ตอนที่ 19
อดีตดำมืด
เย็นวันนั้นผมกลับไปแปลงโฉมที่ห้อง ยืนหมุนหน้ากระจก ก่อนจะขับรถไปไนต์คลับแห่งหนึ่งซึ่งสืบมาจากสองบอดี้การ์ดที่ไม่อาจหาญกล้าปฏิเสธข้ออ้างของผม
ถ้าเล่าให้พี่นทีฟังคงโดนด่าว่าอยู่เฉยๆ ให้คนมาชอบ ปรนนิบัติเอาอกเอาใจ แสดงความรักให้อย่างเดียวก็ดีแล้วจะหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวทำไม แต่พี่นทีที่มีความคิดตัวเองเป็นใหญ่จะไปเข้าใจอะไรล่ะ! คนโสดสามสิบสามปีอย่างเขารู้รึเปล่าเถอะว่าความรักเป็นยังไง ถ้าคิดจะคบหากัน จะรอให้อีกฝ่ายมาทำดีอย่างเดียวแล้วเรานั่งไขว่ห้างเฉยๆ ไม่ได้! ต้องรู้ซึ้งถึงธาตุแท้ แสดงความจริงใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องแสดงนิสัยและข้อเสียออกมาด้วย! แน่นอนว่าคนอย่างนาวา ขี้เกียจก็บอกขี้เกียจ ขี้เซาก็บอกขี้เซา งอแงไม่อยากทำงานนั่งโต๊ะก็พูดตรงๆ ผมใช้เงินเปลืองมาก หมดไปกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เอาแต่ใจและอารมณ์แปรปรวน ทุกอย่างเปิดเปลือยไม่ปิดบัง แต่ศศินนี่สิ...เก็บเร้นซ่อนคมไว้เยอะชะมัด
บางอย่างก็ชวนสยองขวัญเหมือนคนโรคจิต แต่บางอย่างก็ชวนใจเต้นเหมือนเด็กน้อย ผมอยากจะขุดค้นตัวตนของอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ทำความรู้จักอย่างตรงไปตรงมา จะได้แน่ใจว่าสรุปแล้วจะลุยให้ถึงที่สุด หรือหยุดแล้วโบกมือลากันแน่
เวลาผมนึกสนใจหรือรักชอบอะไรจะทุ่มเทเต็มที่ เหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ ปลอมตัวใส่วิกผมยาวยุ่งกระเซิง แว่นตากรอบเหลี่ยมหนาเตอะ สวมชุดเสื้อยืดแขนยาวเชยๆ กับกางเกงขายีนขาดๆ สีซีดเก่าเหมือนใส่ซ้ำมาร้อยครั้ง ให้อารมณ์คนเซอร์ๆ มาเที่ยวคลับที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนนาวา ดาราลัยสักนิดเดียว
ผมไม่ใช่คนชอบเที่ยวเพราะเกลียดเสียงดัง คนเยอะๆ เต้นเบียดกันให้วุ่นวายรำคาญใจ พอต้องมายืนงงๆ กลางดงนักเที่ยวกลางคืนก็เล่นเอามึนหัวไม่น้อย ไนต์คลับของศศินมีทั้งแบบนั่งดื่มในห้องวีไอพีสุดหรูบรรเลงเพลงคลาสสิก ยันไนต์คลับเต้นรูดเสา หญิงสาวสวมชุดเซ็กซี่กลางโต๊ะที่มีบรรดาผู้ชายห้อมล้อมชอบอกชอบใจ ครับ วันนี้ผมแจ็กพ็อต ได้มาเปิดหูเปิดตา ยืนเกาหัวอยู่ท่ามกลางการแสดงเต้นรูดเสา แสง สี เสียง อลังการงานสร้าง มีคนคอยยืนคุมตามจุดเพื่อไม่ได้นักแสดงโดนลวนลาม เป็นศิลปะในแง่ยั่วยวนต่อกามา ซึ่งเหล่าลูกค้าก็แสดงความต้องการไม่ปิดบัง
เหมือนหลงทิศหลงทางเข้าสู่แดนพิศวง
ผมเป็นพวกเปิดกว้างทางเพศและอิสระทางความคิด จากตื่นตาตื่นใจแกมตกตะลึงก็เริ่มปรับตัว หลังการแสดงจบลงยังยืนปรบมือให้ด้วยซ้ำ ก่อนจะเริ่มถอยชิดมุมเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีเพราะบรรดานักแสดงเต้นรูดเสาเมื่อครู่ถูกลูกค้าสายเปย์เรียกไปนั่งด้วย ถ้าแค่รินเครื่องดื่ม จับนิดๆ หน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก แต่มีตาแก่หน้าหื่น ท่าทางเมามายน่าดูล้วงหน้าอกเข้าให้นี่สิ ไม่ไหวมั้ง
นักแสดงสาวอุทานลั่น แต่โดนตาแก่คว้าเอวมากอดหมับแล้วยังจับก้นอีกต่างหาก ผมมองซ้ายมองขวา ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเล่าชายฉกรรจ์ที่ยืนคุมตามมุมร้านเดินเข้ามาล้อมตาแก่คนนี้แล้วกันนักแสดงสาวออกไป อะไรนะครับ คิดว่าผมจะทำตัวเป็นฮีโร่เข้าไปช่วยเธอเหรอ บอกก่อนเลยว่านาวาคนนี้เก่งวิชาการ ทำคะแนนสอบได้ดีก็จริง แต่ห่วยพละนะ!!
ให้วิ่งสู้ฟัด ท้าตีท้าต่อย ขอเถอะขอที ในเมื่อมีคนคุมอยู่แล้วจะหาเรื่องทำไม อยู่เป็นนะครับ!
พลันเรื่องราวลุกลามบานปลายเมื่อตาแก่มีพรรคพวกอีกสี่คนตามมาสมทบเผชิญหน้ากับคนคุม แถมยังตะโกนกร้าวกร่างๆ ว่าจับหน้าอกแล้วไง มีเงินโว้ย ที่ผู้หญิงมาทำงานนี้ก็เพราะหิวเงินไม่ใช่เหรอ อยากได้นักก็เอาไปสิ จะมาเรียกร้องสิทธิอะไร อยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา ข้ามีเงิน มีเงิน มีเงิน!
ผมกลอกตามองฟ้า ช่วงนี้เจอคนมีเงินเยอะจังนะโลกใบนี้ ยิ่งเห็น ก็ยิ่งย้อนดูตัวเองให้ใช้เงินระวังๆ อย่าทำตัวน่ารังเกียจ เบียดเบียนคนอื่น ตอนเจอลูกค้าเอาแต่ใจ ขอแก้แบบสารพัดจนวุ่นกันทั้งบริษัทแล้วใช้เงินโปะก็เล่นเอาเพลียจิตแล้ว มาเจอตาแก่หื่นกาม เอาเงินแลกสิทธิมนุษยชน ยิ่งสะอิดสะเอียนเข้าไปใหญ่
แม้เงินจะซื้อได้ทุกอย่าง แต่บางอย่างก็เป็นข้อยกเว้น อย่างหญิงสาวที่โดนจับหน้าอกนั้นร้องไห้ไม่ยินยอม เธอหน้าตาสะสวย ร่างกายมีส่วนเว้าโค้ง คงต้องตาผู้ชาย ถูกมองเป็นเครื่องสนองทางเพศเป็นประจำ คนคุมพยายามเจรจา ถึงขั้นมีผู้หญิงอีกคนเสนอตัวแทน แต่ตาแก่ก็ไม่ยินยอม จะเอาตัวผู้หญิงคนนั้นให้ได้
ผมถือคติทุกคนมีสิทธิ์เลือกและตัดสินใจ ต่อให้เรามองว่าผิด แต่สำหรับคนอื่นอาจจะถูกก็ได้ อย่างเช่นการรักชอบเพศเดียวกัน แม้สมัยนี้จะเปิดกว้าง แต่ก็มีบางความเชื่อที่เห็นว่าการเป็นเกย์นั้นน่าขยะแขยง เป็นความผิด วิปริต เป็นโรคที่รักษาไม่หาย จะโน้มน้าวให้เข้าใจตรงกันย่อมเป็นไปได้ยาก แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คือตัวเราเอง ฉะนั้นตอนเห็นผู้หญิงอีกคนยินยอมขายร่างกายแลกเงิน ผมก็ไม่ได้ดูถูกดูแคลน
เพราะถึงจะมีสิทธิ์เลือก แต่บางคนก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก
ในใจหดหู่หม่นหมองแปลกๆ สำหรับนาวา ดาราลัยที่ถูกปกป้องและเอาใจจากตวันและพี่ชายมาตลอด นอนกลิ้งเล่นมีความสุข ได้ทำในสิ่งที่รักชอบและใช้เงินสิ้นเปลืองตามใจ เมื่อได้มาเห็นโลกในอีกมุมก็เหมือนโดนแพ่นกบาลแรงๆ เข้าเหมือนกัน
กลับมาที่เหตุการณ์ตรงหน้าที่การทะเลาะถกเถียงเริ่มรุนแรงมากขึ้น จนสุดท้ายคนคุมเริ่มคุมไม่อยู่ เพราะอย่างไรลูกค้าก็เป็นลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้ากระเป๋าหนักที่มีพรรคพวกอีกหลายคน ก่อนสถานการณ์รุนแรงจะกลายเป็นนิ่งสงบ เมื่อคนที่ผมรอคอยปรากฏตัว
ศศินเดินมาพร้อมบอดี้การ์ดโชคและชัย สวมเสื้อเชิ้ตเปิดอกและเสื้อสูทไม่ติดกระดุม ตรงอกประดับด้วยเข็มกลัดที่ผมออกแบบให้ ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะไม่ได้ออกงาน แต่เขาก็ยังกลัดเข็มกลัดกับตัวตลอดเวลา เมื่อศศินเดินออกมา เหล่าตาแก่ก็เริ่มมีความยำเกรงขึ้นทันที ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้า แต่เพราะบรรยากาศรอบตัวศศินนั้นเย็นยะเยือกแปลกๆ แม้จะโวยวายหาเรื่องยังไงก็เหมือนต่อยกระสอบทราย...ไม่สิ ต่อยกับภูเขาสูงใหญ่ที่ไม่สะทกสะท้านสักนิดเดียว
สำหรับผมที่เห็นศศินยิ้มเป็นคนบ้า เรียกที่รักจ๊ะที่รักจ๋า เจอเขามาดนี้เข้าไปน่าตกใจยิ่งกว่าเห็นสาวเต้นรูดเสาซะอีก ดวงตาที่มักทอดมองอย่างรักใคร่เสมอเวลามองพวกตาแก่กลับไร้อารมณ์สุดกู่ ถ้าตวันมองพาฝันเหมือนคนไร้ตัวตน ศศินก็มองคนพวกนี้เหมือนขยะไร้ค่า แถมยังแฝงความเบื่อหน่าย คร้านจะเปิดปากพูดด้วย
เมื่อเจ้านายปรากฏตัว เหล่าลูกน้องที่ไม่กล้าลงมือกับลูกค้าโดยพลการก็พร้อมรับคำสั่ง คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าเรื่องราวทั้งหมดข้างหูศศิน เมื่อเขาพยักหน้ารับเนิบช้าก็ผละห่างออกไป ด้วยรูปร่างโดดเด่นและมาดของเขาทำให้ทุกคนมองทุกการกระทำแบบตาไม่กะพริบราวรอการตัดสินชะตา แต่ศศินยังไม่โหดร้ายขนาดนั้น เขาแค่ให้ลูกน้องคนหนึ่งเจรจาโดยมีตัวเองยืนคุม
เพียงยืนเฉยๆ แต่รังสีกดดันทำให้พวกตาแก่พูดง่ายขึ้นทันตา แต่ก็คล้ายจะไม่ชอบใจอยู่บ้างเพราะอดได้หญิงที่ถูกใจ ระหว่างนั้นการแสดงรูดเสาชุดต่อไปก็เริ่มขึ้น น่าจะเพราะต้องการดึงความสนใจลูกค้าให้ออกห่างจากจุดเกิดเหตุ ผมเหลือบมองศศิน เห็นเขาเหม่อมองด้วยสายตาเย็นชาไปรอบๆ คล้ายกายหยาบอยู่ตรงนี้แต่ใจล่องลอยไปไหนสักแห่ง ไม่แม้แต่จะหยุดสายตากับเหล่าสาวๆ สุดเซ็กซี่ที่เริ่มดึก การแสดงก็ยิ่งโจ่งครึ่มกว่าเดิม เดาได้สองอย่างว่าหนึ่ง เขาเห็นจนชิน และสอง เขาเห็นเป็นแค่ก้อนเนื้อดุกดิกไปมา ไม่มีค่าพอจะสนใจ
ผมรีบก้มหน้า แสร้งทำเป็นหันข้างคุยโทรศัพท์เมื่อสายตาศศินเหม่อเพลินๆ จนมาถึงจุดที่ยืนอยู่ ในใจแอบสะท้านว่าเขาจำไม่ได้หรอก ไม่มีทางจำได้แน่ แต่หางตาเจ้ากรรมเหลือบเห็นเขาเดินเข้าหาอย่างเร่งรีบ ขมวดคิ้วมุ่น บรรยากาศรอบตัวเองก็คุกรุ่น คาดว่ากำลังโกรธมาก
ซวยแล้ววา ซวยแล้วโว้ย!คนอย่างนาวากล้าทำก็กล้ารับ พอมั่นใจว่าเขาจำได้แน่นอน ผมก็ถอดแว่นแล้วเงยหน้ายิ้มหวาน ไม่ปกปิดมันแล้ว แสร้งเนียนเอาโต้งๆ เนี่ยล่ะ!
“ไง ศศิน วันนี้อากาศดีเนอะ”
คนที่ทำหน้าเคร่งเตรียมเอาเรื่องผมเต็มที่พลันเผยสีหน้าไปไม่เป็น ดวงตาแข็งกร้าวแปรเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนแกมอ่อนใจในพริบตา ศศินคนคิ้วขมวดไม่มีแล้ว เหลือเพียงคนโรคจิตที่มองมาหวานเยิ้ม รักใคร่ลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะ” ศศินช่วยเกลี่ยวิกผมยาวกระเซอะกระเซิงที่ปิดหน้าผมไปครึ่งหนึ่งอย่างถนอม
ผมชอบเขาที่เป็นแบบนี้มาก ไม่ต้องเรียกกันด้วยคำหวาน ไม่ต้องฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ยียวน
“นาวาสไตล์ไง มูนนี่ของที่รักไม่ชอบเหรอครับ”
“ชอบสิครับ ถ้าเป็นวาไม่มีอะไรที่มูนนี่ของที่รักไม่ชอบหรอก” ศศินหัวเราะในลำคอ ท่าทางนั้นเรียกสายตาของเหล่าลูกน้องรวมถึงลูกค้าบางส่วนมองมาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อโชคกระซิบเตือน สีหน้าของศศินก็เกร็งขึ้นทันที ก่อนจะชี้ชวนให้เดินตามขึ้นไปชั้นบน ไม่พูดไม่จาอะไรอีก
เขาพาผมไปห้องทำงาน โชคกับชัยช่วยจัดหาเครื่องดื่มให้ ก่อนจะทิ้งให้พวกเราอยู่แบบส่วนตัว
“ที่รักจ๋าตามมาถูกได้ยังไง ใครเป็นคนบอก”
กลับมาเป็นคนโรคจิตอีกแล้ว ผมจ้องหน้าศศิน มองว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนสีหน้าไวขนาดนี้
“ที่รัก...?” โดนจ้องสะกดระยะประชิด ศศินก็ทำอะไรไม่ถูก เขาฝืนยิ้มสู้ได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรียกผมเสียงอ่อย “วา...”
ดีมาก ผมพอใจมากเลยจับแก้มเขาดึงยืดทั้งสองมือ
“บางครั้งฉันก็เหมือนรู้จักนาย แต่บางทีก็เหมือนไม่รู้จักเลย สรุปแล้วนายเป็นคนยังไงกันแน่นะศศิน”
“เป็นคนที่รักที่รักจ๋าที่สุดไงจ๊ะ โอ๊ยๆๆ”
คราวนี้บิดแก้มจนแทบจะขาดติดสองมือ จากยอมให้เล่นตามใจศศินก็เริ่มบิดตัวขัดขืน แต่ก็ไม่กล้าแกะมือผมตรงๆ
“นายชอบมองฉันแบบรักถวายหัว แต่เอาเข้าจริงไม่กล้าแตะตัวด้วยซ้ำ ชอบป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แต่ดันมีระยะห่าง พออยากจะรู้จักขึ้นมาก็เหมือนเข้าไม่ถึงสักที”
“ที่รักจ๋าคิดมากไปแล้ว”
“ไม่คิดมากได้ไง ก็ฉันจริงจังกับนาย”
คนโดนบิดแก้มจนหน้าแดงพลันชะงักค้าง
“จนป่านนี้ยังไม่เชื่ออีกรึไง เจ้าบ้าเอ๊ย!” ผมจิ้มหน้าผากเขาอย่างหัวเสีย เรียกให้ศศินคืนสติ ก่อนจะลูบแก้มที่แดงก่ำจากการโดนประทุษร้ายอย่างประหม่า
“เราไม่ได้ เอ่อ...คุยๆ กันอยู่เหรอ”
“ก็คุยๆ กันไง แต่คุยอย่างจริงจัง ตั้งใจจะพัฒนาความสัมพันธ์ ทดลองดูใจว่าจะรอดหรือร่วง ไม่ใช่แค่คุยฆ่าเวลา คุยแก้เหงา คุยแก้เบื่อ คุยแบบไปนั่งกินข้าวแล้วกลับ คุยโทรศัพท์สักพักแล้ววาง แบบไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทางน่ะเข้าใจมั้ย”
พูดจบก็กอดอกอย่างขุ่นเคือง เจ้าบ้าศศินช่างคิดน้อยหวังน้อย สำหรับเขาแค่ได้คุยกับผมก็พอใจแล้ว
ขนาดเคยบอกต่อหน้าพี่นที เขายังทำหน้าเหวอไม่เชื่อ และขนาดยืนยันในตอนนี้ เขาก็ยังมองแบบไม่อยากจะเชื่ออีก
น่าโมโหสุดๆ!“ฉันเลยหงุดหงิดมากตอนนายไม่ให้มาหา เหมือนพยายามปั้นภาพลักษณ์ด้านดีๆ ให้ฉันเห็นอยู่ด้านเดียว เอาอกเอาใจฉันอยู่คนเดียว สรุปแล้วอยากจะคบกับฉันแบบแฟนหรือแค่คนคุยๆ กันแบบเจอหน้าแล้วตัวใครตัวมันกันแน่?”
“ก็ต้องแบบแฟนอยู่แล้ว” ศศินตอบทันที
“งั้นก็ให้ความร่วมมือสิ!” ผมย้ำคำหนักแน่น พลันอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง
“ฉัน...ไม่ใช่คนที่ดีพอ”
“เกณฑ์อะไรที่ตัดสินว่าคนไหนดีพอหรือไม่ดีพอ”
ศศินไม่ตอบ เขาก้มหน้า ปกปิดแววตาก่อนจะสารภาพบาปเสียงเครือ
“ฉันเคยฆ่าคนตาย...”
คราวนี้เป็นผมเองที่ช็อกค้างบ้าง
พลันอีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจหนึ่ง คล้ายต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะพูดถึงอดีตอันยากจะลืมนี้
“ฉันฆ่าพ่อแท้ๆ ของตัวเอง แถมยังไม่รู้สึกผิดสักนิด...” ศศินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเหยียดที่แฝงความประชดตัวเอง แววตาเย็นชาเหมือนกับที่เขาใช้มองคนอื่น ราวกับว่าไม่ใช่แค่คนพวกนั้นหรอกที่เป็นเศษขยะไร้ค่า แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก
...เป็นตัวเขาที่ก็เป็นเศษขยะไร้ค่าเหมือนกัน
“คุณกล้าคบกับฆาตกรคนนี้มั้ยล่ะ นาวา”
ผมเงียบไปนานมาก เพราะไม่ทันเตรียมใจเรื่องนี้เลยประมวลผลไม่ทัน พลันศศินเงยหน้า เผยยิ้มยียวนพร้อมผายมือแล้วยักไหล่อย่างขอไปที
“เรื่องมันก็แบบนี้แหละที่รัก เอาเป็นว่าอย่าถลำลึกกับฉันมากนักเลย”
เปลี่ยนสีหน้าไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี เห็นแล้วความหมั่นไส้ก็พุ่งพรวด
“แต่นายถลำลึกกับฉันได้?”
“ถ้าที่รักยินยอม”
สีหน้าทีเล่นทีจริงกับรอยยิ้มเสแสร้งจอมปลอม ผมพลันคันไม้คันมือ ดึงแก้มเขายืดทั้งซ้ายขวาอีกรอบ
“โอ๊ย ที่รักจ๋า เบาหน่อย”
ยิ่งเขาพูดผมก็ยิ่งออกแรงหนักขึ้น พอได้ออกกำลังกายสมองก็เริ่มโล่ง ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมีเหตุผลมากพอจะขายเรือนร่างตัวเองเพื่อแลกกับเงินก้อนหนึ่ง กับผู้ชายที่ลงมือฆ่าพ่อตัวเองก็ต้องมีเหตุผลที่มากพอจะลงมือเช่นกัน
“ฉันถาม...เอ่อ...เรื่องนั้นได้มั้ย” ผมปล่อยมือจากแก้มศศินพลางเอ่ยอ้อมแอ้มเพราะกลัวไปจี้ใจดำเข้า คนไม่อยากเล่าไอ้เราก็ไม่กล้าฝืนใจ
“ที่รักอยากรู้เหรอ”
“อื้อ!” ผมพยักหน้าไม่ลังเล จริงจังมาก เพราะนี่จะเป็นประโยคตัดสินว่าจะไปต่อกับเขาถึงขั้นไหน เล่นเอาศศินถึงกับหลุดหัวเราะ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” เขาเอ่ยเปรยๆ แบบไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่ “แค่พ่อทุบตีฉันกับแม่ จนถึงจุดหนึ่งทนไม่ไหวก็เลยพลั้งมือฆ่าเข้าให้น่ะ”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ศศินไม่โหดขนาดวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แต่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบจากการปกป้องตัวเอง
“จากนั้นก็ถูกส่งไปสถานพินิจ พอออกมาญาติฝั่งแม่ก็รับไปดูแลแทน”
“แล้วแม่นายล่ะ”
“อ้อ ฉันเล่าตกไป พ่อทุบตีฉันกับแม่ พลั้งมือฆ่าแม่ก่อน ฉันเลยพลั้งมือฆ่าพ่อน่ะ”
ศศินเอ่ยทั้งรอยยิ้มบาง น้ำเสียงระรื่นคล้ายเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิต
ผมตะลึงแล้วตะลึงอีก อ้าปากแล้วหุบ หุบแล้วอ้าปาก สลับไปมาแบบไม่รู้จะปลอบโยนหรือควรเสนอความเห็นยังไงดี ศศินทำเหมือนเรื่องผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทั้งที่...เขารู้สึกมาก และยังเป็นตราบาปในใจจนตอนนี้
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความเสียใจภายหลัง
ละอายใจ แต่ไม่เสียใจที่จะทำ
เพราะโลกนี้มันโหดร้าย กล่อมเกลาให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งเติบโตมาด้วยจิตใจบิดเบี้ยว ผมเชื่อว่ามีรายละเอียดอีกมากในเหตุการณ์นั้นที่เขาเลือกจะเล่าข้ามไป รวมถึงการเติบโตหลังจากที่เขาออกจากสถานพินิจด้วย
ผมเคยคิดว่าเขาเป็นคนบ้า มาตอนนี้ก็มั่นใจ...
เขาบ้าของจริงด้วยว่ะ!
แต่เป็นความบ้าคลั่งที่น่าสงสารซึ่งแฝงความโดดเดี่ยวไม่เหลือใครอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับตวันแต่หนักหน่วงกว่ามาก ผมเองก็คงบ้าไม่แพ้กันที่มักตกหลุมรักผู้ชายซึ่งมักเผยแต่ด้านดีๆ ยิ้มแย้มอบอุ่นให้ แต่มีมุมอ่อนแอร้าวรานใจ เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกอย่างดำมืด
ตวันบอกว่าผมเป็นพวกไม่คิดมาก ไม่คิดเยอะ ไม่เอาเรื่องวุ่นวายใส่สมอง ไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นยกเว้นคนที่รัก ทุ่มเทต่อความตั้งใจที่จะทำ มุ่งมั่นกับสิ่งที่ต้องการอย่างแรงกล้า เมื่ออยู่ด้วยแล้วจึงสบายใจ และวางใจว่าต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะร้ายหรือดี ผมก็ยังเป็นนาวา ดาราลัย เป็นตัวของตัวเองแบบสุดโต่งอย่างนี้
นั่นน่าจะเป็นคำชมนะ เอ๊ะ หรือจะเป็นคำด่าว่าผมเอาแต่ใจจนโลกลืมกันแน่
ชักจะสับสนซะแล้วสิ แต่ช่างเถอะ ผมลูบแก้มศศิน เล่นเอาคนโดนบิดแก้มไปสองครั้งซ้อนสะท้านเฮือกๆ แต่แล้วเขาก็ต้องนิ่งงัน เมื่อผมเพียงลูบแก้มเขา...อย่างอ่อนโยน
พลันคนเดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวเย็นชา เดี๋ยวซึมเศร้าหลับตาพริ้ม ก่อนจะแนบหน้ากับฝ่ามือผมคล้ายเป็นแหล่งพึ่งพิงสุดท้าย
วินาทีนั้นใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองรบ
แม้จะเคยใจเต้นกับศศินบ้าง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนจะเต้นเป็นบ้าเป็นบอเท่านี้มาก่อน ตวันมักเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว ต่อให้ผมถามก็ไม่ตอบ มักหลีกเลี่ยงไปเรื่องอื่น อาจเพราะไม่อยากให้ลำบากใจ และมีบุญคุณกัน เขาถึงดูแลผมดีไม่เคยขาดตกบกพร่อง และไม่คิดจะเผยด้านอ่อนไหวให้เห็น มีบ้างที่ท้อใจ เหนื่อยล้า แต่เขาจะเพียงขอกำลังใจ แล้วยิ้มให้เป็นเชิงไม่เป็นไร
บางทีปัญหาของแฟนเก่าอาจเริ่มต้นที่จุดนี้ เมื่อเขาไม่พูด ผมก็สนับสนุนทุกอย่าง หวังแค่อยากให้เขาดีใจ ซึ่งบางทีไม่รู้ว่าตวันต้องการหรือเปล่า แม้อึดอัดผมก็พยายามปรับตัว ยิ้มหวานเข้าสู้ เลยคบกันราบรื่นจนกระทั่งฝ่ายตวันเป็นคนก่อปัญหาขึ้นมาเอง
ส่วนศศินแม้จะไม่เล่าทั้งหมด แต่การกระทำนั้นยอมลงให้ทุกทาง เชื่อสิว่าผมเป็นคนแรกที่เขายอมเล่าอดีตให้ฟังและคงเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ด้วยที่ถามแล้วตอบทุกคำโดยไม่อิดออด ผมเป็นพวกแพ้ความจริงใจอยู่แล้ว เมื่อเจอมุมอ่อนแอแกมออดอ้อนนี้เข้าไป บอกเลย...ตายแน่นาวา!
สงสัยสเป็กผมจะผูกติดกับพวกผู้ชายมีปม แบบว่าเห็นแล้วอยากจะจับมาอยู่ด้วยให้คลายความหม่นเศร้าเหงาหงอย เพราะผมได้ทุกอย่างมาง่ายเกินไป ชีวิตราบรื่นสะดวกโยธิน ถึงจะมีเรื่องผิดหวังบ้างก็มองผ่านเลยไม่เอามาติดค้างในใจ เมื่อเจอกับด้านตรงข้ามกับตัวเองเลยอยากให้มาช่วยเติมเต็มกันและกัน
นึกถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าตัวเองคงชอบศศินแล้วนั่นแหละ สำหรับผู้ชายที่แรกพบหน้ามีแต่คำว่าน่ารำคาญคนนี้ หากโชคชะตาพลิกตลบ ตวันไม่สารภาพรักกับผมก่อน ตอนศศินมาขอคบช่วงมหา’ลัย ไม่แน่ผมอาจจะยอมตอบตกลงก็ได้
แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพฝันกลางวัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะสุดท้ายผมก็ใจอ่อนกับศศินเข้าจริงๆ
“พอแล้ว จะซบมือวาถึงวันพรุ่งนี้เลยรึไง”
พลันศศินเงยหน้าพรวดพราด มองผมเขม็ง ก่อนจะหน้าแดงก่ำจนต้องยกมือปิดหน้า แต่ก็ปิดรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจสุดขีดนั้นไม่อยู่
แค่แทนตัวเองว่าวา...ต้องคลุ้มคลั่งขนาดนี้เลยเรอะ!
“ทำตัวดีๆ หน่อย วาเขินตามแล้วเนี่ย” ผมกุมแก้มตัวเองที่เริ่มเห่อแดง ไอ้เราก็เป็นประเภทขี้เขินซะด้วยสิ “ไหน มีอะไรต้องสารภาพอีกมั้ย แอบกิ๊กกั๊กใครอยู่รึเปล่า”
“ไม่มีแล้ว ไม่มีแน่นอนครับที่รัก”
คำเรียกที่รักของศศินพลันหวานละมุนขึ้นทันตา ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาผมคิดว่าโคตรคุ้มกับการปลอมตัวบุกมาหาเขาถึงไนต์คลับ
“งั้นกล้าจับมือวารึยัง” ผมแบมือรอตรงหน้าศศิน วัดใจว่าเขาจะกล้าๆ กลัวๆ จะแตะก็ไม่กล้าแตะอีกรึเปล่า
ผลคือศศินลังเลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกล้าจับเต็มมือมากขึ้น ไม่ใช่แค่เอานิ้วจิ้มๆ
“งั้นกล้าขอวาคบรึเปล่า”
คราวนี้ศศินผละมือแทบไม่ทัน เล่นเอาผมขมวดคิ้วมุ่นแบบอะไรวะ อุตส่าห์หว่านล้อมขนาดนี้แล้ว ขอผมคบสิ ขอสิ!
อะไรนะ ผมใจด่วนใจเร็วเกินไปแล้ว? สมัยตวันขอคบ ผมก็ใช้เวลาแค่สองนาทีในการพิจารณาความรู้สึกตัวเองว่า...เอ่อ ก็ชอบเขานะ แล้วตอบตกลงทันทีเหมือนกัน
“อย่าเข้าใจผิดนะที่รัก” ศศินรีบยกมือทั้งสองมือแบบยอมแพ้ ด้วยกลัวว่าผมจะอาละวาด “ฉันก็เหมือนไอ้ตวันนั่นแหละ กับความปรารถนาในใจที่คิดว่าให้ตายยังไงก็ไม่มีวันเป็นจริง หากสมหวังขึ้นมาแล้วต้องสูญเสียไป จิตใจคงแตกสลายไม่มีชิ้นดี”
“น้ำเน่า”
“กับคนที่ตกหลุมรักแฟนชาวบ้าน ก็จำต้องยอมรับความจริงข้อนี้นะ” ศศินเอ่ยยิ้มๆ “ถึงฉันจะรักมาก แต่ก็ไม่ได้ชาติชั่วขนาดแย่งแฟนคนอื่น ในเมื่อไม่สมหวังเลยขอตามมองแบบใกล้ๆ ดีกว่า”
“คนปกติมันต้องมองแบบห่างๆ ไม่ใช่เหรอ” ผมหัวเราะ เพราะไอ้การตามตื๊อเจ็ดปีของเขามันเกินขอบเขตของคนแอบรักเงียบๆ มากโข
“โทษทีนะ พอดีฉันไม่ปกติ”
สรุปวันนี้นาวาชวดสินะ
กับคนที่ตามจีบมาเจ็ดปี แค่ขอคบยังไม่กล้า ยอมใจเขาเลย
เอาเถอะ ยังไงเรื่องระหว่างเราก็ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง แม้ผมจะนอนเปื่อยๆ บนเตียงแบบโคตรเหงาก็ตาม อยู่กับตวันมาตั้งแต่เด็ก พอต้องมาอยู่คนเดียว แม้จะเริ่มชินแต่อดโหวงเหวงในใจไม่ได้จริงๆ
“ที่รักอยากรู้อะไรอีกมั้ย”
“นายมีชื่อเล่นรึเปล่า”
“ไม่มี แต่เรียกศินเฉยๆ ก็ได้”
“งั้นศินชอบกินอะไร”
“ไข่ไก่ จะเป็นไข่อะไรก็ได้ ไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่เยี่ยวม้า กินได้ทุกอย่าง”
ช่างกินง่ายอยู่ง่าย น่ารักน่าเอ็นดูประหลาดๆ
ภาพลักษณ์และหน้าตาของเขาโคตรขัดกับนิสัยแท้จริงเลย
“ชอบดื่มอะไร”
“กาแฟดำ”
“สีที่ชอบล่ะ?”
“ครามหรือน้ำเงินเข้ม”
“งานอดิเรก?”
“อ่านหนังสือ”
“ปกตินอนกี่โมง ตื่นกี่โมง”
“ไม่เป็นเวลาเท่าไหร่ บางครั้งนอนสามชั่วโมงก็มี”
“งานหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมมองอย่างเวทนา สำหรับนาวา ดาราลัยการนอนเป็นสิ่งสำคัญมาก หนึ่งวันถ้านอนไม่ครบแปดชั่วโมง คือความผิดมหันต์ต่อมโนธรรมในจิตใจ!
“งานไม่หนัก มีคนช่วยดูแลเยอะ แต่เวลามีเรื่องยุ่งๆ ฉันก็ต้องออกโรงเอง”
“เรื่องยุ่งๆ อะไรบ้าง”
“ถ้าด้านเงินกู้ก็มีคนขู่จะฆ่าตัวตายถ้าไปทวงเงินอีก ไม่ก็หนีไปซบขอความคุ้มครองจากคนอื่นจนสร้างเรื่องเดือดร้อนบานปลาย ส่วนด้านคุมไนต์คลับก็มีคนทะเลาะวิวาทแย่งผู้หญิง ชักปืนมายิงกันในที่สาธารณะ สายตำรวจปลอมตัวเข้ามา แล้วก็อีกหลายๆ อย่างน่ะ”
“เคยโดนลอบทำร้ายมั้ย”
“มีบ้าง แต่ไม่บ่อย”
“ครั้งล่าสุด?”
“ปีที่แล้ว”
ผมค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องให้มันชุ่มชื่นหัวใจบ้าง
“ศินเป็นเกย์หรือเป็นไบ”
“เป็นคนที่รักเธอ”
“...”
ศศินยิ้มกว้าง ส่วนผมปาดเหงื่อ
“สเป็กที่ชอบ?”
“ยิ้มแล้วโลกสดใส แบบที่รัก”
“เวลาวาแต่งตัวประหลาดๆ คิดว่าไงบ้าง เอาตามตรงนะ”
“ที่รักแต่งอะไรก็น่ารัก”
“ถ้าวาแก่ หนังเหี่ยวหนังยานล่ะ”
“ก็น่ารัก”
ถามไปถามมาผมก็ชักขนลุกขึ้นทุกทีเลยขอยุติแต่เพียงเท่านี้
“ถ้าที่รักอยากมาหา อย่าแอบมาเอง บอกกันก่อนได้มั้ยครับ”
“ได้ๆ” ผมพยักหน้าหงึกๆ ทันที ไม่คิดหาเรื่องโดนโกรธอีกหรอกนะ
“ว่าแต่...ใครเป็นคนบอกที่รักจ๋าเหรอ”
“พี่โชคเป็นคนบอก เอ่อ...ศินเองก็อย่าลงโทษพี่เขาล่ะ เขาทำเพราะโดนวาบังคับน่ะ”
ศศินยิ้มแต่ไม่ตอบ ผมเลยถองศอกใส่เขาหนึ่งที
“ที่รักขอก็ไม่ทำครับ”
ได้ฟังค่อยชื่นใจหน่อย แต่มองรอยยิ้มหวานๆ กับสายตาเยิ้มๆ นั้นดูอีกที ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าศศินดูเจ้าเล่ห์สุดๆ
วันต่อมา...พี่โชคตาบวมช้ำเหมือนโดนต่อย
เมื่อผมเลียบๆ เคียงๆ ถามก็ได้ความว่าศศินไม่ได้ลงโทษด้วยตัวเองจริงๆ แต่สั่งพี่ชัยลงโทษคู่ซี้ตัวเอง
โหดเหี้ยมมาก
เจ้าคนโฉดคนนี้ใช่คนเดียวกับที่หลับตาพริ้มซบหน้ากับฝ่ามือผมแบบเชื่องแสนเชื่องจริงเหรอ!!!
-------------------
ใครไหวไปก่อนเลยค่ะเพราะเราไม่ไหวแล้ววววววว
ฉากซบหน้ากับฝ่ามือตะหนูนาวาคือเชื่องมากกก น่ารักมากกก อยากเอาไปเลี้ยงงงงงงงง (ผิดๆๆ) ศศินน่ารักขนาดไหนใครจะไม่ชอบใช่มั้ยล่ะค่ะ และแล้วตอนนี้ก็เฉลยเรื่องอดีตของศศิน กับอีกมุมของศศินที่ไม่เชื่องเหมือนตอนอยู่ต่อหน้านาวา ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาค่ะท่านผู้โช้มมมมม
#นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป เกิดอะไรขึ้นนะพี่นทีถึงฟิวขาด
“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าคบหมอนี่มันอันตราย!”
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja