{เรื่องสั้น} #ได้โปรดพี่อย่าทำแบบนี้กับผม — (18 & Outside Screen 2) UP! 23.08.19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {เรื่องสั้น} #ได้โปรดพี่อย่าทำแบบนี้กับผม — (18 & Outside Screen 2) UP! 23.08.19  (อ่าน 3117 ครั้ง)

ออฟไลน์ 24.8

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • 24.8
(17)
สัญญาณเตือนภัย




วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมมาฝึกงาน แอบรู้สึกโหวงๆ ในอกยังไงชอบกล เพราะผมก็เดินเข้าออกบริษัทนี้ร่วม 3 เดือน จะไม่ให้ผูกพันเลยมันก็คงไม่ใช่

และจะว่าไปความสัมพันธ์ของผมกับพี่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างช่วงที่ผมมาฝึกงานที่นี่เนี่ยแหละ

“ธาน”

“ครับพี่ภูมิ”

“รัญชน์ไม่สบายหรือเปล่า ตอนเข้าประชุมด้วยกันพี่เห็นสีหน้ามันไม่ค่อยดีเลย”

“เหรอครับ ไม่เห็นพี่รัญชน์บ่นอะไรให้ผมฟังเลยนะ”

“อ้าวเหรอ”

“ครับ”

“เออๆ ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูๆ มันหน่อยละกัน เมื่อเช้าตอนพรีเซ้นงานแม่งโคตรเบลอ”

“ได้ครับพี่ภูมิ”

‘พี่ภูมิ’ หัวหน้าทีมอีกทีมที่ทำงานคู่ขนานกับทีมของพี่ คนแผนกอื่นอาจจะมองว่าไม่ถูกกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขาทั้งสองทีมสนิทกันมาก เพราะสุดท้ายถ้าลูกค้าเลือกแผนงานของทีมไหน อีกทีมก็ต้องเข้ามาช่วยซัพพอร์ตอยู่ดี เหมือนให้ทีมที่ผ่านการพรีเซ้นงานกับลูกค้าเป็นหัวโปรเจ็กต์ก็เท่านั้น

และพอผมได้รู้จากพี่ภูมิว่าพี่เหมือนจะไม่ค่อยสบาย อาการเป็นห่วงพี่ก็กำเริบขึ้นมาทันที ผมไปหาพี่ที่โต๊ะทำงานแต่ก็ไม่เจอจึงตัดสินใจไลน์ไปหา พี่ไม่ได้ตอบข้อความผมเดี๋ยวนั้น เพราะกว่าจะมีข้อความของพี่ส่งกลับมาก็เกือบ 20 นาทีไปแล้ว

ผมเป็นห่วงเลยบอกให้พี่กลับคอนโดฯ ไปพักผ่อน แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องงานเลี้ยงส่งผมวันนี้ด้วย ถึงจะแอบเสียใจที่พี่ไปไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าฝืนให้พี่ไปจนป่วยหนัก ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงเสียใจยิ่งกว่า เพราะเวลาเห็นพี่ไม่สบายแล้วนอนซม ผมแทบอยากจะสลับร่างป่วยแทนพี่ให้รู้แล้วรู้รอด

จนกระทั่งเวลาเดินทางมาถึงตอนเลิกงาน ผมนั่งรถไปกับพี่ภูมิ ส่วนพวกพี่ๆ ที่เหลือก็นั่งไปอีกคัน พอไปถึงคนในร้านแน่นมาก ไม่มีที่ว่างเหลือให้นั่ง

พี่ภูมิ พี่ต้น พี่เป้ แล้วก็พี่เก่งเลยยืนปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อ ระหว่างนั้นผมก็หยิบสมาร์ทโฟนจากในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นมาส่งข้อความไปหาพี่


Pa-than
ทำอะไรอยู่ครับ
Pa-than
นอนอยู่หรือเปล่า
Pa-than
วันนี้คนในร้าน AAA เยอะมาก
Pa-than
ถ้าพี่มาด้วยคงบ่นไม่หยุดแน่
Pa-than
นี่ผมยังไม่ได้โต๊ะนั่งเลย

ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้ในมือสักพัก หวังว่าพี่จะตอบกลับมาเร็วๆ นี้ แต่มันก็ว่างเปล่า เลยเก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม เพราะคิดว่าพี่คงไม่ตอบแล้ว น่าจะกำลังนอนหลับอยู่ ประจวบเหมาะกับที่พี่ภูมิเสนอว่าเราควรเปลี่ยนร้านนั่นแหละ ผมถึงได้ละจากการรอโทรศัพท์มายืนถกเถียงอยู่กับพวกพี่ๆ ว่าจะไปร้านไหนแทน

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาถึงร้านประจำอีกร้านหนึ่ง แต่ที่ตอนแรกไม่ได้เลือกร้านนี้เพราะเห็นว่าระยะทางไกลกว่า โชคดีที่พี่ภูมิรู้จักกับเจ้าของร้านเลยสามารถโทรไปจองล่วงหน้าได้ แถมยังได้เป็นห้องอาหารวีไอพีส่วนตัวอีก ไม่อย่างนั้นก็คงต้องยืนเข้าคิวรอ เนื่องจากคนก็ไม่ได้น้อยไปกว่าที่แรกเลย สงสัยเป็นเพราะช่วงสิ้นเดือนพอดี

“ไอ้ธาน”

“ครับ”

“ไม่แดกเหล้าเหรอวะ” พี่ภูมิถามเมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งรินน้ำอัดลมอย่างเดียว

“ไม่ดีกว่าครับ ผมใส่ชุดนักศึกษาอยู่ด้วย คงไม่ดีเท่าไหร่”

“เออน่า มึงจะคิดมากไปทำไมวะ ในห้องนี้ก็มีแต่พวกกู สักแก้วสองแก้วก็ได้ กูไม่มอมมึงให้เมาหรอก แดกพอเป็นพิธี”

เพราะโดนคะยั้นคะยอ แถมอีกฝ่ายยังเป็นพี่ภูมิซะด้วย จะปฏิเสธเด็ดขาดก็เกรงใจ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผมฝึกงานที่นี่ นอกจากพี่แล้วผมก็ได้พี่ภูมิคอยช่วยสอนงานเนี่ยแหละ ผมก็เลยต้องรับคำเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ก็ได้ครับ เห็นว่าเป็นพี่ภูมิหรอกนะ ผมถึงยอม”

“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ ผสมไรมึง”

“โซดาแล้วกันพี่”

“จัดไป เดี๋ยวแก้วนี้กูชงให้”

พี่ภูมิอาสาเป็นคนชงเหล้าให้ผมเองกับมือ ก่อนที่ผมจะรับแก้วจากเขามาถือไว้แล้วค้อมหัวขอบคุณเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าผมและก็มากกว่าพี่ด้วย

พูดถึงพี่แล้วผมก็ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อนึกได้ว่าส่งข้อความไปหาเขาตอนทุ่มกว่าๆ จนตอนนี้หน้าจอก็ยังไม่มีข้อความแจ้งเตือนอะไรเข้ามา ผมเริ่มเป็นห่วงเลยลุกออกจากโต๊ะทำทีเป็นว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่แท้จริงแล้วจะไปหาที่เงียบๆ โทรหาพี่ต่างหาก

ระหว่างที่เดินไปตามลูกศรบอกทาง ผมก็กวาดสายตามองนั่นมองนี่ภายในร้านอาหารไปเรื่อย ทางซ้ายมือซึ่งตรงข้ามกับโซนห้องอาหารส่วนตัวจะเป็นพื้นที่รับรองลูกค้าที่มาทานอาหารและต้องการดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากโดยรอบทำด้วยกระจกที่มองเห็นทั้งเมือง แน่นอนว่าตอนนี้ทุกโต๊ะถูกจับจองเป็นเจ้าของหมดแล้ว และบังเอิญสายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับร่างของคนคุ้นเคยที่นั่งอยู่ตรงริมกระจกด้านในสุดเข้า

นั่นใช่พี่หรือเปล่า

พี่มาทำอะไรที่นี่

ผมขมวดคิ้ว เพ่งมองไปยังผู้ต้องสงสัย แต่ก็ต้องขมวดแน่นกว่าเดิมเมื่อเลื่อนสายตาไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ผู้หญิงคนนั้นใคร

ลูกค้าเหรอ

แล้วไหนพี่บอกว่าไม่สบายจะกลับไปนอนพักที่คอนโดฯ

พอนึกได้เช่นนั้นผมก็ยกโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาพิมพ์ข้อความแล้วส่งไปหาพี่ด้วยความร้อนใจ

ถ้าเป็นแต่ก่อนเห็นคาตาขนาดนี้ผมคงหุนหันพลันแล่นเดินเข้าไปถามความจากปากพี่แล้ว แต่เพราะรู้ว่าถ้าทำแบบนั้นจะโดนโกรธ สุดท้ายเราก็จะทะเลาะกันใหญ่โต ผมถึงพยายามอย่างมากที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองไว้

อีกอย่างฝ่ายนั้นก็เป็นผู้หญิง ผมไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่าม เกิดเป็นลูกค้าของพี่ขึ้นมาจริงๆ แล้วพี่ไม่อยากบอกผมเพราะไม่ต้องการให้เป็นห่วง ผมจะซวยไปใหญ่

Pa-than
พี่ครับ
Pa-than
เงียบเลย
Pa-than
เป็นอะไรหรือเปล่า

 ผมรอดูท่าทีของพี่ เห็นเขาเหลือบสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวแวบหนึ่ง จนกระทั่งผู้หญิงที่มาด้วยกันพูดอะไรสักอย่างกับพี่ที่ผมอ่านปากไม่ออก พี่ถึงยอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความผมกลับ


Rangh
ขอโทษที พอดีนอนอยู่ เลยไม่ได้เปิดเสียงโทรศัพท์ไว้

ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น เผลอกัดริมฝีปากล่างอย่างแรงหลังจากที่ได้อ่านข้อความของพี่จบ ความรู้สึกเหมือนกระโจนลงไปในน้ำที่มีความลึกมากถึงมากที่สุด

ทั้งอึดอัด

ทั้งหายใจไม่ออก

ความดันกดทับจนผมจุกแน่นไปทั่วทั้งหน้าอกเมื่อรู้ว่าพี่โกหก ก่อนที่ผมจะตัดสินใจพิมพ์ตอบพี่กลับไปด้วยเนื้อความปกติทั้งที่มือยังสั่น

Pa-than
กินยาหรือยังครับ


Rangh
แล้ว
Rangh
งั้นเดี๋ยวฉันไปนอนต่อละ
Rangh
พอดีลุกมาดื่มน้ำ
Rangh
นายก็อย่าดื่มเยอะล่ะ เอาแต่พอดีๆ เข้าใจไหม

Pa-than
ครับ

ข้อความสุดท้ายที่ผมตัดจบบทสนทนาเป็นเพียงแค่คำว่า ‘ครับ’

ไม่แม้แต่จะถามหาเหตุผลว่าแล้วที่เห็นพี่นั่งกินข้าวอยู่กับผู้หญิงในร้านอาหารคืออะไร และก็ไม่ใช่ว่าผมเข้าใจในสิ่งที่พี่ทำ แต่ถ้าเดินเข้าไปโวยวาย หรือถามหาความจริงจากพี่ตอนนี้แล้วผมจะได้อะไร

สมมติเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดถึงขั้นฝ่ายหญิงโพล่งถามขึ้นมาว่าผมคือใคร แล้วพี่ตอบกลับไปว่าแค่น้องฝึกงานที่บริษัท ผมคงจะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการเซฟหัวใจตัวเองผมควรหยุดเท่านี้ดีกว่า แถมที่นี่คนเยอะด้วย พี่คงไม่ชอบใจแน่ถ้าเกิดผมทำอะไรลงไปจนทำให้เขาขายหน้า

และถ้าพี่อยากบอกผมจริงๆ เขาก็คงไม่โกหก ไม่ตอบข้อความผมกลับมาแบบนี้

บางทีหน้าที่คนรักจำลองอย่างผมอาจจะใกล้หมดประโยชน์แล้วก็ได้…



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2019 04:09:12 โดย 24.8 »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
มันก็น่าเห็นใจทั้งคู่นะ
แต่สงสารธานง่ะ ที่มาเห็นแบบนี้  :hao5:

ออฟไลน์ 24.8

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • 24.8
(18)
คำโกหกที่ผมแกล้งเชื่อ




เมื่อวานกว่าผมจะกลับถึงคอนโดฯ ก็เกือบตีหนึ่งกว่าๆ ดีที่คอนโดฯ ผมเป็นทางผ่านบ้านพี่เป้ ขากลับผมก็เลยติดรถเขามา ต่างจากขาไปที่ผมนั่งรถพี่ภูมิ แต่ถึงจะไม่ได้ยืนโบกแท็กซี่กลับเอง ความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวันก็ไม่ได้ทำให้ผมสลบทันทีที่หัวถึงหมอน

ผมไม่ได้อาบน้ำ กลับมาสภาพไหนก็ล้มตัวลงเตียงในสภาพนั้น เอาแต่นอนเหม่อมองเพดานเป็นชั่วโมงๆ จมอยู่กับความคิดเรื่องของพี่จนไม่เป็นอันทำอะไร มีคำถามมากมายว่า ‘ทำไม’ ลอยเคว้งอยู่เต็มหัวไปหมด

กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเอาแต่นอนหายใจทิ้งก็ตี 4 ย่างตี 5 เข้าไปแล้ว ผมพยายามข่มตาหลับสักตื่นเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน แต่มันก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งสมองเลย ดีหน่อยที่หลังจากนี้ผมไม่ต้องไปฝึกงาน ไม่อย่างนั้นก็คงไปบริษัทในสภาพสะโหลสะเหลไม่ต่างอะไรจากศพเดินได้

และในระหว่างที่หัวสมองผมหนักอึ้งไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างมาจนถึงตอนนี้ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น ผมที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเมื่อวานให้วุ่นในหัวก็กลับมามีสติอยู่ในร่างตัวเองอีกครั้ง

“ฮัลโหล…”

ผมรับสายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ไม่ได้ดูที่หน้าจอด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่พอปลายสายเอ่ยเรียกชื่อผม ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตก็ทำให้ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนมึนหัว

[ธาน]

“คะ…ครับพี่?!”

[เพิ่งตื่นหรือไง]

“ตื่นได้สักพักแล้วครับ”

ตื่นได้สักพักอะไรกันล่ะ

ตั้งแต่ย่างเท้ากลับเข้ามาในห้องผมยังไม่ได้หลับเลย

น้ำก็ยังไม่ได้อาบ สภาพเหมือนเดิมทุกประการ

[จริงเหรอ ทำไมเสียงฟังดูงัวเงียจัง]

“ใครจะไปสู้พี่ได้ล่ะครับ เสียงใสเชียว คงหายป่วยแล้วใช่ไหม”

[…ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อวานกลับจากบริษัทก็เอาแต่นอนอย่างเดียว]

ลมหายใจผมสะดุดไปเบาๆ เมื่อจับได้คาหนังคาเขาว่าพี่โกหก…

นี่ถ้าเมื่อวานผมไม่ได้ไปเห็นพี่ที่ร้านอาหารกับตาก็คงหลงเชื่อคำพูดพี่ไปแล้ว และที่ผมไม่ถามว่าพี่โผล่ไปที่นั่นได้ยังไง เพราะผมกลัวว่าถ้าถามออกไปจนทำให้เราทะเลาะกัน วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเรา ซึ่งผมยังไม่พร้อมที่จะให้พี่ไปจากชีวิตตอนนี้

“แล้วเช้านี้พี่ได้กินยาหรือยังครับ”

[เรียบร้อย ว่าแต่ธานเถอะ เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง]

“ก็ดีครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าพี่ไปด้วย”

[ไว้คราวหน้าฉันจะพานายไปเลี้ยงแค่สองคน ตกลงไหม]

“พี่สัญญากับผมแล้วนะครับ ห้ามเบี้ยวด้วยล่ะ”

[…อืม] พี่ตอบรับเสียงอ้อมแอ้ม และก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่จะทำอย่างที่รับปากไว้ไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นคนตั้งสัญญาขึ้นมาเอง ก่อนที่พี่จะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปอย่างไว [กระดกไปกี่แก้วล่ะเมื่อคืน พี่ภูมิทักไลน์มาหาแต่เช้าบอกว่าธานเมาเละเทะเลย]

“ไม่ใช่แล้วครับ อย่าไปเชื่อพี่ภูมิมาก เขาใส่ร้ายผม”

[ใช่แน่เหรอ ทำมาเป็นเสียงสูง ได้ข่าวว่าหลายแก้วอยู่ไม่ใช่หรือไง และกลับถึงคอนโดฯ กี่โมง ไม่เห็นไลน์มาบอกกันบ้างเลย]

“ขอโทษครับ” ผมบอกเสียงอ่อย “พอดีผมกลับถึงห้องก็สลบเลย…”

คราวนี้เป็นฝ่ายผมที่โกหกบ้าง แต่การโกหกของผมไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย จะให้ผมพูดความจริงหรือไงว่ากลับถึงห้องก็เอาแต่คิดเรื่องพี่กับผู้หญิงคนนั้นในร้านอาหารทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอน

[ก็พอรู้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ลืมมารายงานตัวกับฉัน ไปนอนต่อเถอะ ลืมไปว่านายไม่ต้องมาฝึกงานแล้ว]

“อิจฉาผมเหรอ”

[นิดนึง]

“แต่ผมอิจจฉาพี่ภูมิมากกว่า”

[ทำไมต้องอิจฉาพี่ภูมิ]

“ก็ได้เจอพี่ที่บริษัททุกวันไงครับ”

[หึ ไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่นเลย เดี๋ยวเย็นนี้จะเข้าไปหาที่คอนโดฯ]

“พี่จะมาผมเหรอ”

[ไปไม่ได้หรือไง]

“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ครับ แต่พี่ป่วยอยู่ ผมว่าเอาไว้หายดีก่อนแล้วค่อยมาหาผมวันหลังก็ได้”

[ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว]

ที่บอกว่าดีขึ้นมากแล้วเพราะความจริงพี่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรใช่ไหม อยากถามแบบนี้อยู่หรอก แต่คิดว่าไม่พูดออกไปน่าจะดีกว่า

“ก็ได้ครับ ตามใจพี่แล้วกัน”

[งั้นแค่นี้ก่อนนะ]

“พี่จะไปทำงานแล้วเหรอครับ”

[อืม]

“ขับรถดีๆ นะครับ แล้วเย็นนี้เจอกัน”



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2019 11:18:16 โดย 24.8 »

ออฟไลน์ 24.8

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • 24.8
Outside Screen
(2)




[รัญชน์!]

‘ครับพ่อ’

[แกอยู่ไหน ไลน์ไปก็ไม่อ่าน]

‘บริษัทครับ พอดีผมติดคุยงานกับลูกน้องอยู่ ว่าแต่พ่อมีอะไรหรือเปล่า’

[รู้หรือยังว่าณิข้อเท้าพลิก ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล]

‘ว่าไงนะครับ ณิอยู่โรงพยาบาลเหรอ แล้วอยู่โรงพยาบาลไหนครับ’

[เดี๋ยวฉันแชร์โลเคชั่นไปให้ ว่าแต่แกไปหาน้องได้ไหม พอดีพ่อติดประชุม ปลีกตัวออกไปตอนนี้ไม่ได้]

‘ได้ครับ ได้ๆ เดี๋ยวผมไปหาณิเอง’

[พาน้องไปส่งที่บ้านด้วยนะรัญชน์]

‘ครับพ่อ’

[แล้วยังไงส่งข่าวมาบอกพ่อด้วย]

‘ครับ’

นั่นคือบทสนทนาล่าสุดที่พ่อเพิ่งโทรมาคุยกับผมเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ส่วนตอนนี้ผมก็มาส่งณิที่บ้านตามที่พ่อสั่งเรียบร้อย

ก่อนหน้าที่ผมจะออกไปหาณิ ธานโทรเข้ามาพอดี ถามว่าผมกินข้าวเที่ยงหรือยังแล้วตอนนี้อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ ผมเลยบอกอีกฝ่ายไปแค่ว่ากำลังจะไปพบลูกค้าข้างนอก ไว้เสร็จงานแล้วจะไปหาที่คอนโดฯ ซึ่งถือเป็นโชคดีที่ธานไม่ได้ซอกแซกถามอะไรผมมากนอกจากบอกให้ขับรถระวังๆ

และทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในบ้านของณิ ผมก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นพ่อตัวเองนั่งจิบน้ำชาสบายอารมณ์อยู่ในห้องรับแขก

ไหนพ่อบอกว่าติดประชุมปลีกตัวไม่ได้ แต่ดันมาถึงบ้านณิก่อนผมซะอีก

“พ่อมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“สักพัก เสร็จงานแล้วก็มาเลย ว่าแต่ณิเป็นยังไงบ้าง” พ่อตอบคำถามผมเสร็จก็หันไปถามณิที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยมีผมคอยประคองร่างเธอไว้

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะคุณลุง หมอใส่เฝือกอ่อนให้ณิแล้ว ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง” ณิตอบเสียงใสเหมือนไม่ใช่คนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเลยพลางส่งยิ้มหวานไปให้พ่อผม

“และไปเดินท่าไหนให้ขาแพลงได้ล่ะ”

“ณิตกรองเท้าส้นสูงค่ะ ปกติตอนอยู่อเมริกาใส่แต่รองเท้าผ้าใบ พอกลับไทยเปลี่ยนมาใส่ส้นสูงก็เลยยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่”

“ทีหลังก็ระวังๆ นะลูก”

“ค่ะคุณลุง”

“แม่เราโทรมาถามลุงใหญ่เลยว่าตอนนี้ณิเป็นไงบ้าง ยังไงก็อย่าลืมโทรไปหาแม่ด้วยนะ”

“ได้ค่ะ”

“แล้วนี่เดินไหวไหม”

“ไหวค่ะ”

ณิพยักหน้าตอบหงึกหงัก แต่ถ้าหากดูจากอาการของเธอแล้วคงเดินขึ้นไปเองคนเดียวไม่ไหวแน่ แล้วผมก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจขนาดนั้น เพราะตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะประคองณิขึ้นไปส่งถึงบนห้อง แต่พ่อกลับต้องการให้ผมทำมากกว่านั้น

“อุ้มน้องขึ้นไปบนห้องสิรัญชน์”

“…ครับ?”

“อุ้มน้องขึ้นไป” พ่อย้ำคล้ายออกคำสั่งเพราะผมยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน “คิดว่าน้องจะเดินขึ้นบันไดไหวหรือไงตั้งหลายขั้น”
“ณิเดินได้ค่ะคุณลุง แค่นี้เอง ให้พี่รัญชน์คอยช่วยประคองก็ได้ไม่ต้องถึงขั้นอุ้มหรอกค่ะ”

“เอาน่า ให้รัญชน์มันอุ้มเราขึ้นไปส่งถึงบนห้องนั่นแหละดีแล้ว”

และเพราะรู้ว่าขัดคำสั่งพ่อไม่ได้ ผมเลยยอมทำตามไปให้จบๆ ดีกว่า ก่อนจะหันไปพูดกับณิเมื่อจำเป็นต้องแตะเนื้อต้องตัวเธอ “พี่ขอโทษนะ”

ณิทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ที่ทำให้ผมลำบากใจ แต่ผมก็ส่ายหน้าบอกเธอไปว่าไม่เป็นไร ก่อนจะค่อยๆ ช้อนตัวเธอให้ลอยเหนือพื้นแล้วพาขึ้นบันไดไปยังห้องบนชั้นสอง ดีหน่อยที่ณิตัวเล็ก ไม่ได้หนักมาก การอุ้มเธอขึ้นไปจึงไม่ได้ทะลักทุเลอย่างที่คิด

กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของณิลอยโชยมาแตะปลายจมูกเนื่องจากตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันมาก เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงเท่าไหร่ และพอส่งณิเสร็จพ่อก็จะให้ผมอยู่ดูแลเธอต่อ คอยหยิบจับนั่นนี่ให้เวลาที่ณิต้องการอะไร แต่เพราะผมละจากงานที่บริษัทมาตั้งแต่ช่วงบ่าย พ่อก็เลยไม่ได้ว่าอะไรเมื่อผมบอกว่าจะขอตัวกลับไปสะสางงานที่ทำค้างไว้ต่อ ทั้งที่ความจริงแล้วผมจะไปหาธานที่คอนโดฯ ต่างหาก…



TBC.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด