอกครับ   จริงๆแล้วผมให้เวลาตัวเองคิดทบทวนมากกว่า  ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้ผมเผลอไผลไปได้ไกลขนาดนั้น  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้รักพี่โทนเลย  แต่ผมกลับยอมพลีกายให้ผู้ชายคนนี้ที่รู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน
‘มึงมันใจง่ายไงหนึ่ง’
แต่กับผู้ชายคนอื่นเราก็ไม่เคยเป็นแบบนี้นะ  หรือเราจะถูกยั่วยวนด้วยเม็ดลูกเกดกันน๊า
เฮ้อ  เอาไงต่อดีหละเนี่ย
แล้วถ้าพี่โทนขอเป็นวันไนท์สแตนท์กับเราหละ   ประวัติพี่โทนที่เคยได้ยินมาก็แนวๆนี้อยู่แล้ว
เฮอะ   ลองพูดแบบนั้นสิ   ผมจะทำให้แน่ใจว่ามื้อนี้เป็ดต้องได้กินอิ่มนอนหลับอย่างแน่นอน  พวงใหญ่ซะด้วยสิ


.....................

แต่งตอนนี้ตั้งแต่เช้า ยันดึก
มันยาก  มันยากมากบอกเลย
หวังว่าจะพอได้นะคะ
 :mew2:

ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ  ...อย่าเพิ่งทิ้งกันน๊าาาาาาา
 :กอด1:

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 9  มีความลับ


ต้น

‘ไลน์’

Tonsung  :  หน่องเตย
NongToei  :  - _ -
Tonsung  :  ฮ่าฮ่า  ไม่โกรธนะ
Tonsung  :  พี่มาง้อแล้ว

ผมมักจะชอบแหย่ให้น้องทำหน้างอนครับ  น่ารักดี  เวลาที่น้องทำแก้มป่อง ปากยื่นๆ  อาจจะเป็นเพราะผมยังไม่เคยเจอน้องโกรธจริงจังหละมั้งครับ  ที่ผ่านมาก็แค่งอนนิดหน่อยเวลาที่ผมแซ็วเรื่องแก้มย้อยๆที่เหมือนหนูแฮมเสตอร์บ้างหละ  เรื่องปากอูมๆ ที่ผมแกล้งเรียกว่าห้อย   หรือบางทีผมก็แกล้งเรียกว่าน้องแว่น  น้องบอกว่าไม่ได้สายตาสั้นมาก แค่ 170  แต่ก่อนก็ไม่ได้ใส่  เพิ่งมาใส่ตอนขึ้นปี 1  เพราะว่าใส่แล้วมันสบายตาขึ้น  แต่หลังๆใส่จนชินแล้ว  กลายเป็นว่าพอไม่ได้ใส่แล้วมองอะไรที่เกินระยะ 2 เมตร  แล้วเบลอ  (เบลอว่ารักแทบ  ...ตึ่งโป๊ะ  )

NongToei  :  ^^  ไม่ได้โกรธครับ
NongToei  :  พี่ต้นมีอะไรหรือเปล่าครับ
NongToei  : เต้ยเรียนอยู่
Tonsung  :  พรีเซ็นต์ผ่านแล้ว  วันนี้ไปฉลองกันครับ

หลังจากที่น้องเปิดโอกาสให้ผม  ผมก็ติดเสนอโปรเจค  ทำโมเดล  เตรียมพรีเซ็นต์งาน  โชคดีที่ยุคนี้มีสื่อมากมายทำให้เราไม่ขาดการติดต่อกัน   และดีที่น้องเข้าใจผมมาโดยตลอด  แม้จะได้รับเพียงข้อความจากผมก็ไม่เคยงอแง  นี่คงเป็นข้อดีของการคบผู้ชายหละมั้งครับ  ไม่งี่เง่า งอแง  มีอะไรคุยกันด้วยเหตุผล  บางครั้งน้องก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีน้องชายเพิ่มมาอีกคน  เพียงแต่น้องชายคนนี้ทำให้ผมอยากกอด  อยากหอม  อยากจูบปากแดงๆนั้นอยู่ตลอดเวลาที่คิดถึงกันขึ้นมา

NongToei  : เย้
NongToei  : ยินดีด้วยนะครับ
NongToei  : แต่วันนี้เต้ยทำงานที่ห้องสมุดนะครับ  เลิก 6 โมงครับ
Tonsung  :  ไม่เป็นไรครับ  พี่รอได้
Tonsung  :  คิดถึง
NongToei  :  ^^
NongToei  :  แล้วเจอกันครับ

“ไปไหนกัน   กูไปด้วย”
เฮ้อ   มาแล้วครับ ไอ้โทนตัวเผือก
“ไม่เสือกดิครับ”  ผมตอบโต้มันไปอย่างใจคิด  แต่มันก็หาได้แคร์ไม่
“กูรู้ว่ามึงจะไปฉลองส่งพรีเซ็นต์งานผ่านแล้วใช่ปะ  แล้วงานนี้พวกเรานะช่วยมึงเยอะมากเลยนะเว้ย  อดหลับอดนอนร่วมกับมึงมาตั้งกี่คืน  มึงลองคิดดู  มึงจะไปฉลองกับน้องมันแค่สองคนไม่ได้  จริงไหมว่ะปอนด์”
มันพล่ามมายาวยืดเลยครับ  ไม่ใช่ว่าผมไม่สำนึกบุญคุณนะครับ  แต่ผมอยากเวลากับน้องบ้าง   ผมคิดถึงของผมนี่นา
‘ป๊าบ’  ขอบคุณมากปอนด์เพื่อนรัก
“แต่มึงก็ควรรู้ไหมว่ามันแค่ต้องการเวลาอยู่กับน้องเต้ยสองต่อสองบ้าง”
“แต่กู....  เอ่อ...”
“นี่มึงมีปัญหากับหนึ่งใช่ไหม”
“คือกู...”
“มึงมีอะไรจะเล่าไหม    หรือมึงไม่ต้องการความช่วยเหลือ”
“หนึ่งไม่คุยกับกูมาสองวันแล้ว  โทรไปไม่รับ  ไลน์ไปไม่ตอบ   ไปหาก็หลบหน้า“  ผมเลิกคิ้ว มองหน้ามันอย่างกดดันให้มันเล่าต่อ
“ก็  หลังจากตกลงคบใช่ไหม  กูก็บล็อกเฟส  ไลน์  ไอจีเด็กๆของกูหมด   แต่มันเยอะไงมันก็มีพลาดบ้างไงมึง”
“และคนที่กูพลาดลืมบล็อกคือน้องพิมพ์   น้องไดเร็คมาหากู  ตอนแรกกูก็จำไม่ได้  น้องแค่ทักทายกู  กูตอบกลับไป  น้องก็ถามว่ากูว่างไหม  แล้วก็พูดเหมือนเราเคยมีซัมติงกัน   กูก็เลยเอะใจ  แล้วก็คิดออกว่าเราเคยเจอกัน  แล้วก็เอ่อนั่นแหละ...   น้องก็ชวนกูออกมาเจอกันอีกใช่ไหมหละ   ...พวกมึงอย่ามองหน้ากูแบบนั้น   กูไม่คิดจะไปอยู่แล้ว   กูกำลังคิดหาคำปฏิเสธน้องพิมพ์อยู่   แต่ตอนนั้นหนึ่งก็อยู่กับกูด้วย   คงเห็นกูแชทอยู่สักพักแล้ว   หนึ่งขอกูดูโทรศัพท์   กูก็บริสุทธิ์ใจ  อธิบายได้อยู่แล้ว   จึงให้โทรศัพท์หนึ่งไป   หนึ่งอ่านอยู่แป๊บหนึ่ง  ส่งมือถือคืนให้กู   แล้วเดินออกจากห้องกูไปเลย   กูยังไม่ทันได้อธิบายอะไรเลยด้วยซ้ำ....เฮ้อออ”

ตอนนี้ไอ้โทนมันคบกับน้องหนึ่งแล้ว  ไปไงมาไงไม่รู้ของมันแซงทางโค้งพวกผมสองคนเฉยเลย  (มันบอกว่ามันใช้ทางด่วนพิเศษ)  ขนาดไอ้ปอนด์ที่เริ่มก่อนเพื่อนยังเป็นได้แค่แฟนกับน้องฟ้าเลย   ส่วนผมไม่ต้องพูดถึงครับ  เบสิคสุดๆครับ  จับมือ  แต่อย่างบางวันที่ผมเหนื่อยท้อจริงๆ  น้องก็อนุญาตให้ผมกอดได้  น่ารักจริงๆเลย

“ไอ้โทนเอ้ย   มึงนี่มันน้า   กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ย”  ปอนด์พูดอย่างเอือมระอา
“แล้วมึงคิดว่าน้องมันจะยอมไปกับพวกเราหรอวะ   ก็รู้อยู่แล้วยังไงว่ามึงก็ติดสอยห้อยตามพวกกูไปอยู่แล้ว”
“มึงก็ช่วยพูดกับน้องฟ้าให้กูหน่อยดิวะปอนด์   มึงด้วยไอ้ต้น  ยังไงเขาก็ฟังเพื่อนเขาอยู่แล้วเปล่าวะ”
“กูไม่แน่ใจเลยวะ “  หน้าไอ้โทนหงอยลงไปอีก 10 ระดับ 
“เออ  เออ  เดี๋ยวกูลองถามน้องฟ้าให้ว่าพอจะช่วยมึงได้ไหม  แต่มื้อนี้มึงต้องเลี้ยงพวกกูโอเคไหม”
“ได้เลยครับเพื่อน   กูรักมึงมากเลยปอนด์เพื่อนเลิฟ “   ระริกระรี้มาเชียวทีนี้
“ออกไปไกลก็เลยไอ้เชี่ยโทน  อย่ามากอดกู”
สองคนนี้มักเล่นกันเป็นเด็กๆครับ   บางครั้งไอ้โทนมันก็มักจะเล่นเป็นเมียไอ้ปอนด์  เรียกเสียงเฮฮาให้พวกเราได้เยอะ
ในที่สุดกูต้องหิ้วมึงไปด้วยสินะ   เฮ้อ...  โอกาสของเราสองคน  ลาก่อยยยยยยย !!!!

 :o12:
………………………………………..

เต้ย

พี่ต้นพาผมมาที่ร้านอาหารกึ่งผับ  เรามาถึงกันตอนทุ่มกว่าๆ  ยังไม่ค่อยมีลูกค้า  เรานั่งอยู่โซนด้านนอกร้านที่เป็นโซนอาหาร  อากาศถ่ายเทเย็นสบาย  อันที่จริงร้านนี้หนึ่งเป็นคนอยากมาเอง  บอกว่าอยากดื่มและเต้นให้สุดเหวี่ยง  แต่ขอกินข้าวให้อิ่มก่อน
หลังจากที่ได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากพี่ต้น  ผมก็ปรึกษากับฟ้า  เราเลยตัดสินใจเข้าไปคุยกับหนึ่งตรงๆ   หนึ่งบอกว่า  รู้แล้วว่าพี่โทนไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้น  เพียงแต่ที่แกล้งงอนพี่โทนเพราะ หนึ่งเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว  บางครั้งพี่โทนก็คุยแชททีละนานๆ  ทั้งๆที่เคยบอกหนึ่งแล้วว่าจะบล็อกให้หมด  หนึ่งก็ไม่ได้คิดว่าพี่โทนจะโกหกหรอกนะครับ   แต่อยากให้พี่โทนให้แสดงออกให้ชัดเจนมากกว่านี้  การที่ยังคุยกับคนอื่นในขณะที่อยู่ด้วยกันมันเหมือนไม่เห็นหัวกันเลย ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันแล้ว  ในทุกการกระทำก็ควรเกียติกันด้วย 

ผมบอกหนึ่งว่าทำไมไม่บอกพี่โทนไปตรงๆ   จะไม่ดีกว่าการมานั่งงอนกันหรอกหรอ   หนึ่งบอกว่าคุยแน่  แต่ตอนนี้ขอแสดงผลให้ดูเล็กๆน้อยๆก่อน   ไม่งั้นพี่โทนก็จะไม่จำ   

ผมว่าคนเรามีวิธีการจัดการกับเรื่องราวความรักของเราแตกต่างกันไปนะครับ  เรื่องราวหรือประสบการณ์จากคนหนึ่ง อาจจะนำมาใช้กับอีกคนหนึ่งไม่ได้   อย่างหนึ่งก็เลือกที่ใช้วิธีการในแบบของหนึ่งเองเช่นกัน

และผมก็เลือกที่จะเคารพในวิธีการของเพื่อนเช่นกัน   ฉะนั้นเรื่องนี้ผมจึงไม่เล่าให้พี่ต้นฟัง
.
.
.
พี่โทนขยับเก้าอี้ด้านข้างตัวเอง  เพื่อให้หนึ่งนั่ง   แต่นั่งเมิน  เดินมานั่งระหว่างผมกับฟ้าแทน  พี่โทนถึงกับหน้าจ๋อย  เห็นแล้วหน้าสงสารครับ   พี่ต้นขยับปากบอกผมว่า  ‘ช่างหัวมัน’ 
เราทานข้าวไปคุยกันไป  ส่วนมากหนึ่งจะเป็นคนสรรหาเรื่องมาเล่าให้ฟังมากกว่า   แต่พอพี่โทนพูดแทรกขึ้นมา  หรือร่วมหัวเราะไปกับพวกเรา   หนึ่งก็จะหยุดทันที  พี่โทนจึงได้แต่ก้มหน้าทานข้าวไปอย่างเงียบๆ  เพื่อให้ได้ยินเสียงหัวเราะของหนึ่งก็ยังดี
สองทุ่มครึ่งเราก็ทานข้าวกันเสร็จแล้วก็ย้ายเข้าไปในโซนผับ  เพราะวงดนตรีสดกำลังจะขึ้น
ผมชอบฟังดนตรีสดนะครับ   มันมีเอกลักษณ์ดี  ฟังแล้วถึงอารมณ์มากกว่า  โดนเฉพาะเสียงกลองที่ดัง ตึบตึบ  มันจะดังเข้าไปกระแทกหัวใจ  ทำให้เพลงเศร้าก็เศร้าสุดๆ   เพลงเร็วก็มันก็อยากกระโดดขึ้นเต้น  แต่บังเอิญเป็นคนที่เต้นไม่ตรงจังหวะจึงได้แต่นั่งกระดิกขา  และโยกหัวหน่อยๆตามจังหวะเพลงไป

“นั่งมองตาไม่กระพริบเลยนะเรา” 
“ชอบหรอเรา”   พี่ต้นหันมาถามผม
“ครับ  นานๆทีได้ออกมาชิวสักครั้ง”
“ไม่ใช่ว่าติดใจนักร้องหรอกนะครับ”   พี่ปอนด์แกล้งแซ็วแหย่ผม
“นี่ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยหรอครับ”
“พวกมึงกูกลับละ”  พี่ต้นลุกขึ้นยืนพร้อมดึงมือผมขึ้นไปด้วย
“ไอ้ห่านี่ก็ขึ้นง่าย   น้องมันก็แค่พูดเล่นเองไหม”
“จริงนะ  พี่เห็นไอ้นักร้องนั่นมองมาทางนี้บ่อยๆด้วย  ”
“พี่เขามองมาที่หนึ่งหรอกครับ  ไม่ได้มองเต้ยซะหน่อย  นั่งก่อนเร็ว”
“พี่เขามองเราหรอเต้ย  เดี๋ยวเราไปให้ติ๊บนักร้องดีกว่า “
“หนึ่ง / หนึ่ง “  ผมกับฟ้า เอ่ยเตือนหนึ่ง  และส่ายหัวให้เพื่อนหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้น
หนึ่งทำเพียงยักไหล่  แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม  แต่ไม่ได้เดินออกไปหน้าเวทีอย่างที่เคยบอกไว้

“หนึ่งพี่ขอคุยด้วยหน่อย”   พี่โทนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอดกลั้น
หนึ่งยังคงนั่งเฉย   เหมือนไม่ได้ยินอะไร
“หนึ่งครับ   พี่ขอร้อง”  พี่โทนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“เดี๋ยวเรามานะ”  หนึ่งบอกพวกเรา  แล้วก็เดินนำพี่โทนไปนอกร้าน
เฮ้อ    ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ไม่เป็นอะไรแล้ว   สบายใจได้นะเราอะ  ทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจตั้งแต่เข้ามาในร้านหละ   คนคบกันไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้พูดคุยกันทำความเข้าใจกันหรอกครับ”  พี่ต้นพูดเยี่ยงผู้เชียวชาญ   เฮอะใช่ซี้ผ่านผู้หญิงมาเยอะนี่ ... แล้วผมจะมางอนพี่ต้นทำไมเนี่ย   บ้าบอแล้วเต้ยเอ้ย
“ถ้าเรามีอะไรสงสัย ติดใจ  ไม่เข้าใจอะไรในตัวพี่ให้ถามนะครับ  อย่าเก็บไปคิดมากคนเดียว   พี่เดาไม่ออกมาเราคิดอะไรอยู่  พี่ไม่ถนัดเลยจริงๆ เรื่องพวกนี้  ถ้าเราจะเดินหน้าไปด้วยกันเราก็ต้องพูดคุยกันให้เยอะๆ “  พี่ต้นจับมือผมไว้ 
“พี่จริงจังเรื่องของเรานะรู้ไหม”
“ครับ  พี่ต้นก็อย่าโกหกผมนะครับ   มีอะไรก็บอกผมตรงๆ  ผมอาจจะยังเด็กแต่ผมเป็นคนเข้าใจได้ง่ายครับไม่ต้องห่วง”
“ครับ...จุ๊บ”   ช่วงนี้พี่ต้นชอบแอบจุ๊บมือผมครับ
“พี่ต้น  !!!  ทำแบบนี้อีกแล้วนะครับ”  แล้วผมก็มักจะทำแก้มป่อง  ปากคว่ำโดยที่ไม่รู้ตัว
“อะแฮ่มๆ   พี่ปอนด์ค่ะ  นี่เราสองคนยังจำเป็นอยู่ไหมค่ะ”  ฟ้าเอ่ยแซว

ฉ่า!!!!!!!!
ถ้าเอาหมูมาวางบนหน้าผม  คืนนี้เราคงได้กินหมูกระทะกันแน่นอนเลยครับ  ตอนนี้ฮ็อตมาก บอกเลย

.
.
.
.
“นี่นี่   ไปแอบดูพวกพี่ๆซ้อมดนตรีกันไหม”  หนึ่งเอ่ยชวน
“แต่พี่ต้นบอกไม่ให้เราไปดู”  พี่ต้นบอกแบบนั้นโดยให้เหตุผลว่า พี่เขาเลิกดึกอยากให้ผมกลับไปพักผ่อนมากกว่า 
“เนี่ยเราว่าพี่ต้นต้องทำเซอร์ไพรส์อะไรเต้ยแน่เลย  ว่ามะฟ้า”
“เราก็ว่าน่าจะใช่นะ  เพราะงั้นเรายิ่งไม่ควรจะไป  เดี๋ยวเซอร์ไพรส์ล่มทำไงหละ  ทีนี้หละงานกร่อยเลย”
“แล้วเต้ยไม่อยากรู้หรอว่าพี่ต้นเตรียมเซอร์ไพรส์อะไรให้เต้ย”
“อืม...  ก็อยากรู้นะ   แต่เราว่าไม่ไปดีกว่าเดี๋ยวพี่ต้นรู้”  ผมแกล้งปฏิเสธหนึ่ง  เพราะจริงๆรู้ว่าหนึ่งต้องการอะไร
“โหย  ไรเนี่ย  แค่นี้กลัวหรอ  แล้วเต้ยไม่อยากไปให้กำลังพี่ต้นหรอ  ป่านนี้คงมีสาวไปเสริฟน้ำเสริฟขนมพี่ต้นกันเต็มแล้วมั้ง”  หนึ่งพยายามหาเหตุต่างๆมาโน้มน้าวผม
“อืม  ก็คงมีบ้างหละมั้ง   แต่เราเชื่อใจพี่ต้น  เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก  เราโอเค”
“ที่หนึ่งพยายามชักจูงขนาดนี้เพราะอยากไปคุมพี่โทนซะมากกว่าหละมั้ง”   ฟ้าเอ่ยแซ็วบ้างเพราะอดทนขำไม่ไหวละ
“ฮึ   ก็แน่หละสิ  ยิ่งชอบอ่อยสาวๆไปทั่วด้วย   ฮึ่ย   ถ้าเราเจอนะ  จะจัดให้หนักเลย”
“จัดอะไรให้หนักรอจ๊ะ”

หนึ่งยกหมัดขึ้นมาทำท่าต่อย   สับศอก  แล้วตามด้วยแทงเข่า
ผมรู้ว่าหนึ่งไม่ทำอะไรแบบนั้นกับพี่โทนหรอก  แค่แกล้งขู่แฟนตัวเองไปงั้นแหละ   

“สรุปว่าไปกันนะ  เนี่ยเราจะไม่ไหวหละ”  เรื่องพี่โทนทำให้หนึ่งเป็นคนอารมณ์ขึ้นได้ง่ายๆ   ผมจะรอดูแม่เสือสาวจะแผลงฤทธิ์ได้ซักกี่น้ำ  ไม่พ้นพอพี่โทนเข้ามาอ้อนหน่อยก็หายงอนละ
“อืม  ไปก็ได้  แต่ต้องระวังห้ามให้พี่ต้นรู้เด็ดขาดว่าเราแอบไปดู”
“ส.บ.ม. สบายมาก  เราไปสืบมาละวันนี้เขามีซ้อมกันที่โรงละครกลาง   เดี๋ยวเราแอบเข้าข้างหลังรับรองไม่เห็นพวกเราแน่นอน”
อื้อหือ   ข้อมูลแน่นมาก  ท่าทางจะเตรียมการมาเป็นอย่างดี
.
.
.

‘ฉันมันคิดไปไกล
ฝันเอาไว้อย่างดี
ว่าความรักของเราจะมีตลอดไป
ในฝันของฉันมีเธอข้างกาย
จับมือเดินกันไป
ใครก็อิจฉา
ดูดีทุกทุกอย่าง
ติดที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นมา’

ตอนนี้พวกเราหลบอยู่ที่มุมหนึ่งด้านหลังเวที   มีช่องเล็กๆสามารถมองขึ้นไปเห็นพี่ต้นร้องเพลงอยู่ด้านบนเวทีในขณะนี้ 

‘ไม่อยากได้แต่ฝันหวาน
ให้มันเป็นจริงได้ไหม
แค่เพียงเธอยอมเห็นใจ
รับฉันพิจารณา’


(เพลงฝันหวาน By Labanoon)


“นี่มันเซอร์ไพรส์ขอเป็นแฟนชัดๆ”
ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย  ได้แต่เขินตัวบิด  ก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะครับ  แต่เพลงที่พี่ต้นร้องอยู่มันก็เป็นเพลงที่เหมาะกับการขอเป็นแฟนอย่างที่หนึ่งพูดจริงๆนั่นแหละครับ

“พวกเราหลบก่อน  พี่ๆลงเวทีกันมาแล้ว”
มัวแต่เขินเลยไม่ทันสังเกตว่าพี่ต้นร้องเพลงจนจบแล้ว ดีที่ฟ้าเห็นก่อน  พวกเราเลยหลบกันได้ทัน   ซึ่งที่หลบซ่อนของพวกเราก็เป็นซอกลึกเข้าไปอีกนิดหน่อย  ซึ่งยังคงได้ได้ยินบทสนทนาพวกพี่ๆได้อย่างชัดเจน

“ห่าต้น  เลือกเพลงอะไรของมึงเนี่ย  หวานเลี่ยนสาด”  พี่แมท  ประธานชมรมดนตรีเดินบ่นลงมาจากบนเวที
“หึหึ”   พี่ต้นได้ส่งเสียงในลำคอตามสไตล์
“โหย  พี่ไม่เข้าใจหัวอกคนกำลังอินเลิฟหรอก   ตอนนี้มันนะมองอะไรก็สีชมพูไปหมดแหละค๊าบ  เพลงนี้ถือว่าเบสิคมาก” 
“เออเออ  กูผิดเองแหละที่มองเห็นโลกนี้มี 12 สี  ไปไป รีบไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า  พวกมึงต้องรีบไปซ้อมเต้นกันอีกใช่ไหม คนห่าอะไรวะจะมาครบเครื่องได้ขนาดนี้  หน้าตาดี  ร้อง เล่น  เต้นรูดเสาได้  ฮ่าฮ่า”
“อะ  อะ  อะ   อะ”   พี่โทนกวนตีนพี่แมท  โดยการเข้าไปเต้นยั่วยวนประหนึ่งสาวโคโยตี้  โดยจับตัวใช้ตัวพี่แมทแทนเสา
“พอๆ  กูขนลุก   กูหละอยากให้สาวๆมาเห็นมึงในสภาพนี้จริงๆเลย “ 
“โนสน โนแคร์ครับผม”
“ฮึ  คนอย่างมึงเนี่ยนะไม่สนสาว   เฮ้ยๆ  อย่าบอกนะเว้ยว่ามึงเปลี่ยนเวย์”
“ ..... “
“เอาจริงดิมึง   นี่กูแซ็วเล่นๆนะเว้ย”
“อืม   คนนี้จริงจัง  จริงใจวะพี่”
 “กูไม่อยากเชื่อเลยจะได้ยินคำนี้จากปากเสือหิวโหยอย่างมึง  ”
“ไม่รู้ดิพี่  ผมอยากเห็นแต่รอยยิ้มเขา  ไม่อยากทำให้เขาเสียใจเลย”
“อ๊วกกกก/  อ๊วกกกก”  เสียงอวกของพี่แมทกับพี่ปอนด์

นาทีนี้ผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆเลยครับ  ...  เจ็บครับ  เจ็บมากเลย  หนึ่งที่กำลังระบายความเขินอยู่ด้วยการหยิกแขนผมเต็มๆ   ถ้าไม่ติดว่าต้องซ่อนตัว  ผมคงร้องไห้โฮแล้วหละครับ   เขินโหดมากเลยครับเพื่อนผม

“เออ  รักกันดีๆหละกันมึง   อย่าให้กูเห็นมึงมานั่งร้องไห้หละ กูจะซ้ำให้หนัก”
“ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของพี่ค๊าบ”
“หลังคอนฯ  ก็ปิดเทอมพอดี   พวกมึงว่างกันปะ  พวกคณะแพทย์เขาจัดออกค่ายอาสากัน  พวกมึงสนใจไปช่วยปะ”
“ไปที่ไหนกันอะพี่”
“น่าจะขึ้นดอยสักที่แหละ  กูก็ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดเหมือนกัน ถ้ามึงสนใจเดี๋ยวกูฟอร์เวิร์ดรายละเอียดให้”
“ส่งมาเลยพี่ถ้าวันตรงกับวันว่างของผมก็ไปช่วยได้ไม่มีปัญหา  พี่ก็รู้ว่าผมคนดีแค่ไหน  ปอนด์มึงว่าไง”
“ปิดเทอมผมต้องเข้าบริษัทไปช่วยพ่อครับอย่างเคย  แต่ขอดูวันอีกทีละกันครับ  ส่วนไอ้คุณชายต้นก็ต้องไปกับลุงมันที่ออสเตรเลียอีกเหมือนเดิมหละสิ  ใช่ไหมมึง “
 “อืม”
“กูก็นึกว่ามึงจะใช้เวลาช่วงปิดเทอมกับว่าที่แฟนมึงซะอีก”
“ก็อยากอยู่  แต่กูเตรียมการทางนู้นไว้หมดแล้ว”

ผมไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วหลังจากประโยคนั้น   สมองผมมันมึนเบลอไปหมด   แค่ได้ยินว่าพี่ต้นจะไปเมืองนอก ใจผมก็สั่นไปหมด  มันจะเกิดขี้นอีกแล้วหรอ   นี่ผมจะเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้เลยใช่ไหม  ทำไมเรื่องราวมันจะต้องวนลูปมาที่เดิมเหมือนกับความฝัน  ฝันแต่เรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ  ฝันร้ายที่ไม่สารถตื่นขึ้นมาได้เลย   

“เต้ย  เต้ย   เต้ยได้ยินเราไหม”
“อะ  อืม”
ตอนนี้ผมนั่งอยู่เบาะหลังบนรถหนึ่ง   ผมไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง  ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน   ผมจมอยู่กับตัวเองจนกระทั่งได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นจากเพื่อนทั้งสองคน   

“เต้ย  มันไม่มีอะไรหรอกนะ  เต้ยอย่าเพิ่งคิดมาก “
“ใช่ๆ  นี่ก็พี่ต้น  ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น  เต้ยต้องแยกแยะนะ”
ผมรู้ว่าผมไม่ควรเอาพี่ต้นไปเปรียบเทียบกับคนนั้น  แต่สมองผมมันไม่ทำตาม  มันคงจำแต่เหตุการณ์เดิมๆ 
“เรา  เรากลัวอะฟ้า   เรากลัว  ฮือออ” 
“โถเต้ย   ถ้างั้นก็ร้องออกมานะ  ร้องไห้ให้พอ   แล้วก็ไปคุยกับพี่ต้นให้เข้าใจ  นี่พี่ต้นโทรเข้ามาหลายสายแล้ว  ฟ้าไม่กล้ารับสาย”
“ฮืออออออ”

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 10  เรื่องของเขาและความเศร้าของผม

Rrrrrrrrrr
Rrrrrrrrrr

พี่ต้นโทรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะรับสาย   ถ้าคุยกับพี่ต้นตอนนี้ต้องถูกจับได้แน่ว่าผมร้องไห้มา  ดีไม่ดีอาจจะร้องไห้ขึ้นมาอีกถ้าได้ยินเสียงพี่ต้น
ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของพี่ต้นเลย  พี่เขามีวิถีชิวิตของเขาแบบนี้อยู่แล้วก่อนที่เราจะรู้จักกัน   พี่ต้นเป็นลูกชายคนโตของนักธุรกิจ  มีความรับผิดชอบสูง  นี่ขนาดปิดเทอมยังต้องไปทำงาน  (ตามที่ผมแอบได้ยินมา)  แต่ตอนนี้ผมขอจัดระบบความคิดของตัวเองก่อน   ก่อนอื่นผมต้องเลิกเป็นกระต่ายตื่นตูมก่อน  ถ้าเหตุการณ์มันจะเหมือนกับครั้งที่แล้ว  คราวนี้ผมจะต้องเตรียมเผื่อใจไว้  ผมไม่รู้ว่าเมืองนอกมันมีดีอะไร  ถึงทำให้คนดีๆเปลี่ยนไป  หรือจริงๆแล้วอาจจะไม่เกี่ยวกับสถานที่เลย  แต่มันขึ้นอยู่กับนิสัยถาวรของแต่ละบุคคลต่างห่างหละ

‘ไลน์’

Tonsung :  เต้ยครับ   ถึงห้องหรือยังครับ
Tonsung :  กินข้าวหรือยังครับ
Tonsung :  จะนอนหรือยังครับ  รับสายพี่หน่อยครับคนดี

น้ำตาผมมันไหลออกมาอีกแล้ว  แค่เพียงได้อ่านข้อความห่วงใยจากพี่ต้น  มันก็ไหลออกมาเอง  ผมไม่รู้จะกำจัดความเสียใจนี้ยังไงดี   ผมรู้ว่าตัวเองคิดมากไปเอง   พี่ต้นเคยบอกว่ามีอะไรให้คุยกันตรงๆ  แต่ผมก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองให้พี่ต้นฟัง
Tonsung :  พี่รอเราอยู่ที่หน้าคอนโดเรานะ   ถ้ายังไม่นอนลงมาหาพี่หน่อยนะครับ

ผมดูเวลา ตอนนี้ 5 ทุ่มกว่าแล้ว  พี่ต้นรออยู่นานแค่ไหนแล้วนะ   
.
.
.
ผมตัดสินใจหยิบแว่นตา  แมสปิดปาก เพื่อหวังว่าจะปิดบังสภาพหน้าตาตัวเองให้ได้มาที่สุด  แล้วเดินลงลิฟต์ไปหาพี่ต้น 
เพียงแค่เดินออกจากตัวคอนโด   พี่ต้นก็ลงจากรถเดินตรงมาหาผม
‘อุก’

พี่ต้นดึงผมเข้าไปกอด
“พี่เป็นห่วงเรามากเลยรู้ไหม  ทำไมไม่รับสายพี่ครับ  โทรหาหนึ่งก็บอกแค่ว่ามาส่งเราที่ห้องแล้ว    เราไม่เคยขาดการติดต่อกันมาก่อนเลย  พี่คิดฟุ้งซ่านไปหมด  เราจะเป็นอะไรหรือเปล่า  ปวดหัวไม่สบาย  ล้มหน้ามืดอะไรหรือเปล่า  พี่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วรู้ไหม?”
“ขอโทษครับ”   ผมตอบได้เพียงแค่นี้   ถ้าขืนพูดมากกว่านี้คงต้องร้องไห้ออกมาอีกแน่เลย  ยิ่งได้รับรู้ถึงความห่วงใยของพี่ต้นมากเท่าไหร่  ผมยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
“ไหน  พี่ขอดูหน้าหน่อยครับ”   ผมกอดพี่ต้นแน่นขึ้นและส่ายหน้าดิกๆบนอกพี่ต้น
เรายืนกอดกันที่หน้าคอนโดแบบไม่อายประชาชีอยู่นาน   จนผมเริ่มรู้สึกปวดขา  จึงผละตัวออกมาจากพี่ต้น
“เมื่อย”
“ 555  ไปนั่งในรถกันไหม”
“หา   ไม่ใช่ว่าพี่ต้นต้องกลับแล้วหรอครับ  นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะครับ   พรุ่งนี้พี่มีเรียนแต่เช้าด้วย”
“เราตาแดงขนาดนี้  คิดว่าพี่กลับไปจะนอนหลับไหมฮืม?”  เห็นได้ไงเนี่ย  อุส่าห์ปิดบังสุดชีวิตแล้วนะเนี่ย  ผมมุ่ยหน้าเยาะเย้ยให้กับความล้มเหลวของตัวเอง
“ถ้างั้นขึ้นห้องดีกว่าครับ”
ผมเดินนำพี่ต้นเข้าไปข้างในคอนโด  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมให้พี่ต้นเข้ามาในห้อง  ปกติมากสุดก็แค่ล็อบบี้   

“พี่ต้นนั่งที่โซฟาก่อนนะครับ  เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้.....อะ”
ผมถูกดึงให้มาให้แหมะบนตักพี่ต้นที่นั่งบนโซฟา  (ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้) อีกที
“พี่ต้นปล่อยผมด้วยครับ  “  นอกจากพี่ต้นจะไม่ยอมปล่อยแล้ว  ยังกอดผมแน่นขึ้นอีก  มันไม่ได้นั่งสบายเหมือนในนิยายหรอกนะครับ   แต่ยอมรับว่านั่งแบบนี้แล้วอบอุ่นดีครับ
“ไม่ปล่อยครับ   ลงโทษเด็กนิสัยไม่ดี”
“ .... “
“ .... “
“ปล่อยเถอะนะครับ  ผมเขิน”  ต้องยอมสารภาพความจริงอีกข้อออกไป
“ฮึฮึ”   เกลียดจริงๆเลยเสียงหัวเราะแบบนี้  แต่ทำไมผมยิ้มอยู่หละ
ผมลุกออกจากตักพี่ต้น  มานั่งลงข้างๆแทน
“ยิ้มได้แล้วหละสิเราหนะ”
“ครับ   เพราะใครหละ”
“ฮึ  พูดแบบนี้ตอนที่พี่ปล่อยเราไปนั่งเองเนี่ยนะ  ใจร้ายสุดๆ”
ผมได้แต่ยิ้มตาหยีส่งให้พี่ต้น
พี่ต้นจับมือผมขึ้นมากุมไว้   แล้วเกลี่ยด้วยหัวแม่มือ
“.....”
“ไหน  เล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่าเราเป็นอะไรครับ   ทำไมถึงร้องไห้ครับ”
ผมนิ่งไปสักพัก  เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี 
“ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่า  แต่พี่ต้นห้ามว่าผมนะครับ”
“ฮึ   ได้ครับ...จุ๊บ”   พี่ต้นพรากความบริสุทธิ์ไปจากมือผมอีกแล้ว
 “.....”
 “ ^^.”
“พี่นนท์   เป็นลูกชายเพื่อนแม่  และเป็นแฟนคนแรกของผม  เรารู้จักกันบ้างตั้งแต่เด็ก  และเพิ่งสนิทกันตอนที่ผมอยู่ ม.5  ผมอ่อนภาษาอังกฤษจึงได้พี่นนท์มาเป็นติวเตอร์ให้   พี่นนท์เป็นผู้ชายอบอุ่น ใจดี  มีความเป็นผู้ใหญ่  ตรงข้ามกับผมที่ใคร ๆก็บอกว่าเป็นลูกคุณหนู  ไม่รู้จักโตสักที    เราเจอกันทุกทุกวันหยุด  นอกจากพี่นนท์จะช่วยสอนผมแล้ว  เรามักจะออกไปเที่ยว  ซื้อของ  ดูหนังด้วยกันบ่อยๆ  บางวันที่พี่นนท์ว่างก็จะไปรับส่งผมที่โรงเรียนบ้าง   ความสนิทสนมใกล้ชิดกันของเราทำให้ความรู้สึกของเราทั้งคู่เปลี่ยนไปจากพี่น้องจึงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ”

‘Would you like to be my darling ? ‘
‘ Yes, I would like’

ผมตอบรับในทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด   ช่วงเวลาที่เราคบกันมันดีมาก ๆเลย  มีคนตามใจเราเพิ่มมาอีกคน  อีกทั้งแม่วิภา  แม่ของพี่นนท์ก็เอ็นดูผมมาก ๆด้วย  พี่นนท์มักจะพาผมไปเล่นที่บ้านเป็นประจำ  บางทีพี่นนท์ไม่อยู่ผมก็ไปเยี่ยมแม่วิภาเองคนเดียว  ซื้อขนมนมเนยเจ้าอร่อยไปฝาก  ไปนั่งเล่น พูดคุย ออดอ้อนออเซาะบ้าง  (คุณแม่บอกว่าเราต้องหมั่นเอาใจว่าที่แม่สามีบ้าง ถ้าเขาเอ็นดูเราอนาคตข้างหน้าจะได้สบาย ..... ผมบอกเรื่องที่เราคบกันให้คุณแม่ทราบ  ผมสนิทกับคุณแม่มาก เราพูดคุยกับทุกเรื่อง ผมจึงไม่เคยมีความลับกับคุณแม่เลย  และผมก็คิดว่าพี่นนท์ก็คงพูดเรื่องของเรากับทางบ้านพี่เขาแล้วเหมือนกัน) 

‘ ถ้าเราต้องห่างกัน  น้องเต้ยจะอยู่ได้ไหมครับ ‘     
‘ พี่นนท์พูดอะไรครับ  พี่นนท์จะไปไหนหรอครับ ’
‘ เอ่อ  คือ  พี่ต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ที่อังกฤษ ’
‘ ทำไมถึง... อยู่ๆที่จะไปหละครับ  ก่อนหน้านี้ไม่เห็นพี่นนท์พูดอะไรเลย’
‘ คุณพ่อให้ไป  พี่ต้องนั่งเก้าอี้แทนคุณพ่อ  น้องเต้ยเข้าใจใช่ไหมครับ’
‘ แต่ที่ไทยก็มีสถาบันเก่งๆ เยอะเลยนะครับ  ทำไมต้องไปไกลๆเต้ยด้วย’  ผมเริ่มงอแงอย่างควบคุมไม่อยู่
‘ ผู้บริหารระดับสูง  ด้วยหน้าตาทางสังคมและหน้าที่การเงิน  เต้ยก็รู้ว่าค่านิยมบ้านเรา คนที่จบนอกเท่านั้นถึงจะได้รับการยอดรับ  ไม่งอแงนะครับ  แค่ 2 ปีเอง’
‘ ฮือ   ตั้ง 2 ปี ต่างหากหละครับ  แล้วเต้ยจะอยู่ยังไงหละครับ’  ผมเริ่มเบะปากเตรียมจะร้องไห้
‘ โอ๋โอ๋  ไม่ร้องนะครับ  ระหว่างนี้ก็เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ  สอบเข้าคณะที่เราฝันไว้ให้ได้  ส่วนพี่ก็จะพยายามเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย  เพื่ออนาคตของเราสองคนนะครับ  มาสู้ไปด้วยกันนะครับ ’
‘ พี่นนท์พูดแบบนี้แล้ว  แล้วเต้ยจะทำยังไงได้หละครับ  อยากร้องไห้อะ พี่นนท์กอดปลอดน้องหน่อย ’
‘ ได้อยู่แล้วครับ  พี่รักน้องเต้ยนะครับ’  ผมยิ้มเต็มแก้มอยู่บนอกพี่นนท์ที่กอดผมแน่น  ต่อให้ไม่อยากให้พี่นนท์ไปแค่ไหน  แต่มันก็เป็นไปไม่ได้  หากต้องการยืนอยู่เคียงข้างพี่นนท์ในอนาคต  ผมต้องยอมเสียสละช่วงเวลานี้  สู้ๆนะเต้ย  ได้แต่ปลอบใจตัวเองในตอนนั้น
‘ แล้วพี่นนท์ต้องไปเมื่อไหร่ครับ’
‘ อีก 2 เดือนครับ  ช่วงนี้พี่ต้องเตรียมเรื่องมหาลัย คงยุ่งมาก ...  แต่พี่จะพยายามมาเจอน้องเต้ยให้ได้มากที่สุด’
‘ ฮือ  เต้ยยังทำใจไม่ได้เลยอะ  .. งั้นวันนี้เราไม่ต้องไปไหนกันนะครับ  เต้ยอยากกอดที่นนท์ตุนไว้ ’
‘ ฮึฮึ  ได้สิครับ  วันนี้เรามาใช้เวลาของสองเราให้คุ้มค่ากันเลย’
‘ อืม  พี่นนท์น่ารักที่สุดเลย’
.
.
.

2  เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก  แต่พี่นนท์ไม่ได้โกหกผมเลย  คือพี่เขาแทบไม่มีเวลามาเจอกันเลย  ต่อให้ผมไปหาพี่นนท์ที่บ้าน  พี่เขาก็ไม่อยู่  ผมชักหวั่นๆใจแล้วสิ  และพรุ่งนี้พี่นนท์ก็ต้องออกเดินไปลอนดอนแล้ว  คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่  เราจะไม่ได้เจอกันตั้ง 2 ปี  ถึงแม้ว่าพี่นนท์สัญญาว่าจะสไกด์หาผมทุกวันก็ตามเถอะ  แต่การเห็นหน้าผ่านหน้าจอมันจะไปจะไปเทียบกับการได้เจอกันตัวเป็นๆได้ยังไง  ยิ่งใกล้วันผมยิ่งคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย  จากที่เชื่อใจพี่นนท์  ตอนนี้ก็เกิดระแวง  ทั้งห่วงทั้งหวง กลัวพี่นนท์เผลอใจ  สาวๆอังกฤษสวยๆทั้งนั้น  ...ผมจึงตัดสินใจทำอะไรโง่ๆลงไป
‘ฮัลโหลพี่นนท์ ’
‘ ว่าไงครับ  ยังไม่นอนอีกหรอครับ ’
‘ เพิ่งสองทุ่มเองฮะ  และอีกอย่างเต้ยคิดว่าคืนนี้เต้ยคงนอนไม่หลับแน่ๆ ’
‘ เต้ยขอไปค้างกับพี่นนท์ได้ไหมครับ ’  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะไปค้างกับพี่นนท์  ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแฟนกันมาปีกว่าก็ตามที
‘ เอ่อ  ’
‘ นะ นะ ครับ  เต้ยอยากเจอพี่นนท์ ’
‘ ครับ ครับ   ’
‘ เย้  พี่นนท์ใจดีที่สุดเลย’
‘ ฮึ  พี่เคยขัดใจเต้ยได้สักครั้งไหมหละครับ  ... แล้วนี่มายังไงครับ  ให้พี่ไปรับไหม ’
‘  โนว โนว  เดี๋ยวเต้ยขับรถไปเองดีกว่าครับ  ตอนเช้าจะได้ออกไปส่งพี่นนท์ที่สนามบินด้วย ’
‘ OK.ครับ  งั้นขับรถดีๆนะครับ ’
‘  ครับ  แล้วเจอกันนะครับพี่นนท์ ’ 
ผมเข้าไปเตรียมในห้องน้ำอยู่นาน โดยใช้  reference จากในเน็ตนี่แหละ  เสร็จแล้วออกมาเก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์อีกนิดหน่อย...  พร้อมออกเดินทาง ....สู้ๆ

‘ คุณพ่อคุณแม่  สวัสดีครับ ‘
‘ เรามาทำไมเนี่ย   ’  คุณพ่อถามผมเสียงตึง   ปกติคุณพ่อมักจะเอ็นดูผมเช่นเดียวกับคุณแม่วิภา   แต่พักหลังนี้ผมรู้สึกว่าคุณพ่อมักจะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ  บางครั้งก็ไม่ยอมคุยกับผมด้วย  หรือไม่ก็มองข้ามผมไปเลย
‘  คุณค่ะ  ใจเย็นค่ะ  มันใกล้จะจบแล้วค่ะ ...  เต้ยมาหาพี่นนท์หรอลูก  ขึ้นไปสิพี่เขาอยู่บนห้อง  ’
‘ เอ่อ    ขอบคุณครับ  ถ้างั้นเต้ยขอตัวนะครับ ^^ ’

ก็อก  ก๊อก
ห้องพี่นนท์ถูกจัดเก็บให้เรียบร้อยยิ่งกว่าปกติ  อาจเป็นเพราะห้องนี้จะไม่มีคนใช้งานมันอีกนาน 

‘ พี่นนท์เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วหรอครับ ’  ผมเห็นกระเป๋าใบใหญ่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง  เห็นแล้วก็ใจหาย 
พี่นนท์คงสังเกตเห็นอาการของผม  จึงดึงมือผมให้ไปนั่งบนตักพี่นนท์ที่นั่งบนเตียงนอน
พี่นนท์กอดปลอบผมอยู่นาน  โดยที่เราไม่พูดอะไรกันเลย  ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง   
‘  …. ’
‘ ….. ’
ผมดึงมือพี่นนท์มาจับแก้มผมเกลี่ยเล่น   .... 
 ‘ พี่นนท์ครับ  กอดเต้ยหน่อยสิครับ ’  ผมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
‘ พี่ก็กอดอยู่ในไงครับ  เอาแน่นกว่านี้อีกหรอครับ ฮืม..’  พร้อมอ้อมกอดที่รัดผมแน่นขึ้น
‘  ไม่ใช่แบบนี้   กอดอีกแบบหนึ่งต่างหากหละ ’
‘ ….. ’
พี่นนท์มองหน้าผมนิ่ง
จุ๊บ...  ผมจุ๊บที่ปลายคางพี่นนท์

‘ เต้ย ’
‘ นะครับพี่นนท์ ’ ยิ่งพูดก็ยิ่งสมเพชตัวเอง
‘ เต้ยแน่ใจหรอครับที่จะทำแบบนี้  ’
‘ ครับ  เต้ยแน่ใจ ’
‘ เต้ยอาจจะเสียใจทีหลังก็ได้นะ ’
‘ ไม่เป็นไรครับ  เต้ยยินดียกมันให้พี่นนท์ … อืมมมม ’ 
‘ แฮ็ก  ๆ ๆ  ’ 
พี่นนท์จูบผมอยู่นานกว่าจะปล่อยให้ผมได้มีโอกาสหายใจ  ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งที่เราจูบกัน   แต่ด้วยเหตุการต่อจากนี้ไปมันทำให้ผมตื่นเต้น และกลัวจนเกร็งไปหมด

‘ ไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจแล้วนะครับ ’

สุดท้ายผมก็ไม่มีโอกาสแม้จะพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ   ได้แค่ทำตัวอ่อนให้พี่นนท์จับพลิกคว่ำที  หงายที  ตะแคงก็มี  เป็นครั้งแรกที่เจ็บจุกและสุขสมไปพร้อมๆกัน   ผมเหนื่อยจนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปแต่ตั้งตอนไหน

‘เต้ยครับ   พี่นนท์ไปก่อนนะครับ  ดูแลตัวเองดีๆนะครับ  แล้วพี่จะรีบกลับมา...จุ๊บ ’
‘ อืม ’  ผมได้ยินเสียงพี่นนท์แว่วๆ  ในขณะที่ผมกำลังหลับฝันดีอยู่

ผมรู้สึกตัวตอน 7 โมงเช้า  ข้างตัวว่างเปล่า
‘ พี่นนท์ไปแล้ว ’  ผมตื่นไปส่งพี่นนท์ไม่ทันทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปส่งพี่นนท์แท้ๆ  แต่เมื่อคืนเขาเหนื่อยมากจริงๆ
ไม่เป็นไรส่งข้อความไปอวยพรให้พี่นนท์เดินทางโดยสวัสดิภาพแทนก็ได้  และไม่ลืมให้พี่นนท์ติดต่อกลับทันทีที่ถึงลอนดอน
.
.
.

พี่นนท์ไปได้เดือนกว่าแล้ว  ในระหว่างนี้ผมก็กำลังเตรียมตัวสอบโอเน็ต  เราจึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่  ส่วนมากจะฝากข้อความทิ้งไว้ซะมากกว่า  เนื่องจากเวลาไม่ตรงกันด้วย
ถึงแม้ช่วงผมจะมีเวลาน้อยแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยละเลยการไปเยี่ยมเยียนคุณป้าวิภาที่บ้านเลย   ท่านมักจะอยู่บ้านคนเดียว  เพราะคุณพ่อจักษ์มักจะไปดูงานต่างประเทศบ่อยๆ  ผมมักจะไปชวนแม่วิภาคุย  หรือไม่ท่านก็ชวนผมจัดดอกไม้บ้าง ทำขนมบ้าง   แต่ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมท่านผมจะรู้สึกได้ถึงความอัดอัดใจแกมเวทนาผม   ท่านคงสงสารผมที่ต้องมาห่างไกลจากคนรักหละมั้งครับ

‘ คุณพ่อคุณแม่สวัสดีครับ ‘  วันนี้คุณพ่อจักษ์อยู่บ้านด้วยแฮะ
‘ อืม / สวัสดีลูก ’ คุณพ่อทำสีหน้าไม่ชอบใจที่ได้เจอผมที่นี่
‘ วันนี้คุณแม่ทำบัวลอยไข่หวานครับ  เลยให้ผมเอามาให้คุณพ่อจักษ์กับแม่วิภา ^^ ’
‘ เรามาก็ดีแล้ว  ฉันมืเรื่องจะคุยกับเธอ ’
‘ คุณค่ะ  ให้ฉันคุยกับแกเองดีกว่านะคะ ’
‘ ปล่อยให้คุณคุยหรอ  เดี๋ยวก็ใจอ่อนเหมือนทุกที ’
ผมมองหน้าคุณพ่อที คุณแม่ที  คุณแม่วิภามองหน้าผมแล้วเหมือนจะร้องไห้ออกมา
‘ เอ่อ  คุณพ่อจักษ์มีอะไรจะคุยกับผมหรอครับ ’
‘  ฉันได้ยินมาว่าเรามาที่นี่บ่อยๆ ใช่ไหม ’
‘ ครับ ’
‘ ฉันอยากให้เราเลิกมาที่นี่ซะ เลิกติดต่อมาทางเราเลยได้ยิ่งดี ’
ผมอึ้งเลยครับ  ไม่เคยคิดว่าจะได้อะไรแบบนี้จากบ้านคนรัก
‘ คุณพ่อจักษ์หมายความว่ายังไงครับ  ผมไม่เข้าใจ ’
‘ ฉันพูดตรงๆเลยนะ  ฉันเลี้ยงเจ้านนท์มาหวังให้เขาแต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์  และสืบทอดกิจการของฉันต่อไป   ฉันเพิ่งรู้ว่าพวกเธอคบกันในแบบ  แบบนั้น  มันผิดเธอไม่รู้หรือไง  ’

ความรักของเราสองคนมันผิดหรอ   เราก็แค่รักกันเอง  เราเป็นกำลังใจดีๆให้ซึ่งกันและกัน  ช่วยกันผลักดันชีวิตให้ดีขึ้น   แค่นี้ไม่พอหรอ  ผมได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจ

‘ ฉันไม่ยอมให้พวกเธอคบกันในทางนั้นหรอกนะ  ’
พี่นนท์รู้เรื่องนี้มาโดยตลอด   แล้วก็ยอมหรอ
‘ ฉันให้เจ้านนท์หมั้นกับหนูพรีม  ลูกสาวเพื่อนฉันที่เป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศ  และตอนนี้พวกเขาก็ไปเรียนต่อด้วยกัน  ’
‘โฮ...  คุณพอเถอะค่ะ ’  เสียงคุณแม่วิภาร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวดเวทนา   แต่มันไม่เสี้ยวความรู้สึกของผมตอนนี้หรอกครับ  น้ำตาผมไหลเหมือนเขื่อนแตก  ตั้งแต่รู้ว่าพี่นนท์หมั้นกับผู้หญิงสักคนที่ไม่ใช่ผม   ผมอยู่กับพี่นนท์ตลอด  แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่นนท์แอบไปหมั้นตอนไหน   

ความรักของผมพังทลายไม่เหลือชิ้นดี   รัก  เชื่อใจ  และซื่อสัตย์กับคนรักตลอดมา  แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับคืนมาคือการโกหกหลอกลวง  และการทรยศ

‘ พี่รักเต้ยนะครับ ’
คำนี้มันมีความจริงซ่อนอยู่ในนั้นบ้างไหมนะ   

‘ ถือเป็นคำแนะนำจากผู้ใหญ่  ฉันเองก็เคยเอ็นดูเราอยู่มาก  เห็นเรามาตั้งตัวน้อยๆ  ตัดใจซะเถอะ  เรื่องของเธอสองคนไม่มีทางเป็นไปได้ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ’  คุณพ่อจักษ์พูดเสร็จก็เดินขึ้นไปด้านบนบ้าน
‘ โถลูก....’ แม่วิภาพยายามจะเดินเข้ามาปลอบใจผม   แต่ผมก็เดินถอยหลังห่างออกไปเรื่อยๆ

ผมวิ่งมาขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้านไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
‘ ฮือออออ ’  เจ็บ  เจ็บเหลือเกิน  หัวใจของผม   เจ็บกว่านี้ก็คงต้องเป็นความตายแล้วหละมั้ง

เอี๊ยดดดดด     
โครมมมมม


หมาตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถผม
ผมหักหลบแล้วพุ่งเข้าชนข้างทาง  โชคดีที่ตรงนั้นเลยแผงขายของมานิดหน่อยจึงไม่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและบุคคล
ถุงลมนิรภัยอัดเข้าเต็มหน้าอกผมจนจุก

‘  คุณ  คุณ  คุณ ’  เสียงเรียก  และเสียงเคาะกระจกอยู่ด้านข้าง
ผมได้สติจึงปลอดล็อคประตู   มีคนมาพยุงผมลงจากรถ
‘ คุณเป็นอะไรไหม ’  คนนั้นคุยกับผมพร้อมกับตบหน้าผมเบาๆเพื่อเรียกสติ
‘…..’
‘ มีใครเรียกรถฉุกเฉินหรือยัง ’
‘ กูโทรละ ’
‘ อืม ’
‘ คุณหายใจเข้าลึกๆนะครับ  อย่ามุงครับ  ขออากาศให้คนเจ็บหายใจด้วยครับ ’
ผมค่อยๆได้สติเพิ่มมากขึ้น   มองไปรอบๆเห็นคนมุงอยู่จำนวนหนึ่ง

‘ ผมโอเคแล้วครับ   มีใครเป็นอะไรไหมครับ ’  ผมถามเพื่อความแน่ใจเผื่อจะหลบไปชนใครเข้า
‘ ไม่มีใครเป็นอะไรหรอกหนู   แม่แต่หนูกับเจ้าตาลแดงนี่แหละ ’  ป้าคนหนึ่งพูดขึ้น
‘ ตาลแดง ’  ผมพยามยามประมวลผลว่า ตาลแดงคืออะไร
‘ หมา  หมาลูกอ่อนที่มันหากินอยู่แถวนี้แหละหนู   ตอนนี้มันตอนตายอยู่หน้ารถหนูนั่นแหละ  ถ้าสิเนี่ยรถแพงๆมาสกปรกเพราะหมาข้างถนนแท้ๆ’
ผมพยายามลุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จ   แต่ก็ได้มือหนึ่งมาช่วยพยุงผมขึ้นมา
‘ ขอบคุณครับ ’
ผมเดินไปที่หน้ารถตามคำบอกของคุณป้า  พบหมาตัวหนึ่งชักกระตุกอยู่บนกองเลือด
‘ มันยังไม่ตาย  มันยังไม่ตาย   ปล่อยผม  ผมจะพามันไปหาหมอ  ปล่อย..... ’
ผมดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อเข้าไป  แต่ก็เป็นมือเดิมที่พยุงผมไว้ซักครู่ที่พยามยามฉุดรั้งตัวผมไม่ให้เข้าไปหาหมาตัวนั้น
‘ ปล่อย   ฮือ  ฮือ  ’ ตอนนี้ผมร้องไห้ร่วมด้วย
หมาตัวนั้นชักกระตุกเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่จะแน่นิ่งไป
‘ มันตายแล้ว ’  ผู้ชายข้างตัวผมเอ่ยขึ้นที่ข้างหู
‘ มันตายแล้ว  ฮือ  ฮือ  ผมฆ่ามัน  ฮือออออ ’   
ผมนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น  จนรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลมาถึง
ก่อนที่จะโดนลากขึ้นเปลผมเห็นลูกหมาสามตัวเดินเข้าเลียตามตัวหมาตัวนั้นอยู่
เหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากผมจะฆ่าหนึ่งชีวิตแล้ว  ผมยังพรากแม่ไปจากลูกน้อยสามตัวอีกด้วย
‘ ฮือ   ฮือ ’
ที่ผมเคยคิดว่าการอกหักเจ็บปวดที่สุดแล้ว    แต่การเป็นคนพรากชีวิตจากสิ่งที่เขารักและรักเขาแล้ว   มันเจ็บยิ่งกว่า
‘ ฮือ   ฮือ ’

........

ดีใจกว่าการแต่งนิยานเสร็จสักตอน  ก็กดเข้าเล้าเป็ดแล้วเจอเว๊บใช้งานได้ปกตินี่แหละค่ะ
คิดถึง....คิดถึงมากมาย
เพิ่งได้รู้ว่าการไม่มีเล้าเป็ดแล้วชีวิตมันหดหู่แค่ไหน  ไถโทรศัพท์ไปมาไม่รู้จะดูอะไร
ฮืออ...ขอบคุณที่กลับมานะคะ

รัก
 :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
อ่านตอนแรกจบก็สะดุดเลย 55555 คือเข้าใจว่าอยากได้อิมเมจแฮมสเตอร์นะ แต่รูปที่เอามาน่ะ มันกินนี่พิก คนละสายพันธุ์กันเลยจ้า มันไม่ใช่แฮมสเตอร์ หนูกินธัญพืชกับหนูกินหญ้ามันไม่เหมือนกันนะ ถึงจะตัวกลมๆ เหมือนกันก็เถอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2019 02:33:31 โดย kunt »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด