[Alert: ถ้ายังไม่เคยอ่านเรื่อง "กลับบ้าน" ที่เป็นเรื่องสั้น แนะนำให้ไปอ่านเรื่องโน้นก่อนนะคะ แม้ว่าจะอ่านแยกได้ แต่อ่านเรื่องโน้นก่อน จะได้ไม่สปอยส์เรื่องนี้นะคะ] >> จิ้มไปอ่าน
"กลับบ้าน" [เรื่องสั้น ตอนเดียวจบ]
เหงา“ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียว”
เสียงทักเบาๆ ที่ดังขึ้นข้างตัว ดึงความสนใจจากผมซึ่งกำลังแหงนหน้ามองฟ้ามืดยามราตรี พร้อมๆ กับการเป่าควันสีเทาจางๆ ที่สูดเข้าปอดออกมาเป็นในอากาศ
คนที่ผมแน่ใจว่าไม่เคยรู้จัก กำลังยืนขมวดคิ้ว ทำหน้าบึ้งใส่ผม จนผมอดที่จะถามกลับไปไม่ได้
“แล้วทำไมถึงอยู่ตรงนี้ไม่ได้”
“ไม่ได้บอกว่าอยู่ไม่ได้ แต่ถามว่าทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียว”
“แล้วทำไมจะผมถึงจะอยู่ตรงนี้คนเดียวไม่ได้ มีป้ายห้ามไว้หรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แค่เป็นห่วง”
“คุณจะมาห่วงผมทำไม ทำไม ตรงนี้มันเป็นยังไง ก็แค่หาที่นั่งสูบบุหรี่”
สายตาดีดำขลับของเขายังจ้องมาที่ผมอย่างไม่มีทีท่าจะละจาก
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักคนตรงหน้าแน่ๆ แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับสายตาคู่นั้นของเขาอย่างบอกไม่ถูก
“คุณเป็นคนของร้านหรือไง แล้วถ้าผมจะนั่งสูบที่นี่ มันจะมีปัญหาอะไรหรือไง”
“ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก”
เขายังคงยืนนิ่ง ดูเซ้าซี้กับการนั่งอยู่ที่นี่ของผมไม่เลิก
“แล้วมาเรียกทำไม”
“ก็เห็นนั่งอยู่คนเดียวบ่อยๆ เป็นห่วง”
“แล้วมารู้ได้ไงว่านั่งอยู่คนเดียวบ่อยๆ นี่นายตามดูอยู่หรือ”
“ก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอก”
“นี่เป็นวิธีเข้ามาจีบแบบใหม่หรือไง”
ผมกล้าถามกลับแบบนั้น เพราะเขาไม่ใช่คนแรกที่คิดจะเดินเข้ามาหาผมเพื่อหวังจะสานสัมพันธ์
และนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ถึงจะมาทักแบบแปลกๆ ไปหน่อย แค่คืนเดียว จะมาแปลกแค่ไหน ถ้าบนเตียงใช้ได้ เรื่องอื่น ก็ล้วนไม่ใช่ปัญหา
“ได้สิ คืนนี้ว่างพอดี วันนี้ยังไม่ถูกใจใคร เลยยังไม่ตกลงอะไรกับใคร”
ผมเลือกตอบรับอีกฝ่ายก่อน ตามมาตรฐานปกติของข้อตกลงบนเตียงแบบวันไนท์สแตนด์ ใครจะเปิดถ้าอีกฝ่ายตอบรับก็ไม่ต้องพูดบอกอะไรอีกให้มากความ
ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ต่างฝ่ายต่างได้ วินวินทั้งคู่ ไม่มีอะไรผูกมัด ไม่มีอะไรผูกพัน ก่ายกอดเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนปลดเปลื้องความอยากในร่างกาย
“ไปเลยไหม อยากไปไหนล่ะ โรงแรม หรือห้องคุณ”
แล้วผมก็ต้องแปลกใจที่เขาก็ยังคงยืนนิ่ง และคิ้วกลับขมวดยิ่งกว่าเดิม ไม่ได้แสดงท่าทีดีใจกับการตอบรับของผมเช่นคนอื่นๆ เวลาถูกผมเลือก
“ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ” เขาเอ่ยปากถาม
“ทำอะไร” ผมถามกลับในทันที
“ก็ทำแบบที่กำลังทำอยู่”
“อะไร หาคนนอนด้วยน่ะหรอ”
เขาพยักหน้าทั้งที่ยังยืนนิ่ง
“ก็จะทำไม ต่างฝ่ายต่างพอใจ มีอะไรผิด ไม่เห็นใครจะเดือดร้อนอะไรนี่”
“ที่ทำแบบนี้ เพราะเหงาหรือ”
ผมชะงักกับคำที่เขาถามกลับมา
เหงางั้นหรือ
ผมว่าผมเลิกรู้จักคำนั่นมานานละนะ ทำไมคนๆ นี้ถึงถามผมแบบนี้
เมื่อตั้งสติกลับมาได้ ผมจึงยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินเข้าไปประชิดตัวเขา ก่อนก้มลงไปกระซิบที่ข้างใบหู
“แล้วถ้าบอกว่าเหงา จะอยู่เป็นเพื่อนกันไหม”
เขาชะงักไป ไม่ขยับเขยื้อน ไม่เอ่ยถามอะไรออกมาอีก
ดูเหมือนเสน่ห์ของผมยังคงใช้การได้อยู่ เหยื่อติดกับแล้ว จะปล่อยไปก็ไม่ใช่สันดานพรานนักล่าน่ะสิ
ริมฝีปากของผมที่ยังไม่ได้เลื่อนไปไกลจากใบหูของเขา เปิดโอกาสให้ลิ้นของผมเลื่อนออกมาสัมผัสกับติ่งหูบางๆ นั่น ก่อนจะขยับเอาปากงับลงเบาๆ อย่างต่อเนื่อง
ปฏิกิริยาของเขาเป็นดังคาด มือกำลังจะถูกยกขึ้นมาปกป้องใบหู แต่นั่นช้ากว่ามือของผมที่จับเข้าที่มือทั้งสองของเขา และรวบตัวอีกฝ่ายเข้าสู้อ้อมกอดให้แนบชิดขึ้น
ก่อนที่ผมจะเย้าแหย่หยอกล้อกับเหยื่อในกรงขังของอ้อมกอด
“ทำไมต้องดิ้น ไหนว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันไง”
“ถ้าเหงา ก็จะอยู่ด้วย แต่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”
“รู้ไหม วิธีคลายเหงาน่ะ มันมีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้นล่ะ”
เขาหยุดดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขน แต่เลือกที่จะตวัดสายตาขึ้นมองผมเขม็งแทน
สายตามุมเงยระยะประชิด ยิ่งทำให้ผมได้เห็นดวงตาเรียวทรงเสน่ห์ นัยน์ตาสีดำสนิท เปล่งประกายสดใส
ภายในดวงตากลมแป๋วราวแก้วบริสุทธิ์นั่น ดึงดูดใจผมแบบที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ ไม่สามารถอธิบายออกมาได้
หรืออาจจะเพราะผมไม่ค่อยเจอใครที่มีดวงตาใสซื่อเป็นธรรมชาติขนาดนี้
และนั่นทำให้ผมอดโน้มใบหน้าลงมาหาใบหน้าของเขาไม่ได้
ริมฝีปากของผมทาบลงบนปากบางๆ สีแดงสดนั่น และความอึดอัดก็ทำให้เขาต้องเผยอเปิดช่องว่างรับอากาศ เป็นโอกาสให้ผมแทรกลิ้นของตัวเองเข้าไปรุกรานในพื้นที่ว่างด้านใน
เขาเกร็งตัวในอ้อมแขนของผมจนรู้สึกได้ มือของเขาพยายามจะยกขึ้นดันตัวผมออก แต่ทว่า ขนาดของรูปร่างที่ได้เปรียบกว่าของผมไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น
การกระทำที่ผมเรียกชื่อมันว่าจูบ แต่สำหรับเขาอาจจะเรียกว่าการคุกคามจึงดำเนินต่อไป
ผมไล้เลีย และต้อนลิ้นในปากเขาราวกับรุกรานขับไล่ และเกี่ยวรัดมันกลับมาให้อยูใต้อาณัติของลิ้มผม จนเขาแสดงท่าทีอ่อนน้อมต่อการรุกราน และดูอ่อนแรงลง ผมก็ผ่อนปรนการคุกคาม ให้เขาได้เก็บกักอากาศเข้าสู่ปอดเพื่อต่อลมหายใจ
“นี่มือใหม่ขนาดจูบไม่เป็นเลยหรือไง”
ผมเย้าคนในอ้อมกอด พร้อมๆ กับผ่อนแรงกักของอ้อมแขนลงเล็กน้อย
อีกฝ่ายหอบฮัก ทำเหมือนเพิ่งสิ้นสุดการวิ่งมาราธอน รีบหายใจเอาอากาศเข้าปอด และดูกำลังพยายามปรับอารมณ์และลมหายใจให้เป็นปกติ
แต่ผมจะรอโอกาสให้เหยื่อคืนแรง แล้ววิ่งหนีไปน่ะหรือ ไม่มีทาง
ผมจับข้อมือของอีกฝ่ายลากเข้าหาพื้นที่ด้านหลังของร้านเหล้าที่ผมแสนจะคุ้นเคย ที่ๆ ผมรู้ว่ามันมีตรอกเล็กๆ ระหว่างพื้นที่ตึกแอบซ่อนอยู่
ผมผลักให้ร่างของเขาแนบชิดกับกำแพงของตึกฝั่งหนึ่ง ใบหน้าของเขาแนบไปกับผนัง ความอ่อนแรงจากกิจกรรมก่อนหน้า ทำให้เขาไม่อาจจะขัดขืนใดๆ ต่อการกระทำหยาบกระด้างนี้ของผม ซึ่งเป็นโอกาสให้ผมดึงกางเกงของอีกฝ่ายลงต่ำ พร้อมเอามือรุกรานไปยังศูนย์กลางกายด้านหน้า
“เอามือค้ำกำแพงไว้”
ผมสั่ง พร้อมๆ กับที่จัดท่าให้เขาเอามือทาบทับไว้กับกำแพงตรงหน้า ในขณะที่ส่วนล่างตั้งแต่เอวจนสะโพกถูกพยุงให้แอ่นรับมาด้านหลัง
ด้านหลังที่ผมก็กำลังเตรียมร่างกายตัวเองอยู่เช่นกัน
ในนาทีที่กำลังคิดว่าจะเตรียมเดินหน้า ผมก็ได้ยินเสียงเขากลับมาอีกครั้ง เขาเอี้ยวคอหันหน้ามาหาผม พร้อมกับมองด้วยสายตาที่ดึงดูดนั่น ดวงตากลมโตที่กำลังตวัดมามองที่ผมอย่างฉงนสงสัย
“ถ้าเหงา ก็บอกสิ เราพร้อมจะอยู่ด้วยเสมอ”
“งั้นหรือ” ผมตอบ พร้อมๆ กับที่ส่งนิ้วแรกของตัวเองเข้ารุกรานเปิดช่องว่างบนร่างกายเขา
“อึก”
“ก็นี่ไง วิธีคลายเหงา” ผมตอบพร้อมเพิ่มนิ้วที่สอง และสามเข้าไปภายในอย่างต่อเนื่อง “จะอยู่ด้วยใช่ไหม มาสิ นี่ไง เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบแนบสนิทเลย ดีไหม”
สิ้นคำ พร้อมๆ กับที่ผมดึงนิ้วตัวเองออก และส่งเปลี่ยนส่วนกลางของตัวเองเข้าทดแทนในทันที
“อือ”
ผมได้ยินเสียงร้องครางของเหยื่อที่กำลังตกอยู่ภายใต้อาวุธร้ายที่ทิ่มแทง และนั่นยิ่งทำให้อารมณ์ผู้ล่าเช่นผมพุ่งพล่านขึ้นอีก
ผมจ้วงแทงโดยไม่ต้องรอการอนุญาต ทั้งกดมันลงไป และดึงมันออกมา ก่อนจะทิ่มเข้าสุดแรงอีกครั้ง สลับไปมาให้คนใต้ร่างร้องครวญคราง
เขาร้องคราง แต่ไม่ได้ร้องขอความเมตตา ไม่ได้บอกให้ผมหยุด ไม่ได้ร้องขอการกระทำที่อ่อนโยน และยังเลือกเอียงใบหน้ามาสบตาผมอีกครั้ง
“มองอย่างนั้นทำไม” ผมถาม ในขณะที่ส่วนล่างก็ยังจาบจ้วงรุกรานเป็นจังหวะ
“อืม อะ เหงามากจริงๆ สินะ อึก”
“พูดอะไรน่ะ ขนาดนี้แล้ว ไม่เหงาหรอก ได้ทำอย่างนี้แล้วเดี๋ยวก็หายเหงาแล้ว” ผมตอบกลับ พร้อมๆ กับที่ขยับร่างตัวเองให้หนักหน่วงขึ้น และเร่งเร็วขึ้น
ตอนนี้ร่างของเขาแถบจะไถลตั้งฉากกับพื้นถนน เป็นมือและแขนที่ยังคอยประคองให้ทรงตัวรับแรงกระแทกของผมอยู่ได้
มือของผมประคองเอวเขาไว้เพียงเพื่อที่จะขับเคลื่อนร่างกายตัวเองให้กัดกินเหยื่อใต้ร่างอย่างตะกละตะกราม
ตอนนี้ ผมเหมือนพรานที่เหยื่อมาติดบ่วง ไม่จัดการให้เสร็จ ก็คงจะเสียศักดิ์ศรี
ผมไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะครวญครางว่าอย่างไร จะเจ็บปวดหรือไม่ หรือจะมีความสุขกับการเคลื่อนไหวของผมหรือเปล่า
ผมรู้แค่ว่า น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ดังมากขึ้น เสมือนการบอกให้รู้ว่าเขาเองก็กำลังจะถึงปลายทาง และผมก็เช่นกัน ผมจึงขยับเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้น และแรงขึ้นอีกตามที่แรงขับในร่างกายมันปรารถนา
ในขณะที่เขาปลดปล่อยจนปรากฏรอยเปื้อนคราบขุ่นขาวเป็นหยดอยู่ที่พื้น ผมก็ปลดปล่อยออกมาไม่ต่างกัน เพียงแต่มันถูกโอบไว้ด้วยช่องทางอุ่นที่ยังขยับบีบรัดส่วนกลางกายผมเบาๆ ตามจังหวะที่อีกฝ่ายผ่อนลมหายใจ
ตอนที่กำลังจะผ่อนแรงและถอนกายออกนั้น ผมยังได้ยินข้อความจากเขาที่เหมือนวนซ้ำ
“เหงาก็บอกว่าเหงาสิ ก็บอกแล้วว่าถ้าเหงา ก็จะคอยอยู่ข้างๆ”
ผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่อาบแก้มของตัวเอง พร้อมๆ กับที่ภาพตรงหน้าที่กลายเป็นพร่ามัว
นี่ผมร้องไห้งั้นหรือ ร้องไห้เพราะความเหงาอย่างที่เขาถามจริงๆ น่ะหรือ
ผมนิ่งอึ้งกับความรู้สึกของตัวเองที่เพิ่งสัมผัสได้
มือที่เมื่อกี้กักกอดอีกฝ่าย กลายเป็นอ่อนแรงเกินกว่าจะยกขึ้น ขาเหมือนมีตะกั่วมาถ่วงให้หนักจนตัวทรุดลงนั่งไปกับพื้น
เขาโน้มตัวเข้ามาหาผม และยกสองแขนขึ้นโอบกอดร่างผมไว้
“แค่เรียกเรา เราก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอ”
เขาเอานิ้วมาเกลี่ยน้ำตาที่ดวงตาผม “ขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองหน่อยสิ ถึงจะโตแล้ว ก็เหงาได้ ไม่ต้องเข้มแข็งในทุกวันหรอกนะ เหนื่อยเปล่าๆ ใครก็ต้องการที่พักพิงทั้งนั้นล่ะ ใช่ไหม”
“นายเป็นใครกันแน่ เรารู้จักกันหรือ”
“รู้จักสิ แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ เราไปจากที่นี่กันดีกว่าไหม”
“ไปไหน”
“อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ดีหรอกนะ”
“พูดอะไรไม่เข้าใจมาตั้งแต่เมื่อกี้ละ จะให้ไปไหน”
“ยอมรับความรู้สึกตัวเอง รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่าเก็บงำอยู่คนเดียว มีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ เธอเสมอนะ”
“ตอบมา นายเป็นใคร ชื่ออะไร”
“ยอมรับและเท่าทันความรู้สึกของตัวเองให้ได้ เป็นตัวของตัวเอง ชื่อของเราอยู่กับเจ้าเสมอ แต่ตอนนี้ไปกันก่อนเถอะนะ”
สิ้นเสียงของเขา สติของผมเหมือนเลือนรางไป เหมือนความดำมืดของท้องฟ้าไหลลงมาย้อมทุกสิ่ง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“โอม”
เสียงเรียกชื่อผมพร้อมแรงเขย่าเบาๆ ที่แขน ทำให้ผมลืมตาขึ้นเต็มตื่น มารับคำ
“ย่า”
“ร้องไห้ทำไมครับ ฝันร้ายหรือ”
ผมเอาขึ้นลูบใบหน้า ที่ตอนนี้อาบไปด้วยน้ำตา
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมว่าผมน่าจะฝัน”
“ฝันร้ายหรือครับ”
“ไม่ครับ ไม่ร้าย แต่ก็ไม่ดี”
“หรือหลานยังเครียดเรื่องที่ย้ายบ้านหรือเปล่า หลานไม่ได้มาอยู่บ้านสวนมาเกือบ 15 ปี ต้องย้ายมากะทันหันไม่ชินหรือเปล่าลูก”
เสียงย่าเจือความเป็นห่วง ทำให้ผมเปลี่ยนลุกขึ้นมานั่งบนตั่งไม้แทนการเอนนอน แล้วเอาแขนโอบเอวย่าที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ย่าอย่าคิดมากครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผมโตแล้วนะ”
ย่าตอบรับด้วยการเอามือมาลูบหัวของผมเบาๆ
“ย่าเป็นห่วงหลานนะ จะอายุ 19 หรือจะอายุเท่าไร ย่าก็เป็นห่วงหลานตลอดนั่นแหละ”
ผมที่กำลังสูดหายใจปรับอารมณ์ ตวัดสายตาเหลือบไปเห็นภาพภาพหนึ่งที่ติดอยู่ริมผนังไม่ไกลจากตั่งที่ผมนอนนัก
ภาพที่ผมไม่ได้สนใจองค์ประกอบอื่นใด แต่ดวงตาในภาพนั้น กลับให้ความรู้สึกแสนจะคุ้นเคย
“ย่าครับ นั่นภาพอะไร”
“ตอนเด็กๆ ภาพนี้แขวนอยู่ที่เปลหลานตลอดไงครับ ตอนหลานย้ายออกไป ย่าก็เก็บใส่กรอบไว้ ไม่อยากทิ้ง”
“ผมคุ้นสายตานั้นมาก”
“นอนเปลจนโตอยู่ที่บ้านนี้ หลานนอนจ้องอยู่ทุกวัน ก็น่าจะคุ้นละนะ ตอนนั้นอยู่ในเปล จ้องภาพไป หัวเราะคิกคักไป เป็นเด็กไม่เคยเหงาเลยนะ สงสัยเพราะแม่ซื้อมาเล่นด้วยตลอด”
“งั้นหรือครับ”
“โบราณเขาว่าอย่างนั้นล่ะจ๊ะ หลานเกิดวันพฤหัส แม่ซื้อของหลานมีศีรษะเป็นกวาง นั่นไง”
“ผมว่าน่าจะไม่ใช่แม่นะครับ”
“หลานว่าอะไรนะ”
“เปล่าครับย่า ผมก็พูดไปเรื่อย”
“ตื่นมาแล้ว หิวแล้วหรือยัง เดี๋ยวย่าไปดูของกินให้นะ”
ผมยิ้มรับคำย่าที่เดินไปจากบริเวณ แล้วเปลี่ยนสายตาส่งไปหาเขาที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกล
“มิน่า ตาคุณถึงสวยเหมือนกวาง”
“ไม่ใช่เหมือนกวาง แต่เป็นกวางต่างหาก”
ผมยิ้มขึ้นมาอีกครั้งกับคำตอบนั้น แล้วก็เอ่ยทวงสัญญา
“จะคอยอยู่ข้างๆ ไม่ให้ผมเหงาใช่ไหม”
เขายิ้มและพยักหน้า
“แค่เธอเรียก ฉันจะอยู่ข้างๆ เสมอ และมันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด”
ผมมองตรงไปที่สายตาคู่โปรดนั่นอีกครั้ง
“งั้นต้องทำให้ไม่เหงา ในแบบของผมเท่านั้นนะ”
และได้เห็นดวงตากวางแสนสวยคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น วูบไหว แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เลือกที่จะรับคำด้วยการพยักหน้าลง และตามใจผมเช่นเมื่อครั้งยังเด็ก
ส่วนผมที่ไม่ใช่เด็กแล้วนั้น ก็คงจะต้องคลายเหงาด้วยกิจกรรมเป็นนายพรานมา “ล่อ” กวางเสียหน่อยแล้ว
[จบ]****************************************
Talk: อ่านมาถึงตรงนี้ คนที่เคยอ่านเรื่อง “กลับบ้าน” ก่อนหน้านี้ ก็คงรู้แล้วว่า มันคือเรื่องที่อยู่ในพลอตเดียวกัน คือเรื่อง “พ่อซื้อ” เพราะไม่ใช่แม่ (ฮา) ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน จิ้มไปอ่านที่
"กลับบ้าน" ได้เลยค่ะ เป็นเรื่องสั้น ตอนเดียวจบเหมือนกัน จริงๆ อยากจะเขียนให้ครบทุกวันนะคะ ถ้ามีโอกาส และมีแรงฮึด แล้วมาพบกันใหม่ค่ะ
ปล. ผู้เขียนมีเรื่องยาวที่กำลังจะจบแล้ว ฝากไว้ลองอ่านดูนะคะ ^^ ชื่อเรื่อง
#คุณโปสการ์ดและเช่นเคย อ่านแล้วติชมอย่างไร บอกกล่าวพูดคุยกันได้ที่
https://twitter.com/PlusOneNovel นะคะ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านจากใจเลยค่ะ
.
edit 1/6/62 >> คิดแท็กได้ละ เผื่อเอาไว้แต่งต่อให้ครบ 7 วัน ฝาก #FGFseries ด้วยนะคะ
FGF มาจาก fairy godfather หมายถึงคุณพ่อซื้อนั่นเองค่ะ 5555
***************
edit 31/10/62 สนใจเรื่องสั้นในซีรีย์เดียวกันนี้ จิ้มจากสารบัญนี้ได้เลยค่ะ อ่านแยกก็ได้ อ่านตามลำดับก็ดีน้า
[#FGFseries] #1 กลับบ้าน[#FGFseries] #2 เหงา[#FGFseries] #3 สัญญา[#FGFseries] #4 พันธะ