“พี่รับน้องไว้ น้องเป็นของพี่”
อยู่ๆ นกุลก็ได้ยินเสียงประโยคนี้ดังขึ้นมาในหัว หลังจากคบกับหมอกมาตั้งหลายปีแล้วแต่เขาก็ยังฝันถึงนรผลกับพรานป่าอยู่อย่างนั้น ทั้งที่ความฝันกลายเป็นจริงแล้วแต่พล็อตพิสดารนี้ยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ซึ่งเขาก็ไม่กล้าบอกอีกฝ่ายเพราะมันแฟนตาซีเกินไป กลัวแฟนรับไม่ได้ที่เป็นคนช่างจินตนาการขนาดนี้
คนรักกันที่คบกันมานานๆ เขาทำยังไงให้ความรักยังสดใหม่อยู่เสมอ? คำตอบสำหรับคำถามนี้ของนกุลเห็นจะเป็นอะไรที่ธรรมดามากๆ ที่ทุกคู่ก็น่าจะทำกัน
เปลี่ยนบรรยากาศ
นกุลนอนคว่ำหน้าเลื่อนโทรศัพท์ไปพลางทับคนผิวแทนที่อยู่ด้านล่างไปด้วย หมอกที่โดนทับอยู่ทั้งตัวทำหน้าไม่รู้หนาวรู้ร้อนแต่ก็ฟาดมือไปที่บั้นท้ายแฟนหนุ่มด้วยความหมั่นเขี้ยวไปที
“จุกไหม” คนนอนแผ่ด้านล่างเอ่ยถาม
“ไม่”
ทั้งคู่เพิ่งกินมื้อเย็นกันไปเป็นเซ็ตซีฟู้ดรวม กุ้งเอย หอยเอย ปลาหมึกเอย ได้มาทะเลทั้งทีก็ต้องกินซีฟู้ด เขาว่าอย่างนั้น ทั้งคู่ที่ไม่มีใครแพ้อาหารทะเลก็จัดการมื้อเย็นไปอย่างเต็มที่ไม่นึกเผื่อยามเย็นว่าจะมีอารมณ์มานั่งเล่นจ้ำจี้กันอีก
“โกหก” หมอกบีบจมูกคนติดโทรศัพท์ไปทีอย่างหมั่นเขี้ยว
“อื้อ” นกุลพูดอู้อี้ในลำคอแต่ก็ยอมให้แฟนบีบจับอย่างนั้น
“ไปเดินย่อยอาหารหน่อยมั้ย” หมอกชันแขนเท้าแขนขึ้นข้างหนึ่งพลางถาม
“เมื้อกี้ก็ย่อยแล้วไง”
ไม่กี่นาทีก่อน คู่รัก7ปีเพิ่งร่วมรักกันอย่างหวานฉ่ำบนเตียงสวีทของโรงแรม ทั้งที่เพิ่งกินมื้อเย็นมาแต่ก็ไม่มีใครยอมใครในศึกเมื่อครู่ เว้นแต่ว่านกุลขออย่างนึงคือไม่ใช้ปากให้เพราะกลัวจะอ้วกย้อนออกมาจากปาก
“นี่ออกกำลังอยู่คนเดียว ตัวเองนอนเฉยๆ” หมอกพูดไปขำไป
“ก็ขึ้นให้แล้วไง” อีกคนเถียงเจื้อยแจ้ว
“ขึ้นสามวิก็บ่นปวดขา”
“ขึ้นก็คือขึ้น”
“โอเคๆ ไปเดินเล่นเถอะหน่า ทะเลตอนเย็นๆ มันสวยดีนี่อยากไป” หมอกเอี้ยวตัวไปกอดนกุลหลวมๆ
คนติดโทรศัพท์ยอมจำนนโดยดี นกุลลุกขึ้นฉึบฉับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากที่เป็นดาวยั่วให้กลายเป็นนักท่องเที่ยวเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นลำลองผ้าบางๆ เพื่อไปเดินเล่นแถวชายหาด หมอกก็แต่งคล้ายๆ กันเพียงแต่ใส่เสื้อกล้ามสีขาวโชว์หุ่นแน่นที่ผ่านการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอผิดกับนกุลที่ชักจะอวบอิ่มขึ้นทุกวัน
“แอบหนาวนะ” นกุลว่าขณะเดินเตะทรายผ่านรองเท้าแตะไปตามรอยคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นจังหวะ
“เหรอ” หมอกคว้ามืออีกคนมาจับไว้พลางลูบเบาๆ
นกุลบีบมือตอบแล้วเดินตามชายหาดออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ลับฟ้าไปทีละนิดจนทั้งท้องฟ้ามืดสนิท น้ำในทะเลก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งคู่หยุดเดินแล้วพากันนั่งที่ขอบชายทะเล ฟังเสียงคลื่น ดูท้องฟ้ากลางคืนไปด้วยกัน คนชอบฟังเพลงอย่างหมอกก็เปิดเพลงโปรดร้องคลอไปด้วยแข่งกับเสียงคลื่นในทะเล
“เธอดูนี่” นกุลที่กอบเอาทรายทับเท้าข้างหนึ่งไว้ กระดิกนิ้วเท้าโหยงเหยงจนทรายแตก
“ไอ้เด็ก” หมอกยิ้มให้ มือก็กอบเอาทรายทับเท้านกุลไปด้วย
“อยากลองมั้ย”
“ลองอะไร”
“เอาทรายกลบตัวไง”
“ไม่ใช่เด็กเหมือนนกุล”
“ผู้ใหญ่ก็ทำได้”
“งั้นผู้ใหญ่ก็โดนโยนลงน้ำได้” หมอกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะคว้าเอวบางของแฟนไว้ รวบตัวขึ้นบ่า มือหนึ่งก็เกี่ยวรองเท้าแตะของนกุลออก
หมอกเดินแน่วแน่ลงไปที่ทะเลเสียงคลื่นกลบเสียงกรี๊ดของนกุลไม่ไหว แต่คนข้างบนก็แกล้งทำเป็นไม่ชอบไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงชอบเล่นเหมือนเด็กๆ ปากก็ร้องแต่ร่างกายไม่ขัดขืนสักนิดแถมไม่พูดไม่จา กรี๊ดเอาสนุกไปอย่างนั้นเอง
ตู้ม!
หมอกโยนนกุลลงไปทั้งตัว ตัวเองก็ลงน้ำไปด้วย น้ำทะเลเย็นเฉียบสัมผัสผิวหนังของทั้งคู่ไปทั่วตัว แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะชอบใจออกมาแข่งกับเสียงคลื่น
“เค็ม” นกุลว่า
“ของนี่เค็มกว่านี้ยังไม่เห็นบ่น”
นกุลสาดน้ำใส่คนพูดทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น หมอกก็สาดกลับบ้างแต่ก็สู้เด็กซนอย่างนกุลไม่ไหว สุดท้ายก็มองหน้ากันยิ้มๆ ท่ามกลางทะเลกลางคืนกับเสียงคลื่น
“เปรอะนัก” หมอกว่าหลังจากเดินขึ้นมาจากน้ำ สองเท้าเหยียบไปบนพื้นทราย
“อุ้มหน่อย”
นกุลเห็นเท้าตัวเองก็เปื้อนทรายเช่นกันจึงหันไปอ้อนแฟนอย่างเอาแต่ใจ มือข้างหนึ่งถือรองเท้าแตะอีกข้างอ้าออกรอหมอกอุ้มขึ้นหลัง
“ลงไปล้างน้ำก่อน” หมอกเคลื่อนตัวไปช้อนนกุลขึ้นหลัง มือข้างหนึ่งคว้าเอารองเท้าแตะของอีกคนมาถือ ตัวเองเดินลงน้ำทะเลอีกรอบให้คนด้านบนได้ล้างเท้า
“เดี๋ยวเดินไปก็เปื้อนอีก” นกุลซุกหน้าบนหลังกว้าง บ่นอุบอิบ
“เช่นนั้นน้องก็มิต้องเดิน”
หือ… นกุลคิด ในหัวได้ยินเสียงซ้อนขึ้นมาจากในฝัน ประโยคเมื่อกี้มันคุ้นหูมาก เหมือนคำพูดของตัวละครที่เขาจินตนาการในฝันบ่อยๆ
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”
“พี่รับน้องไว้ น้องเป็นของพี่”
พี่…. น้อง….
“เดี๋ยวนะตัวเอง…”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรเพิ่มเติมหมอกก็ชิงตัดบทก่อน คนอุ้มบ่นไปเดินไปท่ามกลางแสงริบหรี่ยามค่ำคืน มีแต่แสงพระจันทร์สะท้อนน้ำทะเลเท่านั้น
“พบกันเพียงเจ็ดคืนก็ลาจาก อยู่กันมาเจ็ดปีกลับจำกันไม่ได้ ใจดำยิ่ง”
นกุลอึ้งกิมกี่ไปหมด คำพูดคำจาของหมอกเริ่มซ้อนทับกับนายพรานป่าที่เขาฝันมากขึ้นไปทุกที
“เธอว่าอะไรนะ”
“คนงามใจดำเยี่ยงนี้ทุกคนฤา” หมอกหยุดฝีเท้ายืนนิ่ง
“เธอ เค้างง”
หมอกถอนหายใจ ค่อยๆ วางนกุลลงบนพื้นทรายเชื่องช้าก่อนจะหันหน้าไปประจันกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนมาเจ็ดปี
“พี่รับน้องไว้ น้องเป็นของพี่” หมอกว่าพลางเกี่ยวปอยผมทัดหูนกุลแผ่วเบา
“???”
“น้องเป็นของพี่ตั้งแต่ยามแรกที่น้องหล่นจากต้น น้องเป็นของพี่”
ภาพในหัวย้อนกลับมาในโสตประสาทของนนกุลอีกครั้ง ความทรงจำครั้งแรกที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าคร้ามแดดของชายหนุ่มวัยกลัดมันกำลังโอบอุ้มเขาอยู่ สายตาตื่นตะลึงของชายหนุ่มซ้อนทับกับสายตาของนกุลในตอนนี้ราวกับเป็นภาพเดียวกัน
“พ..พี่….”
“คนงามทิ้งพี่ไปไม่บอกลา ยามนี้กลับทำเป็นจำกันไม่ได้”
นกุลทรุดลงไปบนพื้นทราย คนตรงหน้ารีบกระโจนมารับตัวไว้
ยิ่งได้สัมผัสกันนกุลก็ยิ่งมองเห็นภาพในหัวชัดเจนขึ้น
เขาคือ…นรผล
ฝันนั้นคือเรื่องจริง…
ผู้ชายตรงหน้าคือท่านพี่ผู้นั้น
“หากน้องยังจำไม่ได้ พี่ก็จำใจยอมรับความจริง แต่ถึงกระนั้นพี่จักไม่ยอมให้น้องลืมกัน” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูนกุล
“ยามแรกพี่รับน้องมาจากต้น เราร่วมรักกันชั่วค่ำคืน สองยามสามยามไม่เหน็ดเหนื่อย”
ภาพลามกที่นกุลเห็นในฝันฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาที่ปรนนิบัติชายผู้รับร่างเขาเอาไว้อย่างสุดความสามารถรักชายผู้นั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
“เราร่วมกันเดินป่านับเจ็ดวัน พี่รักน้องสุดหัวใจ หมายมั่นจะผูกข้อมือนับถือกันเป็นผัวเมียยามกลับถึงบ้าน…”
นกุลเงยหน้ามองใบหน้าของชายอันเป็นที่รัก นี่เองสินะเหตุผลที่เขาตกหลุมรักหมอกตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก นี่เองสินะเหตุผลที่หมอกมองเห็นเขา คนธรรมดาจืดชืด มองเห็นตัวตนจนตกลงเป็นแฟนกันในที่สุด
“แต่เช้ารุ่งวันที่แปดนั้นเอง…” เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของคนรัก ทั้งตัวของคนที่โอบกอดเขาไว้สั่นเทิ้ม น้ำเสียงเองก็เหือดแห้ง “น้องหมดเรี่ยวแรง ทรุดลงบนอกพี่”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากตาของคนเล่า นกุลเองก็น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เขากำลังจะต้องจากไป
เขามีอายุขัยเพียงเจ็ดวันเท่านั้น…
มันเป็นคำสาปของต้นนรผล
“ร่างกายน้องเปลี่ยนสีเหมือนลูกมะเหมี่ยวแดงที่สุกงอม ค่อยๆ สลายไปช้าๆ ทิ้งไว้เพียงขั้วผลให้พี่ดูต่างหน้า”
“พ..พี่จ๋า” น้ำเสียงเครือของนกุลทำให้อีกฝ่ายประสานตามอง
“พี่สาบาน ณ วันนั้น ไม่ว่าอีกกี่ชาติจากนี้ พี่จะขอตามเจ้าไปทุกชาติ เราจักต้องพบกันทุกชาติไป เพราะพี่รับน้องไว้ น้องเป็นของพี่”
“พี่จ๋า…น้องขอโทษ”
ทั้งคู่กอดกันแน่น ร้องไห้หากันอย่างไม่มีใครยอมใคร พี่จูบแก้มน้องอยู่อย่างนั้นไม่ยอมห่าง น้องเอาแต่ร่ำไห้ขอโทษพี่ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนคนน้องหยุดร้องได้ คนก็พี่อุ้มส่วนคนน้องก็กอดคอคนพี่แน่น มุ่งหน้าไปรังรักเพื่อสานต่อความคิดถึงทั้งที่ไม่เคยห่างกันแต่เหมือนไม่เจอมานับชาติไม่ได้
……………………………………………………………………………………………………………….
เมื่อถึงเตียงคนน้องก็ทอดกายลงต่ำ ไล่จูบไปตามอก ตามเอว ไล่ลงไปถอดกางเกงคนพี่แล้วโยนไว้ที่ปลายเตียง
เครื่องเพศของคนพี่ชูชันจนกางเกงในปิดไม่มิด น้องยิ้มร่าทั้งคราบน้ำตา เอี้ยวตัวไปเกี่ยวกางเกงในออกก่อนจะจูบที่เนื้ออย่างไม่รังเกียจ
“น้องอยากอมให้”
คนพี่ยิ้มรับอย่างเอ็นดู มือก็ลูบหัวน้อยๆ ไม่ห่าง
คนน้องใช้ลิ้นเลียโคนที่เต็มไปด้วยขนดกดำ เลียขึ้นมาเรื่อยถูลิ้นขึ้นลงอย่างเอาใจ จนถึงปลายที่มีน้ำซึมน้องก็ดูดดึงเอาน้ำมาชิมปากก็ว่า “พี่ขมจัง”
คนพี่ถึงกับหัวเราะด้วยความเอ็นดูแต่มือข้างหนึ่งก็กดหลังคอคนน้องในอ้าปากรับองคชาตที่แข็งจนน้ำไหลเยิ้ม
“อ่อก…”
ถึงจะทรมานแต่คนน้องก็อ้าปากแลบลิ้นเปิดคอรับพี่ทั้งแท่ง ปล่อยให้เขาดันเขาดันออกเป็นจังหวะเหมือนเครื่องมือทางเพศชิ้นนึงที่ไร้ความรู้สึก แต่คนน้องก็สู้ด้วยการกระดกลิ้นเลียหัวหยักให้พี่อย่างเอาใจ
“ซี้ด…”
คนพี่ซู้ดปากอย่างชอบใจยามน้องใช้เลียกระดกขึ้นลงเร็วๆ ที่หัวหยัก ยิ่งดันองคชาตเข้าไปในคอเข้าออกแล้วยิ่งเสียว คนพี่ถอนตัวออกอย่างหักห้ามใจเพราะกลัวจะไปถึงฝั่งฝันเสียก่อน
คนน้องก็รู้งานขยับตัวไปนอนโก้งโค้งรอ นิ้วมือก็ยัดเข้าไปในรูดอกไม้สีช้ำเข้าออกยิ่งยั่วยวนคนพี่ที่ขยับมือช่วยตัวเองไปพลางรอน้องเตรียมตัวให้พร้อม
จนดอกไม้บานเต็มที่พี่ก็จ่อองคชาตเข้าไปทักทายอย่างห้ามใจต่อไปไม่ไหว ค่อยๆ ดัน ค่อยๆ สอดเข้าไปฟังเสียงน้องร้องไป มุดเข้ามุดออกจนสุดท้ายเข้าไปได้ทั้งลำคนพี่ก็กระแทกเอวเข้าออกเป็นจังหวะจนน้องตัวสั่นคาหมอน
ต่างคนต่างร้องแข่งกันมีความสุขจนพี่ปล่อยน้ำล้นดอกไม้ท่วมท้นไหลออกมาเป็นทาง คนพี่ไม่วายกระซิบข้างหูคนที่ยังโก้งโค้งอยู่ท่าเดิมว่า…
“พี่รับน้องไว้ น้องเป็นของพี่”