บทที่ 8 เรื่องที่หวัง
“ยังไม่อิ่มอีก” ผมพูดขึ้นหลังจากมองดูไอ้เพื่อนตัวเล็กกินข้าวเป็นจานที่สอง วันนี้ผมก็มานั่งกินข้าวกับตั้มอีกวัน
“อัง!” ตั้มพูดขึ้น ข้าวยังเต็มปาก
“มึงแม่ง เอาไปเก็บไว้ไหนวะ ตัวแค่เนี้ยกินจุสุดๆ”
“มึงไม่ต้องสนใจกูหรอก ดูมึงสิกินแค่นิดเดียว เครียดเรื่องไอ้เป้อะดิ”
“เปล่านะ กูโอเคดี” ผมยิ้ม
ที่จริงระหว่างผมกับเป้ทุกอย่างมันไม่ใช่แค่โอเคแต่คือมันดีมาก จนทำให้ไอ้สิบเปอร์เซนต์ในใจผม มันเริ่มเข้ามากุมอำนาจทั้งหมด ไม่ใช่เพราะแค่การที่เป้บอกให้รอ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้ผมคิดไปไกล ไม่ว่าจะเป็นการคุยโทรศัพท์กันตั้งแต่เย็นจนเข้านอน หรือจะเมื่อเช้าที่เป้ซื้อปาท่องโก๋มายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์
แล้วไหนจะเรื่องเมื่อวานอีก...
เมื่อวานผมกับมีนัดติวเลขตอนเย็นกับพี่นิว เป้ไม่ยอมให้ผมไปคนเดียว บอกว่าอยากติวด้วย แต่พอไปนั่งจริงๆกลับไม่ยอมฟัง เอาแต่นั่งกดมือถืออยู่ข้างๆผม ตอนจะกลับ พี่นิวชวนผมกับเป้กลับด้วยกัน เพราะพี่นิวมีรถยนต์ พี่นิวขะยั้นขะยอจนผมไม่อยากปฎิเสธ แต่เป้ก็บอกไม่ท่าเดียว แถมยังเดินนำไปป้ายรถเมล์โดยไม่รอผม ผมก็เลยต้องปฎิเสธพี่เขาแล้วเดินตามเจ้าตัวไป
แบบนี้จะไม่ให้ผมคิดว่าเป้มานั่งเฝ้าผมได้ยังไง...
ทุกอย่างระหว่างเรามันเหมือนกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี..
ถ้าไม่ใช่เพราะ...
“โอเคพ่อง! มึงแหกตาดูซะบ้าง เขานั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ นี่ถ้ากูไม่ไปเรียกมึงออกมา มึงจะกินข้าวลงไหมวันนี้!”
ตั้มบ่นเสียงดัง สายตาจับจ้องไปทางด้านหลังผม ผมไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่ามันจ้องอะไรเพราะผมเพิ่งแยกออกมาจากตรงนั้น ตรงที่ตอนนี้มีเป้และมลนั่งกินข้าวอยู่ข้างกัน
“ไอ้ขี้อ่อย ไอ้จับปลาสองมือ ไอ้เหยียบเรือสองแคม” ผมหัวเราะให้กับท่าทีของตั้ม มันดูหัวเสียกว่าผมซะอีก มันนั่งจ้องเป้พร้อมกับขมุบขมิบในลำคอสักพักจนในที่สุดสายตาดุของมันก็วกมามองตาผม
“มึงมันบ้า มึงมันตาบอด”
“เอ้า ด่ากูซะงั้น”
“ยังมีหน้ามาบอกโอเคดีอีก กูจะบ้าตาย”
“มึงเป็นคนบอกเองว่าต้องให้เวลาเป้นะ”
“ก็ใช่ แต่มันก็ให้ความหวังมึงไหม กูถึงบอกว่ามันจับปลาสองมือ มันไม่ชัดเจน คนที่จะเสียใจก็มีแต่มึง”
“มึงก็เว่อร์..” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมรู้และเข้าใจทุกอย่างที่มันพูด แต่แค่ตอนนี้ผมพยายามมองผ่านมันเท่านั้น
“ทั้งๆที่มันรู้ว่ามึงชอบ มันยังเอามลมานั่งกินข้าวด้วย มันสงสารมึงไหม”
“ก็อยู่กลุ่มเดียวกันกับแฟนเดี่ยว จะให้เป้ทำยังไงล่ะ”
“ไม่ต้องมาปกป้องมัน กูจะด่า”
“อารมณ์เสียอย่างกับคนหิว นี่สองจานแล้วนะ” ผมหัวเราะ
“ภัทร” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลังผม เมื่อผมหันหลังไปก็เจอเป้ยืนค้ำโต๊ะพวกผมอยู่ ถัดไปข้างหลังผมเห็นมลยืนยิ้มอยู่
“เราจะพามลไปชมรม ไปพร้อมกันเลยไหม”
“เอ่อ...”
“เรากับภัทรรอพี่นิวอยู่ เห็นพี่เขาว่ามีเรื่องจะคุยกับภัทร”
ไม่ใช่ผมแต่เป็นคนที่นั่งตรงข้ามผมตอบกลับไป ผมหันกลับไปมองหน้าตั้ม มันหันมาสบตาผมแปปนึง ทำหน้าตาไร้เดียงสา แต่ผมเห็นนะว่ามันแอบยิ้ม
“...”
“เอ่อ..เป้กับมลไปเถอะ เดี๋ยวเราตามไป”
เป้พยักหน้า แล้วหันหลังเดินไปทางออกโรงอาหาร ผมหันมามองตั้มอย่างเร็ว
“มึงทำไมพูดแบบนั้น”
“กูก็แค่อยากเร่งให้มันชัดเจนเร็วๆ กูช่วยมึงอยู่นะ”
“..มึงนี่นะ เป้ยิ่งเข้าใจผิดอยู่ เขาคิดว่าพี่นิวจีบกู”
“หมาหวงก้าง ถ้าพี่เขาจะจีบมึง แล้วเกี่ยวอะไรกับมัน”
“สงสารพี่ทีวะ” ผมแกล้งส่ายหัว
“สงสัยอะไร กูเป็นแฟนที่ดีจะตาย ชัดเจนกว่ากูก็ Led Tv แล้ว”
“เออ พ่อคนดี เดี๋ยวกูก็ชอบมึงจริงๆหรอก แย่งเลยไหม”
“โธ่ ถึงจะเป็นมึง ก็ไม่สามารถมาทำลายความรักที่มั่งคงของกูได้หรอก”
“โอ๊ยย มั่นมากเลยจ้า” ผมหัวเราะ
ผมนั่งคุยกับตั้มไปสักพัก จนกระทั่งเหลือเวลาพักแค่ยี่สิบนาทีถึงบอกลาตั้มแล้วเดินไปห้องชมรม ดีที่วันนี้มันไม่เข้าชมรมด้วย วันนี้ตั้มดูหงุดหงิดเป้เป็นพิเศษ ไม่อยากให้อยู่ใกล้กันเลย
ผมเดินขึ้นบันไดหน้าอาคารตรงมายังห้อมซ้อมเด็กใหม่ คาดว่าเป้น่าจะพามลมาห้องนี้ กำลังจะถอดร้องเท้าเข้าห้องก็เห็นมลเปิดประตูออกมาพอดี
“อ้าว จะกลับแล้วหรอครับ”
“อืม วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยววันหลังมาใหม่”
“แสดงว่าชอบน่ะสิ วันนี้เป็นไงมั้งครับ”
“สนุกดี เป้ให้ลองเครื่องดนตรีหลายชิ้นเลย”
ผมยกยิ้มพร้อมพยักหน้ารับรู้ เบี่ยงตัวหลบให้มลก้าวไปใส่รองเท้า
“ภัทร” ก่อนที่ผมจะถอดรองเท้าออก มลก็เรียกชื่อผม
“มลมีเรื่องอยากปรึกษา พอมีเวลาไหม”
ผมมองหน้ามล เจ้าตัวพูดไปขณะที่ก้มหน้ามองนิ้วที่ผูกกัน ท่าทางประหม่าแบบนี้ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เลย
“ตอนบ่ายมีเรียนตึกไหนครับ”
“ตึกรวมชั้นสี่”
“งั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่งนะครับ”
เราสองคนเดินข้างกันไปจนเกือบถึงตึกรวม มลก็ยังไม่พูดอะไร อ้าปากเหมือนจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจกลับไปเงียบหลายครั้ง จนในที่สุดพอมาถึงหน้าตึกรวมก็เป็นผมที่เอ่ยขึ้น
“นั่งตรงนี้ก่อนไหมครับ ไหนบอกมีเรื่องอยากปรึกษา”
มลพยักหน้า เราสองคนจึงนั่งตรงม้านั่งหน้าอาคารเรียน มลสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้งเสียงดังก่อนจะพ่นออก
“ภัทร มลก็รู้นะว่าเรายังไม่สนิทกันเท่าไหร่ แต่เป้บอกว่าภัทรเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเป้ มลก็เลยอยากปรึกษาภัทร”
ผมใจกระตุก เป้บอกมลหรอว่าผมเป็น ‘เพื่อน’สนิทที่สุด ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับตำแหน่งเลยนะ
“ภัทรก็น่าจะมองออกว่ามลรู้สึกยังไงกับเป้..”
ผมหน้าชา ไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวมาบอกผมทำไม หรือเป้เล่าให้เขาฟังเรื่องที่ผมสารภาพ มลกำลังจะบอกให้ผมเลิกยุ่งกับเป้หรือเปล่า
“ครับ พอจะมองออก”
มลตอนนี้ดูมีอาการอึดอัดมาก หน้าแดงจนเหมือนมีไข้ ผมภาวนาให้เขาไม่เป็นลมไปซะก่อน
“วันเสาร์นี้ เป้บอกว่าจะมาดูปุ๋ยหมักที่บ้าน” มลว่าต่อ
“มลว่าจะชวนเป้ไปเดินเล่นต่อ แล้ว...”
ผมกลั้นหายใจ
“มลว่ามลจะสารภาพกับเป้”
ผมรู้ว่าตั้มอาจจะโมโหที่เป้ไม่ชัดเจนในตอนนี้ แต่ผมกลับอยากยื้อช่วงเวลานี้ให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เขาชัดเจนขึ้นมา มันอาจจะไม่มีที่ว่างให้ผมยืนอยู่เลยก็ได้
แต่ดูเหมือนเวลาของผม กำลังจะหมดลงเร็วกว่าที่คิด
“แล้ว...แล้วมลอยากปรึกษาเราเรื่องอะไรครับ”
“ก็ตอนที่มลชวนเป้ไป เป้ก็อาจจะชวนภัทรหรืออาจจะไม่ยอมไปกับเรา ภัทรช่วยพูดให้หน่อยได้ไหม”
ผมไม่รู้ว่าหน้าตาตอนนี้ของผมเป็นยังไง มันอาจจะซีดมาก แดงมาก หรือบึ้งมากก็เป็นได้ ผมไม่มีความสามารถที่จะควบคุมมันแล้วในตอนนี้ แค่ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ได้ก็แอบนับถือตัวเองเหลือเกินแล้ว ผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเป็นการรับปากมลไปแทน เจ้าตัวยิ้มกว้าง กล่าวขอบใจผมหายครั้งก่อนที่จะเดินขึ้นตึกเรียนไป
——-
หลังจากเลิกเรียนวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เรามานั่งทำรายงาน วันนี้นอกจากผมกับเป้ บอลกับเดี่ยวก็มากับเราด้วย
“โอ้ยยย เหลืออีกเยอะเลย จะทันไหมเนี้ยยย” บอลบ่นอุบอิบ วางมือจากโน๊ตบุ๊คนอนลงกับม้านั่งยาว เดี่ยวที่นั่งเล่นเกมส์ในมือถือหันมามอง
“มึงลุกขึ้นพิมพ์ต่อเลย ให้แต่กูทำมาหลายวันละ วันนี้กูถึงมานั่งเฝ้ามึงอยู่นี่ไง”
บอลหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมลุกขึ้นมาดีๆ แล้วหันมาถามผมที่นั่งพิมพ์รายงานอยู่
“ของพวกมึงถึงไหนแล้ว”
“เสร็จหมดทุกหัวข้อแล้ว เหลือแต่พิมพ์ลงเท่านั้น น่าจะเสร็จภายในอาทิตย์นี้แหละ ดีนะที่กูคู่กับภัทร งานเลยเสร็จเร็ว” เป็นเป้ที่ตอบและหันมายิ้มให้ผม ผมมองหน้าเขาและตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดไว้ทั้งบ่าย
“เป้เรามีอะไรจะขอให้ช่วยหน่อย” เป้เลิกคิ้วหันมามอง
“มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
“คือช่วงนี้ที่บ้านเรามีปัญหานิดหน่อย มีเรื่องต้องจัดการหลายอย่าง เสาร์อาทิตย์เราต้องไปช่วยด้วย เราเลยไม่ว่างไปบ้านมลกับเป้เลย”
เป้มองหน้าผม เขาจ้องเข้ามาที่ตาของผมเหมือนพยายามจะจับโกหก แต่ผมคิดว่าผมแสดงใช้ได้ เป้เลยไม่ได้ว่าอะไร
“แล้วอีกอย่าง... เสาร์อาทิตย์เราไม่มีเวลาอ่านหนังสือแน่ๆ เราเลยอยากไปติวกับพี่นิวตั้งแต่วันพรุ่งนี้เย็น รายงานที่เหลือเราขอเอาไปทำเองได้ไหม เราติวเสร็จจะรีบกลับบ้านไปพิมพ์ แลกกับที่เป้ต้องไปแทนเราวันเสาร์ไง”
ผมเม้มปากแน่น เป้ต้องจับโกหกของผมได้แน่ๆ เป้เงียบไปสักพัก เอาแต่จ้องหน้าผม หน้าเขานิ่งมากจนผมไม่รู้จริงๆว่าเขาคิดอะไร
“โอเค แล้วแต่เลย” เป้พูดขึ้นเรียบๆ หันไปคุยกับเดี่ยวที่กำลังเกมส์มือถือ
“วันนี้เรากลับช้านะ ภัทรจะกลับก่อนก็ได้” เป้เสริมโดยไม่หันมามองผม
ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่า ผมเป็นคนคิดคำโกหกบ้าๆ ผลักให้เป้ไปหามล สร้างโอกาสให้เขาได้คุยกัน ให้เธอได้บอกรัก ให้เขาลงเอยกันเร็วขึ้น
แต่พอเขาเชื่อคำโกหกของผม ผมกลับเสียใจ...
ผมแอบหวัง
หวังว่าเขาจะบอกไม่ให้ผมไปทำรายงานเอง
หวังว่าเขาจะไม่ให้ผมไปติวสองคนกับพี่นิว
หวังว่าเขาจะบังคับให้ผมไปกับเขาวันเสาร์
แอบหวัง..
..หวังว่าเขาจะไม่ชัดเจนเธอ
*****
เรื่องนี้ไม่มีตัวร้ายนะคะ มลเป็นเด็กน่ารัก เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่มาแอบรักเป้แค่นั้นเองคะ