ขั้นที่ 21 การแสดงออกทางความรัก
นที บรรยากาศคร่ำเคร่งถาโถมเข้ามาภายในห้องเรียน ช่วงเวลาทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกัน ขนาดเหล่ากลุ่มนักเรียนหลังห้องที่ปกติเอาแต่เล่นเสียงดังก็สงบเสงี่ยมลงมาเยอะด้วยการหลับคาหนังสือทำให้เหล่าเด็กหน้าห้องมีสมาธิกับการเรียนขึ้นมาเยอะกว่าเดิม ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกผมก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทบทวนกัน
“อืม… ข้อนี้มันทำยังไงวะ ไนท์” ผมยื่นหนังสือเรียนเลขให้ไนท์ที่นั่งข้างๆ
“ไหน… ข้อนี้มึงทำถูกแล้ว แต่มึงคิดเลขผิด”
“เออวะ แต้งกิ้ว”
“ไนท์ แล้วข้อนี้ล่ะวะ”
“…ไอ้วิน มึงทำผิดตั้งแต่โจทย์แล้ว โจทย์มันบอกว่า 5 มึงไปใช้ 9 มึงคงจะได้คำตอบ”
“ก็กูเบลอนี่หว่า เบื่ออ่านหนังสือแล้ว”
“มึงยังอ่านเลขไม่จบเลยไม่ใช่หรือไง อย่ามาบ่นรำคาญ มึงดูไอ้ทีซะบ้าง นั่งอ่านเงียบๆไม่บ่นอะไร”
“เหอะ มันก็แค่สร้างภาพล่ะเปิดหนังสือไว้งั้นแหละ”
“อ้าวพูดงี้เดี๋ยวโดนนะ อีกอย่างคะแนนกูก็มากกว่ามึงด้วย”
“โด่วคะแนนมึงก็มากกว่ากูไม่ได้เยอะนักหรอกอย่ามาทำเป็นพูด”
“พวกมึงสองคน ก็เลิกเถียงกันแล้วกลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว ไม่ต้องเอาคะแนนแค่นั้นมาข่มกันหรอก”
“จ้าพ่อคนเก่งติดท๊อปห้าของชั้น”
“ไม่เถียง”
“หนอย น่าหมั่นไส้”
“เอ้าๆ อย่ามัวแต่คุยกัน กูอุตส่าห์สละเวลาแสนมีค่าของกูมาติวให้เลยนะ หัดสำนึกซะบ้าง”
“คร้าบๆ”
“จะว่าไปที”
“หืม?”
“มึงไปมีเรื่องอะไรกับไอ้ฟ้าอีกเนี่ย เรื่องหลังจากเข้าค่ายก็รู้สึกว่าจะเคลียร์กันแล้ว แต่ตอนที่มันมาร้านกูคราวก่อนพอกูพูดถึงมึง มันก็ทำหน้าตาซะหน้ากลัวเลย”
“ก็ไม่มีอะไร…แค่นิดนึงมั้ง”
นิดนึงจริงๆนะ… แค่เผลอน้วยมันส์ไปหน่อย ทำให้มันไม่ได้ฝึกเตรียมสอบจนมันต้องเรียนซ่อมทำเอาผมรู้สึกผิดเลยแต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็ใครใช้ให้มันทำหน้าน่ารักตอนน้วยล่ะ ทำเอาอยากเข้าไปเล่นต่อเลยเวลาที่แกล้งแล้วหน้ามันแดงขึ้น เป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจ
“เฮ้อ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป ขี้เกียจซัก”
“อ้าวไม่ซักต่อเหรอวะ กูอุตส่าห์รอดูอะไรมันส์ๆ”
“ไอ้วินมึงกลับไปอ่านหนังสือต่อเลยไป”
“ชิ”
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ห้องสมุดคนจะแน่นเป็นพิเศษทำให้พวกเราเลือกใช้ห้องเรียนเป็นที่อ่านหนังสือแทน ถึงจะมีนักเรียนบางส่วนกลับไปอ่านหนังสือที่บ้าน แต่ก็ยังมีนักเรียนบางส่วนจับกลุ่มกันอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทำให้อาจจะมีเสียงดังขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไปอึดอัดกันในห้องสมุด
“ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวกูไปที่ร้านก่อนนะ”
“ช่วงสอบก็ยังไปช่วยงานที่ร้านอีกเหรอ”
ผมหันไปถามไนท์ที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า
“อือ ช่วงเย็นคนค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่ไปช่วยเดี๋ยวเสิร์ฟกันไม่ทัน”
“เหนื่อยแย่เลยนะ พยายามเข้าล่ะ”
“อืม งั้นกูไปละ พวกมึงพยายามเข้าล่ะ อย่างน้อยก็เอาให้คาบเส้นก็แล้วกัน”
“รอวันที่กูได้คะแนนเยอะกว่ามึงแล้วกัน เดี๋ยวกูจะข่มมึงกลับ”
“ครับๆ กูรอวันนั้นอยู่นะวิน”
พูดจบไนท์ก็รีบเดินออกจากห้องไปก่อนที่จะต่อปากต่อคำกับเพื่อนสุดแสนจะกวนตีนที่ตอนนี้พยายามจะพูดด่ากลับไปแต่ก็ไม่ทันจึงได้แต่ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับกลับลงมานั่งที่เดิม
“แล้วมึงจะเอายังไงต่อไอ้ที จะอ่านหนังสือต่อไหม”
“ไม่รู้ดิ จริงๆกูก็อยากจะอ่านหนังสือต่อแต่มันติดปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาไรวะ?”
“ไอ้วิชาที่เหลือมันคือวิทย์น่ะสิ”
“…เออปัญหาจริง ปัญหาใหญ่ด้วย”
วิทย์เป็นวิชาที่ผมอ่อนที่สุดในวิชาสามัญทั้งหมด ขนาดคราวที่แล้วไอ้ไนท์ติวให้ยังเกือบตกเลย นี้ถ้าอ่านเองคงไม่แม้จะถึงครึ่ง ตกแน่นอน คนที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย อย่างเช่น ไอ้วินเป็นต้น
“งั้นมึงก็ให้ไอ้ฟ้าติวให้ดิ”
“กูก็อยากอยู่ แต่นั้นก็ติดปัญหาอีกเหมือนกัน”
“ปัญหาอะไรเยอะแยะอีกวะมึง คราวนี้มีอะไรอีก?”
ผมได้แต่ถอนหายใจพลางเล่าวีรกรรมที่ผมชำเราร่างกายของเพื่อนสนิทจนทำมันงอนไม่ยอมคุยด้วยให้กับวินฟัง จนวินถึงกับถอนหายใจยาวเหยียด
“มึงเนี่ยนะ กูพูดได้คำเดียวสั้นๆเลย สมควรแล้วแหละมึง!!”
“…”
“ไม่โดนไอ้ฟ้าเตะก้านคอตายก็บุญแล้ว”
“ถึงเตะไปมันก็เตะคอกูไม่ถึงหรอกขามันสั้น”
“เดี๋ยวกูเอาไปฟ้องมันแน่”
“กูแค่พูดล้อเล่น มึงอย่าไปราดน้ำมันเพิ่มดิ”
“กูก็รู้นะว่ามึงมันเป็นพวกติดเพื่อน แต่ไม่คิดว่าจะติดขนาดนั้น”
“ก็ตอนนั้นกูลืมตัวนี้หว่าใครจะไปหยุดได้ล่ะ ก็มันเล่นทำตัวน่ารักซะขนาดนั้น”
“หือ…มึงยังเป็นเพื่อนสนิทกับมันใช่ไหมเนี่ย”
“เออดิ ทำไม”
“แต่เขาไม่ชมเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายว่าน่ารักกันหรอกนะครับ คุณนที แน่ใจเหรอว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทกันจริงๆ ไม่ได้เป็นมากกว่านั้น หืม หืม” วินพูดขึ้นพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก
“…”
“เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าจริง”
“…อือ”
“เชี้ย!! ได้ไงวะ ตอนไหน ทำไมกูไม่เห็นรู้เลย”
ไอ้วินตะโกนเสียงดังทำให้สายตาของคนทั้งห้องรุมมองมาทางพวกผมกันยกใหญ่
“ไอ้เหี้ยวินมึงจะตะโกนหาอะไรวะ”
“ก็กูตกใจนี่หว่า กูแค่ถามหยอกมึงได้เล่นๆ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นจริงล่ะวะ แล้วนี่มึงคิดกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่รู้ดิ รู้ตัวอีกทีก็เป็นไปแล้ว” ตอนกลับมาเจอกันก็แค่รู้สึกดีใจ แต่พอเจอกันไปเจอกันมาความรู้สึกมันก็ดันพัฒนาไปมากกว่าเพื่อน
“เหยด เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อว่ะ”
“เงียบปากไปเลยไอ้วิน”
“แล้วเป็นไงคิดว่าไอ้ฟ้ามีแนวโน้มจะคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนปะ”
“…ไม่รู้ดิ แต่กูคิดว่าไม่ว่ะ”
“ทำไมคิดอย่างงั้นวะ”
“มึงรู้จักน้องกูมะ”
“ข้าวฟ่างใช่ปะ? ชื่อนี่ป่าววะ”
“เออชื่อนั้นแหละ มันรู้แล้วว่ากูคิดอย่างนั้นกับไอ้ฟ้า”
“อ้าวมึงไปบอกกับน้องเองเลยเหรอ”
“ไม่ใช่เว้ยใครจะกล้าบอกล่ะวะ มันจับได้เองต่างหาก น้องกูแม่งเซ้นส์โคตรดี บอกว่าเห็นอาการกูก็รู้เลยว่าเป็นคนมีความรัก มันเลยเข้ามาถาม”
ผมอยากรู้จริงๆว่าไอ้อาการคนมีความรักเนี่ยมันเป็นยังไง
“น้องมึงแม่งเจ๋งดีว่ะ แล้วยังไงต่อ”
“แล้วทีนี่ตอนที่ไอ้ฟ้ามันมาบ้านกูคราวก่อน น้องกูแม่งไปถามว่ามันคิดยังไงกับกู”
“แล้ว…”
“ไอ้ฟ้าตอบมาว่ากูเป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญมาก…”
“…”
“แถมไอ้น้องกูแม่งย้ำคำว่าเพื่อนสนิทๆอยู่นั้นแหละ คิดแล้วก็อยากถีบให้ตกบันไดไปเลย”
“แล้วมึงจะยอมแพ้เหรอวะ”
“ไม่อะ”
“งั้นมึงก็อย่าไปคิดมากดิวะ ไอ้ฟ้าตอบอย่างนั้นมันก็เป็นปกติของเพื่อนกันอยู่แล้ว พ่อกูบอกว่าความรู้สึกดีๆมันเกิดจากความสนิทสนม ความใกล้ชิด แล้วก็ความคล้ายคลึง มึงมีสามอย่างนี้แล้วก็แค่พยายามรุกให้หนักเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนเป็นความรักเอง”
“มาเป็นวิชาการเชียวนะมึง แต่ก็…ขอบใจนะเว้ย”
“เออ มีอะไรมาปรึกษาได้ ถึงเรื่องเรียนพี่จะไม่เชี่ยวแต่เรื่องจีบคนนี่ขอให้บอก”
“แต่ได้ข่าวว่ามึงไม่เคยมีแฟนนะ แถมจีบใครไม่เคยติด”
“ไอ้ทีกูอุตส่าห์จะพูดปิดให้เท่ๆ”
น่านฟ้า ติ๊ง เสียงข้อความเข้าในมือถือเรียกความสนใจของผม แต่ทันทีที่ผมเห็นว่ามาจากใครเท่านั้นคิ้วก็เริ่มขมวดเข้ามาใกล้กันจนแพรวที่นั่งข้างๆยังสงสัย
“เป็นไรวะทำหน้าบึ่งเชียว ไม่พอใจเรื่องที่ต้องเรียนเสริมรึไง”
“เออ เรื่องนั้นแหละ”
“อย่าไปคิดมากน่ามึง เรียนเสริมแค่อาทิตย์เดียวเองไม่เปลืองเวลาปิดเทอมสักหน่อย”
“กูไม่ได้เครียดเรื่องที่ต้องมาเรียนเสริม”
แต่ประเด็นของผมคือเจ้าตัวคนส่งข้อความ ผู้ต้องหาเดียวกับคดีชำเราร่างกายเป็นเหตุให้ผมต้องเรียนเสริมคหกรรมช่วงปิดเทอม
ติ้ง ติ้ง ติ้ง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายชวนเรียกความเดือดดาลขึ้นมาบนใบหน้า
ปิดแม่ม…
“ไอ้ทีส่งมาล่ะสิท่า”
“เออ ไม่รู้จะส่งอะไรมานักหนา”
“เรื่องคราวก่อนก็เคลียร์กันไปแล้วไม่ใช่เหรอมึง คราวนี้ทะเลาะอะไรกันอีก”
“ก็เรื่องที่ไอ้ทีมันเล่นกอดไอ้ฟ้าไม่ปล่อยจนไอ้ฟ้าไม่ได้ฝึกเลยไง มันถึงได้ตกอย่างนี้”
“ฝ้าย แกไม่ได้อยู่ไม่ใช่เหรอรู้ได้ยังไง” ตอนนั้นปุยฝ้ายไม่ได้ไปกับผมด้วยมันไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ได้ แต่…รู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ
“กูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอก แต่กูได้ยินมาจากนุ่นซึ่งนุ่นมันได้ยินมาจากข้าวฟ่างอีกที”
อ่อวว นึกออกแล้วว
“ใช่ มึงไม่ได้ไปเพราะผิดนัดกูนี้เนอะ”
สารานุกรมเล่มหนาที่ผมพึ่งจะเดินไปหยิบมาจากชั้นหนังสือกำลังสั่น
“ไม่ๆ ตอนนั้นนุ่นมันป่วยจริงๆนะ วะ-วางไอ้นั้นลงก่อนเถอะนะ”
“กูไม่ได้อยู่ที่บ้านมึงตอนนั้น แต่กูก็ได้ยินมาจากข้าวฟ่างเหมือนกันนะ ซึ่งข้าวฟ่างก็ได้ยินมาจากนุ่น อีกทีว่านุ่นสบายดี”
“…”
“มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
“ไม่ค่ะ… แต่ช่วยวางไอ้นั้นลงไปก่อนเถอะ ถ้าโดนไอ้นั้นกูช๊อคตายแน่”
เฮ้อ… ผมถอนหายใจพลางวางสารานุกรมเล่มเดิมลงบนโต๊ะพลางนั่งเท้าคางแล้วมองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้กำลังทำตัวดี๊ด๊าอย่างเบื่อหน่าย
“สวัสดีค่ะพี่ฟ้า”
เสียงสดใสเรียกให้ผมหันไปหาก็พบกับเด็กสาวสองคนในเครื่องแบบนักเรียนถูกระเบียบ
“อ้าว ข้าวฟ่างมาอ่านหนังสือเหมือนกัน”
“ค่ะ ช่วงนี้ต้องฟิตหน่อย”
“นุ่นก็มาด้วยกันเหรอ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่ฟ้า”
เด็กสาวท่าทางเรียบร้อยวางหนังสือที่ตนถือมาลงบนโต๊ะก่อนจะทำท่าไหว้ ผมจึงรีบทำท่าห้ามพลางบอกปัดไป ผมเป็นพวกไม่ถือเรื่องนี้อยู่แล้วผมเป็นพวกชอบไหว้ผู้มีอาวุโสกว่า ส่วนคนที่อาวุโสน้อยกว่าไม่ต้องไหว้หรอก
แต่นุ่นก็ยังคะยั้นคะยออยากจะไหว้อยู่ดีผมก็เลยต้องจำใจให้เธอทำตามที่เธอต้องการ ปุยนุ่นเป็นนักเรียนดีเด่นแถมได้รางวัลมารยาทดีงามด้วยแตกต่างจากพี่สาวที่ตอนนี้ยังทำตัวดี๊ด๊าไม่เลิก รู้งี้ฝาดสั่งสอนไปสักเปรี้ยงน่าจะดีกว่า
“อ้าวนุ่นมาอ่านหนังสือด้วยเหรอ มานั่งตรงนี้สิ มามะๆ”
น้องสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปนั่งข้างผู้เป็นพี่สาว ในขณะที่เด็กสาวอีกคนชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆผมก่อนจะเอ่ยปากถาม
“หนูนั่งตรงนี้ได้ไหมคะ”
“อ่อ เชิญเลยๆ”
“ข้าวฟ่างวันนี้มาอ่านวิชาอะไรเหรอ”
“วิทย์ค่ะ หนูไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่เลย”
“งั้นเดี๋ยวพี่สอนให้เอาไหม”
“จะดีเหรอคะ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ปกติพี่ก็สอนเพื่อนพี่เป็นประจำอยู่แล้ว หรือว่าเราอ่านเองจะดีกว่า”
“ไม่หรอกค่ะ ปกติหนูก็ให้นุ่นช่วยสอนให้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้นุ่นมันก็ไม่น่าจะว่าง…”
ผมมองตามไปยังทางที่ข้าวฟ่างกำลังจ้องอยู่ก็พบกับปุยนุ่นที่กำลังติวหนังสือให้กับปุยฝ้ายอย่างขะมักเขม้น ช่างเป็นภาพที่น่าดูจริงๆที่สองพี่น้องช่วยกันติวหนังสือให้เนี่ย… ถ้าไม่ติดที่ว่าเป็นน้องสาวกำลังติวหนังสือให้พี่สาวอยู่ล่ะก็
“ถ้าพี่สอนให้จะดีมากเลยล่ะค่ะ ได้ไหมคะ”
“ได้สิ สงสัยตรงไหนก็ถามได้เลยนะ”
“ถ้างั้นก็ตรงนี้…”
ข้าวฟ่างพูดขึ้นพลางเปิดหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
พวกเราสองคนนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดกันอยู่นาน โดยผมก็อ่านหนังสือสอบในส่วนของตัวเองไป ในขณะที่ข้าวฟ่างก็มักจะถามคำถามที่ตนเองไม่เข้าใจเป็นระยะๆ เท่าที่ดูแล้วข้าวฟ่างพื้นฐานค่อนข้างจะดี แต่ติดตรงที่ไม่ค่อยจะเข้าใจในเรื่องศัพท์วิทย์กับคำถามที่ซับซ้อน ผมเลยแนะนำตรงจุดนั้นไป หลังจากที่เธอลองแก้โจทย์หลังจากทำตามที่ผมแนะนำ เธอก็ทำตาเป็นประกายพลางหันมาขอบคุณผมใหญ่เลย ภาพที่เห็นทำเอาผมยิ้มตามไปด้วย น่ารักดีจัง ถ้ามีน้องสาวก็คงจะอารมณ์ประมาณนี้
ตรูด ตรูด
“อะ ขอโทษนะคะ หนูขอออกไปคุยโทรศัพท์หน่อย”
ผมไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าเป็นสัญญาณตอบรับ ข้าวฟ่างเห็นดังนั้นเดินออกไปนอกห้องสมุด
“แหมๆ สอนรุ่นน้องไปพลาง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปพลางเลยนะ”
“ไม่มีอะไรสักหน่อยฝ้าย ก็แค่สอนรุ่นน้อง”
“สอนรุ่นน้องจริงเหรอ ในฐานะอะไรล่ะ? รุ่นพี่? น้องของเพื่อนสนิท? หรือว่าสอนในฐานะว่าที่น้องสะใภ้เอ่ย… แอ๊ก”
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เมื่อปุยฝ้ายยังไม่ได้พูดจนจบประโยคอยู่ๆก็มีสันหนังสือเรียนที่เมื่อครู่ยังเปิดอ้าอยู่บนโต๊ะ แต่บัดนี้มันกลับไปจารึกอยู่เป็นหัวของมันแล้ว
“พี่คะ ถ้ายังไม่เลิกอีกล่ะก็คราวหน้าหนูจะเกลียดพี่จริงๆด้วย” พบพลพรรคสันหนังสือ 1 ea กู๊ดจ๊อบปุยนุ่น
“มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นนะนุ่น พวกพี่ก็เล่นกันอย่างนี้เป็นปกตินี่แหละ”
“จริงเหรอคะ”
“ใช่ไหมล่ะ ฟ้า”
“เอ๋ ใช่เหรอ…” นานๆทีจะได้สบโอกาสเปลี่ยนตัวจากคนถูกกระทำมาเป็นคนกระทำ นานทีปีหนจะมาใครจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย ผมตอบได้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจพลางทำหน้าสงสัย พอปุยฝ้ายเห็นดังนั้นทำหน้าถอดสีลุกลี้ลุกลนไปง้อน้องสาวตัวเองอย่างสุดความสามารถ ภาพที่เห็นทำเอาเรียกเสียงหัวเราะของเพื่อนที่เหลือในโต๊ะเป็นอย่างดี
เห็นแบบนี้ก็เถอะแต่ทุกคนรู้ว่าปุยฝ้ายเป็นคนที่ติดน้องมากแค่ไหน แถมปุยนุ่นก็ติดพี่เช่นกัน แต่แค่การแสดงออกทางความรักจะต่างกันเล็กน้อย ปุยฝ้ายก็เข้าไปกอด เข้าไปแสดงความรักประสาพี่สาวทั่วไป ส่วนปุยนุ่น… เรียกได้ว่าแสดงความรักผ่านการดัดนิสัยปุยฝ้ายก็ว่าได้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อพวกผมอยู่
“คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ ว่าแต่พอติวกันไปเยอะๆเนี่ยมันเริ่มหิวขึ้นมาเลยนะคะเนี่ย”
“อืม นั้นสินะพอใช้สมองไปเยอะๆแล้วมันอยากได้น้ำตาลขึ้นมาเลย”
“จริงด้วยค่ะ… หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ว่ามาสิ”
“ถ้าตอนนี้พี่ฟ้าเลือกได้ว่าอยากกินอะไร จะเลือกอะไรเหรอคะ”
“ตอนนี้เหรอ… อืม ก็ไม่ได้หิวถึงขนาดอยากจะกินข้าวซะด้วยสิ คงจะเป็นพวกน้ำผลไม้เปรี้ยวๆเรียกสติกับเค้กเล็กๆก็ดีมั้ง”
“แล้วพี่ชอบชูครีมรึเปล่าคะ”
“ชูครีมเหรอ ก็ชอบนะ”
“เยี่ยม”
“มีอะไรรึเปล่า”
“อ่อเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ข้าวฟ่างหยิบมือถือขึ้นมากดๆ แต่สักพักก็เก็บลงไปพลางเปิดหนังสือวิทย์และถามคำถามต่อ ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรนั่งตอบคำถามของรุ่นน้องต่อไป
เวลาล่วงเลยมาชั่วโมงกว่า ตอนนี้เริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลังและสะโพกทำเอาผมต้องบิดตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อให้หายจากอาการเมื่อยล้า นอกจากนั้นการที่ต้องเพ่งดูหนังสือนานๆทำเอาตาเริ่มจะล้าผมจึงใช้นิ้วกดนวดบริเวณสันจมูกหวังจะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ทุเลาลงไปบ้าง
“ไง เหนื่อยหน่อยนะ” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นข้างหลัง ทำเอาผมต้องฝืนตาที่กำลังล้าหันไปมองอย่างรวดเร็วก็พบกับร่างสูงในชุดนักเรียนที่ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงหมดแล้ว
“มึงมาได้ไงเนี่ย ไม่ใช่สิแล้วมึงรู้ว่ากูอยู่ที่นี่ได้งะ-”
ก่อนที่ผมจะถามผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในที่แห่งนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดที่เคยอยู่ในที่ก่อเหตุชำเราร่างกายมาแล้ว
“ข้าวฟ่าง…” ผมหันไปหาผู้สมรู้ร่วมคิดสาวที่ตอนนี้กำลังเอาหนังสือวิทย์มาปิดบังใบหน้า แต่อย่าคิดว่าจะปิดได้มิดเพราะผมเห็นแล้วว่าเธอกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ เช่นเดียวกับร่างสูงตรงหน้า… พี่น้องแม่งเหมือนกันเป๊ะเลยให้ตายสิ
“เอ้านี้ของฝาก” มันยื่นแก้วน้ำส้มพร้อมกับกล่องกระดาษไม่ใหญ่มากมาให้
“อะไร”
“เสบียงไง” พอผมเปิดกล่องออกมาดูก็พบกับชูครีมจำนวน 6 ชิ้นแถมปรากฏโลโก้ร้านขนมชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องคิวที่ยาวเหยียด ถ้าไปต่อก็ต้องเสียเวลาเกือบๆชั่วโมง
“เดี๋ยวนะ นี่มึงเสียเวลาไปต่อซื้อชูครีมมาเลยเหรอ”
“เออ ก็ได้ยินมาจากอยากกินมากเลยไม่ใช่เหรอกูก็เลยซื้อมาให้ กูอุตส่าห์ไปต่อแถวมาให้”
“ไอ้อยากก็อยากลองอยู่หรอก แต่กูไม่ได้บอกสักหน่อยว่าอยากกินขนาดนั้น”
“หา แต่ฟ่างมันบอกว่ามึงอยากกินมาก… ฟ่างงง!!!” น้ำเสียงของไอ้ทีเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นยะเยือก “แหม ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดไง แค่นี้เองไม่เห็นจะเป็นไรเลย” อ่อ มิน่าล่ะเมื่อกี้ถึงได้ถามว่าอยากกินอะไร
สองพี่น้องกำลังจะเกิดการวางมวยการเกิดขึ้นโดยมีฝ่ายน้องสาวกำลังล้อเลียนพี่ชายอย่างเมามันส์นี่ก็เป็นการแสดงออกทางความรักในอีกแง่สินะ การแสดงออกผ่านการแกล้ง
“เอ้าๆพอได้แล้วมึง ปล่อยๆน้องไปเถอะ”
“ใช่ๆ” ไม่ต้องไปยั่วโมโหมันเพิ่มก็ได้ข้าวฟ่าง แค่นี้ก็จะกัดคอกันตายอยู่แล้ว
“เฮอะ ก็ได้ๆเห็นแก่มึงนะเนี่ย”
ไอ้ทีพูดขึ้นพร้อมกับหย่อนก้นลงไปยังที่นั่งของข้าวฟ่าง
“อ่า นั้นที่นั่งหนูนะ”
“ค่าแลกเปลี่ยนไงกับที่พี่ไปต่อแถวซื้อชูครีมมาให้”
“เชอะ ก็ได้”
ข้าวฟ่างพูดพร้อมกับเดินถือกล่องชูครีมแล้วเดินไปนั่งลงข้างนุ่นแทน ก่อนจะแจกจ่ายชูครีมให้กับเพื่อนสาวรุ่นน้อง และสัมภเวสีอีกสามตน
“แล้วนี้มึงมาทำไร”
“เอาเสบียงมาส่งไง”
“มาแค่นั้น”
“เปล่า มาง้อด้วย”
“…”
“อย่าพึ่งเงียบดิ กูรู้สึกผิดจริงๆนะ”
ร่างสูงเลื้อยลงไปนอนกับโต๊ะพลางช้อนตาขึ้นมามองบน นับวันมันยิ่งมีวิธีง้อผมแบบแปลกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละวิธีมันเป็นอันตรายกับหัวใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ น่ารักแบบนี้ใครจะไปทนงอนต่อได้ล่ะเนี่ย
“เรื่องอะไรกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” แต่ผมก็ยังต้องตีหน้าเข้ม แต่หันหลบหน้าอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้มันเห็นรอยยิ้มที่เริ่มจะปรากฏขึ้นมาเริ่มจะเก๊กไม่อยู่แล้ว
“น้า น้า เชื่อกูดิ” น้ำเสียงออดอ้อนที่อีกฝ่ายพยายามแอ๊บมันทำให้ผมไม่สามารถทนฝืนเก๊กต่อไปได้ ผมหลุดขำกับการกระทำแสนไร้เดียงสาของมัน
“โตเป็นควายแล้วยังจะอ้อนแบบนั้นอีกนะ”
“แล้วได้ผลรึเปล่าล่ะ”
“เออ ยอม”
ไอ้ทียกยิ้มมุมปากก่อนจะกลับมานั่งเป็นปกติ ในจังหวะเดียวกับที่ข้าวฟ่างเดินกลับมายื่นชูครีมที่เหลืออยู่ในกล่องเพียงชิ้นเดียวมาให้
“อ้าว เหลืออยู่ชิ้นเดียวเอง”
“งั้นมึงก็กินไปแล้วกัน ยังไงกูก็กะจะซื้อมาให้มึงอยู่แล้ว”
“แต่มึงเสียเวลาไปต่อแถวมาตั้งนาน”
“กูไม่ได้สนของพวกนั้นนักหรอก มึงกินๆไปเถอะ”
“ถ้างั้น…”
ผมหยิบชูครีมขึ้นมาบิดแยกออกเป็นสองชิ้น ก่อนจะยื่นส่งให้ที
“เอ้า แบ่งกันคนละครึ่ง”
“…”
“อย่ามัวแต่ยิ้ม รับไปถือเร็วๆ กูเมื่อย”
“มึงค้างอยู่อย่างนั้นแหละ”
สิ้นเสียงพูดมันยื่นมือมาจับข้อมือผม พลางยื่นหน้าเข้ามาก่อนจะใช้ปากสวยๆงับชูครีมลงไปทั้งชิ้นพร้อมกับปลายนิ้วของผม สัมผัสอุ่นๆที่สัมผัสได้จากภายในช่องปากผสมกับแรงตวัดลิ้นเลียเศษครีมที่ติดที่บริเวณปลายนิ้วไปจนหมดจรด เมื่อปลายนิ้วของผมได้รับการปลดปล่อยออกมาภาพเพื่อนสนิทที่กำลังใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเป็นภาพที่แลดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก อุณหภูมิสูงขึ้นบริเวณใบหน้า ผมรีบหันหนีเพื่อไม่ให้มันเห็นใบหน้าที่กำลังจะขึ้นสีของผม ค่อยๆแทะชูครีมอีกครึ่งชิ้นที่เหลือพลางเตือนสติตัวเองว่านั้นมันเป็นเพื่อน เป็นแค่เพื่อน เป็นเพื่อน
“เป็นอะไรไป”
“มะ-ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เฮ้ยๆตอนนี้ยังอยู่ในห้องสมุดนะเว้ย ข้างหลังยังมีประจักษ์พยานอีกหลายสายตาเลยนะ ผมรีบหลุบตาลง
แพร่บ… สัมผัสอุ่นจากลิ้นของฝ่ายตรงข้ามกวาดเอาครีมที่เลอะบริเวณริมฝีปากซ้ายของผมไปจนหมด
“กินเลอะเหมือนเด็กๆเลยนะ… หวานดี”
ใบหน้าเริ่มเกิดความร้อนมากขึ้นกว่าเดิม หัวใจเต้นรุนแรงขึ้นพร้อมกับสีแดงที่เริ่มลามจากบริเวณแก้มขึ้นไปยังใบหู ไม่ทันที่จะได้หลบคนตรงหน้าเห็นใบหน้าของผมเข้าไปเต็มๆ ไอ้ทีไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของผมด้วยเสียงทุ้มนุ่ม
“ทำตัวน่ารักอย่างนี้น่าจับกินซะเลยนะมึงเนี่ย”
“ยะ-…”
“หืม?”
“อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย!!!”
สันหนังสือวิทย์เล่มเดิมเข้าปะทะกับศีรษะเข้าฝ่ายตรงข้ามอย่างจัง จนเรียกความสนใจของนักเรียนที่อ่านหนังสืออยู่รอบๆให้หันมา
“อูย… กูแค่ล้อเล่นเอง มึงฟาดมาซะเต็มแรงเลย เดี๋ยวความรู้กูกระเด็นหายไปหมดยิ่งมีน้อยๆอยู่”
“กระเด็นหายไปทั้งหัวเลยก็ดี เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”
“อะไรๆ เขินเหรอ หน้าแดงแป๊ดเชียวนะ”
“มะ- มะ- ไม่ได้เขินเว้ย”
หนังสือวิทย์เล่มเดิมกำลังจะเข้าปะทะ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะจับจังหวะได้จึงหลบพ้นได้อย่างง่ายดาย
“ตรงนั้นน่ะ จะจีบกันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยเกรงใจพวกกูที่นั่งอยู่ตรงนี้หน่อย”
“ไม่ได้จีบกันเว้ย”
“ไม่ได้เขินไปก็ได้นี้ สารภาพไปเลยว่าเราสองคนกำลังจีบกันอยู่”
“มึงก็อีกตัว เงียบปากไปเลย”
คำพูดที่ไอ้ทีพึ่งพูดไปเมื่อกี้ทำให้พวกนักเรียนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆหันมามองแรงกว่าเดิม บางส่วนถึงกับทำตาลุกวาวเปลี่ยนจากจ้องหนังสือมาจับตามองทางพวกเรากันใหญ่ ไอ้บ้า มึงพูดอย่างนั้นเดียวกูก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่ามึงจีบกูจริงๆ
“แต่เรื่องที่กูจีบมึงเมื่อกี้กูไม่ได้ล้อเล่นนะ”
“…” ผมชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูด สมองไม่สามารถประมวลผลออกมาเป็นคำพูดได้ รู้สึกเหมือนกับว่ามีความหวัง ความหวังว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันอาจจะเหมือนกับที่มันมีต่อผมก็ได้
“… ทำหน้าเครียดไปได้ เมื่อกี้กูล้อเล่น” ความรู้สึกเหมือนกับนกแรกเกิดที่พึ่งจะรู้สึกดีที่ได้กางปีกบินเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็ดันไปชนกับเสาไฟฟ้าจนตกลงมาปะทะกับพื้นดินเต็มๆ
“…เหรอ” นั้นสินะ เค้าว่ากันว่ายิ่งตั้งความหวังไว้สูงเวลาตกลงมามันก็จะยิ่งเจ็บเป็นเท่าตัว ผมพยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ผมได้แต่เพียงเก็บความผิดหวังเอาไว้ในใจ นี่ก็คงจะเป็นการแสดงความรักในแบบของมัน การแสดงออกทางความรักในรูปแบบของเพื่อนสนิท
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************
นภดล (น่านฟ้า)อายุ : 17
ส่วนสูง : 155 cm
น้ำหนัก : 43 kg
วันเกิด : ???
อาหารที่ชอบกิน : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ : ???
งานอดิเรก : ???
ความสามารถ : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ
ศศิน (นที)อายุ : 17
ส่วนสูง : 182 cm
น้ำหนัก : 70 kg
วันเกิด : ???
อาหารที่ชอบกิน : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด : ???
สิ่งที่ชอบ : ???
งานอดิเรก : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ : มากกว่าเพื่อนสนิท