Guardian of heart ผู้พิทักษ์ใจ (Romantic Fantasy):ReWrite EP:13-14 P2 29/07/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Guardian of heart ผู้พิทักษ์ใจ (Romantic Fantasy):ReWrite EP:13-14 P2 29/07/19  (อ่าน 3666 ครั้ง)

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

*****************************************************************************************

นานแล้วที่เราไม่ได้มาลงนิยายในนี้ (แต่แวบมาอ่านเรื่อยเพราะทำงาน)

ได้นั่งอ่านนิยายเรื่องเก่าๆ ของตัวเอง จนมาถึงเรื่องนี้ Guardian of heart ผู้พิทักษ์ใจ พบว่ามีแผลในการแต่งมากเลยทีเดียวจึงนำมารีไรท์ใหม่

จำได้ว่าไอเดียเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนกำลังนั่งเล่นเกมส์ The Witcher 3 พอเล่นแล้วรู้สึกชอบ อยากจะสร้างโลกที่มันแฟนตาซีขึ้นมาเป็นของตัวเองบ้าง เกิดเป็นดินแดนเอสทีเรียดขึ้น ใส่โน่น ผสมนี้ กาวๆ กันไป ออกมาเป็นนิยายแนวโรแมนติกแฟนตาซีตามที่จะได้อ่านต่อไปนี้หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

เรื่องนี้บอกตามตรงเลยว่าเราอยากลองทำอีบุ๊คค่ะ เพื่อเป็นทุนในการทำเล่มของโปรเจ็คต่อๆไป และถ้ายังพอจำกันได้ก็ยังคงคอนเซป วาดเองแต่งเองเช่นเดิมค่ะ

ติดตามข่าวสารและงานวาดอื่นๆ ได้ที่
https://www.facebook.com/BlutroseArts
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2019 01:06:11 โดย l3loodl2o5e »

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
Re: Guardian of heart ผู้พิทักษ์ใจ :ReWrite EP:0 28/06/19
«ตอบ #1 เมื่อ28-06-2019 14:23:47 »


Romantic Fantasy R-18

บทนำ

"นายน้อยคะ นายน้อยฟาเรส" เสียงร้องเรียกของแม่บ้านดังก้องคฤหาสน์คาเดนเซีย เธอเดินจนทั่วแต่ไม่มีวี่แววผู้เป็นนายน้อย ฝนที่เทกระหน่ำภายนอกน่าห่วงยิ่งนักหากนายสุดรักหนีไปหลบอยู่นอกบ้าน

ที่เรื่องวุ่นวายขนาดนี้เพราะฟาเรส พี่ใหญ่ในวัยหกขวบเล่นสนุกกับน้องสาวฝาแฝดที่อ่อนกว่าเกือบสองปีทั้งสองนั่นคือ ออรี่ กับ ออร่า ด้วยความซนตามประสาจึงพากันปีนป่ายต้นไม้หลังบ้าน เป็นเหตุให้ออรี่ แฝดคนพี่ตกลงมาได้รับบาดเจ็บ จึงถูกนายท่านอินดิโก้ ผู้เป็นพ่อและเป็นนายใหญ่ของบ้านเรียกไปต่อว่า เป็นเหตุให้เจ้าตัววิ่งพรวดพราดออกจากห้องทำงานนายท่านไปทันที

บ่อยครั้งที่ฟาเรสนึกน้อยใจ หากเกิดเหตุไม่ดี ท่านพ่อมักมองเขาเป็นคนผิดเสมอ ท่านแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่านเป็นแม่เลี้ยงย่อมเข้าข้างลูกตัวเองเป็นธรรมดา ส่วนแม่แท้ๆ ของฟาเรสนั้นเสียไปตั้งแต่เขาได้แปดเดือนแล้วท่านพ่อก็แต่งงานใหม่กับลูกสาวท่านผู้ว่าของเมืองนี้

สองเท้าพาร่างของเด็กชายวิ่งฝ่าพายุฝนไปทางด้านหลังคฤหาสน์ สู่วิหารกลางน้ำ วิหารมีลักษณะเป็นแปดเหลี่ยม ค้ำยันด้วยเสาหินอ่อน หลังคาเป็นโดมกระจกสีรูปสิบสองนักษัตร สร้างแสงสีที่งดงามให้แก่วิหารในยามที่แสงแดดส่องผ่าน ภายในปลูกดอกไม้ล้อมรอบแท่นหินซึ่งมีรูปสลักบุรุษในชุดเกราะลายวิจิตรนั่งสงบนิ่งอยู่บนบัลลังก์หินอ่อน มือทั้งสองวางไว้บนเท้าแขน แม้ใบหน้าส่วนบนจะถูกหมวกเกราะบดบังไว้ แต่ทุกส่วนที่เหลือล้วนงดงามสมบูรณ์แบบ ดวงตาที่ทอดมองไปข้างหน้าทรงอำนาจและอบอุ่นอยู่ในที

แดนสวรรค์ของฟาเรส แม่บ้านเล่าว่าท่านแม่ชอบมาที่นี่เมื่อตอนท่านยังมีชีวิต รูปสลักหินนี้เป็นของคนที่ท่านเคารพรัก แม้เขาจะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรลึกซึ้ง แต่ฟาเรสกลับชอบที่นี่เพราะมันสงบ ร่างเล็กปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนตักของรูปสลักก่อนจะเอนหลังพิงอย่างหาที่พึ่ง หากท่านแม่อยู่จะพูดปลอบใจเขาอย่างไรนะ ฟาเรสคงไม่มีวันสัมผัสมัน ดังนั้นขอแค่มีใครสักคนรับฟัง แม้จะเป็นรูปสลักหินไร้ชีวิตก็ยังดี

"วันนี้ท่านพ่อดุผมอีกแล้ว" เด็กน้อยบอกเสียงเครือ "ที่ออรี่ตกต้นไม้ มันไม่ใช่ความผิดผมเลย...ฮึก ก็ผมห้ามเธอแล้ว เธอก็ไม่ฟัง"

"ทั้งพยายามอธิบาย แต่...ฮึก ก็ไม่เคยฟัง" หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจ ท่านพ่อเอาแต่บอกว่าเขาเป็นพี่ พี่ต้องดูแลน้อง แต่น้องไม่ยอมทำตามแล้วจะให้ทำอย่างไร จนนึกสงสัยว่าท่านพ่อรักเขาบ้างหรือเปล่า
เวลาผ่านไปจนค่ำ พายุฝนได้หยุดลง นายใหญ่ของบ้านเดินเข้ามาในวิหารก็พบกับลูกชายตัวดีดังคาด อินดิโก้ช้อนอุ้มร่างเล็กที่กำลังหลับขึ้นจากตักของรูปสลักพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ฟาเรสที่เขารู้จักไม่มีทางเสียน้ำตาต่อหน้าใครเลย หนีมาร้องไห้ที่นี่เป็นประจำ

"ดูเหมือนฟาเรสจะชอบท่านเอามากๆ เลยนะ" อินดิโก้สบตารูปสลักด้วยรอยยิ้ม "ยังไงก็ขอลูกผมคืนก่อนแล้วกัน"



 
สิบปีผ่านไป ฟาเรสในยามนี้โตเป็นหนุ่มและยังต้องปวดหัวกับน้องสาวจอมแสบทั้งสองเช่นเดิม แต่ก็นะ เขาเองก็ใช่จะมีเพื่อนมาก เพราะไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก น้องสาวทั้งสองจึงกลายเป็นความบันเทิงในแต่ละวันของเขา

ชายหนุ่มเลือกที่จะเรียนอยู่บ้านเพราะการศึกษาในโรงเรียนทั่วไปมันช้าและน่าเบื่อ เขาสามารถสอบเทียบจนตอนนี้จบหลักสูตรพื้นฐานทั้งหมดตั้งแต่อายุสิบห้าทั้งที่คนทั่วไปจบตอนสิบแปด จะมีก็แต่การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยซึ่งเจ้าตัวก็ยังไม่ได้วางแผนไว้

คนในแถบนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีผมสีน้ำตาลหรือดำและดวงตาสีเดียวกัน เด็กหนุ่มผู้มีผิวขาวสะอาดกับนัยน์ตาสีฟ้าครามและเรือนผมสีบลอนด์จนเกือบขาวซึ่งได้รับมาจากทางแม่จึงมักตกเป็นเป้าสายตาเสมอ จนอดที่จะขัดเขินกับมันไม่ได้ ทำให้เขาเลือกที่จะอยู่แต่ในบริเวณคฤหาสน์ แต่ก็ออกไปเดินเที่ยวในจัตุรัสกลางเมืองบ้างหากน้องสาวทั้งสองเป็นคนชวน

"พี่ฟาร์ ชุดนี้สวยไหม" เสียงของออรี่ดังนำมาก่อนเจ้าตัวเสียอีก เด็กสาวทั้งสองจะวิ่งแข่งกันเข้ามาในห้องสมุดมายืนตรงหน้าเขา

"ชุดไปงานเลี้ยงพรุ่งนี้" ออร่าบอกพร้อมหมุนตัวอวดชุดกระโปรงแขนสั้นสีโอลด์โรสที่ยาวเสมอเข่า ส่วนของออรี่เป็นสีเขียวอ่อน ซึ่งดูเข้ากันดีกับเรือนผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอ

"ก็ น่ารักดี"

"เห็นไหม หนุ่มๆ ในงานต้องมองพวกเราไม่วางตาแน่ แล้วพี่ละได้ชุดหรือยัง"

"ฮะ...พี่เหรอ จะเอาชุดไปทำไม"

"ท่านพ่อบอกครั้งนี้พี่ต้องไปด้วย งานเลี้ยงวันเกิดของท่านคาลัม เพื่อนของท่านพ่อ เราต้องไปทั้งครอบครัว" ออร่าอธิบาย ฟาเรสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่คงไม่พ้นพาเขาไปแนะนำให้ลูกสาวของเหล่าคนใหญ่คนโตทั้งหลายแน่ ท่านพ่อเป็นนายพลใหญ่ทำงานให้กองทัพ จึงค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคม ดังนั้นการจับคู่ลูกๆ ของพวกเขาเพื่อสมดุลทางอำนาจจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา

"เอาน่าพี่ ไปแล้วชิ่งกลับก่อนก็ได้นี่ ไปพอให้ท่านคาลัมเห็นหน้าก็พอแล้ว" ออรี่ตบไหล่ปลอบ ฟาเรสจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม

หลังจากมื้ออาหาร ฟาเรสก็กลับไปยังห้องสมุดก่อนหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เดินเข้าห้องของตน วางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียง ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมานอนอ่านหนังสือบนเตียง ก็เป็นเรื่องของพวกสมุนไพรเรื่องยาที่เขาตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อเพราะค่อนข้างสนใจด้านการแพทย์ แม้อีกใจก็ค่อนข้างชื่นชอบด้านเทคโนโลยีพอกัน

เสียงเอะอะโวยวายจากนอกบ้านดึงความสนใจออกจากตัวหนังสือเหล่านั้น ก่อนเสียงระเบิดที่ตามมาจะทำเอาชายหนุ่มรีบกระโจนลงจากเตียงก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินชั้นสองอย่างร้อนใจ เป้าหมายคือห้องของน้องสาว พอดีกับท่านพ่อวิ่งสวนมาจึงคว้าแขนเขาเอาไว้
"เกิดอะไรขึ้นครับ" ฟาเรสถามเสียงตื่น

"พวกไวด์โซล มันบุกบ้านเรา" ไวด์โซล แม้เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง เป็นอันเดธหรือปีศาจประเภทหนึ่งที่ไล่ล่ามนุษย์ แต่ในเมืองที่มีการคุ้มกันแบบนี้พวกมันหลุดมาได้ยังไง

"แล้วพวกคนอื่นละ ท่านแม่ แล้วก็ออรี่ ออร่าละ"

"พ่อให้พวกผู้หญิงไปหลบอยู่ชั้นใต้ดิน ส่วนคนอื่นกำลังต้านมันไว้ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว ไม่นานกองทัพคงส่งคนมา" ฟาเรสพยักหน้ารับ เห็นทีวิชาการต่อสู้ที่ท่านพ่อช่วยฝึกสอนมาคงได้ใช้แล้วในวันนี้

"งั้นผมจะออกไปช่วยข้างนอก"

"ไม่ต้อง พ่อมีเรื่องให้แกทำ" ผู้เป็นพ่อรั้งฟาเรสไว้ก่อนจะยื่นบางสิ่งให้ มันเป็นสร้อยสีทอง จี้สร้อยทำจากทับทิมหลายขนาดประกอบกันเป็นรูปดวงอาทิตย์สีแดงสด "ไปที่วิหาร..."

"อะไรนะครับ ไปทำไม"

"ไปเถอะน่า เราไม่มีเวลามาก เอาสร้อยเส้นนี้ไปสวมให้รูปสลักนั่น แล้วกลับมา พ่อจะอธิบายให้ฟัง พ่อขอไปดูน้องก่อน" ว่าแล้วอินดิโก้ก็วิ่งไปทางห้องลูกสาวทันที

แม้จะยังไม่เข้าใจแต่ฟาเรสก็พาตัวเองลงมาชั้นล่างวิ่งออกทางหลังบ้านอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามดังตามหลังก่อนที่พวกไวด์โซลจะไล่ตามมาติดๆ รูปลักษณ์ของมันเหมือนซากศพที่เหี่ยวแห้ง ดวงตาสีแดงฉานและกลิ่นสาบรุนแรง พวกมันจึงถูกขนานนามว่าเป็นกองทัพจากนรก

ขาทั้งสองที่วิ่งไปตามทางอาศัยความคุ้นชินแต่ก็มีหกล้มบ้างจนเนื้อตัวมอมแมม ฟาเรสมาถึงวิหาร ตะเกียงที่แขวนไว้ตามเสายังคงส่องสว่าง สองเท้าก้าวขึ้นไปบนแท่นอย่างเร่งรีบก่อนจะเอื้อมสุดตัวเอาสร้อยคล้องคอของรูปสลัก ไม่นานทับทิมสีสดก็เริ่มเปล่งแสงเรืองรองสร้างความตกตะลึงให้ฟาเรสยิ่งนัก ดวงตาสีครามมองเกราะหินอ่อนที่เปลี่ยนเป็นสีเงินช้าๆ ราวกับต้องมนต์จนลืมไปว่าพวกไวด์โซลตามเขามา

ฉัวะ!!! กรงเล็บเฉือนลงบนแผ่นหลัง ฟาเรสจึงกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน แต่คงสายไปเสียแล้ว แผ่นหลังเจ็บจนชา รับรู้ถึงความอุ่นร้อนของเลือดที่ไหลอาบก่อนที่เขาจะทรุดลงตรงหน้ารูปสลักอย่างสิ้นแรงเพราะเสียเลือดมาก ดวงตาเริ่มพร่าแต่ก็พยายามจะหันไปมองหน้าผู้ปองร้ายแม้มันจะรางเลือนเต็มที ภาพสุดท้ายของฟาเรสคือภาพปีศาจร้ายที่กรงเล็บขึ้นเตรียมจะปลิดชีวิตตน นี่เขาต้องมาตายทั้งแบบนี้น่ะเหรอ น่าสมเพชจริง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/pg/BlutroseArts
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2019 19:14:42 โดย l3loodl2o5e »

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 1 เริ่มต้น

ไม่มีอะไรแย่เท่ากับการตื่นมาแล้วพบว่าเหลือตัวคนเดียว พ่อแม่และน้องสาวทั้งสองที่แสนรักไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ทุกคนในบ้านตายหมดไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่อยู่ในคอกก็ตาม ทุกอย่างถูกเพลิงเผาวอดเหลือแต่ซาก หลังจากหมดสติไปก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น ชายหนุ่มได้รับการช่วยเหลือจากผู้เป็นลุงและหลับไปสองวันเต็มๆ

ดวงตาสีครามเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ สงสัยเหลือเกินว่าทำไมมีเพียงตนที่รอด เพราะคนที่ยังอยู่คือคนที่ต้องเผชิญกับความเศร้าและการสูญเสีย

"ฟาร์ ป้าเอาผลไม้มาให้" ป้าโอเรนภรรยาของท่านลุงเปิดประตูเข้ามาในห้อง หันมองชามข้าวต้มข้างเตียงที่ยังเหลือเต็มอย่างกังวล ก่อนจะวางจานองุ่นไว้ข้างกัน

"ไว้ก่อนครับป้า"

"โอ๊ย แบบนี้ป้าไม่สบายใจเลย"

“ผม ฮึก…” ฟาเรสร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น

"ไม่ต้องฝืน ร้องเลย หากนั่นมันทำให้หลานดีขึ้น" เธอบอกพร้อมดึงหลานชายไปกอดพลางลูบหัวเบาๆ แผลที่หลังมันระบมแต่ก็ยังเจ็บไม่เท่าใจที่เหมือนจะแตกสลายไปแล้ว

"อย่าคิดว่าตัวเองไม่เหลือใคร อย่างน้อยลุงกับป้าก็อยู่ เราสูญเสียมามากพอแล้ว โชคดีแค่ไหนที่หลานไม่ตาย คนเรามีชีวิตเพื่อเดินต่อ ถ้ายังมีลมหายใจนั่นแปลว่ายังมีโอกาสทำอะไรที่อยากทำ" คำพูดของป้าโอเรนทำให้ฟาเรสคิดได้

ใช่!...คนเราต้องเดินต่อ

หากฟาเรสยังมัวจมอยู่กับความเศร้าก็ไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมพวกไวด์โซลมุ่งโจมตีครอบครัวเขา อย่างน้อยก็ขอให้ได้ทำอะไรกับเรื่องนี้ เขาคงจะตายตาหลับ

กว่าฟาเรสจะหายดีก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แต่ก็ถือว่าไวมากเมื่อเทียบกับคนทั่วไป เหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นพาดยาวที่กลางหลัง วันนี้ฟาเรสกลับไปที่บ้านอีกครั้ง ตัวคฤหาสน์ไม่เหลืออะไรนอกจากเสาซีเมนต์ที่พังลงมา เขาจึงตรงไปยังวิหารด้านหลัง เท่าที่กวาดตาดูก็ไม่ได้เสียหายเท่าไรนัก ดูหนักสุดก็แต่โดมกระจกที่แตกลงมาประมาณหนึ่งในสามกับคราบเลือดที่แห้งกรังบนพื้น

หายไป!!! รูปสลักหินที่อยู่ตรงกลางหายไปแล้ว ไม่มีร่องรอยแตกหักใดๆ เหลือเพียงบัลลังก์ว่างเปล่าราวกับมันลุกออกไปเองได้อย่างนั้น ฟาเรสรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เห็น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้

...บ้าไปแล้ว นั่นแค่รูปสลักนะ…

เมื่อหาคำตอบไม่ได้จำต้องปล่อยผ่าน ก่อนจะสำรวจรอบๆ เพื่อหาสร้อยที่เขาถือมาด้วยในคืนนั้น แต่ไม่มี จึงล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านลุงในตอนเย็น

"ฟาร์ อยู่แบบนี้เบื่อหรือเปล่า" ท่านลุงถามขึ้นระหว่างมื้ออาหารค่ำ

“ก็นิดหน่อยครับ”

“เราเรียนจบขั้นพื้นฐานหมดแล้วใช่ไหม” หลานชายพยักหน้ารับพลางตักพาสต้าเข้าปาก

“ดีเลย ป้าตั้งใจจะส่งเราไปเรียนมหา’ลัยนะพี่ราฟกับลิเวียก็จบมาจากที่นั่น อานิมาเป็นมหา’ลัยอันดับหนึ่งเชียวนะ”

“แล้วผมจะสอบได้หรือครับ” ฟาเรสถามอย่างไม่แน่ใจ จบพื้นฐานมาหนึ่งปีแล้วไม่มั่นใจว่าความรู้ยังแน่นอยู่หรือเปล่า

“หลานลุงเก่งจะตาย” ท่านชม “เดี๋ยวจะมีสอบเข้าในอีกหนึ่งอาทิตย์นะ ลุงเตรียมวุฒิการศึกษากับใบสมัครไว้ให้แล้ว เตรียมออกเดินทางได้เลย”

“ฮะ อะไรนะ หนึ่งอาทิตย์”

“ใช่จ้ะ นี่จะไปเลยหรือเปล่า ไปอยู่รอสอบที่โน่น ป้าโทรไปบอกให้คนรู้จักหาที่พักไว้ให้แล้ว ไปพรุ่งนี้เลยไหม"

"เอ่อ แล้วแต่เห็นสมควรเลยครับ" ฟาเรสรับคำอย่างเสียไม่ได้ เล่นเตรียมทุกอย่างหมดแบบนี้เขาก็ไม่อาจปฏิเสธ

"งั้นพรุ่งนี้ป้าไปส่งที่ท่าเรือบินแล้วกันนะ ใจจริงก็อยากจะไปถึงที่โน่นเหมือนกัน แต่ต้องไปช่วยลุงลงพื้นที่ทางตะวันออกน่ะจ้ะ"

“ไว้ค่อยไปเที่ยวทีหลังก็ได้ครับ”

ฟาเรสออกเดินทางสู่เดสเซนท์ในเช้าวันถัดมา โลกที่เขาอยู่ถูกเรียกว่าเอสทีเรียด ประกอบด้วยห้าดินแดนใหญ่ ดินแดนทางเหนือถูกเรียกว่านอธเทิร์นเรียม ทางตะวันตกคือเคลวิช ตะวันออกคือเรดิเอนซี่ และหมู่เกาะทางใต้บ้านเกิดของเขา ไวท์ออชาร์ด ทั้งหมดถูกปกครองด้วยกษัตริย์ ยกเว้นเดสเซนท์ ซึ่งอยู่ตรงกลาง ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย บริหารงานด้วยสภาโดยมีอีกสี่ดินแดนร่วมดูแล

มหาวิทยาลัยอานิมาตั้งอยู่ในเกาะซึ่งห่างออกไปจากเมืองหลวงของเดสเซนท์ไม่ถึงห้ากิโลเมตร เมืองเดสเซนท์เป็นศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งยังเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพกลางที่ชื่อว่า เอแวนการ์ด ซึ่งบางครั้งก็ถูกส่งให้ไปทำงานร่วมกับทหารในดินแดนโดยรอบ มหาวิทยาลัยอานิมาจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางการศึกษาของชาวเอสทีเรียด

ใช้เวลาสิบสองชั่วโมงด้วยเรือบินมาถึงเดสเซนท์ มีคนรู้จักของท่านป้ามารอรับเขาที่ท่าเรือเหาะแล้วพาไปส่งยังโรงแรมที่ตั้งอยู่แถวท่าเรือซึ่งใช้ข้ามฟากไปเกาะอานิมา ชายหนุ่มมองแสงสีสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งตึกสูงและรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ ที่นี่เจริญกว่าไวท์ออชาร์ด ที่แม้จะมีระบบไฟฟ้าและการสื่อสาร แต่วิถีชีวิตยังเป็นไปแบบพึ่งพิงธรรมชาติ และไม่นานเขาก็ถึงโรงแรมที่ถูกเตรียมไว้ให้

"วางไว้ตรงนี้เลยครับ" ฟาเรสชี้ไปตรงมุมห้องข้างประตูให้บริกรวางข้าวของทั้งหมด "ขอบคุณครับ"

สิ่งแรกที่ต้องการก็คือการนอน นั่งเรือเหาะข้ามน้ำข้ามทะเลทำให้เขารู้สึกมวนท้องเกินกว่าจะกินอะไรได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าปีนขึ้นเตียงพักผ่อนเอาแรง ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันพรุ่งนี้

เวลาหกวันที่เหลือฟาเรสใช้มันไปกับการอ่านทบทวนวิชาต่างๆ มันบ้าที่ต้องมานั่งทบทวนทั้งหมดในหกวัน ถึงกระนั้นเขาก็ออกไปเดินเล่นในเมือง จับจ่ายซื้อของที่ต้องการเพื่อไม่ให้เครียดจนเกินไป เดสเซนท์ในยามนี้คึกคักไปด้วยผู้มาเยือน ส่วนใหญ่เหล่านักเรียนที่มารอสอบและบรรดาผู้ปกครองบางคนที่มาให้กำลังใจ

แล้ววันสอบก็มาถึง ฟาเรสโทรหาลุงมาคัสกับป้าโอเรนในตอนเช้าและได้รับคำอวยพรชุดใหญ่ บอกให้รู้ว่าผู้มีพระคุณทั้งสองคาดหวังในตัวเขาเพียงใด นักเรียนกว่าสองหมื่นคนหลั่งไหลเข้ามหาวิทยาลัยอานิมา (Anima Research Center & University) ที่นี่มีสอนอยู่สี่คณะใหญ่ คณะแรกคือวิทยาการการทหาร คณะขึ้นชื่อและเป็นอันดับหนึ่งในเอสทีเรียด ควบคุมหลักสูตรโดยเอแวนการ์ด คณะที่สองคือวิทยาศาสตร์การแพทย์และการวิจัย คณะที่สามคือเศรษฐกิจและสังคม และคณะสุดท้ายคือศิลปกรรมและปรัชญา ซึ่งจะแบ่งย่อยไปตามเอกอีกทีและใช้เวลาในการศึกษาสามปี

ข้อสอบเป็นแบบรวมแล้วเอาคะแนนไปยื่นในคณะที่ต้องการ หากคะแนนติดอันดับในจำนวนที่เอกนั้นต้องการก็จะมีสิทธิ์เข้าเรียนทันที การเข้านั้นยากแล้ว แต่การอยู่ต่อนั้นยากกว่า หลังจากผ่านเทอมแรกจะมีการสอบวัดระดับ ใครที่ไม่ผ่านจะถูกเชิญออก หากต้องการกลับเข้ามาเรียนจะต้องมาสอบอีกครั้งในปีถัดไปเพื่อป้องกันการเลือกเรียนในสายที่ไม่มีความถนัดซึ่งยากที่จะฝืนเรียนต่อไปจนจบ

ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ฟาเรสคิด เขาคิดว่าตัวเองทำได้พอสมควร วันนี้เป็นวันประกาศผลหลังจากวันสอบสามวัน ร่างโปร่งกำลังยืนเคว้งท่ามกลางความวุ่นวายของบรรดาผู้เข้าสอบที่กรูกันเข้าไปดูรายชื่อของตัวเองบนบอร์ดประกาศของคณะที่ตั้งไว้ตามจุดตรงลานด้านหน้าตึกอำนวยการ

"ไม่ไปดูผลสอบเหรอ" เสียงทักข้างๆ ทำให้ฟาเรสต้องหันมอง

"ครับ...เอ่อ จะรอคนซาก่อน ไม่อยากเบียดเข้าไป" นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาที่เขาอย่างเป็นมิตร ใบหน้าคมคายกับรูปร่างสมส่วนสูงกว่าเขาเล็กน้อย โดยภาพรวมคนตรงหน้าดูดีจนน่าอิจฉาเชียวละ "แล้วนายละ"

"อ้อ ฉันมากับเพื่อนอีกสามคนน่ะ เลยฝากให้พวกมันไปดูให้ ฉันชื่อมาวิคนะ เป็นคนเดสเซนท์นี่ละ" อีกฝ่ายยื่นมือมา เขาจึงจับทักทายตอบอย่างเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

"ฉันฟาเรส มาจากไวท์ออชาร์ด"

"เฮ้ นายดูไม่เหมือนคนเขตนั้นเลย นึกว่ามาจากนอธเสียอีก"

“หลายคนก็บอกแบบนั้น”

"อ๊ะ พวกนั้นมาแล้ว ขอตัวก่อนนะ หวังว่าจะได้เจอกันในมหา’ลัย" ฟาเรสบอกลาคนแปลกหน้าอย่างงุนงง เหมือนคนจะเริ่มบางตาจึงตัดสินใจเดินไปยังบอร์ดของคณะที่ตัวเองยื่นไว้

"ให้ช่วยหาไหมจ๊ะ" พี่สาวคนสวยที่มีป้ายสตาฟแขวนเข้ามาทักทาย

"เอ่อครับ ขอบคุณครับ"

"ชื่ออะไรละเรา"

"ฟาเรส คาเดนเซีย ครับ"

"จริงเหรอ!!! ใช่เราจริงๆ เหรอ" ท่าทีตื่นตะลึงของหญิงสาวทำเอาฟาเรสงุนงง ชื่อเขามันมีอะไรผิดนะ

“มีอะไรหรือครับ”

"มาดูนี่สิ เธอน่ะได้คะแนนอันดับหนึ่งเชียวนะ" ว่าแล้วเธอก็ถือวิสาสะจูงมือเขาไปยังด้านซ้ายของบอร์ด ก่อนจะชี้ไปยังชื่อซ้ายบนสุด ที่เขียนว่า ฟาเรส ฟราน คาเดนเซีย

"เราฝันไปเหรอ" ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเพราะเขาได้คะแนนถึงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด เขาเนี่ยนะ

"พี่ไม่เคยเห็นใครได้คะแนนเกินแปดสิบเลยด้วยซ้ำตั้งแต่เรียนมา ยินดีด้วยน้องชาย ยินดีต้อนรับสู่อานิมาของเรานะจ๊ะ พี่ชื่อจีน่า อยู่ปีสามเอกชีวะ เจอก็ทักกันได้นะ" เธอจับมือจับไม้ราวกับนั่นเป็นคะแนนของตัวเอง ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มรับ เป็นเรื่องที่น่ายินดี หากท่านพ่อท่านแม่อยู่ต้องภูมิใจในตัวเขาแน่ๆ

มหาวิทยาลัยอานิมาตั้งอยู่บนเกาะที่ชื่อเดียวกัน สิ่งปลูกสร้างกินพื้นที่ราวๆ หกสิบเปอร์เซ็นต์ ทางตะวันออกของเกาะที่เป็นแนวยาวคล้ายสามเหลี่ยมจั่วคว่ำ ด้านตะวันตกยังคงสภาพเป็นป่าทึบ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเว้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว มีโคลอสเซียมขนาดใหญ่อยู่ในเวิ้งน้ำโดยมีสะพานเชื่อมต่อกับพื้นดิน ตะวันออกสุดเป็นโซนที่พักอาศัย ประกอบด้วยตึกสูงขนาดสามสิบห้าชั้นอันเป็นหอพักนักศึกษา ชั้นแรกเป็นส่วนของล๊อบบี้และโรงอาหาร ส่วนชั้นสองถึงยี่สิบเก้าเป็นห้องพักแบบชุด มีสองห้องนอนและใช้ส่วนกลางร่วมกัน โดยพักได้ไม่เกินหกคน ชั้นที่สามสิบถึงสามสิบห้าเป็นห้องพักโซนวีไอพีซึ่งมีเพียงชั้นละยี่สิบห้องเท่านั้น อาจารย์บางท่านก็พักที่นี่ นักศึกษาสามารถแจ้งความประสงค์เข้าพักห้องชุดเหล่านี้ได้ แต่นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างมากต่อปีที่ต้องจ่ายให้ทางมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ตลอดแนวชายหาดยังประกอบด้วยร้านรวงต่างๆ บ้านของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานภายในเกาะจนเหมือนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะแห่งนี้

ในส่วนการศึกษา ประกอบด้วยห้าอาคารใหญ่ที่เรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลมตามเวิ้งน้ำ ตึกแรกที่ติดกับแนวป่าเป็นของคณะที่ฟาเรสเรียน ถัดมาเป็นของวิทยาการการทหาร ตึกตรงกลางคือห้องสมุดขนาดยักษ์ หอประชุม และกองอำนวยการ ถัดมาเป็นของคณะเศรษฐศาสตร์ ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับธุรกิจการค้า และสุดท้ายเป็นของคณะศิลปกรรม ปรัชญา และการปกครอง ในสายตาของฟาเรส มหาวิทยาลัยแห่งนี้เปรียบเสมือนเมืองขนาดย่อม และเขาก็ค่อนข้างชอบหากต้องใช้ชีวิตที่นี่ไปตลอดสามปี

ฟาเรสใช้เวลาที่เหลือเที่ยวเล่นในเมืองและย้ายเข้ามาหอพักในอานิมาสองวันก่อนเปิดเทอม ทันทีที่รู้ว่าตนได้พักห้องโซนวีไอพีที่ชั้นสามสิบเอ็ด เจ้าตัวก็โทรศัพท์ไปขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทั้งสองเป็นการด่วน

"ป้าเห็นเราชอบความสงบ แถมตอนอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ก็เลยคิดว่าให้เราพักคนเดียวน่าจะสบายใจกว่า" ป้าโอเรนอธิบายเหตุผล "แล้วหลานชอบไหมล่ะ"

"ครับ ผมชอบที่นี่มาก ระเบียงหันหน้าออกทะเลด้วย อยากให้ลุงกับป้ามาเห็นจัง"

"ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง พวกเราไม่ได้เดือดร้อน ฟาเรสของป้ามีความสุขก็พอแล้ว" ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องรบกวนใคร ลำพังทรัพย์สมบัติที่ท่านพ่อทิ้งไว้ก็มีมากพอส่งเสียตัวเองจนจบ

"ขอบคุณจริงๆ ครับ"

"จ้ะ ตั้งใจเรียนนะ อยู่ที่โน่นก็หาเพื่อนไว้บ้าง เดือดร้อนอะไรจะได้มีคนพึ่งพา ถ้ามีโอกาสป้าจะไปเยี่ยมนะ เดี๋ยวป้าวางแล้ว รักหนูนะ"

"ครับ ผมก็รักป้าครับ" ฟาเรสตอบพลางอมยิ้ม แม้เพิ่งผ่านเรื่องร้ายมา แต่ลุงกับป้าก็ทำให้เขารับรู้ถึงความอบอุ่นของคำว่าครอบครัว นี่คงเป็นโชคดีแบบที่ท่านชอบพูดจริงๆ
 
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/pg/BlutroseArts


ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
เหมือนเคยอ่านเลย รอติดตามนะคะ

รูปสลักหายไปไหนน้อ มาวิคนี่จะเป็นเพื่อนน้องใช่มั้ย?

ลุ้นค่าาา :mew1: :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ตามอ่านอีกรอบบบ รีบมาต่อนะ

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 2 เพื่อนใหม่

ฟาเรสสำรวจตัวเองในกระจก เชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสีเทาและกางเกงสีเดียวกัน เมื่อรวมกับผิวขาวจัดและผมสีซีด ขับให้ดวงตาสีครามคู่นั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้น วันนี้มีปฐมนิเทศ เขาจึงต้องสวมเครื่องแบบนักศึกษาเต็มยศ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงหยิบกล่องที่ทางมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้นักศึกษาทุกคนมาเปิดดู

ภายในประกอบด้วยบัตรนักศึกษา หนังสือแนะแนวของมหาวิทยาลัยที่ประกอบด้วยกฎต่างๆ ของอานิมา อธิบายรายวิชาทั้งหมดที่เปิดสอน ทั้งในส่วนของวิชาบังคับแต่ละเอก วิชาทั่วไป และวิชาเลือกเสรี การเลือกวิชาเอกและการสอบเลือกวิชาโท การลงเรียนเก็บหน่วยกิต และอื่นๆ ที่จำเป็นต้องรู้

นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ฟาเรสมองมันตาโต รู้สึกทึ่งกับความล้ำหน้าของสิ่งนี้ ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าเดสเซนท์กำลังวิจัยเครือข่ายการสื่อสารแบบไร้สาย และอานิมาได้นำมันมาใช้จัดการข้อมูลภายในพื้นที่มหาวิทยาลัย แต่น่าเสียดาย ระบบนี้ยังไม่สมบูรณ์นัก หากจะติดต่อไปต่างเมืองยังจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์บ้านที่ส่งข้อมูลผ่านชุมสายซึ่งติดตั้งกระจายไปตามหัวเมืองใหญ่ในเอสทีเรียด

"เฮ้ ฟาเรส ทางนี้" เสียงทักเจื้อยแจ้วดังขึ้นเมื่อฟาเรสกำลังมองหาที่นั่งพร้อมจานข้าวในมือ เจ้าของเสียงโบกไม้โบกมือให้เขาถัดไปอีกสามโต๊ะ นัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสนั่นเขาจำมันได้ดี

"นั่งด้วยกันสิที่ยังว่าง"

"ขอบใจมาวิค เอ่อ...สวัสดีครับ ผมชื่อฟาเรสครับ" เขาเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสามคนพร้อมแนะนำตัว

"ฉันโอซี่" ชายหนุ่มผิวแทนรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มด้วยดวงตาสีดำและผมสีเดียวกันเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม

"ฉันพรีมนะ ยินดีที่ได้รู้จัก" เจ้าของดวงตาสีฟ้าสวยที่ดูตัดกันดีกับผมสีทองเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์แต่ก็ดูไม่หยิ่งเลยแม้แต่น้อย

"ฉันเซียนะจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จักหนุ่มหล่ออย่างเธอ" เซียยิ้มหวาน ผมสีแดงและนัยน์ตาสีเขียวขับให้เธอดูเป็นคนโฉบเฉี่ยวมั่นใจ
"ส่วนหมอนั่นคือมาวิค คงจำกันได้เนอะ พวกนี้เป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนระดับพื้นฐานแล้วละ พวกเราเรียนคณะวิทยาการการทหาร แล้วนายละ"

"อ่อ ฉันเรียนคณะวิทยาศาสตร์" ฟาเรสตอบพลางตักข้าวเข้าปากเพราะหิวเต็มทน

"ว่าแต่รูมเมทนายไปไหน ไม่มากินข้าวด้วยกันเหรอ" มาวิคถามอย่างสงสัย

"อ่อ ฉันพักคนเดียวน่ะ"

"โซนวีไอพีสินะ ตอนแรกพ่อก็จะให้ฉันอยู่ แต่ไม่เอาหรอก อยู่คนเดียวเหงาตาย" เซียบ่น "งั้นนายก็ยังไม่มีเพื่อนเลยใช่ไหมล่ะ มาเป็นเพื่อนพวกเราก็ได้เรายินดี"

"ได้เลย ไม่มีปัญหา" ฟาเรสตอบรับเสียงใส มีเพื่อนไว้ก็ไม่เสียหาย

"นายชื่อเต็มว่าอะไร" มาวิคถามพลางจ้องหน้าเขาจริงจัง

"ฟาเรส ฟราน คาเดนเซีย"

"ว่าแล้วไง เป็นหมอนี่จริงๆ ด้วย" มาวิคบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "คนที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบรอบนี้น่ะ นายนี่มันสุดยอด เสียดายที่ไม่ได้เข้าคณะเดียวกัน" ฟาเรสยิ้มเขินกับสายตาชื่นชมที่เพื่อนๆ มอบให้

คุยเล่นสักพักจึงชวนกันเคลื่อนย้ายเพราะใกล้เวลาปฐมนิเทศแล้ว ทั้งห้าคนเดินไปยังหอประชุมที่ตึกอำนวยการ ฟาเรสแอบรู้สึกประหม่าเมื่อกลุ่มของเขาตกเป็นเป้าสายตาเพราะเพื่อนใหม่ดันมีแต่พวกหน้าตาดี

พิธีปฐมนิเทศเป็นเพียงการกล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่และแนะนำบุคลากรต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เล่นเอาหลายคนหาวจะหลับไปหลายรอบ ช่วงเวลาแห่งความง่วงจบลงตอนเที่ยงวัน หลังจากนี้น้องใหม่ทุกคนจะต้องไปที่ตึกคณะตัวเองเพื่อไปเลือกเอกที่ต้องการ โดยจะมีรุ่นพี่และอาจารย์คอยแนะแนว มีเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการมาคอยรับลงทะเบียนในช่วงบ่าย แต่หลังจากเทอมนี้ก็ต้องจัดการเอง ซึ่งปีการศึกษาของที่นี่แบ่งเป็นสองภาคเรียน ฟาเรสจำต้องแยกกับเพื่อนใหม่ทั้งสี่โดยไม่ลืมแลกหมายเลขติดต่อของกันและกันไว้

"เธอแน่ใจเหรอว่าจะเลือกเอกนี้" เจ้าหน้าที่ที่รับเอกสารมองหน้าฟาเรสแบบไม่เข้าใจ

"ทำไมหรือครับ"

"ก็เอกที่เธอเลือกมันไม่ค่อยนิยมน่ะสิ คะแนนเธอสูงขนาดนี้ พี่ก็เสียดายนะ...พฤกษศาสตร์พันธุ์พืชและสมุนไพร...เอาจริงๆ นะถ้าเธอสนใจเรื่องตัวยาทำไมไม่เรียนเภสัชศาสตร์โดยตรงไปเลยละ สมัยนี้เขานิยมใช้ยาปฏิชีวนะมากกว่านะ แต่ระดับเธอเรียนการแพทย์ก็ยังได้" เธออธิบาย พยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ

"เอ่อ...เอกนี้แหละครับ ผมชอบ" ฟาเรสยิ้มรับให้กับความหวังดี พืชทุกชนิดล้วนมีความลับในตัวมันเอง มันน่าสนุกจะตายที่ได้ศึกษาคุณสมบัติของมันแล้วนำมาใช้ให้เกิดผล

"ถ้าเราชอบก็ตามใจ" เธอรับคำ พลางคีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ "พี่ส่งตารางเรียนไปในโทรศัพท์เราแล้วนะ เป็นตารางเรียนในเทอมนี้" ฟาเรสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูตารางเรียนที่ได้รับ

"ขอบคุณครับ"

ฟาเรสตรวจดูตารางเรียนของตน วันจันทร์ อังคาร และพุธครึ่งวัน เขาต้องเรียนวิชาเอก ส่วนวันที่เหลือเว้นว่างสำหรับวิชาทั่วไปกับวิชาเลือกเสรี ดูเหมือนธุระของวันนี้คงจบสิ้นแล้ว จึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนหมาดๆ ของตน

"ว่าไงสุดหล่อ นี่เซียนะจ๊ะ" เสียงหวานรับสายแทนมาวิค ทำไมเขาต้องนึกชื่อหมอนี่ขึ้นคนแรกไม่เข้าใจ บางทีอาจเพราะรู้จักก่อนใครมั้ง

"ทางฉันเรียบร้อยแล้วนะ"

"ไวจัง ฉันเองก็ไม่มีอะไรแล้วละ แต่มาวิค โอซี่ กับพรีมต้องเข้าทดสอบสมรรถภาพน่ะ มาดูไหม คนมาดูเต็มเลย" เซียเอ่ยชวน ได้ยินมาว่าควบคุมหลักสูตรโดยเอแวนการ์ด ชักอยากจะเห็นแล้วสิ

"ได้ ฉันจะไป"

"งั้นมาที่สนามฝึก หลังตึกคณะวิทยาการการทหารนะ ถ้าถึงทางเข้าแล้วโทรมาบอกอีกทีเดี๋ยวคนสวยไปรับ" เซียบอกเสียงใส
เซียพาเขาเข้ามาภายในสนามฝึกที่มีลักษณะเป็นสเตเดียมทรงเกือกม้าก่อนนำเขาไปนั่งแถวหน้าสุดบนเก้าอี้ที่เธอวางของจับจองไว้รวมกันสี่ตัว เดาว่าน่าเป็นของสามหนุ่มในสนาม แต่ดูเหมือนว่าทุกคนในสนามกำลังนั่งพัก เพราะเพิ่งจบการทดสอบรอบก่อนไป

"อ่าว เขาทดสอบเสร็จแล้วเหรอ"

"ยังหรอก เพิ่งจบการทดสอบสมรรถภาพทางกายน่ะ ก่อนหน้านี้ทดสอบเทคนิคการใช้อาวุธพื้นฐาน รอบต่อไปจะทดสอบพลังเวทย์แฝง" คนฟังพยักหน้าเข้าใจ เขาเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ยังไม่เคยลองกับตัวเอง

“อ้อ ว่าแต่เขาวัดผลกันยังไง”

"ก็เอาคะแนนทดสอบทั้งสามรอบมารวมกัน ต้องเกินครึ่งถึงจะสามารถเข้าเอกนี้ได้ เอ่อ ฉันหมายถึงเอกการรบน่ะ"

"แล้วเธอเรียนเอกอะไรละ"

"การวิจัยและพัฒนาอาวุธน่ะ ให้ไปตากแดดอย่างนั้นไม่เอาหรอก ผิวเสีย" เซียบอกพร้อมทำท่าทำทางราวกับกลัวแดดเต็มที เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

"เอาละ นักศึกษาทุกคน เรามีเวลากันไม่มาก เรามาเริ่มการทดสอบต่อไปกันเถอะ” เสียงประกาศของอาจารย์คุมสอบดึงความสนใจของชายหนุ่ม

“มนุษย์ทุกคนในเอสทีเรียดนั้น ต่างมีพลังเวทย์อยู่ในตัวเองมากน้อยต่างกัน ทางเราจึงคิดค้นวิธีการนำพลังเหล่านั้นมาใช้ให้เสถียรผ่านสื่อกลาง นั่นคือสิ่งนี้" ชายสูงวัย แม้ผมจะขาวไปทั้งหัว ใบหน้าแต่งแต้มด้วยริ้วรอย แต่ยังคงดูบึกบึนแข็งแกร่งตามสไตล์ทหารเก่า เขาชูอัญมณีสีขาวในมือ "เราเรียกมันว่าเจ็ม (Gem) ซึ่งมันจะเปลี่ยนสีไปตามปริมาณพลังเวทย์ที่ไหลผ่าน"

เสียงฮือฮาดังก้องสนาม เมื่อเจ็มในมืออาจารย์ค่อยๆ เปลี่ยนสี จากขาวสะอาด เป็นสีเหลืองอ่อน ก่อนจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ เป็นส้ม ส้มแดง จนเป็นสีแดงสด

"อาจารย์อีวาน ท่านเคยทำงานให้กองทัพบัญชาการหน่วยต่อต้านพวกในนอธฟิว พอเกษียณก็มาเป็นอาจารย์ที่นี่" เซียบอกพลางมองคนในสนามอย่างชื่นชม

"เจ็มเหล่านี้ จะถูกติดตั้งในอาวุธเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของมัน ซึ่งจำเป็นมากในการรบกับพวกไวด์โซล” คำว่าไวด์โซลกระตุ้นความสนใจของฟาเรส นัยน์ตาสีครามจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างตั้งใจ

“ตัวอย่างเช่น หากเอาเจ็มฝังไว้ในดาบ แม้จะเป็นดาบไม้แต่สามารถคมได้ไม่ต่างจากโลหะ" อาจารย์อีวานรับดาบไม้ที่มีเจ็มเม็ดหนึ่งติดอยู่ตรงด้ามจับก่อนจะเดินไปยังแท่งปูนสำหรับทดสอบแล้วฟาดลงเต็มแรง แท่งปูนหักเป็นสองซีกทันตา เรียกเสียงปรบมือก้องสนาม

"มันมีในวิชาเลือกหรือเปล่า"

“มีในวิชาเสรีไง มีหลายวิชาของการทหารที่คณะอื่นก็มาลงเรียนได้ เพราะที่อานิมามองว่า การเอาตัวรอดเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต" เซียอธิบาย "มาเรียนสิ เราจะได้เรียนด้วยกัน"

"ก็น่าสนุกดี"

ทั้งสองดูการทดสอบในสนามอย่างตั้งใจ นักศึกษาจะถูกเรียกขึ้นมาทีละห้าคน ก่อนจะแจกดาบไม้ให้คนละอัน ก่อนเจ้าหน้าที่จะเอาเสาหลายๆ ประเภทมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อลองฟัน ให้คะแนนตามที่ทำได้ เพิ่มความแข็งของเสาขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากไม้ ปูน และเหล็ก ซึ่งคนส่วนใหญ่ฟันได้แค่เสาปูน ส่วนเหล็กทำได้อย่างมากก็แค่เป็นรอย

กรี๊ด!!! เสียงสาวๆ ดังลั่นเมื่อถึงคิวของพวกมาวิค โอซี่ และพรีม ทำเอาอีกสองคนที่ทดสอบรอบเดียวกันดับไปเลย การที่หนุ่มรูปงามทั้งสามยืนอวดโฉมอยู่กลางสนาม ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้น

"เจ้าพวกนั้นมันป๊อปมาตั้งแต่สมัยเรียนพื้นฐานแล้วละ" เซียบอกอย่างหมั่นไส้

"เอ่อ!!!" อยู่ๆ มาวิคก็หันมาทางนี้ พร้อมโบกไม้โบกมือให้ดึงสายตาคนทั้งสนามให้มองมา รอยยิ้มสดใสพร้อมดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย ตอนนี้คนถูกมองอยากจะมุดเก้าอี้หนีเสียเหลือเกิน

สามหนุ่มยังคงเรียกเสียงกรี๊ดได้ดังเดิม เมื่อเสาเหล็กโดนฟันด้วยดาบไม้จนงอด้วยฝีมือของทั้งสาม พรีมมองดาบไม้ที่หักครึ่งในมือก่อนโบกมือยอมแพ้ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นถือว่าทำได้ดีเยี่ยมจนฟาเรสอดชื่นชมไม่ได้ การทดสอบจบลงในตอนเย็น สามหนุ่มเดินมาหาทั้งสองตรงที่นั่ง พลางรับน้ำเย็นที่ฟาเรสออกไปซื้อมาให้ไปดื่ม

"ขอบใจมาก แค่นายมานั่งดูก็มีกำลังใจแล้ว" มาวิคบอกพลางหมุนฝาขวดออกดื่ม ฟาเรสจึงได้แต่ยิ้มตอบแต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงสำลักน้ำซะอย่างนั้น

“เป็นไรไหม”

"แค่กๆ ยิ้มหวานแบบนั้น ฉันไม่ทันตั้งตัวน่ะสิ"

"ฉันนั่งอยู่ก่อนนะยะ" สาวสวยเจ้าของผมสีแดงเพลิงแขวะ

"แหมคนสวย พวกเรารู้ว่าเธอต้องมาอยู่แล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำและกำลังใจ" พรีมอ้อน

ฟาเรสขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเพื่อนของเขาขอนั่งพักชั่วครู่ ในจังหวะที่กำลังเดินออกมากลับถูกใครอีกคนชน

"ขอโทษครับ" เจ้าของนัยน์ตาสีครามเอ่ยตามมารยาท แม้ไม่ใช่คนผิดก็ตาม

"ฟาเรสใช่ไหม" เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนที่ชนเขาเต็มตา ดวงตาเรียว นัยน์ตาสีเข้มมองมาที่เขาอย่างไม่แสดงอารมณ์ แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ดี

"ครับ" ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม

"ไปรู้จักพวกนั้นได้ยังไง หมายถึงพวกมาวิคน่ะ"

"เจอกันตอนวันประกาศผล มาวิคเข้ามาทักน่ะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ "ทำไมเหรอครับ"

"เปล่า แค่อยากรู้" เสียงห้วนตอบกลับแล้วหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป

...อะไรของหมอนั่น จู่ๆ ก็มาถาม แต่รู้สึกไม่ชอบเลยแฮะ…


หลังออกมาจากสนามฝึกพวกเขาก็พากันไปหาร้านอร่อยๆ ฝากท้องแถวหาดทรายขาวใกล้กับหอพัก ก่อนแยกย้ายกลับห้องตัวเอง พรุ่งนี้ต้องเริ่มเรียนวิชาเอกอย่างจริงจัง ฟาเรสอดตื่นเต้นที่จะเจอเพื่อนร่วมเอกของเขาไม่ได้ จะเป็นยังไงนะ คนที่ต้องเรียนด้วยกันไปตลอดสามปีนี้

ด้านหลังตึกคณะวิทยาศาสตร์ติดชายป่าทึบ คือที่เรียนวิชาเอกของฟาเรส เรือนกระจกทรงครึ่งวงกลมขนาดยักษ์แบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ซึ่งถูกปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชนานาพันธุ์ที่อยู่ภายใน บางชนิดเขาเคยเห็นแค่ในหนังสือเพราะเป็นของหายาก สำหรับฟาเรสแล้วก้าวแรกเหมือนหลงเข้าไปในแดนสวรรค์

"ยังไม่มีคนมาสินะ" ร่างโปร่งพึมพำ พลางเดินเข้าไปยังอาคารที่อยู่ตรงกลาง

ใจกลางโดมถูกสร้างเป็นอาคารสีขาวดูเหมือนกล่อง มีสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก ชั้นล่างเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการศึกษาวิจัยพันธุ์พืชในโดมนี้ ชั้นสองเหมือนห้องสมุดขนาดย่อมและเป็นพื้นที่พักผ่อน เพราะมีชุดโซฟาสีครีมตั้งไว้ตรงกลาง เคาน์เตอร์เล็กๆ สำหรับทำอาหาร กับตู้เย็นไว้ใส่เสบียงเสบียง และห้องน้ำ ผนังส่วนใหญ่เป็นบานกระจกใสทำให้มองเห็นต้นไม้ข้างนอกได้...ชักตกหลุมรักที่นี่แล้วสิ…

"ชอบที่นี่หรือเปล่า" เสียงทักจากด้านหลังขัดจังหวะการดื่มด่ำธรรมชาติของเขา

"รักเลยครับ" ริมฝีปากสวยเอื้อนเอ่ยราวกับต้องมนตร์ ก่อนจะหันไปมองคู่สนทนา "อ๊ะ เอ่อ ท่าน!!!"

"ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น" ชายชราตรงหน้าโบกไม้โบกมือเมื่อฟาเรสก้มทักทายแบบตื่นๆ นัยน์ตาสีเทาฉายแววอารีอย่างเปี่ยมล้น เขาจำมันได้ดีเพราะนี่คือผู้อำนวยการเอเบรียน ของอานิมาแห่งนี้ "ทำตัวสบายๆ ถือว่าเป็นอาจารย์คนหนึ่งแล้วกันนะ"

"แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ครับ"

"ก็มาสอนเธอไง ฟาเรส ชื่อเธอคล้ายของแม่เลยนะ"

"ท่านรู้จักแม่ผมด้วยเหรอ"

"ฟาร่าน่ะเหรอ เราเป็นเพื่อนกันนะ จริงๆ ก็รู้จักทั้งพ่อ ทั้งแม่ แล้วก็ลุงของเธอนั่นแหละ ฉันเคยเจอเธอตอนยังเล็กอยู่ คงจำไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าจะเรียกเธอว่าฟาร์ เหมือนที่เรียกแม่ของเธอแล้วกัน" รอยยิ้มอบอุ่นที่ได้รับทำให้คนอายุน้อยกว่าหายประหม่า
"แล้วแต่ท่านผู้อำนวยการเลยครับ"

"เรียกลุงก็ได้"

"เอ่อ ถ้าลุงต้องการแบบนั้นก็ได้ครับ"

“ดีมาก”

"ว่าแต่เอกนี้มีผมคนเดียวเหรอ"

"มีอีกคนนะ แต่แจ้งกับทางเราแล้วว่าจะมาเริ่มอาทิตย์หน้า ระหว่างนี้ทนเหงาไปก่อน เอ้า มาเริ่มกันเลย วันนี้แค่เกริ่นๆ ก็แล้วกัน ตามมา"

เอเบรียนชวนนักเรียนเพียงคนเดียวในตอนนี้เดินชมรอบโดม พลางอธิบายว่าทำไมเอกพฤกษศาสตร์พันธุ์พืชและสมุนไพรจึงสำคัญ แม้จะเป็นศาสตร์เก่าแก่ แต่พืชสมุนไพรบางชนิดมีพลังที่สามารถใช้ผสมผสานกับพลังเวทย์ให้เกิดผลที่ต้องการ และบางอย่างยังมีคุณสมบัติที่สารสังเคราะห์ไม่สามารถแทนที่ได้ ก่อนจบด้วยการสั่งทำรายงานสรุปคร่าวๆ เกี่ยวกับสมุนไพรทั้งหมดตามที่ฟาเรสเข้าใจ เพื่อดูว่าผู้เรียนมีพื้นฐานแค่ไหน เอเบรียนเอ่ยขอโทษลูกศิษย์ล่วงหน้าเพราะตำแหน่งทำให้ท่านอาจมาสอนไม่ได้ในบางครั้ง แต่ใช่ว่าท่านจะไม่ใส่ใจ เพราะได้ทิ้งเอกสารสรุปเนื้อหาเบื้องต้นของเทอมนี้ไว้ให้ปึกใหญ่ เผื่อไว้ในยามที่ไม่สะดวกมาสอน ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจว่าจะนำไปคัดลอกเผื่อเพื่อนร่วมเอกอีกคน

ฟาเรสลงเรียนวิชาทั่วไปร่วมกับเพื่อนอีกสี่คนของเขา มันเป็นวิชาพื้นฐานจึงลงเรียนด้วยกันได้ ในระหว่างวันถ้ามีเวลาว่างชายหนุ่มก็ไปนั่งดูเพื่อนต่างคณะของเขาฝึกซ้อมที่สนาม บางทีก็มานอนอ่านหนังสือที่โดมกระจก เพราะท่านลุงเอเบรียนอนุญาตให้เขาเข้าออกที่นี่ได้ตามใจ บ่อยครั้งมาวิคเองก็ขอตามมาด้วยโดยให้เหตุผลว่าที่โดมนี้ร่มรื่นดี

พวกเขาสนิทกันไวเกินคาด อาจเพราะเพื่อนใหม่ต่างเป็นพวกอัธยาศัยดี อาจจะมีรั่วๆ ไปบ้างแต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ดังนั้นการได้เจอกับพวกมาวิคทำให้คนที่เคยรักสันโดษแบบเขาเริ่มถูกใจการมีเพื่อนเสียแล้ว

ติดตามข่าวสารและงานวาดอื่นๆ ได้ที่
https://www.facebook.com/BlutroseArts

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
 มาต่อๆ

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
พระเอกรึเปล่าอ่ะ

รอตอนต่อไปน้าาา :mew1: :mew3:

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 3 เพื่อนร่วมเอก

มาวิคเดินงัวเงียออกจากห้องตัวเองสู่โถงกลาง ห้องพักของเขามีลักษณะเป็นห้องชุด มีสองห้องนอน มีส่วนกลางที่ประกอบไปด้วยครัวและบริเวณนั่งเล่นให้ใช้ร่วมกัน ห้องฝั่งซ้ายเป็นของพวกหนุ่มๆ ส่วนห้องฝั่งขวาเป็นของหญิงสาวผู้อาศัยหนึ่งเดียวนั่นคือเซีย แต่เสาร์นี้ภายในห้องดูเงียบสงัด เพราะพรีมและเซียต่างกลับไปหาครอบครัว ส่วนโอซี่อาจจะอยู่ห้องสาวสักคนในเดสเซนท์ หมอนี่เปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำ แม้จะถูกตั้งฉายาขำๆ ว่าเสือร้าย แต่ยังมีผู้หญิงมากมายอยากลองดี เขามองนาฬิกาที่ตอนนี้ชี้เลขสิบเอ็ด พลางนึกถึงใครอีกคนที่คิดว่าคงยังอยู่ในอานิมาไม่ได้ไปไหน

"ว่าไงมาวิค" เสียงใสดังจากปลายสาย เมื่อมาวิคติดต่อหา

"ว่าจะชวนไปหาอะไรกินน่ะ"

"นึกว่านายกลับบ้านซะอีก"

"กลับไปก็ไม่มีคนอยู่หรอก" มาวิคบอกแบบเซ็งๆ พ่อของเขาแท้จริงเป็นผู้ว่าของเดสเซนท์ ส่วนแม่ก็เป็นเลขาของท่าน ทั้งสองจึงไม่ค่อยมีเวลาเพราะงานรัดตัวตลอด

"จริงๆ ฉันว่าจะทำอะไรกินเอง ซื้อของสดมาไว้แล้ว ขึ้นมากินด้วยกันไหม"

"ได้ๆ นายอยู่ห้องไหนละ"

"ชั้นสามสิบเอ็ด ห้อง 3108"

"โอเค ขอสิบนาที อาบน้ำก่อน แล้วเจอกัน" มาวิคหยิบผ้าขนหนูตรงเข้าห้องน้ำอย่างไว

ในวันแรกที่เขาเห็นฟาเรสท่ามกลางฝูงชน ไม่เข้าใจว่าทำไมสองเท้าจึงพาเดินเข้าไปทัก บรรยากาศรอบตัวของร่างโปร่งมันดูสงบแต่แฝงไปด้วยความอ้างว้าง ราวกับมีกำแพงบางๆ กั้นเจ้าตัวออกจากรอบด้าน และเขาเองก็อยากจะทำลายกำแพงนั้น เมื่อวันที่เพื่อนใหม่ไปดูเขาทดสอบที่คณะ รอยยิ้มของฟาเรสในวันนั้นดูช่างสดใสเพราะเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจ และเขาหวังเหลือเกินว่าจะเห็นมันบ่อยๆ

"เข้ามาเลย" เจ้าของห้องเปิดประตูให้เมื่อมาวิคเคาะเรียก

“รอนานไหม”

“ไม่หรอก นายไปนั่งรอแล้วเปิดโทรทัศน์ดูก่อนก็ได้"

ฟาเรสกลับไปยังเคาน์เตอร์ทำครัวก่อนจะลงมือหั่นผักต่อ เจ้าของห้องในชุดสบายๆ เสื้อยืดตัวบางยิ่งทำให้เห็นว่าคนตรงหน้าผอมเพรียวกว่าที่คิด

"นึกว่าทำจะเสร็จแล้ว”

"ก็เพิ่งจะเริ่มตอนนายโทรมานี่แหละ หิวแล้วเหรอ"

"เริ่มหิวแล้วละ มาๆ ฉันช่วย" มาวิคว่าพร้อมลุกจากโซฟาไปร่วมวง "จะทำอะไรละ"

"สเต๊กปลา กับสลัด" ฟาเรสบอกพลางพยักพเยิดไปทางเนื้อปลาสีส้มที่เอาออกมาละลายน้ำแข็งไว้ ก็ไม่ยากเท่าไหร่ พอทำได้

"พริกไทยกับเกลือละ" คนสูงกว่ามองหาเครื่องปรุง

"ในตู้บนหัวฉัน" ว่าแล้วผู้ช่วยจำเป็นก็เอื้อมมือไปเปิดประตูตู้ "อ๊ะ" พอดีกับฟาเรสที่หันมาจะพูดบางอย่าง

ดวงตาสีครามสะกดมาวิคให้นิ่งงัน เพิ่งได้มีโอกาสเห็นใกล้ๆ ไม่คิดเลยว่าตาของฟาเรสจะสวยขนาดนี้ ทั้งคู่ต่างสบตาและทำอะไรไม่ถูก และท้ายที่สุดเป็นเจ้าของห้องที่ได้สติก่อน

"อะ เอ่อ แค่จะเตือนว่าอย่าใช้ไฟแรง" ริมฝีปากสวยเอ่ยติดขัด ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปง่วนกับสลัดแต่ก็ไม่อาจปิดบังผิวหน้าที่ซับสีได้

"เชื่อมือได้เลย" มาวิครับคำเสียงใส แปลกใจที่ไม่อาจหุบยิ้มที่ระบายบนใบหน้าตนได้

มื้อเที่ยงดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเพราะต่างคนต่างหิวเนื่องจากไม่ได้ทานข้าวเช้ากันเลย มาวิคจัดการทุกอย่างหมดในเวลาอันรวดเร็ว ผิดกับอีกคนที่ยังคงละเลียดกับอาหารบนจานช้าๆ และยังเหลืออีกเกินครึ่ง

เมื่อนั่งว่างๆ มาวิคจึงมีโอกาสสำรวจคนตรงหน้าที่เอาแต่สนใจอาหารอย่างเต็มตา ฟาเรสเป็นคนที่ขาวมาก ยิ่งรวมเข้ากับผมสีบลอนด์ขาว ยิ่งทำให้คนตรงหน้าเหมือนเปล่งออร่าอยู่รอบตัว ไหนจะใบหน้าเรียวที่เรียบเนียนราวกับผิวเด็กนั่นอีก

"ถามจริง นายอายุเท่าไหร่" ชายหนุ่มถามสิ่งที่คิดในใจอยู่นาน

"ปีนี้สิบหกแล้ว"

"ฮะ...จริงดิ เพิ่งสิบหก แล้วทำไมถึงเข้ามหา’ลัยได้ละ"

"ฉันเรียนเองที่บ้านน่ะ ท่านพ่อให้อาจารย์มาสอน เลยจบขั้นพื้นฐานไปตั้งแต่สิบห้า" คนถูกถามอธิบายยิ้มๆ "คงไม่ต้องเรียกนายว่าพี่หรอกนะ"

"ไม่ต้อง นายนี่มันอัจฉริยะจริงๆ" คนโตกว่าเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้

"คนเราเก่งไม่เหมือนกัน"

"ได้ยินมาว่า นายอยากเรียนวิชาต่อสู้ในคณะฉันเหรอ" ร่างสูงเปิดประเด็น เซียเล่าให้เขาฟังในวันที่มีการทดสอบ

"ก็แค่สนใจเรื่องการใช้พลังเวทย์แฝงกับพวกการใช้อาวุธที่มีเจ็ม”

"ทำไมละ" มาวิคถามอย่างแปลกใจ คนที่ชอบความสงบอย่างฟาเรสจะสนใจศาสตร์การต่อสู้ไปทำไม อีกทั้งพลังเวทย์แฝงยังเป็นศาสตร์ขั้นสูงที่ไว้ใช้ต่อกรกับพวกเหนือธรรมชาติอีกด้วย

คนถูกถามไม่ตอบแต่เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาสีครามหม่นแสงลงทันใด ทำเอาคู่สนทนาพานใจไม่ดีไปด้วย

"อยากลองใช้เจ็มดูไหม" มาวิคเอ่ยทำลายความเงียบ ดึงคนข้างๆ ให้หันมอง

"อยากสิ" ดวงตาที่กลับมาทอประกายทำให้เขาเบาใจ

"ที่จริงฉันฝึกเรื่องการใช้เจ็มมาตั้งแต่ก่อนเข้ามาเรียนแล้ว พอสอนได้นะ ไหนๆ วันอาทิตย์ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไปลองดูไหม" คนฟังพยักหน้ารับพร้อมยิ้มให้...จะผิดไหม ถ้าเขาคิดว่ามันน่ารัก ชักรอพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วสิ

วันอาทิตย์ฟาเรสตื่นเช้าไม่ต่างจากวันเรียน แทบจะรอไปสนามฝึกไม่ไหว ใจจริงอยากโทรไปปลุกแต่เกรงใจ เดาว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ตื่น ไม่นานคนที่รอก็มาเคาะห้องเรียกและพากันไปหาอะไรทานที่ร้านริมหาดก่อนจะไปสนามฝึกหลังคณะวิทยาการการทหารในช่วงสายๆ

"นายเคยฝึกอะไรมาก่อนหรือเปล่า" มาวิคถามพลางเดินนำ ห้องเก็บของข้างสนามเต็มไปด้วยอุปกรณ์การฝึกและอาวุธต่างๆ
"ก็หลายอย่างนะ พ่อฉันก็เป็นทหาร" คนฟังดูเหมือนไม่เชื่อ ฟาเรสจึงได้แต่ยักไหล่แบบปลงๆ

"ใช้เจ้านี่เป็นไง" มาวิคยื่นหน้าไม้ที่ตรงด้ามประดับเจ็มเม็ดเล็กพร้อมลูกโดยไม่ลืมหยิบของตัวเองมาชุดหนึ่ง "เน้นการถ่ายพลังสู่เจ็มก่อนแล้วกัน"

ร่างสูงกดปุ่มตรงแผงควบคุมข้างสนาม เป้าที่ทำจากแผ่นเหล็กจะเด้งขึ้นมา มาวิคถือวิสาสะดึงมือลูกศิษย์ชั่วคราวมายืนกลางสนาม แล้วเริ่มการสอน

"เอาละ รวบรวมสมาธิไปที่อาวุธในมือ ถ่ายทอดความรู้สึกไปที่มัน แล้วยิงแบบนี้" ฟึบ!! ลูกดอกไม้ฟังเข้าไปตรงกลางแผ่นเหล็กได้อย่างเหลือเชื่อ

"นึกสภาพถ้าเป็นหัวคนนะ คงทะลุ" ฟาเรสบอกอย่างตื่นเต้น

"เอาละ ตานายลองบ้าง"

ฟาเรสโหลดลูกดอกใส่หน้าไม้แล้วเล็งไปยังเป้าเหล็ก พยายามปล่อยทุกความรู้สึกให้ไหลสู่อาวุธในมือ แล้วยิง ฟึบ!!! เคร้ง!!!

"ฮ่าๆๆๆ" เสียงทุ้มหัวเราะลั่นกับสภาพลูกดอกไม้ที่แตกกระจายกองกับพื้น

"อย่าหัวเราะสิ ลองใหม่ๆ" ฟาเรสบ่นอุบ พร้อมทำหน้ามุ่ย

ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้เขาคงไม่มีวันต่อกรกับพวกไวด์โซลได้ เรื่องในคืนนั้นไหลบ่าเข้ามาในความคิด ราวกับตอกย้ำความเจ็บปวดที่เหมือนจะเลือนหายไปแล้ว แต่แท้จริงยังฝังรากลึกอยู่ในใจเขาเสมอมา

ร่างโปร่งยิงลูกดอกออกไปซ้ำๆ เขาเกลียดความพ่ายแพ้ เกลียดคำว่าไม่มีทาง ทุกนัดที่ยิงออกไป แรงขึ้นเรื่อยๆ จนแผ่นเหล็กเริ่มเป็นรอย ก่อนลูกดอกไม้อาบพลังจะฝังลงบนนั้น และดอกต่อมาถูกยิงซ้ำยังจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า

"ฟาเรส" มาวิคพยายามเรียกอีกคนที่เหมือนหลุดไปอีกโลกอย่างร้อนใจ นัยน์ตาสีครามที่เคยสดใส ดูเย็นชาและว่างเปล่า เป็นอีกด้านของฟาเรสที่เขาไม่เคยเห็น

"เฮ้ ฟาเรส อย่าฝืนสิ" หยาดเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าเนียนเตือนให้มาวิคต้องทำอะไรสักอย่าง

ฟึบ!!! ตูม!!! ลูกดอกอันสุดท้ายถูกยิงออกไป มันอาบด้วยพลังสีแดงเพลิงก่อนจะกระแทกกับเป้าเหล็กแล้วระเบิดจนแผ่นเหล็กละลายเป็นรู หน้าไม้ถูกทิ้งลงบนพื้นจากมือที่สั่นระริก เจ็มสีแดงเลือดค่อยๆ อ่อนสีลง มันร้อนเสียจนพื้นหญ้าโดยรอบลุกไหม้เป็นวง

"มือนาย!!!" คนโตกว่าร้อนรนคว้ามือฟาเรสขึ้นมาดู ฝ่ามือขาวมีรอยแดงพาดผ่านเป็นปื้นคล้ายโดนไฟลวก เขามองเป้าเหล็กที่เป็นรูขนาดใหญ่ตรงกลางสลับกับคนตรงหน้าด้วยความพิศวง ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับคนคนคนนี้อีกนะ

"ฉันไม่เป็นไร" ริมฝีปากสวยซีดเซียวจนยากจะเชื่อคำพูดนั้น "ต่อไหม"

"วันนี้พอแค่นี้เถอะ นายไม่ควรฝืนตัวเอง" คิ้วเข้มขมวดแทบจะชนกันพลางมองมือของฟาเรสอย่างกังวล ชวนให้เจ้าของมือรู้สึกผิดที่ทำเพื่อนของเขาไม่สบายใจ

“แต่”

“อย่าทำให้เป็นห่วงนักสิ”

“ขอโทษนะ”

ในมุมอับด้านบนอัฒจันทร์ สายตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองทั้งคู่ที่เดินออกไปจนลับตา ท่าทีเป็นห่วงเป็นใยที่มาวิคมีให้ร่างโปร่งบางตรงหน้าช่างขัดตาคนมองเสียจริง
 


อาทิตย์ที่สองในชีวิตมหา’ลัย แม้จะไร้สาระไปบ้างในวันหยุด แต่ฟาเรสก็ทำรายงานที่ลุงเอเบรียนสั่งเสร็จเรียบร้อย เขาไม่ลืมที่จะถือเอกสารเนื้อหาวิชาซึ่งถูกนำไปเข้าเล่มติดมือมาด้วย ชุดหนึ่งสำหรับเขาและอีกชุดสำหรับเพื่อนร่วมเอกที่ยังไม่เคยพบหน้า เช้านี้ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นักเพราะมือที่ระบมและปวดแสบปวดร้อนไปหมด เมื่อมาถึงตึกวิจัยก็พบว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

"สวัสดี" ฟาเรสเอ่ยทักอีกคนที่กำลังหันมองพืชพรรณด้านนอกอย่างสนอกสนใจ พลางวางกระเป๋าที่สะพายมาไว้บนโต๊ะ

ใครคนนั้นหันแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ได้ยืนใกล้แบบนี้ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าสูงใหญ่กว่าเขาพอสมควร เรือนผมสีควันล้อมกรอบเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ จมูกโด่งรับกันดีกับริมฝีปากได้รูป แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นนัยน์ตาสีอำพันคมกล้า ดูทรงอำนาจจนแม้ฟาเรสเองยังอึดอัดที่ถูกมอง

"ผม ฟาเรส" เขายื่นมือออกไปหมายจะจับทักทาย แต่มันพันด้วยผ้าก๊อซทั้งมือ "เอ่อ ลืมไป"

"ไปโดนอะไรมา" ข้อมือบางถูกคว้าไว้ก่อนที่ฟาเรสจะทันได้หดกลับ

"ไฟลวกนิดหน่อย"

"ไม่นิดมั้ง" น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อทำให้ฟาเรสได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป "รอนี่"

"นายจะไปไหนน่ะ...เฮ้ เดี๋ยว" ฟาเรสร้องตามหลังร่างสูงที่เดินออกไปนอกห้องอย่างงุนงง ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงยอมนั่งรออย่างที่เจ้าตัวบอก

ไม่นานคนที่น่าจะเป็นเพื่อนร่วมเอกก็กลับมาพร้อมสมุนไพรหน้าตาประหลาดสองสามอย่าง เขาวางมันลงบนโต๊ะข้างๆ แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองก่อนจะกลับลงมาพร้อมกะละมังสเตนเลสที่ใส่น้ำมาเกินครึ่งและกล่องพยาบาล เก้าอี้ถูกดึงมานั่งตรงหน้าคนเจ็บก่อนที่มือใหญ่จะยื่นมาตรงหน้า

"ขอมือหน่อย"

"ฮะ เอ่อ" ...ไม่ใช่หมานะเว้ย!!!...แต่ก็ยอมยื่นมือข้างที่เจ็บให้อีกฝ่ายแต่โดยดี ผ้าก๊อซถูกแกะออกเผยให้เห็นฝ่ามือที่เริ่มพองและแดงช้ำ

"ดูแย่กว่าที่คิด" แค่ถูกมองฟาเรสก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้ทำไมถึงเกรงหมอนี่นัก "ตุ่มพองค่อนข้างใหญ่ต้องเจาะหนองออกไม่งั้นจะอักเสบและติดเชื้อ"

"อืม...ยังไงก็ได้" อีกคนไม่ตอบอะไรเพียงแต่จับมือเล็กไปล้างในกะละมังที่เตรียมมา ซับด้วยผ้าขาวจนแห้งก่อนเอาเข็มเจาะผิวหนังที่พองแล้วเอาสำลีซับน้ำเหลืองจนตุ่มพองยุบลง ทุกขั้นตอนถูกทำอย่างนุ่มนวลจนคิดไม่ถึงว่าผู้ชายตัวโตตรงหน้าจะทำได้

"ซี้ด...มันแสบ" ทันทีที่แอลกอฮอล์ถูกราดลงบนมือ ฟาเรสแทบชักมือกลับเพราะความแสบ แต่ถูกอีกคนยึดไว้

"ทนหน่อย ใกล้เสร็จแล้ว" น้ำเสียงทุ้มนุ่มบอก ทั้งที่เจอกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกวางใจคนตรงหน้า ไม่รู้ทำไม

"นี่ นายยังไม่ได้บอกชื่อเลย" ฟาเรสถามขึ้นพลางมองอีกฝ่ายจัดการกับมือเขา โดยเอาสมุนไพรที่เก็บมาขยี้จนอ
อกน้ำแล้วประคบลงบนฝ่ามือ ให้ความเย็นซึมผ่านไปทั่วจนเริ่มชาแล้วพันทับด้วยผ้าก๊อซอีกที

"เวลอร์ โมนาร์คา"

"ขอบใจนะเวลอร์" ฟาเรสบอกพลางสำรวจมือที่พันเสร็จเรียบร้อยด้วยรอยยิ้ม

“เรียกเวเฉยๆ ก็ได้”

“งั้นเรียกฉันว่าฟาร์ก็แล้วกัน” เขาบอกบ้าง

“ระหว่างนี้ก็ระวัง อย่าให้แผลโดนน้ำ ถ้าปวดมากก็ไปขอยาที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย”

“ครับ คุณหมอ” ร่างโปร่งว่าทีเล่นทีจริง...ใจดีกว่าที่คิดแฮะ…

เอเบรียนมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน ผู้อำนวยการคุยสัพเพเหระกับทั้งสองเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสอนอย่างจริงจัง คาบเรียนสมุนไพรครั้งนี้ลากยาวทั้งวันเพราะต้องชดเชยในช่วงเวลาที่อาจารย์ไม่ว่างมาสอน หลังเลิกเรียนฟาเรสปรึกษากับเพื่อนร่วมเอกเรื่องวิชา เวลอร์บอกว่าเรียนอะไรก็ได้ที่เขาลงรวมไปถึงวิชาทั่วไปที่เขาลงไว้ก่อนหน้าแล้ว เลยเลือกวิชาพลังเวทย์ประยุกต์ ซึ่งเรียนรวมกับพวกการทหารในวันศุกร์ พอตารางเรียนตรงกันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเพื่อนเรียน

ฟาเรสไม่ลืมที่จะพาเวลอร์ไปแนะนำให้ทั้งสี่สหายรู้จัก ทุกคนก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดีมั้ง พรีมก็ดูยินดี โอซี่ก็ดูโอเคกับเพื่อนใหม่ ส่วนเซียเองก็ชมเพื่อนร่วมเอกของเขาไม่หยุดปาก จะมีก็แต่มาวิคนี่แหละ ไม่รู้ทำไมเวลาสองคนนี้มองหน้ากันบรรยากาศมันมาคุแปลกๆ


ประชาสัมพันธ์นิดนึงจ้า
นิยายเราวางขายแล้วน้าา อวดๆ เรื่อง Dark Wing เมื่อฟ้าจรดผืนน้ำ
สาววาย สายโรแมนติกแฟนตาซี ห้ามพลาด!!! ไม่ใช่สายนี้ก็ลองอ่านได้

งาน Y Book Fair ที่บูธ C4
วันที่ 7 ก.ค. 19 เวลา 10:00–16:00 น.
ที่หอประชุมกลางน้ำ แหล่งสมาคมนายทหาร
กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์

หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ เพจ https://www.facebook.com/whybooksth/
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
พระเอกมาแล้ววววว
มาวิคกับเวคงรับรู้ได้อ่ะนะ เลยมีบรรยากาศแบบนั้น
 :mew1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เปิดตัวแล้วๆ

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 4

วันนี้เป็นวันแรกของวิชาเสรี เวลอร์และฟาเรสมายังสนามพร้อมกันแต่เช้า เป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจที่เพื่อนร่วมเอกดันพักอยู่ห้องข้างกันกับเขา มือของฟาเรสดีขึ้นมากเพราะมีคนช่วยทำแผลให้ทุกเช้า ตอนแรกเจ้าตัวดื้อดึงจะทำเอง แต่ผลงานการพันแผลหลุดลุ่ยเกินรับ เลยต้องยอมตามใจคุณหมอจำเป็น

"มือเป็นไงบ้าง" มาวิคถามขึ้นขณะที่พวกเขานั่งรออาจารย์อยู่ข้างสนามฝึก

"ดีขึ้นแล้ว ไม่ระบมแล้วด้วย" ฟาเรสตอบ ต้องขอบคุณยาที่เวลอร์ผสมมาให้ ถึงรสชาติจะทรมานลิ้นแต่ก็ช่วยลดอาการอักเสบและอาการปวดลงได้เยอะ...รู้เยอะขนาดนี้ไม่ต้องเรียนแล้วมั้ง…

"ไปทำอิท่าไหน ถึงได้เจ็บขนาดนี้" เซียถาม พลางดึงมือบางไปสำรวจ

"ก็เอ่อ..."

"ก็เมื่อวันอาทิตย์พาฟาเรสไปฝึกการใช้เจ็มมา น่าจะถ่ายพลังสู่เจ็มมากไปอาวุธเลยร้อนจัดจนลวกมือ" มาวิคชิงตอบ

“อย่างงี้นี่เอง” เวลอร์พึมพำพลางมองมาที่คนเจ็บ ฟาเรสจึงได้แต่หลุบตาลงต่ำเพราะถูกจับได้ว่าโกหก

“เอ่อ มันก็แค่อุบัติเหตุ”

"เจ็มมีหลายระดับ รองรับพลังเวทย์ที่ไหลผ่านได้ต่างกัน เจ็มทำอาวุธที่ใช้ในการฝึกส่วนใหญ่เป็นเจ็มระดับกลาง เพราะคนที่หัดส่วนใหญ่ไม่ได้มีพลังเวทย์แฝงมาก แต่ถ้าพลังไหลผ่านมากเกินไปเจ็มจะมีปฏิกิริยาอันตรายหรืออาจแตกได้ ต้องใช้เจ็มในระดับที่สูงขึ้น ยกเว้นคนที่มีความชำนาญพอ อาจควบคุมระดับพลังให้เหมาะกับเจ็มที่ใช้ได้ นอกจากนี้ ยังมีพวกที่สามารถใช้พลังเวทย์ได้โดยไม่ผ่านสื่อกลาง พลังแบบนั้นเรียกพลังเวทย์บริสุทธิ์" เวลอร์อธิบายแม้ไม่เจาะจงแต่ดูก็รู้ว่าบอกฟาเรส

"มีคนแบบนั้นด้วยเหรอ" พรีมถามอย่างสนใจ

"มีแต่น้อย พวกที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่มนุษย์ มักจะเป็นพวกเอลฟ์ ออค ดวอร์ฟ หรือพวกคิเมร่า เพราะเผ่าพันธุ์พวกนี้แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่แล้ว ในมนุษย์ก็มีแต่หายาก"

"ไอ้สามอันแรกน่ะเคยเห็น โอซี่เองก็มีเชื้อสายออค ดูตัวเจ้านี่สิใหญ่อย่างกับหมี นี่ขนาดมีแค่ครึ่งเดียวนะเนี่ย"

"แหม คนสวยก็เปรียบซะ" เจ้าตัวบ่น

"แต่คิเมร่านี่มีจริงหรือ เกิดมายังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง" เซียแย้ง เผ่าพันธุ์เอลฟ์ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางเหนือ ออคจะอยู่แถบเรดิเอนซี่ ส่วนดวอร์ฟก็กระจายปะปนกับพวกมนุษย์ ส่วนคิเมร่าตั้งแต่เกิดมา เธอเคยได้ยินแต่ตำนานเป็นเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับที่สุดในเอสทีเรียดก็ว่าได้

"ไม่เคยเห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีนี่" ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับพรีม

ไม่นานอาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามา สำหรับวันแรกฝึกการควบคุมพลังก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ให้ใช้พลังทำลายเสาเหล็กเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดหนึ่งฟุตสูงเมตรครึ่ง โดยใช้วิธีใดก็ได้ให้มันหักลงมาภายในคาบ คะแนนให้ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น พอสิ้นคำสั่งก็ได้ยินเสียงโอดครวญยกใหญ่จากบรรดานักศึกษาว่าใครจะไปทำได้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่อาจารย์ให้จับคู่สองคนต่อหนึ่งเสา ความวุ่นวายเล็กๆ จึงเกิดขึ้น

"ฉันจะคู่กับฟาเรส" มาวิคบอกทันทีที่อาจารย์พูดจบ แต่เวลอร์นี่คว้าจับมือเขาเอาไว้ก่อนแล้ว

"เฮ้อ!!! ฉันละอิจฉาคนเนื้อหอมเสียจริง" เซียเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้

"ให้เด็กวิทย์คู่กันเองไม่น่าจะรอด" มาวิคให้เหตุผล ซึ่งอีกคนไม่ตอบแต่เลิกคิ้วน้อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนโดนสบประมาท จนคนกลางเริ่มเห็นเค้าลางหายนะ

"นายคู่กับเซียแล้วกันนะ" ฟาเรสไกล่เกลี่ย นัยน์ตาสีอำพันมองเขานิ่งๆ "นะ ขอร้องละ"

"ก็ได้" เวลอร์น่าจะพูดง่ายกว่าในความคิดของฟาเรส การจับคู่จึงจบลงที่ โอซี่กับพรีม เวลอร์กับเซีย และเขากับมาวิค ก่อนแยกย้ายไปประจำเสาของตัวเอง

"เอ่อ ฟาเรส นายไม่ต้องก็ได้นะ มือนายเจ็บอยู่"

"มือซ้ายแทนก็ได้ ช่วยๆ กัน"

"ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนแบบวันนั้น เข้าใจไหม" ร่างโปร่งพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้เมื่อแววตาสีน้ำตาลนั้นฉายแววห่วงใยชัดเจน
ฟาเรสเลือกดาบขนาดพอดีมือมาหนึ่งเล่ม พอถือข้างที่ไม่ถนัดรู้สึกมันขัดชอบกล กวาดตามองไปรอบๆ ทุกคนเริ่มลงมือกันบ้างแล้วจนเสียงโลหะกระทบกันดังก้องสนาม พลันสายตาก็ไปสะดุดกับใครบางคนที่มองมาทางนี้แบบไม่พอใจ ฟาเรสหันซ้ายหันขวาอยากรู้ว่าเขามองใคร พอหันกลับไปคนคนนั้นกลับหายไปแล้ว

เสียงบ่นดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ แม้อาวุธจะเป็นเหล็กแต่จะให้ฟันเหล็กเข้าเลยนี่ยากต่อให้มีพลังเวทย์เคลือบดาบไว้ก็ตาม ตอนนี้ของทีมเขาถูกฟันจนแหว่งเข้าไปถึงหนึ่งในสามแต่ก็เล่นเอาซะเหงื่อตก แถมยังเป็นฝีมือมาวิคเสียส่วนใหญ่ ครั้นจะใส่พลังไปเต็มที่ก็กลัวเป็นแบบวันนั้น แต่นานเข้าก็ชักจะโมโห

...จัดเต็มไปเลยแล้วกัน ช่างแม่ง…

"อยากมือเจ็บอีกข้างหรือไง" เสียงทุ้มดังข้างหูพร้อมกับข้อมือบางที่ถูกรั้งไว้ พอหันไปมองเลยรู้ว่าเป็นเวลอร์นั่นเอง

"ของคู่ตัวเองเสร็จแล้วเหรอ" มาวิคหันมาถาม อีกคนเพียงพยักพเยิดไปที่เสาเหล็กของตัวเอง ฟาเรสได้แต่มองมันแบบทึ่งๆ เพราะถูกฟันเป็นสองท่อน ส่วนล่างยังตั้งอยู่ แต่ส่วนบนกองอยู่กับพื้น แถมรอยฟันยังราบเรียบราวกับปาดเต้าหู้

"ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ" เซียยิ้มหวานพลางส่งจูบมาให้พวกเรา "ล้อเล่นนะ เวลอร์เป็นคนทำต่างหาก"

"นายทำได้ยังไง"

"จะพยายามอธิบายดูแล้วกัน" มือสากเลื่อนมากุมทับมือที่จับดาบของฟาเรสเอาไว้ ท่านี้เหมือนถูกอีกฝ่ายโอบไว้จากด้านหลัง ซึ่งนั่นมันทำให้ร่างโปร่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย

"จะ...จะทำอะไร" ...แล้วเสียงจะสั่นเพื่อ!!!...ฟาเรสกำลังตกอยู่ในสภาวะทำตัวไม่ถูกในยามนี้

"เวลาที่จะใช้พลัง ไม่ควรโฟกัสที่อาวุธและเจ็มเพียงอย่างเดียว การทุ่มเทพลังสู่เจ็มเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ได้พลังเวทย์ที่รุนแรง แต่ก็ไร้ทิศทาง" เสียงทุ้มนุ่มที่เริ่มอธิบาย นิ้วโป้งที่เกลี่ยเบาๆ บนหลังมือช่วยให้ฟาเรสเริ่มสงบและตั้งใจฟัง "เรามีจุดหมายของพลัง หากมันถูกถ่ายทอดด้วยความเกรี้ยวกราดมันก็อาจจะร้อน"

"อ๊ะ!!!" พลันดาบในมือก็เริ่มอุ่นขึ้นพร้อมเจ็มที่เรืองแสง

"หรือความรู้สึกที่สงบ อยากควบคุม อยากปกป้องบางสิ่ง มันอาจจะเย็น" แล้วดาบในมือก็เย็นขึ้นราวกับก้อนน้ำแข็ง เหมือนมีพลังบางอย่างไหลผ่านมือเขาลงสู่ดาบ "หรือแม้แต่ความรู้สึกอยากทำลาย อยากทิ่มแทง ฆ่าฟัน พลังเวทย์แฝงเหล่านั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นความคม เปลี่ยนคุณสมบัติของมันไปตามความต้องการของผู้ใช้"

“อ๊ะ” มือของฟาเรสถูกดึงให้เงื้อขึ้นในท่าเตรียมฟันด้วยมือของอีกคน ฝ่ามืออุ่นกำแน่นบนมือเขา

"ลองจินตนาการว่าเสาตรงหน้าเป็นสิ่งที่เราอยากทำลายดูสิ อยากที่จะฆ่ามัน อยากให้มันขาดสะบั้นด้วยดาบในมือเราอย่างง่ายดาย"

สิ่งที่อยากทำลายงั้นเหรอ ภาพของไวด์โซลแจ่มชัดในความคิด อยากจะทำลายมันทุกตัวไม่ให้ไปทำร้ายใครอีก ไม่ว่ามันจะมีสักกี่ร้อยกี่พันเขาก็จะกำจัดมันให้สิ้นซาก

ฉัวะ!!! คมดาบเฉือนผ่านเนื้อเหล็กอย่างง่ายดาย ก่อนที่เสาจะขาดเป็นสองท่อนจนส่วนบนหล่นกลิ้งลงมา แล้วฟาเรสก็พบว่าทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยแรงของเขาเองเพราะอีกคนละมือไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

"นี่ฉัน เป็นคนทำเหรอ"

"ใช่ ฝีมือนายนั่นแหละ" เซียบอกอย่างดีใจราวกับเธอเป็นคนทำเอง มาวิคเองก็พยักหน้าพลางยกนิ้วโป้งให้เลย

"เราไปลองบ้างดีกว่า" ว่าแล้วโอซี่กับพรีมที่มายืนดูก็กลับไปที่เสาตัวเอง แม้มันจะไม่ขาดในดาบแรกของพรีมแต่เมื่อโอซี่ฟันซ้ำลงอีกดาบเสาเหล็กหนานั่นก็ขาดลงมาทันที

"ฝึกจนกลายเป็นความเคยชินก็จะช่วยให้ใช้ได้คล่องขึ้น" เวลอร์บอกทุกคนแต่ดวงตากลับมองมาที่ร่างโปร่งราวกับเน้นย้ำที่เจ้าตัว "มีพลังมากแต่ถ้าใช้ไม่เป็นมันก็ไร้ผล"

บางทีฟาเรสก็สงสัยเหลือเกินว่าเวลอร์เป็นใครกันแน่ สิ่งที่หมอนี่รู้ช่างมีมากมาย ไม่ใช่แค่ทฤษฎีแต่คนคนนี้ยังสามารถลงมือปฏิบัติได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน จนคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาเรียนให้มันเสียเวลาด้วยซ้ำ วิชาเสรีคาบแรกจบไปอย่างสวยงาม และดูเหมือนจะมีเพียงพวกฟาเรสเท่านั้นที่ทำตามอาจารย์มอบหมายได้สำเร็จ จึงได้คะแนนงามๆ กันไปตามระเบียบ


 
ชีวิตมหา’ลัยผ่านไปร่วมสองเดือน อานิมาไม่ได้สอนแค่ความรู้ แต่ยังสอนเรื่องมิตรภาพให้แก่ฟาเรส การมีใครสักคนที่ไม่ใช่ครอบครัวเข้ามาในชีวิตมันไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจอย่างที่คิด แม้ความสุขความสนุกที่ได้รับมันจะไม่ได้ทำให้เขาลืมเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น แต่กลับช่วยให้ฟาเรสสามารถเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งและมีกำลังใจ

"หิวเป็นบ้าเลย" ฟาเรสบ่นขณะที่กำลังวิเคราะห์สารประกอบจากสมุนไพรตัวอย่างหลายชนิดบนโต๊ะ

หันไปดูนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสาม พลางนึกได้ว่าเมื่อวานลุงเอเบรียนให้คนหอบเสบียงมายัดใส่ตู้เย็นไว้ให้ ช่วงนี้เขาต้องทำวิจัยเรื่องพืชสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเป็นรายงานสอบกลางภาค ด้วยความขี้เกียจหอบเอกสารไปมาจึงใช้ชั้นสองของตึกเป็นที่ซุกหัวนอน แน่นอนรายงานกลุ่มมีเวลอร์ทำด้วยอีกคน แต่รายนั้นบางวันก็นอนที่ตึก บางวันก็กลับห้อง

"ขึ้นไปชั้นสองเอาอะไรไหม" ฟาเรสหันไปถามร่างสูงที่กำลังจดบทวิเคราะห์ลงบนสมุดบันทึก

"นมกล่องหนึ่ง"

ร่างโปร่งเดินขึ้นมาชั้นสองก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบนมมาสองกล่องกับเค้กชิ้นเล็กๆ ออกมา เสียงข้อความโทรศัพท์ดัง เขาจึงวางทุกอย่างไว้บนเคาน์เตอร์ครัวแล้วเปิดดู

...วันนี้ไม่มีฝึก ฉันมาเดินเล่นตรงสวนสัตว์เอกชีวะ มาด้วยกันสิ ฉันรออยู่แถวกรงเสือนะ…

เป็นข้อความจากมาวิค เจ้าตัวเคยบ่นว่าอยากไปเดินดูสวนสัตว์ขนาดย่อมที่อยู่ในเอกชีวะ สงสัยวันนี้ว่างไม่มีฝึกจึงชวนเขา จะว่าไปช่วงนี้ฟาเรสเองก็ไม่ได้ไปตามคำชวนของเพื่อนสักเท่าไหร่เพราะมัวแต่วุ่นกับรายงาน เอกชีวะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล แวะไปสักหน่อยคงไม่เป็นไร

"เว ฉันว่าจะออกไปหามาวิค" ฟาเรสบอกพลางยื่นกล่องนมให้เพื่อน

"ไปสิ ไปเดินเล่น พักสักหน่อยก็ได้"

"ขอโทษที่อู้นะ แล้วจะรีบกลับมา"

ฟาเรสเดินไปยังสวนสัตว์ของเอกชีวะ ซึ่งเต็มไปด้วยกรงสัตว์น้อยใหญ่ที่แบ่งเป็นโซนตามประเภทของสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และตระกูลสัตว์อันตราย ซึ่งกรงเสือน่าจะอยู่ในโซนนี้

สองเท้าก้าวไปยังจุดหมาย เสียงคำรามต่ำจากกรงนักล่าทั้งสองข้างทางชวนขนลุกดีแท้ ดวงตาสีครามมองหาคนที่นัดเขาไว้แต่ไร้วี่แวว เสียงฝีเท้าดังขึ้นเหนือหัว...หรือว่าจะเป็นด้านบน...ร่างบางเดินขึ้นบันไดชั้นสองก่อนจะเดินไปตามสะพานที่ถูกสร้างกระจายไปทั่วบริเวณเพื่อใช้สำรวจสัตว์ในกรงจากมุมสูง เผื่อจะมองหาอีกคนได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่มีใครจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หา

"ไงฟาเรส" เสียงเหนื่อยหอบดังมาจากปลายสาย

"นายอยู่ไหนเนี่ย"

"ก็สนามฝึกไง" คำตอบที่ได้รับทำเอาเจ้าตัวมึนงง

"แต่เมื่อกี้นายส่งข้อความมาหาฉันไม่ใช่เหรอว่าให้ออกมาเดินเล่นตรงสวนสัตว์เอกชีวะด้วยกัน" ฟาเรสถามออกไปแบบไม่เข้าใจ
"ฮะ อะไรนะ ข้อความงั้นเหรอ"

"เฮ้ย!!!" ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกผลักเข้าที่หลังอย่างแรงจนหน้าทิ่มราวสะพาน ร่างบางร่วงลงกระแทกพื้นดินด้านล่างจากความสูงเกือบยี่สิบเมตร ทั่วทั้งร่างเจ็บร้าวไปหมด เขาจุกเกินจะขยับจึงได้แต่นอนแผ่หลาอยู่กับที่ แรงกระแทกเล่นเอาตาพร่าจนเห็นหน้าคนทำที่ทอดมองเขาจากบนสะพานไม่ชัด

...เจ้านั่นเป็นใคร ทำไมถึงทำแบบนี้…

เสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้นรอบตัว เสือโคร่งสี่ตัวกำลังย่างเท้าเข้าหาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นอย่างสนใจ จมูกชื้นของนักล่าสูดดมไปตามร่าง สติที่แสนรางเลือนบอกให้รู้ว่าอยู่ในอันตรายแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะร้องออกไป

.......

Talk Talk วันนี้เราไปนั่งขายหนังสือที่งานวายมา ก็สนุกดีนะ แบบ เราไม่ใช่นักเขียนดังอะไร แล้วทีนี้เวลามีลูกค้าที่เขาสนใจงานของเรา บางคนชวนเพื่อนซื้อมันรู้สึกดีมากเลย ถึงไม่ได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแต่แค่เห็นคนชอบสิ่งที่เราทำก็ถือว่าคุ้มมากๆ เลย

ขอบคุณสำหรับนักอ่านทุกคนที่ติดตามผลงานเรา โดยเฉพาะ  •♀NoM!_KunG♀• double9JH ที่ไม่ว่าเรื่องไหนก็ได้พวกคุณคอยให้กำลังใจอยู่ตลอด ขอบคุณนะคะ :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2019 20:15:54 โดย l3loodl2o5e »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4

บทที่ 5 ลอบกัด
 

มาวิคมองโทรศัพท์อย่างงุนงง จู่ๆ ฟาเรสก็โทรมาบอกว่าเขาส่งข้อความนัดเจ้าตัวไปเดินเล่น ทั้งที่ยังคุยไม่รู้เรื่องแต่กลับตัดสายไปดื้อๆ โทรกลับก็ไม่ติด...อาจเกิดเรื่องไม่ดีก็ได้…ร่างสูงแทบจะเหาะไปยังโดมกระจกด้วยความร้อนใจ บางทีฟาเรสอาจจะอำเขาเล่นก็ได้เพราะช่วงนี้ต่างคนต่างไม่ว่างมาเจอกันเลยด้วยซ้ำ พอมาถึงกลับพบเพียงเวลอร์ที่นั่งทำงานอยู่

"ฟาเรสละ" มาวิคถามเสียงตื่นพลางก้มหอบจนตัวโยน

"ออกไปข้างนอก ไม่ได้ไปหานายหรือ" นัยน์ตาสีอำพันฉายแววฉงน

“ฉันยังฝึกไม่เสร็จเลย”

"เกิดอะไรขึ้น" อีกคนถามเสียงเครียด

"เมื่อกี้ฟาเรสโทรมาพูดอะไรแปลกๆ บอกว่าฉันส่งข้อความมานัดหมอนั่นไปเดินเล่นตรงสวนสัตว์เอกชีวะ"

"แล้วนายไม่ได้ส่งสินะ"

"ก็ใช่น่ะสิ" พอได้ยินดังนั้น เวลอร์ก็ทิ้งทุกสิ่งที่ทำอยู่ก่อนวิ่งพรวดออกจากห้องวิจัยไปโดยมีมาวิคตามมาติดๆ สองหนุ่มตรงไปยังสวนสัตว์ของเอกชีวะ พอมาถึงทั่วบริเวณกลับเงียบสงัด มีแต่เสียงร้องของสัตว์ดังมาเป็นระยะเพราะนักศึกษาคนอื่นไปรวมกันอยู่ในแล็บ

"ทางนี้ๆ" เวลอร์บอกพลางก้าวนำไปยังโซนสัตว์อันตราย มาวิคมองสิ่งมีชีวิตในกรงรอบตัวด้วยใจเต้นรัว

"มั่นใจได้ไงว่าทางนี้"

"สัญชาตญาณบอก" คิ้วเข้มขมวดมุ่นกับคำตอบแต่ก็ยอมเดินตาม

"นั่นฟาเรส?" ในกรงเสือโคร่งตรงหน้า ร่างบางที่เขาตามหานอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ดูจากตำแหน่งน่าจะตกลงมาจากสะพานด้านบน โทรศัพท์ตกอยู่ข้างกัน โชคยังดีที่ไม่โดนรุมทึ้งร่าง อาจเพราะนอนนิ่งไม่ได้สติ ปราศจากเลือดและการเคลื่อนไหว อีกทั้งเสือเหล่านี้ก็ถูกให้อาหารไว้จนอิ่มแล้วจึงไม่สนใจร่างบางมากนัก

"ไปตามคนมาเปิดกรง" เวลอร์หันไปบอกคนข้างๆ

"แล้วนายจะทำอะไร เฮ้ย!!!" มาวิคร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ อีกคนก็กระโดดข้ามกรงที่สูงร่วมสิบเมตรเข้าไปข้างในแบบที่ไม่คิดว่าคนธรรมดาจะทำได้

"ไปสิวะ" แม้คำถามในใจจะมีมากมาย แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของฟาเรสต้องมาก่อน มาวิคจึงรีบไปตามคนช่วย

กรร!!! นักล่าทั้งสี่หันมาขู่คำรามใส่ผู้มาใหม่ แต่พอสบกับนัยน์ตาสีอำพันวาวโรจน์ก็ถอยกรูดออกจากร่างบางราวกับผู้ถูกล่า หางของมันตกลู่ราวกับหวาดกลัวบุรุษตรงหน้ายิ่งนัก เวลอร์คุกเข่าลงตรงฟาเรสพลางสัมผัสเบาๆ ไปทั่วร่างคนเจ็บก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าไม่มีกระดูกส่วนใดหัก แขนแกร่งช้อนอุ้มคนไม่ได้สติขึ้นอย่างแผ่วเบา เขาเลือกที่จะเดินออกไปทางประตูเพราะไม่อยากให้ร่างในอ้อมกอดกระทบกระเทือนไปมากกว่านี้ ไม่นานมาวิคก็วิ่งกลับมาพร้อมคนดูแลเพื่อเปิดกรงให้เขาพาฟาเรสออกไป

"นายทำได้ไง" เวลอร์ไม่ตอบแต่รีบพาอีกคนไปที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
 
"เวลอร์ นายเป็นใครกันแน่" มาวิคถามคนที่ยืนกอดอกอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะกำลังรอฟาเรสอยู่หน้าห้องตรวจ "ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ ต้องการอะไรจากฟาเรส"

"นายไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งเดียวที่นายควรรู้คือฉันไม่คิดทำร้ายฟาร์แน่นอน" เป็นการตัดบทสนทนาที่ชัดเจน

เวลอร์เป็นคนแรกในชีวิตที่ทำให้มาวิครู้สึกว่าด้อยกว่าในทุกด้าน ถึงหมอนี่จะน่าหมั่นไส้ แต่ต้องยอมรับเลยว่าเก่ง และสิ่งที่เขามั่นใจคือชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์แน่นอน

"คิดว่าเป็นฝีมือใคร" เวลอร์ถามขึ้นหลังจากมองหน้าเขาอยู่นาน มาวิคพยายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ว่านอกจากเขาแล้วมีใครยุ่งกับโทรศัพท์บ้าง

"ไคโอ" ชื่อนี้แล่นเข้ามาในความคิด "หมอนั่นมายืมโทรศัพท์ฉันเมื่อบ่าย บอกลืมเอาโทรศัพท์มาจะโทรหาเพื่อน"

ไคโอเรียนที่เดียวกับมาวิคมาตั้งแต่เด็กและหมอนั่นก็ชอบเขามานานแล้ว ก่อนเรียนจบขั้นพื้นฐานไคโอเคยมาสารภาพรักแต่ถูกเขาปฏิเสธไป เจ้าตัวเคยเสนอความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนให้ หากเป็นคนอื่นมาวิคคงรับไว้ แต่อีกฝ่ายเป็นญาติกัน ไคโอจึงเปรียบเสมือนน้องคนหนึ่งที่เขาไม่อยากจะทำร้ายจึงรักษาระยะห่างตลอดมา

"มันทำแบบนี้เพื่ออะไร" นัยน์ตาสีอำพันคุกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด

"ไคโอชอบฉัน พอรู้ว่าฉันชอบฟาเรส เลยคิดจะกำจัดฟาเรสละมั้ง”

“ชอบงั้นเหรอ”

“ใช่ นายมีปัญหา?” มาวิคพูดคำว่าชอบออกมาเพราะเขามั่นใจในความรู้สึกตัวเอง “ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะกล้าทำแบบนี้"

"คนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อความรัก" เวลอร์บอกพลางสบตาเขาตรงๆ "เรื่องมาจากนาย เอาเป็นว่าจัดการตามที่นายเห็นควรก็แล้วกัน"

"รู้แล้วน่า"

ฟาเรสฟื้นขึ้นในวันต่อมาท่ามกลางเพื่อนๆ ที่มาเฝ้ารอเขาด้วยความเป็นห่วง ทำเอาเจ้าตัวอดซาบซึ้งใจไม่ได้ แม้จะปราศจากบาดแผลแต่ก็ช้ำในไปตามระเบียบ ไม่นานป้าโอเรนก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับลุงเอเบรียน

"ฟาเรสหลานป้า เจ็บมากไหมลูก" หญิงชราน้ำตาคลอพลางดึงมือหลานชายไปกุมไว้แนบอก "พอได้ยินเรื่องป้าก็รีบมาที่นี่เลย ลุงมาคัสเองก็ตกใจเหมือนกัน ถ้าไม่ติดภารกิจท่านคงตามมาด้วยอีกคน"

"ผมไม่เป็นไรแล้วครับ" ริมฝีปากสวยแย้มยิ้มให้กับผู้ใหญ่ทั้งสอง

"ไหนบอกลุงซิ ไปทำอิท่าไหนถึงตกลงไปในกรงแบบนั้น" ผู้อำนวยการถามขึ้นพลางลูบหัวหลานชาย สรรพนามที่แทนตัวทำเอาเพื่อนในห้องถึงกับเหวอเมื่อรู้ว่าฟาเรสมีความสำคัญกับผู้อำนวยการแค่ไหน

"มีคนผลักลงมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าใคร"

"ใครกันที่มันกล้าทำแบบนี้ในที่ของฉัน บังอาจเกินไปแล้ว" ลุงเอเบรียนบอกเสียงเย็น "ถ้าจับได้ ฉันไม่เอาไว้แน่"

"ต้องขอบคุณสายเลือดของฟาร่าในตัวหลาน นี่ถ้าเป็นคนทั่วไปคงกระดูกหักทั้งตัวแล้วมั้ง" คำบอกเล่าของท่านลุงทำให้ฟาเรสรู้สึกแปลกใจ

"แม่ผมทำไมหรือครับ"

"ก็แม่เธอเป็นเอลฟ์ไงจ๊ะ นี่อินดิโก้มันไม่เคยบอกเลยหรือไง"

“ก็เพิ่งรู้วันนี้แหละครับ”

"ต้องขอบคุณเวด้วย ถ้าไม่ได้เขาคงแย่" ชื่อที่ท่านป้าเรียกบอกให้รู้ว่าทั้งสองรู้จักกันอยู่แล้ว

"ป้าโอเรนรู้จักเวด้วยเหรอครับ"

"ใช่จ้ะ ที่จริงแล้วเขามาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลหลาน" ฟาเรสหันไปมองเจ้าของชื่อ สบตาสีอำพันอย่างขอคำตอบ ร่างสูงพยักหน้ารับในสิ่งที่ป้าโอเรนบอก งั้นที่ผ่านมา เวลอร์คอยดูแลเอาใจใส่ แถมยังช่วยเหลือฟาเรสสารพัดเพราะมันคือหน้าที่อย่างนั้นหรือ หรือว่าหมอนี่จะเป็นคนของท่านลุง คิดได้แบบนั้นฟาเรสก็รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

ชายหนุ่มพักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์โดยมีป้าโอเรนคอยเฝ้าในสามวันแรกแล้วจึงกลับไวท์ออชาร์ด วันต่อมาก็ใช่ว่าจะอยู่คนเดียวเพราะมาวิคแม้จะต้องไปสนามฝึกในตอนกลางวันแต่กลางคืนก็ขอมาอยู่ดูแลเขา โดยให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัว

นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองเขาเจือไปด้วยความห่วงใยจนรู้สึกอบอุ่นไปกับมัน หากแต่บางครั้งก็ฉายแววรู้สึกผิดจนฟาเรสสงสาร เขาเข้าใจว่ามาวิคคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้จึงไม่ถือโทษโกรธอะไร ได้ยินว่าคนที่ทำร้ายเขาลาออกไปจากอานิมาไม่กี่วันให้หลัง ซึ่งนั่นก็มากพอแล้วเพราะมันหมายถึงอนาคตทางการศึกษาที่เสียไป เขาเองก็คงไม่อยากจองล้างจองผลาญไปมากกว่านี้

รายงานสอบกลางภาคผ่านไปด้วยดีเพราะเวลอร์จัดการต่อจนแล้วเสร็จ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้ด้วยความอารีหรือหน้าที่แต่ฟาเรสก็รู้สึกขอบคุณ ชายหนุ่มกลับมาเรียนตามปกติแต่ที่ไม่ปกติคือเขาพูดน้อยลงโดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมเอก มันยากที่จะยิ้มให้อีกฝ่ายได้ดังเดิมเมื่อความใส่ใจที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นเพราะหน้าที่ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงได้คาดหวังกับอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้

ในเย็นวันเสาร์พวกมาวิคชวนเขาไปดื่มที่บาร์ตรงหาดทรายขาว เซียบอกว่าอยากฉลองที่เขาหายดีจึงรับคำชวน มีเพียงเวลอร์ที่ปฏิเสธคำชวนครั้งนี้เพราะต้องไปช่วยงานผู้อำนวยการ

"นี่ฟาเรส นายเคยมีแฟนหรือเปล่า" มาวิคถามขึ้น ตอนนี้เซียกับพรีมกำลังวาดลวดลายอยู่บนฟลอร์ ส่วนโอซี่หายวับไปกับสาวที่คุยถูกคอเมื่อครู่

"ก็มีบ้าง แต่ไม่ได้คบใครจริงจัง" ฟาเรสตอบพลางกระดกเครื่องดื่มในมือ ตอนอยู่บ้านเขามีโอกาสได้ดื่มบ่อยครั้งเวลาที่ท่านพ่อจัดงานสังสรรค์ บางทีก็หิ้วสาวขึ้นห้องจากงานเหล่านี้ แม้ฟาเรสจะหลงใหลในตำรา แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยในเรื่องแบบนั้น

"หน้าอย่างนายไม่มีสิแปลก" มาวิคแซว แก้มเนียนที่ซับสีเลือดจากฤทธิ์เหล้าช่างน่ามองเหลือเกินจนเผลอเอามือเกลี่ยเบาๆ อย่างลืมตัว ท่าทางขัดเขินของร่างโปร่งทำให้ชายหนุ่มอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว ฟาเรสที่เริ่มเมากลายเป็นคนช่างพูดช่างเล่า นั่นยิ่งทำให้คนตรงหน้าช่างน่ารักเหลือเกินสำหรับเขา

กว่าทั้งห้าจะกลับก็เที่ยงคืน พรีมพาเซียกลับห้อง โอซี่หายไปกับสาว มาวิคที่ดูสภาพเป็นคนที่สุดจึงรับหน้าที่พาคนเมาไปส่ง ฟาเรสกึ่งหลับกึ่งตื่นถูกแบกขึ้นหลังพลางเดินไปตามทางของชั้นสามสิบเอ็ดมุ่งสู่ห้องของคนเมา ฟาเรสตัวเบามากเหมือนแบกเด็กน้อยก็ไม่ปานมาวิคจึงไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก

"ฮึบ" มาวิคปล่อยคนเมานอนราบลงบนโซฟา ด้วยระยะขนาดนี้ทำให้เขามองเห็นใบหน้าเนียนได้ชัดเจน แม้จะมีกลิ่นเหล้าแต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นหอมอ่อนจากร่างบางได้ ริมฝีปากอิ่มสวยดูเข้มขึ้นเพราะความร้อนในกาย ดึงดูดให้มาวิคสัมผัสมันอย่างลืมตัว นิ้วเรียวไล้ไปตามริมฝีปากนิ่มก่อนประทับจูบลงไปอย่างเกินจะห้ามใจ

ริมฝีปากหวานล้ำทำให้มาวิคเผลอไผลขบเม้มริมฝีปากนั้นอย่างหิวกระหาย เขารุกล้ำเข้าไปสัมผัสกับลิ้นชื้นซึ่งตอบสนองอย่างลืมตัว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!! เสียงเคาะประตูดึงสติที่หลุดลอยให้กลับสู่ร่าง มาวิคตระหนักได้ว่าเขาเผลอจูบร่างบางไปเสียแล้ว เขาหยัดกายขึ้นอย่างเสียดายก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้แขกยามวิกาล

"อ่าวเวลอร์ มาทำอะไรตอนนี้" มาวิคถามอย่างฉงน

"ได้ยินเสียงเปิดประตู คิดว่าฟาเรสกลับแล้วเลยจะเอาหนังสือมาคืน" ว่าพลางโชว์หนังสือเล่มหนาในมือ

“ฮะ ดึกป่านนี้เนี่ยนะ”

"แล้วนายละ มาทำอะไรดึกดื่น"

"ฟาเรสเมา ฉันเลยอาสามาส่ง" มาวิคตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววสับสนอย่างปิดไม่มิด ไม่มีคนเคาะประตูเขาอาจทำอะไรเกินเลยมากกว่านี้

"กลับไปก่อนเถอะห้องฉันอยู่ข้างกัน เดี๋ยวดูฟาร์ให้เอง" เสียงทุ้มกล่าวเรียบๆ

"แต่เอ่อ ฉันดูเองก็ได้" มาวิคแย้ง

"จริงเหรอ" นัยน์ตาคมหรี่มองอย่างจับผิด "นายดูเมาๆ นะ กลับไปพักเถอะ" คงไม่รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าถูกไล่ แต่มาวิคยอมรับว่ารู้สึกมึนเล็กน้อยอย่างอีกฝ่ายว่าจริงๆ จึงขอตัวกลับ ระหว่างทางที่เดินไปตามทางสู่ลิฟต์ สัมผัสจากริมฝีปากนุ่มยังคงตราตรึงจนทำให้ใจเต้นรัว

เวลอร์มองตามหลังมาวิคจนลับตา ประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมทำให้รู้ว่าหมอนี่พาฟาเรสกลับมา แต่การที่อีกฝ่ายหายเข้าห้องนานทำให้ยากจะวางใจ และทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด

ปัง!!! ประตูปิดดังตามแรงอารมณ์ เวลอร์ก้าวยาวๆ ไปยังร่างที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า สำรวจสภาพฟาเรสอย่างกังวล ริมฝีปากแดงช้ำบอกให้รู้ว่าเพิ่งโดนจูบ นำพาให้ตาคมแข็งกร้าวขึ้นทันใด

...ถ้าเขาช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้…

"ไม่รู้จักระวังตัวเลย ให้ตายสิ" เสียงทุ้มบ่นอย่างโมโห พลางช้อนอุ้มคนเมาให้มานอนที่เตียง

ถอดรองเท้าถุงเท้าทิ้งไป ตามด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาว เหลือไว้เพียงบ๊อกเซอร์กับชั้นใน มองหากะละมังพร้อมผ้าสะอาดมาชุบน้ำเช็ดตัวให้คนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง ร่างกายขาวเนียนตรงหน้าช่างล่อตาล่อใจ แต่เวลอร์ก็ไม่ใจร้ายพอจะล่วงเกินคนเมา จึงรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เสร็จก่อนจะตบะแตกไปจริงๆ

เสื้อยืดสีเทาถูกใส่ให้ฟาเรส เพราะถ้าปล่อยให้นอนทั้งอย่างนี้ก็กลัวจะเป็นหวัด เวลอร์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงอกก่อนที่จะดับไฟในห้องเปิดไว้เพียงโคมหัวเตียง ร่างสูงนั่งลงตรงขอบเตียง ทอดมองใบหน้าสวยที่หลับพริ้มอย่างเป็นสุข มือใหญ่ลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา ฟาเรสในยามหลับยังน่าเอ็นดูไม่เคยเปลี่ยน

"ฝันดีนะฟาร์" เสียงทุ้มกระซิบเบา ก่อนที่เวลอร์จะออกจากห้องไปโดนไม่ลืมล็อกประตู



ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หึหึ หวงเก่ง

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 6

เช้านี้ฟาเรสตื่นมาด้วยอาการเมาค้าง ในหัวมันตื้อแถมยังปวดไปหมด ร่างโปร่งลากสังขารเข้าห้องน้ำจัดการตัวเอง น้ำเย็นๆ ช่วยอะไรไม่ได้เลยให้ตายเหอะ วันนี้มีวิชาเอกเขาก็ไม่อยากขาด เพราะตอนเกิดเรื่องก็หยุดเรียนไปเยอะแล้ว ฟาเรสจัดการตัวเองเสร็จก็ออกจากห้องพักและเจอกับเวลอร์กำลังล็อกห้องตัวเองอยู่พอดี

"ไง เว" ร่างโปร่งนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะนึกได้ว่าควรเอ่ยทักทาย

"หน้าซีดๆ นะ"

"เมาค้างน่ะ เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย" ว่าแล้วก็กระชับกระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังลิฟต์โดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ

ฟาเรสไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากสนิทไปมากกว่านี้จึงพยายามรักษาระยะห่าง เพราะเหมือนมีแค่เขาที่รู้สึกผูกพันและเห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อนคนสำคัญ แต่เวลอร์อาจไม่รู้สึกแบบนั้น แล้วทำไมต้องมาคิดเล็กคิดน้อยด้วยก็ไม่รู้

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"แค่ปวดหัวนิดหน่อย" เมื่อมือใหญ่กำลังจะเอื้อมมาสัมผัส ร่างบางกลับเอนหลบแทบทันที "ฉันไม่เป็นอะไรหรอก"

"เป็นสิ!!!" นัยน์ตาคมหรี่มองอย่างคาดคั้น

"เอ๊ะ นายนี่ บอกไม่เป็นก็ไม่เป็นสิ" ฟาเรสบอกปัดอย่างหงุดหงิด ทำไมต้องทำท่าเป็นห่วงมากมายแบบนั้นด้วย

“เชื่อก็บ้าแล้ว” แล้วคนโดนว่าก็เอื้อมมือไปกดปุ่มหยุดลิฟต์ทันที

“ทำอะไรน่ะ”

"ไม่พอใจอะไรฉัน" เวลอร์มองเขาอย่างคาดคั้น

"เปล่านี่" ปัง!!! ฝ่ามือใหญ่กระแทกเข้ากับผนังลิฟต์อย่างแรง แขนแกร่งกักร่างของฟาเรสไว้ติดมุมกันหนี ทำให้จำต้องสบกับนัยน์ตาสีอำพันวาวโรจน์อย่างเลี่ยงไม่ได้

"ปล่อย!!!"

"จนกว่าจะบอกว่าเคืองฉันเรื่องอะไร" เสียงทุ้มกล่าวราบเรียบ คนโดนกักพยายามดันอกแกร่งออกให้ห่างตัวแต่ไม่แม้แต่ขยับจนฟาเรสเริ่มรน “ไม่บอกก็อยู่แบบนี้ละ”

"นายจะสนทำไมว่าฉันจะรู้สึกยังไง ทั้งที่ฉันคิดมาตลอดว่านายเป็นห่วงฉัน ดีกับฉัน ช่วยฉันเพราะเราเป็นเพื่อนกัน" ฟาเรสบอกสิ่งที่อยู่ในความคิดออกไปในที่สุด “ที่จริงแล้วมันเป็นแค่หน้าที่ ลุงกับป้าก็แค่ส่งนายมาดูแลฉัน หมดหน้าที่นายก็คงจะไป” น้ำเสียงสั่นเครือดังขึ้นเรื่อยๆ จนแทบตะโกนใส่หน้าอีกคน

ฟาเรสก้มหน้านิ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตัวเอง คนที่ไม่เคยแคร์อะไรแบบเขาต้องมาหัวร้อนไปกับเรื่องของคนอื่น ตลกสิ้นดี

"รู้ไหมฟาร์" เสียงทุ้มเอ่ยเรียกหลังจากเงียบไปสักพัก "คนอย่างฉันไม่มีใครสั่งได้หรอกนะ"

"แล้วที่ป้าโอเรนบอกละ"

"นั่นก็ใช่ แต่เธอไม่ได้บอกนี่ว่าส่งฉันมา" ใบหน้าคมก้มลงมาจนแทบชิด ปลายจมูกแตะกันผะแผ่วชวนให้ใจสั่น นัยน์ตาสองสีสบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

“แล้วทำไมถึง…”

"ฉันอยู่ตรงนี้เพราะอยากอยู่ ทำเพราะอยากทำ ไม่มีใครสั่งทั้งนั้นเข้าใจไหม" น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบบอก ถึงมันจะเบาแต่ได้ยินชัดเจนเพราะยืนใกล้กันชนิดที่สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างสูงใหญ่ตรงหน้า มันช่างให้ความรู้สึกปลอดภัยเหลือเกิน

"เลิกคิดมากซะนะ"

ฟาเรสพยักหน้าพลางหลับตาลงเพราะไม่อาจสบตาอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเหลือเกิน ไหนจะความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า บ้าน่ะ นี่เขากำลังเขินอยู่หรือไง

"น่ารัก" คำชมที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างถูกใจยิ่งทำให้ร่างบางถึงกับไปไม่เป็น แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ฟาเรสผลักไหล่หนาออกห่างจนเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน ใบหน้าคมคายที่มักจะเรียบเฉยบัดนี้แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มชวนหมั่นไส้

"นี่ จะอยู่ในนี้อีกนานไหม" ฟาเรสอุบอิบพลางทำหน้ามุ่ย คนข้างนอกคงคิดว่าลิฟต์ค้างแล้วมั้ง เวลอร์ยอมผละออกแล้วหันไปกดซ้ำปุ่มเดิมเพื่อให้ลิฟต์ไปต่อ

“ดีกันแล้วนะ” แต่ไม่วายหันมากระซิบข้างหูให้ขนลุกเล่น

“เออ”
 
 

"นี่พวกนายเห็นประกาศมหา’ลัยหรือยัง" เซียเปิดประเด็นขณะที่พวกเขาทั้งหกกำลังจัดการมื้อเช้าอยู่

"เรื่องการประลองน่ะเหรอ" พรีมถาม

"ใช่ เอแวนการ์ดจัดงานประลองประจำปี ใครลงก็ได้ไม่จำกัดคณะ ไม่จำกัดชั้นปีด้วย คนชนะก็จะได้โควตาบรรจุเข้าทำงานในเอแวนการ์ดทันทีหลังเรียนจบ" มาวิคอธิบายอย่างตื่นเต้น ดูก็รู้ว่าเขาสนใจในการประลองไม่น้อย

"แต่อีกเดือนก็จะสอบปลายภาคแล้วเนี่ยนะ" ฟาเรสแย้ง ก็รู้กันอยู่ว่าคะแนนสอบปลายภาคแรกเป็นการตัดสินว่าจะได้อยู่ในอานิมาต่อหรือไม่

"แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อย ที่รีบจัดเพราะแปดคนที่เข้ารอบสุดท้ายจะถูกส่งไปลองงานกับหน่วยพิทักษ์ของเอแวนการ์ดตอนปิดเทอมน่ะสิ เป็นหน่วยที่ทำงานอิสระ ส่วนใหญ่เป็นงานจัดการกับพวกปีศาจ งานหลักก็คือพวกไวด์โซล" คำบอกเล่าของโอซี่ดึงความสนใจของฟาเรส หน่วยที่กำจัดไวด์โซลงั้นเหรอ

"ว่าแต่เปิดรับสมัครวันไหน" ฟาเรสถาม

"นายจะลงเหรอ เริ่มวันนี้ไปจนถึงมะรืน" โอซี่ถามอย่างแปลกใจ "ส่วนใหญ่ที่ลงก็มีแต่เด็กคณะฉันอ่ะนะ จะไหวเหรอ" คนถูกถามได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป

"ด้านการใช้เวทย์น่าจะไหวอยู่ ส่วนการต่อสู้ทางกายภาพนี่ไม่รู้แฮะ แต่ถ้าอยากลงจริง ฉันช่วยซ้อมให้ได้นะ" มาวิคบอกพร้อมยิ้มกว้าง "แล้วถ้านายจับคู่มาเจอฉันละก็ ยอมนอนให้เหยียบเลยเอ้า!!!" คำพูดทีเล่นทีจริงเรียกเสียงหัวเราะของคนในโต๊ะ

"จะไปได้สักเท่าไหร่เหอะมาวิค ไม่ใช่ว่าตกตั้งแต่รอบแรกหรอกนะ" พรีมแขวะ

"หึ ถ้าฉันเจอนายรอบแรกไม่ตกหรอก" มาวิคย้อนเรียกเสียงหัวเราะอีกระลอก

"พูดแบบนี้ไปกรอกใบสมัครเลยไป" พรีมท้า

"หึ จัดไปอย่าให้เสีย"

ฟาเรสแทบไม่มีสมาธิเรียนวิชาเอกเลยวันนี้ ในหัวกำลังคิดเรื่องการประลองที่จัดขึ้นว่าควรลงดีไหม เขาไม่ได้อยากชนะ แค่อยากลองไปทำงานในหน่วยพิทักษ์ อยากจะล่าพวกไวด์โซลและกำจัดมันด้วยมือตัวเอง

"ฟาร์! ฟาเรส" เสียงเรียกใกล้ๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้ง นัยน์ตาสีเทาของลุงเอเบรียนหรี่มองอย่างจับผิด "ดูไม่มีสมาธิเลยนะ"

"คิดเรื่องการประลองอยู่สินะ" เวลอร์ถามพลางหันมามองเขาอีกคน

"หลานอยากลงเหรอ" ชายสูงวัยถามพลางวางตำราลงบนโต๊ะ

"ก็คิดๆ อยู่ ผมสนใจหน่วยพิทักษ์ครับ อยากล่าพวกไวด์โซล อยากทำกับมันแบบที่มันทำกับครอบครัวผม" ดวงตาสีครามหมองเศร้า เขานิ่งเฉยกับการตายของครอบครัวมานานเกินไป อย่างน้อยก็อยากจะทำอะไรบ้างแม้รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่พร้อม

"ลุงเข้าใจในสิ่งที่หลานต้องการ ก็ลงแข่งสิ ทำในสิ่งที่อยากทำจะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง" ชายชราบอกพลางลูบหัวเขาเบาๆ
"หลานอยากเรียนอยากรู้อะไรขอแค่บอก ลุงกับเวพร้อมจะช่วยเสมอ จริงไหมเว" เจ้าของชื่อพยักหน้ารับเพื่อย้ำคำ

"นั่นสินะ ถ้าแค่การประลองยังไปไม่รอดแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาแก้แค้นให้ท่านพ่อกัน ว่าแต่พวกไวด์โซลเนี่ยเกิดขึ้นได้ยังไงครับ" นอกจากรู้ว่าเป็นปีศาจจำพวกหนึ่ง ฟาเรสก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

"เป็นปีศาจที่มาจากโลกอื่นน่ะ" เวลอร์บอก “มีตำราโบราณเขียนไว้ว่านอกจากโลกที่เราอยู่ก็จะมีโลกอีกใบ เมื่อเกิดการบิดเบี้ยวของมิติจะทำให้เกิดช่องว่างทำให้มีปีศาจจากอีกโลกหลุดลอดเข้ามา มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว เป็นธรรมชาติของโลกก็ว่าได้ ดูเหมือนว่าตำแหน่งของรอยแยกเกิดขึ้นในบริเวณที่ค่อนข้างตายตัว ที่ผ่านมาเราจึงอาศัยการเฝ้าระวังและกำจัดไปเป็นจุดๆ" เสียงทุ้มอธิบายชัดถ้อยชัดคำ

"แต่พวกที่โจมตีครอบครัวผมละ มันเจาะจงอย่างกับว่ามีใครสั่งมันมางั้นแหละ" ฟาเรสแย้ง เป็นไปได้ไหมที่มีคนเรียกมันออกมาได้ ไม่มีทางที่ไวด์โซลเป็นฝูงจะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเมืองโดยไม่ถูกเห็น เพราะพวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดขนาดนั้น

"ก็มีน่ะสิ คนที่มีพลังเวทย์และสายเลือดที่เหมาะสมจะสามารถเปิดปิดประตูมิติได้ตามใจ และคนที่เรียกพวกมันมาก็สามารถควบคุมไวด์โซลพวกนั้นได้ เพราะอย่างนั้นหลานถึงถูกส่งมาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าหลังจากเกิดเรื่อง มีไวด์โซลถูกส่งมาเก็บหลานอยู่หลายครั้ง มาคัสกับโอเรนเห็นท่าไม่ดีเลยส่งเรามา ในเขตอานิมาถูกกางด้วยอาคมน่าจะปลอดภัยจากพวกนั้น อย่างน้อยๆ จนกว่าจะเรียนจบก็จะไม่มีใครทำอะไรเราได้ ถึงตอนนั้นลุงว่าฟาเรสของลุงคงเก่งพอจะเอาตัวรอดแล้วละ" รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งให้ ทำไมทุกคนถึงพยายามปกป้องเขานัก นี่เขามีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ

วิชาเอกลากยาวถึงช่วงบ่าย ทั้งที่เอเบรียนตั้งใจจะสอนถึงเที่ยง แต่มัวคุยเรื่องการประลองและเรื่องไวด์โซลเลยทำให้เสียเวลาไปมากจนชายหนุ่มถูกผู้เป็นลุงบ่น

 
"เหลือแค่สปาเกตตีกับข้าวผัด นายเอาอันไหน" ฟาเรสถามพลางสำรวจเสบียงที่เหลือในตู้เย็น ต้องขอบคุณบ้านหลังที่สองในโดมกระจกแห่งนี้ที่ทำให้ฟาเรสไม่ต้องหิ้วท้องที่กำลังหิวไปถึงโรงอาหาร

"อันที่นายไม่กิน"

"อยากกินทั้งสองเลย" ร่างบางหันไปบอกพลางทำตาละห้อย

"งั้นก็อุ่นมาแล้วแบ่งกัน" หันมาตอบแค่นั้นก่อนกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ร่างสูงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวยาว...รอกินเป็นคุณชายเลยนะ…

หลังจัดการอาหารมื้อเที่ยงในยามบ่ายกลายเป็นฟาเรสที่มานอนเหยียดบนโซฟาแทน ในเมื่อเขาเป็นคนทำอีกคนก็ต้องเป็นคนเก็บสิ ว่าแล้วก็หยิบหนังสือที่เวลอร์อ่านทิ้งไว้มาดูฆ่าเวลา เพิ่งสอบกลางภาคไปหยกๆ เลยค่อนข้างว่างในช่วงนี้

เป็นตำนานปรัมปราของนอธ เรื่องคิเมร่า คิเมร่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคนกับสัตว์ ในยามปกติมีร่างกายเป็นมนุษย์ บางทีก็กลายร่างเป็นสัตว์ได้ ว่ากันว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง มีอายุยืนยาวและลึกลับที่สุดในเอสทีเรียด

...ชักอยากเห็นตัวเป็นๆ แล้วสิ…

"เฮ้ย!!!" ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกช้อนอุ้มขึ้น แถมคนอุ้มยังทิ้งตัวลงบนโซฟาแทนที่ ร่างทั้งสองเอนลงไปด้วยกันจนกลายเป็นตัวเขาทับอยู่บนตัวอีกฝ่าย ใบหน้าเนียนกระทบเข้ากับอกแกร่งอย่างไม่ทันตั้งตัว

"เล่นบ้าอะไรของนาย" ฟาเรสโวยวาย

"ง่วง!!!" เวลอร์บอกแค่นั้นก่อนจะหลับตาลงทันที แต่ไอ้รอยยิ้มตรงมุมปากนี่สิ ไม่บอกก็รู้ว่าถูกแกล้ง

"ก็นอนไปคนเดียวสิ จะมากอดฉันไว้ทำไมเล่า" ฟาเรสทุบไหล่ของคนใต้ร่างอย่างหมั่นไส้ แต่พอทำท่าจะลุกออกกลับถูกแขนแกร่งกอดเอวไว้แน่น

"ปล่อยเลย" ฟาเรสบอกเสียงสั่นเพราะหัวใจที่เริ่มเต้นแรง...หมอนี่เป็นผู้ชาย จะตื่นเต้นทำไมเนี่ย…

"เขินเหรอ" ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นมามองอย่างล้อเลียน เขาก็คนนะ ถูกกอดแบบนี้ไม่รู้สึกอะไรก็บ้าแล้ว แถมไอ้คนกอดนี่หน้าตาก็ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่

"เปล่าสักหน่อย" แต่ใครเล่าจะยอมรับ

"งั้นที่หน้าแดงก็ไม่สบายสินะ หึๆ" เสียงทุ้มหยอกล้อพลางหัวเราะเบาๆ นี่เขาแฮงค์จนเบลอหรือเวลอร์กินยาผิด ปกติเห็นออกจะเงียบดีแท้แต่ทำไมวันนี้กวนประสาทจริง

"วันนี้นายมาแปลก" นัยน์ตาสีครามมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง

"นี่ฉลาดแต่เรียนใช่ไหม" พูดแบบนี้หมายความว่าไง นี่ว่าเขาบื้อเหรอ ฟาเรสค้อนขวับใส่คนพูดแทบจะทันที ไอ้อาการมุ่ยหน้าอย่างขัดใจช่างดูน่ารักเสียจนคนโตกว่ารู้สึกสนุกที่ได้แหย่อีกฝ่ายเล่น

"ปล่อย" ฟาเรสบอกเสียงห้วน

"ไม่" อีกฝ่ายหลับตาหนี แต่อยู่แบบนี้นานเข้าฟาเรสก็เริ่มอึดอัด ร่างบางดิ้นไปมาอย่างหงุดหงิดพร้อมพยายามขืนตัวออก "อยู่นิ่งๆ เป็นไหม" คนตัวโตดุ กดหัวเด็กดื้อแนบอกแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนอีกฝ่ายหมดทางดิ้น

ฟาเรสได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความเอาแต่ใจของอีกคน พอเริ่มเงียบจิตใจก็เริ่มสงบ กลิ่นอายจากร่างที่โอบกอดเขาไว้มันช่างอบอุ่นอย่างประหลาด...อยู่แบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน…

"เว" ฟาเรสเรียกเสียงเบาหลังจากเงียบไปนาน

"ว่าไง"

"ฉันจะเข้าร่วมการประลอง" อย่างที่ท่านลุงบอก ทำถ้าอยากทำ ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง

"อืม เดี๋ยวลงด้วย" อีกคนรับคำพลางลูบผมนุ่มเบาๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่แบบนั้น ทำอย่างกับเขาเป็นเด็ก

"นายก็อยากลองทำงานในหน่วยพิทักษ์เหมือนกันเหรอ"

"ไม่อยาก"

"หรือว่านายอยากชนะ"

"ฉันไม่สนใจเรื่องแบบนั้น"

"แล้วจะลงทำไมละ" ฟาเรสเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย เวลอร์ลืมตาขึ้นมามองเขาอีกครั้ง นัยน์ตาสีอำพันฉายแววจริงจังจนไม่อาจละสายตาไปได้ ก่อนที่คำพูดต่อมาจะทำให้ใบหน้าเนียนแดงซ่านอย่างห้ามไม่อยู่

"ก็แค่อยากอยู่กับนาย ฟาเรส"
 


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 7

ทุกเย็นหลังเลิกเรียนเวลาของฟาเรสหมดไปกับการฝึก ที่มีเพื่อนเอกการรบอย่างโอซี่ พรีม และมาวิคช่วยกันสอน เหลือเวลาอีกเพียงอาทิตย์เดียวการประลองรอบแรกจะเริ่มขึ้น เขาวางแผนว่าจะซ้อมเรื่อยๆ แล้วหยุดสองวันก่อนแข่งเพื่อพักร่างกายให้พร้อม ดังนั้นจึงอยากใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าจนเพื่อนๆ อดแซวไม่ได้ว่าเขาเรียนผิดคณะเพราะขยันยิ่งกว่าเด็กการทหารเสียอีก

"พอก่อนไหมฟาร์" มาวิคถาม

"ไม่เป็นไร ต่อเลย" ฟาเรสพยายามลุกขึ้นแม้เจ็บไปทั้งตัว วันนี้ฝึกการหลบหลีก ก็แค่วิ่งหลบลูกบอลที่ยิงออกมาจากเครื่องซึ่งติดตั้งอยู่ข้างทางเป็นระยะประมาณสามร้อยเมตร นี่เพิ่งผ่านไปสองรอบเล่นเอาน่วมไปหมดเพราะโดนบอลกระแทก รอบแรกล้มกลิ้งไม่เป็นท่า รอบสองดีหน่อยโดนบ้างไม่โดนบ้าง

"รอบสุดท้ายพอแล้วนะฟาร์ พรุ่งนี้วันเสาร์ค่อยมาฝึกใหม่ก็ได้" มาวิคต่อรอง ฟาเรสที่ปกติอยู่แต่ห้องวิจัยให้มาออกกำลังหนักๆ หลายวันติดกันกลัวจะแย่เอา

"สองรอบแล้วกัน" ฟาเรสต่อรองพลางทำหน้าอ้อน สุดท้ายมาวิคก็ต้องยอม

"ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมไม่ลงไปสอนเองล่ะ" โอซี่เอ่ยแซวคนข้างกายที่นั่งหน้าเครียดอยู่นานแล้ว คิ้วเข้มขมวดมุ่นทุกครั้งที่ลูกบอลกระแทกร่างโปร่งบาง แต่ก็ดีขึ้นเยอะในความคิดของโอซี่ ฟาเรสเป็นคนเรียนรู้ไว แม้รูปร่างจะไม่ได้บึกบึนแต่มีดีที่ไหวพริบและความไว

"ให้มาวิคสอนน่ะดีแล้ว" เวลอร์หันไปตอบ แน่นอนเขาไม่ชอบให้ฟาเรสต้องเจ็บตัว แต่บางครั้งก็ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายได้เรียนรู้และเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง หากเขาเอาแต่ปกป้องแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร เวลอร์คงไม่เข้าไปยุ่มย่ามหากสิ่งที่ฟาเรสทำไม่ได้อันตรายจนเกินไปในสายตาเขา

"นายก็ฝีมือใช่ย่อยนี่" ลูกครึ่งออคบอก ในคาบพลังเวทย์แฝง แม้ไม่ได้มุ่งเน้นเทคนิคทางกายภาพ แต่เขาก็ดูออกว่าเพื่อนคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา

"เอาน่า เด็กวิทย์คงสู้เด็กการทหารไม่ได้หรอก"

"ถ่อมตัวดีแท้”

“นายเองก็เหมือนกัน ทำไมถึงแสร้งทำเป็นอ่อนหัดอยู่ได้”

“ก็แค่ไม่อยากจริงจัง” โอซี่ตอบ “มาวิคนี่ทุ่มเทดีจัง ปกติหมอนั่นเอาแต่ใจจะตาย มีฟาร์นี่แหละที่เจ้าตัวตามใจทุกอย่าง สงสัยจะชอบมาก" เขาว่าพลางมองเพื่อนที่รู้จักกันมานาน

มาวิคเกิดในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแถมเป็นลูกคนเดียวจึงค่อนข้างเอาแต่ใจ ภายนอกดูดื้อรั้น แต่กับเพื่อนหมอนี่ให้เต็มที่และทำดีด้วยเสมอ การที่มาวิคถูกใจฟาเรสได้คงเป็นท่าทางมึนๆ ซื่อๆ และจริงใจ เพื่อนเขาจึงรู้สึกเอ็นดู เพราะเจ้าตัวเองอยากมีน้องชายมานาน เพียงแต่ตอนนี้ความรู้สึกที่มีดูจะพัฒนาขึ้นมาเป็นอีกแบบเสียแล้ว

"ก็คงงั้น"

"ไม่กลัวเหรอ นายเองก็สนใจฟาร์นี่ ดูสิหมอนั่นขยันทำคะแนนจะตาย เดี๋ยวฟาร์หวั่นไหวไปจะแย่เอานะ"

"นั่นคงแล้วแต่เจ้าตัว" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉาบฉายบนหน้าคม

"ได้ยินว่านายก็เข้าร่วมประลอง"

"ใช่"

"ฉันเดาว่าลงเป็นเพื่อนฟาร์"

"นั่นก็ถูก"

"ก็น่าสนุกดีนี่ หวังว่าคงไม่ต้องเจอนายตั้งแต่รอบแรกนะ ยังไม่รีบแพ้" โอซี่แซวทีเล่นทีจริง เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกของเพื่อนคนนี้ เวลอร์ไม่ใช่มนุษย์ เขารู้เพราะสายเลือดออคทำให้ประสาทสัมผัสดีกว่าคนทั่วไป "นี่เว พนันกันไหม"

"ว่ามา"

"ในการประลอง ถ้าใครเข้ารอบลึกกว่า คนนั้นชนะ แล้วถ้าฉันชนะ" ความสนุกฉาบฉายอยู่เต็มดวงตาสีรัตติกาล "ฉันขอจูบฟาร์สักทีจะได้ไหม"

"นี่กลัวฉันไม่เอาจริง?" คิ้วเข้มยักขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย "แล้วถ้านายแพ้ละ"

"ฉันจะทำตามที่นายบอกหนึ่งอย่าง"

"ได้"

นัยน์ตาสีอำพันมองตามร่างบางที่วิ่งไปตามลู่วิ่งโดยไม่ถูกลูกบอลที่ยิงออกมาเลยแม้แต่ลูกเดียว...คงจับทางได้แล้วสินะ...ฟาเรสยิ้มร่าพลางกระโดดดีอกดีใจกับผลงานตัวเอง มาวิคประมือให้กับลูกศิษย์อย่างภูมิใจ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปว่ายังยืนอยู่ในเขตการยิง บอลอีกลูกจึงพุ่งปะทะใบหน้าเนียนอย่างจัง ร่างบางล้มตึงลงกับพื้น มาวิคที่นึกขึ้นได้รีบวิ่งไปปิดเครื่องยิงทันที

"เฮ้ย!!!" สองหนุ่มที่นั่งสังเกตการณ์ด้านบนรีบลงมาดูอาการแทบทันที

เวลอร์พยุงร่างบางขึ้นนั่ง เขาถึงกับถอนหายใจหนักๆ เมื่อเห็นเลือดกำเดาที่ไหลอาบเสื้อของฟาเรส มือใหญ่ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับไว้ก่อนบังคับให้เงยหน้า

"โดนเข้าหน้าจังๆ ดีแล้วไม่สลบ" โอซี่บอกเสียงเครียด

"ดั้งจะหักไหมเนี่ย โคตรมึนเลย" ฟาเรสบ่น

"พรุ่งนี้งด" เวลอร์บอก คนเจ็บอ้าปากจะเถียงก็จำต้องเงียบเมื่อเห็นสายตาดุดันที่มองมา พอได้มาอยู่ใกล้ๆ จึงเห็นว่าตามเนื้อตัวแดงช้ำไปหมด ยิ่งเจ้าตัวเป็นคนขาวจัดยิ่งทำให้รอยช้ำดูเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น ขืนปล่อยให้ฝืนซ้อมติดกันทุกวันคงแย่แน่

"ฉันก็ว่างั้นแหละฟาร์ พักสักวันเหอะ เหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์ อย่าฝืนเลย" มาวิคเห็นด้วย

"แต่...ว่า"

"ไม่ต้องแต่" เวลอร์บอกเสียดุ ทำเอาคนถูกดุหน้าหงอย

"สามทุ่มแล้ว กลับเถอะ" มาวิคเอ่ยปาก

"ไปสิ ร้อน อยากอาบน้ำแล้ว" โอซี่รับคำ

เวลอร์ไม่พูดอะไร เพียงแต่ดึงมือคนที่นั่งให้ลุก ซึ่งฟาเรสก็ยอมเดินตามแม้จะแอบทำหน้าเซ็งก็เถอะ

มาวิคมองตามสองร่างที่จากไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ในยามปกติฟาเรสมักเป็นคนประเภทอะไรก็ได้ แต่เวลาอยู่กับเวลอร์ เหมือนกับว่าเจ้าตัวจะแสดงนิสัยเด็กๆ ออกมาให้เห็นบ้าง มีความเป็นตัวเองมากกว่าปกติ ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่ารักมาก ทำไมเขาไม่ได้เห็นฟาเรสในมุมนี้บ้างนะไม่ยุติธรรมเลย แม้เห็นเค้าลางแห่งความผิดหวังแต่ก็ไม่อยากยอมรับอยู่ดี
 
"หิวเป็นบ้าเลย" ฟาเรสบ่นทันทีที่ถึงห้อง แต่ก่อนอื่นขออาบน้ำล้างตัวก่อนเหอะ มอมแมมขนาดนี้

ร่างโปร่งถอดเสื้อผ้าออกก่อนตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ฟาเรสใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำพอควร อ๊ะ...อย่าเพิ่งคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนั้น น้ำอุ่นช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นเยอะต่างหากล่ะ แต่พออยู่นิ่งอาการปวดร้าวตามกายเริ่มถามหา พรุ่งนี้คงระบมทั้งตัวแน่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฟาเรสที่กำลังนั่งเช็ดผมดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาจึงเดินไปเปิด พบว่าเป็นเวลอร์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นหอบของมาเต็มไม้เต็มมือ

"ไม่นอนเหรอ" เจ้าของห้องถาม พลางหลบให้อีกคนเข้ามา ร่างสูงเดินไปยังโซฟาก่อนจะวางทุกสิ่งลงบนโต๊ะด้านหน้า เป็นข้าวกล่องสองกล่องกับขวดแก้วบรรจุของเหลวสีคล้ำ

"เห็นยังไม่กินข้าว ไม่หิวเหรอ"

"ก็หิวนะ”

“ฉันซื้อมาฝาก”

“ขอบใจ" ฟาเรสนั่งลงข้างผู้มาเยือนก่อนเลือกข้าวกล่องที่ชอบมาถือแล้วยิ้มให้ ร่างบางจัดการอาหารในมือหมดอย่างไวเพราะหิวจัด

"กินเสร็จแล้วกินยาด้วย" เวลอร์ว่าพลางดันขวดแก้วมาตรงหน้า ฟาเรสทำหน้าบอกบุญไม่รับ จากประสบการณ์เรื่องยาจากเพื่อนร่วมเอก แค่เห็นสีก็รู้แล้วว่ารสชาติห่วยตามประสายาสมุนไพร แต่ก็ได้ผลดีพอควร

"อา อะ ไอ อ๋อ (ยาอะไรเหรอ)" พูดไปเคี้ยวไป

"แก้ฟกช้ำ" เสียงทุ้มตอบแค่นั้นก่อนจะจัดการข้าวของตัวเองจนหมด

"แหวะ!!! ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคนชอบยาปฏิชีวนะกันนัก" ใบหน้าเนียนยับยู่กับรสขมเฝื่อนคอของยาที่กินไปแค่อึกเดียว

"กินให้หมด" เวลอร์บอกเสียงเข้ม

"ไม่เอาอ่ะ นี่ตอนผสมนายไม่ชิมเลยหรือไง กินเองดูสิจะได้รู้" ฟาเรสบ่นยาวแต่ยังไม่ทันจะได้ลุกไปล้างปากกลับถูกมือใหญ่ดึงจนเสียหลักนั่งลงบนตักของอีกคน ลำแขนแกร่งข้างหนึ่งโอบเอวเขาไว้แน่น

"เด็กดื้อไม่ยอมกินยา" เสียงทุ้มนุ่มกระซิบใกล้ทำเอาฟาเรสใจสั่น ทำไมถึงชอบแกล้งกันนัก

"ก็มันไม่อร่อย" เถียงพลางดิ้น

"ยาที่ไหนอร่อยละ หืม!?" ว่าแล้วเวลอร์ก็หยิบขวดยานั้นกระดกรวดเดียวเข้าปาก ก่อนจะเอามือเงยหน้าเนียนขึ้นแล้วประกบลงมา

"อึก" ของเหลวรสขมไหลผ่านคอ แต่ฟาเรสแทบจะลืมรับรู้มันเพราะกำลังตกใจที่โดนจูบ อะ...เอ่อ ถ้าจะให้อธิบายคือการป้อนยาทางปาก ริมฝีปากร้อนผละออกแต่ยังไม่วายลากเลียยาที่ไหลเลอะออกมาจากปลายคางมาบรรจบที่มุมปาก เล่นเอาคนถูกกระทำนั่งช็อกช็อกไปไม่เป็น

"ถ้าทีหลังไม่ยอมกิน จะทำแบบนี้เข้าใจไหม" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉาบฉายบนหน้าคม ฟาเรสรั้งตัวออกจากตักก่อนลี้ภัยเข้าห้องน้ำไป

ปัง!!! ทันทีที่ประตูปิดลง ฟาเรสค่อยๆ นั่งลงกับพื้นหันหลังพิงประตูไว้ พยายามสงบใจที่กำลังเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอกของตัวเอง มือนิ่มลูบใบหน้าเบาๆ หวังจะระบายความร้อนออกไปบ้าง เพราะตอนนี้มันคงแดงจนแทบสุกแน่ๆ หลังจากตั้งหลักอยู่พักใหญ่ เขาจึงจัดการล้างหน้าแปรงฟันเตรียมเข้านอน

"นี่ ไม่กลับหรือไง" พอจะออกมาเก็บข้าวกล่องที่กินทิ้งไว้ ก็เห็นเวลอร์กำลังจัดการทั้งหมดอยู่ในครัว ฟาเรสกอดอกยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขับไล่กลายๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มสบายอารมณ์ชวนให้โมโหยิ่งกว่าเก่า

"ระวังตีนกานะครับ" เวลอร์เอ่ยแซวพลางเดินผ่านเขาไปเข้าห้องน้ำแทน ร่างบางได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

"นอนด้วยนะ"

"ฮะ!!! ห้องตัวเองก็อยู่ข้างๆ ทำไมไม่กลับ" คนถูกถามไม่ตอบเพียงแต่เดินเข้าห้องนอนไปอย่างถือวิสาสะ จนฟาเรสต้องรีบก้าวยาวๆ ตามมาเห็นคนตัวโตนอนบนฟูกนุ่มต่อหน้าต่อตา

"เว ลุกเลย" เสียงหวานกดต่ำ แต่ใช่ว่าจะทำให้คนฟังรู้สึกกลัว

"ไม่ลุก นอนไหมฟาร์ หรือจะนอนพื้น" ไอ้ท่าทีดื้อด้านและหน้าด้านนั่น เห็นแล้วต้องถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินไปยังเตียงที่ว่างอีกฝั่งแล้วล้มตัวลงนอนบ้าง ร่างบางหันหลังให้แขกไม่ได้รับเชิญอย่างขัดใจ

เวลอร์มองคนที่นอนหันหลังให้โดยไม่ยอมห่มผ้าอยู่พักใหญ่ แม้ร่างจะสั่นน้อยๆ จากอากาศที่เย็น แต่ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับแล้วจึงดึงผ้าขึ้นห่มให้และลุกออกจากที่นอนอย่างระมัดระวัง

"ว่าไง" เวลอร์รับโทรศัพท์ที่สั่นเตือนมาพักใหญ่

"ฟาร์ละ อยู่กับนายใช่ไหม" เสียงร้อนรนดังจากปลายสาย ก่อนหน้านี้เอเบรียนโทรมาบอกว่ามีคนพยายามทำลายเขตอาคมของอานิมา ทำให้เกิดช่องว่างจนมีไวด์โซลหลุดเข้ามาหกตัว

"อืม หลับไปแล้ว"

"ทางนี้เพิ่งกำจัดไปห้า อีกตัวยังหาไม่เจอ ไม่คิดเลยว่าเจ้านั่นจะลงทุนทำลายเขตอาคมของอานิมาเพื่อส่งไวด์โซลมาตามล่าฟาร์ นายก็อยู่กับหลานฉันไปนั่นละ จนกว่าจะหาอีกตัวเจอ" ปลายสายบอกเสียงเครียด ที่เจ้านั่นไม่ลงมือเองส่วนหนึ่งคงไม่อยากให้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ผู้อำนวยการกับพวกอาจารย์ช่วยกันหาอยู่พักใหญ่ พยายามทำทุกอย่างให้เงียบเชียบที่สุดเพราะไม่อยากให้นักศึกษาแตกตื่น ดีที่เรื่องเกิดตอนกลางคืน

"ไม่ต้องหาแล้วละ" เวลอร์บอก เมื่อรับรู้ถึงบางสิ่งที่กำลังปีนระเบียงขึ้นมาจากชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

กรร!!! เสียงคำรามอย่างทรมานดังขึ้นจากผู้บุกรุก เมื่อไวด์โซลตัวที่ว่าปีนมาถึงระเบียงที่ร่างสูงยืนอยู่แต่ถูกคว้าคอเอาไว้ด้วยมือเดียว ฝ่ามือแกร่งออกแรงบีบรัดลำคอผู้บุกรุกจนดิ้นพล่าน ไม่ปล่อยให้มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดให้คนที่หลับอยู่ได้ตื่น ผู้ปองร้ายมือหลุดจากการเกาะกุมราวระเบียง ร่างถูกดันออกไปราวกับตัวมันนั้นเบา ไร้ซึ่งน้ำหนัก

"เกิดอะไรขึ้น" เอเบรียนถามเมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป

"เจออีกตัวแล้ว" กร๊อบ!!! ไวด์โซลโชคร้ายถูกหักคอทิ้งอย่างง่ายดาย ก่อนร่างไร้ชีวิตจะถูกปล่อยร่วงลงกระแทกพื้นจากความสูงสามสิบเอ็ดชั้นจนเลือดสีเข้มกระจายไปทั่ว "ช่วยเก็บซากให้ทีแล้วกัน พื้นข้างล่างตรงระเบียงห้องฟาร์"

เวลอร์วางสายก่อนกลับเข้ามาในห้องโดยไม่ลืมล้างมือที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาบของอันเดธ เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม จับร่างบางหันหน้ามาหาแล้วดึงมากอดไว้แนบอก ฟาเรสที่หลับอย่างเป็นสุขซุกกายเข้าหาไออุ่นอย่างลืมตัว เรียกรอยยิ้มบางอย่างเอ็นดูจากคนตัวโตจนต้องจูบหน้าผากมนนั้นไปที ขนาดอยู่ในอานิมายังไม่วายจะถูกปองร้าย เขาคงจะห่างคนน่ารักคนนี้ไม่ได้แล้วละ

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 8

การประลองเริ่มขึ้นโดยจับเป็นคู่ใครชนะเข้ารอบ ใช้วิชาความรู้อะไรก็ได้ที่เคยเรียนในการจัดการคู่ต่อสู้โดยไม่ให้อีกฝ่ายสาหัสมากเกินไปหรือถึงตาย จะว่าไปไอ้การประลองที่จัดขึ้นมันก็แอบดิบเถื่อนอยู่พอตัว ส่วนใหญ่ที่ลงก็เป็นเด็กคณะวิทยาการการทหาร ส่วนมากจะเป็นพวกปีสุดท้ายเพราะต้องการพอร์ตในการทำงานหลังจบไป คณะอื่นก็มีให้เห็นบ้างประปราย ที่ลงมาเอาฮาหรืออยากเจ็บตัวเล่นแต่ก็ตกรอบกันไปตามระเบียบ

สำหรับฟาเรสในรอบแรกถือว่าไม่ยากเท่าไหร่นัก อาจเพราะพ่อเขาเป็นทหาร ลุงเองก็ใช่ ศิลปะการต่อสู้จึงอยู่ในสายเลือด แม้จะไม่เชี่ยวชาญนัก สายเลือดเอลฟ์ในตัวที่ฟาเรสไม่เคยรู้สึกว่ามันพิเศษเลย จนต้องมาฝึกหนักทำให้เขาสังเกตเห็นความสามารถที่ตัวเองมีอย่างชัดเจน ระดับการฟื้นตัวที่มากกว่าคนทั่วไปประมาณสองถึงสามเท่า ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวและพลังเวทย์แฝงที่มีค่อนข้างมากจนบางทีเจ็มไม่สามารถรองรับได้และเป็นเขาที่เจ็บเอาเสียเอง

มาวิค พรีม โอซี่ และเวลอร์ สี่คนนั้นไม่มีอะไรน่าห่วง แถมในรอบที่ผ่านมาทั้งสี่มีฝีมือที่น่าจับตามอง จนกลายเป็นขวัญใจสาวๆ และมีกลุ่มแฟนคลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ...นึกแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก อยู่ในกลุ่มคนหล่อแถมเก่ง ฟาเรสนี่ดูง่อยไปเลย…

แต่ม้ามืดของงานนี้คงหนีไม่พ้นโอซี่กับเวลอร์ที่เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาตลอด ฟาเรสเองก็ไม่คิดว่าโอซี่จะเก่งกาจขนาดนี้ เพราะเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับอะไร ชอบทำตัวเรื่อยเปื่อยเสียมากกว่า แถมเวลามาสนามฝึกไม่หายไปกับสาวก็นั่งเล่น ส่วนอีกราย หมอนั่นมันปีศาจ ไม่รู้เหมือนกันว่าขีดความสามารถของคนคนนี้มีเท่าไหร่ แม้จะอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่เขาคิดว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่รู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมเอก จนอดคิดไม่ได้ว่าเวลอร์ที่ทุกคนเห็นอยู่นี่อาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

ตอนนี้ฟาเรสนั่งรออยู่ในห้องเตรียมของโคลอสเซียมกลางน้ำซึ่งใช้เป็นสนามประลอง ดวงตาสีครามมองขวดแก้วในมืออย่างครุ่นคิด ของเหลวสีเงินไหลเอื่อยเมื่อเขาหมุนมันไปมา จะว่าเป็นยาได้ไหมนะเพราะมันคือเจ็มที่ถูกบดเป็นโมเลกุลเล็กๆ พอที่จะซึมผ่านผนังเซลล์ได้ ผสมกับสมุนไพรสกัดที่มีสารจำพวกธีโอฟิลลีน (Theophylline) มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมองและหัวใจ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้มากขึ้น นั่นก็เพื่อให้เจ็มกระจายไปทั่วร่างได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ยังผสมยาสลายลิ่มเลือดไปเล็กน้อย ป้องกันอาการต่อต้านเมื่อเจ็มเข้าสู่กระแสเลือด ยานี่ไม่ได้ผิดกฎเพราะใช้อะไรก็ได้ที่เป็นความรู้ในการประลอง
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะรอบที่ผ่านมาเจอปัญหาจากการโดนทำให้อาวุธหลุดมือไปหลายครั้ง เมื่อไม่มีอาวุธไม่มีเจ็ม แม้จะมีพลังเวทย์มากเพียงใดก็ย่อมเสียเปรียบ แม้อาศัยเทคนิคทางกายเอาตัวรอดจนต่อยเจ้านั่นหมอบ แต่ฟาเรสก็เจ็บตัวไม่น้อย เขาจึงเกิดไอเดีย แทนที่จะถืออาวุธที่มีเจ็ม ก็เปลี่ยนเป็นใช้ร่างกายตัวเองเป็นอาวุธแทน การที่มีเจ็มไหลเวียนอยู่ในตัวอาจจะทำให้เขาใช้พลังเวทย์ได้อย่างอิสระ เพราะแบบนั้นฟาเรสจึงใช้เวลาสองวันหลังจากนั้นผสมของเหลวสีเงินนี้ขึ้น จากที่ลองจิบเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เบาขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ จึงคิดว่ามันน่าจะใช้ได้ แต่ยังไม่เคยลองในปริมาณขนาดนี้เพราะไม่มีเวลามากพอ

วันนี้เขาต้องเข้าประลอง ถ้าชนะเขาจะเข้ารอบแปดคนสุดท้าย ซึ่งหมายถึงมีสิทธิ์ได้ลองทำงานกับหน่วยพิทักษ์ นั่นแปลว่าเขาแพ้ไม่ได้ แต่ที่น่าหนักใจตรงคู่ต่อสู้วันนี้คือตัวเต็งของปีสาม แน่นอนเจ้านี่มันเก่ง แถมรอบที่ผ่านมายังหักแขนหักขาคู่ต่อสู้เล่นเสียด้วย โรคจิตเป็นบ้า

ปากขวดเย็นจรดกับริมฝีปากสวย เทของเหลวสีเงินให้ไหลเอื่อยลงคอช้าๆ สร้างความรู้สึกร้อนวาบไปทั่วท้อง เหลืออีกสิบนาทีคงพอดีกับที่ตัวยากระจายทั่วร่าง ฟาเรสเอนหลังพิงพนัก หลับตาลงรับรู้ถึงกระแสพลังที่ไหลไปทั่วร่าง เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นและร่างกายที่รู้สึกเบาราวกับไม่ใช่ตัวเอง ประสาทสัมผัสที่ชัดเจนทำให้ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาหน้าห้อง หรือแม้กระทั่งเสียงเซ็งแซ่จากอัฒจันทร์ด้านนอกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มปวดหัว

"พร้อมยังฟาร์" เสียงทักของเพื่อนทั้งห้าดังขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา

"พร้อมแล้ว"

"สู้ๆ นะจ๊ะ" เซียว่าพลางกอดเขาแน่นแล้วผละออก ก่อนที่คนอื่นๆ จะเดินมาตบบ่าอย่างให้กำลังใจ ยกเว้นเวลอร์ที่ทำเพียงมองเขานิ่งๆ นัยน์ตาสีอำพันหรี่ลงอย่างสงสัยในบางสิ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินมาตบบ่าเขาบ้าง แต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินตามคนอื่นออกไป

ก่อนแข่งห้านาทีฟาเรสเดินออกมาสู่สนาม ขาเรียวพาร่างโปร่งมาประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ท่ามกลางเสียงโห่ร้องที่ส่วนใหญ่เป็นชื่อของฝั่งตรงข้าม

"สวัสดีหนุ่มสาวทั้งหลาย" เสียงเฮรับเสียงประกาศของพิธีกร "สำหรับรอบสิบหกคนวันนี้ เป็นการพบกันระหว่าง น้องใหม่ไฟแรง ฟาเรส คาเดนเซีย เห็นหน้าใสๆ แบบนี้ฝีมือไม่เบานะครับ ล้มรุ่นพี่ตัวโตมาแล้ว และอีกด้าน แอสตัน มานูเอล เขาคนนี้ไม่ธรรมดา การันตีด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองของปีที่แล้ว ปีนี้เขามาเพื่อแก้ตัว แต่ผลปีนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูรอลุ้นกันต่อไป" สิ้นชื่อหมอนั่น เสียงรอบๆ ก็เฮลั่นอีกครั้ง

"ไงสาวน้อย โอ๊ะ!!!! หนุ่มน้อยถึงจะถูก โทษทีทักผิด" เป็นคำทักทายที่กวนอารมณ์พอตัวสำหรับฟาเรส แอสตันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวกร้านแดดนัยน์ตาสีดำสีเดียวกับผมที่ตัดสั้นจนเกือบเกรียน ดูทะมัดทะแมง น่าจะชื่นชอบการใช้กำลังอยู่พอตัว

...สาวน้อยบ้านมึงสิ…

"แหนะ ทำตัวเฉยชา กฎบอกว่าห้ามฆ่า แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามทำอย่างอื่นนะ" เจ้านั่นยิ้มร่าก่อนลากสายตาไปทั่วร่างบางอย่างหยาบโลน "ยอมแพ้ดีๆ ไหม แล้วเก็บแรงไปร้องครางใต้ร่างฉันคืนนี้ จะจัดให้นายเป็นพิเศษเลย ฟาเรส" มันลากเลียริมฝีปากพลางมองมาราวกับจะกลืนกิน ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว

"ไอ้โรคจิต" ฟาเรสด่าเสียงเบา

การประลองเริ่มขึ้นโดยหมอนั่นเลือกแส้เป็นอาวุธ แถมยังมาบอกเหตุผลที่ชวนถีบ ว่าซ้อมไว้เผื่อได้ใช้กับเขาบนเตียง ในสมองมันมีแต่เรื่องเอาเขาไปปู้ยี่ปู้ยำหรือไง ส่วนฟาเรสเลือกใช้ดาบไม้สองมือเพราะจู่โจมได้สะดวกเหมือนใช้มือเปล่า อาวุธที่เตรียมไว้จะเป็นแบบไร้คมเพื่อไม่ให้อันตรายต่อผู้แข่งขันจนถึงแก่ชีวิต

"เอ้า!!! เริ่มประลองกันได้ ใครล้มไม่ลุกก่อนคนนั้นแพ้"

เพี้ยะ!!! เสียงแส้ฟาดลงกับพื้นเพราะฟาเรสเอี้ยวตัวหลบ แอสตันมองเขาอย่างถูกใจ ก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมแส้ในมืออย่างจริงจัง แส้ฟาดผ่านอากาศครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ร่างบางก็หลบได้อย่างไร้ที่ติเพราะความรวดเร็วทางกายที่เพิ่มขึ้นจากเจ็มที่ไหลเวียนอยู่ในกาย

"ไวใช้ได้เลยนี่" มันเอ่ยปากชมก่อนที่จะโถมมาอีกครั้ง หากแต่ร่างโปร่งบางกลับเอี้ยวหลบไปซ้อนหลังหวดดาบไม้ใส่แอสตันเต็มแรงและผละถอยเมื่ออีกฝ่ายหันมาสวน ปลายเส้นหนังที่อาบเวทย์เฉียดตัวไปนิดเดียว ทำให้กระดุมขาดและบาดลงเนื้อเป็นรอยแดง

"แม่ง...!!" ฟาเรสรู้สึกแสบ เรือนกายขาวอวดโฉมสู่สายตาเรียกรอยยิ้มถูกใจจากอีกฝ่าย ดูก็รู้ว่าจงใจ แล้วหมอนั่นก็กระหน่ำฟาดแส้ใส่จากระยะไกล ฟาเรสหลบแล้วค่อยโจมตีสวนทีละดอกเมื่ออีกคนเปิดช่องว่าง หมัดถูกส่งไปประเคนหน้าเถื่อนๆ นั่นจนหันอยู่หลายครั้ง ไม่อยากให้อีกฝ่ายสาหัสจึงไม่ออกแรงมากแต่นั่นกลับทำให้เขาเริ่มเหนื่อยเสียเอง คู่ต่อสู้ช่างทนมือทนเท้าเหลือเกิน

เพี้ยะ!!!

"โอ๊ย!!!" แต่คนเราก็ต้องมีพลาดเมื่อแส้อาบเวทย์พันเข้าที่ขาจนเสียหลัก แอสตันอาศัยจังหวะนั้นทะยานเข้าหาฟาเรสจนเสียหลักล้มลงถูกอีกฝ่ายคร่อมทับไว้ ดาบไม้หลุดกระเด็นไปจากมือ

"อู้ว!!! ได้อยู่บนตัวนายแล้วสาวน้อย" ถึงไอ้ยักษ์นี่จะไม่เร็วแต่เรี่ยวแรงมหาศาล สายแส้อาบเวทย์รัดคอฟาเรสลงกับพื้นสนามจนเจ็บแปลบ แอสตันแสยะยิ้มถูกใจพลางออกแรงกด

"ฮึก..." ร่างบางหายใจติดขัด ส่วนหนึ่งจากแส้ที่พาดทับลำคอขาว อีกส่วนจากหัวใจที่เต้นแรงและอุณหภูมิในกายที่สูงขึ้นเมื่อยาที่กินออกฤทธิ์เต็มกำลัง

"บอกสิว่ายอมแพ้ ไม่งั้นนายน่วมกว่านี้แน่ พูดสิ พูด!!!"

"ฮึก ปะ ปล่อย" ภาพตรงหน้าเบลอบ้างชัดบ้างเพราะหายใจไม่สะดวก

"หึ ถึงฉันฆ่านายไม่ได้ก็ทำให้สาหัสได้ บอกยอมแพ้ บอกสิ" คนตัวโตเริ่มบ้าคลั่งเมื่อเห็นฟาเรสยังคงเงียบแถมจ้องหน้าตอบอย่างท้าทาย

“ฝันไปเถอะ”

“อย่ามาทำเป็นอวดดี อ่อนแอแบบแกจะไปทำอะไรได้”

อ่อนแองั้นเหรอ ถ้อยคำสบประมาทที่พ่นใส่หน้าสร้างความเกรี้ยวกราดในดวงตาสีครามที่บัดนี้เหมือนเรืองแสงจางๆ ฟาเรสรับรู้ถึงพลังที่กำลังแล่นพล่านไปทั่วร่าง มือที่กดแส้รัดคอเขาไว้ค่อยๆ ถูกรั้งออก แอสตันดูตกใจเมื่อคนที่เหมือนจะเพลี่ยงพล้ำเกิดฮึดสู้
ผลัก!!! ตุบ!!! แล้วร่างสูงใหญ่ถูกแรงมหาศาลถีบกระเด็นไปหลายเมตร เรียกเสียงฮือฮาจากคนทั้งสนามเพราะนึกไม่ถึงว่าฟาเรสจะมีเรี่ยวแรงขนาดนี้

"อะ อะไรวะ" แอสตันผุดลุก ทั้งเจ็บทั้งงง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว ฟาเรสก็พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ไอพลังลากเป็นสายตามการเคลื่อนไหว ส่งหมัดเปลือยเปล่าซึ่งอาบไว้ด้วยพลังเวทย์กระแทกเต็มหน้าคู่ต่อสู้จนหันไปตามแรง
ทั้งสนามเงียบงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฟาเรสที่ดูยังไงก็เสียเปรียบในทุกด้านกลับลุกขึ้นมาซัดอีกฝ่ายจนล้มตึงในหมัดเดียว แอสตันแน่นิ่งไม่ขยับจนแพทย์สนามต้องรีบเข้ามาดูอาการก่อนจะทำมือเป็นสัญญาณว่ายังหายใจ พิธีกรจึงประกาศชื่อของผู้ชนะตามมาด้วยเสียงปรบมือโห่ร้องก้องสนาม

...ชนะแล้วสินะ…

ฟาเรสหอบหายใจหนักๆ ร่างกายสั่นสะท้านกับความแปรปรวนภายใน ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะสนใจสิ่งรอบตัว รู้อย่างเดียวคือต้องออกไปจากตรงนี้ ขาเรียวพาร่างเดินเข้าไปยังตัวอาคาร สู่ทางเดินที่นำไปยังห้องเตรียมตัวด้านใน เข้าห้องได้จึงรีบปิดประตูลง พอพ้นสายตาทุกคนร่างบางก็ซวนเซจนต้องพิงร่างกับกำแพง ภายในมันร้อนเหมือนไฟเผา หัวใจเต้นแรงจนเจ็บแปลบไปทั่วร่าง เจ็มที่รับพลังมากเกินไปอาจแตกสลายได้ หรือร่างกายของเขาจะแตกสลายเช่นกัน ฟาเรสตัดพ้อกับความบุ่มบ่ามของตน คิดแต่เรื่องชนะจนลืมผลข้างเคียง โดนยาตัวเองเล่นเสียแล้ว

ดวงตาสีครามเบิกกว้างก่อนจะหลับลงเพื่อข่มความเจ็บปวด รับรู้ถึงของเหลวที่ไหลผ่านจมูก เลือดกำเดาที่หยดลงสัมผัสพื้นดังซ่าก่อนจะแห้งเหือดกลายเป็นควัน ฟาเรสได้ยินเสียงเพื่อนเรียกจากด้านหลังแต่ไม่อาจหันไปมอง
"ฟาร์ ฟาร์เป็นอะไร" มาวิคเปิดประตูเข้ามาเอ่ยถาม ทั้งที่ตั้งใจจะเข้ามาแสดงความยินดี กลับเห็นร่างบางยืนหอบพิงผนังราวกับจะเป็นลม เขารีบพุ่งเข้ามาพยุงไว้ก่อนที่ฟาเรสจะทรุดลงกับพื้น ประคองร่างบางให้นอนราบโดยหนุนตักตนไว้ คนที่เหลือจึงกรูเข้ามาดูอาการด้วยความตระหนก

"ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ หน้านายแดงไปหมด เป็นอะไร ไหวไหมเนี่ย" เซียว่าเสียงตื่นพลางจับเนื้อจับตัวฟาเรสอย่างร้อนรน มือเล็กคว้าผ้าเช็ดหน้าที่พรีมยื่นให้ซับเลือดกำเดาและเหงื่อบนใบหน้าเนียน
"ฉะ ฉัน อึก" ฟาเรสอ้าปากจะอธิบายแต่ร่างกลับกระตุกเกร็งก่อนจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด ยังไม่ทันได้แก้แค้นก็จะมาตายอนาถแบบนี้แล้วหรือ
"ฉันไม่เคยแนะนำให้นายเอาตัวเองเป็นหนูลองยา" เวลอร์บอกเสียงขุ่นเมื่อเหลือบไปเห็นขวดแก้วที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก้นขวดมีของเหลวสีเงินหลงเหลืออยู่เล็กน้อย เขาหยิบมันขึ้นมาดมก่อนเดินมาคุกเข่าข้างกายฟาเรสแล้วยื่นไปต่อหน้า
"อะไรน่ะ" ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมกัน
"ใส่อะไรไปมั่ง" แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งแน่นัยน์ตาสีอำพันกลับคุกรุ่นด้วยแรงอารมณ์

"ธีโอฟิลลีน (Theophylline) ฮึก...สะ สารละลายลิ่มเลือด แล้วก็ จะ เจ็ม"

"นายมันบ้า" มาวิคสบถออกมาอย่างหัวเสีย คนอื่นก็ตีหน้ายุ่งพอกัน

"พากลับห้อง เดี๋ยวฉันตามไป" เวลอร์กำขวดแก้วในมือแน่น ก่อนหุนหันออกจากห้องเตรียมตัวไป

ฟาเรสถูกอุ้มขึ้น ประสาทสัมผัสรางเลือนแต่ยังรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่ปะติดปะต่อ ความร้อนภายในกระตุ้นสติของฟาเรสอยู่เนืองๆ ราวกับร่างอยู่กลางกองไฟ ความอ่อนนุ่มของฟูกบอกให้รู้ว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว สัมผัสเปียกชื้นจากผืนผ้าที่ซับไปตามร่างไม่อาจช่วยบรรเทาความร้อนในกายได้ มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่น ร่างทั้งร่างเหยียดเกร็ง

"อดทนไว้นะฟาร์" เซียว่าเสียงเครือพลางเอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวเขาไม่หยุด มาวิคเดินไปมาทั่วห้องอย่างหนูติดจั่น จนโอซี่ต้องจับไปนั่งสงบสติอารมณ์ไว้มุมห้อง

"นายต้องไม่เป็นไร" พรีมว่า

ท่ามกลางความทรมาน ฟาเรสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นห่วงใยที่ทุกคนมอบให้ เขาพยายามยามลืมตามองรอบตัวแม้จะเป็นเพียงภาพเบลอ แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาสีครามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย รู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง
เวลอร์กลับมาพร้อมขวดยาในมือที่เพิ่งไปผสมมาจากห้องวิจัย พรีมผละออกให้ผู้มาใหม่ได้นั่งแทนที่ แขนแกร่งรั้งร่างที่สั่นเทาขึ้นมาเอนพิงอก

"ยาอะไร" มาวิคถาม

“ระงับอาการ หวังว่าจะได้ผล” มือใหญ่เปิดขวดยาจ่อที่ริมฝีปากแดงจัดจากความร้อน พร้อมเอามืออีกข้างรั้งปลายคางให้ฟาเรสอ้าปากเพื่อดื่มมัน แต่แค่อึกแรกเจ้าตัวก็สำลักออกมา เขาจึงตัดสินใจเอายาทั้งหมดกรอกปากตัวเองก่อนจะป้อนมันด้วยปากให้คนไม่ได้สติ

ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายเริ่มสงบ ดวงตาคู่สวยปิดลงช้าๆ อาการหายใจหอบลดลง เวลอร์เอามือปัดปอยผมที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าเนียน ใบหน้าที่เคยแดงจัดเริ่มคลายสี เขาจึงจับข้อมือดูชีพจร วินาทีนั้นทุกคนต่างลุ้นจนตัวเกร็ง พอเห็นเวลอร์พยักหน้าให้จึงพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาอย่างพร้อมเพรียง เมื่อฟาเรสเลิกดิ้น เซียจึงจัดการกับรอยแผลและรอยฟกช้ำบนตัวคนเจ็บ เวลาล่วงเลยเกือบสามทุ่ม นี่พวกเขาลืมข้าวเย็นกันไปเลยมัวแต่ห่วงเพื่อน

"พวกนายกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูเอง" เวลอร์บอก ที่เหลือกล่าวฝากฝังก่อนจะออกจากห้องไป มีเพียงมาวิคที่ยังรั้งรอมองมาที่ทั้งสอง เขาอยากอยู่ด้วยใจจะขาด แต่ทั้งตอนนี้และก่อนหน้านี้เมื่อเทียบกับเวลอร์แล้วเขากลับช่วยอะไรไม่ได้เลย

"อะ...เอ่อ ฝากด้วยแล้วกัน" สุดท้ายก็พูดออกมาเพียงแค่นั้นแล้วออกจากห้องตามเพื่อนไป

มาวิคไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้องให้ ชายหนุ่มก้าวไปอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นไหวเต็มไปด้วยความสับสน ดูเหมือนว่าจะเจอคู่แข่งที่น่าหวั่นใจเสียแล้ว แม้ฟาเรสไม่ได้มีท่าทีชัดเจนนักแต่ก็เห็นแววพ่ายแพ้อยู่รำไร เขาควรทำอย่างไรดี ยอมถอยงั้นหรือ ไม่มีทาง คนอย่างมาวิคไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว
                 
ฟาเรสตื่นขึ้นตอนบ่ายของอีกวัน ดวงตาสีครามกะพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงในห้องจนเพดานตรงหน้าเริ่มชัดเจน เขานอนอยู่ท่านั้นพักใหญ่เพราะทุกส่วนของร่างกายไร้เรี่ยวแรงราวกับเป็นอัมพาต คนเจ็บพยายามขยับตัวไปที่ขอบเตียง ทุกการขยับทำเอาเจ็บร้าวไปหมด แต่ก็ฝืนลุกยืนพาตัวเองไปจัดการธุระในห้องน้ำจนเสร็จ มันช่างทุลักทุเลเพราะแรงที่ถดถอยและใช้เวลานานพอควรก่อนจะกลับมานอนบนเตียงดังเดิม

"ฟื้นแล้วเหรอ" เซียที่เดินเข้าห้องมาพร้อมถ้วยข้าวในมือเอ่ยทักเสียงใส

"อืม"

"รู้สึกยังไงบ้าง"

"เหมือนไม่ค่อยมีแรงเลย"

"น่าจะเป็นผลที่ใช้พลังเวทย์มากเกินไป นายน่ะอย่าทำอะไรแผลงๆ แบบนี้อีกนะ คิดจะใช้ร่างกายตัวเองเป็นอาวุธหรือไงถึงผสมอะไรบ้าๆ แบบนั้นกิน เกิดเจ็มที่เข้าไปในตัวนายนั่นรองรับพลังไม่ไหวเดี๋ยวได้ตายกันพอดี" เซียบ่นยาว "แต่ไม่เป็นไรแล้วละ ได้เวช่วยไว้ ทีหลังอย่าทำอีกนะ พวกฉันหัวใจจะวาย"

"ขอโทษนะ" คนถูกว่าตอบเสียงเบา ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด "แล้วเซียไม่ไปเรียนเหรอ"

"ไปแล้วเมื่อเช้า บ่ายฉันว่างน่ะเลยมาดูนาย กินข้าวซะ จะได้พักเอาแรง" เซียนั่งคุยนั่งเล่นกับฟาเรสจนเย็น นอกจากสวยแล้วฟาเรสมั่นใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นแม่ที่ดีได้แน่ ก็เธอดูแลเก่งขนาดนี้จนนึกอิจฉาพรีมขึ้นมา การแข่งขันของฟาเรสรอบต่อไปเป็นอันยกเลิก เขาถูกปรับแพ้เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อม แต่ก็ไม่เสียใจอะไร แค่เข้ารอบแปดคนก็พอแล้ว

"วันนี้พรีมแข่งนี่ ไม่ไปดูเหรอ"

"ถ้าฉันไปใครจะดูนาย" เซียยิ้มบางแต่แอบเห็นแววเสียดายในดวงตาคู่สวยนั่น ใครก็อยากไปให้กำลังใจคนรักของตัวเองทั้งนั้น

"นี่ไง เวมาแล้ว เซียไปเถอะ เดี๋ยวพรีมไม่มีกำลังใจนะ" ฟาเรสบอก พอดีกับเวลอร์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน หลังเกิดเรื่อง เพื่อนๆ ได้เอากุญแจสำรองของฟาเรสไปถือไว้อีกชุดเพื่อเข้าออกห้องเขาในยามจำเป็น

"งั้นฉันไปก่อนนะ" เธอว่าก่อนยื่นหน้ามาจูบหน้าผากแล้วออกจากห้องไป

เวลอร์ไม่แม้จะเอ่ยทักหรือสบตา ร่างสูงก้าวยาวๆ ไปหยิบจานเปล่าที่วางตรงโต๊ะข้างเตียงกับแก้วน้ำแล้วออกจากห้องไป ได้ยินเสียงเปิดน้ำจากตรงครัวบอกให้รู้ว่าเขาเก็บมันไปล้าง รออยู่พักใหญ่คนที่ออกไปก็ไม่มีทีท่าจะเข้ามา หรือว่ากลับห้องไปแล้ว คิดได้ดังนั้นฟาเรสจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ยังคาใจกับท่าทีเมินเฉยที่ได้รับ

ร่างบางสะดุ้งตื่นอีกทีตอนฟ้ามืด ไฟในห้องถูกเปิดสว่าง หันไปมองโซฟาริมระเบียงเห็นเวลอร์ที่อยู่ในชุดลำลองนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ดวงตาสีอำพันยังคงจดจ้องหน้าหนังสือ ทั้งที่ปกติหมอนี่ประสาทสัมผัสไว การที่เขาตื่นทำไมเจ้าตัวจะไม่รู้

"ขอบใจ" เสียงหวานเอ่ยติดขัดเมื่อเห็นโต๊ะข้างเตียงมีผลไม้ น้ำ และยาวางอยู่ แต่ได้รับเพียงความเงียบแทนคำตอบ ริมฝีปากสวยเม้มแน่นอย่างอึดอัดเมื่อรู้ตัวว่าถูกเมิน แต่ก็ยอมหยิบยาสีเข้มในขวดขึ้นมากิน แม้รสชาติจะเฝื่อนขมแค่ไหนก็ไม่กล้าโวยวายเพราะรับรู้ได้ว่าอีกคนไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ

...โกรธอะไรหรือเปล่านะ…

เวลอร์ยังคงอยู่โดยไม่สนใจคนที่มองมาที่เขาเป็นระยะ บรรยากาศมึนตึงดำเนินต่อไปจนฟาเรสเริ่มแย่ ความรู้สึกหน่วงในอกชวนให้หายใจติดขัด เขาคิดทบทวนตัวเองว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจถึงได้ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุเช่นนี้ ครั้นจะเอ่ยปากถามก็ไม่กล้า ความเงียบกำลังทำให้เขาใกล้บ้าเต็มที

ครืด!!! เสียงเลื่อนเก้าอี้ดึงดวงตาคู่สวยให้หันมอง เวลอร์วางหนังสือในมือลงก่อนจะเดินเข้ามา ตาคมที่มองมาเฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกัน ความรู้สึกบางอย่างประเดประดังมาจุกอก ดวงตาสีครามมองจานผลไม้กับขวดยาที่ถูกเก็บก่อนคนเก็บจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่รู้จะพูดอะไร ทันทีที่ร่างใหญ่พ้นสายตา หยาดน้ำตาพลันไหลออกมาอย่างที่ฟาเรสก็ไม่เข้าใจตัวเอง

เจ็บ...มือบางกุมอกแล้วกำแน่น การกระทำของเวลอร์มีผลต่อความรู้สึกเขามากมายเหลือเกิน ไม่รู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลต่อตนมากเพียงนี้ ราวกับว่าที่เวลอร์ยังอยู่ในห้องนี้เพราะเขาต้องดูแลตามหน้าที่เท่านั้นเอง ไม่อยากเจอเวลอร์ที่เป็นแบบนี้ ร่างบางลุกออกจากเตียงไปที่ประตู แต่ด้วยแรงกายที่ยังกลับมาไม่เต็มที่ทำเอาทรุดลงไปนั่งกับพื้น แต่ก็พยายามฝืนลุกเดินไปยังเป้าหมาย ตั้งใจจะล็อกมันซะ จะได้ไม่มีใครบางคนเข้ามาเสนอหน้าให้ทรมานใจ

แกร๊ก! ประตูเจ้ากรรมดันเปิดออกก่อนที่มือฟาเรสจะได้สัมผัสลูกบิด ใบหน้าที่อาบด้วยน้ำตามองเวลอร์อย่างตระหนกก่อนก้าวถอยเพราะไม่คิดว่าจะเผชิญหน้ากันในสภาพที่ตัวเองดูอ่อนแองี่เง่าเช่นนี้

"ปล่อยเลย" ฟาเรสว่าอย่างหัวเสียเมื่อร่างถูกอุ้มไปวางลงบนเตียงนุ่ม ร่างใหญ่โถมมาทับพร้อมรวบข้อมือเล็กกดไว้เหนือหัว "ทำบ้าอะไร"

"ร้องไห้ทำไม" ดวงตาสีครามมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ...ยังมีหน้ามาถามอีก...

“อย่ามายุ่ง!!!”

“ฉันถามอยู่นะ”

"จะรู้ไปทำไม ไม่ต้องมาทำเป็นสนใจเลย ไอ้คนงี่เง่า เมินนักก็เมินให้ตลอดไปเลยสิ ฮึก...แม่ง ถ้าจะทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนี้ไปไหนก็ไปเลย" คนข้างใต้ทั้งดิ้นทั้งโวยวาย อารมณ์ขุ่นมัวที่เก็บไว้ก่อนหน้าระเบิดออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลเอ่อ

"ไม่ไป" เสียงทุ้มบอกเรียบๆ เวลอร์จำต้องตีหน้านิ่งดัดนิสัยเด็กดื้อ แต่น้ำตาของคนตรงหน้ากลับทำใจเขาอ่อนยวบ ฟาเรสเบ้ปากอย่างขัดใจพร้อมหันหนีไม่ยอมมอง ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม เห็นแบบนี้รังแกไม่ลงแล้วล่ะ

"รู้สึกยังไง หืม" เวลอร์ถามพลางเอามือข้างที่ว่างจับคางให้ฟาเรสหันมามอง พอหลบสายตาไม่ได้เจ้าตัวเลยเลือกจะหลับตาหนี

“รู้สึก เรื่องอะไร”

"แย่ใช่ไหมล่ะ" ใบหน้าคมโน้มลงไปจูบซับหยาดน้ำตาทำเอาคนถูกกระทำสั่นเกร็ง

"แย่สิ นายเมินฉันแบบนี้ บอกว่าเกลียดไปเลยยังดีซะกว่า" เสียงหวานตอบปนสะอื้น

"ใช่ มันโคตรแย่ รู้ไหมตอนที่ฉันเห็นนายทุรนทุรายจากไอ้ยาบ้าๆ นั่น ก็รู้สึกแย่พอกัน" จมูกโด่งคลอเคลียแก้มใสก่อนจะกระซิบบอกสิ่งที่คิด ดวงตาสีครามลืมขึ้นมองหน้าเขาอย่างฉงน

"เพราะงั้นเลยโกรธฉันเหรอ"

"โกรธสิ โกรธที่ทำอะไรบ้าๆ รู้ไหมทุกคนพยายามปกป้องนายมากแต่นายเองกลับมาหาเรื่องให้ตัวเองเป็นอันตรายแบบนี้ มันน่าโกรธไหมล่ะ" เวลอร์มองมาด้วยสายตาดุดันเหมือนผู้ใหญ่ปรามเด็กอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ ฟาเรสรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันใด อย่างน้อยมันก็ดีกว่าสายตาเฉยชานั่น

"ขอโทษนะ" คนผิดบอกเสียงแผ่วพลางหลบสายตาคมที่จ้องเขาไม่เลิก ทำเอาแก้มใสซับสีเข้มอย่างห้ามไม่อยู่

"อย่าทำให้เป็นห่วงอีกล่ะ" คนตัวโตฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่มนั่นไปที ทั้งหมดก็เพราะอยากให้ฟาเรสรับรู้สิ่งที่เขารู้สึกบ้างจะได้ไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนี้อีก

แม้ฟาเรสจะเรียนเก่งและเป็นคนฉลาด แต่อย่าลืมว่าเจ้าตัวเพิ่งสิบหก ความคิดอ่านบางอย่างยังไม่ค่อยรอบคอบ บางครั้งก็ทำอะไรโดยไม่นึกถึงผลที่ตามมา เหมือนอย่างครั้งนี้ หากเวลอร์ไม่อยู่และหายาแก้ได้ทันท่วงที ร่างกายบอบบางนี่อาจช็อกจนถึงตายได้ ยิ่งมีเจ็มไหลเวียนในกายยิ่งเป็นอันตรายจากพลังที่ไม่สมดุลและควบคุมไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้วฟาเรสมีพลังเวทย์บริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลาง หากแต่ต้องฝึกฝนเรียนรู้เท่านั้นเอง

"เฮ้ย!!!" พอความขุ่นเคืองจางไปความเขินอายก็เข้ามาแทน ฟาเรสร้องออกมาเมื่อตระหนักได้ถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ โดนคนอื่นคร่อมไว้แถมเป็นผู้ชายตัวโต หากเป็นสาวสวยเขาคงยินดีแต่นี่มันไม่ใช่ ข้อมือที่โดนรวบไว้ชักเจ็บขึ้นมาเสียแล้วสิ

"เว ปล่อย"

"หืม"

"ปล่อยมือ มันเจ็บ"

"อ๊ะ โทษที" มือกร้านคลายออกแต่ไม่วายดึงข้อมือขาวนั่นมาจูบเบาๆ ตรงที่เป็นรอยแดง ทำเอาหน้าเนียนเห่อร้อนไปหมด

"งื้อ พอ พอแล้ว ลุกออกไปด้วยมันหนัก" ใบหน้าหล่อยิ้มรับก่อนจะพลิกตัวฟาเรสให้มาอยู่ด้านบนแล้วกอดกระชับ

"ไม่หนักแล้วนะ" คนถูกกอดถึงกับเหวอไม่คิดว่าจะมามุกนี้ ทั้งขืนตัวออกทั้งทุบทั้งตีแต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะปล่อย ซ้ำร้ายยังกอดแน่นกว่าเดิม จนเขาต้องหยุดเองเพราะกลัวมีคนช้ำตายไปเสียก่อน

"ไอ้บ้าเว" ฟาเรสสบถ ก่อนจะซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างอย่างปลงๆ จบด้วยการอยู่เฉยให้เขากอดทุกทีสิให้ตาย หรือเขาควรทำตัวให้ชิน

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จ้าาา

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 9


"ไง ไอ้หลานรัก ไหนมาสารภาพซิ ว่าก่อเรื่องอะไร" ลุงเอเบรียนมาเยี่ยมในสองวันต่อมา เพื่อนในห้องต่างมองหน้ากันอย่างวิตกระหว่างนั่งดูฟาเรสโดนท่านผู้อำนวยการสอบปากคำอยู่ในห้องนั่งเล่น

"อะ เอ่อ ผมแค่ลองเทสต์ยาที่ผสมเองนิดหน่อยตอนประลองน่ะครับ"

"ไม่นิดแล้วมั้ง ยาอะไร" คิ้วเข้มของผู้เป็นลุงขมวดมุ่นอย่างคาดคั้น มั่นใจเลยว่าต้องเป็นยาอันตราย ไม่งั้นหลานชายคงไม่นอนซมขนาดนี้

"ก็ เป็นยาที่ผสมเจ็มโมเลกุลเล็กๆ อะเอ้อ...แบบ พอมีเจ็มไหลเวียนอยู่ในตัว เราจะได้ใช้พลังเวทย์ได้อย่างอิสระไง แหะๆ" คนถูกสอบหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นสายตากรุ่นโกรธของลุง "แต่มันก็ใช้ได้นะครับ"

"ใช้ได้แต่ผลข้างเคียงเกือบตายนี่นะ"

"ก็ผมอยากเข้ารอบแปดคนนี่ รอบที่แล้วผมโดนเตะอาวุธหลุดมือเกือบแพ้ เลยหาทางแก้ปัญหา แล้วตอนลองนิดๆ มันก็ไม่เป็นไร" ฟาเรสแก้ตัวเสียงอ่อยพลางก้มหน้างุด

"เลยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นยังไงงั้นเหรอ" นัยน์ตาสีเทาดุดันจนทุกคนในห้องขนลุก

"ผมแค่อยากลองไปทำงานในหน่วยพิทักษ์" ดวงตาสีครามช้อนมองผู้เป็นลุง "ฟาร์ขอโทษ อย่าโกรธฟาร์เลย" เล่นเรียกชื่อแทนตัวเองแถมอ้อนเสียงอ่อนขนาดนี้ สุดท้ายคนสูงวัยก็ยอมแพ้แต่โดยดี

"อย่าให้มีอีก"

"ครับท่านลุง" แล้วก็รับคำอย่างเริงร่าและยิ้มกว้างให้ผู้เป็นลุง

ยิ่งเพื่อนๆ ได้รู้จักตัวตนของฟาเรสยิ่งชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวเป็นพวกมึนได้โล่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนตระหนักได้ก็คือรอยยิ้มที่มักจะทำให้ทุกอย่างรอบตัวสดใสเสมอ

"สังเกตไหมทุกครั้งที่ฟาร์ใช้อาวุธ มักจะมีปัญหา บางครั้งเจ็มก็ไม่สามารถรองรับพลังได้จนกลายเป็นเราที่เจ็บตัว"

"เอ่อ ครับ" ฟาเรสพยักหน้ารับ แม้เขาจะพยายามควบคุมพลังเวทย์ที่ไหลผ่านเจ็มให้พอเหมาะ แต่ในยามเผลอจัดเต็ม เจ็มมีอันต้องร้อนจนแตกทุกที

"นั่นเพราะพลังของเราเป็นเวทย์บริสุทธิ์ไง พลังพวกนั้นมาจากเลือดเอลฟ์ในตัวหลาน ฟาร่าเป็นเอลฟ์ที่มีพลังแข็งแกร่ง เพราะเป็นเอลฟ์ชั้นสูง สิ่งเหล่านั้นจึงถ่ายทอดมาที่หลานยังไงล่ะ เพียงแต่ต้องฝึกใช้มัน" เอเบรียนอธิบาย

"นายเจ๋งขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย" มาวิคว่า "ใช้พลังได้เเบบไม่ต้องพึ่งเจ็ม น่าอิจฉา"

"คนที่มีพลังเวทย์แฝงมากๆ ก็ทำได้นะ" คนแก่สุดบอกพร้อมยิ้มให้กับทุกคน "แต่อาจต้องฝึกหนักหน่อยจนพลังข้ามขั้นแล้วกลายเป็นพลังอิสระที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลาง แต่ก็น้อยคนจริงๆ นั่นแหละ"

"อืม ท่านลุงจะช่วยฝึกให้ผมได้ไหมครับ" ฟาเรสร้องขออย่างมีหวัง

"ฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาด้วยสิ ลำพังวิชาเอกยังแทบไม่ได้สอนเลย เอางี้ ให้เวเป็นคนสอนก็แล้วกัน อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วนี่" เอเบรียนเสนอ "อย่างเวน่ะ น่าจะสอนได้สบายๆ นายว่าไง"

"ก็แล้วแต่อารมณ์" เวลอร์ตอบเสียงเรียบ

"ไม่เต็มใจก็ไม่ต้อง" ฟาเรสแขวะ หมั่นไส้คนขี้เก๊ก

"เฮ้อ ช่วยสอนฟาร์หน่อย เดี๋ยวไปทำอะไรแผลงๆ อีกจะวุ่นเอา" เอเบรียนคะยั้นคะยอ อีกคนก็ไหวไหล่ให้ทีหนึ่ง "ไม่ปฏิเสธถือว่าตกลง งั้นให้เวสอนไปแล้วกันนะ"

"แต่...เอ่อ ครับลุง" ฟาเรสรับคำอย่างเสียไม่ได้เมื่อเจอสายตาบังคับของผู้เป็นลุง

อีกหน่อยฟาเรสคงต้องเรียกเวลอร์ว่าท่านอาจารย์แล้วละ เพราะหมอนี่สอนเขาหลายอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องสมุนไพร การทำยา ทุกสิ่งทุกอย่างในวิชาเอก แล้วนี่ยังจะมาสอนการใช้พลังเวทย์ให้เขาอีก

...ถ้าจะเก่งขนาดนี้บรรจุเป็นอาจารย์ไปเลยก็ได้นะ…

"เอ้อ รอบชิงวันจันทร์นี้ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อม เราจะเปิดให้คนนอกเข้ามาดูด้วย หวังว่าจะทำให้ผู้ชมสนุกนะ ส่วนเธอสองคน มาวิค พรีม รอบที่ผ่านมาพวกเธอทำได้ดีมาก ฉันสนุกกับการต่อสู้ของเธอจริงๆ ฝึกต่อไปนะ ฉันว่าปีหน้าถ้าลงอีกพวกเธอต้องทำได้เยี่ยมแน่ๆ" เอเบรียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทางการ

"รอบนี้หวังว่านายจะเอาจริงนะ" โอซี่หันไปบอกเวลอร์ นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความสนุก

"ได้เสมอถ้านายต้องการ"

"งั้นฉันจะให้คนดูเรื่องความปลอดภัยของสนามแล้วกัน ว่าจะเพิ่มบาเรียขึ้นอีกชั้นกันคนดูโดนลูกหลง" ผู้อำนวยการแจง จากการที่ได้เห็นสองคนนี้ประลองในรอบที่ผ่านๆ มา คนที่ประสบการณ์มากมายอย่างเอเบรียนสามารถรับรู้ถึงพลังที่มีมากเกินมนุษย์ของทั้งคู่จึงเข้าใจสถานการณ์ดี

"ขอบคุณครับ" โอซี่บอก

"งั้นฉันไปละ ดูแลตัวเองดีๆ นะไอ้หลานรัก ถ้ารู้ว่าก่อเรื่องลุงจะจับย้ายไปอยู่ด้วยที่บ้านพักของลุง คุมประพฤติไปในตัว เวมาด้วยกันหน่อยสิ" หันมาขู่เสร็จก็ออกจากห้องไป โดยหนุ่มสาวที่เหลือลุกขึ้นโค้งให้ตามมารยาท ส่วนเวลอร์ก็เดินตามผู้สูงวัยออกจากห้องไป

เป็นไปตามคาดที่สองคนนี้จะได้ชิงชัยกันเพราะพรีมเองก็แพ้ตอนรอบแปดคน มาวิคเองก็แพ้ให้เด็กปีสาม ทั้งคู่ยังแอบเสียดายที่ไม่ได้เจอกันเองเพราะดันไปท้ากันไว้ก่อนแข่ง เลยวางแผนนัดดวลกันนอกรอบอีกที

"ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปดูพวกนายแข่ง" ฟาเรสหันไปขอโทษเพื่อนทั้งสองเพราะมัวแต่พักฟื้นจนพลาดไป
ไม่เป็นไร ยังไงพวกฉันก็นัดนอกรอบกันอยู่แล้ว" มาวิคบอกปัดยิ้มๆ

"หลังจบเราต้องไปฉลองอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ คนที่ชนะไม่โอซี่ก็เว เพื่อนเราทั้งคู่นั่นแหละ มาวิคกับพรีมใครแพ้ก็เป็นเจ้ามือไปแล้วกัน" เซียเสนอความคิด

"เอางั้นก็ได้ ระวังกระเป๋าฉีกละเพื่อน" พรีมยกยิ้มพลางยักคิ้วท้าทาย

"แล้วเสาร์อาทิตย์นี้ยังไง พวกนายกลับบ้านหรือเปล่า ฉันต้องกลับว่ะ พ่อกับแม่จะตัดออกจากกองมรดกแล้วเนี่ย" มาวิคบ่นหน้างอ "ไปด้วยกันไหมฟาร์"

"ไม่ละ ขี้เกียจ" คนถูกถามปฏิเสธ

"ฉันว่าจะไปบ้านพรีมนะ อาทิตย์นี้คุณแม่นัดทานข้าว" เซียบอกพลางยิ้มเขิน คงได้เป็นลูกสะใภ้บ้านนี้แน่นอน "เหลือแต่โอซี่กับเวล่ะมั้ง"

"เอิ่ม ไม่แน่ใจนะ อาจไปหาอะไรทำคลายเครียดในเดสเซนท์ อยากไปดื่มน่ะ" โอซี่บอกพลางยกยิ้มแบบมีเลศนัย บอกให้รู้ว่าคงไม่จบด้วยการไปดื่มตามสไตล์เจ้าตัว

 
สรุปแล้วสุดสัปดาห์ของฟาเรสก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะเวลอร์เองก็บอกว่าจะไปช่วยงานท่านลุง ดีไม่มีหมอนั่นมากวนใจ อยู่ใกล้แล้วสมาธิกระเจิงหมด โชคดีที่เวลอร์ช่วยจดสรุปไว้ให้ ไม่ถึงครึ่งวันฟาเรสก็เคลียร์รายงานที่คั่งค้างเสร็จ ชีวิตมันว่าง ซ้อมก็ไม่ได้ซ้อม อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ ฟาเรสจึงตัดสินใจนั่งเรือเข้าไปยังเดสเซนท์ ว่าจะไปค้างสักคืน เดินเล่นในเมือง เผื่อมีอะไรใหม่ๆ ให้ซื้อ

"เฮ้ย ฟาร์ มาไงวะ" เสียงทักดังขึ้นระหว่างที่ฟาเรสกำลังนั่งชิวตรงท่าเรือของเดสเซนท์พร้อมกับเบียร์ในมืออีกกระป๋องพลางชมพระอาทิตย์ตกดิน

"ไงโอซี่ เคลียร์งานเสร็จไม่มีอะไรทำเลยแวะเข้ามาเที่ยวเล่นน่ะ" โอซี่ยิ้มรับก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ กับร่างโปร่ง "เอาไหม" ว่าแล้วก็ยื่นเบียร์ให้ผู้มาใหม่

"ขอบใจ แล้วนี่พักที่ไหน"

"โรงแรม...ใกล้ที่นี่แหละ" ฟาเรสบอกพลางทอดมองไปยังแสงสุดท้ายของวัน

"นายกับเวรู้จักกันนานแล้วเหรอ"

"ไม่หรอก ก็มาเจอกันที่อานิมานี่แหละ ทำไมเหรอ" ดวงตาสีครามมองคนถามอย่างแปลกใจ

"เปล่า แค่เหมือนเวจะรู้จักนายดี อย่างกับคนที่เจอมานาน" ฟาเรสได้แต่ยักไหล่

"คืนนี้ไปดื่มกันไหม" โอซี่เอ่ยปากชวน

"อายุไม่ถึงเข้าผับได้ที่ไหนละ" ในเมืองไม่เหมือนอานิมา คงมีการตรวจบัตรแน่ ฟาเรสเองก็เพิ่งสิบหก

"เรื่องนี้เดี๋ยวจัดการให้"

โอซี่นัดฟาเรสที่ผับไนท์เฮเวียตอนสองทุ่ม ฟาเรสในชุดลำลองเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงยีนกำลังยืนเคว้งรออยู่ด้านหน้า ไม่นานก็สังเกตเห็นเพื่อนตัวเองท่ามกลางผู้คนที่ออกันอยู่ตรงประตู

“ยิ้มอะไร” โอซี่ถาม

“นายดูดีจังวันนี้” ฟาเรสชม แม้จะไม่หล่อเท่าเวลอร์แต่ก็คมเข้มและเท่ไม่เบา โอซี่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม นัยน์ตาสีดำเป็นประกาย ไหนจะรอยยิ้มใจดีนั่นอีก ไม่แปลกใจเลยที่จะมีเสน่ห์ในหมู่สาวๆ

“แหม เขินนะนี่ แต่อย่าไปชมต่อหน้าเวละ ฉันกลัวอายุสั้น”

“เกี่ยวอะไรกับเว”

“หึๆ นั่นสิ” โอซี่ล้อ สายตาจับผิดนั่นทำเอาฟาเรสหน้าเห่อร้อนไปหมด “เข้าไปข้างในกัน จองโต๊ะไว้แล้ว" ว่าแล้วก็จูงมือคนตัวเล็กเข้าไปด้านในโดยที่การ์ดไม่กล้าวุ่นวายกับเขาเลยแม้แต่น้อย

คนตัวเล็กไม่รู้เลยว่าใบหน้าเนียนใส ไหนจะผมสีอ่อนของตนเมื่ออยู่ใต้แสงสลัวของบรรยากาศในผับมันช่างดึงดูด ไม่ว่าใครก็หันมอง เดือดร้อนโอซี่ต้องหันไปส่งสายตาดุดันให้จนหญิงชายเหล่านั้นรีบหลบตาทันที

"พามาแบบนี้คงไม่โดนไอ้เวฆ่าทิ้งหรอกนะ" เสียงทุ้มพึมพำ ที่ชวนก็แค่อยากให้ฟาเรสได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ชีวิตมีแต่เรียนกับป่วยกลัวจะเบื่อไปเสียก่อน เขาไม่ได้ปรารถนาอะไรในคนตัวเล็กอยู่แล้ว เพราะสำหรับโอซี่นั้นเอ็นดูฟาเรสในฐานะเพื่อน แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นน้องชายที่ต้องดูแล เขาดูออกว่าเวลอร์น่ะหวงฟาเรส ก็เลยท้าพนันไปเพราะอยากเห็นพลังที่แท้จริงของอีกฝ่าย

"ไงโอซี่ ไปพาหนุ่มน้อยที่ไหนมา" สาวๆ ที่นั่งเต็มโต๊ะเอ่ยทัก ฟาเรสถูกดึงไปนั่งที่โซฟาตัวยาวก่อนสาวสวยสองนางจะประกบซ้ายขวาอย่างถูกใจ

"ไงจ๊ะ ชื่ออะไรละเรา" สาวผมสีเบจเอ่ยถามพลางเคลียแก้มใสเบาๆ

"ฟาเรสครับ"

"อุ๊ย น่ารัก กินได้ไหมโอซี่" สาวผมดำอีกคนหันไปถามโอซี่ที่นั่งลงตรงโซฟายาวอีกตัว

"จับได้ ดูได้ แต่ห้ามกิน" โอซี่ตอบยิ้มๆ พลางเอนหลังพิงพนักก่อนรับเครื่องดื่มที่สาวสวยคนหนึ่งชงให้ ในโต๊ะตอนนี้มีอยู่เจ็ดคน รวมเพื่อนเที่ยวที่โอซี่ชวนมาด้วยซึ่งทั้งหมดเป็นผู้หญิง

ดื่มกันไปคุยกันไป ทุกคนต่างให้ความสนใจถามไถ่ฟาเรสเป็นอย่างดี พวกเธอพากันขุดเรื่องฮาๆ เปิ่นๆ ของโอซี่ออกมาเล่า แต่เจ้าตัวก็ไม่ถือสากลับยิ้มรับเสียอีก ฟาเรสถูกชวนไปออกสเต็ปบนฟลอร์กลางแต่ได้ไม่นานโอซี่ก็ต้องลากเพื่อนกลับมานั่งโต๊ะเพราะทนเห็นเพื่อนโดนลวนลามไม่ไหว จวบจนตีหนึ่งจึงพากันแยกย้าย ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปส่งฟาเรสที่โรงแรม แต่ร่างโปร่งเห็นเพื่อนหิ้วสาวกลับมาด้วยเลยรู้สึกเกรงใจ ออกปากว่าจะกลับเองจึงได้ร่ำลาไปทางใครทางมัน

"เจอกันวันจันทร์นะ" โอซี่บอกลาพลางมองตามร่างโปร่งที่เดินห่างออกไปจนลับตา คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ยังไงเจ้านั่นก็เป็นผู้ชาย แถมต่อยตีเก่งพอตัว...เด็กมันหนีมาเที่ยวรู้ไหมเนี่ย โทรไปแซวสักหน่อยดีกว่า…

"ไงเว" เอ่ยทักทันทีเมื่อมีคนรับสาย

"มีอะไร"

"ฉันเจอฟาเรสด้วยว่ะ"

"ฮะ ไปเจอได้ไง ไหนว่าอยู่อานิมา" ปลายสายถามเสียงขุ่น อารมณ์เหมือนพ่อที่ลูกหนีเที่ยว

"เจอที่ท่าเรือเดสเซนท์เมื่อเย็นเลยชวนมาผับด้วย เพิ่งแยกกันเมื่อกี้เห็นว่าจะกลับโรงแรม”

“โรงแรมไหน”

“แถวท่าเรือนั่นแหละ" ปลายสายถอนหายใจเฮือกใหญ่ ได้เห็นท่าทีร้อนรนของเวลอร์ทำให้เขารู้สึกสนุกจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว "ให้ตามไปส่งไหม ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้น"

"ไม่ต้อง เดี๋ยวจัดการเอง" ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ตัดสายไป ในใจคิด เมื่อไหร่สองคนนี้จะลงเอยกันเสียที สงสารก็แต่มาวิค งานนี้อกหักแน่ แต่ก็แอบกลัวใจเพื่อนตัวเอง คนอย่างมาวิคเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งคงไม่เล่นอะไรแผลงๆ หรอกนะ

 
ฟาเรสเดินไปตามทาง โรงแรมอยู่ห่างจากที่นี่ราวสองกิโลเมตร ที่เลือกเดินเพราะอยากซึมซับบรรยากาศของเมืองในยามค่ำคืน แม้จะปราศจากเสียงรถราและผู้คนแต่ไฟตามทางก็ยังส่องสว่างอวดโฉมสิ่งก่อสร้างให้ดูสวยไปอีกแบบ ในไวท์ออชาร์ดไม่ค่อยมีตึกสูงนัก แต่อาคารบ้านเรือนก็สวยไม่แพ้กัน เน้นตกแต่งด้วยลวดลายธรรมชาติให้ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม

ชักคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วสิ คิดถึงท่านพ่อท่านแม่และน้องสาวฝาแฝดจอมป่วน เหมือนได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของทั้งคู่ลอยมาตามลมชวนให้ขอบตาร้อนผ่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดถึงวิหารกลางน้ำ คิดถึงรูปสลักที่นั่งอยู่ตรงนั้น ถึงเจ้านั่นจะตอบโต้อะไรไม่ได้แต่ก็เป็นผู้รับฟังยามเขาทุกข์ใจ แม้บ้านจะเหลือเพียงความทรงจำแห่งการสูญเสียแต่ก็อยากกลับไปสักครั้ง

ขณะที่ปล่อยใจไปกับเรื่องราวแสนสุขในอดีต สองเท้ากลับหยุดชะงักเพราะรับรู้ถึงความผิดปกติรอบกาย ชายสี่คนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าฟาเรส ลางสังหรณ์ย้ำเตือนว่ากำลังจะมีอันตราย ดวงตาสีครามมองหาทางหนีทีไล่ แต่เมื่อหันกลับไปด้านหลังดันมีไวด์โซลสามตัวกระโจนมาขวางไว้ ก่อนที่ตัวอื่นจะปรากฏกายออกมาจากความมืดอีกหลายสิบตัว ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว

...มนุษย์ที่มากับไวด์โซล เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย…

"กว่าจะหาโอกาสที่แกอยู่คนเดียวได้ ลำบากเป็นบ้า นึกว่าจะต้องบุกเข้าไปในอานิมาลากตัวออกมาเสียอีก" หนึ่งในนั้นเอ่ยพลางแสยะยิ้ม

"แกเป็นใคร ต้องการอะไร"

"กำจัดแกไง" มันตอบเสียงดัง

"เฮ้เดรก นายท่านบอกให้เจรจาก่อน" อีกคนหนึ่งเอ่ยแย้งก่อนหันมายิ้มละไมให้ฟาเรส "ไปกับเราไหมเด็กน้อย ความสามารถของเธอน่ะ เราต้องการมัน ทำงานกับเรา เราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี" เจ้านั่นกล่อมเสียงนุ่ม

"ไม่มีทาง" ฟาเรสปฏิเสธทันควัน สองคนนี้เป็นพวกเดียวกับไวด์โซล เขาคงไม่มีวันอยู่ร่วมกับสิ่งที่ทำลายครอบครัวเขาเด็ดขาด

"แน่ใจนะที่ตอบแบบนั้น"

"แน่สิ ฉันไม่มีวันทำงานกับปีศาจหรอกโว้ย" ฟาเรสปฏิเสธเสียงแข็ง แม้รู้ว่าไร้ทางรอดแต่หากต้องสู้เขาก็จะสู้ให้ถึงที่สุด
"งั้นก็ช่วยไม่ได้"

กรร!!! สิ้นเสียงเจ้านั่น เหล่าไวด์โซลก็ทะยานหาร่างโปร่งบางอย่างพร้อมเพรียง ฟาเรสหลบการโจมตีได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยความรวดเร็วคล่องแคล่วที่ฝึกตัวเองมาอย่างหนักเพื่อการประลอง แต่สิ่งที่เลวร้ายก็คือในมือไม่มีอาวุธให้สวนกลับนอกจากเท้าและหมัดซึ่งไม่สามารถหยุดมันได้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาแย่แน่

"อั๊ก!!!!" ในช่วงชุลมุนหนึ่งในสี่ตัวนั้นพุ่งเข้าหาฟาเรสที่ยังไม่ทันตั้งตัว ร่างบางถูกกระเเทกอย่างจังจนกระเด็นไปหลายเมตรทำเอาจุกแทบลุกไม่ขึ้น "ชิ เจ้านี่"

"ตอบรับพวกเราก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวแล้ว" มันแสยะยิ้มร้ายพลางอวดคมมีดวาววับในมือ เจ้านั่นทะยานเข้ามา ด้วยสภาพแบบนี้คงยากที่จะหลบพ้นเพราะอีกคนช่างไวเหลือเกิน

ฉัวะ!!! ความคมเฉือนลงผิวเนื้อตรงคอหอยก่อนเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจะอาบไปทั่วร่างบางที่ทรุดนั่งอยู่กับพื้น แล้วร่างของหมอนั่นก็ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นเผยให้เห็นโฉมหน้าผู้ลงมือ

"วะ เว" ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง นัยน์สีอำพันบัดนี้วาวโรจน์ในแสงสลัว ม่านตารีเรียวดุจดวงตาของสัตว์ร้ายทำเอาร่างฟาเรสรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว เวลอร์ยกมือที่อาบไปด้วยเลือดแลบเลียไปตามกรงเล็บแหลมคม

"แก ไอ้สารเลว" ชายอีกสามคนที่เหลือเดือดดาลเพราะเพื่อนกลายเป็นศพ พวกมันต่างกรูกันเข้ามาพร้อมกับเหล่าไวด์โซลหมายจะปลิดชีวิตพวกเขาทั้งคู่

"หลับตาซะถ้าไม่อยากเห็นอะไรน่ากลัว" เวลอร์สั่งด้วยน้ำเสียงแหบห้าวกว่าปกติพลางดึงร่างโปร่งให้ยืนขึ้น

ฟาเรสได้แต่ยืนตาค้างมองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ร่างกายแข็งทื่อจนไม่อาจขยับได้ เสียงกรีดร้องอย่างทรมานทั้งของอันเดธและมนุษย์อื้ออึงไปทั่วบริเวณในยามที่ร่างแกร่งเคลื่อนผ่านและฉีกกระชากพวกมันเป็นชิ้นๆ จนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน ศพแล้วศพเล่าที่ร่วงกองสู่พื้นจนตอนนี้พื้นที่เขายืนนองไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม

"ดะ ได้โปรด อย่า" มนุษย์คนสุดท้ายอ้อนวอนแทบเท้าของเวลอร์ด้วยความหวาดกลัว "เด็กนั่น ฮึก ฉันจะไม่ยุ่งกับเด็กนั่นอีก"

แกรก!!! หัวเจ้านั่นถูกบิดแรงจนหันกลับหลัง ดวงตาเบิกโพลงบอกถึงความกลัวสุดขีดก่อนตายกลายเป็นซากรวมกับคนอื่นๆ

"ฟาร์..."

"เฮือก!!!" ร่างบางสะดุ้ง พลางก้าวถอยทันทีที่เวลอร์เดินเข้ามา กลัว คือสิ่งเดียวในใจ ภาพศพที่นอนเกลื่อนกลาดทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะเกรงจะเป็นหนึ่งในนั้น

"กลัวฉันเหรอ" เวลอร์ถามเสียงอ่อน ดวงตาสีอำพันหม่นลงอย่างเจ็บปวดกับท่าทีที่ได้รับ เพราะอย่างนี้ถึงบอกให้หลับตา เพราะอย่างนี้ถึงไม่อยากให้เห็น

เขาดีใจที่เวลอร์มาช่วยแต่ก็กลัวตัวตนเมื่อครู่เหลือเกิน ราวกับยมทูต ราวกับปีศาจแห่งความตาย สองเท้ายังคงก้าวถอยอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่พ้นเพราะอีกคนถลาเข้ามาดึงรั้งเอวบางเข้าสู่อ้อมกอด

"เว...อย่า!!!" สัญชาตญาณทำให้ฟาเรสดิ้นรนพยายามรั้งตัวออกให้ห่าง ยิ่งได้เห็นใบหน้าคมที่มีคราบเลือดกระเซ็นติดอยู่ยิ่งทำให้สติหลุดกระเจิง เขาทั้งทุบทั้งตีเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ

"ฟาร์ใจเย็นๆ"

"ไม่...ปล่อย"

"ฟาร์"

"ได้โปรด...ฮึก" ฟาเรสอ้อนวอนเสียงเครือ จนคิ้วเข้มขมวดหากันอย่างหนักใจ "เว เว ป...อื้อ"

ริมฝีปากนิ่มถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาของอีกคนก่อนจะพร่ำเพ้อไปมากกว่านี้ ร่างโปร่งที่ดิ้นรนหยุดชะงักอย่างตกใจ ริมฝีปากร้อนบดจูบแรงๆ ลิ้นใหญ่สอดแทรกเข้าไปในโพรงปากอุ่นไล่ต้อนลิ้นเล็กจนไร้ทางหลีกหนี

"อ่อย!!" ฟาเรสพยายามดันตัวออกแต่จะเอาแรงไหนไปสู้ รสจูบจาบจ้วงร้อนแรงเล่นสติกระเจิงจนแทบลืมความกลัวไปสิ้น จากมือที่ผลักดันออกห่างบัดนี้กลับขย้ำเสื้อของอีกคนแทน แม้ไม่ใช่จูบแรกของฟาเรสแต่ทุกครั้งเขามักเป็นคนคุมเกมไม่ใช่ถูกไล่ต้อนอย่างตอนนี้ ทำเอาคนเคยจูบอย่างเขาลืมหายใจไปเลยทีเดียว

"แฮก วะ เว" ทันทีที่อีกคนผละออก ฟาเรสรีบโกยอากาศเข้าปอด แต่ยังไม่เต็มที่ใบหน้าเนียนก็ถูกช้อนให้เงยหน้าขึ้นรับจูบอีกครั้ง สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยนที่ได้รับหลอกล่อให้ฟาเรสตอบสนองอย่างลืมตัว ทุกสัมผัสเป็นไปอย่างเชื่องช้าแต่อ่อนหวานทำเอาร่างโปร่งบางยืนแทบไม่อยู่หากไม่มีแขนแกร่งกอดรัดเอวไว้

เวลอร์ผละออกทอดมองริมฝีปากอิ่มที่เผยอหอบอย่างชอบใจ ใบหน้าเนียนแดงซ่าน เขาสามารถเห็นมันได้ชัดเจนแม้ในแสงสลัว ความกลัวเลือนหายไปแทนที่ด้วยความเขินอายจนฟาเรสต้องซุกหน้ากับอกแกร่งเพื่อหลบสายตาซุกซนที่มองมา

"หายกลัวหรือยัง" เสียงทุ้มหยอกเย้า ยกมือข้างหนึ่งมาลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ

"อื้อ" รับคำได้แค่นั้นเพราะใจยังคงเต้นรัว มันทั้งหวาดหวั่นทั้งเขินจนสับสนไปหมด

"คนเดียวที่ฉันไม่มีวันทำร้ายก็คือนายนะ" เวลอร์ย้ำ น้ำเสียงอบอุ่นนั่นทำให้คนฟังรู้สึกวางใจ "กลับกันเถอะ"

"อืม"



................

สารภาพบาปช่วงนี้ติดปรมจารย์ลัทธิมารมากมาย จนดินรนจิหานิยายอ่านเเต่แปลไทยดันมีมาแค่ 2 เล่มจาก 5 แถม เล่ม 2 เพิ่งเปิดพรี ดูระยะเวลาระหว่าสองเล่มกว่าจะครบท้อใจเลยค่ะ เลยไปดำน้ำแปลอิ้งเอา จะเก่งภาษาอังกฤษก็งานนี้ละว้าาา 

อินจนนั่งวาดแฟนอาร์ตเลยอะ ปล.เราชอบพระเอกรักเดียวใจเดียวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ไหนจะความแฟนตาซี และเคะแมนๆ ถูกจริตมากมาย


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เลิศ :L2:

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 10

ด้วยสภาพโชกเลือด (คนอื่น) ทั้งคู่ ฟาเรสจึงโดนพากลับอานิมาทันที ส่วนของที่เอามาเวลอร์บอกว่าจะให้คนตามไปเก็บกลับไปให้ เขาจำต้องทิ้งกุญแจห้องไว้กับคนของท่านลุง แล้วโดยสารเรือส่วนตัวที่เพื่อนร่วมเอกเตรียมมากลับสู่เกาะ ก็ดี ขืนขึ้นเรือโดยสารของมหาวิทยาลัยคงโดนเจ้าหน้าที่รวบตัวเป็นแน่ ไม่โดนจับส่งโรงพยาบาลก็เข้าคุก

ตลอดทางที่นั่งเรือกลับมีเพียงความเงียบ เวลอร์รับปากว่าจะเล่าให้ฟังว่าที่เกิดขึ้นมันคืออะไรหลังจากกลับไปถึง ทั้งคู่มาถึงหอพักประมาณตีสาม โชคดีที่นักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านในสุดสัปดาห์แถมยังดึกมากแล้วเลยไม่มีใครเห็นทั้งคู่ในสภาพเละเทะแบบนี้ ต่างคนต่างแยกย้ายไปชำระล้างตัวเอง เสื้อผ้าของฟาเรสจำต้องทิ้งเพราะไม่สามารถซักคราบเลือดออกจนหมด ไอ้ที่มึนๆ เมาๆ สร่างตั้งแต่จะโดนพวกไวด์โซลขย้ำ แล้วยิ่งตาสว่างเพราะโดนไอ้บ้าเวลอร์จูบ

...คิดแล้วโมโห อารมณ์ขึ้น หึ่ย!!!...

สองเท้าพาร่างโปร่งมาหยุดหน้าประตูห้องข้างกันซึ่งเปิดออกต้อนรับทันทีอย่างรู้งาน เวลอร์หลบให้เขาเดินเข้าไปพลางเช็ดผมที่กำลังเปียกของตน เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในห้องนี้ ปกติมีแต่อีกฝ่ายที่ไปตีเนียนนอนห้องเขา ช่างเป็นห้องที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ ฟาเรสนั่งลงตรงโซฟากลางห้องส่วนเจ้าของห้องดันนั่งขัดสมาธิบนพื้นตรงหน้า

"ทำอะไรน่ะ" คนตัวโตไม่ตอบกลับยื่นผ้าขนหนูมาให้ "มาถึงก็ใช้เลย" ปากบ่นแต่ก็รับผ้ามาเช็ดผมให้อีกคนอย่างเบามือ ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป เจ้าของห้องไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากจนคนอยากรู้ทนไม่ไหวเริ่มเปิดประเด็นเสียเอง

"ไหนว่าจะเล่าให้ฟังไง" ฟาเรสทวง คนถูกทวงโถมกายกอดเอวบางพลางซุกหน้าเข้ากับท้องเขาทำเอาคนถูกกอดนั่งเกร็ง น่าแปลกที่ฟาเรสเองก็ไม่ได้รังเกียจที่ถูกอีกคนกอดเสียด้วย ไอ้ท่าทีออดอ้อนแบบนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าคือคนคนเดียวกับที่ฉีกกระชากทั้งมนุษย์และอันเดธเป็นชิ้นๆ ในไม่กี่ชั่วโมงก่อน

“ฉันควรเริ่มยังไงดี”

"เล่าแค่ที่เกี่ยวกับฉันก็พอ เรื่องของนายไว้อยากเล่าค่อยเล่าแล้วกัน"

"จำได้ไหมที่ฉันบอก ไวด์โซลเป็นอันเดธที่มาจากอีกโลกผ่านรอยแยกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ก็มีคนที่มีพลังในการควบคุมมิติ สามารถเปิดปิดรอยแยกระหว่างโลกนั้นได้ มีคนที่ใช้พลังนี้ในทางที่ผิด อัญเชิญพวกไวด์โซลมาเพื่อรับใช้ ระรานคนอื่นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ หัวหน้าของคนเหล่านั้นพยายามรวบรวมคนที่มีพลังเหมือนตัวเองไปเป็นพวก ใครต่อต้านก็กำจัดทิ้งเพื่อไม่ให้มาขัดขวางในอนาคต คนที่มีพลังนี้จึงเหลืออยู่น้อยเต็มที และฟาร่าก็เป็นหนึ่งในนั้น"

"แม่น่ะเหรอ งั้นที่แม่เสียก็เพราะพวกมันงั้นเหรอ” เวลอร์ส่ายหน้า

“ไม่ใช่ เธอจากไปเพราะต้องการปกป้องบางสิ่ง” ร่างสูงเลือกที่จะปิดบัง หากบอกว่าฟาร่าจากไปเพราะสูญเสียพลังจากการผนึก เขาก็ไม่รู้ว่าฟาเรสจะมองยังไง

“แล้วฉันละ มีพลังที่ว่าไหม”

“มีสิ สายเลือดเอลฟ์ของฟาร่าทรงพลังมาก ฟาร์ต้องได้รับมาแน่นอน”

“งั้นที่พวกมันบุกมาที่บ้านก็เพื่อกำจัดฉัน ทุกคนตายเพราะฉัน” แล้วทำไมทุกคนถึงยังปกป้อง ทำไมต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนทั้งๆ ที่สักวันจุดจบอาจเป็นแบบครอบครัวคาเดนเซีย ฟาเรสไม่รู้ตัวเลยว่ามือทั้งสองกำแน่นจนจิกเข้าไปในเนื้อ

"ทำไมทุกคนถึง...ฮึก" คำพูดกลืนหายไปกับเสียงสะอื้น สุดท้ายฟาเรสก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ เวลอร์ลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างก่อนจะดึงร่างบางมากอดไว้

"จริงอยู่ที่ว่าถ้ารอยแยกถูกเปิดออกก็ต้องมีคนปิดมัน ที่ทุกคนปกป้องไม่ใช่เพียงเพราะนายมีพลังนั่น แต่เพราะทุกคนเห็นนายเป็นครอบครัวที่เขารัก"

"ตอนที่แม่อยู่ แม่โดนฮึก...ตามล่าหรือเปล่า"

"ก็โดนนะ แต่ฟาร่านะแข็งแกร่งมากเลยรู้ไหม เธอพยายามสู้กับพวกนั้นมาโดยตลอด ดังนั้นนายเองก็ต้องเก่งขึ้นให้ได้ เข้าใจไหมฟาร์"

ฟาเรสเพียงพยักหน้ารับพร้อมซุกหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้น แขนแกร่งกอดกระชับแล้วเอนกายลงกับโซฟานุ่ม ให้กำลังใจได้ เป็นที่พักพิงได้ แต่เวลอร์ไม่อาจไปจัดการกับจิตใจใครได้ คงต้องปล่อยให้เจ้าตัวทำใจแล้วเข้มแข็งขึ้นมาเอง คนตัวเล็กสะอื้นไห้อยู่พักใหญ่ก็ผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

...ร้องไห้จนหลับเป็นเด็กเลย…

ว่าแล้วก็พาเด็กขี้แยเข้านอน ก็ดีไม่ต้องตีเนียนไปขอนอนด้วย เพราะเจ้าตัวมาเป็นหมอนข้างให้ถึงที่
 
แล้วการแข่งรอบชิงชนะเลิศก็มาถึง ฟาเรสเลือกไม่ถูกเลยว่าจะเชียร์ใครดี ก็เพื่อนเขาทั้งคู่นี่นา แต่ในใจแอบเชียร์เวลอร์มากกว่า อย่ามองแบบนั้นสิ เพื่อนร่วมเอกก็ต้องสนิทมากกว่านะ โชคดีที่ผู้เข้าแข่งขันสามารถกันที่นั่งข้างสนามให้คนสนิทได้ แต่ทั้งโอซี่และเวลอร์ไม่มีญาติมาดูทั้งคู่ ที่นั่งเลยกลายเป็นของพวกเขาโดยปริยาย

"มันต้องแต่งขนาดนี้เลยเหรอวะ" พรีมว่าเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองที่ออกมาจากห้องเตรียมตัว

โอซี่ในชุดเกราะสีทองแดงลายวิจิตรยิ้มกว้างมาทางพวกเขา มันช่างดูเข้ากันดีกับรูปร่างสูงใหญ่และไหล่กว้างของเจ้าตัว จนดูเหมือนนักรบมากกว่าเด็กมหาวิทยาลัย ในขณะที่เวลอร์เองก็อยู่ในชุดเกราะสีเงินที่ดูกลืนไปกับผมสีควัน ขนาดตัวไม่ได้แพ้คู่แข่งเลย ยิ่งรวมกับใบหน้านิ่งๆ ยิ่งทำให้ดูเยือกเย็นและแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน

"เดินออกไปสาวคงกรี๊ดสนามแตก" เซียเอ่ยแซว เสียงประกาศก้องจากด้านนอกบอกเตือนว่าถึงเวลาแล้ว พวกเขาเดินไปส่งเพื่อนยังทางออกสู่สนาม

"ขอไม่เชียร์ใครแล้วกันนะ แต่ก็เต็มที่เลยพวก" มาวิคว่าก่อนตบไหล่เพื่อนทั้งสอง

"ฉันก็เหมือนกัน" พรีมบอก

"ลำบากใจนะเนี่ย แต่ก็สู้ๆ แล้วกันนะ ทั้งคู่เลย" เซียยิ้มหวานพลางกอดสองหนุ่มไปคนละที

"เอ่อ สู้ๆ" ฟาเรสบอกแค่นั้น แต่พอจะเดินไปยังที่นั่งมือกลับถูกใครอีกคนรั้งเอาไว้ ดวงตาสีอำพันมองหน้าเขาก่อนจะก้มลงมากระซิบที่ข้างหู

"จูบหน่อย" เป็นคำร้องขอที่เรียกเลือดมารวมบนใบหน้าได้อย่างง่ายดาย

"บะ บ้า...อยากจูบผู้ชายมากหรือไง"

"อยากได้กำลังใจต่างหาก" เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน "นะ"

"งั้นก็ชนะสิ...จะยอมให้จูบ" ฟาเรสบอกอย่างขัดเขิน

...นับวันยิ่งอาการหนักนะเราเนี่ย…

คนตัวโตหัวเราะเสียงแผ่วก่อนยอมผละออกแต่ไม่วายขโมยหอมแก้มไปหนึ่งที พอหันไปเจอสายตาล้อเลียนจากโอซี่ ฟาเรสจึงรีบเผ่นหนีไปประจำที่นั่งแทบจะทันที

สองผู้ชิงชัยเยื้องย่างสู่สนามอย่างสง่างาม เรียกเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง โดยเฉพาะเหล่าสุภาพสตรีที่ดูจะออกนอกหน้าเป็นพิเศษจนคนดูอย่างฟาเรสอดหมั่นไส้ไม่ได้ แถมไอ้คุณโอซี่ของเรายังโบกไม้โบกมือและยิ้มหวานเรียกคะแนนไปอีก

"อ้าว สาวๆ ใจเย็นกันหน่อยครับ" เสียงพิธีกรเอ่ยแซว "รอบชิงปีนี้เป็นอะไรที่เกินคาดจริงๆ ใครจะคิดละ ว่าผู้ท้าชิงจะเป็นน้องใหม่ทั้งคู่ โอซี่ อคูซิโอ และ เวลอร์ โมนาร์คา ถึงจะเป็นน้องใหม่แต่ฝีไม้ลายมือก็ไม่ธรรมดา เรายังไม่เห็นพลังเวทย์ของสองหนุ่มนี้เลยในรอบที่ผ่านมา หวังว่ารอบนี้จะได้อะไรดีๆ กันนะครับ ก่อนอื่นให้ผู้ท้าชิงแนะนำตัวสักหน่อย” ว่าแล้วก็ยื่นไมค์ให้เวลอร์

“สวัสดีครับ เวลอร์ จากคณะวิทยาศาสตร์” ว่าจบก็ส่งไมค์ต่อให้โอซี่ ทำเอาสาวผิดหวังเล็กน้อยเพราะคาดหวังว่าเจ้าตัวจะพูดอะไรมากกว่านี้

“โอซี่จากคณะการทหารครับ ขอบคุณที่คอยให้กำลังใจในรอบที่ผ่านๆ มานะครับ วันนี้ผมกับเวจะทำเต็มที่ หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการประลองวันนี้” สิ้นคำเสียงกรี๊ดดังตามมาระลอกใหญ่ เจ้าตัวเองก็โบกมือรับพลางยิ้มกว้าง

“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน จากนี้ อย่าลุกจากที่นั่ง อย่าแม้แต่จะคลาดสายตา เพราะผมมั่นใจว่าคุณต้องเสียดายแน่ๆ เพราะนี่คือการประลองประจำปีรอบชิงชนะเลิศระหว่าง โอซี่ อคูซิโอ และ เวลอร์ โมนาร์คา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทั้งสองเริ่มได้"

สิ้นเสียงประกาศ พิธีกรก็เดินออกไปด้านข้าง ม่านพลังค่อยๆ ปกคลุมทั่วสนามจนปราศจากรอยต่อ กั้นระหว่างผู้ชมและผู้ประลองไว้ถึงสองชั้น

"เห็นมีมัดจำไว้ก่อนด้วย" โอซี่หันไปแซวคนข้างกาย คนโดนแซวยิ้มรับแทนคำตอบ แล้วสองหนุ่มก็พยักหน้าให้กันก่อนจะเดินแยกไปคนละฝั่งของสนาม

โอซี่ยื่นมือไปข้างหน้าก่อนที่จะเกิดสายพลังเคลื่อนขึ้นมาจากพื้นดิน หลอมรวมกลายเป็นดาบยาวสีทองแดงในมือใหญ่ ส่วนเวลอร์เองก็ไม่น้อยหน้า เมื่อรอบกายเกิดสายลมกระโชกพัด ก่อเกิดสายพลังหลอมรวมเป็นดาบน้ำแข็งในมือเช่นกัน ทำเอาทุกคนในสนามถึงกับอึ้งก่อนจะส่งเสียงฮือฮาออกมายกใหญ่

"พลังเวทย์บริสุทธิ์ ว้าวววว สมศักดิ์ศรีคู่ชิงของเราจริงๆ" พิธีกรบอกด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ

...นี่สินะ พลังเวทย์บริสุทธิ์…

ฟาเรสมองภาพในสนามอย่างสนใจ ท่านลุงบอกว่าเขาเองก็มีพลังเวทย์บริสุทธิ์เช่นกัน ถ้าทำแบบนั้นได้คงเท่ไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าโอซี่จะมีพลังระดับนั้นเช่นกัน อาจเพราะมีสายเลือดออคนั่นเอง

สองร่างทะยานเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาดำ คลื่นพลังจากการปะทะแผ่กระจายไปรอบด้านจนม่านพลังรอบสนามสะเทือน คมดาบน้ำแข็งเฉียดผ่านเกราะทองแดงทำเอาโอซี่ที่เอนหลบหลังกระแทกกับบาเรีย แต่ทันทีที่เท้าถึงพื้นก็ตั้งหลักหวดคมดาบสวนกลับ ฟาดใส่ร่างอีกคนที่เอาดาบน้ำแข็งรับมันไว้ได้อย่างพอดิบพอดีแต่ก็รุนแรงจนพื้นใต้เท้ายุบและร้าวเป็นวงกว้าง ในสนามยามนี้มีแต่การต่อสู้ ส่วนคนดูกลับเงียบงันเพราะทุกคนเอาแต่จับจ้องในสนามอย่างตั้งใจ แม้แต่พิธีกรเองก็ยังหาเสียงตัวเองไม่เจอลืมพากย์ด้วยซ้ำ

การโจมตีทุกครั้งช่างรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ของมนุษย์ ฟาเรสรู้ดีว่าทั้งสองไม่ใช่ ขนาดชุดเกราะที่ใส่มายังแตกร้าวจนคมดาบบาดลึกยันผิวหนัง ทำให้เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมา แต่ทั้งสองกลับไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ซ้ำยังแย้มยิ้มราวกับสนุกเสียเต็มประดา โอซี่ดูยับเยินกว่าเพราะชุดเกราะที่ใส่แตกร้าวจนไม่เหลือเค้าเดิม

เวลอร์มองคู่ต่อสู้อย่างถูกใจ สิ่งหนึ่งที่ยอมรับคือฝีมือและแรงกาย ขนาดอายุเท่านี้ยังทำเขาบาดเจ็บได้ หากฝึกฝนนานไปคงกลายเป็นคนที่ไม่อยากเป็นศัตรูด้วยแน่ๆ อีกคนดูท่าไม่ตายไม่เลิกรีบจบก่อนที่อีกฝ่ายจะเจ็บหนักไปมากกว่านี้จะดีกว่า

"เบื่อหรือยัง"

"ยังอยากเล่นอยู่เลย" โอซี่บอกยิ้มๆ แม้จะเหนื่อยหอบและยืนเซ เวลอร์เองไม่รอช้ากำดาบให้กระชับก่อนจะทะยานเข้าหาไม่ให้อีกคนได้ตั้งตัว

ฉึก!!! ดาบน้ำแข็งแทงเข้าเกราะทองแดงตรงช่วงท้องจนทะลุไปด้านหลัง คนแทงจงใจไม่ให้เข้าจุดตายแต่ก็ทำความเสียหายมากพอให้อีกคนทรุดลงไปกองกับพื้น

"แต่ฉันเบื่อแล้ว โทษที"

"เฮ้อ" คนเจ็บทำหน้าเสียดาย ไม่ได้สนใจสภาพตัวเองเลยสักนิดแถมยังโบกไม้โบกมือปฏิเสธแพทย์สนามที่จะยกเปลเข้ามารับ เวลอร์ดึงแขนเพื่อนพาดไหล่แล้วพยุงให้ยืนขึ้น

"เอาเสียบไว้นั่นก่อนแล้วกัน ดึงออกเดี๋ยวเลือดจะไหล" เจ้าของดาบน้ำแข็งบอก

“อู้ววว เจ็บเอาเรื่องนะเนี่ย”

"เอ่อ...ครับ สำหรับแชมป์ปีนี้ก็ตกเป็นของเวลอร์ โมนาร์คา แต่เราก็ขอชื่นชมโอซี่ อคูซิโอด้วยเช่นกัน มันช่างเป็นการประลองที่ดุเด็ดเผ็ดมันยิ่งกว่าครั้งไหนจริงๆ สำหรับรางวัลปีนี้ได้แก่..." สองหนุ่มยืนฟังพิธีกรร่ายยาวแถมไอ้คนโดนแทงยังยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับเป็นคนชนะเสียเอง กว่าจะแสดงความยินดีเสร็จและให้รางวัลเสร็จ ทำเอาเพื่อนๆ อยู่ข้างสนามนั่งไม่ติดเพราะเป็นห่วงคนเจ็บ ทั้งสองก็พยุงกันไว้ตลอดพิธีการ ราวกับเพื่อนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน

"ขอบใจจ้าคนสวย" โอซี่ยิ้มหล่อให้พยาบาลที่เข้ามาทำแผล จนสาวเจ้าม้วนอายเดินไป เลือดหยุดไหลไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วง สายเลือดออคแบบเขา วันสองวันก็คงหาย

"เจ๋งนี่ โดยเฉพาะพลังนั่น" เวลอร์เอ่ยชมพลางนั่งลงข้างเตียงคนเจ็บ ตอนนี้ในห้องมีแค่เขาสองคน

"แล้วนายละ ไม่คิดเลยว่าจะยังเหลือคนที่ใช้พลังแบบนี้อยู่ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ละเว"

"ลองเดาเหตุผลดูสิ"

"หนึ่งในนั้นคงเป็น..." เวลอร์พยักหน้ารับ "แล้วเหตุผลอื่นละ"

"ยังไม่อยากบอก"

“เอาเถอะไม่ว่าเหตุผลของนายคืออะไร ฉันว่านายไม่ได้มาร้ายอยู่แล้ว จะอยู่ข้างเดียวกับนายก็แล้วกัน มีอะไรน่าสนุกก็ชวนกันหน่อย ฉันยินดีช่วยเสมอ" โอซี่บอกเสียงใส เขามาอยู่ที่เดสเซนท์ก็หลายปี ละทิ้งตัวตนทุกอย่างแล้วใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เป็นเพียงนักเรียนธรรมดา มีความสุขกับทุกวันของตัวเอง แต่นานไปก็เริ่มเบื่อ หวังว่าการเป็นเพื่อนกับเวลอร์คงมีอะไรน่าตื่นเต้นให้ทำนะ

"ได้เลยพวก" เวลอร์รับคำ "เรื่องข้อตกลงที่บอกจะทำตามฉันหนึ่งอย่างถ้านายแพ้"

"อ้อ ว่ามาสิ"

"แปะไว้ก่อน คิดออกแล้วจะมาบอก"

"รู้งี้บอกวันหมดสัญญาก็ดี นั่น...รางวัลนายมาแล้ว" นัยน์ตาสีดำมองเลยไปยังประตูที่เปิดออก ฟาเรส มาวิค พรีมและเซียพากันเข้ามาในห้อง ทุกคนต่างซักถามอาการของคนเจ็บเป็นการใหญ่ คนบนเตียงยังพูดจากวนประสาทได้จึงคิดว่าเพื่อนเขาคงไม่เป็นอะไรมาก ว่าแล้วก็ขนโขยงกันกลับห้องพัก

เรื่องฉลองในกลุ่มคงเบรกไว้ก่อน เพราะพุธ พฤหัสบดี และวันศุกร์ พวกเขาต้องสอบปลายภาคกันแล้ว ทั้งยังต้องรอพรีมกับมาวิคดวลกันนอกรอบเพื่อหาเจ้าภาพ ส่วนทางมหา’ลัยจะเลี้ยงขอบคุณผู้เข้าแข่งขันในคืนวันเสาร์ที่จะถึงโดยมีเอแวนการ์ดเป็นเจ้าภาพ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังระหว่างที่ฟาเรสกำลังจัดการมื้อดึกซึ่งเป็นผลไม้ใส่นมด้วยความหิว ข้าวเย็นก็ไม่ได้ทานแถมอ่านหนังสือเพลินจนลืมไปเลย

"นอนด้วย" เวลอร์บอกความประสงค์ทันทีที่ประตูเปิดรับ คิ้วสวยขมวดมุ่น จะขยันมานอนด้วยทำไมวะ

"ห้องตัวเองไม่มีหรือไง" ฟาเรสบ่น แต่ก็หลบทางให้อีกคนเข้ามา ส่วนเขาเองเดินไปเก็บจานที่ตัวเองกินก่อนจะไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมนอนเพราะดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว

เวลอร์นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงก่อนแล้ว พอเห็นร่างโปร่งออกจากห้องน้ำก็ตบฟูกข้างตัวแปะๆ ฟาเรสเบ้ปากใส่คนที่ทำตัวเป็นเจ้าบ้านแต่ก็ยอมคลานขึ้นเตียงไปใกล้จนถูกคนตัวใหญ่ช้อนอุ้มมานั่งบนตัก ไม่อยากยอมรับเลยว่าชอบเวลาอยู่บนตักหมอนี่ชะมัด

"ชนะแล้ว ไหนจูบ" เสียงทุ้มเอ่ยทวง ฟาเรสอึกอัก อุตส่าห์แกล้งลืมแล้วเชียวยังจะตามมาทวงอีก

"ก็จูบสิ" บอกตะกุกตะกัก ใจมันเต้นผิดจังหวะขนาดนี้ไม่ให้รนได้ยังไง

"มันเป็นรางวัลจากฟาร์นะ ต้องเป็นคนให้สิครับ" พูดเพราะไม่พอยังมาทำหน้าหล่อยักคิ้วให้อีก ตาย ฟาเรสขอตายอย่างสงบ
"ฟาร์ครับ"

"เออ รู้แล้วน่าาาา" ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเอาปากนิ่มไปเตะของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วผละออก ใบหน้าเห่อร้อนไปหมด เวลาจูบสาวไม่เห็นมันเขินขนาดนี้

"แบบนั้นไม่นับอ่ะ"

"เรื่องมากจริง" บ่นเสียงเบาพลางขย้ำเสื้อนอนอีกคนแน่นอย่างไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งนัยน์ตาคมสีอำพันจับจ้องมาไม่หยุดยิ่งเกร็งไปหมด "เว หลับตาก่อน"

อีกคนยอมหลับตาลงอย่างว่าง่าย มือเรียวจึงเอื้อมไปประคองใบหน้าคมไว้ก่อนจะจรดริมฝีปากลงอย่างตั้งใจ ละเลียดชิมริมฝีปากหนาด้วยใจที่เต้นรัว บดคลึงแผ่วเบาอย่างเอาใจแต่ไม่ได้รุกล้ำ จนคนโดนกระทำทนไม่ไหวเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาลิ้มรสโพรงปากหวานเอง หยอกเย้าเรียวลิ้นร้อนของคนตัวเล็ก หลอกล่อด้วยความอ่อนหวานจนอีกคนตอบสนองอย่างดูดดื่มและเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ฟาเรสไม่รู้ว่าจูบที่มีให้กันนี้ในฐานะอะไร แต่เขาคงไม่ปฏิเสธว่ามันรู้สึกดีจนต้องเผลอไผลไปกับมัน

"ฝันดีนะ" เสียงทุ้มกระซิบบอกก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยกอดอีกคนไว้อย่างเคย ฟาเรสชักชินกับการโดนหมอนี่นอนกอดเสียแล้วสิ

...แล้วสรุปมันดีไม่ดีวะ...

.................................

แจ้งข่าวเราได้นำนิยายเรื่องนี้ไปขายในรูปแบบอีบุ๊กค่ะ ที่เว็บของ Meb ซึ่งจะมีตอนพิเศษเพิ่มขึ้นมา 3 ตอน ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะกำลังสะสมเงินซื้อเมาส์ปากการสำหรับวาดรูปตัวใหม่ ใครสนใจอุดหนุนได้นะคะ ราคาเพียง 200 บาทเท่านั้น
http://bit.ly/EbookGOH

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 11   

              งานเลี้ยงสำหรับผู้ร่วมการประลองจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ของตึกอำนวยการ มีนายทหารของเอแวนการ์ดเข้าร่วมหลายนาย ส่วนหนึ่งเพื่อมาทำความรู้จักกับเหล่าผู้ชิงชัยที่ได้โอกาสทำงานกับหน่วยพิทักษ์ ส่วนเหล่านักเรียนที่เข้าร่วมถือโอกาสนี้เอาคู่ควงมาอวดกัน นอกจากนั้นยังมีบรรดาคนดังในวงสังคมรวมไปถึงนักธุรกิจมาร่วมด้วย ซึ่งไม่เข้าใจว่าจะมาทำไม
 
              ฟาเรสในสูทสีงาช้างขับร่างโปร่งให้ดูงามสง่าดุจเอลฟ์หนุ่มในเทพนิยาย เพื่อนคนอื่นใช่ว่าจะน้อยหน้า เพราะสี่หนุ่มที่เหลือมากันในชุดสูทสีดำหลากดีไซน์ หล่อลากกระชากใจไม่เบา หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มอย่างเซียก็สวยเผ็ดด้วยชุดแซกสีแดงสด จนแอบสงสารพรีมที่ต้องสงบสติอารมณ์ไม่ถลาไปฟาดหน้าหนุ่มๆ ที่มองคนรักตน

              นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเอแวนการ์ดให้ความสนใจกลุ่มฟาเรสมาก เพราะทั้งแชมป์และรองแชมป์อยู่ในหมู่พวกเขา แถมฟาเรส มาวิค และพรีมเองก็เป็นหนึ่งในแปดคน จนไม่วายถูกทาบทามให้เข้าทำงานหลังเรียนจบ ซึ่งพวกเขาทำเพียงยิ้มรับไป
                 เสียงเพลงช้าบ้างเร็วบ้างคลอไปกับเสียงพูดคุย เสียงหัวร่อต่อกระซิกให้บรรยากาศแห่งการสังสรรค์เป็นอย่างดี ฟาเรสควรจะรื่นเริงไปกับมัน แต่ทำไมความรู้สึกถึงตรงกันข้าม มาวิคไปทักทายบรรดาคนดังร่วมกับพ่อแม่ของตนที่มาร่วมงานด้วย พรีมกับเซียไปเต้นรำทำหวานกันอยู่กลางฟลอร์

                 ริมฝีปากสวยจิบไวน์แดงรสเลิศพลางกวาดมองไปรอบกายอย่างเหม่อลอย โอซี่และเวลอร์ดูชุลมุนวุ่นวายกันดีกับบรรดาสาวสวยที่เข้ามาเสนอตัวเต้นรำด้วย ใช่ว่าฟาเรสจะไม่มีคนสนใจเข้ามาทักทาย แต่เล่นเข้ามาทั้งหญิงทั้งชายเขาก็ไม่รู้จะรับมือยังไงจึงเร้นกายออกจากงานไปอย่างเงียบเชียบ

                 กลับมาถึงห้องก็รีบถอดสูทตัวนอกออก ปลดกระดุมสองเม็ดบนคลายความอึดอัดแล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงโซฟาหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดเพลงฟังอย่างผ่อนคลาย พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว การฝึกงานในหน่วยพิทักษ์จะเริ่มในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ทั้งที่ตั้งใจว่าจะกลับไปเยี่ยมท่านลุงกับท่านป้า เมื่อวานลองโทรหาได้ยินว่าท่านทั้งสองหนีไปพักร้อนแถบเคลวิช กลับไปคงไม่มีใครอยู่บ้าน

                 ก๊อก ก๊อก ก๊อก...อารมณ์สุนทรีย์ถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตู เปิดออกก็เจอกับมาวิคที่มาหาพร้อมขวดไวน์แดงสองขวดในมือ

                 "หยิบติดมาจากงานน่ะ คิดว่านายคงยังไม่หนำใจ" มาวิคว่าพร้อมยิ้มกว้าง

                 "ก็ว่าจะจิ๊กมาอยู่เหมือนกันแต่เกรงใจ" ฟาเรสหัวเราะแล้วเดินไปหยิบแก้วมาสองใบพร้อมขนมขบเคี้ยวอีกถุง

                 นั่งดื่มกันไปคุยกันไป ส่วนใหญ่มาวิคจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตัวเองมากกว่า ทั้งเรื่องบ้าๆ ห่ามๆ สมัยเรียนระดับพื้นฐานที่ทำให้ทั้งพรีม โอซี่ และตัวเขา โดนเอแวนการ์ดรวบไปโรงพักอยู่บ่อยครั้ง ไม่ก็เรื่องหนีไปเที่ยวผับตั้งแต่ยังอายุน้อย หรือออกไปเที่ยวนอกเมือง สถานที่สวยๆ ที่ยิ่งฟังมาวิคบรรยายเท่าไหร่ยิ่งทำให้อยากไปเยือนสักครั้ง

                 "แอบรู้สึกเสียดายชีวิตช่วงนั้นเหมือนกันแฮะ" ฟาเรสบ่น เพราะเขาไม่ได้เรียนในโรงเรียนแบบคนอื่นจึงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป

                 "นายก็ใช่จะแก่มากมาย อยากไปเที่ยวที่ไหนตอนนี้ยังไม่สายหรอกนะ" มาวิคบอก

                 "นั่นสินะ" ริมฝีปากสวยยิ้มกว้าง หากหมดฝึกงานกับหน่วยพิทักษ์ หาโอกาสไปเที่ยวบ้างคงจะดี

                 นับจากวันแรกที่เจอกันจนวันนี้ มาวิคยังคงชอบรอยยิ้มของฟาเรสดังเดิม ใบหน้าขาวที่สองแก้มซับสีเลือดเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ดูน่าสัมผัส ในทุกครั้งที่เขาบอกเล่าเรื่องต่างๆ ออกไป นัยน์ตาสีครามพราวระยับจะมองมาที่เขาพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ทำให้ภาพตรงหน้าเกินจะละสายตา เขานึกอยากครอบครองคนคนนี้ไว้เพียงลำพัง

                 ฟาเรสผ่อนลมหายใจออกหนักๆ เพื่อระบายอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในกาย ไวน์แค่ครึ่งขวดไม่น่าจะทำให้เมามากนักแต่กลับร้อนรุ่มจนตาพร่า

                 "เฮ้ฟาร์" ทันทีที่มือร้อนของมาวิคแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม เหมือนมีกระแสประหลาดแล่นผ่านไปทั่วร่าง

                 "มาวิค นาย...ทำไม" ริมฝีปากสวยเอ่ยเสียงสั่น เขารู้ดีว่าอาการผิดปกตินี้เกิดจากการโดนวางยา แต่คิดไม่ถึงว่าเพื่อนเขาจะทำมัน

                 "ขอโทษนะฟาเรส แต่ฉันรอไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันยอมเสียนายให้ใครไม่ได้" มาวิคว่าเสียงอ่อนพร้อมดึงร่างโปร่งบางสู่อ้อมกอด

                 "อึก อย่า"

                 "ฉันชอบนายมาก รู้หรือเปล่า" ดวงตาสีน้ำตาลบอกเล่าความรู้สึกมาจากใจ เขาก็ชอบมาวิค แต่ก็ไม่ได้ชอบในความหมายนั้น

 
                 "แต่ฉัน อื้อ" ริมฝีปากร้อนถูกช่วงชิงไปก่อนจะได้ปฏิเสธ รสจูบอ่อนหวานอ้อยอิ่งชวนเคลิ้มจนร่างกายตอบสนองมัน ฤทธิ์ยาทำให้รู้สึกดีและเกิดความต้องการ แต่ในใจกลับตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่ ร่างบางรวบรวมแรงทั้งหมดผลักอีกฝ่ายให้ผละออก

                 "ขอโทษ ฉันรับมันไว้ไม่ได้" ฟาเรสตัดสินใจบอกออกไปตามใจคิด ใบหน้าที่เคยสดใสของมาวิคหมองเศร้าอย่างเจ็บปวด

                 "เป็นฉันไม่ได้จริงๆ หรือ" อีกคนยังพยายามเข้าหา

                 "ไม่!!!" ฟาเรสบอกเสียงดัง ผลักอีกคนให้ห่างตัวแล้วหุนหันวิ่งหนีออกจากห้องไป

                 ขาเรียวพาร่างกายที่ร้อนรุ่มวิ่งไปตามทางเดินที่มีเพียงแสงสลัวของไฟข้างทาง เป้าหมายคือแล็บใจกลางโดมกระจก มือเรียวพยายามไขกุญแจเข้าไปด้วยมือที่สั่นเทาจนทำมันตกหลายครั้งกว่าจะสำเร็จ พอเข้ามาก็ตรงไปยังตู้ยา พยายามรื้อหายาหรือสารสกัดอะไรก็ได้มาบรรเทาอาการนี้ ไม่มีเวลามานั่งผสมแล้ว มือเรียวคว้าได้ยานอนหลับขนานแรงมาหนึ่งขวด คงพอช่วยให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้

                 ฟาเรสพาร่างที่สั่นสะท้านขึ้นไปบนชั้นสองแล้วถลาเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำเย็นไหลผ่านเพื่อช่วยบรรเทาความร้อนในกาย สัมผัสจากสายน้ำทำให้ความต้องการยิ่งปะทุ ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นสัมผัสไปทั่วร่างจนสติแทบขาดหาย เขาพยายามเปิดขวดยาออกอย่างยากลำบากแถมทำหกทิ้งไปเกือบครึ่ง แต่ก็เอากรอกเข้าปากได้สำเร็จ ขวดเปล่าร่วงหล่นสู่พื้นและร่างโปร่งบางก็หมดสติแน่นิ่งไปพร้อมกัน




                 เวลอร์กลับห้องพักอย่างรีบร้อน กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ทำเอาเหนื่อย เขาเห็นฟาเรสหลบออกไปนานแล้ว เขาตั้งใจตามออกมาแต่ก็โดนผู้คนในงานรั้งเอาไว้ พอมาถึงกลับเห็นเพียงประตูห้องข้างกันเปิดอยู่จึงเดินเข้าไปเพราะสัมผัสได้ว่ามีคน เห็นมาวิคนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นห้องรับแขก ไหล่ที่สั่นน้อยๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังร้องไห้

                 "เฮ้ เกิดอะไรขึ้น แล้วฟาร์ละ" เวลอร์ถามขึ้นอย่างร้อนใจ

                 "ฉันไม่รู้ ฟาร์วิ่งหนีไปไหนไม่รู้" คนถูกถามเงยหน้ามาตอบทั้งน้ำตา "ฟาร์ต้องโกรธฉันแน่ ฮึก เขาจะเกลียดฉันไหมเว" คนร้องไห้ละล่ำละลักถามออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด

                 "นายทำอะไร"

                 "ฉันทำสิ่งเลวร้าย ฉัน ฮึก วางยาฟาร์ มันเป็นยาปลุก ฉันอยากให้ฟาร์เป็นของฉันคนเดียว" มาวิคตอบออกมาเสียงเครือ "แต่เขาปฏิเสธฉัน ผลักไสฉัน ฮือ...ฟาร์อาจจะเกลียดฉันไปแล้วก็ได้"

                 "นายนี่มัน ฮึ่ย" เวลอร์พุ่งเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายไว้อย่างเดือดดาล

                 "นายจะต่อยก็ได้ เว ฉันทำผิด ทำผิดจริงๆ" มาวิคก้มหน้ารับชะตากรรม ดวงตาสีครามที่เขาชอบมองเขาอย่างผิดหวัง มันช่างเจ็บปวด สิ่งเดียวในตอนนี้คือไม่อยากเห็นสายตาแบบนั้นอีก เขายังอยากได้รอยยิ้มจากฟาเรส ไม่ว่าในฐานะใดเขาก็ยินดี ขอแค่ได้ขอโทษ ขอแค่ฟาเรสให้อภัย หวังว่ามันจะยังไม่สายไป

                 ผลัก!!! หมัดหนักๆ ซัดเข้าเต็มหน้าของมาวิคจนล้มหงาย คนทำยั้งแรงไว้มากไม่งั้นอีกฝ่ายคงคอหักตายไปแล้ว เขาโกรธแต่เจ้านี่ไม่ได้เลวร้ายโดยสันดาน เพียงแต่อยู่ในสถานการณ์ที่พ่ายแพ้จึงเลือกทำอะไรโง่ๆ

                 "ขอโทษฟาร์ซะถ้าทำได้" เวลอร์ทิ้งท้ายเสียงขุ่นก่อนจะออกไปตามหาอีกคนทันที
 


                 คนอย่างฟาเรสต้องรู้ตัวเองดีว่าโดนยาปลุกและคงพยายามหาทางแก้มัน สถานที่เดียวที่จะมีสิ่งเหล่านั้นคือตึกวิจัยของเอกสมุนไพร แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อเขาพบร่างบางนอนไม่ได้สติอยู่ใต้สายน้ำเย็นเฉียบพร้อมขวดแก้วเปล่าในมือ หยิบขึ้นมาดมดูจึงรู้ว่าเป็นยานอนหลับขนาดแรง ปริมาณขนาดนี้น่าจะทำให้หลับลึกได้ประมาณห้าถึงหกชั่วโมง หวังว่ายาบ้าๆ ที่มาวิคใช้คงไม่ออกฤทธิ์เกินกว่านั้น

                 เวลอร์ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกชุ่มออกเพราะกลัวอีกคนจะเป็นหวัด เรือนกายขาวเนียนบัดนี้เจือสีจางจากฤทธิ์ยาช่างดึงดูด แต่เขาก็พยายามห้ามใจ คนตัวใหญ่ถอดสูทตัวนอกของตนมาห่อคลุมร่างเปลือยเปล่าแล้วอุ้มไปนอนบนโซฟาตัวใหญ่ที่อยู่กลางห้อง ก่อนจะนำผ้าห่มคลุมให้คนที่ยังหลับไม่ได้สติ เขานั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา เฝ้ามองใบหน้าที่หลับใหลด้วยความกังวลใจ

                 แสงสว่างของวันใหม่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ฉุดดึงฟาเรสจากนิทรา หากแต่เป็นความรุ่มร้อนในกาย พาลโกรธคนทำจนอยากจะกระทืบให้หายเคือง

                 "อือ...บ้าเอ๊ย" ฟาเรสกัดฟันข่มความต้องการ เพียงเนื้อผ้าที่ห่มกายยังทำให้รู้สึกได้ขนาดนี้

                 เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติ มันช่างยากเหลือกำลังเมื่อสิ่งที่คุมกายเขาอยู่นั้นคือเสื้อสูทตัวใหญ่ที่จำได้ดีว่าของใคร อีกทั้งยังเหลือกลิ่นประจำกายติดอยู่กับเนื้อผ้า กลิ่นของเวลอร์กระตุ้นอารมณ์เขาได้อย่างเหลือเชื่อ

                 "เว..." เสียงหวานเรียกหา แต่มีเพียงความเงียบตอบกลับมา

                 ...ไม่ไหว หากไม่ทำอะไรต้องช็อกช็อกตายแน่ๆ...
 
                 ขาเรียวพาร่างโปร่งเดินโซเซไปยังห้องน้ำหวังพึ่งสายน้ำเย็นอีกครา เขาต้องปลดปล่อยไม่งั้นแย่แน่ อย่างน้อยในนั้นคงไม่มีใครมาเห็นภาพอุจาดตาของเขาได้

                 "ฮึก..." ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างอดกลั้น เมื่อมือเรียวกอบกำส่วนนั้นแล้วขยับรูดไปตามความยาว มันเสียวซ่านจนขนลุกไปทั้งตัว ฟาเรสปรนเปรอร่างกายหมายจะระบายความอยากจนปลดปล่อยออกมาในที่สุด แต่สิ่งนั้นกลับยังตื่น ซ้ำร้ายความต้องการเหมือนจะเพิ่มขึ้นกว่าเก่า จนต้องจัดการกับตัวเองอยู่แบบนั้นอย่างจำใจ

                 เวลอร์กลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่หามาให้คนร่างเล็กใส่ แต่บนโซฟากลับว่างเปล่าเหลือเพียงกองผ้าห่ม เสียงครางผะแผ่วลอดมาจากห้องน้ำบอกให้รู้ว่าคนที่มองหาอยู่ในนั้น เสื้อผ้าและของใช้เหล่านั้นถูกวางลง สองเท้าก้าวเข้าหาเสียงนั้นช้าๆ ราวกับถูกสะกด

                 ภาพของฟาเรสที่เปลือยเปล่า ใบหน้าเนียนชุ่มน้ำกัดริมฝีปากจนช้ำเพื่อกลั้นเสียงตัวเอง ผิวกายแดงซ่านกับเสียงครางหวานปลุกสัญชาตญาณนักล่าให้ตื่นขึ้น ประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมทำให้ได้ยินเสียงหอบครางนั้นอย่างชัดเจน กลิ่นฟีโรโมนที่แผ่กระจาย กลิ่นกายและกลิ่นคาวกำลังทำให้เขาปั่นป่วน

                 "เว...ฮึก ช่วย ฮ๊ะ ช่วยด้วย" เสียงหวานเว้าวอน ดวงตาสีครามช้อนมองอย่างออดอ้อน ฟาเรสไม่ต้องการสิ่งใดแล้วนอกจากสัมผัสของอีกคน

                 เวลอร์กัดฟันกรอด เขาไม่ใช่มนุษย์ เขารู้ดีถึงปีศาจที่อยู่ภายใน ที่ผ่านมาพยายามไม่เกินเลยเพราะเขากลัว กลัวว่ายามที่สัญชาตญาณก้าวนำจิตใจเขาอาจทำร้ายใครอีกคน แต่ตอนนี้สิ่งที่พยายามอดทนมาได้พังทลายให้กับความเย้ายวนเกินห้ามใจ

                 "เว ฮึก เวกอด...กอดฉัน" ฟาเรสถลาเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย บดเบียดร่างกายที่สั่นสะท้านเข้าหาความอบอุ่นพลางโน้มใบหน้าของอีกคนลงมาจูบอย่างโหยหา

                 เวลอร์ตอบสนองจูบนั้นอย่างเร่าร้อน สอดแทรกลิ้นหนาสู่โพรงปากอุ่น เกี่ยวกระหวัดพัวพันจนน้ำลายไหลเยิ้มออกมา ร่างบางจูบเก่งกว่าปกติอาจเพราะความอยากจึงดูดดึงริมฝีปากและลิ้นสากราวกับจะกลืนลงคอ

                 "อื้อ...จูบอีก อื้อ" คนตัวเล็กร่ำร้องเมื่อเขาผละออกจนต้องจูบซ้ำตามคำขอ ลำแขนแกร่งช้อนอุ้มร่างบางจากพื้นกระเบื้องก่อนจะเดินไปยังโซฟา วางอีกฝ่ายลงบนฟูกพร้อมทาบทับโดยที่ริมฝีปากไม่ผละจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว
มือกร้านสัมผัสปะป่ายไปทั่วผิวกายเนียนจนอีกคนครางเครือในลำคอ

                 ฟาเรสดันไหล่หนาให้ผละออก สองมือดึงรั้งเสื้อผ้าของเวลอร์อย่างเร่งร้อน จนเขาต้องหยัดกายขึ้นแล้วถอดมัน เรือนกายงดงามพร้อมกล้ามเนื้อดูแข็งแรงปรากฏต่อสายตา แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงกลับเป็นสร้อยทองพร้อมจี้ทับทิมรูปดวงอาทิตย์ที่ใส่อยู่

                 ฟาเรสแตะมันอย่างไม่เชื่อสายตา ลวดลายของสร้อยยังแจ่มชัดในความทรงจำ วันสุดท้ายที่สร้อยอยู่ในมือ เขาสวมมันให้กับรูปสลักในวิหาร ก่อนที่ทั้งสองสิ่งจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้สร้อยเส้นนั้นอยู่ตรงหน้า เวลอร์ไปได้มาจากไหนกัน

                 “ทำไมสร้อยถึง...” ดวงตาสีครามเต็มไปด้วยความงุนงง สับสน และประหลาดใจ สมองของฟาเรสในตอนนี้ไม่อาจคิดวิเคราะห์สิ่งใดได้อย่างกระจ่างเพราะความกระหายอยากกำลังครอบงำ

                 "มันเป็นของฟาร์ ฉันคืนให้" ดวงตาคมสบลึกลงมาอย่างจริงจังก่อนจะถอดมันออกจากคอแล้วคล้องให้คนข้างใต้ จี้ทับทิมดูสวยงามขึ้นทันตายามที่ตัดกับผิวกายขาวละเอียดของฟาเรส เหมือนจะบอกว่านี่คือเจ้าของที่แท้จริง เวลอร์ก้มลงประทับจูบ ตั้งแต่หน้าผาก เปลือกตา สองแก้ม และจบที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยน

                 "อึก..." จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอขาว สูดดมกลิ่นเนื้อหอม ลิ้มรสผิวกายและขบกัดแรงๆ จนฟาเรสสะดุ้ง ริมฝีปากและลิ้นร้อนจู่โจมยอดสีเข้มบนอกแบน ลากเลียดูดดุนสลับกัน เรียกเสียงครางสะท้านจากร่างบางที่แอ่นรับอย่างลืมตัว ฤทธิ์ยาทำให้รู้สึกไม่สบาย ทุกสัมผัสสร้างกระแสประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนร่างบางไม่อาจประคองสติได้อีกต่อไป

                 "อ๊า ซี้ด..." เสียงหวานหลุดครางเมื่อฟาเรสน้อยโดนชำเราจากมือใหญ่

                 ขาเรียวแยกกว้างเบียดกายเข้าหาจนสัมผัสกับท่อนเนื้อร้อนของร่างใหญ่ที่ดันกางเกงจนโปร่งนูน มือเล็กซุกซนปะป่ายลูบไล้แผ่นอกกว้างอย่างหลงใหล ดวงตาฉ่ำน้ำปรือมองเวลอร์อย่างร้องขอจนคนถูกมองกัดฟันกรอดเพราะอยากขย้ำเสียเดี๋ยวนั้นแต่ก็ห้ามตัวเองไว้ หากเป็นคนอื่นเขาคงทำเพื่อระบายความใคร่ไม่จำเป็นต้องสนอะไร แต่ฟาเรสไม่ใช่ เขาอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกดีจึงเล้าโลมร่างกายนี้อย่างเอาใจ

                 เวลอร์ยังคงปลุกเร้าร่างบางด้วยการพรมจูบลาดไหล่ก่อนจะย้ายมาระรานที่ยอดอกให้สะท้าน ในยามที่ริมฝีปากร้อนลากลงมายังหน้าท้อง ฟาเรสถึงกับเกร็งจนเห็นแนวซี่โครงจางๆ ปฏิกิริยาของคนใต้ร่างยามถูกสัมผัสช่างน่ารักน่าแกล้งให้ร้องครางออกมาดังๆ

                 "อ๊ะ อ๊าาาา เว อย่า อื้อ" เสียงหวานครางลั่น เมื่อส่วนอ่อนไหวถูกครอบครองด้วยโพรงปากร้อน นิ้วเรียวจิกทึ้งกลุ่มผมหนาเพื่อระบายอารมณ์ ดวงตาคมช้อนมองคนถูกกระทำ สบเข้ากับดวงตาสีครามที่มองตอบ ริมฝีปากแดงช้ำเผยอครางเสียงขาด แก้มนวลแดงซ่าน กระตุ้นให้ร่างสูงเร่งเร้าทุกอย่างจนอีกคนปลดปล่อยออกมา เวลอร์กลืนของเหลวรสคาวลงคออย่างไม่รังเกียจ มองคนที่นอนหอบหากแต่ส่วนกึ่งกลางยังไม่มีทีท่าจะอ่อนลง

                 เวลอร์ดูดเลียนิ้วมือจนชุ่มพลางดันเรียวขาของฟาเรสขึ้น กดนิ้วเข้ากับช่องทางสีหวานที่ปิดสนิทช้าๆ สิ่งแปลกปลอมถูกสอดเข้ามาทำให้ร่างบางรู้สึกเจ็บด้วยความไม่เคย แต่พอเริ่มคุ้นชิน นอกจากเจ็บยังมีความเสียวซ่านก่อมวนไปทั่วท้องน้อย นิ้วที่สองสามจึงตามมาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กปรับตัวได้ พลันร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับจุดกระสัน เวลอร์จึงกดย้ำๆ จนฟาเรสครางลั่นน้ำตาคลอ แม้ฟาเรสมือใหม่แต่ก็เป็นครั้งแรกกับผู้ชาย เวลอร์จึงพยายามทำอย่างใจเย็นทั้งที่สวนทางกับความต้องการที่จวนปะทุเต็มทน

                 "อ๊ะ เว มัน ฮึก" ฟาเรสมัวเมาไปกับสัมผัสหวาน ในใจกำลังเรียกร้องต้องการในสิ่งที่มากกว่า

                 "พอ...อ๊า เว อยากได้ อื้อ อยากได้ของเว" จิตใต้สำนึกปลดปล่อยถ้อยคำน่าอายออกมาจากปาก ตอนนี้เขาต้องการคนตรงหน้าแทบจะบ้า

                 "ยั่วขนาดนี้ มาโทษกันทีหลังไม่ได้นะ" เวลอร์บอกพลางลุกไปถอดกางเกงตัวเองทิ้งแล้วกลับมาทาบทับ ฟาเรสโน้มใบหน้าคมลงไปจูบอย่างหิวกระหาย เบียดกายร่ำร้องอย่าลืมอาย

ดูเหมือนความอดทนของเวลอร์จะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาจูบตอบอย่างเร่าร้อนจนร่างบางพ่ายแพ้หมดท่า ดวงตาสีอำพันวาวโรจน์ นัยน์ตาเรียวรีดุจนักล่ากำลังจับจ้องเหยื่ออันโอชะที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่าง บ่งบอกถึงตัวตนอีกด้านได้เข้ามาแทนที่
เรียวขาเนียนถูกจับพาดบ่า กดท่อนลำร้อนเข้าไปยังช่องทางสีหวานที่ถูกตระเตรียมไว้ก่อนแล้ว ลำพังยั้งแรงไม่ให้ขย้ำเรือนร่างบอบบางยังทำได้ยาก จะให้อ่อนโยนคงเป็นไปไม่ได้

                 "ฮะ...อ๊ะ เจ็บ เว มันเจ็บ ฮึก" ฟาเรสกรีดร้องอย่างทรมานเมื่อความใหญ่โตแทรกผ่านเข้ามาในร่าง มันเจ็บและอึดอัดจนต้องถดตัวหนีแต่กลับถูกมือใหญ่กดรั้งเอวเอาไว้พลางดึงดันเข้ามาจนสุดความยาว ร่างบางสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดจากเบื้องล่าง น้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสารพลางส่งเสียงสะอื้นไม่หยุด

                 "รอไม่ไหวแล้วฟาร์" เวลอร์บอกเสียงแหบพร่า ก้มลงจูบซับหยาดน้ำตาอย่างปลอบโยน ช่องทางร้อนบีบรัดกลางกายทำเอาเสียวกระสัน กลิ่นเลือด กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นกายปลุกสัญชาตญาณสัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ให้ตื่นขึ้น

                 "อะ อ๊า!!!" ใบหน้าสวยแหงนครางเมื่อท่อนความใหญ่โตเบื้องล่างดึงออกจนเกือบสุดแล้วกดย้ำเข้ามามิดลำ จังหวะช้าๆ ทว่าหนักหน่วงทำเอาเลือดคาวที่ไหลซึมอยู่ก่อนไหลเพิ่มขึ้นอีก กลายเป็นสารหล่อลื่นให้ความฝืดเคืองนั้นลดลง ท่อนเนื้อร้อนสอดลึกในทุกครั้งที่เอวหนากระแทกเข้าหา แม้เจ็บร้าวราวกับร่างจะสลายแต่ก็เจือไว้ซึ่งความสุขสม พอเริ่มคุ้นชินร่างบางก็เริ่มตอบรับความทรมานที่แสนหวานนี้

                 "เร็วอีก อ๊ะ ซี้ด อ๊าาาา" เมื่อจิตใจถูกครอบงำด้วยความปรารถนา ฟาเรสจึงเรียกร้องไขว่คว้าเรือนกายตรงหน้ามากอดไว้ จากที่กระแทกเข้าออกอย่างช้าๆ เวลอร์จึงเร่งจังหวะเพื่อสนองบัญชา เรี่ยวแรงมหาศาลทำให้ร่างโปร่งบางโยกไปตามจังหวะที่กระแทกกระทั้น เสียงครางสะอื้นจากคนใต้ล่างจึงดังกว่าเก่า เวลอร์สูดปากข่มความบ้าคลั่งในจิตใจ ฟาเรสไม่รู้เลยหรือไงว่าสีหน้าที่แสดงออกยามนี้ช่างเย้ายวนเหลือเกิน

                 "ฮื้อ อย่ากัด" ฟาเรสร้องดังเมื่อเขี้ยวคมกัดแรงตรงคอจนสะดุ้ง คนทำผละออกมองผลงานอย่างชอบใจ ผิวกายขาวแดงช้ำเป็นรอยฟัน กระตุ้นอารมณ์ดิบให้กัดซ้ำจนได้ลิ้มรสเลือดหวาน เวลอร์คำรามต่ำๆ พลางขบกัดทิ้งรอยไปทั่วแผ่นอกราบขณะที่ส่วนล่างยังสอดประสานรัวแรงจนอีกคนกรีดร้องครางปานจะขาดใจ

                 "อ๊ะ เว ลึก ซี้ด มันลึก ฮือ เบา" ความรู้สึกที่ได้รับหลากหลายมากมายจนตาพร่า นิ้วเรียวจิกยึดไหล่หนาขยับรับจังหวะที่ส่งมาด้วยเรียวขาสั่นระริกเพราะหยัดเกร็ง เสียงชื้นแฉะและเนื้อกระทบกันฟังดูหยาบโลนเมื่อคลอไปกับเสียงครางของทั้งคู่ ห้วงอารมณ์พุ่งสูงลุกเป็นไฟก่อนจะแตกกระจายเป็นน้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องของฟาเรสเอง มือกร้านกอบกำรีดเค้นทุกหยาดหยดพลางกระแทกกระทั้นใส่ช่องทางที่ตอดถี่แล้วปลดปล่อยสู่ภายในจนไหลล้นออกมา แต่เวลอร์ไม่ยอมหยุด ยังคงรุกล้ำจนฟาเรสน้อยขืนมือขึ้นมาอีก แล้วบทรักร้อนแรงก็ถูกเริ่มอีกครั้ง

                 "พอ แฮก อ๊ะ พอแล้ว" ฟาเรสห้ามเสียงสั่น หอบหายใจหนักอย่างอ่อนเพลีย กิจกามเมื่อคู่สูบเอาเรี่ยวแรงไปหมดสิ้น เวลอร์หยุดชะงักก่อนถอนกายออก แต่อย่าคิดเลยว่าจะรอด เมื่อร่างถูกจับคว่ำ สะโพกมนถูกรั้งขึ้นรับส่วนแข็งขืนที่สอดใส่เข้ามารวดเดียวสุดลำแล้วขยับรุนแรงอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธอีกต่อไป

                 “เว อ๊าาา มันฮึก ฉันไม่ไหว อ๊ะ อาา” เวลอร์ในยามนี้ถูกสัญชาตญาณก้าวนำจิตใจ เขาไม่รู้เลยว่ากลืนกินอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเพียงใด รู้เพียงความกระหายและต้องการครอบครองร่างบางให้เป็นของตนเพียงผู้เดียว

                 ฟาเรสได้แต่ร้องครางอย่างไม่อาจต้านทานความกระสันซ่านที่ถูกฉุดสู่จุดสุดยอดครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนกายขาวเต็มไปด้วยรอยจูบและรอยกัด ส่วนล่างบอบช้ำซ้ำยังเต็มไปด้วยคราบคาว เรี่ยวแรงจวนหมดสิ้นแล้ว แม้แต่สติยังแทบประคองไม่ได้ สัมผัสร้อนวาบจากภายในพร้อมกับรสจูบอ่อนหวานคือสิ่งสุดท้ายที่ฟาเรสรับรู้ได้ก่อนหมดสติไปใต้ร่างกายของเวลอร์

..............................
อวดรูป วาดเยียวยาตับไตตัวเอง อินกับเรื่องเน้ออกไม่ได้  :katai1:


ปล. Guardian of Heart ในรูปแบบอีบุ๊ก เพิ่มตอนพิเศษ 3 ตอน
http://bit.ly/EbookGOH

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หึหึ ร้ายๆ

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
โดนกินเรียบ คนก่อเรื่องจะเป็นไงต่อน้อ  :pig4:

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 12

ความไว้ใจคือสิ่งที่อันตรายที่สุด หากแต่ทุกคนที่มีความรู้สึกนึกคิดก็ยังเลือกที่จะไว้ใจคนรอบกายนอกจากตัวเอง บางครั้งความเชื่อใจไว้ใจนั้นอาจนำมาซึ่งความเกื้อกูล แต่บางครั้งก็นำมาซึ่งการทรยศหักหลัง ถูกทำร้ายในยามที่ไม่ระวัง ดังเช่นที่เวลอร์เคยประสบ

พลังในการควบคุมประตูระหว่างภพถูกใช้เพื่อการปกป้องมนุษย์จากอันเดธ แต่ก็มีคนที่ใช้มันเพื่อตัวเอง พวกเขาคอยขัดขวางคนเหล่านั้นมาตลอด โดยไม่นึกเลยว่าเพื่อนที่รักที่สุดอย่างริคัทโตก็คิดเช่นนั้น

เพราะถูกลอบกัด ต่อให้ทรงพลังแค่ไหนก็พ่ายแพ้ได้ พิษร้ายจากเพื่อนรักรุนแรงจนทำให้พลังในกายถูกทำลายอย่างช้าๆ สิ่งที่เคยเป็นของเวลอร์ถูกช่วงชิงในยามที่อ่อนแอ ฟาร่าเองแม้ใจจะสู้แต่จำต้องล่าถอยเพราะในท้องของเธอมีชีวิตน้อยๆ กำลังเกิดมา อินดิโก้และคนที่เหลือตัดสินใจพาเขาหนีไปยังบ้านเกิดของตนยังดินแดนที่ห่างไกล ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าทั้งเวลอร์และฟาร่าได้ตายไปแล้ว

"ฉันจะไม่ยอมให้ท่านพี่ตาย" ฟาร่าบอก ใบหน้างดงามนองไปด้วยน้ำตามองร่างที่นอนรอความตายอยู่บนเตียง

ยาพิษขนานแรงที่ถูกผสมด้วยเวทมนตร์ สามารถคร่าชีวิตคนได้ในทันทีหากเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเวลอร์ แม้ร่างกายจะแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องทนทรมานกับฤทธิ์ยาที่ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นแรมเดือนจนไม่เหลือแม้แต่แรงจะยืน ฟาร่าพยายามใช้ทุกความรู้เยียวยา แต่ไม่มีทางรักษานอกจากปล่อยให้สลายเอง อาจเป็นปี สองปี หรือสิบปี ถึงตอนนั้นเขาคงไม่เหลือลมหายใจ

จนวันหนึ่งที่จวนจะหยุดหายใจ ร่างของเวลอร์ถูกแบกไปยังวิหารกลางน้ำหลังคฤหาสน์โดยอินดิโก้และมาคัส ชุดเกราะที่มักใส่ในยามรบถูกสวมใส่จนครบ แล้วถูกจับให้นั่งลงบนบัลลังก์หิน

"ฉันจะเปลี่ยนพี่ รักษาร่างกายของพี่ไว้จนกว่าจะฟื้นคืนพลัง ถึงเวลานั้นได้โปรดจัดการกับเจ้านั่นแล้วทวงทุกสิ่งคืนมา" ริมฝีปากสวยแย้มยิ้มอบอุ่นพลางลูบไล้ใบหน้าคมอย่างอ่อนโยน

อยากจะปฏิเสธแต่ไม่มีแรงขยับ ด้วยรู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้าต้องสูญเสียพลังและอ่อนแอจนทำให้อายุขัยสั้นลง แม้จะเป็นเอลฟ์ที่มีอายุยืนยาวก็ตาม ยิ่งมองเห็นท้องที่กำลังโตนั่นยิ่งยอมให้ทำไม่ได้เด็ดขาดเพราะกลัวหนึ่งชีวิตในนั้นจะเป็นอันตราย เพื่อนทั้งสองที่ประคองร่างเขาไว้บนบัลลังก์บีบไหล่หนาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ทั้งที่ดวงตาฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด โดยเฉพาะอินดิโก้ที่ดูลำบากใจกับสิ่งที่คนรักกำลังจะทำ

"ท่านพี่ ดูแลเขาด้วยนะ" ฟาร่าว่าพลางดึงมือหนาไปสัมผัสหน้าท้องนูน ก่อนจะผละออกไปแล้วร่ายเวทย์จนเกิดสายพลังโอบล้อมร่างที่อยู่บนบัลลังก์ กระแสประหลาดแล่นพล่านไปทั่วร่างของเวลอร์ก่อนที่จะเริ่มหมดความรู้สึกจากปลายเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนทั่วทั้งร่างไม่เจ็บปวดอีกต่อไป เพราะทั้งร่างได้กลายเป็นหิน

ไม่มีลมหายใจ นิ่งสงบ ไม่ร้อน ไม่หนาว หากแต่ยังมองเห็นทุกสิ่ง ได้ยินทุกอย่าง หลังจากนั้นฟาร่ามักจะมาเยี่ยมเขาในบางวัน เธอชอบนั่งลงข้างๆ บัลลังก์แล้วบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท้องของเธอโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เงียบหายไปพักใหญ่ จนวันหนึ่งเพื่อนๆ ทุกคนพากันเข้ามาในวิหารพร้อมกับฟาร่าที่โอบอุ้มทารกน้อยในอ้อมแขน โดยมีคนรักอย่างอินดิโก้ประคองไม่ห่าง

"เขาชื่อฟาเรส น่ารักใช่ไหมล่ะท่านพี่" เสียงหวานบอกอย่างเป็นสุข ภาพทารกน้อยตรงหน้าสร้างความอุ่นซ่านในหัวใจ ดวงตาสีครามเหมือนผู้เป็นแม่จ้องรูปสลักตรงหน้า เอื้อมมือเล็กๆ ไขว่คว้าพลางส่งเสียงอ้อแอ้มาให้ เสียงพูดคุยหยอกเย้าของเหล่าบรรดาลุงป้าขี้เห่อทำให้วิหารที่มักจะเงียบสงบครึกครื้นขึ้นมา

ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปไม่ถึงปี อินดิโก้มาหาพร้อมข่าวร้ายว่าฟาร่าได้จากโลกนี้ไปตลอดกาล เธอสูญเสียพลังเพราะช่วยเขาจนร่างกายอ่อนแอและตายในที่สุด เวลอร์ถูกทิ้งให้เดียวดายในวิหารกลางน้ำเป็นแรมปี ความเงียบงันกัดกินจิตใจให้มืดมนจนแสงสว่างที่ชื่อว่าฟาเรสได้เหยียบย่างเข้ามาอีกครั้ง เรือนผมสีซีดกับดวงตาสีครามสดใสช่างดูเหมือนเทวดาตัวน้อยก็ไม่ปาน

ฟาเรสมักเข้ามาเล่นที่วิหารเพราะชอบบรรยากาศที่เงียบสงบและดอกไม้นานาพันธุ์ อินดิโก้ทั้งรักทั้งหวงลูกชายของตนนัก จึงเข้มงวดกับทุกสิ่งจนเด็กน้อยไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับใคร ดังนั้นเวลามีเรื่องอะไรจึงมักมาเล่าให้รูปสลักในวิหารฟัง บ้างก็มานั่งอ่านหนังสือ บ้างก็มานอนกลางวัน หรือแม้กระทั่งในยามที่เสียใจยังปีนมานั่งร้องไห้จนหลับคาตักไปเลย เวลอร์อยากจะกอดอยากจะปลอบแต่ก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกปลดปล่อยจากสภาพนี้เสียที

เวลอร์เฝ้ามองจากเด็กตัวน้อย เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มรูปงาม ความรู้สึกที่มีต่อฟาเรสมากมายขึ้นทุกวัน เป็นความผูกพันที่เจ้าตัวไม่อาจรับรู้ ทุกข์ในยามที่อีกคนเสียน้ำตา ห่วงหาในยามที่อีกคนหายไป จนตระหนักได้ว่ามันคือความรัก เขารักฟาเรสจนหมดใจ
เวทมนตร์ที่แช่แข็งร่างเอาไว้ได้ถูกคลายในยามที่เกือบจะสายไป แม้จะช่วยฟาเรสไว้ได้แต่คนอื่นก็ถูกฆ่าตายไปก่อนแล้ว หวังว่าอินดิโก้จะได้เจอฟาร่าในโลกหน้าและมีความสุขร่วมกัน เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งพร้อมพลังที่ฟื้นฟูดังเดิม เพื่อนๆ ทุกคนรับรู้ถึงการกลับมาและให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ในตอนนี้เขายังไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของริคัทโต แต่ที่แน่ใจก็คือฟาเรสถูกพวกนั้นหมายหัว เขาและเอเบรียนเห็นตรงกันว่าให้ฟาเรสมาอยู่ในอานิมาเพื่อความปลอดภัยและฝึกฝนเจ้าตัวให้ปกป้องตนเองได้ในอนาคต

...พี่จะจัดการทุกสิ่งและดูแลฟาเรสตราบสิ้นลมหายใจ... เวลอร์ได้ปฏิญาณต่อหน้าหลุมศพของฟาร่าที่เขาอยากจะมาแต่เพิ่งมีโอกาส

เวลอร์มองร่างที่นอนนิ่งด้วยความรู้สึกผิด เขาโกรธตัวเองมากที่ปล่อยให้สัญชาตญาณครอบงำจนกระทำรุนแรงลงไป ทั้งที่เฝ้าทะนุถนอม กลับมาทำร้ายเสียเอง ร่างสูงห่อคลุมร่างที่บอบช้ำด้วยผ้าห่มผืนหนาก่อนจะอุ้มอย่างระมัดระวังพากลับไปยังห้องพัก เขาโทรไปบอกเอเบรียนให้ช่วยจัดการกับสภาพเละเทะบนชั้นสองของตึกวิจัย แน่นอน เพื่อนเขาด่ายับ หากขย้ำคอเขาผ่านโทรศัพท์ได้คงทำไปแล้ว เอเบรียนรับปากว่าจะส่งคนมาจัดการให้ พร้อมทั้งให้ฝ่ายการแพทย์จัดยามาส่งที่ห้องเขาชุดใหญ่

เวลอร์ชำระล้างคราบคาวให้คนตัวเล็กออกจนสิ้น พาไปนอนบนเตียงนุ่มหวังให้อีกคนหลับสบายที่สุด สำหรับฟาเรสนี่คงเป็นครั้งแรกระหว่างพวกเขาที่ไม่น่าจดจำ แม้เจ้าตัวจะตอบสนองอย่างเต็มใจ แต่ก็ด้วยสติที่ไม่คงที่เพราะฤทธิ์ยา ในยามร่วมรักเสียงหวานครางอย่างสุขสม แล้วในใจละสุขด้วยหรือเปล่า

"ขอโทษนะฟาร์" เวลอร์บอกพลางทายาให้ร่างบางอย่างเบามือ คงเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้วจะเดินไหวไหมเนี่ย ถ้าฟาเรสตื่นมาแล้วโกรธมากเขาจะง้อยังไง ยิ่งคิดยิ่งเครียด

ความเจ็บร้าวทั่วสรรพางค์กายรบกวนฟาเรสจนไม่อาจหลับได้อีกต่อไป ดวงตาสีครามลืมขึ้นช้าๆ ทั้งแสบพร่าเพราะพิษไข้ แม้ภาพตรงหน้าจะเลือนรางแต่ก็จำได้ดีว่าเป็นห้องตน ฟาเรสพยายามนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดจนหัวสมองปวดหนึบ

มาวิควางยาเขา ทำลายความเชื่อใจทั้งที่เป็นเพื่อนกัน ความรู้สึกโกรธและผิดหวังกัดกินจิตใจเพราะอีกฝ่ายถือเป็นเพื่อนคนแรกของฟาเรสเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะทำไปเพราะชอบในตัวเขา แต่ชอบจนคิดจะครอบครองโดยไม่นึกถึงจิตใจกันมันก็เห็นแก่ตัวเกินไป

"ฮึก...เว" น้ำเสียงที่พยายามเปล่งออกมาแหบแห้งและแผ่วเบา ไม่เข้าใจทำไมต้องเรียกหาทุกครั้ง พอขยับกายเพื่อลุกนั่ง ความเจ็บปวดก็แล่นพล่านจากช่วงล่างไปทั่วตัวจนน้ำตาซึม ร่างบางทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งอย่างอ่อนแรง ขุ่นเคืองที่ถูกกระทำรุนแรงจนตกอยู่ในสภาพกึ่งทุพพลภาพเช่นนี้ แต่ในยามฤทธิ์ยากระตุ้นให้เกิดความต้องการจนขาดสติ เขารู้สึกโล่งใจที่ใครคนนั้นเป็นเวลอร์

...ทำไมสร้อยนี่ถึงอยู่กับนายได้นะ…

นอกจากความรู้สึกติดลบมากมาย ฟาเรสยังมีความสงสัยถึงที่มาของสร้อยทับทิมว่ามันไปอยู่กับเพื่อนร่วมเอกของเขาได้อย่างไร ยังไงเขาก็เค้นเอาความจริงให้ได้ ไม่ยอมให้บ่ายเบี่ยงแน่

เสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก แม้จับใจความไม่ได้แต่ก็รู้ว่าเป็นเสียงเวลอร์กับมาวิค จบด้วยเสียงปิดประตูดัง เหลือเพียงเสียงตะกุกตะกักตรงส่วนครัว

“เป็นยังไงบ้าง” เวลอร์ถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารและยาในมือ ทั้งหมดถูกวางไว้โต๊ะข้างเตียงก่อนหันมาประคองร่างบางขึ้นนั่ง

“อ๊ะ เจ็บ” ฟาเรสร้องในยามที่ถูกประคองขึ้นนั่ง ทำเอาตัวต้นเหตุหน้าเสีย

“ขอโทษ” ใบหน้าเนียนสะบัดหนีพลางเม้มปากแน่น ใจหนึ่งก็แอบเคือง อีกใจก็นึกอายกับอะไรที่เพิ่งทำกันมา ฟาเรสยังไม่พร้อมจะสบตาอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก

“ไปห้องน้ำไหม” อีกคนพยักหน้าจึงจัดการช้อนอุ้มคนบนเตียงไปจัดการธุระในห้องน้ำแล้วพากลับมาไว้เตียงดังเดิม ฟาเรสลูบสร้อยบนคออย่างครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวโต

“เล่ามาให้หมด” เสียงแหบแห้งสั่งเฉียบขาด แววตาคาดคั้นน่ากลัวเสียจนเวลอร์อยากจับมาฟัดสักที

“กินข้าวก่อนเดี๋ยวจะเล่า”

“เล่าก่อนเดี๋ยวจะกิน”

“ฟาร์”

“ไม่เล่าก็ออกไป” คนตัวเล็กตัดบท ใบหน้างอง้ำเอาแต่ใจ คนตัวใหญ่จำต้องยกมือยอมแพ้

“สร้อยนั่นนายเป็นคนให้ฉันมาตอนที่ฉันยังเป็นรูปสลักอยู่ในวิหาร” ดวงตาสีครามเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน

“รูปสลักหินจะมีชีวิตได้ยังไง นายอำฉันแน่ๆ ท่านลุงเล่าให้ฟังใช่ไหม” ฟาเรสถามรัว จริงอยู่ที่เขาได้คล้องสร้อยเส้นนั้นให้รูปสลักในวิหารกลางน้ำ แต่แบบ มันเป็นไปได้เหรอ

“หึๆ ไม่เชื่อสินะ ใครก็ไม่รู้เวลาโดนพ่อดุมาแอบร้องไห้บนตักฉัน แล้วไอ้เด็กที่นั่งคุยกับรูปสลักหัวเราะคนเดียวนี่มันปกติไหม วันนั้นโกรธออรี่กับออร่าก็มาแอบจนค่ำ…” เรื่องราวในวัยเด็กของฟาเรสมากมายหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากนั่น จนคนฟังชักจะรับไม่ได้กับวีรกรรมของตัวเอง

“พอแล้ว งือ เงียบเลย” ฟาเรสห้ามหน้าดำหน้าแดง ทั้งเขินทั้งอาย ก็ตอนนั้นเขาเด็กนี่

“หึๆ” ป๊าบ!!! เวลอร์ทำหน้าล้อเลียนจนโดนฟาดแรงๆ ไปที

“เล่าเรื่องสร้อยต่อสิ”

“ไหนบอกให้เงียบ” ร่างสูงยังกวนต่อเลยโดนมือเล็กฟาดไหล่ไปอีกสองสามที

“โอ๊ยย รุนแรงนะเรา” ว่าแล้วก็รวบข้อมือบางไว้ด้วยมือเดียวพร้อมยกคนตัวเล็กขึ้นมาบนตักด้วยลืมสภาพร่างของอีกคน แม้จะขยับไม่แรงแต่ก็เจ็บจนสะดุ้ง

“ใครกันแน่รุนแรง เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยเนี่ย” ดวงตาสีครามค้อนขวับอย่างเอาเรื่องโดยเฉพาะช่วงล่าง คงสะโพกครากไปหลายวัน

“ขอโทษครับ โอ๋ๆ” ฟาเรสชักงงกับตัวเองแล้วนะ จะมาต่อล้อต่อเถียงกับหมอนี่ทำไม แล้วถูกโอ๋จะยิ้มเพื่อ? เขาต้องเคืองสิ

“เล่าต่อเดี๋ยวนี้”

“ที่จริงฉันกับแม่นายเป็นชาวอินเวียโน เราต่อสู้กับพวกที่ใช้พลังในการควบคุมมิติไปใช้ในทางที่ผิด พวกนั้นเรียกตัวเองว่าฟอสโก ดันมีคนในกลุ่มทรยศเรา เจ้านั่นคือริคัทโต เราไม่รู้มาก่อนว่าเพื่อนคนนี้แท้จริงแล้วเป็นผู้นำของพวกมัน พวกเราโดนหักหลังโดยไม่ทันตั้งตัวเลยแพ้ จึงพากันหนีออกจากอินเวียโน ฉันเองก็เจ็บหนัก ฟาร่าก็มีนาย เราทุกคนต่างกระจัดกระจายเพื่อรอเวลา ในตอนนั้นฉันกำลังจะตายเพราะโดนเพื่อนสนิทวางยาหาทางรักษาไม่ได้ ฟาร่าจึงหยุดร่างกายฉันไว้เพื่อให้ฤทธิ์ยาสลายและได้ฟื้นพลัง แต่การทำแบบนั้นทำให้แม่นายอ่อนแอ คลอดนายได้ไม่นานก็ตาย สร้อยเส้นนั้นเป็นตัวแทนพลังของเธอ ใช้คลายเวทมนตร์ที่สะกดร่างฉันเอาไว้” ฟาเรสคิดตามอย่างตั้งใจ “อินดิโก้ไม่รู้ว่านานแค่ไหนฉันถึงจะฟื้นเต็มที่ เขาตั้งใจให้นายอายุสักยี่สิบ พร้อมที่จะรับเรื่องพวกนี้ ค่อยปลดปล่อยฉันออกมา แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นก่อน ก็แบบที่เห็น”

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อ ล้างแค้นงั้นเหรอ” ฟาเรสว่า สายตาจริงจัง

“คงตามหาชาวอินเวียโนที่เหลือก่อน ลำพังกำลังฉันมันยากจะพอ เจ้านั่นได้อัญเชิญพวกอันเดธมากมายเข้ามาในเอสทีเรียด เพื่อจะใช้พวกมันจึงสร้างของสำหรับควบคุมมัน ได้ยินว่าหมอนั่นสร้างของวิเศษขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ผ่านไปเป็นสิบๆ ปี ไม่รู้ว่าเจ้านั่นมีกองทัพในมือแค่ไหน แต่ในไม่ช้าคงใช้มันรุกรานเอสทีเรียด ทางเดียวที่จะหยุดของสิ่งนั้นได้ อาจต้องทำลายลูกแก้วนั่นซะ”

“ลูกแก้วที่ว่าทำไมถึงมีพลังในการควบคุมละ” ฟาเรสถามอย่างสงสัย

“สายเลือดเอลฟ์โบราณจะมีพลังแฝงอยู่ หากแปรเปลี่ยนเลือดเป็นวัตถุก็จะมีพลังในการควบคุมสรรพสิ่ง แต่บางครั้งการใช้พลังนี้อาจทำให้ผู้ใช้อ่อนแอลง เหมือนตอนฟาร่าตัดสินใจผนึกฉันและสร้างสร้อยทับทิมขึ้น ริคัทโตเองก็มีสายเลือดเอลฟ์โบราณ ถ้าจะพูดให้ถูกหมอนั่นเป็นพี่ชายของฟาร่า จึงสามารถใช้พลังจากเลือดสร้างสิ่งที่ว่าขึ้นมาได้ และแน่นอนว่ามันก็จะถูกทำลายโดยคนที่มีพลังแบบเดียวกัน”

“อย่าบอกนะว่าเจ้านั่นเป็นลุงของฉัน” ฟาเรสว่า เขาไม่อยากนับญาติกับคนที่ทำลายครอบครัวเขาหรอกนะ “แล้วทำไมพวกนั้นถึงตามฆ่าฉัน”

“เดาว่าเจ้านั่นกลัวฟาร์จะไปขัดขวางแผนการในอนาคต”

“แล้วฉันไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปทั้งชีวิตหรอกเหรอ”

“เราอาจต้องชิงกำจัดพวกนั้นซะ จะได้อยู่กันแบบสงบสุขเสียที” เวลอร์ว่า การที่อินดิโก้พาพวกเขาหนีมาไวท์ออชาร์ดเป็นเพียงการซื้อเวลาและสุดท้ายก็ถูกหาเจออยู่ดี

“แล้วทำไมเราไม่ขอแรงจากเอแวนการ์ด ถ้าพวกเขารู้ว่าฟอสโกกำลังทำอะไรต้องไม่ปล่อยไว้แน่”

“ไม่ได้หรอกฟาร์ เราไม่รู้นี่ว่าในเอแวนการ์ดมีคนของฟอสโกนั่นอยู่หรือเปล่า อีกอย่างการที่ฉันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ให้ใครรู้ไม่ได้นอกจากพวกเราเอง รวมทั้งตัวตนของฟาร์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อม เราจะไม่บุกไปที่นั่น”

“แต่ถ้าเราไม่รีบ มันจะยิ่ง…”

“บุกตอนไม่พร้อมก็ตายเปล่า คนอื่นน่ะไว้ทีหลัง ยิ่งฟาร์เสี่ยงน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ฉันทำเพื่อคนอื่นมามาก แค่เรื่องฟาร์เท่านั้นที่ฉันจะเห็นแก่ตัว" นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความอบอุ่นห่วงใย จนหัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรง พอรู้ว่าเวลอร์เป็นใคร เริ่มพอจะเข้าใจว่าทำไมรู้สึกวางใจคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอ

“ไม่คิดเลยว่าเรื่องทุกอย่างมันจะมากมายขนาดนี้” ฟาเรสถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันช่างดูหนักหนาจนแม้แต่เขาเองถึงอยากจะแก้เเค้นริคัทโตก็ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า

"เอาละ เล่าแล้วกินข้าวกินยาซะ จะได้พัก"

"อืม" แล้วถ้วยข้าวต้มก็ถูกถือไว้ตรงหน้าคนบนตักจนดูเหมือนโอบกอดไว้กลายๆ

"ป้อนไหม" เสียงทุ้มนุ่มถามพร้อมยิ้มกว้าง

"กินเองได้น่า" ว่าแล้วฟาเรสก็แย่งช้อนจากมือใหญ่มาถือไว้ แล้วจัดการตักข้าวเข้าปากช้าๆ รู้สึกเกร็งแปลกๆ กับบรรยากาศในตอนนี้ จะว่าไปเวลอร์ในตอนนี้กับคนเมื่อวานนี่คนเดียวกันหรือเปล่า คิดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วมันก็แบบ

...จะบ้าตาย…


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด