ไม่ใช่นางเอก : 4
‘ดัดจริต’ คือคำที่อยากให้กับคนบางคน…
หัดสำออย
ตอแหล
ทองไม่รู้ร้อน
ทำตัวเหมือนตกเป็นเหยื่อ
คนแบบ ‘มึง’
บอกรักเขา…
จะจับมือข้ามผ่าน
ติดแท็กผัวชั่วช้าที่กูเคยรัก
ถึงกระนั้น ฝ่ายชายก็ใช่ว่าจะตอบกลับ
ดูก็รู้…
ว่าไม่นานก็คงไปไม่รอด
พวกมึงสองตัว…
น่าจะชะตาขาดกันอีกไม่นานสิ่งที่กูคิดไว้
มันก็คงจะตรงตามคาดคะเน
แย่งได้
เอาไปได้
ทำบาปได้
แต่ผลกรรมจะตามทัน
ต่อให้กฎหมายไม่เอาผิดพวกมึง
บาปกรรมมันไม่ตามสนอง
มันก็คงเป็นกู…
ที่เป็นผลลัพธ์ของบาป
เป็นฝ่ายลงทัณฑ์พวกมึงเองจริงๆ ไม่ได้อยากจะเห็นสักนิด
ไม่อยากจะรับฟังข้อความของพวกมึงใดๆ ทั้งสิ้น
เกลียดใครก็ไม่อยากจะเห็นรำคาญลูกตา ขยะแขยงเหมือนพวกเสนียดจัญไรแต่เพื่อนของกูก็ยื่นให้ดู
อดจิกกัดพวกมึงสองคนแทนไม่ได้
“อีเหี้ยนี่แม่งหน้าด้านจริงๆ”
มันก็คงเป็นเช่นนั้น…
เราได้แต่เงียบ
หุบปากไม่เอื้อนเอ่ย
ไม่ตอบคำถาม
เลือกที่จะไม่สนใจ
นั่งตักข้าวเข้าปากตัวเองเงียบๆ
นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว
สองวันแล้ว…ตั้งแต่ทำร้ายพวกมัน
สองตัวมหาลัยไม่มาเรียน
ก็คงเดาได้
คงอาย…
แต่ไร้ยางอายตอนเอากันเป็นเหี้ยไรมากเหรอ ?
ทีงี้มาอายต่อหน้าสาธารณะ
ที่ลับหลังแย่งผัวชาวบ้าน
หรือนอกจากใจแฟน
ทำไมไม่อาย ?ทำไมไม่หัดจำสักนิด ?
คิดได้เมื่อทำผิด ?
มีความกระดากอายขึ้นมาทันใด
พวกมึงช่างดูย้อนแย้งในการกระทำ“เอ่อ…หวัดดีครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอยู่เหนือหัว
เราเงยหน้ามองเพื่อนในทันที
เห็นพวกมันสองคนเบิกตาโพลง
อ้าปากเหวอในทีแรก
เราจึงหันไปด้านข้าง
มองชายฉกรรจ์ที่ยืนค้ำหัวอยู่ข้างกาย
“?” เอียงคอมองเขาอย่างสงสัย
ใครกัน ?
รู้จักกันด้วยเหรอ ?
บุรุษตรงหน้ามีผิวแทนคร้ามแดด สูงโปร่งหล่อเหลา นัยน์ตาเฉียบคม
ดูเหมือนแบดบอย
บวกกับลุคที่ใส่เสื้อชอปวิศวะ
เหมาะสมกับนิยายเรื่องหนึ่งที่เราเคยแต่ง
‘เขา’ ไม่ได้ตรงสเปคเราเลย
และเราเองในยามนี้…
ก็เริ่มไม่ค่อยจะชมชอบบุรุษเท่าไหร่นัก
หัวใจมันปิดกั้น
เหมือนความหวานของความรัก และความสนใจต่อเพศตรงข้าม หรือเพศเดียวกัน
คือยาขมขื่นที่ชักชวนให้พะอืดพะอม
“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”
“…” เราเงียบ
“เรื่องผู้หญิงที่ชื่อมุกกับแฟนของคุณ”
เลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับนามที่ได้ยิน
อะไรกัน ? ตัวละครที่สี่เข้ามาสวมบทบาทเพิ่มเติมอีกแล้วเหรอ ?
ขำชะมัด
เหมือนในนิยายเลย
มักจะผุดมามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น
“ไม่ได้จะมาดักตีใช่ไหม ?” เราถาม อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
จู่ๆ คนแปลกหน้าก็เข้ามาหา
แถมยังใส่เสื้อชอปวิศวะอีก
เป็นใครก็คร้ามเกรงกันทั้งนั้น
“เปล่าครับ ผมแค่อยากมาถามไรนิดหน่อย”
หึ ไม่นิดแล้วมั้ง
น่าเครียดทะมึนเชียว
“งั้นก็คุยตรงนี้เลย” เราตอบกลับ มองเขาด้วยแววตาเย็นชา
แท้จริงก็ไม่ได้กลัวหรอก
นับตั้งแต่เกิดเรื่องพรรค์นั้น
ความรู้สึกกริ่งเกรงก็ไม่เคยมีเลยสักนิด
“เอ่อ กูว่ามึงออกไปคุยกับน้องเขาสองคนเถอะ” เพื่อนเราหันมาบอก ไม่วายสะกิดแขน
เราพรูลมหายใจออกจากปาก
คือเบื่อ
เบื่อทีจะต้องเสวนากับเรื่องพรรค์นั้น
บางสิ่งบางอย่าง…
ก็อยากให้ลบหายไปจากความทรงจำ
ทีละเล็กทีละน้อยก็ยังดี
“เฮ้อออ” ถอนหายใจด้วยความเซ็งจิต
ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยพลัน
เดินสวนผ่านชายฉกรรจ์
เราเดินนำหน้าเขาโดยไม่หวาดระแวง
ตอนนี้ก็อยู่ในมหาลัย
คาดเดาว่าคงไม่โดนดักตีง่ายๆ หรอก
ครั้นเดินถึงจุดที่มีต้นไม้สูงชะลูด
กิ่งไม้และใบไม้สีเขียวขจี ต่างแผ่คลุมเป็นวงกว้าง
มอบเงาทะมึนที่บดบังแสงแดดต่อเรือนกาย
บรรยากาศจุดนี้ทำให้เราผุดคิด
ล้มตัวนั่งตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อน
แอบตั้งคำถามภายในใจ
ลมเย็นพัดผ่านช่างร่มรื่น
อืม ก็น่ามาแต่งนิยายตรงนี้ดี
คนก็ไม่ค่อยจะมีด้วย
จิตใจน่าจะเย็นสงบขึ้นมาบ้าง
ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมตัวเองขึ้นทัดหูเล็กน้อย
มันระข้างพวงแก้มจนน่ารำคาญ
สงสัยต้องตัดทิ้ง
ตัดความรำคาญเหมือนความสัมพันธ์“ว่ามา” เราที่ก้มหน้างุดช้อนตาขึ้น
จับจ้องบุรุษที่พินิจเราอย่างผิดปกติ
“นาย” เราเอ่ยเรียกเตือนสติคนตรงหน้า
เขาทำท่าเหมือนลืมจุดประสงค์
“เอ่อ โทษที” คนตรงหน้ากระแอ่มกระไอ ยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยแก้เขิน
“ผมชื่อตี้นะ เป็นแฟนเก่าของมุก ผู้หญิงที่แย่งแฟนคุณนั่นแหละ”
“…” เราขมวดคิ้วมุ่น ยกแขนขึ้นมากอดอก พลางนั่งไขว่ห้างในบันดล
ก็เคยได้ยินมาบ้าง
เคยรับรู้มาบ้างว่ามุกกำลังคบกับผู้ชายคนนึง
แต่ไม่เคยคิดจะไปเสร่ออยากเห็นหน้าคร่าตาของแฟนชาวบ้านเลยสักนิด
“อืม” ขานรับ ก็บ่งบอกว่ารับรู้
ยินดีที่ได้รู้จัก…
ในนามของคนรักเก่าที่ถูกหลอกลวง“โดนนอกใจเหมือนกันสินะ” อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม หลุดเสียงหึเล็ดลอดภายในลำคอ
มองคนตรงหน้าที่มีสีหน้าซึมเซาลง
อีกฝ่ายดูท่าจะเด็กกว่าเราเยอะ
เพียงแค่ตัวสูงโปร่งกว่าก็เท่านั้น
สีหน้าแบบนี้ดูท่าจะรักมาก
รักจนหน้ามืดตามัวพอๆ กัน
“ดวงเราสองคนคงสมพงษ์”
เราหยัดกายขึ้นยืน
มองคนตรงหน้าที่เงยขึ้นมาสบตา
เราจึงย่างกรายเข้าไปใกล้
อีกแค่ก้าวเดียวเราสองคนก็ประชั้นชิด
ยกมือข้างขวาขึ้นมา
ยื่นปลายนิ้วชี้จรดลงที่อกข้างซ้ายของคนตัวโต
ทิ่มลงตรงกลางใจ
สัมผัสเนื้อหนั่นหนา
ผุดรอยยิ้มเจื่อนๆ
ปริปากถึงถ้อยคำเสียดแทงความรู้สึก
คล้ายกับหนาม…
ที่รัดรอบอยู่ภายในใจ
คอยบีบรัดเมื่อหวนระลึกถึง
ว่าดวงเราคงสมพงษ์…“ถึงได้โดนนอกใจเหมือนกันเลย”“…”
“แฟนเก่ากับแฟนเก่าที่โดนนอกใจมาเจอกัน”
เราปริปากเลือกที่จะใช้คำพูดตลกร้าย
“ไม่ทราบว่าน้องตี้ที่เป็นแฟนเก่าของรุ่นน้องผู้ร่านรักของเรา…”
“…”
“จะมาถามเรื่องอะไรกับรุ่นพี่คนนี้เหรอ ?”
แย้มยิ้มกว้าง หัวเราะตลกร้ายในดวงชะตา
ไม่ได้นึกสงสารบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย
“จริงหรือเปล่าที่พวกเขาคบกัน ?”
ประดุจคำถามของเด็กน้อยไม่ประสีประสา…
ผู้ที่ยังไม่สามารถยอมรับกับความเป็นจริงในบางประการ
“ดูท่าจะรักมาก ถึงได้แต่ตั้งคำถามปัญญาอ่อน”
“…”
“ก็เห็นถึงขนาดเจอพวกแม่งสองตัวเอากันในห้องตัวเอง”
“…”
“น้องตี้คิดว่ายังไงล่ะ ?”
พอใจกับคำตอบแล้วหรือยัง ?
ถามคำถามที่ทำให้นึกถึงภาพโสมม
ฉุกคิดก็อยากจะร้องไห้
โทสะมันเริ่มผุดขึ้นมาอีกระลอก
หน้าในตอนนี้ก็คงแดงจัด
แย้มยิ้มยังคล้ายกลบเกลื่อนความรู้สึกภายในใจ
ฝืนทนความเจ็บปวด
“ขอโทษครับ”
ชายหนุ่มตรงหน้าดูรู้สึกผิด
ส่วนเราหันหลังกลับ
โน้มตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ดังเดิม
ยกมือขึ้นมาลูบหน้าไปพลาง
และเงยหัวขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์
ขับไล่ความทรมาน
อาจเพราะว่าตอนนี้ยังทำใจไม่ได้
อาจเพราะว่าตอนนี้ไฟมันยังสุมอก
อาจเพราะว่าตอนนี้ยังไม่รู้สึกดี
หรืออาจเพราะว่าตอนนี้บาดแผลลึกยังติดค้าง
ทุกคนเลยพูดปลอบให้เราปล่อยวาง
นิ่งเฉยนะ
ไม่ต้องสนใจหรอก
ลืมมันไปได้แล้ว
ดีแล้วที่ถอยออกมาจากบุรุษแพศยา
เตือนสติเราครั้งแล้วครั้งเล่า
เบื่อ
รู้หรอก…
หากเราทำกันได้คงทำไปนานทุกสิ่งมันย่อมใช้กาลเวลาไม่ใช่เหรอ ?
และเวลาในตอนนี้อาจไม่มากพอในการบรรเทา
“คุณร้องไห้”
“เปล่า” เราปฏิเสธ แต่รู้สึกได้ว่ากระบอกตามันอุ่นร้อน
เราโคตรเบื่ออาการนี้
“ผมขอโทษ”
“เลิกพูดขอโทษสักที มันไม่ใช่ความผิดนาย”
ชักจะรำคาญ ปรายตามองคนตัวโต
ไม่ได้ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากหรอก
ออกจากนิ่งเรียบดูเย็นชา
คล้ายคนหมดอารมณ์จะคุย
“อืม ผมแค่ไม่อยากจะเชื่อว่ามุก… หึ ไม่สิ ‘เธอ’ ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะนอกใจผม”
คนตรงหน้าเค้นเสียงอย่างยากลำบาก
อากัปกิริยาคล้ายคนไม่อยากจะเอื้อนเอ่ยสรรนาม
อาการเดียวกัน…
เหลือเชื่อ ปะปนด้วยความโกรธ
แอบแฝงด้วยความรังเกียจ
ขยะแขยงเหลือหลายกับบุรุษและสตรีมารผจญ
ส่วนลึกก็เพราะกมลสันดานของคนเรา…
เราเข้าใจความรู้สึกของตี้ดี
“ทุกสิ่งย่อมไม่แน่นอน มันก็ดีที่ทำให้เรารู้สันดานชั่วช้าของคนเรา ฉะนั้นช่างมันเถอะ” เราพูดปลอบ
“อนาคตข้างหน้าอาจเจอคนที่ดีกว่า”
“…”
“แต่ไม่เจอเลยก็ดี มีแต่พวกไม่น่าไว้วางใจ ผู้ชายเลว”
เอ่ยเสียงแผ่วเบาในประโยคท้าย
ก้มหน้าไม่สบตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หยิบใบไม้บนโต๊ะหินอ่อนที่ร่วงหล่น
นำมาฉีกกระชากเล่น
ทำลายสิ่งธรรมชาติที่อีกไม่นานก็คงแห้งกรัง
ปลิดปลิวไปกับสายลมที่พลิ้วไหว
บัดนี้ใบไม้มันละเอียดเหมือนเศษกระดาษที่ป่นปี้
ความรู้สึกเป็นผุยผง แหลกสลายเหมือนใจคน“ผู้ชายบางคนก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป” เสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายกล่าว
เราที่ก้มมองพื้นเห็นรองเท้าสีดำสนิท
อีกฝ่ายเขยื้อนเข้ามาใกล้
สักพักสัมผัสที่นุ่มนวลก็วางลงตรงศีรษะ
เราเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนค้ำหัว
เจ้าตัวแย้มยิ้มอบอุ่นระคนเศร้า
ฝ่ามือหนาไล่ปลอบประโลมบนกลางกระหม่อม
มอบความรู้สึกดีให้แล่นพล่านภายในใจ
มอบให้แก่นักเขียนคนนี้ที่มัวหมอง
สายตาของเราดันวูบไหว
ก่อนจะรีบหยุดยั้งความรู้สึกภายในใจ
ยกมือขึ้นปัด “ทำบ้าอะไรกัน”
“ปลอบเด็ก” คนตรงหน้าตอบ
“บอกตัวเองเถอะ” เราสวนกลับ เขม่นตาใส่ไม่พอใจ
“ก็คุณดูขี้แง”
“หึ เด็กที่ทำหน้าเศร้าในทีแรก กล้ามาบอกว่าคนอื่นขี้แงได้ด้วยเหรอ”
เรายิ้มขำ
ลมหายใจเริ่มผิดปกติ
ทันทีที่คนตรงหน้าโน้มตัวลงต่ำ
ใบหน้าเขยื้อนเข้ามาใกล้
ทำให้เราต้องหดคอถอยหนีไปด้านหลัง
มองสีหน้าที่กำลังยั่วเย้าของเด็กวิศวะ
สายตาประกายคมพินิจมองทุกสีหน้า
เขาหยอกเย้าคล้ายมีความสุข
ผิดแปลกจากก่อนหน้านี้ที่เคยเป็น
พลันอมยิ้มข้างมุมปาก
ลมหายใจอุ่นร้อนรวยรินอยู่ใกล้กลีบปาก
อีกนิดเดียวก็สัมผัสกันได้
เราหยุดชะงัก
นึกไม่ชมชอบกับสิ่งเหล่านี้
ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ
ทำท่าจะด่าว่า
แต่ก็ต้องหุบลง
กลับกลายเป็นหัวใจที่สั่นรัวแรง
โคตรเกลียดความรู้สึกนี้เลย
เกลียดความวูบไหวที่สั่นอยู่ภายในอก
อาการของมันคล้ายคนที่กำลังตกหลุมรัก
ดูท่าจะใจง่าย…
แต่แท้จริงก็แค่รู้สึกดีเท่านั้น
รู้สึกดีเวลามีใครทำเช่นนี้
มันคงเป็นความรู้สึกเพียงแค่ผิวเผิน
เพราะใจของคนเรามันเปลี่ยนกันง่าย
เพียงเพราะประโยคถัดมา
“ดวงเราคงสมพงษ์กันจริงๆ อย่างที่คุณบอก”“งั้นขอถอนคำพูดเลยละกัน” เอ่ยคัดค้าน
รีบผลักอกกว้างให้ถอยออกห่าง
ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินหนี
บอกตามตรงว่าสะอิดสะเอียน
นึกถึงภาพตอนตัวเองได้เสียกับแฟนเก่า
นึกถึงเด็กที่ชื่อตี้คนนี้ได้เสียกับผู้หญิงคนนั้น
คำพูดนัยแฝงที่มาใช้กับเรา
อารมณ์อิริยาบถเหมือนพวกคนเจ้าชู้
แค่หวนนึกถึงวาจาที่เคยใช้กับคนอื่น
นึกถึงภาพว่าอีกฝ่ายเคยได้เสียกับผู้หญิงคนนั้น…
หรือคบกันมาแล้ว…
ทั้งเนื้อทั้งตัวมันก็ขนลุกไปหมด
ฉะนั้น ไม่มีทาง
หมับ !
แต่เรียวแขนก็กลับถูกกัก
ฝ่ามือใหญ่กำชับเรียวแขนเล็ก
หยุดชะงักเรียวขาของเราที่กำลังหลีกหนี
เราหันไปชักสีหน้าใส่คนข้างหลัง
หมอนั่นรีบโผล่หน้ามายืนด้านข้าง
ทำให้เราต้องหมุนกายมาประจันหน้า
อยากจะถามว่ามีอะไรไม่ทราบ
แค่ทุกวันนี้ก็ปวดหัวมากพอแล้ว
อย่าหาเรื่องใส่กระบาลของเราเพิ่มเลย
“มีอะไรอีก” ถามไปจะได้จบๆ
“ผมจะไปพาคุณไปเลี้ยงขนม หาอะไรอร่อยๆ กินกันคลายเครียด”
“ไม่กิน” เรารีบปฏิเสธ และพูดคาดการณ์ล่วงหน้า
“ถ้าคิดจะจีบ บอกเลยว่าไม่กินเด็ก และไม่เคยคิดจะกินของเหลือจากผู้หญิงแพศยานั่นด้วย”
“งั้นคุณคงต้องผิดหวัง” อีกฝ่ายยิ้มกว้างมีความสุข
น่าแปลกใจที่ความเศร้าสร้อยนั้นแปรผัน…
กลับกลายเป็นรอยยิ้มปรีดา
เมากาวหรือไงกัน
“อะไร ?” เราถามอย่างข้องใจ
กล้าดียังไงมาแทนตัวว่าผมกับคุณ
นี่สังเกตหลายครั้งละ
ทั้งที่เราอายุมากกว่าแท้ๆ
ช่างเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ
“ก็เพราะผมยังไม่เคยมีอะไรกับเธอไง”
“…”
“แม้แต่ครั้งเดียว”
“…”
“แบบนี้จีบได้ยัง”
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องบอก เพราะยังไงก็ไม่เอาอยู่ดี”
เอามืออีกข้างแกะมือหนาในทันใด
หันหลังเดินจาก ไม่คิดจะเหลียวหน้าหันไปมอง
หรือสนอกสนใจกับเสียงที่ดังให้หลัง
“กินเด็กวิศวะเป็นอมตะนะคุณ !!”
เรารีบยกมือข้างขวาขึ้น
ชูปลายนิ้วทั้งห้าในบันดล
หุบปลายนิ้วลงทีละนิ้ว
หลงเหลือเพียงปลายนิ้วเดียวที่เด่นหรา
ชูขึ้นแค่ตรงกลาง
“ฮ่าๆๆ” จึงได้ยินเสียงหัวเราะตอบกลับมา
แต่เดินมาตรงจุดที่ใกล้จะถึงตึกไม่ทันไร
ขาก็ต้องหยุดชะงัก
เสือกดันมาเจอบุคคลที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ
“คุณ” เสียงอีกฝ่ายดูแผ่วเบา มีผู้หญิงอีกคนที่เดินตามท้าย
ยัยมุก…
น้ำตาของหล่อนนองหน้า
ต่างจากผู้ชายที่ยืนเครียดต่อหน้าเรา
เราแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เปรียบเสมือนเห็นภูติผีสองตนที่ไร้ตัวตน
อยู่คนละโลกกับสิ่งที่เรากำลังอาศัย
และดูเหมือนพักนี้จะโดนแตะเนื้อต้องตัวบ่อย
อีกสักหน่อยคงต้องเปิดไพ่ดูดวงชะตา
รีบสะบัดแขนทิ้งคล้ายโดนของร้อน
ถลึงตามองอย่างวาวโรจน์
“ไปไกลๆ ตีน”
มึงรีบไสหัวไปไกลๆ ตีน…
ทั้งมึงและมัน…
กูไม่คิดจะยุ่งหรืออยากรู้สาเหตุด้วยซ้ำ
ว่าเหตุใดยัยมุกถึงได้ร้องไห้
น้ำมูกน้ำตาไหล
ไม่หลงเหลือแม้แต่ความน่ารักอย่างที่เคยเป็น
เราจึงจิกกัด
“วันนี้ดูสวยเป็นพิเศษนะ”
“ฮึก”
“หน้าตาดูธรรมชาติดี” แย้มยิ้มกว้างใส่รุ่นน้อง
“เหมือนสัตว์เลย”คล้ายลิงบาบูน
แก้มก็แดง ปากก็อมชมพู
มาสคาร่าก็เปรอะเปื้อน
แปลกใจที่วันนี้มึงสองตัวมาเรียนกันด้วย
เก่งจัง
เลยตบมือให้
และไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงทะเลาะกัน
“จะเลิกกันแล้วสินะ” อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มแย้มปั่นประสาท
ตบมือให้ดังลั่น
แต่มีบางคนทนไม่ไหว
รีบพุ่งพรวดมาหาเรา
เราจึงเบี่ยงตัวไปด้านข้าง
หลบหลีกการประทุษร้าย
แต่ดูท่าจะฉุนเฉียวมาก
ขณะที่เราไม่คิดจะตอบโต้
เห็นนักศึกษามองกันเต็ม
เราจึงได้แต่หลบฝ่ามือที่ทำท่าจะตบ
ดันไปเห็นชายหนุ่มที่ชื่อตี้
ฝ่ายนั้นกำลังเบิกตาโพลง
วิ่งตื่นตะลึงมาทางเรา
คงเป็นเพราะเราเอง…
ที่ดันไปสนใจสิ่งรอบตัว
ปลายนิ้วมือของใครบางคน…
จึงฟาดไม่ยั้งแรงใส่แก้มเรา
พลันโซซัดโซเซ ก่อนจะถูกผลัก
ร่างคว่ำคะมำอยู่ที่พื้น
เราใช้ปลายนิ้วเกลี่ยข้างมุมปาก
สำรวจดูดีๆ จึงรู้ว่าเลือดรินไหล
ถือว่ามือหนักดี
แต่โชคดีด้วยนะ…ที่ตอนนี้บทบาทนางเอกของมึง…
มันจบลงมือถือผู้คนนั้นยกขึ้นมาถ่าย
ส่วนเรานิ่งเฉยไม่ตอบโตเ
ยอมนอนหมอบให้คนที่เข้ามาขึ้นคร่อม
ตบที่หน้า
ตบที่แก้ม
ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง
เรายกแขนขึ้นมาปกป้องบางจังหวะ
ขณะที่อีกคนทั้งข่วนทั้งจิก
ฟาดหน้าเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราได้ยินเสียงของแฟนเก่าเราที่ห้ามปราม
จากนั้นก็กระชากตัวเธอให้ถอยออกห่าง
เราขดตัวเองอยู่ตรงพื้น
เนื้อตัวสั่นระริก
หยาดน้ำตารินไหลเพราะความเจ็บปวด
ก่อนจะถูกใครบางคนที่เข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงพื้น
โอบประคองร่างกายเราจากด้านข้าง
เปรียบเสมือนบุรุษที่ให้เกาะกำบัง
เรารีบซุกหน้าเข้าหาแผงอกกำยำ
ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินชายหนุ่มวิศวะ
“ค…คุณ” อีกฝ่ายเสียงสั่นด้วยความตกใจ
เราสะอื้นไห้จนตัวโยน
มือไม้ก็สั่นระริกเหมือนคนหวาดผวา
ดูขวัญเสียและเกรงกลัวไม่สู้คน
ยกแขนที่รู้สึกแสบพล่านพาดอยู่บนลำแขนแกร่ง
โชว์ร่องรอยบาดแผลที่คิดว่าน่าจะมี
รอยเลือด
รอยจิก
รอยข่วน
ครั้งนี้ขอบ้าง
ขอสักหน่อย…
บทบาทนางเอกของกูเราช้อนตามองยัยผู้หญิงที่เกี้ยวกราด
ทำท่าจะกระโจนพร้อมทำร้ายทุกวินาที
ตลกดี คล้ายคนบ้าไม่เต็มบาท
แววตาของเรามันสั่นระริก
ซุกหน้าเข้าหาแฟนเก่าของหล่อนมากยิ่งขึ้น
บดเบียดเข้าหา
ต้องการสิ่งคุ้มครอง
หวังหาที่ปกปักรักษา
พลันถูกประคองให้ลุกขึ้นยืน
“นี่เธอเป็นบ้าอะไรฮะ !”เสียงของตี้เอ็ดตะโรดังลั่น
ตวาดไม่ไว้หน้าสตรีเพศแม่
“เจ็บ” เราเอ่ยเสียงแผ่ว
ดังพอที่คนที่โอบไหล่เราอยู่จะได้ยิน
ชายหนุ่มจึงเบี่ยงเบนความสนใจ
“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้องไปช่วยมัน !” ยัยมุกชี้สั่ง
“หุบปาก !” ชายหนุ่มรีบหันขวับไปสวนกลับ
“อยู่กับแฟนใหม่ที่คุณแย่งมาเถอะ”
ว้าว
เรานึกอยากคารวะกับฝีปากของเด็กคนนี้
แอบพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน
ลอบสำรวจดูผู้คนที่ถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปไปพลาง
เราถูกจับเหลียวหลังเพื่อจะพาออกจากมหาลัย
หวังไปโรงพยาบาลเพื่อรักษารอยขีดข่วน
คนอื่นยังคงถ่ายคลิป
ส่วนเราร่ำไห้
แต่ภายในใจเหมือนออกมาโบกมือขบขัน
กรีดรอยยิ้มบอกสตรีกับบุรุษชั่วช้าอีกสักครั้ง
นึกอยากกวนส้นตีน
ว่าเนี่ย…
ดูสิ
ดูผลลัพธ์
ครั้งนี้มันจะมาอีกแล้วนะ
น่าสงสารจังเลย
การเล่นสนุกกับสื่อออนไลน์
ฉะนั้น วันนี้เรามาลองสลับบทบาท
เพื่อส่งทอดตำแหน่ง…
ให้แก่มึง และมึงทั้งสองเป็นตัวร้ายที่แสนอาภัพรวมกลุ่มกันเข้าไว้
ไม่คิดว่าในนิยายที่เคยเขียน
ชอบทำตัวโง่เง่าเต่าตุน
ชีวิตจริงจะมีคนที่ทำเรื่องงี่เง่าเช่นเดียวกัน
ฉีกยิ้มต่อหน้ากล้องสักหน่อยสิ…
อีพวกตัวร้ายทั้งหลายแหล่ : )