-ท้องฟ้าที่หวานที่สุด-
ตอนที่ 3
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หลังจากที่วางสายท้องฟ้าไปได้เกือบยี่สิบนาที ที่ที่ผมอยู่เป็นหอพัก ห้องสี่เหลี่ยมน้อยเฟอร์นิเจอร์ธรรมดาๆ ส่วนท้องฟ้ามันอยู่คอนโดซอยฝั่งตรงข้ามนี่เอง เลยใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่าไหร่ .. ผมปิดโปรแกรมตัดต่อลง ไว้ทำต่อวันหลัง ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว แต่เกรงว่าจะปล่อยให้คนหลังประตูรอนานเสียมากกว่า เลยรีบเดินไปเปิด
รอยยิ้มของท้องฟ้านำเด่นมาแต่ไกล ผมยิ้มตอบ เขาในชุดนอนชูถุงเซเว่นที่บรรจุขนมและเครื่องดื่มมากมายให้ผมดู ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าห้องผมไป ถอดรองเท้า วางของลงที่พื้นข้างเตียง และล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงอย่างสบายใจ
ดูสภาพแล้วท้องฟ้าก็ไม่ได้แย่อะไร ผมคงคิดมากไปเอง
“กูนึกว่าไอ้เป้งจะถึงก่อนนะเนี่ย”
เดี๋ยวนะ..
“หมายถึงไรวะ”
“กูชวนเป้งมาด้วย แบบว่ารียูเนี่ยนไงมึง คิดถึง”
ฟัค.. กูเกลียดมึงจริงๆท้องฟ้า ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย!
“อ่อ..”
ปึงๆๆๆๆๆ
เสียงทุบประตู.. ย้ำว่าทุบ ดังขึ้นรัว ตายยากมาก ผมหันไปจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ไม่ทันมือมันที่เปิดพรวดเข้ามาแล้ว ซึ่งไร้มารยาทฉิบหาย งั้นมึงก็ไม่ต้องเคาะก็ได้มั้ง นรก
“พร้อมหน้าพร้อมตา เหมือนย้อนวัยไปสมัยหนุ่มๆ”
“ไอ้ควาย อย่าเวอร์”
“เห้ย ทำไมโมโห ปากคอเราะร้ายจังเลยอะ กูตื่นเต้นหน่อยก็ไม่ได้” ผมจิ๊ปากรำคาญ มันพูดจบก็เดินเข้าห้องผมไป ถอดรองเท้ากระจัดกระจาย เดินไปคว้าถุงขนมสีเหลืองอร่ามและขึ้นไปแดกบนเตียง นอนเกยพุงท้องฟ้าสบายใจ
“ฟ้ากินไหม”
“มีหน้ามาชวนกูด้วย.. คนซื้อก็กู เอามา!”
เออ อนุญาตให้แดกบนเตียงก็ได้
“เปิดเพลงให้หน่อยดิน้ำตาล” ท้องฟ้าหันมาพูดกับผม ผมเองก็เดินไปเปิดเพลงคลอเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเตียงบ้าง เพื่อร่วมวงพูดคุย โดยนั่งพิงริมๆหัวเตียงด้วยความที่มันเหลือที่ให้ผมกันแค่นี้
เตียงผมใหญ่พอสำหรับผู้ชายสามคน..ถ้ามันนอนกันดีๆอะนะ ซึ่งอีกสองคนก็คือนอนกินขนมกันสบายใจอยู่กลางเตียง ผมมองภาพนี้ยิ้มๆ คิดถึงอย่างบอกไม่ถูก นานมากแล้วที่เราไม่ได้รวมตัวกันครบๆที่ห้องผม ตอนที่มาทำงานกลุ่ม ตัดต่อหนังที่ทำ นานากิจกรรมที่เมื่อก่อนมาทำกันที่ห้องนี้ .. ผมเหมือนได้เห็นภาพที่คุ้นเคย ที่นี่ตอนนี้เหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้งเลย
“คิดถึงว่ะ..”
ท้องฟ้าพูดขึ้นอย่างเลื่อนลอย
“นานมากเลยที่ไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้พร้อมๆกันสามคน นอนหลับหลังจากที่งานเสร็จ ตื่นขึ้นมา หันไปก็เจอแต่พวกมึง”
“เห้ย ฟ้าพูดไรอะ .. เดี๋ยวกูร้องไห้โชว์เลย”
ผมดีใจนะที่ท้องฟ้ารู้สึกเหมือนกัน แต่ก็แอบน้อยใจไม่ได้ ว่าเหตุผลที่เขากลับมาอยู่ตรงนี้เป็นเพราะอะไร
พี่อิฐมักจะเป็นตัวแปรหลักเสมอ ไม่ว่าท้องฟ้าจะตัดสินใจทำอะไร หรือกระทั่งเหตุผลที่กลับมาอยู่ตรงนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะกัน.. แน่นอน ที่พึ่งเดียวที่ท้องฟ้ามี จะเป็นใครได้ นอกจากเพื่อนอย่างพวกผม
เจ็บใจนะ แต่ผมจะคอยต้อนรับมันเสมอ เพราะยังไงสถานะความเป็นเพื่อน ผมก็จะไม่มีวันทิ้งมันไปเช่นกัน
“มึงจำวันแรกได้ปะ กูไม่ได้เรียนซัมเมอร์กับพวกมึง เพราะกูเข้าช้ากว่า พอเปิดเรียนมา กูนี่ไร้เพื่อนจัดๆ”
“กูไม่ชอบขี้หน้ามึงด้วยฟ้า ดูเหมือนตุ๊ดหยิ่งๆ” ไอ้เป้งพูดซะเห็นภาพ คือกูว่าจะไม่หัวเราะละนะ
“ใช่ เห็นใครขาวๆมึงก็ทึกทักว่าเขาเป็นตุ๊ดไปทั่ว โดนตีนเข้าสักวันแน่ ขี้เหยียด อี๋”
“กูเปล่า!”
“ทุกวันนี้กูยังแยกไม่ออกเลยว่าสรุปกูเกลียดมึงเล่นๆหรือเกลียดจริงๆ”
ผมหัวเราะกับไอ้สองคนที่เถียงกันเป็นเด็กๆ หวังซึ้งไม่ได้หรอกนะ ถ้าไอ้เป้งมันยังไม่หลับน่ะ
“แต่ขอบคุณมึงนะน้ำตาล ที่ชวนให้กูไปนั่งด้วยตอนคลาสอนุชิต” ท้องฟ้าหันมามองผมด้วยแววตาที่ยังคงความสดใส
“ทำซึ้งหรอ”
“กูโชคดีจริงๆที่รู้จักกับพวกมึง”
ผมยิ้มตอบให้ท้องฟ้า เป็นยิ้มที่ตัวผมเองรู้สึกว่า นั่นผมยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกจริงๆ .. และห้องก็เงียบไป ไร้เสียงแซว เพราะไอ้เป้งแม่งนอนน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ
“55555555555555555555555555” กูลั่น
หลังจากที่คุยเรื่อยเปื่อยกันจนง่วง ผมก็ไล่พวกมันไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนนี้ก็พร้อมนอนกันแล้ว ไอ้เป้งนอนริม ตรงกลางเป็นท้องฟ้า ส่วนที่ของผมก็คืออีกข้างของท้องฟ้านั่นแหละ ผมยุ่งอยู่กับคอมพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจปิดไปในที่สุด .. หันมาอีกทีพวกเพื่อนๆก็ผล็อยหลับกันหมดแล้ว ผมเดินไปปิดไฟ เปลี่ยนเป็นไฟดวงเล็กแสงสีส้มนวลตา และขึ้นไปนอนข้างๆท้องฟ้า
ท้องฟ้านอนหงาย ส่วนผมก็นอนตะแคงเข้าหาเขา พิจารณาเสี้ยวหน้าอย่างใกล้ๆ ใกล้แบบที่ไม่ได้ใกล้ได้บ่อยๆ .. อยากจะเก็บทุกวินาทีตอนนี้เอาไว้
และในตอนนี้ด้วย ที่ท้องฟ้าตะแคงมาหาผม .. เปลือกตายังคงปิดสนิท ลมหายใจกลิ่นมิ้นท์จากการแปรงฟัน แก้มขาวๆ และปากเล็กๆดูน่ามองไปเสียหมด
ชอบที่สุด
ผมเอื้อมมือไปแตะที่แก้มนุ่มนั้นเพียงเบา เบาที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวน และไม่ให้เขาตื่นขึ้นมารับรู้อะไร
ไม่ให้เขารู้ ว่าผมอยากจะจูบริมฝีปากนั้นมากขนาดไหน
สุดท้ายผมก็เลือกที่จะชักมือกลับ หลับหูหลับตา และพลิกตัวหันหลังให้เขาไปในที่สุด
.
.
แดดยามเช้าสาดเป็นเส้นตรงผ่านผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท เสียงนกร้องเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกอย่างนุ่มนวล ผมลืมตาตื่นมา แต่ยังคงสะลึมสะลือ ภาพแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือใบหน้าขาวตี๋คนเดิม ปากเล็กเผยอขึ้นนิดหน่อยราวกับเชิญชวน ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว ราวกับคนไร้สติ หิวกระหาย เมื่อเห็นของหวานอยู่ตรงหน้า
และประทับจูบลงอย่างแผ่วเบา เพียงแค่แตะเท่านั้น..
แต่ก็ลืมไปว่ายังคงมีส่วนเกินอีกคนอยู่ในห้อง ผมที่ยื่นหน้าเข้าไปชิดกับท้องฟ้า เมื่อได้สติ ภาพที่เห็นจะกว้างกว่านั้น .. และใช่ครับ เป้งกำลังมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่อึ้ง และสับสน เขาดูตกใจมากๆ แบบที่ทำเอาผมกลัวขึ้นมาจับใจ
.
.
เวลาบ่ายสองเกือบสาม ในคลาสพี่แฟรงค์ วิชา Documentary พี่แกเปิดภาพยนตร์สารคดีของคนดังอยู่หน้าห้องเป็นกรณีศึกษา ทั้งห้องมีเพียงแสงสว่างจากจอโปรเจกเตอร์เท่านั้น และแม้ตาจะมองจออยู่ แต่ใจผมกลับกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิเอาซะเลย
ก็ไอ้เป้งมันยังไม่คุยกับผมเลยตั้งแต่เช้า พอตื่นแล้วก็ขอตัวกลับไปอาบน้ำที่ห้อง ส่วนท้องฟ้าเองก็กลับไปพร้อมกับเป้ง หลังจากนั้นก็มาเจอกันที่คลาส .. ผมกับเป้งนั่งอยู่ข้างกัน แต่ไร้บทสนทนาจนอดที่จะอึดอัดไม่ได้ .. ตัวผมเองก็ไม่กล้าที่จะเริ่มทักทาย ผมยังคงละอายใจ และรู้สึกผิด .. ผมกลัวไอ้เป้งจะรับไม่ได้ และเสียความรู้สึก
เป้งคือเพื่อนที่อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับท้องฟ้า ผมให้ความสำคัญกับมันพอๆกับท้องฟ้า หรือมากกว่า ในฐานะเพื่อนสนิท
“ไปดูดบุหรี่กันไหม” แต่จู่ๆมันก็พูดขึ้นมา แผ่วเบาแทบกระซิบ ไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว
“กูเลิกแล้ว”
“มึงชอบไอ้ฟ้าหรอ”
“…..” ความเงียบก่อตัวขึ้น เมื่อผมดันขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดออกไป ช่วงเวลาที่เงียบไปมันยาวนาน และผมก็รู้สึกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถหาคำพูดใดใดที่จะอธิบายให้ดีที่สุดได้
“ทำไมมึงไม่บอกกูเลยวะ”
ผมมองหน้ามัน และเป้งเองก็จ้องผมอยู่เช่นกัน สีหน้ามันดูจริงจัง ทว่าก็ผ่อนคลายกว่าคราวแรกเช่นกัน
“กลัวมึงจะผิดหวัง”
“ผิดหวังอะไร.. มึงไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” เป้งพูดกลั้วหัวเราะ “แต่กูแม่ง.. ช็อคไปเลยว่ะ”
“อืม..”
“…..”
“กูขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไม พวกมึงก็ยังเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิม”
ผมยิ้มให้เป้ง เป้งเองก็ยิ้มและตบไหล่ผมฉาดใหญ่ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่หน้าห้อง .. ผมเองก็โล่งใจ และรู้สึกขอบคุณเพื่อนจากใจจริงๆ
เวลาดำเนินไปถึงท้ายคาบ พี่แฟรงค์ปิดสารคดีลง และก่อนเลิกคลาสก็เช็คชื่อตามปกติ
“ผมมีข่าวเล็กๆน้อยๆมาฝาก” เสียงประกาศจากอาจารย์ ทำให้นักศึกษาที่กำลังเก็บของ พูดคุยจอแจ หยุดเงียบอีกครั้ง “ช่วงใกล้ๆปิดคลาส จะมีโครงการส่งหนังประกวดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นหนังประเภทสารคดี ถ้าใครอยากส่งเข้าประกวด .. ทำไฟนอลวิชาผมให้ดี”
เสียงพูดคุยกลับมาอีกครั้ง และดังขึ้นกว่าเดิมมาก หลังจากได้รับข่าวจากพี่แฟรงค์ .. แต่ส่วนตัวผมเองนั้น ก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก
“เอ้อ ใครที่เริ่มทำไฟนอลแล้ว อยากปรึกษาเพิ่มเติม หรือขอคำแนะนำ มาหาผมได้เลยตอนนี้นะ” จบประโยคยาวเหยียด แน่นอนว่าหลายๆคนเริ่มเก็บของออกจากห้องไปแล้วบางส่วน รวมถึงไอ้คนข้างๆผมด้วย เตรียมจะลุกอยู่รอมร่อ
“มึงดูรีบวะ ไปไหนต่อ”
“ไปร้านป้าแอ๋มว่ะ วันนี้นัดสัมภาษณ์แกไว้ .. เออมึงจะไปแดกด้วยก็ได้นะ วันนี้มีขนมเบื้องญวน”
“เออ คุยกับพี่แฟรงค์เสร็จละเดี๋ยวตามไป ฆ่าเวลาด้วย วันนี้กูว่าจะไปถ่ายที่ห้องไอ้ฟ้าตอนค่ำๆ” ผมตบกระเป๋ากล้องที่วางอยู่เก้าอี้ข้างๆกัน
“อ่าว แล้วตอนนี้มันไปไหนวะ”
“เห็นว่าพวกพี่แต้มขอให้ไปช่วยเรื่องบท แต่น่าจะคุยอยู่ที่มอนี่แหละ กูต้องรอให้มันคุยเสร็จก่อน” ไอ้เป้งพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นและสะพายกระเป๋า ผมเองก็ลุกขึ้นเพื่อจะเอาวีดีโอที่ตัดต่อไว้ไปให้พี่แฟรงค์แนะแนวทางต่อ
“เห้ย ไอ้ตาล” แต่ไอ้เป้งก็เรียกดักไว้ซะก่อน ผมจึงหันกลับไปมองมัน
“โรแมนติกนะมึงอะ..ที่เลือกถ่ายไอ้ฟ้า”
มันยิ้มล้อเลียนผม ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมยืนหน้าร้อนผ่าวต่อไป ผมส่ายหัวให้กับความกวนตีนของไอ้เป้ง ก่อนจะกลับไปทำตามเป้าหมายอีกครั้ง
“เปิดเลย แล้วพยายามอย่าสปอยล์อะไรเรามากนะ” พี่แฟรงค์พูดติดตลก ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย
“อันนี้เป็นงานที่ผมพอจะถ่ายมาแล้วบ้างครับ ประมาณสี่นาที แต่เดี๋ยวมีตัดออกเพิ่มลดอีกเพราะยังถ่ายไม่จบ”
ผมนั่งอยู่หน้าห้องกับพี่แฟรงค์ จอMacBookกำลังฉายใบหน้าของท้องฟ้า พี่แฟรงค์ตั้งใจดูมากเสียจนผมประหม่าไปหมด และแอบเขินนิดๆ เพราะต้องมาเปิดให้แกฟังบทสนทนาบ้าบอระหว่างผมกับท้องฟ้า .. ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการมีส่วนร่วมกับการแสดงไปด้วยเลย
“อืม.. มันดูไม่ค่อยเป็นสารคดีนะ แต่ก็เป็นธรรมชาติดี ทำต่อเลย เราไม่ซีเรียสอยู่แล้ว แค่อยากให้พวกคุณลองทำกัน.. อย่าเกินสิบห้านาทีพอ เดี๋ยวคะแนนจะหายเอา”
“มีติดใจตรงไหนอีกไหมจารย์”
“เราอยากรู้ว่า ทำไมถึงเลือกถ่ายเพื่อนคนนี้ แสดงว่าเขาต้องมีอะไรดี?”
“อืม.. ก็ไม่เชิงนะครับ แต่ผมพูดได้ว่าเขาเป็นคนหลายมิติครับ เขามักจะทำงานหรือกิจกรรมอยู่เสมอ อารมณ์เขาจะแปรปรวนหน่อยๆ ผมก็อธิบายไม่ถูก”
พูดจบพี่แกก็ขำลั่นเลยครับ ผมนี่หัวเราะแห้ง เพราะพูดเรื่องจริงทั้งนั้น
“เพราะงั้นเลยเลือกคนนี้ เขาน่าสนใจสำหรับคุณถูกไหม”
“หนังเรื่องนี้ ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นครับ”พี่แฟรงค์ยิ้มอย่างพอใจ เขาตบบ่าผมราวกับถูกใจความมั่นหน้าของผม
“แต่เราว่าเท่าที่ดูมา ยังไม่เห็นว่าคุณจะให้เราเห็นอะไรในตัวหนัง? แบบว่า อยากให้คนดูรู้สึกรักเขา หรือไง?”
“อ่า.. ผมมีไม้ตายครับอาจารย์ เดี๋ยวถ้าถ่ายทำจบ จะรีบตัดมาให้ช่วยดูอีกทีครับ”
“เอ้อ ตอบได้ดี ขอบคุณที่ไม่สปอยล์กัน” พี่แฟรงค์หัวเราะชอบใจ ทำให้ผมต้องหัวเราะแห้งๆตามแกไป สรุปอยากรู้หรือไม่อยากรู้ครับ เอาสักอย่างพี่
“แล้วก็ เราว่าคุณลองใส่ความเห็นของคนอื่นที่มีต่อตัวเขาดูก็ดีนะ ตอนนี้มันเหมือนมีแค่ด้านของคุณกับเพื่อน”
“ที่จริง.. มันไม่ใช่หนังเกี่ยวกับเพื่อนผมเลยซะทีเดียวหรอก .. มันเหมือนเป็นเรื่องของตัวผมเองมากกว่า”พี่แฟรงค์มองผมนิ่ง ก่อนจะระบายยิ้มออกมาอย่างที่ผมเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร
“ครับ .. เราจะรอดูนะ”
“ขอบคุณครับจารย์ เดี๋ยวผมจะลองถ่ายแบบที่จารย์บอกด้วย”
.
.
ผมยืนรอรถรางอยู่หน้าตึกคณะพลางคิดว่าจะเอาไงต่อ ระหว่างกลับห้องไปพัก กับไปกินข้าวฟรีกับไอ้เป้งที่กำลังถ่ายงาน ชั่งใจอยู่นานจนรถรางวิ่งมาอยู่ไกลๆ เลยตัดสินใจไปหาเป้งแล้วกินข้าวฟรีดีกว่า ถ้ากลับห้องก็กลายเป็นว่าผมแบกกล้องมาเรียนฟรีๆน่ะครับ ประมาณว่ารู้งี้ค่อยกลับห้องไปเอาก็ได้ ..
แต่พอผมก้าวขึ้นรถปุ๊บ เสียงเรียกเข้าก็ดังปั๊บ ชื่อท้องฟ้าเด่นหราอยู่บนจอ ผมก็กดรับสาย
“ว่าไง”
(อยู่ไหนหรอ)
“เพิ่งขึ้นรถราง ว่าจะไปกินข้าวซอยข้างๆมอ หรือว่ามึงว่างถ่ายแล้ว?”
(…..)
“ฮัลโหล ได้ยินป้ะเนี่ย”
(ขอไปหาที่ห้องได้ไหม) เสียงเขาสั่นอย่างไม่ต้องสังเกตเลย
ผมกำโทรศัพท์แน่นอย่างลืมตัว ในใจเกิดปั่นป่วน .. ไม่ได้เตรียมใจจะรับมือเลยว่ะ ที่จะต้องรับฟังเรื่องพี่อิฐ .. แต่ผมปฏิเสธอะไรมันได้ล่ะ ไม่เคยได้อยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธด้วย
“อืม ได้”
.
.
ผมรีบตั้งค่ากล้องตั้งแต่อยู่บนรถราง เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เลนส์ ไมค์ ปรับตั้งค่าต่างๆ ท้องฟ้าส่งข้อความมาว่าอยู่ข้างล่างหอ ผมเลยต้องจัดการให้เร็วที่สุด และจะได้เก็บเรื่องราวของเขาตั้งแต่แรกเห็น
ผมนั่งวินเข้ามาถึงหอ ซึ่งอยู่ในซอยใกล้ๆมหาลัย และเริ่มจับภาพท้องฟ้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ใต้โถงตึกทันทีที่ลงมาจากมอเตอร์ไซค์ แต่จริงๆถ่ายตั้งแต่ตอนซ้อนพี่วินแล้วล่ะครับ
ผมเดินเข้าไปในตัวตึก ท้องฟ้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่พอสมควร แต่พอเห็นผมถือกล้อง เขากลับก้มหน้าลง ส่ายหัวอย่างหัวเสีย .. ท้องฟ้าดูเหมือนอยู่ห้วงอารมณ์ที่ดิ่งลงเหวเต็มทน ผมวางกล้องลงในจุดที่พอจะเห็นตัวท้องฟ้า กับผมที่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆกัน
ผมปาดเหงื่อใต้คาง และเพิ่งมารู้สึกว่าตัวเองเหงื่อเยอะมากๆก็ตอนนี้ เป็นเพราะผมรีบที่จะมาหาเขา ท้องฟ้ายังคงก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าหม่นหมอง ไม่เอ่ยปากพูดอะไรแม้แต่นิดเดียว ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน .. เพราะไม่อยากไปคาดคั้นอะไรนัก ถ้าเขาพร้อมเขาจะพูดออกมาเอง
“มึง.. คือกูแบบ.. เหนื่อย”
“.....” ผมเงียบฟัง
“พี่เขา..” ฟ้าเงยหน้ามองผม ก่อนจะเริ่มหัวเสียอีกครั้งเมื่อเห็นว่ากล้องยังคงบันทึกเอาไว้ “มึงช่วยปิดไปก่อนได้ไหมวะ บางทีกูก็อยากพูดแค่กับมึง” ท้องฟ้าเริ่มขึ้นเสียง อารมณ์เริ่มจะยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ ผมจึงต้องใจเย็นเข้าสู้
“แต่นี่คือส่วนหนึ่งในชีวิตมึง กูต้องบันทึกเอาไว้”
“นี่มึงรีบถ่อมาเพราะแค่อยากได้ซีนดราม่าจากกูใช่ไหมวะ”
“ท้องฟ้า เราตกลงกันว่า-”
“สรุปมึงแม่งไม่ได้จริงใจกับเรื่องของกูเลย ในตอนที่กูต้องการมึงที่สุด แต่มึงกลับหวังผลจากเรื่องของกูอะน้ำตาล”
มันต้องการผมเสมอ ในเวลาแบบนี้ .. แค่ในเวลาที่มันเจอกับเรื่องแบบนี้
แม่ง.. กูรึเปล่าวะที่ต้องน้อยใจ
“มึงคิดได้แค่นั้นหรอฟ้า”
“.....” มันเงียบ นิ่งไป ผมคว้ากล้องขึ้นมาสะพายไว้
“นั่นดิ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูได้อะไร จากการที่กูตามถ่ายชีวิตมึง”
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ใจราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ผมตัดสินใจปิดกล้องไป ท้องฟ้าไม่ตอบอะไรกลับอีก นอกจากยืนนิ่ง บึ้งตึงอย่างไร้คำพูด ดวงตาเขาแดงก่ำและคลอไปด้วยน้ำตา .. ส่วนผม เพียงแค่มองภาพนั้นอย่างเจ็บปวด
ก่อนจะหันหลังให้เขา และเดินจากมา
จบ ตอนที่ 3
-TALK TALK-
... ง่า