คิมหันต์หวนคืน
ใต้ผืนทรายที่ร้อนระอุ
ไม่ได้มีเพียงความแห้งแล้งไร้ชีวิต
หากแต่ยังมีรอยรักจากอดีต
ที่ยังรอคอยการหวนคืนมาของคนผู้นั้น...รอเวลาที่จะได้พบกันอีกครั้งนิยายเรื่องนี้คือนิยายวาย(ชายรักชาย)
เป็นเพียงสิ่งที่สร้างมาจากจินตนาการของผู้แต่ง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่จริง เหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้นทะเลทรายโกบี 2018
หลังจากทิ้งร่างนอนหงายลงบนพื้นทรายละเอียดที่ร้อนระอุของสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่ร้อนและแห้งแล้งติดอันดับต้นๆของโลก คิมหันต์ หลับตาลงเพียงเพื่อต้องการพักสักครู่ แต่ไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็ต้องถอดใจ เพราะแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าไร้เมฆ มันสาดเข้ามากระทบร่างพอดี ผนวกกับไอความร้อนบนพื้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า หากเขาเผลอหลับไป ร่างของเขาคงหลอมละลายกลายเป็นของเหลวไหลลงไปรวมกับเม็ดทรายพวกนี้แน่ๆ
เขาผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดสายตามองไปรอบกาย ทุกด้านมีเพียงเม็ดทรายที่ทับถมกันจนบางจุดเป็นเนินสูงชัน สายลมกรรโชกแรงพัดมาไม่ขาดสาย แต่ไม่ได้ช่วยขับไล่ความร้อนออกไปแม้แต่น้อย เพราะกลางทะเลทราย สายลมที่พัดผ่านย่อมต้องเป็นลมร้อนที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
คิมหันต์ใช้แขนเสื้อยกขึ้นปาดเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ไหลย้อยจากหน้าผากไหลมาสู่ดวงตา เขาถอดแว่นกันแดดออกเพื่อนำมาเช็ด เพราะกระจกแว่นมันมัวจากละอองฝุ่นจนแทบมองไม่เห็น
เฮ่อ…
นี่เขาคิดถูกแล้วใช่มั้ยที่มาที่นี่?
ชายหนุ่มรำพึงในใจอย่างเหนื่อยล้า ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายที่ล้าจากการเดินบนพื้นทรายร้อนๆมาค่อนวัน แต่รวมถึงอาการเหนื่อยล้าทางใจจากเหตุการณ์แย่ๆที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ด้วย
เขาเปิดกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อแก้กระหาย เมื่อเก็บขวดน้ำใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม พลันฝ่ามือแตะเข้ากับวัตถุบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่ามันคืออะไร
กำไลหยกราคาแพงเพราะเป็นของเก่าแก่ยุคโบราณซึ่งคนรักของเขาเป็นคนมอบให้
ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าคนรักเก่าต่างหาก
ภาพชายหนุ่มผิวสีแทนผู้มีหน้ามีตาในสังคมไฮโซผุดขึ้นมาในหัวโดยที่เขาไม่ต้องพยายามนึกถึงด้วยซ้ำ
ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องระหกระเหินมาเดินร่อนอยู่กลางทะเลทรายโกบีซึ่งตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อประเทศมองโกเลียและจีนก็คือชายคนนี้แหล่ะ
เขากับอดีตคนรักคบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย เมื่อเรียนจบเขาก็ตัดสินใจยึดอาชีพฟรีแลนซ์ตามที่ใจตนรัก ต่างจากแฟนเก่าของเขาที่เกิดมาในครอบครัวคนรวยที่ต้องเข้าบริหารงานตามที่ทางผู้ใหญ่เห็นควร
แฟนเก่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ ตั้งแต่คบกันมาก็มีเรื่องนอกกายเข้ามาไม่ขาด แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ค่อยเก็บอะไรมาใส่ใจและยอมรับว่ารักคนๆนั้นมากกว่ารักตัวเอง จึงยอมให้อภัยมาเสมอ
จนกระทั่งครั้งล่าสุด ซึ่งมันร้ายแรงเกินกว่าเขาจะรับได้
หมอนั่นพาเด็กผู้ชายซึ่งไม่น่าจะอายุเกิน18ปีมานอนที่คอนโดของเขา ห้องนอนของเขา เตียงนอนของเขา…
มันไม่ใช่การนอกกายอย่างเดียว แต่ครั้งนี้มันคือการหยามเกียรติและไม่ไว้หน้ากันเกินไป
เขารับไม่ได้ เมื่อต้องมาเห็นภาพอุบาทนั้นด้วยตาตัวเอง
แฟนเก่าพยายามง้องอนขอคืนดีอย่างที่เคยเป็นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนๆ
เขามองอนาคตของเราสองคนว่าจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ และพบว่าคำตอบคือ เป็นเหมือนเดิม หากเขาใจอ่อนให้อภัย เราก็คงคบกันต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานแฟนเก่าเขาก็ต้องทำเรื่องเลวๆนี้ซ้ำแบบเดิม วนลูปอยู่อย่างนั้น
เขาร้องไห้สลับกับหัวเราะกับความอ่อนแอของตัวเองอยู่หลายวัน จนแม่ของเขาพูดกับเขาคำหนึ่ง
“แม่เลี้ยงลูกมาอย่างดี มอบความรักให้ลูกทั้งหมด อย่าเอาชีวิตที่พ่อกับแม่ดูแลห่วงใยไปให้ใครทำร้ายอีกเลย…”
คำพูดนั้นทำให้เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า
เขาพยายามตัดใจ ตัดขาดทุกช่องทางการติดต่อ แต่มันทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะแฟนเก่าเขายังคงดื้อด้านตามตื้อไม่หยุด ทั้งมาเฝ้าที่คอนโด มาดักรอเวลาเขาจะออกไปทำงาน ฝากข้อความมาทางเพื่อน ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าตนหวั่นไหวไม่น้อย เพราะใจจริงก็ยังรักยังห่วงอยู่
เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาญาติคนหนึ่งซึ่งสนิทกับเขามาก เพราะญาติของเขาก็เคยมีประสบการณ์รักคุดเหมือนกัน แถมยังร้ายแรงสาหัสกว่าเขามาก แต่ญาติของเขาก็ผ่านมาได้ จนตอนนี้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนใหม่แบบแฮปปี้สุดๆไปแล้ว
และเขาก็ได้คำแนะนำดีๆมาจนได้ ญาติของเขาเล่าว่า
“การตัดใจมันโคตรยากเลยใช่มั้ย ตอนนั้นพี่ก็ทำใจไม่ได้แบบนายแหล่ะ พี่ก็เลยตัดสินใจไปปีนเขาที่อินโดนีเซีย ตอนนั้นมันโคตรลำบากเลย กว่าจะพิชิตเขาลูกนั้นได้ พี่ไม่เก่งเรื่องใช้ร่างกายนายก็รู้ แต่พี่หยุดไม่ได้ มันเหนื่อยแล้วก็ท้อมากนะ แต่พี่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ แล้วพอพี่ทำได้นะน้อง มันรู้สึกว่า เฮ้ย! เรื่องยากขนาดนี้กูยังทำได้กูยังผ่านมาได้ กะอีแค่ถูกทิ้งมันโคตรกระจอกสำหรับพี่เลย!”
นั่นล่ะ คือวิธีที่ญาติของเขาผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ เขานับถือพี่เค้ามากนะที่ทำสำเร็จ เพราะญาติคนนี้แกเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างไม่ถนัดกีฬาทุกประเภท เป็นคนขี้โรคที่ทุกคนประคบประหงม แต่แกก็พิชิตยอดเขาปุนจักจายา ยอดเขาที่มีธารน้ำแข็งปกคลุมและสูงที่สุดในอินโดนีเซียสำเร็จจนได้ เขาโคตรจะทึ่ง
ตอนแรกญาติก็แนะนำให้คิมหันต์ไปปีนเขาเหมือนกับแกนั่นแหล่ะ แต่เขาขอผ่านเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ชอบแน่ๆ แกก็เลยแนะให้ไปเดินป่า เขาก็ค่อนข้างเห็นด้วยนะ แต่ไปๆมาๆแกก็ค้านว่า มันง่ายไปหน่อย(เหรอ?) เลยเสนอให้ลองพิชิตทะเลทรายดูมั้ย ซึ่งน่าแปลกที่คิมหันต์กลับรู้สึกสนใจข้อเสนอนี้มากๆ
ญาติผู้พี่เลยเอาข้อมูลทะเลทรายของหลายๆประเทศมาให้เลือก แล้วแกจะเป็นคนจัดการเรื่องการเดินทาง คนนำทาง ผู้เชี่ยวชาญมาให้ รวมถึงออกค่าใช้จ่ายให้ด้วย (แฟนคนใหม่แกเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลกเชียวนะ
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกทะเลทรายโกบี หลังจากที่เห็นเพียงภาพถ่ายสองสามภาพเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาก่อนด้วยว่ากว้างเท่าไร เป็นอย่างไร ตาของเขามันไปสะดุดกับทะเลทรายแห่งนี้ชนิดที่ว่า ไม่ยอมละสายตาไปมองอย่างอื่นเลย
นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหงื่อท่วมอยู่กลางทะเลทรายตอนนี้
เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ คือการเดินเท้าฝ่าทะเลทรายร้อนๆเพื่อไปยังจุดหมายที่เป็นโอเอซิสเก่าแก่อันโด่งดังของทะเลทรายโกบี ที่มีชื่อว่า ทะเลสาบเย่ว์เฉยาเฉวียน(พระจันเสี้ยว) หากไปถึงที่นั่นได้ภารกิจก็สำเร็จ
นักบินปล่อยเขาลงกลางทะเลทราย และให้เข็มทิศพร้อมกับจีพีเอสซึ่งระบุปลายทางไว้ให้แล้ว ที่ต้องทำก็แค่เดินตามคำสั่งของจีพีเอส และจากการคำนวณ เขาต้องเดินประมาณ1วันครึ่งกว่าจะไปถึง เขาจึงพกเต็นท์ขนาดพกพามาด้วย เพราะมั่นใจว่าคงต้องค้างคืนกลางทะเลทรายนี่แหล่ะ
เขาเดินมาตั้งแต่เช้าโดยไม่หยุดพัก จนตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มจะคล้อยลงต่ำแล้ว ร่างกายที่ไม่เคยทำงานหนักอ่อนแรงจนแทบจะเดินไม่ไหว จึงตัดสินใจว่าจะหยุดพักกางเต็นท์ตรงนี้ นอนเอาแรงก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มเดินทางใหม่
คิมหันต์กางเต็นท์อย่างทุลักทุเล เรียวปากบางปิดสนิทไม่มีแรงแม้แต่จะบ่นอะไรสักคำ
กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง ดวงอาทิตย์ก็ตกดินเรียบร้อย ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วใช้ทิชชู่เปียกที่พกติดตัวมาเช็ดทำความสะอาดร่างกาย ก่อนจะแต่งกายด้วยชุดที่หนากว่าตอนกลางวัน
ในยามค่ำคืน กลางทะเลทรายอากาศจะเย็นต่างจากตอนกลางวันแบบสุดขั้ว เขาจามออกมาสองสามครั้งเนื่องด้วยร่างกายคงปรับสภาพไม่ทัน
ชายหนุ่มจุดเทียนเล่มใหญ่ที่อุตส่าห์พกติดตัวมาด้วย เขาก่อกองไฟแบบในหนังในละครไม่เป็น จึงต้องอาศัยเทียนและไฟฉายเพื่อให้แสงสว่าง
แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าจนตาแทบจะปิดแต่คิมหันต์ก็ยังฝืนออกมานั่งนอกเต็นท์ ก่อนจะเหม่อมองไปบนท้องฟ้าสีดำขลับ
ดาวเต็มฟ้าเลย….
เขาชอบดูดาวมาก หากเป็นปกติ เขาคงจะรีบหยิบกล้องถ่ายภาพขึ้นมารัวชัตเตอร์ไม่หยุด แต่ทริปนี้เขาไม่ได้พกกล้องคู่ใจมาด้วย เพราะลำพังสัมภาระที่เขาแบกมาด้วยนี่ก็เยอะมากมายแล้ว
ยามค่ำคืนที่ทุกอย่างมันเงียบสงบจนเกินไปทำให้จิตใจของคนเราฟุ้งซ่านได้ง่ายกว่าปกติ
เมื่อตอนกลางวันที่เขาเดินฝ่าทะเลทรายกลางแดดเปรี้ยง เขาเหนื่อยจนในหัวไม่มีเรื่องของแฟนเก่าเข้ามากวนใจเลยสักนิด
แต่ในตอนนี้ พอทุกอย่างมันเงียบเกินไป ก็อดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึง…
เขาไม่ได้พกโทรศัพท์มาจึงไม่ต้องกังวลว่าคนๆนั้นจะติดต่อมา มีเพียงวิทยุดาวเทียมเอาไว้เรียกคนมาช่วยเวลามีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น
เขาหยิบกำไลในกระเป๋าขึ้นมาดูอย่างลืมตัว นี่เป็นของขวัญครบรอบ1ปีที่แฟนเก่ามอบให้เขา เขารักษามันเป็นอย่างดีเพราะเป็นของขวัญชิ้นแรก หลังจากนั้น แม้จะพาเขาไปทานข้าว พาเขาไปเที่ยวทั่วโลก แต่เขาก็ไม่เคยได้รับของขวัญซึ่งเป็นของแทนใจเช่นกำไลหยกชิ้นนี้อีกเลย
กำไลนี้สำคัญกับเขามาก มันเป็นของแทนใจของแฟนเก่าที่เขารักมาก และเขาตั้งใจจะนำมาฝังที่ทะเลทรายแห่งนี้ ฝังไปพร้อมกับความรักที่เขามี ให้ผืนทรายกลืนทุกสิ่งที่ทำร้ายเขาลงไป
เขาแค่นหัวเราะให้หยกสีเขียวในมืออีกครั้งเป็นการส่งท้าย จากนั้นจึงคลานกลับเข้าไปในในเต็นท์นอน เพราะฝืนทนความง่วงไม่ไหว
เจ้าของความสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าเอนกายนอนขดใต้ผ้าห่มผืนเล็กที่พกติดตัวมาด้วย ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็เข้าสู่นิทรา แม้ด้านนอกจะมีเสียงลมพัดผ่านที่ดังหวีดหวิวเสียดหูเป็นระยะ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่นอนหลับลึกได้เลย
อือ…
คิมหันต์ครางแผ่วเบาเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลบนศีรษะ มันเหมือนมีขนนกนิ่มๆปัดผ่านลูบไล้กลุ่มผมสีดำขลับของเขาเชื่องช้าราวกับต้องการเอาใจ
รู้สึกดีจัง…
ชายหนุ่มหลับตาพริ้มปล่อยกายเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนที่เลื่อนต่ำลงมาที่พวงแก้มขาว แม้จะอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่เขาก็แน่ใจว่าสิ่งที่ลูบไล้วนเวียนอยู่ที่แก้มและเรียวปากของเขาคือนิ้วมือของมนุษย์
แม้จะมีเศษเสี้ยวความคิดที่รู้สึกพะวงและหวาดหวั่นว่าตนกำลังถูกคุกคาม แต่ลมหายใจที่เจือด้วยไอร้อนและกลิ่นหอมอ่อนของอีกคนกลับทำให้คิมหันต์เลือกที่จะทิ้งความระแวงนั้นไปได้โดยง่าย
คิมหันต์พยายามปรือตาอย่างยากลำบาก หนังตามันหนักอึ้งเหมือนถูกหินถ่วงเอาไว้
ภาพตรงหน้าที่เห็นเพียงเลือนราง คือดวงตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์
นัยน์ตาของคนผู้นั้นเจือด้วยความหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้งขณะพินิจมองหน้าเขาถ้วนทั่ว ริมฝีปากของอีกฝ่ายมีรอยยิ้มบางๆประดับไว้ ทำราวกับว่ากำลังเอ็นดูเขาเสียเต็มประดา
“ใคร…” คิมหันต์พยายามเปล่งเสียงถามด้วยความยากลำบาก ทั่วทุกอณูที่ถูกชายแปลกหน้าสัมผัสมันร้อนผ่าวราวเปลวไฟ เหมือนเขากำลังยืนอยู่กลางแดดจ้าก็ไม่ปาน
ชายแปลกหน้ารูปงามไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับโน้มลงประทับจุมพิตที่หน้าผากของคิมหันต์แผ่วเบา ขณะที่ฝ่ามือก็ยังคงวนเวียนลูบไล้ทั่วเรือนกายเพื่อแกล้งให้คนใต้ร่างทรมานราวกับจะขาดใจ
“อย่านะ” คิมหันต์รีบห้ามเมื่อรู้สึกว่ามือของอีกฝ่ายมันไล้ต่ำลงมากเกินไป แต่เสียงของเขาถูกกลืนหายเพราะถูกเรียวปากของอีกฝ่ายบดคลึงยั่วเย้าให้เขาคล้อยตาม
ผู้ชายคนนี้จูบเก่งชะมัด
คิมหันต์แม้สมองจะเบลอแค่ไหน แต่ก็อดเปรียบเทียบรสจูบของชายแปลกหน้ากับอดีตคนรักเก่าไม่ได้ แฟนเก่าของเขานั้นเป็นพวกเอาแต่ใจ การร่วมรักแต่ละครั้งก็เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองอารมณ์ตนเองให้เสร็จสม
ต่างจากชายคนนี้ ที่ทุกสัมผัสบ่งบอกได้ทันทีว่าต้องการปรนเปรอเขามากแค่ไหน มือหนาที่ลูบไล้แผ่วเบาสลับกับการบีบคลึงให้ทั้งร่างสะท้าน จุมพิตที่หยอกเหย้ากลีบปากบางให้คนถูกจูบทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเผยอขึ้นเพื่อต้อนรับลิ้นร้อนให้แทรกเข้ามาได้ถนัดถนี่
เหมือนกับดักที่ลวงล่อให้คิมหันต์ยินยอมที่จะเดินเข้าไปหาอย่างเต็มใจ
เขาเริ่มไม่แน่ใจว่านี่คือความฝันหรือไม่ แต่หากเป็นฝัน มันก็ช่างเป็นความฝันที่ดีจนไม่อยากตื่น
ในตอนที่เรียวนิ้วยาวแทรกเข้ามาในกาย เขารู้ดีว่าตนควรต่อต้าน
หรือในตอนที่ปลายอกสีเรื่อถูกความชื้นของเรียวลิ้นลากไล้ เขาก็รู้ดีว่าตนควรจะต้านทาน
เขารู้ดีทุกอย่างว่าตนไม่ควรเผลอไผล
แต่นี่มันเป็นเพียงความฝันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาต้องคำนึงเหตุผลอะไรด้วย?
คิมหันต์หลับตาแน่นปล่อยกายปล่อยอารมณ์ให้อีกฝ่ายเป็นคนควบคุม ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทางกายเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขารับรู้ได้เพียงว่าร่างกายของตนกำลังสุขสม ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงครางทุ้มต่ำของคนด้านบนที่บรรจงมอบความสุขให้เขาไม่หยุด
ท้องน้อยปวดหนึบเมื่อความอุ่นร้อนอาบเข้ามาในร่าง มือเรียวจิกทึ้งกลุ่มผมของชายรูปงามที่ยาวเหยียดถึงกลางหลัง
ภาพสุดท้ายของความฝัน เขาเห็นเพียงเสื้อคลุมของอีกฝ่ายที่ดูคุ้นตา เหมือนในหนังจีนกำลังภายในหลายเรื่องที่เคยดู ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบท่ามกลางทะเลทรายยามค่ำคืน
ปกติแล้วเขาจะถูกปลุกด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ทุกวัน แต่ในวันนี้เขากลับตื่นได้เองเพราะลำคอที่แห้งเป็นผงทำให้ระคายเคืองจนต้องไอออกมาหลายครั้งติดต่อกัน
คิมหันต์รีบควานหาขวดน้ำเปล่าข้างตัวแล้วยกขึ้นมาดื่มไปหลายอึกจนแทบจะหมดขวด อาการแสบคอดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี
“เจ็บคอชิบ แค่ก! แค่ก! โอ๊ย!”คิมหันต์ไอออกมาอีกระลอก
เขารีบสะบัดผ้าห่มให้ห่างตัวเพราะรู้สึกร้อนจนอยากจะบ้า ยามสายกลางทะเลทรายก็ไม่ต่างจากการไปยืนใกล้เตาไฟดีๆนั่นเอง
คิมหันต์ลุกไปล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่เหลือเพียงน้อยนิด เขาเก็บสัมภาระอย่างไวเพราะอยากจะเดินทางไปถึงที่หมายเต็มแก่
พอกันทีกับทะเลทราย!
ผิวเขาที่เคยขาวเนียนตอนนี้มันทั้งไหม้ทั้งแสบและคันไปหมด อยากกลับบ้านใจจะขาดแล้ว!
ชายหนุ่มร่างโปร่งบางเดินลากเท้าเหมือนจะหมดแรงอยู่รอมร่อ สมองพาลคิดถึงเรื่องเมื่อคืน เรื่องความฝัน…
เขาสรุปให้ตัวเองได้แล้วว่ามันคือความฝัน เพราะตอนที่เขาตื่นขึ้นมา เสื้อผ้าเขายังอยู่ครบชุด ร่างกายไม่มีร่องรอยถูกลุกล้ำใดๆ จะมีผิดแปลกไปก็แค่รอยขาวๆตรงเป้ากางเกงเท่านั้น ซึ่งมันเป็นรอยจากร่างกายเขาเอง ถ้าไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังพวกมันคงขำกันใหญ่ โตป่านนี้ยังจะฝันเปียกอีก สงสัยเขาจะของขาดนานไปหน่อย
ว่าแต่…ผู้ชายในฝันเมื่อคืน งานดีสุดๆเลยนะ
คิมหันต์เผลอยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงเรื่องชวนหวิว แม้จะเป็นฝันแต่ก็ทำเขาฟินยิ่งกว่าเรื่องจริงซะอีก
ปกติแล้วเวลาเราตื่น ภาพในความฝันจะค่อยๆเลือนรางจนมันจางหายไปจากความทรงจำ แต่จนถึงตอนนี้เขายังจำหน้าผู้ชายในความฝันได้อยู่เลย
ชายคนนั้นหน้าหวานมาก ปากนิดจมูกหน่อย แต่ไม่ได้ดูสวยเหมือนผู้หญิง ร่างกายก็สูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผมก็นิ่มสลวยยาวตรงน่าสัมผัส
แต่…ทำไมเป็นผู้ชายแล้วไว้ผมยาวขนาดนั้นนะ?
ช่างมันสิ มันก็แค่ความฝัน เขาจะไปใส่ใจรายละเอียดทำไม
คิมหันต์สะบัดหัวนิดๆเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แต่ภายในใจกลับรู้สึกแปลกๆเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน มันเป็นความรู้สึกโหยหาอยู่ลึกๆ
สายตาของชายคนนั้นที่มองเขา มันบ่งบอกถึงความรักที่ท่วมท้นแต่ก็เจือไปด้วยความเศร้าจนเขาอดเสียใจไปด้วย
“คุณเป็นใครกันนะ? คุณมีตัวตนหรือเปล่า? หรือคุณเป็นเพียงสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาเท่านั้น?”
คำถามนั้นปลิวหายไปกับละอองทราย
คิมหันต์สูดไอร้อนเข้าปอดก่อนจะตัดสินใจยกผ้าผืนบางมาปิดจมูกแล้วก้าวไปข้างหน้า เขาคิดถึงมื้ออาหารหรูๆและอ่างอาบน้ำที่คอนโดตนเองเหลือเกิน
ยามบ่ายของที่นี่มันไม่ต่างจากการอยู่ในนรก
คิมหันต์ปาดเหงื่อที่ยังไหลไม่หยุด มันร้อนมากจนรู้สึกว่าผิวหนังกำลังจะละลาย
ทำไมยังไม่ถึงซักที
ชายหนุ่มคิดในใจ ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกมา เขาดูหน้าจอจีพีเอชที่คอยนำทางให้หลายต่อหลายครั้ง ความจริงเขาควรจะถึงทะเลสาบเย่ว์เฉยาเฉวียนได้แล้ว แต่มองไปรอบๆตัวก็เจอแต่กองทราย ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นโอเอซิสแห่งนั้นเลย
เขาจึงได้ข้อสรุปว่า จีพีเอชมันคงเสีย
คิมหันต์ปาเจ้าเครื่องนำทางลงพื้นทรายอย่างหัวเสีย เขาทิ้งตัวหมดแรงนั่งลงกับพื้น ยกขวดน้ำขึ้นดื่มแต่ปรากฏว่าไม่เหลือน้ำแม้แต่หยดเดียว
เขาพยายามสุดๆแล้วนะ แต่ว่าถ้าฝืนไปต่อ รับรองว่าการเดินทางเพื่อเอาชนะตัวเองของเขามันคงสูญเปล่า เขาต้องกลายเป็นศพกลางทะเลทรายเพราะขาดน้ำขาดอาหารและหมดแรงแน่ๆ
คิมหันต์เลยเลือกวิธีที่คนฉลาดจะทำกัน คือยอมแพ้…
เขาลุกขึ้นยืนโงนเงนเกือบจะหมดแรง สายตามองกวาดไปรอบๆเห็นเนินทรายขนาดใหญ่ที่สูงกว่าเนินอื่นจึงฝืนร่างกายก้าวเท้าเดินขึ้นไป มันเหมือนกับการเดินขึ้นเนินเขาขนาดย่อมๆก็ว่าได้
ด้วยความพยายามเฮือกสุดท้าย เขาก็เดินมาอยู่บนยอดเนินทรายจนได้
คิมหันต์หยิบวิทยุดาวเทียมขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณเรียกคนมาช่วยเหลือ จากนั้นเขาก็แค่รอให้มีเจ้าหน้าที่มาพาเขากลับไป
แม้จะไม่บรรลุเป้าหมายแต่เขาก็ไม่ลืมเจตนาที่ตนเดินทางมาที่นี่
เขาตั้งใจจะทิ้งเรื่องแย่ๆเอาไว้ เขาก็ต้องทำให้ได้
ชายหนุ่มหยิบกำไลหยกขึ้นมามองอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งสุดท้าย มันมีรอยตำหนิตามกาลเวลาเนื่องจากเป็นสมบัติจากยุคโบราณที่แฟนเก่าเขาไปประมูลมาให้ เขาตัดสินใจจะฝังมันไว้ตรงนี้ ให้ผืนทรายกลบมันเอาไว้ และจากนี้จนชั่วชีวิตเขาจะไม่หวนกลับมาหามันอีกเลย
ขณะที่เขานั่งลงขุดทรายให้เป็นหลุมลึกเพื่อจะฝังเครื่องประดับในมือ พลันสายตากลับเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างซึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร
เม็ดทรายมันค่อยๆยุบตัวลงไป มันเหมือนกับเขายืนอยู่บนทรายด้านบนของนาฬิกาทรายที่กำลังไหลไปด้านล่าง
ชิบหายแล้ว!
คิมหันต์ตาเหลือกเมื่อรู้แล้วว่าตรงหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
ทรายดูด!
เขายัดกำไลหยกใส่กระเป๋าแล้วรีบหันหลังวิ่งหนีเพื่อจะลงจากเนินทรายให้ไวที่สุด แต่ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อเท้าที่เหยียบพื้นทรายกลับยุบตัวลงรวดเร็วจนทั้งร่างถูกเม็ดทรายร้อนระอุดูดกลืนหายวับไปในเสี้ยววินาที
แรงจากการตกกระแทกพื้นดินแข็งๆเล่นเอาคิมหันต์จุกจนน้ำตาเล็ด เขานอนนิ่งเพราะเจ็บจนขยับตัวแทบไม่ได้
ชายหนุ่มส่งเสียงโอดโอยและก่นด่าในใจว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร เขาถูกแฟนนอกใจ ถูกทิ้งให้เดินกลางทะเลทรายที่โคตรจะร้อนนรกแตกยังไม่พออีกเหรอ ทำไมเขาต้องมาเจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อย่างน้อยก็ไม่ตายล่ะวะ”คิมหันต์ปลอบใจตัวเอง พยายามลุกขึ้นนั่งช้าๆ เขาสำรวจร่างกายว่ามีตรงไหนหักรึมีแผลหรือเปล่า แต่โชคยังเข้าข้างเขาอยู่บ้างที่ไม่มีอาการเหล่านั้น
“ที่ไหนวะ?”ชายหนุ่มกวาดตามองรอบๆแล้วต้องอ้าปากค้าง
ที่ๆเขาอยู่มันเหมือนซากเมืองโบราณซึ่งน่าจะเป็นของประเทศจีน
เหมือนราชวังของจักรพรรดิในหนังจีนหลายเรื่องที่เขาเคยดู เพียงแต่ที่นี่มันทั้งเก่าและทรุดโทรมราวกับถูกทิ้งมาหลายร้อยปีแล้ว
คิมหันต์แหงนหน้ามองด้านบนซึ่งเป็นช่องที่เคยหล่นลงมา มันมีแสงแดดสาดส่องเข้ามาถึงด้านล่างทำให้เห็นบรรยากาศรอบๆ แต่ปัญหาก็คือจากพื้นดินที่เขายืนอยู่กับด้านบนมันห่างกันมาก ไม่มีทางที่เขาจะปีนกลับขึ้นไปได้เลย
หนุ่มไทยจึงได้แต่รอความช่วยเหลือ โชคดีที่เมื่อครู่เขากดส่งสัญญาณเรียกคนมารับก่อนที่จะตกลงมา อีกไม่นานทีมช่วยเหลือคงจะมาพบเขา
คิมหันต์มองรอบๆอีกครั้ง ใจหนึ่งก็เหนื่อยจนอยากจะนั่งเฉยๆ แต่อีกใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าตนเองอาจเป็นผู้ค้นพบเมืองโบราณแห่งใหม่ของจีนเป็นคนแรก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงกลายเป็นมหาเศรษฐีในพริบตา เพราะรัฐบาลจีนต้องมอบรางวัลส่วนแบ่งจากสมบัติซากอารยธรรมเหล่านี้ให้เขาบ้าง
ว่าแต่กลางทะเลทรายโกบีทำไมมีเมืองโบราณมาตั้งอยู่? เขาไม่ได้เก่งรึมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์จีนเท่าไร เท่าที่รู้คร่าวๆ ทะเลทรายโกบีก็เหมือนสุดชายแดนชองจีน ไม่น่าจะมีตำหนักใหญ่โตขนาดนี้มาตั้งที่นี่
คิมหันต์เดินสำรวจห้องใหญ่ที่ตนตกลงมา มันดูเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งสุดปลายทางมีบัลลังก์ตั้งอยู่
“เหมือนในหนังจีนเลย”คิมหันต์นึกสนุก เขาจำฉากหนึ่งจากเรื่องเปาบุ้นจิ้นได้ ที่ตัวเอกยืนอยู่ด้านล่างเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ที่แห่งนี้ดูมีมนต์ขลังแปลกๆ
คิมหันต์จ้องมองบัลลังก์ที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร เขาเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นเพราะละสายตาไม่ได้ รู้ตัวอีกทีขาทั้งสองข้างก็มาหยุดอยู่ใกล้บัลลังก์แปลกตาซะแล้ว
คราบฝุ่นจากดินและทรายทับถมกันจนมองไม่เห็นลวดลายที่แกะสลักอย่างประณีต คิมหันต์เผลอวางมือบนเก้าอี้อันสูงศักดิ์ เขาห้ามตนเองไม่ได้ อยากจะสัมผัสทุกส่วนของที่แห่งนี้
มันคล้ายกับความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ทั้งที่เขาก็ไม่เคยมาที่นี่เลย
พลันสายตาเหลือไปเห็นตรงแท่นพนักพิงของบัลลังก์ซึ่งสลักลวดลายสวยงามน่ามองไว้
คุ้นตา? เหมือนเคยเห็นที่ไหน?
เคร้ง!
เสียงบางอย่างดังขึ้นข้างตัวท่ามกลางความเงียบ คิมหันต์สะดุ้งสุดตัวเพราะถูกดึงสติกลับมาจากอาการเหม่อลอย
เป็นกำไลหยกที่เขาพกติดตัวมาด้วยนี่เองที่เป็นต้นตอของเสียง
มันหล่นจากกระเป๋าตกลงบนพื้นที่ทำจากวัสดุคล้ายเหล็ก
เขาหยิบมันขึ้นมาเพื่อจะเก็บแต่พลันสายตากลับมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูน่าสงสัย
ลวดลายของกำไลหยกชิ้นนี้มันดูคล้ายกับลายที่อยู่บนบัลลังก์ตรงหน้าเขาเลย
คิมหันต์เพ่งมองกำไลหยกในมือสลับกับลวดลายบนบัลลังก์ตรงหน้า ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นลายเดียวกัน
ลายดวงอาทิตย์คู่กับจันทร์เสี้ยว
“เหมือนกันเปี๊ยบ”ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ กำไลหยกชิ้นนี้แฟนเก่าของเขาก็ประมูลมาจากงานประมูลของโบราณ บางทีกำไลหยกนี้อาจถูกสร้างขึ้นที่นี่ก็ได้
ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งบนบัลลังก์เพื่อคิดทบทวน การที่เขาต้องเดินทางข้ามฟ้ามาพบสถานที่แห่งนี้ ซ้ำยังมีกำไลหยกที่ดูยังไงก็น่าจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า
“เสียงอะไร?”คิมหันต์เงยหน้ามองไปรอบๆ เขาได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่างดังใกล้เข้ามาทุกที มันเหมือนเสียงฟ้าร้องคลืนๆก่อนจะมีพายุกระหน่ำ
“ตายห่า!”ชายหนุ่มสบถเสียงลั่น ใจตกไปอยู่ที่เท้าเมื่อภาพตรงหน้าที่เคยสงบถูกปกคลุมด้วยพายุทรายรอบทิศ!
เม็ดทรายจำนวนมหาศาลลอยวนเหมือนพายุทรายคลั่ง คิมหันต์หลับตาแน่นในหัวกรีดร้องเพราะความกลัว
นี่เขากำลังจะตายใช่ไหม? ทำยังไงดี! เขายังไม่อยากตาย!
ชายหนุ่มค้อมตัวคุดคู้อยู่บนบัลลังก์โบราณ รอบข้างได้ยินเพียงเสียงลมพายุ ผิวหนังเจ็บแสบเพราะถูกเม็ดทรายบาดไปทั่ว
คิมหันต์ไม่มีศาสนา เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าองค์ใดก็ตามที่ได้ยินเสียงนี้
ขอโอกาสให้เขาอีกครั้ง! ขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น! อย่าให้มันเป็นเรื่องจริงเลย!
ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^
#คิมหันต์หวนคืน