Bake my Day : กรุ่นรักล้นใจ SP# My Drunkard Lover (24/06/19) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bake my Day : กรุ่นรักล้นใจ SP# My Drunkard Lover (24/06/19) [END]  (อ่าน 17089 ครั้ง)

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

++++++++++++++++


Bake my Day : กรุ่นรักล้นใจ


"สกาย"

นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง อดีตเดือนมหาวิทยาลัยแห่งคณะวารสารศาสตร์ ที่ใครๆก็รู้จักถึงเสน่ห์กระชากใจของเขา ความจริงแล้วเป็น "ผู้ชายไม่ตรงปก" ใครเล่าจะรู้ว่าภายใน สกายเป็นผู้ชายมุ้งมิ้งกระหนุงกระหนิงขัดกับภาพสงบนิ่ง เยือกเย็นภายนอก และที่สำคัญเขาดันมาตกหลุมรัก

"เต้ย"

รุ่นพี่ปีสามแห่งคหกรรมศาสตร์ เจ้าของเส้นผมนุ่มๆ พองๆ ทำสีเจือน้ำตาลดูน่าสัมผัส ดวงตากลมไม่โตนักแต่กลับดูสดใส รวมถึงพวงแก้มใสดูอ่อนกว่าวัย ที่สำคัญคือเป็น "ผู้ชาย" ผู้ชายที่แสนซื่อทื่อมะลื่อ สุดจริงจังกับชีวิต ผู้หลงใหลในการทำขนม เขามีเพื่อนสุดซี้ตั้งแต่วัยเด็กคือ

"ภีม"

ชายหนุ่มที่หัวใจทุกห้องอัดแน่นไปด้วยความรักเพื่อคนๆหนึ่ง ได้อัปเปหิตัวเองไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อให้ระยะทางช่วยเยียวยาหัวใจช้ำๆให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม ได้มาพบกับ

"โอม"

เด็กหนุ่มนักเรียนทุนนักกีฬาใสซื่อที่เพิ่งเรียนจบมัธยมหมาดๆ กำลังเปิดโลกใหม่ออกเดินทางไปเรียนถึงแดนไกล ไหนจะความยากลำบากในการปรับตัว ไหนจะหัวใจไม่รักดีที่ดันไปหลงรุ่นพี่เสียจนหัวปักหัวปำ

 

...เรื่องราวความรักของคนโง่ทั้งสี่ ได้เวลาเสริฟแล้ว...


สารบัญ



**นิยายเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการ เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์จริง


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2019 21:36:36 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP1 : Fallin' for Chocolate Soft Cookies



20.30 นาที

     ช่วงเวลาที่แสงตะวันได้ลาลับไปพักผ่อน เหลือไว้เพียงดวงไฟส่องสว่างคอยช่วยทำหน้าที่แทน ฝูงแมลงเม่าออกมาเล่นไฟในช่วงหัวค่ำที่อากาศเย็นสบายตัวอยู่ไม่น้อย ประตูกระจกที่ปิดด้วยผ้าม่านสีขุ่นฉายเงาของคนสามคนที่อยู่ภายในบ้าน

     [สวัสดีค่ะท่านผู้ชม วันนี้เราจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมกองถ่ายละครเรื่อง “สะใภ้ไม่ธรรมดา” กันค่ะ ตอนนี้เราอยู่กับคุณน้ำมนต์ เจ้าของบทบาทแม่สามีสุดเผ็ดกันค่า]

     เสียงจอแจจากโทรทัศน์ แสดงให้เห็นภาพของหญิงสาววัยกลางคนที่แต่งแต้มใบหน้าด้วยสีสันจัดจ้าน ทว่ารอยยิ้มกลับดูเป็นมิตร และ อบอุ่นกว่าที่จินตนาการ

     [สวัสดีค่าคุณน้ำมนต์ วันนี้ถ่ายเสร็จแล้วหรือคะ?]

     [ใช่แล้วค่า ตอนนี้เตรียมตัวกลับบ้านแล้วค่ะ ต้องรีบกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้มีคิวถ่ายแต่เช้าเลยค่ะ]

     ในจอฉายภาพชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวสะอาดตาคนหนึ่งสาวเท้ายาวๆเข้ามาขัดจังหวะการสนทนา เมื่อภาพจับเข้าไปใกล้ใบหน้า ทำให้เห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นมีดวงตาเล็กรี สีหน้าสงบนิ่ง เยียบเย็น กำลังเหลือบมองไปทางหญิงที่ถูกเรียกว่า “น้ำมนต์” ริมฝีปากอิ่มเจือสีแดงธรรมชาติ ประดับด้วยรอยยิ้มละไมเอ่ยคำว่า “แม่” ออกมา

     [อุ๊ย! นี่ลูกชายคุณน้ำมนต์หรือคะ?]

     [ใช่ค่ะ วันนี้สกายเค้ามารับพี่กลับบ้านค่ะ]

     เจ้าของชื่อยกมือไหว้สวัสดีหญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกร พร้อมยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

     “สมายลูก ดูน้องสิ ในทีวีน้องหล่อมากๆ เลยว่ามั้ยลูก”

     “โอ๊ยแม่! จะชมอะไรมันกันนักกันหนา เอียนจนจะอ้วกอยู่แล้ว”

     “ทำไมล่ะลูก? เวลาแม่เห็นลูกตัวเองดูดีก็ต้องอยากชื่นชมเป็นธรรมดา สมายเองก็สวยเหมือนกันนี่จ๊ะ”

     คนเป็นแม่เอ่ยปากยกยอลูกทั้งสองไม่หยุดปาก ในขณะที่สมายลูกสาวคนโตของน้ำมนต์ หรี่ตามองคนพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ริมฝีปากเล็กๆ บูดบึ้ง พร้อมบ่นกระปอดกระแปด

     “สกาย เหม่ออะไรของแกวะ?”

     คนเป็นพี่หันไปเห็นน้องชายสายตาล่องลอยออกไปไกล สกายไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หรือเสียงเจื้อยแจ้วของผู้เป็นแม่แม้แต่นิด

     “ไอ้สกาย!”

     สมายคิ้วขมวดพลางเขย่าตัวผู้เป็นน้องจนตัวคลอน สกายหันขวับมาทางพี่สาว

     “พี่สมาย ขอคุยด้วยหน่อยสิ…”





     สกายทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง มือข้างหนึ่งคว้าหมอนนุ่มเข้ามากอดพลางซุกหน้าลง ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวเล็กค่อยๆ หรี่ลงจนกลายเป็นสระอิ

     “พี่สมาย วันนี้ผมว่าผมได้เจอเจ้าเต้าหู้ของผมด้วยล่ะ”

     หญิงสาวที่มีดวงตาเรียวเล็กไม่ผิดน้องชายเบิกตาด้วยความงุนงง

     “เต้าหู้...กระต่ายที่เราเคยเลี้ยงตอนเด็กๆอ่ะนะ?”

     “เต้าหู้” เป็นชื่อของกระต่ายสีขาวด่างน้ำตาลหูตก ที่สองพี่น้องเคยเลี้ยงเมื่อยังเป็นเด็ก แต่สกายเริ่มมีอาการหอบหืดหลังจากเลี้ยงเต้าหู้ ครอบครัวจึงตัดสินใจยกกระต่ายน้อยให้กับคนอื่นไป เวลาก็ล่วงเลยมานาน ทุกวันนี้เจ้าเต้าหู้ก็ได้จากไปแล้ว

     “พี่เค้าน่ารักมากเลยพี่สมาย เห็นแล้วคิดถึงเต้าหู้ขึ้นมาเลยจริงๆ”

     ชายหนุ่มยังคงพร่ำพรรณนาถึงบางอย่างที่หญิงสาวก็ยังฟังไม่เข้าใจ ภาพน้องชายที่ภายนอกดูสุขุม นิ่งเย็น แต่ความเป็นจริง กลับเป็นคนบุคลิกนุ่มนิ่ม เพ้อฝัน ทำให้เธออดขำไม่ได้

     “แกพูดถึงใครกันแน่ สกาย?”



9.30 เมื่อเช้าของวันนี้

     ช่วงเวลานี้ของทุกปี ทางมหาวิทยาลัยของสกายมักจะจัดงานนิทรรศการ ซึ่งแต่ละคณะแต่ละชั้นปีก็จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมาแสดงฝีมือในสิ่งตนต่างร่ำเรียนมา วันนี้สกายนักศึกษาชั้นปีที่สอง แห่งคณะวารสารศาสตร์ อดีตเดือนมหาวิทยาลัย ได้รับการไหว้วานจากสโมสรนักศึกษาให้ช่วยมาเป็นพิธีกรคู่กับ “น้ำ” นักศึกษาชั้นปีที่สามอดีตเดือนมหาวิทยาลัยอีกคนหนึ่ง ซึ่งวันนี้เป็นคราวของคณะคหกรรมศาสตร์จัดนิทรรศการ

     “สวัสดีครับ ผมสกายนะครับวันนี้จะขอเป็นตัวแทน พาทุกคนเยี่ยมชมผลงานของคณะคหกรรมศาสตร์ครับ พี่น้ำครับในฐานะเจ้าภาพช่วยขายของหน่อยครับ”

     “ครับผม ผมน้ำเองนะครับ วันนี้คณะผมเนี่ยจะมาจัดนิทรรศการอาหาร ไม่ว่าจะไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น จะคาวจะหวาน ที่นี่มีให้ชิมให้ช็อปกันชนิดที่ว่าถ้าไม่หมดเราไม่เลิกงานแน่นอนครับ”

     “โอเคงั้นเราอย่ามัวแต่รอเลย รีบเข้างานกันเถอะครับพี่น้ำ เอ้าซุ้มแรก อันนี้...โห…หอมฉุยมาแต่ไกลเลยครับ”

     “ซุ้มนี้เป็นซุ้มขนมอบครับผมน้องสกาย ผมเนี่ยต้องขอออกตัวแรงๆเลยว่า ซุ้มเนี้ยเป็นทีเด็ดคณะผมเลยนะครับ”

     “ไหนครับพี่มันเด็ดยังงะ….”

     ยังไม่ทันสิ้นเสียงของสกาย ชายหนุ่มร่างเล็กในผ้ากันเปื้อนคนหนึ่งถูกหญิงสาวลากออกมายืนหน้าซุ้ม ผมนุ่มๆ พองๆ ทำสีเจือน้ำตาลดูน่าสัมผัส บนศีรษะสวมที่คาดผมหูกระต่ายสีขาวลู่ลงมา ดวงตากลมไม่โตนักแต่กลับดูสดใส ริมฝีปากบางที่กำลังบ่นขมุบขมิบอยู่ แล้วไหนจะแก้มใสๆดูอ่อนกว่าวัยกำลังสะกดสายตาของสกายเอาไว้ที่คนตรงหน้า

     “ใบปอ...เราบอกแล้วไงว่าเราไม่เล่น…”

     ชายคนที่สวมหูกระต่ายอยู่นั้นหันไปบ่นกระซิบกระซาบกับหญิงสาว น้ำไม่รอช้ารีบจ่อไมค์ใส่หน้า พร้อมรอยยิ้มชวนหัว

     “ช่วยแนะนำซุ้มขนมอบหน่อยครับ”

     “ไอ้น้ำ มึงไม่ต้องมาสัมภาษณ์กู!”

     “เฮ้ยไอ้เต้ย! เสียงมึงออกไมค์”

     น้ำตกใจรีบดึงไมค์ออก คนตัวเล็กรีบยกสองมือขึ้นปิดปาก

     “ก็พวกมึงแหละเล่นอะไรก็ไม่รู้ พอแล้วกูจะไปทำขนมต่อ”

     เต้ยพูดน้ำสียงขุ่นพลางดึงที่คาดผมหูกระต่ายออก สกายได้แต่จ้องมองแผ่นหลังเล็กๆ นั้นหายลับเข้าไปในอาคาร ในหัวสมองของสกายตอนนี้คิดแค่ว่า อยากรู้จัก “คนๆ นั้น”



     “เฮ้ยเดี๋ยวนะ เต้าหู้ของแกเนี่ยเป็นผู้ชายหรอกหรอ?”

     สิ้นเสียงเรื่องเล่าจากสกาย พี่สาวก็พูดโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง

     “แกเปลี่ยนแนวแล้วหรอวะ?”

     “ไม่ใช่เว้ยพี่! ผมแค่อยากรู้จักเค้าอยากเป็นเพื่อนเค้าเฉยๆ”

     “หรอวะ?...เพ้อเจ้อนะแกอ่ะ ชั้นจะคอยดูแล้วกันว่าแกจะได้เป็นเพื่อนกับเค้ามั้ย พอล่ะ ชั้นจะไปอาบน้ำ”

     สมายออกจากห้องไป ทิ้งสกายไว้กับเรื่องราวเมื่อเช้าเพียงลำพัง สกายเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดไอคอนสีน้ำเงินที่มีอักษรภาษาอังกฤษตัว “F” สกายไล่มือหารายชื่อเพื่อน และแล้วชื่อของ “น้ำ” ที่เป็นเพื่อนกับสกายก็ปรากฏขึ้นมา สกายไม่รีรอรีบกดเข้าไปดูรายชื่อเพื่อนของน้ำรุ่นพี่คณะคหกรรมศาสตร์ทันที

     “.....โห ไอ้พี่น้ำ แม่ง....!!!”

     สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าสกายคือความว่างเปล่า น้ำไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าถึงรายชื่อเพื่อนของเขา





     “สกาย” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าที่น่าหลงใหล ในยามปกติมีแต่คนเข้าหาอยากทำความรู้จัก เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ ทุกคนก็พร้อมที่จะตกหลุมรักเขา แต่.....ทำไมตอนนี้เขาถึงมายืนหลบอยู่ที่นี่ ที่มุมตึกของคณะคหกรรมศาสตร์แห่งนี้

     ใช่แล้ว...นี่เป็นครั้งแรกที่สกายอยากทำความรู้จักกับใครซักคน โดยที่ตัวเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของคนๆ นั้นเลยแม้แต่น้อย

     ‘เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย...?’

     เจ้าตัวได้แต่สงสัยตัวเอง ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่เจ้าขายาวๆไม่รักดีพาเขาเดินมาจนถึงที่นี่

     ‘ใช่แล้ว เราแค่อยากรู้จัก อยากเป็นเพื่อนกับพี่เค้าเฉยๆ ก็มันรู้สึกถูกชะตานี่หว่า’

     สกายตอกย้ำความคิดของตัวเอง สายตาก็พลางจับจ้องไปที่ประตูของอาคาร ซึ่งตอนนี้บริเวณรอบๆเริ่มจอแจ เพราะนักศึกษาเลิกเรียนกันแล้ว ร่างสูงพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา

     “พี่สกายใช่มั้ยคะ?”

     สิ่งที่สกายพยายามทำเหมือนจะไม่สำเร็จ เสียงร้องเรียกอึกทึกทางด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง ภาพที่เห็นคือเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง ท่าทางตื่นเต้นดีใจยืนล้อมเขาอยู่ ในมือของทุกคนล้วงควักเอาโทรศัพท์มือถือออกมา

     “พี่สกายพวกหนูขอถ่ายรูปด้วยหน่อยนะคะ”

     สิ้นเสียง ร่างกายของสกายเหมือนตอบรับอัตโนมัติ เขาหันไปถ่ายรูปกับเหล่าเด็กสาวอย่างรู้การรู้งาน ในขณะเดียวกันมีชายสองคนเดินออกมา คนหนึ่งเป็นชายร่างสูง ดูสะอาดตาพร้อมใบหน้าหล่อเหลา อีกคนหนึ่งสูงตามมาตรฐาน แต่ร่างกายดูจะบอบบางกว่า ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสดใสกับเส้นผมที่ดูนุ่มนวลน่าสัมผัส ทั้งสองมองจ้องมาทางกลุ่มหญิงสาวที่กำลังรุมล้อมถ่ายรูปสกายอยู่

     “อ้าว เฮ้ย! ไอ้สกาย มาทำอะไรที่นี่วะ?”

     สกายหันไปตามเสียง คนสองคนที่ยืนอยู่คนหนึ่งคือน้ำซึ่งตอนนี้กำลังโบกมือทักทายเขาอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งคือ “เต้ย” นั่นเอง การปรากฏตัวของเต้ย ทำให้สกายลุกลี้ลุกลน ทำตัวไม่ถูก หัวสมองว่างเปล่า แต่ก็ยังจ้องมองเต้ยไม่วางตา โดยที่ไม่สนใจคนข้างๆร่างเล็กๆนั่นเลยซักนิด

     “อ่อ....เอ้อ....คือผมแค่ผ่านมาแถวนี้เฉยๆครับ”

     สกายตอบละล่ำละลัก พลางยกมือขึ้นปัดผมแก้เก้อ เขาพยายามหาข้ออ้างที่ฟังดูดีแต่ก็คิดไม่ออก มันดูไม่มีเหตุผลอะไรเลยจริงๆที่เขาจะต้องผ่านมาแถวนี้ มาที่คณะที่ไกลจากคณะของเขาไม่น้อย แถมยังอยู่สุดซอกทางตันแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าคนถามเองก็ไม่ได้สนใจในคำตอบซักเท่าไหร่ เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ

     “สรุปว่ามึงจะเบี้ยวใช่ป่ะไอ้น้ำ?”

     เต้ยทำหน้านิ่วพลางถามคนข้างๆ

     “เออ กูขอโทษ พอดีกูนัดแฟนไว้แล้วน่ะมึง”

     “เอาอีกแล้วนะมึง ให้กูทำอยู่คนเดียวเลย ถ้ามึงไม่มีเวลาจะมาช่วยกูนะ มึงไม่ต้องไปรับออเดอร์มาเลยนะเว้ย! กูกลับล่ะ เดี๋ยวทำไม่ทันโดนลูกค้าด่าชิบหายเลย”

     เต้ยรีบเดินจ้ำอ้าวออกไป สกายพยายามเบียดแทรกตัวออกมาจากกลุ่มหญิงสาว ดวงตาเรียวเล็กได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นเดินจากไปอีกครั้ง สกายหันมาทางน้ำ ก่อนที่จะได้อ้าปากถามอะไรน้ำก็ได้พูดขึ้น

     “สกาย กูไปก่อนนะ เดี๋ยวแฟนรอ ไว้เจอกันนะมึง”

     “เอ่อ...เดี๋ยว...พี่น้ำ!”

     พูดจบน้ำก็เดินพรวดพราดออกไป ทิ้งสกายไว้เบื้องหลัง สกายทั้งงุนงงทั้งผิดหวัง วันนี้นอกจากแค่ได้เห็นหน้ากับได้ยินเสียง สกายถือว่าตัวเองล้มเหลวในการพยายามที่จะทำความรู้จักกับเต้ย สกายได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นจึงพาร่างกายอันห่อเหี่ยวเดินออกจากตรงนั้นไป





     ‘ทำไมอะไรๆมันถึงต้องยากแบบนี้ด้วยวะ…’

     เช้าสายๆบนถนนของมหาวิทยาลัย วันนี้แดดแรงมากกว่าทุกวัน ร่มคันน้อยใหญ่ถูกกางสลับสีสันเกลื่อนทางเท้า บ้างก็คลุมเสื้อไว้บนหัวป้องกันตัวจากความร้อน ร่างสูงเหยียบสลับผ่อนคันเร่งเพื่อใม่ให้ตนเผลอขับรถเร็วเกินไป พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

     สกายเป็นคนที่มีคนนิยมชมชอบและเข้าหาเสมอ ไม่ว่าจะมิตรภาพหรือความรักเขาไม่เคยขาด ยกเว้นเวลาที่เขาไม่ต้องการ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก หรือมันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง? ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือมันไม่เหมือนเหตุการณ์ปกติที่สกายเคยพบเจอต่างหาก

     ระหว่างที่จิตใจกำลังล่องลอยไปกับความคิด ดวงตาเล็กเรียวก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของร่างที่คุ้นตา เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มที่ตอนนี้กำลังปลิวสะท้อนแดดให้เห็นสีสันชัดเจนขึ้น กำลังกึ่งนั่งกึ่งยืนปั่นจักรยานห่างไปจากรถของเขาไม่ไกลนัก นั่นมัน...

     'พี่เต้ย!'

     เขาตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรซักอย่าง นี่เป็นโอกาสที่เขาไม่อาจปล่อยให้มันหลุดลอยไปได้ ความคิดชั่วร้ายแล่นปราดเข้ามา นี่อาจจะพูดได้ว่ามันคือความหุนหันและเสี่ยงอันตรายเอามากๆ แต่ช่วยไม่ได้เพราะสมองทึบๆของสกายตอนนี้คิดออกเพียงแค่อย่างเดียว

     “ผมขอโทษนะพี่เต้ย...”

     สกายเหยียบคันเร่งเต็มฝีเท้าจนรถของเขาพุ่งเข้าไปกระชั้นกับจักรยานของเต้ย ขายาวๆเหยียบเบรกกระชากสุดแรงพร้อมทั้งบีบแตรดังลั่นไปทั่วท้องถนน สำเร็จ! เต้ยเหลือบมองมาด้านหลังใจหายวาบ ร่างกายทรงตัวไม่อยู่ ล้มคว่ำลงไปพร้อมกับจักรยาน เป็นที่ตื่นตระหนกของผู้คนที่ผ่านไปมา

     ร่างสูงพรวดพราดลงมาจากรถ ปั้นหน้าตกใจสุดขีด มองดูคนตรงหน้าค่อยๆยันตัวขึ้นมาจากพื้นถนน สกายค่อยๆย่อตัวลง รีบเช็ดมือที่ชื้นเหงื่อ ก่อนที่จะส่งให้คนเบื้องหน้าจับไว้ มืออีกข้างช่วยพยุงตัวร่างบอบบางขึ้นมา

     “ขอโทษครับ! เป็นอะไรมากรึเปล่า? เจ็บตรงไหนมั้ยครับ?”

     “…ไม่เป็นไร แค่ถลอกนิดหน่อย…”

     เต้ยลุกขึ้นยืนพลางเอามือปัดรอยเปื้อนมอมแมมตามแขนเสื้อและกางเกง

     “ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ผมเหม่อไปหน่อย เกือบขับรถชนพี่…”

     ‘เล่นให้ใหญ่ที่สุด!’

     สกายบอกกับตัวเอง นี่คือสิ่งที่ลูกชายนักแสดงอย่างเขาจะทำได้ ถ้าแม่ของเขาได้มาเห็นคงต้องภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้เป็นแน่ ใบหน้าที่เจือไปด้วยความกังวล อีกทั้งเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผม ทำให้แยกไม่ออกว่านี่คือการแสดงหรือชายหนุ่มกลัวว่าความจะแตกกันแน่
 
     “พี่กำลังจะไปเรียนรึเปล่าครับ? เดี๋ยวผมไปส่งแล้วกันนะครับ”

     ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ สกายจัดแจงเปิดท้ายรถ พับเบาะหลังลงแล้วเก็บจักรยานเข้าไป จากนั้นจึงก้าวเท้าไวๆไปเปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสาร

     “รีบขึ้นรถเถอะครับเดี๋ยวจะสาย”

     เต้ยได้แต่ยืนมองอย่างอึ้งๆ จากนั้นจึงเริ่มเป็นฝ่ายพูดบ้าง

     “จริงๆไม่ต้องไปส่งก็ได้นะ พี่ไปเองได้ จักรยานก็ไม่ได้เป็นอะไร...”

     “ไม่เป็นไรครับ ความผิดผมเอง พี่ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะครับ”

     สกายพูดพลางเอามือดันแผ่นหลังเล็กๆของเต้ยให้ขึ้นรถ เต้ยเองก็ยอมตามแต่โดยดี

     คนทั้งสองตอนนี้ได้ขึ้นมาอยู่บนรถแล้ว มือพลางดึงสายเข็มขัดออกมารัดเพื่อความปลอดภัย ท่ามกลางความเงียบ สกายได้เริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความอึดอัด

     “พี่ชื่อเต้ย ที่เป็นเพื่อนกับพี่น้ำใช่มั้ยครับ?”

     เจ้าของตาเรียวอมยิ้มเล็กน้อยตอนที่เริ่มพูดออกมา

     “อืม...ใช่ แกจำได้ด้วยหรอ?”

     “จำได้สิครับ ผมจำพี่ได้จากงานนิทรรศการ”

     ยิ่งกว่าจำได้ สำหรับชายหนุ่มคือความประทับใจ วันนั้นสกายรู้สึกราวกับว่าสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในโลกได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แล้วตอนนี้ สิ่งนั้นได้มานั่งอยู่ข้างๆเขาแค่ระยะเอื้อมมือถึง

     “นายชื่อสกายใช่มั้ย?”

     สกายหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งข้างด้วยความสนอกสนใจ ซึ่งตอนนี้กำลังพูดกับเขาพลาง รื้อค้นอะไรบางอย่างในกระเป๋า

     “พี่รู้จักผมด้วยหรอครับ?”

     “รู้จักสิ ก็นายดังจะตาย ที่มหาลัยมีคนไม่รู้จักสกายวารสารฯด้วยหรอ?”

     คำว่า “รู้จัก” ทำเอาคนฟังดีใจจนเนื้อเต้น ตาเล็กรีค่อยๆกลายเป็นสระอิอีกครั้ง พร้อมทั้งริมฝีปากที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ดวงตากลมของคนตัวเล็กเหลือบมองมาทางเสี้ยวหน้าขาว ทำให้เจ้าของตาหยีๆนั้นรีบหุบยิ้มตีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม สกายกระแอมกลบเกลื่อนก่อนจะเริ่มพูดต่อ

     “พี่เต้ย ผมต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆนะครับ เพราะผมไม่ระวัง พี่ก็เลย...”

     “ไม่เป็นไรหรอก ความผิดของพี่เหมือนกัน ปั่นจักรยานไม่ดูตาม้าตาเรือ ทะเล่อทะล่าอยู่กลางถนน เจ็บตัวแค่นี้ก็โชคดีจะแย่แล้ว”

     เต้ยหัวเราะหึ ทำให้สกายได้แต่ทึ่งอยู่ในใจว่า ทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนที่ “ซื่อ” ขนาดนี้อยู่ได้? พี่เต้ยสามารถรอดพ้นจากกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาติให้กำเนิดมาบนโลกนี้ได้ยังไง? อันดับแรกถ้าเป็นคนอื่น จะต้องถือโทษโกรธสกายแล้วแน่ๆ ทั้งขับรถเร็ว น่าหวาดเสียว เกือบทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ ที่สำคัญที่สุดคือทำไมพี่เต้ยถึงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองปั่นจักรยานอยู่ตรงไหล่ทาง มันไม่ได้เป็นความผิดของพี่เต้ย....





     รถยนต์ขนาดกะทัดรัดเคลื่อนตัวมาจอดอยู่ตรงหน้าตึกคณะคหกรรมศาสตร์ ร่างเล็กจัดแจงปลดเข็มขัดออกจากตัว แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตูรถ เต้ยยื่นซองพลาสติกใสขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ภายในบรรจุคุกกี้แผ่นหนานุ่มสีน้ำตาล ประดับไปด้วยช็อคโกแลตก้อนและอัลมอนต์แผ่นบางให้กับคนข้างๆ

     “ขอบใจนะที่มาส่ง”

     สกายรับซองคุกกี้มา ภายใต้สีหน้านิ่งสงบนั้นข้างในกลับมีแต่ความตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าสิ่งที่เขาปรารถนาได้บรรลุไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

     “สกาย! เปิดท้ายรถให้หน่อยสิ พี่จะเอาจักรยานลง”

     เจ้าของชื่อสะดุ้งหลุดจากภวังค์เล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวเท้ายาวๆออกมาท้ายรถ เขาจัดแจงเอาจักรยานลงเสร็จสรรพจนเต้ยแทบจะไม่ต้องขยับทำอะไรเลย

     “ไปก่อนนะ”

     รุ่นพี่หนุ่มโบกมือให้กับสกาย มืออีกข้างกระชับสายสะพายเป้ให้แนบติดกับตัว บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจากริมฝีปากบางก่อนจะเดินหายลับไป นี่เป็นครั้งแรกที่สกายได้เห็นเต้ยยิ้ม แม้จะเป็นการยิ้มบางๆทว่าพลังทำลายล้างกลับรุนแรง สกายใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกแปลกๆเอ่อล้นขึ้นมา นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่แค่การถูกชะตาหรือการอยากรู้จักใครซักคนหากแต่ว่ามันคือ...

     การตกหลุมรักต่างหาก...



+++++++++++++++++++

         สวัสดีค่าก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่สละเวลาอ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิต ตอนนึงสั้นไปยาวไปยังไงบอกได้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ถ้ามีข้อแนะนำอะไรบอกกันได้นะคะ

          เราตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้ได้ฟีลละมุนๆนะคะ หวังว่านิยายจะสร้างความสุขให้ทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านได้ไม่มากก็น้อย ทุกคนช่วยเอาใจช่วย "สกาย" ตัวเอกของเรากันด้วยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2019 22:46:43 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ praewypn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกค่า รอติดตามนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP2 : Sweet As Banoffee

             คาบแรกเช้านี้นักศึกษารวมตัวกันอยู่ในห้องที่เรียงรายไปด้วยโต๊ะเลคเชอร์ ชายหนุ่มร่างสูงได้จับจองโต๊ะตัวหนึ่งในมุมเงียบสงบของห้องเพื่อสร้างพื้นที่ส่วนตัว มือหนึ่งควงปากกาไปมา พลางสายตาก็จับจ้องไปที่ซองขนมใสๆ ประดับด้วยรอยยิ้มละไมที่มุมปาก

          “สกาย!”

          เสียงใสดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง เขาเหลือบตามองขึ้น ชายหนุ่มร่างเล็กความสูงจัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานผู้ชายทั่วไป ดวงตาโตสดสดใส พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า พยายามแทรกตัวเบียดเสียดมาทางสกายด้วยท่าทางเก้งก้าง สองเท้าปัดสะดุดกับโต๊ะเดินทุลักทุเลมาจนถึงคนที่กำลังนั่งอยู่ จากนั้นจึงจัดแจงวางสัมภาระลงบนพื้น

          “วันนี้นายมาช้าจังนะซัน...”

          “วันนี้เราออกมาพร้อมพี่อ้อ แต่พี่เค้าตื่นสายน่ะ เลยช้า...ว่าแต่ทำไมวันนี้มานั่งซะไกลเลยล่ะ?”

          ซันพูดพลางบิดมือเปิดฝาขวดน้ำพลางยกขึ้นดื่มแก้กระหาย ตาโตก็เหลือบมองคนข้างๆ ที่ตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ มีเพียงความเงียบ รอยยิ้มบางๆ และสายตาที่ทอดมองไปทางอื่น เขาได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

          “นายเคยหลงรักผู้ชายมั้ยวะซัน?”

          “พรู่ด!!! ...แค่กๆๆ!!!”

          ใช่แล้วนี่คือเสียงสำลักน้ำจากเพื่อนเตี้ย ซันไอจนตัวโยน จากนั้นก็รื้อทิชชู่ขยุกขยุยในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับปาก เขาเองพอจะรู้ถึงตัวตนข้างในของสกายว่าเป็นคนยังไง แต่ครั้งนี้สิ่งที่สกายเอ่ยออกมามันทำให้ตกใจมากจริงๆ

          “ผู้ชายที่นายพูดถึงเนี่ยคือใคร? แล้วเรารู้จักมั้ย?”

          “ไม่รู้จักหรอก...มั้ง?”

          สกายพูดจบก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ราวกับว่าไม่ได้สนใจว่าคู่สนทนาจะตอบโต้มายังไง ซันรู้สึกเหนื่อยหน่ายจึงเริ่มเปลี่ยนเรื่อง

          “เออ...นายเห็นรูปวันงานนิทรรศการที่พี่อ้อลงในเพจของมหาลัยยัง?”

          “เห็นแล้ว พี่อ้อส่งมาให้ดูแล้ว โดนด่าด้วยว่ารูปเยอะแยะแต่ทำหน้าไม่ได้เรื่องซักรูป มีแต่หน้าเหม่อๆลอยๆ เปลืองเมม...”

          พูดถึงคนที่ชื่อ “อ้อ” สกายก็ทำหน้าหงิกขึ้นมา อ้อเป็นรุ่นพี่ปีสามคณะศิปกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นรูมเมทของซัน อ้อมักจะเป็นตากล้องให้กับกิจกรรมต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายปากร้ายมาดกวน ชอบโขกสับ เป็นที่หวั่นเกรงของรุ่นน้องเสมอๆ แน่นอนว่าคนที่รับบทหนักที่สุดก็คือ “ซัน”

          “อ้าวแบบนี้ก็แปลว่าสกายเห็นแต่รูปของตัวเองดิ ลองดูดิ อันที่ลงในเพจคือรูปที่พี่เค้าแต่งแล้วเลือกเอามาลง”

          ซันพูดพลางยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนดู สกายเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆดูภาพอย่างไม่ตั้งใจนักแต่แล้วก็ต้องไปสะดุดกับภาพๆหนึ่ง

          ‘พี่เต้ยตอนสวมที่คาดผมหูกระต่าย!’

          นิ้วเรียวยาวจัดแจงกดบันทึกรูปภาพโดยไม่สนใจว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ใช่ของเขา จากนั้นก็ถือวิสาสะใช้ของๆเพื่อน ส่งรูปภาพเข้าโทรศัพท์ของตัวเอง

          “ขอบใจนะเพื่อน”

          สกายเอ่ยขอบคุณพลางส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้ ในขณะที่ซันเองก็ยังตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น ตากลมโตกวาดตามองลงในหน้าจอมือถือก็พบภาพต้นเหตุ เขาหรี่ตาลงมองเพื่อนซึ่งขณะนี้กำลังยิ้มชื่นชมอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ตัวเองอย่างรู้ทัน





          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          หญิงสาวร่างสูงบอบบาง ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูไม้เนื้อดีพลางเคาะเรียกหาคนที่อยู่ภายใน เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว กระเพาะของหญิงสาวเริ่มส่งเสียงโอดครวญเรียกร้องให้เธอต้องหาอะไรลงมาเติมให้เต็ม

          “ไม่ได้ล็อก...”

          เสียงเรียบโต้ตอบกลับมา สมายผลักประตูเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นคือชายร่างสูงนอนขดอยู่บนเตียง แขนขากอดก่ายหมอนข้างแน่น สีหน้าเซื่องซึม

          “สกายจะกินไร พี่หิวแล้วเนี่ยจะสั่งข้าว!”

          คนเป็นพี่ยืนกอดอกพิงโต๊ะภายในห้อง คิ้วเรียวๆ ยกขึ้นสูงเชิงตั้งคำถาม แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ

          “พี่สมาย...ทำไมผมโง่แบบนี้...ผมลืมขอเฟสบุคพี่เค้า...”

          “อะไรของแกอีกล่ะ! อยากจะพูดอะไรก็พูดมาแล้วรีบคิดเร็วๆ ด้วยว่าจะกินอะไร จะสั่งข้าว!”

          สกายจัดแจงเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้สมายฟัง หญิงสาวที่กำลังหิวไส้กิ่วเหลือบไปเห็นซองขนมใสๆที่วางอยู่บนโต๊ะ มือสวยไม่รอช้ารีบคว้าขนมซองนั้นมาฉีกเข้าปาก

          “ไอ้อะอาย! แอเอ่นอะไอไอ้อู้เอื้องอีกแอ้วอ๊ะ!!!” (ไอ้สกาย! แกเล่นอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้วนะ!!!)

          หญิงสาวพยายามพูดไปพร้อมกับปากเล็กๆที่เคี้ยวอยู่จนคนฟังไม่สามารถเข้าใจได้ ชายหนุ่มเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในมือของพี่สาวแล้วก็โวยวายขึ้นมาดังลั่น

          “พี่สมาย กินทำไมอ่ะ! นั่นมันคุกกี้ที่พี่เต้ยให้ผม เป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจเลยนะเว้ย ผมกะจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก!”

          “อีสกาย! แกเป็นบ้ารึไง? แกจะเก็บไว้ให้ราขึ้นหรอ? ของอร่อยๆ ยกให้คนสวยๆหิวๆกินเนี่ยถูกต้องแล้ว คนทำเค้าจะได้ดีใจ”

          ปากเล็กๆที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีน้ำตาลโต้ตอบแบบไม่ยอมแพ้ ตอนนี้คุกกี้ทั้งชิ้นได้หายลงท้องแบนราบของเธอไปแล้ว นิ้วมือบางบรรจงเช็ดคราบเหนียวหนึบบนริมฝีปาก

          “แล้วชั้นจะบอกอะไรให้นะ แกอย่าคิดทำอะไรบ้าๆแบบนั้นอีก ถ้าเกิดตอนนั้นแกเบรกรถไม่ทันขึ้นมา ชนพี่เต้ยอะไรของแกตายห่าไปจริงๆ ชั้นกับแม่หาลูกไปคืนพ่อแม่เค้าไม่ได้หรอกนะเว้ย!”

          สกายหลุบตาลงสีหน้าสำนึกผิด ถูกอย่างที่พี่สาวของเขาว่า สิ่งที่เขาทำลงไปวันนี้ถ้าเต้ยรู้เจตนาที่แท้จริงเข้า ถึงจะซื่อบื้อแค่ไหนก็ต้องโกรธมากแน่ๆ

          “จะว่าไป...คุกกี้อันนี้อร่อยดีนะ แกบอกว่าพี่เต้ยของแกให้มาหรอ?”

          หญิงสาวพูดพลางหยิบซองขนมขึ้นมาดู บนซองมีฉลากเล็กๆแปะอยู่

          “พี่เต้ยของแกเค้าทำขนมขายหรอ?”

          “ไม่รู้ดิ...”

          “ก็นี่ไง มีเบอร์มือถือกับไอดีไลน์แปะอยู่ อ่านว่าเต้ยๆอะไรซักอย่างเนี่ย”

          ร่างสูงดวงตาเบิกโพลง ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน เขาไม่รอช้าดึงซองขนมออกจากมือหญิงสาว ดวงตารีเพ่งมองข้อความบนฉลาก ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์กับไอดีไลน์ติดอยู่จริงๆ หน้านิ่วเมื่อครู่กลายเป็นเบิกบาน ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้มกว้าง ตาเรียวเล็กกลายเป็นสระอิอีกครั้ง

          “พี่สมาย! พี่คือนางฟ้าของผม!”

          คนเป็นน้องพูดพลางพุ่งตัวเข้าไปกอดหญิงสาว ที่เค้าว่ากันว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ช่างสังเกตนั้นคงเป็นเรื่องจริง สมายดันหน้าน้องชายออกน้อยๆแล้วแหวเสียงดัง

          “แล้วสรุปแกจะกินอะไร จะได้โทรสั่งข้าวซักที หิว!”





          “บานอฟฟี่!”

          เจ้าของน้ำเสียงร่าเริง พร้อมแววตาเป็นประกายนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ซันเพื่อนเตี้ยของสกายนั่นเอง หลังจากที่สกายวางถ้วยที่ภายในสลับชั้นระหว่างบิสกิต คาราเมล กล้วยหอมและวิปครีม ลงตรงหน้า คนตัวเล็กก็จัดแจงแกะขนมลิ้มลองทันที

          “นายจะไม่กินด้วยกันจริงๆ หรอสกาย?”

          ซันเอ่ยชวน แต่มือก็ตักปากก็เคี้ยวอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าจะมีคนมาแย่งขนมไป

          “ไม่ดีกว่า น้ำหนักเราขึ้นมาสองกิโลแล้ว...”

          ใช่แล้ว “สองกิโล” นับตั้งแต่ที่สกายได้ไลน์ของเต้ยมาซึ่งก็ผ่านมาเพียงแค่สองสัปดาห์ สกายสั่งขนมเต้ยเป็นประจำจนน้ำหนักของเขาพุ่งพรวด จะเอาไปให้คนที่บ้านทุกคนก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่สามารถแบกรับแคลอรี่ปริมาณมหาศาลได้อีกต่อไป ลาภปากจึงไปตกอยู่กับซัน ชายผู้ซึ่งกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

          แต่ไม่มีทางที่สกายจะหยุดสั่งขนมของเต้ย เพราะอะไรนะหรือ...เพราะสกายยังคิดมุกใหม่ๆไม่ออกว่าจะคุยอะไรกับเต้ย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือ สกายสั่งขนมเต้ย เต้ยแวะมาส่งขนมที่โรงอาหารกลาง ความสัมพันธ์ของทั้งสองวนเวียนอยู่แค่นี้

          “ไอ้ซัน! มึงมาหลบอยู่ที่นี่เอง”

          “ที่นี่” คำที่เสียงแหบห้าวตะโกนขึ้นดังลั่นหมายถึงโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย และเจ้าของเสียงนั้นก็คือ “อ้อ” นั่นเอง สกายรีบยกมือขึ้นไหว้อ้อพัลวัน อ้อทำหน้ายุ่งๆพยักหน้ารับ แล้วหันไปจ้องตาขวางใส่คนที่กำลังยัดขนมคำสุดท้ายเข้าปากอยู่พอดี

          “ไหนมึงบอกว่ามึงจะรออยู่ที่คณะไง? เร่งกูให้กูรีบมา บอกกูว่าจะกลับห้องทำกุญแจหาย แล้วมึงสะเออะมานั่งแดกอะไรอยู่ที่นี่!”

          ซันหน้าเจื่อนไม่โต้ตอบ ส่วนสกายเองก็พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเป็นนัยว่าเขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้

          “สกายเรากลับก่อนนะ...”

          ซันรีบลุกพรวดจากเก้าอี้ หน้าเล็กๆหดเหลือสองนิ้ว ตาโตช้อนมองคนสูงหน้าดุอย่างกลัวๆแล้วเดินตามไป แต่ก็ไม่วายหันมาโบกมือลาสกายน้อยๆพลางพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘ไปก่อนนะ’ อ้อหันมาเห็นจึงเอามือผลักหัวคนเตี้ยแทบทิ่ม สกายได้ยินเสียงเหมือนคนเถียงกันอยู่ไกลๆ ไม่นานร่างทั้งสองก็เดินหายไป ชายหนุ่มถูกทิ้งให้นั่งเหงาอยู่คนเดียวอีกครั้ง

          ‘Rrrrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือของสกายดังขึ้น บนหน้าจอมีคำว่า “คุณมี้” ปรากฏอยู่

          “ฮัลโหล แม่...ว่าไงครับ?”

          [สกายวันนี้เลิกเรียนแล้วยังลูก?]

          “เลิกแล้วครับแม่ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”

          [วันนี้สมายเค้าเลิกงานไว ส่วนแม่ก็ว่างพอดี ไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะลูก]

          “ได้ครับแม่ เราจะไปเจอกันที่ไหนดี?”

          [ห้างที่เราไปกันประจำนั่นแหละจ้ะ รีบมานะเดี๋ยวสมายโมโหหิว เจอกันนะลูก]

          คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆหลังพูดจบ สกายกดวางสายจากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆไปที่รถแล้วขับออกไป





          ที่ห้างสรรพสินค้า การปรากฏตัวของคนสามคนทำให้เป็นที่สนอกสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา คนหนึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็นอย่างดี หญิงสาววัยกลางคนดูอ่อนกว่าวัย วันนี้แต่งหน้าบางเบากว่าปกติที่เห็นคุ้นตาในจอโทรทัศน์ อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมสูง ใบหน้าเก๋ไก๋ ผมตรงยาว ตาเล็กเรียว ปากนิดจมูกหน่อย แต่งกายโดดเด่นกว่าใครๆ และสุดท้ายชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของใบหน้าสงบนิ่ง เยียบเย็น น่าหลงใหล ดวงตาเล็กเรียว จมูกโด่งสวยรับกับรูปหน้า ปากอิ่มเจือสีแดงธรรมชาติ "สกาย" นั่นเอง

          “อิ่มจัง...อร่อยด้วย กินฟรีมันดีจริงๆ”

          สาวน้อยร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างพอใจ พลางหัวเราะน้อยๆ น้ำมนต์มองลูกทั้งสองอย่างมีความสุขแล้วพูดขึ้นบ้าง

          “แม่ดีใจมากเลยที่ได้มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูกๆ นานๆถึงจะมีโอกาสแบบนี้ซักที”

          สกายหันไปมองแม่และพี่สาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สำหรับเขาที่เป็นคนรักครอบครัว การที่ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแบบนี้ เป็นช่วงเวลาดีๆที่พอจะช่วยให้ชายหนุ่มบรรเทาความว้าวุ่นใจได้บ้าง

          “ถ้าพ่อเค้าอยู่ด้วยกันตรงนี้ก็คงจะดีนะ...แม่อยากให้พ่อเค้าได้เห็นแล้วก็ภูมิใจว่าแม่เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาได้ดีแค่ไหน”

          น้ำมนต์เผยรอยยิ้มที่เจือความเศร้าไว้เล็กน้อย สองพี่น้องมองหน้ากันเจื่อนๆ สกายตัดสินใจดึงดูดความสนใจจากคนเป็นแม่

          “เอ่อ...แม่ครับ ผมอยากแวะดูร้านนี้น่ะ ป่ะ...เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

          สกายจูงมือคนเป็นแม่เข้าไปในร้าน เบื้องหน้าเต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกมากมาย ตุ๊กตากระต่ายตัวโตปุกปุยตัวหนึ่งดึงดูดสายตาให้ชายหนุ่มเดินปรี่เข้าไปหา สกายอุ้มตุ๊กตาตัวนั้นลงมา ทั้งบีบทั้งกอด ใบหน้าระบายไปด้วยความสุข เขายิ้มกว้างปากก็พึมพำถึงความน่ารักของตุ๊กตาตัวนี้

          “แม่ๆ ดูสิน่ารักเนอะ เห็นแล้วคิดถึงเจ้าเต้าหู้เลย”

          สกายพูดพลางหันหลังมา หมายจะอวดความน่ารักของสิ่งที่ตนอุ้มอยู่ให้ผู้เป็นแม่ดู แต่เบื้องหน้ากลับกลายเป็นชายหนุ่มแก้มใส เจ้าของเส้นผมละมุนนุ่มเจือสีน้ำตาล ดวงตากลมๆเล็กๆนั้นจ้องมองมาทางสกายไม่วางตา

          “พี่เต้ย!”

          สกายแทบหยุดหายใจ ใบหน้าระรื่นก่อนหน้านี้หุบลง เขาพยายามตีสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นจึงรีบเก็บตุ๊กตากลับเข้าที่พลางชะเง้อมองหาแม่ ภาพที่เห็นคือน้ำมนต์กับสมายกำลังช่วยกันเลือกสีทาเล็บกันอย่างสนุกสนาน

          ‘ทำไมพี่เต้ยถึงโผล่มาตอนนี้ได้วะ?’

          ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ การที่สกายได้มาเจอคนที่ชอบโดยบังเอิญแบบนี้เขาคงดีใจจนเนื้อเต้น แต่สกายไม่เคยอยากให้คนทั่วไปรับรู้ว่าสกายเป็นผู้ชาย “ไม่ตรงปก” ความมุ้งมิ้งกะหนุงกะหนิงภายในมันขัดกับภาพสงบนิ่ง เยือกเย็นภายนอกของเขาเหลือเกิน

          “พี่เต้ยมาทำอะไรที่นี่หรอครับ?”

          สกายถามน้ำเสียงอึกอัก เต้ยหยิบริบบิ้นสีสวยขึ้นมาสองสามเส้น

          “มาซื้อริบบิ้นน่ะ จะลองเอาไปแต่งกล่องขนม”

          เต้ยพูดพลางย่นคิ้วเล็กน้อย ริบบิ้นหลากสีหลายขนาดมากมายเรียงรายตรงหน้า บ้างก็มีลวดลาย บ้างก็เป็นลูกไม้ บ้างก็มีดิ้นเหลือบสะท้อน เขาจึงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเส้นไหนสีอะไรดี

          “เออสกายท่าทางแกจะชอบของพวกนี้นะ มาช่วยเลือกหน่อยสิ”

          “อ่อ...เอ่อ...ได้ครับพี่”

          สกายยิ้มแห้งเดินตามเต้ยไป ร่างเล็กก้มหน้าตั้งอกตั้งใจจับคู่สีของริบบิ้น ในขณะที่ร่างสูงข้างๆเหลือบมองต้นคอขาวของคนที่ตัวเล็กกว่า กลิ่นจางๆของขนมอบที่ติดอยู่บนตัวและเรือนผม ทำให้สกายใจสั่น เขาค่อยๆขยับใบหน้าเข้าไปใกล้พลางก้มลงเล็กน้อยเพื่อมองริบบิ้นในมือของรุ่นพี่หนุ่ม

          “สีนี้กับสีนี้ดีป่ะ?”

          เต้ยเงยหน้าขึ้น มือหนึ่งหยิบริบบิ้นสีสวยขึ้นมาสองเส้น สายตาของเต้ยกับสกายประสานกันโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าของทั้งสองห่างกันแค่คืบ ร่างสูงรู้สึกเหมือนกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ใบหน้าร้อนวูบ ในอกเหมือนจะระเบิดออกมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับเขามันช่างอ้อยอิ่ง เนิ่นนาน

          “สกายทำไรอ่ะ!”

          หญิงสาวร่างบางพุ่งตัวเข้าล็อกคอผู้เป็นน้อง สายตาก็เหลือบมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

          “โอ๊ย! พี่ปล่อยผม...เล่นอะไรเนี่ย? แรงอย่างกะควาย! นึกว่าคอจะหักซะแล้ว”

          “อย่ามาเว่อร์! แหวะทำเป็นบอบบาง...อ้าวแล้วนี่ใครอ่ะ เพื่อนหรอ”

          เต้ยยกมือไหว้คนทั้งสอง ปากบางยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยสวัสดี

          “นี่พี่เต้ย รุ่นพี่ที่มหาลัยครับแม่”

          “อ๋อ...”

          เสียงของน้ำมนต์และสมายร้องประสานกัน แต่สายตาที่มองมาทางสกายกลับแตกต่าง คนเป็นแม่มองอย่างเอ็นดู ในขณะที่คนเป็นพี่มองอย่างรู้ทัน

          “เต้ยนี่เองที่สกายสั่งขนมมาบ่อยๆ ขนมของเต้ยอร่อยมากเลยจ้ะ”

          “ขอบคุณครับ”

          เต้ยพูดตอบพลางยิ้มเขินเล็กน้อย

          “สกายเค้ากินจนน้ำหนักขึ้นแล้วน่ะจ้ะ จะเอามาให้แม่ให้พี่สมายกินแทนก็ไม่ไหว พากันอ้วนเอาๆ”

          “โธ่แม่! ไม่ต้องบอกพี่เค้าก็ได้”

          สกายเสียงเง้างอด เต้ยเหลือบตามองสกาย เขาหลุดขำเล็กน้อย

          “กินจนน้ำหนักขึ้นเลยหรอวะ? ลดๆบ้างก็ได้ เดี๋ยวความหวานจุกอกตายพอดี”

          ‘ผมไม่ได้จะตายเพราะขนมหวานหรอกคร้าบ...ผมจะตายเพราะพี่นี่แหละ’

          สกายได้แต่พล่ามอยู่ในใจ เขินก็เขิน แต่ก็มีความสุขมาก เป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับเต้ยอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนเต้ยเองก็ดูเข้ากับคนง่ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้

          “น้องเต้ยลองทำขนมคลีนขายสิ จะได้กินแล้วไม่อ้วน เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้ด้วย”

          สมายเสนอแนะ เพราะถึงเธอจะกลัวอ้วน แต่เธอเองก็ชอบกินขนมอยู่ไม่น้อย

          “นั่นสิจ๊ะ ลองดูมั้ย ไหนๆบ้านเราก็เป็นลูกค้าประจำอยู่แล้ว แม่จะขอสั่งเอาไปแจกคนในกองถ่าย”

          น้ำมนต์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนคาดหวัง เต้ยตั้งใจฟังอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยตอบ

          “ผมเองก็ไม่เคยทำขนมคลีนมาก่อน แต่ผมจะลองดูนะครับ เดี๋ยวผมหาสูตรได้แล้วผมจะลองทำมาให้ชิมก่อน”

          “ดีเลยจ้ะ ให้สกายเค้าชิมนั่นแหละ ถ้าเค้าว่าอร่อยพวกเราก็ว่าอร่อยเหมือนกันจริงมั้ยลูก”

          คนเป็นแม่พยักพเยิดหน้ากับคนเป็นพี่สาว สกายได้แต่ลูบจมูกเบาๆแก้เก้อ ส่วนสมายแอบส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางน้องชาย

          “แล้วเดี๋ยวเต้ยจะกลับรึยังลูก? พวกเราว่าจะกลับกันแล้ว หนูมายังไง? เดี๋ยวแม่แวะไปส่งที่บ้านมั้ยจ๊ะ”

          หญิงวัยกลางคนยังคงถามต่อ พร้อมแสดงน้ำใจต่อเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู

          “อ๋อไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมต้องซื้อของอีกนิดหน่อย ขอบคุณมากครับ”

          “งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะลูก”

          เต้ยยกมือไหว้ลาหญิงทั้งสอง จากนั้นจึงตบไหล่สกายเบาๆแทนการบอกลาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ คนทั้งสามเดินออกจากร้าน ร่างสูงเหลียวหลังกลับไปมองเห็นรุ่นพี่หนุ่มอยู่ไกลๆ แม้จะน่าเสียดายที่มีโอกาสเจอเพียงชั่วครู่ แต่มันก็อบอุ่นหัวใจ

          “เฮ้ยๆ เก็บอาการหน่อย...”

          หญิงสาวยืนกอดอกเอาข้อศอกกระทุ้งแขนน้องชายเบาๆ เธอหรี่ตามองคนข้างๆที่มุมปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม สองพี่น้องเดินคุยเล่นหยอกล้อกันตลอดทาง ระหว่างเดินตามผู้เป็นแม่ไปยังลานจอดรถ





          ยามราตรีเงียบสงัด ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือช่วยให้ความสว่าง เต้ยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ดวงตากลมเพ่งจับจ้องหน้าจอ เนื่องจากความสว่างไม่เพียงพอ ปลายนิ้วเลื่อนดูสูตรขนมอย่างตั้งอกตั้งใจ

          ‘Rrrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างขัดจังหวะ บนหน้าจอปรากฏคำว่า “ภีม” ทว่านี่ไม่ใช่การโทรด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว เต้ยกดรับสาย ในจอที่ถึงแม้ภาพจะดูพร่าเลือนไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคู่สนทนาคือชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่ นัยน์ตาคมโตสวย จมูกโด่งรับกับใบหน้า ริมฝีปากหยักเป็นกระจับ คิ้วเรียวเข้มของคนในจอขมวดพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย

          “นั่งทำอะไรมืดๆวะเต้ย? กูมองหน้ามึงแทบจะไม่เห็นแล้วเนี่ย”

          “เออๆ แป๊ปนึง”

          เต้ยขยับตัวลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ก้าวขาหนักๆไปทิศทางเบื้องหน้ามือควานหาปุ่มเปิดไฟ

          “เห็นชัดยังไอ้ภีม”

          “เออๆ กูพอใจแล้ว งั้นแค่นี้แล้วกัน”

          “เดี๋ยวๆ มึงอย่ามาตลก กวนตีนเก่งนะมึง”

          ชายหนุ่มทั้งสองต่างหัวเราะใส่กัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูมีความสุข

          “ตอนนี้ที่นู่นสายแล้วไม่ใช่หรอวะ? โทรมาทำไมเนี่ย? มึงไม่ไปเรียนหรือไง?”

          “เอ้า! ก็กูคิดถึงเพื่อนนี่หว่า โทรหาไม่ได้หรอวะ?”

          “มึงเอาดีๆ”

          “เออๆ...ก็วันนี้มีพายุหิมะกูเลยออกไปเรียนไม่ได้ เค้าประกาศหยุดกันก็เลยถือโอกาสโทรหามึงเนี่ย....แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง? สบายดีมั้ย? ขนมขายดีป่ะ? เก็บเงินได้เยอะยัง?”

          หน้าสวยรัวคำถามจนคนฟังถึงกับลำดับไม่ค่อยถูกว่าจะตอบเรื่องไหนก่อนเรื่องไหนหลัง

          “กูก็เหมือนเดิมแหละมึง ขนมก็ขายได้เรื่อยๆ ยังเก็บเงินได้ไม่เท่าไหร่หรอก แล้วเพื่อนกูที่เคยบอกว่าจะช่วยกันทำกะกู ช่วงนี้มันก็หายหัวไปเลย...มันติดแฟน กูเลยรับทำแค่ส่วนของกูคนเดียว แล้วมึงล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”

          “กูก็สบายดี อยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี มันอิสระดีน่ะมึง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมาแคร์สายตาคนอื่น”

          “ดีว่ะ กูก็อยากทำอะไรตามใจกูบ้าง เสียดายบ้านกูไม่ได้รวยแบบมึง แต่ไม่เป็นไรกูจะเก็บเงินให้ได้เยอะๆเลย กูจะได้มีโอกาสเป็นอิสระแบบมึงบ้าง”

          ตากลมๆสบตาคนในจอแบบมีแรงบันดาลใจ ภีมยิ้มตอบกลับมา ปากก็เอ่ยให้กำลังใจ

          “สู้ๆนะเว้ยไอ้เต้ย มึงจะขึ้นปีสี่อยู่แล้ว ตอนนี้มึงจะเอายังไงกับชีวิตมึงต้องชัดเจนได้แล้วนะเว้ย”

          เต้ยนิ่งไป สีหน้าสดชื่นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดใจ

          “อืม...กูจะพยายาม...”

          “พอๆ กูไม่คุยกับมึงแล้วไอ้เต้ย ดราม่าเฉย กูไปดีกว่า”

          “เดี๋ยวดิมึง...แล้วเรียนจบแล้วมึงจะกลับมาไทยเลยมั้ยวะ?”

          ภีมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดแบบไม่ยี่หระ

          “กลับดิ...แต่...หลังจากกูเรียนโทจบนะ”

          สิ้นคำพูดของภีม สีหน้าของเต้ยซึมลงเล็กน้อย

          “มึงจะเศร้าทำไมเนี่ย? กูก็กลับไทยทุกปีอยู่แล้วป่าววะ...ไม่เอาน่ะมึง ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยดิวะ ยิ้มให้กูดูทีก่อนกูจะวางสาย เร็วๆ”

          เต้ยอมยิ้มแบบไม่เต็มใจนัก สำหรับเต้ยภีมซึ่งเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เข้าใจเขาดีที่สุดคนหนึ่ง ภีมคอยอยู่เคียงข้างเขาทุกครั้งในยามลำบาก แต่นี่ก็สามปีมาแล้วที่ภีมไปเรียนต่อต่างประเทศ ชีวิตเต้ยเลยเหมือนขาดคนที่คอยให้กำลังใจไป

          “มึงยิ้มแบบนี้จริงๆกูไม่ให้ผ่านนะเว้ย แต่กูหิวละจะไปแดกข้าว อยู่ทางนู้นมึงดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ กูเป็นห่วง ไปล่ะ ฝันดีนะมึง”

          เต้ยโบกมือแทนการพูดลาผ่านหน้าจอ ใบหน้าสวยยิ้มบางๆก่อนจะวางสายไป ร่างเล็กเดินไปปิดไฟอีกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน ในหัวสมองยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง

 

 
++++++++++++++++


     สวัสดีค่า ผ่านมาสองตอนแล้ว ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามด้วยนะคะ อยากบอกว่าแค่นี้เราก็รู้สึกมีกำลังใจมากแล้วค่ะ ไม่ว่าคนอ่านจะมากจะน้อยยังไงเราก็จะพยายามเขียนต่อไปนะคะ แล้วก็จะพยายามเขียนให้ดีขึ้นด้วยค่ะ ^^

     ยังไงก็ขอฝากเมะใจแหววแบบสกาย แล้วก็เคะแมนๆแบบเต้ยด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2019 12:46:11 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
สนุกค่า รอติดตามนะคะ  :mew1:
:pig4: ขอบคุณที่สนใจนะคะ

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
         
EP3 : Mischievous Toffee Cake

         
          บริเวณใต้ถุนตึกคณะคหกรรมศาสตร์ นักศึกษากลุ่มหนึ่งนั่งเรียงรายกันอยู่บนม้านั่ง สายตาทุกคนต่างจับจ้องไปยังนักศึกษาหญิงที่ยืนอยู่ สายลมเอื่อยโชยปะทะเรือนผมสวย ใบปอใช้นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมไว้ไม่ให้ปรกบังใบหน้า

          “ตอนนี้ทุกคนก็เสนอกันมาครบแล้วเนอะว่าอาทิตย์หน้าใครอยากจะทำอะไรกันบ้าง”

          หญิงสาวที่ยืนอยู่เอ่ยขึ้น พลางจับจ้องกระดาษในมือก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

          “อืม....น้ำกับเต้ย แน่ใจนะว่าจะทำเรดเวลเวทชีสเค้กน่ะ? แล้วจับคู่กันแค่สองคนด้วย...”

          “โอ๊ยสบาย! พวกเราเลือกอันนี้แหละ ธรรมดาโลกไม่จำ!”

          ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ คนนั่งข้างเหลือบตามองคิ้วขมวด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ

          “ไม่ต้องไปโม้เยอะเลย เพราะมึงแหละไอ้น้ำมัวแต่ลีลาจนคนอื่นเค้าเลือกกันไปหมด เหลือของยากสุดไว้ให้เนี่ย”

          “อย่ากลัวดิวะไอ้เต้ย พวกเราเป็นใคร? พวกเราคือผู้ช่ำชองในการทำขนมนะเว้ย! ไม่งั้นจะขายดิบขายดีแบบทุกวันนี้หรอ?”

          “มึงเงียบไปเลย! ทุกวันนี้มีแต่กูเนี่ยทำอยู่คนเดียว”

          น้ำหันไปมองหน้าเต้ย ปากหนาๆฉีกยิ้มกว้างไปด้วยแก้เก้อ เต้ยหันกลับไปตั้งใจฟังหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังอธิบายรายละเอียดงานต่อ

          “เดี๋ยววันที่สิบเอ็ดเราจะรวบรวมออเดอร์มาให้ทุกคนนะว่ามียอดสั่งขนมเท่าไหร่ เราลงชื่อจองห้องปฏิบัติการไว้ให้แล้ว สามารถเข้าไปใช้งานได้ตามเวลาที่บอกไว้ แล้ววันที่สิบสามเช้าพวกเราจะไปส่งขนมกัน จัดสรรเวลากันให้ดีๆ นะทุกคน...อ้อ แล้วอันนี้สำคัญมาก ตกแต่งขนมด้วยธีมวาเลนไทน์นะจ๊ะ ถ้าผิดจากนี้เดี๋ยวลูกค้าที่สั่งของมาจะด่าเอา...วันนี้พอแค่นี้แหละ แยกย้ายได้”

          สิ้นเสียงของใบปอ เพื่อนร่วมโต๊ะต่างเริ่มเก็บข้าวของเดินออกจากพื้นที่ เต้ยจับกระชับสายกระเป๋าสะพายเข้ากับตัวเตรียมลุกออกจากที่นั่ง

          “เอ่อ...ไอ้เต้ย! เดี๋ยวมึงกลับห้องเลยป่าววะ?”

          “กลับดิ...กูต้องรีบกลับไปทำขนมต่อต้องส่งของพรุ่งนี้ มีอะไรมึง?”

          “คือ...”

          น้ำอึกอักก่อนจะพูด สายตาหลบไปอีกทาง

          “กูไปรับออเดอร์ขนมมาว่ะมึง เป็นท็อฟฟี่เค้กห้าสิบชิ้น...ส่งพรุ่งนี้เหมือนกัน...”

          น้ำหัวเราะแหะยิ้มแห้ง ในขณะที่ดวงตากลมของเต้ยเบิกโพลง ขึ้นเสียงใส่

          “ไอ้เหี้ยน้ำ! กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าให้มาถามกูก่อนค่อยไปรับมา แล้วเนี่ยออเดอร์มึงก็มาชนกับของกู แล้วที่หอมึงก็เสือกไม่ให้ทำอาหารอีก! แม่ง!”

          “โอ๊ยๆ ๆ เพื่อนเต้ยอย่าเพิ่งโกรธ กูผิดไปแล้วกูขอโทษ ช่วงนี้กูก็แค่อยากได้ค่าขนมเพิ่ม จะได้เอาไปซื้อของขวัญวาเลนไทน์ให้แฟนกู นะๆ ...กูขอร้องล่ะ กูต้องทำให้เสร็จ เพราะของกูเค้าจะเอาไปจัดลงกล่องคอฟฟี่เบรกพรุ่งนี้บ่ายอ่ะมึง”

          “แม่ง...แล้วของกูล่ะมึง ถ้าของกูทำไม่ทันล่ะ แม่สกายเป็นคนสั่งด้วย เค้าจะเอาไปแจกในกองถ่ายเนี่ย”

          “ของมึงเป็นอะไรวะเต้ย?”

          “มัฟฟินกล้วยหอมเนยถั่ว...”

          “ของไอ้สกายมันใช่ป่ะ...ได้เดี๋ยวกูไปคุยกับมันเอง ตอนนี้มันก็น่าจะใกล้เลิกแล้ว ไปหามันที่คณะกัน!”

          น้ำพูดพลางจ้องโทรศัพท์มือถือ นิ้วมือกดขยุกขยิก เมื่อพูดจบเขาก็ดึงลากแขนเต้ยให้เดิมตามมาอย่างไม่เต็มใจนัก ตอนนี้หน้าใสๆหงิกงออย่างไม่สบอารมณ์



          ชายหนุ่มสองคนปั่นจักรยานผ่านร่มไม้ตามรายทางมาจนถึงบริเวณตึกคณะวารสารศาสตร์ ทั้งสองนำจักรยานไปเทียบไว้บริเวณจุดจอดจากนั้นจึงรีบเร่งเดินไปภายในอาคาร การปรากฏตัวของคนหล่อคมทำให้ทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาไม่น้อย น้ำยืนชะเง้อมองกลุ่มคนที่เดินลงบันไดมาแต่ก็ยังไม่เห็นเป้าหมาย

          “มึงรู้ได้ไงวะน้ำ ว่าสกายมันเลิกเรียนแล้ว?”

          “ก็กูมีตารางเรียนของมันไง”

          “แล้วมึงไปเอามาจากไหนวะ?”

          เต้ยเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย เท่าที่เขารู้จัก น้ำไม่ใช่คนชอบสอดเรื่องชาวบ้าน

          “กูอยู่ในกรุ๊ปไลน์ของพวกสโมฯ นักศึกษา พวกพี่ๆ เค้าให้พวกนักศึกษาที่ทำกิจกรรมบ่อยๆ ใส่ตารางเรียนไว้ เผื่อมีงานอะไรเค้าจะได้เรียกใช้ง่ายๆ”

          ฟังจบเต้ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อเบือนหน้าไปก็เห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินลงมาจากบันได คนข้างๆโบกไม้โบกมือร้องเรียกเสียงดัง

          “สกาย! ทางนี้ๆ”

          คนที่ถูกเรียกทำหน้าเหลอหลา แต่ก็เดินตรงมาหาอย่างว่าง่าย ด้านหลังมีชายร่างเตี้ยเดินตามมาติดๆ รุ่นน้องทั้งสองยกมือไหว้รุ่นพี่พร้อมเพรียงกัน

          “ว่าไงคู่จิ้นวารสาร”

          น้ำพูดน้ำเสียงปนขำในลำคอ สกายได้ยินดังนั้นรีบพูดปฏิเสธพัลวัน ส่วนซันได้แต่ยิ้มแห้ง

          “พี่น้ำอย่าพูดอย่างนั้น เดี๋ยวพี่อ้อมาได้ยินเข้าผมโดนกระทืบตายเลย”

          เต้ยย่นคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะเริ่มพูด

          “คู่จิ้นอะไรกันวะ? แล้วทำไมแกต้องโดนกระทืบด้วย?”

          “คืองี้นะเพื่อนเต้ย ไอ้สกายกับไอ้ซันเนี่ยมันสนิทกัน ชื่อมันก็คล้องจองกัน สกายมันหล่อใช่มะ ส่วนไอ้ซันเนี่ยก็ดูน่ารักกรุบกริบ สาวๆ ในมหาลัยก็เลยจับมันมาจิ้นกันไง แต่ที่แย่คือเสือกเอาไอ้อ้อมาพัวพันด้วยเป็นรักสามเส้าไรงี้ อ้อมันไม่ชอบมันก็มาพาลลงที่น้องๆ นี่แหละ...เออ...ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้จริงว่ะ”

          น้ำพูดไปหัวเราะไป เต้ยได้แต่ย่นหน้าเบาๆพลางเหลือบมองรุ่นน้องทั้งสอง ก่อนที่เพื่อนหน้าหล่อของเต้ยจะออกนอกทะเลไปมากกว่านี้ เต้ยจึงรีบพูดตัดบท

          “น้ำมึงเข้าเรื่องเถอะ รีบอยู่ไม่ใช่หรอวะ...”

          น้ำเปลี่ยนสีหน้าจากเริงร่าเป็นสลดเมื่อเข้าเรื่องสำคัญ มือทั้งสองพนมเข้าหากันยกขึ้นเหนือหัวก่อนจะพุ่งเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง

          “สกาย...ยกโทษให้พี่ด้วย!”

          ใบหน้าคมเข้มหลับตาปี๋ ก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นพลางส่งสายตาอ้อนวอนไปทางสกาย ภาพที่เห็นทำให้เต้ยรู้สึกหงุดหงิดพิกลจึงผลักน้ำออกไปให้พ้นทาง

          “คือ...สกาย...ขนมที่แม่แกสั่ง พี่ขอเลื่อนไปส่งมะรืนนี้ได้มั้ยวะ...พี่ต้องขอโทษจริงๆ ....”

          “นะสกาย...คือพี่อ่ะไปรับออเดอร์ด่วนมาต้องส่งพรุ่งนี้ พี่จำเป็นต้องขอแรงไอ้เต้ยมาช่วย ไม่งั้นซวยแน่ๆ พี่คิดว่าของมึงน่าจะอะลุ่มอล่วยได้ก็เลยมาขอร้อง นะๆ ...”

          น้ำพูดแทรกขึ้นมา สกายสังเกตสีหน้าของเต้ยดูไม่สบายใจจึงรีบพูดขึ้น

          “ไม่เป็นไรครับพี่ ของแม่ผมก็ไม่ได้รีบอะไร เลื่อนออกไปก่อนก็ได้ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ”

          “มึงอยากช่วยใช่ป่ะ ดีเลยไอ้สกาย เดี๋ยวไปห้องไอ้เต้ยกัน อย่างน้อยได้มึงมาช่วยแพ็คขนมก็ยังดี!”

          คำว่า “ไปห้องเต้ย” ทำให้คนฟังหูผึ่งรีบพยักหน้าตกปากรับคำกระตือรือร้นที่จะไปช่วยอย่างเต็มใจ ซันได้ยินดังนั้นรู้สึกว่าน่าสนุกอยากมีส่วนร่วมบ้าง จึงเอ่ยขึ้น

          “ให้ผมไปช่วยด้ว....”

          “ไอ้ซัน!”

          คนเตี้ยยังพูดไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงหนึ่งตะโกนลั่นขึ้นมาจากด้านหลังทำเอาคนแถวนั้นสะดุ้งกันเกรียวกราว

          “มึงจะไปไหน? มึงขอร้องกูไว้ให้ไปช่วยถ่ายรูปประกอบโครงงานมึง มึงจะรีบได้รึยัง? ทำไมต้องให้กูคอยมาตาม!”

          ไม่ต้องสืบว่าเสียงนี้เป็นของใคร หน้าถมึงทึงกำลังเดินมุ่งมาทางคนทั้งสาม ซันยืนแข็งทื่อหน้าถอดสีราวกับว่าลืมไปหมดแล้วว่าเคยไปขอให้ใครช่วยอะไรไว้ สกายหดตัวเล็กพลางยกมือไหว้ ส่วนเต้ยได้แต่ยืนงุงงนไม่รู้จักว่าคนๆนี้เป็นใคร น้ำที่ว่องไวใช้มือทั้งสองคว้าแขนคนทั้งคู่ก่อนเอ่ยลา

          “เฮ้ยบังเอิญจังเลยเนอะไอ้อ้อ..ฮะฮะ...พวกกูกำลังจะกลับอยู่พอดี พวกกูไปก่อนนะ ซันมึงก็ไปตามทางของมึงแล้วกัน....”

          น้ำยิ้มแหยสองมือก็ลากเต้ยกับสกายมาด้วยเพื่อออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด มีเพียงเสียงโต้เถียงโวยวายลอยทิ้งท้ายให้ได้ยิน





          ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัด ขณะนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมหวานของโกโก้ผสมกาแฟ ชายสามคนกำลังง่วนอยู่กับการทำขนม เต้ยกำลังทำการร่อนส่วนผสมต่างๆทำให้มีฝุ่นฟุ้งเบาๆ ในขณะที่คนหน้าเข้มที่ยืนไม่ห่างกันนักกำลังปาดหน้าเค้กเหนียวหนึบที่เต็มไปด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ส่วนร่างสูงผิวสว่างกำลังตัดแบ่งขนมที่อยู่ในพิมพ์ออกเป็นขนาดเท่าๆกัน ด้วยความที่เตาอบมีขนาดเล็ก ทุกอย่างจึงดำเนินไปได้ไม่รวดเร็วนัก

          “ยี่สิบสี่ ยี่สิบห้า ยี่สิบหก ยี่สิบเจ็ด....”

          ชายหนุ่มที่กำลังตัดขนมในพิมพ์ค่อยๆนับจำนวนชิ้นที่ตัดได้ จากนั้นเขานำขนมวางบนกระดาษรองที่จับจีบไว้สวยงาม แล้วนำใส่กล่องพลาสติก ติดด้วยเทปกาวใส

          “อีกประมาณครึ่งนึงก็จะครบแล้วใช่มั้ยพี่?”

          สกายเอ่ยถามด้วยสีหน้าสดใส เต้ยที่เมื่อครู่ร่อนส่วนผสมอยู่ตอนนี้ได้ละมืออกไปตีไข่อย่างขะมักเขม้น ส่วนน้ำกำลังนำพิมพ์เข้าเตาอบ ตั้งอุณหภูมิให้ได้ที่

          “กูคงต้องทำเกินไว้ซักถาดนึงอ่ะสกาย เผื่อเหลือเผื่อขาด”

          น้ำตอบกลับมาโดยที่สายตายังไม่ละจากเตาอบ ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเล็กน้อย ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว พวกเขาต้องเร่งมือไม่เช่นนั้น ถ้าเขากลับหอในไม่ทันเวลา ลุงยามคงไล่เขาไปนอนกับหมาหน้าหอแน่ๆ

          “เต้ย ถ้ากูกลับหอไม่ทันกูขอนอนนี่ได้ป่าววะ?”

          “มันก็ได้อยู่หรอก...แต่มึงไม่เชื่อฝีมือเพื่อนมึงหน่อยหรอ ยังไงวันนี้มึงก็ต้องได้กลับไปนอนห้องมึงแน่ๆ”

          “เพื่อนเต้ย...กูซึ้งว่ะ...กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงพยายามขนาดนี้เพราะสงสารกูหรือกลัวว่ากูจะมานอนห้องมึงกันแน่”

          น้ำพูดจาด้วยน้ำเสียงเว้าวอนหากแต่ยียวน มือก็ยังไม่หยุดทำงาน สกายมองแล้วได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย เขานึกอิจฉาน้ำขึ้นมาที่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดเต้ยแทบตลอดเวลา แต่สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้...การที่เขาได้มายืนอยู่ในห้องของเต้ย เป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังของเขาไปอีก



          เวลาล่วงเลยไป ในตอนนี้ชายหนุ่มสามคนกำลังนั่งล้อมรอบกองขนมสีน้ำตาลหน้าเหนียวหนึบ นิ้วเรียวยาวบรรจงแปะเทปกาวใสลงบนกล่องขนม ในที่สุดงานเร่งของพวกเขาก็ได้สำเร็จลงแล้ว

          “เชี่ย! เสร็จแล้วโว้ย! สี่ทุ่มพอดี”

          น้ำเสียงดังด้วยความยินดี เขาค่อยๆเก็บรวบรวมขนมที่บรรจุลงกล่องแล้วใส่ลงในถุงใบโต สกายค่อยๆบิดตัวอย่างเชื่องช้า ร่างกายเมื่อยขบไปหมด

          “ไอ้เต้ย ไอ้สกาย กูขอโทษพวกมึงจริงๆนะ วันหลังกูจะไม่ทำตัวเหี้ยๆแบบนี้อีกแล้ว...”

          หลังจากความยินดี น้ำมีสีหน้าซึมลงเล็กน้อยด้วยความสำนึกผิด มือสองข้างก็ถือของพะรุงพะรัง

          “เออ...ช่างเหอะมึง มันจบแล้ว มึงก็รีบกลับหอเถอะเดี๋ยวไม่ทัน ที่เหลือทางนี้เดี๋ยวกูจัดการเก็บกวาดเอง”

          “พี่เต้ย เดี๋ยวผมช่วยพี่เก็บล้างเอง ผมทำได้”

          สกายอาสา เต้ยสบตายสกายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ

          “ไม่เป็นไร...ถ้าอยากช่วย ช่วยขับรถไปส่งไอ้น้ำที่หอมันหน่อย ถ้าให้มันแบกของเยอะขนาดนี้ไปกับจักรยานโง่ๆของมัน ท๊อฟฟี่เค้กที่พวกเราหลังขดหลังแข็งทำคงได้กลายเป็นอาหารหมา”

          สกายพยักหน้ารับไม่อยากเซ้าซี้ ก่อนจะพูดต่อ

          “งั้นผมไปส่งพี่น้ำก่อนนะ ถ้าพี่เต้ยมีอะไรจะให้ผมช่วยพี่โทรมาได้เลยนะ ผมจะรีบมาหา”

          น้ำหลิ่วตามองสกายอย่างไม่เข้าใจว่าจะห่วงอะไรเต้ยนักหนา แต่เขาก็เปลี่ยนทีท่าก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

          “ขอบคุณพวกมึงจริงๆนะ...”

          “เออพวกมึงรีบไปได้แล้ว”

          เต้ยพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงให้ทุกคนกลับไป สกายเอาของบางส่วนมาช่วยถือ ร่างเล็กเดินนำไปเปิดประตูส่ง

          “กลับดีๆนะ สกายขับรถดีๆนะมึง”

          “มึง?” คำนี้ทำให้คนฟังรู้สึกว่าร่างเล็กให้ความสนิทสนมกับเขามากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองรึเปล่า ประตูห้องค่อยๆปิดลง สายตาสกายยังคงจับจ้องอยู่ที่ประตู จนน้ำต้องสะกิดเขาเพื่อให้กลับจากภวังค์

          ในอีกด้านของประตู ร่างเล็กเดินตรงมาที่ตู้เย็น เขาหยิบกล้วยหอมจำนวนหนึ่งออกมาปอก โยนใส่เครื่องปั่น ผสมเข้ากับเนยถั่ว เกลือ เบคกิ้งโซดา ดูเหมือนว่าเขาไม่อาจหยุดความรับผิดชอบได้แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาจะเหนื่อยล้ามากแล้วก็ตาม

          เครื่องปั่นส่งเสียงดังอื้ออึง มือก็พลางตอกไข่ผสมลงไป ใบหน้าใจดีของหญิงวัยกลางคนผุดขึ้นมา เขาจึงไม่อาจหยุดมือได้ อีกทั้งลูกชายของหญิงคนนั้นที่เพิ่งกลับไปเมื่อครู่เต็มใจมาช่วยเขาโดยที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ ทำให้เต้ยยิ่งรู้สึกผิด

          ‘ยังไงคืนนี้ก็ต้องทำให้เสร็จ!’





          รถยนต์ขนาดกะทัดรัดกำลังถอยหลังเข้าจอดในซอง ชายหนุ่มภายในรถใส่เบรกมือ จากนั้นจึงปลดเข็มขัด เปิดประตูรถก้าวขายาวๆลงมา วันนี้แดดแรงเหมือนเคย เขาเดินเร็วๆเพื่อหนีจากความร้อนเข้าสู่เงาร่มของตัวอาคาร

          ชายหนุ่มเดินมุ่งหน้าไปทางบันไดเพื่อขึ้นสู่ชั้นสองของตึก สายตาพลันเหลือบไปเห็นร่างเล็กๆที่เขาหลงใหล นอนฟุบอยู่กับโต๊ะม้านั่ง แขนทั้งสองพาดไขว้กันอยู่บนโต๊ะเพื่อให้ศีรษะได้มีที่อิง สกายเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเรียวจ้องมองใบหน้าที่ดวงตาปิดสนิทซึ่งเผยให้เห็นชั้นตาที่แอบซ่อนอยู่ ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้พอรู้ได้ว่าคนตัวเล็กกำลังหลับสบาย เขาค่อยๆเอามือสัมผัสลงบนเส้นผมนุ่มอย่างเบามือก่อนจะเอ่ยเรียก

          “พี่เต้ย...”

          ขนตายาวสั่นระริก เปลือกตาเปิดปรือขึ้น ตากลมกลอกไปมา เต้ยค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าในท่านั่ง จากนั้นจึงหันหลังไปตามเสียง

          “สกาย...นี่กูเผลอหลับไปหรอเนี่ย...พอดีเลย”

          คนตัวเล็กขยี้ตาเล็กน้อย จากนั้นจึงหยิบถุงกระดาษใบโตขึ้นมายื่นให้คนตรงหน้า

          “อ่ะ...ขนมของแม่มึง กูทำเสร็จแล้วนะ”

          ดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ มือรับถุงใบนั้นไว้ เมื่อเปิดดูก็เห็นมัฟฟินบรรจุถุงสวยงามเรียงรายอยู่ข้างใน สกายจับจ้องไปที่ใบหน้า ดวงตากลมที่เคยสดใสของเต้ยนั้นยามนี้เจือสีแดงฉ่ำ ใต้ตาก็ดูคล้ำอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าดูอ่อนล้า

          “ทำไม...”

          ร่างสูงยังไม่ทันพูดจบเต้ยก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

          “คือ...กูรู้สึกไม่ดีว่ะ....รู้สึกเหมือนคนไม่มีความรับผิดชอบ...แม่มึงเค้าอุตส่าห์ตั้งใจอยากช่วยอุดหนุนกู มึงเองก็ช่วยกูทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แล้วจะให้กูผิดคำพูดกับคนที่มีน้ำใจกับกูขนาดนี้กูทนไม่ได้ว่ะ เหมือนเอาเปรียบคนอื่น กูรู้สึกแย่มากจริงๆ ...”

          เต้ยเป็นชายหนุ่มที่จริงจัง มีความรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขามักจะฝืนทำอะไรเกินตัวอยู่บ่อยครั้ง สกายมองเต้ยด้วยความเป็นห่วง มือเรียวพยายามจะเอื้อมไปสัมผัสคนตรงหน้าแต่เขาก็ชะงักมันเอาไว้

          “พี่อย่าฝืนตัวเองเกินไปนะครับ...ผมเป็นห่วง”

          คำว่า “เป็นห่วง” ทำเอาคนฟังนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาอ่อนล้ามองตอบดวงตาเรียวเล็กของคนตรงหน้าที่อ่านความรู้สึกได้ว่าสายตานั้นท่วมท้นไปด้วยความกังวลก่อนจะฝืนยิ้มขึ้น

          “ไม่ฝืนหรอกน่า...ถึงนอนน้อย แต่กูก็นอนนะเว้ย!”

          พูดจบร่างเล็กก็ยกแขนขึ้นดูนาฬิกา จากนั้นจึงรีบเอ่ยลา

          “เฮ้ย! จะเก้าโมงแล้วว่ะ กูรีบไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้าเรียนสาย”

          เต้ยโบกมือลาแล้ววิ่งพรวดพราดออกไป สกายยิ้มจางๆมองตามหลังไปในใจก็ได้แต่คิดเป็นห่วง เขารู้สึกอยากดูแลคนๆนี้ใจจะขาด แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะต้องเริ่มอย่างไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2019 09:44:32 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
 
EP4 : Red Velvet Valentine

          ‘พี่เต้ย แม่ผมจะสั่งบราวนี่ถั่วแดงอ่ะพี่ ส่งวันที่สิบสามนี้ได้มั้ยครับ’

          ‘สิบสามหรอ ไม่น่าทันนะ โทษที’

          ‘ให้ผมไปช่วยก็ได้นะพี่ ผมว่างตลอด’

          ‘กูก็อยากรับนะ แต่วันก่อนหน้านั้นกูต้องทำเค้กกิจกรรมของคณะว่ะ เลยรับไม่ได้จริงๆ’

          ‘ไม่เปนไรพี่ เดี๋ยวผมบอกแม่ตามนี้ละกัน’

          ร่างสูงเอนกายพิงหมอนนุ่มอยู่บนเตียงอย่างหงอยเหงา เขาได้แต่นั่งอ่านข้อความนี้ซ้ำไปซ้ำมาในโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่วันที่สกายไปช่วยเต้ยแพ็คขนม เขาก็ไม่ได้เจอหน้าใสๆ นั้นมาหลายวันแล้ว ชายหนุ่มเลื่อนนิ้วอย่างเบื่อหน่ายไปบนหน้าจอ ทุกอย่างที่ผ่านสายตาเขาไปไม่ได้มีสิ่งใดน่าสนใจ เหมือนเป็นเพียงกิจกรรมฆ่าเวลา

          ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคลี่ยิ้มออกมา คลิปวีดิโอสั้นๆ คลิปหนึ่งที่ “น้ำ” ลงในสตอรี่อินสตราแกรมของเขา ในคลิปปรากฏภาพของคนที่สกายกำลัง “คิดถึง” อยู่ เต้ยกำลังปาดครีมรอบตัวเค้กอย่างตั้งอกตั้งใจ ในคลิปมีข้อความตัวใหญ่เขียนว่า “คนขยันโลกไม่ลืม” สกายเห็นดังนั้นจึงพิมข้อความตอบลงไป

          ‘ทำไมไอ้พี่น้ำอู้ละครับ’

          เพียงแค่เสี้ยววินาทีเจ้าของสตอรี่ก็ตอบกลับมา

          ‘ทำไมล่ะครับไอ้น้องสกาย คุณมึงอยากช่วยหรอครับ’

          ‘ก็อยากอยู่นะ พวกพี่ทำอะไรอยู่ที่ไหนกันหรอ’

          ‘ทำขนมกิจกรรมของคณะอยู่ว่ะ พรุ่งนี้ต้องเอาไปส่ง อยู่ที่ห้องปฏิบัติการของคณะเนี่ย ตอนนี้จะเสร็จละ รับสมัครคนล้างจานอยู่นะน้อง’

          ‘ให้ไปได้จริงอ่ะ’

          ‘ก็มาดิคร้าบ’

          หลังจากอ่านข้อความล่าสุด สกายก็กระเด้งตัวออกจากที่นอน มือหนึ่งคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์แล้วพรวดพราดออกจากห้องไป เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดจนเกิดเสียงดัง หญิงสาวที่เอนกายดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟานุ่มถึงกับมองตาม

          “แกจะรีบไปไหนของแกวะสกาย?”

          “เข้ามหาลัยอ่ะพี่”



          ในห้องปฏิบัติการของคณะคหกรรมศาสตร์ ตอนนี้กลิ่นอบอวลหอมหวานของขนมตีกันให้ยุ่ง ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว คนหนุ่มสาวภายในห้องทยอยเก็บข้าวของแล้วเดินออกจากห้องไป

          “น้ำ เต้ย เดี๋ยวพวกเรากลับก่อนนะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้เราอยู่ช่วย?”

          ใบปอเอ่ยขึ้น ตอนนี้เธอและกลุ่มเพื่อนๆที่เหลือพร้อมจะกลับกันแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนที่ถูกเอ่ยถึงยังคงทำหน้าที่ของตนไม่เสร็จ

          “ไม่เป็นไร พวกเราก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ใบปอกลับเถอะค่ำแล้ว เหมือนฝนกำลังจะตกด้วย”

          เต้ยเอ่ยบอกหญิงสาวด้วยท่าทางสบายๆ หากมองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นต้นไม้ไหวเพราะแรงลม เสียงฟ้าร้องครืนสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ไม่น่าแปลกใจหากจะมีฝนหลงฤดู

          “งั้นเราไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจ็ดโมงเจอกัน”

          หญิงสาวโบกมือลาก จากนั้นนักศึกษากลุ่มสุดท้ายได้เดินออกจากห้องปฏิบัติการไป เหลือเพียงชายหนุ่มสองคน เค้กขนาดสองปอนด์สองชิ้นวางอยู่บนโต๊ะ ชิ้นแรกน้ำกำลังโรยช็อคโกแลตขูดสีขาวเพื่อตกแต่งให้สวยงาม ส่วนอีกชิ้นเต้ยกำลังทำการปาดครีมชีสฟรอสติ้งลงไป

          “เอ่อ...ไอ้เต้ย กูขอกลับก่อนได้มั้ยวะ?”

          น้ำเอ่ยขึ้นน้ำเสียงอึกอัก ดูรีบร้อนกระวนกระวายพิกล

          “กลับเหี้ยอะไรของมึง! เค้กยังไม่เสร็จเลย ยังไม่ได้ตัดแบ่งแพ็คลงกล่องด้วย แผ่นช็อคโกแลตรูปหัวใจก็ยังไม่ได้ติด แล้วไหนจะของที่ยังไม่ได้เก็บล้างอีก!”

          “โอ๊ย! เพื่อนเต้ย...อีกแค่นิดหน่อยเอง คนเทพๆอย่างมึงทำคนเดียวได้กูรู้! ขอกูกลับก่อนเถอะนะ...ฝนจะตกแล้วเนี่ย ทุ่มนึงแล้ว กูต้องไปรับแฟนที่คณะอ่ะมึง นะๆ...”

          “เทพเหี้ยอะไร! ทำไมมึงชอบเอาเปรียบกูจังวะ คะแนนมึงก็ได้เหมือนกันป่าววะ!”

          “กูขอโทษ...แต่กูไม่ได้อยากเอาเปรียบมึงหรอก...น้า...”

          ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ประตูของห้องปฏิบัติการก็เปิดออก ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เขายกมือไหว้ทักทายคนทั้งสอง คนตัวเล็กยืนมองแล้วนิ่งไป ส่วนคนหล่อคมหน้าตาเบิกบานด้วยความยินดี

          “นี่ไงมึงตัวแทนกูมาแล้ว! สกายเดี๋ยวมึงอยู่ช่วยเพื่อนเต้ยหน่อยนะ มันสั่งให้ทำอะไรมึงก็ทำไปเลยนะ กูรีบไปก่อน!”

          พูดจบน้ำก็โกยกระเป๋าสัมภาระของตนแล้ววิ่งพรวดพราดออกไป พลางตะโกนไล่หลังมา

          “ขอบใจนะไอ้สกาย!”

          “ไอ้สัสน้ำ!”

          เต้ยสบถหัวเสีย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงสบตามมองคนตรงหน้า

          “กูขอโทษแทนไอ้น้ำมันด้วยนะเว้ย แต่มึงไม่ต้องอยู่ช่วยกูหรอกกูทำคนเดียวได้...”

          “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเต็มใจ ผมอยากช่วย มีอะไรสั่งมาได้เลยครับ”

          “เอางั้นหรอวะ...อืม...เอางี้...มึงหิวป่ะ? เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าว”

          สกายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาพยักหน้ารับเร็วๆ

          “มึงเห็นเค้กก้อนที่มันโรยช็อกโกแลตขูดไว้แล้วป่ะ มึงเอาไปแช่ตู้เย็นให้กูหน่อย เดี๋ยวกูขอโรยแต่งก้อนนี้อีกก้อนก่อนแล้วไปกินข้าวกัน มันต้องแช่เย็นทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงให้เค้กเซ็ทตัว กินเสร็จค่อยมาทำส่วนที่เหลือต่อ”

          ร่างสูงบรรจงยกเค้กที่ตกแต่งไว้สวยงามขึ้นมาอย่างเบามือ เขาก้าวขายาวๆตรงไปทางตู้เย็น

          “แปะ!” เสียงของบางสิ่งตกกระทบลงบนแขน สิ่งนั้นกลืนไปกับสีผิวของเขา เท้าหนึบเล็กๆของสิ่งนั้นเกาะแน่นบนแขนขาวพลางเคลื่อนไหวขยุกขยิก ตาเรียวเหลือบมองพลันเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ สกายตะโกนร้องเสียงหลง

          “เหวอ!!!!”

          แขนของชายหนุ่มขนลุกซู่ มือไม้อ่อน สะบัดปัดป้องให้สิ่งที่เกาะแน่นอยู่ออกไป ปากก็พลางโวยวายไม่หยุด เต้ยได้ยินเสียงร้องจึงตกใจรีบเดินมาดู

          “สกาย! มึงเป็นอะไร?”

          “พี่เต้ย! จิ้งจก....จิ้งจกมันเกาะแขนผม!”

          “เชี่ย! ชิบหายแล้ว!”

          สิ่งที่ทำให้เต้ยสบถเสียงดังไม่ใช่จิ้งจก หากแต่เป็นภาพตรงหน้า เค้กก้อนสีขาวสวยงามที่ถูกตกแต่งเมื่อครู่ ตอนนี้ลงไปนอนแน่นิ่งเละเทะกระจัดกระจายจนเผยให้เห็นเนื้อสีแดงน่ากินอยู่บนพื้น เมื่อสกายกำจัดสิ่งน่ากลัวออกจากตัวสำเร็จ สติที่กลับมาทำให้เห็นว่าเบื้องหน้าเกิดอะไรขึ้น

          “พี่เต้ย! ผมขอโทษ! ผมไม่ได้ตั้งใจ”

          “ไอ้เหี้ยน้ำ! เพราะมึงคนเดียว! ความผิดมึงเลย!”

          เต้ยควักโทรศัพท์ขึ้นมา รีบกดโทรหาเพื่อนชั่วโดยไว ทว่าปลายสายมีเพียงเสียงหญิงสาวตอบกลับมา

          [ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...]

          “ไอ้เหี้ย! มึงจงใจปิดโทรศัพท์แน่ๆ”

          เต้ยเกรี้ยวกราด สกายได้แต่หน้าเสียยืนสำนึกผิด เต้ยไม่รอช้ารีบพุ่งตัวไปหยิบส่วนผสมเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกรอบแต่ก็ต้องพบว่า

          “ครีมชีสไม่พอ!”

          วันนี้ราวกับเป็นวันอภิมหาซวยของเต้ย เขามองหน้าคนสำนึกผิดที่อยู่ตรงหน้า ตาเรียวหลบสายตากลมของร่างเล็ก ปากอิ่มๆ แดงๆ นั้นเม้มด้วยความวิตกกังวล เต้ยไม่อาจโทษคนตรงหน้าได้ ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ หากเขาจะโกรธใคร คนๆ นั้นก็ต้องเป็น “ไอ้น้ำ” เพื่อนชั่วของเขาคนเดียว

          เต้ยกวาดตามองไปรอบๆสำรวจวัตถุดิบที่ยังคงเหลือเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรขาดอีก จากนั้นจึงเอ่ยปากขอร้อง

          “สกาย...กูรบกวนหน่อย...ไปซื้อครีมชีสกัน”



          เวลาล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม ชายหนุ่มสองคนเร่งแข่งกับเวลา แต่ขณะนี้กลับขยับไปไหนไม่ได้ เนื่องจากรถที่ติดแน่นขนัดบนท้องถนน อีกทั้งสายฝนที่ตกลงมากระหน่ำซ้ำเติมอย่างไม่ลืมหูลืมตา โชคยังดีที่จุดหมายปลายทางที่พวกเขามุ่งไปไม่ไกลนักแต่ก็กินเวลาเนื่องจากการจราจรอันวุ่นวาย

          เต้ยนั่งเงียบมาตลอดทาง คนนั่งข้างพอจะเดาออกว่ารุ่นพี่ของเขากำลังอารมณ์ไม่ดีจึงไม่กล้าชวนคุย ในยามปกติรถแน่นขนัดบนถนนมักจะทำให้คนขับรู้สึกหงุดหงิดในใจแต่ไม่ใช่วันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น สกายก็ยังรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่กับคนหน้าใสที่กำลังบูดบึ้งอยู่ดี

          ชายหนุ่มขับรถเรื่อยมาจนถึงจุดหมาย ในเวลานี้แม้แต่ห้างก็ยังไม่เป็นใจให้เขา เมื่อมองไปในลานจอดรถมีแต่ความเบียดเสียด สกายต้องวนรถอยู่นานกว่าจะหาที่จอดได้ เมื่อรถจอดสนิทเต้ยก็รีบเปิดประตูออกกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในตัวห้าง ร่างสูงสาวเท้ายาวๆ รีบตามไป

          “เดี๋ยวกูจะไปซื้อครีมชีสก่อน ถ้ามึงหิวมึงก็ซื้ออะไรเล็กๆน้อยๆมากินซะ อ่ะ...”

          เต้ยพูดพลางยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้สกาย มือเรียวรับไว้อย่างงงๆจากนั้นทั้งสองจึงเดินแยกย้ายกันออกไป



          เพียงชั่วอึดใจทั้งคู่ก็กลับมาอยู่บนรถตามเดิม ฝนที่ตกกระหน่ำลงมาเมื่อก่อนหน้านี้ บัดนี้ได้ซาลงมากแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงคราบน้ำเจิ่งเฉอะแฉะ รถที่แน่นขนัดเบียดเสียดก็บางเบาลง ถนนที่แออัดโล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          สกายขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก เนื่องจากถนนที่เปียกลื่นทำให้เขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันคนที่นั่งข้างกำลังรื้อค้นของกินที่อยู่ในถุงพลาสติกหลากหลายใบ เต้ยใช้ไม้ปลายทู่จิ้มขนมจีบนุ่มอุ่นขึ้นมายัดใส่ปากเคี้ยวอย่างไม่รอช้า

          “มึงหิวป่ะสกาย?”

          เต้ยพูดไปปากก็ยังเคี้ยวไม่หยุด ร่างเล็กเหลือบมองเสี้ยวหน้าขาวที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า

          “นิดนึงครับพี่ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมขับรถก่อน...”

          เต้ยได้ฟังดังนั้นจึงใช้ไม้จิ้มขนมจีบขึ้นมาอีกชิ้นพลางยื่นไปจ่อตรงปากคนข้างๆ สกายย่นคอพลางเหลือบมองมาทางเต้ยเล็กน้อย

          “มองกูทำไม? ขับรถอยู่ก็มองไปข้างหน้าดิ! แล้วก็อ้าปากด้วย!”

          สกายงับขนมจีบเข้าปาก สายตาเรียวมองตรงกลับไปยังถนนเบื้องหน้า แต่หัวใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เต้ยยังส่งขนมจีบเข้าปากตัวเองสลับกับป้อนคนข้างๆ ไม่หยุดมือ เมื่อขนมจีบหมดก็ย้ายไปกินไส้กรอกร้อนๆแทน เมื่อรู้สึกอิ่มพออยู่ท้อง คนตัวเล็กก็บิดเปิดขวดน้ำพลางเสียบหลอดลงไป เขาดื่มพอแก้กระหายจากนั้นจึงยื่นหลอดไปที่ริมฝีปากอิ่มๆของสกายอีกครั้ง

          “กินน้ำป่ะ?”

          ริมฝีปากแดงจรดลงไปบนหลอดที่มีรอยน้ำ เต้ยเผลอมองไปที่ริมฝีปากชื้นนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างเล็กละสายตาออกมาพลางมองตรงไปเบื้องหน้า

          “ขอบคุณครับ”

          “อะ...อืม”

          นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เต้ยรู้สึกว่าริมฝีปากของผู้ชายน่ามอง อาจเป็นเพราะสกายมีริมฝีปากอิ่มเจือสีแดงจางๆก็เป็นได้ เต้ยพยายามไล่ความคิดนี้ออกจากหัว เขากลับไปตั้งอกตั้งใจกินข้าวเหนียวหมูทอดที่อยู่ในมือแทน



          รถยนต์ได้แล่นกลับเข้ามาจอดบริเวณคณะคหกรรมศาสตร์อีกครั้ง ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว เต้ยก้าวลงจากรถพลางแบกข้าวของลงมา ประตูฝั่งคนขับเปิดตาม

          “ขอบใจนะเว้ยสกาย ที่ขับรถพากูไปซื้อของ”

          “ไม่เป็นไรครับพี่ผมเต็มใจ”

          “แต่มึงกลับไปก่อนก็ได้นะเว้ย! สี่ทุ่มแล้ว เดี๋ยวที่เหลือกูจัดการเอง แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

          “ให้ผมอยู่ช่วยเถอะนะครับ ถึงจะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่ผมก็อยากช่วย ที่พี่ยังไม่ได้กลับบ้านก็เพราะผม ผมเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน...”

          “พูดอะไรอย่างนั้นวะ กูไม่โทษมึงหรอก...”

          สกายยืนคอตกด้วยความรู้สึกผิดระคนผิดหวัง เต้ยเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น

          “อ่ะ...ตามใจแล้วกัน อยากช่วยก็ช่วย”

          เต้ยยิ้มเล็กน้อย สกายได้ฟังดังนั้นจึงยิ้มสดชื่นขึ้นตาเรียวหยีลงเป็นสระอิ

          “ผมสัญญาเลย คราวนี้ผมจะระวัง ไม่ให้มีอะไรบุบสลายแน่นอน!”



          เต้ยบรรจง ใส่ครีมชีส เนยจืด น้ำตาลทราย และกลิ่นวนิลาลงในถ้วยผสม มือหนึ่งปาดเช็ดใบหน้าเนื่องจากระคายผิว เขาจุ่มเครื่องตีมือถือลงในถ้วยผสม จากนั้นจึงเปิดเครื่องจนเสียงอื้ออึงดังไปทั่วทั้งห้อง สกายที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนัก กำลังนำเค้กสีแดงสวยกลิ่นเย้ายวนออกจากเตาอบ เขานำเค้กในพิมพ์มาวางพักไว้ใกล้คนตัวเล็ก ดวงตาเรียวพลันสังเกตเห็นแก้มใสของคนข้างๆมีคราบเปื้อนสีขาวจึงเอ่ยทัก

          “พี่เต้ย หน้าพี่เลอะอ่ะ”

          “เลอะอะไรวะ? ตรงไหนอ่ะ?”

          “น่าจะเลอะครีมน่ะพี่ ตรงแก้มด้านซ้าย”

          เต้ยหยุดมือที่กำลังง่วนกับการตีส่วนผสมพลางยกขึ้นปาดบนใบหน้าหวังจะให้คราบนั้นหลุดออก ทว่ามันกลับเลอะเทอะหนักกว่าเดิม

          “เลอะกว่าเดิมอีกพี่!”

          พูดจบสกายค่อยๆถอดถุงมือกันความร้อนออก มือเรียวยาวเลื่อนเข้าหาใบหน้าคนข้างๆ เต้ยหันไปสบตาร่างสูง เขาขยับใบหน้าหนีมือนั้นเล็กน้อยก่อนจะบังเอิญเห็นเงาของตนสะท้อนอยู่ในถ้วยผสมอลูมิเนียมจากนั้นจึงคว้าทิชชู่มาแบบไวๆพลางทำความสะอาดใบหน้าของตนจนหมดจด และไม่รอช้าที่จะกลับไปจดจ่อกับการตีครีมต่อให้เสร็จ

          สกายเห็นดังนั้นจึงหยุดมือลง มือทั้งสองท้าวลงบนโต๊ะ เขาเบือนหน้าออกจากร่างเล็กน้อยๆพลางอมยิ้มขึ้น ในใจก็นึกเสียดายที่ไม่ได้สัมผัสแก้มใสๆ นั่น

          “เรียบร้อย...ครีมชีสฟรอสติ้งเสร็จละ กี่โมงแล้ววะเนี่ย?”

          “เที่ยงคืนกว่าแล้วพี่”

          สกายเอ่ยขึ้นหลังจากหันมองนาฬิกา เต้ยเดินไปล้างมือจากนั้นกลับลงมานั่งลงที่โต๊ะ

          “เที่ยงคืนแล้วหรอวะ ต้องรออีกนานเลยกว่าชีสเค้กจะเซ็ทตัว กูของีบก่อนแล้วกัน”

          พูดจบเต้ยก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตั้งนาฬิกาปลุก จากนั้นเขาก็ทิ้งศีรษะพร้อมผมนุ่มๆนั้นลงบนโต๊ะ ดวงตากลมปิดลง แต่ปากก็ยังคงพูดอยู่

          “สกาย...ถ้าตอนนี้มึงอยากจะกลับบ้านก็กลับไปได้เลยนะเว้ย...กูอยู่คนเดียวได้...”

          สกายทิ้งตัวลงนั่งข้างๆคนที่เพิ่งเงียบเสียง ขณะนี้ร่างเล็กๆนั้นหายใจแผ่วเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

          ‘ทำไมถึงหลับง่ายขนาดนี้?’

          ดูท่าวันนี้เต้ยคงจะเหนื่อยมาทั้งวัน สกายวางศีรษะลงบนโต๊ะพลางหันไปจ้องมองใบหน้าใสที่ตอนนี้ดวงตาปิดสนิท คิ้วเรียวที่ประดับอยู่เหนือดวงตาคู่นั้นดูผ่อนคลาย จมูกโด่งเป็นสันดูเหมาะเจาะกับใบหน้า ริมฝีปากบางแลดูอ่อนนุ่มคว่ำลงเล็กน้อยยามไม่เคลื่อนไหว

          ‘เราหลงรักเจ้าของใบหน้านี้เข้าจริงๆแล้วหรอวะ?’

          และเขาก็ต้องตอบตัวเองว่า “ใช่” ดวงตาเรียวไม่อาจละออกไปจากใบหน้านี้ได้ ความรู้สึกหลงใหลมันเต็มตื้นอยู่ในอก เมื่อรู้ตัวว่ารักแล้ว ความรู้สึกอยากครอบครองก็ตามมา แต่ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่ห้ามใจตนเอง

          ‘นี่เราหลงรักผู้ชายเข้าแล้วเนี่ยนะ...แล้วต้องทำยังไงต่อดีวะ?’

          ทุกอย่างดูเป็นเรื่องยากขึ้นมาสำหรับเขา หากคนเบื้องหน้าเป็นผู้หญิง เขาคงรุกจีบไปแล้ว แต่เมื่อเป็นผู้ชายเขากลับไม่รู้จะเริ่มยังต้นยังไง ความกังวลเริ่มกัดกินหัวใจของสกาย ตอนนี้สมองกับหัวใจแข่งกันทำงานจนร่างสูงเหนื่อยล้าไปหมด ดวงตาเรียวค่อยๆปิดลง ตอนนี้ปล่อยให้ค่ำคืนนี้ดำเนินไปในแบบที่มันควรเป็นคงจะดีที่สุดแล้ว



          “สกาย...สกาย...”

          ร่างสูงคลอนน้อยๆเนื่องจากถูกเขย่าปลุก ดวงตารีเปิดขึ้นช้าๆ ภาพแรกที่เห็นตรงหน้าคือดวงตากลมจ้องมองมาที่ใบหน้าของเขา สกายค่อยๆดันตัวขึ้นนั่งหลังตรง มือข้างหนึ่งเค้นคลึงบริเวณต้นคอเพื่อคลายความเมื่อยล้า สายตาเรียวที่ยังงัวเงียอยู่มองกวาดไปรอบห้อง เห็นชายคนหนึ่งกำลังตัดแบ่งเค้กออกเป็นชิ้นๆ ใบหน้านั้นที่เขาจำได้ “น้ำ” รุ่นพี่เจ้าปัญหาของเขา และอีกหนึ่งหญิงสาวที่เขาไม่รู้จัก กำลังตกแต่งแผ่นช็อคโกแล็ตรูปหัวใจลงบนหน้าเค้ก

          “เต้ยมึงกลับไปนอนเหอะ เดี๋ยวที่เหลือกูกับใบปอจัดการเอง...กูขอโทษนะมึง กูไม่ได้รู้เรื่องเหี้ยอะไรเลย ทิ้งภาระไว้ให้มึงกับไอ้สกายมันเนี่ย...”

          “เออ...ช่างเหอะ มึงทำให้เสร็จเรียบร้อยก็พอ ยังไงมึงก็ต้องไปส่งขนมแทนกูอยู่ละ เอาเป็นว่าเจ๊ากัน”

          “ขอบใจนะเว้ยสกาย ที่มึงอยู่ช่วยไอ้เต้ยมันน่ะ”

          น้ำหันมาพูดกับคนงัวเงียที่ยังงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ เขาเหลือบตามองนาฬิกา ตอนนี้ใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาหลับไปนานขนาดนี้ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนาฬิกาปลุก

          ‘แปลว่าเมื่อคืน...พี่เต้ยก็ทำอยู่คนเดียวเลยน่ะสิ!’

          ความคิดนี้ไล่ความง่วงของเขาออกไป สกายหันไปมองเต้ยที่ตอนนี้กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับ

          “พี่เต้ยผมขอโทษ ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย มัวแต่นอน...พี่น่าจะปลุกผมขึ้นมาช่วย”

          “ไม่เป็นไร กูเกรงใจมึง เห็นกำลังหลับสบายเลยปล่อยให้นอนไป ไม่ต้องคิดมากหรอก”

          เต้ยเดินมาทางร่างสูง เขาตบไหล่กว้างเบาๆพลางพูดขึ้น

          “ป่ะ! กลับกันเถอะ เดี๋ยวที่เหลือน้ำกับใบปอเค้าช่วยจัดการให้”

          สกายยันตัวลุกขึ้น มือหนึ่งคว้าข้าวของจากนั้นจึงยกมือไหว้ลารุ่นพี่อีกสองคน น้ำพยักหน้ารับเบาๆจากนั้นจึงหันไปตัดแบ่งขนมต่อ หญิงสาวหันมาโบกมือลาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

          “พักผ่อนกันเยอะๆนะจ๊ะ บ๊ายบาย”

          สิ้นเสียงใสๆของหญิงสาว เต้ยหันหลังกลับไปยิ้มพยักหน้าให้คนทั้งสองก่อนจะเดินนำคนงัวเงียออกจากห้อง นิ้วมือเรียวขยี้ตาเล็กน้อย คนที่เดินนำอยู่หันหลังมาเอ่ยถาม

          “มึงหิวมั้ยสกาย?”

          “นิดหน่อยครับ...”

          “งั้นก่อนกลับไปกินข้าวกัน ร้านโจ๊กหน้ามอยังไม่ปิด เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

          เต้ยรีบเดินนำไป สกายรีบก้าวตามมาติดๆ ใบหน้าเหนื่อยง่วงเมื่อครู่กลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง



          “ของผมเอา โจ๊กหมูสับไข่เค็มไม่ใส่เครื่องใน สกายมึงเอาไร”

          “เอาเหมือนกันครับพี่”

          เวลานี้ร้านโจ๊กมีลูกค้าแน่นขนัดไม่น้อย ชายหนุ่มสองคนนั่งลงบนโต๊ะที่ยื่นออกมาบนทางเท้า ฝนที่ตกกระหน่ำลงมาเมื่อคืนวานทำให้วันนี้อากาศดีเย็นสบาย เต้ยหลับตาลง จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าเต็มปอด จมูกสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ลอยอยู่ในอากาศ ความเหนื่อยล้าที่ตกค้างอยู่ในร่างกายได้ถูกชำระล้างออกไปบ้าง

          “วันนี้อากาศแม่งโคตรดีเลย เสียดายที่ต้องกลับไปนอน ไม่ไหวละ ตาจะปิด”

          สกายยิ้มขึ้นเล็กน้อย สายตาไม่ละไปจากใบหน้าสดใสนั่น ขณะเดียวกันป้าเจ้าของร้านก็ยกชามโจ๊กร้อนๆมาวางลงตรงหน้าทั้งคู่

          “แล้ววันนี้มึงมีเรียนมั้ยวะสกาย?”     

          “มีพี่...แต่คงโดดอ่ะ ผมง่วง...เดี๋ยวให้ซันมันเช็คชื่อให้”

          เต้ยจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังคนโจ๊กในชามให้คลายความร้อน คิ้วเรียวขมวดขึ้น ริมฝีปากบางง้ำลงเล็กน้อย

          “กูขอโทษนะมึง เพราะกูมึงเลยต้องขาดเรียนเนี่ย...”

          “พี่ขอโทษผมทำไม? เรื่องเมื่อคืนผมก็ผิดเหมือนกัน”

          “ก็...ที่มันเกิดเรื่องแบบนั้นก็เพราะมึงหวังดีกับกูนี่หว่า...เออ...กูไม่ผิด...มึงก็ไม่ผิด แต่ไอ้น้ำผิด กูรู้แค่นี้แหละ!”

          พูดจบ ร่างสูงก็หัวเราะออกมาน้อยๆ เต้ยเห็นแบบนั้นก็หลุดขำตาม สกายเป่าโจ๊กร้อนๆในช้อนให้เย็นลงก่อนตักเข้าปาก ส่วนร่างเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังคว้าถุงพลาสสติกใสซึ่งภายในบรรจุเค้กขึ้นมายื่นให้คนเบื้องหน้า

          “อ่ะ! เรดเวลเวทชีสเค้กที่พวกเราทำด้วยกันเมื่อคืน กูแอบเอามาให้มึงชิ้นนึง”

          สกายวางช้อนลง มือยื่นไปรับถุงใบย่อมนั้น ภายในมีกล่องใสบรรจุเค้กสีขาวสลับชั้นด้วยสีแดงสด หน้าถูกตกแต่งด้วยช็อคโกแลตแผ่นรูปหัวใจ “วาเลนไทน์เค้ก” ชิ้นนี้ทำเอาคนรับทำหน้าไม่ถูก เขารู้ว่าผู้ให้ไม่ได้มีเจตนาจะให้เขาในโอกาสพิเศษอะไร แต่จะผิดมั้ยที่เขาจะเพ้อเจ้อเอาเองว่ามันใช่

          สกายอมยิ้มพลางจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า เขามีความสุขมากจริงๆไม่ว่าคนๆนี้จะทำอะไรให้กับเขา

          สายลมเย็นเหมือนเป็นใจสร้างบรรยากาศชื่นหัวใจ ผมนุ่มเจือสีน้ำตาลของคนเบื้องหน้าปลิวน้อยๆ ฃรับแรงลม ริมฝีปากบางประดับด้วยรอยยิ้มสวยงาม เป็นภาพที่น่ามองสำหรับสกายเหลือเกิน เต้ยที่กำลังตักโจ๊กร้อนๆขึ้นเห็นคนตัวสูงนิ่งไปจึงเอ่ยพูด

          “ยิ้มอะไรของมึงอยู่ได้! รีบกินเถอะ จะได้กลับไปนอน....”

          สกายได้ยินดังนั้นจึงตักโจ๊กขึ้นใส่ปากต่อ แต่สายตาก็ยังไม่ละไปไหน เขารู้สึกอยากจะเก็บช่วงเวลานี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช่วงเวลาที่มีค่าทำให้เขาสุขใจได้แม้ว่าจะนั่งอยู่ที่ร้านโจ๊กริมทางแสนจอแจก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2019 17:23:11 โดย Timid Lily »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ปล.ร่างสูงร่างเล็กเยอะไปเน่อ  :ling1: :katai1:

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
+1 o13 :katai2-1: ปล.ร่างสูงร่างเล็กเยอะไปเน่อ  :ling1: :katai1:

ขอบคุณที่แนะนำนะคะ เราจะเอาไปปรับปรุงค่า ><  :pig4:

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP5 : The Bitter Kisses

     ที่อาคารโอ่โถงคลาคล่ำไปด้วยคนหลากเชื้อชาติหลายภาษา เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังลากกระเป๋าสัมภาระใบย่อม โดยมีหญิงและชายวัยกลางคนเดินขนาบอยู่ข้างกาย หญิงผู้นั้นดวงตาชื้นน้ำแดงก่ำ พลางกำผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีอยู่ในมือ ส่วนชายที่เดินเคียงข้างเอามือโอบไหล่ของเธอเพื่อเป็นการปลอบโยน

     “ภีม...ไปอยู่ทางนู้นดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะลูก มีอะไรก็ติดต่อกลับหาแม่ได้ทันทีเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

     เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางใช้มือเรียวสวยลูบศีรษะของคนเป็นลูกอย่างอ่อนโยน น้ำตาเอ่อขึ้นอีกครั้ง

     “ตั้งใจเรียนนะภีม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ลูกอยากทำอะไรก็ทำไปเลย โอกาสดีๆรออยู่ตรงหน้าแล้ว แล้วก็กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างล่ะ”

     ชายผู้เป็น “พ่อ” ยื่นแขนแกร่งมาโอบไหล่เล็กๆของเด็กหนุ่มพลางเขย่าเบาๆ ภีมโผเข้ากอดพ่อกับแม่ก่อนจะเอ่ยลา

     “พ่อกับแม่ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าหักโหมทำแต่งาน ผมเป็นห่วงนะรู้มั้ย?”

     “ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก พ่อกับแม่มีคนช่วยดูแลเยอะแยะแล้ว”

     ดูท่าว่า “คนเยอะแยะ” ที่พ่อของเขาเอ่ยถึงคงจะหมายถึงพนักงานมากมายที่คอยช่วยทำงานล้อมหน้าล้อมหลัง เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองผู้คนที่เริ่มหนาแน่นบริเวณจุดตรวจคนเข้าเมือง

     “พ่อครับ แม่ครับ เดี๋ยวผมต้องเข้าไปข้างในแล้ว เดี๋ยวติด ต.ม. ยาว”

     เด็กหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นพนมไหว้ลาพ่อแม่ เขาเดินตามป้ายที่เขียนว่า “ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ” ไป

     “โชคดีนะลูก เดินทางปลอดภัย”

     เสียงของผู้เป็นแม่ไล่ตามหลังมา ภีมหันหลังกลับไปโบกมือน้อยๆให้พ่อกับแม่ พร้อมคลี่ยิ้มเบาๆ

     “ไอ้ภีม!”

     เสียงๆหนึ่งที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยร้องเรียกขึ้นจากที่ไกลๆ “เต้ย” เจ้าของใบหน้าที่คิดถึงและโหยหาจ้องมาทางเขา เด็กหนุ่มเจ้าของเสียงเรียกหายใจกระหืดกระหอบตัวโยน ดวงตากลมจ้องมองเขม็งมาทางภีม ก่อนจะเริ่มเบียดแทรกตัวขึ้นมา

     ภีมเห็นดังนั้นจึงรีบหลบสายตาเบือนหน้าหนี ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าขมขื่น เขารีบก้าวเท้าเร็วๆ ไปทางเจ้าหน้าที่ พลางยื่นบัตรโดยสารให้ตรวจสอบ จากนั้นจึงเบียดตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

     “ไอ้ภีม! มึงจะไปวันนี้ทำไมมึงถึงไม่บอกกูวะ? มึงออกมาคุยกะกูก่อนดิ!”

     คนโดนเรียกทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาก้าวเดินไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง

     “ไอ้ภีม! มึงอย่าทำอย่างงี้ดิวะ!”

     เต้ยตะโกนไล่หลังไป เมื่อเห็นว่าคนเบื้องหน้าไม่สนใจ เขาจึงได้แต่ถอนใจด้วยความไม่สบอารมณ์ พลางคว้าโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก

     โทรศัพท์มือถือของภีมสั่นอื้ออึง แต่ภีมไม่สนใจที่จะรับสายขึ้นมาด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่หยิบมันขึ้นมาดูและถือเอาไว้อย่างนั้น

     แผ่นหลังเล็กๆ ของเด็กหนุ่มกำลังถูกกลืนหายไปด้วยฝูงชน คนตัวเล็กที่อยู่ด้านนอกได้แต่ยืนมองตาม เขาตัดสินใจส่งข้อความไปแทน

     ‘ไอ้ภีมมึงเป็นอะไรของมึงวะ ทำไมมึงถึงไม่ยอมบอกกูว่ามึงจะเดินทางวันนี้’

     ภีมมองข้อความในหน้าจอโทรศัพท์ เขานิ่งคิดเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะตอบกลับไป

     ‘กูไม่บอกมึงหรอก เดี๋ยวมึงร้องไห้ กูรู้ว่ามึงขี้แง’

     ‘ขี้แงเหี้ยอะไรของมึง ถึงกูจะร้องไห้หรือจะเป็นส้นตีนอะไรมันก็เรื่องของกู กูอยากมาส่งมึง’

     ‘กูก็แค่ไม่อยากให้มึงเศร้า กูเป็นห่วง’

     ‘ใครกันแน่ที่เศร้ามึงเอาดีๆ มึงมากกว่าที่ขี้แงไอ้ภีม’

     ภีมมองตัวหนังสือในหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา เขาอมยิ้มเล็กๆ ให้กับสิ่งที่เพื่อนรักของเขาพิมพ์ส่งมา ทว่าดวงตาคมสวยตอนนี้กลับร้อนผ่าว

     ‘เอาเป็นว่ากูขอโทษแล้วกันที่กูไม่บอก’

     ‘เออ ทำไงได้วะ ก็มึงเล่นหนีกูเข้าไปข้างในแล้วนี่หว่า ไม่เปิดโอกาสให้กูได้บอกลาเลย’

     ‘ไม่เป็นไรหรอก ถึงมึงจะไม่ได้มาลากูต่อหน้าแต่กูก้อสัมผัสได้ ฮ่าๆๆ’

     ‘ปัญญาอ่อนละไอ้สัส โชคดีแล้วกัน เดินทางปลอดภัย โทรหากูมั่งนะมึง’

     ‘ไม่ต้องห่วง มึงเป็นเพื่อนรักกูนะเว้ย กูรักมึงนะไอ้เต้ย’

     มือเรียวสวยหยุดพิมพ์ลง ดวงตาคมที่ร้อนผ่าวเมื่อครู่ มีหยดน้ำใสๆไหลลงอาบแก้ม ไหล่เล็กสั่นเบาๆสะอื้นร้องไห้อย่างเงียบเชียบ...เดียวดาย...



     ‘กูรักมึงนะไอ้เต้ย!’



     เปลือกตาที่ปิดอยู่ขยับสั่นเบาๆพลางปรือเปิดขึ้นช้าๆ เบื้องหน้าคือเพดานสูงมืดสนิท ชายหนุ่มกระพริบตาสองสามทีเรียกสติกลับจากภวังค์

     ‘ฝันถึงวันนั้นอีกแล้วหรอ...’

     ร่างบางตะแคงตัวเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียง ในจอบอกเวลาตีสี่ยี่สิบนาที อีกทั้งยังมีข้อความที่ถูกส่งทิ้งไว้

     ‘ภีม รุ่นน้องที่กูเล่าให้ฟังว่าได้ทุนนักกีฬามาเรียนที่เดียวกับมึงเค้าจะมาถึงพรุ่งนี้แล้วนะเว้ย กูฝากดูแลด้วยนะ’

     เมื่อภีมอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือจบ เขาจัดแจงพิมพ์ข้อความตอบกลับไปสองสามคำ จากนั้นจึงปิดหน้าจอ แล้วทิ้งตัวลงนอนต่อ เขาปิดตาลงอีกครั้งแต่สตินั้นกลับตื่นอยู่เต็มที่ กลายเป็นเรื่องยากของชายหนุ่มที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา



     ฤดูกาลผันผ่าน จากหิมะขาวโพลนละลายหายแปรเปลี่ยนเป็นยอดไม้แตกใบสีเขียวสดชื่น ดอกไม้ที่หลับใหลเริ่มออกดอกตูมรอรับแดดอุ่นเพื่อแย้มบาน อากาศที่อบอุ่นขึ้นทำให้บรรยากาศโดยรอบมีชีวิตชีวา ผู้คนออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกันอย่างคึกคัก

     ชายหนุ่มรูปร่างสูงพอประมาณ ผิวพรรณกระจ่างใส ก้าวเดินรับสายลมและแดดอุ่น ใบหน้าสวยดูมีชีวิตชีวา ริมฝีปากหยักเป็นกระจับยิ้มทักทายผู้คนที่เดินผ่านไปมา ดวงตาสวยคมแฝงไปด้วยความลึกลับน่าค้นหามองตรงไปยังอาคารสูงหลายชั้นตั้งตระหง่านเบื้องหน้า เขารีบก้าวขาเข้าไปด้านในอย่างรีบเร่ง

     “ภีม” อาศัยอยู่ที่อินเตอร์เนชั่นแนลเฮ้าส์แห่งนี้ ที่นี่เป็นที่พักอาศัยที่รวมนักเรียนหลากหลายเชื้อชาติภาษา ส่วนพักอาศัยของชายหญิงถูกแบ่งไว้ชัดเจนแต่ก็ยังไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระ เขากดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบน จากนั้นจึงเดินผ่านพื้นที่ส่วนกลางที่มีห้องน้ำ ครัว และห้องนั่งเล่น ไปยังห้องพักของเขา แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนมารออยู่ก่อนแล้ว

     “น้องโอมใช่มั้ย?”

     ภีมพูดพลางมองไปยังคนเบื้องหน้าที่นั่งรออยู่บริเวณห้องนั่งเล่น เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าภีมเล็กน้อย ร่างกายแกร่ง ผิวคล้ำแดด สมกับเป็นนักกีฬา แต่ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสานั้นทำให้ใครที่พบเห็นก็รู้ว่าโอมยังเด็กนัก คิ้วเข้มดวงตาซื่อใส มองตรงมายังชายหนุ่มตรงหน้า

     “สวัสดีครับพี่ภีม ผมโอมครับ โอมยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับที่นี่ ต้องรบกวนพี่ภีมด้วยนะครับ...”

     เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างสุภาพ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มสวยงาม

     “โอมน่าจะเจ็ทแลคอยู่ใช่มั้ย? ช่วงนี้ถ้าง่วงก็งีบเอา แต่อย่านอนยาวเกินไป พยายามปรับตัวให้เข้ากับเวลาให้ได้ไวๆ แล้วกัน ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็มาหาที่ห้องนี้ได้ เออใช่โอมมีไลน์พี่อยู่แล้วใช่มั้ย? งั้นเดี๋ยวเอาเบอร์โทรพี่ไปด้วยแล้วกัน เผื่อฉุกเฉินอะไรก็โทรมาได้เลย”

     พูดจบชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พลางส่งให้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า โอมรับโทรศัพท์มาจากนั้นจึงกดเบอร์โทรของเขาแล้วส่งคืนให้เจ้าของ ภีมกดโทรออกแล้วพูดต่อ

     “เมมไว้ด้วยนะ”
 
     “ครับ...”

     โอมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นในกระเป๋ากางเกงออกมากดวางสาย จากนั้นจึงกดขยุกขยิกเพื่อบันทึกเลขหมาย

     “แล้วนี่โอมเริ่มเรียนภาษาเมื่อไหร่ล่ะ?”

     “อาทิตย์หน้าครับพี่”

     “อืม...ช่วงแรกจะลำบากหน่อยนะ ต้องปรับตัวหลายอย่าง เรื่องเรียนถ้าอยากให้ช่วยอะไรบอกมาได้เลยนะ”

     “ครับ...”

     “ที่รัฐนี้ไม่ค่อยมีคนไทย ยังไงก็ช่วยๆ กันนะ เกาะกลุ่มกันไว้”

     “ครับ...”

     “เออแต่พี่มีกฎอยู่ข้อนึง ถ้ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยห้ามพูดภาษาไทยกับพี่นะ ตกลงมั้ย? จะได้เก่งเร็วๆ”

     “.....”

     เด็กหนุ่มเงียบไป พลางยกมือขึ้นเกาหัว ทุกอย่างดูยุ่งยากไปหมดสำหรับเขา ดวงตาใสซื่อเหลือบมองคนเบื้องหน้าน้อยๆ แล้วก็พยักหน้า

     “โอเค งั้นวันนี้โอมอยากจะพักผ่อนก่อนหรืออยากให้พี่พาทัวร์รอบๆนี้ล่ะ?”

     “....ยังไงก็ได้ครับ”

     “อ่ะ งั้นไปเดินดูรอบๆแล้วกัน มาๆตามมา”

     หากใครเห็นภาพนี้เข้าก็คงจะอดอมยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มที่เดินนำไปโดยมีเด็กหนุ่มที่คอยเดินตามติดแจไม่ต่างจากลูกเป็ดเดินตามแม่ ภีมรู้สึกได้ว่าการที่เขาได้เพื่อนใหม่เป็นรุ่นน้องเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว เพราะอย่างน้อยก็มีเรื่องอื่นมาดึงดูดความสนใจจากชีวิตประจำวันอันแสนน่าเบื่อของเขา





     สำหรับภีม โอมดูเป็นเด็กที่ไม่ค่อยหืออือนักในช่วงแรก อาจจะเป็นเพราะเขายังเกร็งๆอยู่ แต่ตอนนี้โอมเปิดเรียนได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว เขาดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆตอนนี้มีชายสามคนนั่งล้อมวงแออัดกันอยู่ หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนใหม่ของโอม

     “Hey let’s stop studying and play some games.” (เลิกอ่านหนังสือแล้วมาเล่นเกมกันเถอะ!)

     “Derek, Ohm’s English isn’t good as yours so I cannot let him do that right now!” (ดีเรค...โอมไม่ได้ภาษาดีแบบนาย เพราะฉะนั้นตอนนี้พี่ปล่อยเค้าไปทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก!)

     “ดีเรค ลิม” เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนที่ได้ทุนนักกีฬามาเรียนต่อเช่นเดียวกับโอม ทั้งสองเรียนอยู่ที่สถาบันสอนภาษาเดียวกัน อีกทั้งเขายังอาศัยอยู่ที่อินเตอร์เนชันแนลเฮาส์แห่งนี้ด้วย

     “So bored…” (โครตน่าเบื่อเลย...)

     ดีเรคส่งเสียงโอดครวญ โอมรู้สึกรำคาญจึงเอ่ยไล่

     “Then just go back to your room!” (งั้นมึงก็กลับห้องไปสิวะ!)

     “No! We have to go back together!” (ไม่เอา...กลับพร้อมกันดิวะ)

     ‘Rrrrrrr’

     เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะคนเถียงกัน มือเรียวสวยยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

     “Hello!” (ฮัลโหล)

     “Hi! Peam this is Christ, I’m around your place right now! Can you come out?” (ไงภีม! นี่คริสเองนะ เรามาแถวนี้พอดีน่ะ ออกมาเจอกันได้มั้ย?)

     “Oh sure, where are you? I’m going right now.” (ได้สิ นายอยู่ตรงไหนล่ะ? เดี๋ยวไปหา)

     “I’ll waiting at the bench outside of the I House.” (เดี๋ยวเรารอตรงม้านั่งหน้าไอเฮ้าส์)

     “Okay see you then.” (โอเคเดี๋ยวเจอกัน)

     ร่างบางกดวางสายโทรศัพท์ เขาลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มสองคนเงยหน้ามองตาม

     “I’m going to meet my friend for a while, Derek I hope you can help Ohm for his essay, I’ll right back soon okay?” (เดี๋ยวพี่จะลงไปเจอเพื่อนแป๊ปนึง ดีเรคหวังว่านายจะช่วยโอมเขียนเรียงความแทนพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่รีบกลับมา)

     “Sure! No worry I’ll help you take care of this idiot!” (แน่นอน! ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจะช่วยดูแลไอ้โง่นี่เอง!)

     สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มร่างสูง มือหยาบๆก็ลอยมาตบที่หัวเข้าอย่างจัง โอมที่ตอนนี้กำลังหน้าหงิกง้างมือไว้หวังจะตบหัวเพื่อนซ้ำอีกทีให้หายหงุดหงิด ภีมอมยิ้มขำเล็กน้อยพลางส่ายหน้าเบาๆ ชายหนุ่มคว้าเอาเสื้อแจ็คเก็ตมาคลุมไว้อีกชั้นจากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป



     ร่างบางก้าวเท้ายาวๆ มุ่งหน้าออกไปด้านนอกอาคาร ตอนนี้ตกกลางคืนแล้วอากาศหนาวเย็นขึ้นอีกครั้ง เขาซุกมือลงในกระเป๋าแจ็คเก็ต จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาชายหนุ่มหน้าตาดีผมสีบลอนด์ที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงม้านั่ง

     “Hey Christ! What’s bring you here?” (ไงคริส อะไรพานายมาถึงนี่กันเนี่ย?)

     “You…” (นายไง...)

     ดวงตาสีฟ้าจ้องลึกมาที่ดวงตาคมสวย ริมฝีปากบางประดับไปด้วยรอยยิ้มดึงดูดใจ เท้าข้างหนึ่งพลางขยี้บุหรี่ที่อยู่บนพื้นให้มอดดับลง ทว่าคนที่มองมากลับไม่ได้รู้สึกยินดี

     “Oh…I see…” (อ่อ...งั้นหรอ...)

     ใบหน้าสวยเจื่อนลงเล็กน้อย พลางมองตรงไปข้างหน้า ไม่ยอมสบตาคนข้างๆ ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงย่นหน้าผากก่อนจะพูดขึ้น

     “Aren’t you happy? I miss you that’s why I’m here.” (นายไม่ดีใจงั้นหรอ? เพราะชั้นคิดถึงนายไงชั้นเลยมาที่นี่)

     ใบหน้าสวยหันไปมองคนข้างๆเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าสดใสสบเข้ากับดวงตาคมดำสนิท มือแกร่งลูบแก้มเนียนเบาๆ ก่อนจะเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมา ริมฝีปากบางขยับเข้าหาริมฝีปากอิ่มสวยทำให้ได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ภีมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ...



     ‘เต้ย...’



     “ไอ้เต้ย...”

     เจ้าของเสียงเรียกกำลังจ้องมองคนที่ตอนนี้กำลังยึดเตียงของเขาอยู่ ตอนนี้เต้ยกำลังหลับสนิทโดยในมือก็ยังไม่ปล่อยโทรศัพท์มือถือ ภีมดึงโทรศัพท์ออกจากมือของคนที่กำลังหลับอย่างมีความสุข ในจอยังคงเปิดเกมส์คาไว้อยู่

     “ง่วงแล้วยังจะเล่นอีก ตายห่าคาป้อมเลยมั้ยล่ะมึง!”

     ภีมบ่นขึ้นพลางกดออกจากเกม วันนี้เต้ยมาค้างที่บ้านของเขาเนื่องจากทะเลาะกับพ่อ นี่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เต้ยใช้บ้านของภีมเป็นสถานที่หลบหนีจากพ่อ โดยที่ทางครอบครัวเต้ยรู้ดีและไม่เคยคิดจะออกตามหาเด็กหนุ่มให้วุ่นวาย

     “นอนดีๆสิวะมึง แม่งนอนซะเต็มเตียงเลย เหลือที่ให้กูนอนมั่งสิวะ”

     ภีมผลักตัวเต้ยให้ขยับไปอีกทาง ร่างเล็กที่หลับอยู่ส่งเสียงงึมงำเล็กน้อยก่อนพลิกตัว ร่างบางค่อยๆนั่งลงบนเตียง

     “เออเอาเข้าไป เอาผ้าห่มกูไปจนหมดอีก ไอ้นี่!”

     ตอนนี้ผ้าห่มพันอยู่รอบตัวเต้ยแน่น ภีมขยับตัวเข้าไปใกล้ มือหนึ่งประคองตัวเต้ยไว้ อีกมือค่อยคลี่ผ้าออก สายตาของเขาจับจ้องไปบนใบหน้าของคนที่กำลังหลับอยู่ ดวงตาเล็กๆปิดสนิท คิ้วเรียวขมวดขึ้นเนื่องจากถูกรบกวน รีมฝีปากเผยอออกเล็กน้อยดูน่าขัน

     ภีมอมยิ้มขำขึ้น สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของคนหลับอยู่อย่างนั้น มือเรียวขยับจากผ้าห่มมาลูบเส้นผมนุ่มอย่างเบามือ ใบหน้ารูปไข่เคลื่อนเข้าหาคนตรงหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมสวยปิดลงช้าๆ ริมฝีปากหยักอิ่มเคลื่อนเข้าหาริมฝีปากบางทีละน้อย ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายที่กระทบใบหน้า

     ภีมเบิกตาขึ้นชะงักพลัน เขารู้สึกตกใจกับสิ่งที่กำลังจะทำลงไป เด็กหนุ่มรีบผละตัวออกจากคนที่หลับไม่รู้เรื่อง จากนั้นจึงรีบล้มตัวลงนอนหันไปอีกทาง เขาปิดตาแน่นด้วยความสับสน ความรู้สึกบางอย่างถาโถมขึ้นกัดกินหัวใจของเขา

     ‘กูอยากจูบมึง!’



     จูบ...

     ริมฝีปากอิ่มบดเบียดเข้ากับริมฝีปากบางของร่างสูงตรงหน้า ลิ้นอุ่นสอดใส่ควานหาความหอมหวานของอีกฝ่าย ดวงตาสวยที่หลับอยู่สั่นระริก ชายหนุ่มผมทองจูบบดเบียดรุนแรงขึ้นพลางดูดเม้มริมฝีปากของร่างบางจนหายใจไม่เป็นจังหวะ สติกระเจิดกระเจิงจากรสสัมผัสของคนตรงหน้า หากแต่ภาพความคิดก่อนหน้ากลับยังชัดเจน คนๆเดียวที่เขาโหยหาและคิดถึง ความเจ็บลึกราวกับรอยกรีดที่อยู่ในใจ

     ทำไมความรักของเขาที่มีให้เพื่อนคนนี้ถึงไม่จางออกไปจากใจเสียที...





     ตั้งแต่ที่ภีมก้าวขาออกจากห้องไปไม่ถึงห้านาที บรรยากาศตั้งอกตั้งใจภายในห้องเมื่อครู่ถูกความเกียจคร้านเข้ามาแทนที่ ดีเรคที่เอ่ยปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยโอมเขียนเรียงความ ตอนนี้กำลังนั่งหัวเราะคลิปแมวสุดตลกในโทรศัพท์มือถือ ส่วนโอมเองก็ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น กระเพาะน้อยๆ เริ่มส่งเสียง

     “I’m gotta go grab something to eat!” (กูจะไปหาอะไรกินหน่อย)

     จู่ๆ โอมก็ลุกพรวดขึ้นจากพื้น พลางหยิบเสื้อมีฮู้ดมาสวมทับบนร่างอีกชั้น

     “Huh? I’m going too.” (หืม? งั้นกูไปด้วยดิ)

     “No! You stay here waiting for P’Peam.” (ไม่ได้เว้ย! มึงต้องอยู่รอพี่ภีมที่ห้อง)

     “Okay...Then buy me sandwich, milk , chips , juice hmm…what else should I have?” (เออก็ได้…งั้นซื้อแซนด์วิช นม มันฝรั่งทอด น้ำผลไม้ แล้วก็...อืม...เอาอะไรอีกดีวะ?)

     “That’s enough! I’m leaving now” (มึงจะเยอะไปละ! กูไปล่ะ)



     เด็กหนุ่มก้าวขาแข็งแรงลงบันไดมายังชั้นล่าง โอมไม่ค่อยนิยมใช้ลิฟท์มากนัก เพราะเขาเป็นคนชอบเคลื่อนไหว นอกจากจะเหนื่อยจนไม่มีแรงหรือกำลังรีบมากๆ เท่านั้น เพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มร่างสันทัดก็ลงมาถึงชั้นล่าง เขาเปิดประตูแล้วเดินออกจากอาคาร พลันได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวหายใจหอบถี่ เงาคนสองคนตะครองกอดกันอยู่ข้างม้านั่งในมุมมืด

     สายตาอยากรู้อยากเห็นสอดส่าย เห็นชายร่างสูงผมสีทองสวยงามกำลังบดเบียดริมฝีปากกับ “ชาย” อีกคนหนึ่งซึ่งรูปร่างดูคุ้นตา เด็กหนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้คนทั้งคู่อีกนิดพอให้เห็นชัดเจน แขนเรียวขยับขึ้นโอบรอบคอของร่างสูง เสี้ยวหน้าสุกใสที่เบี่ยงมา ดวงตาคมที่หลับอยู่และริมฝีปากที่ยังไม่ถอนออกจากกัน เด็กหนุ่มเบิกตาด้วยความตกใจ พลางส่งเสียงเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว

     “พี่ภีม!”


++++++++++++++++


     ในที่สุดก็ถึงตอนที่ห้าแล้วค่ะ ตอนนี้เป็นเนื้อเรื่องของภีมกับโอมแบบเต็มๆนะคะ ซึ่ง mood & tone ของสองคนนี้จะต่างจากคู่แรกโดยสิ้นเชิง หวังว่าทุกท่านจะรู้สึกสนุกกับเรื่องราวของทั้งสองคนนี้ไม่มากก็น้อยค่ะ

     เนื่องจากเนื้อเรื่องของสองคนนี้ดำเนินในต่างประเทศเลยจำเป็นต้องใส่บทพูดภาษาอังกฤษลงไป ถ้าหากเราใช้ภาษาแปร่งๆ หรือไม่ถูกหลักตรงไหน ใครอยากช่วยแก้ให้บอกได้เลยค่ะ

     อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกคือเส้นเรื่องของตัวละครสองตัวนี้ไม่ได้แยกจากเนื้อเรื่องหลักนะคะ ในที่สุดตัวละครจะได้มาเจอกันในเส้นเรื่องค่ะ อยากฝากให้ติดตามไปจนถึงตอนนั้นกันด้วยนะคะ ><

     สุดท้ายนี้เราขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ เราจะพยายามพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไปนะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2019 20:21:19 โดย Timid Lily »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP6 : Melancholy Fried Rice

          ‘ชิบหาย!!!’

          บัดนี้เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าเข้มกำลังหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขาอยากจะตบปากตัวเองแรงๆที่เผลอส่งเสียงเรียกรุ่นพี่หน้าสวยของเขาโดยไม่จำเป็น

          ‘ไอ้โอม! มึงจะเรียกพี่ภีมเขาทำซากอะไรวะ’

          โอมได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ตอนนี้มือไม้แข้งขาของเขาเก้กังไปหมด แถมชายสองคนที่พลอดรักกันอยู่เมื่อครู่หันมาสบตาเขาโดยพร้อมเพรียง สมองน้อยๆของเด็กหนุ่มขาวโพลน ร่างบางประหลาดใจที่เห็นเด็กหนุ่มยืนเลิ่กลั่กอยู่ตรงหน้าจึงเอ่ยเรียก

          “โอม?”

          “I…I’m sorry!...I…just…” (ผะ...ผมขอโทษ...ผม....แค่)

          ยังไม่ทันจะจบคำพูด เด็กหนุ่มก็ได้วิ่งเตลิดออกไปแล้ว ดวงตาคมซื่อได้แต่มองตรงไปด้านหน้าตามแต่ที่ขายาวๆนี้จะนำพาเขาไป

          “โอม! รอเดี๋ยว!”

          เสียงภีมไล่หลังตามมา เสียงฝีเท้ากระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ โอมคิดว่าเขาเป็นคนที่วิ่งเร็วมากแต่รุ่นพี่ของเขากลับไล่จี้มาได้ขนาดนี้หมายความว่าร่างบางๆนั่นต้องแข็งแรงไม่ใช่น้อย แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น จริงๆแล้วเด็กหนุ่มคิดอะไรไม่ออกเลยต่างหาก

          “เฮ้ยโอม! แกจะวิ่งไปไหนวะ?”

          ภีมที่ไล่หลังมาทัน ใช้มือกระชากเข้าที่ฮู้ดของโอมเต็มแรงเพื่อหยุดเด็กหนุ่มไว้ ร่างแข็งแรงถึงกับเซถลาถอยหลังมาเนื่องจากแรงดึง โอมหันไปมองคนเบื้องหลังที่กำลังหอบหายใจเหนื่อย

          “อะ...โอมกำลังจะไปเซเว่น...ปะ...ไปซื้ออะไรกิน...”

          เด็กหนุ่มพูดละล่ำละลัก มือข้างหนึ่งก็พลางชี้โบ้ชี้เบ้ไรทิศทาง

          “เซเว่นมันไปอีกทาง...ตรงที่โอมวิ่งมาสุดทางมันเป็นคลองระบายน้ำ!”

          โอมอึ้งไป เขาคงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าสวยถอนหายใจแรงก่อนจะพูดต่อ เสียงที่เคยอ่อนโยนแข็งขึ้นเล็กน้อย

          “ดึกแล้ว...โอมยังไม่ชินแถวนี้ อย่าเที่ยวทะเล่อทะล่าไปไหนคนเดียว!”

          “...ขอโทษครับ...”

          “จะไปเซเว่นใช่ป่ะ ไปดิเดี๋ยวพี่ไปด้วย”

          ‘พี่ภีมเค้ารู้มั้ยวะว่าเราเห็นเค้ากำลังจูบกับผู้ชายอยู่?’

          โอมเห็นทีท่าของภีมยังปกติ จึงได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ ดวงตาซื่อๆได้แต่จ้องมองใบหน้าสวยอย่างสงสัย ภีมรู้สึกได้ว่าถูกจ้องอยู่จึงขมวดคิ้วขึ้นมองกลับไป

          “โอม! มีอะไรจะพูดก็พูด”

          “เอ่อ...”

          เด็กหนุ่มอึกอัก ตอนแรกเขากะว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแต่ก็ไม่เนียน เหมือนว่าโอมเป็นฝ่ายที่กำลังสร้างความอึดอัดให้กับภีม

          “ฝรั่งคนเมื่อกี้แฟนพี่ภีมหรอ...?”

          “เปล่า...แค่เพื่อนกันเฉยๆน่ะ”

          ‘…เพื่อนกันเค้าดูดปากกันขนาดนั้นเลยหรอวะ?!’

          ถึงโอมจะเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ประสาเรื่องความรักนัก แต่เรื่องแบบนี้ใครเห็นก็รู้ว่ามันไม่ปกติ จูบกับเพื่อน? แถมเป็นผู้ชายอีก? แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

          แต่...เมื่อพิจารณาดูแล้ว คนหน้าสวยอย่างภีม ดวงตาคมกับริมฝีปากอิ่มเป็นกระจับ กลับทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกแย่สักเท่าไหร่...

          “เป็นเพื่อนนอนน่ะ...แค่เป็น sex friend กันเฉยๆ”

          ภีมเอ่ยขึ้น เด็กหนุ่มตรงหน้าเบิกตาด้วยความตกใจ คิ้วก็เลิกขึ้นด้วยความสงสัย ชายหนุ่มรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบัง เพราะนี่คือตัวตนของเขา หากเขาไม่ยอมรับตนเอง ใครที่ไหนจะยอมรับเขา

          “พี่เป็นเกย์”

          ภีมเอ่ยพลางสบตาคนตรงหน้า โอมมองกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่ได้มีทีท่าแตกตื่นอีกแล้ว มีเพียงความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่ โอมหลบตาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้

          “เอ่อ...พี่ภีมเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเซเว่นปิด!”

          “เซเว่นไม่ปิดหรอก...แต่รีบก็ได้”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางขำ รอยยิ้มสดใสเข้ามาแทนที่ใบหน้าตึงเครียดเมื่อครู่ เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าตนพูดจาประหลาดออกไปก็ยิ้มเขินน้อยๆพลางจ้องมองใบหน้าสวยงามนั่น โอมไม่แปลกใจว่าทำไมภีมถึงได้มีเสน่ห์ดึงดูดเพศเดียวกัน เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่สามารถละสายตาออกไปจากคนตรงหน้าได้เช่นกัน

          ...ราวกับว่าเขาได้ตกลงไปในหลุมกับดักขนาดใหญ่ลึกลงไปไร้หนทางจะปีนออก...





          บริเวณสระน้ำในร่ม เด็กหนุ่มสองคนได้มาฝึกซ้อมด้วยกัน แม้ว่าช่วงเวลานี้อากาศจะอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้พวกเขาแช่ตัวลงไปในน้ำเย็นๆได้ โชคดีที่สระแห่งนี้เป็นสระน้ำอุ่น เด็กหนุ่มจึงมีโอกาสได้ออกมายืดเส้นยืดสายกันบ้าง

          ร่างกายผอมสูงแต่มีกล้ามเนื้อกำลังเหยียบปีนขึ้นบันไดสระ เขาเดินตรงไปที่เก้าอี้พลางคว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่างกาย ในขณะที่ร่างกายสันทัดแข็งแรงยังคงจุ่มตัวอยู่ในน้ำ สายตาเหม่อลอยไปไกล

          ‘ทำไมกูฟุ้งซ่านอย่างงี้วะ?’

          ตั้งแต่ที่โอมเห็นภีมจูบกับผู้ชาย ภาพนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของเขาเรื่อยมา ทุกครั้งที่เขาอยู่กับรุ่นพี่หนุ่ม สายตาของเขามักจะจับจ้องไปยังริมฝีปากอิ่มเป็นกระจับนั่นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันน่ามองน่าดึงดูดอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อความคิดของตน

          ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ร่างที่คุ้นตาเดินเข้ามาในบริเวณสระว่ายน้ำ ใบหน้าสวยงามยิ้มสดชื่นมาแต่ไกล พลางยกมือทักทายดีเรคที่กำลังยืนเช็ดตัวอยู่

          “Hi Derek!” (ไงดีเรค!)

          ชายหนุ่มเอ่ยทักดีเรคจากนั้นจึงเดินเข้ามาหา ตาตี่ๆหยีลงพร้อมยิ้มแย้มตอบกลับไป

          “P’Peam! Finally you are here. I’m so hungry now, I’m gonna get change ,wait a sec. Hey Ohm! Let’s get ready!” (พี่ภีม! มาซักทีผมหิวมากเลย เดี๋ยวขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนรอแป๊ปนึงนะ เฮ้ยไอ้โอมไปกันได้แล้ว!)

          ดีเรคเอ่ยเรียกคนที่ยังไม่ขึ้นจากน้ำ ซึ่งเสียงของเขาเหมือนจะไม่ได้เข้าไปในโสตประสาตของคนที่เหม่อลอยอยู่แม้แต่น้อย เขาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆจากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ภีมเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าชิดขอบสระว่ายน้ำ เขานั่งลงยองๆพลางวักน้ำสาดเข้าเต็มหน้าโอม

          “เฮ้ยโอม! เหม่ออะไรอยู่ได้ รีบขึ้นมาได้แล้ว ถ้าช้าเดี๋ยวที่ร้านคนเยอะ”

          ชายหนุ่มยิ้มขำเล็กน้อย โอมหลุดจากภวังค์พลางหันไปมองคนที่นั่งยองอยู่ใกล้ๆ สายตาก็เผลอไปจับจ้องเข้าที่ริมฝีปากนั่นอีกแล้ว เด็กหนุ่มเอามือขยี้หัวแรงๆเรียกสติ วันนี้ภีมจะพาโอมกับดีเรคไปกินอาหารไทยร้านดัง ตอนนี้เขาควรจะรีบไม่ใช่มัวแต่เหม่ออยู่

          “Hey! No running!” (เฮ้! ห้ามวิ่ง!)

          เสียงกร้าวหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยเสียงนกหวีดเป่าดังลั่นสระว่ายน้ำ ภาพตรงหน้าภีมเป็นชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งหยอกล้อกัน โดยที่มีไลฟ์การ์ดตะโกนดุไล่หลังมา ไม่ทันที่ภีมจะลุกขึ้นหลบ หญิงสาวได้ชนร่างเขาเข้าอย่างจังจนตกลงไปในสระน้ำ

          ภีมทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ สีหน้าตกใจสุดขีด เขาหายใจติดขัด แขนขาก็พลางกวัดแกว่งพยายามทำให้ตัวลอยขึ้นแต่ดูเหมือนจะไม่ถูกวิธี มือแกร่งรวบตัวร่างบางขึ้น มือหนึ่งกับกระชับข้อมือของภีมพลางเรียกสติ

          “พี่ภีม! ใจเย็นๆ...ตรงนี้น้ำไม่ลึกพอยืนถึง”

          สายตาที่ยามปกติดูใสซื่อตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสุขุม เขาจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังตื่นตูมไม่วางตา ภีมได้ยินดังนั้นเริ่มสงบลง จากนั้นจึงค่อยๆแตะปลายเท้าลงบนพื้นสระ ดวงตาคมที่เบิกโตด้วยความตกใจเมื่อครู่มองตอบกลับไป ชายหนุ่มกะพริบตาสองสามทีก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “ขะ...ขอโทษทีที่ตกใจเกินไปหน่อย พอดี...พี่ว่ายน้ำไม่เป็นน่ะ...”

          เส้นผมที่ลู่ลงมา ร่างกายเปียกปอนสั่นเทาเล็กน้อย ริมฝีปากสวยและขนตายาวมีหยดน้ำจับ ภาพตรงหน้าทำให้โอมแทบหยุดหายใจ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเหมือนแมลงที่ถูกแสงไฟอันร้อนรุ่มดึงดูดให้เข้าหาแม้ร่างกายจะต้องมอดไหม้ ถึงจะรู้ว่าอันตรายแต่กลับงดงามเกินหักห้ามใจ

          “Hey! Are you alright?” (เฮ้! ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?)

          ไลฟ์การ์ดร่างกายกำยำเอ่ยขึ้นพลางส่งมือให้ ภีมส่งมือกลับไป แขนที่แข็งแรงดึงเขาขึ้นจากสระน้ำตัวบางๆแทบลอย

          “Thank you.” (ขอบคุณครับ)

          “Be careful next time! Don’ t get too close to the pool If you can’ t swim.” (ระวังหน่อย! วันหลังอย่ามายืนใกล้ขอบสระแบบนี้ถ้าว่ายน้ำไม่เป็น)

          ภีมพยักหน้ารับ ส่วนโอมปีนขึ้นจากสระพลางเดินไปเอาผ้าขนหนูอ่อนนุ่มมาคลุมตัวให้รุ่นพี่ของเขา ดีเรคที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินกระฉับกระเฉงเริงร่าออกมาจากห้องน้ำ แต่สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไปพลัน ตาเล็กๆนั่นก็ได้เหลือกขึ้นด้วยความตกใจทันทีที่เห็นชายหนุ่มยืนเปียกปอนอยู่ตรงหน้า

          “What happen?! Ohm what have you done to P’Peam!” (เกิดอะไรขึ้น! โอมมึงทำอะไรพี่ภีมเค้าห๊ะ!)

          “You’re fucking shit Derek! I have done nothing!” (ไอ้สัสดีเรค! กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ!)

          ดีเรคได้แต่ทำหน้าเหวอเมื่อโดนด่ากลับมา โอมคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงลากแขนของภีมให้เดินตามมา ขาแข็งแรงก้าวไปยังห้องน้ำ เขารื้อค้นเสื้อผ้าออกมาพลางส่งชุดวอร์มให้กับรุ่นพี่

          “อ่ะ...พี่ภีมใส่นี่ไปก่อน”

          “แล้วโอมจะใส่อะไรล่ะ?”

          “โอมมีเสื้อแขนยาวแล้วก็กางเกงออกกำลังกายอยู่อีกตัว เดี๋ยวค่อยรีบกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเอา”

          ชายหนุ่มรับเอาเสื้อผ้ามาด้วยความเกรงใจ ในสภาพอากาศแบบนี้การสวมเสื้อผ้าบางๆเพียงชั้นเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งคู่ โอมเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อล้างตัว ภีมมองตามร่างแข็งแรงที่เดินหายลับไป จากนั้นจึงหันกลับมามองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ บนใบหน้าแต้มรอยยิ้มจางๆพลางรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ



          มื้อเย็นแสนอร่อยที่ร้านอาหารไทยที่ชายสามคนวาดฝันไว้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นการทำอาหารง่ายๆภายในครัวของอินเตอร์เนชั่นแนลเฮ้าส์ ขณะนี้เด็กหนุ่มร่างสันทัดได้ยกกระทะใบย่อมมาตั้งไว้ตรงหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน ภายในนั้นคือข้าวผัดไข่สีเหลืองทองหอมกรุ่น

          “What? Just a plain fried rice?” (อะไรวะ? แค่ข้าวผัดธรรมดาเนี่ยนะ?)

          เด็กหนุ่มร่างผอมสูงเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง เขาคิดว่าอย่างน้อยมื้อเย็นที่เพื่อนชาวต่างชาติอย่าง “โอม” ทำให้น่าจะเป็นอะไรที่หากินไม่ได้ทั่วไป

          “How dare are you saying that? See what you did, just instant noodle!” (มึงก็กล้าพูดเนอะ ดูที่มึงทำซะก่อน ก็แค่ต้มมาม่า!)

          “This is not ordinary instant noodle, it’s the legendary traditional call Laksa! Do not under estimate it!” (มันไม่ใช่มาม่าธรรมดานะเว้ย มันเป็นอาหารถิ่นในตำนานเรียกว่า “ลักซา” อย่าได้ดูถูกมันเชียว!)

          โอมเหลือบมองบะหมี่ที่เริ่มอืดในน้ำซุปกะทิสีอมส้มเข้มข้น มองไปก็ดูละม้ายคล้ายกับต้มยำน้ำข้นของไทย แต่กลิ่นหอมเตะจมูกนั้นกลับแตกต่าง

          “By the way this is not the original Laksa from where I came from, one day If you guys have a chance to go to Penang ,I’ll bring you to try the real good one, it’s call Asam Laksa.” (แต่ก็นะ...อันนี้มันไม่ใช่ลักซาแบบเดียวกับที่บ้านเกิดกูอยู่ วันนึงถ้ามีโอกาสไปปีนังกัน เดี๋ยวกูพาไปกินเจ้าเด็ดเลย ที่นั่นเรียกว่า “อาซัม ลักซา”)

          เด็กหนุ่มร่างผอมสูงพูดพลางตักบะหมี่อืดๆแจกจ่ายทุกคน โอมเองก็ไม่รอช้าตักข้าวผัดหอมๆใส่จานแล้ววางลงตรงหน้ารุ่นพี่ของเขา ภีมจ้องมองข้าวผัดสีเหลืองทองไม่วางตา บนใบหน้าเจือรอยยิ้มหมองเศร้า

          ‘ข้าวผัดไข่’



          “เอ้า! รีบๆแดกซะ!”

          เด็กหนุ่มร่างเล็กวางจานข้าวผัดสีเหลืองทองที่มีเพียงไข่เป็นส่วนประกอบลงตรงหน้าเพื่อน ดวงตาคมสวยจ้องมองจานข้าวไม่วางตา พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขารีบตักข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็วแล้วกลืนลงท้องโดยที่แทบจะไม่ได้เคี้ยว

          “ไอ้ภีม...มึงไปหิวโหยมาจากไหนวะ? แค่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านแค่เนี้ยมึงถึงกับจะอดตายเลยหรอ?”

          ภีมไม่สนใจที่จะตอบคำถาม ตอนนี้ปากของเขายังไม่ว่าง เด็กหนุ่มยัดข้าวเข้าปากเร็วๆจนสำลักติดคอ เขาทุบอกตัวเองแรงๆ ทำให้คนตรงหน้าตกใจรีบเทน้ำยื่นให้

          “ไอ้เหี้ย! ใจเย็นๆค่อยๆกินดิวะ เดี๋ยวข้าวติดคอตายห่าคาบ้านกูพอดี!”

          ภีมกระดกน้ำอึกใหญ่พลางหายใจเฮือก ไม่บ่อยนักที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองหิวโหยขนาดนี้

          “พอดีเมื่อวานกูไม่ได้กลับบ้าน ตั้งแต่เย็นของเมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้กูยังไม่ได้กินอะไรเลย...”

          “มึงไปไหนมาวะ ทำไมมึงไม่กลับบ้านอ่ะ?”

          เต้ยพูดพลางมองหน้าเพื่อน ดวงตาคมสวยของภีมตอนนี้ดูอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้พักผ่อน ร่างกายที่ยามปกติกระฉับกระเฉงดูไร้กำลัง ใบหน้าที่มักจะยียวนบัดนี้ดูหมองลง เต้ยจ้องสายตาคาดคั้น ภีมเหลือบมองสายตานั้นจากนั้นจึงหลบลงไปสนใจข้าวในจานต่อ

          “กูไปบางแสนกับพี่มาร์ชมา...”

          “ห๊ะ!? ไปบางแสน...กับพี่มาร์ชที่อยู่ม.หกอ่ะนะ? แล้วมึงไปมาตอนไหนวะ? กูยังเจอมึงที่โรงเรียนอยู่เลย”

          ปากบางรัวคำถามไม่หยุด คนที่นั่งกินข้าวอยู่รู้สึกแน่นท้องจึงวางช้อนส้อมลง

          “กูก็ไปหลังเลิกเรียนดิวะ...”

          “ถึงว่า...มึงหายไปเลย ไม่ยอมกลับบ้านกับกู...อินดี้นะมึงอ่ะ! ไปเที่ยวไม่ชวนกูเลย มีเพื่อนใหม่แล้วกูนี่ตกกระป๋องไปเลย”

          “ตกกระป๋อง” คำๆนี้ทำให้ภีมอยากเถียงเต้ยออกไปสุดใจแต่ก็ทำไม่ได้ สำหรับภีมไม่เคยมีใครมาแทนที่เต้ยได้ แม้ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไหร่ จะเอาใจออกห่างคนๆนี้แค่ไหน แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดูดเขากลับเข้ามาติดอยู่ในวังวนเดิม

          “เออ! กูไม่ชวนมึงไปด้วยหรอก มึงมันเลี้ยงยาก กูขี้เกียจดูแล...”

          “อ้าวไอ้ภีม! พูดดีๆ ตอนนี้ใครดูแลใคร? ช่วยดูสารรูปตัวเองด้วย!”

          ภีมหัวเราะขึ้นเล็กน้อย เขาค่อยๆยันตัวที่อ่อนล้าลุกขึ้นจากโต๊ะ ช่วงล่างที่ปวดร้าวทำให้ร่างกายหนักอึ้งไปหมด เด็กหนุ่มยกน้ำขึ้นดื่มอีกทีจากนั้นจึงเอ่ยลาคนตรงหน้า

          “กูอิ่มละ ขอบใจมากที่ช่วยชีวิตกู ขนาดข้าวผัดโง่ๆมึงยังทำอร่อยเลย กูเพลียมากกูกลับล่ะ”

          “เอ้าไอ้นี่! มาแดกเสร็จก็ไปแถมทิ้งจานไว้ให้กูล้างอีก เออ....อร่อยก็ดีละ พักผ่อนเยอะๆนะมึง”

          ใบหน้าอ่อนล้ายิ้มน้อยๆก่อนโบกมือลา เด็กหนุ่มลากขาที่ไร้เรี่ยวแรงออกจากบ้านของเพื่อนรักไป สายตาว่างเปล่าล่องลอยเศร้าสร้อย บ้านของภีมอยู่ห่างจากบ้านของเต้ยไปแค่ไม่กี่หลัง แต่ด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ทำให้บ้านหลังนั้นดูห่างไกลเหลือเกิน

          ‘เต้ย...ถ้ามึงรู้ว่ากูไปทำอะไรมามึงคงรังเกียจกู...’





          “พี่ภีมไม่หิวหรอ?”

          โอมเห็นท่าทางเหม่อลอยแปลกๆของภีมจึงเอ่ยเรียก ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มจัดแจงวางจานข้าวไว้ตรงหน้า เขาก็ยังไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่น้อย ส่วนบะหมี่ของดีเรคยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้อืดคาถ้วยจนมองไม่เห็นน้ำซุปไปแล้ว

          “อะ...ขอโทษ พี่เหม่อไปหน่อย เดี๋ยวพี่รีบกินนะ!”

          มือเรียวสวยคว้าช้อนขึ้นตักข้าวใส่ปากทีละน้อย ข้าวผัดไข่จานนี้กับจานเมื่อครั้งที่เขาได้กินตอนนั้นรสชาติต่างกัน ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือความขมขื่นในใจ ยากที่จะกลืนมันลงไป เหมือนรสขมที่เมื่อติดลิ้นแล้วจะไม่อาจจางหายไปได้ง่ายๆ ดวงตาใสสุขุมจ้องมองเสี้ยวหน้าที่ดูหมองเศร้าของภีม

          โอมรู้สึกได้ว่าภีมมีอะไรบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ...

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP7 : Moon Cake Sonata

           ช่วงเวลาที่เย็นสบายของปีได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พูดให้ถูกก็คือช่วงเวลานั้นสั้นมาก มากพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่มองมันเป็นปรากฏการณ์แห่งปี บัดนี้ทุกพื้นที่ได้ถูกความร้อนระอุเข้าปกคลุม ชายหนุ่มสองคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าแสงแดดและความร้อน ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่มเงาจากอาคารสูงเบื้องหน้าคือจุดหมายที่พวกเขามุ่งไป

          “นี่ห้าโมงเย็นแล้วจริงหรอเนี่ย? แดดโคตรแรง ร้อนชิบหาย!”

          เต้ยเอ่ยขึ้น มือก็พลางดึงเสื้อสะบัดให้อากาศถ่ายเทเข้าไป ไรผมนุ่มเจือสีน้ำตาลมีเหงื่อออกซึม

          “เอาน้ำมั้ยพี่เต้ย?”

          สกายส่งขวดน้ำที่ยังมีไอเย็นเกาะอยู่ให้คนตัวเล็ก เต้ยรับมาพลางกระดกอึกใหญ่

          “ขอบใจนะสกาย”

          ตั้งแต่ที่สกายมีโอกาสได้เป็นลูกมือของเต้ย เขาอาสามาช่วยเต้ยเป็นประจำทุกครั้งที่เขาว่าง วันนี้ก็เช่นกัน ทุกวันนี้ร่างสูงเข้าออกห้องของรุ่นพี่จนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

          ตอนนี้คนทั้งสองได้เดินเรื่อยมาจนถึงหน้าห้องพัก แต่ทั้งคู่กลับต้องประหลาดใจกับสิ่งที่พบเห็นอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวผมซอยสั้นระท้ายทอยท่าทางกระฉับกระเฉงนั่งคุดคู้อยู่หน้าห้องเต้ย หากมองพิศดูแล้วทั้งใบหน้า ดวงตา และริมฝีปาก ดูไม่ต่างจากชายร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย

          “ตี้? !”

          เต้ยเอ่ยเรียกเด็กสาวคนนั้น ดวงตากลมเหลือบมองขึ้นด้วยสีหน้าดูหมองเศร้า

          “เฮียเต้ย...”



          ภายในห้องพักของเต้ย สองพี่น้องนั่งคุยกันอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนสกายแยกตัวออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าว มือที่สวมถุงมือพลาสติกกำลังหยิบคุกกี้ข้าวโอ๊ตใส่ลงกระปุก หูสอดรู้ของเขาก็พลางฟังบทสนทนาของสองพี่น้องไปด้วย

          “เฮีย...หนูสละสิทธิ์คณะนิติฯ ที่หนูสอบตรงติดไปแล้วนะ...”

          เต้ยนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยตอบทันควัน

          “แล้วตี้ก็เลยทะเลาะกับป๊าเรื่องนี้ใช่มั้ย?”

          “อืม...ทำไมเฮียรู้ล่ะ...?”

          “ไม่เห็นจะยาก...ป๊าเค้าก็ทะเลาะกับลูกทุกคนนั่นแหละ ไม่งั้นเฮียจะหนีมาอยู่นี่หรอ?”

          ตี้สบตากับพี่ชาย เต้ยเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นอย่างดี

          “ก็จริง...ขนาดจะวันหยุดหรือปิดเทอมเฮียก็ไม่ค่อยกลับบ้านเลย...ส่วนเจ๊ต้าร์เองตั้งแต่หย่ากับสามีก็ไม่ยอมกลับมาอยู่บ้าน อยู่กับน้องเหวินกันแค่สองคนแม่ลูก...”

          เด็กสาวเริ่มตัดพ้อ สีหน้าอึดอัดใจ คนเป็นพี่ได้แต่มองน้องสาวอย่างเข้าใจ

          “แล้วตี้บอกป๊าไปรึยังว่าตี้อยากจะเรียนอะไร?”

          “บอกแล้ว...หนูอยากเรียนแบบเฮีย แต่หนูอยากเรียนอาหารจีนจะได้กลับมารับช่วงต่อร้านที่บ้าน ป๊าก็จะได้ปล่อยให้เฮียเป็นอิสระซักที...”

          “แล้วป๊าว่าไง?”

          “ป๊าก็ด่าดิ! ป๊าบอกว่าอยากให้ลูกสาวทำงานสบายๆ ก็ไม่เอา ดันอยากจะทำงานหน้ามันอยู่หน้าเตา ส่วนลูกชายคนเดียวอยากให้รับช่วงต่อที่ร้านแต่ดันอยากจะไปทำเชฟขนม พาลไปถึงเจ๊ต้าร์ หาว่าจะส่งเรียนสูงๆ ก็ดันรีบไปมีผัวแล้วสุดท้ายก็หย่ากัน...”

          เต้ยได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ถอนใจ คิ้วเรียวขมวดขึ้น ตอนนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบ สองพี่น้องหมดคำพูด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อกรกับมนุษย์พ่อแสนดื้อรั้นคนนี้ ไม่งั้นเต้ยกับพ่อของเขาคงไม่ตึงใส่กันมายาวนานหลายปี

          “แล้วตี้จะเอาไงต่อ?”

          “ตี้จะหนีออกจากบ้าน!”

          “เฮ้ย! ตี้! นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย ตี้จะไปทำอะไร จะอยู่ยังไง?”

          “ก็ถึงตี้อยู่ป๊าก็ไม่ยอมให้ตี้เรียนสิ่งที่อยากจะเรียนอยู่ดี ป๊าบอกว่าถึงตี้จะสอบติดป๊าก็จะไม่ส่ง ถ้าอยากเรียนก็ให้ส่งตัวเองเรียน ไม่งั้นตี้ก็ต้องเรียนคณะที่ป๊าเลือกให้!”

          เต้ยหน้าเสีย ตัวเขาเองยังนับว่าโชคดีที่ได้เรียนคณะที่เขาสนใจ แม้ว่าปลายทางชีวิตของเขามีพ่อคอยชี้นิ้วบงการ แต่สำหรับน้องสาวของเขามันไม่ใช่ เต้ยไม่สามารถปล่อยให้ตี้ต้องมามีสภาพเช่นนี้ได้

          ความเงียบเริ่มปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี่อีกครั้ง เต้ยนึกขึ้นได้ถึงภาระหน้าที่ๆเขายังทำค้างไว้อยู่จึงหันไปมองคนที่กำลังนั่งแพ็คคุกกี้อยู่ตรงโต๊ะอาหาร เต้ยผละตัวออกจากน้องสาวตรงไปยังกองขนมที่รอการบรรจุ

          “โทษทีว่ะสกาย คุยนานไปหน่อย...”

          เต้ยเอ่ยขึ้นพลางนั่งลง มือทั้งสองข้างไม่รีรอสวมถุงมือพลาสติกขึ้นจากนั้นจึงเริ่มต้นทำงาน แต่ปากก็ยังไม่หยุดคุยกับน้องสาว

          “งั้นคืนนี้ตี้ก็นอนกับเฮียก็แล้วกัน แล้วค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อ...”

          “อืม...”

          เด็กสาวนั่งหน้าหงอยอยู่ปลายเตียงพลางแกว่งขาที่ห้อยอยู่ไปมา บรรยากาศรอบตัวแลดูเศร้าสร้อยสิ้นหวัง

          “เออ...ตี้หิวป่ะ? ช่วยออกไปซื้อข้าวให้หน่อยดิ เฮียยุ่งอยู่พอดี ไหนๆก็มาอาศัยอยู่กับเฮียแล้ว ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย”

          “ก็ได้...เฮียจะให้ตี้ไปซื้อข้าวที่ไหนอ่ะ?”

          “ตรงปากซอยทางเข้าหอมีตามสั่งร้านนึง...อร่อยอยู่ เฮียเอาข้าวกะเพราไข่เยี่ยวม้า ส่วนตี้จะกินอะไรก็สั่งเอา...เออสกาย! มึงกินไรป่าว? กูเลี้ยงเอง”

          “เลี้ยง” นี่คือสิ่งที่เต้ยทำให้กับสกายเป็นประจำ สำหรับเต้ยการที่สกายเทียวไปเทียวมาที่ห้องของเขาเพื่อเป็นลูกมือแบบนี้ทำให้เขาเกรงใจอยู่ไม่น้อย สิ่งเดียวที่เขาพอจะตอบแทนให้รุ่นน้องคนนี้ได้ก็คือ “จ่าย” เพื่อให้สกายได้อิ่มไม่มีอด

          “เออมึงไม่กินเผ็ดใช่ป่ะ? แล้วก็ไม่ค่อยกินผักด้วย กินก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่มั้ย? ร้านนี้ทำอร่อยนะเว้ย”

          สกายยังไม่ทันเอ่ยตอบ รุ่นพี่ของเขาก็พยายามจัดแจงเดาใจให้เสร็จสรรพ ซึ่งก็ทำได้ไม่เลว สกายยิ้มกว้าง เขารู้สึกดีที่เต้ยใส่ใจว่าเขากินอะไรไม่กินอะไร

          “งั้นเอาคั่วไก่ครับ ผมชอบกิน”

          เด็กสาวได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อยพลางรับเงินจากพี่ชาย จากนั้นจึงเดินเปิดประตูออกไป

          “งั้นเดี๋ยวหนูมานะ...”

          เสียงประตูปิดลง ตอนนี้เหลือเพียงแค่สกายกับเต้ยกันแค่สองคนกับกองคุกกี้ข้าวโอ๊ตตรงหน้า สกายเปลี่ยนสายตาที่ก่อนหน้านี้จับจ้องอยู่บนกองขนม มาเป็นใบหน้าใสๆของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาแทน ดวงตากลมเหลือบขึ้นมองตอบ ริมฝีปากบางเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบ

          “มึงได้ยินหมดแล้วใช่ป่าววะสกาย...?”

          “ได้ยินสิพี่ ห้องมันก็เล็กแค่นี้...ถึงผมไม่ได้ตั้งใจจะฟังก็เถอะ...”

          เขาโกหกเนียนๆ ใครว่าสกายไม่ได้ตั้งใจฟัง ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนที่เขาชอบเขาก็อยากรู้ไปหมด ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะค่อยซักแค่ไหน เขาก็ต้องได้ยินมันให้ได้

          “วันที่กูเจอมึงที่ห้างอ่ะ...มึงจำได้ป่ะ? กูรู้สึกว่าครอบครัวมึงดูอบอุ่นดีว่ะ...”

          เต้ยเอ่ยขึ้น สีหน้าของเขาดูเศร้าลงเล็กน้อยพลางหลบสายตาคนตรงหน้า สกายยังคงจ้องมองเต้ยไม่วางตาพลางยิ้มน้อยๆแล้วตอบกลับไป

          “ที่บ้านผมเราสนิทกันน่ะพี่ เวลาใครมีปัญหาอะไรก็เปิดอกคุยกัน ปรึกษากันทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะยุ่ง แต่ก็จะพยายามใช้เวลาร่วมกันตลอด”

          “อืม...เทียบกับบ้านกูแล้วทุกคนอยู่ที่บ้านด้วยกันแทบจะตลอดเวลา แต่ว่ากลับไม่ค่อยได้คุยกัน ป๊ายุ่งกับงานครัว ม้ายุ่งกับหน้าร้าน ไม่ค่อยมีเวลามาพูดคุยกับลูกๆซักเท่าไหร่ เหมือนพี่น้องอยู่กันเองมากกว่า...”

          ร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ

          “พี่เต้ยรู้ป่ะ...จริงๆบ้านผมผ่านปัญหามาด้วยกันหนักหน่วงเลยนะ ช่วงที่พ่อผมป่วยหนักก่อนที่ท่านจะเสีย ครอบครัวมีแต่ความเครียด แม่หาเงินเลี้ยงลูกคนเดียว ลูกอีกสองคนทั้งต้องไปเรียนทั้งต้องคอยผลัดกันไปเฝ้าพ่อ...แต่ที่ทุกอย่างมันผ่านมาได้ก็เพราะทุกคนเป็นกำลังใจให้กันตลอด...ผมคิดว่าการพูดคุยกันมันสำคัญมากเลยนะ...”

          คนที่นั่งหน้าเศร้าอยู่เหลือบตามองคนตรงหน้า ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงรอยยิ้มจางๆ เต้ยพอจะจับความรู้สึกได้ว่าสกายกำลังนึกถึงอดีตที่เจ็บปวดอยู่ เขาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวของตนออกมาบ้าง

          “มึงรู้ป่ะว่ากูมีความฝันอย่างนึง...กูอยากเป็นปาติชิเย่!”

          “เชฟขนมน่ะหรอพี่?”

          “เออนั่นแหละ! กูมีความสุขมากเวลากูอยู่หน้าเตา กลิ่นหอมๆของมันเหมือนการบำบัดสำหรับกูเลยนะเว้ย แล้วยิ่งเวลากูเห็นคนที่กินขนมที่กูทำแล้วบอกว่าอร่อย กูยิ่งโคตรมีความสุขเลยว่ะ!”

          สีหน้าของเต้ยเล็กแจ่มใสขึ้นมายามเล่าถึงความฝันของตัวเอง สกายมองใบหน้านั้นด้วยหัวใจเป็นสุข รอยยิ้มของคนที่ชอบทำให้เขายิ้มตามไปด้วย แต่สักพักสีหน้าแจ่มใสเมื่อครู่ก็หมองลงอีกครั้ง

          “แต่ว่า...ป๊ากูเค้าอยากให้กูรับช่วงร้านอาหารจีนของที่บ้านต่อ กูเลยทะเลาะกับเค้า ทุกวันนี้เลยต้องทำขนมขายเก็บเงินไปลงเรียนทำขนมเพิ่มเอาเอง...”

          “อืม...แล้วทำไมพี่เต้ยถึงอยากเป็นปาติชิเย่ล่ะ?”

          “หึ! ...มันอาจจะฟังดูตลกนะเว้ย แต่คนที่ทำให้กูอยากเป็นปาติชิเย่ก็คือป๊ากูเอง...”

          เต้ยยิ้มน้อยๆพลางมองคุกกี้ข้าวโอ๊ตที่อยู่ในมือ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

          “ป๊ากูเค้าเคยเป็นเชฟอาหารจีนในโรงแรมมาก่อน พอแต่งงานกับม้าก็เลยลาออกมาเปิดร้านอาหารเอง”

          ภาพวันวานในอดีตฉายอยู่ในความทรงจำของเต้ย เขามองเห็นภาพตัวเองตอนยังเด็กคอยเกาะแกะจุ้นจ้านทุกครั้งที่พ่อของเขาเข้าครัว

          “ที่ร้านกูช่วงใกล้ๆเทศกาลไหว้พระจันทร์ พ่อกูจะทำขนมไหว้พระจันทร์ออกวางขายทุกปี กูไม่ได้อยากจะยอป๊ากูนะเว้ย! แต่ขนมไหว้พระจันทร์ของป๊ากูอร่อยจริง! ขายดิบขายดี ทำไม่ทันขายตลอด กูคนนึงล่ะที่โคตรชอบกิน”



          “ป๊า! ป๊าสอนเต้ยทำขนมไหว้พระจันทร์มั่งสิ!”

          เด็กชายตัวน้อยๆเกาะโต๊ะทำครัวพลางชะเง้อมองชายคนหนึ่งซึ่งกำลังแผ่แผ่นแป้งให้แบนออกเพื่อนำไส้เม็ดบัวที่ถูกกวนจนเนียนละเอียดห่อหุ้มเข้าไป

          “มันยากไปสำหรับเต้ยน่ะสิ...”

          “แต่เต้ยอยากทำเป็นนี่นา เต้ยอยากทำให้ทุกคนกินบ้าง...”

          “เอาอย่างนี้! ถ้าเต้ยโตขึ้นเมื่อไหร่ป๊าจะสอนให้ แต่ตอนนี้เต้ยแค่ช่วยป๊าทำก็พอนะ”

          “ก็ได้...ป๊าสัญญาแล้วนะ!”



          “หลังจากนั้นพอกูอยู่ซักม.ต้น ป๊าก็เริ่มสอนกูทำขนมไหว้พระจันทร์ มันยากมากสำหรับกูตอนนั้น แต่กูก็หน้าด้านทำจนเสร็จ แถมเอาไปวางขายด้วย! พอขายออกนะกูก็ดีใจมาก ถึงจะมารู้ทีหลังว่าคนซื้อคือพ่อแม่เพื่อนกูกับพี่สาวข้างบ้านก็เถอะ...”

          เต้ยขึ้นพลางขำเล็กน้อย สกายนั่งฟังเรื่องราวแล้วก็ได้แต่ยิ้มตาม เขารู้สึกได้ถึงความหลงใหลในขนมอบของรุ่นพี่หนุ่ม เพราะมันได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาอันสดใสนั่น

          “ตั้งแต่ตอนนั้นกูเลยรู้สึกว่ากูอยากจะจริงจังกับการทำขนม จริงอยู่ว่าอาหารคาวมันก็ดี...คือกูก็สนุกที่ได้ทำมันน่ะนะ...แต่สิ่งนึงที่กูหลงรักคือกลิ่นหอมๆตอนออกจากเตาของขนม แล้วยังจะพวกกลิ่นหวานๆของส่วนผสมอีก มันรู้สึกเหมือนรักแรกพบน่ะ...กูพูดอะไรวะเนี่ย?...โคตรเสี่ยว”

          เต้ยขำในคำพูดของตัวเอง เวลาเขาเอ่ยถึงความรักที่เขามีให้แก่เหล่าขนมหวาน เขาดูกลายเป็นผู้ชายเพ้อเจ้อไปซะได้ แต่ในมุมมองของสกาย เขาเข้าใจความรู้สึก “หลงรัก” เป็นอย่างดี เพราะมันเป็นความรู้สึกที่กำลังฝังลึกลงไปในใจของเขามากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ต่างกันเพียงแค่มันเกิดขึ้นเพราะคนตรงหน้าเขาเท่านั้นเอง

          “แล้วพี่เต้ยเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อพี่ฟังรึยัง...?”

          คำพูดนี้ได้แต่ทำให้คนฟังนิ่งอึ้งไป เต้ยเหมือนจะคิดได้ว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้เล่าเรื่องราวพวกนี้ให้พ่อฟังเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ถกเถียงกันมักจะจบลงที่ความบาดหมาง ทำให้เขาไม่เคยมีโอกาสเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจให้พ่อของเขาได้รู้





          ยามราตรีที่ความมืดเข้าปกคลุม เด็กสาวนอนหลับอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของเตียงนอนนุ่มขยับตัวเล็กน้อยพลางส่งเสียงงึมงำยามมีร่างนึงเบียดตัวลงนอนข้างๆ เตียงเล็กๆนี้ดูแน่นขนัดไปสำหรับคนสองคนแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้มีร่างกายที่ใหญ่โตก็ตาม ชายหนุ่มดึงผ้าห่มคลุมขึ้นถึงไหล่อย่างยากลำบากเนื่องจากผ้าส่วนใหญ่ไปกองรวมอยู่บนตัวเด็กสาว

          ‘เบียดโคตรๆ แถมผ้าห่มก็มีแค่ผืนเดียว ถ้าตี้ต้องมานอนกับกูแบบนี้นานๆ กูตายแน่!’

          คิดได้ดังนั้น สิ่งเดียวที่เต้ยจะต้องทำคือส่งน้องสาวคนนี้กลับบ้าน เขากับตี้จะต้องคุยกับพ่อให้รู้เรื่อง แต่มันควรจะเริ่มต้นอย่างไร

          ‘Rrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของชายหนุ่ม เต้ยยันตัวขึ้นจากเตียง มือเอื้อมไปคว้าสิ่งที่ส่งเสียงจากนั้นจึงรีบกดรับสาย เสียงที่คุ้นเคยของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น

          “ฮัลโหล...ว่าไงครับม้า?”

          [เต้ย...ตี้อยู่กับลูกรึเปล่า?]

          “อยู่ครับม้า แต่มันหลับไปแล้ว...”

          [อืม...ไม่เป็นไรหรอกลูก ให้น้องนอนไปเถอะ...ต้าร์บอกม้าว่าตี้หนีมาหาลูก ม้าเลยโทรมาเช็คดู...แค่นี้ม้าก็สบายใจแล้วล่ะ...]

          “แล้ว...ป๊าหายโกรธตี้รึยังอ่ะม้า?”

          [...เต้ยก็รู้ว่าป๊าเต้ยเป็นคนยังไง บางทีม้าก็เอือมระอาเหมือนกัน...แต่ว่าม้าขออย่างนึงได้มั้ย มะรืนนี้วันเกิดป๊าเค้า ม้าอยากให้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า...]

          “อืม...มันก็ได้อยู่แล้วแหละม๊า หวังว่าป๊าจะไม่ทำเสียเรื่องนะ เต้ยก็ไม่ได้อยากกลับไปทะเลาะกับป๊าเหมือนกัน...”

          [ม้าจะช่วยพูดอีกแรงนะ เต้ยก็ช่วยกล่อมตี้ให้น้องรีบกลับบ้านนะลูก]

          “ครับม้า...”

          [งั้นเต้ยนอนเถอะลูก ม้าไม่กวนแล้ว มะรืนนี้เจอกันจ้ะ]

          บทสนทนาจบลง ก่อนที่ร่างเล็กๆจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง สายตาของเขาก็พลันเหลือบออกไปเห็นพระจันทร์ส่องสุกใสงดงามภายนอกหน้าต่างผ่านม่านที่ถูกแง้มไว้ เต้ยเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ เขาเอามือเอื้อมปิดม่านให้สนิท จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนเพื่อให้คืนนี้รีบผ่านพ้นไป





          “พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านกัน!”

          ชายหนุ่มที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในชุดนักศึกษาหากแต่สวมผ้ากันเปื้อนเอ่ยขึ้นพลางใช้มือคลึงแป้งที่ห่อหุ้มไส้คัสตาร์ดไว้ภายในให้เป็นก้อนกลม

          “แต่ตี้ยังไม่อยากกลับ...”

          “กลับเถอะตี้ พรุ่งนี้วันเกิดป๊าด้วย ม้าโทรมาตามแล้วเนี่ย!”

          “แต่กลับไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นป่ะเฮีย?”

          “เฮียจะกลับไปคุยกับป๊า!”

          เด็กสาวเบิกตาด้วยความตกใจ ยามปกติพี่ชายของเธอมักจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้เป็นพ่อ แต่ครั้งนี้เต้ยคงตั้งใจตามที่พูดจริงๆเธอสังเกตได้จากสีหน้าที่จริงจังนั่น

          “เฮียจะลองดู เฮียจะพยายาม อย่างน้อยมันจะได้ข้อสรุปซักทีว่าพวกเราควรจะเอายังไงกับชีวิต...”

          ตี้ได้ฟังดังนั้นจึงกลอกตาไปมาพลางใช้ความคิด เธอลองเอ่ยขึ้นหยั่งเชิงเผื่อว่าจะมีทางช่วย

          “เฮีย...งั้นเราลองชวนคนอื่นไปด้วยกันดีมั้ย?”

          “ชวนใคร? ชวนทำไมวะ?”

          “ก็ถ้าป๊าเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยป๊าจะได้ไม่กล้าอาละวาดมากไง เหมือนเวลาที่ครอบครัวพี่ภีมมาที่บ้าน ป๊าเค้าทำตัวดีมากเลยนะ...แบบกลัวเสียหน้าอ่ะ”

          เรื่องที่น้องสาวของเขาเอ่ยขึ้นนับว่าถูกต้อง พ่อของเขาเป็นคนที่เกรงใจสายตาผู้อื่น ทุกครั้งเวลาที่มีคนนอกอยู่ด้วย พ่อของเขาจะไม่กล้าแผลงฤทธิ์มากนัก แต่พอเหลือแค่คนกันเองเท่านั้นแหละเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้ากันเลยทีเดียว

          แต่ยามนี้ “ภีม” เพื่อนที่เข้าใจทุกเรื่องราวทุกปัญหาของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว จะหันไปพึ่ง “น้ำ” รายนั้นก็ดูจะไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แถมลมเพลมพัด เอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนอีกคนที่เขานึกถึงตอนนี้คือ “สกาย”

          ร่างเล็กนึกขึ้นได้ดังนั้นจึงไม่รอช้า เขารีบกดก้อนแป้งกลมๆที่เหลือลงในพิมพ์จากนั้นจึงเดินไปล้างมือ เต้ยคว้าโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก เพียงแค่ไม่กี่วินาทีปลายสายก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว

          [ว่าไงครับพี่เต้ย?]

          “สกายพรุ่งนี้มึงว่างป่ะ? ไปบ้านกูกัน!”




ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
         
EP8 : Daddy & Birthday Cake

          ชายหนุ่มร่างสูงหอบข้าวของพะรุงพะรังมายืนอยู่หน้าร้านอาหารจีนขนาดสองห้องที่ประตูแขวนป้ายไว้ว่า “ปิดร้าน” ร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้ตกแต่งหรูหรามากนัก แต่กลับให้บรรยากาศร้านอาหารแบบครอบครัวเสียมากกว่า

          ตั้งแต่ที่สกายตอบรับคำชวนของเต้ย เขาตื่นเต้นมากจนซื้อขนมนมเนยมาฝากครอบครัวของคนชวนมากมาย สาวน้อยผมสั้นที่เดินตามหลังเขามาติดๆหอบหิ้วสัมภาระของตนพลางเอื้อมมือไปไขกุญแจบ้าน เด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ภายในร้านได้ยินเสียงกุกกักจึงรีบวิ่งมาที่ประตู เมื่อเห็นร่างของตี้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอจึงเอ่ยเรียกด้วยความตื่นเต้น

          “ตี้!”

          เด็กสาวใบหน้าแจ่มใสดวงตาสวยหวานเอ่ยขึ้น ริมฝีปากอิ่มๆนั้นฉีกยิ้มกว้าง เธอโผเข้ากอดเด็กสาวผมสั้นด้วยความดีใจ

          “ตี้หายไปไหนมา!”

          “เออปล่อยก่อนเถอะหมิง หนัก...ของก็รุงรังไปหมด”

          สกายยืนมองเด็กสาวน่ารักตรงหน้า เธอยิ้มตอบพลางดึงแขนเสื้อของตี้เบาๆก่อนจะเอ่ยถาม

          “พี่คนนี้ใครอ่ะ? หล่อจัง...”

          “ตี้!!!”

          เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากทางด้านหลังของหมิง คิ้วเข้มขมวดจนเห็นรอยแห่งวัยบนหน้าผาก ชายวัยกลางคนส่งสายตาถมึงทึงมาทางตี้และสกาย

          “นี่แกหายไปอยู่กับผู้ชายมาหรอ!!!”

          สกายหน้าซีดเผือด เขารีบยกมือไหว้ชายวัยกลางคนตรงหน้า ปากก็พลางพูดพะงาบอึกอัก

          “เอ่อ...ผะ...ผม...”

          “นั่นเพื่อนผมเองป๊า!”

          คนตัวเล็กที่กำลังหอบข้าวของพะรุงพะรังไม่ต่างจากร่างสูง ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของสกาย เต้ยรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่พ่อของเขาจะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้

          “นี่สกาย เป็นรุ่นน้องที่มหาลัยผมเอง”

          “สวัสดีครับ...”

          สกายยิ้มแหย ชายวัยกลางคนตรงหน้ากำลังมองสำรวจเขาอยู่ คิ้วที่ขมวดตึงของคนเป็นพ่อคลายลงจากนั้นจึงเชิญให้ทุกคนเข้าไปด้านใน



          “เฮียเต้ยนี่เลือกคบเพื่อนที่หน้าตาเนอะ...ไหนจะพี่ภีม พี่น้ำ แล้วยังพี่สกายอีก หล่อทุกคนเลยอ่ะ แถมหล่อคนละแบบด้วย!”

          สาวน้อยผมยาวเอ่ยขึ้น ดวงตาเยิ้มเพ้อฝัน เธอฉีกยิ้มกว้างพลางจับจ้องใบหน้าของสกายไม่วางตา

          “ระริกระรี้นัก! เดี๋ยวแปะจะส่งแกกลับไปอยู่กับป๊าม้าที่หาดใหญ่!”

          “โห่! แปะใจร้าย!”

          คนทั้งห้าตอนนี้ขึ้นมายังชั้นบนของร้านซึ่งเป็นส่วนอยู่อาศัยของครอบครัว เบื้องหน้าเป็นหญิงสองคนกำลังจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ และเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนั่งวาดรูปอยู่

          “กู๋เต้ย!”

          เด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้าหาน้าชายพลางกอดแข้งกอดขา คำว่า “กู๋” เป็นคำที่เต้ยฟังยังไงก็ไม่เคยชินซักทีสำหรับชายหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดอย่างเขา มันช่างดูเลยวัยไปไกลเหลือเกิน

          “อะไรเนี่ยเหวิน...ดีใจเฉพาะตอนเจอเฮียเต้ยคนเดียวเลย ทีกับหนูไม่เห็นดีใจมั่งเลยเจ๊ต้าร์”

          “ก็หลานมันไม่ค่อยได้เจอเจ้าเต้ยนี่ แต่กับตี้เจอกันเกือบทุกวัน”

          หญิงสาวผมยาวประบ่า ใบหน้าละม้ายคล้ายพี่น้องยิ้มบางๆ ในขณะที่หญิงวัยกลางคนมองลูกๆของเธอด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงเอ่ยถามลูกชายคนเดียว

          “แล้วนี่ใครกันล่ะลูก?”

          เต้ยขยี้หัวหลานน้อยๆก่อนจะหันมายิ้มให้กับแม่และพี่สาวของเขา เต้ยพเยิดหน้าไปทางสกายจากนั้นจึงแนะนำให้ทุกคนที่เหลือรู้จัก

          “นี่สกาย เป็นรุ่นน้องที่มหาลัยผมเอง”

          “สวัสดีครับ”

          สกายยกมือไหว้ทุกคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จากนั้นทุกๆคนจึงเริ่มนั่งเรียงรายลงรอบโต๊ะตัวกลม บรรยากาศบนโต๊ะดูอึดอัดพิกล ต้าร์ผู้เป็นพี่คนโตจึงตัดสินใจทำลายบรรยากาศเงียบเชียบนี้

          “สุขสันต์วันเกิดนะคะป๊า! นี่ของขวัญจากหนู หวังว่าป๊าจะชอบนะคะ”

          หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางส่งกล่องที่ถูกห่อไว้อย่างประณีตให้แก่ผู้เป็นพ่อ ชายวัยกลางคนรับไว้พลางเอ่ยเสียงเรียบ

          “ขอบใจ...”

          ความพยายามของหญิงสาวไม่สำเร็จ สมาชิกที่เหลือบนโต๊ะหน้าเจื่อน เต้ยคิดได้ว่าที่พ่อของเขายังสงบนิ่งอยู่ได้เช่นนี้ก็เพราะมีสกายร่วมโต๊ะอยู่ด้วย

          “ป๊าจะไม่ดีใจหน่อยรึไง ลูกอุตส่าห์ตั้งใจให้!”

          คนเป็นแม่เอ่ยขึ้นตำหนิ ทว่าชายกลางคนก็ยังคงตีสีหน้านิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นดังนั้นเต้ยจึงรีบส่งกล่องกระดาษให้แก่พ่อของเขา

          “ป๊า...สุขสันต์วันเกิดนะ...”

          มือหยาบที่มีรอยแห่งวัยรับกล่องนั้นมาพลางเปิดฝาออกดู ภายในบรรจุขนมไหว้พระจันทร์หน้าตาสวยงามเอาไว้

          “ขนมไหว้พระจันทร์? ผิดเทศกาลรึเปล่า?”

          “ไม่ผิดหรอกป๊า...เต้ยตั้งใจทำมาให้ป๊า...”

          ใบหน้าที่มีริ้วรอยขมวดคิ้วพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาค่อยๆหยิบขนมที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นออกมา สายตาเพ่งพิจารณา

          “ทำเก่งแล้วนี่...ประณีตดี”

          ชายหนุ่มสบตาของผู้เป็นพ่อก่อนจะเอ่ยต่อ

          “ก็ป๊าไงที่เป็นคนสอนเต้ย...ที่เต้ยชอบทำขนมก็เพราะป๊า แล้วคนที่เต้ยอยากทำขนมให้กินที่สุดก็คือป๊า”

          ชายกลางคนสบตาลูกชายกลับ จากนั้นจึงมองกลับไปที่ขนมในมือ

          “อาหมิง ไปเอามีดมาให้แปะหน่อย...”

          เพียงครู่เดียวมีดขนาดเล็กก็มาอยู่ในมือ เขาค่อยๆบรรจงตัดแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ออกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นจึงนำเข้าปาก รสหวานหอมนั้นทำให้เขาอดถามไม่ได้

          “นี่มันไส้อะไรของแก?”

          “คัสตาร์ดน่ะป๊า...”

          ขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกลิ้มรส ชายวัยกลางคนเริ่มยิ้มน้อยๆออกมาก่อนจะเอ่ย

          “เออ...แปลกดี...อร่อยดี...”

          ได้ฟังดังนั้นเต้ยจึงยิ้มออกมา ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการยอมรับจากพ่อยามที่เขาทำในสิ่งที่ตนเองชอบ บรรยากาศบนโต๊ะดีขึ้นแบบทันตา

          “ป๊ารู้มั้ยว่าเต้ยอยากเป็นปาร์ติชิเย่ก็เพราะป๊า...เพราะขนมไหว้พระจันทร์ของป๊า...เพราะป๊าสอนเต้ยทำขนม...ป๊าเป็นแรงบันดาลใจของเต้ย...”

          สองพ่อลูกมองหน้ากัน บรรยากาศบนโต๊ะเงียบลงอีกครั้ง

          “สิ่งที่ป๊าเลือกให้มันไม่ดีตรงไหน?...ลูกชายคนเดียวของป๊า ป๊าอยากให้สืบทอดกิจการ ส่วนลูกสาวของป๊า...ป๊าอยากให้ได้ทำงานงานสบายๆ จะได้ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่หน้าเตา”

          “ป๊า...ถึงตี้จะเป็นลูกสาว แต่ตี้ก็ไม่ใช่ผู้หญิงเหยาะแหยะ งานหนักเบาตี้ก็ทำได้ทั้งนั้น ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ตี้รัก ตี้มีความสุขที่สุดเวลาได้เข้าครัวเป็นลูกมือป๊า”

          น้องเล็กเอ่ยขึ้นบ้าง เธอพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกมาจนหมด ตอนนี้ทิฐิของคนเป็นพ่ออ่อนลงไปเยอะแล้ว ตั้งแต่ลูกสาวคนสุดท้องที่อยู่ติดบ้านเสมอหนีไป ความรู้สึกโดดเดี่ยวไม่เหลือใครในบั้นปลายชีวิตพลันครอบงำจิตสำนึก ชายวัยกลางคนซึมลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ

          “ป๊าก็แค่พยายามเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับลูกแต่ละคนเท่านั้นเอง ทำไมถึงไม่เข้าใจป๊า...”

          “แล้วป๊ารักที่จะทำอาหารจีนรึเปล่า?”

          เต้ยเอ่ยถาม

          “รักสิ...”

          “แล้วป๊ามีความสุขดีมั้ย?”

          “มีสิ!”

          “เพราะป๊าทำในสิ่งที่ป๊ารักไง ทุกวันนี้ป๊าเลยมีความสุข...”

          สิ้นเสียงของลูกเขาก็นึกขึ้นได้ ที่ทุกวันนี้มีความสุขและประสบความสำเร็จได้ก็เพราะได้ทำสิ่งที่ตนรัก ชายวัยกลางคนกวาดตามองไปรอบๆโต๊ะ

          ลูกสาวคนโตที่ถึงแม้จะล้มเหลวในชีวิตครอบครัว แต่เธอก็ทำหน้าที่แม่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่เคยแม้แต่จะแบมือขอเงินพ่อแม่อีกเลยนับตั้งแต่ที่เธอไปมีชีวิตของตนเอง ไหนจะหลานชายตัวเล็กๆไร้เดียงสาซึ่งเป็นที่รักของทุกคนในบ้านที่เธอให้กำเนิดมา

          ลูกชายคนกลางที่พยายามดิ้นรนด้วยตัวเอง แม้ว่าพ่อคนนี้จะกดดันและขัดขวางไม่ให้ไปตามเส้นทางความฝันของตน แต่กลับไม่เคยยอมแพ้

          ลูกสาวคนเล็กที่ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยดื้อด้านกับพ่อแม่ ขยันช่วยเหลืองานครอบครัวอย่างไม่บกพร่อง

          ลูกทุกคนขอเพียงแค่เรื่องเดียว...คือทำในสิ่งที่ตนรัก...

          ‘ที่ผ่านมาทำไมเราถึงไม่เข้าใจ...’

          ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจ สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด มือเรียวสวยที่มีริ้วรอยแห่งวัยเอื้อมมาสัมผัสมือแกร่งหยาบกร้านที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักพลางจ้องมองดวงตาเศร้าสร้อยนั้น เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ย

          “ป๊าเข้าใจสิ่งที่ม้าบอกแล้วใช่มั้ย ปล่อยลูกๆไปตามทางของเขาเถอะนะ...”

          เด็กสาวผมสั้นเอนกายลงซบไหล่ของผู้เป็นพ่อ มือแกร่งหยาบกระชับลงบนศีรษะของลูกน้อยพลางลูบเบาๆ

          “อืม...ลูกอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ...พ่อจะเป็นกำลังใจให้...”

          สิ้นเสียงของผู้เป็นพ่อ ตี้ก็ปล่อยโฮออกมา เด็กสาวไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ความอึดอัดใจที่เธอได้เก็บมานานยามนี้ได้สลายไปแปรเปลี่ยนเป็นความยินดี ลูกชายคนเดียวได้เห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกตื้นตันใจ ดวงตาของเขาแดงฉ่ำเล็กน้อย อิสระที่เขาโหยหามานานตอนนี้ได้มาถึงแล้ว นับจากนี้ไปไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาก็จะสามารถทำมันได้โดยไม่มีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป

          “ป๊า! เต้ยมีอะไรอีกอย่างจะให้!”

          เต้ยสะกิดสกาย ทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกันจากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป สักพักไฟสว่างพลันดับลง เหลือเพียงแสงเทียนที่ประดับประดาอยู่บนเค้กทรงกลมก้อนใหญ่สวยงามที่เต้ยเดินถือเข้ามา

          “Happy Birthday to you...Happy Birthday to you...”

          เสียงสกายร้องเพลงอวยพรนำมา จากนั้นจึงตามด้วยเสียงของคนที่เหลือในห้อง ชายวัยกลางคนมองตามแสงสว่างอย่างมีความสุข ในแววตาตื้นตันสดใส แม้ว่าคนร้องนำจะเปล่งเสียงเพี้ยนไปบ้างแต่ก็ไม่อาจทำลายบรรยากาศซาบซึ้งลงได้

          “ขอโทษทีครับผมร้องเพลงเพี้ยน...”

          สกายเอ่ยขึ้นพลางเกาแก้มอย่างเขินๆ ทุกคนในบ้านหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข

          “แปะเป่าเทียนเร็ว แล้วก็อธิษฐานด้วย”

          หมิงเอ่ยขึ้นพลางเขย่าแขนผู้เป็นลุง ชายวัยกลางคนเป่าเทียนจนดับในครั้งเดียวจากนั้นจึงอธิษฐานเสียงดัง

          “ป๊าขอให้ลูกๆของป๊ามีความสุข และประสบความสำเร็จในเส้นทางของตัวเอง”

          นาทีนี้ทุกคนมองหน้ากันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นช่วยกันดึงเทียนที่ปักอยู่บนขนมเค้กออก พลางจัดเตรียมจานเล็กและช้อนให้พอดีจำนวนคน ในที่สุดเค้กที่สวยงามก็ได้ถูกตัดแบ่งและแจกจ่ายออกไป ผู้เป็นพ่อไม่รอช้าที่จะลิ้มลองเค้กช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้มสวยที่อยู่ในจาน

          “เต้ย...เค้กก้อนนี้ลูกเป็นคนทำใช่รึเปล่า?”

          “ใช่ครับป๊า”

          “อืม...เดาไม่ผิดอยู่แล้ว อร่อยขนาดนี้ยังไงก็ต้องเป็นลูกชายป๊าทำแน่ๆ...ป๊าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเต้ยจะเก่งขนาดนี้”

          พูดจบมือแกร่งก็ตบลงที่บ่าของลูกชายพลางเขย่าเบาๆ สองพ่อลูกสบตายิ้มให้กันอย่างมีความหมาย คงไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการที่ได้เป็นลูกชายที่พ่อแม่ภูมิใจ เต้ยใช้สองนิ้วบีบหัวตาเล็กน้อยไล่น้ำตาที่รื้นอยู่ออกไป ชายหนุ่มที่มองอยู่ห่างๆตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สกายได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเต้ยที่เขาไม่เคยรู้จัก ยิ่งใบหน้าใสๆนั่นมีความสุขมากขึ้นเท่าไหร่ ความสุขของสกายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ





          [ป๊ามึงยอมให้มึงเรียนทำขนมแล้วจริงหรอวะ?]

          เสียงหนึ่งดังลอดโทรศัพท์มือถือออกมา ภายในจอคือชายหนุ่มใบหน้าสวยงามรูปไข่ ดวงตาคมโตสดใส ริมฝีปากแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากคู่สนทนา

          “เออ...แต่ที่บ้านกูช่วยออกค่าเรียนแค่ส่วนเดียวก่อน เพราะต้องส่งตี้มันเรียนเชฟอาหารจีน แต่กูก็โอเคนะ ในฐานะพี่กูชิลอยู่ละ”

          “หูย...หล่อสัส!”

          “กวนตีนอีกแล้วนะมึง!”

          “เออๆ กูดีใจด้วยนะมึง ตอนนี้มึงก็มีโอกาสทำตามความฝันของมึงละ”

          คนตัวเล็กคุยกับเพื่อนด้วยใบหน้าอันสดใส ระหว่างที่ชายสองคนกำลังคุยเล่นหัวกันอยู่นั้นก็มีเสียงประตูเปิดดังขึ้นขัดจังหวะ ภาพตรงหน้าคือชายร่างสูงเดินออกจากห้องน้ำพลางเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ เสื้อที่เขาสวมใส่มีขนาดเล็กผิดปกติจนตึงรั้งบริเวณรักแร้เป็นรอยย่น ชายเสื้อสั้นเต่อจนเห็นหน้าท้องแข็งแรงเล็กน้อย เต้ยเห็นดังนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะลั่น

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไอ้สกาย! มึงเอาเสื้อตัวไหนของกูมาใส่วะ?”

          [โอ๊ย! ไอ้เต้ย! หูกูจะแตก!]

          “โทษๆ แป๊ปนึงนะไอ้ภีม มึงอย่าพึ่งวางสายนะ”

          เต้ยผละออกจากสาย เดินตรงไปหารุ่นน้องหนุ่ม เขาสำรวจเล็กน้อยสายตาสอดส่องไปเห็นลายปักรูปกระต่ายเล็กๆบนอกเสื้อ

          “มึงเลือกเอาเสื้อตัวนี้มาใส่เพราะไอ้ลายกระต่ายนี่ใช่มั้ย?”

          สกายก้มลงมองที่อกเสื้อ จากนั้นจึงเงยหน้ากลับมามองคนตัวเล็กตรงหน้า

          “ก็ใช่พี่...ผมเห็นมันน่ารักดี แต่ไม่คิดว่ามันจะเล็กขนาดนี้...”

          “เออ…เสื้อผ้ากูส่วนใหญ่อยู่ที่หอ ที่เหลืออยู่ที่บ้านมีแต่ตัวเล็กๆ เอางี้เดี๋ยวกูพามึงไปยืมเสื้อพ่อกูดีกว่า...”

          คืนนี้ครอบครัวของเต้ยชวนให้สกายค้างคืนที่บ้าน ซึ่งเต้ยก็เห็นด้วย เขาจัดแจงปูที่นอนให้ร่างสูงเสร็จสรรพ จัดเตรียมหมอนและผ้าห่มให้อย่างดี และตอนนี้เขากำลังจะหาเสื้อผ้าใส่นอนให้ร่างสูงอีกด้วย



          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          ชายวัยกลางคนเปิดประตูห้อง คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือลูกชายของเขากับชายหนุ่มอีกคนในชุดฟิตเปรี๊ยะ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนหน้าผากย่น ดวงตาก็จับจ้องไปยังเสื้อตัวรัดติ้วที่อยู่ผิดที่ผิดทาง

          “ป๊า! หาเสื้อให้ไอ้สกายมันใส่หน่อยดิ! ดูมันใส่เสื้อเต้ยดิ...โคตรทุเรศเลย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ”

          เต้ยยังคงขำไม่หยุด ในขณะที่พ่อของเต้ยกวักมือเรียกสกายเข้าไปในห้อง สกายทำตัวลีบเล็กด้วยความเกรงใจจากนั้นจึงเดินเข้าไป

          “มาๆ เข้ามาก่อน”

          “งั้นเต้ยฝากสกายมันหน่อยนะป๊า เต้ยติดสายไอ้ภีมมันอยู่ เออสกาย! เสร็จแล้วก็กลับมานะ ไม่ต้องเคาะห้องเพราะกูไม่ล็อค ไปล่ะ”

          เต้ยเดินออกจากห้องไปพลางปิดประตู เขาเดินกลับไปที่ห้องซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องของพ่อแม่นัก

          “กูกลับมาละ”

          [หายไปซะนานเลยนะมึง!]

          “เออๆ โทษทีมึง...พอดีรุ่นน้องกูมันไม่มีเสื้อผ้าใส่นอนน่ะ กูเลยไปหาให้มันอยู่!”

          [มึงพารุ่นน้องมาค้างที่บ้านหรอวะ? ใครวะกูรู้จักป่ะ?]

          “ไม่อ่ะ...มึงไม่รู้จักหรอก! แต่ถ้ามึงกลับมาไทยเมื่อไหร่เดี๋ยวมึงคงได้เจอมันมั่งแหละ”

          [อืม...]

          ภีมเงียบไปพลางสงสัยอยู่ในใจ นอกจากเขาแล้วเต้ยไม่เคยชวนใครมาค้างที่บ้าน แม้แต่เพื่อนสนิทคนอื่นก็ไม่เคย แสดงว่ารุ่นน้องคนนี้ต้องสนิทเป็นพิเศษแน่ๆ แต่กลับเป็นคนที่เขาไม่รู้จักซะได้ ยังไงก็ตามตอนนี้เขาไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับรุ่นน้องคนนี้ได้มากนัก เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

          [เออมึงก็คืนดีกับป๊ามึงแล้ว ถ้างั้นช่วงปิดเทอมมึงจะกลับมาอยู่บ้านป่าววะ?]

          “ไม่อ่ะ...คงกลับมาบ้างแต่คงไม่มาอยู่ทุกวันหรอก...”

          [ทำไมวะ?]

          เต้ยเงียบไปเมื่อภีมเอ่ยถาม คิ้วเรียวขมวดลงเล็กน้อยสีหน้าดูอึดอัดใจ

          [กูรู้ละ...เพราะพี่บัวใช่ป่ะ?]

          “อืม...ตี้บอกกูว่าพี่บัวแวะมาถามหากูที่บ้านบ่อยๆ”

          [ทำไมวะ? มึงไม่คุยกับพี่เค้าแล้วหรอ?]

          “ไม่ค่อยแล้วว่ะ...เค้าก็ทักไลน์มาหากูบ่อยๆ แต่กูก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง เวลาโทรมากูก็รับบ้างไม่รับบ้าง...”

          [เออแบบนี้ก็น่าจะดีกับตัวมึงแล้วป่าววะ? กูเห็นแล้วเหนื่อยแทน...]

          “อืม...”

          [พอละกูไม่คุยกับมึงละ จบด้วยเรื่องดราม่าตลอดกูไปดีกว่า...มึงก็ไปนอนได้แล้ว!]

          “งั้นแค่นี้ก่อนนะมึง...”

          [เออ! มึงไม่ต้องงอแง ฝันดีนะเว้ย!]

          ภีมวางสายไปทิ้งเพื่อนของเขาไว้กับความเงียบ เต้ยวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียงพลางล้มตัวลงนอน สีหน้าอึดอัดใจยังไม่คลายลง แม้ว่าเรื่องของพ่อของเขาจะจบลงด้วยดีแล้ว แต่เหมือนว่าปัญหาอื่นๆของชายหนุ่มจะยังคงดำเนินต่อไป



          สกายหายตัวเข้าไปในห้องของพ่อกับแม่เต้ยเป็นเวลานาน เนื่องจากหญิงชายวัยกลางคนชวนคุยอย่างออกรส เขาเข้ากับทั้งสองได้เป็นอย่างดี คนทั้งคู่ชอบสกายไม่น้อยเลยทีเดียว

          “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับป๊าม้า”

          “เออๆ ไปเถอะนอนเยอะๆล่ะไอ้หนุ่ม!”

          “ครับ...ฝันดีนะครับ”

          พูดจบสกายก็เดินออกจากห้องมา ร่างสูงเดินตรงกลับไปที่ห้องของเต้ย เขาแง้มประตูออก ภายในมีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟบนหัวเตียงและความเงียบ ดูเหมือนว่าตอนนี้คนตัวเล็กจะหลับไปแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างที่หลับใหลอยู่บนเตียงนุ่มหัวตกจากหมอน ส่วนตัวก็นอนทับผ้าห่มเอาไว้

          สกายเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปช้อนศีรษะของคนหลับขึ้นวางบนหมอนอย่างเบามือ เต้ยส่งเสียงงึมงำพลางบิดตัวเล็กน้อย สกายค่อยๆดึงผ้าห่มออกจากนั้นจึงคลุมห่มให้ใหม่อีกรอบ

          “พี่เต้ย...”

          สกายลองส่งเสียงเรียกคนตรงหน้าเบาๆ สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงงึมงำ เขาหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นภาพตรงหน้า มือเรียวค่อยๆเอื้อมไปเขี่ยเส้นผมนุ่มที่ปรกใบหน้าของคนร่างเล็ก จากนั้นจึงไล้นิ้วลงมาตามสันจมูกคม ตามด้วยริมฝีปากบาง

          คนที่กำลังฝันหวานขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางย่นจมูกด้วยความรำคาญ แต่ก็ยังคงไม่ตื่นอยู่อย่างนั้น สกายยิ้มขำขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นปฏิกิริยา

          ‘ทำไมพี่เต้ยน่ารักอย่างนี้วะ...’

          ตาเรียวยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าใส คราวนี้ร่างสูงค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากแดงอิ่มจรดลงบนแก้มใสนั้นเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่และความอ่อนนุ่มของแก้มนั้นทำให้ชายหนุ่มเคลิบเคลิ้ม เขาถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้านั้นไม่ละไปไหน

          'อยากกอด...อยากทำมากกว่านี้...'

          สกายเริ่มรู้สึกกลัวความคิดของตัวเอง เขารีบดึงสติกลับจากภวังค์ จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปปิดไฟโคมที่ส่องสว่างอยู่เหนือหัวเตียง

          ความมืดเข้าปกคลุมห้องทั้งห้อง สกายพยายามข่มตาหลับทั้งๆที่ใจยังเต้นโครมครามกับสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำลงไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า...

          ตอนนี้...คนที่นอนหลับอยู่เมื่อครู่ได้ลืมตาตื่นขึ้นอยู่ในความมืดนั้น...


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :katai2-1:
ช้าอยู่ใย55ทำเลยๆ
 :3123:

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
 
EP9 : Sugar Rain
         

          เด็กหนุ่มที่ผิวของเขาที่เคยคล้ำแดดบัดนี้สว่างขึ้นเนื่องจากย้ายมาอยู่ในที่ๆอากาศหนาวและมีแสงแดดจำกัด กำลังเดินกอดกองหนังสือมุ่งหน้าไปตามห้องโถง ขาทั้งคู่หยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง มือแกร่งเคาะลงบนประตูนั้นสองสามที

          “พี่ภีม นี่โอมเอง...”

          “โอมหรอ? เข้ามาเลย”

          โอมเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วพบว่า รุ่นพี่หน้าสวยของเขากำลังนอนเอกเขนกคุยวีดีโอคอลอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าสดชื่นถึงขีดสุด รอยยิ้มสวยงามระบายอยู่เต็มใบหน้า ดวงตาเป็นประกายยามสบตากับคนที่อยู่ในจอ น้ำเสียงเริงร่าสดใส อีกทั้งยังหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นภาพที่เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน

          โอมจัดแจงกางโต๊ะตัวเล็กออกมากลางห้องคับแคบพลางวางกองหนังสือลงไป เขาพยายามไม่รบกวนคนที่กำลังคุยสนุกอยู่ แต่เมื่อสังเกตดู บางขณะใบหน้าสดชื่นนั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดให้เห็น เด็กหนุ่มพอจะจับความรู้สึกได้ว่าความรู้สึกที่ภีมมีต่อคู่สนทนาคือ “ความรัก”

          “พอละกูไม่คุยกับมึงละ จบด้วยเรื่องดราม่าตลอดกูไปดีกว่า...มึงก็ไปนอนได้แล้ว!”

          ภีมเอ่ยตอบคู่สนทนาของเขา ก่อนจะทิ้งท้ายอย่างยียวนระคนห่วงใย

          “เออ! มึงไม่ต้องงอแง ฝันดีนะเว้ย!”

          ชายหนุ่มวางสายลง บัดนี้เขาขยับตัวลงจากเตียงมานั่งอยู่ข้างๆโอม มือก็พลางรื้อเอาปากกากับกระดาษออกมา

          “วันนี้ดีเรคไม่มาด้วยหรอ?”

          “วันนี้มันออกไปทำกิจกรรมกับแคมปัสแต่เช้าน่ะพี่”

          “อ่อ...โอเค แล้วโอมมีอะไรตรงไหนอยากให้พี่ช่วยล่ะ?”

          โอมหยิบบทความที่เขาเขียนขึ้นออกมา ภีมก้มลงมองพลางเลิกคิ้วขึ้นพยักหน้าเบาๆ

          “อืม...อันนี้คือเรียงความที่โอมเขียนหรอ? หัวข้อเกี่ยวกับศาสนา...จะให้พี่ช่วยตรวจความถูกต้องให้ใช่มั้ย?”

          โอมจ้องมองคนที่สนทนาอยู่ไม่วางตา แต่เหมือนเขาไม่ได้ฟังในสิ่งที่คนตรงหน้าพูด คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมสวยสบตอบพลางเรียกเด็กหนุ่มที่ยังคงจ้องเขาอยู่

          “โอม! มีอะไร? จ้องพี่ทำไม?”

          “เมื่อกี้พี่ภีมคุยกับใคร? แฟนใหม่หรอ?”

          ชายหนุ่มทำหน้าตื่นหลังจากได้ยินคำถาม

          “จะบ้าหรอ! นั่นมันเพื่อนสนิทพี่!”

          “เพื่อนหรอ? แต่ท่าทางมันไม่ใช่ พี่โกหกโอมไม่ได้หรอก!”

          “นี่โอม! จะมาให้พี่ช่วยทบทวนหรือจะมาจับผิดพี่กันแน่?”

          ภีมเริ่มไม่สบอารมณ์ ไม่ใช่เพียงเพราะถูกจับผิด แต่เพราะถูกจับได้อีกด้วย แววตาสุขุมของเด็กหนุ่มยังคงจับจ้องมาที่ใบหน้าสวยไม่วางตา คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเชิงคาดคั้น สีหน้าจริงจังไร้คำเอ่ยตอบ

          “พี่จะโกหกโอมให้ได้อะไรขึ้นมาวะ? บอกว่าเพื่อนก็คือเพื่อนดิ!”

          โอมได้ฟังดังนั้นก็ละสายตาออกจากคนตรงหน้าแล้วหันไปจดจ่อกับกองหนังสือแทน เด็กหนุ่มเปิดหนังสือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจพลางเอ่ยถาม

          “พี่ภีมชอบเพื่อนคนนั้นใช่มั้ย?”

          โอมพูดจบก็เหลียวตามองคนที่นั่งข้าง ซึ่งตอนนี้รุ่นพี่ของเขาได้นิ่งอึ้งไป สายตานิ่งงันจ้องมองโอมกลับมาแบบแข็งกร้าวเล็กน้อย

          “ทำไมวะ? โอมรู้ไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?”

          “โอมก็ไม่ได้อะไร...โอมก็แค่ถามเฉยๆถ้าพี่อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า...”     

          คำพูดแบบนี้ยิ่งเหมือนกระตุ้นให้คู่สนทนาเปิดเผยเรื่องราวออกมา ใจจริงภีมอึดอัดใจแทบระเบิด เพราะเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครที่ไหนฟัง และไม่เคยมีใครจับได้ซึ่งหน้าแบบนี้มาก่อน สีหน้าแข็งกร้าวเมื่อครู่ของภีมอ่อนลง แววตาเศร้าสร้อยฉายออกมาแทนที่

          “เต้ยเป็นเพื่อนพี่ตั้งแต่สมัยประถม พ่อกับแม่พี่เป็นลูกค้าประจำร้านอาหารบ้านมัน พี่เลยมีโอกาสเล่นด้วยกันบ่อยๆแถมเรียนที่เดียวกันตั้งแต่ประถมจนจบม.ปลายเลยสนิทกันมาก”

          เด็กหนุ่มที่ทำเป็นไม่สนใจเมื่อครู่หยุดทุกกิจกรรมที่เขาทำอยู่จากนั้นจึงหันมาตั้งใจฟังคนพูด

          “ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่รู้สึกว่าเพื่อนพี่มันน่ารักขึ้นมาพี่ก็เลยชอบมัน...แต่พี่รู้ว่าเต้ยมันเป็นผู้ชายปกติ พี่ก็เลยพยายามตัดใจ...พี่พยายามทำตัวห่างจากมัน ลองคบกับผู้ชายคนอื่นที่โรงเรียน ซึ่งเต้ยมันก็ไม่รู้หรอกว่าพี่เป็นอะไร...มันคิดแค่ว่าพี่มีเพื่อนใหม่เลยอยากออกไปเที่ยวเล่นกับคนอื่นบ้าง แต่สุดท้ายพี่ก็ไปไม่รอด กลับมาตายรังที่มันตลอด...”

          ภีมหัวเราะด้วยความขมขื่น เขารู้สึกสมเพชตัวเองที่เป็นแบบนี้แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดความรักทิ้งไปแล้วเหลือเพียงความเป็นเพื่อนเอาไว้

          “จนวันนึง...วันปัจฉิมนิเทศ...วันที่พี่ตัดสินใจว่าพี่จะมาเรียนต่อที่นี่...”



          เด็กหนุ่มสองคนนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งหน้าชั้นเรียน บนเสื้อนักเรียนที่เคยขาวสะอาดของพวกเขา บัดนี่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนของปากกาหลากสี ขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว บริเวณโดยรอบผู้คนบางตาไปอย่างชัดเจน

          “เฮ้ยภีม! มึงจำได้ป่ะว่ากูมีเรื่องสำคัญจะบอกมึงอ่ะ!”

          “จำได้ดิ! มึงบอกกูว่ารอให้ถึงวันปัจฉิมฯ ก่อนแล้วมึงจะบอกกู”

          “เออ...”

          “เอ้า! งั้นก็รีบพูดดิวะ ลีลาอยู่ได้!”

          “คือ...กู...”

          “อะไรวะ พูดดิ!”

          “คือ...กูสารภาพรักกับพี่บัวเค้าไปแล้วว่ะ!”

          ภีมรู้ดีว่าวันนึงเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่หัวใจของเขาไม่เคยพร้อมที่จะรับเรื่องนี้ ราวกับฟ้าทลายลงมาตรงหน้า ความเสียใจล้นออกมาจนเกินรับไหว เด็กหนุ่มทำได้เพียงตีสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “แล้ว...พี่เค้าว่าไงบ้างวะ...?”

          “พี่เค้าบอกว่าขอคิดดูก่อน...แล้วเค้าจะให้คำตอบกูทีหลัง...”

          “หรอวะ...กูเอาใจช่วยมึงอยู่นะเว้ย...ขอให้มึงสมหวังซักที...”

          “เออ...ขอบใจนะมึง”

          ภีมหลบสายตาคนตรงหน้า ตอนนี้ทุกอย่างมันจุกไปหมด แม้จะรู้ตัวดีว่าความรู้สึกที่เขามีให้แก่เพื่อนคนนี้จะไม่มีวันได้เปิดเผยออกไป แต่ส่วนลึกในหัวใจของภีมเพียงแค่ต้องการพื้นที่เล็กๆจากเต้ยที่มอบให้แก่เขาเป็นพิเศษกว่าใคร ความสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่ราวคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดใส่เม็ดทรายเล็กๆให้กระจัดกระจายสลายไป เขากลัวว่าเขาจะเผลอร้องไห้ออกมาต่อหน้าเพื่อนที่เขารักสุดหัวใจ

          “เต้ย...กูก็มีเรื่องสำคัญจะบอกมึงเหมือนกัน...”

          “เอ้า! มีอะไรวะ?”

          “คือ...กู...จะไปเรียนต่อเมืองนอกน่ะ!”

          “เฮ้ย! อะไรวะ? ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลยอ่ะ? แล้วมึงจะไปวันไหน? ไปเมื่อไหร่วะ?”

          แน่นอนที่เต้ยจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เพราะภีมเพิ่งจะตัดสินใจได้เมื่อครู่ แม้ว่าพ่อกับแม่ของเขาจะเอ่ยปากถามเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม

          “กูกลับก่อนนะไอ้เต้ย...ไว้กูรู้ว่าจะเดินทางเมื่อไหร่เดี๋ยวกูบอกมึงอีกที”

          พูดจบภีมก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา ทิ้งเต้ยไว้กับความสับสนงุนงง

          “เฮ้ย! ไอ้ภีม! รอกูด้วย! กลับด้วยกันดิวะ! ไอ้ภีม!”

          เต้ยรีบวิ่งไล่หลังภีมไป แต่ก็ยากที่จะตามทันเพราะภีมเป็นเด็กหนุ่มที่จัดว่าวิ่งเร็วมากคนหนึ่ง

          ‘ขอร้องล่ะ อย่าตามกูมาเลย กูไม่อยากให้มึงมาเห็นหน้ากูตอนนี้!’

          ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา...



          “แต่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว...พี่ก็พยายามตัดใจจากเต้ยมันอยู่ การที่พี่มาเรียนต่อไกลๆแบบนี้ก็ช่วยได้เยอะนะ ตอนนี้พี่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว...”

          ภีมถอนหายใจ เขาพูดกับเด็กหนุ่มโดยไม่สบตา การที่เขาได้ปลดปล่อยเรื่องราวออกไปทำให้ความหน่วงในจิตใจของเขาบางเบาลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ

          “แล้วทำไมพี่ภีมถึงไม่คบใครเป็นจริงเป็นจังซักที?”

          โอมเอ่ยขึ้น คำพูดนี้ทำให้ภีมหันกลับมาสบตาโอมพลางตอบแบบสบายๆ

          “ก็มันยังไม่มีใครมาทำให้พี่เปิดใจได้...ก็แค่นั้น...”

          “แต่ตอนนี้พี่ภีมกำลังเปิดใจกับโอมอยู่...”

          เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาคมสวย คำพูดนี้ทำให้ภีมถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาจ้องมองดวงตาสุขุมนั้นกลับ โอมที่ยามปกติเป็นเด็กใสซื่อกลับมีอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ภีมตกใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้มุมมองที่ภีมมีต่อโอมเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว

          ...เหมือนน้ำแข็งที่โดนความร้อนจนละลายไปทีละเล็กทีละน้อย...





          ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตตัวหลวมปล่อยชายรุ่มร่าม กระดุมเสื้อถูกปลดสามสี่เม็ดจนเผยให้เห็นแผ่นอกขาวแข็งแรงโดยมีสร้อยคอเส้นยาวออกแบบสวยงามระลงมา เขายืนอยู่หน้ากล้องถ่ายรูปโดยฉากหลังเป็นระแนงเหล็กสีดำสนิทที่มีสนิมกัดประปราย พลางจัดระเบียบร่างกายตามที่คนหลังกล้องสั่ง

          “ไอ้สกาย! หน้ามึงมันไม่ได้ว่ะ! ช่วยทำหน้าให้มันขรึมๆ ดุๆ หน่อยสิวะ! ยิ้มเหี้ยอะไรอยู่ได้!”

          คนหลังกล้องตะโกนกร้าวใส่คนที่เป็นนายแบบอย่างหงุดหงิด ซึ่งก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขาจะกดชัตเตอร์ชายหนุ่มจะเผลอฉีกยิ้มพลางหรี่ตาจนเป็นสระอิ อ้อใช้เวลาไปมากแล้วสำหรับวันนี้ แต่ก็ยังได้ภาพที่ต้องการไม่เพียงพอ

          “มึงเข้าใจโจทย์กูป่ะ นัวร์! (Noir) มึงมัวแต่มาทำหน้าระรื่นอยู่แบบนี้พอดีงานกูไม่ต้องส่ง!”

          “ผมขอโทษครับพี่อ้อ...”

          “เอาใหม่! มึงตั้งใจทำให้มันดีๆหน่อย ไวๆด้วย เดี๋ยวแสงหมด!”

          วันนี้ “อ้อ” รุ่นพี่ศิลปกรรมของสกายได้ขอให้เขามาเป็นนายแบบเพื่อถ่ายรูปส่งอาจารย์ แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ ชายหนุ่มมีความสุขเกินไปหน่อย จึงเป็นการยากที่จะควบคุมสติตัวเองไม่ให้เคลิบเคลิ้มล่องลอยไปกับความคิด

          “แล้วไอ้ซัน! มึงช่วยถือรีเฟล็กซ์ให้มันดีๆหน่อย กูอยากได้คอนทราสเยอะๆ แล้วกูก็ให้มึงสะท้อนที่หน้า ไม่ใช่ที่คาง!”

          คนที่มาด้วยกันพลอยโดนลูกหลงไปด้วย เขายืดแขนขึ้นพลางเขย่งเท้าอีกนิดเพื่อถือรีเฟล็กซ์ไว้ให้ได้ตรงตามตำแหน่งที่รุ่นพี่ต้องการ ปากก็บ่นพึมพำ

          “ก็คนมันเตี้ยนี่หว่า...”



          เวลาล่วงเลยไปจนในที่สุดแสงอาทิตย์ก็เริ่มอ่อนกำลังลง ฟ้ามืดครึ้มขึ้น ยามนี้อ้อได้ภาพตามที่เขาต้องการแล้ว จากสีหน้าโหดเหี้ยมกลายเป็นสีหน้าสงบลงในที่สุด เขาดูภาพในกล้องไม่หยุดมือ ส่วนรุ่นน้องตัวเล็กของเขาก็ช่วยเก็บของอย่างขะมักเขม้นราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์

          “ขอบใจมากเว้ยไอ้สกาย! พอมึงโดนกูด่าเนี่ยของก็มาเลยว่ะ!”

          “ครับพี่...เหมือนโดนขยี้อ่ะครับ...”

          อ้อหัวเราะหึพลางหลิ่วตามอง สกายสบตารุ่นพี่อย่างเกรงๆ เล็กน้อย

          “เออเดี๋ยวกูแต่งรูปเสร็จแล้วกูจะแชร์ไปให้ ป่ะ...ไปกินข้าวกันเดี๋ยวกูเลี้ยงพวกมึงเอง!”

          “ไม่เป็นไรครับพี่อ้อ เดี๋ยวผมรีบกลับก่อน พอดีผมมีนัดครับ...”

          “อ้าวไหงงั้นอ่ะสกาย? ไปด้วยกันก่อนดิ!”

          ซันเอ่ยขึ้น ตากลมๆจ้องมองด้วยความเสียดาย

          “โทษทีนะเว้ยซัน! มันเย็นมากแล้ว เดี๋ยวเราไปไม่ทัน”

          “เออไม่เป็นไร งั้นวันหลังกูค่อยเลี้ยงมึง กูถือว่ากูติดหนี้มึงอยู่นะมาทวงด้วย”

          ‘ใครจะไปกล้าทวงล่ะวะคร้าบ...’

          สำหรับสกาย เขาไม่กล้าที่จะเซ้าซี้อะไรกับรุ่นพี่ที่น่ากลัวอย่างอ้ออยู่แล้ว ร่างสูงมองนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือพลางรวบสัมภาระของตนขึ้นจากนั้นจึงเอ่ยลา

          “งั้นผมกลับก่อนนะพี่อ้อ ไปก่อนนะเว้ยซัน”

          เขายกมือไหว้รุ่นพี่จอมโหด จากนั้นจึงโบกมือลาเพื่อนตัวเล็กของเขา ขายาวก้าวเร็วๆไปยังลานจอดรถที่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่นัก เมื่อชายหนุ่มเอาตัวขึ้นมานั่งบนรถ เขาจัดแจงรัดเข็มขัด สตาร์ทรถพลางหยิบเอาหูฟังบลูทูธมาสวม จากนั้นจึงกดโทรออกหาคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่

          [ว่าไงสกาย?]

          “พี่เต้ยผมเสร็จธุระแล้ว ตอนนี้กำลังรีบไปที่ห้องพี่นะ”

          [อ้าว! จริงป่ะเนี่ย? กูยังซื้อของไม่เสร็จเลย แต่ใกล้แล้วเดี๋ยวกูรีบกลับไป]

          “เดี๋ยวผมไปรับมั้ยพี่?”

          [เอ๊ย! ไม่ต้องเว้ย! รถมันติดแถมต้องย้อนไปย้อนมาอีก เดี๋ยวไปรอกูที่ห้องเลย น่าจะไปถึงพร้อมๆกันพอดี]

          “โอเคครับพี่งั้นเดี๋ยวเจอกัน”

          [เออมึงขับมาดีๆเดี๋ยวกูรีบก่อน...แค่นี้นะ]

          ปลายสายวางหูไป วันนี้สกายกับเต้ยนัดกันไปทำขนมที่แม่ของเขาเป็นคนสั่ง ทุกครั้งที่สกายอาสามาช่วยเต้ยก็ไม่เคยขัด แถมยังดูดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาช่วยอีกแรง

          ร่างสูงขับรถมุ่งหน้าไปยังหอพักของเต้ยโดยไม่รีบเร่ง น่าแปลกที่เส้นทางที่เขาใช้วันนี้กลับโล่งสบาย ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงที่หมาย

          ที่หน้าห้องของเต้ยสกายเคาะประตูสองสามทีแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงลองขยับลูกบิดดูถึงรู้ว่าห้องยังล็อคอยู่ ตอนนี้ท้องฟ้าเบื้องหน้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลได้มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง ต้นไม้ไหวแรง ท้องฟ้าส่งเสียงครืน ทำให้คนที่ยืนรออยู่หน้าห้องเริ่มเป็นห่วงเต้ยที่ยังกลับมาไม่ถึงจึงตัดสินใจโทรหา

          “พี่เต้ย...ผมถึงแล้วนะ พี่อยู่ไหนแล้ว?”

          [จริงป่ะ? โทษทีว่ะ...รถมันติดแล้วเหมือนฝนจะตกด้วย รอหน่อยนะ...เดี๋ยวกูรีบกลับไป!]

          “โอเคครับ...แล้วเจอกัน”



          ในที่สุดฝนก็ตกกระหน่ำลงมาบดบังภาพเบื้องหน้าไปจนหมดสิ้น เต้ยวิ่งฝ่าสายฝนพลางหิ้วข้าวของพะรุงพะรังด้วยความรีบร้อน เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ตั้งแต่ที่เขาวางสายจากสกายเวลาก็ได้ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงนึงแล้ว เท้าทั้งคู่ได้มาหยุดอยู่หน้าห้อง ชายหนุ่มที่รอเขาอยู่ยืนยิ้มละไม ดวงตาเรียวหยีลงเมื่อเจ้าของห้องมาถึง

          “ทำไมพี่เต้ยไม่โทรบอกผม? ผมจะได้ลงไปเอาร่มที่รถ”

          “เฮ้ยไม่ต้อง! แค่นี้กูก็เกรงใจมึงจะแย่อยู่แล้ว ขอโทษที่มาช้านะเว้ย!”

          สกายช่วยรับของจากคนเต้ยมาถือไว้ คนตัวเปียกเอามือล้วงกระเป๋าขยุกขยิกนำกุญแจออกมาไขประตูห้อง

          “จริงๆ พี่รอฝนซาก่อนค่อยมาก็ได้จะได้ไม่เปียก”

          “ไม่เป็นไร กูเปียกก็ช่างมันส่วนของก็อยู่ในถุง แต่มึงอ่ะรอกูอยู่...กูก็ต้องรีบมาดิวะ”

          เมื่อได้ฟังดังนั้นสกายก็ฉีกยิ้มกว้าง คนทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง น้ำหยดนองเต็มพื้น เต้ยเอาเท้าเขี่ยพรมมาซับเอาไว้ ก่อนจะเดินนำไปที่ราวแขวนผ้า ร่างเล็กค่อยๆถลกเสื้อที่เปียกปอนออกจากตัว เผยให้เห็นผิวสว่างที่ชื้นน้ำเล็กน้อย แผ่นอกบอบบางนั่น ไหนจะผมอ่อนนุ่มที่เปียกน้ำหมาดๆ สกายได้ถูกภาพตรงหน้าสะกดไว้ ไม่อาจละสายตาได้

          “เดี๋ยวกูขอล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงนะมึง กูฝากเอาของออกจากถุงหน่อยแล้วกัน”

          พูดจบร่างเล็กก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าห้องน้ำไป สกายได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้น ในหัวสมองของชายหนุ่มตอนนี้ตีกันให้ยุ่ง เขาจึงพยายามดึงสติตัวเองออกมาให้สนใจกองข้าวของตรงหน้า

          ‘ถ้าได้สัมผัสมันจะรู้สึกยังไงวะ?’



          เพียงครู่เดียวเสียงน้ำไหลในห้องน้ำได้เงียบลง เต้ยก้าวขาออกจากห้องน้ำ คราวนี้ทั้งร่างมีเพียงผ้าเช็ดตัวคลุมไว้กับกางเกงบ๊อกเซอร์แค่ตัวเดียว สายตาเรียวเล็กจับจ้องไปที่ภาพนั้น ขณะนี้สกายได้สติแตกไปแล้วเรียบร้อย

          ‘ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้...วันที่เห็นผู้ชายแล้วมีอารมณ์!’

          “พะ...พี่เต้ยรีบใส่เสื้อผ้าเถอะครับ ดะ...เดี๋ยวเป็นหวัด”

          สกายเอ่ยละล่ำละลัก สายตาก็พลางมองไปทางอื่น ในขณะที่เขาพยายามอดกลั้นสะกดอารมณ์ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ทว่าคนตรงหน้ากลับดูไม่ได้ใส่ใจ



          “สกาย!”

          เต้ยเอ่ยเรียกทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง เขายื่นของสิ่งหนึ่งให้รุ่นน้องหนุ่ม ตอนนี้เต้ยสวมเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย ในมือเป็นกุญแจดอกหนึ่ง

          “กุญแจสำรองห้องกู กูให้! มึงจะได้ไม่ต้องมายืนรอกูแบบวันนี้อีก”

          สกายแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็รับกุญแจไว้

          “จะดีหรอครับพี่...”

          “เออไม่เป็นไรหรอก! กูไว้ใจมึง! ห้องกูก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไร เก็บกุญแจไว้ดีๆอย่าให้หายก็พอ”

          เต้ยอมยิ้มยามตอบกลับไป ส่วนสกายตอนนี้กำลังฉีกยิ้มกว้างพลางหยีตาลงจนเป็นสระอิอีกครั้ง การที่เขาได้รับกุญแจห้องจากเต้ยหมายความว่าเต้ยให้ความสำคัญกับเขามากทีเดียว อีกทั้งยังไว้ใจให้เขาเข้าออกห้องนี้ได้ตามสบาย จะผิดมั้ยถ้าเขาจะคิดว่าตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเต้ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



          ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา เต้ยเดินไปเปิดประตูออก แล้วก็ต้องตกใจกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวใบหน้าสวยงามดวงตาสดใสแต่กลับดูเศร้าหมอง ผมยาวเป็นลอนคลายๆเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองฝนยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับร่มที่เปียกปอนหากแต่หุบไว้ เธอค่อยๆวางร่มลงจากนั้นจึงโผเข้ากอดร่างเล็กตรงหน้า น้ำตาไหลรินจากดวงตาสวย ร่างบางสั่นเทาไร้คำเอื้อนเอ่ย มีเพียงเสียงสะอื้นให้ได้ยิน เต้ยเอ่ยเรียกชื่อคนในอ้อมกอดเบาๆ

          “พี่บัว...”

          ในยามนี้ “ฝน” ได้นำพาใครบางคนที่ฝังอยู่ในหัวใจของ “เต้ย” ให้ได้มาพบกับ “สกาย”



++++++++++++++++


          พี่บัวมาแล้วจ้า! สำหรับเราตัวละครพี่บัวเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เต้ยกับสกายมีการเติบโตนะคะ หวังว่าทุกคนจะช่วยติดตามเรื่องราวของทั้งคู่กันต่อไป

          ส่วนโอมกับภีมเองก็ดูจะมีพัฒนาการ (รึเปล่านะ...?) เอาเป็นว่าสิ่งที่โอมพูดออกมาก็คงเหมือนเป็นการจีบละมั้งคะ แต่โอมน้อยที่ไม่เจนเรื่องความรักจะเข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปมั้ยน้อ?

          เราขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านอีกครั้งนะคะที่คอยติดตามเรื่องราวของทั้งสี่ตัวละครเรื่อยมา แค่เห็นคนกดมาอ่านเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP10 : Cupcake Next Door

          หลังจากการมาเยือนของผู้ที่ไม่คาดฝัน นี่เป็นอีกครั้งที่สกายได้แยกตัวออกมาอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง คราวนี้รุ่นพี่ของเขากับหญิงสาวยึดที่นั่งบริเวณโต๊ะอาหาร เขาจึงได้ไปนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงนุ่มแทน

          “พี่บัวมีอะไรรึเปล่าถึงได้มาหาเต้ย?”

          “คือ...”

          หญิงสาวอึกอัก ตอนนี้น้ำตาได้แห้งเหือดไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคราบจางๆกับดวงตาที่บวมช้ำ เธอหลบสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะเอ่ยต่อ

          “คือพี่อยากเจอเต้ยน่ะ...พี่อยากคุยกับเต้ย เวลาพี่ไลน์มาเต้ยก็ไม่ค่อยอ่าน โทรมาเต้ยก็ไม่ค่อยรับสาย พี่ก็เลยต้องมาหาถึงที่นี่...”

          “พี่มีอะไรไม่สบายใจอีกแล้วหรอ?”

          “อืม...ก็เรื่องเดิมๆ น่ะ...”

          “เรื่องพี่ปั้นน่ะหรอ...?”

          หญิงสาวเงียบลง ท่าทีกระวนกระวาย ดวงตากลอกไปมาอย่างใช้ความคิด ส่วนเต้ยนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าสงบนิ่งเรียบเฉย

          “คือ...พี่...”

          บัวยังคงอึกอัก เธออยากจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแต่มันช่างยากลำบาก ชายหนุ่มคู่สนทนายังคงรับฟังอย่างอดทน

          “พี่ท้องน่ะเต้ย...”

          ‘ท้อง!? ท้องกับพี่เต้ยหรอวะ?’

          สกายที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนักถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวดังนั้น ในขณะที่เต้ยกลับไม่ได้ดูตกใจเท่าไหร่นัก

          “แล้วพี่บัวบอกพี่ปั้นแล้วยัง?”

          ‘อ่อ...ท้องกับคนอื่น ตกใจหมด...’

          สกายรู้สึกโล่งใจเมื่อชื่อของผู้ชายอีกคนได้ถูกเอ่ยขึ้น

          “ยังเลย...พี่ไม่กล้าบอก...”

          “ทำไมล่ะ?”

          “พี่ลองถามพี่ปั้นดูว่าพี่เค้าคิดยังไงกับการแต่งงาน...พี่ปั้นบอกว่าพี่เค้ายังไม่พร้อมน่ะ...”

          “ทำไมไม่พร้อม? เต้ยไม่เข้าใจ อายุจะสามสิบอยู่แล้ว บ้านก็มีกิจการของตัวเอง มีตรงไหนที่ไม่พร้อม?”

          “แม่พี่ปั้นเค้าไม่ค่อยชอบพี่น่ะ...”

          “ไม่ชอบแล้วยังไง? ก็แยกออกไปสร้างครอบครัวของตัวเองก็ได้ป่ะ?”

          “คือบ้านพี่ปั้นเค้าเป็นกงสี เงินเดือนพี่เค้าก็ได้มาจากพ่อแม่นั่นแหละเต้ย พี่เองก็เป็นพนักงานออฟฟิสธรรมดา ฐานะก็กลางๆ แถมไม่ได้เป็นลูกหลานครอบครัวคนจีน ธรรมเนียมปฏิบัติอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แม่พี่ปั้นเค้าก็เลยไม่ค่อยปลื้มพี่...”

          “แล้วยังไงอ่ะพี่บัว แฟนพี่กำลังจะกลายเป็นพ่อคนนะเว้ย! จะมาทำตัวเป็นลูกแหง่อยู่แบบนี้ไม่ได้แล้วป่าววะ!”

          เต้ยพูดขึ้นอย่างใส่อารมณ์ สีหน้าโกรธขึงอย่างขัดใจ บัวน้ำตารื้นขึ้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ

          “พี่กลัวว่าพี่ปั้นเค้าจะไม่ได้จริงจังกับพี่น่ะเต้ย ตอนพี่ถามเรื่องแต่งงาน พี่เค้าดูหงุดหงิดขึ้นมา ตอนนี้พี่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลยนอกจากเต้ย เพราะพี่รู้ว่าเต้ยเข้าใจพี่ เต้ยไม่เคยอคติหรือด่วนตัดสินพี่...เต้ยเป็นคนที่ยืนข้างพี่เสมอไม่ว่าพี่จะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด...”

          คิ้วเรียวที่ขมวดอยู่คลายลง ชายหนุ่มถอนหายใจพลางขยับมือไปกุมมือบอบบางของหญิงสาวไว้ เขาสบตาดวงสวยของเธอแล้วจึงพูดต่อ

          “ใจเย็นๆนะพี่บัว...”     

          น้ำตาที่เอ่ออยู่หยดลงอีกครั้ง บัวสะอึกสะอื้นพลางพูดไปด้วย

          “เต้ยรู้มั้ยว่าตั้งแต่เต้ยทำตัวห่างเหินไปพี่เคว้งคว้างมาก เวลามีเรื่องอึดอัดไม่สบายใจ พี่ไม่รู้จะไปพูดกับใคร พี่คิดถึงเมื่อก่อน...เวลาที่เต้ยคอยอยู่เคียงข้างพี่ เป็นกำลังใจให้พี่ เป็นที่ปรึกษาของพี่...”

          ชายหนุ่มยังคงมองตอบไม่ละสายตาไปไหน ทว่าในแววตาของเขากลับฉายความเศร้าออกมา มือก็ยังคงกุมกันอยู่อย่างนั้น

          “พี่บัว...เต้ยไม่ได้หายไปไหน แต่เต้ยไม่ควรจะอยู่ใกล้ชิดพี่...พี่เข้าใจใช่มั้ยว่าเพราะอะไร?”

          หญิงสาวนิ่งเงียบไปไร้ซึ่งคำตอบ ความเงียบได้กัดกินบรรยากาศโดยรอบ มือบอบบางยกขึ้นปาดน้ำตา ชายหนุ่มตัดสินใจเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

          “พี่บัวได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้วรึยัง?”

          “ยังเลย...พี่ตรวจเองน่ะ...”

          “งั้นพรุ่งนี้ไปโรงพยาบาลกัน เดี๋ยวเต้ยไปเป็นเพื่อน...นะ...”

          “อืม...”

          “วันนี้เต้ยว่าพี่บัวควรจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวเต้ยนั่งแท็กซี่ไปส่ง”

          บัวพยักหน้ารับโดยไม่ขัดข้อง คนที่นังฟังอยู่ไม่ไกลกันได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นขัดบทสนทนา

          “พี่เต้ยให้ผมช่วยขับรถไปส่งมั้ย?”

          “กู...เกรงใจว่ะมึง...”

          “ไม่เป็นไร ผมอยากช่วย จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถด้วย...พี่บัวครับเดี๋ยวผมไปส่ง...นะ”

          บัวเหลือบมองคนอาสา เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะพยักหน้า

          “ขอบใจมากนะน้องสกาย ดีเหมือนกันเต้ยจะได้ไม่ต้องกลับคนเดียว”

          หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าสดใสแม้จะยังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่บนใบหน้า เธอกล่าวขอบคุณร่างสูงก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ตัวเล็กกว่า

          “ถ้า...พี่บัวไม่ว่าอะไร...พรุ่งนี้ให้ผมไปรับพี่บัวไปโรงพยาบาลด้วยนะครับ...”

          “อื้ม! ไม่ว่าอยู่แล้ว เพื่อนเต้ยก็เหมือนเพื่อนพี่ ไปหลายคนก็อุ่นใจดี”

          เต้ยได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มขึ้น

          “ขอบใจนะเว้ยสกาย!”





          รถยนต์คันย่อมแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มสดชื่น บ้านหลังนี้อยู่เยื้องตรงข้ามกับบ้านของเต้ย แต่เวลานี้คนบนรถไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะแวะเวียนลงไปทักทายคนในครอบครัว

          “ขอบใจที่มาส่งนะเต้ย! สกาย! พี่ขอตัวก่อน พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ”

          หญิงสาวที่ตอนนี้มีรอยยิ้มระบายอยู่จางๆเปิดประตูรถออกพลางโบกมือลาชายหนุ่มทั้งสอง ร่างสูงเหยียบคันเร่ง ขับรถออกไปสู่ถนนใหญ่ บัวได้ลงจากรถไปแล้ว ตอนนี้ความสงสัยของเขาพุ่งถึงขีดสุด เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

          “พี่บัวเป็นแฟนเก่าพี่เต้ยหรอ?”

          คนถูกถามเหลือบมองเสี้ยวหน้าขาวที่มองตรงไปยังถนนก่อนเอ่ยตอบ

          “ไม่ใช่...”

          “อ้าว? แล้วพี่กับพี่บัวเป็นอะไรกันน่ะ? ทำไมดูเป็นห่วงเป็นใยกันจัง?”

          สกายขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางหรี่ตาลงเหลือบมอง ชายหนุ่มรู้สึกขุ่นข้องอยู่ไม่น้อยที่ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ดูซับซ้อนระหว่างผู้ชายที่เขาชอบกับสาวสวยอีกคน

          “พี่บัวเป็นพี่สาวข้างบ้าน...”

          “แล้ว...?”

          “พี่บัวเป็นลูกคนเดียว...เลยชอบมาเล่นกับกูกับพี่ๆน้องๆที่บ้าน...”

          “แค่นั้น...?”

          เต้ยเหลือบไปมองคนนั่งข้างที่กำลังขับรถอยู่อย่างไม่สบอารมณ์ คิ้วเรียวก็ขึ้นอีกครั้ง เขาถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น

          “เออ! กูบอกมึงก็ได้! กูรักพี่เค้าข้างเดียวมาแปดปีแล้ว!”

          “แปดปี” ถ้าคิดพิจารณาดูให้ดีตอนนี้เต้ยอายุยี่สิบเอ็ดปี แปลว่าชายหนุ่มตกหลุมรักหญิงสาวมาตั้งแต่อายุสิบสาม แม้ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่มันคือเรื่องจริง

          “กูกับพี่บัวสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนแรกก็แค่ปลื้มเฉยๆตามประสาเด็กผู้ชายปลื้มพี่สาวที่อายุมากกว่า แต่พอกูโตขึ้นเรื่อยๆ รู้เรื่องมากขึ้น ความรู้สึกที่แค่เคยปลื้มมันเริ่มเปลี่ยนไป...”

          ตอนนี้สีหน้าที่ตึงเครียดเริ่มคลายลง ดวงตากลมเล็กนั้นไม่ฉายภาพใด สายตาล่องลอยไปเบื้องหน้า เต้ยนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนจะเอ่ยต่อ

          “ด้วยความที่กูเป็นผู้ชายที่สนิทที่สุดของพี่เค้า เวลาเค้ามีปัญหากับแฟน เค้าก็จะชอบมาปรึกษากู...มาร้องไห้กับกู กูก็ปลอบบ้าง เชียร์ให้เลิกกันบ้าง แต่สุดท้ายเค้าก็กลับไปดีกัน กูก็กลายเป็นหมาทุกที...”



          “เต้ย...พี่เลิกกับแฟนพี่แล้วนะ...”

          เด็กสาวเอ่ยขึ้นสีหน้าหมองเศร้า หากแต่ไม่มีน้ำตาปรากฏให้คนตรงหน้าเห็น อาจเป็นเพราะการจากลาครั้งนี้เกิดจากการที่เธอไม่เหลือเยื่อใยให้อีกฝ่ายแล้วก็เป็นได้

          “พี่บัว...พี่ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

          เด็กสาวช้อนตาขึ้นสบกับดวงตากลมของเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงยิ้มน้อยๆ

          “เพราะเต้ยคอยอยู่เคียงข้างพี่ พี่ไม่เป็นไรอยู่แล้ว!”

          เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เกิดความหวังขึ้นในใจอย่างเต็มเปี่ยม สำหรับเต้ยไม่มีผู้ชายคนไหนมาแทนที่เขาได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กสาวเลยก็ตาม



          ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นาน...

          “เต้ย! พี่มีอะไรจะบอกแหละ!”

          เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส ดวงตาสวยของเธอเป็นประกาย ปากอิ่มๆฉีกยิ้มเขินเลิกน้อย

          “พี่มีแฟนใหม่แล้วนะ!”

          เหมือนฟ้าที่สว่างอยู่พลันมืดครึ้มลง เด็กหนุ่มได้แต่นิ่งอึ้งไป ความหวังที่เคยมีสลายหายไปในชั่วพริบตา ความผิดหวังเสียใจเข้าครอบงำความคิด ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาหลงรักผู้หญิงคนนี้ด้วย



          ได้ฟังดังนั้นสกายกลับไม่รู้สึกแปลกใจนัก “บัว” เป็นหญิงสาวที่ไม่ได้สวยจัดแต่กลับมีเสน่ห์น่ามอง ใบหน้าเล็กๆตาโตสวย จมูกนิด ปากอิ่มหน่อยๆ เส้นผมหนาดำยาวสลวย พูดจาฉะฉานสดใส ใครที่ได้อยู่ใกล้ก็ต้องตกหลุมรักเป็นธรรมดา ชายหนุ่มมากมายคงตบเท้าเข้ามาให้เธอได้เลือกไม่มีขาด

          “หลังจากนั้นพี่บัวเค้าก็มาบอกกูว่าเค้าเลิกกับแฟนอีก แต่คราวนี้กูไม่อยากปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในวังวนเดิมๆ กูก็เลยตัดสินใจไปสารภาพรักกับพี่เค้า...”



          “พี่บัว...คบกับเต้ยนะ...”

          เด็กสาวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเองในสิ่งที่ได้ยิน แม้ว่าเธอจะพอรู้ตัวว่าน้องชายข้างบ้านคนนี้มีใจให้ แต่เธอก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง เต้ยจะมาเอ่ยปากขอเธอเป็นแฟนแบบนี้

          “เอ่อ...เต้ย...ล้อพี่เล่นรึป่าว?”

          “เต้ยไม่ได้ล้อเล่น! เต้ยจริงจัง! เต้ยชอบพี่บัว! ชอบมาตลอด...ชอบมานานแล้วด้วย!”

          บัวหลบสายตาของเด็กหนุ่มที่จ้องลึกมา ดวงตาสวยเหลือบลงพลางกลอกไปมาด้วยความประหม่า เธอเอ่ยขึ้นละล่ำละลัก

          “เอ่อ...คือ...พี่...ขอคิดดูก่อนนะ แล้วพี่จะมาให้คำตอบทีหลัง”



          “สุดท้ายพี่บัวก็ปฏิเสธกู...พี่บัวบอกว่าพี่บัวไม่อยากเสียความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ไป แล้วพี่เค้าก็ไม่เคยคิดกับกูไปในทางนั้นเลย คิดแล้วคิดอีกยังไงก็ไม่ได้จริงๆ ...”

          เมื่อได้ฟังดังนั้นสกายจึงยิ้มขึ้นน้อยๆ ใช่แล้วเขาดีใจที่เต้ยถูกหักอก ดีใจที่คนที่เขาชอบหมดหวังกับความรักครั้งก่อน แต่...ดูเหมือนเขาจะคิดง่ายไป

          “หลังจากนั้นพี่บัวก็ได้มาคบกับพี่ปั้น คนที่เป็นพ่อของลูกนี่แหละ ตอนนี้กูก็เลยขออยู่ห่างๆ กูไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพคนโง่เหมือนเดิม...แต่พี่บัวเค้าไม่เคยหายไปจากชีวิตกู หรือเพราะกูไม่ได้คิดจะตัดเค้าออกจากชีวิตกูจริงๆก็ไม่รู้ กูยอมรับว่าทุกวันนี้กูยังคิดถึงแล้วก็ยังเป็นห่วงพี่เค้าอยู่เหมือนเดิม...”

          รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่พลันหุบลง ดูท่าว่าเต้ยจะเป็นคนที่ยึดมั่นในความรักอยู่ไม่น้อย ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะเข้าไปถึงใจของคนๆนี้ได้ ราวกับมีกำแพงสูงชันตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มได้แต่ถามตัวเองว่าพร้อมที่จะปีนขึ้นไปแล้วหรือยัง

          เพราะเขากลัวว่าถ้าตกลงมา...

          ...เขาอาจจะต้องเจ็บปวดและไม่สามารถลุกขึ้นเผชิญกับกำแพงนี้ได้อีก





++++++++++++++++



          สวัสดีค่า ตั้งแต่ตอนนี้ไปเราจะได้สัมผัสตัวตนของเต้ยมากขึ้นแล้วนะคะ สำหรับเราเต้ยอาจจะดูเหมือนผู้ชายโง่ๆคนนึง แต่ในขณะเดียวกันก็น่านับถือในแง่ของความมั่นคงในความรักของเขานะคะ มาช่วยเป็นกำลังใจให้เต้ยก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างไม่หลงเหลืออะไรค้างคาใจกันเถอะค่ะ


ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP11 : Unpleasant Taste


          “ยินดีด้วยนะคะคุณพ่อ! ภรรยาของคุณตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วค่ะ!”

          น้ำเสียงอารีของสูตินรีแพทย์หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นกับชายร่างสูง สกายได้แต่ทำหน้างุนงงอึกอักแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร ในขณะที่เต้ยซึ่งอยู่ด้วยกันในห้องตรวจถูกเมินราวกับเป็นธาตุอากาศ เขาได้แต่หรี่ตามองคนตัวสูงข้างๆ พลางหัวเราะไปด้วย

          “หมอแนะนำให้คุณแม่ฝากครรภ์เลยนะคะ หมอจะได้ทำอัลตร้าซาวน์ให้เลย”

          “เอ่อ...คุณหมอคะ...หนูขอมาฝากครรภ์วันหลังได้มั้ยคะ?”

          “จริงๆหมออยากแนะนำให้ฝากให้เร็วที่สุดนะคะ ถ้าไม่ได้ติดปัญหาอะไร”

          “อ๋อ! คือ...หนูกะว่าจะไปฝากที่โรงพยาบาลอื่นน่ะค่ะ...ยังไงวันนี้หนูขอบคุณคุณหมอมากๆ เลยนะคะ...”

          หญิงสาวกล่าวอึกอักพลางคว้าเอาเอกสารผลการตรวจมาไว้ในมือ จากนั้นคนทั้งสามจึงไหว้ลาแพทย์หญิงแล้วเดินออกจากห้องตรวจมา

          “แล้วพี่บัวจะเอาไงต่อ? พี่ต้องไปฝากครรภ์ได้แล้วนะ”

          ร่างเล็กเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่บัว ซึ่งตอนนี้เธอตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะทำอะไร

          “พี่ตัดสินใจแล้ว...พี่จะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่! แล้วพี่ค่อยปรึกษาพวกท่านว่าจะทำยังไงต่อไป”



          คนทั้งสามเดินมาเรื่อยๆจนถึงโถงทางเชื่อมซึ่งจะนำพวกเขาไปยังลานจอด ในขณะที่สกายกำลังจะกดลิฟต์ ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เจ้าของผิวขาวร่างสูงดูคมเข้ม กำลังจ้องมองเขม็งแข็งกร้าวมาทางเต้ยและบัว

          “บัว! มาทำอะไรอยู่ที่นี่กับเต้ย?!”

          “พี่ปั้น!”

          หญิงสาวเอ่ยเรียกชายตรงหน้า เธอยังไม่พร้อมที่จะเจอเขาตอนนี้ ชายหนุ่มเจ้าของสีหน้าดุดันเดินปรี่เข้ามาทางคนทั้งสาม

          “พี่ปั้นรู้ได้ยังไงว่าบัวอยู่ที่นี่?”

          บัวเอ่ยขึ้น ในใจทั้งตกใจทั้งสงสัย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคนรักของเธอไม่ค่อยชอบน้องชายข้างบ้านคนนี้นัก เนื่องจากเขารับรู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ซับซ้อนต่อกันเช่นไร

          “ก็ดูจากแอปติดตามตัวในมือถือนี่ไง! บัวจำไม่ได้หรอว่าบัวเป็นคนลงไว้ในมือถือพี่น่ะ!”

          บัวหน้าเจื่อนหลังนึกขึ้นได้ เธอกลัวว่าเรื่องราวทุกอย่างจะบานปลาย เพราะเวลานี้ยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรกับอีกฝ่าย

          “บัวรู้มั้ยว่าพี่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับบัว พี่ไลน์หาบัวก็ไม่ตอบพี่ โทรไปเป็นสิบๆสายก็ไม่ยอมรับ เมื่อเช้าพี่เลยไปหาบัวที่บ้าน แล้วแม่บัวก็บอกว่าบัวออกมากับเต้ย!”

          คนที่กำลังถูกตำหนิหลบสายตาจากคนรักตรงหน้าพลางเหลือบไปมองเต้ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง บัวรู้สึกว่าตอนนี้เธอได้นำพาความเดือดร้อนมาสู่ทุกคน

          “พี่ทนไม่ไหวแล้วนะบัว! ทำไมเวลามีอะไรบัวถึงไม่คุยกะพี่! ทำไมมีอะไรก็ต้องมาหาเต้ย! มาคุยกับเต้ย! ทำไมวะ?!”

          ชายหนุ่มตะเบ็งขึ้นเสียงใส่ หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นไร้คำเอื้อนเอ่ยได้แต่ส่งสายตาเจ็บปวดไปยังคนรัก

          “บัวเลิกมาหาเต้ย! เลิกมายุ่งกับเต้ยซักทีเถอะ! บัวลืมไปแล้วหรอว่าเต้ยมันคิดยังไงกับบัว? เด็กอย่างเต้ยดูแลบัวไม่ได้หรอก! แล้วถ้าคิดจะทำเพื่อประชดพี่ล่ะก็...พอเถอะ มันทุเรส!”

          อารมณ์ที่ระเบิดออกของปั้นทำให้บัวกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป มีเพียงเสียงสะอื้นน้อยๆ และความเงียบ เธอเข้าใจดีว่าทำไมคนรักของเธอต้องโกรธถึงเพียงนี้ เต้ยที่ยืนฟังอยู่ถึงขีดความอดทน จึงตะคอกกลับ

          “ทำไมวะ? กูเป็นเด็กแล้วยังไง? พี่ปั้น! มึงนั่นแหละที่ไม่มีปัญญาดูแลพี่บัว! เวลามีอะไรพี่เค้าเลยต้องมาหากูไง! คนที่เป็นที่พึ่งของพี่บัวคือกู! ไม่ใช่มึง!”

          “ไอ้เต้ย!”

          ความเกรี้ยวโกรธปะทุขึ้นราวไฟโหม ร่างเล็กยังไม่หยุดปาก

          “ถ้ามึงยังไม่มีปัญญาออกมาจากอ้อมอกของพ่อแม่ ยังเป็นไอ้ลูกแหง่อยู่แบบนี้ กูก็จะแย่งพี่บัวมา! กูรอพี่บัวมาตั้งแปดปีแล้ว กูก็ไม่อยากจะรออีกต่อไปแล้วเหมือนกัน!”

          “ไอ้สัส!”

          หมัดหนักๆพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเต้ยจนเซถลา ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นทั่วใบหน้าจนรู้สึกชาไปถึงสมอง ชายหนุ่มที่โกรธเกรี้ยวพุ่งเข้าใส่คนตัวเล็กกว่าซึ่งยืนทรงตัวไม่อยู่ บัวพยายามฉุดรั้งร่างแข็งแกร่งของชายคนรักเอาไว้แต่ก็สู้แรงไม่ไหว ตอนนี้เต้ยที่ตั้งหลักได้พุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามพลางกระชากคอเสื้อด้วยความเกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน

          “พี่ปั้น! อย่า!”

          สกายที่อยู่ในสถานการณ์ชุลมุนเห็นภาพหญิงสาวที่ถูกเบียดกระเด็นจึงรีบเข้าห้าม มือเรียวผลักอกร่างแกร่งอย่างแรงจนเซถอยหลังไป มือหนึ่งพลางกระชากซองเอกสารในมือหญิงสาวออกมาจากนั้นจึงตบซองนั้นลงไปบนอกของคนตรงหน้า

          “พี่ชื่อปั้นใช่มั้ย?”

          การเข้าแทรกแซงทำให้สถานการณ์ชุลมุนสงบลง ปั้นที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่เหลือบตามองซองเอกสารที่ถูกวางทาบไว้ จากนั้นจึงเปลี่ยนสายตามาสบดวงตาเรียวที่จ้องขึงอยู่ตรงหน้า

          “ดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดี...พี่บัวเค้ากำลังตั้งท้องลูกของพี่ปั้นอยู่!”

          ร่างสูงหันไปมองเต้ยที่ยืนอยู่เบื้องหลังซึ่งตอนนี้ใบหน้าเขียวช้ำจากการถูกทำร้าย มือเรียวคว้าแขนของคนตัวเล็ก อีกมือหนึ่งพลางกดปุ่มให้ลิฟต์เปิด

          “กลับเถอะพี่เต้ย!”

          ประตูลิฟต์เปิดออก สกายจ้องขึงไปทางชายที่ก่อเรื่องไว้เมื่อครู่พลางดึงลากเต้ยเข้าไปข้างใน หญิงสาวมองตามร่างทั้งสองที่เดินเข้าไป ประตูพลันปิดลงช้าๆ

          ภาพสุดท้ายที่เต้ยเห็นบัวคือดวงตาสวยงามที่จ้องมองมาทางเขา น้ำตาค่อยๆไหลรินลงมาอาบใบหน้า ริมฝีปากเล็กนั้นไร้ซึ่งคำพูดใด สายตาเศร้าของเขาทอดสบกลับไปจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลงในที่สุด

          ภายในตู้สี่เหลี่ยมเล็กถูกกัดกินไปด้วยความเงียบ ชายหนุ่มซึ่งเคยพึงพอใจกับสถานะที่ตนเองเป็นบัดนี้กลับไร้ที่ยืน ความรักอันแสนยาวนานของเขามอบบทเรียนอย่างหนึ่งให้กับหัวใจอันบอบช้ำ บางครั้งความรักที่ไม่หวังผลตอบแทนและการตัดสินใจที่จะรักต่อไปอย่างนั้น มันไม่ต่างกับการผลักตัวเองลงสู่ก้นบึ้งแห่งความทุกข์ทรมานและความเขลา เต้ยยืนนิ่งงันทอดสายตาเหม่อลอยไปไกล ดวงตาที่เคยสดใสบัดนี้รื้นขึ้นด้วยน้ำตา หยดน้ำหลั่งรินออกมาอาบแก้มเนื่องจากความปวดร้าวในหัวใจ

          ...หากหัวใจของเขาสามารถเอื้อนเอ่ยได้ มันคงวิงวอนร้องขอเจ้าของร่างกายให้เลิกรักเสียทีได้ไหม เพราะหัวใจเปราะบางดวงนี้อ่อนล้าเหลือเกิน...

          ...หากสมองของเขาสามารถเอื้อนเอ่ยได้ มันคงจะพูดกับเขาว่า พอเสียทีได้ไหมที่จะทำตัวเป็นคนเขลาเช่นนี้ต่อไป...

          ...หากดวงตาที่เคยสดใสของเขาสามารถเอื้อนเอ่ยได้ มันคงจะตำหนิเขาว่า อีกกี่ครั้งกี่หนที่จะทำให้ดวงตาคู่นี้ต้องบอบช้ำและเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา...

          สกายทนไม่ไหวเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาคว้าร่างที่ไร้ชีวิตชีวานั้นเข้ากระชับกอดแน่น สีหน้าของร่างสูงเจ็บปวดไม่ต่างจากคนที่อยู่ในอ้อมกอด คนที่น้ำตานองอยู่นั้นค่อยๆซบใบหน้าลงบนบ่ากว้าง เขาสะอื้นเล็กน้อยมือทั้งสองพลางกอดกระชับขึ้น

          ตอนนี้สิ่งที่สกายพอจะทำให้คนที่เขารักได้คือการแบ่งเบาความทุกข์ออกจากร่างกายที่สั่นสะอื้นอยู่ ช่วงเวลาสั้นๆระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นบนช่างยาวนาน เขาได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ทำไมความรักจึงทำให้คนเรากลายเป็นคนโง่ได้ถึงเพียงนี้...

          แม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน...





          เรื่องราวที่ผ่านพ้นไปเมื่อวาน ยามนี้ได้ฝากรอยช้ำไว้บนใบหน้าใส ร่างเล็กยืนมองภาพสะท้อนของตนผ่านกระจกในห้องน้ำ ยามปกติชายหนุ่มเป็นคนรักสงบ น้อยนักที่จะทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เว้นแต่คราวนี้ที่เขาทนไม่ได้จริงๆ

          ‘Rrrrrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังลั่นขึ้นทำให้คนหน้ากระจกรีบเอาน้ำลูบหน้าไวๆก่อนจะเดินออกมา สายตาจับจ้องไปบนหน้าจอ ชื่อ “พี่บัว” ปรากฏขึ้นอยู่บนนั้น เต้ยหยุดคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงตัดสินใจรับสาย

          “ว่าไงครับพี่บัว...?”

          [เต้ย! พี่นึกว่าเต้ยจะไม่ยอมรับสายพี่ซะแล้ว...เต้ยเป็นยังไงบ้าง?]

          “เต้ยไม่เป็นไรครับ...”

          ความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขามันไม่เจ็บเลยสักนิด เมื่อเทียบกับบาดแผลในใจที่เขาก่อขึ้นมาเอง

          [เต้ย...เรื่องเมื่อวานพี่ต้องขอโทษจริงๆ นะ...]

          “อืม...ช่างมันเถอะพี่...ลืมๆมันไปเถอะนะ...”

          บัวอึกอักก่อนจะเอ่ยต่อ น้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกผิด

          [แล้วก็ขอบใจมากๆนะ...ทั้งเต้ย...ทั้งสกายเลย]

          เต้ยยิ้มขึ้นอย่างหมองเศร้าเมื่อได้ยินดังนั้น เสียงหญิงสาวที่ก่อนหน้าดูกังวลตอนนี้ฟังดูสดใสขึ้นเล็กน้อย

          “พี่ดีใจนะที่เต้ยมีเพื่อนดีๆ น่าอิจฉาจริงๆ”

          “อื้ม...”

          ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นในลำคอพลางนึกถึงคนที่กอดปลอบเขาเมื่อวาน กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เขาติดหนี้ให้กับรุ่นน้องคนนี้ น่าแปลกที่ทุกครั้งที่มีปัญหา คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าของเขาเสมอก็คือ “สกาย”

          [เต้ย...พี่กับพี่ปั้นเราตกลงกันได้แล้วนะ...]

          เสียงหญิงสาวที่เอ่ยขึ้นดึงความคิดที่เพิ่งจะล่องลอยไปให้กลับมาจดจ่อกับคู่สนทนา

          [พี่กับพี่ปั้นจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ ถ้าหาฤกษ์ได้เมื่อไหร่พี่จะมาส่งข่าวนะ...]

          รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้น อย่างน้อยสิ่งที่เขารู้สึกกับพี่สาวข้างบ้านคนนี้ก็เป็นเรื่องจริง “ความยินดี”

          “ดีใจด้วยนะพี่บัว...ทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้วนะ...”

          [อื้ม! พี่รู้สึกขอบคุณเต้ยจริงๆนะที่คอยอยู่เคียงข้างพี่มาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต หวังว่าเราจะยังคงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆนะ!]

          สิ้นคำพูดของบัว เต้ยได้แต่นิ่งไปไม่เอ่ยคำพูดใด ดวงตากลมเจือไปด้วยความทุกข์ท่วมท้นอยู่ในใจ สมองกับหัวใจทำงานไปคนละทิศคนละทาง “ใจ” นั้นยังอยากอยู่ แต่ “สมอง” บอกให้ไปเพราะรู้ดีว่าทุกสิ่งที่ผ่านมามันเกินรับไหว

          [เต้ย...พี่ขออะไรเต้ยอย่างนึงได้มั้ย?]

          “...ว่ามาสิครับพี่บัว”

          [ในงานแต่งของพี่ พี่อยากให้เต้ยเป็นคนทำเค้กแต่งงานให้พี่ได้มั้ย?]

          “.....”

          หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายเงียบไปจึงรีบเอ่ยต่อ สิ่งที่เธอขอเป็นสิ่งที่เธอปรารถนาจากชายหนุ่มคนนี้จริงๆ

          [เต้ยไม่ต้องทำยิ่งใหญ่อลังการอะไรหรอก เอาแค่ง่ายๆก็พอ ถือว่าทำเป็นของขวัญแต่งงานให้กับพี่...นะ...พี่อยากให้ทุกคนในงานได้รู้ว่าเต้ยของพี่ทำขนมเก่งขนาดไหน!]

          ชายหนุ่มยังคงนิ่งฟังพลางใช้ความคิด ไม่ว่าอะไรที่บัวร้องขอเต้ยก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ร่างเล็กถอนหายใจน้อยๆก่อนจะเอ่ยต่อ

          “ได้ครับพี่...”

          [จริงนะเต้ย! พี่ดีใจที่สุดเลย! ขอบใจมากๆนะ]

          เมื่อเขาได้ยินเสียงดีใจสดใสของหญิงสาวจึงหัวเราะขึ้นเล็กน้อย แต่กลับเป็นการหัวเราะที่ดูขมขื่นไม่น้อย หากแต่คนฟังไม่ได้เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้จึงไม่อาจรู้ได้

          [อุ๊ยพี่ปั้นโทรมา! งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะเต้ย ไว้คุยกันวันหลังนะ บ๊ายบาย!]

          “บายครับ...”

          ปลายสายวางหูไปทิ้งไว้เพียงเสียงตัดสาย เต้ยค่อยๆยกโทรศัพท์ออกจากหูจากนั้นจึงกดวาง เขาถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง ดวงตามีแต่แววเศร้าหมองพลางมองเหม่อออกไปไร้ทิศทาง

          ตอนนี้เต้ยกำลังตัดสินใจว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างกับหัวใจตัวเอง…


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP12 : Confession of The Fruit Punch

          “P’Peam please go out with me!” (พี่ภีมคบกับผมนะ!)

          “ห๊ะ?!”

          เด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงเอ่ยขึ้น แต่การที่เลือดของเขาสูบฉีดขึ้นใบหน้าเช่นนี้หาใช่เพราะความเขินอาย แต่เป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ต่างหาก ส่วนคนฟังที่นั่งเท้าคางอยู่ตอนนี้อ้าปากค้างตาโตด้วยความงุนงง

          “Hey...Where will you guys going? Let me join…*hik*” (เฮ้ย....พวกนายจะไปไหนกันว้า? ขอกูไปด้วยดิ...อึก...)

          ดีเรคที่ได้ยินบทสนทนาของคนสองคนเมื่อครู่เอ่ยขึ้น ตอนนี้เขาหน้าแดงหนักยิ่งกว่าโอม เด็กหนุ่มสะอึกเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงพลางฉีกยิ้มกว้าง ปากก็พูดงึมงำเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน



          ต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้ว กลางฤดูร้อนที่ท้องฟ้าแจ่มใส ยามเย็นที่ดวงตะวันคล้อยไปทำให้อากาศไม่ร้อนนัก ลมโกรกสบายเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่อินเตอร์เนชันแนลเฮ้าส์จะจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกัน

          ดีเรคเดินไปทั่วงาน ในมือถือจานที่พูนไปด้วยเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้ อีกมือหนึ่งถือแก้วพลาสติกสีแดง ในแก้วบรรจุด้วยน้ำพันช์สีชมพูอมส้มสวยงาม เขาเดินตรงมายังโต๊ะที่โอมนั่งอยู่ จากนั้นจึงวางจานและแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างๆเพื่อนของเขา

          “Hey Ohm! where is P’Peam?” (เฮ้ยโอม! พี่ภีมอ่ะ?)

          “Right over there!” (อยู่นู่นไง!)

          โอมเอ่ยขึ้นพลางพเยิดหน้าไปทางที่รุ่นพี่ของเขายืนอยู่ คิ้วเข้มขมวดขึ้น ใบหน้าหงิกงอ แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ภาพที่เห็นคือภีมซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปกำลังย่างเนื้อเสียบไม้โดยมีชายหนุ่มร่างสูงผมสีน้ำตาลสว่าง ดวงตาสีเขียวทรงเสน่ห์ จมูกโด่งคม ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ

          ‘แม่ง! มีผู้ชายมาจีบอีกแล้ว...’

          เขาได้แต่หัวเสียอยู่ในใจ โอมรู้ดีว่าภีมมีเสน่ห์ขนาดไหน เพราะขนาดตัวเขาเองที่คิดว่าตนชอบผู้หญิงมาตลอดยังหลงจนโงหัวไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเกย์ด้วยกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          “Ohm! Aren’t you hungry?” (โอม! มึงไม่หิวหรอวะ?)

          ดีเรคเอ่ยขึ้นพลางมองลงไปที่จานของโอม ซึ่งตอนนี้เนื้อเสียบไม้ได้เย็นชืดไปหมดแล้ว เขานึกเสียดายอาหารที่ยังไม่ได้แตะต้องจึงคว้าขึ้นเอาใส่ปาก

          “Asshole! This’s mine!” (ไอ้สัส! นี่ของกู!)

          โอมหันไปสบถใส่คนข้างๆที่เอามื้อเย็นของเขาไปกิน ใบหน้าบูดบึ้งหงุดหงิดในอารมณ์ทำให้เพื่อนผอมสูงของเขาเอาใจไม่ถูก

          “Hey! Why are you so moody today? Let’s go grab some more food. Come on!” (เฮ้ย! วันนี้มึงหงุดหงิดอะไรวะเนี่ย? ไปหาอะไรกินเพิ่มเหอะ ป่ะ!)

          โอมลุกขึ้นจากโต๊ะโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างบาง ดีเรคเห็นท่าทางโอมยึกยักจึงใช้แขนเรียวล็อกคอแล้วเดินลากนำไป เด็กหนุ่มทั้งสองเดินไปกินไปไม่หยุด อีกมือก็พลางตักน้ำพันช์สีชมพูสวยในโหลแก้วดื่มแบบไม่บันยะบันยัง

          เวลาผ่านไปได้สักพัก ดีเรคก็เดินโซเซตรงมาที่ภีม เขาเดินหัวเราะมาตลอดทาง จากนั้นจึงเอนตัวลงซบกับบ่ารุ่นพี่ชาวต่างชาติของเขา โดยที่ไม่ได้สนใจผู้ชายแปลกหน้าอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

          “Hey P’Peam…Do you have a toothbrush? ...*hik*” (เฮ้ยพี่ภีม...พี่มีแปรงสีฟันป่ะ? ...อึก)

          “Huh? Why do you need a toothbrush?” (ห๊ะ? จะเอาแปรงสีฟันไปทำอะไรวะ?)

          ภีมได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากคนที่กำลังเอาศีรษะถูอยู่กับไหล่ของเขา น่าแปลกที่มีแอลกอฮอล์ให้ดื่มในที่แห่งนี้ ที่ๆมีนักเรียนอายุไม่ถึงอาศัยอยู่มากมาย ต้องมีใครสักคนเล่นพิเรนทร์ขึ้นมาแน่ๆ

          “P’Peam…I wanna brush my teeth, I have to go to bed by 8 o’clock…*hik*” (พี่ภีม...ผมอยากแปรงฟัน ผมต้องเข้านอนตอนสองทุ่ม...อึก)

          “แปรงฟันเหี้ยอะไรของมึงวะดีเรค”

          เสียงของเด็กหนุ่มอีกคนลอยตามมา ดวงตาใสตอนนี้ฉ่ำเยิ้ม ใบหน้าแดงก่ำ ทว่าเขายังเดินตรงอยู่ไม่หมดสภาพเหมือนกับดีเรค ในมือถือแก้วน้ำสีแดงพลางยกขึ้นดื่ม ภีมเกิดความสงสัย เขาคว้าแก้วน้ำสีสดใสออกจากมือของโอม เบื้องหน้าคือเครื่องดื่มสีชมพูสวย เมื่อเขาสูดกลิ่นทุกอย่างก็กระจ่างขึ้น

          ‘มีคนใส่เหล้าลงไปในน้ำพันช์!’

          สิ่งที่ภีมคิดได้ตอนนี้คือเขาควรจะแจ้งให้ผู้ดูแลสถานที่ทราบ แต่ก็เหมือนจะทำไม่ได้เพราะตอนนี้ดีเรคได้เลื้อยลงไปนอนที่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่โอมใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนหัวเราะร่าอยู่บนพื้นอย่างสนุกสนาน

          ‘Excuse us Eric, I think I have to go now. As you see…” (ขอโทษทีนะอีริค เราต้องขอตัวก่อนนะ ก็...อย่างที่เห็น...)

          ภีมหันไปพูดกับชายหนุ่มที่ยืนข้างๆพลางพยุงคนเมาที่นอนหัวเราะอยู่บนพื้นขึ้น ส่วนโอมก็เข้าไปช่วยด้วยอีกแรง พวกเขาช่วยกันลากร่างผอมๆสูงๆออกจากพื้นที่ไป ดีเรคทิ้งน้ำหนักตัวลงบนคนทั้งสองอย่างไม่ได้สติ ส่วนขายาวๆก็เดินเปะปะโซเซตามแต่ที่คนพยุงจะนำพาเขาไป



          ตัดกลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน ตอนนี้ชายสามคนรวมตัวกันอยู่ในห้องของดีเรค โดยที่เจ้าของห้องทิ้งตัวอยู่บนเตียง ส่วนโอมกับภีมนั่งอยู่ที่พื้น

          “โอมอยากจะพูดอะไรกับพี่กันแน่ห๊ะ?”

          “ก็โอมกำลังขอพี่ภีมเป็นแฟนอยู่นี่ไง!”

          เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกมึนอยู่บ้าง แต่เขาก็มีสติรู้ตัวเต็มที่ ในขณะที่ตอนนี้รุ่นพี่ของเขาได้แต่เลิกคิ้วทำตาโตค้างไว้อย่างนั้น

          “แล้วมาพูดอะไรตรงนี้...ตอนนี้?!”

          “ก็พี่ภีมบอกโอมเองว่าถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นไม่ให้พูดภาษาไทย...”

          มือเรียวสวยยกขึ้นขยี้ผมน้อยๆด้วยความรู้สึกยุ่งยาก ตอนนี้ใบหน้าสวยดูตลกพิกล คิ้วเข้มขมวดขึ้น ดวงตาคมหรี่ลงมองคนตรงหน้า ปากก็บึ้งง้ำงอ

          “โอ๊ย! พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น! ...แป๊ปนึงนะโอม! Hey! Derek are you alright?” (ดีเรคนายไม่เป็นไรใช่มั้ย?)

          ชายหนุ่มคุกเข่ายืดตัวขึ้นพลางชะเง้อมองคนที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง เขาเขย่าตัวเรียกดีเรคเล็กน้อยแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมานอกจากเสียงกรนเบาๆ

          “ป่ะโอม! เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ห้อง”

          ภีมลุกขึ้นยืนพลางส่งมือให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่พื้น โอมเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น

          “โอมไม่ได้เมาซะหน่อย! แล้วโอมก็ยังคุยกับพี่ภีมไม่จบเลยด้วย”

          ถึงโอมจะพูดเช่นนั้นแต่เขาก็คว้ามือเรียวสวยเอาไว้พลางออกแรงลุกขึ้น จากนั้นจึงเป็นฝ่ายลากภีมออกจากห้องไป



          ภายในห้องของโอม ขณะนี้เด็กหนุ่มได้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ในขณะที่ภีมนั่งห้อยขาลงมา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ภีมได้นั่งทิ้งระยะห่างระหว่างเขากับโอมไว้พอสมควร

          “อ่ะ! โอมมีอะไรอยากจะพูดก็พูดมา...”

          “โอมไม่ชอบที่พี่ภีมไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่น...”

          “หา?”

          “โอมทนไม่ไหว! โอมหึง...คือ...โอมก็ไม่รู้ว่าโอมชอบพี่ภีมไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน...”

          ภีมได้ฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นก็รู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าขึ้นมา จู่ๆก็ถูกสารภาพรักด้วยท่าทางซื่อๆแบบนี้ ภีมเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

          “ถ้าโอมอยากให้พี่ภีมเลิกยุ่งกับผู้ชายคนอื่น โอมก็คงต้องเอาพี่ภีมมาเป็นของโอมคนเดียวเท่านั้น! เพราะงั้นพี่ภีมเป็นแฟนกับโอมเถอะนะ...”

          ชายหนุ่มสบตาคนที่กำลังหน้าแดงตาเยิ้มอยู่ตรงหน้าพลางหัวเราะน้อยๆออกมา

          “ที่โอมพูดอย่างนี้เพราะโอมเมาใช่ป่ะ? ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือ”

          “โอมบอกแล้วไงว่าโอมไม่ได้เมา! แค่กึ่มๆ ที่โอมพูดไปคือโอมรู้ตัวสติก็ยังอยู่ดี โอมกล้าพูดเลยว่าความรู้สึกนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วพอตื่นมาก็ลืม”

          ภีมนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นสายตาเว้าวอนที่จ้องตรงมาโดยไม่กะพริบ เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆพลางเอามือแกร่งวางบนมือของเขาที่ตอนนี้วางท้าวอยู่บนเตียง

          “...นะ...พี่ภีม...คบกับโอมนะ...”

          ชายหนุ่มที่นิ่งงันเมื่อครู่เริ่มอมยิ้มเขินน้อยๆก่อนจะหัวเราะเบาๆ

          “อ่ะๆ คบก็คบ! ถ้าพรุ่งนี้โอมตื่นขึ้นมาแล้วไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ พี่ก็จะถือว่าเราเป็นแฟนกัน”

          “พี่ภีมไม่ได้หลอกโอมใช่ป่ะ! พี่ตกลงแล้วนะ!”

          “เออ”

          เด็กหนุ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความดีใจ เขาพุ่งตัวโอบคนเบื้องหน้าพลางประทับริมฝีปากได้รูปลงบนริมฝีปากอิ่มสวยเบาๆ ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวจึงได้แต่เบิกตามองคนที่จูบเขาอยู่อย่างนั้น ภีมผลักร่างของเด็กหนุ่มออกช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพลางยิ้มขำ

          “ใครสอนให้โอมจูบแบบนี้วะ?”

          เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นจึงนิ่งไป ดวงตาของคนทั้งสองสบจ้องกันอยู่ไม่ละไปไหน ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวพลันแปรเปลี่ยน รอยยิ้มชวนหัวเมื่อครู่เลือนหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มบางที่แต้มอยู่บนริมฝีปากหยัก ดวงตาสวยคมมองช้อนสบตาคนตรงหน้าอย่างเชิญชวน มือเรียวดึงคอเสื้อของเด็กหนุ่มให้โน้มลงมาใกล้ ริมฝีปากกระจับเผยอออกเล็กน้อยพลางเคลื่อนใบหน้าเข้าไป นัยน์ตาดึงดูดปรือหลับลง กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากคนตรงหน้าลอยขึ้นแตะจมูก โอมหลับตาลงจากนั้นทั้งคู่จึงประทับริมฝีปากเข้าด้วยกัน

          ริมฝีปากอิ่มจูบเม้มลงบนริมฝีปากได้รูปอย่างนุ่มนวล ลิ้นอุ่นถูกส่งเข้าไปรบกวนริมฝีปากของฝ่ายตรงข้ามพลางเกี่ยวกระหวัดโต้ตอบ เด็กหนุ่มสั่นกระตุกเล็กน้อยด้วยความหวามไหว มือแกร่งข้างหนึ่งไล้ลงบนแก้มเนียนเรื่อยมายังลำคอขาวพลางเกลี่ยเส้นผมที่ระอยู่ด้วยความเคลิบเคลิ้ม

          คนทั้งคู่ถอนริมฝีปากออกจากกันครู่หนึ่งพลางสบตา จากนั้นจึงบรรเลงรสจูบต่ออีกครั้งอย่างดูดดื่ม...เนิ่นนาน...



          ‘Rrrrrrrrr’

          คนที่กำลังหลับสบายอยู่ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของใครบางคน แขนแข็งแรงปาดป่ายไปมาควานหาต้นตอของเสียง โอมเอาตัวออกจากผ้าห่มพลางลุกขึ้นนั่ง เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า เขาเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือของรุ่นพี่ซึ่งอยู่บนหัวเตียงจากนั้นจึงกดรับสาย

          “Hello…” (ฮัลโหล...)

          โอมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ในขณะที่ปลายสายตอบรับอย่างสดชื่น

          “Morning Peam! This is Eric! Do you remember me? We met yesterday at the party!” (อรุณสวัสดิ์ภีม! นี่อีริคเองนะจำได้มั้ย? ที่เราเจอกันเมื่อวานในงานปาร์ตี้ไง)

          เมื่อได้ฟังดังนั้นเขาจึงตื่นขึ้นเต็มตา อารมณ์ที่ควรจะสดใสในยามเช้าแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด

          “How dare you calling my boyfriend! Son of a bitch!” (มึงกล้าดียังไงโทรมาหาแฟนกู! ไอ้สัส!)

          พูดจบโอมรีบตัดสายพลันด้วยความเกรี้ยวกราด โดยไม่ทันมองว่ามีคนยืนพิงประตูเช็ดผมพลางหัวเราะชอบใจอยู่เบื้องหลังของเขา

          “ทำไมเวลาด่าถึงพูดคล่องนักห๊ะโอม?”

          ร่างบางที่ดูเปียกชื้นน้อยๆก้าวเข้ามาในห้อง เข้าทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงพลางจ้องมองเด็กหนุ่ม รอยยิ้มชวนหัวปรากฏขึ้นบนใบหน้า โอมขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้น

          “ในมือถือพี่ภีมมีเบอร์ผู้ชายที่เป็นกิ๊กอยู่กี่คน? บล็อกเบอร์ให้หมดเลยนะเพราะตอนนี้พี่ภีมไม่โสดแล้ว!”

          “โอเคๆ...”

          ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระแล้วทำตามแต่โดยดี เขากดบล็อกเบอร์ไปพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะส่งสายตายียวนเด็กหนุ่ม

          “ยิ้มอะไรพี่ภีม?”

          “เปล๊า! ไม่ได้ยิ้ม นี่จริงจังอยู่...แฟนหวงเก่ง”

          ภีมพูดพลางอมยิ้มทำให้โอมอดหมั่นไส้ไม่ได้จึงกระโจนตัวเข้าคร่อมแฟนหมาดๆของเขา มือก็พลางจี้เอวคนที่ล้มตัวอยู่ไปด้วย จมูกโด่งกดลงหอมฟอดบนแก้มเนียนนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว ภีมทั้งดิ้นทั้งหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน

          “โอ๊ย! ฮ่าๆ ๆ ๆ โอมพอแล้ว พี่จะขาดใจตายอยู่แล้ว!”

          “กวนเก่งนักก็ต้องโดนแบบนี้แหละ!”

          ชายสองคนกระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน ภีมคว้าหมอนมาตีหัวโอมจนผมยุ่งไปหมด ตอนนี้บรรยากาศแห่งความรักและความสุขที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นั้น





++++++++++++++++



                 ถ้าให้เปรียบเทียบคู่โอมกับภีมคงจะเหมือน Big Bike ในขณะที่เต้ยกับสกายเป็นได้แค่จักรยานแม่บ้านเท่านั้นนะคะ เรื่องราวความรักของทั้งสองคู่ค่อยๆดำเนินไปตามทิศทางของตัวเอง อีกไม่นานตัวละครทั้งสี่ก็จะได้มาเจอกันแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามอ่านนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP13 : Stressed & Desserts

          ภายในสตูดิโอที่ถูกแต่งแสงสวยงาม ชายหนุ่มในเสื้อแขนยาวขนาดใหญ่โคร่งสีชมพูพาสเทล สวมกางเกงขายาวเข้ารูปสีขาวสะอาดเหมาะเจาะ กำลังพยายามทำหน้าสดชื่นถ่ายรูปคู่กับบรรดาลูกกวาดชิ้นโตหลากสี วันนี้เป็นอีกครั้งที่ “สกาย” ได้รับปากมาช่วยเป็นแบบถ่ายภาพให้กับอ้อ

          “สกาย! นี่มึงสดชื่นได้แค่นี้หรอวะ มันไม่ออกมาทางแววตาเลยเว้ย ทำหน้าอย่างกะหมาถูกทิ้ง!”

          “ขอโทษครับพี่...”

          นี่เป็นอีกครั้งที่สกายต้องเอ่ยขอโทษอ้อ เขาต้องพยายามฝืนทำตัวให้สดชื่นที่สุดถึงแม้ว่าใจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นก็ตาม สาเหตุที่เขามีสภาพซึมกะทือเช่นนี้ก็เนื่องมาจาก เต้ยเงียบหายไปหลังจากเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล รุ่นพี่หนุ่มส่งข้อความมาหาเขาเพียงแค่ครั้งเดียว

          ‘สกาย...ช่วงนี้มึงไม่ต้องมาช่วยกูทำขนมนะ แล้วก็...กูของดรับออเดอร์ซักอาทิตย์นึง’

          สกายคิดถึงเจ้าของข้อความใจจะขาด เขาเข้าใจว่าเต้ยอาจจะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวหลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา แต่อย่างน้อยสกายก็อยากรู้ความเป็นไปของเต้ยบ้างไม่ใช่ขาดการติดต่อไปแบบนี้

          “โอเค! พอแค่นี้ก่อนสกาย ตอนนี้กูพอใจละ”

          เสียงอ้อตะโกนดังขึ้น สกายผละตัวออกมาจากฉากที่ถูกเซ็ทไว้ คนเตี้ยถือน้ำแดงใส่น้ำแข็งมาพลางยื่นให้เพื่อนที่กำลังทำหน้าห่อเหี่ยวอยู่

          “อ่ะ! กินน้ำหวานก่อนดิสกาย จะได้สดชื่นๆ”

          “ขอบใจนะเว้ยซัน...”

          สกายรับน้ำหวานมาดื่มช้าๆ ความหวานดูเหมือนจะช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

          “ไอ้สกายเดี๋ยวมึงไปไหนต่อวะ? ครั้งที่แล้วกูยังไม่ได้เลี้ยงข้าวมึงเลยนะเว้ย วันนี้ไปมั้ยมึง?”

          อ้อเอ่ยขึ้นชวน เขายังติดหนี้รุ่นน้องคนนี้เมื่อคราวก่อนอยู่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

          “ไว้วันหลังแล้วกันพี่ วันนี้ผมไม่ค่อยหิว เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ...”

          ชายหนุ่มยกมือไหว้รุ่นพี่ไวๆ จากนั้นจึงรีบเดินออกจากสตูดิโอของคณะไป เขาค่อยๆลากร่างกายอันห่อเหี่ยวไปตามทางเท้าอย่างเชื่องช้าราวทากกระดืบ ลานจอดรถก็อยู่ไม่ได้ไกลแต่เดินเท่าไหร่กลับไม่ถึงเสียที

          “ไอ้สกายมึงเป็นอะไรวะ? ออกมาตั้งนานแล้วยังเดินไม่ถึงลานจอดรถอีกหรอ?”

          เสียงอ้อตะโกนไล่หลังมา ตอนนี้เขากำลังปั่นจักรยานขนาบทางเท้ามาช้าๆโดยมีซันซ้อนท้ายมาด้วย

          “นั่นดิ สกายเป็นอะไรรึเปล่า? บอกเราได้นะ”

          ซันผู้แสนสุภาพเอ่ยขึ้น สกายหันไปมองคนทั้งคู่โดยไม่พูดอะไร พลันเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตากำลังปั่นจักรยานอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน ดวงตากลมเล็กจ้องมองตรงไปตามทาง เส้นผมอ่อนนุ่มเจือสีน้ำตาลปลิวล้อลม

          ‘พี่เต้ยนี่หว่า!’

          สกายคิดขึ้นได้ว่าเขาควรจะรีบตามคนๆนั้นไป เขาหันไปมองเพื่อนเตี้ยที่ซ้อนท้ายจักรยานรุ่นพี่หนุ่มอยู่

          “ขอโทษนะเว้ยไอ้ซัน!”

          “พลั่ก!” เสียงคนตัวเตี้ยที่ตอนนี้หัวคะมำลงไปบนถนน สกายผลักเพื่อนเขาออกให้พ้นทาง เขาไม่รอช้านั่งลงซ้อนท้ายจักรยานของรุ่นพี่ อ้อตกใจตาโตเหลือกและเอ่ยขึ้นเสียงดัง

          “เฮ้ยมึงทำอะไร! มาซ้อนท้ายกูทำไม!”

          “พี่อ้อ! พี่ไม่ต้องเลี้ยงข้าวอะไรผมทั้งนั้นแหละ ผมขออย่างเดียว...ตามจักรยานคันนั้นไปเงียบๆก็พอ”

          อ้อได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ เขาหันไปมองคนตัวเล็กที่ค่อยๆลุกขึ้นยืนขึ้นจากพื้นพลางตะโกนบอก

          “ไอ้ซันมึงรอนี่แป๊ป เดี๋ยวกูกลับมารับ!”



          ชายสองคนบนจักรยานกำลังไล่ตามคนที่ปั่นอยู่เบื้องหน้าแบบห่างๆ เวลาที่คนตัวเล็กหันมองทางซ้ายทีขวาทีสกายก็จะคอยมุดตัวซ่อนอยู่หลังอ้อทุกครั้งไป เพราะสกายเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้เต้ยมีอารมณ์อยากจะเจอเขาบ้างรึเปล่า

          “เฮ้ยไอ้สกาย! มึงจะให้กูปั่นตามไปจนถึงเมื่อไหร่วะ?”

          อ้อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาปั่นจักรยานตามคนข้างหน้ามาได้สักพักแล้ว แต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะจบลงเมื่อไหร่

          “ก็ตามไปเรื่อยๆ จนกว่าคนข้างหน้าเค้าจะหยุดอ่ะพี่...”

          “ไอ้ห่า! อย่างงี้กูไม่ต้องปั่นตามเค้าไปจนถึงบ้านเลยรึไงวะ!”

          “ชู่ว...”

          สกายส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นอ้อเริ่มตะเบ็งเสียงขึ้น ขณะนี้ชายทั้งสองได้มาถึงจุดจอดจักรยานหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว คนที่ถูกตามอยู่เอาจักรยานของเขาเทียบเข้าซองจอด สกายตบไหล่อ้อรัวๆพลางบอกให้หยุด

          “พี่อ้อๆ จอดๆ!”

          ขายาวๆก้าวลงจากจักรยาน พลางทำท่าลับๆล่อๆอยู่ไกลๆจากคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว

          “พี่อ้อขอบคุณมาก ผมรีบไปก่อนนะ!”

          “เออ!...มันเล่นเหี้ยอะไรของมันวะ...?”

          อ้อเอ่ยตามหลังคนที่ไม่ได้สนใจจะฟังคำล่ำลาพลางบ่นพึมพำ สกายค่อยๆย่องตามหลังเต้ยไปช้าๆให้ห่างพอให้อยู่ในระยะที่เขายังมองเห็น ร่างเล็กวิ่งขึ้นรถเมล์ที่พึ่งเข้ามาจอดทางประตูหน้า ส่วนสกายก็รีบขึ้นตามไปทางประตูหลังแบบไม่ต้องคิด



          ในที่สุดสกายก็รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเต้ยคือที่ไหน สถานที่ๆเขากำลังมองส่องคนที่คิดถึงอยู่ตอนนี้คือร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าที่ไปเป็นประจำ เต้ยกำลังก้มๆเงยๆอยู่บริเวณชั้นขายการ์ดอวยพร ส่วนสกายที่กำลังยืนอยู่ห่างๆตอนนี้ได้หยิบเอาหนังสือ “การปลูกทุเรียนนอกฤดู” ขึ้นมาแสร้งทำเป็นอ่าน

          “พี่สกายใช่มั้ยคะ?”

          ‘อีกแล้วหรอวะ?!’

          นักศึกษาหญิงสามสี่คนกำลังยืนล้อมหน้าล้อมหลังชายหนุ่มอยู่ตอนนี้ การทำตัวให้จืดจาง ไม่เป็นเป้าสายตาสำหรับสกายนับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาล้มเหลว

          “พวกหนูขอถ่ายรูปด้วยนะคะ”

          สกายยิ้มแห้ง แต่ก็ยินยอมแต่โดยดี เหล่าหญิงสาวรอบๆตัวเขายืนเบียดแนบชิดพลางยืดมือที่กำลังถือโทรศัพท์เพื่อเก็บภาพทุกคนไว้ให้หมดในเฟรมเดียว

          “ให้พี่ถ่ายให้เอามั้ย?”

          เสียงใสที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น ขณะนี้ชายหนุ่มดวงตากลมสดใสกำลังจ้องมองมายังกลุ่มคนที่พยายามถ่ายรูปอยู่ เหล่าหญิงสาวพยักหน้าท่าทางดีอกดีใจ จากนั้นจึงส่งโทรศัพท์มือถือให้กับเต้ย

          “เอ้ายิ้มนะ...หนึ่ง สอง สาม!”

          ‘แม่งโดนจับได้เลยกู...’

          สกายบ่นพึมพำอยู่ในใจ เขาทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นคนตรงหน้า ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆเพื่อถ่ายรูปให้จบๆไป เต้ยคืนโทรศัพท์ให้เหล่าหญิงสาว จากนั้นพวกเธอก็จากไปและทิ้งชายหนุ่มสองคนไว้ให้อยู่ด้วยกัน

          “อะ...เอ่อ...พี่เต้ย...บังเอิญจังเลยเนอะ...”

          สกายเอ่ยขึ้นละล่ำละลัก มือไม้ก็พลางยกขึ้นเกาหัวตีมึนไปเรื่อย

          “อืม...มึงมาทำอะไรอยู่นี่ล่ะ?”

          “อ๋อ! คือ...ผมมาซื้อสมุดน่ะ ใช่ๆซื้อสมุด...”

          สกายเอ่ยขึ้นพลางคว้าเอาสมุดลายไทยจัดแพ็คหนึ่งโหลขึ้นมาถือไว้ เต้ยเห็นท่าทางเก้กังพิลึกพิลั่นของสกายก็หัวเราะขึ้นพลางส่ายหน้าน้อยๆ

          “แล้วพี่เต้ยล่ะ?”

          “กูมาซื้อการ์ดอวยพรงานแต่งงาน”

          เขาเอ่ยขึ้นพลางชูการ์ดที่ออกแบบสวยงามขึ้นให้คนตรงหน้าดู

          “เออพูดถึงงานแต่งงาน! พี่บัวเค้าจะแต่งงานแล้วนะเว้ย กำหนดวันมาแล้วด้วย เค้าฝากให้กูช่วยชวนมึงแต่กูไม่ได้เอาการ์ดมาว่ะ ไว้กูเอามาให้วันหลังนะ”

          สกายจ้องมองใบหน้าใสของคนตรงหน้า แผลฟกช้ำยังคงทิ้งร่องรอยไว้จางๆ เขาเลื่อนมือไปเชยคางคนตรงหน้าขึ้น พลางเบี่ยงแก้มใสให้มองเห็นรอยช้ำได้ชัดเจน

          “พี่เต้ยเป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”

          เต้ยนำมือเรียวของสกายออกจากใบหน้าตนช้าๆ ริมฝีปากบางยิ้มขึ้นเล็กน้อย แววตาเศร้าลง แต่กลับพยายามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส

          “กูไม่เป็นไรแล้ว แผลก็เหลือแค่รอยช้ำนิดหน่อย...”

          “แล้ว...”

          สกายเอ่ยขึ้นอึกอัก เขาไม่กล้าพอที่จะถามต่อ สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าใส คนฟังพอจะเดาได้ว่ารุ่นน้องอยากจะถามอะไรจึงเอ่ยขึ้น

          “กูโอเคแล้ว วันนั้นกูเหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่างออกมาหมดแล้ว...ทั้งตะโกน...ทั้งร้องไห้ ตอนนี้โล่งขึ้นเยอะ!”

          เต้ยพยายามยิ้มให้กับคนตรงหน้า สกายเห็นก็รับรู้ได้ว่าเต้ยกำลังฝืนอยู่ เขายิ้มตอบจางๆพลางจ้องมองลงไปในดวงตาเศร้านั้น เต้ยรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังเป็นห่วงจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

          “สกายมึงหิวป่ะ? ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย?”



          ‘วันนี้ทำไมพี่เต้ยดูแปลกๆจังวะ?’

          ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่เต้ยชวนคนตัวสูงกว่าไปกินข้าว สกายก็ได้เห็นแสนยานุภาพแห่งความหิวของคนที่ไม่น่าจะกินเยอะ ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก เครื่องเคียงต่างๆ ทั้งข้าวทั้งเส้น ถูกตักมาวางกองบนโต๊ะไม่หยุดมือ มื้อนี้ทั้งสองเลือกที่จะกินบุฟเฟ่ต์ชาบูด้วยกัน ซึ่งสกายไม่เคยรู้มาก่อนว่าเต้ยจะกินได้เยอะขนาดนี้

          “พี่เต้ย...อีกสิบนาทีจะหมดเวลาแล้วนะ”

          “อ้าวหรอ? งั้นเดี๋ยวกูขอไปตักแพนเค้กกับไอติมเพิ่มก่อนนะ”

          ‘ยังไม่อิ่มอีกหรอวะ?!’

          ตอนนี้สกายจุกจนแทบจะลุกไม่ไหวแล้ว แต่ทำไมรุ่นพี่ตัวเล็กถึงยังกินต่อได้สบายๆ ตอนนี้ปากบางยังคงไม่หยุดเคี้ยว มือก็พลางใช้ส้อมจิ้มแป้งแผ่นกลมราดด้วยเมเปิ้ลไซรัปหั่นเป็นคำยัดเข้าปาก ส่วนสกายคิดได้อย่างเดียวคือเขาต้องกลับไปออกกำลังกายชดใช้

          ‘หรือพี่เต้ยเค้าจะเครียดวะ?’

          เมื่ออาหารบนโต๊ะถูกกวาดเรียบไปพร้อมๆกับเวลาที่หมดลง เต้ยลุกขึ้นไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์เสร็จสรรพ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไปโดยแทบจะไม่รอคนเบื้องหลัง

          “สกายมาเร็ว!”

          เต้ยเอ่ยเร่งให้สกายตามมา ซึ่งตอนนี้เขาจุกไปหมดจึงเดินตามไปช้าๆพลางหยิบเงินในกระเป๋ากางเกงส่งให้กับเต้ย

          “เฮ้ยไม่ต้อง กูเลี้ยง!”

          “พี่เต้ยรับไปเถอะ พี่เลี้ยงผมบ่อยแล้ว แถมมื้อนี้ก็ไม่ได้จะถูกๆ”

          “กูบอกว่าเลี้ยงก็เลี้ยงสิวะ!”

          สกายไม่อยากขัดใจจึงค่อยๆยัดเงินกลับลงกระเป๋า เขาเดินตามคนตัวเล็กเรื่อยมาจนมาหยุดอยู่หน้าสถานที่ๆเต็มไปด้วยเกมตู้มากมาย เต้ยไม่รอช้าเดินนำเข้าไปด้านใน



          “โครม!” เสียงออกหมัดดังลั่นใส่ลูกยางกลมๆขนาดประมาณลูกบอลซึ่งถูกติดตั้งไว้บริเวณส่วนบนของตู้ต่อยวัดกำลัง ตัวเลขสีแดงวิ่งทะลุเก้าพันไปแล้ว

          “ฟู่!”

          เต้ยพ่นลมออกมาพลางสะบัดมือที่เพิ่งออกแรงไปเบาๆก่อนจะเอ่ย

          “น่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะแซงคะแนนสูงสุดได้แล้วแท้ๆ...”

          ‘แปลก...แปลกจริงๆด้วย แถมน่ากลัวอีกต่างหาก...’

          สกายเหงื่อตก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเต้ยจะเป็นคนที่หมัดหนักขนาดนี้ ถ้าวันนั้นเต้ยกับปั้นต่อยกันขึ้นมาจริงๆคงไม่มีใครได้ออกจากโรงพยาบาล

          “สกายมึงลองมั่งดิ!”

          “ห๊ะ? !”

          สกายมองหน้าใสๆของเต้ยพลางทำหน้าเหลอหลา จากนั้นจึงลองขยับตั้งท่าก่อนจะเหวี่ยงหมัด “โครม!” กำปั้นได้ถูกเหวี่ยงออกไปยังเป้าหมาย ชายทั้งสองจับจ้องไปยังตัวเลขสีแดงที่กำลังวิ่งอยู่

          ‘เจ็ดพัน?!’

          ชายหนุ่มที่ร่างสูงใหญ่กว่าคนตัวเล็กข้างๆได้แต่นิ่งอึ้งไป ดวงตาเรียวเบิกขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ปากอิ่มก็อ้าค้างไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นเครื่องเล่นชิ้นนี้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ สำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรงออกกำลังกายเป็นประจำอย่างเขา ความพ่ายแพ้นี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ

          “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ มึงไม่ต้องเศร้าไปหรอกสกาย ป่ะ! ไปที่อื่นกันเหอะ!”

          คนหัวเราะลั่นตบบ่ากว้างของร่างสูงเบาๆ จากนั้นจึงลากแขนของสกายที่ตอนนี้กำลังสลดหดหู่ในความอ่อนแอของตนให้ออกมาจากบริเวณนั้น พวกเขาลงบันไดเลื่อนเรื่อยมายังชั้นใต้ดิน



          ‘ซื้ออะไรเยอะแยะวะครับเนี่ย?!’

          ตอนนี้สกายตัวแทบจะเอียงไปข้างนึงเพราะตะกร้าหนักๆในมือ ภายในนั้นมีทั้งนมรสกล้วย มันฝรั่งแผ่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ช็อกโกแลต คุกกี้ เยลลี่ และอีกสารพัดของกินที่เขาบรรยายไม่หมด ยังไม่นับขวดน้ำอัดลมที่เต้ยกอดไว้อีกสองสามขวด

          “พี่เต้ยจะจัดปาร์ตี้หรอครับ?”

          สกายเอ่ยถามอย่างสงสัย จะว่าประชดก็ไม่เชิง หรือคนตัวเล็กจะซื้อกลับไปให้ครอบครัวก็ไม่อาจรู้ได้

          “เปล่า...กูซื้อไว้กินเอง”

          ‘ห๊ะ! พี่จะจำศีลหรือไงคร้าบ?’

          สกายได้แต่ทึ่งอยู่ในใจ วันนี้เต้ยดูแปลกมากจริงๆเหมือนกับเก็บกดอะไรมายังไงอย่างงั้น เต้ยเดินนำไปที่แคชเชียร์ ทั้งสองค่อยๆวางของลงจากนั้นจึงชำระเงิน

          “เออ...สกาย...”

          “ครับพี่?”

          คนสองคนที่ช่วยกันหิ้วของพะรุงพะรังเดินออกมาจากซุปเปอร์ ตอนนี้ดวงตากลมๆจับจ้องมาที่ดวงตาเรียวพลางยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “วันนี้ขอบใจมากนะเว้ยที่มาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนกู...กูไม่ได้ทำอะไรอย่างนี้มานานมากละ วันๆก็ไปเรียนแล้วก็กลับมาทำขนม วันนี้กูสนุกมากเลย”

          สกายไม่ได้คาดคิดว่าการที่เขามากินข้าว เล่นเกม เดินซุปเปอร์จะเป็นสิ่งพิเศษสำหรับเต้ย พอได้ฟังดังนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้างกลับไป ถ้าเช่นนั้นการที่จะคิดว่ามันคือการ “ออกเดต” ก็ไม่น่าจะผิดอะไร

          “ถ้าพี่เต้ยมีความสุข ผมก็มีความสุขครับ”

          ชายหนุ่มเอ่ยตอบ เขายิ้มขึ้นจนดวงตาเรียวหยีลงเป็นสระอิ ปากอิ่มพลันยิ้มสดใส ส่วนคนฟังได้ยินดังนั้นกลับดูยิ้มเขินเล็กน้อยพลางหลบสายตาไป คนทั้งสองเดินเรื่อยมาจนถึงร้านขายของกระจุกกระจิกร้านหนึ่ง

          “พี่เต้ย! ผมขอแวะร้านนี้แปปนึงนะ”

          ราวกับตุ๊กตากระต่ายตัวโตขนปุยที่กำลังเหงาหงอยอยู่บนชั้นวางของกำลังรอการโอบกอดของเขา สกายวางข้าวของที่พะรุงพะรังลงกับพื้น จากนั้นจึงไม่รีรอที่จะหยิบตุ๊กตาลงมาลูบๆคลำๆ ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข เต้ยที่มองอยู่ใกล้ๆได้แต่อมยิ้มตามภาพเบื้องหน้า ชายหนุ่มตัวสูงที่ยามปกติเหมือนคนนิ่งขรึม จริงๆแล้วกลับมีความเป็นเด็กอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังยิ้มได้สว่างสดใสมากกว่าใครๆที่เขาเคยพบเจอ

          “สกาย...มึงชอบตุ๊กตาหรอวะ?”

          “เปล่าหรอกพี่ ผมชอบกระต่ายน่ะ ตอนเด็กๆเคยเลี้ยง แต่ผมเป็นหอบหืดเลยต้องยกให้คนอื่นไป...”

          ร่างสูงเอ่ยตอบ ในมือก็ยังคงถือตุ๊กตาอยู่อย่างนั้น ดวงตาจับจ้องลงบนกระต่ายตัวปุยพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต

          “มึงชอบตุ๊กตาตัวนี้แล้วทำไมมึงไม่ซื้อกลับบ้านวะ?”

          “ก็มันเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นน่ะพี่ ผมก็อาศัยมากอดๆจับๆเอาฟรีๆนี่แหละ”

          คนตัวเล็กมองชายที่ชื่นชมความน่ารักของตุ๊กตาอยู่ครู่หนึ่งจึงผละออกมา เต้ยเดินสำรวจชั้นวางของรอบๆ จากนั้นสายตาจึงไปสะดุดเข้ากับของชิ้นหนึ่ง พวกกุญแจรูปกระต่ายผลิตขึ้นจากยางสีขาวขนาดเล็ก ดูกลมๆหยุ่นๆ เขาหยิบมันขึ้นมาจากนั้นจึงชูขึ้นให้สกายดู

          “สกาย มึงว่าพวงกุญแจอันนี้น่ารักป่ะ?”

          สกายเห็นของตรงหน้าก็ยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาเป็นประกาย

          “น่ารักดีพี่”

          ‘แต่พี่น่ารักกว่า’

          ชายหนุ่มได้แต่คิดเวิ่นเว้ออยู่ในใจ เต้ยได้ฟังดังนั้นจึงเอ่ยตอบ

          “งั้นกูจะซื้อพวกกุญแจอันนี้ให้มึงแล้วกัน ถือว่าเป็นของขวัญขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...ถึงมันจะถูกไปซักหน่อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่มึงเคยช่วยเหลือกู”

          “ไม่หรอกครับพี่ ไม่ว่าพี่จะให้อะไรผมก็ดีใจทั้งนั้นแหละ”

          สกายยิ้มขึ้น ริมฝีปากอิ่มแต้มไปด้วยรอยยิ้มสว่าง ใบหน้าระบายไปด้วยความสุขพลางจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา

          “งั้นหรอวะ? เออ! จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่กูได้รู้ว่ามึงชอบอะไร”

          ‘แล้วเมื่อไหร่พี่เต้ยจะรู้ซักทีละครับว่าผมชอบพี่...?’

          เขาได้แต่ถามอยู่ในใจ สกายเก็บตุ๊กตาตัวปุยกลับขึ้นบนชั้น จากนั้นจึงเดินตามคนตัวเล็กไปที่แคชเชียร์

          “ป่ะ! กลับกันเถอะว่ะ ค่ำแล้ว”

          สกายพลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้เอารถมา เนื่องจากเขาแอบตามเต้ยมาแบบเงียบๆ จึงเอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก

          “เอ่อ...พี่เต้ย...คือ...วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาน่ะ...แบบว่า...หาที่จอดยาก...”

          “อ้าว? แล้วมึงจอดรถไว้ที่ไหนวะ?”

          “ที่คณะศิลปกรรมครับ...”

          “งั้นหรอ? เออๆไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเข้าไปเอารถเป็นเพื่อนมึง”

          เต้ยก้าวเท้าเร็วๆเดินนำไป สกายรีบสาวเท้าตามมาติดๆ ทั้งสองเดินออกมานอกห้างสรรพสินค้าพร้อมกับข้าวของรุงรังจากนั้นจึงรีบวิ่งขึ้นรถเมล์ไป



          “อ่ะ! ขึ้นมา”

          คนตัวเล็กที่ตอนนี้คร่อมอยู่บนจักรยานพลางใช้ขาข้างหนึ่งยันลงบนพื้นเอ่ยขึ้น ข้าวของในถุงจำนวนหนึ่งถูกแขวนไว้กับแฮนด์จักรยาน สกายค่อยๆ นั่งซ้อนลงบนเบาะ บนตักมีถุงสัมภาระอีกจำนวนหนึ่งที่เต้ยได้ซื้อมาอย่างบ้าคลั่ง คนที่ทรงตัวอยู่คลอนตัวเล็กน้อยเนื่องจากรับน้ำหนักที่กดลงมา จากนั้นจึงใช้เท้ายันลงบนบันไดจักรยานออกแรงส่งตัวให้พวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

          “จับดีๆ!”

          เต้ยเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังนั่งอยู่อย่างไม่มั่นคง มือเรียวยาวเก้กังไม่รู้จะไปจับตรงไหน เขาเอื้อมไปจับเบาะคนข้างหน้าที เอื้อมไปด้านหลังที จนทำเอาคนข้างหน้ารำคาญขึ้นมาน้อยๆ

          “มึงจับกูก็ได้ กูไม่ถือ!”

          สกายได้ฟังดังนั้นจึงเอามือไปคว้าไปที่เอวของคนตัวเล็ก เต้ยสะดุ้งขึ้นก่อนจะสบถ จักรยานที่แล่นโต้ลมอยู่เซไปเล็กน้อย

          “เหี้ย! อย่าจับตรงนี้! กูจักจี้ จับบ่าดิวะ!”

          สกายขำขึ้นจากปฏิกิริยาของคนข้างหน้า จากนั้นจึงเลื่อนมือขึ้นจับลงบนบ่าแคบๆ คนที่กำลังปั่นจักรยานอยู่เหลือบมองมาด้านหลังก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “ขำอะไรมึง?”

          “เปล่าพี่...ไม่มีอะไร...”

          สกายเอ่ยตอบ เขาก็แค่นึกขำขึ้นในความน่าเอ็นดูของคนตัวเล็ก ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบได้มืดลงสนิท มีเพียงแสงไฟตามรายทางที่เปิดให้ความสว่างแก่คนสองคน สายตาเรียวจับจ้องแผ่นหลังเล็กๆของคนเบื้องหน้า เส้นผมอ่อนนุ่มที่ปลิวน้อยๆตามแรงลม บรรยากาศเงียบเหงาโดยรอบไม่อาจพรากช่วงเวลาแห่งความสุขที่เขามีต่อคนๆนี้ไปได้เลย ชายหนุ่มได้แต่ปรารถนาให้มันคงอยู่แบบนี้ตลอดไป



          ในห้องนอนที่ไฟสลัว ภายในเย็นฉ่ำไปด้วยการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ร่างที่นั่งอยู่บนเตียงนอนนุ่มกำลังใช้มือเรียวนำกุญแจดอกหนึ่งเข้าคล้องกับพวกกุญแจนุ่มหยุ่นรูปกระต่ายสีขาวที่เขาได้รับมาเป็นของขวัญ ใช่แล้วกุญแจนั้นคือกุญแจห้องของเต้ย เขานั่งจ้องมองมันพลางอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข สายตาไม่ละออกจากสิ่งของที่อยู่ในมือพลางคิดถึงคนที่มอบให้

          สำหรับเขาแล้วนี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งที่เขาเคยได้รับมาในชีวิต...




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP14 : Too Close Like Youtiao

          เสื้อวูลแขนยาวเนื้อหนาตัวหนึ่งกำลังถูกเด็กหนุ่มร่างสันทัดคว้าขึ้นสวมทางศีรษะ เส้นผมที่ถูกเนื้อผ้าระผ่านทางคอเสื้อยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อย โอมหันไปสำรวจตัวเองในกระจกพลางใช้มือจัดแต่งทรงผมที่ไม่เป็นระเบียบ

          “Ouch! It’ s hurt! Ah…” (โอ๊ย! เจ็บนะ! อ๊ะ…)

          เสียงหนึ่งดังมาจากนอกห้อง เสียงที่เด็กหนุ่มจำได้ ภีมร้องลั่นขึ้นจนเด็กหนุ่มที่กำลังเสยผมอยู่หน้ากระจกภายในห้องถึงกับชะงัก

          “Shhhh…P’ Peam you are so loud, It’ s still early in the morning…We will disturb the neighbor!” (ชู่ว...พี่ภีมอย่าเสียงดัง ตอนนี้มันยังเช้าอยู่เลย รบกวนคนอื่นเค้า!)

          เสียงของคู่สนทนาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นดีเรคเพื่อนชาวต่างชาติของโอมนั่นเอง

          “Sorry…but can’ t you do it gently?” (ขอโทษ...แต่ว่านายทำเบาๆ หน่อยไม่ได้หรอ?)

          “Relax P’ Peam…Breath in and out slowly then you will feel better…” (ผ่อนคลายหน่อยพี่ภีม...หายใจเข้าออกช้าๆ แล้วจะรู้สึกดีขึ้น...)

          ‘คุยเหี้ยอะไรกันวะ?!’

          โอมที่ตั้งใจฟังบทสนทนาแปลกๆ เมื่อครู่รีบคว้าถุงเท้ากับรองเท้าผ้าใบมาสวม คิ้วเข้มขมวดขึ้นพลางเปิดประตูพรวดพราดออกไปจากห้อง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายสองคนบนโซฟากำลังจ้องมองมาทางเขา ดีเรคกำลังจับขาข้างหนึ่งของภีมเหยียดออกจนสุด

          “Morning Ohm!” (อรุณสวัสดิ์โอม!)

          ดีเรคเอ่ยขึ้นทักทายเพื่อนของเขาที่ซึ่งตอนนี้กำลังส่งสายตาเหี้ยมเกรียมไปทางคนตัวสูง ดีเรคหน้าซีดลงเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ

          “What are you guys doing?!” (พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่?!)

          “I have leg cramp so Derek helping me stretching.” (พี่ตะคริวกิน ดีเรคก็เลยมาช่วยยืดขาให้)

          อากาศเริ่มเย็นลงอีกครั้ง ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้เริ่มผลัดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง ทำให้กล้ามเนื้อที่เคยยืดหยุ่นของชายหนุ่มหดเกร็งขึ้นด้วยความเจ็บปวด โอมเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าพลางผลักเพื่อนตัวสูงของเขาออกไปให้พ้นทาง

          “Back off Derek!” (ถอยไปดีเรค!)

          “Why are you acting so weird lately?” (ทำไมพักหลังๆมาเนี่ยมึงทำตัวประหลาดจังวะ?)

          ความ “ประหลาด” ของโอมที่ดีเรคเอ่ยถึงนั้นเนื่องมาจากว่า ช่วงนี้โอมมักจะหงุดหงิดอยู่บ่อยๆ เนื่องจากความเสน่ห์แรงของภีมทำให้มีคนเข้าหาคนรักของเด็กหนุ่มไม่หยุดหย่อน เขาจึงต้องมีสภาพเหมือนหมาเฝ้าเนื้ออยู่ตลอดเวลา อย่างว่ากลิ่นหอมหวนของอาหารรสโอชะ ทำให้ไม่ว่าใครที่ผ่านไปมาได้กลิ่นเข้าก็เป็นต้องน้ำลายสออยากเข้ามาลิ้มลอง ทั้งๆ ที่อาหารนั้นก็ถูกตั้งทิ้งไว้นิ่งๆ ไม่ได้มีการป่าวประกาศชวนชิมแต่อย่างใด

          ดีเรคได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ ส่วนโอมไม่รอช้าที่จะส่งสายตาจองเวรไปทางเพื่อนของเขาจนทำให้คนตัวสูงต้องเงียบปาก มือแกร่งจับพลางนวดลงบนน่องของรุ่นพี่หนุ่มอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยถาม

          “พี่ภีมหายเจ็บรึยัง?”

          “อื้ม! พี่ดีขึ้นแล้ว แค่เมื่อยหนึบๆนิดหน่อย”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางยิ้มให้คนตรงหน้า ส่วนโอมเองก็ได้แต่ยิ้มตอบอย่างมีความสุข สายตาหวานเชื่อมถูกส่งให้แก่รุ่นพี่หนุ่ม จนคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆได้แต่ขนลุกเบาๆ

          “I think we should get going now. Let’ s find something to eat before heading to the museum.” (พี่ว่าเราควรจะไปกันได้แล้ว หาอะไรกินก่อนแล้วค่อยไปที่พิพิธภัณฑ์)

          ร่างบางเอ่ยขึ้นพลางลุกจากโซฟา เขาคว้าเสื้อโค้ทตัวหลวมยาวสวมทับอีกชั้นก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มทั้งสองไป



          ขณะนี้ชายสามคนกำลังยืนอยู่หน้ารถบรรทุกมีหลังคาขนาดย่อมสีสันสะดุดตา ติดป้ายตัวใหญ่ว่า “Kebab” (เคบับ) ด้านข้างรถเปิดขึ้นเป็นพื้นที่ขายอาหารส่งกลิ่นหอม ดีเรคกำลังยัดแป้งแผ่นบางที่ถูกม้วนเข้ากับผักและเนื้อเข้าปาก ส่วนโอมกำลังจ่ายเงินให้แก่พ่อค้าตรงหน้า

          ‘Rrrrrrrr’

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภีมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางดึงสิ่งของที่กำลังส่งเสียงร้องพลางสั่นสะเทือนออกมากดรับสาย ภาพของคนในจอปรากฏขึ้น ชายหนุ่มใบหน้าใสดวงตากลมกำลังจ้องมองมาทางคู่สนทนา

          [ไอ้ภีม! มึงทำไรอยู่วะ? มึงว่างคุยป่ะ?]

          “กูกำลังซื้อข้าวอยู่ ว่าไงวะไอ้เต้ย?”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางหันกล้องโทรศัพท์หันไปทางฟู้ดทรัคเบื้องหน้า ในนั้นมีภาพโอมที่กำลังกัดแผ่นแป้งบางพลางทำไส้ร่วงเลอะเทอะปรากฏให้คู่สนทนาเห็น

          [ไอ้ภีมมึงพอ กูกำลังจะนอน อย่ามาทำให้กูหิว!]

          “เออๆ มึงมีอะไรว่ามา”

          [มึงรู้เรื่องที่พี่บัวจะแต่งงานแล้วยังวะ?]

          “กูรู้แล้ว พี่บัวไลน์มาบอกกูเนี่ย พี่เค้าบอกว่าถ้ากลับมาช่วงนั้นพอดีให้กูไปงานแต่งเค้าด้วย”

          พูดจบดวงตาสวยก็สังเกตว่าคนที่ปลายสายนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ภีมจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

          “เต้ย...มึงโอเคป่าววะ?”

          [กูไม่เป็นไร...]

          ใบหน้าใสปลายสายถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ ริมฝีปากบางยิ้มขึ้นจางๆ

          [เออ...แล้วมึงจะไปป่ะ?]

          “ก็ไปดิวะ!”

          โอมที่ได้ยินบทสนทนาอยู่ไกลๆ ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มเพื่อให้ได้ยินบทสนทนาชัดเจนขึ้น

          [แล้วมึงจะกลับไทยวันไหน?]

          “กูว่าจะเลื่อนไปกลับก่อนคริสต์มาสนิดหน่อยว่ะ จะได้ไปถึงก่อนงานแต่งพี่บัวซักอาทิตย์สองอาทิตย์”

          ‘พี่ภีมจะเลื่อนกลับไทยให้เร็วขึ้นหรอวะ? ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย’

          โอมคิดอยู่ในใจเมื่อได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ทั้งเรื่องงานแต่งงาน แล้วไหนจะคนชื่อ “บัว” ที่เด็กหนุ่มรู้สึกคุ้นมากว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน

          [เออ...งั้นมึงกำหนดวันกลับได้เมื่อไหร่มึงบอกกูด้วยล่ะ เดี๋ยวกูไปรับ]

          “คร้าบผม! มึงมีอะไรอีกป่ะกูหิวกูจะแดกข้าว?”

          [ไม่มีแล้วเว้ย! แม่ง...กูไปก็ได้ กูไม่อยู่ให้มึงไล่หรอก...]

          “งอนหรอวะ? ฮ่าๆ มึงเลิกงอแงแล้วไปนอนได้แล้ว ฝันดีนะเว้ย”

          ภีมเอ่ยขึ้นอย่างกวนๆ ใบหน้าสวยยิ้มยียวนใส่คนปลายสาย เต้ยหน้าง้ำลงเล็กน้อยก่อนจะตอบโต้สบถกลับ

          [ไอ้สัส ขอให้ข้าวติดคอ!]

          ปลายสายตัดไป ชายหนุ่มอมยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางมองจ้องโทรศัพท์จากนั้นจึงเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง ดวงตาคมสวยเหลือบขึ้นพบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังจ้องขึงมองมาที่เขา ริมฝีปากที่เจือไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่พลันหุบลงเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้น

          “พี่ภีมจะเลื่อนกลับไทยหรอ?”

          “อ๋อ...อื้ม...ใช่”

          ภีมเอ่ยขึ้นอึกอักพลางยิ้มขึ้นแก้เก้อ เขาลืมไปสนิทว่ายังไม่ได้บอกเด็กหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้

          “เมื่อไหร่?”

          โอมขมวดคิ้วขึ้นพลางจ้องเขม็งมา น้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย

          “ก่อนคริสต์มาสซักอาทิตย์นึงน่ะ”

          “ทำไมต้องเลื่อนกลับด้วยล่ะ?”

          “พี่จะไปงานแต่งพี่บัว พี่สาวข้างบ้าน”

          “พี่บัวไหน ทำไมชื่อคุ้นๆ?”

          “ก็คนที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง?”

          “เล่าว่าอะไร?”

          “อ้าว...?”

          “ก็โอมจำไม่ได้ เล่ามาดิพี่ภีม”

          “คนที่ไอ้เต้ยมันชอบไง!”

          ทุกอย่างกระจ่างขึ้น ตอนนี้เด็กหนุ่มจำเรื่องราวได้ชัดเจนแล้ว “บัว” คือชื่อของหญิงสาวที่” เต้ย” เพื่อนรักของรุ่นพี่ของเขารักข้างเดียวมาโดยตลอด และตอนนี้พี่บัวคนนั้นกำลังจะแต่งงาน ซึ่งมันก็หมายความว่าเพื่อนรักของภีม ไม่สิ! เพื่อนที่ภีมเคยแอบรัก อกหักไปเสียแล้ว....

          คิดได้ดังนั้นความรู้สึกหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ความกลัวกำลังเข้ากัดกินหัวใจของเด็กหนุ่ม ราวกับว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่ “ภีม” จะกลับไปหา “เต้ย” ถ้าหากว่าภีมเปลี่ยนใจไปจากโอมมันจะเป็นเช่นไร แค่คิดขึ้นมาเด็กหนุ่มก็รู้สึกเจ็บร้าวในหัวใจ ถึงเขาจะรู้ดีว่าเต้ยชอบผู้หญิง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะขนาดตัวของเขาเองยังมาหลงรักผู้ชายอย่างภีมได้ จิตใจคิดลบของเด็กหนุ่มกำลังทำงานอย่างหนัก โอมหน้าเสียก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “พี่ภีมงั้นโอมจะเลื่อนกลับด้วย!”



          ประตูของรถขนาดกะทัดรัดที่จอดอยู่ในซองฝั่งคนขับและฝั่งโดยสารเปิดขึ้น ขายาวก้าวออกมาพลางมองให้แน่ใจว่าคนที่อยู่อีกฝั่งปิดประตูรถแล้วเรียบร้อยก่อนจะกดล็อก ชายหนุ่มสองคนสาวเท้าเร็วๆ ไปทางป้าย “อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ” เมื่อผ่านประตูเข้าไปอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศต้อนรับพวกเขาพลางขับไล่ความร้อนชื้นออกไปจากร่าง

          ในที่สุดวันที่เต้ยรอคอยก็มาถึง ในหนึ่งปีจะมีเพียงครั้งเดียวที่เพื่อนรักของเขาจะกลับมาเยี่ยมเยียน ใบหน้าใสดูสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมเปล่งประกาย ริมฝีปากยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข จนทำให้คนที่เดินอยู่ข้างๆอดถามไม่ได้

          “ทำไมวันนี้พี่เต้ยดูอารมณ์ดีจัง?”

          “เออสิวะ! ก็เพื่อนสนิทกูกลับมาทั้งทีกูต้องดีใจเป็นธรรมดา”

          สกายสังเกตได้ว่าเต้ยค่อนข้างจะเป็นคนที่เก็บตัว ถ้าไม่นับตัวเขาและพี่ๆน้องๆของคนตัวเล็ก เพื่อนที่เต้ยสนิทด้วยนั้นจัดว่าน้อยจนนับคนได้ คิดได้ดังนั้นเขาอมยิ้มขึ้นดีใจที่ตนก็เป็นคนหนึ่งที่จัดว่าสนิทกับเต้ยเช่นกัน

          ชายหนุ่มสองคนยืนรออยู่บริเวณด้านนอกที่ถูกกั้นไว้เป็นสัดเป็นส่วน เพียงครู่หนึ่งเขาก็เห็นชายร่างผอมบางเดินเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าหลายขนาดวางทับซ้อนกันออกมา ใบหน้ารูปไข่กับผิวพรรณกระจ่างใส ผมระท้ายทอยสีดำสนิทถูกตัดแต่งทรงไว้เป็นระเบียบสวยงาม ดวงตาคมสวยที่กำลังเหลือบลงมองโทรศัพท์มือถือในมือพลางกดขยุกขยิก ทว่าเขาไม่ได้มาคนเดียว ข้างๆเขามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างสันทัดผิวบ่มแดด ร่างกายแกร่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสดใส คิ้วเข้ม จมูกโด่งคมกำลังหันไปพูดกับคนข้างๆพลางลากกระเป๋าขนาดย่อมออกมา

          ‘Rrrrrrr’

          โทรศัพท์ในมือร่างเล็กดังสั่นขึ้น เต้ยยกมือขึ้นมองแต่ไม่กดรับ เขากลับกดตัดแล้วส่งเสียงตะโกนเรียกเพื่อนของเขาแทน

          “ไอ้ภีม! ทางนี้!”

          เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกขึ้น ริมฝีปากสวยพลันฉีกยิ้มกว้าง ภีมก้าวเดินเร็วๆ มาทางต้นเสียง คนร่างบางโผเข้ากอดกระชับคนตรงหน้าแน่น ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มชื่นใจ ส่วนอีกฝ่ายที่ถูกกอดก็โอบกลับแนบแน่นไม่แพ้กัน ใบหน้าใสยิ้มขึ้นแข่งกับอีกฝ่าย

          “ไอ้เต้ย! กูโคตรคิดถึงมึงเลย!”

          “เออ กูก็เหมือนกัน”

          ชายหนุ่มสองคนที่โผกอดกันเมื่อครู่ขณะนี้ผละตัวออกจากกัน เหลือเพียงดวงตาที่สบกันพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุข ภีมเห็นเส้นผมของเต้ยยุ่งขึ้นน้อยๆจึงใช้มือปัดจัดแต่งให้ ตอนนี้ชายอีกสองคนที่มาด้วยกันราวกับถูกทิ้งไว้อีกโลกหนึ่ง สกายได้แต่มองภาพตรงหน้าตาปริบๆ ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนถอนหายใจพลางขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

          ชายทั้งสองผละตัวออกจากกัน เต้ยหันไปมองสกายที่ยืนอึ้งอยู่ จากนั้นจึงเอ่ยแนะนำรุ่นน้องหนุ่มให้กับเพื่อนของเขาได้รู้จัก

          “เออไอ้ภีม นี่รุ่นน้องกูเองชื่อสกาย”

          “สวัสดีครับ”

          สกายมองชายใบหน้าสวยตรงหน้าพลางยกมือไหว้ เขาสังเกตว่าภีมกำลังมองสำรวจเขาพลางยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัยก่อนจะยกมือรับไหว้ตอบ

          “คนนี้หรอวะที่ไปค้างบ้านมึงอ่ะไอ้เต้ย?”

          “เออใช่คนนี้แหละ”     

          “หืม...นอกจากกูแล้วมึงให้คนอื่นไปค้างที่ห้องด้วยหรอวะ?”

          “ทำไมวะ?”

          “เปล่า...ก็ไม่ทำไม กูรู้แค่ว่าวันนั้นมึงหัวเราะลั่นอารมณ์ดีแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...แต่ตอนนี้กูว่ากูรู้ละ”

          เต้ยย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนของเขาพูด ส่วนภีมเองก็เลิกคิ้วขึ้นส่งสายตายียวนไปยังร่างสูงเล็กน้อย ตอนนี้สกายรู้สึกอึดอัดแปลกๆกับท่าทีที่ชายหนุ่มร่างบางมีต่อเขา

          “เออ! กูเกือบลืม...นี่โอม เป็นรุ่นน้องของกูที่นู่น ตอนมัธยมโอมเรียนที่เดียวกับพวกเราด้วยนะเว้ย แต่พวกเราไม่เคยเจอ”

          เต้ยยิ้มขึ้น พลางพยักหน้ารับไหว้เด็กหนุ่ม ผู้ซึ่งตอนนี้มีเพียงรอยยิ้มฝืดอยู่บนใบหน้า

          “เออพวกมึงหิวกันป่าววะ? แวะไปกินข้าวที่บ้านกูดิ กูเลี้ยงเอง”

          เต้ยเอ่ยขึ้นชวน เขามักจะเป็นห่วงเรื่องปากท้องของคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อตัดสินใจได้ คนทั้งสี่ก็ออกเดินมุ่งไปทางลานจอดรถ สกายเปิดท้ายรถขึ้นในขณะที่คนที่เหลือช่วยกันยกสัมภาระใส่ลงไป เนื่องจากวันนี้ข้าวของมีมาก กระเป๋าบางส่วนจึงถูกนำมาไว้ที่เบาะหลังด้วย

          “โอม เดี๋ยวโอมไปนั่งข้างหน้าแล้วกัน ข้างหลังมันเบียด เดี๋ยวพี่นั่งกับเต้ยเอง”

          โอมได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นพลางหรี่ตามองภีมที่กำลังเบียดตัวขึ้นไปบนรถกับเต้ย ส่วนสกายที่นั่งรัดเข็มขัดรออยู่บนรถแล้วได้แต่มองผ่านกระจกหลังไปเห็นคนสองคนนั่งไหล่เกยกันอยู่

          รถยนต์ขนาดกะทัดรัดแล่นไปตามถนนใหญ่ ซึ่งขณะนี้การจราจรบางเบา ไม่ติดขัด คนสองคนที่นั่งเบาะหลังคุยกันไม่หยุดพลางหยอกเย้ากันมาตลอดทาง ในขณะที่คนข้างหน้าได้แต่นั่งเงียบพลางมองหน้าตามประสาคนหัวอกเดียวกัน

          “ไอ้เต้ยๆมึงดู ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

          “ไอ้ภีม! ไอ้สัส! มึงมันโคตรจัญไร ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

          เสียงหัวเราะลั่นขึ้นมาจากด้านหลังเมื่อภีมโชว์อะไรบางอย่างในโทรศัพท์มือถือให้เต้ยดู คนตัวเล็กหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ในขณะที่ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างพลางสะกิดคนข้างๆไม่หยุด ยิ่งเสียงหัวเราะข้างหลังดังขึ้นเท่าไหร่ คนสองคนข้างหน้าก็ดูจะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น ทั้งสองคงจะคิดไม่ต่างกันว่า ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างจากธาตุอากาศ หรือไม่ก็อยู่กันคนละโลกกับชายสองคนที่หัวเราะเป็นบ้าอยู่ข้างหลัง



          “ไอ้ภีมมึงเอาของลงมาฝากไว้บ้านกูก่อนแล้วกัน เดี๋ยวตอนมึงจะกลับเดี๋ยวกูช่วยขนไปที่บ้านมึง”

          “เอางั้นหรอวะ? เออก็ได้ งั้นกูฝากของโอมด้วยนะเว้ย!”

          “ได้ดิมึง มาๆเข้ามา”

          เต้ยเดินนำทุกคนเข้ามาภายในร้านอาหารของที่บ้านพลางช่วยลากกระเป๋าใบโตเข้ามา ยามนี้ที่ร้านกำลังคึกคักเนื่องจากเป็นช่วงเวลามื้ออาหารพอดี เด็กสาวสองคนเห็นแขกผู้มาเยือนก็วิ่งตรงรี่เข้ามาหา

          “เฮียเต้ย พี่สกาย แล้วก็พี่ภีมนี่!”

          เสียงสดใสเอ่ยดังขึ้น เด็กสาวผมยาวรวบหางม้าท่าทางตื่นเต้นดีใจที่เห็นคนตรงหน้า ในขณะที่เด็กหญิงผมสั้นอีกคนได้แต่ยิ้มน้อยๆพลางยกมือไหว้คนตรงหน้า

          “สวัสดีค่ะพี่ๆ แล้ว...พี่อีกคนนี่ใครหรอ?”

          ตี้เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยในขณะที่หมิงเหลือบไปมองเด็กหนุ่มอีกคนด้วยความใคร่รู้

          “นี่โอม รุ่นน้องพี่เอง”

          “สวัสดีค่ะพี่โอม หนูชื่อหมิงค่ะ ยินดีที่ดะ....”

          ไม่ทันที่ภีมจะเอ่ยแนะนำโอมจบ ชายวัยกลางคนเดินตีสีหน้าเข้มเข้ามาพลางโยกหัวของเด็กสาวช่างจ้อให้คลอนไปน้อยๆ โดยมีหญิงวัยกลางคนท่าทางอบอุ่นเดินตามมาติดๆ ชายทั้งสี่เมื่อเห็นคนตรงหน้าจึงรีบยกมือขึ้นไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทั้งสอง

          “กลับมาเยี่ยมบ้านหรอภีม? คราวนี้มาอยู่กี่วันล่ะ?”

          ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นด้วยความเอ็นดูคู่สนทนา

          “น่าจะซักสามอาทิตย์น่ะครับคุณลุง หลังปีใหม่ก็กลับแล้วครับ”

          ส่วนหญิงวัยกลางคนเห็นร่างสูงตรงหน้า เธอจึงเอ่ยถามขึ้นบ้างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

          “แล้วนี่สกายช่วยไปรับมาหรอจ๊ะ?”

          “ใช่ครับม้า พอดีพี่เต้ยชวนผมน่ะครับก็เลยไปด้วยกัน”

          “แหม่! ขอบใจนะลูก เจ้าเต้ยนี่ละก็...ถ้าอยากไปรับก็มาเอารถที่บ้านไปก็ได้นี่เรา”

          สิ้นคำพูดของหญิงกลางคน สกายก็กระหยิ่มยิ้มขึ้น ดวงตาเรียวเหลือบมองคนหน้าสวยอย่างคนชนะ ริมฝีปากอิ่มแดงยิ้มเหยียดเล็กน้อย สำหรับสกายการที่เขาได้เรียกพ่อกับแม่ของเต้ยว่าป๊ากับม้า ทำให้เขารู้สึกเหนือกว่าภีมที่เรียกผู้ใหญ่ทั้งสองว่าลุงกับป้าเป็นไหนๆ ดวงตาสวยคมมองสบกลับไป พลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนอารมณ์ ตอนนี้ภีมรู้สึกได้ว่าชายร่างสูงกำลังประกาศสงครามกับเขาอยู่

          “ป่ะ! หนุ่มๆ เข้าไปนั่งข้างในเถอะจ๊ะ เดี๋ยววันนี้ครอบครัวป้าจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงต้อนรับเองนะจ๊ะ”

          ชายทั้งสี่เดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย เด็กสาวอีกสองคนเดิมตามไปเตรียมถ้วยชามพลางจัดโต๊ะให้เรียบร้อย โดยที่เต้ยเองก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปช่วยด้วย

          “เออ! แล้วไอ้หนุ่มคนนั้นชื่ออะไรล่ะ? ลุงไม่เคยเห็นหน้า”

          “ผมชื่อโอมครับ เป็นรุ่นน้องของพี่ภีม”

          “โอมงั้นหรอ? เออดีๆ เป็นเด็กผู้ชายก็ต้องดูแข็งแรงแบบนี้แหละ กินให้เยอะๆ เลยนะ เดี๋ยวลุงกับป้าขอตัวก่อนแล้วกัน เต้ยดูแลเพื่อนเอาเองนะ”

          “ครับป๊า!”

          สิ้นเสียงชายวัยกลางคนชายทั้งสี่คนก็จัดแจงนั่งลง แต่เด็กสาวคนหนึ่งยังกลับยืนอยู่ไม่ไปไหน ดวงตากลมสดใสจ้องมองชายสี่คนสลับสับเปลี่ยนกันไปมา

          “อาหมิง!”

          “ค่า!”

          เสียงกร้าวของชายกลางคนตะโกนเรียกหลานสาว หมิงได้แต่ทำหน้ามุ่ยตาละห้อยจากนั้นจึงเดินสะบัดสะบิ้งหายเข้าครัวไป ชายหนุ่มหน้าสวยเห็นดังนั้นจึงสบตากับคนที่นั่งตรงข้ามพลางขำขึ้นน้อยๆ

          “มึงขำอะไรวะไอ้ภีม?”

          “แล้วทีมึงอ่ะ ยิ้มทำไม?”

          เต้ยหัวเราะกลับไปพลางส่ายหัวเบาๆ โดยที่คนตัวเล็กไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้ชายร่างสูงที่นั่งข้างๆเขากำลังขมวดคิ้วพลางหรี่ตามองอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนเด็กหนุ่มที่นั่งเยื้องกับเขาก็มีทีท่าไม่แตกต่างกัน ดูเหมือนว่าความประทับใจแรกที่คนทั้งสี่ได้มาพบเจอกันจะเริ่มต้นไม่สวยเข้าเสียแล้ว


++++++++++++++++


           ในที่สุดตัวละครทั้งสี่ก็ได้มาเจอกันแล้ว แต่กลับเป็นการพบเจอแบบไม่น่าประทับใจซะอย่างนั้น อย่างว่าเป็นเพราะแต่ละคนก็มีปมปัญหากันคนละแบบ ก็คงจะมีแต่เต้ยเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าตามเคย

           สำหรับชื่อตอนนี้ คำว่า Youtiao ก็คือปาท่องโก๋นั่นเอง หมายถึงความสนิทสนมเกินเบอร์ของเต้ยกับภีมที่ทำให้สกายกับโอมเสียวหลังวาบเลย ^^" งานนี้ต้องไปลุ้นกันต่อตอนหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
     
 
EP15 : Custard Bun the Trouble Maker

         บนโต๊ะอาหารบัดนี้เรียงรายไปด้วยอาหารจีนหลากหลายเมนู ทั้งติ่มซำร้อนๆในเข่ง ซาลาเปาลูกสีขาวนุ่มฟูปล่อยไอร้อนออกเตือนใครก็ตามที่คิดจะหยิบมาลิ้มลองโดยไม่ระมัดระวัง ขนมจีบ ฮะเก๋า ชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลากสีน่าทานดูชุ่มฉ่ำ อีกทั้งข้าวผัดปูสีเหลืองทองที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเรียกน้ำย่อยแก่ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น

          เด็กสาวสองคนถือจานใบโตออกมาจากในครัว ตี้วางจานแบนที่มีไก่ต้มเนื้อขาวฉ่ำน่ากินส่งกลิ่นเหล้าจางๆ ลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงวางจานใบใหญ่ที่ถูกเรียงไปด้วยเนื้อเป็ดย่างจนแห้งแล่แผ่นบาง ก่อนที่หมิงจะวางตามด้วยเข่งแป้งแผ่นเหนียวนุ่ม และน้ำจิ้มถ้วยเล็กที่วางซ้อนอยู่ในจานเครื่องเคียงต้นหอม พริกชี้ฟ้าซอย และแตงกวา

          “ไก่แช่เหล้าจานนี้ตี้ทำเอง ส่วนเป็ดปักกิ่งป๊าจัดให้เป็นพิเศษ กินกันให้อร่อยนะพี่ๆ”

          “หมิงก็ช่วยทำด้วยเหมือนกันนะ!”

          เด็กสาวอีกคนเอ่ยขึ้นหวังความดีความชอบ มือไม้ก็ไม่วายเกาะแกะลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกันไปด้วย หลังจากที่เด็กสาวทั้งสองเดินจากไป ชายหนุ่มทั้งสี่ไม่รอช้าจัดแจงคว้าตะเกียบขึ้นคีบอาหารหน้าตาน่ากินขึ้นวางในจาน เต้ยหยิบทัพพีขึ้นตักข้าวผัดปูแจกจ่ายให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะ ขนมจีบ ฮะเก๋า ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกคีบเข้าปาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอาหารมื้อนี้รสดีขนาดไหน

          “แดกใหญ่เลยนะไอ้ภีม อร่อยดิมึง”

          “อร่อยดิวะ! แต่สู้ข้าวผัดไข่โง่ๆที่มึงทำให้กูแดกไม่ได้หรอก”

          ชายหนุ่มสองคนเอ่ยขึ้นโต้ตอบกันไปมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส เมื่อพูดจบคนตัวเล็กก็หยิบซาลาเปาอุ่นนุ่มขึ้นงับเข้าปาก ด้วยความที่เป็นซาลาปาลาวาไส้ครีมไข่เค็มเหลวเยิ้ม ทำให้ริมฝีปากบางของคนกินเลอะเทอะไปหมด สกายเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นพลางเอื้อมมือเรียวเข้าหาริมฝีปากนั้น

          “พี่เต้ยกินเลอะเทอะจัง หยดลงมาจะถึงคางอยู่แล้ว”

          ภีมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นดังนั้นไม่รอช้าเอื้อมมือสวยเข้าปาดเช็ดลงบนริมฝีปากบางของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเลียนิ้วมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยครีมหอมหวานจนหมดจด ทำเอาสกายที่กำลังเอื้อมมือไปได้แต่แช่ชะงักไว้อย่างนั้น เขาจ้องขึงพลางชักสีหน้าขึ้นใส่ร่างบางอย่างเสียอารมณ์ ใบหน้าสวยยักคิ้วเข้มขึ้นเบาๆพลางเหยียดยิ้มขึ้นให้กับชายหนุ่มที่นั่งเยื้องออกไปจากเขา

          “ไอ้เหี้ยภีม! มึงเช็ดแล้วเสือกดูดนิ้วทำไมเนี่ย! สกปรกชิบหาย!”

          “กูหิว!”

          “กวนตีนอีกแล้วนะมึง!”

          ภีมฉีกยิ้มขึ้นหัวเราะร่าใส่คนตรงหน้า โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเขากำลังหัวเสียถึงขีดสุด ดวงตาที่เคยสดใสแข็งขึ้น คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะชนกัน มือแกร่งตบตะเกียบที่ถือคาไว้ในมือลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนจะลุกยืนขึ้น พลางเอ่ยเสียงแข็ง

          “เดี๋ยวโอมขอตัวกลับก่อนนะ โอมกลัวรถติด”

          ใบหน้าถมึงทึงกวาดมองคนรอบโต๊ะพลางยกมือไหว้เร็วๆ เด็กหนุ่มแทรกตัวออกจากเก้าอี้ตรงไปยังที่ๆ เขาฝากสัมภาระไว้อยู่ก่อนจะพรวดพราดออกจากร้านไป ภีมได้แต่งงตาค้าง เขาเห็นทีท่าของโอมดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบลุกตามเด็กหนุ่มออกไป

          “เฮ้ยแป๊ปนึงนะเดี๋ยวกูมา!”

          ชายหนุ่มสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ตรงโต๊ะได้แต่มองตาม เต้ยมีสีหน้างุนงงมองเพื่อนหายลับออกนอกประตูไป ปากก็ยังเคี้ยวตุ้ยไม่หยุด ส่วนสกายได้แต่กอดอกตีสีหน้าหงุดหงิด มองคนที่รีบเดินออกไปและหวังว่าคนๆ นั้นจะไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับเข้ามาให้รกสายตาอีก

          “เออสกาย...เดี๋ยวคืนนี้กูนอนนี่นะ”

          สีหน้าที่หงุดหงิดอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อได้ยินคนนั่งข้างพูดขึ้น เต้ยรีบพูดต่อโดยไม่รอให้สกายได้เอ่ยถาม

          “วันนี้กูว่ากูจะไปค้างกะไอ้ภีมมันน่ะ ว่าจะชวนมันเล่นเกมด้วยกัน เกมนี้กูเล่นติดอยู่ฉากนึงมานานละ วันนี้แหละกูว่ากูต้องเคลียร์ได้แน่ๆเพราะไอ้ภีมมันเก่ง”

          สกายได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ ใบหน้าเจือไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าตะเกียบขึ้นกินข้าวต่ออย่างไม่มีความสุข ตอนนี้อาหารที่ลิ้มรสอยู่ไร้ซึ่งรสชาติใดๆ สกายอดคิดไม่ได้ว่าทำไมอะไรๆ ภีมก็ดีไปหมดในสายตาเต้ย การปรากฏตัวของภีมทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเขาไม่ได้มีความพิเศษสำหรับเต้ยเลย ความสัมพันธ์แค่ระยะเวลาเกือบปีของเขา กับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิทวัยเยาว์ไม่มีทางเทียบกันได้อยู่แล้ว ไหนจะท่าทีมที่ภีมมีต่อเต้ย สกายรู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไร



          เด็กหนุ่มร่างสันทัดลากกระเป๋าใบโตออกมายังถนนใหญ่หน้าร้าน มืออีกข้างมีกระเป๋าใบย่อม ตอนนี้ข้าวของพะรุงพะรังไปหมด แท็กซี่เปิดไฟว่างวิ่งมาแต่ไกล โอมไม่รอช้ารีบโบกรถอย่างรวดเร็ว

          “โอมอย่าเพิ่งกลับดิ เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้”

          ภีมที่รีบเดินตามออกมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย ชายหนุ่มพอจะเดาออกว่ารุ่นน้องของเขารู้สึกยังไง แต่สิ่งที่ภีมทำไปเพียงเพราะแค่อยากจะปั่นประสาทชายหนุ่มที่ทำตัวติดหนึบกับเพื่อนของเขาเท่านั้นเอง

          “โอมไม่อยากอยู่ต่อแล้วมันอึดอัด โอมกลับเองได้!”

          เขาเอ่ยขึ้นเสียงแข็งพลางยัดข้าวของลงท้ายรถ โอมปิดกระโปรงหลังเสียงดังลั่นอย่างใส่อารมณ์จนคนขับที่อยู่ด้านในสะดุ้งน้อยๆ

          “ทำไมวะโอม โอมไม่ชอบเพื่อนพี่หรอ?”

          “โอมไม่ได้ไม่ชอบเพื่อนพี่ แต่โอมไม่ชอบที่พี่ทำตัวแบบนี้ต่างหาก!”

          โอมตาขวางพลางเอ่ยขึ้นเสียงแข็งใส่คนตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูรถแต่ภีมกลับคว้ามือของเขาเอาไว้

          “อะไรวะโอมพี่ไม่เข้าใจว่ะ? มาคุยกันก่อนดิ!”

          “ปล่อย!”

          โอมเสียงแข็งพลางสะบัดมือเรียวสวยออก เขาเปิดประตูรถจากนั้นจึงรีบเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเห็นดังนั้นได้แต่หัวเสีย พลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

          “โอม! อย่ามางี่เง่าดิวะ...”

          ภีมพูดไม่ทันจบเด็กหนุ่มก็ปิดประตูรถใส่หน้า เขาได้แต่มองตามรถที่วิ่งออกไปพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ตาม ภีมเตะเท้าด้วยความหงุดหงิด เขายอมรับว่าตนก็เป็นฝ่ายผิดที่ทำพฤติกรรมเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนรัก แต่มันยอมไม่ได้เมื่อมีชายอีกคนมาหาเรื่องประกาศสงครามประสาทกับเขาก่อน ภีมรู้ตัวดีว่าใจหนึ่งเขารู้สึกหวงเพื่อนคนนี้มาก แต่อีกใจหนึ่งคนรักที่เพิ่งโกรธและหนีจากเขาไปเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวยิ่งกว่า ความหงุดหงิดกลัดกลุ้มก่อขึ้นในใจของชายหนุ่ม รุ่นน้องคนนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขารุนแรงกว่าที่คิดจนเขานึกกลัวขึ้นมา





          ชายหนุ่มร่างสูงเดินเรื่อยมาตามร่มไม้ เช้านี้ของเขาไม่สดใสนัก ดวงตาเรียวสงบนิ่ง คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ริมฝีปากอิ่มบึ้งตึง แม้ว่าสกายกำลังจะทำหน้าเหมือนเกลียดคนทั้งโลกอยู่ก็ตามแต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนที่ผ่านไปมาสนใจในตัวเขาน้อยลงเลย ขายาวหยุดลงที่หน้าโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย สกายเห็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมเดินมาแต่ไกล น้ำเอ่ยขึ้นทักสกายเสียงลั่น

          “เฮ้ย! มึงมาหาข้าวเช้ากินหรอวะ? ไปกินกะกูป่าว?”     

          น้ำเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงสดใส พลางโอบไหล่รุ่นน้องเป็นการทักทาย แต่สีหน้าสกายก็ยังคงบึ้งตึงไม่เปลี่ยนแปลง

          “อะไรของมึงวะสกาย? ทำหน้าเป็นตีนอยู่ได้ กูถามก็ไม่ตอบ!”

          ชายหนุ่มหน้าคมบ่นพึมพำโดยที่แขนก็ยังโอบอยู่อย่างนั้น พลันสิ่งหนึ่งดึงดูดความสนใจของคนทั้งสอง รถยนต์หรูสีดำ ดีไซน์ย้อนยุคหลังคามนสองประตูคันหนึ่งแล่นเข้ามาเทียบจอดยังหน้าโรงอาหารกลางที่พวกเขากำลังยืนอยู่ น้ำเห็นรถคันนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย

          “เขร้! ที่มหาลัยเรามีคนขับปอร์เช่เก้าเก้าสามคูเป้ด้วยหรอวะ? แม่งหาอย่างยาก โคตรเท่เลยว่ะ!”

          ประตูรถคันนั้นเปิดขึ้น คนที่ก้าวเท้าลงจากรถไม่ใช่ใครที่ไหน ชายร่างเล็กที่ทั้งสองคุ้นเคย “เต้ย” นั่นเอง

          “ขอบใจนะเว้ยไอ้ภีมที่มาส่ง”

          “ชิลๆมึง ยังไงวันนี้กูก็ว่างอยู่ละ”

          เต้ยยักคิ้วให้เพื่อนน้อยๆทีนึงจากนั้นจึงปิดประตูรถ น้ำที่เห็นดังนั้นจึงไม่รอช้าเดินเข้ามาหาเต้ยด้วยความสนอกสนใจ

          “เชี่ย...เพื่อนเต้ย! กูอิจฉาบุญตูดมึงจังที่ได้นั่งรถคันนั้น ใครมาส่งมึงวะ?”

          “อ๋อ! ไอ้ภีมไง มึงสองคนเคยเจอกันไม่ใช่หรอวะ”

          “ภีม” แค่สกายได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาความหงุดหงิดก็แล่นขึ้นไปทั่ว เขาไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้ใครหมดรูปขนาดนี้มาก่อน แม้กระทั่งรถที่ไอ้หนุ่มหน้าสวยคนนั้นขับมา ทำให้แจ๊ซสีตะกั่วคันกะทัดรัดของเขาตกกระป๋องกลายเป็นลูกเมียน้อยไปในบัดดล         

          น้ำเดินเข้าไปเคาะกระจกรถเป็นเชิงเรียกคนข้างในพลางฉีกยิ้มกว้าง ภีมลดกระจกลงมาพร้อมรอยยิ้มสวยแต้มบนใบหน้า

          “ไงภีม! จำเราได้ป่ะ?”

          “จำได้ดิ! น้ำใช่ป่ะ? ที่เคยเจอกันเมื่อปีก่อน”

          สายตาเหี้ยมเกรียมจากด้านหลังของชายหนุ่มหล่อคมถูกส่งตรงมายังชายหนุ่มบนรถ ภีมรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตจากสกาย เขาทำหน้าไม่ยี่หร่ะพลางส่งสายตายียวนกลับ ก่อนจะตะโกนออกไป

          “ไอ้เต้ย! ถ้าเย็นนี้มึงอยากให้กูมารับก็บอกนะเว้ย สำหรับมึงกูว่างให้ได้เสมอ!”

          สกายฉุนขึ้น ใบหน้าที่บูดบึ้งอยู่แล้วตอนนี้ยับไปด้วยความเกรี้ยวกราดไม่เหลือชิ้นดี สกายไม่รอช้าที่จะตะโกนโต้ตอบกลับไป

          “พี่ภีมไม่ต้องลำบากมาถึงนี่หรอก! เดี๋ยวผมไปส่งเอง!”

          เต้ยเห็นอาการของชายทั้งสองก็ได้แต่ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง เขามองไปทางร่างสูงที ไปทางเพื่อนหน้าสวยของเขาทีอย่างไม่เข้าใจ ขณะนี้ภีมได้แต่เลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มเยาะกลับไปทางสกายที่กำลังทำหน้าน่ากลัวอยู่

          “งั้นกูไปก่อนนะเว้ย! ตั้งใจเรียนล่ะที่รัก!”

          “ที่รักเหี้ยอะไรของมึงไอ้ภีม กูขนลุก!”

          เต้ยสบถขึ้นเมื่อได้ยินภีมเอ่ยเช่นนั้น ภีมหัวเราะกวนพลางปิดกระจกรถ เขาโบกมือขึ้นน้อยๆ เป็นเชิงเอ่ยลาเพื่อนของเขา

          “โห...ถ้าไอ้ภีมมันว่างขนาดนั้นให้มันมารับกูแทนก็ได้นะเว้ยเพื่อนเต้ย กูอยากนั่งรถมัน.... อ้าวเฮ้ย! ไอ้สกายมึงเป็นไรเนี่ย? ทำหน้าอย่างกับมีคนฆ่าหมามึงตาย!”

          น้ำที่พึมพำเพ้อเจ้ออยู่เมื่อครู่ถึงกับตกใจเมื่อเขาเห็นรุ่นน้องหนุ่มกำลังทำหน้าเดือดดาลแบบที่เกิดมาเขาก็ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

          “สกาย...ไปกินข้าวกับพวกกูป่าว?”

          เต้ยเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทีท่าของร่างสูง เขาได้แต่หวังว่าสกายจะใจเย็นลงถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

          “ไม่ดีกว่าพี่ ผมไม่อยากกินละจะรีบไปเรียน”

          สกายเอ่ยขึ้นเสียงห้วนจากนั้นก็เดินฉับๆ จากไป ทิ้งให้ชายสองคนได้แต่มองตามอย่างงงๆ น้ำยืนเกาหัวพลางบ่นพึมพำว่าอะไรของมัน ส่วนเต้ยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของรุ่นน้องของเขา แต่คนทื่ออย่างเต้ยก็ไม่อาจทราบได้ว่าความโกรธเกรี้ยวของสกายมีต้นเหตุมาจากสิ่งใด...



++++++++++++++++



          ภีมปั่นเก่ง...ปั่นจนงานเข้าตัวเองเลยนะคะ ^^" การที่ภีมถูกโอมโกรธแบบนี้ก็อาจจะทำให้ได้เห็นมุมมองความคิดความรู้สึกของภีมที่มีต่อโอมชัดเจนขึ้นบ้างก็ได้ค่ะ ถึงแม้ว่าคนอย่างภีมจะดูอ่อนไหวน่าหวั่นใจไปซักหน่อยก็ตาม...

          ส่วนสกายตอนนี้กำลังถูกภาวะหมาหัวเน่าคุกคาม สกายจะมาทำตัวแหยๆเหยาะแหยะเหมือนเดิมไม่ได้แล้วน้า มาเอาใจช่วยสกายกันต่อไปด้วยนะคะ ขอบคุณค่า


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
         
EP16 : Alluring Sweet Scent

          บ่ายแก่ๆที่ตะวันคล้อยไป ช่วงปลายปีที่อากาศควรจะเย็นลงแต่วันนี้แดดกลับจัดจ้าแม้จะเลยช่วงร้อนที่สุดของวันมาแล้ว ชายหนุ่มร่างบางขับรถมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองตามเลขที่บ้านเรื่อยมาจากนั้นจึงหยุดรถลงที่หน้าบ้านรั้วเหล็กสีน้ำตาลทึบ

          ภีมลงจากรถไปเปิดท้ายพลางหยิบข้าวของหลายถุงออกมา การปรากฏตัวของคนหน้าสวยที่ตอนนี้สวมแว่นตากันแดดพรางดวงตาคมเอาไว้ ทรงผมที่ถูกจัดแต่งสวยงาม เสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีเข้มตัวรุ่มร่ามที่ปลดกระดุมไว้หลายเม็ดเผยแผ่นอกให้เห็นเล็กน้อย กางเกงยีนส์สีซีดที่ขาดเข่า ไหนจะรถยนต์คันหรูของเขาที่ทำเอาเพื่อนบ้านแถวนั้นแตกตื่นกันไปหมด

          มือเรียวเอื้อมกดกริ่งหน้าบ้าน ชายหนุ่มยืนรอพลางพิงตัวเข้ากับรถของเขา ตาก็จ้องมองข้อความในโทรศัพท์มือถือที่เขาส่งออกไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

          ‘วันนี้โอมอยู่บ้านป่ะ?’

          ข้อความขึ้นว่าถูกอ่านแล้วแต่ไม่มีการตอบกลับ

          ‘อ่านแล้วไม่ตอบแปลว่าอยู่ใช่ป่ะ?’

          ความจริงแล้วภีมเองก็ไม่รู้หรอกว่าวันนี้โอมจะอยู่ที่บ้านหรือเปล่า แต่อย่างน้อยไม่ว่าเด็กหนุ่มจะไปที่ไหนสุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาที่บ้านอยู่ดี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะต้องอดทนรอสักหน่อยมันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร

          ภีมละสายตาออกจากโทรศัพท์ในมือพลางถอนหายใจเล็กน้อย เสียงประตูบ้านชั้นในถูกเปิดออก คนที่เดินออกมาคือคนที่เขากำลังรออยู่ เด็กหนุ่มรูปร่างสันทัดเดินหน้าหงิกมาแต่ไกล วันนี้ผมของเขายุ่งกระดกเล็กน้อย โอมไขประตูรั้วบ้านเปิดออกจากนั้นจึงมองคนตรงหน้าอย่างเคืองๆ

          “มาทำไม? !”

          ภีมได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มยียวน มือก็พลางถอดแว่นกันแดดออกเหน็บเข้ากับคอเสื้อ

          “มาหาแฟน พอดีแฟนหาย!”

          คนฟังยังคงทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยนสี โอมพ่นลมหายใจออกก่อนที่จะยิ้มตอบคนตรงหน้า หากแต่มันคือการแสยะยิ้ม ดวงตาก็ยังขวางน่ากลัวอยู่อย่างนั้น

          “แล้วเจอป่ะ?”

          “ไม่เจอว่ะ เจอแต่หมีโมโหยืนหน้าดำอยู่หน้าบ้านเนี่ย!”

          โอมได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้ายุ่งขึ้นอีกรอบ ความขี้เล่นของรุ่นพี่ของเขาบางทีก็เกินไปหน่อย แทนที่จะทำให้คนอารมณ์ดีก็กลับไปตีให้ขุ่น แต่ก็เป็นเพราะรอยยิ้มของคนกวนนั่นแหละที่ทำให้เด็กหนุ่มคลายความตึงเครียดลงไปได้บ้าง เมื่อได้เห็นว่าคนที่เขากำลังเคืองขุ่นอุตส่าห์ถ่อมาง้อถึงที่บ้าน

          “จะเข้ามามั้ย หรืออยากจะกลับบ้าน!”

          “เข้าๆ ๆ อย่าปิดๆ โอ๊ยๆ ๆ !”

          เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงห้วน มือหนึ่งทำท่าจะงับประตูบ้านปิด ทำให้ภีมต้องรีบเบียดตัวเข้าไปพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังโดยที่โดนประตูหนีบขาข้างหนึ่งเบาๆ



          ความรู้สึกแรกที่ภีมก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของโอมคือความรู้สึกอบอุ่น บ้านของเด็กหนุ่มไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่กลับดูมีชีวิตชีวา ผนังบ้านสีขาวสบายตา ประดับประดาไปด้วยภาพถ่ายครอบครัว ผ้าม่านสีครีมมีลวดลายใบไม้เล็กๆ ถูกรวบไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย โซฟาขนาดสามคนนั่งเต็มไปด้วยหมอนอิงและตุ๊กตา โทรทัศน์แบบตั้งโต๊ะถูกวางไว้เคียงข้างชั้นหนังสือที่ถูกเรียงรายไว้เป็นระเบียบ เมื่อมองผ่านเข้าไปด้านในจะเห็นโต๊ะกินข้าวที่สะอาดเรียบร้อยแต่ก็แอบมีถุงขนมที่เปิดกินแล้ววางไว้ให้เห็น

          ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็อดเปรียบเทียบกับบ้านของตนไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ที่มีอายุมากแล้วถูกปูด้วยพื้นหินอ่อนหรูหราทว่ากลับเย็นเยียบ ด้านในถูกประดับประดาไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง รูปครอบครัวขนาดใหญ่เพียงรูปเดียวบนฝาผนังที่เขาเคยถ่ายตั้งแต่สมัยประถม ครอบครัวนี้มีสมาชิกอยู่แค่สามคน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ไม่พบเจอใคร เนื่องจากพ่อและแม่ของภีมมีงานยุ่งจนแทบจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน จะมีก็เพียงแค่แม่บ้านรายวันแวะเวียนเข้ามาทำความสะอาด ไหนจะโต๊ะอาหารขนาดใหญ่แสนเงียบเหงาที่ภีมพอใจที่จะกินข้าวในห้องนอนของเขามากกว่า

          โอมรับถุงข้าวของที่ได้รับจากรุ่นพี่หนุ่มจากนั้นจึงเริ่มรื้อค้น เขาจัดเก็บทุกอย่างเข้าพื้นที่ตามแต่จะเห็นสมควร ภีมถือวิสาสะทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่ม สายตาก็กวาดไปรอบๆ ตัวบ้าน จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ภาพๆ หนึ่งในกรอบซึ่งถูกตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา ในภาพเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ สองคนกำลังนั่งกอดคอเบียดกันอยู่บนชิงช้า

          “นี่โอมตอนเด็กๆหรอ? แล้วคนนี้น้องชายใช่ป่ะ?”

          โอมหันมองชายหนุ่มที่เอ่ยขึ้นถาม เขาเดินมานั่งลงข้างๆภีมบนโซฟาจากนั้นจึงพยักหน้าตอบเล็กน้อย โอมยังคงรู้สึกเคืองไม่หาย เขาจึงมีทีท่าไม่ใส่ใจคนที่นั่งข้างมากนัก มือหนึ่งก็หยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดโทรทัศน์พลางเลือกหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจ

          “น้องชายโอมกับโอมนี่ดูไม่ค่อยคล้ายกันเลยเนอะ ถ้าดูจากรูปในบ้านพี่ว่าโอมหน้าเหมือนแม่ส่วนน้องชายโอมออกจะเหมือนพ่อมากกว่า...”

          ภีมเห็นคนตรงหน้าไม่สนใจจึงพยายามหาเรื่องชวนคุยแต่ก็ไม่เป็นผล เด็กหนุ่มยังคงนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น แถมยังดูสนใจโทรทัศน์มากกว่าคนข้างๆ เป็นไหนๆ

          “แล้วน้องชายโอมชื่ออะไรหรอ?”

          “พี่โอมๆ ๆ ! รถหน้าบ้านของใครอ่ะ? แม่งโคตรไฮโซ!”

          เสียงหนึ่งดังขึ้นระคนตื่นเต้น เด็กชายในชุดนักเรียกสีขาวกางเกงขาสั้นสีดำ ตัดผมสั้นสะอาด คนหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้าบ้านมาพลางตะโกนเรียกพี่ชายที่อยู่ข้างใน แต่เขาก็ชะงักลงพลางลดเสียงเมื่อเห็นว่าที่บ้านมีแขก

          “สวัสดีครับ...”

          เด็กชายยกมือขึ้นไหว้ชายหนุ่มใบหน้าสวย ส่วนภีมก็รับไหว้พลางยิ้มสดใสกลับไป

          “นี่อาร์มน้องโอมเอง...”

          ไม่ต้องแนะนำก็รู้ได้ทันที น้องชายคนนี้หน้าเหมือนในรูปไม่ผิดเพี้ยน เด็กชายดูตื่นเต้นที่เห็นผู้มาเยือนก่อนจะเอ่ยขึ้น

          “เพื่อนพี่โอมเป็นดาราหรอ? โคตรเท่เลย!”

          ได้ฟังดังนั้นภีมก็หัวเราะออกมา นิสัยซื่อๆโก๊ะๆแบบนี้ท่าทางจะสืบทอดกันทางสายเลือด สำหรับภีมอาร์มเหมือนเป็นโอมในวัยที่เด็กลง ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่คล้ายกันเลยก็ตาม

          “นี่พี่ภีม...เป็นรุ่นพี่ของพี่เอง”

          โอมเอ่ยขึ้นสีหน้าเรียบเฉย ส่วนอาร์มยิ้มกว้างพยักหน้าแบบเร็วๆ พฤติกรรมดูแตกต่างกับพี่ชายของเขาโดยสิ้นเชิง

          “งั้นเดี๋ยวอาร์มขอตัวก่อนนะพี่ๆ อาร์มจะรีบไปเล่นเกม ถ้าพ่อกับแม่กลับมาแล้วพี่โอมบอกอาร์มด้วยนะ!”

          เด็กชายซอยเท้าวิ่งเสียงตึงตังขึ้นบันไดไป ภีมยิ้มน้อยๆ มองตามเด็กชายด้วยความเอ็นดู ส่วนโอมยังคงมองจ้องโทรทัศน์ไม่สนใจสิ่งใด

          “น้องชายโอมน่ารักดีเนอะ”

          ประโยคนี้ทำเอาคนได้ฟังถึงกับหันขวับ โอมขมวดคิ้วพลันชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ใบหน้าสวย ภีมได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป หรือแค่เอ่ยชมคนน้องด้วยความเอ็นดูก็มีความผิด ภีมพยายามง้อจนไม่รู้จะง้อยังไงแล้วแต่เด็กหนุ่มก็ไม่สนใจเขาเสียที ซึ่งตั้งแต่เกิดมาภีมไม่เคยง้อใครขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ดูจะไม่เข้าหูโอมไปเสียทุกเรื่อง



          ความอึดอัดเข้าปกคลุมคนทั้งสอง ตอนนี้ภีมนั่งดูหนังกับโอมมาเกินค่อนเรื่องโดยไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่น้อย ภีมไม่มีสมาธิดูหนังด้วยซ้ำ ตอนนี้สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจเขาก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งหน้าตึงอยู่ข้างๆ

          ภาพที่ฉายบนจอโทรทัศน์ตอนนี้เป็นชายหนุ่มผมสีทองเปิดประตูเข้ามาในบ้านที่เต็มไปด้วยสตรีหลากหลายวัย เขาเอ่ยถามหาภรรยาของเขา ทันใดนั้นหญิงสาวผมสีทองประกายสวยค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นพลางจ้องมองไปทางชายหนุ่มช้าๆ

          ฉากนี้ดึงความสนใจจากคนทั้งสองให้จมไปกับภาพตรงหน้า ภีมคลับคล้ายคับคลาว่าเขาเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน มันคือเรื่อง “เจอรี่ แมคไกว” ที่ถูกฉายตั้งแต่ปีหนึ่งเก้าเก้าหก (Jerry Maguire,1996) เป็นเนื้อเรื่องตอนที่ตัวเอกชายกลับมาง้อภรรยาของเขา

          ในจอชายหนุ่มรูปงามผมสีทองกำลังเอ่ยความในใจที่เอ่อล้นขึ้นให้หญิงสาวได้รับฟัง ภีมขยับตัวเข้าใกล้โอมขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าสวยหันไปมองเสี้ยวหน้าที่กำลังตั้งอกตั้งใจดูหนัง ริมฝีปากหยักเอื้อนเอ่ยคำพูดหนึ่งไปพร้อมกันกับตัวเอกชายในจอไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียว

          “I love you, you complete me.” (ชั้นรักเธอ เธอเติมเต็มชีวิตของชั้น)     

          สิ้นเสียงนั้นโอมจึงหันกลับมามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือดวงตาสวยคมที่จ้องมองลึกลงมาในดวงตาของเด็กหนุ่ม แววตานั้นดูเหงาเศร้าและอัดอั้น เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมาจากคำพูดนั้น คนสองคนตอนนี้ไม่ละสายตาออกจากกัน โดยปล่อยให้ตัวเอกชายในจอโทรทัศน์ยังคงพร่ำพรรณนาต่อไป

          ร่างบางเคลื่อนตัวเข้าหาเด็กหนุ่มจนกายแนบชิด แววตาสวยคมสั่นระริกแต่ก็ยังคงจ้องดวงตาใสสุขุมโดยไม่หลบไปไหน หญิงสาวผมทองสลวยในเรื่องกำลังเอ่ยตอบชายหนุ่ม น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ริมฝีปากอิ่มหยักเอ่ยพูดขึ้นตามต่อด้วยน้ำเสียงเครือไม่แพ้หญิงสาว

          “You had me at hello.” (เธอได้ใจชั้นตั้งแต่คำทักทายแล้วล่ะ)

          โอมได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไป เด็กหนุ่มไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้เลย ใบหน้าของผู้ที่เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกของเขา

          คนที่ทำให้เขาหลงใหลจิตใจฟุ้งซ่านราวกับคนไร้สติ

          คนที่ทำให้เขามีความสุขแค่เพียงได้อยู่ชิดใกล้

          คนที่เขาหลงรักจนหมดหัวใจไม่เหลือที่ว่างให้ผู้ใดอีก

          ใบหน้ากระจ่างใสเคลื่อนเข้าหาใบหน้าเข้มอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาสวยคมช้อนขึ้นกระตุ้นอารมณ์สะท้อนให้เห็นภาพของคนที่ฉายอยู่ก่อนจะปรือหลับลง ริมฝีปากรูปกระจับสะกดสายตาคนเบื้องหน้าไว้ให้หยุดนิ่ง ราวกับลมหายใจของเด็กหนุ่มถูกคนตรงหน้าดึงให้ขาดห้วงไป โอมหลับตาลงช้าๆพลางเคลื่อนริมฝีปากได้รูปเข้าหาอีกฝ่าย ทว่าเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นร้องเรียกเขามาจากทางรั้วบ้าน

          “โอมลูก! นี่รถเพื่อนลูกรึเปล่า? ช่วยบอกให้เค้ามาเลื่อนรถออกไปที พ่อกับแม่จะเอารถเข้าบ้าน!”

          ‘ทำไมต้องกลับมาตอนนี้พอดีด้วยวะ?!”

          ช่างน่าเสียอารมณ์ที่มีคนเข้ามาขัด โอกาสที่ภีมทำให้เด็กหนุ่มคล้อยตามได้พลันสลายลง ชายทั้งสองสะดุ้งขี้นจากเสียงร้องเรียกนั้นพลางหันขวับไปทางประตู พวกเขารีบลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้านเพื่อจัดการกับเจ้ารถหรูเจ้าปัญหา

          แม้จะน่าเสียดายแต่ก็ไม่เป็นไร สำหรับภีมแม้จะต้องพยายามมากกว่านี้เขาก็ยอม...



++++++++++++++++



          ผลพวงจากการที่ภีมก่อเรื่องเอาไว้ ทำให้ต้องตามมาง้อโอมอย่างที่เห็น แถมโอมก็ขี้หึงไม่ใช่เล่น น่าปวดหัวจังเลยนะคะ เอาเป็นว่ามาเอาใจช่วยภีมให้ง้อโอมสำเร็จกันต่อในตอนหน้าแล้วกันนะคะ

          พูดถึงหนังเรื่อง Jerry Maguire ซักหน่อย หนังเรื่องนี้อย่างที่บอกว่ามันเก่าและมีบทพูดที่โด่งดัง ซึ่งเป็นบทพูดระหว่างเจอร์รี่กับโดโรธีนางเอกของเรื่อง แต่ในนิยายพี่ภีมเค้าพูดอยู่คนเดียว ฮ่าาาาา ซึ่งเรายกมาแค่เล็กๆ สำหรับเรามันน่ารักมากๆเลยนะคะ ใครชอบดูหนังเก่าก็ลองไปหาดูกันได้น้า ^^




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Timid Lily

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
EP17 : Reconcile After Supper

          “ตายแล้วมีแต่ของกินที่โอมชอบทั้งนั้นเลยนี่ลูก!”

          เสียงตื่นเต้นของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าตอนนี้บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยอาหารนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในส่งกลิ่นกรุ่น พิซซ่าแป้งบางถาดใหญ่ที่ถูกอุ่นจนหอมอบอวล เสต๊กชั้นยอดเนื้อฉ่ำที่ถูกหั่นออกเป็นทรงเต๋าพอดีคำ ไหนจะมันบดเนื้อเนียนขาวและสลัดผักสีสวยถูกวางเคียงไว้

          “แม่ดีใจจริงๆที่โอมมีรุ่นพี่น่ารักเอาใจใส่ขนาดนี้ ทั้งหล่อ ทั้งมีน้ำใจ มาเป็นลูกชายแม่อีกซักคนมั้ยลูก?”

          “แม่! เยอะไปละ เกรงใจพ่อบ้างก็ดี”

          ลูกชายคนโตเอ่ยขึ้นพลางทำหน้านิ่ว ตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิดได้ทั้งนั้น

          “เกรงใจอะไรล่ะ พ่อแกไม่เห็นจะสนใจอะไรแม่เลย นั่งซื่อบื้อกินพิซซ่าอยู่หน้าทีวีนู่น!”

          ภีมยิ้มขึ้นอย่างพอใจที่อาหารเย็นที่เขาจัดหามาดูเหมือนจะถูกใจคนในบ้านนี้ ไหนจะแม่ของเด็กหนุ่มที่ดูปลื้มเขาอยู่ไม่น้อย เขาเหลือบตามองโอมที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ภีมอมยิ้มส่งให้น้อยๆ แต่โอมกลับทำหน้าตูมขมวดคิ้วส่งกลับมาเสียอย่างนั้น

          “พ่อ! มานั่งกินข้าวที่โต๊ะให้มันดีๆ วันนี้เรามีแขก”

          คนเป็นแม่เอ่ยขึ้นพลางทำหน้ายุ่งหันไปมองสามีที่กำลังเอกเขนกอยู่บนโซฟา จากนั้นเธอก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นรอยยิ้มชื่นใจหันมาเอ่ยกับชายหนุ่มหน้าสวย

          “ภีมนั่งข้างๆ แม่แล้วกันนะลูก เดี๋ยวให้พ่อเค้านั่งหัวโต๊ะไป”

          ใบหน้าสวยอมยิ้มหวานพลางพยักหน้า โอมกับอาร์มพร้อมใจกันมองไปที่แม่ของเขาพลางส่ายหัวดิก ส่วนคนพ่อตอนนี้ลากร่างกายที่เฉื่อยชามานั่งบนโต๊ะกินข้าวได้สำเร็จ มือข้างหนึ่งถือขวดเบียร์มาตั้งไว้

          “ผมรินให้นะครับพ่อ”

          หากคิดว่าคำพูดนี้เป็นของเหล่าลูกชายถือว่าผิดถนัด คนที่เอ่ยขึ้นคือชายหนุ่มเอาใจเก่งอย่างภีมต่างหาก มือเรียวไม่รอช้าคว้าขวดขึ้นมารินเบียร์ให้แก่ชายวัยกลางคนอย่างรู้งาน

          “ขอบใจๆ”

          คนนั่งหัวโต๊ะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม โอมที่กำลังเอื้อมมือไปคว้าพิซซ่าได้แต่เหลือบมองรุ่นพี่ของเขาพลางย่นคิ้วทำหน้ายุ่ง ส่วนน้องชายอย่างอาร์มไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากไก่ทอดที่เขากำลังยัดเข้าปาก

          “ภีมลูก เวลาโอมอยู่ที่นู่นโอมเป็นยังไงบ้าง เกเรรึเปล่า?”

          หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นอย่างใคร่รู้ เธอคิดว่าการได้รับรู้เรื่องราวของลูกผ่านทางคนอื่นอาจจะน่าเชื่อถือมากกว่า แต่ดูเหมือนลูกชายของเธอไม่ค่อยจะเต็มใจให้เล่านัก

          “แม่จะถามทำไมเนี่ย โอมก็ทำตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ!”

          “แม่ถามภีมเค้า ไม่ได้ถามลูก เงียบๆ แล้วก็กินไปเถอะน่ะ!”

          โอมทำปากขมุบขมิบไม่พอใจก่อนจะยัดพิซซ่าเข้าปาก ภีมยิ้มกว้างพลางเอ่ยตอบหญิงที่นั่งข้าง

          “น้องโอมตั้งใจเรียนมากครับ เรียนรู้ไวมาก เวลามีตรงไหนสงสัยไม่เข้าใจเค้าก็จะมาให้ผมทวนให้ตลอด อยู่ที่นู่นโอมติดผมแจเลยครับ”

          “แหมสนิทกันน่าดูเลยนะจ๊ะ”

          โอมที่ยังเคี้ยวไม่หยุดหรี่ตามองคนตรงข้ามอารมณ์ขุ่น ส่วนภีมก็เลิกคิ้วขึ้นยิ้มกวนคนตรงข้าม

          “งั้นคืนนี้ภีมก็ค้างกับโอมเลยสิลูก จะได้อยู่คุยเล่นกันนานๆ”

          “แม่! อย่าลืมสิว่าโอมแชร์ห้องกับอาร์ม คุณชายอย่างพี่ภีมเค้ามานอนเบียดๆกะเราไม่ได้หรอก”

          สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่มภีมก็ยิ้มขึ้นพลางเอ่ยสวนทันควัน

          “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ตอนอยู่ที่นู่นพี่กับโอมก็นอนเบียดๆกันประจำอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”

          ขาแกร่งเตะเข้าที่หน้าแข้งของร่างบาง จนใบหน้าสวยต้องบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หากแต่ไม่มีเสียงร้องดังขึ้นซักแอะ ตอนนี้สีหน้าของโอมดูประหม่าพิกลเพราะเขาทั้งเขินทั้งอารมณ์เสียในเวลาเดียวกัน จนสมาชิกร่วมโต๊ะได้แต่มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างสงสัย

          “เดี๋ยวผมกลับไปนอนที่บ้านผมดีกว่าครับ ผมเกรงใจน้องอาร์มเค้า ขอบคุณที่ชวนนะครับ”

          ภีมบอกปฏิเสธเนื่องจากเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะค้างคืนที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง

          “น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรจ๊ะ ไว้มาเที่ยวที่นี่บ่อยๆแทนแล้วกันนะลูก”

          “ครับผม”

          ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวกำลังมีความสุขกับมื้อเย็น ส่วนภีมก็ได้แต่เหลือบมองคนที่เขารักที่กำลังตั้งอกตั้งใจกิน รอยยิ้มจางๆ แต้มขึ้นบนริมฝีปาก เขาถอนหายใจเล็กน้อยและได้แต่รอว่าเมื่อไหร่เด็กหนุ่มจะหายงอนเขาเสียที



          ในคืนที่ไร้แสงจันทร์เช่นนี้เหลือเพียงดวงดาววาววับที่แข่งกันขับความสว่างเป็นประกายเคียงฟ้าสีนิล ภีมพาตัวเองออกมาอยู่นอกประตูรั้วโดยที่มีเด็กหนุ่มเดินมาส่ง ระหว่างที่โอมกำลังจะปิดประตูลง มือเรียวก็ได้คว้าข้อมือแกร่งเอาไว้

          “เดี๋ยวก่อนสิโอม!”

          โอมมองลงบนมือที่รั้งตัวเขาเอาไว้ก่อนจะเหลือบตาขึ้นสบสายตาที่จ้องมองมาอย่างเว้าวอน

          “โอมกลับไปกับพี่นะ...”

          ภีมเอ่ยขอเสียงอ่อน เขาไม่อยากจะเสียเวลาเปล่าไปกับการหมางใจ ต้องทำอย่างไรเด็กหนุ่มคนนี้ถึงจะอภัยให้กับเขา โอมแข็งข้อมือขึ้นพลางดึงประตูเข้าปิด

          “พี่ขอโทษ! หายโกรธพี่เถอะ...นะ...”

          ดวงตาสวยสั่นระริกพลางมองคนตรงหน้าไม่วางตา เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นจึงหยุดรอเล็กน้อย

          “พี่คิดถึงโอม...”

          “คิดถึง” คำๆเดียวทำเอาคนฟังหวั่นไหวใจอ่อนไปหมด กอปรกับสีหน้าของชายหนุ่มที่เจือความเหงา น้ำเสียงอ่อนเครือที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากนั้น ทำให้โอมแทบจะลืมเรื่องที่เคยเคืองใจไปแทบหมดสิ้น

          “พี่ภีมคิดถึงโอมด้วยหรอ? พี่ภีมมีพี่เต้ยแล้วนี่ พี่ภีมไม่ได้สนใจโอมจริงๆ หรอก...”

          “มันไม่เหมือนกันนะโอม! นั่นมันเพื่อนแต่โอมเป็นแฟนพี่นะ!”

          โอมนิ่งงันไป เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคำว่า “แฟน” สำหรับภีมมันหมายความว่ายังไงกันแน่ เด็กหนุ่มก็อยากจะฟังต่อเหมือนกันว่าภีมอยากจะบอกอะไรกับเขา

          “แล้วยังไง? โอมไม่เห็นว่าพี่ภีมจะปฏิบัติต่อเพื่อนหรือแฟนแตกต่างกันตรงไหนเลย ในเมื่อพี่ภีมเองก็! ...”

          โอมเงียบเสียงก่อนที่จะหลุดคำพูดที่เจ็บแสบที่สุดออกไป แต่ไม่ต้องรอให้เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาภีมก็เหมือนจะรู้ว่าคนรักของเขาอยากจะพูดอะไร

          “ในเมื่อตัวพี่เองก็นอนกับคนที่พี่เรียกว่าเพื่อนไปทั่วใช่มั้ย....?”

          แน่นอนว่าเขารู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาเขาทำตัวเช่นไร ความเจ็บปวดเสียใจเข้ากัดกินหัวใจของชายหนุ่ม เขาหลบตาลงไม่มองคนตรงหน้า ส่วนมือกำแน่นจนสั่นไปหมด

          จะทำเช่นไรเขาถึงจะลบภาพตัวตนที่เคยเป็นออกไป

          จะต้องอ้อนวอนแค่ไหนจึงจะได้รับความเชื่อใจจากคนที่เขามีใจให้

          ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...ภีมอยากให้ตนได้พบกับเด็กหนุ่มคนนี้เร็วกว่านี้ คนที่สามารถเยียวยาความปวดร้าวในหัวใจของเขาได้อย่างแท้จริง

          โอมเห็นทีท่าของคนตรงหน้าก็สลดไป เขารู้สึกผิดที่บีบให้คนรักของเขาต้องเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ มือแกร่งค่อยๆเอื้อมไปสัมผัสกับมือที่กำแน่นอยู่ เขาประคองมือนั้นขึ้นมาพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววเจ็บปวด

          “โอมขอโทษ...”

          “โอมไม่ต้องขอโทษหรอก...ในเมื่อมันเป็นความจริง”

          ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินคำตอบกลับเช่นนั้น เขาควรจะเลิกถือทิฐิและรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพยายามจะบอกเขาก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้ โอมจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยเปิดใจกับภีมให้รู้เรื่อง

          “ก็ได้...โอมจะกลับไปกับพี่ภีม...”



          ในห้องนอนขนาดใหญ่ ที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ ชายสองคนนั่งนิ่งห้อยขาอยู่บนเตียง บรรยากาศโดยรอบมีเพียงความเงียบ...เงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงของเข็มนาฬิกาที่เดินอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย

          โอมตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่เขาค้างคาใจมานานแสนนาน เขาเองได้ทำใจไว้แล้วหากคำตอบนั้นจะเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินก็ตาม

          “ทำไมพี่ภีมถึงยอมมาเป็นแฟนกับโอมล่ะ?”

          ภีมเหลือบมองเสี้ยวหน้าขรึมของเด็กหนุ่มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ

          “พี่เห็นโอมน่ารักดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจก็เลยคิดว่าจะลองคบดู...”

          ดวงตาใสของเด็กหนุ่มร้อนผ่าวขึ้นก่อนจะเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเครือ

          “แล้วพี่ภีมรักโอมบ้างรึเปล่า...?”

          ชายหนุ่มนิ่งไปพลางใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยตอบ

          “ตอนแรกพี่ไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย....”

          โอมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสะกดไม่ให้น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมา แม้ว่าเขาจะกลั้นมันไว้แทบไม่ไหวแล้วก็ตาม

          “แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่กำลังตกหลุมรักโอมเข้าแล้วจริงๆ...ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...”

          ภีมเอ่ยขึ้นพลางหลุบตาลงมองไปยังมือเรียวของตนที่ประสานอยู่บนตัก รอยยิ้มจางปนเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้า

          “พี่รู้สึกได้ถึงความรักที่โอมทุ่มเทมาให้กับพี่ทั้งหมด มันทั้งบริสุทธิ์จริงใจ ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่ ไม่มีใครแพ้ใครชนะ อยู่กับโอมพี่ไม่เคยกลัวอะไรเลย ความรู้สึกมันหนักแน่นมั่นคงมาก...”

          โอมได้ฟังดังนั้นจึงมองมายังคนพูด น้ำตาใสยังคงคลอในดวงตา ส่วนใบหน้ายังคงเจือไปด้วยความเศร้าอยู่อย่างนั้น

          “แต่พี่ภีมรู้รึเปล่าว่าโอมกลับรู้สึกตรงข้าม....”

          ดวงตาสวยคมสบตอบ แววตาสลดเศร้าหมอง เขาพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเด็กหนุ่มจึงรู้สึกเช่นนั้น

          “โอมกลัวมาก...กลัวว่าโอมจะรักพี่ภีมอยู่ฝ่ายเดียว โอมรู้สึกว่าโอมรักพี่ภีมมากเกินไป มากจนโอมเริ่มไม่มีความสุข...เวลาที่โอมเห็นพี่ภีมอยู่กับใครโอมไม่เคยวางใจได้เลย โอมรู้สึกว่าพี่ภีมจะทิ้งโอมไปเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าหากว่าโอมกอดพี่ภีมไว้ไม่แน่นพอ...”

          สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่ม ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้าหาคนทั้งสองอีกครั้ง ความรู้สึกหลายอย่างมันจุกอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะพยายามเอ่ยคำใดก็รู้สึกทรมาน

          “โอมกำลังตัดสินพี่จากอดีตของพี่อยู่...ตัวตนของพี่ที่โอมเคยรู้จัก พี่ที่ไม่เคยเปิดใจรักใคร พี่ที่ไม่คบใครจริงจัง พี่...ที่...ไม่เหลือความรักให้ใคร...”

          ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอึดอัด เขาหลบตาเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง สายตาล่องลอยไปเบื้องหน้า

          “เพราะพี่ภีมไม่เคยลืมพี่เต้ยใช่มั้ย? พี่ภีมถึงรักใครไม่ได้...?”

          คำพูดนี้ทำให้ภีมนิ่งไป “เต้ย” คือคนที่เขาไม่เคยคิดจะลืม เขายินดีที่จะอยู่เคียงข้างเต้ยในฐานะ “เพื่อน” มาตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจไปเรียนต่อแล้ว

          “ก็ใช่...พี่ขอสารภาพตามตรงว่าถึงพี่ไม่เคยลืมเต้ยเลย แต่ว่าโอมรู้รึเปล่าว่ามันมีบางอย่างเปลี่ยนไป...”

          เด็กหนุ่มฟังคำของร่างบางที่ตอนนี้หันกลับมาสบตาเขาอย่างตั้งใจ

          “ตอนนี้ความรู้สึกของพี่ที่มีต่อเต้ยมันจางไปมากแล้ว มากพอที่จะทำให้พี่เปิดรับคนอื่นเข้ามา และคนๆ นั้นก็คือโอม...โอมจะรอได้มั้ย? รอจนกระทั่งวันนึงความรู้สึกที่พี่มีต่อเต้ยมันจะหายสนิทไปจากใจ...”

          เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำเอาคนที่นิ่งฟังอยู่เจ็บหน่วงในใจ มันเป็นทั้งความรู้สึกเสียใจ แต่กลับยินดีปนเปกันมั่วไปหมด

          “แต่พี่จะไม่เห็นแก่ตัว...ถ้าโอมไม่โอเค...พี่ก็ยินดีที่จะปล่อยโอมไป...”

          พูดจบน้ำตาก็รื้นขึ้น ภาพตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มปวดร้าวใจแทบขาด เขาจะปล่อยมือของตนไปจากคนที่เริ่มมีใจให้กับเขาได้อย่างไร แม้ว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้วันนี้จะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด ทว่ามันคือโอกาสมิใช่หรือ? โอกาสที่จะทำให้คนตรงหน้าเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ หากเขายอมแพ้ไปตอนนี้เขาคงรู้สึกโกรธตัวเองไปตลอดชีวิต

          มือแกร่งรวบตัวร่างบางเข้าสวมกอดแน่น แน่นจนรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรุนแรงทว่าเจ็บปวด น้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตาสวยเมื่อครู่หยดลงอาบแก้ม เด็กหนุ่มกระซิบลงข้างใบหูของคนที่เขารักอย่างแผ่วเบา

          “พี่ภีม...รักโอมเถอะนะ...”

          สิ้นเสียง ร่างที่กอดกันอยู่เมื่อครู่ค่อยผละออกจากกัน โอมกระชับมือขึ้นที่ไหล่บาง มืออีกข้างประคองแก้มเนียนพลางเลื่อนใบหน้าเข้าหา ริมฝีปากได้รูปจูบซับน้ำตาที่อาบไหลลงมา จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนลงมาทาบทับบนริมฝีปากที่กำลังสั่นเทาอยู่นั้นอย่างอ่อนโยน ดวงตาคมหลับปิดสนิททิ้งไว้เพียงรอยน้ำตาบนขนตาสวย

          หากหัวใจของภีมเป็นดั่งท้องฟ้าไร้จันทร์เฉกเช่นคืนนี้ โอมก็จะขอเป็นดาวดวงเล็กๆที่คอยส่องแสงนำชายหนุ่มผู้หลงทางอยู่ในใจตนให้ไปถึงทางออก แม้จะเป็นยามตะวันสาดแสงที่ทำให้ดวงดาวน้อยๆต้องถูกกลบไป ขอเพียงแค่ชายหนุ่มรับรู้ไว้ว่าการมีอยู่ของดาวดวงนี้ไม่ได้หายไปไหนก็เพียงพอแล้ว...



++++++++++++++++



          นิยายเรื่องนี้หลังจากที่เขียนมาเรื่อยๆเราก็ค้นพบว่า...ตัวละครของเรากินแหลกมาก มีฉากกินข้าวเต็มไปหมดเลยค่ะ และหลังจากนี้พวกเค้าก็จะยังคงเข้าฉากกินวนไปเรื่อยๆ ฮ่าาาาา

          ขอพูดถึงโอมซักหน่อย โอมเป็นคนที่น่าเอ็นดูสำหรับเรามากเลย ถึงจะยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก ขี้หึง แต่กลับอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะคะ เพราะแบบนี้แหละนะคนขาดความอบอุ่นแบบภีมถึงหลงรักขึ้นมา

          แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามเหมือนเดิมค่ะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2019 09:44:23 โดย Timid Lily »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด