My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 26 {4/2/2020}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 26 {4/2/2020}  (อ่าน 12435 ครั้ง)

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 18 เพื่อนสนิท
น่านฟ้า
   บรรยากาศรอบตัวมืดมิดไปหมด เห็นเพียงแค่แสงจันทร์สลัวๆที่ส่องลอดใบไม้ลงมา
   “ไม่จริงน่า”
   ผมพยายามเปิดปิดโคมไฟ แต่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะมีประกายไฟติดอยู่บ้างก็ประกายไฟก็อยู่ได้ไม่นานสักพักก็ดับลงไป
   “จริงสิ ไฟฉาย”
   ผมหยิบไฟฉายที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา
   กริ๊ก กริ๊ก… เอ๊ะ…
   ผมพยายามเปิดปิดไฟฉายหลายๆ ครั้งแต่ก็ไม่ปรากฏแสงสว่างออกมาจากปลายกระบอก มีเพียงเสียงปุ่มเปิดปิดเท่านั้น
   “ทำไม ไฟฉายก็ไม่ติดล่ะ”
   ผมหงายไฟฉายขึ้นมาพลางเปิดสำรวจบริเวณช่องใส่ถ่านก็พบกับความว่างเปล่าภายใน
   “… คราวหลังถ้าไม่มีถ่านก็อย่าให้มาเซ่ เอมมม!!!”
   ผมง้างแขนขึ้นกำลังจะเขวี้ยงไฟฉายในมือลงกระทบกับพื้นแต่ต้องชะงักมือเมื่อคิดได้ว่าเป็นของที่ยืมมาจึงละทิ้งการกระทำ
   “แล้วทีนี้จะเอายังไงดีเนี่ย”
   ผมมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ ไร้ซึ่งแสงไฟ
   ‘เวลาแบบนี้คงต้องเดินไปหาพวกที่ประจำจุดอยู่ข้างๆสินะ’
   ผมที่ตัดสินใจไว้แบบนั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้น พลางค่อนๆก้าวขา… ข้างซ้าย… ข้างขวา…
   ‘ไม่ไหว ยังไม่ก็ไม่ไหว’
   ผมนั่งลงไปพลางจับแขนทั้งสองข้างที่กำลังสั่นกลัวไว้แน่น พยายามข่มความกลัวของตัวเองเอาไว้
   ครืด ครืด…
   ‘สะ…เสียงอะไรน่ะ’
   ผมหันไปมองตามต้นเสียง แต่เพราะความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าต้นเสียงนั้นคืออะไร เห็นแต่เพียงเงาต้นไม้รอบๆ
   วิ้ว… เสียงลมพัดรุนแรงขึ้น พร้อมกับใบไม้ที่ปลิวกระจายอยู่รอบๆ
   แฮ่ก แฮ่ก… หายใจไม่ออก
   ความรู้สึกอึดอัดที่หน้าอกทวีคูณขึ้นมา ลมหายใจติดขัดเหมือนมีบางอย่างกีดขวางหลอดลมเอาไว้ เหงื่อไหลบริเวณใบหน้า และลำตัวทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเมื่อผิวกายสัมผัสถึงลมที่พัดโบกมา
   [อะไร…จะไปด้วย…]
   อะไรน่ะ… อยู่ๆก็มีเสียงดังวนเวียนอยู่ในหัว
   [อ่า น่ารำคาญ ชะมัด…]
   ขอโทษที่ทำให้รำคาญ…
   [งั้นมาเล่นซ่อนแอบกัน อย่าออกมาจนกว่าจะเจอ เข้าใจไหม]
   ทำไมถึงยังหาไม่เจอ แต่ว่าออกไปไม่ได้… เพราะถูกสั่งไว้…
   ฮึก เสียงสะอื้นพร้อมหยดน้ำเล็กๆเริ่มผุดขึ้นมาจากหางตาและไหลไปตามใบหน้า…
   มืด…
   เหงา…
   เหนื่อย…
   ขอร้องล่ะ…
   “ฮึก… จะใครก็ได้ ช่วยหาให้เจอสักทีเถอะ”
    “แฮ่ก แฮ่ก…หาเจอสักที”
   เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่โหยหา เสียงที่อบอุ่น ปรากฏกายพร้อมกับปัดเป่าความอึดอัดใจและความกลัวออกไป
   “…ไอ้ที”

นที
   “ฮึก…ไอ้ที” ร่างเล็กรีบพุ่งเข้ามากอดรัดตัวผมเอาไว้พลางเอาหน้าซบลงไปกับหน้าอก พลางร้องไห้ออกมาจน ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นและความร้อนบริเวณหน้าอก
   “ไม่เป็นไรแล้ว… กูอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
   ผมใช้มือค่อยๆลูบบริเวณผม และหลังของอีกฝ่าย คอยปลอบประโลมร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังสั่นกลัว จนอีกฝ่ายค่อยๆคลายความกังวลลง
   “ไม่เป็นไรแล้วนะ”
   “ฮึก…อืม”
   “ไม่เอาๆ ไม่ต้องร้องนะ” ผมใช้มือค่อยๆปาดหยดน้ำตาตามหางตาให้ร่างเล็กตรงหน้า
   ร่างเล็กตรงหน้า ยังคงมีเสียงสะอื้นหลงเหลืออยู่ ถึงแม้น้ำตาจะไม่ไหลแล้ว แต่ตาที่แดงก่ำก็เป็นหลักฐานได้อย่างดีว่าอีกฝ่ายร้องไห้หนักขนาดนั้น… พอเห็นแล้วทำให้ใจรู้สึกอึดอัดเหมือนโดนบีบรัด
   “โอเคขึ้นบ้างรึยัง”
   “อืม…ก็ดีขึ้นแล้ว”
   “งั้นกลับกันเลยไหม”
   “อืม”
   “เดินไหวรึเปล่า”
   ผมยื่นมือเข้าไปจับมืออีกฝ่าย พยายามจะช่วยประคองให้ขึ้นมายืน แต่ในจังหวะที่ไอ้ฟ้ากำลังจะยืนขึ้นมา มันก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา
   “ไอ้ที… กูลุกขึ้นไม่ได้อะ”
   ผมย่อตัวลงไปสำรวจบริเวณขาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบความผิดปกติตามร่างกาย
   “สงสัยจะขาอ่อนมั้ง”
   “อืม”
   “ถ้างั้น…”
   ผมย่อตัวลงไปให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ หันหลังให้มันพลางยื่นมือไปข้างหลัง
   “งั้นมึงก็ขี่หลังก็ไปแล้วกัน”
   “จะดีเหรอ”
   “เออ หรือมึงจะอยู่ตรงนี้ต่อละ”
   “…”
   “เร็วๆดิ เดี๋ยวกูโดนตะคริวแดก”
   สัมผัสกอดรัดปรากฏขึ้นบริเวณลำคอ พร้อมกับสัมผัสอุ่นๆบริเวณหลัง ผมจัดการกอดขาทั้งสองข้างของมันให้แน่น ก่อนจะลุกขึ้น
   “มึงโอเคนะ” ไอ้ฟ้าที่เกาะอยู่ข้างหลังส่งเสียงขึ้นมาถาม
   “เออ กูโอเคอยู่แล้ว มึงนั้นแหละโอเครึเปล่า”
   “อืม”
   “งั้นกูเดินแล้วนะ”
   “อืม”
   ผมค่อยๆออกก้าวเดินไปตามทางที่ผมมา โดยใช้มือข้างนึงเปิดไฟฉายจากมือถือไปพลาง ส่วนสายตาก็ดูทางไปพลาง เหลือบไปมองร่างเล็กที่เกาะอยู่ข้างหลังไปพลาง
   บรรยากาศตอนนี้เงียบสงบ ไม่มีเสียงพูดคุยของพวกที่เข้าร่วมกิจกรรม เสียงลม รวมไปถึงเสียงพูดคุยของพวกเราสองคน
   ไม่มีการสนทนามาสักพักตั้งแต่ไปรับมันมา จนสุดท้ายร่างเล็กก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมา
   “ทำไมมึงถึงหากูเจอล่ะ”
   “ก็กูไม่เจอมึงตรงลาน พอได้ถามพวกสตาฟก็รู้ว่ามึงออกมาประจำจุด กูก็เลยเค้นถามพวกสตาฟเอา”
   “…กูขอโทษนะ”
   “อืม รู้ไหมว่าตอนกูรู้กูเป็นห่วงมึงแค่ไหน” ผมพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด เพื่อไม่ให้ร่างเล็กเตลิดไปมากกว่าเดิม แค่ตอนนี้มันก็บอบช้ำอยู่แล้ว
   “อืม… กูรู้ว่ามึงห่วงกูขนาดไหน กูขอโทษ”
   “คราวหลังหัดปฏิเสธบ้างนะ อย่างน้อยก็บอกเหตุผลไปทางนั้นก็ไม่โกรธหรอก”
   “อือ”
   “แล้วนี้ไม่กลัวแล้วเหรอ”
   “ก็ยังกลัวอยู่หรอก…”
   “…”
   “แต่พอมีมึงอยู่ใกล้ๆแล้ว ก็รู้สึกว่ากลัวน้อยลงกว่าเดิม รู้สึกปลอดภัยล่ะมั้ง”
   “เห็นกูเป็นพระเครื่องกันผีรึไงมึง”
   “ฮึฮึ…คงเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง”
   รอยยิ้มเล็กๆเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอ้ฟ้า
   “ไอ้ที…”
   “หืม”
   “ขอบคุณนะ…ที่หากูเจอ”
   ทันทีที่ได้ยิน หัวใจของผมก็รู้สึกอบอุ่น รู้สึกดีใจ ถึงแม้จะเป็นคำพูดทั่วๆไป แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกถึงความปกติในคำพูดเลย รู้สึกแต่เพียงความพิเศษที่แฝงไว้กับคำพูดนั้น…

    “ไม่เป็นไรนะฟ้า”
   หญิงสาวสวมป้ายสตาฟ รีบเดินตรงดิ่งมาหา เมื่อเห็นว่าผมแบกร่างเล็กเข้ามาในระยะสายตาก่อนที่ผมจะเดินตรงไปยังม้านั่งใกล้ๆ เบื่อปล่อยให้ร่างเล็กนั่งพัก
   “เราไม่เป็นไรหรอก เอม”
   “ขอโทษนะ เอมไม่รู้ว่าฟ้ากลัวความมืด ขอโทษจริงๆนะ” เอมรีบยกมือไหว้ขอโทษรัวๆ จนร่างเล็กต้องทำท่าทางเลิกลั่ก อย่างไปไม่เป็น
   “มะ- ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ต้องขอโทษหรอก”
   แต่ดูท่าเธอจะยังไม่หายรู้สึกผิด เพราะเธอพูดขอโทษมาร่วมกว่าสิบนาที จนกระทั่งมีสตาฟคนอื่นมาเรียกให้ไปช่วยคุมกิจกรรมต่อ สภาพของร่างเล็กที่ทำท่าลุกลี้ลุกลนพร้อมกับมือที่ลนลานทำเอาผมหุบยิ้มมุมปากลงไปไม่ได้
   “เฮ้อ”
   “เป็นไงล่ะมึง ทำคนเขาเป็นห่วงกันหมด”
   “เออ กูเห็นเอมแล้วกูรู้สึกผิดเลย”
   “คราวหน้าคราวหลัง มึงหัดคิดให้เยอะๆมากกว่านี้หน่อย”
   “มึงจะหาว่ากูคิดน้อยว่างั้น”
   “เออ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น มึงคงไม่อยู่ในสภาพนี้หรอก ไอ้โง่”
   “อะไรกันเล่า กูก็แค่ไม่อยากทำให้คนอื่นเค้าเสียใจนี่… โอ้ย เจ็บนะไอ้ที ปล่อยแก้มกู” ผมยื่นมือเข้าไปจับดึงยืดแก้มนุ่มๆ จนมีรอยแดงปรากฏขึ้นบนแก้ม
   “กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้คนอื่นเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มึงหัดคิดถึงตัวเองบ้างดิ”
   “…”
   “มึงรู้ไหมว่าตอนกูรู้ว่ามึงไปอยู่ในที่มืดๆคนเดียวกูรู้สึกยังไง รู้ไหมว่าตอนกูเห็นมึงตอนร้องไห้มันทำให้กูเสียใจขนาดไหน”
   ความรู้สึกห่วงใยที่เก็บเอาไว้ตลอดทางกลับ พลั่งพลูออกมาเหมือนกับถูกเก็บกดมาอย่างยาวนานพอมีรูเพียงเล็กน้อยก็พร้อมที่จะทะลักออกมาทุกเมื่อ
   “ตอนนั้นกูไม่คิดอย่างอื่น คิดแต่เพียงแค่ว่าขออย่าให้มึงเป็นอะไรไป”
   “ที…”
   “เพราะงั้น ถึงจะคิดว่าเห็นแก่ตัวก็เถอะ แต่ขอล่ะ…”
   ผมเอนหัวลงไปพิงกับไหล่เล็กๆของไอ้ฟ้า
   “ก่อนที่จะคิดถึงคนอื่น ช่วยคิดถึงความรู้สึกกูก่อนใครเถอะนะ”
   “…ที่มึงพูดมา หมายความว่า…”
   ทันทีที่ผมรู้สึกตัวผมก็รีบสะดุ้งตัวพลางขยับตัวออกห่างมาจากฟ้า ก่อนที่จะรวบรวมสติเพราะมีครู่ดันเผลอไปหน่อย นอกจากเทศน์เรื่องก่อนหน้านั้นแล้ว ดันเผลอหลุดคำพูดแปลกๆออกไปซะได้
   “มะ-เมื่อกี้มัน…”
   ในขณะที่ผมกำลังคิดคำพูดแก้ตัว สัมผัสหนักๆก็ปรากฏขึ้นบนไหล่ของตัวเอง คราวนี้ฟ้าขยับเข้ามาใกล้พร้อมทิ้งเอาหัวมาพิงที่ไหล่ของผมพร้อมกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
   “อะไรของมึงเนี่ย ทำอย่างกับกูเป็นแฟนมึงไปได้”
   “ฮะฮะ นั้นสินะ กูก็แค่ห่วงมึงในฐานะเพื่อนเอง”
   รู้สึกเจ็บปวดที่ก้อนเนื้อด้านซ้าย ถึงแม้จะผมจะเป็นคนพูดเองก็เถอะ
   “นั่นสินะ แต่ว่ากูไม่ได้เห็นมึงเป็นแค่เพื่อนหรอกนะ”
   “…”
   “มึงน่ะเป็นเพื่อนสนิทของกูเลยล่ะ เพื่อนสนิทคนสำคัญ
   ขอโทษที่แอบคาดหวังกับคำตอบที่พอจะเดาออกได้…
   ก้อนเนื้อด้านซ้ายรู้สึกถึงความอึดอัดทวีคูณยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนตรงหน้าเป็นคนพูด
   “ที เป็นอะไรรึเปล่า ทำหน้าแปลกๆไปนะมึง”
   “เปล่าไม่มีอะไร”
   ไม่รู้ว่าตนเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แค่เพียงว่ามันต้องแย่จนอีกฝ่ายต้องร้องทักขึ้นมา ผมรีบจูนให้หน้าตัวเองกลับมาเป็นปกติ
   “มึงล่ะ อยากได้อะไรไหม”
   “อือ ก็มีอย่างนึงนะ”
   “อะไรเดี๋ยวกูไปหยิบมาให้”
   “มึง…”
   “…”
   ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของมัน ความรู้สึกดีเริ่มพวยพุ่งขึ้นไปสูงเหมือนดั่งน้ำพุที่พึ่งจะเปิดสวิตซ์ แต่คำพูดถัดมาก็ทำให้รู้ว่าอยู่ๆไฟฟ้าก็ถูกตัด
   “กูขอยืมไหล่มึงนอนหน่อยแล้วกัน พิงแล้วรู้สึกสบาย… หาว”
   “งั้นมึงก็นอนไปสักพักแล้วกัน เดี๋ยวกูปลุก”
   “อือ ขอบคุณ…”
   เปลือกตาค่อยๆหนักขึ้นๆ จนลมหายใจของร่างเล็กเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เหลือไว้แต่เพียงผมที่ตอนนี้กำลังทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
   ความรู้สึกห่วงใยเกินคำว่าเพื่อน…
   ความรู้สึกเจ็บปวดกับคำว่าเพื่อน…
   ความรู้สึกอึดอัดกับคำว่าเพื่อนสนิท…
   “เฮ้อ… น่ารำคาญจังเลยนะความรู้สึกแบบนี้เนี่ย” ผมได้แต่นั่งคิดคร่ำครวญกับความรู้สึกแปลกประหลาดของตัวเอง ความรู้สึกที่นำความอึดอัดมาสู่ใจ ความรู้สึกผิดต่อคำว่าเพื่อนสนิทของเราสองคน
   
   *****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท   

   
   
   
   
   
   
   

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 19 นัด
น่านฟ้า
   หลังจากจบค่ายกิจกรรมก็มีอีเว้นท์ใหญ่ที่สุดในรอบเทอมที่ทำให้เด็กนักเรียนหลายคนต้องกรีดร้องด้วยความทรมาน นั้นก็คือการสอบปลายภาค
   เนื่องจากว่าตอนนี้พวกผมอยู่ม.5 กันแล้วแต่ละวิชาก็เริ่มทวีคูณเนื้อหาให้ยากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้เหล่าพ้องเพื่อนที่ปกติแถบจะไม่สนใจในการเรียนเลยตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือเรียนซึ่งเป็นภาพหายากที่สามารถรับชมได้แค่ตอนช่วงนี้เท่านั้น
   “ฟ้าตรงนี้ทำยังไง”
   “อ่อ ตรงนี้แกแทนค่าผิด ลงคิดใหม่อีกรอบดู”
   พวกผมนั่งติวหนังสือกับในคาเฟ่ของไนท์ด้วยความที่เป็นคาเฟ่ที่ใกล้แถมโลเคชั่นยังดี ทำให้พวกผมยึดสถานที่นี้ไว้เป็นที่นัดอ่านหนังสือกัน แถมบางครั้งอาจจะมีลาภลอยจากพี่ทรายเป็นของแถมเล็กๆน้อยๆ
   “อืมมม ยากจังวะ”
   “เลิกบ่นน่าแพรว มึงบ่นอย่างนี้มาทุกสิบนาทีเลยนะ”
   “ก็กูไม่ถนัดนี่ไอ้ฝ้าย กูอยากขยับร่างกายบ้าง”
   “เฮ้อ แล้วแบบนี้มึงจะรอดไหมเนี่ย”
   “ไม่ต้องห่วงๆ กูมีไอ้ฟ้าคอยช่วยติวให้ กูคาบเส้นทุกครั้งเพราะมันเลย”
   “เป็นแบบนั้นตลอดเลยแหละมึง แต่อย่างน้อยเรื่องนั้นกูก็ไม่เถียง ให้ไอ้ฟ้าติวให้มันดีจริงๆ ทำกูรอดมาหลายครั้งแล้ว”
   “พวกมึงก็หัดอ่านหนังสือกันบ้าง กูช่วยพวกมึงไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
   “ค่าา แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกกูขอเกาะมึงไปก่อนแล้วกัน”
   ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับคำพูดของปุยฝ้ายที่พูดออกมาโดยไม่ได้มีความรู้สึกผิดเจือปนอยู่เลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
   “ไว้เรียนจบกูจะเอาพวงมาลัยมาไหว้”
   “กูไม่ใช่พระไหมแพรว”
   “ถ้าอย่างนั้นเดียวกูออกเงินอัพเกรดให้ เดี๋ยวกูสั่งพวงหรีดชนิดลิมิตเต็ดให้มึงโดยเฉพาะเลย”
   “ฝ้ายกูยังไม่ตาย!!!”
   “ถ้าอย่างนั้นเดียวกูเป็นสปอนเซอร์โต๊ะจีนให้”
   “มึงก็ไม่ต้องมาผสมโรงเลย นี!!!”
   พวกเราพูดหยอกล้อ พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างจะดังจนพนักงานเสิร์ฟหนุ่มที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของร้านพร้อมกับผ้ากันเปื้อนที่มีโลโก้ของร้านจึงเดินเข้ามาเตือนพร้อมกับเค้กในมือ
   “ขอโทษนะครับคุณลูกค้าช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ”
   พนักงานหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยวางเค้กสีส้มสดใสลงตรงหน้าผม
   “ไม่ได้ค่า” ปุยฝ้ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น
   “ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอเชิญออกไปจากร้านแล้วกันครับ อยากจะให้ถีบส่ง หรือสาปส่งก็เลือกมาได้เลยครับ”
   “…ขอโทษค่ะ ไม่เล่นแล้วก็ได้” พอโดนตอบกลับมาแบบนี้เธอจึงทำหน้าหงอยหันไปสนใจหนังสือตรงหน้าแทน
   “โทษทีนะไนท์ พอดีทำเสียงดังไปหน่อย”
   “ไม่เป็นไรแต่อย่างน้อยก็ช่วยเบาเสียงลงไปหน่อยก็ดี มันรบกวนลูกค้าคนอื่นเขา”
   “จะพยายามแล้วกัน… ว่าแต่เค้กก้อนนี้” ผมพูดพลางชี้ไปยังเค้กที่วางตรงหน้า
   “อ่อ ก้อนนั้นกูเอามาให้ พอดีเห็นว่ามึงใกล้จะตายแล้วกูก็เลยเอามาถวายให้สักหน่อย” บริกรหนุ่มพูดพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ทันทีที่เหล่าสามสาวได้ยินก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอีกระลอก
   “มึงก็อย่าเล่นไปกับพวกมันดิ”
   “ครับๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้”
   ผมจัดการหยิบส้อมตรงหน้าพร้อมกับจ้วงเค้กเข้าปาก ใช้ความหวานของเค้กเพื่อระงับอารมณ์และอวัยวะเบื้องล่างที่ตอนนี้กำลังกระดิกๆอยู่ใต้โต๊ะ
   “พอดีกูมีอะไรจะถาม”
   “…”
   ผมหันไปมองไนท์ที่นั่งลงตรงเก้าอี้ พลางเงียบรอคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับจิ้มเค้กชิ้นงามพยายามจะนำเข้าปาก แต่ก็ต้องชะงักกับคำถามที่ตามมา
   “มึงกับทีเป็นอะไรกัน”
   “กะ- กะ- ก็เป็นเพื่อนไง ใช่ๆ เพื่อนสนิท” ด้วยความที่อยู่ๆก็โดนคำถามแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ น้ำเสียงที่ใช้ออกอาการลนลานมากกว่าปกติ ไนท์ยังไม่เท่าไหร่ยังทำหน้าปกติอยู่ แต่ไอ้เผือกสามหัวนั้นกำลังยิ้มกรุ่มกริ้มกันแล้ว
   “เรื่องนั้นกูรู้อยู่แล้ว กูถามว่าช่วงนี้มึงกับไอ้ทีเป็นอะไรกัน รู้สึกว่ามึงกำลังหลบหน้าไอ้ทีอยู่”
   “ปะ-เปล่าสักหน่อย”
   เรื่องที่ไนท์พูดมามันก็…เป็นความจริงอยู่ ก็หลังจากจบค่ายแล้วพอตั้งสติดีๆลองคิดถึงคำพูดในคืนนั้นดูก็รู้สึกอายตัวเองจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปมากเลย ตอนนั้นบรรยากาศพาไปก็เลยทำเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปเล่นพูดเหมือนกับขอไอ้ทีแบบนั้นมันเหมือนกับ…อยากเป็นแฟน…ไม่ได้ๆ น่านฟ้า มึงจะคิดกับมันแบบนั้นไม่ได้ มึงเป็นเพื่อนสนิทท่องไว้ว่าเพื่อนสนิท
   ด้วยเหตุผลร้อยแปดทั้งปวงทำให้พอกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเวลาเจอกัน สุดท้ายก็เลยพยายามหนีหน้ามันไป เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบเบสิคสุดๆ
   “แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ากูหลบหน้ามันล่ะ”
   “ก็ไอ้ทีอะสิ บ่นเป็นอาทิตย์แล้วว่ามึงไม่มา ติดนู่น ไม่ว่างนี่ กูกับวินฟังจนเอียนแล้ว”
   “แฮะ แฮะ” ผมยิ้มรับแห้งๆให้กับสิ่งที่มันพูดซึ่งเป็นจริงทุกประการ เพราะไม่อยากเจอหน้ากันผมเลยหาข้ออ้างส่งๆไปว่าใกล้สอบแล้ว ไม่ก็วันนี้พี่ภูให้กลับบ้านเร็ว
   “ก็ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป ไอ้ทีมันคงเพ้อไปเองมั้ง หลังสอบมึงก็โผล่ไปเจอมันบ้างเดี๋ยวมันจะลงแดงตาย งั้นกูไปทำงานต่อแล้วนะ บาย”
   “อืม”
   ทันทีที่บริกรหนุ่มเดินห่างไปจากโต๊ะ ผมก็รู้สึกถึงสายตาจับจ้องสามคู่ ชวนให้ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ลางสังหรณ์ว่าต้องมีอะไรสักอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นแน่
   “…พวกมึงจะจ้องกูกันทำไม”
   “แน่ใจว่ามึงไม่มีซัมติงอะไรกับไอ้ที”
   “เออดิ ไม่มีอะไรกันอยู่แล้วก็เป็นแค่เพื่อนกันปกติ”
   “เหรอคะ แต่อิฉันว่าน่าจะไม่ใช่แค่นั้นนะคะ”
   พูดจบปุ๊บปุยฝ้ายก็ยกมือถือขึ้นมาเลื่อนๆ จิ้มๆ สักพักก่อนจะยื่นมือถือที่หน้าจอปรากฏภาพของผมที่กำลังนอนซบไหล่ทีในวันเข้าค่าย แถมไอ้โจทย์อีกคนก็ดันหลับปุ๊บเอาหัวมาชนกับหัวของผมอีก วันนั้นกว่าผมจะตื่นมันก็ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วก็เลยไม่รู้ว่าหลังจากนอนไปมันเป็นยังไงมั้ง แล้วนี้มีประชาชีเดินเห็นเหตุการณ์ไปกี่คนแล้วเนี่ย
   “ว้ายๆ เค้านอนซบกันด้วยล่ะเนอะคุณแพรวา”
   “นั้นสินะ เหมือนจะมีซัมติงอะไรรึเปล่าเนี่ย”
   “แพรว กูบอกแล้วไงว่าไม่มีอะ-” ก่อนที่ผมจะพูดจบ ปุยฝ้ายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
   “อ่อถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ รู้สึกว่าก่อนที่พวกมันจะนอนกัน ไอ้ฟ้าพูดกับที ประมาณว่า ‘อยากได้ทะ-’”
   หมับ… ก่อนที่เธอจะได้พูดคำสุดท้ายออกมา ผมใช้ส้อมที่จิ้มเค้กค้างไว้ พุ่งทะยานเข้าปากเธอไปอย่างรวดเร็วความรู้สึกเหมือนเกือบจะลึกจนถึงลิ้นไก่ทำเอาปุยฝ้ายทำหน้าอึ้งพร้อมกับผู้เห็นเหตุการณ์อีกสองนางที่ตอนนี้กำลังสตั้น
   “ถ้ายังไม่เลิกพูดเรื่องนั้นแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อล่ะก็คราวหลังกูจะยัดจนทะลุลิ้นไก่นะ เข้าใจไหม?” ผมพูดไปพร้อมกับปั้นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวจนเหมือนพวกเธอจะรู้สึกจึงทำตัวเจี๋ยมเจี่ยมพร้อมกับกลับไปสนใจในหนังสือเรียนตรงหน้า
   เฮ้อเกือบไป… ไม่นึกว่าจะมีใครได้ยินเข้า ตอนนั้นไม่น่าปล่อยให้บรรยากาศพาไปเลยจริงๆ ยังโชคดีที่ตอนนั้นดึงสติกลับมาได้ในตอนสุดท้ายก็เลยพอจะแถกลบเกลื่อนไปได้… แต่ถ้าพูดไปแบบนั้น มันจะตอบกลับมายังไงกันนะ
   “จะว่าไป”
   “อะไรอีกแพรว ไม่ได้ฟังที่กูพูดเมื่อกี้เหรอ”
   “กูรู้แล้วเว้ย กูไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น กูจะถามมึงเรื่องสอบอาทิตย์หน้า” อาทิตย์หน้า?
   “อ่อ สอบคหกรรมใช่ปะ”
   “เออนั้นแหละ มึงเตรียมตัวแล้วเหรอ”
   “เหอะ ยังเลย” ผมพูดไปพลางส่ายหน้า
   “แล้วมึงจะรอดเหรอ มึงเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในห้องแล้วนะ”
   “ก็กูต้องมาติวให้พวกคุณเธอ แล้วกูจะเอาเวลาไหนไปเตรียมตัวล่ะครับ หืม”
   “เออ ก็จริง”
   “แต่เรื่องนั้นก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมั้ง ถึงจะไม่ผ่านครูเขาก็หยวนๆให้กูผ่านอยู่ดี”
   ผมเอาหัวของตัวเองเป็นประกันได้เลย เอาชื่อนภดล ขาประจำห้องคหกรรมเป็นเดิมพัน สอบคหกรรมมาร่วมปีที่ห้าแล้วไม่เคยจะผ่านสักปีเดียวจนครูเขาปลงกับผมจนยัดเยียดให้ผมผ่านไม่ว่าสภาพอาหารจะแหลกเหลวและห่วยแตกแค่ไหนก็ตามเป็นสิทธิ์พิเศษประจำตัวไปแล้ว เฮ้อ…พูดแล้วก็เศร้า
   “ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ปีนี้มึงน่าจะหยวนให้ไม่ได้หรอกนะ”
   “อ้าวทำไมล่ะนี”
   “ก็ตอนที่กูไปประชุมหัวหน้าห้องคราวก่อน เห็นว่าปีนี้เค้าอยากให้พวกนักเรียนตั้งใจเรียนวิชาเสริม พวกการงาน ศิลปะ ไม่ก็พละ เลยเห็นว่าถ้าสอบไม่ผ่านคราวนี้จะไม่มีการหยวนแต่จะจัดให้เรียนเสริมตอนช่วงปิดเทอม”
   “หา!!”
   ผมลุกขึ้นพลางใช้สองมือตบลงบนโต๊ะจนเสียงดัง
   “อยู่ๆ อย่าตบโต๊ะดิว่ะ ตกใจหมด”
   “อะ โทษที”
   ผมรีบนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนจะถามยืนยันกับนีอีกครั้งว่าสิ่งที่ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม
   “มึงพูดจริงเหรอ”
   “ใช่”
   “ทำไมอยู่ๆถึงมาเปลี่ยนเอาตอนนี้เนี่ย”
   “ไม่รู้ดิ ถ้าอยากรู้มึงก็ต้องไปถาม ผอ. เอา”
   “มึงอย่าพึ่งสลดไป อย่างน้อยครูเขาก็เข้าใจแหละว่ามึงทำไม่ได้ ห้องเราเลยได้อานิสงส์เป็นเมนูง่ายๆ อย่างข้าวผัดกับแกงจืดไข่น้ำ”
   “ใช่แล้วมึง ห้องอื่นได้พวกห่อหมก หรือต้มยำของยากๆทั้งนั้น ถ้ามึงฝึกทำเดี๋ยวมึงก็รอด”
   “กูก็คิดว่าน่าจะรอด กูก็เลยไปลองฝึกมาเมื่อวาน กูคิดว่าน่าจะโอเคอยู่…”
   “นั้นไงกูบอกแล้ว เมนูง่ายๆแบบนี้มึงน่าจะรอด”
   “แต่โอเคแค่กูนะ พี่ภูไม่โอเคด้วย…”
   “…”
   เมื่อวานผมเห็นว่าไม่มีอะไรทำก็เลยกะจะเอาเมนูที่จะทำสอบมาทำเป็นข้าวเย็นสักหน่อย ตอนแรกๆก็ออกมาดูดี แกงจืดไข่น้ำใสกิ๊งกับข้าวผัดสีทองอร่ามแต่สักพักก็รู้สึกถึงกลุ่มควันที่ค่อยๆลอยสูงขึ้นมาคิดว่าเป็นไอความร้อนทิ้งเอาไว้สักพักจากแกงจืดสีใสกับข้าวผัดสีทองกลายเป็นแกงจืดไข่ไหม้กับข้าวผัดชาโคลพร้อมกับควันที่พวยพุ่งออกมาจนสัญญาณไฟเกือบจะดัง สุดท้ายก็โดนพี่ภูติดประกาศห้ามเข้าครัวอีก
   “ฝ้ายมึงสอนให้กูหน่อยดิ มึงทำอาหารเก่งไม่ใช่เหรอ”
   “หือ กูเหรอก็ได้นะ มึงอยากให้กูสอนวันไหนอะ”
   “มันจะสอบมะรืนแล้ว คงต้องให้มึงช่วยกูพรุ่งนี้แล้วล่ะ ว่างปะ”
   “อืม ก็ได้นะ”
   “โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันสักสิบโมงแล้วกันบ้านกู”
   “ได้… เอ๊ะเดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้มึงบอกว่าพี่ภูห้ามไม่ให้เข้าครัวไม่ใช่เหรอ”
   “จะว่าไปก็ใช่ แต่ถ้าบอกดีๆพี่ภูเขาคงจะยอมล่ะมั้ง เกี่ยวกับเรื่องสอบทั้งที…งั้นเดี๋ยวกูลองโทรถามพี่ภูดูแล้วกัน ถ้าอ้อนสักหน่อยยังไงเดี๋ยวก็ยอม รอแปป”
   “จ้าๆ พ่อหนุ่ม”
   
   “เป็นไงพี่ภูเขาว่าไง”
   “ไม่ได้ว่ะฝ้าย”
   “อ้าวแปลกจัง ปกติพี่เขาก็แพ้ลูกอ้อนมึงตลอดไม่ใช่เหรอ”
   “มันก็ใช่ แต่ว่าคราวนี้ดูเหมือนกูจะฝากผลงานไว้มากไปหน่อย…”
   “หือ…”
   ทั้งสามสาวหันหน้ามาจ้องมองผมด้วยใบหน้าสงสัย
   “คราวนี้ก็ดันฝากรอยดำไว้บนเพดานห้องครัว แถมทำเตา กับกระทะไหม้ไปแล้วด้วย พี่เขาก็เลยจะเรียกช่างมาซ่อมแซมให้เลยใช้ไม่ได้”
   “งั้นมึงก็ไปที่บ้านไอ้ฝ้ายดิ ง่ายดี”
   “แพรวบ้านกูมันไกล กูเป็นห่วงไอ้ฟ้าว่ารถมันจะติด กลัวมันจะเสียเวลา…”
   “ใจจริงของมึงล่ะ”
   “ถ้าไปทำบ้านกูจริง ครัวกูไม่เหลือชิ้นดีแน่ ยังไงก็ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งฝีมือแบบไอ้ฟ้าด้วยแล้วจะมีครัวสักกี่ครัว ก็เละได้ภายในไม่ถึงนาที” ฉึก…
   “เวอร์ไปไอ้ฝ้าย ถึงไอ้ฟ้ามันจะฝีมือในการทำให้วัตถุดิบดีๆ กลายเป็นของเสียได้ แถมรสชาติยังหมาไม่แดกอีก แต่ไปพูดแบบนั้นมันก็เกินไปนะ อย่างน้อยถ้าเราคอยคุมมันล่ะก็ครัวก็น่าจะยังมีชีวิตรอดได้อยู่ถึงแม้ว่ามันจะเคยเกือบทำห้องคหกรรมไฟไหม้ก็เถอะ” ฉึก ฉึก…
   “แพรวมึงก็พูดจาโหดร้ายเกินไปไปว่าอาหารของไอ้ฟ้าว่าหมาไม่แดกได้ยังไง มันก็แค่เคยทำไข่เจียวที่แข็งยิ่งกว่าอิฐบล๊อคหรือไม่ก็แกงจืดสีน้ำตาลอุดมโซเดียมเอง ถ้าจะเรียกก็เรียกว่าอาหารที่มนุษย์กินไม่ได้น่าจะดีกว่า” ฉึก ฉึก ฉึก…
   “ตายจริง…พวกมึงเนี่ย…”
   “…”
   “เล่นนินทาระยะเผาขนแบบนี้…พวกมึงเตรียมใจไว้แล้วสินะ…”
   ผมพูดพลางแสดงรอยยิ้มพร้อมกับใบหน้าทะมึน ถือหนังสือพจนานุกรมที่มีความหนาประมาณ 300 หน้าถ้วน พร้อมกับง้างแขนขึ้นไปด้านบนอย่างเต็มเปี้ยมทันใดนั้นสันหนังสือก็ได้ปะทะกับหัวปุยฝ้ายเน้นๆจนเกิดเสียงดังโป๊กจนคนในร้านพากันหันมาดู
   “เอาล่ะ คนแรกก็เรียบร้อยแล้ว…เหลืออีกสองสินะ…”
   “ขอประทานอภัยอย่างสุดซึ้งเพคะ พวกหม่อมฉันเป็นเพียงตัวประกอบที่มาประสมโรงเพียงเท่านั้น ผู้ริเริ่มคืออ้ายปุยฝ้ายที่นอนตายเหมือนหมาอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียวค่ะ ฝ่าบาทน่านฟ้าได้โปรดยกโทษให้กับการลามปามของพวกเราด้วยเถอะค่ะ อ่อหรือถ้าท่านอยากลงโทษต่อก็เชิญลงโทษอ้ายปุยฝ้ายที่นอนอยู่ตรงนั้นได้เลยค่ะ เพราะนางบอกก่อนตายว่า ‘เราจะรับโทษทุกสถานเพียงคนเดียว’”
   “อินี กูไม่เคยพูด!!!”
   “อ้าวตายแล้ว อ้ายฝ้ายยังมีชีวิตอยู่อีกรึ”
   “จะเลิกตีกันได้รึยังเอ่ย?”
   “ค่ะ ขออภัยค่ะ จะอยู่นิ่งๆไม่เถียง ไม่ทะเลาะกันอีกแล้วค่ะ” ทั้งสามนั่งพับเพียบลงบนพื้น พร้อมกับพูดประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
   “งั้นช่วยตอบมาหน่อย จะ ให้ กู ไป ใช้ ครัว ที ไหน เอ่ย”
   “ครัวบ้านไอ้ฝ้าย”
   “อิแพรว”
   ทันทีที่ผมยกพจนานุกรมในมือขึ้นมา ทั้งสองก็นั่งทำตัวเจี๋ยมเจี่ยมได้ในทันที แหมรู้สึกดีเหมือนได้ค้นพบอาวุธในตำนานไว้วันหลังต้องอัพเกรดเป็นสารานุกรมซะแล้ว
   “อะ-”
   “มีอะไรฝ้าย”
   “กูมีความคิดดีๆแล้วรอแปปนะ”
   พอปุยฝ้ายพูดจบก็ยกมือถือขึ้นมาพลางกดจิ้มๆอยู่สักพัก อยู่จากเสียงแจ้งเตือนที่ดังเป็นระยะๆ คงจะส่งข้อความคุยกับใครสักคนอยู่
   “ฟ้า กูหาที่ให้มึงใช้ครัวได้แล้ว”
   “ที่ไหน?”
   “บ้านไอ้ที”
   หือ…
   “โทษทีนะไอ้ฝ้าย เหมือนกูจะได้ยินไม่ชัด ช่วยพูดอีกทีได้ไหม”
   “บ้านไอ้ทีไง”
   หูซ้าย…ปกติ
   หูขวา…ปกติ
   “หะ!?”
   “จู่ๆ อย่าเสียงดังดิ”
   “ทำไมถึงกลายเป็นบ้านไอ้ทีไปได้ล่ะ”
   “ก็ตอนนั้นเห็นไอ้ทีเล่าให้ฟังว่ามึงเคยไปทำข้าวต้มให้มันที่บ้าน เพราะงั้นถ้าเป็นบ้านไอ้ทีมึงจะคุ้นเคยดี”
   “แต่ไอ้ทีมันอาจจะไม่ว่างก็ได้นะมึง”
   “ไม่ต้องห่วง เมื่อกี้กูแชทไปถามแล้ว มันบอกว่าพรุ่งนี้ว่างทั้งวันเลย”
   “แต่ว่า…”
   “พวกมึงช่วยเงียบๆกันหน่อย… พวกมึงทำอะไรกันเนี่ย”
   ไนท์ที่เดินเข้ามาชะงักเล็กน้อยกับภาพตรงหน้าที่มีเด็กชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่มีเด็กสาวอีกสามคนกำลังนั่งคุกเข่ากันอยู่ที่พื้นทั้งๆที่มีเก้าอี้วางอยู่ ช่างเป็นภาพที่ดูพิกลยิ่งนักในสายตาของบุคคลภายนอก
   “ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ ก็แชทไปบอกมันนะ”
   “เดี๋ยวก่อนฝ้าย”
   เจ้าตัวไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดเลย พลางตอบข้อความส่งไปยังบุคคลที่ผมกำลังหนีหน้ามาตลอดทั้งอาทิตย์ สุดท้ายผมก็ต้องไปเจอมันอย่างช่วยไม่ได้ทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกแปลกประหลาดในจิตใจ หลังจบค่ายก็รู้สึกกระวนกระวาย รู้สึกเหมือนใจเต้นรัว แถมยังนึกถึงหน้าไอ้ทีอยู่บ่อยๆด้วย คิดว่าพอหลบหน้าก็น่าจะเป็นปกติ แต่มันกลับเปลี่ยนเป็นความเหงา และความคิดถึงบุคคลที่ผมพยายามเลี่ยงมา… ความรู้สึกที่ยังคงสับสนต่อเพื่อนสนิทคนนั้น

   
   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท   

   
** ตอนนี้เราเปิดเทอมแล้ว เพราะงั้นคงไม่ได้ลงนิยายถี่เท่าตอนปิดเทอม แต่จะพยายามมาลงให้ทุกวันจันทร์ กับวันศุกร์ (ถ้าไม่มีแปลว่าเราแต่งไม่ทันต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะ TwT)

** จะพยายามทำให้ได้ ขอบคุณที่ยังคอยติดตามกันอยู่นะคะ ^w^  by Yukimin

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 20 ฝึกพิเศษ
น่านฟ้า
   เอายังไงดีเนี่ย…
   ผมยืนวนเวียนอยู่หน้าบ้านที่คุ้นเคย บ้านหลังน้อยๆที่ไม่ได้แวะมาเป็นอาทิตย์ บ้านที่คิดว่าระยะนี้จะไม่แวะเข้ามา…บ้านไอ้ที
   เมื่อวานปุยฝ้ายก็ดันไปนัดตามอำเภอใจ อย่างน้อยก็ช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหมว่าคนเขากำลังหลบหน้าอยู่ ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะแต่ตอนที่ยังไม่เข้าใจตัวเองก็ขอหลบออกมาหน่อยได้ไหม
   …จะว่าไป คนอื่นก็เห็นพวกผมเป็นเพื่อนสนิทกัน จะมาบ้านกันก็ไม่แปลกนี้หว่า
   อ่า ช่างมันแล้ว ไอ้ฝ้ายยังมาไม่ถึงอีกรึไงนะ นี่มันก็จะเลยเวลานัดแล้ว อย่างน้อยถ้ามันอยู่ด้วยก็ยังพอทำใจเดินเข้าบ้านไปด้วยกันได้
   ตือดึ้ง อะพูดถึงปุ๊บก็ส่งข้อความมาแล้ว
   Puifai : ตอนนี้มึงอยู่ไหนแล้ว
   Naanfah : อยู่หน้าบ้านไอ้ทีแล้ว มึงอะอยู่ไหน
   Puifai : กูยังอยู่บ้านอยู่เลย วันนี้กูไปไม่ได้
   “หา!?”
   Naanfah : เดี๋ยวๆ ทำไมอะ
   Puifai : พอดีนุ่นมันไม่สบาย แถมบ้านไม่มีใครอยู่ กูก็เลยต้องอยู่เฝ้ามัน
   Naanfah : นุ่นไม่สบาย? เป็นอะไรอะ หนักรึเปล่า
   Puifai : เท่าที่ดูก็เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ไม่ต้องห่วงหรอก แต่วันนี้กูคงไปกับมึงไม่ได้นะ
   Naanfah : ไม่เป็นไร มึงเฝ้าไข้นุ่นไปเถอะ ส่วนเรื่องฝึกเดี๋ยวกูจะลองหาทางดู
   ก็ถือว่าโล่งอกที่สามารถหาข้ออ้างไปบอกไอ้ทีได้ว่านุ่นไม่สบาย เป็นห่วงก็เลยไม่ได้มาตามนัด เอาล่ะ เอาตามนั้นแล้วกันจะได้ไม่ต้องเข้าไปเจอหน้ากันด้วย รีบส่งข้อความไปหาแล้วรีบกลับดีกว่า
   “อ้าว พี่ฟ้าไม่ใช่เหรอ สวัสดีค่ะ”
   เด็กผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาหน้ารักสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นสบายๆ เปิดประตูบ้านออกมาพลางส่งเสียงทัก ผมที่กำลังจะพิมพ์ข้อความก็ต้องหยุดไว้ก่อนพลางหันไปตอบ
   “สวัสดี ข้าวฟ่าง”
   “หนูก็สงสัยอยู่ว่าใครมาป่วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้าน ที่แท้ก็พี่นี่เอง วันนี้มีธุระกับพี่เหรอคะ”
   “ปะ-”
   “ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็พี่คงยังนอนเป็นตายอยู่ในห้องอยู่เลย”
   “เปล่า มะ-”
   “อะ มายืนคุยกันคงลำบากถ้าอย่างนั้นเข้ามาข้างในก่อนเลยนะคะ”
   ช่วยฟังให้จบก่อนได้ไหมข้าวฟ่างงง…
   สาวเจ้าตัวพูดโดยไม่เว้นจังหวะให้ผมตอบคำถามที่เธอทิ้งเอาไว้ ก่อนที่จะลากผมเข้าไปในบ้าน พาผมมานั่งจ่อมอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนที่เจ้าตัวจะขอตัวขึ้นไปปลุกพี่ชาย
   “นี่คะน้ำส้ม”
   “ขอบคุณนะข้าวฟ่าง”
   “ไม่เป็นไรค่ะ ไอ้พี่ชายตอนนี้น่าจะกำลังไปอาบน้ำแต่งตัวอยู่ล่ะมั้ง นัดเพื่อนเอาไว้ส่วนตัวเองไปนอนเนี่ยใช่ไม่ได้เลย”
   “อย่าไปโกรธมันเลย พี่ต่างหากที่มารบกวนมันในวันหยุด”
   “ดีแล้วล่ะค่ะ จะได้หัดตื่นเช้าซะมั้ง ถ้าพี่ฟ้าไม่มากว่าพี่จะตื่นก็เลยเที่ยงนู่น หนูล่ะเบื่อ”
   “ฮะฮะ”
   “จะว่าไปพี่มาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า”
   “พอดีว่าพี่กับเพื่อนพี่จะนัดกันมาฝึกเตรียมสอบคหกรรมกันที่นี่”
   “อ่อ ที่จะสอบพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ ของหนูตัวนั้นไม่มีสอบเทอมนี้ก็เลยสบายไป”
   “ดีจังเลยนะ พี่ยังหวั่นๆกับวิชานี้อยู่เลย”
   “แต่พี่ฟ้าทำงานพวกเย็บปักเก่งไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าพี่ไม่ถนัดทำอาหาร”
   “ถ้าเรื่องงานเย็บปักกับงานฝีมือล่ะก็พี่มั่นใจอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมพอทำอาหารทีไรมันก็ไม่เคยรุ่งสักครั้ง”
   “ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
   “อืม ไม่อยู่ๆอาหารเปลี่ยนเป็นสีดำ ก็มีควันสีดำลอยออกมาจากเตาหรือไม่ก็ไม่โครเวฟ”
   “…ค่อนข้างหนักเลยนะคะนั้นน่ะ”
   เฮ้อ… ผมเอามือกุมหน้าผากตัวเองไปด้วยขณะบ่นให้กับรุ่นน้องที่นั่งอยู่ไม่ไกล
   “จะว่าไปพี่ฟ้ารู้จักนักก่อวินาศหกรรม [วินาศกรรม+คหกรรม] รึเปล่าคะ”
   “วินาศ… อะไรนะ?”
   “วินาศหกรรมค่ะ เป็นข่าวลือที่ดังมากในชั้นม.4 เลยนะคะ ว่ากันว่ามีใครบางคนที่จงใจก่อวินาศกรรมกลางห้องคหกรรมแทบจะทุกคาบเลยไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนอาหารเป็นอาวุธกระแทก หรือสร้างระเบิดจากเตาแก๊ส ข่มขู่คุณครู แถมยังเคยคิดจะวางเพลิงห้องคหกรรมอีก”
   “มะ- ไม่รู้จักหรอกนะ… ก็แค่ข่าวลือไม่มีมูลล่ะมั้ง”
   “นั้นสินะคะ ใครจะไปทำเรื่องแบบนั้นในห้องคหกรรมกันได้ อย่างน้อยถึงจะทำอาหารห่วยแค่ไหนก็ไม่น่าจะถึงขั้นนั้นได้เนอะพี่ฟ้า คงจะเป็นแค่ข่าวลืออย่างที่พี่บอก”
   “อืม… นั้นสินะ ฮะฮะ”
   บอกไม่ได้เด็ดขาด… ว่าเรื่องทั้งหมดที่ข้าวฟ่างพูดขึ้นมานั้นเป็นวีรกรรมทั้งหมดของผมตอนม.4 เลย ตอนนั้นผมก็ยังเป็นเด็กหนุ่มใสๆชอบการทำอาหาร แต่พอเข้าคาบแรกไปปุ๊บจากใสๆกลายเป็นดำเมี่ยม… อาหารในมือเนี่ยแหละดำเมี่ยมพร้อมกับหม้อและเตา จนโดนครูคหกรรมหมายหัวตั้งแต่คาบแรก
   “จะว่าไปข้าวฟ่างไปได้ยินข่าวลือมาจากไหนเหรอ”
   “อ่อจากนุ่นน่ะค่ะ เห็นว่าได้ยินมาจากพี่สาวอีกที”
   โอเค รู้ไอ้คนปล่อยข่าวลือแล้ว… ไว้หลังจากนี้ค่อยไปคิดบัญชีกันทีหลังแล้วกัน เอาเป็นหนังสือเรียนก็แล้วกัน
   “พูดถึงนุ่นแล้วข้าวฟ่างรู้หรือเปล่าว่า นุ่นเป็นหวัด”
   “หวัด? ไม่นะคะ แปลกจังเมื่อกี้หนูก็โทรศัพท์คุยกับนุ่นอยู่ก็ยังอาการปกติอยู่ เสียงก็ยังดีอยู่นะคะ”
   “อ้าว แต่เมื่อกี้พี่ทักไปถามพี่สาวของนุ่นแล้ว เห็นบอกว่านุ่นเป็นหวัดนะ”
   ผมพูดพร้อมกับโชว์ประวัติการแชทของผมกับปุยฝ้ายให้ข้าวฟ่างดู
   “เหรอคะ แต่ว่าเมื่อกี้นุ่นพึ่งส่งภาพมาให้หนูเองนะ นี่ไงคะ”
   ข้าวฟ่างยื่นมือถือมาให้ผม ที่มีภาพหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับคนตรงหน้าพร้อมกับข้อความ ‘เบื่ออ่านหนังสือแล้วอะฟ่าง อยากดูซีรี่ย์แต่แล้ว’
   โอเค… เตรียมเพิ่มบทลงโทษให้กับไอ้คุณพี่สาวที่ริอาจจะยัดเยียดไข้หวัดให้น้องสาวแถมยังบังอาจปล่อยผมทิ้งไว้คนเดียว โทษของมันเอาเป็นสารานุกรมมารยาทหญิงที่ควรพึ่งปฏิบัติเล่มหนาพิเศษฉบับบิ๊กไซค์แล้วกัน
   “จะว่าไปทั้งข้าวฟ่างอยู่กับทีแค่สองคนเองเหรอ แล้วพวกน้าจันทร์ล่ะ”
   “ค่ะ คุณแม่กับคุณพ่อเขาออกไปทำงานต่างจังหวัด นานๆทีจะกลับ”
   “งั้นก็เหมือนกับพ่อแม่พี่เลยเนอะ”
   “แหม ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนก็ต้องเหมือนกันสิค่ะถึงจะเป็นเพื่อนกันได้”
   พวกเราสองคนนั่งแซวเหล่าพ่อๆแม่ๆกันอย่างสนุกปาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ชอบจะไปทำงานกันจนทิ้งไว้แต่พี่น้องสองคน หรือแม้กระทั่งตอนเด็กๆที่พวกเราเล่นกันบ่อยๆ ถึงแม้ผมจะเล่นกับทีมากกว่าแต่ก็เคยเล่นกับข้าวฟ่างอยู่บ้าง
   “จะว่าไปไอ้พี่ชายตัวดี กลับไปนอนตายอยู่หรือไงกันนะ ไม่ลงมาสักที”
   “เอาน่าๆ ทีมันคงกำลังเตรียมตัวอยู่ อย่าไปรีบนักเลย”
   “แต่ปล่อยให้เพื่อนมานั่งรอก็ใช่ไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ… จะว่าไปพวกพี่เป็นยังไงกันบ้างคะ”
   “หือ เรื่องอะไรเหรอ” ผมยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่ม
   “ชอบพี่รึเปล่าคะ?”
   แทบจะสำลักน้ำส้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำถาม แต่โชคดีที่กลั้นกลืนกลับเข้าไปได้ก่อน
   “ถะ-ถามอะไรเนี่ย ข้าวฟ่าง พะ-พี่ไม่ได้คิดกับมันแบบนั้นซะหน่อย”
   “… หนูแค่ถามว่าชอบพี่ทีตรงไหนถึงได้มาเป็นเพื่อนกันต่างหากล่ะคะ ไม่เห็นต้องลนลานขนาดนั้นเลยนี่คะ”
   “อ้าวอย่างนั้นหรอกเหรอ”
สงสัยผมจะฟังผิดไปเอง ไม่น่าตระหนกไปก่อนเลยเรา แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อกี้เหมือนเห็นข้าวฟ่างยิ้มๆอยู่หน่อยๆหรือผมจะตาฝาดไปเองกันนะ
   “งั้นหนูถามใหม่แล้วกัน พี่ฟ้าชอบพี่ตรงไหนเหรอคะ ถึงมาเป็นเพื่อนกันได้เนี่ย หนูไม่เห็นจะเห็นของดีของไอ้พี่เลย”
   “เอ๊ะ…ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมตะลึงกับคำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปของเด็กสาวตรงหน้าที่เริ่มหยาบคายขึ้นเมื่อกล่าวถึงพี่ชายของตัวเอง
   “ใช่ค่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย ตอนหนูดูซีรี่ย์ก็ชอบมาขัดคอ ตอนกำลังอ่านหนังสือก็ชอบมากวน แถมชอบถามนู่นถามนี่อยู่ได้น่ารำคาญ ที่สำคัญที่สุดก็ชอบกวนตรีนหนูอยู่นั้นแหละ!!! หนูยักจะเห็นข้อดีเลย” ปะ-เป็นเอามากเลยนะ ไอ้ทีมันไปทำอะไรกับข้าวฟ่าง ถึงขนาดทำให้เธอเป็นถึงขนาดนี้ได้เนี่ย
   “ที่มันถามไปแบบนั้นก็เพราะอาจจะเป็นห่วงข้าวฟ่างก็ได้นะ แล้วก็ข้อดีของไอ้ทีมันก็มีเยอะอยู่นะ เป็นพวกเอาใจใส่ ชอบช่วยเหลือคนอื่น คิดถึงหัวอกของคนอื่นเสมอ…”
   ผมนึกภาพของมันตามไปตั้งแต่ตอนเปิดเทอม ตอนที่เจอกันใหม่ๆ มันยังเป็นเหมือนกับตอนที่พวกเราสนิทกันสมัยเด็กๆ ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากันติดอีกรึเปล่า แต่พอกลับมารู้จักกันอีกครั้งทุกวันนี้ก็สนุกกว่าเดิมเหมือนบรรยากาศเก่าๆมันกลับมา มันทำให้รู้สึกดีใจ มีความสุขมากกว่าที่เคย
   “นอกจากนี้เวลาที่พี่กำลังลำบากมันก็เป็นคนแรกที่โผล่มาปลอบ โผล่มาให้กำลังใจ มันทำให้พี่รู้สึกโล่งใจ รู้สึกปลอดภัยที่มีมันอยู่ข้างๆ รู้สึกสบายใจยิ่งกว่าอยู่กับคนอื่น เพราะงั้นมันก็เลยเป็นคนสำคัญของพี่เลยล่ะนะ”
   “เห… คนสำคัญเหรอคะ”
   “พะ-พี่หมายถึงเพื่อนน่ะ เป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญมากสำหรับพี่เลยล่ะ”
   “เหรอคะ…”
   “นินทาอะไรกัน เสียงดังไปถึงชั้นสองเลยนะ”
   เสียงทีเรียกความสนใจของพวกเราสองคนให้หันไปมองยังบันไดที่มันกำลังค่อยๆก้าวลงมา ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะ
   “เปล่าสักหน่อย แค่กำลังคุยกันเรื่องที่พี่ฟ้าคิดกับพี่แบบเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง”
   ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกว่าข้าวฟ่างจะเน้นเสียงตรงคำว่าเพื่อนสนิทเป็นพิเศษ พอทีได้ยินก็กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
   “พอเลยไปๆ กลับไปดูซีรง ซีรี่ย์อะไรก็ดูไป ชิ้วๆ”
   “โห่ พอมาถึงก็ไล่เลยนะ เชอะไปก็ได้…งั้นพี่ฟ้าหนูไปดูโอปป้าต่อแล้วนะคะ”
   “อืม” โอปป้า?
   เด็กสาวมุ่งหน้าขึ้นบันได ตรงไปยังห้องของเธอที่อยู่ชั้นสอง ปล่อยให้ผมอยู่เจ้าของบ้านร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงวอร์มถึงจะเป็นชุดธรรมดาๆ แต่พอมันใส่แล้วก็รู้สึกดูดีขึ้นมา จนละสายตาไปไม่ได้
   “มานานยัง”
   “อะ-อืม ก็สักพักแล้ว”
   “โทษทีพอดีเมื่อคืนติดเกมส์ไปหน่อย เลยเล่นยาวกว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสองนู่น”
   “เสียสุขภาพนะมึง”
   “ทำไงได้อะ ก็มันสนุกนี่หว่าวันหลังมึงมาเล่นกับกูไหม จะได้ครบตี้ด้วย”
   “ไม่เอา กูไม่อยากเป็นเด็กติดเกมส์”
   “ว่ากูติดเกมส์อ่อ”
   “เออ ก็เล่นจนดึกดื่นไหมล่ะมึง นี่ก็ใกล้สอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือหน่อย”
   “งั้นอยากให้กูเลิกไหมล่ะ”
   “เออ”
   “งั้นก็ต้องหาอยากอื่นมาให้กูติดก่อน…”
   “หา? เป็นคนติดยารึไงมึง ที่ต้องหาอย่างอื่นมาให้ติดแทนถึงจะเลิกยาได้ กูพึ่งรู้นะเนี่ยว่าติดเกมส์ก็เป็นเหมือนกัน”
   “ก็คล้ายๆกันแหละ แต่มึงรู้ไหมว่ากูต้องติดอะไรถึงจะเลิกติดเกมส์แถมตั้งใจเรียนขึ้นด้วย”
   “อะไร?”
   “ติดมึงไง”
   ในจังหวะนั้นมันก็เริ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนสายตาของเราประสานกัน รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายแต่ร่างสูงก็ยังไม่หยุดจนหน้าใกล้เข้ามามากขึ้น ริมฝีปากของพวกเราห่างกันไม่ถึงนิ้ว ผมจึงรีบปิดเปลือกตาพลางก้มหน้าลงจนคางชิดกับหน้าอก แต่รออยู่สักพักก็ไม่มีเสียงและสัมผัสอะไรเกิดขึ้น ผมจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับเอ่ยชื่อออกมา
   “…ที”
   หมับ… สัมผัสอุ่นๆที่แก้มปรากฏขึ้นมา แต่หลังจากนั้นสักพักก็มีความรู้สึกเจ็บแปล๊บปรากฏขึ้นที่แก้มแทน
   “อื้อๆ” แก้มของผมถูกดึงยืดด้วยฝีมือของคนร้ายตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังยิ้มอย่างพึ่งพอใจในขณะที่สองมือกำลังขย้ำแก้มของผมไปพลาง
   “ว่าแล้วเชียวว่ามึงเนี่ยแหละ น่าติดที่สุดแล้ว เล่นสนุกกว่าเกมส์เยอะเลย”
   “ไอ้เหี้ยที กูไม่ใช่ของเล่นไหม” ผมพูดพลางปัดมือหนาๆออกไป
   “อย่าใจร้ายอย่างนั้นดิขอกูขย้ำมึงเล่นต่อก่อน” นอกจากจะไม่เลิกแล้วมันยังหนักขึ้นไปอีก ตอนนี้มันดึงผมให้ขึ้นไปนั่งบนตักของมัน แถมมันยังใช้มือสองข้างโอบเอวของผมไว้เอาหน้าถูไถกับคอของผมจนขยับไปไหนไม่ได้
   “ไอ้เหี้ยที ปล่อยกู”
   “…” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก…
   “ไอ้ที”
   “…” กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งหลังเสียงสัญญาณค่ะ… ตรู๊ด ตรู๊ด
   “นี่!!! กูบอกให้ปล่อย”
   “ไม่เอา กูขอน้วยมึงให้หายคิดถึงก่อน มึงหลบหน้ากูมาเป็นอาทิตย์แล้วนิ…”
   “…” ผมชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ผมจึงไม่ได้ออกแรงขัดขืนตอบได้แต่เพียงอยู่นิ่งๆฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
   “ทำไมอยู่ๆ ก็หลบหน้ากูแบบนี้ล่ะ กูเผลอไปทำอะไรให้มึงไม่ชอบเหรอ”
   “เปล่า มึงไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมเนี่ยแหละที่เผลอพูดไปเอง แถมยังทำใจเองไม่ได้
   “ถ้างั้นอยู่ๆก็อย่าหลบหน้ากันแบบนี้ดิ กูไม่ชอบ มันเหมือนกับตอนที่กูย้ายออกไปเลย ตอนนั้นกูเหงามากเลยนะ”
   ถึงผมจะมองไม่เห็นหน้าของมันแต่ผมก็พอจะเดาได้จากน้ำเสียง เพราะตอนนี้น้ำเสียงของมันฟังดูเศร้าไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนอย่างปกติ
   “อย่าหนีหน้ากันแบบนี้อีกนะรู้ไหม กูไม่ชอบ”
   “อืม ขอโทษ”
   “เออ จำเอาไว้วันหลังอย่าทำอีก”
   “ครับๆ”
   บริเวณต้นคอสัมผัสได้ถึงเส้นผมเล็กๆเสียดสีกับผิวหนังไปมา พร้อมกับแรงกอดรัดที่เพิ่มขึ้นบริเวณเอว ผมยอมให้ร่างสูงกอดอยู่อย่างนั้นเพราะเรื่องนี้ผมก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ไม่นึกว่ามันจะเหงาขนาดนี้ ผมรู้สึกเห็นใจว่ามันคงจะคิดถึงผมจริงๆขนาดผมยังคิดถึงมันเลยตลอดทั้งอาทิตย์นี้
   แต่แล้วความรู้สึกเห็นใจของผมก็พังทลายไปด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากของมันในวินาทีต่อมา
   “มึงต้องชดใช้ด้วยการให้กูน้วยตลอดทั้งวันเลย นี่แน่ะๆ”
   ไม่พูดเปล่ามันเริ่มความเร็วในการถูไถบริเวณต้นคอของผม จนเส้นผมของมันเสียดสีเร็วขึ้นจนทำผมรู้สึกจั๊กจี้ ความรู้สึกเหมือนกับคุณแม่ที่ออกไปทำงานต่างจังหวัดมาหลายวัน พอกลับมาบ้านก็เจอลูก(ตัวเท่าควาย)มากอดคิดถึง…เอ๊ะเดียวทำไมผมถึงจินตนาการว่าเป็นแม่ล่ะ
   “เดี๋ยว…ไอ้ที…กูหายใจไม่ออก…ปล่อยก่อน”
   ผมเริ่มจะหายใจไม่ทัน เสียงที่ออกไปจึงมีเสียงหอบและเสียงหัวเราะปะปนออกไปด้วย แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมหยุดมือเหมือนกับไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดออกไป
   แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาหนึ่งคู่ที่จับจ้องมาทางนี้ พอหันไปก็พบกับเด็กสาวที่น่าจะกำลังสนุกกับโอปป้าอยู่ในห้องกำลังยืนอยู่บนบันได
   “อ๊ะ… ขอโทษค่ะ พอดีหนูหิวน้ำเลยลงมา ไม่ได้ตั้งใจจะขัดนะคะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญต่อตามสบายได้เลยค่ะ”
   “ดะ-เดี๋ยวก่อน ข้าวฟ่างมันไม่ใช่อย่างนั้น!!!”
   เด็กสาวเดินขึ้นห้องไปอย่างสบายใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นอกจากไม่คิดจะห้ามพี่ชายตัวเองแล้วยังปล่อยให้พี่ชายมาลวนลามเพื่อน(?) ในบ้านของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
   และแล้วผมก็ถูกผู้ต้องหานทีล้วงละเมิดทางร่างกาย โดยมีข้าวฟ่างเป็นพยานที่ไม่คิดจะเข้ามาห้าม ส่งผลให้ผมไม่อาจจะเหลือแรงมาฝึกทำอาหารได้ ผลสุดท้ายผมก็ต้องมาเรียนซ่อมเสริมวิชาคหกรรมได้ตามระเบียบ…

   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท
   
   
 
   

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 21 การแสดงออกทางความรัก
นที
   บรรยากาศคร่ำเคร่งถาโถมเข้ามาภายในห้องเรียน ช่วงเวลาทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกัน ขนาดเหล่ากลุ่มนักเรียนหลังห้องที่ปกติเอาแต่เล่นเสียงดังก็สงบเสงี่ยมลงมาเยอะด้วยการหลับคาหนังสือทำให้เหล่าเด็กหน้าห้องมีสมาธิกับการเรียนขึ้นมาเยอะกว่าเดิม ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกผมก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทบทวนกัน
   “อืม… ข้อนี้มันทำยังไงวะ ไนท์” ผมยื่นหนังสือเรียนเลขให้ไนท์ที่นั่งข้างๆ
   “ไหน… ข้อนี้มึงทำถูกแล้ว แต่มึงคิดเลขผิด”
   “เออวะ แต้งกิ้ว”
   “ไนท์ แล้วข้อนี้ล่ะวะ”
   “…ไอ้วิน มึงทำผิดตั้งแต่โจทย์แล้ว โจทย์มันบอกว่า 5 มึงไปใช้ 9 มึงคงจะได้คำตอบ”
   “ก็กูเบลอนี่หว่า เบื่ออ่านหนังสือแล้ว”
   “มึงยังอ่านเลขไม่จบเลยไม่ใช่หรือไง อย่ามาบ่นรำคาญ มึงดูไอ้ทีซะบ้าง นั่งอ่านเงียบๆไม่บ่นอะไร”
   “เหอะ มันก็แค่สร้างภาพล่ะเปิดหนังสือไว้งั้นแหละ”
   “อ้าวพูดงี้เดี๋ยวโดนนะ อีกอย่างคะแนนกูก็มากกว่ามึงด้วย”
   “โด่วคะแนนมึงก็มากกว่ากูไม่ได้เยอะนักหรอกอย่ามาทำเป็นพูด”
   “พวกมึงสองคน ก็เลิกเถียงกันแล้วกลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว ไม่ต้องเอาคะแนนแค่นั้นมาข่มกันหรอก”
   “จ้าพ่อคนเก่งติดท๊อปห้าของชั้น”
   “ไม่เถียง”
   “หนอย น่าหมั่นไส้”
   “เอ้าๆ อย่ามัวแต่คุยกัน กูอุตส่าห์สละเวลาแสนมีค่าของกูมาติวให้เลยนะ หัดสำนึกซะบ้าง”
   “คร้าบๆ”
   “จะว่าไปที”
   “หืม?”
   “มึงไปมีเรื่องอะไรกับไอ้ฟ้าอีกเนี่ย เรื่องหลังจากเข้าค่ายก็รู้สึกว่าจะเคลียร์กันแล้ว แต่ตอนที่มันมาร้านกูคราวก่อนพอกูพูดถึงมึง มันก็ทำหน้าตาซะหน้ากลัวเลย”
   “ก็ไม่มีอะไร…แค่นิดนึงมั้ง”
   นิดนึงจริงๆนะ… แค่เผลอน้วยมันส์ไปหน่อย ทำให้มันไม่ได้ฝึกเตรียมสอบจนมันต้องเรียนซ่อมทำเอาผมรู้สึกผิดเลยแต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็ใครใช้ให้มันทำหน้าน่ารักตอนน้วยล่ะ ทำเอาอยากเข้าไปเล่นต่อเลยเวลาที่แกล้งแล้วหน้ามันแดงขึ้น เป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจ
   “เฮ้อ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป ขี้เกียจซัก”
   “อ้าวไม่ซักต่อเหรอวะ กูอุตส่าห์รอดูอะไรมันส์ๆ”
   “ไอ้วินมึงกลับไปอ่านหนังสือต่อเลยไป”
   “ชิ”
   ช่วงนี้เป็นช่วงที่ห้องสมุดคนจะแน่นเป็นพิเศษทำให้พวกเราเลือกใช้ห้องเรียนเป็นที่อ่านหนังสือแทน ถึงจะมีนักเรียนบางส่วนกลับไปอ่านหนังสือที่บ้าน แต่ก็ยังมีนักเรียนบางส่วนจับกลุ่มกันอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทำให้อาจจะมีเสียงดังขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไปอึดอัดกันในห้องสมุด
   “ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวกูไปที่ร้านก่อนนะ”
   “ช่วงสอบก็ยังไปช่วยงานที่ร้านอีกเหรอ”
   ผมหันไปถามไนท์ที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า
   “อือ ช่วงเย็นคนค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่ไปช่วยเดี๋ยวเสิร์ฟกันไม่ทัน”
   “เหนื่อยแย่เลยนะ พยายามเข้าล่ะ”
   “อืม งั้นกูไปละ พวกมึงพยายามเข้าล่ะ อย่างน้อยก็เอาให้คาบเส้นก็แล้วกัน”
   “รอวันที่กูได้คะแนนเยอะกว่ามึงแล้วกัน เดี๋ยวกูจะข่มมึงกลับ”
   “ครับๆ กูรอวันนั้นอยู่นะวิน”
   พูดจบไนท์ก็รีบเดินออกจากห้องไปก่อนที่จะต่อปากต่อคำกับเพื่อนสุดแสนจะกวนตีนที่ตอนนี้พยายามจะพูดด่ากลับไปแต่ก็ไม่ทันจึงได้แต่ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับกลับลงมานั่งที่เดิม
   “แล้วมึงจะเอายังไงต่อไอ้ที จะอ่านหนังสือต่อไหม”
   “ไม่รู้ดิ จริงๆกูก็อยากจะอ่านหนังสือต่อแต่มันติดปัญหานิดหน่อย”
   “ปัญหาไรวะ?”
   “ไอ้วิชาที่เหลือมันคือวิทย์น่ะสิ”
   “…เออปัญหาจริง ปัญหาใหญ่ด้วย”
   วิทย์เป็นวิชาที่ผมอ่อนที่สุดในวิชาสามัญทั้งหมด ขนาดคราวที่แล้วไอ้ไนท์ติวให้ยังเกือบตกเลย นี้ถ้าอ่านเองคงไม่แม้จะถึงครึ่ง ตกแน่นอน คนที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย อย่างเช่น ไอ้วินเป็นต้น
   “งั้นมึงก็ให้ไอ้ฟ้าติวให้ดิ”
   “กูก็อยากอยู่ แต่นั้นก็ติดปัญหาอีกเหมือนกัน”
   “ปัญหาอะไรเยอะแยะอีกวะมึง คราวนี้มีอะไรอีก?”
   ผมได้แต่ถอนหายใจพลางเล่าวีรกรรมที่ผมชำเราร่างกายของเพื่อนสนิทจนทำมันงอนไม่ยอมคุยด้วยให้กับวินฟัง จนวินถึงกับถอนหายใจยาวเหยียด
   “มึงเนี่ยนะ กูพูดได้คำเดียวสั้นๆเลย สมควรแล้วแหละมึง!!”
   “…”
   “ไม่โดนไอ้ฟ้าเตะก้านคอตายก็บุญแล้ว”
   “ถึงเตะไปมันก็เตะคอกูไม่ถึงหรอกขามันสั้น”
   “เดี๋ยวกูเอาไปฟ้องมันแน่”
   “กูแค่พูดล้อเล่น มึงอย่าไปราดน้ำมันเพิ่มดิ”
   “กูก็รู้นะว่ามึงมันเป็นพวกติดเพื่อน แต่ไม่คิดว่าจะติดขนาดนั้น”
   “ก็ตอนนั้นกูลืมตัวนี้หว่าใครจะไปหยุดได้ล่ะ ก็มันเล่นทำตัวน่ารักซะขนาดนั้น”
   “หือ…มึงยังเป็นเพื่อนสนิทกับมันใช่ไหมเนี่ย”
   “เออดิ ทำไม”
   “แต่เขาไม่ชมเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายว่าน่ารักกันหรอกนะครับ คุณนที แน่ใจเหรอว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทกันจริงๆ ไม่ได้เป็นมากกว่านั้น หืม หืม” วินพูดขึ้นพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก
   “…”
   “เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าจริง”
   “…อือ”
   “เชี้ย!! ได้ไงวะ ตอนไหน ทำไมกูไม่เห็นรู้เลย”
   ไอ้วินตะโกนเสียงดังทำให้สายตาของคนทั้งห้องรุมมองมาทางพวกผมกันยกใหญ่
   “ไอ้เหี้ยวินมึงจะตะโกนหาอะไรวะ”
   “ก็กูตกใจนี่หว่า กูแค่ถามหยอกมึงได้เล่นๆ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นจริงล่ะวะ แล้วนี่มึงคิดกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
   “ไม่รู้ดิ รู้ตัวอีกทีก็เป็นไปแล้ว” ตอนกลับมาเจอกันก็แค่รู้สึกดีใจ แต่พอเจอกันไปเจอกันมาความรู้สึกมันก็ดันพัฒนาไปมากกว่าเพื่อน
   “เหยด เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อว่ะ”
   “เงียบปากไปเลยไอ้วิน”
   “แล้วเป็นไงคิดว่าไอ้ฟ้ามีแนวโน้มจะคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนปะ”
   “…ไม่รู้ดิ แต่กูคิดว่าไม่ว่ะ”
   “ทำไมคิดอย่างงั้นวะ”
   “มึงรู้จักน้องกูมะ”
   “ข้าวฟ่างใช่ปะ? ชื่อนี่ป่าววะ”
   “เออชื่อนั้นแหละ มันรู้แล้วว่ากูคิดอย่างนั้นกับไอ้ฟ้า”
   “อ้าวมึงไปบอกกับน้องเองเลยเหรอ”
   “ไม่ใช่เว้ยใครจะกล้าบอกล่ะวะ มันจับได้เองต่างหาก น้องกูแม่งเซ้นส์โคตรดี บอกว่าเห็นอาการกูก็รู้เลยว่าเป็นคนมีความรัก มันเลยเข้ามาถาม”
   ผมอยากรู้จริงๆว่าไอ้อาการคนมีความรักเนี่ยมันเป็นยังไง
   “น้องมึงแม่งเจ๋งดีว่ะ แล้วยังไงต่อ”
   “แล้วทีนี่ตอนที่ไอ้ฟ้ามันมาบ้านกูคราวก่อน น้องกูแม่งไปถามว่ามันคิดยังไงกับกู”
   “แล้ว…”
   “ไอ้ฟ้าตอบมาว่ากูเป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญมาก…”
   “…”
   “แถมไอ้น้องกูแม่งย้ำคำว่าเพื่อนสนิทๆอยู่นั้นแหละ คิดแล้วก็อยากถีบให้ตกบันไดไปเลย”
   “แล้วมึงจะยอมแพ้เหรอวะ”
   “ไม่อะ”
   “งั้นมึงก็อย่าไปคิดมากดิวะ ไอ้ฟ้าตอบอย่างนั้นมันก็เป็นปกติของเพื่อนกันอยู่แล้ว พ่อกูบอกว่าความรู้สึกดีๆมันเกิดจากความสนิทสนม ความใกล้ชิด แล้วก็ความคล้ายคลึง มึงมีสามอย่างนี้แล้วก็แค่พยายามรุกให้หนักเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนเป็นความรักเอง”
   “มาเป็นวิชาการเชียวนะมึง แต่ก็…ขอบใจนะเว้ย”
   “เออ มีอะไรมาปรึกษาได้ ถึงเรื่องเรียนพี่จะไม่เชี่ยวแต่เรื่องจีบคนนี่ขอให้บอก”
   “แต่ได้ข่าวว่ามึงไม่เคยมีแฟนนะ แถมจีบใครไม่เคยติด”
   “ไอ้ทีกูอุตส่าห์จะพูดปิดให้เท่ๆ”
   
น่านฟ้า
   ติ๊ง เสียงข้อความเข้าในมือถือเรียกความสนใจของผม แต่ทันทีที่ผมเห็นว่ามาจากใครเท่านั้นคิ้วก็เริ่มขมวดเข้ามาใกล้กันจนแพรวที่นั่งข้างๆยังสงสัย
“เป็นไรวะทำหน้าบึ่งเชียว ไม่พอใจเรื่องที่ต้องเรียนเสริมรึไง”
“เออ เรื่องนั้นแหละ”
“อย่าไปคิดมากน่ามึง เรียนเสริมแค่อาทิตย์เดียวเองไม่เปลืองเวลาปิดเทอมสักหน่อย”
   “กูไม่ได้เครียดเรื่องที่ต้องมาเรียนเสริม”
   แต่ประเด็นของผมคือเจ้าตัวคนส่งข้อความ ผู้ต้องหาเดียวกับคดีชำเราร่างกายเป็นเหตุให้ผมต้องเรียนเสริมคหกรรมช่วงปิดเทอม
   ติ้ง ติ้ง ติ้ง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายชวนเรียกความเดือดดาลขึ้นมาบนใบหน้า
   ปิดแม่ม…
   “ไอ้ทีส่งมาล่ะสิท่า”
   “เออ ไม่รู้จะส่งอะไรมานักหนา”
   “เรื่องคราวก่อนก็เคลียร์กันไปแล้วไม่ใช่เหรอมึง คราวนี้ทะเลาะอะไรกันอีก”
   “ก็เรื่องที่ไอ้ทีมันเล่นกอดไอ้ฟ้าไม่ปล่อยจนไอ้ฟ้าไม่ได้ฝึกเลยไง มันถึงได้ตกอย่างนี้”
   “ฝ้าย แกไม่ได้อยู่ไม่ใช่เหรอรู้ได้ยังไง” ตอนนั้นปุยฝ้ายไม่ได้ไปกับผมด้วยมันไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ได้ แต่…รู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ
   “กูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอก แต่กูได้ยินมาจากนุ่นซึ่งนุ่นมันได้ยินมาจากข้าวฟ่างอีกที”
   อ่อวว นึกออกแล้วว
   “ใช่ มึงไม่ได้ไปเพราะผิดนัดกูนี้เนอะ”
   สารานุกรมเล่มหนาที่ผมพึ่งจะเดินไปหยิบมาจากชั้นหนังสือกำลังสั่น
   “ไม่ๆ ตอนนั้นนุ่นมันป่วยจริงๆนะ วะ-วางไอ้นั้นลงก่อนเถอะนะ”
   “กูไม่ได้อยู่ที่บ้านมึงตอนนั้น แต่กูก็ได้ยินมาจากข้าวฟ่างเหมือนกันนะ ซึ่งข้าวฟ่างก็ได้ยินมาจากนุ่น อีกทีว่านุ่นสบายดี”
   “…”
   “มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
   “ไม่ค่ะ… แต่ช่วยวางไอ้นั้นลงไปก่อนเถอะ ถ้าโดนไอ้นั้นกูช๊อคตายแน่”
   เฮ้อ… ผมถอนหายใจพลางวางสารานุกรมเล่มเดิมลงบนโต๊ะพลางนั่งเท้าคางแล้วมองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้กำลังทำตัวดี๊ด๊าอย่างเบื่อหน่าย
   “สวัสดีค่ะพี่ฟ้า”
   เสียงสดใสเรียกให้ผมหันไปหาก็พบกับเด็กสาวสองคนในเครื่องแบบนักเรียนถูกระเบียบ
   “อ้าว ข้าวฟ่างมาอ่านหนังสือเหมือนกัน”
   “ค่ะ ช่วงนี้ต้องฟิตหน่อย”
   “นุ่นก็มาด้วยกันเหรอ”
   “ค่ะ สวัสดีค่ะพี่ฟ้า”
   เด็กสาวท่าทางเรียบร้อยวางหนังสือที่ตนถือมาลงบนโต๊ะก่อนจะทำท่าไหว้ ผมจึงรีบทำท่าห้ามพลางบอกปัดไป ผมเป็นพวกไม่ถือเรื่องนี้อยู่แล้วผมเป็นพวกชอบไหว้ผู้มีอาวุโสกว่า ส่วนคนที่อาวุโสน้อยกว่าไม่ต้องไหว้หรอก
   แต่นุ่นก็ยังคะยั้นคะยออยากจะไหว้อยู่ดีผมก็เลยต้องจำใจให้เธอทำตามที่เธอต้องการ ปุยนุ่นเป็นนักเรียนดีเด่นแถมได้รางวัลมารยาทดีงามด้วยแตกต่างจากพี่สาวที่ตอนนี้ยังทำตัวดี๊ด๊าไม่เลิก รู้งี้ฝาดสั่งสอนไปสักเปรี้ยงน่าจะดีกว่า
   “อ้าวนุ่นมาอ่านหนังสือด้วยเหรอ มานั่งตรงนี้สิ มามะๆ”
   น้องสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปนั่งข้างผู้เป็นพี่สาว ในขณะที่เด็กสาวอีกคนชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆผมก่อนจะเอ่ยปากถาม
   “หนูนั่งตรงนี้ได้ไหมคะ”   
   “อ่อ เชิญเลยๆ”
   “ข้าวฟ่างวันนี้มาอ่านวิชาอะไรเหรอ”
   “วิทย์ค่ะ หนูไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่เลย”
   “งั้นเดี๋ยวพี่สอนให้เอาไหม”
   “จะดีเหรอคะ”
   “อืม ไม่เป็นไรหรอก ปกติพี่ก็สอนเพื่อนพี่เป็นประจำอยู่แล้ว หรือว่าเราอ่านเองจะดีกว่า”
   “ไม่หรอกค่ะ ปกติหนูก็ให้นุ่นช่วยสอนให้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้นุ่นมันก็ไม่น่าจะว่าง…”
   ผมมองตามไปยังทางที่ข้าวฟ่างกำลังจ้องอยู่ก็พบกับปุยนุ่นที่กำลังติวหนังสือให้กับปุยฝ้ายอย่างขะมักเขม้น ช่างเป็นภาพที่น่าดูจริงๆที่สองพี่น้องช่วยกันติวหนังสือให้เนี่ย… ถ้าไม่ติดที่ว่าเป็นน้องสาวกำลังติวหนังสือให้พี่สาวอยู่ล่ะก็
   “ถ้าพี่สอนให้จะดีมากเลยล่ะค่ะ ได้ไหมคะ”
   “ได้สิ สงสัยตรงไหนก็ถามได้เลยนะ”
   “ถ้างั้นก็ตรงนี้…”
   ข้าวฟ่างพูดขึ้นพลางเปิดหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
   พวกเราสองคนนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดกันอยู่นาน โดยผมก็อ่านหนังสือสอบในส่วนของตัวเองไป ในขณะที่ข้าวฟ่างก็มักจะถามคำถามที่ตนเองไม่เข้าใจเป็นระยะๆ เท่าที่ดูแล้วข้าวฟ่างพื้นฐานค่อนข้างจะดี แต่ติดตรงที่ไม่ค่อยจะเข้าใจในเรื่องศัพท์วิทย์กับคำถามที่ซับซ้อน ผมเลยแนะนำตรงจุดนั้นไป หลังจากที่เธอลองแก้โจทย์หลังจากทำตามที่ผมแนะนำ เธอก็ทำตาเป็นประกายพลางหันมาขอบคุณผมใหญ่เลย ภาพที่เห็นทำเอาผมยิ้มตามไปด้วย น่ารักดีจัง ถ้ามีน้องสาวก็คงจะอารมณ์ประมาณนี้
   ตรูด ตรูด
   “อะ ขอโทษนะคะ หนูขอออกไปคุยโทรศัพท์หน่อย”
   ผมไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าเป็นสัญญาณตอบรับ ข้าวฟ่างเห็นดังนั้นเดินออกไปนอกห้องสมุด
   “แหมๆ สอนรุ่นน้องไปพลาง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปพลางเลยนะ”
   “ไม่มีอะไรสักหน่อยฝ้าย ก็แค่สอนรุ่นน้อง”
   “สอนรุ่นน้องจริงเหรอ ในฐานะอะไรล่ะ? รุ่นพี่? น้องของเพื่อนสนิท? หรือว่าสอนในฐานะว่าที่น้องสะใภ้เอ่ย… แอ๊ก”
   ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เมื่อปุยฝ้ายยังไม่ได้พูดจนจบประโยคอยู่ๆก็มีสันหนังสือเรียนที่เมื่อครู่ยังเปิดอ้าอยู่บนโต๊ะ แต่บัดนี้มันกลับไปจารึกอยู่เป็นหัวของมันแล้ว
   “พี่คะ ถ้ายังไม่เลิกอีกล่ะก็คราวหน้าหนูจะเกลียดพี่จริงๆด้วย” พบพลพรรคสันหนังสือ 1 ea กู๊ดจ๊อบปุยนุ่น
   “มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นนะนุ่น พวกพี่ก็เล่นกันอย่างนี้เป็นปกตินี่แหละ”
   “จริงเหรอคะ”
   “ใช่ไหมล่ะ ฟ้า”
   “เอ๋ ใช่เหรอ…” นานๆทีจะได้สบโอกาสเปลี่ยนตัวจากคนถูกกระทำมาเป็นคนกระทำ นานทีปีหนจะมาใครจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย ผมตอบได้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจพลางทำหน้าสงสัย พอปุยฝ้ายเห็นดังนั้นทำหน้าถอดสีลุกลี้ลุกลนไปง้อน้องสาวตัวเองอย่างสุดความสามารถ ภาพที่เห็นทำเอาเรียกเสียงหัวเราะของเพื่อนที่เหลือในโต๊ะเป็นอย่างดี
   เห็นแบบนี้ก็เถอะแต่ทุกคนรู้ว่าปุยฝ้ายเป็นคนที่ติดน้องมากแค่ไหน แถมปุยนุ่นก็ติดพี่เช่นกัน แต่แค่การแสดงออกทางความรักจะต่างกันเล็กน้อย ปุยฝ้ายก็เข้าไปกอด เข้าไปแสดงความรักประสาพี่สาวทั่วไป ส่วนปุยนุ่น… เรียกได้ว่าแสดงความรักผ่านการดัดนิสัยปุยฝ้ายก็ว่าได้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อพวกผมอยู่
   “คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ”
   “ค่ะ ว่าแต่พอติวกันไปเยอะๆเนี่ยมันเริ่มหิวขึ้นมาเลยนะคะเนี่ย”
   “อืม นั้นสินะพอใช้สมองไปเยอะๆแล้วมันอยากได้น้ำตาลขึ้นมาเลย”
   “จริงด้วยค่ะ… หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
   “ได้ว่ามาสิ”
   “ถ้าตอนนี้พี่ฟ้าเลือกได้ว่าอยากกินอะไร จะเลือกอะไรเหรอคะ”
   “ตอนนี้เหรอ… อืม ก็ไม่ได้หิวถึงขนาดอยากจะกินข้าวซะด้วยสิ คงจะเป็นพวกน้ำผลไม้เปรี้ยวๆเรียกสติกับเค้กเล็กๆก็ดีมั้ง”
   “แล้วพี่ชอบชูครีมรึเปล่าคะ”
   “ชูครีมเหรอ ก็ชอบนะ”
   “เยี่ยม”
   “มีอะไรรึเปล่า”
   “อ่อเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ข้าวฟ่างหยิบมือถือขึ้นมากดๆ แต่สักพักก็เก็บลงไปพลางเปิดหนังสือวิทย์และถามคำถามต่อ ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรนั่งตอบคำถามของรุ่นน้องต่อไป
เวลาล่วงเลยมาชั่วโมงกว่า ตอนนี้เริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลังและสะโพกทำเอาผมต้องบิดตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อให้หายจากอาการเมื่อยล้า นอกจากนั้นการที่ต้องเพ่งดูหนังสือนานๆทำเอาตาเริ่มจะล้าผมจึงใช้นิ้วกดนวดบริเวณสันจมูกหวังจะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ทุเลาลงไปบ้าง
“ไง เหนื่อยหน่อยนะ” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นข้างหลัง ทำเอาผมต้องฝืนตาที่กำลังล้าหันไปมองอย่างรวดเร็วก็พบกับร่างสูงในชุดนักเรียนที่ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงหมดแล้ว
“มึงมาได้ไงเนี่ย ไม่ใช่สิแล้วมึงรู้ว่ากูอยู่ที่นี่ได้งะ-”
ก่อนที่ผมจะถามผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในที่แห่งนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดที่เคยอยู่ในที่ก่อเหตุชำเราร่างกายมาแล้ว
“ข้าวฟ่าง…” ผมหันไปหาผู้สมรู้ร่วมคิดสาวที่ตอนนี้กำลังเอาหนังสือวิทย์มาปิดบังใบหน้า แต่อย่าคิดว่าจะปิดได้มิดเพราะผมเห็นแล้วว่าเธอกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ เช่นเดียวกับร่างสูงตรงหน้า… พี่น้องแม่งเหมือนกันเป๊ะเลยให้ตายสิ
“เอ้านี้ของฝาก” มันยื่นแก้วน้ำส้มพร้อมกับกล่องกระดาษไม่ใหญ่มากมาให้
“อะไร”
“เสบียงไง” พอผมเปิดกล่องออกมาดูก็พบกับชูครีมจำนวน 6 ชิ้นแถมปรากฏโลโก้ร้านขนมชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องคิวที่ยาวเหยียด ถ้าไปต่อก็ต้องเสียเวลาเกือบๆชั่วโมง
“เดี๋ยวนะ นี่มึงเสียเวลาไปต่อซื้อชูครีมมาเลยเหรอ”
“เออ ก็ได้ยินมาจากอยากกินมากเลยไม่ใช่เหรอกูก็เลยซื้อมาให้ กูอุตส่าห์ไปต่อแถวมาให้”
“ไอ้อยากก็อยากลองอยู่หรอก แต่กูไม่ได้บอกสักหน่อยว่าอยากกินขนาดนั้น”
“หา แต่ฟ่างมันบอกว่ามึงอยากกินมาก… ฟ่างงง!!!” น้ำเสียงของไอ้ทีเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นยะเยือก   “แหม ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดไง แค่นี้เองไม่เห็นจะเป็นไรเลย” อ่อ มิน่าล่ะเมื่อกี้ถึงได้ถามว่าอยากกินอะไร
สองพี่น้องกำลังจะเกิดการวางมวยการเกิดขึ้นโดยมีฝ่ายน้องสาวกำลังล้อเลียนพี่ชายอย่างเมามันส์นี่ก็เป็นการแสดงออกทางความรักในอีกแง่สินะ การแสดงออกผ่านการแกล้ง
“เอ้าๆพอได้แล้วมึง ปล่อยๆน้องไปเถอะ”
“ใช่ๆ” ไม่ต้องไปยั่วโมโหมันเพิ่มก็ได้ข้าวฟ่าง แค่นี้ก็จะกัดคอกันตายอยู่แล้ว
“เฮอะ ก็ได้ๆเห็นแก่มึงนะเนี่ย”
ไอ้ทีพูดขึ้นพร้อมกับหย่อนก้นลงไปยังที่นั่งของข้าวฟ่าง
“อ่า นั้นที่นั่งหนูนะ”
“ค่าแลกเปลี่ยนไงกับที่พี่ไปต่อแถวซื้อชูครีมมาให้”
“เชอะ ก็ได้”
ข้าวฟ่างพูดพร้อมกับเดินถือกล่องชูครีมแล้วเดินไปนั่งลงข้างนุ่นแทน ก่อนจะแจกจ่ายชูครีมให้กับเพื่อนสาวรุ่นน้อง และสัมภเวสีอีกสามตน
“แล้วนี้มึงมาทำไร”
“เอาเสบียงมาส่งไง”
“มาแค่นั้น”
“เปล่า มาง้อด้วย”
“…”
“อย่าพึ่งเงียบดิ กูรู้สึกผิดจริงๆนะ”
ร่างสูงเลื้อยลงไปนอนกับโต๊ะพลางช้อนตาขึ้นมามองบน นับวันมันยิ่งมีวิธีง้อผมแบบแปลกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละวิธีมันเป็นอันตรายกับหัวใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ น่ารักแบบนี้ใครจะไปทนงอนต่อได้ล่ะเนี่ย
“เรื่องอะไรกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” แต่ผมก็ยังต้องตีหน้าเข้ม แต่หันหลบหน้าอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้มันเห็นรอยยิ้มที่เริ่มจะปรากฏขึ้นมาเริ่มจะเก๊กไม่อยู่แล้ว
“น้า น้า เชื่อกูดิ” น้ำเสียงออดอ้อนที่อีกฝ่ายพยายามแอ๊บมันทำให้ผมไม่สามารถทนฝืนเก๊กต่อไปได้ ผมหลุดขำกับการกระทำแสนไร้เดียงสาของมัน
“โตเป็นควายแล้วยังจะอ้อนแบบนั้นอีกนะ”
“แล้วได้ผลรึเปล่าล่ะ”
“เออ ยอม”
ไอ้ทียกยิ้มมุมปากก่อนจะกลับมานั่งเป็นปกติ ในจังหวะเดียวกับที่ข้าวฟ่างเดินกลับมายื่นชูครีมที่เหลืออยู่ในกล่องเพียงชิ้นเดียวมาให้
“อ้าว เหลืออยู่ชิ้นเดียวเอง”
“งั้นมึงก็กินไปแล้วกัน ยังไงกูก็กะจะซื้อมาให้มึงอยู่แล้ว”
“แต่มึงเสียเวลาไปต่อแถวมาตั้งนาน”
“กูไม่ได้สนของพวกนั้นนักหรอก มึงกินๆไปเถอะ”
“ถ้างั้น…”
ผมหยิบชูครีมขึ้นมาบิดแยกออกเป็นสองชิ้น ก่อนจะยื่นส่งให้ที
“เอ้า แบ่งกันคนละครึ่ง”
“…”
“อย่ามัวแต่ยิ้ม รับไปถือเร็วๆ กูเมื่อย”
“มึงค้างอยู่อย่างนั้นแหละ”
สิ้นเสียงพูดมันยื่นมือมาจับข้อมือผม พลางยื่นหน้าเข้ามาก่อนจะใช้ปากสวยๆงับชูครีมลงไปทั้งชิ้นพร้อมกับปลายนิ้วของผม สัมผัสอุ่นๆที่สัมผัสได้จากภายในช่องปากผสมกับแรงตวัดลิ้นเลียเศษครีมที่ติดที่บริเวณปลายนิ้วไปจนหมดจรด เมื่อปลายนิ้วของผมได้รับการปลดปล่อยออกมาภาพเพื่อนสนิทที่กำลังใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเป็นภาพที่แลดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก อุณหภูมิสูงขึ้นบริเวณใบหน้า ผมรีบหันหนีเพื่อไม่ให้มันเห็นใบหน้าที่กำลังจะขึ้นสีของผม ค่อยๆแทะชูครีมอีกครึ่งชิ้นที่เหลือพลางเตือนสติตัวเองว่านั้นมันเป็นเพื่อน เป็นแค่เพื่อน เป็นเพื่อน
“เป็นอะไรไป”
“มะ-ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เฮ้ยๆตอนนี้ยังอยู่ในห้องสมุดนะเว้ย ข้างหลังยังมีประจักษ์พยานอีกหลายสายตาเลยนะ ผมรีบหลุบตาลง
แพร่บ… สัมผัสอุ่นจากลิ้นของฝ่ายตรงข้ามกวาดเอาครีมที่เลอะบริเวณริมฝีปากซ้ายของผมไปจนหมด
“กินเลอะเหมือนเด็กๆเลยนะ… หวานดี”
ใบหน้าเริ่มเกิดความร้อนมากขึ้นกว่าเดิม หัวใจเต้นรุนแรงขึ้นพร้อมกับสีแดงที่เริ่มลามจากบริเวณแก้มขึ้นไปยังใบหู ไม่ทันที่จะได้หลบคนตรงหน้าเห็นใบหน้าของผมเข้าไปเต็มๆ ไอ้ทีไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของผมด้วยเสียงทุ้มนุ่ม
“ทำตัวน่ารักอย่างนี้น่าจับกินซะเลยนะมึงเนี่ย”
“ยะ-…”
“หืม?”
“อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย!!!”
สันหนังสือวิทย์เล่มเดิมเข้าปะทะกับศีรษะเข้าฝ่ายตรงข้ามอย่างจัง จนเรียกความสนใจของนักเรียนที่อ่านหนังสืออยู่รอบๆให้หันมา
“อูย… กูแค่ล้อเล่นเอง มึงฟาดมาซะเต็มแรงเลย เดี๋ยวความรู้กูกระเด็นหายไปหมดยิ่งมีน้อยๆอยู่”
“กระเด็นหายไปทั้งหัวเลยก็ดี เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”
“อะไรๆ เขินเหรอ หน้าแดงแป๊ดเชียวนะ”
“มะ- มะ- ไม่ได้เขินเว้ย”
หนังสือวิทย์เล่มเดิมกำลังจะเข้าปะทะ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะจับจังหวะได้จึงหลบพ้นได้อย่างง่ายดาย
“ตรงนั้นน่ะ จะจีบกันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยเกรงใจพวกกูที่นั่งอยู่ตรงนี้หน่อย”
“ไม่ได้จีบกันเว้ย”
“ไม่ได้เขินไปก็ได้นี้ สารภาพไปเลยว่าเราสองคนกำลังจีบกันอยู่”
“มึงก็อีกตัว เงียบปากไปเลย”
คำพูดที่ไอ้ทีพึ่งพูดไปเมื่อกี้ทำให้พวกนักเรียนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆหันมามองแรงกว่าเดิม บางส่วนถึงกับทำตาลุกวาวเปลี่ยนจากจ้องหนังสือมาจับตามองทางพวกเรากันใหญ่ ไอ้บ้า มึงพูดอย่างนั้นเดียวกูก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่ามึงจีบกูจริงๆ
“แต่เรื่องที่กูจีบมึงเมื่อกี้กูไม่ได้ล้อเล่นนะ”
“…” ผมชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูด สมองไม่สามารถประมวลผลออกมาเป็นคำพูดได้ รู้สึกเหมือนกับว่ามีความหวัง ความหวังว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันอาจจะเหมือนกับที่มันมีต่อผมก็ได้
“… ทำหน้าเครียดไปได้ เมื่อกี้กูล้อเล่น” ความรู้สึกเหมือนกับนกแรกเกิดที่พึ่งจะรู้สึกดีที่ได้กางปีกบินเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็ดันไปชนกับเสาไฟฟ้าจนตกลงมาปะทะกับพื้นดินเต็มๆ
“…เหรอ” นั้นสินะ เค้าว่ากันว่ายิ่งตั้งความหวังไว้สูงเวลาตกลงมามันก็จะยิ่งเจ็บเป็นเท่าตัว ผมพยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ผมได้แต่เพียงเก็บความผิดหวังเอาไว้ในใจ นี่ก็คงจะเป็นการแสดงความรักในแบบของมัน การแสดงออกทางความรักในรูปแบบของเพื่อนสนิท

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท
   


ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 22 เข้าสอบ
น่านฟ้า
     “ฟ้า ตรงนี้ทำไมมันถึงตอบข้อนี้วะ”
     “ไหนๆ… มึงเอาวิธีคิดวิชาเลขมาคิดวิชาเคมี มึงคงจะได้คำตอบอะนะ”
     วันนี้ไอ้ทีมันมาค้างที่บ้านผมเพื่อให้ผมช่วยติววิชาวิทย์ให้ โชคดีที่โรงเรียนของพวกเราสองคนเรียนวิชานี้หลักสูตรเดียวกันแถมเนื้อหาที่ออกสอบก็เหมือนกัน จะต่างกันตรงที่วิชานั้นผมสอบเสร็จไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ส่วนของมันจะสอบพรุ่งนี้ที่เป็นวันสอบวันสุดท้าย
     “อื้อ ยากจังวะ” ร่างสูงทิ้งตัวลงไปนอนราบกับพื้นห้อง
     “พยายามเข้าแล้วกัน กูผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว”
     “พรุ่งนี้มึงสอบวิชาอะไรวะ ทำไมไม่เห็นมึงอ่านหนังสือเลย”
     “หน้าที่พลเมือง”
     “ดีจังวะ” ไอ้ทีนอนกลิ้งโอดครวญอยู่กับพื้นทันทีที่ได้ยินชื่อวิชาตัวสุดท้ายที่ผมจะสอบ เพราะวิชาหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาที่เล่าขานกันมาว่าง่ายที่สุดในบรรดาวิชาสามัญ เพราะเพียงแค่คุณแสร้งทำตัวเป็นคนดีมีจรรยาบรรณคุณก็สามารถทำคะแนนเต็มวิชานี้ได้ไม่ยาก
     “อย่าบ่นนัก กลับมาอ่านหนังสือต่อได้แล้ว เดี๋ยวกูจะช่วย”
     “ไม่มีแรงอ่านหนังสือแล้วอะ… มึงมีรางวัลให้กูไหมอะ”
     ไอ้เด็กเอาแต่ใจ… ผมแต่ถอนหายใจให้กับไอ้เด็กมัธยมปลายที่โตแต่ตัว
     “มึงเป็นคนมาขอให้กูช่วยเองนะ ทำไมกูต้องมีรางวัลให้มึงด้วย”
     “…จะว่าไป ก็จริงวะ”
     นี่ตกลงว่ามันโง่ ก่งก๊ง หรือซื่อวะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ นานๆทีจะได้เห็นมันงอแงแบบนี้ก็เป็นภาพที่แปลกใหม่ดีเหมือนกัน
     “ถ้างั้นมึงมาพนันกับกูไหมล่ะ”
     “พนัน?”
     “ถ้ามึงสอบได้วิชาวิทย์ติดอันดับท๊อปห้าของห้อง กูจะทำตามที่มึงขออย่างนึง”
     “แล้วถ้ากูทำไม่ได้ล่ะ”
     “มึงก็ต้องทำตามที่กูขอข้อนึง เป็นไงกล้าพนันรึเปล่า”
     ไอ้ทีนิ่งเงียบทำท่าทางครุ่นคิด สงสัยข้อเสนอของผมมันจะยากเกินไปสำหรับมัน แต่ก็เอาเถอะถือว่าเป็นหลักประกันความปลอดภัยของผมเอง
     “เฮ้อ มึงเนี่ยร้ายจังวะ” มึงไม่มีสิทธิ์มาพูดนะไอ้ที
     “แล้วไงจะรับรึเปล่า”
     “เออ รับก็ได้แล้วคอยดูก็แล้วกัน”
     แกร๊ก เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก มีร่างของชายร่างสูงที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กับเนคไทที่ถูกปลดออกมาจากคอแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีความน่าเชื่อถือและดูดีในสายตาของผู้หญิง
     “อ้าวพี่ภูกลับมาแล้วเหรอ”
     “สวัสดีครับพี่ภู”
     “อืม สวัสดี”
     “แล้วที่เข้ามาห้องฟ้านี้มีธุระอะไรเหรอ”
     “ทำไม พี่ไม่มีธุระแล้วจะเข้ามาไม่ได้รึไง”
     “ไม่ได้พูดอย่างนั้นซะหน่อย”
     “พี่ซื้อขนมปังปิ้งมาให้อยู่ข้างล่าง ลงไปกินกันซะ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนจะตามลงไป”
     “อืม”
     พูดจบพี่ภูก็เดินออกไปจากห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปยังห้องของตนเองที่อยู่ข้างๆห้องของผม พวกเราสองคนเก็บหนังสือให้เรียบร้อยก่อนจะเดินลงไปยังห้องครัวที่หยิบจานบนชั้นวางของมาใส่ขนมปังก่อนจะตรงไปนั่งกินกันในห้องนั่งเล่น
     “เออ พรุ่งนี้มึงสอบเสร็จตอนเที่ยงใช่ปะ”
     “ใช่ ทำไม”
     “ตอนเย็นไปกินข้าวกันมะ ไอ้วินมันอยากกินหมูกระทะ”
     “หมูกระทะเหรอ ก็ดีนะไม่ได้กินมาตั้งนาน”
     “งั้นพรุ่งนี้ตอนบ่ายมึงแวะมาที่โรงเรียนกูปะ มารอพวกกูสอบเสร็จจะได้ไปกินกันเลย”
     “แน่ใจนะว่ากูเข้าไปได้”
     “ได้ดิ ขนาดกูยังเข้าไปโรงเรียนมึงได้เลย”
     “นั้นเขาเรียกบุกรุกสถานศึกษาไอ้ที”
     “นอกเวลาราชการไม่นับเว้ย ช่วงสอบโรงเรียนกูตรวจไม่เข้มอยู่แล้ว มึงไปนั่งรอในโรงเรียนกูได้สบาย”
     “งั้นกูได้ ไว้เดี๋ยวกูสอบเสร็จแล้วเดี๋ยวกูจะทักไป”
     ผมสังเกตเห็นว่าร่างสูงหยิบหนังสือวิทย์ลงมาอ่านมือนึง อีกมือนึงก็จิ้มเอาขนมปังปิ้งขึ้นมากิน
     “พอมีรางวัลล่ะก็ฟิตเชียวนะ”
     “แน่นอน กูจะทำให้มึงทำตามที่กูขอให้ได้คอยดูแล้วกัน”
     “ถ้ามึงทำได้ล่ะก็นะ… จะว่าไปถ้ามึงเกิดชนะขึ้นมาจริงๆมึงจะขออะไรกูวะ”
     ผมถามเผื่อไปหน่อยด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าผมจะคิดว่ามันไม่น่าจะชนะพนันได้ก็ตาม
     “แหมๆ ของแบบนี้เขาต้องรอตอนชนะก่อนไหม”
     “แต่กูอยากรู้อะ ไม่ได้เหรอ”
     ไหนๆคำขอของมึงก็จะไม่เป็นจริงแล้ว กูขอเสือกหน่อยก็แล้วกัน
     “กูจะจีบมึง…” ร่างสูงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
     “…หะ?” ส้อมพร้อมขนมปังปิ้งที่ราดด้วยแยมส้มสีสดใสน่ากิน ตกกระทบกับพื้น ร่างกายของผมเกร็งไม่อาจจะขยับเขยื้อน
     ร่างกายตัวเองได้ หัวใจเริ่มเต้นรัวไปกับคำพูดที่เมื่อกี้ผมได้รับรู้
     “มะ- เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ” ผมพยายามถามเพื่อทบทวนว่าสิ่งที่มันพูดออกเมื่อกี้ผมได้ยินไปเองหรือเปล่า เพราะน้ำเสียงของร่างสูงมันเรียบนิ่ง แถมตายังมองอยู่ที่หนังสือวิทย์
     “หือเมื่อกี้เหรอ? กูหมายถึงกูอยากกินขนมจีบอะ มึงซื้อมาให้กูหน่อย”
     อ่อ ขนมจีบนี่เองค่อยยังชั่ว ดูเหมือนจะฟังผิดไป… ช่วงนี้พอได้ยินไอ้ทีพูดอะไรเข้าหน่อยก็ดันเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปซะ
หัวใจเต้นรัวจนจะเป็นโรคความดันแล้ว นี่สินะที่เขาเรียกว่าความรักทำให้ใจบาง แถมไม่ใช่ความรักธรรมดาๆซะด้วย ดันเป็นรักเพื่อนสนิท
     ถ้าเมื่อกี้นี้ผมไม่ได้ฟังผิดไปล่ะก็ ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเป็นยังไงต่อไปนะ ถ้าเมื่อกี้มันพูดว่าจีบจริงๆล่ะก็แปลว่าใจตรงกันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็หมายถึง… แฟน!? ไม่ๆ จะไปคิดแบบนั้นไม่ได้ ผมมองไปยังร่างสูงที่ตอนนี้นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา สายตาคมที่จ้องมองหนังสือ ใบหน้าได้รูป พร้อมกับริมฝีปากสีแดงที่กำลังจะนำขนมปังปิ้งเข้าไปในปาก มันช่างดู…
     “เมื่อกี้ใครอยากจะกินขนมจีบ”
     เสียงพี่ชายเรียกสติของผมให้กลับมาก่อนที่มันจะเตลิดหนักไปกว่าเดิม พี่ภูปรากฏตัวขึ้นมาในชุดเสื้อยืดสีขาวท่อนล่างมีเพียงแค่กางเกงบ๊อกเซอร์ พร้อมกับมือทั้งสองที่กำลังใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเส้นผมของตน
     “พอดีผมรู้สึกอยากจะกินนิดหน่อยน่ะครับ”
     “ถ้างั้นไปเอาในตู้เย็นได้ รู้สึกว่าจะมีเหลืออยู่สองสามไม้ เอาไปเวฟเอาแล้วกัน”
     “ขอบคุณครับ”
     “แต่ถ้าคิดว่ามันเสียแล้ว ก็อย่ากินขนมจีบก็แล้วกัน”
     “แย่จังนะครับ แต่ผมก็ยังอยากกินขนมจีบอยู่”
     “อ้าว หน้าแดงขึ้นนะเราน่ะ เป็นไข้รึเปล่า”
     “ปะ-เปล่าๆ สงสัยจะร้อนนะ เมืองไทยเนี่ยมันร้อนจังเลยนะ”
     “ถ้างั้นก็รีบกินแล้วขึ้นไปนอนตากแอร์ก็แล้วกัน รีบนอนล่ะพรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว”
     “อืม”
     ไม่จริงน่า เผลอตัวไปตอนไหนเนี่ย หวังว่ามันคงจะยังไม่เห็นสีหน้าของผมหรอกนะ ต้องรีบกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด
ผมนั่งทำสมาธิพยายามทำให้จิตใจที่กำลังว้าวุ่นของหนุ่มน้อยที่กำลังมีความรักกลับมาปกติ โดยที่ไม่ได้สัมผัสถึงรังสีอำมหิตที่กำลังปล่อยออกมาจากร่างสูงทั้งสองคนที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่

     “จบแล้ว ในที่สุด”
     เหล่านักเรียนในห้องต่างพากันส่งเสียงยินดีเมื่อวิชาสุดท้ายของการสอบได้สิ้นสุดลงไป บางคนก็นัดกับเพื่อนกันไปฉลอง ไม่เว้นแม้แต่พวกผมที่ตอนนี้ยืนคุยกันอยู่หน้าห้องสอบ
     “ไปหาอะไรกินฉลองสอบเสร็จกันปะ พวกมึง”
     “เดี๋ยวกูต้องไปคุยกับครูนิดหน่อย พวกมึงไปกินกันก่อนก็ได้นะ”
     “อ้าวนี จะปิดเทอมอยู่แล้วยังมีงานอะไรอีกวะ”
     “นิดนึงอะ”
     “ให้พวกกูรอปะ”
     “ไปกันก่อนก็ได้ น่าจะอีกสักพัก เดี๋ยวกูตามไป”
     “เคร”
     นีบอกลาก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องพักครู เป็นหัวหน้าห้องก็มีงานเยอะเหมือนกันนะ
     “แล้วพวกมึงอะ เอายังไง”
     “กูไปด้วย”
     “แต่กูไปด้วยไม่ได้นะ”
     “อ้าวทำไมวะ”
     “กูว่าจะไปกินหมูกระทะกับไอ้ทีตอนเย็น ตอนนี้ก็เลยจะไปรอมันที่โรงเรียน”
     “มึงไปตอนเย็นไม่ใช่เหรอ มึงก็ไปกินกับพวกกูก่อนก็ได้นิ ไปรอมันก็เสียเวลา”
     “ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้นแหละ แต่มันบอกว่าให้กูไปทวนรอบสุดท้ายให้หน้าห้องหน่อย”
     “โห คนดีเวอร์”
     “นี่ล่ะนะ ที่เขาเรียกว่าได้ผัวแล้วทิ้งเพื่อน”
     “ผัวบ้านเอ็งดิฝ้าย เพื่อนเว้ย”
     “แหม เพื่อนที่ไหนเขาเลียครีมกันกลางห้องสมุดกันล่ะคะ”
     “… ก็เพื่อนสนิทไง… เพื่อนสนิทสุดๆ” ผมพยายามแถอย่างสุดความสามารถ สุดความสามารถของผมแล้วจริงๆ เพราะผมนึกไม่ออกแล้วว่าเหตุผลไหนมันจะฟังขึ้น
     “ค่าๆ เพื่อนก็เพื่อน งั้นเราอย่าไปขัดมันเลย ไปหาข้าวกินกันดีกว่า”
     “ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่นะไอ้ฟ้า”
     “อืม กินข้าวให้อร่อยนะ”
     ถ้างั้นก็หาอะไรกินก่อนค่อยไปหามันก็แล้วกัน ติ๊ง ขาที่กำลังจะก้าวถูกขัดด้วยเสียงเตือนข้อความเข้า
     Nathi : มึงเลิกยังอะ
     Naanfah : อืมเลิกแล้วกำลังจะไปโรงเรียนมึง
     Nathi : ถ้างั้นก่อนมา มึงช่วยหาซื้อข้าวมาให้พวกกูหน่อย
     Naanfah : ข้าว? มึงไม่กินที่โรงเรียนล่ะ
     Nathi : โรงอาหารแม่งปิด
     อ้าว…
     Nathi : ปกติแม่งช่วงสอบก็เปิดอยู่แค่ร้านเดียว เพราะร้านอื่นปิดไปเที่ยวกันตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว วันนี้ป้าเจ้าของร้านดันป่วย เลยปิด
     ทำไมเหล่าป้าๆโรงอาหารโรงเรียนมันไม่คิดหัวอกเด็กบ้างเลยเนี่ย แล้วช่วงสอบเหล่านักเรียนตาดำๆหิวโซที่พึ่งโดนข้อสอบดูดวิญญาณจะหาอะไรกินกัน น่ายื่นเรื่องส่งผอ.โรงเรียนจริงๆ
     Naanfah : ทำไมมึงไม่ลองหาร้านข้างนอกกินล่ะ
     Nathi : ทุกคนคิดแบบนั้นเหมือนกันหมดตอนนี้ เต็มแน่นเอี๊ยดทุกร้าน พวกกูโดนข้อสอบเลขเมื่อเช้าดูดพลังไปหมดแล้ว ไม่มีแรงเหลือแล้ววว
     Naanfah : อย่าพึ่งตายนะมึง เดี๋ยวกูจะซื้ออะไรไปให้
     Nathi : อืม รีบหน่อยนะพวกกูจะตายแล้ว
     Nathi : อ่อ พวกกูนั่งอยู่ที่สวนจักรนะ ถ้ามึงมาไม่ถูกทักมาถามกูหรือไม่ก็ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้
     Naanfah : อืม
     ผมเก็บโทรศัพท์ลงก่อนจะรีบเดินลงไปจากอาคารเรียน ต้องรีบไปซื้อข้าวก่อนที่ไอ้พวกนั้นจะเป็นลมตายกันซะก่อน ดูจากที่พิมพ์มาแล้วก็น่าจะไม่ไหวจริงๆแล้วนั้นแหละ

     มาถึงแล้วก็จริง แต่ว่าจะเอายังไงต่อดีเนี่ย ตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงเรียน กำลังพิจารณาว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปยังส่วนไหนของโรงเรียน ไอ้ทีที่บอกว่าถ้ามาถึงแล้วให้ทักไปก็ดันไม่ตอบ จะให้ถามคนแถวนี้ก็… ตอนนี้แต่ละคนก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้นทำเอาไม่กล้าเข้าไปทักเลย
     เอาวะ เดินสุ่มๆไปก่อนแล้วกัน
     “อ้าวฟ้าไม่ใช่เหรอครับ”
     ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบกับเพื่อนร่างสูงที่ไม่ได้พบมานานตั้งแต่เข้าค่าย
     “อ้าวเกมส์ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
     “นั่นสินะครับ ว่าแต่วันนี้ฟ้ามาทำอะไรที่โรงเรียนผมเหรอครับ”
     “พอดีเอาข้าวมาส่งให้พวกทีน่ะ เห็นว่าโรงอาหารมันปิดแต่ไม่รู้ว่าสวนจักรมันไปทางไหนน่ะสิ”
     “ถ้างั้นเดี๋ยวผมพาไปไหมครับ”
     “จะดีเหรอ” ผมตาวาวเมื่ออีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมาให้
     “ครับ ฟ้าไม่คุ้นทางเดี๋ยวจะหลงซะก่อน”
     “ขอบคุณนะ”
     โชคดีที่มาเจอเกมส์พอดี ถ้าให้มาเดินหาเองล่ะก็ชาตินึงก็ไม่มีทางเจอ ลึกลับชิบหาย นอกจากจะต้องเดินผ่านซอกตึกแล้วยังต้องอ้อมไปหลังตึกด้วย ตอนนี้ก็กำลังเดินขึ้นๆลงๆดึกอีกสองสามตึก
     “ทำไมมันลึกลับแบบนี้เนี่ย”
     “เห็นว่าตอนแรกผอ.อยากจะสร้างตึกรูปแบบเก่าทั้งหมด แต่ไปๆมาๆอยู่ๆผอ. ก็สั่งให้เปลี่ยนไปสร้างตึกแบบใหม่พื้นที่ๆวางไว้ตอนแรกก็เลยไม่พอ ก็เลยมีพวกทางเดินที่เป็นแบบซอกตึก หรือทางเดินที่ต้องเดินผ่านตึกอื่นก่อนอยู่เยอะแยะเลยล่ะครับ”
      “มิน่าถึงได้บอกว่าถ้าเราเดินหาเองจะหลง”
     “ครับ ตอนผมพึ่งเข้าเรียนมาเดินหลงกันเป็นว่าเล่นเลยล่ะครับ ขนาดครูบางคนยังหลงเลยละ”
     “ไม่แปลก”
     “อะ เห็นแล้วล่ะครับ เดินผ่านซอกข้างหน้าก็จะถึงสวนจักรแล้วล่ะครับ”
     พอเดินออกมาผ่านซอกตึกก็พบกับสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จำนวนมาก ตรงกลางสวนมีน้ำพุขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็สร้างความชุ่มชื้นให้กับบริเวณโดยรอบได้เป็นอย่างดี
     “สวยสุดยอด”
     “ใช่ไหมล่ะครับ แต่ถึงมันจะสวยคนก็ไม่ค่อยจะเดินมากันหรอกนะครับ”
     “อ้าวทำไมล่ะ บรรยากาศออกจะดี” ถ้ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในโรงเรียน ผมคงจะมาสถิตอยู่ที่นี้ทั้งวันไม่ขยับไปไหน บรรยากาศโคตรจะผ่อนคลายน่านั่งมาก
     “เพราะว่ามาลำบากก็เลยไม่ค่อยจะมีใครมาน่ะสิครับ”
     “อ่อ มิน่า” ก็จริงกว่าจะมาถึงนี้ก็เดิน ขึ้นๆ ลงๆ เข้าซอกนู่น เข้าซอกนี้ ซิกแซกจนงงไปหมดถ้าให้เดินกลับไปเองล่ะก็ผมคงติดอยู่เป็นชั่วโมงแน่
      “ไอ้ฟ้าทางนี้ๆ”
      “ไง หิวโซเลยล่ะสิท่าพวกมึง”
     ผมเดินตรงมายังม้านั่งหินที่พวกมันกำลังนั่งอยู่
      “เออ หิวจนไส้กิ่วหมดแล้วเนี่ย”
     ผมยื่นถุงที่มีข้าวกล่องให้กับมัน ในขณะที่ตัวเองกำลังมองหาอีกบุคคลหนึ่ง บุคคลที่ไม่ยอมตอบข้อความของผมทั้งที่มันเป็นคนบอกให้ผมเรียก
     “อ้าวแล้วไอ้ทีอะ”
     "นู่น นอนตายอยู่ตรงโน้น”
     วินชี้ไปยังม้านั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พอผมเดินอ้อมไปดูก็พบกับศพของเพื่อนสนิทกำลังนอนขึ้นอืดอยู่บนม้านั่งหินอ่อน
     “เฮ้ย ไอ้ทีตื่นๆ ไอ้ฟ้ามันเอาข้าวมาให้แล้ว”
     “อือ… ไอ้ฟ้า” ร่างสูงตอบวินกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด อารมณ์เหมือนเด็กนอนกลางวันโดนปลุกยังไงอย่างงั้น แต่มันก็ยัง พยายามเปลี่ยนท่าทางให้กลับขึ้นมานเป็นท่านั่งโดยที่หน้าของมันยังหลับตาปรืออยู่ ภาพตรงหน้าส่วนสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนหน้า น่ารักจริงวุ้ย
     “ไงมึงจะตายแล้วรึไง” ผมหย่อนตัวลงไปนั่งม้านั่งเดียวกับร่างสูง
     “อืม ง่วงชิบหาย”
      “สู้ๆเว้ย อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว… เอ้า กินข้าวซะจะได้มีแรง”
      “…ยังไม่หิว กูของีบก่อน” พูดจบร่างสูงก็ทิ้งหัวของตัวเองลงบนตักของผม
      “ดะ-เดี๋ยวอยู่ๆทำอะไรเนี่ย”
     “นอน”
     “มึงไปหาที่อื่นนอนจะสบายกว่าตักกูนะ”
     “ตักมึงแหละ…สบายสุดแล้ว…”
     ร่างสูงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ค่อนข้างจะแผ่วเบา เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าขี้เกียจจะเถียงแล้วกูจะนอน แขนทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นมาโอบรัดบริเวณเอว ใบหน้าจรดที่หน้าท้อง ลมหายใจอุ่นๆที่เป่าออกมากระทบจนทำให้เกิดความรู้สึกหวิวบริเวณหน้าท้อง ร่างสูงหลับตาพริ้ม ลมหายใจเข้าออกเริ่มสม่ำเสมอ
     “อ้าวไอ้ที หลับไปแล้วเหรอ”
     ไนท์หันมาถามเมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาของผมกับไอ้ทีมันเริ่มเงียบลง
     “อืม หลับปุ๋ยเลย ปกติมันอ่านหนังสือหนักขนาดนี้เลยเหรอวะ ถึงขนาดง่วงขนาดนี้เนี่ย”
     “ไม่นะ ปกติมันออกจะชิว ได้ไม่ได้ก็ปล่อย พึ่งจะเคยเห็นมันเป็นขนาดนี้เนี่ยแหละ”
     “เหรอ”
     สิ่งที่คิดออกได้เพียงอย่างเดียวก็คือเรื่องที่มันกับผมพนันกันเอาไว้ ดูเหมือนว่าของรางวัลจะได้ผลเกิดคาด ไม่ไหวๆจะขยันก็ไม่ว่าแต่เล่นฝืนซะขนาดนี้
     “งั้นเดี๋ยวพวกกูขึ้นไปรอมันที่หน้าห้องสอบนะ จะไปอ่านหนังสือทบทวนด้วย”
     “อ้าว ไม่รอไปพร้อมกับไอ้ทีเหรอ”
     “ไม่อยากรบกวนมัน ให้มันพักไปก่อนน่าจะดีกว่า ไปไอ้วินขึ้นห้องกัน”
     “เดี๋ยวกูยังแดกไม่หมด”
     “กินไปเดินไปก็แล้วกันมึง เออใช่ไอ้ฟ้าวิชาต่อไปสอบตอนบ่ายโมงนะ พวกกูสอบตรงตึกโน้น ถ้าใกล้เวลาแล้วก็ฝากปลุกมันหน่อยแล้วกัน”
     “ได้ ถ้าใกล้แล้วก็จะปลุกมันให้”
     “ฝากด้วยแล้วกัน”
     เพื่อนทั้งสองเดินขึ้นไปบนตึกเท่าที่ดูจากตรงระเบียงพวกมันน่าจะสอบกันที่ชั้น 5 ตึกโรงเรียนมันค่อนข้างจะออกแนวสไตล์โมเดิร์นเข้ากับสวนเป็นอย่างดี เสียอย่างถ้ามันไม่ลึกลับผมคงจะแอบเข้ามานั่งเล่นอยู่บ่อยๆ
ผมละความสนใจจากอาคารเรียนมาสนใจเพื่อนสนิทที่กำลังนอนซบท้องของผมอย่างสบายใจ ผมใช้ฝ่ามือค่อยๆลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ ดูเหมือนว่ามันจะพอใจมันจึงขยับหัวตอบรับ หึ เหมือนเด็กเลยนะมึงเนี่ย ปกติเอาทำหน้าเก๊กหล่อไปวันๆ พอมาเห็นหน้าตอนหลับแล้วมันก็ทำเอาใจเต้นรัวเลย คนบ้าอะไรน่ารักชิบหาย
     “ไอ้ที…ไอ้ที…”
    ผมส่งเสียงเรียกร่างสูงที่กำลังหลับอยู่เมื่อเห็นว่าลมหายใจของอีกฝ่ายยังคงสม่ำเสมอ ผมจึงได้ตัดสินใจใช้มือปิดหูของัมนก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
    “…กูชอบมึงนะ”
    ไร้เสียงตอบรับ ร่างตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนหน้านี้เป็นสัญญาณว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่ มันจะไม่มีทางรับรู้ได้
     “เฮ้อ…ว่าไปนั้น เนอะ” ผมใช้นิ้วชี้ค่อยไปม้วนเส้นผมของคนตรงหน้าเล่น ถ้าเมื่อกี้มึงได้ยินที่กูพูดจะทำหน้าแบบไหนกันนะ ผมทำได้แต่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เพราะสถานะของพวกเรามันเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทจากนี้…และตลอดไป เสียงลมอ่อนๆที่พัดผ่านพร้อมกับเสียงสายน้ำตรงกระทบจากน้ำพุช่วยคลายความอึดอัดในใจ

     ติ๊ง…
     อื้อ… เสียงข้อความที่ดังขึ้นทำให้ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา ผมสะลึมสะลือหยิบมือถือขึ้นมาดูข้อความที่ส่งเข้ามา
     Phupha : จะกลับกี่โมง
     กี่โมงเหรอ วันนี้จะไปกินหมูกระทะกับไอ้ทีต่อ คงจะกลับดึกล่ะมั้ง ไว้ค่อยตอบแล้วกัน ง่วง แต่จังหวะที่กำลังจะเก็บมือถือลงไปสายตาดันไปประสานกับตัวเลขระบุเวลาตรงมุมขวาที่บอกเวลาตอนนี้เป็น [12:54] ทำให้ผมตื่นขึ้นมาเต็มตา
     “เฮ้ย!!! จะเริ่มสอบแล้วนี่หว่า… ไอ้เหี้ยทีตื่นๆจะเริ่มสอบแล้วนะเว้ยมึง”
     “อืม ขออีกห้านาที” ร่างสูงกอดเอวของผมเอาไว้แน่น ก่อนจะใช้ใบหน้าไซร้ที่หน้าท้องของผม เป็นภาพที่น่ารักมาก ผมก็
     อยากจะมีเวลาเชยชมอยู่หรอกแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาแบบนั้นน่ะสิ
     “ไม่ได้เว้ย อีกห้านาทีจะเริ่มสอบแล้ว”
     “ฟ้า พาทีไปหน่อย” นี่มึงจงใจหรือมึงละเมอออกมาจริงๆเนี่ย ใช้คำซะเด็กเลย
     ร่างสูงยอมปล่อยมือจากเอวพร้อมกับลุกขึ้นมาเป็นท่านั่งได้ก็จริง แต่ตาของมันยังหลับตาพลางเอียงตัวไปมาพร้อมจะกลับไปหลับได้ทุกเมื่อทำเอาผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยต้องพามันไปส่งจริงๆแล้ว ไม่งั้นไม่ทันแน่เลย ผิดที่ผมเองด้วยแหละที่ดันเผลอหลับไปกับมัน ใครจะไปรู้ล่ะว่าลมเย็นๆที่พัดมามันจะกล่อมให้นอนได้ดีขนาดนี้
     “เอ้าไปได้แล้ว เดี๋ยวกูไปสะ- โอ้ยยย” จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นผมดันทรุดลงไปจนหัวโขกกับโต๊ะหินอ่อน ตะคริวกินขาขยับไม่ได้…โอ้ยยย หัวกูเจ็บ ขาก็เจ็บ เพื่อนก็ต้องไปส่ง
     ผมพยายามนวดบริเวณน่องของตัวเองสักพักความเจ็บปวดจึงบรรเทาลง ผมจึงรีบจับมือเพื่อนสนิทพามันออกวิ่งไปยังห้องสอบโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น โดยลืมไปเลยว่าบนโต๊ะหินอ่อนยังเหลือกล่องข้าวสดใหม่ที่จะกลายเป็นขยะในอีกไม่กี่ชั่วโมง
     “เดี๋ยวครับๆ” ตะโกนขึ้นมาก่อนที่ครูคุมสอบจะปิดประตูห้องสอบ พอครูได้ยินเสียงของผมก็หันมาหาผม
     “อ้าว หนูฟ้า มาทำอะไรที่นี่เหรอจ๊ะ”
     “ผะ-ผมพาไอ้นี่มาส่ง” ผมหันไปมองร่างสูงที่อยู่ข้างหลังผม พอครูเมย์เห็นก็ส่งเสียงเตือน
     “มาเกือบไม่ทันเวลาเลยนะนที ไปทำอะไรมากันเนี่ย”
     “พอดีว่าเผลอหลับยาวไปหน่อยน่ะครับ” ผมส่งเสียงตอบครูเมย์ไป
     “ไม่ใช่คร้าบ ทั้งคู่ไปสวีทกันมาคร้าบ”
     เสียงโห่แซวในห้องสอบดังขึ้นมากันใหญ่ ทำเอาครูเมย์ต้องส่งเสียงดังเตือนทั้งห้องจึงสงบเสงี่ยมลง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือหัวโจก เสียงชวนให้อวัยวะเบื้องล่างกระตุกมีอยู่เพียงคนเดียว
     “คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ โชคดีที่ครั้งนี้ครูเป็นคนคุมสอบ ถ้าเป็นครูคนอื่นล่ะก็อาจโดนให้ขาดสอบปรับตกไปเลยก็ได้นะ”
     “ครับ มึงน่ะฟังไว้”
     “คร้าบๆ แต่มันก็ความผิดมึงส่วนนึงไม่ใช่เหรอ”
     “ก็ถ้ามึงไม่เริ่มก่อน กูก็คงไม่หลับตามมึงหรอก”
     “เออๆ กูยอมก็ได้”
     “ดีถ้างั้นก็รีบไปเข้าห้องสอบได้แล้ว”
     “…”
     “ทำไมยังไม่เข้าไปในห้องอีก” ผมหันกลับไปมองร่างสูงที่ยังคงนิ่ง ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะออกเดินไปเลยสักนิดทำเอาผมสงสัย
     “ก็มึงยังไม่ปล่อยมือกู กูก็เดินไปไม่ได้ดิ”
     มือ? ผมเลื่อนสายตาลงไปต่ำจนเห็นว่ามือของพวกเราสองคนประสานกันอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็รีบสะบัดมือออกไปโดยเร็ว ดันคิดแต่ว่าจะมาส่งมันยังไงให้ทันสอบก็เลยไม่ได้สนใจ เผลอจับมือมันลากมาตลอดทางซะได้ ระหว่างทางก็ผ่านห้องสอบมาหลายห้อง อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจริงๆ
     “ไม่เห็นต้องสะบัดแรงขนาดนั้นก็ได้นี่หว่า รังเกียจกูเหรอ”
     “ไม่ต้องพูดมาก รีบๆไปเข้าสอบได้แล้วไป”
     “คร้าบๆ”
     “เดี๋ยว”
     “หืม?”
     ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้าไปในห้อง ผมส่งเสียงเรียกให้อีกฝ่ายหันมา ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับขวดน้ำดื่มออกมาจากกระเป๋า ชุบผ้าเช็ดหน้าให้ชุ่ม ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงก่อนจะเขย่งตัวเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำค่อยๆเช็ดบริเวณใบหน้า ร่างสูงเกร็งตัวไม่พูดอะไรเอาแต่ทำหน้าตาตะลึง
     “ถ้ามึงเข้าไปเดี๋ยวมึงก็ไปหลับอีก อย่างน้อยก็เช็ดหน้าสักหน่อยจะได้ตื่น”
     ร่างสูงยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังกี่ทีก็รู้สึกสบายใจ
     “อืม ขอบคุณ”
     “อี๋ ครูคร้าบ มีคนจีบกันหน้าห้องคร้าบ”
     ไอ้ห้องนี้ถ้าไปแข่งประสานเสียงผมว่าน่าจะได้สักรางวัลอะ เสียงโห่นี้ขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2020 18:52:49 โดย Yukimin »

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 23 ทะเล
นที
   “มาถึงแล้ว”
   “โห พวกมึงมาดูตรงนี้ติดทะเลด้วย”
   เหล่าสาวๆต่างพากันชะโงกดูวิวทะเลกันยกใหญ่ ส่วนพวกผมทำหน้าที่เป็นแรงงานคอยยกกระเป๋าของพวกคุณเธอที่ไม่รู้แบกอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง หนักอย่างกับแบกบ้านมาทั้งหลังนี้มาเที่ยวแค่สามวันเองนะไม่ใช่ย้ายบ้าน
   ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่หน้าบ้านพักหลังใหญ่ที่เป็นของญาตินี ด้วยความที่ว่าคุณเธอเขาอยากจะมาเที่ยวบวกกับที่ญาติของเธอเปิดธุรกิจบ้านเช่าตากอากาศริมทะเล พวกเราจึงได้อานิสงส์ติดสอยห้อยตามมาอย่างที่เห็น สมาชิกในทริปครั้งนี้จึงเยอะเป็นพิเศษ มีแก๊งสามสาวเจ้าประจำ เพื่อนสนิท(?)น่ารัก ชายโฉดสองคน เหล่าน้องสาว และเกมส์…
   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลุงไปก่อนนะ หนูนี ขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกลุงได้”
   “ขอบคุณนะคะ คุณลุง”
   “พวกเพื่อนๆก็ด้วยเที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ”
   “ขอบคุณครับ/ค่ะ”
   รถตู้คันสีขาวคลื่อนตัวออกไป พวกผมจึงจัดการขนกระเป๋าจำนวนมากเข้าไปเก็บในบ้านพัก ข้างในบ้านค่อนข้างกว้างมีอยู่ 2 ชั้น ถึงจะไม่รู้ว่ามีจำนวนห้องแน่ๆกี่ห้อง แต่พอดูด้วยตาและความใหญ่โตจากภายนอกก็รู้เลยว่าน่าจะอยู่กัน 10 คนได้อย่างสบายๆ เผลอๆอาจจะอยู่กันได้มากกว่านี้อีก
   “ถ้างั้นเดี๋ยวมาแบ่งห้องกันดีกว่า มันมีห้อง 3 เตียง 2 ห้อง กับ 2 เตียง 2 ห้อง ถ้างั้น กู แพรว กับฝ้าย ห้องนึง วิน ไนท์ กับ เกม เอาห้องสามเตียงอีกห้องไปโอเคไหม อีกห้องก็เป็นข้าวฟ่างกับนุ่น ส่วนห้องสุดท้ายก็เป็นฟ้ากับที ตามนี้เนอะ”
   ไม่มีเสียงคัดค้านนีก็เริ่มชี้บอกตำแหน่งห้องของทุกคนโดยห้อง 3 เตียงจะอยู่ที่ชั้นล่างโดยห้องนีจะอยู่ตรงฝั่งซ้ายส่วนพวกไอ้วินจะอยู่ฝั่งขวา ถัดมาจะเป็นห้อง 2 เตียงซึ่งจะอยู่ด้านบนห้องของผมกับไอ้ฟ้าติดอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนพวกฟ่างจะอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องของผม แต่ของดีอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ทุกห้องจะมีระเบียงที่หันออกไปเจอทะเลกันหมด ถือว่าเป็นข้อดีที่ทำให้ทุกคนที่มาพักไม่ต้องแย่งห้องกัน
   “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ไปเจอกันที่ทะเลแล้วกัน”
   “มึงไม่คิดจะกินข้าวก่อนเหรอ นี้เกือบจะบ่ายโมงแล้วนะ”
   “เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินตรงชายหาด มันจะมีพวกร้านแผงลอยอยู่เยอะ กูเคยมาเดิน…ถ้างั้นอีกสัก 30 นาทีเดี๋ยวไปเจอกันที่ชายหาดแล้วกัน เดี๋ยวกูเปลี่ยนชุดเสร็จจะออกไปจองที่กันให้ก่อน”
   พวกเราต่างขนสัมภาระของตัวเองเข้าไปยังห้อง แต่ก่อนที่ผมจะเดินนีก็ยื่นมือขึ้นมาจับไหล่ของผมพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   “ขอให้สนุกนะพวกมึง”
   ก่อนที่เธอจะเดินไปยังห้องของเธอ รอยยิ้มเมื่อสักครู่ช่างดูเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลจนทำเอาเสียวสันหลังวาบ
   “เป็นอะไรไป”
   “เปล่า ขึ้นห้องกันเถอะ”
   ผมตอบร่างเล็กที่ชะโงกมาถามจากบนบันได จากนั้นผมจึงเดินตามมันขึ้นบันไดแล้วตรงไปยังห้องพักของพวกผม
   ร่างเล็กกำลังเดินดูบริเวณทางเดิน ไม่รู้อะไรทำให้มันสนใจขนาดนั้น แต่ผมก็ปล่อยมันไปแล้วเดินเข้าไปในห้อง
   ทันทีผมเดินเข้าไปในห้องภาพที่เห็นคือกระจกบานใหญ่ที่มีวิวทะเลอยู่ข้างนอก ผมวางสัมภาระเอาไว้บนพื้นก่อนจะเดินตรงไปยังระเบียง แสงแดดที่สาดส่องเข้ามา พร้อมกับลมที่มีกลิ่นของเกลืออยู่หน่อยๆช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
   “ไอ้ที…” ร่างเล็กที่เดินตามมาส่งเสียงเรียก ผมจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง ทันทีที่เห็นสภาพห้องชัดๆก็ทำเอาผมตะลึงไม่ต่างจากวิวทะเลที่เห็นไปเมื่อสักครู่ เมื่อภายในห้องที่ตอนแรกคิดว่าเป็นเตียงคู่ แต่ในตอนนี้กลับหดหายกลายเป็นเพียงเตียงเดี่ยวขนาดสามฟุตครึ่งและที่สำคัญคือ ภายในห้องมีกระจกบานใหญ่ซึ่งกั้นระหว่างห้องนอนและห้องน้ำซึ่งมันไม่มีม่านมาปิดเพราะฉะนั้นหากใครทำอะไรอยู่ในห้องน้ำคนในห้องก็จะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง
   “นีมันบอกห้องถูกเปล่าวะ กูรู้สึกแปลกๆ”
   “ไม่ล่ะ กูคิดว่ามันคงบอกถูกแล้ว”
ตอนนี้ผมรู้แจ้งถึงเบื้องหลังรอยยิ้มน่าสงสัยเมื่อสักครู่แล้ว ร้ายจริงๆ
   “เดี๋ยวค่อยไปบอกมันก็ได้ ตอนนี้รีบเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า”
   ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมจัดการถอดเสื้อยืดสีขาวออก จังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงอุทานดังขึ้นมาจากร่างเล็ก
   “ทะ-ทำอะไรของมึง อยู่ๆจะถอดทำไม”
   ร่างเล็กหันหลังไปเห็นแต่เพียงหูที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อๆขึ้นมา ทำเอาผมเริ่มยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก แผนการชั่วร้ายเริ่มจะผุดเข้ามาในหัว ผมตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะโถมเข้าไปกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง เป็นไปตามที่คาดร่างเล็กสะดุ้งเฮือกใหญ่ ก่อนที่ร่างกายจะแข็งทื่อตามมา…น่ารัก
   “เป็นอะไรอายรึไง หืม?”
   “คะ-ใครอายกัน ไม่มี๊ ก็ผู้ชายด้วยกัน” ตอบเสียงสูงเชียวนะมึง
   “ถ้าอย่างนั้นทำไมมึงไม่หันมาล่ะ”
   “กะ-กู กูก็แค่ไม่อยากจะเห็นพุ่งย้วยๆของมึงก็เท่านั้นเอง”
   พุงย้วยๆ เป็นคำพูดไม่กี่คำแต่ดันบาดลึกเข้าไปในใจ ได้เดี๋ยวกูจะให้ได้เห็นถึงความสุดยอดของกล้ามเนื้อหกลูกที่อยู่ที่ท้องกูเอง
   ผมจัดการใช้แรงเปลี่ยนให้ร่างเล็กหันหน้าเข้ามาประจันกับผมก่อนที่จะดันให้อีกฝ่ายไปจนมุมอยู่ที่กำแพง ใช้ทั้งสองมือยันบังทางหนีเอาไว้
   “ตรงไหนเหรอพุงย้วยๆของกู หืม?”
   “มะ-ไม่รู้ ไม่รู้ไม่ชี้เว้ย ออกไปได้แล้ว”
   “ไม่จนกว่ามึงจะตอบว่าตรงไหนของกูที่เรียกว่าพุงย้วยๆ…”
   ผมจัดการใช้ฝ่ามือหนา จับมือของร่างเล็กก่อนจะเลื่อนให้ฝ่ามือมาแตะบริเวณหน้าอก ทันทีที่แตะมือร่างเล็กก็เกิดกระตุกพร้อมที่จะดึงมือกลับแต่คิดเหรอว่าแรงของมันจะสู้ผมได้ ผมใช้แรงที่มากกว่าดึงกลับมาให้ห่างอยู่ที่หน้าอก
   “ตรงนี้เหรอ…”
   ผมค่อยๆบังคับให้มือเลื่อนต่ำลงไปจากหน้าอกตอนนี้เลื่อนมาถึงกล้ามท้อง 6 มัดที่ขึ้นลอน ถึงจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ถ้าเทียบกับคนอายุเท่ากันแล้วของผมก็ถือว่าเห็นชัดอยู่
   “หรือว่าตรงนี้กัน…” ผมพยายามบังคับมือของมันให้วนอยู่ตรงซิกแพคของผมจนเกิดความรู้สึกหวิวๆขึ้นมา
   “…”
   ร่างเล็กไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ใบหน้าตอนนี้แดงยิ่งกว่าที่เคยเห็นมา แววตามองต่ำลงไปยังซิกแพค พร้อมกับร่างกายที่สั่นเล็กๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากแกล้ง มึงผิดเองนะใครใช้ให้มึงน่ารักขนาดนี้ล่ะ
   “ไหนไอ้ฟ้า ตรงไหนเหรอ ตอบมาซิ”
   ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนที่จะกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่าปกติ
   “…”
   “หือ อะไรนะ”
   “กะ-…”
   “ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
   “กะ-กูแค่พูดเล่น”
   ร่างเล็กตอบออกมาด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา ใบหน้าตอนนี้ขึ้นสียิ่งกว่าเมื่อสักครู่ แถมตัวกำลังสั่นเทาเหมือนกับกระต่ายน้อยที่กำลังหวาดกลัวราชสีห์ ภาพตรงหน้าเหมือนกับเป็นตัวจุดชนวนให้สวิตซ์ที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจสับขึ้น
   “หืม เด็กโกหกต้องถูกลงโทษ เข้าใจไหม”
   “อะ-”
   ผมปล่อยมือเล็กๆจากพันธนาการก่อนจะใช้มือค่อยๆคลืบคลานเข้าไปยังเสื้อยืดสีดำที่ร่างเล็กกำลังสวมอยู่ก่อนจะค่อยๆลูบ ไล้บริเวณหน้าท้องนุ่มนิ่มตรงหน้า
   “อะ-ไอ้ที ยะ-หยุด”
   ร่างเล็กพูดอย่างตะโกนตะกัก เสียงที่ออกมามีอาการหอบปนอยู่บ้างเล็กน้อย
   “ถ้าอยากให้หยุดก็พูดขอโทษออกมาก่อนสิ”
   ผมยังกระซิบข้างหูไอ้ฟ้าอย่างแผ่วเบา พร้อมกับมือที่คอยลูบคลำอยู่ใต้ร่มผ้ายืดสีดำ
   “ขะ-ขอโทษ”
   “อะไรนะไม่ได้ยิน”
   “ปะ-ปล่อยสักที ไอ้เหี้ย!!!”
เปรี้ยง…จังหวะที่ผมกำลังไฟติดกับการที่กำลังจะเล่นกับกระต่าย สัมผัสแข็งๆและเจ็บปรากฏขึ้นบริเวณศีรษะทำให้แขนทั้งสองที่พันธนาการร่างเล็กหลุดออก พร้อมกับความเจ็บที่แล่นตรงสู่สมอง
“กะ-กูจะไปเปลี่ยนชุดห้อง ไอ้แพรว มะ-มึงไม่ต้องตามมาเลยนะ!!”
ปัง!!... ร่างเล็กพูดแบบนั้นก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง พร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น
“ใครเอาสมุดโทรศัพท์มาวางไว้ตรงนี้วะ” อาวุธคือหนังสือโทรศัพท์เล่มหน้าที่วางทิ้งไว้อยู่ตรงโต๊ะข้างๆ แล้วสมัยนี้ใครเขาใช้สมุดโทรศัพท์อีกเนี่ย
เฮ้อ… ผมทิ้งตัวเองลงไปนอน ผมเตียงก่อนที่จะเอาหน้าซุกไปที่หมอนพร้อมกับอุณหภูมิของใบหน้าที่พุ่งสูงขึ้นจนปรอทแทบแตก
ไอเหี้ย โคตรหน้าอายเลย ผมกรีดร้องอยู่ในใจพลางกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงพลางก่อนหมอนข้างเอาไว้แน่น พอรู้สึกตัวถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปเมื่อกี้มันน่าอายมาก ดันเผลอสับสวิตซ์แปลกๆไปซะได้ แล้วแบบนี้จะเข้าหน้ากับมันติดได้ยังไง ผมได้แต่พร่ำเพ้อและหาวิธีที่จะง้อกระต่ายน้อยที่เกือบจะทำราชสีห์หัวใจวาย

    “ไงจ๊ะ ถูกใจของขวัญของเรารึเปล่าเอ่ย”
   “ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือแก”
   ผมเดินมาที่ชายหาดซึ่งมีนีกำลังนั่งรออยู่บนเสื่อคนเดียว
   “จะว่าไปเข้าไปในห้องไม่ถึงชั่วโมง ไปทำอีท่าไหนไอ้ฟ้ามันถึงหน้าแดงแป๊ดวิ่งแจ่นมาห้องพวกกูเนี่ย”
   “…”
   ใช่ความเงียบสงบทุกสรรพสิ่ง พร้อมกับเบนหน้าหนีเพื่อไม่ให้เผลอแสดงออกผ่านทางสีหน้าออกไป ใครจะไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ โคตรน่าอายชิบหาย
   “จ้าๆ เปลี่ยนคำถามก็ได้… ตกลงมึงชอบไอ้ฟ้าจริงๆใช่ไหม”
   “อือ” ผมไม่คิดจะปิดอีกแล้ว เพราะดูเหมือนการแสดงออกของผมมันจะชัดเจนจนทำเอาคนรอบข้างรู้ตัวกันหมด… ยกเว้นไอ้เจ้าคนถูกกระทำที่ยังตีหน้าซื่ออยู่เลย
   “ตอบง่ายจังนะ นึกว่าต้องเค้นมากกว่านี้ซะอีก”
   “ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดนี้”
   “หืม…แล้วมึงคิดจะบอกมันรึเปล่าล่ะ”
   “…เรื่องนั้น ไม่รู้หรอก”
   “ไม่รู้?”
   “อืม… ใจนึงก็อยากจะบอกมันไป แต่อีกใจนึงมันก็กลัวน่ะสิ กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วความสัมพันธ์ของเรามันจะพังไป ถ้าจะให้เป็นแบบนั้นล่ะก็ขอเลือกเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจดีกว่า”
   มันเป็นสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด การที่ความสัมพันธ์ของผมกับมันจะลดลงไปต่ำกว่าเพื่อน เพียงเพราะคำสารภาพเห็นแก่ตัวของผม
   “อะไรทำให้มึงคิดว่าไอ้ฟ้ามันจะเลือกเลิกคบกับมึงล่ะ มึงคิดว่าคนอย่างไอ้ฟ้ามันจะเลือกทางนั้นเหรอ ไอ้ฟ้าก็ติดมึงจะตาย”
   “ก็แค่ความเป็นไปได้”
   “แต่เป็นความเป็นไปได้ที่โคตรแย่เลยนะ”
   “กูรู้”
   ปั๊บ… เสียงตบหลังดังลั่น พร้อมกับความเจ็บที่แล่นบนแผ่นหลัง
   “ไม่ต้องมาทำหน้าเครียดเป็นพระเอกเอ็มวีเลย เห็นไอ้ฟ้าฉลาดแบบนั้น แต่มันมักจะโง่เรื่องของตัวเอง มึงลองสารภาพรักไปเลยถ้าเกิดแป๊กขึ้นมามึงก็แถเอา”
   “เป็นคนพูดมันก็ง่ายดิ ลองมาเป็นคนทำดู”
   “ฮะฮะ กูก็เป็นคนง่ายๆอะไรแบบนี้แหละ… ถ้างั้นมึงมาแล้วก็ฝากดูของให้หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวไปซื้อพวกข้าวกลางวันมาให้”
   นีลุกขึ้นพลางปัดเศษทรายที่ติดตามตัวออก แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเดินออกไปเธอก็หันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจังผิดกับน้ำเสียงติดตลกเมื่อสักครู่
   “ถ้างั้นมึงจะทำอะไรก็แล้วแต่เลย แต่อย่างน้อยกูขอให้มึงคิดให้ดีๆก็แล้วกัน ว่าสิ่งที่ใจมึงต้องการจริงๆน่ะ มันคืออะไรกันแน่…ถ้างั้นก็ไปล่ะนะ ฝากเฝ้าไว้ด้วยล่ะ”
   สิ่งที่ใจต้องการจริงๆงั้นเหรอ…


ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 23 ทะเล(ต่อ)
น่านฟ้า
   “ไอ้ฟ้า เดี๋ยวพวกกูออกไปก่อนนะ ถ้ามึงเสร็จแล้วก็ตามมา”
   “อือ”
   ผมตะโกนตอบแพรวกับปุยฝ้ายที่เปลี่ยนชุดกันเสร็จแล้ว ส่วนผมก็มาขอยืมใช้ห้องน้ำของห้องพวกเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเรื่องเหตุผลก็…
   พอคิดถึงไอ้ตัวต้นเหตุแล้วมันก็รู้สึกเดือดขึ้นมา แม่งอยู่ๆก็เข้ามาแหย่แถมยังทำหน้าแบบนั้น
   นึกถึงใบหน้าของร่างสูงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ มันเผยรอยยิ้มใจเล่ห์แต่ใบหน้าของมันก็เต็มไปด้วยความน่าดึงดูดใจทำหัวใจผมเต้นโครมครามไม่หยุด รวมไปถึง…
   อ่า!!!... ผมเปิดก๊อกน้ำพลางเอาใบหน้าที่เริ่มขึ้นสี แถมอุณหภูมิที่เริ่มจะสูงขึ้นลงไปแช่น้ำเผื่อจะช่วยคลายอุณหภูมิลงไปได้ มะ-เมื่อกี้เตลิดอยู่ก็เลยไม่มีสติเท่าไหร่ แต่พอมาคิดๆดูแล้วเมื่อกี้ กูจับซิกแพคไอ้เหี้ยทีไปเต็มๆเลยนี่หว่า(ถึงความจริงจะโดนขืนใจก็เถอะ) ถึงตอนแรกจะโมเมไปเพราะอายที่จะเห็นมันถอดเสื้ออยู่หรอก แต่ดันกลายเป็นว่าทำให้มันคึกจัดยิ่งกว่าเดิมซะอีก
   อายุเท่ากันแท้ๆ แต่ร่างกายของมันกลับสูงใหญ่สมชายขึ้นกว่าแต่ก่อน ความสูงที่เพิ่มขึ้น ความหนาของฝ่ามือและปลายนิ้วที่เรียวยาว แถมแรงยังมากกว่าถึงขนาดขัดขืนก็ไม่อาจหลุดได้ รวมไปถึงสัมผัสของกล้ามท้องหกลูก…
   อ่า!!!!... สงบสติเข้าไว้น่านฟ้า ไอ้ทีมันก็แค่แหย่มึงเล่นตามสไตล์ของมันเท่านั้น อย่าไปคิดอะไร ท่องเอาไว้ว่า เพื่อน เพื่อน เพื่อน
   เฮ้อ… ได้ความเย็นจากน้ำมาช่วยทำให้หัวเย็นลงสักที พอผมเริ่มสงบสติได้ก็หันกลับมาแต่งตัวต่อให้เสร็จ ผมหยิบกางเกงว่ายน้ำสีดำขึ้นมาสวม
   “อ๊ะ… ลืมเอาฮู้ดมาด้วยแฮะ”
   ปกติผมไม่ชอบออกมาข้างนอกเท่าไหร่ ถ้าจะออกมาข้างนอกก็มักจะใส่เสื้อแขนยาวเพราะไม่ค่อยอยากจะถูกแดดเผา ส่วนทะเลก็แทบจะไม่ได้มาเลยถ้าคนอื่นไม่ชวน อุตส่าห์เตรียมฮู้ดสำหรับกันแดดมาแล้วแต่ดันลืมหยิบมาซะได้ จะให้ใส่เสื้อแขนยาวเมื่อสักครู่ก็ดูท่าจะไม่ไหว
   ผมมองเสื้อแขนยาวที่วางพาดอยู่ตรงชั้น เสื้อแขนยาวสีดำผลิตจากผ้าฝ้าย 100% …ร้อนตายห่า รู้ว่าต้องกลับขึ้นไปเอาผมห้องจริงๆ
   ไปมันทั้งอย่างนี้นี่แหละค่อยไปหาที่หลบแดดเอาดาบหน้า ถ้ากลับไปก็อาจจะต้องเจอกับมันก็ได้ตอนนี้ผมขอเวลาทำใจก่อน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนจู่โจมมา เดี๋ยวเจออะไรบ่อยๆมันจะไม่ดีต่อหัวใจ
   คิดได้อย่างนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ มุ่งตรงไปยังชายหาดที่เพื่อนๆกำลังรอกันอยู่

   ผมเดินข้ามถนนมาเจอกับหาดทรายสีนวลค่อนข้างสะอาด กลิ่นทะเลที่พัดโชยปนมากับสายลมทำให้รู้สึกดี สักพักผมก็เห็นไอ้ทีกำลังนั่งอยู่บนเสื่อ ผมตัดสินใจทำใจให้นิ่งเข้าไว้ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆร่างสูง
   “แล้วคนอื่นอะ”
   “ไปซื้อข้าวกันอยู่”
   “แล้วมึงไม่ไปด้วยอะ”
   “ถ้ากูไปแล้วใครจะเฝ้าของล่ะ”
   “จะว่าไปก็จริงเนอะ ถ้างั้นมึงก็ไปเดินดิ เดี๋ยวกูอยู่เฝ้าแทนให้”
   “ไม่เป็นไรกูอยู่เฝ้าตรงนี้แหละดีแล้ว… อ้าวมึงไม่ใส่เสื้อมาเหรอ”
   “อือ กูลืมฮู้ดเอาไว้บนห้อง เป็นเพราะใครก็ไม่รู้สินะ”
   ผมพูดไปพลางเหลือบมองไปยังร่างสูงที่ตอนนี้มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบริเวณมุมปาก
   “มึงเนี่ยนะ ออกแดดขนาดนี้แล้วไม่ใส่เสื้อเดี๋ยวก็โดนแดดเผาหรอก… เอ้ากูให้”
   ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับถอดฮู้ดที่ตนใส่อยู่จนถึงเมื่อครู่มาให้ผม
   “ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวมึงก็โดนแดดเผาหรอก”
   “เหอะ เทียบร่างกายกันแล้วคนที่น่าห่วงคือมึงมากกว่านะ ดูดิไม่ค่อยออกแดดเลยรึไง ถึงได้ขาวขนาเนี่ย”
   “ยุ่งน่า ก็กูไม่ชอบโดนแดดนี่หว่า”
   “ถ้างั้นก็เอาไปใส่ซะ อย่าเถียงมาก”
   “เออ ไม่เถียงแล้วก็ได้ ถ้ามึงโดนแดดเผาแล้วก็อย่ามาโทษกูแล้วกัน”
   ผมรับเสื้อฮู้ดมาพร้อมกับเอามาใส่ ด้วยความที่ขนาดร่างกายของพวกเราสองคนต่างกัน เสื้อฮู้ดที่ขนาดพอดีตัวร่างสูงเมื่อครู่ พอมาปรากฏอยู่บนร่างกายผมมันก็ดันใหญ่กว่ามาก ชายเสื้อยาวลงมาจนเกือบครึ่งเข่า ส่วนปลายแขนก็ยาวเลยมือผมไปไกลจนผมต้องพับเอาไว้ ที่สำคัญคือ บริเวณแขนเสื้อยังมีความรู้สึกอุ่นๆหลงเหลืออยู่เลย คงเป็นเพราะร่างสูงพึ่งใส่จนถึงเมื่อสักครู่นี้ แถมยัง… ได้กลิ่นของมันอยู่หน่อยๆด้วยแฮะ ถึงจะเป็นกลิ่น้ำยาปรับผ้านุ่มธรรมดาๆ แต่พอเจ้าของเป็นไอ้ทีแล้วก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิม
   “ตัวมึงเนี่ยโคตรเล็กเลยนะ เสื้อกูดูใหญ่ไปเลย”
   “กูไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย มึงต่างหากที่สูงเกินไป”
   “เหรอ…”
   “เออดิ กูเนี่ยส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของโรงเรียนเลยนะ”
   “แต่ได้ข่าวว่าโรงเรียนมึงมีแต่ผู้หญิง”
   “…ยุ่งน่า”
   ผมทำหน้าดุใส่อีกฝ่ายไป ส่วนมันก็เล่นหัวเราะอัดหน้าผม หลังจากที่เสียงหัวเราะของมันหายไป มันเริ่มตีหน้านิ่งเงียบ ทำเอาผมรู้สึกกังวลและแล้วมันก็เริ่มพูดขึ้นทำลายความเงียบไป
   “ไอ้ฟ้า คือเรื่องเมื่อกี้… จะว่ายังไงดีล่ะ คือ”
   ร่างสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมใบหน้าของมันก็ขึ้นสีเล็กน้อย ถ้ามองผ่านๆก็คงจะไม่เห็น แต่อย่าคิดว่ามันจะรอดจากสายตาผมไปได้ เพราะตั้งแต่ที่เริ่มจะรู้ความรู้สึกของตัวเอง ผมก็มักจะมองมันอยู่ตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่สุดท้ายผมก็มักจะไปจบที่มันเสมอ
   “เมื่อกี้กูเผลอแกล้งมึงหนักไปหน่อย กูขอโทษนะ ยกโทษให้กูได้ไหม…”
   ร่างสูงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติ แต่อยู่ๆผมก็คิดอยากจะแก้เผ็ดเพื่อนสนิทตัวเองขึ้นมาได้
   “ก็ได้นะ แต่มึงต้องบอกว่า ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับท่าน ก่อน”
   ทันทีที่ร่างสูงได้ยินก็ทำหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูจะมีเลศนัย
   “ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับท่าน”
   “หืม… อะไรนะไม่เห็นได้ยินเลย”
   “ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับท่าน”
   “อะขอโทษๆ พอดีไม่รู้ทำไมแต่ช่วงนี้หูไม่ค่อยจะดีเลย”
   รอยยิ้มสะใจเหมือนตัวร้ายในละครทีวีปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของผม จริงๆก็ได้ยินตั้งแต่ครั้งแรกแล้วแหละเพราะมันก็พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ไหนๆก็ได้โอกาสเข้าคืนแล้ว ผมก็ขอเก็บเกี่ยวความสนุกเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน นานๆทีจะได้เป็นฝ่ายแกล้งคืนบ้าง
   แต่แล้วผมที่กำลังเริงร่าอยู่กับการหยอกเพื่อนสนิท ไอ้ทีก็เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ผมที่ตกใจกับภาพตรงหน้าก็เขยิบตัวถอยหนีไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่สามารถหนีมันไปได้เมื่อมันใช้ฝ่ามือแกร่งโอบเอวของผมเอาไว้ได้ก่อนที่จะยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้
   “ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับ”
   มันพูดกระซิบข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าปกติ ผมรีบผลักร่างสูงออกไปก่อนที่จะรีบหันหลังนั่งยกฮู้ดขึ้นมาปิดหน้าให้มากที่สุดก่อนจะรีบทำให้หัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำและใบหน้าที่กำลังจะขึ้นสีกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด จากฝ่ายที่แกล้งเขาดันเป็นฝ่ายที่โดนแกล้งซะได้… อยู่ๆก็จู่โจมแบบไม่ให้ทันตั้งตัวแบบนี้มันขี้โกงนะ
   สักพักพวกที่ออกไปซื้อของกินก็กลับมาพร้อมกับเมนูหลากหลายชนิด ดีเลยบรรยากาศจะได้ประหม่าน้อยลงกว่าเมื่อครู่ เมนูที่พวกนีซื้อมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเมนูข้าวผัดทะเล เดี๋ยวนะใครบังอาจซื้อหมูกระเทียมกับเมนูสิ้นคิดอย่างกระเพรามาเนี่ย อุตส่าห์มาทะเลทั้งที
   “ใครเป็นคนสั่งพวกหมูกระเทียมกับกระเพรามาเนี่ยสิ้นคิดไปปะ” วินที่พึ่งเดินมาพูดขึ้น นานๆที ความคิดของพวกเราสองคนจะตรงกัน ข้างหลังวินก็มีไนท์กับเกมส์ที่มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย
   “เก็บท้องไว้รอเย็นนี้เอา เดี๋ยวเย็นนี้จะมีบาร์บีคิวให้ปิ้งกันเอง ตอนนี้ก็ทนๆกินอะไรรองท้องกันไปก่อน อย่าเรื่องมาก”
   นีพูดพร้อมกับแจกกล่องข้าวและอุปกรณ์การกินให้พวกเรา ก่อนที่จะเดินออกมาผมเห็นว่าบริเวณข้างบ้านมันจะส่วนที่เป็นสระน้ำพร้อมกับเตาบาร์บีคิว สงสัยจะไปทำกันตรงนั้นแหละมั้ง… อะ ไอ้นี้ก็อร่อยดีแฮะ ถึงมันจะดูสิ้นคิดก็เถอะ
   “ถ้ากินข้าวกันเสร็จแล้วไปว่ายน้ำกันเถอะ พวกมึง”
   “เฮ้อ คึกเกินไปไหมมึงเนี่ย”
   “กูก็แค่ทำให้เข้ากับบรรยากาศ อุตส่าห์มาทะเลทั้งที ไอ้ไนท์มาว่ายน้ำแข่งกับกูเลยมา”
   “ครับๆ”
   “ทีเหลือล่ะ ไปว่ายน้ำกันไหม”
   “เดี๋ยวหนูกับนุ่นจะนั่งพักกันตรงนี้สักหน่อย”
   “ส่วนพวกกูจะไปเดินส่องผู้แทนนี้หน่อย ตอนไปซื้อข้าวเหมือนเห็นคนแจ่มๆ”
   ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานที่แต่สันดานดิบก็มิอาจแก้ได้ เดี๋ยวๆหน้าๆพวกมึงช่วยเก็บอาการกันหน่อย รู้ว่าหิวแต่ช่วยคิดหัวอกคนโดนจ้องด้วย ทางนั้นคงคิดว่าพวกมึงรอเขมือบอยู่
   “เดี๋ยวผมตามไปดูพวกเธอก็แล้วกันครับ พวกผู้หญิงเดินกันเองมันอันตราย”
   โห สุดยอดเกมส์ ขอมอบรางวัลสุภาพบุรุษแห่งปีจริงๆ
   “แล้วพวกมึงล่ะ ไอ้ที ไอ้ฟ้า จะเอายังไง”
   “กูเอาตามไอ้ฟ้าแล้วกัน”
   “เหอะ เอาตามก็ได้… เอาไงทางนั้นเขาโยนมาให้มึงแล้วอะ”
   “เออ กูว่ากูมะ-”
   “อ่อ ใช่ๆไอ้ฟ้า กูไปเจอไอ้นี้ในห้องเก็บของ เอาไปใช้ซะนะ กูว่ามึงน่าจะต้องใช้”
   “…” ผมรับสิ่งที่นีโยนมาให้โดยไม่คิดจะปริปากพูดใดๆ แต่ดูเหมือนไอ้ร่างสูงกับไอ้กวนตรงหน้าจะสนใจกับสิ่งที่ผมพึ่งจะรับมา
   “ห่วงยาง?”
   ทั้งสองมองหน้าผมด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อความจริง เออใช่ซิ ก็กูว่ายน้ำไม่เป็นนี้หว่า ไม่ต้องมาตอบย้ำกู
   “ฮะฮะฮะ”
   “มึงหัวเราะมากไปแล้วนะวิน”
   “กะ-ก็ มึงดูดิไนท์ อะ-ไอ้ฟ้าใส่หะ-ห่วงยางแล้วแม่งโคตรเหมือนเด็กเลย”
   ตอนนี้พวกเรากำลังว่ายน้ำกันอยู่ในทะเล โดยมีชายร่างสูงสามคนกำลังว่ายน้ำล้อมรอบชายร่างเล็กลอยตัวไปกับห่วงยาง อารมณ์เหมือนเหล่าพี่ชายพาน้องชายมาว่ายน้ำ แถมมีคนนึงกำลังจะขาดอากาศหายใจตายเนื่องจากหัวเราะมากเกินไป ผมควรจะช่วยมันโดยให้มันจมน้ำลงไปตายเลยน่าจะสบายกว่า
   “กูพึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงว่ายน้ำไม่เป็น”
   “ก็ไม่มีใครถามก็นิ”
   “ถ้างั้นกูสอนให้มึงไหมล่ะ”
   “ไม่ต้องหรอก เสียเวลาเล่นมึงเปล่าๆ”
   “ไม่หรอก สอนมึงกูว่าก็น่าสนุกดีออก”
   “น่าสนุกยังไงไม่ทราบ”
   “ก็จะได้เห็นมึงตะกุยๆน้ำ แถมว่ายท่าลูกหมาตกน้ำด้วยน่ารักจะตาย”
   “นะ-น่ารักตรงไหนวะ” อยู่ๆอย่าพูดว่าน่ารักเซ่… มันชวนให้ใจเต้น
   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูกับไอ้วินไปว่ายน้ำแข่งกันตรงโน้นนะ พวกมึงก็ว่ายฝึกกันตรงนี้แล้วกันน้ำไม่ลึกมาก”
   “เออ… ถ้างั้นก็เริ่มกันเลยไหม”
   ร่างสูงยื่นมือทั้งสองมาให้ ผมจึงปล่อยมือจากห่วงยางก่อนจะจับตอบ
   “ค่อยๆเตะน้ำต่อไปนะ”
   “บะ-แบบนี้เหรอ”
   “ใช่ๆ แบบนั้นแหละ เตะขาสูงๆหน่อย”
   ตอนนี้ร่างสูงทำหน้าที่เสมือนครูสอนว่ายน้ำ จับมือพาผมที่กำลังเตะขาอย่างงุนงง ที่ท้องก็ยังมีห่วงยางอันใหญ่เป็นหลักประกันว่ายังไงก็ไม่จมแน่ แต่พอมาคิดๆดูแล้วมันดูน่าอายยังไงก็ไม่รู้ ภาพผู้ชายสองคนจับมือกันสอนว่ายน้ำเนี่ย แถมยังใส่ห่วงยางอีก
   แถมยัง… ผมเหลือบตาขึ้นมามองร่างสูงที่กำลังส่งเสียงชี้แนะอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะมุ่งมั่นอยู่กับการสอนผม ผมจ้องมองร่างกายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมันสังเกตเห็นก็เลยต้องแสร้งทำเป็นไม่อยากมอง แต่ใครๆเขาก็ต้องอยากมองอยู่แล้ว… ร่างกายของคนที่ชอบน่ะ
   ก่อนหน้านี้มองเห็นผ่านๆก็จริง พอมาสังเกตให้ชัดๆแล้ว ร่างกายของมันค่อนข้างจะมีกล้ามเนื้อ ค่อนข้างจะสวยงามสำหรับเด็กมัธยมปลาย แถมด้วยกล้ามท้อง 6 ลอนทำให้มันดูสมชายมากกว่าเดิม เมื่อก่อนร่างกายยังนุ่มนิ่มไม่ต่างกัน ตอนนี้ร่างกายกลับแน่นขึ้นมาเยอะเลย มือก็ใหญ่กว่าผมตั้งเยอะกำรอบข้อมือได้สบายๆ
   ผมค่อยๆช้อนตาขึ้นไปมองร่างสูง ใบหน้าที่มองจากมุมนี้มันช่างดูได้รูป ถึงแม้จะเป็นใบหน้าที่เห็นจนคุ้นแต่พอมามองมุมนี้แล้วมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน
   “เอาล่ะดูเหมือนว่ามึงจะพอว่ายได้แล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวกูจะลองปล่อยมือแล้วกัน”
   “เอ๊ะ ดะ-เดี๋ยว”
   ไม่ฟังคำตอบร่างสูงก็ปล่อยมือทั้งสองข้าง ผมรู้สึกเหมือนเสียหลักหน้าจุ่มลงน้ำ ก่อนที่จะกลับมาพยายามพยุงตัวขึ้น โชคดีที่ว่ายังมีห่วงยางอยู่ ไม่งั้นคงจมไปแล้ว
   “อยู่ๆอย่าปล่อยมือดิวะ”
   “น่าๆ มึงลองว่ายมาตรงนี้มาๆ”
   ร่างสูงกวักมือเรียกผมเข้าไป ผมเลยพยายามตะเกียกตะกายว่ายตามไปอย่างทุลักทุเล ถ้าจับได้เดี๋ยวได้เห็นดีกัน แต่ทันทีที่ผมกำลังจะจับตัวมันได้ มันก็ค่อยๆเดินห่างขึ้นๆ จนรู้สึกถึงความเดือดดาลที่เพิ่มสูง
   “อย่าหนีดิวะ”
   “ฮะฮะ แน่จริงก็ตามจับกูให้ได้ดิ”
   ร่างสูงพูดขึ้นมาได้น้ำเสียงยียวนกวนประสาท ผมเลยพยายามว่ายไล่ตามไป แต่อีกฝ่ายก็ยังคงถอยห่างไม่เลิก พวกเราว่ายไล่จับกันอย่างนั้นสิบกว่านาทีจนในที่สุดทีมันก็ยอมอยู่เฉยๆ กว่าจะยอมได้นะมึง ขากูปวดไปหมดแล้วเนี่ย
   แต่จังหวะที่ผมกำลังจะจับมือของอีกฝ่าย อยู่ๆความสูงของพื้นน้ำก็สูงขึ้น จากนั้นไม่นานก็ถูกคลื่นซัดเข้าไปเต็มหน้า
   แย่แล้วโดนคลื่นซัดเต็มๆเลย… ความอึดอัดและความเย็นของน้ำทะเลเข้าจู่โจมร่างกาย ภาพรอบตัวดำมืดไปหมด แถมเท้ายังไม่รู้สึกถึงพื้นทราย สัมผัสของห่วงยางรอบเอวก็หายไปดูเหมือนจะถูกซัดหลุดออกไป ผมใช้มือของตัวเองตะกุยไปทั่วพยายามจะหาหลักสำหรับจับ แต่สิ่งที่ผมคว้าได้ก็มีแต่น้ำทะเลเท่านั้น
   แต่แล้วในที่สุดผมก็สัมผัสของฝ่ามือซ้ายก็เปลี่ยนไปเป็นสัมผัสเรียบลื่นอยู่ตรงหน้าผมจับสิ่งนั้นเอาไว้แน่น ก่อนจะยื่นมืออีกข้างเข้าไปคว้าตามทิศทางนั้น พอมือสัมผัสก็พบกับความอุ่นและความอ่อนนุ่ม ดีล่ะต้องเป็นมือไอ้ทีแน่ ผมจัดการกำมือทั้งสองแน่นก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีแรงโอบกอดที่บริเวณเอวตามมาด้วยแรงฉุด สักพักผมก็รู้สึกได้ถึงอากาศ ความอึดอัดเมื่อครู่หายไป ผมค่อยๆลืมตาขึ้นก็พบกับใบหน้าของร่างสูงที่เข้าใกล้ผมจนรู้สึกถึงลมหายใจ
   “มึงไม่เป็นไรใช่ไหม”
   “อะ-อืม”
   “ขอโทษนะ กูไม่น่าเล่นอะไรแบบนั้นเลย”
   “ไม่เป็นไร”
   ดูท่าไอ้ทีมันจะเป็นห่วงผมเอามาก ใบหน้าของมันดูร้อนรนกว่าที่เคย
   “แต่อย่างน้อยมึงก็ช่วยกูเอาไว้ได้นี้ ขอบคุณ”
   “อืม”
   ร่างสูงยกมืออีกข้างที่ไม่ได้โอบเอวผมไว้ขึ้นมาลูบหัวปลอบ ถึงแม้บริเวณหัวจะเย็นจากการถูกลมพัดมาแต่ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาผ่านฝ่ามือหนามันช่างให้ความรู้สึกปลอดภัย มันทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มไปทุกครั้ง
   “เออ ไอ้ฟ้า… คือว่า…”
   “อะไร”
   ใบหน้าของทีเริ่มมีสีแดงปรากฏขึ้นบริเวณแก้ม แถมเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ลามไปถึงใบหูแล้ว… นะ-น่ารัก ไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อนเลย อยากเอามือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ชะมัด
   “คะ-คือว่า… กูขอ… กางเกงกูคืนได้ไหม”
   “กางเกง? พูดเรื่องอะไรของม-…”
   แต่แล้วก็เหมือนกับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน ผมจึงยกมือซ้ายขึ้นมาก็พบกับชุดว่ายน้ำสีขาวลายคาดดำ ละหม้ายคล้ายกับที่ไอ้ทีมันใส่มาเลย…ไม่ใช่แล้วเว้ย!!! นี่มันตัวเดียวกันชัดๆ
   ผมหันไปมองร่างสูง แต่ร่างสูงก็เบือนหน้าหนีไป พยายามหลบไม่ให้เห็นใบหน้าขึ้นสี ก่อนที่พบจะสังเกตถึงความผิดปกติ
   เดี๋ยวนะ…
   มือขวาของไอ้ที… โอบเอวผมอยู่
   มือซ้ายของไอ้ที… ลูบหัวผมอยู่
   … แล้วมือขวาของผมกำลังจับอะไรอยู่
   มือขวาของผมยังมีสัมผัสอุ่นๆ แต่เปลี่ยนจากที่ตอนแรกที่ผมจับมันค่อนข้างจะนุ่ม อะไรเนี่ย? ผมพยายามบีบด้วยความสงสัย ตอนนี้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม เริ่มแทนที่ด้วยความรู้สึกแข็ง ก่อนที่เสียงร้องของไอ้ทีจะคลายข้อข้องใจของผมให้หมดเปลือก
   “อะ อื้อ… ยะ-อย่าบีบเยอะดิ มะ-มันเสียวนะ”
   “ทะ- ทะ- ทะ- ทะ- ถ้าอย่างนั้นที่กูจับอยู่นี่คือ”
   ร่างสูงไม่พูดอะไรเพียงแต่เบือนหน้าที่แดงยิ่งกว่าเมื่อครู่หนีไป
   ผมที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มจะขึ้นสีตามมันก็มองลงไปดูในน้ำตามทิศทางของมือขวาที่ไปสุดอยู่ตรงหว่างขาของร่างสูง อุณหภูมิใบหน้าเริ่มสูงปรี๊ดขึ้น ความรู้สึกต่างๆผสมกันปนเป ทั้งความสับสน ความอับอาย จนในที่สุดเหมือนสมองจะไม่อาจประมวลผลไหว เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ปิดเครื่องเองเมื่อเครื่องร้อนเกินไป ตอนนี้สมองของผมก็เริ่มทำการปิดตัวเอง ทัศนวิสัยตรงหน้าค่อยๆมืดลงตามสติที่เริ่มจะเลื่อนลางไปพร้อมกับเสียงเรียกชื่อผมที่ไอ้ทีเรียกเบาลงเรื่อยๆ

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)

อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท

   

   

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 24 รักนะรู้มั้ย
[น่านฟ้า]
   “อื้อ… ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
   ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือก่อนที่จะมองสำรวจรอบๆตัว ก็พบกับเตียงสำหรับสองคนที่ผมกำลังนั่งอยู่ พร้อมกับบานกระจกบานใหญ่ที่ฉายภาพของห้องน้ำที่อยู่ติดกันได้อย่างชัดเจนจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของห้อง… ห้องพักนี่หว่า ทำไมถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้นะ
   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”
   ทีที่เปิดประตูเข้ามา ทักขึ้นเมื่อเห็นผมฟื้นขึ้นมาแล้ว
   “อยู่ๆ เล่นเป็นลมกลางทะเลทำเอาคนเขาใจหายใจคว่ำหมด”
   “เป็นลม?”
   จะว่าไปก็เหมือนจะจำได้ลางๆว่าตอนนั้นไอ้ทีมันช่วยฝึกว่ายน้ำให้ผม ผมว่ายน้ำไปพยายามจะจับมัน จากนั้นก็โดนคลื่นจนเกือบจม ทีมันเข้ามาช่วยไว้พอดี ต่อจากนั้นก็…
   “แต่กูพึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงเป็นพวกหื่นเงียบ”
   ร่างสูงทิ้งตัวลงมานั่งบนเตียงก่อนจะวาดรอยยิ้มกวนๆส่งมาให้ผม
   และแล้วก็เหมือนกับความทรงจำทั้งหมดได้ย้อนกลับเข้ามารำลึกในหัว พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มร้อนระอุขึ้นจนขึ้นสีชัดเจน หัวใจเต้นแรงจนน้ำเสียงที่พูดตะกุกตะกักด้วยความร้อนรน
   “มะ-ไม่ใช่สักหน่อย!!!”
   “เหรอ… แต่อยู่ๆมึงก็เข้ามาแก้ผ้ากูกลางทะเล กลางวันแสกๆแบบนี้เนี่ย… ใจ กล้า จัง เลย นะ”
   “กะ-กูก็แค่กลัวจะจมน้ำต่างหาก กูก็เลยเผลอคว้าผิด”
   “ไปคว้าเอาน้องชายกูด้วยว่างั้น?”
   ร่างสูงพูดขึ้นมาพร้อมกับยักคิ้วมาให้ผมรอบนึง อ่า!!! ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งแก้ตัว ความอับอายมันถาโถมเข้ามาจู่โจมจนไม่กล้าจะมองหน้าเลย ผมจัดการมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนโตแปลงกายตัวเองเป็นลูกบอลสีขาวขนาดใหญ่ อายเว้ยยยย
   “มึงรู้ไหมว่ากูอุตส่าห์ปกป้องความบริสุทธิ์ของน้องชายกูมาตั้ง 17 ปี มาวันนี้โดนมึงปู้ยี่ปู้ยำไปขนาดนั้น มึงจะรับผิดชอบน้องกูยังไง”
   “กะ-ก็เรื่องของน้องมึงสิวะ!!”
   “ใจร้ายวะไอ้ฟ้า มึงรู้ไหมว่ากว่ากูจะปลอบประโลมน้องกูให้หลับได้มันนานขนาดไหน แถมมึงยังชิงสลบไปก่อน รู้ไหมว่าตอนมึงทิ้งกูที่กำลังเปลือยท่อนล่างอยู่กลางทะเลมันรู้สึกยังไง”
   กูรู้แล้ว… กูรู้แล้ว… ไอ้ที!!! มึงช่วยหยุดพูดเรื่องนี้ก่อนได้ไหม ยิ่งพูดจิตใจอันแสนโสมมของกูมันจะยิ่งมโนไปกันใหญ่ ถึงผมจะสลบไปกลางคันก็เถอะ แต่ภาพตอนนั้นมันยังติดตราตรึงใจ เก็บทุกรายละเอียดบันทึกลงในสมองอย่างรวดเร็ว
   ตอนนั้นร่างกายของผมกับมันอยู่ใกล้กันมากเรียกได้ว่าแทบจะเบียดกันด้วย ความรู้สึกของผิวหนังท่อนล่างที่เสียดสีกัน ถะ-ถึงจะมีกางเกงว่ายน้ำของผมคั่นอยู่ก็เถอะ มันชวนให้คิดดีไม่ได้เลย พอรู้ว่ามันไม่ได้ใส่ แถมมือขวาของผม ดะ-ดันไปจับไอ้นั่น…
   จะว่าไปตอนที่คว้ารอบแรกมือขวาของผมกำรอบได้พอดี ถึงมือผมจะค่อนข้างเล็ก แต่ก็น่าจะใหญ่กว่าพวกผู้หญิงเล็กน้อย แต่จำได้ว่าสัมผัสก่อนจะสลบมันเหมือนกับว่ามันจะกำได้ไม่หมด ผมยกมือขวาขึ้นมาสำรวจก่อนจะทำท่ากำอากาศจำลองสถานการณ์เมื่อครู่
   เขาว่ากันว่าสมองของคนเราจะเติมข้อมูลในช่องว่างโดยอัตโนมัติ ตอนนี้สมองของผมก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะทันทีที่ผมได้เห็นมือขวาของผมในท่ากำอากาศสมองมันก็จินตนาการขนาดของสิ่งที่เคยถูกกำลงไปอย่างอัตโนมัติ
   หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับร่างกายที่รู้สึกหวิวๆ ทำใจดีๆเอาไว้ก่อนตัวกู ท่องเอาไว้ว่ามันแค่แท่งเอ็นไม่ต่างอะไรกับมือ ท่องไว้ มันแค่แท่งเอ็น แค่แท่งเอ็น แค่แท่งเอ็นไม่ต่างอะไรกับมือ…
   เดี๋ยวนะ…
   พรึ่บ… ผมเปิดผ้าห่มออกมา ไอ้ทีสะดุ้งเมื่อเห็นผมที่อยู่ๆคิดอยากจะออกก็ออกมา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
   “ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กู”
   ตอนนี้ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีกรมกับกางเกงขาสั้นสีขาว ซึ่งเป็นชุดใหม่ในกระเป๋าผม รวมไปถึงเนื้อตัวที่ไม่มีความเหนียวจากการลงไปเล่นน้ำทะเลหลงเหลืออยู่ เหมือนกับว่าได้ไปอาบน้ำล้างตัวมาแล้วอย่างงั้นแหละ
   “แล้วมึงคิดว่าใครล่ะ”
   “ยะ-อย่าบอกนะว่าเป็นมึง…”
   “เออดิ นอกจากกูแล้วจะมีใครอีกล่ะ”
   “ทะ-ถ้าอย่างนั้น… มะ-มึงก็เห็น…” ตอนนี้เนื้อตัวของผมสะอาดเอี่ยมมีกลิ่นสบู่จางๆ ใส่เสื้อ กางเกงชุดใหม่จากในกระเป๋า… พร้อมกับกางเกงในตัวใหม่ในกระเป๋า
   “ก็…นิดหน่อย”
   ร่างสูงหันหน้าหนีพลางยกมือขึ้นมาเกาแก้มที่แดงเรื่อๆแก้เขิน ส่วนของผมน่ะเหรอแดงตั้งแต่ตอนที่มันถามว่า ‘คิดว่าใคร’ แล้ว
   “ไอ้เหี้ย! ไอ้โรคจิต! ไอ้วิตถาร!”
   หมอน ผ้าห่ม โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน สิ่งของที่ผมสามารถคว้าได้ ณ จุดๆนี้ สิ่งของเหล่านั้นต่างก็บินว่อนพุ่งเป้าไปที่ไอ้ทีที่ตอนนี้กระโดดหลบเป็นลิงไปแล้ว
   “ดะ-เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน… อย่าปาของดิวะ ก็มันช่วยไม่ได้นี่หว่า ถ้าไม่ใช่กูแล้วมึงจะให้ใครอาบให้”
   “ถ้าอย่างนั้นมึงก็ปล่อยกูนอนทั้งๆอย่างนั้นไปเลยดิ!”
   “ได้ก็บ้าแล้วไอ้ฟ้า… กะ-ก็ถือว่าแลกกันไง มึงจับของกูไปแล้ว กูดูของมึงก็ถือว่าหายกัน โอเคนะฟ้านะ เพราะงั้นหยุดก่อน…เฮ้ย เดี๋ยวทำไมมันเร็วขึ้นล่ะ ไอ้ฟ้าโว้ย!!!”
   “หุบปากไปเลยไป ไอ้XXX!”
   “เดี๋ยวคำหยาบขนาดนั้นมึงไปรู้มาจากใครวะ… เดี๋ยวก่อนไอ้ฟ้าถ้าปาไอ้นั้นกูตายได้เลยนะ หยู๊ดดด!!”
   สมุดโทรศัพท์เล่มหนาเล่มเดิมจ้า… กำลังจะบินไปแล้วจ้า… บินแล้วจ้า…
   “เฮ้ย พวกมึงสองคน ทะเลาะอะไรกันส่งเสียงดังไปถึงขะ-…”
   ชนดั้งเต็มๆเลยจ้า…
   ตึง… ไนท์ที่เปิดประตูเขามาตรงกับจังหวะที่ไอ้ทีฉวยโอกาสหลบสมุดโทรศัพท์ได้ ทำให้สมุดเข้าหน้าของไอ้ไนท์ ‘เต็มๆ’ จนมันล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นหน้าห้องจนเกิดเสียงดังขึ้นมา
   “ไนท์!” สงครามระหว่างเราสองคนจบลงที่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ เพียงแต่มีผู้เสียสละหนึ่งรายที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่กลับต้องรับกรรมไป ‘เต็มๆ’
   
   ตื้อดือ… เสียงกริ่งแสนคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับประตูอัตโนมัติของร้านสะดวกซื้อที่เปิดออก ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดมาทั้งวันทำเอาตัวสั่นเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ตอนนี้พวกผมสองคนถูกใช้ให้ออกมาของ ส่วนสาเหตุก็มาจากดันไปทำร้ายร่างกายไนท์ที่มันอาสาจะออกไปซื้อของมาให้ กลายเป็นพวกผมต้องมาแทนเพื่อให้คุณคนนั้นนั่งพักเอาถุงน้ำแข็งประคบดั้งจมูกแดงแปร๊ด
   “หวา… หนาวจังวะ”
   “ถ้างั้นก็รีบซื้อรีบกลับกันเหอะ กูก็ไม่อยากแข็งตายอยู่ที่นี่”
   “กูเห็นด้วย”
   ก็รู้แหละว่าประเทศไทยมันร้อน ถ้าเนไปได้ก็อยากจะหนีเข้าไปซุกตัวอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีสามัญสำนึกเรื่องการปรับอุณหภูมิสักหน่อย หนาวขนาดนี้ให้เพนกวิ้นอยู่รึครับท่าน
   “พวกนั้นฝากซื้อของเยอะไหมวะ”
   “อืม… เดี๋ยวนะ”
   ทีล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบกระดาษโน้ตที่พับอยู่คลี่ออกมา
   “ก็มีพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ ผัก เครื่องปรุง นอกนั้นก็พวกน้ำกับขนม แถมมีวงเล็บมาด้วยว่าให้ซื้อมาเยอะๆ”
   “ถ้างั้นก็คงต้องใช้รถเข็นแล้วล่ะ เดี๋ยวกูไปเอามาให้”
   ร้านสะดวกซื้อที่นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กได้เลย เพราะมีตั้งแต่ผักสด เนื้อสัตว์สด รวมไปถึงอาหารทะเล กุ้งหอยปูปลาที่ว่ายกันอยู่ในตู้ พร้อมจะให้คุณเลือกสรรกลับไปทำมื้อค่ำสุดอร่อยของคุณได้ทุกเมื่อ
   “คิดว่าเนื้อแค่นี้พอไหมวะ”
   “กูว่าไม่นะ ไอ้วินมันกินจุจะตาย ซื้อเพิ่มไปอีกสักสอง สามถุงแล้วกัน”
   “ได้… เออจะว่าไปแล้วผลสอบของมึงออกมายังอะ”
   “รู้สึกว่าจะมีคนส่งมาให้ในไลน์แล้วมั้ง แต่กูยังไม่ได้ดูเลย”
   “กลัวแพ้พนันกูล่ะสิ”
   “กลัวบ้านมึงดิ เพราะวันนี้มึงทำกูยุ่งทั้งวันกูเลยยังไม่ได้ดูเนี่ย” อ้าวเหรอ…
   “ถ้างั้นมึงก็ดูตอนนี้เลยดิ กูก็อยากรู้”
   “ทีเรื่องแบบนี้ล่ะหน้าบานเชียวนะ ขี้เสือกนักนะมึงเนี่ย”
   “ขี้เสือกอะไร๊กูก็มีเอี่ยวด้วย กูก็ต้องอยากรู้ดิ กูเตรียมคิดคำสั่งมาตั้งนานแล้ว… โอ๊ยแล้วมึงจะมาดีดหน้าผากกูเพื่อ”
   “กูมึงมั่นหน้าว่ะ เห็นแล้วมันหมั่น…”
   “หมั่นไส้?”
   “เปล่า หมั่นเขี้ยวอยากฟัด…”
   ร่างสูงไม่พูดเปล่า เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้มือหนายื่นมาจับบริเวณลำคอ ผมสะดุ้งโดดโหยงถอยหลังไปเหมือนกระต่ายจนร่างสูงที่เห็นก็หลุดขำออกมาเบาๆ
“เป็นหมารึไงมึง เดี๋ยวกูซื้อเพ็ดดีกรีให้ถุงใหญ่เลย” ใครอนุญาตให้มึงจับกู ต้องรอกูเตรียมใจก่อน เมื่อตอนบ่ายทำเอาหัวใจบางเกินไปแล้ว ถ้าทำไปมากกว่านี้มันจะบางกว่ากระดาษเอา
   “ไม่เอาอะ… กินมึงน่าอร่อยกว่ากันตั้งเยอะ”
   “… วันนี้มึงดูคึกกว่าปกตินะไปโดนตัวไหนมาบอกหมอซิ”
   “ตัวนี้ครับ”
   “มึงไม่ต้องชี้มาทางกูเลย”
   “แต่กูว่ามึงน่าจะโดนมากกว่านะ”
   “โดนอะไร?”
   “ก็โดนเรารักไง… อะฮิ”
   “…”
   ตอนนี้บรรยากาศระหว่างเราสองคนเงียบมาก ผมยืนสตั้นอยู่ ส่วนไอ้ทีที่พึ่งจะแอ๊บแบ๊วแบบสุดๆเมื่อกี้ตอนนี้หน้าเริ่มจืดแล้วเมื่อเห็นว่ามุกมันแป๊กกว่าที่คิด
   “อ้าว… ไม่ขำเหรอ”
   “เออ แป๊กชิบหาย”
มุกนี้มันต้องใช้ความแอ๊บแบ๊วเป็นจุดขาย ตัวมึงโตเป็นควายอย่าริอาจจะมาแอ๊บ… แต่ภาพเมื่อกี้มันก็น่ารักดี มีดันเสียงนิดนึงด้วย ผมพยายามทำหน้านิ่งเข้าไว้ทั้งที่ในใจพยายามจะกลั้นขำ
   “ทิ้งมุกแป๊กๆของมึงไป แล้วมาช่วยกูเลือกขนมดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา”
   “ใจร้ายว่ะ”
   หลังจากซื้อพวกของสดเสร็จไปแล้วตาต่อไปก็ถือเป็นของหนักที่สุดแล้ว เหล่ากองทัพน้ำกับขนมดูจากสภาพความหิวโซของแต่ละคนไปเบิกรถเข็นมาอีกหนึ่งคันรถดีกว่า
   “ทีๆ มึงคิดว่าไอ้ไนท์มันจะชอบลายไหนมากกว่า”
   ผมชูกล่องช๊อกโกแลตขึ้นมาสองกล่อง กล่องนึงเป็นกล่องเหล็กทรงกลมลายทางสีฟ้าพาสเทลดูแล้วค่อนข้างจะน่ารักดี ส่วนอีกกล่องนึงเป็นกล่องเหล็กทรงเหลี่ยมสีน้ำเงินเข้ม
   “เลือกๆไปเถอะ ข้างในมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
   “ของขอขมาทั้งทีก็ต้องเลือกอันที่เจ้าตัวน่าจะชอบดิ”
   “เฮ้อ… เรื่องมากจังนะ ไหน… กูว่าเอาอันสีน้ำเงินดีกว่า”
   “ทำไมอะ”
   “ก็มันมีจุดสีทองเล็กๆอยู่ คล้ายๆกับท้องฟ้าตอนกลางคืนเข้ากับชื่อของมันดี”
   ผมกลับมาสังเกตที่กล่องสีน้ำเงินอีกครั้งก็พบกับจุดสีทองเป็นประกายตามที่ร่างสูงบอก
   “เออว่ะ กูไม่ได้สังเกตเลย… งั้นเอาอันนี้แหละ”
   “ถ้างั้นก็ไปจ่ายเงินกันเหอะ พวกนั้นรอกันจนเบื่อแล้วล่ะมั้ง”
   “อือ”
   พวกเราสองคนตอนนี้ทั้งสองมือเต็มไปด้วยถุงจากร้านสะดวกซื้อคนละ 2-3 ถุง แต่ละคนฝากซื้อนู่นฝากซื้อนี่ไม่ห่วงใยคนมาซื้อเลย โชคดีที่บ้านพักกับร้านอยู่ไม่ไกลกันมากทนเดินไปหน่อยเดี๋ยวก็ถึง โชคดีที่ระหว่างทางเป็นถนนที่ติดทะเลทำให้มีลมพัดเข้ามาตลอด
   “ไอ้ฟ้า…”
   “หือ?”
   หลังจากที่เงียบกันอยู่นานไอ้ทีก็เป็นคนเริ่มพูดขึ้นมาก่อน
   “มึงดูไลน์ของมึงหน่อยดิ”
   “ไลน์อะไร?”
   “ไลน์นะรู้มั๊ก”
   “… ไลน์อะไรของมึง”
   “รักนะรู้มั้ย”
   ทีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ใบหน้ายังคงเป็นปกติแต่พอมองเข้าไปในแววตาแล้วมันกลับให้ความรู้สึกที่จริงจังขึ้นมา ตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตอบมันกลับไปแบบไหนดี ยิ้มตอบกลับ… ใช่ ต้องรีบยิ้มตอบกลับไป… แต่ว่าหัวใจมันอึดอัดจนฝืนยิ้มไปไม่ได้
   “เป็นไงๆ อึ้งเลยดิ แก้ตัวเรื่องมุกแป๊กก่อนหน้านี้ไง”
   “…เออ อึ้งดิ อยู่ๆก็เล่นขึ้นมาได้ บรรยากาศแบบนี้ถ้ากูเป็นผู้หญิงกูคงคิดว่ามึงจีบกูอยู่นะเนี่ย”
   “ฮะฮะ เออเนอะ บรรยากาศโคตรให้เลย… ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ กำลังหวังจะให้กูจีบมึงจริงๆอยู่เหรอ”
   “เหอะ… พูดไปเรื่อยนะมึงเนี่ย รีบๆกลับได้แล้ว”   
   ผมรีบออกเดินนำร่างสูงไปก่อนที่ร่างสูงจะเดินตามหลังมา พวกเราสองคนก็คุยกันเรื่อยเปื่อยมีเสียงหัวเราะไปตลอดทาง แต่ตลอดทางนั้นผมไม่หันไปมองหน้ามันเลยเพียงแต่พยายามส่งเสียงให้เป็นธรรมชาติ ฝืนหัวเราะให้เป็นธรรมชาติที่สุด ถึงแม้ว่าใบหน้าในตอนนี้มันจะไม่อาจฝืนให้ยิ้มได้ก็ตาม รักเพื่อนเนี่ยมันทรมาณจังนะ…
   
[นที]
   “เฮ้อ… เหนื่อยชะมัดเลย”
ผมทิ้งตัวลงไปนอนแผ่อยู่บนเตียง วันนี้มีแต่เรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นทั้งวันเลย ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้เจอแจ๊คพอต เปลืองเนื้อเปลืองตัวในทะเลไปนิดหน่อย แต่ผลที่ได้ตามมาก็คุ้มค่าดีเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมามันก็น่าอายจังแฮะ
   ไม่ได้ๆ กูเป็นคนเสียตัวนะ อย่างน้อยนี่ก็ถือว่าเสียกันคนละครึ่ง ผมโดนจับ มันโดนเห็น วิน-วิน ผมเหมือนจะเสียหายมากกว่าด้วยซ้ำ ไม่สิเหมือนจะได้กำไรนิดหน่อยด้วย ได้เห็นหน้ามันตอนอาย แก้มเนี่ยขึ้นสีแดงซะยิ่งกว่ามะเขือเทศแถมลามไปถึงหูอีก โดยเฉพาะท่าทางลนลานก่อนจะสลบ ถึงตอนนั้นจะรู้สึกอายก็เลยมองไม่เห็นแค่แวบเดียวก็เถอะ แต่มันดันน่ารักซะจนติดตาเลย รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อคิดถึงภาพร่างเล็กเมื่อตอนนั้น
   “รู้สึกเสียดายชะมัด…” พอคิดถึงเรื่องที่พูดตอนขากลับจากซื้อของแล้วรอยยิ้มเมื่อสักครู่ก็หายไปจากใบหน้า
‘รักนะรู้มั้ย’ หน้าไอ้ฟ้าตอนนั้นมันทำท่าลำบากใจแถมเหมือนจะร้องไห้ ภาพตอนนั้นมันทำให้หัวใจมันอึดอัดเหมือนถูกบีบรัด ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจแล้วพยายามแสร้งให้เหมือนกับปกติ ถึงแม้มันจะรู้สึกเจ็บ รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้บอกออกไปแต่อีกใจมันก็มีความสุข ถ้าเรื่องที่จะพูดออกไปมันจะทำให้มันเครียดล่ะก็ ขอเลือกเจ็บเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
‘มึงก็กล้าๆบอกไปเลยดิ เห็นแบบนี้แต่ไอ้ฟ้ามันก็โง่เรื่องตัวเอง…’ คำพูดของนีเมื่อตอนกลางวันหวนกลับเข้ามาในสมอง… เพราะมันเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ ถึงได้ไม่กล้าบอก
เฮ้อ… ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความรู้สึกของตนเองที่กำลังคิดไม่ตก พลางหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเพื่อเปลี่ยนอารมณ์
จะว่าไป ไหนๆก็ดูคะแนนสอบสักหน่อยแล้วกัน ผมเปิดเข้าไปในไลน์แล้วตรงเข้ากลุ่มไลน์ห้องก็พบกับภาพที่มีคะแนนวิชาวิทย์พร้อมกับข้อความโอดครวญของเพื่อนหลายๆคน
“ทำไรอยู่” ร่างเล็กที่พึ่งจะเดินเข้ามาในห้องถามขึ้นมา
“ดูคะแนนสอบอยู่”
“จริงเหรอ ไหนๆกูดูด้วย”
   “ทีเรื่องเสือกนี่เร็วเชียวนะมึง”
   “ไม่ได้เสือก เค้าเรียกสอดรู้”
   “มันต่างกันยังไงวะนั่น”
   “จะต่างหรือไม่ต่างก็ช่างมันเถอะ รีบๆดูได้แล้ว”
   “ครับๆ”
   ผมเลื่อนดูรูปภาพในกลุ่มจนในที่สุดก็น่าจะเจอรูปที่น่าจะเป็นใบประกาศคะแนนสอบ ผมทำใจสักพักก่อนจะตัดสินใจกดเข้าไปดูรูป
   อันดับที่ 1 … อัศวิน
   อันดับที่ 2 … รัตติกาล … ห๊ะ!!!
   ผมสะดุ้งจนคนที่อยู่ข้างๆสะดุ้งตามก่อนจะตบบ่าผมทีนึง
   “อยู่ๆเป็นไรเนี่ย กูตกใจหมด”
   “โทษที พอดีกูตกใจกับชื่อไอ้ที่สองเนี่ย”
   “ที่2?... รัตติกาล? มันเป็นไรกับมึงอะ”
   “คนที่มึงก็รู้จัก ไอ้ไนท์ไง”
   “มันโหดขนาดนั้นเลยเหรอ”
   “เออดิ ติดอันดับท๊อปทุกรอบ แถมยังช่วยทำงานที่ร้านตลอด ไม่รู้มันเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ”
   “อย่างเก่งเลยว่ะ… มึงน่าจะดูเป็นตัวอย่างเอาไว้บ้างนะ”
   “กูคงตายพอดี แค่นี้กูก็หืดขึ้นคอแล้ว”
   โชคดีที่เพราะมีพนันกับไอ้ฟ้าไว้ วิชานั้นผมถึงได้ค่อนข้างจะมีไฟในการหนังสือ เป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือโต้รุ้งแบบนี้ แต่หลังจากสอบเสร็จก็สลบเป็นว่าเล่นเลย เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ผมไม่ค่อยอยากจะสัมผัสเท่าไหร่เลย โคตรเหนื่อย
   อันดับที่ 5 … ศศิน
   “เฮ้ย!!!”
ผมขยี้ตารอบหนึ่งก่อนจะกลับมาดูรายชื่อใหม่อีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าที่เห็นไปรอบแรกไม่ได้ตาฝาด แล้วผมก็ไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ชื่อของผมติดอยู่ที่อันดับ 5 พอดิบพอดี ผมหันไปหาร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังทำท่าประหลาดใจกับผลคะแนนสอบ
   “กูทำได้แล้วไอ้ฟ้า”
   “เออๆ กูเห็นแล้ว แต่กูก็ไม่แปลกใจหรอกนะ”
   “… มึงคิดว่ากูจะทำได้อยู่แล้วเหรอ”
   “เปล่าตอนแรกกูก็ไม่คิดอย่างนั้นหรอก”
   “…”
   “แต่พอเห็นสภาพมึงตอนก่อนสอบ กูถึงได้รู้ว่ามึงพยายามมาหนักขนาดไหน เพราะงั้นกูถึงเชื่อว่ามึงจะต้องทำได้ล่ะมั้งนะ”
   คำพูดของมันทำให้จิตใจของผมรู้สึกอบอุ่นตามไปด้วย ผมชอบรอยยิ้มของมันแบบนี้ เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับดวงอาทิตย์คอยช่วยเติมเต็มจิตใจของผมอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ขาดไปจากชีวิตไม่ได้ เพราะว่าแบบนี้ไง กูถึงตัดใจจากมึงไม่ได้สักที

[น่านฟ้า]
   “ถ้าอย่างนั้นกูก็ขอมึงได้อย่างหนึ่งสินะ”
   “เออๆ ทีแบบนี้ล่ะ ทวงใหญ่เชียวนะ จะขออะไรล่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าให้อยู่ในเกณฑ์ที่กูทำให้มึงได้ล่ะ”
   “อืม รู้แล้วน่า… อืม ขออะไรดีนะ”
   ร่างสูงทำท่าครุ่นคิดหนัก เหมือนกับเด็กๆที่พอรู้ว่าจะได้รางวัลเป็นของเล่นก็เลยพยายามจะคิดเลือกอันที่อยากได้ที่สุด ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาเป็นระยะๆ เห็นแก่ความพยายามของมันก็คงต้องตามใจมันหน่อยล่ะนะ
   “มึงยังคิดไม่ออกอีกเหรอ”
   “ยังเลยว่ะ นึกไม่ออก”
   “ถ้างั้นไว้คิดได้ค่อยมาบอกกูแล้วกัน… ตอนนี้มากินไอ้นี่ฉลองกัน” ผมเดินไปหยิบกล่องช๊อคโกแลตลายทางสีฟ้าพาสเทลที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลจากเตียง
   “นี่มึงซื้ออันนี้มาด้วยเหรอวะ”
   “พอดีกูเห็นว่ามันน่ากินดี ก็เลยซื้อมาด้วยกัน”
   “ถ้ามึงอยากลองไม่ไปขอไอ้ไนท์มันชิมเอาล่ะ กล่องนึงมันก็มีตั้งเยอะ”
   “ทำแบบนั้นมันไม่ดีไหมไอ้ที มึงซื้อไปให้เขาแล้วจะไปขอเขากินเนี่ยนะ”
   “ไอ้ไนท์มันไม่ถือเรื่องแบบนั้นหรอก”
   “มันไม่ถือแต่กูถือ… น่ากินดีว่ะ มึงดูดิ”
   ภายในประกอบไปด้วยช๊อคโกแลตนานารูปร่าง ไม่ว่าจะเป็นทรงเหลี่ยม ทรงกลม หัวใจ แถมยังมีทรงประหลาดอย่างรูปขวดแก้ว ประดับประดาด้วยไวท์ช๊อคโกแลต หรือเกล็ดน้ำตาลสีสันสดใส ช่ยเพิ่มความอยากลิ้มลองขนมหวานตรงหน้า ผมหยิบช๊อคโกแลตทรงกลมตรงกลางขึ้นมาลองชิมดูสัมผัสหวานๆปนความขมเล็กน้อยทำให้รสสัมผัสไม่เลี่ยนจนเกินไป ทำเอาผมอยากหยิบชิ้นต่อไปขึ้นมากินต่อเลย
   “มึงลองกินดูดิ อร่อย ไม่หวานมากด้วย”
   “เหรอ งั้นลองสักชิ้นก็แล้วกัน”
   ทีหยิบช๊อคโกแลตรูปแก้วขึ้นมาก่อนจะนำเข้าไปในปาก
   “อร่อยว่ะ”
   พวกเราสองคนนั่งคุยกันไปเรื่อยพร้อมกับหยิบช๊อคโกแลตจากกล่องขึ้นมากินเรื่อยๆ จนตอนนี้ปริมาณช๊อคโกแลตที่เหลือในกล่องแทบจะเหลือแค่หลักเดียวแล้วจากจำนวนเต็มกล่อง ไว้เดี๋ยวต้องจดยี่ห้อเก็บเอาไว้สักหน่อย ช๊อคโกแลตอะไรยิ่งกินยิ่งติดอาจจะมีส่วนผสมของกัญชาก็ได้… ว่าไปนั่น
   “ไอ้ที พอกันก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเบาหวานถามหา” ถึงจะหยุดตอนนี้ไปมันจะไม่ค่อยช่วยอะไรสักเท่าไหร่ก็เถอะ เพราะปริมาณที่กินมันเข้าไปมันถึงระดับเบาหวานระยะแรกได้เลย แต่อย่างว่ากันไว้ดีกว่าแก้พวกผู้ใหญ่สอนเขามา ตอนนี้ก็ต้องกันอีก 8 ชิ้นที่เหลือเอาไว้ก่อน
   “อะ…อืม…”
   “…ไอ้ที มึงเป็นไรเปล่า”
   ผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อน้ำเสียงของร่างสูงตอนนี้มันดูทุ้มต่ำกว่าปกติ เพราะเสียงเหมือนยังติดอยู่ในลำคอ แถมใบหน้าของมันก็เริ่มจะแดงขึ้น
   “อึ…กูไม่เป็นไร”
   “ไม่เป็นไรแล้วทำไมเสียงมึงมันเป็นอย่างนั้น เป็นหวัดเหรอกูขอดูหน่อย”
   ผมยื่นมือเข้าไปแตะหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนเพื่อเช็คอุณหภูมิ
   “ไอ้ทีมึงตัวร้อนนะ เป็นหวัดแล้วแน่เลย”
   “ม่าย… กูไม่ได้เป็นอะไร มึงอย่ามาปรักปรำ”
   “มึงจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง กูมึงตัวร้อนซะขนาดนี้”
   ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติ เพราะความเป็นห่วงมัน แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆร่างสูงตรงหน้าก็มีหยดน้ำใสๆไหลออกมาตามดวงตาทั้งสองข้าง ทำเอาผมไปไม่เป็น
   “ปะ-เป็นไรเนี่ยมึง ร้องไห้ทำไม”
   “ก็มึงดุกูอะ”
   “กูไม่ได้ดุสักหน่อย เมื่อกี้กูก็แค่พูดเฉยๆ”
   “แต่มึงตวาดกูด้วยอะ ฮึก”
   โอ้ย มันเป็นอะไรไปเนี่ย เมื่อกี้ยังปกติดีอยู่ๆก็ร้องไห้ ผมควรทำยังไงดีเนี่ย เสียงร้องสะอื้นของมันยังดังไม่หยุด สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเข้าไปปลอบมันก่อนที่จะตั้งสติทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้
   “ยะ-หยุดร้องก่อนเถอะนะ” ผมยื่นมือเข้าไปลูบหัวอีกฝ่าย พอสัมผัสของมือผมแตะเข้ากับกลุ่มผมนุ่มไอ้ทีมันก็โผร่างเข้ามากอดกับผมเอาหน้าไถกับหน้าท้องจนรู้สึกร้อน ร่างสูงที่อยู่ๆดันเข้ามาก่อนทำให้ผมต้องเขยิบตัวถอยหลังจนไปชนเข้ากับกล่องช๊อคโกแลตเมื่อสักครู่จนตกลงมา
   ผมหยิบกล่องช๊อคโกแลตขึ้นมาก่อนที่ตัวอักษรที่ไม่ค่อยจะสะดุดตาเท่าไหร่ เข้ามาอยู่ในช่วงการมองเห็น
   [ช๊อคโกแลตรวมมิตรสำหรับให้เป็นของขวัญแด่คนที่คุณรัก พิเศษ แถมฟรีช๊อคโกแลตรูปขวดเหล้าสอดไส้เหล้าแอลกอฮอล์]
   สอดไส้เหล้า!! เดี๋ยวนะหรือว่าไอ้ทีมันจะเมา ผมนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ผมเห็นไอ้ทีมันหยิบแต่ช๊อคโกแลตรูปขวดเหล้าไปกิน นี่ควรจะโทษคนออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เขียนระบุให้ชัดเจนดี หรือจะโทษไอ้ทีที่มันคออ่อนเกินจนเมาเพราะช๊อคโกแลตได้เนี่ย
   “ไอ้ที มึงเมาใช่ไหมเนี่ย”
   “กูไม่ได้เมาสักหน่อย”
   “เมาอยู่เห็นๆ มานี่กินน้ำตามเข้าไปจะได้หาย”
   “กูบอกว่ากูไม่ได้เมา!!”
   “งั้นมึงก็พิสูจน์มาสิว่ามึงไม่ได้เมา”
   “…”
   “เห็นไหมรีบๆกินน้ำตามเข้าไปเยอะๆมันจะได้สร่าง”
   ผมแกะแขนทั้งสองข้างออก ตั้งใจจะเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำให้ไอ้คนที่บ่นว่าตัวเองไม่ได้เมาทั้งๆที่พูดก็จะไม่รู้เรื่องกันอยู่แล้วแท้ๆ แต่แล้วก็รู้สึกถึงแรงจับที่ข้อมือพร้อมกับแรงเหวี่ยงที่แรงจนผมล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ร่างสูงขึ้นมาพร้อมกับคร่อมตัวของผมเอาไว้
   “กูจะพิสูจน์ให้ดูว่ากูไม่ได้เมา”
   สิ้นเสียงนั้น ริมฝีปากหนาก็ประกบลงมาที่ริมฝีปากของผม ลิ้นของมันเข้ามารุกรานบริเวณโพรงปาก และกวัดเกี่ยวกับลิ้นของผม สัมผัสได้ถึงรสชาติของช๊อคโกแลตและรสชาติของเหล้าจางๆ ผมพยายามใช้แรงผลักออกไปแต่ก็ไม่เป็นผม ร่างแกรงตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อนแถมยังดันใบหน้าเข้ามาเบียดใกล้กันกว่าเดิม ผมพยายามทุบแผ่นหลังของมันอย่างเต็มที่จนในที่สุดมันก็ยอมปล่อยให้ปากและลิ้นของผมเป็นอิสระ
   ร่างสูงใช้ลิ้นของตัวเองเลียรอบริมฝีปากจนเป็นภาพที่ดูเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
   “เห็นไหม กูมีแต่รสช๊อคโกแลต กูไม่ได้กินเหล้าสักหน่อย เพราะงั้นกูไม่ได้เมา”
   น้ำเสียงทุ่มนุ้มพูดขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าได้รูป
   มะ-เมื่อกี้นี้มัน… จูบ ใบหน้าของผมร้อนขึ้นมา หัวใจเต้นโครมคราม ความรู้สึกดีอกดีใจภายในมันทำเอาร่างกายแทบจะละลายไปกับภาพตรงหน้า ความนุ่มของริมฝีปากที่ลงมาประกบทำเอาร่างกายรู้สึกหวิวๆ
   “หึ… หน้าแดงแล้ว น่ารักจังเลย แถมยังลามมาถึงหูด้วย”
   “ดะ-เดี๋ยวอย่ามาเลียหูสิ… อื้อ มะ-มัน จะ-จั๊กจี้”
   สัมผัสร้อนและแฉะปรากฏขึ้นบริเวณใบหู ทันทีที่ร่างสูงบรรจงใช้ลิ้นค่อยๆเลีย มันทำให้ร่างกายแทบทุกส่วนร้อนรุ่ม แปลกที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่นิดเดียว แต่กลับอยากให้มันทำสิ่งที่มากกว่านี้ไปอีกด้วยซ้ำ
   “กูรักมึงนะรู้มั้ย”
   “มึงพึ่งจะเล่นไปเมื่อตอนเย็นเองนะ”
   “อันนั้นกูไม่ได้พูดเล่นนะ กูพูดจริง กูน่ะไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนสนิทกับมึงหรอกนะ ตอนนี้กูรู้สึกกับมึงไปมากกว่าเพื่อนแล้วนะ แต่กูไม่กล้า… ไม่กล้าจะบอกว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง เพราะกูกลัวว่ากูจะต้องเสียมึงไป กูถึงต้องพยายามเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะสำหรับกูแล้วมึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับกู”
   “…”
   “แต่ว่าความรู้สึกของกูที่มีต่อมึงน่ะ มันกลับไปเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้แล้ว เพราะงั้น… พนันที่กูจะขอกับมึง กูไม่ได้จะขอให้มึงมาคบกับกูหรืออยากให้มึงตอบรับความรู้สึกของกูหรอกนะ กูอยากให้มึงทำกับกูเหมือนๆกับที่ผ่านๆมาเหมือนเดิม ถึงแม้ว่ามึงจะรู้ว่ากูรักมึงก็ตาม…นะ…”
   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท

   

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 25 อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง
[น่านฟ้า]
   นอนไม่หลับ…
   ความเหนื่อยล้า และความหนักอึ้งบริเวณเปลือกตาเข้ามาจู่โจม ในใจมันกำลังสับสนไปหมด แถมหัวยังปวดไปหมด เพราะคำว่า ‘รัก’ ที่มันบอกยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
   ผมเหลือบไปมองทีที่ยังคงหลับอยู่บริเวณหน้าอกของผมมาตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อคืนหลังจากที่มันพูดจบสงสัยเพราะฤทธิ์ของช๊อคโกแลตบวกกับความล้ามาทั้งวันทำให้มันน๊อคไปเลย ทิ้งให้ผมใจเต้นไปกับคำสารภาพที่หลุดออกมา ความสับสน ความดีใจ ความงุนงงมันดีมั่วกันไปหมด กว่าจะจัดการกับความรู้สึกทั้งหมดได้ก็เช้าซะแล้ว
   ข้อสรุปที่ได้หลังจากพยายามเรียบเรียงข้อมูลในหัวมันก็ออกมาเพียงแค่อย่างเดียว… ใจตรงกัน
   อ่า!!… พอคิดไปแบบนั้นแล้วมันก็รู้สึกว่ามันรู้สึกเขินๆอย่างบอกไม่ถูก ถึงมันจะเป็นคำพูดตอนที่เมาก็เถอะ แต่คำพูดที่ออกมาก็มักจะเป็นสิ่งที่อัดอั้นแล้วก็พูดไม่ได้ตอนปกติมันถึงได้ระเบิดออกมาตอนที่เมา เพราะฉะนั้น… ถ้าผมบอกออกไปก็คงมีโอกาสสินะ
   ทะ-ถ้าบอกออกไปล่ะก็ ก็คงจะได้คบกันสินะ… อ่า!! ผมกรีดร้องอยู่ในใจให้กับความคิดสาวน้อยของตัวเอง อย่าพึ่งคิดไปเกินเหตุสิตัวกู ยังฟันธงไปแน่นอนไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องยืนยันกับร่างสูงกำลังนอนอยู่ตรงหน้า
   ตะ-แต่ว่าพอมันตื่นแล้วจะทำตัวยังไงดีเนี่ย พอรู้ว่า
   ผมลูบหัวยุ่งๆที่กำลังหลับสนิทอยู่ตรงหน้าเบาๆ สัมผัสนุ่มๆกับใบหน้าได้รูปที่กำลังหลับพริ้มอยู่ตรงหน้าถือเป็นยาชูกำลังในยามเช้าได้ดีมาก ไหนๆแล้วก็ขอถ่ายรูปไปที่ระลึกสักหน่อยก็แล้วกัน
       “อื้อ…”
      เสียงงัวเงียไม่พอใจร้อมกับร่างกายที่เริ่มจะขยับเล็กน้อยจากการถูกรบกวนเวลานอน ก่อนที่จะดวงตาจะค่อยๆลืมขึ้นมาให้เห็นดวงตาสีดำ ที่สะท้อนกับแสงแดดที่ลอดเข้ามาในห้องจนเห็นเป็นประกายจนน่าจับตามอง
      “งะ-ไง ตื่นแล้วเหรอ” ผมพยายามคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติ แต่ผมก็ยังรู้สึกเลยว่าน้ำเสียงมันยังรู้สึกโดดๆอยู่จะให้ทำไงได้ล่ะก็คนมันมีความสุขอยู่
      “อืม… ยังไม่ตื่น” ไอ้ทีพูดขึ้นมาพร้อมกับเอาหน้าลงไปซุกกับหน้าอกของผมพร้อมกับใช้ใบหน้าถูไถ น่ารักเกินไปแล้ว เจอแบบนี้ตอนเช้าแล้วมันรู้สึกดีต่อใจเกินไปทำเอาจะตายก่อนวัยด้วยโรคหัวใจกับความดันสูงซะอีก
      “นี่ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวสาย เดี๋ยวโดนไอ้แพรวด่ากูไม่ช่วยแล้วนะ” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ใจอยากจะอยู่แบบนี้ไปทั้งวันเลย เป็นตะคริวก็ยอมล่ะจังหวะอย่างนี้
      “… จูบอรุณสวัสดิ์กูหน่อย ถ้าจูบกูจะตื่น” ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับเท้าคางอยู่ที่อก ปากบอกว่ากูจะตื่นแต่ตอนนี้มึงกูเปิดตาหรา
เลยนะ แถมยังใช้นิ้วเรียวชี้ไปยังบริเวณริมฝีปากอีก แบบนี้เขาเรียกว่านอนเหรอไอ้เจ้าเล่ห์
      แต่ว่าจูบเหรอ จริงอยู่ว่าใจเราตรงกัน ถึงมันจะยังไม่ได้ยินยันกับตัวมันตรงๆก็เถอะ แถมเมื่อคืนพวกเราสองคนยังจูบกับไปด้วย ความทรงจำในหัวฉายซ้ำจนใบหน้าเริ่มแดงขึ้น ความรู้สึกเขินอายเข้ามาโจมตีหัวใจ ถึงตอนนั้นจะถูกจู่โจมตอนเผลอก็เถอะ แต่มันกลับรู้สึกดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ริมฝีปากมันก็นุ่มโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกดีมากเลยด้วยซ้ำ… แถมภาพตอนมันเลียปากก็ช่างเซ็กซี่
      ตะ-แต่ว่าตอนนั้นมันกำลังเมาอยู่ก็เลยน่าจะยังไม่รู้สึกตัว แต่ตอนนี้สติของมันครบร้อยทำให้ความน่าอายเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า เอายังไงดีๆ… ดีล่ะ ทำใจกล้าๆแล้วจูบไปสักทีนึงก็แล้วกันเผื่อดูปฏิกิริยาของมันแล้วหาช่องพูดเรื่องสารภาพ
      “ฮะฮะ ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลยก็ได้ กูล้อเล่น เพื่อนกันเขาไม่จูบกันหรอกนะ”
      เอ๊ะ… ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้นมาภายในใจ พร้อมกับลางสังหรณ์
      “ถ้าอย่างงั้นกูไปอาบน้ำห้องไอ้ไนท์นะ มึงอาบห้องนี้ไปก็แล้วกัน”
      ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับหยิบเอาเสื้อผ้ากับขนหนูเตรียมพร้อมที่จะเดินออกไปทุกเมื่อ คำพูดและการกระทำทุกอย่างของมันไม่ต่างจากปกติเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับผมแล้วมันกลับดูแปลกตาไปจากเดิมมากกว่า
      “เดี๋ยวไอ้ที… คือเรื่องเมื่อคืน…”
      หวังว่าสิ่งที่ผมสังหรณ์ใจเอาไว้จะไม่เป็นจริงด้วยเถอะ…
      “เรื่องเมื่อคืน? … เรื่องอะไรวะ กูจำไม่ได้อะ”
      “จำไม่ได้…” ความรู้สึกสุขใจเมื่อครู่อันตรธานหายไปแล้วแทนที่ด้วยความอึดอัดแทน
      “กูจำได้แค่ว่ากูคุยกับมึงเรื่องคะแนนสอบ จากนั้นก็นั่งกินช๊อคโกแลต หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว หรือว่ากูไปทำอะไรมึงเอาไว้เหรอ”
     “กะ-ก็มึง…”
     “กู?”
     คำพูดเหมือนถูกชะงักเอาไว้ เหมือนถูกเข็มและด้ายเย็บเข้าไปที่ริมฝีปาก ลิ้นชาจนไม่สามารถออกเสียงได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีไหม แววตาของคนตรงหน้าเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่มันกกำลังทำอยู่ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นเรื่องจริง
     “ปะ-เปล่าไม่มีอะไร มึงรีบไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวกูจะได้อาบน้ำด้วย”
     “เหรอ ถ้างั้นกูไปแล้วนะ”
     “อืม”
      ความรู้สึกกลัว ความไม่มั่นใจมันถาโถมเข้ามาภายในใจ…
      กลัวว่าพอพูดออกไปแล้วมันจะตอบรับยังไง…
      กลัวว่าพอพูดออกไปมันจะทำหน้าแบบไหน...
     กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วความสัมพันธ์มันจะไม่เหมือนเดิม…

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกน้าไปก่อนนะ ยังมีงานเหลืออยู่อีก เที่ยวกันให้สนุกนะจ๊ะ”
   “ขอบคุณครับ/ค่ะ”
   “ถ้างั้นพวกมึงรออยู่ตรงนี้กันก่อนนะ เดี๋ยวกูไปซื้อบัตรมาให้”
   ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสวนสนุก เป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดแถมห่างจากที่พักของเราไม่ไกลมาก ให้พวกคุณน้าขับรถมาส่งก็ใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็มาถึงแล้ว เท่าที่ลองดูคร่าวๆจากแผนที่ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ดูเหมือนว่าจะมีเครื่องเล่นให้เลือกเล่นเยอะมากแถมยังมีการแบ่งโซนเอาไว้ประมาณ 5 โซนเพื่อรองรับลูกค้าหลากหลายช่วงอายุเพราะมีตั้งแต่โซนเครื่องเล่นเด็กเล็ก โซนเครื่องเล่นเด็กโต/ผู้ใหญ่ แถมยังมีโซนช๊อปปิ้งสำหรับเหล่าสาวๆ กับโซนอาหารการกิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขนาดวันนี้ที่เป็นวันธรรมดา ก็ยังเห็นจำนวนคนที่มากันอย่างล้นหลาม
   แต่ไม่ว่าจะทั้งเครื่องเล่น ที่ช๊อปปิ้งหรืออาหารก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผมในตอนนี้ได้ เพราะตอนนี้ใจของผมมันกำลังสับสนอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะทำอย่างไรดี
   “ฟ้า…ไอ้ฟ้า!!!”
   “อะ-อะไร ตะโกนทำไมเนี่ยไอ้ที”
   “มึงนั้นแหละเหม่ออะไรอยู่ จะเข้าไปกันแล้วนะ”
   “รู้แล้วน่า”
   ผมเดินตามร่างสูงเข้าไปยังที่ตรวจตั๋ว พอเดินเข้าไปสิ่งแรกที่ได้พบเห็นคือ สะพานทอดยาวที่ทอดยาวอยู่บนแอ่งน้ำขนาดใหญ่ พร้อมกับมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาเป็นระลอกๆ ชวนให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
   “เมื่อกี้ทำหน้าซะเครียดเชียวนะ เป็นไรอะ”
   “ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
   “ไม่อะกูไม่เชื่อ มึงต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ”
   “ก็กูบอกแล้วนี่ว่าไม่มีอะไร” ใครเขาจะไปบอกกันได้เล่าว่ากูกำลังกลุ้มใจเรื่องที่มึงมาสารภาพกับกูไอ้โง่เอ่ย!!
   “เหรอ ถ้างั้นก็แล้วไป แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็บอกกูได้ กูพร้อมจะช่วยมึงเอง”
   คำพูดที่พูดขึ้นมาทั่วๆไป พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มที่เห็นเป็นปกติ แต่ความรู้สึกในตอนนี้มันกลับมองเห็นเป็นความปกติไปไม่ได้เลย เพราะมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม มันทั้งอบอุ่น และอยากจะครอบครองเอาไว้
   “นี่ๆไปเล่นรถไฟเหาะกันเหอะ กูอยากเล่น”
   “เงียบๆหน่อยวิน กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กไปได้”
   “อย่าพูดเหมือนพ่อกูขนาดนั้นดิไนท์ มาเที่ยวกันทั้งทีรีแลกซ์หน่อยรีแลกซ์”
   “มึงรีแลกซ์มากเกินไปแล้ว”
   “ไอ้วินนี่ก็ยังเจี้ยวจ้าวอยู่เหมือนเดิมเลยนะ”
   “ฮะฮะ แต่แบบนี้มันก็เฮฮาดีเหมือนกันนะ” ใช่ มันเฮฮาจนทำให้ผมเลิกสนใจกับความรู้สึกที่มันเริ่มจะเห็นแก่ตัวขึ้นมาของตนเอง
   กรี๊ด กร๊าด… เสียงกรีดร้องดังมาจนถึงข้างนอกของเครื่องเล่น ทำเอาผมรู้สึกใจหายไปเล็กน้อย เมื่อแถวรถไฟเหาะที่กำลังต่ออยู่มันรถหดสั้นลงเรื่อยๆจนใกล้จะถึงคิวของตนเองแล้ว
   “สีหน้ามึงแน่มากเลยนะเป็นอะไรไหม”
   “คะ-คิดว่า” แค่เห็นก็รู้สึกเริ่มเวียนหัวแล้ว เมื่อกี้ตอนอยู่ข้างนอกเห็นรถที่กำลังแล่นอยู่หมุนตีลังกาเยอะซะจนนับไม่ถ้วน
   “ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยออกไปนั่งพักดีกว่านะ”
   “อืม ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆก็เสียเวลาต่อแถวมาแล้ว ก็ลองเล่นสักตาไปก็ได้”
   “เหรอ อย่าฝืนมากนักล่ะ กูเป็นห่วง”
   “เดี๋ยวนี้มาทำพูดเป็นห่วง เป็นห่วงในฐานะเพื่อนสนิทล่ะซี้”
   “เปล่า…”
   ความสับสนจู่โจมเข้ามาในใจอีกครั้ง ถ้าเกิดไม่ใช่ในฐานะเพื่อนสนิทแล้ว มันจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ…
   “ที่มึงพูดน่ะ…มึงคิดกับกะ-”
   “เชิญลูกค้าท่านต่อไปได้เลยค่ะ”
   “หืม? เมื่อกี้มึงจะพูดอะไรรึเปล่า พอดีพี่เขาพูดแล้วกูได้ยินไม่ชัด”
   “เปล่า…ไม่มีอะไร”
   “เหรอถ้างั้นก็ไปกันเถอะ เขาเรียกแล้วแน่ะ”
   “อืม” ไว้เดี๋ยวค่อยถามอีกครั้งก็ได้ ตอนนี้ให้ลมมันตีหน้าสักหน่อย เผื่อมันจะได้พัดเอาอารมณ์ฟุ้งซ่านออกไปได้บ้าง
   ไม่ได้คิดผิดเลยจริงๆที่ให้ลมมันพัดเอาอารมณ์ฟุ้งซ่านออกไป เพราะไม่ใช่แค่อารมณ์ฟุ้งซ่านเท่านั้นที่ถูกพัดออกไป แต่ตอนนี้สติของผมก็ถูกพัดจนกระเจิง รถไฟเหาะอะไรวะเนี่ย ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวหมุนเดี๋ยวตีลังกา ไอ้คนสร้างมันไม่คิดถึงสุขภาพของลูกค้าบ้างเลยรึไง… อุ๊บ คลื่นไส้ชะมัด
   “ไหวไหมมึง”
   “ไหวกับผีสิ มึงเห็นกูไหวขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
   “กูถึงได้บอกไงว่าอย่าฝืน”
   “ก็ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะเร็วขนาดนั้น”
   “เอ้านี่ ยาดม”
   “แต้งกิ้วนะไนท์”
   ตอนนี้พวกผมนั่งกันอยู่ตรงม้านั่งข้างหน้ารถไฟเหาะ มีทีกับไนท์นั่งเฝ้ากันสองคนส่วนที่เหลือติดใจในความแรงและความเร็วของรถไฟเหาะจนไปต่อแถวเล่นกันอีกครั้ง ไม่เข้าใจความคิดพวกมันเลยจริงๆว่าติดใจไปได้ยังไงเวียนหัวแถมยังคลื่นไส้อีก
   “ไอ้ที มึงไปซื้อน้ำมาให้หน่อยดิ อาการคลื่นไส้มันจะได้ลดลง”
   “ได้ ถ้างั้นฝากไอ้ฟ้าด้วยนะไนท์”
   “อืม อย่าลืมเลือกขวดที่เย็นๆมาล่ะ”
   อ่า… รู้สึกโล่งขึ้นมาเยอะเลย ยาดมอะไรก็ไม่รู้แหละแต่ประสิทธิภาพดีเกินคาด จากที่เมื่อครู่พะอืดพะอมแทบตายตอนนี้นี่รู้สึกสบายเหมือนตัวลอยอยู่เลย รู้สึกเบาเหมือนว่าตัวเองจะบินได้ด้วยซ้ำ
   “มึงมีเรื่องอะไรกับไอ้ทีเหรอ”
   ผัวะ… คำถามที่พุ่งตรงแทงเข้ามาในใจตบผมที่กำลังจะบินอยู่ให้ตกกลับลงมากระแทกพื้นอย่างจัง จากที่รู้สึกเบาสบายตอนนี้กลับรู้สึกหนักอึ้ง
   “มะ-มึงรู้เหรอ”
   “เปล่าก็แค่เห็นว่ามึงทำท่าลังเลว่าจะพูดกับไอ้ทีมาสักพักแล้ว กูก็เลยคิดว่ามึงน่าจะมีอะไรกับมัน”
   “…”
   “เงียบแบบนี้แสดงว่าจริงสินะ”
   ว่าแล้วเชียวว่าแสดงออกมากเกินไป ผมตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับไนท์ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนและคำสารภาพของที
   “…เลว”
   คำเดียวสั้นๆได้ใจความที่หลุดออกมาทำเอาคนฟังอย่างผมถึงกับสะดุ้ง
   “ถ้ากูเป็นมึงป่านนี้กูคงฟ้องร้องเอาค่าเสียหายแล้วล่ะ”
   “ยะ-อย่าไปคิดมากเลย ตอนนั้นมันก็แค่เมาเอง”
   “ถึงมันจะเมาก็เถอะ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สมควรทำนะ มึงยอมมันได้เหรอ”
   “สำหรับกูแล้วมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรขนาดนั้นสักหน่อย" แถมเหมือนกับจะได้กำไรนิดๆด้วยซ้ำ
   “เฮ้อ ถ้างั้นก็แล้วไป… แต่หลังจากนี้มึงจะทำยังไงต่อไปล่ะ พอได้ยินคำสารภาพนั้นออกมาแล้ว ถึงไอ้เจ้าตัวคนพูดมันจะจำอะไรไม่ได้เลยก็เถอะ”
   “ทำยังไงต่อไป… งั้นเหรอ”
   “มึงก็ชอบไอ้ทีมันนิบอกมันไปเลยดิ”
   “ชะ-ชะ-ชอบเหรอ!!”
   “อ้าวไม่ใช่เหรอ?”
   “เปล่า ไอ้ชอบมันก็ชอบอยู่หรอกแต่…” แต่พอมีคนมาพูดตรงๆแบบนี้แล้วมันรู้สึกเขินๆ
   “ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่บอกไปเลยล่ะ ไอ้ทีมันก็สารภาพกับมึงแล้วนิ”
   “ไม่ได้หรอก กูกลัวน่ะสิ…”
   “กลัว?”
   “กูกลัวว่ามันอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นก็ได้ กลัวว่าพอสารภาพออกไปแล้วความสัมพันธ์ของพวกเรามันจะแย่ลงไปกว่าเดิมจนกูไม่กล้าที่จะบอกมันไปได้”
   ความกังวลสะสมกันจนเหมือนกับเมฆครึ้มสะสมภายในอก ความสัมพันธ์ของผมกับมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะสูญเสียไปเลย มันเป็นสิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ถ้าต้องเสี่ยงที่จะเสียมันไปล่ะก็… ผมขอเก็บความรู้สึกของตัวเองแล้วคงสายสัมพันธ์แบบนี้เอาไว้จะดีกว่าเสียอีก
      “Don’t be afraid to change. You may lose something good but you may gain something better.”
      Don’t be afraid to change… จงอย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง
      You may lose something good… คุณอาจจะสูญเสียสิ่งที่ดีไป
      but you may gain something better… แต่คุณก็อาจจะได้รับในสิ่งที่ ‘ดีกว่า’กลับมาแทน
     “พึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงเป็นพวกชอบคำคมพวกนี้ด้วย”
     “ฮะฮะ ดูไม่ค่อยเข้ากับหน้ากูเลยใช่ไหมล่ะ แต่ว่ามันก็เป็นคำที่ติดมากับของชิ้นนี้ล่ะนะ”
      ไนท์พูดขึ้นพร้อมกับโชว์กำไลเชือกถักที่ห้อยด้วยแท็กโลหะที่มีข้อความเมื่อครู่
     “เก่าน่าดูเลยนะ ของสำคัญเหรอ”
     “อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้ตอนประมาณป.3 กูหลงทางกับแม่ตอนไปห้าง ตอนนั้นกูรู้สึกกลัวมากเลย กูได้แต่นั่งร้องไห้อยู่กับที่เกือบชั่วโมงไม่มีใครเข้ามาคิดจะถามกูเลยว่าเป็นยังไง สุดท้ายก็มีคนเข้ามาคุยกับกูถามว่าหลงทางเหรอ นู่นนี่นั่นแต่กูก็เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น มึงรู้ไหมว่าคนนั้นเขาทำอะไร”
     “ปลอบมึง?”
     “เปล่าเลย นั่งอยู่ข้างๆกูอยู่อย่างนั้น จนกูเลิกร้องไห้แล้ว”
      “ฮะฮะ อะไรล่ะวะนั้น”
      “นั่นสิตอนนั้นกูก็คงรู้สึกงงแบบเดียวกัน ตอนนั้นกูจำได้เลยว่าตอนที่พี่เขากำลังจะปลอบกูพี่เขาทำท่าลังเลมากสุดท้ายก็เลือกที่จะมานั่งกับกูแทน คิดแล้วก็ฮา”
      “แปลว่าไอ้นั้นก็ได้มาจากพี่คนนั้นล่ะสิ”
      “อืม ตอนที่กูหยุดร้องไห้แล้วพี่เขาก็พยายามจะเข้ามาปลอบอีกรอบ แต่พอเห็นกูกำลังจะปล่อยโฮพี่เขาก็ให้ไอ้นี่มา”
      “มึงคงจะปลื้มคนคนนั้นมากสินะ”
      “เรียกว่าติดตามากกว่ามั้ง ใครเขามานั่งอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนเด็กร้องไห้ล่ะวะ”
      “ก็จริงนะ… แน่ะๆ พูดไปยิ้มไปแบบนี้แอบชอบพี่เขาล่ะสิ”
      “ชอบบ้านมึงดิ หน้าตากูยังจำไม่ได้เลย แถมตอนนั้นพี่เขาน่าจะอยู่มัธยม ป่านนี้คงทำงานไปแล้วมั้ง”
      “ฮะฮะ… แต่ก็ขอบคุณนะ”
     “ทำหน้าแบบนั้นแปลว่าตัดสินใจได้แล้วล่ะสิ”
     “อืม”
     “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปจัดการซะให้เรียบร้อย… ไอ้ทีมาแล้วนู่น พวกมึงสองคนไปเดินเล่นด้วยกันเลยไป เดี๋ยวกูนั่งรอพวกไอ้วินตรงนี้เอง”
     “ดะ-เดี๋ยว…”
     ไม่รอช้า ไนท์มันก็รีบผลักไสไล่ส่งผมออกมาจากม้านั่ง ภาพตรงหน้าคือร่างสูงที่กำลังเดินกลับมาพร้อมกับขวดน้ำในมือ คำพูดของไนท์เมื่อครู่ทำให้ผมตัดสินใจได้แล้ว เกี่ยวกับความรู้สึกของตนเอง และสิ่งที่ผมสมควรจะทำ

[ไนท์]
   ผมมองส่งทั้งสองคนจนทั้งคู่เดินห่างออกไปจนลับสายตา ผมเอนตัวลงไปพิงกับพนักพิงของม้านั่งพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
      ‘ก็จริงนะ… แน่ะๆ พูดไปยิ้มไปแบบนี้แอบชอบพี่เขาล่ะสิ’
      “หึ… เป็นไปไม่ได้หรอก… ก็พี่คนนั้นเขาเป็นผู้ชายนี่นะ”
      ผมยกข้อมือขึ้นมาดูแท๊กโลหะที่เริ่มจะมีสนิทขึ้นเกาะอยู่ตามขอบตามมุมบ้าง ถึงแม้จะดูแลรักษาเป็นอย่างดีแต่ด้วยอายุของมันจะให้สะอาดเอี่ยมก็คงจะเป็นไปไม่ได้
      “อยากเจออีกจังเลยนะ”

[น่านฟ้า]
   “ลูกค้าท่านต่อไปเชิญได้เลยค่ะ ตอนขึ้นกรุณาระวังด้วยนะคะ”
   หลังจากสิ้นเสียงของพนักงานสาวประตูกระเช้าก็ปิดลง พร้อมกับความสูงของกระเช้าที่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปตามวงล้อเหล็กขนาดใหญ่
   “มาอารมณ์ไหนเนี่ย ถึงพากูมาขึ้นชิงช้าสวรรค์”
   “นานๆทีไง ไม่ได้ขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ประถมนู่น”
   ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นภาพของมุมสูงทำให้เห็นภาพรวมของสวนสนุกทั้งหมด พร้อมกับพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลง
   “นี่ที… เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ววะ”
   “กี่ปีเหรอ?...นั่นสินะ ถ้าตัดตอนที่กูย้ายออกไปก็น่าจะสัก 10 ปีแล้วมั้ง”
   “นานจังเลยนะ ถ้ามึงไม่ย้ายออกป่านนี้คงทำสถิติถึง 17 ปีได้เลยมั้ง”
   “นั่นสินะ คงเห็นกันจนเบื่อหน้ากันไปข้าง”
   “ฮะฮะ พูดอีกก็ถูกอีก… แต่กูขอเลือกเป็นแบบนั้นก็คงดีกว่า ตอนที่มึงย้ายออกไปกูมีใจทำอะไรเลย นั่งซึมเป็นอาทิตย์ คิดถึงแต่มึง…”
   “แต่ตอนนี้กูก็ย้ายกลับมาแล้ว”
   “… นั่นสินะ ตอนแรกที่กูได้ยินว่ามึงกลับมาแล้ว กูรู้สึกกลัว กลัวว่ามึงจะเปลี่ยนไป กลัวว่ามึงจะลืมกูไปแล้ว”
   “เรื่องนั้นน่ะมะ-”
   “แต่พอได้กลับมาเจอถึงได้รู้ว่ามึงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย คอยมองกูอยู่เสมอๆเพราะกูมันเป็นพวกซุ่มซ่าม คอยเป็นห่วงเพราะกูมันเป็นพวกปฏิเสธใครไม่เป็น คอยปลอบกูเวลาที่กูตัวสั่นเพราะกลัว”
   ความทรงจำทุกอย่างมันหวนกลับเข้ามาภายในใจ
       ตอนที่ผมกล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไปทักมันในตอนแรกเพราะคิดว่ามันจะลืม…
       ตอนที่มันรู้ว่าผมกลัวความมืดมันก็คอยตื่นอยู่เป็นเพื่อนปลอบผมจนกระทั่งผมหลับ…
       ตอนที่ผมได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในป่า มันก็เป็นคนแรกที่รีบวิ่งเข้ามาหาผม…
      “กูน่ะไม่เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กูรู้สึกกับมึงแบบนี้ แต่พอกูรู้ตัวกูถึงได้รู้ว่ากูไม่ได้มองมึงแบบเพื่อนสนิทอีกต่อไปแล้ว…”
      ทุกๆเหตุการณ์ที่เข้าผ่านมาในชีวิต ความรู้สึกดีต่างๆที่มันมอบมาให้ประกอบกันเป็นคำตอบเดียวภายในใจ
      “ที่มึงพูดหมายความว่า…”
      ก่อนที่ร่างสูงจะได้พูดต่อ ผมใช้สองมือยื่นเข้าไปจับใบหน้าของร่างสูงของที่จะดึงเข้ามาหาตัวใช้ริมฝีปากบางประกบเข้ากับริมฝีปากหนา
      แสงอาทิตย์อัสดงที่สาดส่องเข้ามากระทบกับกระจกกระเช้าจนเกิดเป็นประกายแสงวิบวับ เปรียบเสมือนกับความอบอุ่นและความรู้สึกดีๆที่มันมอบมาให้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันนำพาให้หัวใจของผมไปสู่คำตอบเดียวภายในใจ…
      “กูรักมึงนะ…ที”

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2020 19:23:12 โดย Yukimin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขั้นที่ 26 ไม่ใช่ความฝัน
[นที]
“กูรักมึงนะ…ที”
บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ มีเพียงคำพูดสั้นๆ ดังก้องอยู่ภายในหัว พร้อมกับหัวใจที่ค่อยๆ เต้นแรงขึ้น แรงขึ้น ไม่อาจละสายตาไปจากร่างเล็กตรงหน้า สัมผัสนุ่มที่ทิ้งไว้ที่ริมฝีปากช่วยเสริมให้ใบหน้าเริ่มรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น
แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องมากระทบกับใบหน้าคนตรงหน้า ทำให้เห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าบริเวณแก้มทั้งสองข้างจะเริ่มแดงจนขึ้นสี แต่แววตากลับจดจ้องมองมาทางผมอย่างไม่วางตาราวกับว่าเป็นสิ่งยืนยันถึงความรู้สึกของมันที่มีต่อผม
“ที่พูดเมื่อกี้… หมายความว่า…”
“…”
สายตาที่จ้องมองมาทำให้ผมไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไรต่อได้ เหมือนกับถูกสะกดให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ร่างเล็กค่อยๆ เริ่มที่จะขยับปากขึ้นมาทีละนิด แต่ในจังหวะนั้น
“เออ… ขอโทษนะคะ”
เสียงพนักงานหญิงเรียกให้พวกผมสองคนกลับมายังโลกความเป็นจริง ผมหันไปมองก็พบกับพนักงานหญิงที่ใบหน้าของเธอเริ่มจะแดงนิดๆ พร้อมกับเหล่าสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมาทางพวกผม
“คะ-คือว่าตอนนี้หมดรอบแล้วนะคะ ขะ-ขอโทษที่รบกวนแต่ว่าช่วยรบกวนออกมาด้วยนะคะ”
พนักงานสาวพูดจาตะกุกตะกักพร้อมกับพูดขึ้นโดยไม่หันมามองพวกผมแม้แต่นิดเดียว ผมเหลือบไปมองไอ้ฟ้าที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าตอนนี้มันกำลังตัวสั่นพร้อมกับอ้าปากค้าง ใบหน้าที่เมื่อสักครู่ว่าแดงแล้วแต่ตอนนี้กลับแดงขึ้นไปอีกระดับ
“คะ-ครับ!!”
ร่างเล็กพูดขึ้นเสียงดังพร้อมกับรีบฉุดผมออกมาจากบริเวณชิงช้าสวรรค์ ความเร็วและความแรงที่มันใช้ทำให้ผมค่อนข้างตกใจกับแรงที่รุนแรงกว่าปกติเป็นสัญญาณว่าตอนนี้มันคงกำลังอายแบบสุดๆ
“แฮ่ก แฮ่ก…”
ฟ้าพาผมวิ่งจนน่าจะเลยจากโซนเครื่องเล่นข้ามมายังโซนใหม่ซึ่งเป็นระยะทางไม่ใช่น้อยๆเลย ด้วยความที่มันเป็นพวกไม่ออกกำลังกายทำให้มันยืนหอบอยู่ตรงกำแพง ทำอะไรไม่ดูสังขารตัวเอง ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ
“ไหวไหม”
“ไม่… แฮ่ก… ไม่ไหวแล้ว… แฮ่ก”
ผมยืนรอให้ร่างเล็กปรับลมหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติพร้อมกับให้มันได้พักขาด้วย ขาสั่นเหมือนกับเป็นลูกกวางเกิดใหม่เลย
“ดีขึ้นรึยัง”
“อืม ก็โอเคขึ้นอยู่”
“ถ้างั้น… ที่มึงพูดข้างบนนั้น… ก็หมายความว่า…”
ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกผมถามคำถามโดยไม่ทันตั้งตัว จากที่มันพึ่งจะใจเย็นลงตอนนี้อารมณ์มันกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็คนมันคาใจปล่อยทิ้งไว้ก็มีแต่จะอึดอัดเปล่าๆ
“เรื่องนั้น…คือ… อ๊ะ ไอ้ทีข้างหลัง”
“ข้างหลัง?”
ผมหันไปมองข้างหลังตามที่ไอ้ฟ้าชี้ พอหันหลังกลับไปก็ไม่เจอกับอะไรเลย มีแต่นักท่องเที่ยวธรรมดาที่เดินกันขวักไขว่
“ก็ไม่เห็นมีอะไร… เฮ้ย!?”
ทันทีที่ผมหันมาฟ้ามันก็อันตรธานหายไปแล้ว พอเพ่งมองดูดีๆ ก็เห็นเงารางๆ ของมันวิ่งไปไกลแล้ว
เหนื่อยขนาดนั้นเอาแรงจากไหนมาวิ่งอีกวะ! แล้วก่อนมึงจะไปมึงช่วยกลับมาอธิบายให้กูเข้าใจก่อนเว้ย ไอ้ฟ้า!!!

หงุดหงิด… หงุดหงิดเว้ย!!!
“เป็นไรวะ ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงเลยนะมึง”
“เรื่องของกู!!”
“ไรว้า ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงกับกูขนาดนั้นเลย วินเสียใจ… กระซิก”
แม่งเอ๊ย ไอ้ความรู้สึกชวนให้หัวใจเต้นเมื่อตอนเย็นตอนนี้กลับกลายเป็นความอึดอัดและความหงุดหงิดแทน ตั้งแต่หลังจากกลับมาจากสวนสนุกจนพวกเรามาเดินตลาดกลางคืนกัน มันเอาแต่หลบหน้าผมตลอด ไม่ว่าผมจะเข้าไปหามันยังไงมันก็แอบหลบหายจากสายตาผมไปตลอด ไม่ก็ไปเกาะแกะกับพวกแพรว
หน๊อย!! .. คิดแล้วก็หงุดหงิด ผมยกกุ้งเสียบไม้ที่พึ่งซื้อมาจากร้านแผงลอยขึ้นมากัดด้วยความฉุนเฉียวพลางมองไปยังโต๊ะของผู้หญิงที่มีร่างเล็กนั่งร่วมวงอยู่ด้วย
“ใครทำมึงหงุดหงิดขนาดนี้วะเนี่ย”
“ไอ้ฟ้าไง… เหอะ”
“เฮ้อ… กูว่าแล้ว”
ไนท์พูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับใบหน้าเอือมระอา
“มึงไปทำอะไรให้ไอ้ฟ้าอีกล่ะเนี่ย”
“กูไม่ได้ทำอะไรเลยเว้ย มันสะ-”
“สะ?”
“เปล่า เอาเป็นว่าอยู่ๆ มันก็หลบหน้ากูไปเอง”
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงไอ้ที ไอ้ฟ้ามันเป็นคนมีเหตุผลมากกว่ามึงอีก”
“เออน่า มึงไม่ต้องรู้สาเหตุหรอก รู้แค่ว่ามันหลบหน้ากูก็พอ”
ผมพูดไปพลางหยิบของปิ้งย่างขึ้นมากินให้หายหงุดหงิด ใครจะไปบอกได้ล่ะว่ามันมาสารภาพรักกู พูดไปแม่งจะมีแต่ทำให้อึ้งกันทั้งโต๊ะ เงียบเอาไว้ดีกว่า
“เป็นไรไนท์ ทำหน้าเหมือนมึงรู้อะไร”
“เปล่า…”
“เหรอ…”
ผมหันกลับมาสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ที่จริงผมก็รู้แหละว่าความรู้สึกตัวเองมันเป็นยังไง แต่ผมก็ยังอยากจะได้ยินจากปากมันอีกสักครั้ง… อยากยืนยันว่าผมไม่ได้เป็นฝ่ายฝันไปเองคนเดียว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะยากเย็นขนาดนี้
“ไอ้ที”
“ไร?”
“มึงพากูไปซื้อปิ้งย่างเมื่อกี้หน่อยดิ”
“เมื่อกี้มึงก็ไปกับกูนะไนท์?”
“เหอะน่า กูจำไม่ได้”
ผมรู้สึกสงสัยในคำพูดของไนท์แต่สุดท้ายผมก็โดนมันลากให้ออกมาด้วยอยู่ดี
“นู้นร้านอยู่ตรงโน้น”
“เออว่ะ กูเนี่ยความจำเริ่มแย่แล้วเนอะ”
“ถ้างั้นกูกลับไปกินต่อละ”
“เดี๋ยว!”
“อะไรอีกวะ ไอ้ไนท์”
“มึงไปต่อแถวซื้อน้ำปั่นให้กูหน่อยดิ”
ไนท์พูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังร้านน้ำปั่นที่คนต่อแถวกันยาวเหยียด ผมเห็นจำนวนคนที่มาต่อแถวแล้วก็เหนื่อยแทน
“มึงดูคนที่ต่อนู้น ยาวไปจนถึงทะเลแล้วมั้ง”
“มึงก็เว่อร์ไปไหม”
“กูขี้เกียจไปต่อแถว”
“น่านะ ถือว่ากูขอมึงไปต่อแถวซื้อน้ำปั่นให้กูหน่อย”
“มะ-”
“ถ้ามึงปฏิเสธก็อย่าหวังการบ้านจากกู”
ประโยคสั้นๆ แต่มีพลังการทำลายระดับสูง ทำเอาผมรีบกลืนคำว่า ‘ไม่’ กลับเข้าลำคอไปแทบไม่ทัน เรื่องความขี้เกียจก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องการบ้านเป็นเรื่องใหญ่ ผมส่งสายตาขวางให้กับไอ้เพื่อนจอมเจ้าเล่ห์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่อแถวของปิ้งย่างสั้นๆ ในขณะที่ผมต้องปลงใจไปต่อแถวร้านน้ำปั่นแถวยาวเหยียด
เฮ้อ… แค่น้ำปั่นเองทำไมคนมันเยอะขนาดนี้เนี่ย
ผมที่ต่ออยู่ท้ายแถวพยายามยืดตัวขึ้นไปดู เพื่อดูว่าทำไมร้านน้ำปั่นธรรมดาๆ คนมันถึงได้เยอะเกินปกติ แล้วผมก็ได้รู้สาเหตุนั้นแล้ว… อ่อ ที่แท้ก็เพราะแม่ค้านี่เอง เล่นใส่สายเดี่ยวมาโชว์เลย ไม่แปลกใจที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาต่อแถวถึงเป็นผู้ชาย
ตุบ… ผมที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็รู้สึกถึงแรงกระแทกเบาๆ บริเวณหลัง
“อะ ขอโทษครับ”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา ทำให้ผมรีบหันหลังกลับไปมองก็พบกับร่างเล็กที่ทำท่ากุมหน้าผากของตัวเองเอาไว้ ทันทีที่ไอ้ฟ้ามันเงยหน้าขึ้นมาเจอหน้าผมก็ทำหน้าซีดไปเล็กน้อยก่อนที่มันจะทำท่าออกวิ่ง
หมับ… แต่อย่าหวังว่าผมจะปล่อยมันไป ผมอาศัยจังหวะที่มันกำลังสับสนฉวยโอกาสคว้าข้อมือของมันเอาไว้ได้ทัน พลางจับข้อมือของมันเอาไว้แน่น
“ในที่สุดก็จับได้สักที”
“ปะ-ปล่อยกูนะไอ้ที”
“ไม่เว้ย ถ้าปล่อยมึงก็หนีอีก กูไม่ปล่อยมึงแน่”
ตื้อดึง… ใครไลน์มาตอนนี้วะ
Night : ไอ้ที น้ำปั่นกูไม่เอาแล้วนะ ไม่ต้องต่อแถวแล้ว
อ้าวเฮ้ย อย่างนี้ก็ได้เหรอ…
Night : อ่อ แล้วก็มึงใจร่มๆหน่อย ทำหน้าเป็นยักษ์แบบนั้นไอ้ฟ้ามันคงอยากคุยหรอกนะ
ผมหันไปมองซ้าย มองขวาก็ไม่เห็นไอ้ตัวคนที่ส่งข้อความมาเลย จากเนื้อหาแล้วมันต้องแอบดูอยู่แถวนี้แน่ๆ เผลอๆที่ไอ้ฟ้ามาอยู่ตรงนี้ก็คงเป็นแผนของมันด้วย ร้ายนักนะมึงเนี่ย
เฮ้อ… ก็ได้วะ
ผมค่อยๆ คลายมือที่จับข้อมือของมันออก
“ไอ้ที…”
“เฮ้อ… เรื่องนั้นกูจะยังไม่ถามก็ได้ แต่อย่างน้อยอย่าหลบหน้ากูแบบนั้น กูไม่ชอบ”
“ขอโทษก็แล้วกัน แต่ถ้ากูไม่หลบมึงก็จะเอาแต่ถามเรื่องนั้นไม่ใช่รึไง”
“ก็ใช่ล่ะนะ ใจจริงกูก็อยากจะถามอยู่หรอก อยากเค้นตอนนี้เลยด้วยซ้ำแต่…”
“…”
“ไหนๆ ก็มาเที่ยวกันทั้งที… ไปเดินเที่ยวกันหน่อยไหม”

มีต่อจ้า =w=

ออฟไลน์ Yukimin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตลาดริมทะเลของที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่เป็นพื้นที่ตรงฟุตบาทที่ติดกับทะเลจึงทำให้มีพวกร้านอาหารหรือร้านของฝากมาเปิดขายยาวจนสุดถนน แถมบรรยากาศตอนกลางคืนยังมีลมเย็นๆ พัดมาจากทะเลเป็นตัวช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี… ถึงจะพูดว่าเป็นอย่างดีก็เถอะ
“…มึงจะไปเดินไกลกูขนาดนั้นทำไม”
ผมมองไปยังฟ้าที่กำลังเดินเก้ๆกังๆ อยู่ห่างจากผมประมาณคืบนึง
“ปะ-เปล่าสักหน่อย… กูแค่ร้อนเฉยๆ เอง”
โดนเว้นระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด นี่ผมพยายามซอฟสุดๆ แล้วนะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้นี่จะลากไปที่ลับตาคนแล้วคุยให้มันรู้เรื่องไปเลย… หรือหน้าผมมันยังซอฟไม่พอนะ
“อ๊ะ”
“ระวังหน่อย…”
ผมเข้าไปประคองตัวไอ้ฟ้าไว้ทันทีหลังจากที่มันโดนคนที่เดินอยู่ข้างหลังเบียดแซงขึ้นมาจนทำเอามันเกือบจะล้มลงไป
“ขะ-ขอบใจ”
“ตัวมึงยิ่งเล็กๆอยู่เดี๋ยวก็หายไปในฝูงคนหรอก”
“กูไม่ได้เล็กสักหน่อย ขนาดกูนี่มาตรฐานชายไทยเลยนะ”
“เหรอ… แต่ถ้าเทียบกับกูแล้วมึงก็ยังเตี้ยอยู่ดีแหละ”
“ไอ้ที!!”
ผมใช้มือดันหัวของร่างเล็กที่ตอนนี้มันพยายามจะตะเกียกตะกายเข้ามาต่อยผมให้ได้ แต่ด้วยความต่างชั้นของความสูงและความยาวของช่วงแขน มันจึงทำได้เพียงแค่ต่อยลมไม่อาจเอื้อมมือมาโดนตัวผมได้
“หายเกร็งสักทีนะมึงเนี่ย”
“กูไม่ได้เกร็งสักหน่อย มึงนั่นแหละคิดไปเอง”
“ถ้ามึงยืนยันว่าไม่เกร็งกู งั้นมึงก็ไปเดินเที่ยวกับกูไหม”
“เรื่องไรกูต้องไปกับมึงด้วย”
อ้าวมึงปรับอารมณ์เร็วจนกูตามไม่ทันแล้วเนี่ย เมื่อกี้มึงยังกลัวๆ ถัดมาก็เดินตัวเกร็งๆ มาตอนนี้มาทำตัวดื้อซะงั้น นั่นๆมีทำเมินใส่ด้วย…ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอวิธีรับมือกับเด็กดื้อสักหน่อย
ผมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆกับร่างเล็กที่ตอนนี้มันยืนกอดอกหันหน้ามองทะเล ไม่ได้หันมาดูผมเลยสักนิด แต่ก็ช่วยให้แผนของผมมันง่ายขึ้นเยอะ ผมค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ จนเมื่อลมหายใจของผมสัมผัสกับใบหูบางๆมันก็เหมือนจะรู้สึกตัวรีบหันกลับมามองพร้อมกับร่างกายที่เตรียมจะถอยหลัง แต่มือของผมนั้นเร็วกว่ารีบคว้าแขนพร้อมกับดึงมันให้เข้ามาใกล้แทนพร้อมกับพูดกระซิบใส่ข้างหู
“ให้เลือกระหว่างมึงจะไปเดินเที่ยวกับกู หรือให้กูอุ้มมึงท่าเจ้าหญิงมึงจะเลือกอะไรเอ่ย?”
ผมพูดพร้อมกับดึงเสียงประโยคสุดท้ายให้สูงขึ้นเป็นการเพิ่มระดับความกวนประสาทฝ่ายตรงข้ามซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลเพราะตอนนี้ร่างเล็กเริ่มจะมองค้อนใส่ผม
“…”
“ว่าไงจะเลือกอะไรดี… ถ้ามึงไม่เลือกเดี๋ยวกูจะเลือกให้มึงเองน้า”
ไม่พูดเปล่าผมทำท่าทางก้มลงไป ใช้มือไปแตะบริเวณข้อขาของอีกฝ่ายพร้อมที่จะยกขึ้นมาทุกเมื่อ เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ร่างเล็กก็รีบตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
“เออๆ ไปก็ได้”
“ตอบออกมาแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว”
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์”
“ขอบคุณที่ชมคร้าบบ”
ไอ้ฟ้าทำหน้างอนเดินหนีผมไปแล้ว ภาพที่เห็นช่วยสร้างเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มให้ผมเป็นอย่างดี ก็ปฏิกิริยามึงตอนโดนแกล้งมันน่ารักขนาดนี้ใครเขาจะทนไม่แกล้งได้ล่ะ อย่างน้อยผมก็คนหนึ่งล่ะที่ทนไม่ได้
หลังจากนั้นพวกผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ แวะดูร้านนู้นที ร้านนี้ที ขนาดรู้สึกว่าตัวเองก็เดินมาไกลแล้วแต่แสงไฟยังคงยาวออกไปอีกไกลจนยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของถนนสายนี้เลย พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย อารมณ์ว่าอยากแวะที่ไหนก็แวะ แถมไอ้ฟ้ามันก็เริ่มจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่ทำตัวเกร็งหรือหนีหน้าผมมันทำให้ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมา แต่ก็ยังคงเหลือความอึดอัดใจอยู่อีก… อยากจะยืนยันความรู้สึกของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมอยากจะบอก… ความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ
“อ้าวๆ นั่นน้องทีไม่ใช่เหรอ”
“เจ๊บอย!!”
“บอยลี่จ๊ะ”
เป็นการพบกันอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเราเดินตรงเข้าไปยังซุ้มขายเสื้อผ้าที่มีคุณแม่ค้าตัวยักษ์ที่แสนจะนุ่มนวลและคุ้นเคยเป็นเจ้าของร้าน
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกันที่นี่นะเนี่ย”
“ผมก็เหมือนกันครับ ไม่คิดเลยว่าเจ๊บอยจะมาออกร้านขายเสื้อผ้าที่ต่างจังหวัดแบบนี้”
“ตอนแรกเจ๊ก็ไม่ได้กะจะมาขายของหรอก ตอนแรกเจ๊กะจะมาเที่ยวกับเพื่อน อุตส่าห์เก็บของเก็บกระเป๋าซะดิบดีกะว่าจะมาส่องผู้ที่ทะเลสักหน่อย สุดท้ายนางแค่อยากได้คนมาช่วยขายของ เจ๊ล่ะอยากจะจับมาตบซ้ายตบขวาสักป๊าบจริงๆ”
ดูท่าเจ๊เขาจะแค้นฝังลึกน่าดูเลย…
“แล้วนี่เรามาเที่ยวเหรอ”
“ครับ มาเที่ยวปิดเทอมกันน่ะครับ”
“กับที่บ้าน?”
“มากับเพื่อนน่ะครับ”
“ดีแล้วๆ ชีวิตวัยเรียนก็ต้องมาเที่ยวกับเพื่อนนี่แหละแซ่บที่สุดแล้ว… จะว่าไปน้องฟ้าไม่มาด้วยเหรอปกติเห็นตัวติดกันจะตาย”
“ไอ้ฟ้ามันก็มานะครับ แต่มันไปซื้อน้ำส้มปั่นร้านข้างๆ เสร็จแล้วมันคงจะเดินมา”
“แหมแต่เห็นน้องทีอีกครั้งแล้วนี่ทำเอาเจ๊อยากจับไปถ่ายรูปลงเพจร้านอีกจังเลย คราวก่อนที่ลงไปได้กระแสดีมากเลยล่ะ คนแชร์เพียบ มีออเดอร์เข้ามาจนล้นเลย นี่ไงดูสิๆ”
เจ๊บอยยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้าเพจร้านเสื้อผ้าของตนเองเอาไว้ ซึ่งเป็นโพสต์ที่ผมกับไอ้ฟ้าไปเป็นนายแบบจำเป็นให้ ซึ่งดูจากยอดวิวกับคอมเม้นท์แล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ยอดออเดอร์มันจะเข้ามาเยอะ เพราะแต่ละคอมเม้นท์มันชวนทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ ผมเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับรูปของไอ้ฟ้าเข้า บอกได้คำเดียวเลยว่า… น่ารัก อยากจะกดลบรูปออกจากเพจเจ๊แล้วเซฟรูปเก็บไว้ดูเองคนเดียวจะแย่อยู่แล้ว
“เราสนใจจะมาเป็นนายแบบให้เจ๊อีกรึเปล่า เจ๊มีค่าตัวให้นะหรือจะรับตัวเจ๊ไปเป็นค่าตัวก็ได้ เจ๊ยอม”
“ฮะฮะ ถ้าเรื่องนายแบบละก็ถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วยนะครับ… ส่วนค่าตัวของเงินเหมือนเดิมเถอะครับ”
“แหมๆ ไม่รับมุกเลยนะ เดี๋ยวช่วยลองไปถามน้องฟ้าด้วยนะว่าอยากจะมาเป็นแบบให้เจ๊อีกรึเปล่า เพราะน้องฟ้านี่กระแสตอบรับดีมากเลยล่ะ คงเป็นเพราะรูปแบบชุดของเจ๊มันออกแนวน่ารักด้วยก็เลยเข้ากับน้องฟ้า”
“เออคือ เจ๊ครับ…”
“หืม?”
“เรื่องเป็นแบบเอาเป็นผมคนเดียวได้รึเปล่าครับ”
“อ้าว น้องฟ้าเขาไม่ชอบเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ๊ก็ไม่บังคับหรอกนะ”
“ไอ้ฟ้ามันคงไม่เป็นไรหรอกครับ มันคงชอบด้วยซ้ำที่ได้เงิน”
“อ้าวแล้วทำไมล่ะ”
“… ไอ้ฟ้ามันเป็นของผมคนเดียว”
พูดไปก็รู้สึกอายตัวเองเหมือนกัน แต่ใครจะยอมให้คนที่ไหนก็ไม่รู้มาเชยชมความน่ารักของไอ้ฟ้ากันได้ล่ะ
“แหมๆ ตายจริงๆ อย่างนี้นี่เอง”
เจ๊บอยพยักหน้าเหมือนกับว่าจะเข้าใจแล้ว สักพักอยู่ๆก็ทำตัวดี๊ด๊าดีดขึ้นมากะทันหัน ทำเอาผมสะดุ้งโหยงเลย นี่ก็อีกคนปรับอารมณ์ไวเหลือเกิน
“ร้ายนักนะเราเนี่ย ไปคบกันมาตอนไหนกันเอ่ย”
“ยะ-ยังไม่ได้คบกันสักหน่อยครับ”
“อ้าว? หรือว่ารักเขาข้างเดียว”
“คิดว่าน่าจะใจตรงกันแล้ว…มั้งครับ แต่แค่ยังไม่ได้บอก”
คำพูดบนชิงช้าสวรรค์กลับมาวนเวียนอยู่อีกครั้ง แต่คราวนี้มันกับมาพร้อมกับอาการร้อนๆ ที่ใบหน้าซะอย่างนั้น… อื้อ ยิ่งพูดมันยิ่งเขิน
“ชักช้าแบบนี้ระวังจะโดนคนอื่นคาบไปกินก่อนนะ ยกตัวอย่างเช่นเจ๊ไง น้องฟ้ายิ่งน่าเจี๊ยอยู่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่มีใครคาบไปกินทันแน่นอน”
“…”
“เพราะว่าผมตั้งใจจะพูดในคืนนี้อยู่แล้ว”
“แหมๆๆๆ มั่นใจจังนะเราอะ ระวังจะนกขึ้นมานะจ๊ะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับเจ๊ ผมยิ่งเสียวๆ อยู่”
“แล้วได้คิดรึยังล่ะว่าจะทำยังไง สถานที่ บรรยากาศ มู๊ด?”
“ยังไม่รู้เลยครับ ตอนแรกก็กะว่าจะหาจังหวะเหมาะๆ แล้วบอกออกไปเลย”
“ไม่ได้!!”
อยู่ๆ เจ๊ก็ตบโต๊ะเสียงดังจนผมและลูกค้าที่เดินผ่านไปมาสะดุ้ง
“มันต้องสร้างบรรยากาศให้มันโรแมนติกซิยะ การสร้างความประทับใจให้คนคนนั้นเขาตราตรึงน่ะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จเข้าไปอีก ยิ่งมีของขวัญไปให้ยิ่งเพอร์เฟ็ค นี่เป็นเรื่องฐานของพื้นฐานเลยนะ!!”
“คะ-ครับเจ๊”
หลังจากนั้นเจ๊แกก็เริ่มทำเหมือนตัวเองเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดคอยให้คำปรึกษาผมเยี่ยงผู้เชี่ยวชาญดูท่าว่าเจ๊แกจะอินกับเรื่องนี้เอามากๆ เหมือนกับมีความหลังซะอย่างนั้น
“เฮ้อ… ไหนๆ แล้วเจ๊ก็จะช่วยในฐานะของคนมีประสบการณ์สักหน่อย ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ”
“เออ…คิดว่าน่าจะสักทุ่มสี่สิบแล้วล่ะมั้งครับ”
“โอเคถ้าอย่างนั้นก็ยังทันเวลาอยู่”
“?”
“โชคดีนะที่มาตลาดวันนี้พอดี ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ตอนสองทุ่มมันจะมีการจุดดอกไม้ไฟแบบย่อมๆ ขึ้นมาน่ะ ถ้าอยากไปดูเดี๋ยวเจ๊จะแนะนำสถานที่สำหรับดูดอกไม้ไฟให้”
“จริงเหรอครับ”
“ใช่แล้ว แถมเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักดี คนก็เลยแทบจะไม่ค่อยไปกัน รับรองว่าอยู่เปลี่ยวๆกันสองคนจนแทบจะฉุดกันไปทำอะไรมิดีมิร้ายได้เลยเชียวล่ะ เจ๊คอนเฟิร์ม”
“มะ-ไม่ดีมั้งครับเจ๊”
“ฉันพูดล้อเล่นย่ะ คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ หื่นใช่เล่นนะเราอะ”
ผมเบนหน้าจากเจ๊บอยไปดูสินค้ารอบๆ ไม่อยากจะเห็นหน้าเจ๊บอยเอาตอนนี้มากเลยมันช่างชวนให้ใบหน้ามันเร่งการขึ้นสีขึ้นมา แต่ว่าแดงไม้ไฟเหรอ… ก็อาจจะดีกูได้มั้ง
‘ฉุดกันไปทำอะไรมิดีมิร้าย…’ ปรี๊ด… ผมเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้า เมื่อดันเผลอจินตนาการเรื่องแปลกๆ ออกไปเมื่อสักครู่ มึงอย่าพึ่งคิดไปไกลที มึงอย่าพึ่งคิดไปถึงขั้นนั้น

“ตรงนี้น่ะเหรอที่ที่เจ๊แกบอก”
พวกผมเดินเลาะตามชายหาดมาจนมาสุดอยู่ที่เนินโขดหินซึ่งเดินย้อนขึ้นมาจากตรงที่เขาจะจุดดอกไม้ไฟกัน สงสัยเพราะว่ามันอยู่คนละทางกับที่ที่เขาจะจุด คนก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเห็นก็เลยไม่ยอมมากันมั้ง แต่ที่แปลกกว่าก็คือมันดันอยู่ใกล้กับที่บ้านพักจนมองเห็นได้จากตรงนี้เลย
“หวา”
“ระวังหน่อย แถวนี้มันมืด”
ผมคว้ามือของร่างเล็กเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆดึงมันขึ้นมา บริเวณแถวนี้เป็นเนินหินที่ขึ้นมาตั้งแต่ชายหาดยาวไปจนถึงทะเล ถึงจะไม่ได้ไกลไปจนถึงโซนน้ำลึก แต่แค่สุดโขดหินมันก็ไกลจนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนตัวสุดๆ มิน่าเจ๊เขาถึงบอกว่าไม่มีใครเห็น
พวกเราสองคนหาที่นั่งเหมาะๆตรงบริเวณปลายโขดหิน นั่งหย่อนขาตัวเองลงไปแช่ในทะเล น้ำทะเลเย็นๆช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาบวกกับลมที่โชยเข้ามาเบาๆ ทำให้รู้สึกอยากจะนอนหลับเอาตรงนี้เลย ถ้าไม่ติดว่ายังมีเรื่องที่จะต้องสะสางอยู่
“แต่ว่าเจ๊บอยแกรู้จักที่นี่ได้ยังไงวะ ตอนกลางวันกูยังมองไม่เห็น”
“ที่มึงมองไม่เห็นเพราะมึงมัวแต่สนใจตรงอื่นอยู่รึเปล่า อย่างเช่นตรงนี้”
ผมยกยิ้มมุมปากพร้อมกับชี้ลงไปยังเป้ากางเกงของผม ร่างเล็กถึงกับสะดุ้ง คำพูดเริ่มตะกุกตะกัก เห็นปฏิกิริยากี่ทีก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยน
“อะ-ไอ้เหี้ยที! ทะลึ่ง!”
“อย่างมึงเนี่ยไม่น่าจะมีสิทธิ์มาเรียกกูว่าทะลึ่งได้นะ มึงทะลึ่งกว่ากูตั้งเยอะ”
“ตรงไหน?”
“โถ่ทำเป็นลืม ก็เรื่องที่มึงเล่นจูบกูบนชิงช้าสวรรค์แถมยังจูบโชว์ชาวบ้านชาวช่องเข้าอีก… กล้า จัง นะ”
ผมพูดโดยพยายามเน้นสามคำสุดท้ายเพื่อให้อารมณ์ของมันเตลิดยิ่งกว่าเดิมซึ่งก็เป็นไปตามคาดมันทำตัวลนลาน พอไม่มีที่ไปมันก็มาลงกับผมใช้กำปั้นเล็กๆ พยายามต่อยๆ ใส่ตัวผมแต่ด้วยแรงแค่นั้นอย่าว่าแต่จะเจ็บเลย ยังไม่ปวดด้วยซ้ำ หน้าก็เริ่มแดงขึ้นมาเล็กๆ แล้วแฮะ… น่าสนุก
“แล้วก็ตอนที่ไปเข้าค่ายตอนที่กูออกไปรับมึงที่นั่งจ๋อมร้องไห้อยู่หลังต้นไม้เพราะกลัวความมืด พอกูไปถึงก็เล่นกระโจนเข้ามากอดกูไปพลางร้องไห้ไปพลางเห็นมะมึงทะลึ่งกว่ากูตั้งเยอะ…อ่อ ใช่ๆ ยังมีเรื่องเมื่อตอนเช้าที่มึงลูบไล้ซิกแพคกูใหญ่เลยด้วยนี้เนอะ”
“อันนั้นมึงบังคับกูตั้งหากล่ะ!”
“แต่มึงก็ไม่ชักมือหนีด้วยนิ เห็นซิกแพคกูแล้วมือไม้อ่อนเลยล่ะสิท่า”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แต่ร่างเล็กก็กระเถิบถอยไปโดยอัตโนมัติ
“ระ-เรื่องนั้น… หึ กูไม่คุยกับมึงแล้วเสียเวลา!”
อ้าว งอนเฉย… สงสัยจะแกล้งแรงไปหน่อย
“โอ๋ๆ กูไม่แกล้งมึงแล้วก็ได้ เลิกงอนได้แล้ว”
ผมยื่นมือเข้าไปลูบกลุ่มผมนุ่มตรงหน้าอยู่สักพัก แต่ร่างเล็กก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรร่างกายยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น
“หันกลับมาคุยกันเถอะ นะนะนะนะ”
ผมกอดคอมันพร้อมกับใช้ใบหน้าถูไถไปด้วย พยายามบีบเสียงอ้อนวอนให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็เหมือนเดิมร่างเล็กยังคงนิ่งไม่ไหวติง… หน๊อยการ์ดแข็งนักนะมึงเนี่ย ถ้าแบบนี้มันก็ต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูจะเล่นกลให้ดู แล้วเดี๋ยวมึงจะต้องหันมาหากูแน่ๆ”
“…”
“…กูชอบมึงนะ”
เป็นไปตามคาดร่างเล็กรีบหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าตกใจ พร้อมกับที่ดอกไม้ไฟดอกแรกเริ่มขึ้นไปเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้า แสงสาดส่องจนทำให้เห็นใบหน้าของพวกเราทั้งคู่อย่างชัดเจน
“ว้าว ตรงนี้เห็นดอกไม้ไฟชัดเจนเหมือนที่เจ๊บอยบอกเลย มึงว่าไหม”
“เรื่องดอกไม้ไฟน่ะเอาไว้ทีหลัง แต่ที่มึงพูดออกมาเมื่อกี้มันหมายความว่า…”
“กูว่ามึงก็คงคิดเหมือนกับที่กูคิดนั่นแหละ”
“…”
“ตอนแรกที่กูกลับมาเจอมึง กูก็ลังเลเหมือนกับมึงนั่นแหละ เอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่ามึงจะมองเห็นกูเป็นเพื่อนเหมือนเดิมรึเปล่า พวกเราจะสนิทกันเหมือนเดิมรึเปล่า คิดวนไปวนมาแต่พอมึงมาก็ทำให้กูดูโง่ไปเลยเพราะมึงก็ยังเป็นเพื่อนกับกูเหมือนเดิม”
ผมยังจำความรู้สึกของวันแรกที่กลับมาเจอกันได้เลย พอรู้จากข้าวฟ่างมาว่าไอ้ฟ้ามันยังอยู่แล้วมันยังจำผมได้ ในใจมันช่างเต็มไปด้วยความสุข รู้สึกตื่นเต้นรอเวลาเลิกเรียนเพราะอยากเจอกับมันทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้
“หลังจากนั้นกูก็คิดว่าเป็นเพราะความเป็นเพื่อนของพวกเรา กูถึงได้ชอบที่จะอยู่กับมึง ชอบที่จะไปไหนมาไหน ชอบที่จะคุยกับมึง เวลาเห็นมึงไปคุยกับใครกูก็มักจะอึดอัดใจ ตอนนั้นกูก็คิดไปเองว่าคงจะหวงเพื่อนล่ะมั้ง เพราะกูก็ไม่อยากจะแยกกับมึงอีก”
“…”
“แต่ว่าหลังๆ มันเริ่มที่จะรู้สึกแปลกๆ ความอึดอัดใจมันเริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แต่กูก็มักจะหายเวลาเจอรอยยิ้มของมึง พอรู้สึกตัวอีกทีสายตาของกูก็มักจะมองหามึงเองอยู่เสมอๆ พอเห็นหน้าของมึงแล้วมันก็มีความรู้สึกว่าน่ารักบ้างล่ะ อยากเก็บเอาไว้คนเดียวบ้างล่ะ พอเห็นมึงกูอยากจะเข้าไปสัมผัสเหมือนกับคนบ้าเลย”
“ก็มึงมันบ้านิ”
“ฮะฮะ จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่เพราะแบบนั้นกูถึงได้รู้ว่าสิ่งที่กูรู้สึกกับมึงมันไปไกลกว่าเพื่อนหลายขุมแล้ว ถึงกูจะเคยเตือนตัวเองให้คิดกับมึงเป็นแค่เพื่อน คอยย้ำๆอยู่อย่างนั้นจนอึดอัดใจแทบตาย อยากจะบอกๆออกไปแต่มันก็กลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่มีไปจนหมด ได้แต่เก็บมันเอาไว้ภายในใจ”
“ที…”
“แต่ว่ามันก็ไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ ยิ่งมึงทำตัวใกล้ชิดกับกูแบบเดิม แต่ความรู้สึกของกูมันไม่เหมือนเดิม มันเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหักหลังความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อตัวเองอยู่ จิตใจของกูมันก็ยิ่งอึดอัดใจไปมากกว่าเดิม ถึงทุกครั้งมึงก็ช่วยเข้ามาปัดเป่าจิตใจของกูแต่มันก็ทำให้ความรู้สึกของกูมันยิ่งคิดไปไกลกว่าเดิม”
ยิ่งเตือนสติตัวเองว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแค่เพื่อนพอทำแบบนั้นแทนที่ว่ามันจะสบายใจมันกลับกลายเป็นความอึดอัดใจ
ทันทีที่ถูกหลบหน้ามันกลับทำให้รู้สึกเศร้าใจ แต่พอกลับมาเจอกันมันกลับรู้สึกมีความสุข
ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันมันทำให้หัวใจเต้นรัว ถึงจะพยายามหลอกตัวเองยังไง แต่ตัวเองก็เป็นคนที่รู้ความรู้สึกของตัวเองดีที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว…
“ความจริงแล้วที่มึงพูดบนชิงช้าสวรรค์น่ะ กูก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามึงคิดยังไงกับกู แต่…กูอยากได้ยินจากปากของมึงชัดๆ อีกสักครั้ง อยากจะยืนยันว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ความฝันดีๆเท่านั้น”
“พูดซะยาวเหมือนเด็กสาวที่ตกอยู่ในห้วงตกหลุมรักแบบดึงไม่ขึ้นเลยนะมึงเนี่ย”
“ก็หลุมของมึงมันลึกนี่หว่า”
“กูชอบมึงนะ… พอใจรึยัง ให้พูดหลายๆรอบ คนพูดมันก็อายเป็นนะรู้มะ-… เหวอ!!”
ผมกระโจนเข้าไปกอดร่างเล็กอย่างสุดกำลัง จนร่างกายพวกเราผลัดตกลงไปยังพื้นน้ำเบื้องล่างข้างโขดหินจนเกิดเสียงและหยดน้ำกระจายออกมารอบๆ
“ทำไรของมึงเนี่ย มันอันตรายนะรู้ไหม”
โชคดีที่บริเวณแถวนี้เป็นทะเลตื้นทำให้พวกเราสามารถยืนกันถึง ร่างเล็กพยายามใช้มือตบที่หลังของผมเพื่อบอกให้ผมปล่อยตัวของมันออกจากพันธนาการ
“ก็กูดีใจนี่… ดีใจมากเลยด้วย”
“…กูก็เหมือนกัน …แต่มึงช่วยปล่อยคอกูก่อนได้ไหมรัดซะแน่นขนาดนี้กูหายใจไม่ออก”
“อย่าพูดทำลายบรรยากาศดิ อุตส่าห์กำลังโรแมนติก”
พูดไปอย่างนั้นแต่ผมก็ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ พึ่งจะใจตรงกันผมยังไม่อยากให้มันขาดอากาศหายใจตายอยู่ตรงนี้
“เรื่องนั้นมึงทำตัวเองล้วนๆ ถ้ากอดเบาๆ กูจะไม่ว่าเลย นี่มึงเล่นล๊อคคอกูซะ… แล้วอีกอย่างดูดิ มึงเล่นทำกูเปียกแฉะขนาดนี้ จะทำไงล่ะทีนี้ ไปเดินตลาดต่อก็ไม่ได้แล้วด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านพักไปอาบน้ำกันไหม ใกล้แค่นี้เอง”
“เฮ้อ ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
เอ้า ฮึ่บ… อาศัยจังหวะที่ร่างเล็กไม่ทันระวังตัวช้อนตัวร่างทั้งร่างขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยท่าเจ้าหญิง ไอ้ฟ้าก็พยายามดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
“ทะ-ทำไรเนี่ย”
“พามึงกลับไง”
“อุ้มทำไม กูเดินเองได้”
“ก็กูอยากอุ้มนี่… ไม่ได้เหรอ”
ผมพยายามพูดโดยใช้น้ำเสียงให้น่าสงสารที่สุดแล้วก็สำเร็จไอ้ฟ้ามันเริ่มจะใจอ่อนเข้าให้แล้ว
“เหอะ ตามใจมึงก็แล้วกัน มึงอยากจะทำอะไรก็ทำ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบน้ำด้วยกันเถอะ”
“หะ!? ใครบอกมึงว่ากูจะไปอาบกับมึง”
“อ้าวก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากูอยากจะทำอะไรก็ทำ นี่ไงกูจะพามึงไปอาบน้ำด้วยกันไง”
“ไม่เว้ย! กูหมายถึงเรื่องอุ้ม ไอ้ทีปล่อยกูลงเว้ย! ... ไอ้ที! ... ไอ้เหี้ยที!!!”
ผมไม่สนใจเสียงโวยวายจุ๊บจิ๊บจุ๊บจิ๊บที่ข้างหู รีบวิ่งขึ้นมาจากทะเลเพื่อตรงไปยังบ้านพักโดยอุ้มเพื่อนสนิทแสนสำคัญเอาไว้ด้วยมือสองข้าง โอ๊ะไม่ใช่สิ… ต้องเป็นมากกว่านั้นแล้วล่ะสินะ

นภดล (น่านฟ้า)
สถานะ : มากกว่าเพื่อนสนิท

ศศิน (นที)
สถานะ : มากกว่าเพื่อนสนิท


ออฟไลน์ Runsmile

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด