(18)
คำโกหกที่ผมแกล้งเชื่อ
เมื่อวานกว่าผมจะกลับถึงคอนโดฯ ก็เกือบตีหนึ่งกว่าๆ ดีที่คอนโดฯ ผมเป็นทางผ่านบ้านพี่เป้ ขากลับผมก็เลยติดรถเขามา ต่างจากขาไปที่ผมนั่งรถพี่ภูมิ แต่ถึงจะไม่ได้ยืนโบกแท็กซี่กลับเอง ความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวันก็ไม่ได้ทำให้ผมสลบทันทีที่หัวถึงหมอน
ผมไม่ได้อาบน้ำ กลับมาสภาพไหนก็ล้มตัวลงเตียงในสภาพนั้น เอาแต่นอนเหม่อมองเพดานเป็นชั่วโมงๆ จมอยู่กับความคิดเรื่องของพี่จนไม่เป็นอันทำอะไร มีคำถามมากมายว่า ‘ทำไม’ ลอยเคว้งอยู่เต็มหัวไปหมด
กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเอาแต่นอนหายใจทิ้งก็ตี 4 ย่างตี 5 เข้าไปแล้ว ผมพยายามข่มตาหลับสักตื่นเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน แต่มันก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งสมองเลย ดีหน่อยที่หลังจากนี้ผมไม่ต้องไปฝึกงาน ไม่อย่างนั้นก็คงไปบริษัทในสภาพสะโหลสะเหลไม่ต่างอะไรจากศพเดินได้
และในระหว่างที่หัวสมองผมหนักอึ้งไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างมาจนถึงตอนนี้ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น ผมที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเมื่อวานให้วุ่นในหัวก็กลับมามีสติอยู่ในร่างตัวเองอีกครั้ง
“ฮัลโหล…”
ผมรับสายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ไม่ได้ดูที่หน้าจอด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่พอปลายสายเอ่ยเรียกชื่อผม ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตก็ทำให้ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนมึนหัว
[ธาน]
“คะ…ครับพี่?!”
[เพิ่งตื่นหรือไง]
“ตื่นได้สักพักแล้วครับ”
ตื่นได้สักพักอะไรกันล่ะ
ตั้งแต่ย่างเท้ากลับเข้ามาในห้องผมยังไม่ได้หลับเลย
น้ำก็ยังไม่ได้อาบ สภาพเหมือนเดิมทุกประการ
[จริงเหรอ ทำไมเสียงฟังดูงัวเงียจัง]
“ใครจะไปสู้พี่ได้ล่ะครับ เสียงใสเชียว คงหายป่วยแล้วใช่ไหม”
[…ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อวานกลับจากบริษัทก็เอาแต่นอนอย่างเดียว]
ลมหายใจผมสะดุดไปเบาๆ เมื่อจับได้คาหนังคาเขาว่าพี่โกหก…
นี่ถ้าเมื่อวานผมไม่ได้ไปเห็นพี่ที่ร้านอาหารกับตาก็คงหลงเชื่อคำพูดพี่ไปแล้ว และที่ผมไม่ถามว่าพี่โผล่ไปที่นั่นได้ยังไง เพราะผมกลัวว่าถ้าถามออกไปจนทำให้เราทะเลาะกัน วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเรา ซึ่งผมยังไม่พร้อมที่จะให้พี่ไปจากชีวิตตอนนี้
“แล้วเช้านี้พี่ได้กินยาหรือยังครับ”
[เรียบร้อย ว่าแต่ธานเถอะ เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง]
“ก็ดีครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าพี่ไปด้วย”
[ไว้คราวหน้าฉันจะพานายไปเลี้ยงแค่สองคน ตกลงไหม]
“พี่สัญญากับผมแล้วนะครับ ห้ามเบี้ยวด้วยล่ะ”
[…อืม] พี่ตอบรับเสียงอ้อมแอ้ม และก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่จะทำอย่างที่รับปากไว้ไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นคนตั้งสัญญาขึ้นมาเอง ก่อนที่พี่จะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปอย่างไว [กระดกไปกี่แก้วล่ะเมื่อคืน พี่ภูมิทักไลน์มาหาแต่เช้าบอกว่าธานเมาเละเทะเลย]
“ไม่ใช่แล้วครับ อย่าไปเชื่อพี่ภูมิมาก เขาใส่ร้ายผม”
[ใช่แน่เหรอ ทำมาเป็นเสียงสูง ได้ข่าวว่าหลายแก้วอยู่ไม่ใช่หรือไง และกลับถึงคอนโดฯ กี่โมง ไม่เห็นไลน์มาบอกกันบ้างเลย]
“ขอโทษครับ” ผมบอกเสียงอ่อย “พอดีผมกลับถึงห้องก็สลบเลย…”
คราวนี้เป็นฝ่ายผมที่โกหกบ้าง แต่การโกหกของผมไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย จะให้ผมพูดความจริงหรือไงว่ากลับถึงห้องก็เอาแต่คิดเรื่องพี่กับผู้หญิงคนนั้นในร้านอาหารทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอน
[ก็พอรู้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ลืมมารายงานตัวกับฉัน ไปนอนต่อเถอะ ลืมไปว่านายไม่ต้องมาฝึกงานแล้ว]
“อิจฉาผมเหรอ”
[นิดนึง]
“แต่ผมอิจจฉาพี่ภูมิมากกว่า”
[ทำไมต้องอิจฉาพี่ภูมิ]
“ก็ได้เจอพี่ที่บริษัททุกวันไงครับ”
[หึ ไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่นเลย เดี๋ยวเย็นนี้จะเข้าไปหาที่คอนโดฯ]
“พี่จะมาผมเหรอ”
[ไปไม่ได้หรือไง]
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ครับ แต่พี่ป่วยอยู่ ผมว่าเอาไว้หายดีก่อนแล้วค่อยมาหาผมวันหลังก็ได้”
[ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว]
ที่บอกว่าดีขึ้นมากแล้วเพราะความจริงพี่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรใช่ไหม อยากถามแบบนี้อยู่หรอก แต่คิดว่าไม่พูดออกไปน่าจะดีกว่า
“ก็ได้ครับ ตามใจพี่แล้วกัน”
[งั้นแค่นี้ก่อนนะ]
“พี่จะไปทำงานแล้วเหรอครับ”
[อืม]
“ขับรถดีๆ นะครับ แล้วเย็นนี้เจอกัน”
TBC.