เรื่องเล็กๆ ** A Small Story [บทที่ 14 - เรื่องที่ยอม] อัพ25/05/2019 ( ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล็กๆ ** A Small Story [บทที่ 14 - เรื่องที่ยอม] อัพ25/05/2019 ( ตอนจบ)  (อ่าน 6473 ครั้ง)

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2019 23:19:27 โดย Maywrite »

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
Re: เรื่องเล็กๆ ** A Small Story [บทนำ]
«ตอบ #1 เมื่อ06-04-2019 23:24:24 »

เป็นชายรักชายนะคะ จินตนาการซะส่วนใหญ่ มีบางช่วงที่แอบเรียล

นิยายเรื่องแรกในชีวิตค่ะ ยังไงฝากติชม คอมเม้นมาได้เต็มที่ ยังต้องพัฒนากันอีกเยอะเลยจ้า

**************************************************************************
เรื่องเล็กๆ (A Small Story)

เป็นเรื่องราวความรักของเด็กมัธยมต้นที่มาเจอกันในชมรมดนตรีไทย ในเรื่องจะเป็นการบอกเล่าผ่านทางความคิดของณภัทร นายเอกของเราเป็นส่วนใหญ่

ภัทร - ณภัทร
เด็กผู้ชายที่ต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ ทำให้ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่ชอบเข้าหาใคร มีความสุขกับการอยู่เงียบๆ จึงตัดสินใจเข้าร่วมชมรมดนตรีไทย เพื่อที่จะใช้เวลาว่างไปโดยไม่ต้องหาเพื่อนคุย นายเอกของเราจะเป็นคนคิดเยอะมาก กังวลไปหมด ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่



เป้ - ปณวัช
เด็กผู้ชายอารมณ์ดี เรียนเก่ง คนที่ใส่ใจเรื่องเล็กๆที่ดูไม่สลักสำคัญกับใคร แต่กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของภัทรอย่างไม่รู้ตัว ในเรื่องน้องเป้จะเล่นระนาดเอกจ้า

**************************************************************************
สารบัญ

บทนำ เรื่องเล็กๆ
บทที่ 1 เรื่องของความรู้สึก
บทที่ 2 เรื่องที่แน่ใจ
บทที่ 3 เรื่องที่สับสน
บทที่ 4 เรื่องของเป้
บทที่ 5 เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร
**************************************************************************
ฝากด้วยนะคะ อยากได้คำติชม จะเอาไปปรับปรุงแน่นอนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2019 15:56:02 โดย Maywrite »

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
Re: เรื่องเล็กๆ ** A Small Story [บทนำ]
«ตอบ #2 เมื่อ06-04-2019 23:30:55 »

บทนำ - เรื่องเล็กๆ

เพราะพื้นที่ในสมองของคนเรามีจำกัด มันจึงเลือกจำเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะเป็นวันเกิด วันเรียนจบ วันที่อกหัก หรืออาจจะเป็นวันที่สูญเสียคนสำคัญของชีวิตไป เรื่องบางเรื่องในชีวิตประจำวันก็มักจะเลือนหายไปจากความทรงจำของเราตามกาลเวลา แต่ทุกคนก็จะมีเรื่องบางเรื่องที่แม้จะดูไม่ได้สลักสำคัญจนยกมาเล่าให้ใครฟังได้ แต่ก็เป็นเรื่องเล็กๆที่สำคัญจนเราไม่อาจลืม


หลังจากวางถาดอาหารกลางวันที่ยังกินได้ไม่ถึงครึ่งลงในที่เก็บจานด้านข้างโรงอาหาร ผมก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังอาคารด้านหลังโรงเรียนที่เคยไปทุกวัน แต่ที่ทำให้วันนี้ไม่เหมือนวันที่ผ่านมา ก็คงจะเป็นเพราะสิ่งที่อาจารย์ประดิษฐ์ได้บอกไว้เมื่อวาน



“ เก่งมากเลยณภัทร ตั้งแต่พรุ่งนี้จะไม่ให้ตีขิมเหล็กแล้วนะ จะให้ลองเล่นขิมสายกลับวงเลยขยันๆแบบนี้เดี๋ยวครูพาไปออกงานด้วยกัน”



ผมเดินไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงคำพูดของอาจารย์ประดิษฐ์ อาจารย์เป็นคนที่ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้ง่ายขึ้น



ที่นี่มีตั้งแต่ชั้นมอหนึ่งถึงมอหก นักเรียนแต่ละคนจะได้เปลี่ยนห้องเรียนแค่สองครั้งคือตอนขึ้นมอหนึ่งกับมอสี่ ทำให้พวกที่เข้ามาตั้งแต่มอหนึ่งต่างมีกลุ่มของตัวเองกันเรียบร้อยแล้ว ผมที่เพิ่งเข้ามาใหม่ตอนมอสองถึงทำตัวไม่ถูก บวกกับที่ตัวเองเป็นคนเงียบๆ เวลามีเพื่อนเข้ามาคุยด้วย ก็ทำได้แค่ถามคำตอบคำจนบางทีทำให้คนที่เข้ามาคุยด้วยอึดอัดไปด้วยซ้ำ พออาจารย์ชวนให้มาเข้าชมรมดนตรีไทย ก็เลยตอบตกลงไปทั้งๆที่เล่นอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง รู้แค่ว่า หลังกินข้าวพักเที่ยงจะมีที่ให้ไป มีอะไรให้ทำ ไม่ต้องพยายามที่จะไปชวนใครคุย หรือจะได้ไม่ต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว



ไปๆมาๆ จากที่แค่ต้องการจะเล่นฆ่าเวลาก็รู้สึกสนุกกับดนตรีไทยอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะได้เล่นขิมเหล็กมาทั้งเดือนแต่ก็รู้สึกสนุก จนไม่ใช่แค่ช่วงพักเที่ยงแต่หลังเลิกเรียนก็ตรงมายังห้องซ้อมประจำ เมื่อคืนก็ตื่นเต้นถึงกับนอนไม่หลับ ท่องจำโน๊ตจนขึ้นใจ ยังไงวันนี้ก็จะไม่ยอมทำพลาดเด็ดขาด อยากเล่นขิมสายให้เก่งๆ แล้วจะขออาจารย์หัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นด้วย



อาคารด้านหลังสุดของโรงเรียนเป็นอาคารเล็กๆ สองชั้น ทั้งชั้นหนึ่งจะเป็นพื้นที่ของชมรมดนตรีไทยทั้งหมดแบ่งออกเป็นสี่ห้อง ห้องซ้อมของเด็กใหม่ ห้องประชุม ห้องซ้อมของวงใหญ่ และ ห้องเก็บอุปกรณ์ ผมเข้ามายังห้องซ้อมที่เคยมาใช้ทุกวันในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เจอกลุ่มนักเรียนสองสามคนนั่งซ้อมด้วยตัวเองอยู่ในมุมต่างๆของห้อง มองไปรอบห้องเจอตั้มเพื่อนที่เพิ่งมารู้จักกันที่นี่ก็ตรงเข้าไปหา เมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาก็ส่งยิ้มเป็นการทักทาย



“อาจารย์บอกว่าถ้ามึงมาแล้วให้ยกขิมสายในชั้นไปห้องซ้อมวงเลย”




“เออ แล้วมึงอะ”




“กุก็ยังต้องซ้อมอยู่นี่แหละ ใครจะเหมือนมึง ซ้อมทุกวันทั้งเที่ยงทั้งเย็น ยังกับจะไปประกวด กุมาเล่นเอาสนุก กุไม่รีบ เนี่ยเย็นนี้ก็ว่าจะโดดไปหาแฟน” มันพูดหน้าทะเล้นจนผมหัวเราะนิดหน่อย ไม่ได้ซักไซ้ว่าแฟนมันเป็นใครยังไง เพราะก็ไม่ได้สนิทกันขนาดจะถามเรื่องส่วนตัว คิดยังนั้นแล้วผมก็รีบไปยกขิมออกจากชั้นแล้วเดินไปห้องซ้อมวงทันที



หน้าห้องซ้อมวงมีรองเท้านักเรียนถอดทิ้งไว้อยู่หนึ่งคู่ พอเข้าไปก็เห็นแค่เด็กผู้ชายคนนึงกำลังนั่งตีระนาดอยู่ เข้าไปใกล้ๆก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน รู้สึกจะชื่อเป้หรือเปล่านะ เป้เป็นเด็กผู้ชายผิวคล้ำตัวโต ตาคม มองรวมๆแล้วก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนนึง จำได้ว่าอยู่กลุ่มเดียวกับเดี่ยว เด็กผู้ชายที่ชอบเรียกเสียงฮาให้คนทั้งห้อง แต่เป้จะต่างกับเดี่ยวก็ตรงที่จะเงียบๆไม่ค่อยพูด คอยยิ้มหัวเราะกับมุกที่อีกคนเล่น บวกกับกลุ่มเป้หน้าตาดีกันทั้งกลุ่มทำให้เป็นที่รู้จักเยอะ ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่นอยู่แล้ว เลยพยายามอยู่ห่างจากกลุ่มของเขามาตลอด ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เข้ามาโรงเรียนนี้ เลยไม่เคยคุยกันสักครั้ง แต่หลังจากนี้ถ้าต้องซ้อมด้วยกัน ก็คงเลี่ยงไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำความรู้จักกันไว้ พอคิดได้แบบนั้นเสียงระนาดก็จบลงพอดี



“หวัดดีเป้ เราภัทรนะ จำได้เปล่าอยู่ห้องเดียวกัน”



ผมตัดสินใจยิ้มแล้วส่งเสียงทักออกไป เป้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม



“จำได้ดิ” เขาตอบสั้นๆแล้วก้มลงดูชีทโน๊ตข้างตัวแล้วเริ่มตีระนาดอีกครั้ง



 ผมไม่ละความพยายามตัดสินใจเดินไปที่ว่างข้างเป้ วางขิมลง



“เรานั่งข้างๆเป้นะ วันนี้มาซ้อมกับวงวันแรก”

“อืม”



เป้ตอบกลับมาขณะที่ยังเล่นระนาดอยู่ ผมเลยหยุดชวนเขาคุย เปิดฝาขิมสายของผมแล้วลองเล่นเบาๆ ด้วยความที่เพิ่งเคยจับเป็นวันแรกก็เลยรู้สึกเกร็งไปหมด พยายามเล่นเพลงเดิมซ้ำไปมาเพื่อให้ชินมือ ซ้อมไปซักพัก เพื่อนคนอื่นในวงก็มานั่งประจำที่ พออาจารย์ประดิษฐ์เข้ามาเราก็เริ่มซ้อมเป็นวง



****



หลังของผมตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกปวดขมับเหมือนมีอะไรมาบีบไว้ ไม่เคยรู้สึกแย่แบบนี้มาก่อน รู้สึกอึดอัดจนจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว รู้สึกว่าทุกคนเล่นกันเร็วมาก เสียงระนาด เสียงฉิ่ง เสียงซออู้ เสียงจระเข้มันปะปนกันจนทำให้ผมสับสน



 ผมพยายามรวบรวมสมาธิแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมจำโน้ตเพลงไม่ได้ เหงื่อผมไหลย้อยจนเข้าตาทำให้ผมมองอะไรไม่ค่อยเห็น แล้วในที่สุดผมก็ทำในสิ่งที่ผมกังวลมาทั้งคืน ขณะที่ผมพยายามตามจังหวะให้ทันผมพลาดตีแรงเกินไปจนสายขิมของผมขาด แรงดีดของสายขิมที่ขาดไป กลายเป็นแรงสุดท้ายที่ทำลายความหวังของผมทั้งหมด ความเครียดที่ตอนนี้เริ่มกลายสภาพเป็นน้ำตากำลังเอ่อออกมา ผมกำลังจะร้องไห้ ผมไม่สามารถทำเป็นเล่นขิมต่อไปได้อีกแล้ว ผมอยากจะหายตัวไปจากห้องซะเสียตอนนี้ ออกไปจากตรงนี้แบบไม่มีวันกลับมา



ผมเหลือบเห็นอาจารย์ที่เดินดูรอบๆห้องกำลังเดินวนมาทางผม ผมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไงดี ไม่อยากให้อาจารย์รู้ว่าผมทำพลาด ผมอยากขออนุญาตออกไป แต่ก็กลัวเสียงผมจะทำให้ทั้งวงเสียจังหวะในการเล่น ในขณะที่ผมกำลังสับสนนั้นผมก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆผม



“อาจารย์ครับ ขออนุญาตครับ ” ทุกคนในห้องหยุดเล่นแล้วหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว เจ้าตัววางไม้ระนาดแล้วเอาสองมือกำท้องตัวเอง ทำหน้าตาเหยเก



“ผมเล่นต่อไม่ไหวแล้วครับอาจารย์ ขอไปเข้าห้องน้ำได้ไหมครับ”



“เอ้า เป้มาปวดขี้อะไรตอนนี้เนี่ย ไปกินอะไรมา”



ทั้งห้องส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น โห่แซวเป้กันใหญ่ ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวสนิทกับเพื่อนๆในห้องแค่ไหน



“ โธ่อาจารย์ ผมก็กินปกติแหละครับ” เป้ยิ้มหน้าทะเล้นจนเพื่อนๆโห่แซวกันอีกรอบ



“เออ เออ งั้นวันนี้พิเศษให้เลิกเลยแล้วกัน ไปๆ ใครอยากเข้ามาตอนเย็นก็มานะ”



พออาจารย์พูดจบทุกคนก็เฮลั่นรีบเก็บอุปกรณ์เข้าที่แล้วทยอยกันออกจากห้องซ้อม ผมที่อึ้งไม่ได้สติดียังคงนั่งอยู่กับที่จนเป้ที่ตอนนี้ควรจะไปเข้าห้องน้ำได้แล้วเอื้อมมือมากดหัวแรงๆ



“เห้ย แค่ทำสายขิมขาดนะ ดูทำหน้าเข้าดิ ใครเห็นจะนึกว่าไปฆ่าใครมา” เขาพูดกลั้วหัวเราะ



“.....” เป้รู้



“อาจารย์ใจดีจะตาย เอาไปให้แกดู เดี๋ยวแกก็สอนเปลี่ยนสายให้”



“เป้ .. เป้หายปวดท้องแล้วหรอ” ผมที่ยังมึนๆ ถามออกไป เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้ว



“โอ้ย ก็ถ้าไม่บอกไปงั้น กลัวบางคนจะร้องไห้กลางห้องซ้อมอะดิ” เป้พูดหยอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเอามือกดหัวผมอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป

....



ใช่ พอย้อนคิดกลับไปถึงเรื่องวันนั้น มันก็เป็นเหตุการณ์เล็กๆที่ถ้าไปถามคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ก็คงไม่มีใครจำได้ ผมเองก็ยังนึกขำกับตัวเองที่กลัวได้มากมายขนาดนั้น แต่อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระที่ได้รับการใส่ใจจากใครบางคน มันเป็นเรื่องเล็กๆที่โดนให้ความสำคัญ มันจึงทำให้ผมไม่สามารถที่จะลืมอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นของมือที่มาแตะหัว หรือรอยยิ้มรอยนั้น รอยยิ้มที่ทำให้เจ็บแต่อุ่นไปทั้งหัวใจ...





******

ตอนเด็กๆมีความฝังใจค่ะ เคยเข้าชมรมดนตรีไทยแล้วอาจารย์ให้เริ่มเล่นขิมเหล็ก ซ้อมเที่ยง ซ้อมเย็น พอได้ลองเล่นขิมสายเท่านั้นละ ทำสายขาดจ้า นี่เลิกเล่นไปเลย 5555 เลยแอบเอาความฝังใจนั้นมาเขียนดู หลายคนอาจจะว่าภัทรเว่อนะ สายขาดแค่นี้ร้องทำไม นี่ยืนยันเลยนะ คนแบบนี้มีจริง 55555

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
Re: เรื่องเล็กๆ ** A Small Story [บทนำ]
«ตอบ #3 เมื่อ06-04-2019 23:42:58 »

บทที่ 1 - เรื่องของความรู้สึก

เช้าวันถัดมา ผมเดินเข้ามาในห้องเรียน กวาดตาไปรอบๆ พยายามหาที่นั่งที่มันไม่อยู่หน้าเกินไป บอกตรงๆว่าวิชาเลขไม่ใช่วิธีถนัดในใจผมเลย มองไปมองมาก็เห็นเป้ที่นั่งอยู่แถวสามติดหน้าต่าง กำลังนั่งคุยอยู่กับเดี่ยวและบอลที่นั่งหันหน้ามาหาจากแถวสอง ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรเจ้าตัวถึงทั้งหัวเราะทั้งยิ้มกว้างขนาดนั้น รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว รอยยิ้มที่ทำให้เมื่อคืนนอนไม่หลับไปทั้งคืน รอยยิ้มที่แม้จะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลกๆข้างใน

ผมต้องหลุดออกจากความคิดเมื่อตาของเราสบกัน เป้โบกมือและตะโกนให้ผมไปนั่งข้างๆเขาที่ยังว่างอยู่ ผมลังเลอยู่แปปก่อนจะเดินตรงไปหา พร้อมทั้งส่งยิ้มทักทายบอลกับเดี่ยวที่มองมาทางผมเหมือนกัน

“ย้ายมาเป็นเดือนแล้วปรับตัวได้ยังมึง ทำไมเงียบจังวะ นี่เพิ่งเคยคุยกันครั้งแรกเลยมั้งเนี้ย”

บอลพูดขึ้นหลังจากที่ผมนั่งที่เรียบร้อยแล้ว

“เออ มีไรให้ช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ” เดี่ยวเสริมขึ้นมา ผมยิ้มและไม่ทันได้กล่าวขอบใจออกไปเป้ก็เสริมขึ้น

“ใช่ ถ้ายังไม่มีที่นั่งประจำก็มานั่งด้วยกันก็ได้นะ ที่นั่งข้างเราว่าง แล้วนี่งานกลุ่มของวิชาเลขที่อาจารย์ให้หากลุ่มอะ หาได้ยัง ถ้ายังก็มาอยู่กลุ่มพวกเรานะสี่คนพอดี”

“ถ้าบอลกับเดี่ยวโอเค เราก็ขออยู่ด้วยนะ” ผมคิดอยู่สักครู่ก่อนตอบออกไป พอดีกับที่อาจารย์เข้ามาในห้อง

“มึงจะเกรงใจอะไรนักหนาวะ กุเริ่มรำคาญแล้วเนี่ย ไม่ให้อยู่ละ ไปหากลุ่มใหม่ไป” บอลพูดขึ้นอมยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปที่โต๊ะตัวเอง หยิบหนังสือเรียนออกมาจากกระเป๋า ก็รู้นะว่าเขาล้อเล่นแต่ผมก็อดจะหน้าเสียไม่ได้ เบื่อตัวเองที่ชอบคิดมากจนน่ารำคาญอีกแล้ว

“มึงจะแกล้งภัทรมันทำไม มันเป็นคนขี้เกรงใจก็ดีแล้ว จะให้หน้าด้านเหมือนมึงหรอ” เป้พูดขึ้นพร้อมเอาหนังสือตบหัวเพื่อนข้างหน้าเบาๆ

“ไม่ต้องไปสนพวกมัน เราหัวหน้ากลุ่ม เราอนุญาตแล้ว พวกมันไม่มีสิทธิ์ว่าอะไร ใครไม่พอใจก็ออกจากกลุ่มไปเลย” เขาหันมาพูดกับผมแต่เสียงดังจงใจให้ข้างหน้าได้ยิน

“อือหือ ได้เพื่อนใหม่แล้วทิ้งพวกกุเลยนะมึง นี่ถ้ามึงเรียนไม่เก่ง กุไม่ง้อมึงหรอกไอ้ดำ” เดี่ยวหันมากระซิบพร้อมกับขยิบตาให้ผม เป้ยกนิ้วกลางให้เพื่อนไปหนึ่งที่ก่อนที่จะเริ่มเปิดหนังสือเรียนตามเลขหน้าที่อาจารย์บอก ผมอมยิ้มให้กับท่าทางของพวกเขา ดูสนิทกันดีจังเลยนะ

แน่นอนว่าพอถึงเวลาพักเที่ยง พวกเขาก็ลากผมไปนั่งกินข้าวด้วย อย่างที่บอกว่าเดี่ยวเป็นคนเฮฮา เลยรู้จักคนเยอะแยะไปหมดทั้งเพื่อนห้องอื่นและรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน นั่งกินไปก็แซวโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ไปไม่มีหยุด ยิ่งได้บอลกับเป้คอยตบมุกให้ ก็ยิ่งสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆในโรงอาหาร ผมก็ได้แต่นั่งขำเบาๆข้างเป้ จะให้เล่นด้วยก็ตามไม่ทันจริงๆ

หลังข้าวเที่ยวผมกับเป้แยกจากกลุ่มเพื่อเดินมาห้องชมรมพร้อมกัน จู่ๆเป้ก็พูดขึ้น

“หายคิดมากยัง เรื่องขิม” เขายังจำได้แฮะ

“อืม ก็ไม่ได้คิดมากอะไรแล้ว ไปขอโทษอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ใจดีสุดๆไปเลยอะ”

เมื่อวานหลังจากเหตุการณ์ตอนเที่ยงผมก็คิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจกลับไปห้องชมรมอีกตอนเย็น ยกมือไหว้ขอโทษอาจารย์อยู่หลายครั้ง อาจารย์ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธแถมหัวเราะเสียงดัง บอกอีกว่า ใครไม่เคยทำสายขาดสิแปลก แสดงว่าไม่ค่อยได้ซ้อม แล้วอย่างที่เป้บอก อาจารย์บอกให้ผมมาตอนเย็นแล้วจะสอนวิธีเปลี่ยนสายและวิธีดูแลขิมให้

“ก็บอกแล้ว คิดมากไปได้ เนี่ยถึงได้ตัวเตี้ยแบบนี่”

เป้พูดพร้อมยกมือขึ้นมากดหัวผมอีกครั้ง ด้วยความที่เป้ตัวสูงกว่าผมเยอะ ทำให้ผมต้องแหงนขึ้นไปมองเขาพร้อมเอามือเขาออกจากหัว

“เกี่ยวไหมเนี่ย เคยได้ยินแต่คิดมากแล้วหัวล้านป่ะ”

“เตี้ยด้วย ไม่เคยได้ยินหรอ แล้วก็ตัวจะซีดๆด้วยนะ ดูดิขาวจนจะกลืนหายไปกับแสงอาทิตย์อยู่แหละ” เป้อมยิ้มเดินนำออกไปหลังพูดจบ

“โอ้ย แล้วใครจะไปเข้มเป็นกลางคืนแบบเป้ล่ะ”

ผมลองประชดดูบ้าง มองแผ่นหลังของเขาที่เดินนำไป แอบหวั่นๆว่าเขาก็อาจจะไม่ชอบมุกแบบนี้จากคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่เป้ก็ยังเป็นเป้ หันหลังกลับมา หัวเราะพร้อมรอยยิ้มสดใสประจำตัว อีกแล้ว ผมเจ็บหัวใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย

+++++++

 “เอ้า รอรถตรงนี้หรอ” เป้ถามเมื่อเห็นผมนั่งอยู่ป้ายรถเมล์ด้านหลังโรงเรียน

“ใช่ กลับสายแปด แล้วเป้ละ”

“เราก็สายแปดเหมือนกัน” มันจะบังเอิญไปไหมเนี่ย

“กลับสายเดียวกันเลย ทำไมไม่เห็นเคยเจอ” ผมถามเพราะผมก็กลับเวลานี้ทุกวัน แต่ไม่เคยเจอเขาสักครั้ง

“ก็ปกติกลับเร็ว แล้วนี่ทำไมกลับช้าจัง”

“เราเข้าชมรมตอนเย็นด้วยน่ะ เป้ละไปไหนมา”

“ไปช่วยไอ้เดี่ยวจีบสาวห้องสองมา” เป้ตอบพร้อมยกขึ้นโบกมือเมื่อรถสองแถวสายแปดผ่านมา ผมลุกขึ้นยืนและเดินตามเขาไปขึ้นรถเมื่อสองแถวจอดสนิท

“เราเปลี่ยนสายขิมเป็นแล้วนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อเราสองคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เย็นแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่

“ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเห็นเด็กโข่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอีก” เค้าแซวผมขึ้นขำๆ จนผมแอบโมโหขึ้นมา

“เป้เว่ออะ ไม่ได้ร้องเลยเหอะ ขี้มูกโป่งอะไรล่ะ” ผมมุ่ยหน้าพึมพำออกไปเบาๆ

“ล้อเล่นน้า” เขาหัวเราะ

เรานั่งเงียบๆข้างๆกัน ผมไม่ได้ชวนเขาคุย เขาก็นั่งหันหน้าออกไปข้างทางมองนั่นมองนี่ จนเกือบจะถึงซอยหน้าบ้านผม

“ขอบใจนะเรื่องวันนั้น” ผมเอ่ยออกไปอย่างลังเล

เขาหันมามองหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจในตอนแรก แล้วพอนึกออกเขาก็ยิ้มและพยักหน้ารับเบาๆ

เมื่อถึงที่หมายผมก็บอกลาเป้ กดกริ่งและลงจากรถ หันหน้าไปบนรถอีกครั้งก็เห็นเป้มองมาแล้วก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆสองสามที ผมส่งยิ้มให้เขาแล้วหันหลังออกเดินไปทางเข้าบ้านอย่างช้าๆ

ระหว่างทางก็นึกทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ รู้สึกใช้พลังงานไปเยอะ แถมวันนี้ได้เพื่อนเพิ่มมาไม่รู้กี่คน ได้ยิ้ม ได้หัวเราะจนเมื่อยกรามไปหมด ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

เป็นเพราะงานของพ่อผม ทำให้ผมต้องย้ายที่เรียนไปเรื่อย ผมถึงไม่ได้จริงจังกับการต้องมีเพื่อนสนิท เพราะจริงๆแล้วผมรู้สึกเหนื่อยที่ต้องคอยเข้าหาคนใหม่ๆหาเรื่องชวนคุยอยู่ตลอด บวกกับเป็นคนเงียบๆถ้าจะต้องมาอึดอัดเพราะหาเรื่องคุยกันไม่ได้ สู้อยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่า มันก็เลยทำให้รอบตัวผมค่อนข้างจะเงียบเหงามานานแล้ว นานจนผมคิดว่าผมชินกับมันไปแล้วซะอีก

แต่ไม่ใช่กับเป้...
อยู่ๆก้คิดถึงรอยยิ้มของเป้ขึ้นมา ดีใจที่ตัดสินใจพูดขอบใจเขาออกไปทั้งที่ลังเลอยู่หลายครั้ง คิดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อวานเย็น จนถึงวันนี้ที่เหมือนว่าจะอยู่ด้วยกันแถบตลอดเวลา

อยู่กับเป้แล้วสบายใจ รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง..สนุก..

นึกขำมุกแป้กๆที่เป้ชอบเล่น บอลถึงกับส่ายหน้าทั้งที่ผมนั่งขำจนท้องแข็ง

นึกถึงข้าวกลางวันวันนี้ที่มันดูจะอร่อยกว่าปกติ

เป็นครั้งแรกที่ผมมีเวลาพิจารณากับอาการเจ็บหน้าอกของตัวเอง ผมรู้ว่ามันเป็นเพราะเขา ผมเหมือนจะเข้าใจแต่ยังไม่อยากเชื่อกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น อยากจะคิดว่าเป็นเพราะผมไม่มีใคร ผมเลยรู้สึกอยากเจอเขา อยากคุบกับเขามากกว่านี้ รู้สึกดีใจที่เขาสนใจ อยากให้เขาสนใจแต่ผม อยากให้พรุ่งนี้มาถึงไวๆ

ผมคงอยู่คนเดียวมานานเกินไปจริงๆ..

********************
ฝากภัทร #คนคิดเยอะ2019 ด้วยน้าาา

เอาจริงๆเพราะเป็นเรื่องแรกที่ตั้งใจเขียนจริงจัง จึงอยากเลือกเรื่องที่เรารู้ข้อมูลจริงจัง ทั้งตัวละครและสถานที่ บางทีมันก็เลยเรียลจนเจ็บอกเหมือนกันนะ ฮือ ตัวภัทรนี่เราจะเข้าใจตัวละครมากจริงๆ แอบออกมาจากตัวคนเขียนอยู่หลายประโยคอยู่ มีก็แต่ภัทรอาจจะโชคดีหน่อย เรื่องนี้จบสมหวังแน่นอน เอ้าาาา ดราม่าไปอีก แงงงงง



 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 2 เรื่องที่แน่ใจ

ในชีวิตของคนคนนึงมีบางครั้งที่เราเจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่เราไม่คาดคิด เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราไม่สามารถหาทางออกได้ มันจะมีทางเลือกทางนึงที่แม้จะสิ้นคิด แต่ก็เป็นวิธียอดนิยมที่คนเราเลือก นั่นคือการหนี! หนีออกมาจากปัญหาให้ไกลมากที่สุด แม้มันจะเป็นทางออกชั่วคราว แต่มันก็เป็นการซื้อเวลาในการไตร่ตรองว่าเราควรกลับไปเผชิญมันยังไง ผมในตอนนี้ก็เลือกทางนี้เหมือนกัน

Rrrrrrrrrrrrrrrr

“เฮ้อ..” ผมถอนหายใจอีกครั้ง นั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนเล็กๆของผม ตาจ้องมือถือในมือที่ร้องส่งเสียงออกมาไม่หยุด หวังจะส่งพลังจิตให้มันเงียบลงสักที

เมื่อมั่นใจว่ามันจะไม่ส่งเสียงออกมาอีกครั้ง ก็โยนมันลงไปบนเตียงเบาๆ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย

ช่วงสองอาทิตย์นี้ของผม เป็นช่วงเวลาที่เกิดเรื่องราวมากมาย อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับชีวิตโมโนโทนอย่างที่เคยผ่านมา และมันก็ยังเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมค้นพบตัวเองในมุมที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน

ผมเพิ่งรู้ว่าผมเป็นคนควบคุมสติตัวเองไม่ได้เวลาที่ผมตื่นเต้น นอกจากสายขิมเส้นแรกที่ผมทำขาดไป เส้นที่สอง สาม สี่ ก็ตามมาติดๆ ทั้งๆที่ผมก็เริ่มชินกับเครื่องดนตรีชนิดนี้มากขึ้น แต่หลังจากที่อาจารย์บอกจะให้ผมไปเป็นตัวสำรองของวงในงานแสดงประจำจังหวัดเดือนหน้า ผมก็กลับมาเป็นณภัทรคนเกร็งอีกครั้ง ผมก็แค่หวังว่าการที่ผมเพียรซ้อมเช้า เที่ยง เย็น มันจะทำให้ผมคุมสติของผมได้มากขึ้นและไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง

ขณะที่สมองของผมคิดถึงการแสดงกับวงอยู่ตลอดเวลา หัวใจของผมก็ทำงานหนักไม่แพ้กัน ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ซ้อมหนัก ตัวจริงระนาดเอกอย่างเป้ก็ซ้อมจริงจังยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้ผมกับเขาถึงตัวติดกันเช้ายันเย็น ยิ่งส่วนใหญ่กว่าจะเลิกซ้อมก็ฟ้ามืดไปแล้ว เป้เลยมักจะชวนผมไปกินข้าวเย็นที่ร้านข้าวแกงข้างโรงเรียน แล้วขึ้นรถกลับพร้อมกัน

นี่ถ้านับรวมดีๆผมกับเป้ก็อยู่ด้วยกันวันละ 12 ชั่วโมงได้ แต่ที่แปลกที่สุด แทนที่ผมจะรู้สึกอึดอัด แต่มันตรงกันข้าม ทั้งๆที่ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง แต่ผมพบว่าตัวเองมีความสุขแบบที่ไม่เคยเป็น ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เป้กลายเป็นส่วนหนึ่งในโลกเล็กใบนี้ของผมไปแล้ว

นอกจาก 12 ชั่วโมงที่เจอกัน 12 ชั่วโมงที่เหลือผมก็ใช้คิดถึงเขา

ในช่วงแรกผมค่อนข้างสับสนในความรู้สึก ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครสักครั้งในชีวิต ผมถึงไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แล้วผมควรจะจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบไหน

หลังจากหนึ่งอาทิตย์ที่ตัวติดกัน ผมพยายามสรุปกับตัวผมเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความสัมพันธ์ของเพื่อน ผมแค่ไม่เคยมีเพื่อนจริงๆจังๆมาก่อน ผมถึงรู้สึกไม่คุ้นกับมัน

ไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน คุยหยอกล้อเล่นกัน กลับบ้านก็ไลน์หากัน จนบางทีบอลกับเดี่ยวก็แอบแซวว่าโดนแย่งเพื่อนไปแล้ว ผมค่อนข้างสบายใจกับบทสรุปของผม และพอใจกับสถานะที่ผมคิดเอง เออเอง “เพื่อนสนิท”

จนกระทั่งมื้อเที่ยงวันนี้

“เป้ วันนี้กูขอวันนึงนะ เย็นนี้มึงโดดได้ไหม ไปกินข้าวกับกลุ่มแต้วกัน” เดี่ยวพูดขึ้นขณะที่เรากำลังกินข้าวที่โรงอาหาร

แต้วคือนักเรียนหญิงน่ารักห้องสองที่เคยไปกินข้าวด้วยก่อนหน้านี้ เห็นว่าตอนนี้คบกันมาได้อาทิตย์นึงแล้ว

“เห้ยมันใกล้ประกวดแล้วมึง กุไม่อยากโดด มึงก็ไปกับไอ้บอลดิวะ” เป้บอกปัด

“เออ บอลมันก็ไปด้วยอยู่แล้ว แต่คือมึงจำมลได้ไหมอะ ที่มึงบอกว่าเขาน่ารักคราวที่แล้วอะ แต้วบอกเขาถามว่ามึงจะมาไหมด้วย”

ผมก้มลงมองมือตัวเองที่กำลังกำช้อนแน่นแล้วรู้สึกแปลกๆในอก มันเจ็บที่อกเหมือนตอนที่เป้ยิ้ม แต่มันน่าหงุดหงิดมากกว่า

“เออ กูก็เห็นตั้งแต่ครั้งที่แล้ว กูว่าเขามองมึงนะ” บอลเสริม

“นะ แต้วเขาบอกให้กุชวนมึงเลยนะ ถือว่าช่วยกูหน่อยเหอะ” เดี่ยวพูดขึ้น

“เออๆ นี่คบกันไม่ทันไร กลัวเมียแล้วนะมึงน่ะ” เป้เอ่ยแซว หัวเราะนิดนึงก่อนหันมาหาผม

“งั้นวันนี้เราไม่เข้าชมรมนะ เดี๋ยวเจอกันป้ายรถเมล์ กลับบ้านด้วยกัน”

“ฮึ้ย ไม่เป็นไรหรอก เรากลับได้” ผมตอบ พยายามปรับเสียงให้ดูปกติที่สุด

“ไม่เอาดิ กลับพร้อมกัน เลิกดึกมันมืด อันตราย” เป้พูดมองตาผมดุๆ ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้า ส่งยิ้มจางๆให้เขาแล้วก้มกินข้าวต่อ

“.....”

ผมแน่ใจแล้ว

ผมไม่อยากให้เป้ไป ...

ไม่อยากให้เป้ไปหาคนที่เป้บอกว่าน่ารัก ไม่ใช่สิ ไม่อยากให้เป้ไปชมใครว่าน่ารักต่างหาก...

ไม่อยากให้เขามองใคร อยากให้เขามองผมคนเดียว...

ในวินาทีนั้น ผมแน่ใจแล้ว

ผมเป็นเกย์...
ครับ ผมชอบผู้ชาย...
ผู้ชายชื่อเป้
ไม่อยากให้เขาไปหาใคร อยากให้เขาสนใจผมคนเดียว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลมากกว่าหลังจากเข้าใจความรู้สึกตัวเอง คือความรู้สึกของเป้

ผมกลัวเขารังเกียจ...




Rrrrrrrrrrrrrr

เสียงโทรศัพท์ในห้องนอนของผมดังขึ้นอีกครั้ง เรียกผมออกมาจากความคิดทั้งหมด นี่มันจะสิบสายแล้วนะ ผมก็รู้ว่าผมคงหนีไปไม่ได้ไกลกว่านี้แล้วแหละ

“เป้ ว่าไง” ผมรับทำเสียงร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้

[ทำไมไม่รอ] เสียงเป้ดูหงุดหงิด เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก

“เราออกจากชมรมเร็วน่ะวันนี้ มีธุระกับที่บ้าน รีบไปหน่อย เลยไม่ได้โทรบอก”

[....]

“เนี่ย ก็เพิ่งรับโทรศัพท์ได้ ขอโทษทีนะ”

[ไม่เป็นไร แค่งงว่ามันจะรีบขนาดไหน หรือธุระมันจะติดพันขนาดไหน ถึงขนาดส่งข้อความมาไม่ได้]

“ขอโทษนะ อย่าโกรธเลยนะ”

[ไม่ได้โกรธ]

“....” ทำไงดีนะ

[มีอะไรหรือเปล่า]

“มีอะไร ยังไง”

[วันนี้ทำไมเงียบๆ เหมือนมีอะไรในใจ ตั้งแต่บ่ายล่ะ ว่าจะถามแต่ไม่มีจังหวะเลย]

ผมอมยิ้ม เป้ก็ยังเป็นเป้ คนที่คอยสังเกตคนอื่นตลอด จะดีเกินไปละ

“เป็นแบบนี้กับทุกคนไหมเนี้ย”

[เป็นยังไง] เขาถามกลับเสียงเข้ม คงไม่เข้าใจที่ผมถาม

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

[กังวลเรื่องวงอีกแล้วหรอ]

เออ อันนี้ก็ได้นะ

“นิดหน่อยอะ เมื่อวานทำสายขาดอีกแหละ”

[อย่าคิดมากสิ ซ้อมทุกวันทำได้อยู่แล้ว]

“อืม”

[เผลอๆ จะไม่ได้เล่นด้วยซ้ำ คิดมาก] เป้หัวเราะ

“ง่ะ” ผมอมยิ้ม

[แน่ใจนะ ว่าไม่มีเรื่องอื่น]

“แน่ใจสิ” ผมใจสั่น

[ไม่เชื่อ]

“เอ้า แล้วจะถามทำไมงั้น” ผมหัวเราะ

[ไม่สบายใจอะไร บอกเราได้นะ]

“อือ รู้แล้ว ขอบใจนะ ไม่มีอะไรจริงๆ”

[งั้นก็พักผ่อนเยอะๆนะ เราวางนะจะไปเล่นเกมส์กับพวกไอ้เดี่ยว แม่งโทรมาตามหลายรอบแหละ]

“เคร เจอกันพรุ่งนี้นะ”

ผมวางโทรศัพท์ลง ยังคงสับสนกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น แต่มีสิ่งเดียวที่ผมรู้ดีคือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่สามารถเลิกชอบคนคนนี้ได้ แต่ผมก็คงไม่สามารถบอกเขาได้ว่าผมรู้สึกยังไง

ผมควรจะเก็บความรู้สึกของผมให้เงียบที่สุด

ผมไม่อยากให้เราเปลี่ยนไป

ผมไม่อยากสูญเสียความสัมพันธ์ที่เรามี

ไม่ว่าอะไรก็ตาม...ในฐานะใดก็ตาม

ผมอยากมีเป้ในชีวิตผม



********

อ้าย หลงรักเป้ (><)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2019 23:58:06 โดย Maywrite »

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 3 - เรื่องที่สับสน

นี่ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่จะถึงวันงานแสดงประจำจังหวัด ตั้งแต่เริ่มซ้อมหนักเป็นประจำที่ผมจะซ้อมเช้าเย็นและจบลงด้วยการกินข้าวเย็นก่อนกลับบ้านกับเป้ แต่พอเริ่มต้นสัปดาห์สุดท้าย เพื่อนที่มานั่งกินข้าวตรงหน้าผมกลับเปลี่ยนไป

“มึงเป็นไรวะ กับข้าวไม่อร่อยหรอ” ตั้มพูดขึ้นมา ขณะที่ผมเหม่อเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้

ตั้มเข้ามาร่วมกับวงที่จะไปแสดงในอาทิตย์สุดท้าย แม้จะไม่ได้เล่นเครื่องดนตรีชนิดไหนแต่ก็เข้ามาช่วยในด้านการประสานงานของวง ถึงจะพูดว่าประสานงานแต่จริงๆ งานหลักของตั้มคือการเตรียมและเช็ดทำความสะอาดเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ที่จะใช้ในการแสดง

ไม่ใช่กับข้าววันนี้ไม่อร่อยอย่างที่ตั้มว่า แต่ผมมัวแต่คิดเรื่องที่เป้โดดซ้อมวันนี้ไปกินข้าวกับกลุ่มแต้วอีกแล้ว ทั้งๆที่จะประกวด คนที่ทำให้เป้ที่ขยันซ้อมขนาดนั้นยอมโดด คงสำคัญมากสินะ

“เปล่ามึง อร่อยดี กุแค่เหนื่อยๆ” ผมยิ้มบางตอบออกไป ผมไม่ได้โกหก ช่วงนี้ผมเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยกายจากการซ้อมแล้วก็เหนื่อยใจอีก

“เป้มันบอกให้มึงรอ กินเสร็จแล้วไปนั่งรอป้ายรถเมล์ปะ เดี๋ยวแฟนกูมารับที่นั่นเหมือนกัน”

ผมพยักหน้าเบาๆ เราจ่ายเงินแล้วเดินออกไปยังป้ายรถเมล์ประจำ นั่งกันไม่นานก็มีรถเก๋งสีขาวมาจอดตรงหน้า ตั้มรีบลุกขึ้นยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือให้กับคนในรถ บอกตรงๆเพิ่งเคยเห็นไอ้ตั้มยิ้มกว้างแบบนี้ กระจกรถด้านข้างคนขับเลื่อนลง ผมเห็นผู้ชายผิวขาว หน้าตาดีในชุดนักศึกษาชะโงกหน้ามา ยิ้มอ่อนๆทักทายตั้มแล้วหันมายิ้มให้ผม

“พี่ที นี่ภัทรเพื่อนผม ภัทรนี่พี่ทีแฟนเราเอง”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมแสดงหน้าตายังไงออกไป แต่ตอนนี้ผมอึ้ง สมองผมไม่ทำงาน ชะงักกับภาพตรงหน้า

ตั้มมีแฟนเป็นผู้ชาย...
เท่าที่คนอย่างผมจะเข้าใจ เขาดูไม่เหมือนคนชอบผู้ชายเลยสักนิด
ตั้มเป็นเกย์......

ก่อนที่จะเสียมารยาทจ้องพวกเขานานมากไปกว่านี้

“สะ..สวัสดีครับ” ผมพูดแล้วยกมือไหว้คนแก่กว่ารนๆ

“หวัดดีภัทร ให้พี่ไปส่งไหม” คนใจดียิ้มก่อนแล้วกล่าวชวน

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอเพื่อนอยู่”

“เออ งั้นกุไปละนะ เจอกันพรุ่งนี้” เมื่อเห็นว่าผมคงไม่เปลี่ยนใจ ตั้มก็พูดขึ้นแล้วเปิดประตูรถไปนั่งข้างคนขับ โบกมือให้ผมอีกครั้งขณะที่รถออกตัวไป

ผมเคยรู้สึกสับสน
ผมไม่เคยมีใครรอบตัวผมที่ชอบเพศเดียวกันมาก่อนและสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดถ้าผมชอบผู้ชายขึ้นมา ผมกลัวจะโดนเพื่อน โดนคนรอบข้างรังเกียจ และยิ่งกลัวที่สุดถ้าโดนเป้รังเกียจ

แต่ความรู้สึกนั้นไม่เกิดขึ้นเวลาที่ผมเห็นตั้มกับพี่ที แม้ว่าจะเป็นแว่บเดียว แต่ผมเห็นเขาทั้งสองมีความสุข

ทำไมไม่รู้ขณะที่เห็นเขาทั้งสองคน ผมก็เห็นภาพเป้กับผมซ้อนขึ้นมา

หรือมันจะมีความเป็นไปได้วะ...

หัวใจผมพองฟูขึ้นมา ประตูที่ผมเคยคิดว่าจะล๊อคปิดให้สนิท ตอนนี้ผมกลับอยากเอื้อมเอากุญแจในมือไปไข

“จะเป็นไปได้ไหมนะ” ผมพึมพำกับตัวเอง

“อะไรหรอ” ผมสะดุ้งแล้วรีบหันข้างไปตามเสียงที่ถามขึ้น เป้มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่..

“เป้..เป้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เพิ่งมา รอนานไหม”
“ไม่นานหรอก เพิ่งมาเหมือนกัน”
“นึกว่าอยู่กับตั้มซะอีก”
“อือ แฟนตั้มเพิ่งมารับเมื่อกี้”
คนฟังพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย นั่งลงตรงที่ว่างข้างๆ
“....”

“เป้..”
เจ้าของชื่อหันมา เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“เราเพิ่งเคยเจอแฟนตั้ม... แฟนตั้มเป็นผู้ชาย....”

เป้มองกลับมา หน้าตาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาก่อนจะเอ่ย...

“แล้วไง ตกใจหรอ”

“ก็...ก็...เปล่า เป้รู้อยู่แล้วหรอ” ผมอ้ำอึ้ง

“อือ พี่ทีเป็นรุ่นพี่อะ จบปีที่แล้ว รู้อยู่ว่าคบกัน คนพูดถึงเยอะ”

“อ่อ..” ระหว่างที่ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร รถสองแถวของเราก็มาพอดี พวกเราขึ้นรถและนั่งข้างๆกันอย่างที่ไม่มีใครคิดจะพูดอะไร

“ไม่ชอบหรอ”
ก่อนจะถึงซอยเข้าบ้านผม เป้ก็หันหน้ามาทางผมแล้วเอ่ยขึ้น ผมหันหน้าไปหาเขา เดาได้ว่าเขาคงหมายถึงเรื่องที่เราคุยกัน

“เปล่า.. ก็ไม่ได้ไม่ชอบ.. แค่ตกใจ ไม่รู้มาก่อน”

“แล้ว..เป้ละ” ผมว่าต่อ

คนฟังหันมามอง

“ถ้ามีผู้ชายมาชอบ จะอึดอัดไหม” ผมตกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากผม ไม่ทันได้ฟังคำตอบ ผมก็ถึงที่ที่ต้องลงพอดี เลยรีบกดกริ่งแล้วกระโดดลงจากสองแถว ลงมาแล้วผมก็วิ่งเข้าซอยอย่างเร็วไม่ได้หันไปมองอย่างที่เคยทำทุกวัน

ผมเคยรุ้สึกว่ามันพอแล้ว...

ที่ว่าเป็นเพื่อนกันมันพอแล้วจริงๆนะ แต่พอเห็นเขาไปกับคนอื่น กลับรู้สึกแย่จนอยากแสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งๆที่ผมไม่มีสิทธิ์...

แล้วยิ่งเรื่องของตั้มอีก มันทำให้ผมมีความหวังขึ้นมา จนจู่ๆผมเกือบจะหลุดพูดอะไรที่มันออกมาจากใจ

“ถ้าเราชอบเป้ เป้จะอึดอัดไหม”

ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าผมพร้อมกับคำตอบหรือเปล่า

———

“วันนี้จะไปซื้อของกับตั้ม เป้กลับไปก่อนเลยนะ”

ผมยกขิมสายขึ้นชั้น วันนี้เป็นศุกร์สุดท้ายที่เราจะซ้อม วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแรกของการแสดง คณะของเราจะได้ร่วมแสดงทั้งช่วงเช้าและเย็นของงานทั้งสองวันคือทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ อาจารย์บอกให้ผมขึ้นวันโชว์วันอาทิตย์ช่วงเย็น ซึ่งแม้ผมจะดีใจแต่ผมก็แอบกลัวเหมือนกัน

ผมมุ่งมั่นในการซ้อมเต็มที่ และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับเป้สองคน เพราะผมยังหาบทสรุปให้กับตัวเองไม่ได้จริงๆว่าควรทำยังไง ดังนั้นตั้งแต่วันที่เจอตั้มกับพี่ที ผมก็คอยหาเหตุผลเลี่ยงไม่ยอมกลับบ้านกับเป้

“ไปซื้ออะไร วันนี้เราไปเป็นเพื่อนไหม” เป้ถาม วันนี้รู้สึกเสียงเป้จะดุผิดปกติ

“ไม่เปนไร เดี๋ยวพี่ทีเอารถมารับ”

เป้จ้องตาเรานิ่ง สายตาดุจนต้องหลบตาในที่สุด

“งั้น..เราไปนะ เจอกันที่งานพรุ่งนี้นะ”

“....”

เมื่อเป้ไม่พูดอะไร ผมเลยเดินออกมา หายใจออกแรงๆหนึ่งที คลายความกดดันที่ได้รับจากสายตาเป้ เจอตั้มที่รอผมอยู่ก่อน แล้วเดินไปร้านข้าวที่ไกลจากร้านประจำที่เคยไปกับเป้ สั่งอาหารเสร็จตั้มก็มองหน้าผม

“มึงจะหลบมันไปได้นานแค่ไหน นี่ก็อาทิตย์นึงละนะ มึงมีไรกันเนี้ย เล่าให้กุฟังได้ยัง”

“ไม่รู้..กู....” ผมอ้ำอึ้ง อยากระบายให้ใครสักคนฟังแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน

ตั้มถอนหายใจแรงๆ แล้วเอามือมากดหัวผม ลูบไปมา

“เล่าให้กุฟังไม่ได้หรอ กูเพื่อนมึงนะ”

RrrrrRRrrrrrrrrrrr

ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร โทรศัพท์ของตั้มก็ดังขึ้น

“พี่ทีว่าไงครับ” ตั้มหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังออกมาจากกระเป๋า

“อ่อ วันนี้ไปกินข้าวกับภัทร เดี๋ยวกลับเองได้ ..... ไม่เป็นไรนะ ... ครับๆๆ ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวรอที่ป้ายรถเมล์เดิมนะ สักชั่วโมงนะครับ ”

ตั้มวางโทรศัพท์แล้วหันมามองผม

“โทษทีนะมึง เพราะกุมึงเลยไม่ได้เจอพี่เขาเลย” ผมพูด รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้มันต้องมาอยู่กับผมทุกวันแบบนี้

“โอ้ย ไม่เป็นไรมึง เจอกันทุกวันเบื่อจะตาย”
ถึงจะว่างั้น แต่ตาที่เป็นประกายกับรอยยิ้มที่เปื้อนแก้มอยู่ ก็ทำให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พูด

“ตั้ม กูถามอะไรหน่อยสิ มึงเริ่มคบกับพี่ทีได้ยังไงวะ”

ตั้มมองหน้าผม ดูอึ้งกับคำถามที่ไม่คาดคิด

“ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ”

ตั้มยกยิ้มบางๆให้ผม

“มึงชอบไอ้เป้หรอวะ”

ผมตกใจกับคำถามที่ไม่คาดคิด ส่ายหน้าไปมา แต่ในที่สุดก็พยักหน้าลงหนึ่งทีแทนคำตอบทั้งหมด

“บอกมันไปยัง?” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง

“กลัวมันรังเกียจ?” ผมพยักหน้าแรงๆ ตอนนี้ไม่คิดจะปิดอะไรแล้ว

“แต่ก็อยากให้มันรู้?”

“มึงรู้ได้ไงวะ ยังกับเทพธิดาพยากรณ์เลยนะมึง” ผมพูดออกไปทำให้ตั้มหลุดหัวเราะเสียงดัง

“ก็สิ่งที่มึงรู้สึกกับไอ้เป้ กูเคยรู้สึกมาหมดแล้ว...
กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบเขาพี่เขาเมื่อไหร่ พี่เขาอยู่แถวบ้าน พอเข้ามาเรียนที่นี่ที่บ้านก็ฝากให้มาด้วยกัน ไปๆมาๆกูก็มองพี่เขาแบบนั้นไปแล้ว”

“กูก็กลัวนะ ทั้งจะโดนรังเกียจหรือเปล่า จะไม่เหมือนเดิมไหม แต่มึง คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรากูรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่พี่น้อง มันพิเศษ กุเสียดายสิ่งที่มีระหว่างเรา พอพี่เขาจะเรียนจบแล้วคงไม่ได้มาด้วยกันอีก กูก็เลยลองเสี่ยงดู เพราะคิดว่าถึงพี่เขาไม่ชอบยังไง ก็คงไม่ถึงกลับเกลียดกันหรอกมั้ง”

ตั้มเล่าไป หน้าตาดูมีความสุขจริงๆ

“กูก็ไม่ได้จะบอกใหมึงบอกหรือไม่บอกไอ้เป้นะ มึงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าควรทำยังไง แต่หลบหน้ามันแบบนี้ มันก็คงไม่สบายใจเหมือนกันนะ” ตั้มทิ้งท้าย

ผมทำหน้าก่อนที่จะเอ่ยเสียงอู้อี้เหมือนฟ้องออกไป
“กูก็ไม่ได้อยากบอกนะ รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว แต่เอาเข้าจริงเวลาเห็นเขาไปกับคนอื่นกูก็ไม่ไหววะ” ตั้มหัวเราะเสียงดังเอามือมาขยี้หัวผมแรงๆหลายที

“แล้วเอาไง จะบอกปะละ อย่างน้อยก็จะได้ไม่เสียใจทีหลัง”

ผมมองหน้ามัน รู้สึกขอบใจและดีใจที่มีมันเป็นเพื่อน นอกจากเป้แล้วตั้มคือคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด อาจจะสนิทกันมากกว่าเป้ด้วยซ้ำ แต่ยิ่งสนิทกับตั้มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมั่นใจว่าความรู้สึกที่ผมมีให้เป้ มันไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทหรือความใกล้ชิดแน่ๆ

——

เราเดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกครั้งหลังจากที่พี่ทีโทรมาว่าจะถึงแล้ว ตั้มหันมายิ้มให้ผมเมื่อเห็นเป้นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ตั้มยกมือมากดหัวผมเบาๆหนึ่งทีแล้วขึ้นรถพี่ทีที่มาจอดรออยู่แล้ว ผมก็เลยได้แต่เดินไปนั่งข้างเป้อย่างเลี่ยงไม่ได้

“ยังไม่กลับหรอเป้” พยายาททำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงตั้มจะพูดหลายอย่าง ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ

“....”

เมื่อเป้ไม่ได้ตอบกลับมา ผมก็เลยเงียบ ไม่รู้จะทำยังไงกับเป้โหมดนี้ จนสักพักรถสองแถวมา เราก็เดินขึ้นรถแล้วนั่งเงียบข้างๆกันจนถึงที่ผมต้องลง

“งั้น.. งั้นเราไปแล้วนะ”

ผมลุกขึ้นจากที่นั่งและเกือบเสียการทรงตัวเมื่อมีมือมาคว้าแขนผมไว้ ผมหันไปมองอย่างตกใจ และเห็นเป้ยืนขึ้นและเดินนำไปทางลง โดยที่มือข้างหนึ่งยังจับแขนผมแน่นอยู่

ผมทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีรถสองแถวก็ออกไปแล้ว ผมหันมาสบตากับเป้ที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว กำลังจะถามว่าลงมาทำไมแต่เป้กลับเป็นคนที่เอ่ยขึ้นก่อน

“ภัทรเป็นอะไร หลบหน้าเราทำไม”

“ปะ เปล่านะ เราไม่ได้หลบ”

“โกหกอีกแล้ว... ไหนบอกจะไปกับพี่ทีวันนี้”

ก่อนที่ผมจะแก้ตัว เป้ก็พูดแทรกขึ้นจนผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดีแล้ว ได้แต่เงียบก้มหน้ามองนิ้วที่พันกันของตัวเอง

“มีอะไรก็บอกเรามาตรงๆ”

“......”

“เราทำอะไรให้ไม่สบายใจหรอ”

“เปล่า..คือเรา.. เรา” ผมพูดตะกุกตะกัก

เป้ถอนหายใจเสียงดัง ก่อนที่จะยกมือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมตกใจจึงเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็เห็นแววตาสั่นไหวของเป้

“ถ้าเราทำให้ภัทรอึดอัด ถ้าเรายุ่งมากเกินไป เราก็ขอโทษนะ เราก็แค่เป็นห่วง ถ้าภัทรไม่อยากบอกเรา มันก็เป็นสิทธิ์ของภัทร เราไม่มีสิทธิ์จะบอกให้ภัทรทำหรือไม่ทำอะไร ต่อไปเราจะไม่วุ่นวายแล้วนะ อย่าคิดมากนะ เราไปละ”

เป้พูดออกมารัวๆ ยังไม่ทันที่ผมจะว่ายังไง ก็เห็นเป้ขึ้นรถสองแถวที่มาจอดไปแล้ว..


*******
ภัทรเค้าคนคิดเยอะ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้าาา ตอนต่อไปได้เห็นความในใจเป้แล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2019 23:57:46 โดย Maywrite »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 4 - เรื่องของเป้

ผมกำลังหงุดหงิด..
อาจจะมากที่สุดในช่วงชีวิต 14 ปี ของผม

วันนี้เป็นวันงานแสดงประจำจังหวัดวันแรก งานนี้เป็นงานที่เกิดขึ้นปีละครั้ง มีร้านค้ามาออกขายสินค้าเต็มไปหมด ทั้งของกิน เสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมไปถึงของใช้ทั่วไป เรียกว่ามีทุกอย่างเลยจริงๆ นอกจากนั้นยังมีการแสดงและเกมส์มากมายหลายซุ้มให้ผู้มางานได้ร่วมสนุก ดังนั้นงานในแต่ละวัน จึงมีคนมาร่วมเป็นพันคน

ผมตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้มาเตรียมความพร้อมและมีเวลาอีกนิดหน่อยเพื่อร่วมซ้อมกับวง ปีที่แล้วผมได้มาเป็นตัวสำรอง ปีนี้ก็เลยรู้สึกสบายๆ ไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่ ก็ถือว่าซ้อมมาเต็มที่แล้วไม่น่าจะพลาดอะไร ห่วงก็แต่อีกคน พรุ่งนี้ต้องขึ้นแสดงแล้ว ไม่รู้ตอนนี้ฟุ้งซ่านไปถึงไหน ปกติก็เล่นดีนะ แต่พอเครียดปั๊บ ลนจนทำอะไรไม่ถูกทุกที

ขณะที่ผมนั่งซ้อมคนเดียวไปเรื่อยๆ สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองคนที่เดินไปเดินมาไม่หยุด ตัวก็เล็กนิดเดียวปกติก็แทบจะแบกขิมของตัวเองไม่ไหวอยู่แล้ว วันนี้ยังจะมาช่วยวงขนของไม่หยุด ดูซิ แป๊ปๆหน้าแดง เหงื่อแตก หายใจไม่ทันแล้วนั่น แบบนี้จะไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง เข้าไปวุ่นวายได้ยังไง

เมื่อคืนผมรู้สึกไม่ดีจริงๆนะ เรียกว่าไงดีละ น้อยใจละมั้ง ถามอะไรก็ไม่ตอบ หลบหน้ากันอีก แล้วก็โกหกด้วย ทั้งๆที่ควรจะโกรธแต่กลับเป็นห่วงมากกว่า ไม่รู้ไปคิดมากเรื่องอะไรอีก ยิ่งมีแสดงพรุ่งนี้ด้วย โอ้ย สัญญาไปแล้วว่าจะไม่ยุ่ง แต่สงสัยวันนี้หลังเลิกแสดงช่วงเช้า ต้องลองชวนไปเดินเล่นในงานสักหน่อยดีกว่า ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

ปั่ก!! ตุ้บ..!!

“ขอ..ขอโทษครับ” ภัทรลงไปกองกับพื้นพร้อมลังสองใบที่ถืออยู่ในมือ ขนมกินเล่นที่เตรียมไว้สำหรับคนในวงตกกระจายเต็มพื้นไปหมด สงสัยเป็นเพราะลังสองใบที่ซ้อนต่อกัน ทำให้ภัทรมองประตูไม่เห็น เลยชนเข้ากับขอบประตูอย่างแรง

ผมกำลังจะลุกจากที่นั่งตั้งใจจะเข้าไปช่วย แต่ไม่ทันได้ลุกดี ก็เห็นพี่นิว รุ่นพี่ที่มีหน้าที่จัดการเรื่องในวงเข้าไปช่วยดูแล้ว

“ไม่เป็นไรพี่ ผมเก็บเองได้” ภัทรพูดขึ้นอย่างเกรงใจ มือยังจับไหล่ขวาของตัวเอง สงสัยจะเจ็บจากแรงกระแทก

“กล่องมันบังหน้า ก็เลยมองไม่เห็นนะสิ ทำไมไม่ยกทีละลัง” พี่นิวพูดเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

อือฮือ กับกูให้ยกที่ละสามสี่ลังเลยนะ...

“เจ็บมากเลยหรอ ไปนั่งพักไหม เดี๋ยวพี่เก็บให้” พี่นิวพูดต่อ เอามือเอื้อมไปจับไหล่ภัทรข้างที่เจ็บลูบไปลูบมา

ผมกำลังหงุดหงิด..
อาจจะมากที่สุดในช่วงชีวิต 14 ปี ของผม
จะมาจับทำไม ไม่ได้เป็นไรมากสักหน่อย
แน่ะ มีมองตาอีก...

เร็วกว่าความคิดผมก็ลุกขึ้นออกจากที่ตัวเองอย่างไม่รู้ตัว พุ่งตรงเข้าไปหาสองคนนั้น

“พี่นิว เดี๋ยวผมช่วยภัทรเอง พี่ไปดูตรงอื่นเถอะครับ”

ภัทรเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม เห็นสายตาที่เป็นกังวลของอีกฝ่าย ผมก็ยิ้มบางๆให้

“เอางั้นนะ งั้นพี่ฝากด้วย เดี๋ยวพี่ไปดูทางด้านหน้าก่อน” พี่นิวพูดก่อนหันไปยิ้มให้ภัทรแล้วเดินออกจากห้องไป

“เป็นไงบ้าง ลุกไหวไหม” ผมนั่งยองๆลง เพื่อให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

“ไหว..” ภัทรพูดขึ้นตะกุกตะกัก ไม่ยอมสบตาผม รีบคว้าถุงขนมซ้ายขวาใส่ลัง ผมถอนหายใจ สรุปที่เป็นแบบนี้เพราะผมจริงๆหรอเนี้ย

“ภัทร ช่วงเช้าเลิก 11 โมง หลังจากนั้นไปเดินเล่นในงานด้วยกันไหม” คำถามของผมทำให้ภัทรหันมาสบตาผมอีกครั้ง กัดริมฝีปากแน่น จนผมอดเอื้อมมือไปกดหัวเบาๆไม่ได้ จริงๆเลยน้า เรื่องคิดมากนี่เบอร์หนึ่งจริงๆ

“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก”
ผมก้มลงเก็บถุงขนมจนเสร็จก็ยกลังทั้งสองไปวางที่โต๊ะอาหารของวง เดินกลับไปทางที่ผมนั่งซ้อมระนาด

“ตอน..ตอนเย็นได้ไหม เราต้องช่วยตั้มเตรียมข้าวให้คนในวงน่ะ” ภัทรพูดออกมารัวๆ หันไปก็เห็นอีกคนก้มหน้ามองรองเท้าตัวเอง ก็เลยเผลอกดหัวเบาๆไปอีกที

“อ่า แล้วเจอกันนะ”

ผมหันหลังกลับไปทางเดิม อยู่ๆก็รู้สึกมีแรงกระตุกมาจากชายเสื้อด้านหลังให้ต้องหยุดเดินอีกครั้ง

“ตั้งใจเล่นนะ ขอให้ผ่านไปด้วยดี” เสียงพูดที่แทบจะเหมือนเสียงกระซิบ เปล่งออกมาจากด้านหลังพร้อมกับปล่อยชายเสื้อของผมออกอย่างรวดเร็ว ผมได้ยินเสียงเดินเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ เข้าใจว่าคนพูดเดินหนีไปทางอื่นแล้ว ปล่อยให้ผมที่ยังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นยืนใจเต้นรัวอยู่ตรงนั้น

“ยืนยิ้มอะไรของมึง กลับไปซ้อมสิ จะถึงเวลาแล้ว” พี่นิวที่กลับเข้ามาในห้อง เดินมาหยุดตรงหน้าผม พร้อมเอากระดาษที่ม้วนอยู่ในมือเคาะหัวผมหนึ่งที

ผมเอื้อมเอามือจับปากตัวเอง ผมกำลังยิ้มอยู่จริงๆด้วย ไม่รู้ตัวเลยแฮะ

——

การแสดงทั้งสองรอบผ่านไปด้วยดี หลังจากที่บอกลาทุกคน ผมกับภัทรก็เดินสำรวจไปรอบงาน เดินไปจนสุดทุกด้านแล้วก็เลยซื้อของกินใส่ถุงมาหลายอย่าง ก่อนจะเดินมานั่งในสวนสาธารณะข้างงาน มองหามุมสงบแล้วนั่งลงบนสนามหญ้าแกะของกินที่ถือมา

“เป้กินปลาหมึกปิ้งไหม เราซื้อมาหลายไม้เลย”

ภัทรยื่นปลาหมึกป้ิงที่จิ้มน้ำจิ้มแล้วมาให้ ผมรับมากินแล้วแบ่งยำมะม่วงในมือให้ภัทรแทน เรากินแบ่งกันกินของในถุงไปเรื่อยๆ คุยกันเกี่ยวกับเรื่องการแสดงที่ผ่านมาวันนี้  เหมือนตอนนี้ภัทรจะไม่อึดอัดและคุยกับผมได้ปกติอีกครั้ง เห็นเขายิ้มแย้มได้แบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

ภัทรเก็บถุงทั้งหมดไปทิ้งหลังจากที่เรากินกันเรียบร้อย ผมเดินไปซื้อน้ำส้มปั่นสองแก้วก่อนที่เราจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งริมสระกลางสวนสาธารณะ นั่งมองน้ำพุที่มันพุ่งขึ้นลงอยู่กลางสระเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน น่าแปลกที่ความเงียบในตอนนี้ ไม่น่าอึดอัดอย่างที่เคยเป็น

“เราขอโทษนะเป้” ภัทรเอ่ยขึ้นทำให้ผมหันหน้าไปมองเขา ภัทรยังคงจ้องมองน้ำพุอย่างไม่วางตาแล้วเอ่ยต่อ

“ช่วงนี้เรามีเรื่องให้คิดเยอะ สับสนหลายอย่าง เราไม่รู้ว่าเราควรทำหรือไม่ทำอะไร สิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันใหม่กับเรามาก เราไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงดี”

ภัทรหันมาสบตาผม

“เราไม่ได้อยากโกหกเป้นะ ไม่ได้อยากหลบหน้าด้วย เราแค่ไม่รู้จะตอบเป้ยังไง ขอโทษนะ”

ผมนิ่งมองหน้าภัทร ยกยิ้มบางๆให้ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจะลูบหัวเจ้าตัวไปมา

“ไม่เป็นไร เราก็ขอโทษนะที่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของภัทร ...”

“เป้ไม่ได้วุ่นวายนะ!” ภัทรแทรกขึ้น

“เราดีใจมากเลยนะที่เป้เป็นห่วงเรา อย่าพูดว่าตัวเองวุ่นวายกับเราอีกนะ”

หน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆของคนที่พูดแทรกขึ้นมันทำให้ใจผมกระตุก ผมรวบรวมสติแล้วพูดในสิ่งที่ผมตั้งใจจะพูดให้จบ

“อย่างที่บอกไปเราก็แค่เป็นห่วง แต่ภัทรไม่ต้องเล่าทุกอย่างให้เราฟังก็ได้ คนเราก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวกันทั้งนั้น แต่เราก็อยากให้ภัทรรู้ไว้นะ ถ้าไม่สบายใจอะไร เล่าให้เราฟังได้เสมอ อาจจะช่วยไม่ได้หมด แต่ฟังได้เสมอ”

เขายิ้มกว้างออกมาเมื่อผมพูดจบประโยค ผมใช้มือที่ยังค้างอยู่บนหัวเขากดลงหนักๆหนึ่งที

“แล้วห้ามหนีหน้ากันอีกนะ มีอะไรให้บอกตรงๆ”

ภัทรเอาสองมือลูบหัวตัวเองไปมา บ่นอุบอิบว่าเจ็บหัวไปหมดแล้ว สักพักหน้าเจ้าตัวก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ

“ขอบใจนะเป้ ขอบใจจริงๆ”

“เรื่องอะไรอีกละ เดี๋ยวขอโทษ เดี๋ยวขอบใจ พอได้แล้ว”

“ก็ทุกเรื่องเลย ไม่มีเป้เราคงแย่อ่ะ”

“เว่ออีกแล้ว แล้ว..อยากตอบแทนไหมละ”

ภัทรสั่นหน้าขึ้นลงแรงๆ หลายที กลัวคอจะหลุดจริงๆ

“บอกมาเลยนะ เราทำให้เป้ได้ทุกอย่างเลย”

“งั้น... พรุ่งนี้ตอนแสดงสัญญาสิว่าจะไม่เครียดเกินไป”

“ง่ะ มันควบคุมได้ที่ไหนเล่า”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ให้คิดซะว่าทำเต็มที่แล้ว โอเคไหม”

“อืม”

“อืมอะไร ..”

“สัญญาว่าจะทำให้ดี แล้วก็ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่เสียใจ”

“แล้วก็พาเราไปเลี้ยงข้าวเย็นด้วย” ภัทรหันมาสบตาผมอีกครั้ง ทำหน้ามุ่ยแล้วหัวเราะออกมา

“โธ่ พูดซะเหมือนห่วงเรา กลัวไม่มีคนเลี้ยงข้าวซะงั้น”

เราสองคนเดินคุยกันไปจนถึงป้ายรถเมล์เพื่อจะขึ้นรถสองแถวสายเดิม ตลอดทางเราคุยเล่นกันไปเรื่อย รู้สึกเหมือนนานแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันแบบนี้

น่าแปลก..
ทั้งๆที่เจอกันทุกวัน
แต่ทำไมผมถึงคิดถึงเขาได้มากขนาดนี้..

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 5 เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร
[/b]

หลังจากผ่านการแสดงประจำจังหวัดไปได้ด้วยดี อาจารย์ประดิษฐ์ก็บอกให้เราเข้ามาซ้อมแค่ช่วงกลางวันที่ว่าง เพราะใกล้จะถึงช่วงสอบปลายภาคแล้ว ผมที่ตั้งใจจะหัดเล่นซออู้ก็เลยล้มเลิกความตั้งใจไปชั่วคราว เทอมหน้าค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ขอตั้งใจอ่านหนังสือสอบก่อน

นอกจากการเตรียมตัวสอบแล้ว ก็มีรายงานกลุ่มหลายวิชาที่กำหนดส่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยควาที่ว่างานกลุ่มทั้งหมดไม่ว่าจะสังคม, ศิลปะ เลข และวิชาเกษตร ผม เป้ บอล และเดี่ยวก็อยู่ด้วยกันหมด เราเลยตกลงกันว่าเสาร์นี้ไปประชุมและแบ่งกันทำคนละวิชาไปเลย ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ผมถึงยืนรอรถสองแถวอยู่หน้าซอยพร้อมกับมองโทรศัพท์มือถือสลับกันมาไปมา รอเป้ให้สัญญาณเมื่อสองแถวคันที่เป้นั่งมาถึงจะได้นั่งคันเดียวกัน

เมื่อเป้ไลน์มาบอก ผมก็โบกสองแถวและเดินขึ้นไป ยิ้มและนั่งลงข้างเป้ที่รออยู่แล้ว วันนี้เรานัดกันไปบ้านเดี่ยว เป้ให้ผมรอขึ้นรถสองแถวคันเดียวกันเพราะผมไม่เคยไปมาก่อน

“กินข้าวเช้ามายัง” เป้ถามขึ้นตอนผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

ตั้งแต่วันที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันที่งานแสดง เราสองคนก็ดูเหมือนจะกลับมาใกล้ชิดกันเหมือนเดิม

ไม่สิ มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ทั้งหมดมันก็เป็นที่ตัวผมเอง ผมเลิกคิดมากว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึก ควรจะบอกความในใจ หรือควรจะเก็บไว้ ผมเลิกหลบหน้าเป้ ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น ไม่เร่งรัดหรือตัดสินใจอะไร เมื่อคิดได้แล้ว ก็เหมือนอะไรๆมันง่ายขึ้นเยอะ อย่างน้อยที่สุด จากจุดที่ผมยืนอยู่ ก็ได้เห็นเป้ในมุมที่อบอุ่นที่สุดแบบที่คิดว่าไม่มีใครได้เห็น เป้ที่ห่วงความรู้สึกของผมเสมอ...

“ยังเลย เดี่ยวบอกให้ไปกินด้วยกันนิ”

“อือ แถวหน้าบ้านมันมีร้านหมูปิ้ง ซื้อเข้าไปแล้วกันเนอะ”

“โถถ ที่โรงเรียนตอนเช้าก็เห็นกินแต่หมูปิ้ง ไปบ้านเดี่ยวก็ยังจะกินอีก ชอบจริงๆเลยนะ”

“ก็มันอิ่มดี กินอย่างอื่นยังไม่ทันเที่ยงหิวอีกแหละ แล้วภัทรเช้าๆกินไรอะ”

“เช้าๆ เราชอบกินปาท่องโก๋ที่สุด ถ้าแบบมอดแบบกรอบๆนะ อร่อยลืม แถวบ้านเรามีเจ้าประจำ เดี๋ยววันหลังเราซื้อมาฝากเป้ แล้วยิ่งถ้ามีน้ำเต้าหู้ด้วยนะ ให้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมมม”

เป้หัวเราะให้กับหน้าตาจริงจังของผมตอนพูดถึงปาท่องโก๋ เราเถียงกันไปมาตลอดทางว่าระหว่างจิ้มนมข้นกับกินเปล่าๆแบบไหนอร่อยกว่ากัน จนรถมาจอดหน้าซอยเข้าบ้านเดี่ยว ลงจากรถซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งไปเผื่อเพื่อนๆแล้วเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน

บ้านของเดี่ยวอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรค์เล็กๆ หนึ่งซอยมีบ้านอยู่แค่แปดหลัง ด้านละสี่หลังซ้ายขวา หันหน้าเข้าหากัน เป็นซอยตันที่มีทางเข้าทางเดียวทำให้ซอยนี้สงบและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่มีอยู่ตลอดทางเดิน บ้านแต่ละหลังมีสองชั้นและสนามเล็กๆหน้าบ้าน เราเข้ามาถึงบ้านในสุดด้านซ้าย เป้ก็เปิดประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย ไม่เสียเวลาเรียกเจ้าของบ้านให้ออกมาเปิด

“มากันแล้วหรอมึง มาๆกินข้าวกัน แม่กูเตรียมของกินไว้เพียบเลย” เดี่ยวกวักมือเรียกเราไปทางโต๊ะกินข้าว บอลที่นั่งอยู่ก่อนแล้วโบกมือที่ถือไก่ปิ้งและข้าวเหนียวขึ้นทักทาย แก้มป่องเป็นกระรอก เคี้ยวตุ้ยๆไม่หยุด

“อ้าว ของกินเยอะเลย กูกับภัทรอุตส่าห์ซื้อหมูปิ้งกับข้าวเหนียวมาฝาก แล้วพ่อแม่มึงล่ะ ยังไม่ได้สวัสดีเลย” เป้วางถุงกับข้าวลงบนโต๊ะที่ตอนนี้เหมือนโต๊ะจีนลิงไปแล้ว ของกินเยอะแบบกินกันสามวันไม่หมด แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามบอลกับเดี่ยว เลื่อนเก้าอี้ข้างๆเป็นสัญญาณให้ผมนั่ง

“วันนี้ไปเที่ยวสวีทกันสองคน พี่กูก็ไม่อยู่ ตามสบายนะ” เดี่ยวพูดขึ้น

“มีกันสี่คนจะกินหมดไหม เยอะเลย” ผมถามขึ้น

“ไม่สี่ดิ เป้มึงไม่ได้บอกภัทรหรอว่าวันนี้กลุ่มแต้วจะมา นี่ก็ไลน์มาบอกว่าใกล้ถึงละ เดี๋ยวกูออกไปดูหน้าซอยก่อน” เดี่ยวตอบผมพร้อมลุกขึ้นเดินออกไปหน้าบ้าน

“มลมาด้วยนะ ภัทรเคยเห็นยัง เด็กไอ้เป้” บอลยื่นหน้าทะเล้นมาหาผมกับเป้ เอามือป้องปากพร้อมกระซิบสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด

บอล...กินไก่ต่อไปไหม..

“เด็กพ่องมึงดิ อย่าพูดแบบนี้เขาเสียหายหมด”

เป้กับบอลเถียงกันไปมา ผมก็ได้แต่นั่งทำตัวไม่ถูก สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ทำให้เป้ลำบากใจอีก ยังไงก็ต้องทำตัวให้ปกติที่สุด เดี่ยวและแต้วเดินมาพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน คือ กิ๊ฟ ฝน และแน่นอน มล

มลเป็นคนที่แตกต่างจากผมสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ แต่มลร่าเริง คุยเก่ง เป็นผู้หญิงขาวตัวเล็กๆที่คุยด้วยง่าย แถมตลกขบขัน ทั้งๆที่ผมเพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรกผมยังไม่รู้สึกอึดอัดกับบทสนทนาที่ฝ่ายนั้นยื่นมา เรียกได้ว่ามลเป็นผู้หญิงที่มีพลังบวกอยู่รอบตัวจริงๆ ใครอยู่ด้วยก็ต้องมีความสุข ไม่แปลกเลยที่เป้จะชมว่าเขาน่ารัก

ผมรู้สึกทึ่งความสามารถในการวางแผนชองเดี่ยวก็วันนี้ อยู่ๆเดี่ยวก็มีไอเดียบรรเจิดให้เราสี่คนแบ่งหัวข้อวิชากันเป็นสองกลุ่มโดยผมกับเป้ ทำวิชาเลขที่เป้ถนัดกับวิชาเกษตร บอลกับเดี่ยวก็รับผิดชอบวิชาสังคม กับศิลปะ

“หัวเดียวมันจะสู้สองหัวได้ไง” เดี่ยวว่า

แค่นั้นยังไม่พอ ถึงจะอยู่กันคนละห้อง แต่กลุ่มของแต้วก็ต้องทำรายงานวิชาเหมือนๆกัน เดี่ยวก็เลยเรียกพวกเขามา บอกว่าแทนที่จะคิดสองคน คิดสี่คนสองหัวข้อมันน่าจะเวิร์คกว่า และยังบอกอีกว่าความเห็นชายหญิงมันต่างกัน ช่วยกันคิดช่วยกันทำจะได้ออกมาดี เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่สรุปไปสรุปมา เดี่ยวกับบอลได้รวมกลุ่มกับแต้วและฝน ส่วนผมต้องทำรายงานกับเป้ มลและกิ๊ฟ

โธ่ นี่แน่ใจนะว่าเพิ่งคิดได้เมื่อคืน แผนการสลับซับซ้อนอย่างกับFBI

รู้นะว่าใกล้สอบมันยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลากัน แต่อยากอยู่กับแฟนนี่ ต้องเดือดร้อนเราขนาดนี้เลยหรอเดี่ยว...

หลังข้าวเช้าเราสี่คนก็นั่งคิดหัวข้อรายงานวิชาเลขกันก่อน ถึงจะไม่ค่อยพอใจแต่ความคิดของเดี่ยวแต่มันก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน มลกับกิ๊ฟช่วยบอกข้อดีข้อเสียของหัวข้อหลักที่เราเลือกได้หลายอย่าง ช่วยกำหนดหัวข้อย่อยและวิธีนำเสนออีกด้วย เราสองคนก็ช่วยฝั่งนั้นคิดหัวข้อจนงานของทั้งสองกลุ่มเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้จริงๆ เหลือก็แต่ทำเล่มรายงานก็ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์

“เหลือหัวข้องานเกษตร มลขอเสนอการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ พ่อมลมีความรู้เรื่องปุ๋ยหมักหลายประเภทเลย มลกับกิ๊ฟว่าจะลองทำปุ๋ยหมักจากผลไม้เน่าเสีย กลุ่มเป้ลองทำปุ๋ยหมักจากใบไม้เแห้งไหมละ เป็นการลดขยะไปด้วย ได้ประโยชน์สองต่อ ถ้าสนใจเริ่มทำกันพรุ่งนี้ที่บ้านมลก็ได้ มีเวลาหมักสักสองอาทิตย์ก็น่าจะพอเห็นผลไปทำรายงานส่งได้”

เมื่อเปิดหัวข้อรายงานเกษตร มลก็เสนอสิ่งที่คิดไว้ให้พวกเราฟัง เป้ดูตั้งอกตั้งใจและสนใจในหัวข้อนี้เป็นที่สุด ก็เล่นถามรายละเอียดไม่ยอมหยุด

ไม่รู้ว่าหัวข้อดีหรืออยากไปบ้านมลกันแน่

“เราว่าหัวข้อดีเลยนะ พรุ่งนี้ไปเก็บใบไม้แห้งในสวนสาธารณะแถวบ้านภัทร แล้วไปบ้านมลกันเลยไหม” เป้หันมาถามผม

ถามกันสักคำไหมว่าอยากทำหัวข้อนี้หรือเปล่า

“เอางั้นก็ได้..” ผมตอบเสียงอ่อยออกไป

“โอเค งั้นเดี๋ยวพวกเรากลับแล้วนะ ต้องไปขอผลไม้เน่าจากแม่ค้าในตลาดน่ะ” กิ๊ฟว่า

“เอ้า แล้วจะถือกลับกันยังไง ให้เราไปช่วยไหม” เป้ถามขึ้นหลังจากเห็นกิ๊ฟและมลเริ่มเก็บของลงกระเป๋า

ก็รู้นะว่าเป้เป็นคนดี ดีเผื่อแผ่ ดีไปทั่ว แต่วันนี้ความอดทนมันมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว เห็นใจกันหน่อยแล้วกันนะ

“เอ่อ..คือเราจะไปธุระกับแม่ คงไปช่วยพวกมลไม่ได้ ขอโทษทีนะ ยังไงเราขอตรงกลับบ้านเลย ฝากเป้ด้วยนะ”

วันนี้ขอกลับไปทำใจตุนไว้สำหรับพรุ่งนี้หน่อยแล้วกัน

เมื่อตกลงกันได้เราก็เก็บข้าวของ ลากลุ่มเดี่ยวที่ยังนั่งทำงานกันต่อ พวกเป้ก็เดินไปตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเดี่ยวเท่าไหร่ ผมก็ใช้วิธีที่ผมถนัดที่สุด “หนีไปตั้งหลัก” ที่บ้านผม..

*************

ผมนั่งเหม่ออยู่บนเตียงในห้องนอนของผมอีกครั้ง ในมือยังมีหนังสือเรียนภาษาไทยที่ควรอ่านให้จบ บอกตามตรงว่าไม่เข้าหัวสักนิด เรื่องวันนี้มันยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน ยังไม่รวมเรื่องวันพรุ่งนี้อีก จะต้องทำตัวยังไงก็ไม่รู้ นี่กำลังเล่นเกมส์ทดสอบความอดทนกันอยู่หรือเปล่านะ

ติ้ง! ติ้ง! ติ้งๆๆๆๆๆๆ

เสียงเตือนในไลน์ดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกันจนต้องรีบหยิบขึ้นมาดู

*Pe’*LE added you to “ปุ๋ยหมักฝักใฝ่”

<3 NamMoL <3 joined the group
Perfect Gift *~*  joined the group

<3 NamMoL <3
ชื่อกลุ่มอะไรเนี้ย ฝักใฝ่อะไรเป้ 5555 20:23

Perfect Gift *~* 
หวัดดีจ้าทุกคนนนน นั่นสิฝักใฝ่ด้านไหน 555 20:24

*Pe’*LE
ขอต้อนรับทุกคนเข้ากลุ่มครับ คุยกันในนี้นะ สะดวกดี 20:24

ไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรดีน่ะมล ช่วยกันคิดชื่อใหม่หน่อยสิครับ 555 20:25

<3 NamMoL <3
ล้อเล่นน้า ไม่รู้จะตั้งอะไรเหมือนกัน ยากกว่ารายงานอีก เอาชื่อนี้ก็ได้ :)  20:26

Perfect Gift *~* 
เราตั้งให้ๆ ปุ๋ยหมักลองมารักกันไหม ฮิ้ววววว ชงเข้มๆ ชูป้ายไฟ *หัวใจ* 20:27

<3 NamMoL <3
กิ๊ฟไม่เอา แซวอีกแล้ว แค่พวกเดี่ยวแซวก็จะทำตัวไม่ถูก รับมือไม่ไหวแล้ว เป้ช่วยด้วยยยย 20:28

*Pe’*LE
5555 ไม่เอาไม่แซวนะครับกิ๊ฟ 20:28

Perfect Gift *~* 
อ่ะๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ แหม รีบปกป้องกันเลยนะ แล้วไปส่งมลที่บ้านเรียบร้อยนะ 20:29

<3 NamMoL <3
ถึงบ้านแล้วจ้า ขอบใจมากเลยนะเป้ ไม่งั้นขนมาไม่ไหวแน่ๆเลย 20:30

*Pe’*LE
ไม่เป็นไรเลยครับ ยังไงขอรายละเอียดอุปกรณ์ที่เหลือหน่อยนะครับ พรุ่งนี้จะได้ซื้อเข้าไปเลย 20:32

<3 NamMoL <3
โอเคจ้า แปปนึงน้า 20:33
*Sent photo*
รายละเอียดตามนี้เลยจ้า 20:38

*Pe’*LE
ขอบคุณนะครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ ยังไงก่อนเข้าไปจะโทรไปก่อนครับ 20:38

<3 NamMoL <3
จ้า เจอกันพรุ่งนี้นะ 20:39

*Pe’*LE
@NaPat อ่านอยู่หรือเปล่า รอเราเหมือนวันนี้ เจ็ดโมงนะ ต้องไปเก็บใบไม้ 20:39


20:45 โทษทีนะ เปิดค้างไว้ ลงไปกินข้าวมาเลยเพิ่งเห็นน่ะ
20:45 อืม เจอกันเจ็ดโมงนะ



.
.
.

ผมตัดสินใจกดปิดปุ่มเตือนของกลุ่ม แล้วโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง ล้มตัวลงนอนมองเพดานห้องสีขาว ตอนนี้ในหัวมันขาวโพลนไปหมด หน้าอกผมมันร้อนเหมือนมีฮีตเตอร์ซ่อนอยู่ข้างใน ขอบตาเริ่มร้อนและมีน้ำขังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จริงๆละครที่ว่านำ้เน่ามันก็มาจากเรื่องจริงทั้งนั้นเลยนะ

พระเอกคมเข้มกับนางเอกหน้าใสที่คู่ควรกัน

คนรอบข้างต่างเชียร์ มีตัวช่วยเยอะแยะ มีแต่คนดูจิ้นให้เขาสมหวัง

ส่วนผม..

ถ้าอยู่เงียบๆ ไม่แสดงออก ก็จะได้เป็นคนดี อารมณ์แบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ชอบมาก แต่ก็ยอมปล่อยเขาไป อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

หึงหวงขึ้นมาก็จะได้เป็นตัวร้าย ไม่อยากให้เขาลงเอยกัน อยากจับแยกแล้วตะโกนออกไปว่าคนที่รักเขามากที่สุดคือผม โดนคนดูเกลียด ไม่มีใครสงสาร ไม่ว่าจะรักเขามากกว่าแค่ไหน

แต่คิดเล่นๆ ยังเจ็บเลย

เพราะไม่ว่าจะเล่นบทไหน ถ้าไม่ใช่นางเอก ก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวพระเอกอยู่ดี..



******************


เห็นพัฒนาการของตัวละครภัทรหรือเปล่าคะ เราพยายามทำให้เห็นว่ายามที่ภัทรสบายใจ สนิทใจนางก็เป็นคนน่ารัก คุยง่ายนะ ไม่ได้อึมครึมไปซะตลอด น้องยังเด็กเนาะ ตอนเราเด็กๆเรื่องของความรักมันก็เรื่องใหญ่นะ ยิ่งกับรักแรกแบบนี้ สงสารน้องงงงง












ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 6 เรื่องที่ต้องขอโทษ

“งั้นค่อยมาดูผลวันเสาร์หน้านะ จะได้บันทึกและถ่ายรูปความคืบหน้าเป็นระยะ เราจะคอยดูให้ทุกวันเลย“
มลพูดสรุปขณะที่เราสี่คนนั่งกินของว่างที่คุณแม่ของมลยกมาให้

ไม่รู้จะขอบคุณครอบครัวนี้ยังไงดี คุณพ่อที่ตั้งแต่เช้าคอยสอนทุกขั้นตอนอย่างละเอียด จนกระทั่งช่วยลงมือทำ จนยังไม่ทันเที่ยงดีทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย แล้วยังคุณแม่ของมลอีก ที่คอยเดินมาถามความคืบหน้า แถมยังทำอาหารกลางวันและยังต่อท้ายด้วยของว่างเยอะแยะ จิตใจดีกันทั้งบ้านแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยที่มลโตมาเป็นคนอัธยาศัยดีแบบนี้

“ขอบใจมลมากเลยนะครับ ที่แนะนำเรื่องปุ๋ยหมัก ไม่มีมลนี่ เราไม่รู้จะทำอะไรกันเลยเนอะภัทร” เป้พูดขึ้นแล้วหันมามองหน้าผม

“ใช่ ขอบใจมากเลยนะ แล้วก็ขอบคุณคุณพ่อของมลด้วย วันนี้แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมพูดออกไป ทั้งๆ ที่วันนี้ไม่อยากมา แต่ถ้าไม่ได้มลและครอบครัว งานคงไม่เสร็จเร็วแบบนี้จริงๆ

เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ คิดหาทางและข้ออ้างต่างๆนานาที่จะไม่ต้องมาวันนี้ ไปธุระกับที่บ้าน ป่วยกระทันหัน หมากัด หรือหม้อน้ำที่บ้านแตก อะไรก็ได้ที่จะเป็นเหตุผลที่น่าฟังพอ

แต่ผมก็รู้ดีว่าผมไม่สามารถหนีได้ตลอด แม้ว่าเป้กับมลจะกลายเป็นแฟนกันซะวันนี้ ผมก็ยังต้องอยู่ตรงนี้อยู่ดี เพราะไม่ว่ายังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบ ผมไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เราเสียงาน โดยเฉพาะนี่เป็นงานกลุ่ม ไม่ใช่แค่ผม แต่เป้ บอล เดี่ยว ก็จะเสียหายไปด้วย พอคิดได้อย่างนั้น ทันทีที่นกข้างหน้าต่างส่งเสียงร้อง ผมก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวโดยที่ยังไม่ได้หลับสักงีบ

“ไม่เป็นไรเลยจ้า ช่วยๆ กันไปเนอะ มีอะไรถามมาได้เสมอเลย” มลยิ้มกลับมาที่เราสองคน

“มลเขาก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องเหมือนกันนะ” กิ๊ฟพูดขึ้นยิ้มๆ ใช้ศอกสะกิดมลสองสามที มลทำหน้ามุ่ยใส่กิ๊ฟทันที

“มีอะไรที่พวกเราช่วยได้ บอกมาเลยนะครับ ช่วยได้จะช่วยเต็มที่เลย” เป้ตอบและยิ้มรับ

ใช่ ไอ้ยิ้มที่ทำให้ผมเจ็บหน้าอกนั่นแหละ

“คือ.. จริงๆ แล้ว มลอยากหัดเล่นดนตรีไทยมานานแล้ว เทอมหน้าว่าจะเข้าชมรมด้วย แต่ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้ไหม”

“อ่อ อยากเล่นอะไรล่ะครับ นี่ถ้าสนใจจะตีขิม ถามภัทรเลย ภัทรตีขิมสายอยู่ ดีเลยเนอะจะได้มาเล่นด้วยกัน”

“มลอยากตีระนาดน่ะ” มลพูดขึ้น ผมว่าหน้าเขาดูแดงๆ ถ้ามองไม่ผิด

“จริงดิ ไม่ค่อยมีเด็กผู้หญิงมาเล่นเลยนะ”

“แน่ะ อยากตีระนาด หรืออยากให้เป้สอนกันแน่” กิ๊ฟพูดแทรกเข้ามา ยังมาเนอะให้ผมร่วมแซวด้วยอีก ผมก็ทำได้แค่ยิ้มๆ กลับไป

เอ่า เกมส์ฝึกความอดทนเริ่มขึ้นอีกแล้ว

“กิ๊ฟไม่เอา อย่าแซว อยากตีระนาดจริงๆ เป้อย่าเข้าใจผิดนะ” มลโวยวายใส่กิ๊ฟ หน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ

“ได้นะครับ ถ้าอยากลองเล่น พุธหน้าเราเข้าชมรมตอนเที่ยง มาลองเล่นดูก่อนไหม แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้นะครับ” เป้เสนอ

“ได้หรอ งั้นมลไปหาที่ห้องซ้อมนะวันพุธ” มลมีท่าทางตื่นเต้น ดูดีใจมากๆ พูดขอบใจเป้ไปหลายครั้ง

“ครับ ตกลงตามนี้เลย”

——-


“เฮ้อ... เสร็จสักที เสาร์อาทิตย์นี้ไม่ได้พักเลยเนอะ เกมส์ไม่ได้แตะ การ์ตูนไม่ได้อ่านเลย” เป้บ่นไม่หยุดขณะที่เรานั่งรถสองแถวกลับบ้านด้วยกัน

“อืม นั่นสิ ใกล้สอบแล้วก็แบบนี้แหละ”

“หิวข้าวหรือเปล่า”


“จะหิวได้ยังไงละ เมื่อกี้คุณแม่มลให้กินทั้งข้าวทั้งขนมไปตั้งเยอะ อิ่มจะตายอยู่แล้ว”


“นั่นสิ แม่มลน่ารักมากเลยเนอะ ที่จริงน่ารักกันทั้งบ้านเลยนะ ช่วยพวกเราเยอะเลย”

“...” ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ กลับไป

อืม.. ผมมันขี้อิจฉา

“แล้วรีบกลับบ้านไหม” ผมส่ายหน้า วันนี้ไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ

“ไปเดินเล่นที่สวนเมื่อเช้าไหม อากาศดีๆแบบนี้ อยากไปนั่งเล่นผ่อนคลาย”

ตกลงได้แบบนั้นเป้ก็ลงกับผมที่หน้าซอยบ้านแล้วเดินไปที่สวน วันอาทิตย์แบบนี้มีคนมาออกกำลังกายค่อยข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้เยอะจนรู้สึกอึดอัด เราสองคนเดินเล่นชมวิวไปเรื่อยๆ อากาศวันนี้ดีจริงๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย


“สรุปพรุ่งนี้ตอนเย็น อยู่ทำรายงานที่โรงเรียนกันนะ เราจะได้เอาโน๊ตบุ๊คไปด้วย” ผมถามขึ้น


“ได้ๆ อาทิตย์นี้ทำวิชาเลขกัน ถ้าทำกันทุกเย็น อาทิตย์นี้น่าจะเสร็จ วันเสาร์ค่อยไปบ้านบ้านมลกัน อีกอาทิตย์นึงรายงานเกษตรก็เสร็จ”

“พวกบอลกับเดี่ยวไปถึงไหนแล้ว”

“วันนี้ก็เห็นนัดกันไปบ้านเดี่ยวอีก ขยันเหมือนไม่ใช่ไอ้เดี่ยว” เป้พูดขำๆ คิดถึงเมื่อวานนี่ก็เพิ่งเคยเห็นเดี่ยวจริงจังกับการเรียนแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

“เอาน่ะ เสร็จไปตั้งเยอะ อีกแปปเดียวก็สบายแล้ว”

“สบายอะไรละ จะสอบแล้ว เป้เก่งก็งี้ เราอ่านไม่ทันแล้วเนี่ย” ผมทำหน้ามุ่ย

“ทันอยู่แล้ว ภัทรมีไรให้เราช่วยไหม” เป้เอามือมาขยี้หัวผมเบาๆ

“เอ่อ ลืมไปเลย วันอังคารเราทำรายงานตอนเย็นด้วยไม่ได้นะ พี่นิวบอกจะติวเลขให้” ผมเพิ่งนึกได้

“พี่นิวไหน ในวงอะนะ” เป้เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย


“อืม วันศุกร์ที่แล้ว พี่เขาโทรมา เราเล่าว่าเราอ่านหนังสือไม่ทัน พี่เขาเลยจะติวให้ ยิ่งวิชาเลขนี่ไม่ไหวเลย”


“ภัทรรู้ใช่ไหม ว่าเราเก่งเลขจะตาย”


“...ก็เห็นเป้ยุ่ง ไม่อยากรบกวน”


“เฮอะ ไม่รบกวนเรา แต่รบกวนคนอื่นได้”


ผมแอบมองหน้าเป้ เห็นเจ้าตัวทำหน้าดุ ดูหงุดหงิดมาก ผมอมยิ้ม ขี้หวงเหมือนกันนะเนี่ย

ถึงจะเป็นแค่การหวงเพื่อนก็เถอะ


“กับพี่นิวนี่ยังไง...” เป้ถามผมขณะที่เรายังเดินไปเรื่อยๆ


“ยังไง คืออะไรอะ” ผมพยายามมองหน้าคนที่ตอนนี้เดินนำออกไปนิดหน่อย


“โทรคุยประจำเลยหรอ ไม่รู้เลยนะ ว่าสนิทกัน”


“ก็ไม่ทุกวันหรอก แต่หลังจากวันงาน พี่เขาก็โทรมาบ้าง ไลน์คุยกันบ้าง พี่เขาคงเห็นเราไม่ค่อยมีเพื่อน กลัวเราเหงามั้ง”

เป้หยุดเดิน หันกลับมาหาผม หน้าตาดูหงุดหงิดที่สุด

“ภัทรเหงาหรอ”

“ก็เปล่า...แค่..”

“มีเราแล้วยังเหงาอีกหรอ” เป้แทรกขึ้น ผมมองขึ้นไปสบตาเขา ไม่มีแววล้อเล่นอยู่ในตาคู่นั้น

เป้...

เป้..รู้ไม่ใช่หรอว่าเราเป็นคนคิดมาก...

คิดลึกมากด้วยนะ...


——————-


เราสองคนเดินเล่นต่อไปอีกสักพัก โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกัน และผมก็ไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ เป้ชวนผมแวะซื้อไอติม และเราก็มานั่งตรงม้านั่งริมสระที่อยู่กลางสวน เห็นจักรยานน้ำเป็ดหลากหลายสีสันเต็มสระไปหมด เป็ดบางตัวเป็นของครอบครัวพ่อแม่ลูก บางตัวเป็นของคู่รัก ดูทุกคนมีความสุข พูดคุยหัวเราะเสียงดัง ผมเห็นแบบนั้นก็อดยิ้มและหัวเราะตามไม่ได้


“อยากนั่งเป็ดหรอ” เป้แซวขึ้นเมื่อเห็นผมมองไม่หยุด


“เปล่านะ แค่ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะแล้วมันอดหัวเราะตามไม่ได้ หัวเราะจริงจังมาก” ผมพูดขำๆ


“เป็นเด็กนี่ดีเนอะ” ผมเงยหน้าไปมองเป้ เขายังมองไปในสระไม่ไดหันมาสบตา


“แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้ตรงๆ อยากได้อะไรก็บอก อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากหัวเราะก็หัวเราะ ไม่ต้องคิดว่าควรหรือไม่ควรแสดงออกอะไร ไม่เหมือนพวกเรา ทั้งๆ ที่เป็นความรู้สึกของเราแท้ๆ กลับต้องแคร์คนอื่นอยู่ตลอด”

ผมเม้มปาก ทำไมเหมือนเป้พูดถึงผม

เราจะไม่ไหวแล้วนะ


“เป้ เราถามอะไรหน่อยสิ”

“ว่าไง”


“กับมลนี่ยังไงหรอ...”


“เห้ย ภัทรก็เล่นด้วยหรอ... ไม่แซวดิ แค่พวกไอ้เดี่ยวไอ้บอลเชียร์ทุกวันก็พอแล้วไหม..”

เป้พูดติดตลกก่อนที่จะหยุดพูด เมื่อหันมาเจอผมที่จ้องหน้าเขานิ่งอยู่ก่อนแล้ว เขาหุบยิ้มนั่งตัวตรงหันหน้าไปทางสระนำ้อีกครั้ง หน้าตาดูจริงจังขึ้นมา

จริงๆมันไม่ใช่คำถามที่ผมอยากรู้หรอก


“เรา..คือ เรา..” เป้ดูกระอักกระอ่วนไม่พร้อมจะตอบ


ขอโทษนะเป้


“เป้จำวันนั้นที่เราถามเป้ได้ไหม”


ตอนนี้เราไม่สามารถหยุดตัวเองได้แล้ว


“บนรถสองแถว วันที่เจอพี่ทีแฟนตั้มครั้งแรก”


ทั้งๆ ที่เราไม่อยากทำให้เป้อึดอัด


“ถ้ามีผู้ชายมาชอบเป้ จะอึดอัดไหม”


ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะปิดและล๊อคให้แน่นที่สุด


“ที่จริงแล้ว เราตั้งใจจะถามว่า”

แต่เพราะเป้เป็นแบบนี้


“ถ้าเราชอบเป้ เป้จะอึดอัดไหม”


เราถึงชอบจนทนไม่ไหวแล้ว
.

.

.

************

นุ้งภัทรรรรรร ลู๊กกกกกก
เขียนเอง กรี๊ดเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียน ยังไม่ค่อยมีคนอ่านเลย แหะๆ แต่จะเขียนให้จบ สู้ต่อไป รักน้องทั้งสองมากก

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 7 เรื่องที่ต้องรอ

บอกไปแล้ว...

ตอนนี้มือไม้สั่นไปหมด ใจก็เต้นรัวเร็วเป็นกลอง แต่ทุกส่วนของสมองที่เคยมีอะไรกดทับตอนนี้กลับคลายตัวออกจากกัน ภัทรเคยกลัวมาก กลัวที่จะเผชิญหน้า กลัวคำตอบ แต่ตอนนี้...

โล่ง..

ถึงตอนนี้ยังกลัว แต่กลับมีความสบายใจเพิ่มเข้ามา ดูจากที่เป้ยังไม่เดินหนีไป คงไม่ถึงขนาดเกลียดกันมั่ง แล้งเป้ไม่ได้ดูอึ้งเท่าไหร่ มีเพียงแววตาสั่นไหวที่ไม่รู้ว่าตอนนี้สื่อถึงอะไร

“ภัทร ... ภัทร!”

“คระ..ครับ” ผมหลุดออกจากภวังค์

“ไม่ได้ยินที่เราถามหรอ”

“เป้ว่าอะไรนะ ขอโทษที” ผมมองหน้าเขา พอตาเราสบกันอีกครั้งผมก็ต้องก้มหน้าลง

“เราถามว่าภัทรชอบเราจริงๆหรอ”

ผมพยักหน้าช้าๆ ไม่รู้จะย้ำทำไม

“แบบตั้มกับพี่ที?” เป้เสริม

ผมพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยสิ่งที่คิด

“เป้เชื่อนะ ว่าเราคิดมาเยอะจริงๆ ไม่ได้อยากทำให้ลำบากใจ”

“เราไม่ได้ลำบากใจ..อย่าพูดแบบนี้”

“เราสัญญากับเป้แล้ว และเป้ก็บอกเองว่ามีอะไรให้พูดตรงๆ”

“....”

“เราพยายามเลิกชอบแล้ว แต่เราทำไม่ได้ เราไม่ได้หวังอะไรเลยนะ เราแค่อยากบอกให้รู้ เราอยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกของเราและไม่อยากให้เป้คิดว่าใช้ความเป็นเพื่อนมาหลอกใกล้ชิดเป้ด้วย”

“....”

“มาถึงตรงนี้ก็อยู่ที่เป้แล้วนะ ว่าอยากให้เป็นยังไงต่อไป  จะยังอยากให้เราอยู่ใกล้หรือเปล่าก็แล้วแต่เลย ถ้าเป้อึดอัด เราก็จะพยายามไม่เข้าใกล้เป้อีก”

ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าผมเคยพูดเยอะขนาดนี้ล่าสุดเมื่อไหร่ ผมเอาความกล้ามาจากไหนไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันแน่นอยู่ในอกผมมานานหรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่พอ ผมถึงพูดทุกสิ่งที่ผมคิดออกไปทั้งหมด

“ไม่เอา” เป้หลุดสองคำสั้นๆหลังจากที่ผมพรั่งพรูความในใจออกมา ก่อนที่ผมจะใจเสียไปมากกว่านี้เป้ก็พูดต่อ

“ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น”

“ภัทรเชื่อเรานะ ว่าเราก็คิด”

ใจผมกระตุก

“ความรู้สึกที่มีให้ภัทรมันไม่เหมือนความรู้สึกที่ให้เพื่อนคนอื่น ไอ้เดี่ยว ไอ้บอล หรือใครทั้งนั้น แต่เรา... เราไม่รู้...ไม่รุ้ว่ามันใช่แบบนั้นไหม”

เขาดูอึดอัด เอาสองมือมาขยี้หน้าก่อนที่จะวางศอกทั้งสองข้างลงบนเข่า

“เป้...” ผมเอื้อมมือไปจับไหล่เขา

“แต่ภัทรเชื่อเราได้ไหม ว่าภัทรพิเศษสำหรับเรา” เป้หันหน้าตาจริงจังมาจ้องผมอีกครั้ง ผมยิ้มให้เขา ยิ้มให้กับความใจดีไม่มีขีดจำกัดของผู้ชายตรงหน้า

“เรายังยืนยันนะว่าเราไม่ได้หวังให้เป้มารับรักเรา”

“แค่เป้ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เราก็ดีใจจะแย่แล้ว นึกว่าจะโดนเกลียดซะอีก” ผมหัวเราะ

“....”

“ไม่ได้เกลียดเราใช่ไหม”ผมแกล้งถาม

“ถามอะไรเนี้ย อยากให้เราโมโหหรอ” เป้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง

หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็นั่งอยุ่ม้านั่งตัวเดิม จ้องไปในสระที่ตอนนี้แทบไม่เหลือจักยานน้ำเป็ดสักตัว

“ภัทร..” ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นการถามเมื่อเขาเรียกชื่อผม

“รอเราได้ไหม” เป้พูดแค่นั้น แต่ผมเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร เขาต้องการเวลา

เขายังไม่พร้อมจะตัดสินใจอะไรในตอนนี้

แต่เมื่อเป้ยังอยู่ตรงนี้ แค่นี้มันก็มากเกินกว่าที่ผมเคยฝันไว้เสียอีก ผมถึงไม่ลังเลที่จะพยักหน้าลงพร้อมมอบรอยยิ้มเล็กๆให้เขา


——-

“ก็แบบที่เล่านี่แหละ” ผมยกน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากนั่งเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ตั้มฟัง วันนี้วันจันทร์ หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน ผมก็รีบโทรหาตั้มบอกให้มากินข้าวด้วยกันตอนเที่ยง

“อือฮือ มึงปกติเห็นขี้กลัว บทจะกล้าก็บ่าบิ่นจริงๆนะ”

ผมอมยิ้มนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็จริงนั่นแหละ

“แล้วจะเอาไง”

“เอาไงคืออะไร กุก็เฟรนด์โซนไหมมึง”

“ก็ไม่แน่หรอกมึง ยังไงมึงก็ต้องให้เวลามันด้วย ไหนมันบอกให้รอ”

ผมส่ายหน้า

“กูไม่ได้หวังอะไรเลยมึง แค่เขาบอกให้กุอยู่ข้างๆเขา แต่เรายังเป็นเพื่อนกัน กูก็ดีใจแล้ว แล้วที่ให้บอกให้รอ เขาก็คงไม่อยากตัดรอนกูตรงๆ กลัวกูทำใจไม่ได้มั้ง”

“แล้วนี่มากินข้าวกับกู มันไม่คิดว่าหลบหน้ามันอีกหรอ”

ผมมองข้ามไปข้างหลังตั้มอีกสามโต๊ะ สบตาเข้ากับเป้ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบหลบตาหนี

“ไม่หรอก กูบอกว่ามึงทะเลาะกับพี่ที” ผมหัวเราะกับคำด่าของตั้ม แอบมองโต๊ะของเป้ เห็นกลุ่มของแต้วเดินมาจากอีกฝั่ง พูดคุยกันแป๊ป ก่อนที่จะนั่งลงด้วยกัน

“มันอาจจะชอบมึงก็ได้นะ กูก็แอบคิดว่ามันหวงมึงเกินเหตุ”

“ไม่หรอกมึง ตัวจริงเขาก็นั่งอยุ่ทนโท่ จะให้กูหวังอะไร”

ตั้มหันหลังไปมอง ก่อนจะหันมามองผม “สรุปเขาคบกันจริงๆหรอ”

“เมื่อวานก็ถามไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตอบ”

“เแล้วมึงก็โอเคแบบนี้ ยังจะรอมันอีก” ตั้มโมโห

“มึงให้กูทำไง กูตัดใจไม่ได้”

ตั้มมองหน้าผม แววตาแสดงออกถึงความเห็นใจ เอื้อมมือมาลูบหัวผม

“มึงนี่มัน....” ตั้มถอนกายใจเฮือกใหญ่

“กูอยู่ตรงนี้เสมอนะ มีอะไรให้กูช่วยก็บอก อย่าเก็บไว้คนเดียว” ผมยิ้ม ตาหันไปสบกับเป้ที่จ้องมาอีกครั้ง

“ขอบใจนะมึง รักมึงว่ะ”

“กูมีแฟนแล้ว อย่ามาทำให้กุสับสนไปอีกคน”

“มันใช่ไหมเนี้ย” เราทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน ดีจังที่มีตั้มอยู่ตรงนี้

————

หลังเลิกเรียนผมกับเป้ลงมานั่งที่โต๊ะแถวอาคาร1 ที่อยู่บริเวณหน้าสุดของโรงเรียน อาจจะเป็นเพราะผมสารภาพไปแล้ว วันนี้ผมถึงทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับเขา ทั้งๆที่เป้ดูปกติดี ปกติเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองเกร็งมากกว่าทุกวัน จะวางมือวางแขนตรงไหน แม้แต่การหายใจก็ดูจะติดขัดกว่าทุกที

ในใจผมมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์บอกว่าเป้ไม่ได้คิดอะไรกับผม เป้เป็นเพื่อนที่ดีและเขาพยายามรักษาน้ำใจผมอย่างที่เขาทำเสมอ แต่ไอ้สิบเปอร์เซนต์ที่เหลือนี่สิ ในเมื่อเขาบอกให้ผมรอ มันก็ไม่ผิดใช่ไหมที่ผมยังมีความหวัง

“ภัทร” จะสะดุ้งทำไมเนี้ย ผมตกใจเมื่อเป้เรียกชื่อผม

“เป็นอะไร มาอ่านทวนหน่อย เราพิมพ์เป็นไงมั้ง อยากเพิ่มตรงไหนไหม”

ผมเขยิบเข้าไปนั่งข้างเป้ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอโน็ตบุ๊ค ตอนนี้หน้าของเราใกล้กันมาก

“เราว่ามันสั้นไปนะ ขยายเนื้อหาอธิบายสมการอีกหน่อยไหม เอาแบบละเอียดๆเลย จะได้เข้าใจง่ายๆด้วย” เป้พูดหันหน้ามาทางผม เมื่อลมหายใจของเป้รดต้นคอของผม ผมก็สะดุ้งและดึงตัวออกมาห่างเขาทันที

“....” เป้มองผม ไม่พูดอะไร แน่นอนว่าคนใส่ใจรายละเอียดแบบเป้ต้องสังเกตเห็นอาการผิดปกติของผมอยู่แล้ว ผมก้มหน้ามองตักตัวเองไม่รู้จะทำยังไงดี

ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อมีมือมาวางบนผมของผม

“เป็นอะไรหรือเปล่า...” ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขา ทั้งที่คำถามและสัมผัสบนห้วอ่อนโยน แต่ทำไมไม่รู้ตอนนี้ผมว่าเป้ออกจะดูหงุดหงิดนิดๆ

“เปล่านะ...”

“โกหก” เป้แทรกขึ้น “ไหนว่าจะไม่โกหกเรา”

“....”

“ไหนบอกมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”

“...”

“ภัทรถามเราว่าอึดอัดไหม แต่เป็นภัทรเองตั้งหากที่อึดอัดที่อยู่ใกล้เราตอนนี้”

“เปล่านะ!” ผมแทบตะโกนออกไป

“เราแค่.. ทำตัวไม่ถูก”

“ก็ไม่เห็นต้องพยายามทำอะไรเลย ทำตัวปกติสิ”

“ก็นั่นแหละที่ยาก” ผมยังเถียงต่อ

“แล้วให้เราทำไง ให้เราหายไปเลยไหม” น้ำเสียงเป้ตอนนี้ดูหงุดหงิดปนน้อยใจ เขานั่งหันหลังให้ผม จ้องหน้าจอโน๊ตบุ๊ค

เป้ก็คงคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
ทั้งๆที่เขาพยายามทำตัวปกติ
ผมกลับไม่ยอมทำอะไรเลย

“ไม่เอา” ผมเดินไปอีกฝั่งของโต๊ะประชันหน้าเขา

“ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น” ผมย้อนคำที่เขาบอกผมเมื่อวาน

ผมมองหน้าเขา ยิ้มกว้างพร้อมส่งสายตาอ้อนให้เขาหายโกรธ เป้ยังทำหน้าบึ้งแต่แววตาของเขาเริ่มอ่อนลงแล้ว

“ไม่เอาสิครับ อย่าโกรธกันเลยนะครับ เห็นใจคนแอบชอบบ้างได้ไหมคุณ” ผมแหย่ต่อ

“เนี่ยเพิ่งเคยชอบใครครั้งแรก มันก็เลยเกร็งไปหน่อยน่ะครับ”

เป้จ้องตาผมนิดและยกยิ้มขึ้นเล็ก ส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะเอ่ยขึ้น

“แล้วคนแอบชอบเห็นใจคนสับสนบ้างไหมครับ“

ผมใจเต้นแรงเมื่อเป้เล่นกับผมด้วย

“ทำเหมือนไม่อยากอยู่กับผมแบบนี้ ผมไม่สบายใจเลยนะครับ” เป้เสริม ผมว่าหน้าผมเริ่มแดงขึ้นแล้ว

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คนสับสนไม่สบายใจ”

“คนแอบชอบก็เลิกคิดมากนะครับ”

“จะพยายามครับ”

เป้ยิ้ม มองหน้าผมสักพักก่อนที่จะเอ่ยออกมา

“อาจจะฟังเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ขอเวลาเราอีกหน่อยนะภัทร แล้วเราจะชัดเจนกว่านี้แน่นอน”


.
.
.
************

ตอนนี้เขียนยากมากกกก แก้แล้วแก้อีก พยายามจะอธิบายความสับสนในใจของเป้ให้รู้เรื่องมากที่สุด ในเรื่องพระนายนี่ 14 นะ ยังเด็กมาก อย่าว่าแต่รักผู้ชายเลย เรื่องผู้หญิงยังไม่ค่อยมีกัน ดังนั้นมันหน่วงๆ ช้าๆ ต้องใช้เวลาจ้าา

เขียนเอง อินเอง นักเลงพอ ฮือออ คนอ่านน้อยจัง แงง



















ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 8 เรื่องที่หวัง



“ยังไม่อิ่มอีก” ผมพูดขึ้นหลังจากมองดูไอ้เพื่อนตัวเล็กกินข้าวเป็นจานที่สอง วันนี้ผมก็มานั่งกินข้าวกับตั้มอีกวัน



“อัง!” ตั้มพูดขึ้น ข้าวยังเต็มปาก



“มึงแม่ง เอาไปเก็บไว้ไหนวะ ตัวแค่เนี้ยกินจุสุดๆ”



“มึงไม่ต้องสนใจกูหรอก ดูมึงสิกินแค่นิดเดียว เครียดเรื่องไอ้เป้อะดิ”



“เปล่านะ กูโอเคดี” ผมยิ้ม



ที่จริงระหว่างผมกับเป้ทุกอย่างมันไม่ใช่แค่โอเคแต่คือมันดีมาก จนทำให้ไอ้สิบเปอร์เซนต์ในใจผม มันเริ่มเข้ามากุมอำนาจทั้งหมด ไม่ใช่เพราะแค่การที่เป้บอกให้รอ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้ผมคิดไปไกล ไม่ว่าจะเป็นการคุยโทรศัพท์กันตั้งแต่เย็นจนเข้านอน หรือจะเมื่อเช้าที่เป้ซื้อปาท่องโก๋มายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์



แล้วไหนจะเรื่องเมื่อวานอีก...



เมื่อวานผมกับมีนัดติวเลขตอนเย็นกับพี่นิว เป้ไม่ยอมให้ผมไปคนเดียว บอกว่าอยากติวด้วย แต่พอไปนั่งจริงๆกลับไม่ยอมฟัง เอาแต่นั่งกดมือถืออยู่ข้างๆผม ตอนจะกลับ พี่นิวชวนผมกับเป้กลับด้วยกัน เพราะพี่นิวมีรถยนต์ พี่นิวขะยั้นขะยอจนผมไม่อยากปฎิเสธ แต่เป้ก็บอกไม่ท่าเดียว แถมยังเดินนำไปป้ายรถเมล์โดยไม่รอผม ผมก็เลยต้องปฎิเสธพี่เขาแล้วเดินตามเจ้าตัวไป



แบบนี้จะไม่ให้ผมคิดว่าเป้มานั่งเฝ้าผมได้ยังไง...



ทุกอย่างระหว่างเรามันเหมือนกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี..



ถ้าไม่ใช่เพราะ...



“โอเคพ่อง! มึงแหกตาดูซะบ้าง เขานั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ นี่ถ้ากูไม่ไปเรียกมึงออกมา มึงจะกินข้าวลงไหมวันนี้!”



ตั้มบ่นเสียงดัง สายตาจับจ้องไปทางด้านหลังผม ผมไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่ามันจ้องอะไรเพราะผมเพิ่งแยกออกมาจากตรงนั้น ตรงที่ตอนนี้มีเป้และมลนั่งกินข้าวอยู่ข้างกัน



“ไอ้ขี้อ่อย ไอ้จับปลาสองมือ ไอ้เหยียบเรือสองแคม” ผมหัวเราะให้กับท่าทีของตั้ม มันดูหัวเสียกว่าผมซะอีก มันนั่งจ้องเป้พร้อมกับขมุบขมิบในลำคอสักพักจนในที่สุดสายตาดุของมันก็วกมามองตาผม



“มึงมันบ้า มึงมันตาบอด”



“เอ้า ด่ากูซะงั้น”



“ยังมีหน้ามาบอกโอเคดีอีก กูจะบ้าตาย”



“มึงเป็นคนบอกเองว่าต้องให้เวลาเป้นะ”



“ก็ใช่ แต่มันก็ให้ความหวังมึงไหม กูถึงบอกว่ามันจับปลาสองมือ มันไม่ชัดเจน คนที่จะเสียใจก็มีแต่มึง”



“มึงก็เว่อร์..” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมรู้และเข้าใจทุกอย่างที่มันพูด แต่แค่ตอนนี้ผมพยายามมองผ่านมันเท่านั้น



“ทั้งๆที่มันรู้ว่ามึงชอบ มันยังเอามลมานั่งกินข้าวด้วย มันสงสารมึงไหม”



“ก็อยู่กลุ่มเดียวกันกับแฟนเดี่ยว จะให้เป้ทำยังไงล่ะ”



“ไม่ต้องมาปกป้องมัน กูจะด่า”

“อารมณ์เสียอย่างกับคนหิว นี่สองจานแล้วนะ” ผมหัวเราะ



“ภัทร” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลังผม เมื่อผมหันหลังไปก็เจอเป้ยืนค้ำโต๊ะพวกผมอยู่ ถัดไปข้างหลังผมเห็นมลยืนยิ้มอยู่



“เราจะพามลไปชมรม ไปพร้อมกันเลยไหม”



“เอ่อ...”



“เรากับภัทรรอพี่นิวอยู่ เห็นพี่เขาว่ามีเรื่องจะคุยกับภัทร”



ไม่ใช่ผมแต่เป็นคนที่นั่งตรงข้ามผมตอบกลับไป ผมหันกลับไปมองหน้าตั้ม มันหันมาสบตาผมแปปนึง ทำหน้าตาไร้เดียงสา แต่ผมเห็นนะว่ามันแอบยิ้ม



“...”



“เอ่อ..เป้กับมลไปเถอะ เดี๋ยวเราตามไป”



เป้พยักหน้า แล้วหันหลังเดินไปทางออกโรงอาหาร ผมหันมามองตั้มอย่างเร็ว



“มึงทำไมพูดแบบนั้น”



“กูก็แค่อยากเร่งให้มันชัดเจนเร็วๆ กูช่วยมึงอยู่นะ”



“..มึงนี่นะ เป้ยิ่งเข้าใจผิดอยู่ เขาคิดว่าพี่นิวจีบกู”



“หมาหวงก้าง ถ้าพี่เขาจะจีบมึง แล้วเกี่ยวอะไรกับมัน”



“สงสารพี่ทีวะ” ผมแกล้งส่ายหัว



“สงสัยอะไร กูเป็นแฟนที่ดีจะตาย ชัดเจนกว่ากูก็ Led Tv แล้ว”



“เออ พ่อคนดี เดี๋ยวกูก็ชอบมึงจริงๆหรอก แย่งเลยไหม”



“โธ่ ถึงจะเป็นมึง ก็ไม่สามารถมาทำลายความรักที่มั่งคงของกูได้หรอก”



“โอ๊ยย มั่นมากเลยจ้า” ผมหัวเราะ



ผมนั่งคุยกับตั้มไปสักพัก จนกระทั่งเหลือเวลาพักแค่ยี่สิบนาทีถึงบอกลาตั้มแล้วเดินไปห้องชมรม ดีที่วันนี้มันไม่เข้าชมรมด้วย วันนี้ตั้มดูหงุดหงิดเป้เป็นพิเศษ ไม่อยากให้อยู่ใกล้กันเลย



ผมเดินขึ้นบันไดหน้าอาคารตรงมายังห้อมซ้อมเด็กใหม่ คาดว่าเป้น่าจะพามลมาห้องนี้ กำลังจะถอดร้องเท้าเข้าห้องก็เห็นมลเปิดประตูออกมาพอดี



“อ้าว จะกลับแล้วหรอครับ”



“อืม วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยววันหลังมาใหม่”



“แสดงว่าชอบน่ะสิ วันนี้เป็นไงมั้งครับ”



“สนุกดี เป้ให้ลองเครื่องดนตรีหลายชิ้นเลย”



ผมยกยิ้มพร้อมพยักหน้ารับรู้ เบี่ยงตัวหลบให้มลก้าวไปใส่รองเท้า



“ภัทร” ก่อนที่ผมจะถอดรองเท้าออก มลก็เรียกชื่อผม



“มลมีเรื่องอยากปรึกษา พอมีเวลาไหม”



ผมมองหน้ามล เจ้าตัวพูดไปขณะที่ก้มหน้ามองนิ้วที่ผูกกัน ท่าทางประหม่าแบบนี้ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เลย



“ตอนบ่ายมีเรียนตึกไหนครับ”



“ตึกรวมชั้นสี่”



“งั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่งนะครับ”



เราสองคนเดินข้างกันไปจนเกือบถึงตึกรวม มลก็ยังไม่พูดอะไร อ้าปากเหมือนจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจกลับไปเงียบหลายครั้ง จนในที่สุดพอมาถึงหน้าตึกรวมก็เป็นผมที่เอ่ยขึ้น



“นั่งตรงนี้ก่อนไหมครับ ไหนบอกมีเรื่องอยากปรึกษา”



มลพยักหน้า เราสองคนจึงนั่งตรงม้านั่งหน้าอาคารเรียน มลสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้งเสียงดังก่อนจะพ่นออก



“ภัทร มลก็รู้นะว่าเรายังไม่สนิทกันเท่าไหร่ แต่เป้บอกว่าภัทรเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเป้ มลก็เลยอยากปรึกษาภัทร”



ผมใจกระตุก เป้บอกมลหรอว่าผมเป็น ‘เพื่อน’สนิทที่สุด ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับตำแหน่งเลยนะ



“ภัทรก็น่าจะมองออกว่ามลรู้สึกยังไงกับเป้..”



ผมหน้าชา ไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวมาบอกผมทำไม หรือเป้เล่าให้เขาฟังเรื่องที่ผมสารภาพ มลกำลังจะบอกให้ผมเลิกยุ่งกับเป้หรือเปล่า



“ครับ พอจะมองออก”



มลตอนนี้ดูมีอาการอึดอัดมาก หน้าแดงจนเหมือนมีไข้ ผมภาวนาให้เขาไม่เป็นลมไปซะก่อน



“วันเสาร์นี้ เป้บอกว่าจะมาดูปุ๋ยหมักที่บ้าน” มลว่าต่อ



“มลว่าจะชวนเป้ไปเดินเล่นต่อ แล้ว...”



ผมกลั้นหายใจ



“มลว่ามลจะสารภาพกับเป้”



ผมรู้ว่าตั้มอาจจะโมโหที่เป้ไม่ชัดเจนในตอนนี้ แต่ผมกลับอยากยื้อช่วงเวลานี้ให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เขาชัดเจนขึ้นมา มันอาจจะไม่มีที่ว่างให้ผมยืนอยู่เลยก็ได้



แต่ดูเหมือนเวลาของผม กำลังจะหมดลงเร็วกว่าที่คิด



“แล้ว...แล้วมลอยากปรึกษาเราเรื่องอะไรครับ”



“ก็ตอนที่มลชวนเป้ไป เป้ก็อาจจะชวนภัทรหรืออาจจะไม่ยอมไปกับเรา ภัทรช่วยพูดให้หน่อยได้ไหม”



ผมไม่รู้ว่าหน้าตาตอนนี้ของผมเป็นยังไง มันอาจจะซีดมาก แดงมาก หรือบึ้งมากก็เป็นได้ ผมไม่มีความสามารถที่จะควบคุมมันแล้วในตอนนี้ แค่ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ได้ก็แอบนับถือตัวเองเหลือเกินแล้ว ผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเป็นการรับปากมลไปแทน เจ้าตัวยิ้มกว้าง กล่าวขอบใจผมหายครั้งก่อนที่จะเดินขึ้นตึกเรียนไป



——-



หลังจากเลิกเรียนวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เรามานั่งทำรายงาน วันนี้นอกจากผมกับเป้ บอลกับเดี่ยวก็มากับเราด้วย



“โอ้ยยย เหลืออีกเยอะเลย จะทันไหมเนี้ยยย” บอลบ่นอุบอิบ วางมือจากโน๊ตบุ๊คนอนลงกับม้านั่งยาว เดี่ยวที่นั่งเล่นเกมส์ในมือถือหันมามอง



“มึงลุกขึ้นพิมพ์ต่อเลย ให้แต่กูทำมาหลายวันละ วันนี้กูถึงมานั่งเฝ้ามึงอยู่นี่ไง”



บอลหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมลุกขึ้นมาดีๆ แล้วหันมาถามผมที่นั่งพิมพ์รายงานอยู่



“ของพวกมึงถึงไหนแล้ว”



“เสร็จหมดทุกหัวข้อแล้ว เหลือแต่พิมพ์ลงเท่านั้น น่าจะเสร็จภายในอาทิตย์นี้แหละ ดีนะที่กูคู่กับภัทร งานเลยเสร็จเร็ว” เป็นเป้ที่ตอบและหันมายิ้มให้ผม ผมมองหน้าเขาและตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดไว้ทั้งบ่าย



“เป้เรามีอะไรจะขอให้ช่วยหน่อย” เป้เลิกคิ้วหันมามอง



“มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย



“คือช่วงนี้ที่บ้านเรามีปัญหานิดหน่อย มีเรื่องต้องจัดการหลายอย่าง เสาร์อาทิตย์เราต้องไปช่วยด้วย เราเลยไม่ว่างไปบ้านมลกับเป้เลย”



เป้มองหน้าผม เขาจ้องเข้ามาที่ตาของผมเหมือนพยายามจะจับโกหก แต่ผมคิดว่าผมแสดงใช้ได้ เป้เลยไม่ได้ว่าอะไร



“แล้วอีกอย่าง... เสาร์อาทิตย์เราไม่มีเวลาอ่านหนังสือแน่ๆ เราเลยอยากไปติวกับพี่นิวตั้งแต่วันพรุ่งนี้เย็น รายงานที่เหลือเราขอเอาไปทำเองได้ไหม เราติวเสร็จจะรีบกลับบ้านไปพิมพ์ แลกกับที่เป้ต้องไปแทนเราวันเสาร์ไง”



ผมเม้มปากแน่น เป้ต้องจับโกหกของผมได้แน่ๆ เป้เงียบไปสักพัก เอาแต่จ้องหน้าผม หน้าเขานิ่งมากจนผมไม่รู้จริงๆว่าเขาคิดอะไร



“โอเค แล้วแต่เลย” เป้พูดขึ้นเรียบๆ หันไปคุยกับเดี่ยวที่กำลังเกมส์มือถือ



“วันนี้เรากลับช้านะ ภัทรจะกลับก่อนก็ได้” เป้เสริมโดยไม่หันมามองผม



ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่า ผมเป็นคนคิดคำโกหกบ้าๆ ผลักให้เป้ไปหามล สร้างโอกาสให้เขาได้คุยกัน ให้เธอได้บอกรัก ให้เขาลงเอยกันเร็วขึ้น



แต่พอเขาเชื่อคำโกหกของผม ผมกลับเสียใจ...



ผมแอบหวัง



หวังว่าเขาจะบอกไม่ให้ผมไปทำรายงานเอง

หวังว่าเขาจะไม่ให้ผมไปติวสองคนกับพี่นิว

หวังว่าเขาจะบังคับให้ผมไปกับเขาวันเสาร์



แอบหวัง..



..หวังว่าเขาจะไม่ชัดเจนเธอ







*****



เรื่องนี้ไม่มีตัวร้ายนะคะ มลเป็นเด็กน่ารัก เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่มาแอบรักเป้แค่นั้นเองคะ :)









ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 9 - เรื่องของคนชัดเจน

ผมนั่งตีขิมอยู่ในห้องซ้อมของเด็กฝึกหัด เช้าวันจันทร์แบบนี้ แถมยังเป็นช่วงใกล้สอบ ตอนนี้จึงไม่มีใครในห้องซ้อมเลยสักคน หลังจากวันที่ผมทำรายงานกับพวกเป้ ผมก็ตัดสินใจกลับมาซ้อมเช้า บ่ายเหมือนที่เคยทำอีกครั้ง

ครับ ผมหลบหน้าเป้อีกแล้ว

ตั้งแต่วันนั้น ผมกับเป้ก็แทบจะไม่ได้คุยกัน ไม่ใช่แค่ผมที่เลี่ยง แต่เป้ก็ไม่พยายามเริ่มต้นบทสนทนา แม้ว่าเรายังนั่งข้างกันในห้องเรียนก็ตาม

แถมเป็นประจำที่ตั้มจะมาเรียกผมไปกินข้าวด้วย เพราะไม่อยากให้ผมนั่งกินกับพวกเป้ รู้ว่าเดี๋ยวสักพักกลุ่มมลก็จะมาร่วมวงด้วย ยิ่งบวกกับตอนเย็นที่ผมไปติวกับพี่นิวอีก ทำให้ผมกับเป้ไม่ได้เจอกันนอกเวลาเรียนเลย รวมไปถึงการคุยโทรศัพท์และการคุยไลน์ ทั้งผมและเขาไม่ได้ส่งข้อความหากันอย่างเมื่อก่อน ทั้งๆที่ผมก็เห็นเขาออนอยู่ตลอด

ทำไมผมถึงรู้น่ะหรอว่าเขาออน ?


ก็เขายังคงคุยกับมลอยู่ในกลุ่มปุ๋ยหมักอยู่เลย จากการอ่านไลน์กลุ่มก็ทำให้รู้ว่ากิ๊ฟก็ไม่ว่างวันเสาร์ที่แล้วเหมือนกัน

ปึ้ง!

สายขาดอีกแล้ว

ผมก้มลงไปมองขิมสายแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกแล้วสินะ กลับไปอยู่คนเดียวแบบที่เคยเป็น ใช้ชีวิตเงียบๆแบบเดิม ทั้งๆที่มันเคยเป็นชีวิตแบบที่ผมคุ้นเคยและมีความสุขกับมันมาตลอด

แต่ตั้งแต่ที่มีเป้เข้ามา ความสุขทุกวินาทีของผมกลับเปลี่ยนเป็นการมีเขาอยู่ข้างๆ

พอใกล้เวลาเข้าเรียน ผมก็เดินขึ้นตึกรวมชั้นสามที่วันนี้เราจะนั่งเรียนเป็นคาบแรก เดินเข้าไปเห็นเป้นั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อนแล้ว สูดหายใจเข้าแรงๆหนึ่งครั้งเป็นการเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเขา

“หวัดดี” ผมส่งยิ้มที่พยายามปั้นให้แจ่มใสที่สุด

เป้พยักหน้ารับ ก้มลงอ่านหนังสือที่เปิดค้างไว้ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเปิดซิปหน้าของกระเป๋าสะพายของผม ควานหาทรัมป์ไดส์เล็กๆที่ผมเซฟงานไว้ ยื่นส่งให้เป้

“เป้ เราทำเสร็จแล้ว ช่วยตรวจให้หน่อยสิ ถ้าเรียบร้อยดี เราจะเอาไปปริ้นนะ”

เป้มองมือผมก่อนจะเลื่อนมาสบตา

“เสาร์อาทิตย์ทำธุระเรียบร้อยดีไหม” เขาพูดขึ้น รับทรัมป์ไดส์ของผมไปใส่กระเป๋าตัวเอง

เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิด ผมก็อึ้งจนแทบคิดคำโกหกไม่ทัน ไม่คิดว่าเป้จะคุยด้วย แถมเป็นเรื่องนี้

“อืม เรียบร้อยดี ขอบใจนะ เลยลำบากเป้เลย”

“อืมก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

“แล้วปุ๋ยเป็นไงมั้ง ถ่ายรูปมาไหม”

“อืม ก็ดี.. แล้วไม่ได้อยู่บ้านเลยหรอเสาร์ อาทิตย์” เป้ไม่ได้สนใจคำถามผมสักนิด ยังคงซักผมต่อ

“ก็แค่วันเสาร์ วันอาทิตย์ก็นั่งทำรายงานไง”

“...”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“อยากรู้จริงๆหรอ” เราสบตากัน ก่อนที่เป้จะว่าต่อ

“หรือว่ารู้อยู่แล้ว” ผมเม้มปากแน่น

“รู้..รู้อะไร”

“รู้ว่ามลจะบอกเรา”

ผมหลบสายตาเขา ก้มหน้าลง ตอนนี้ทำหน้าไม่ถูกจริงๆ

“จะเอาแบบนี้ก็ได้นะ” ผมเงยหน้าขึ้นทันทีที่เขาพูดต่อ

“แล้วเลิกโกหก เรารู้ว่าภัทรอยู่บ้านวันเสาร์”

ผมเหงื่อแตกเมื่อโดนจับได้ คิดหาคำพูดหลายอย่างแต่ไม่ทันจะได้แก้ตัวก็ได้ยินเสียงเดี่ยวกับบอลเดินมาไกลๆ เลยรีบเอากระเป๋าเก็บเข้าที่และหยิบหนังสือเรียนขึ้นมา เป้จ้องหน้าผมสักพัก ก่อนจะหันไปทักทายเพื่อนที่มาใหม่

——-

หลังจากซื้อข้าวเสร็จ ผมกวาดตามองหาตั้ม เมื่อสบตากันมันก็โบกสองมือไปมาให้ผม ผมยิ้มนิดๆกำลังจะเดินไปหา แต่จู่ๆเป้ที่ถือถาดอาหารอยู่ก็เข้ามาขวางทางทำให้ผมชะงักเท้าลง

“วันนี้นั่งด้วยกันนี่แหละ” เป้พูด

“แต่ตั้มนั่งคนเดียว” ผมพูดขึ้นตามองไปทางโต๊ะที่ตั้มนั่งอยู่

“นั่งด้วยกัน” เป้ยังยืนยัน

ผมไม่เข้าใจว่าเป้จะขะยั้นขะยอทำไม

“ทั้งๆที่รู้ แต่ยังทำแบบนี้ ไม่สงสารเราเลยหรอ” ผมเงยหน้าสบตาเขา พยายามกลั้นน้ำตา เป้ยังสบตากับผม แต่สายตาที่เคยโมโหตอนนี้ดูอ่อนลง

“งั้นเรานั่งด้วย” พูดจบเป้ก็เดินนำไปนั่งประชันหน้าตั้ม  เมื่อสติผมกลับมา ผมก็เดินตามไปนั่งข้างเขา

“มึงมานั่งนี่ทำไม” ตั้มเริ่มโวยวาย

“ทำไม ไหนภัทรบอกมึงเหงา กูก็มานั่งเป็นเพื่อนมึงไง”

“กูไม่ได้เหงา กูไม่อยากนั่งกับมึง”

“งั้นมึงก็ไปนั่งตรงอื่นสิ”

ตั้มทำท่าจะโวยกลับ หันหน้ามาหาผมเหมือนจะฟ้อง แต่เมื่อผมส่งสายตาขอร้องไปหา ตั้มถึงยอมหยุดแต่ยังพึมพำในลำคอไม่เลิก

“วันนี้เข้าชมรมกันนะ” เป้หันมาหาผมหลังจากที่เราอิ่มกันแล้ว

“เอ่อ วันนี้...”

“คิดดีๆ อย่าโกหกนะ”

ผมกำลังจะหาข้ออ้างแต่เป้พูดขึ้นมาก่อน จ้องหน้าผมดุๆ ผมจึงทำได้แต่พยักหน้ารับเป็นการตอบตกลง

“กูไปด้วย” ตั้มพูดขึ้น

“มึงไม่ต้องมา วันนี้กูจะไปกับภัทรสองคน”

“นั่นก็ชมรมกู กูจะไป”

“งั้นไม่ต้องไปชมรม ไปที่อื่นกันแทน”

“มึงจะมายุ่งกับภัทรทำไม”

“เรื่องของกู”

“คนจับปลาสองมือ” ตั้มพึมพำกับตัวเองเบาๆ

“มึงว่าอะไรนะ” เป้พูดขึ้นเสียงดัง

“เอ่อ เป้..งั้นเราไปกันนะ ไว้เจอกันนะมึง” ผมรีบแทรกขึ้น เพราะดูท่าแล้ว ถ้าปล่อยไว้แบบนี้กลัวจะมีเรื่องกันจริงๆ ผมมองตั้มอย่างขอร้องอีกครั้งจนตั้มเองก็ยอมเงียบลง

เราลุกขึ้นเดินไปที่เก็บถากอาหาร หลังจากนั้นเป้ไม่ได้พูดอะไรแต่เดินนำผมออกไปจากโรงอาหาร ผมเดินตามไปเรื่อยๆ แทนที่เราจะไปทางห้องชมรมด้านหลังโรงเรียน เป้กลับมุ่งไปทางตึกหนึ่งหน้าโรงเรียนแทน ถึงจะเป็นเวลาพักเที่ยง บริเวณนี้ก็ยังแทบไม่มีคน เป้มาหยุดที่ม้านั่งว่างๆใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะนั่งลง ตบที่ว่างข้างตัวเป็นเชิงให้ผมไปนั่ง

เฮ้อ..ไม่รู้จริงๆว่าต้องการอะไร

ผมเดินไปนั่งลงข้างๆเขา สายตาทอดมองไปข้างหน้า

“เดี๋ยวนี้ไม่ได้เจอกันเลยนะ” เป้พูดขึ้นทำลายความเงียบ

“มาโรงเรียนก็เจอกันทุกวันนี่” ผมพูดติดตลก

“ภัทรก็รู้ว่าเราหมายถึงอะไร”

“...”

“อยากให้เราห่างกันแบบนี้หรอ” เป้ถามขึ้นอีก ผมเม้มปากแน่นก่อนส่ายหัวไปมาเบาๆ

“เรื่องมล...” เป้ว่าต่อ

“รู้อยู่แล้วใช่ไหม”

ผมพยักหน้าลงช้าๆ ทางที่ดีคือการไม่โกหกเป้

“มลบอกแล้วหรอ” ผมถามขึ้น

“อืม เพราะงี้ถึงไม่มาใช่ไหม” เป้พูดขึ้น ยังคงนั่งหน้านิ่ง เดาไม่ออกจริงๆว่าคิดอะไรอยู่

“รู้ได้ไงว่าเราอยู่บ้านวันเสาร์”

“แค่แกล้งถามไปงั้น มองหน้าก็รู้แล้วว่าโกหก”

เป้ยิ่มกว้างให้กับอาการตกใจของผม เสียท่าให้กับเขาจนได้

“เจ้าเล่ห์จริงๆ”

“ก็ใครใช้ให้โกหกล่ะ” ผมหน้ามุ่ย เมื่อบรรยากาศระหว่างเราเริ่มดีขึ้น ผมจึงทำใจกล้าถามต่อ

“แล้วตกลงกับมล...” คบกันหรือยัง

“กับมลเราชัดเจนแล้วนะ”

ผมนิ่งไปแปปนึง ก่อนพยักหน้ารับ ก้มลงมองมือของผม ไม่อยากให้เป้เห็นสีหน้าไม่น่าดูของผมในตอนนี้เลย

“เลิกกังวัลได้ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนของเป้ดังมาอีกครั้ง

“....”

ผมอยากจะสั่นหน้าปฎิเสธ

นี่สินะ สิ่งที่ทำให้เขาเรียกผมมาคุย ก็คงเป็นเพราะห่วงความรู้สึกผม ไม่อยากให้ผมเสียใจมากไปกว่านี้ถ้าได้ไปรับรู้เองทีหลัง ก็สมกับเป็นเป้คนใจดี..

แต่ไม่ว่ายังไง..

“มันทรมานเกินไป” ผมพูดออกไปเสียงดังจนเหมือนตะโกน

“เราก็อยากเป็นเพื่อนที่ดี เราอยากดีใจด้วย อยากอยู่ข้างๆ แต่เป้ต้องเข้าใจเราด้วย ให้เวลาเราหน่อย” ผมทนไม่ไหวแล้ว ตั้มพูดถูก อย่างน้อยถ้าเขาห่วงความรู้สึกผมจริง อย่างน้อยก็ควรให้พื้นที่กับผมบ้าง

เป้จ้องหน้าผม ยังไม่คิดจะพูดอะไร

“อย่างเวลากินข้าว เราขอไม่ไปนั่งกับเป้ได้ไหม ถ้าห่วงเราจริงจะให้เรานั่งมองมลกินข้าวกับเป้ทำไม”

“ไม่เอา” เป้พูดขึ้น “ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น” เป้ตอบหน้าบึ้งเอามิอกอดอก
 
“นี่เป้ไม่เข้าใจที่เราพูดหรอ” ผมเริ่มโมโหแล้ว

“ไม่ให้เวลา ไม่เข้าใจอะไรแล้วด้วย”

“ทะ..ทำไม..” ไม่พยายามเข้าใจเขาเลย จะร้องอยู่แล้วนะ

“เราปฎิเสธมลไปแล้ว” เป้แทรกขึ้นมา

“แต่เรา...เอ๊ะ... เป้ว่าอะไรนะ..” ผมกำลังจะเถียงออกไปแต่ต้องหยุดลง แทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“เราบอกว่า เราปฎิเสธมลไปแล้ว”

“แต่เป้บอกว่า...”

“อืม กับมลเราชัดเจนแล้ว ชัดเจนมานานแล้วด้วย”

“...”

“เราสับสนแต่กับภัทร”

“...”

“ไม่ใช่สิ เราเคยสับสนแต่กับภัทรแค่คนเดียว..
ตอนนี้เราชัดเจนแล้วนะ”

เป้ยิ้ม รอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมาสักพักใหญ่ รอยยิ้มที่ทำให้ผมเจ็บหัวใจ ผมยังคงอึ้งไม่พูดอะไร แต่หน้าผมร้อนจนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้แดงขนาดไหน

เป้เอื้อมมือมาวางบนหัวผม

“ตั้งสติได้ยังครับ” เขาถามขึ้นอมยิ้มเล็กๆ
ผมในตอนนี้ที่มีสติไม่ถึงครึ่ง พยักหน้าช้าๆอย่างเหม่อลอย

“งั้นผมจะถามแล้วนะ” เป้ว่าต่อ หน้าเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ

“ผมเคยบอกคุณใช่ไหมว่าผมสับสน
เคยขอเวลาจากคุณคนแอบชอบ
แต่ตอนนี้..

คนสับสนชัดเจนแล้วนะครับ

แล้วถ้าคนแอบชอบยังไม่เปลี่ยนใจ....

มาคบกับผมไหมครับ”

.
.
.
********************

(.///////.)












ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 10 เรื่องของการเรียนรู้ที่จะรัก


การเริ่มต้นความสัมพันธ์ ที่บางครั้งอาจจะเริ่มต้นอย่างง่ายดาย หรือบางครั้งได้มาอย่างยากเข็น แต่เมื่อเริ่มแล้ว สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่

โดยเฉพาะช่วงแรกของการคบกัน นอกจากความรักที่มีให้กันแล้ว แน่นอนว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยิ่งเริ่มใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นเท่าไหร่ เราจะเริ่มเห็นด้านที่หลากหลายของคนตรงหน้ามากขึ้น บางด้านที่ดีกว่าที่เคยคิด ที่ยิ่งทำให้เรารักคนตรงหน้ามากขึ้น

แต่มันก็มักจะมีบางด้านที่บางครั้งก็ทำให้เราหนักใจ

Rrrrrrrrrrrrr

“ครับ”

[นอนยังครับ]

“ยังเลย นั่งพิมพ์รายงานส่วนที่เป้เขียนแก้ให้อยู่น่ะ เป้ทำถึงไหนแล้ว มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ผมถามถึงรายงานวิชาเกษตร

ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วหลังจากที่ตกลงคบกัน ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่เป้ต้องไปบ้านมลเพื่อดูความคืบหน้าของปุ๋ยหมัก นับรวมครั้งแรกนี่ก็สี่ครั้งแล้ว

หลังจากที่มลสารภาพรัก น่าแปลกแต่ก็น่าดีใจที่ทั้งคู่ยังพูดคุยกันได้ปกติ มีแต่ผมที่ยังรู้สึกผิดกับมล จึงไม่มีหน้าไปเจอเธออีกเลยตั้งแต่วันนั้น เป้ก็เข้าใจและไม่ได้บังคับให้ไปด้วยกัน แถมพอเจ้าตัวรู้ว่าผมลำบากใจก็เสนอตัวจะเป็นคนทำรายงานทั้งหมด

ใจดีตลอดจริงๆคนนี้

[เหลืออีกนิดเดียว ค่อยทำพรุ่งนี้กันเนอะ]

“ไม่เอา เหลืออาทิตย์สุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ต้องเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบ”

[งั้นเค้าวางก็ได้นะ] อือฮือ เสียงเปลี่ยนเลย

“ไม่เอา คุยได้สิ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

[ต้องมีอะไรด้วยหรอถึงจะโทรหาได้]

ไปใหญ่แล้ว วันนี้เป้คนใจดีท่าจะไม่อยู่

“เปล่าครับ ทำไมอารมณ์เสียจัง”

[ก็คิดถึงอะครับ]

“...”

[ไม่คิดถึงเป้บ้างหรอ ไม่ได้เจอกันสองวันแล้วนะ]

“เราก็...ก็คิดถึง..”

[ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่แทนตัวว่าเรา]

“ก็มันเผลอนิดเดียวเอง”

[...]

“เค้าขอโทษนะครับ”พูดไปก็อายไป ยังไม่ชินกับคำเรียกใหม่นี่เลย

[ให้อภัยก็ได้ นี่ไม่เจอกันหลายวันหรอกนะ] ผมอมยิ้ม ก่อนที่จะนึกขึ้นได้

“เออใช่ วันนี้พี่นิวโทรมา”

[ทำไมเป้ไม่รู้] รีบแทรกขึ้นมาเลยนะ

“ก็บอกอยู่นี่ไงครับ“ เป็นเรื่องพี่นิวทีไร หัวร้อนไม่ยอมฟังอะไรทุกที

[ถ้าไม่บังเอิญโทรมาหา ก็จะไม่เล่าใช่ไหม]

“ไม่ได้บังเอิญสักหน่อย รู้อยู่แล้วว่าจะโทรมา“

[ไม่อยากให้โทรหาก็บอกได้นะครับ]

วันนี้เป็นอะไรเนี้ย ปรับโหมดมั่วไปหมดแล้ว

“อยากสิ รอโทรศัพท์ทั้งวันเลย”

[แล้วทำไมไม่โทรมาเอง]

“ก็วันนี้ไปธุระกับแม่ไม่ใช่หรอครับ ไม่อยากโทรไปกวนไง”

[แล้วพี่นิวโทรมาทำไม] พอเถียงไม่ได้ก็วกไปโวยวายเรื่องอื่นซะงั้น

“ก็ถามเรื่องติว สรุปอาทิตย์นี้เป้จะติวให้เค้านะ เค้าบอกพี่นิวไปแล้วว่าจะอ่านเอง”

[ก็บอกว่าจะติวให้ตั้งนานแล้ว ก็ยังไปกับพี่นิวอยู่นั่น]

“ก็สัญญาไว้แล้ว จะเลิกกลางคันก็กลัวจะเสียมารยาท ไม่รู้จะอ้างอะไร”

[บอกไปสิว่าแฟนจะติวให้]

“ได้ที่ไหนละ” ผมหัวเราะ

[ทำไมจะไม่ได้ ถ้าภัทรไม่ห้ามเค้าไว้ เข้าจะตั้งสถานะลงเฟสเลยด้วยซ้ำ]

“ก็คุยกันแล้วไง ว่าหลังสอบค่อยบอกเพื่อน”

[ที่จริงภัทรไม่อยากให้ใครรู้ใช่ไหม กลัวเรตติ้งตกหรอ]

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ วันนี้งอแงมาก

“คุยกันแล้วนะครับ ตอนนี้ใกล้สอบแล้ว เค้ากลัวเพื่อนไม่เข้าใจ แล้วจะต้องมาคิดมากกัน
เป้อยากนั่งอธิบายยาวๆให้เดี่ยวกับบอลฟังหรอ”

[...]

“เค้าขอนะ อย่างน้อยขอเค้าเคลียร์กับมลก่อนเนอะ”

[ก็ได้ แล้วคุยอะไรกับพี่นิวอีก]

วกมาอีกแหละ

“พี่นิวบอกว่าจะมีค่ายดนตรีไทยช่วงปิดเทอม ค้างคืนนึงที่โรงเรียน เป้อยากไปไหม”

[ถ้าภัทรไป เค้าก็ไป] ผมอมยิ้ม

“งั้นไปเนอะ น่าสนุกดี”

[แล้วทำไมพี่แกไม่โทรมาบอกเค้า บอกแต่ภัทร] เอ้า!

“เห็นพี่นิวบอกว่าหลังสอบเสร็จจะโทรหาทุกคน”

[แล้วโทรหาภัทรทำไมตอนนี้]

“โทรมาเรื่องติวไหม เผื่อเป้ลืม” ผมหัวเราะ

[ไม่ตลก] ผมรีบหยุดหัวเราะทันที

“ขี้หึง”

[ก็รู้ว่าพี่เขาจีบ] ถึงที่จริงจะพอรู้ แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักหน่อย พี่นิวสำหรับผมเป็นแค่พี่ชายใจดีคนนึงเท่านั้น

ชอบเป้จนไม่มีตาไปมองใครแล้ว

“เปล่าสักหน่อย มั่วแล้ว”

[มองจากนอกโลกยังรู้เลยว่าพี่แกมองภัทรยังไง]

“แล้วยังไงอะ เค้าไม่สนใจสักหน่อย”

[เห็นไหม ที่จริงก็รู้ว่าโดนจีบ]

“ไปใหญ่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

[แล้วหมายความว่ายังไง]

“เราไม่รู้ว่าพี่เขารู้สึกยังไง ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้เอามาคิดด้วยครับ”

[หลุดพูดเราอีกแล้ว]

“...” เหนื่อยจัง



เมื่อเริ่มรัก คนเรามักจะมองข้ามด้านที่เราไม่ชอบของอีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไข รับได้ทุกอย่างแม้จะเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ ยอมปรับตัวเข้าหาโดยไม่มีคำถาม แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเริ่มอยากกลับไปเป็นตัวของตัวเอง และเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำที่ไม่ได้ต่างจากวันแรกของอีกฝ่าย



[ภัทรรู้หรือเปล่าว่าจริงๆแล้วคนที่ไม่ชัดเจนคือภัทรนั่นแหละ]

“เอ้า ไงงั้นอะ ไม่ชัดเจนอะไร”

[ใจดีไม่เข้าเรื่อง]

“คืออะไรเนี่ย จะว่าเค้าอ่อยหรอ”

[กับมลเค้าปฎิเสธทันทีเลยนะ ไม่ปล่อยให้ค้างคาแบบพี่นิวสักหน่อย]

“ก็พี่นิวไม่ได้บอกชอบ อยู่ๆจะให้เค้าพูดอะไรได้”

[อยากพูดอะไรก็พูด]

ผมถอนใจหายใจอีกครั้ง วันนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็หมือนจะไม่เข้าหูอีกคนซะเลย

“วันนี้ตกลงจะโทรมาชวนมาทะเลาะหรอครับ”

[...] เงียบใส่อีก



แต่ถ้าเราลองคิดดูว่า เราทั้งสองก็ต่างมีด้านที่ดี และด้านที่ทำให้อีกฝ่ายหนักใจด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อถึงวันที่เราเผชิญกับด้านที่เป็นปัญหา
ลองหันหน้ามาคุยกัน..
ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา..
ไม่ใช่แค่อดทนยอมรับ แต่ลองพยายามเข้าใจ..
ไม่ใช่ฝืนแต่ลองปรับตัวเข้าหาอีกฝ่าย..

แล้วเราจะพบว่า..

ไม่ว่าด้านไหนที่เราต้องเจอ
เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้และยิ้มรับมันไปได้ด้วยกัน




“คุยกันดีๆเนอะ ไม่อยากให้เราทะเลาะกันเลย”

[เฮ้อ...ภัทรอะ] ได้ยินเสียงถอนหายใจเสียงดัง ผมอมยิ้มเมื่อเป้ดูเสียงอ่อนลง

“วันนี้อารมณ์ไม่ดีเลยเนอะ ต้องคิดถึงเค้ามากแน่ๆ”

[ไม่รู้แล้ว มาหลอกให้เราชอบ แล้วก็ทิ้งๆขว้างๆ] ผมอดยิ้มให้กับเป้ที่ทำเสียงน้อยอกน้อยใจไม่ได้

“ไม่จริงเลยเหอะ เอามาจากไหน”

[มีแต่เค้าที่คอยตามหึง มีแต่เค้าที่ชอบมากกว่า]

“เขาชอบเป้มาก่อนตั้งนานเหอะ ใครกันแน่ที่มัวแต่สับสน”

[ชอบก่อน ก็ไม่ได้แปลว่าชอบมากกว่าสักหน่อย]

ผมยิ้ม เจ้าหมีขี้งอน

“แล้วจะบอกว่าชอบเค้ามากกว่าหรอ”

[ใช่ ชอบที่หลังแต่เยอะกว่ามาก] ผมหัวเราะ

“ดีใจจัง”

[ยอมรับแล้วหรอว่าชอบเค้านิดเดียว]

“ไม่ใช่สักหน่อย แต่ดีใจที่เป้ชอบเค้าเยอะ”

[ชอบเค้ากลับเยอะๆเลยด้วย]

“ชอบมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ก็ชอบเต็มไปหมดแล้ว”

[...]

“ชอบจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วเนี้ย”

[งั้นก็รักได้แล้ว]

“...”

[เค้ารักไปแล้ว รักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว]

“...”

[ภัทรไม่รักเค้าหรอ]

“ก็รัก...”

[ก็รักแล้วภัทรรักไหม...] เป้หัวเราะ

มุกอะไรของเค้าเนี้ย

”ภัทรรักครับ”

ไม่ว่าจะเป็นเป้ที่ใจดี เป้ที่ใส่ใจ หรือจะเป็นเป้ที่ขี้หึงหรือเป้จอมโวยวาย

“ภัทรรักเป้ที่สุดเลย”


***************
มันก็จะงุ้งงิ้ง งอแง ประมาณนึงเนาะ
ใครผ่านมา ฝากติชมด้วยค่า

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
น่ารักมุ้งมิ้งทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 11 เรื่องที่ไม่ยอมปล่อยมือ

เสียงนกร้องยามเช้าทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนอนของผม เหม่อมองเพดานสีขาวอยู่สักพัก ก็เลื่อนสายตาไปที่นาฬิกาติดผนังเหนือประตู

แปดโมงเช้า

วันอาทิตย์ทั้งทีขอนอนให้สบายก่อนดีกว่า ยังไงวันนี้ก็ต้องลุกมาอ่านหนังสือสอบทั้งวัน คิดได้แบบนั้นก็ขยับตัวไปมาหามุมสบาย ค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง กำลังเคลิ้มๆ จมูกกลับได้กลิ่นหอมๆลอยมา เป็นกลิ่นที่คุ้ยเคยและทำให้ท้องร้องขึ้นมา

ข้าวต้มกุ้ง! แถมเป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือพ่อ!

เมื่อแน่ใจก็รีบตัดสินใจลุกขึ้น เก็บที่นอนเรียบร้อย ล้างหน้าแปรงฟันและเดินลงบันไดไปชั้นหนึ่งของบ้าน

“เอ่า ตื่นแล้วหรอภัทร กำลังจะไปปลุกอยู่พอดี”

พ่อผมเอ่ยขึ้นมาจากครัวที่อยู่ในบริเวณห้องรับแขก ผมตรงเข้าไปกอดพ่อ ซุกอกอ้อนทันที

“คิดถึงจังเลย จากห้องนอนก็รู้ว่าเป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือพ่อ วันนี้อยู่บ้านด้วยหรอครับ”

“คิดถึงพ่อหรือหิวข้าวต้มกุ้งฝีมือพ่อกันแน่”

“ทั้งสองอย่างเลยครับ” พ่อหัวเราะก่อนจะชี้ให้ผมไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร หันหลังกลับไปตักข้าวต้มลงชาม
ผมนั่งมองด้านหลังของผู้ชายที่ผมรักที่สุด รู้สึกดีใจที่วันนี้พ่อไม่ต้องออกไปทำงาน

พ่อแม่ของผมแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมจึงอยู่กับพ่อเพียงสองคน พ่อผมเป็นวิศวะโยธาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง อย่างที่ผมเคยบอกว่าผมต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆ เพราะพ่อต้องย้ายงานไปตามโปรเจกท์ที่บริษัทได้รับ โปรเจกท์นึงทำกันเป็นปีๆ เพิ่งมาตอนนี้ที่ตำแหน่งงานพ่อเริ่มมั่นคงขึ้น พ่อถึงมาซื้อบ้านที่นี่ถาวร

ส่วนแม่ของผม เราก็ยังติดต่อกันอยู่ แม่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่แยกทางกับพ่อ นานๆครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยม แต่ถึงจะเลิกกันไปแล้ว พ่อกับแม่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาอะไร ถึงจะคิดถึงแม่บ้างก็เถอะ

“เมื่อเช้า พ่อซื้อปาท่องโก๋มาให้ด้วยนะ” พ่อวางชามข้าวต้มตรงหน้าผมพร้อมจานอีกใบที่เต็มไปด้วยปาท่องโก๋จากร้านประจำ

“ขอบคุณครับ พ่อรู้ใจภัทรที่สุดเลย” ผมยิ้มกว้าง หยิบปาท่องโก๋ในจานมาหนึ่งชิ้น กัดแล้วกลืนจนหมดอย่างรวดเร็ว และรีบตักข้าวต้มมากกิน แต่ด้วยความที่ข้าวต้มยังร้อนอยู่ ทำให้ข้าวต้มลวกปากผม

“เอ้าๆ ใจเย็นๆ ยังร้อนอยู่” พ่อหัวเราะ มองผมที่รีบคายข้าวต้มแล้วดื่มน้ำจนหมดแก้ว พ่อมองหน้าผมยิ้มๆ ก่อนจะว่าต่อ

“แล้วเป็นไง อาทิตย์หน้าเริ่มสอบแล้วนี่ อ่านหนังสือทันไหม”

“ก็อ่านทันนะครับ เป้เอาข้อสอบเก่าๆของรุ่นพี่มาให้ทำก็พอทำได้นะครับ”

“แล้วยังไปเล่นดนตรีไทยอยู่ไหม ใกล้สอบแบบนี้”

“ไม่ได้ไปแล้วครับ ภัทรอยู่ติวกับเป้ที่โรงเรียน เป้ให้โจทย์ยากมาก กว่าจะทำได้แต่ละข้อแทบตายเลย เงยหน้ามาอีกทีคนหายไปหมดแล้ว”

“พ่อเป็นห่วงนะ กลับค่ำๆมืดๆ พี่นิดบอกบางวันดึกมากเลยนะ” พี่นิดคือคนมาคอยดูแลทำความสะอาดบ้านและคอยดูแลผมในเวลาที่พ่อไปทำงาน

“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ถ้าดึกมากๆเป้จะมาส่ง ปลอดภัยแน่นอน” พอพูดถึงก็อดยิ้มไม่ได้ให้กับความใส่ใจของอีกคน

“แล้วปิดเทอมอยากไปไหนไหม พ่อลางานได้นะ หรืออยากไปหาแม่”

“อยากไปเที่ยวกับพ่อครับ ไปไหนก็ได้” ผมรีบพูดอย่างตื่นเต้น ถึงจะอยู่ด้วยกันตลอด แต่พ่อทำงานหนักมาก ไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเท่าไหร่ นานๆทีถึงจะมีวันลาติดกัน พอว่างปุ๊บ พ่อก็พยายามหาทริปให้เราได้ไปเที่ยวด้วยกัน

“อ่ะ แต่ผมต้องไปเข้าค่ายกับชมรมก่อนหนึ่งคืนนะครับ วันเสาร์หลังสอบเสร็จ หลังจากนั้นได้ไหมครับ”

“ไปกับเป้หรอ”

“ครับ คนในชมรมไปกันเกือบหมด มีอะไรหรือเปล่า พ่อยิ้มทำไมอะ” ผมหรี่ตามองอย่างสงสัยเมื่อเห็นพ่ออมยิ้ม

พ่อเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“พ่ออาจจะเป็นพ่อที่ไม่ค่อยดี ไม่มีเวลาให้เราเท่าไหร่แต่เรารู้ใช่ไหมว่าพ่อห่วงเราเสมอนะ เห็นเราเคยชอบอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยมีเพื่อน พ่อไม่เคยสบายใจเลย”

“พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดของภัทรนะครับ” ผมรีบแทรก ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

“แต่เดี๋ยวนี้เห็นภัทรร่าเริงขึ้น พ่อก็ดีใจนะ” พ่อยิ้มก่อนว่าต่อ

“หรือพ่อต้องขอบใจเป้ ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนคนสำคัญเลยนะ” พ่อพูดกลั้วหัวเราะ

“ก็...สะ..สำคัญครับ” ผมอึกอัก เกิดมาอย่าว่าแต่โกหก ผมไม่เคยมีเรื่องที่ปิดบังเลยด้วยซ้ำ

หนือควรจะบอกพ่อดี...

“อ้าว กินต่อสิ เด็กน้อยเอ๊ย พูดแล้วลืมกินข้าวตลอด”

ผมมองหน้าพ่อสักพัก เมื่อตัดสินใจไม่ได้จึงก้มหน้ากินข้าวต้มต่อไป

——

“เฮ้ออออออออออ จบสิ้นกันสักที” บอลวางคางตัวเองบนโต๊ะไม้ สักพักก็ฟุบแนบแก้มตัวเองลงโต๊ะอย่างคนไร้เรี่ยวแรง สงสัยจะใช้พลังทั้งหมดไปกับการสอบ

“มึงนี่นะ” เป้ที่นั่งข้างผมส่ายหน้าให้กับท่าทางโอเว่อร์ของคนตรงหน้า

“เฮ้ย กูไปหาแต้วนะ ไปกินข้าวด้วยกันไหมพวกมึง” เดี่ยวเก็บข้าวของลงกระเป๋า

“ไม่เอา กูจะกลับไปนอน ไม่ได้นอนมาหลายวันล่ะ มึงสิ มัวนั่งทำไม ไปกับไอ้เดี่ยวสิ” ผมรู้ว่าบอลหมายถึงอะไร ก็คนถามเล่นส่งสายตาล้อเลียนออกมาขนาดนั้น แล้วยังหันมาหาผม เหมือนให้ผมช่วยแซวอีก

“ไม่ละ....ภัทรทำได้ไหมวิชานี้ออกคนสุดท้ายเลย” เป้บอกปัด ประโยคสุดท้ายหันมาถามผม ผมเห็นเขาแอบสังเกตว่าผมทำหน้ายังไง

กลัวผมคิดมากตลอดคนนี้

“ก็พอได้ ตรงกับที่ติวกันมาเลยเนอะ” ผมยิ้มให้เขา

เป้ยิ้มกลับมา มองตาผมนิ่ง จนผมต้องรีบหลบตาก้มลงมองมือตัวเอง เดี๋ยวหน้าแดงขึ้นมาคนจะสงสัยกันหมด

“เห้ย พวกมึง งั้นกูกลับก่อนนะ อยากนอนเต็มที่แล้ว”

“เออ งั้นกูไปด้วย แต้วโทรมาแล้ว”

เราทั้งคู่ ยกมือบอกลาบอลและเดี่ยว

“สอบเสร็จแล้ว ดีจังเลยเนอะ” ผมยิ้มอย่างสบายใจ

“เมื่อกี้เค้าว่าจะบอกพวกมันแล้ว แต่อยากถามภัทรก่อน” ผมมองหน้าอีกคน แอบอมยิ้ม

อะไรมันจะรีบขนาดนั้น

“พรุ่งนี้ได้ไหม” หน้างอเลยทันที

“ผลัดวันประกันพรุ่ง” ผมหัวเราะ

“วันนี้จะโทรไปหามล ค่อยพรุ่งนี้นะครับ”

เป้ยิ้มอย่างดีใจ พยักหน้าตกลงหลายที เราทั้งสองเดินออกมากินข้าวที่ร้านประจำ พอสั่งอาหารเสร็จก็มานั่งในที่ประจำของเรา

“ภัทรเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมคงเหม่อหลายทีจนเป้เอ่ยขึ้น ผมหันไปมองหน้าเขา พบกับสายตาที่ไม่เคยปิดบังว่าห่วงใย

ชั่งใส่ใจ

“ถ้าภัทรไม่อยากบอกใคร เค้าก็รอได้นะ” ผมส่ายหน้า หัวใจตื้นตันให้กับความใจดีของคนตรงหน้า

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”

“แล้วเป็นอะไร เหนื่อยหรอ หลังกินข้าวเสร็จกลับบ้านเลยไหม”

“เป้...เหมือนพ่อจะรู้” ผมพูดถึงสิ่งที่ผมคิดและกังวลมาทั้งวัน ถึงพ่อไม่ได้ถามหรือพูดตรงๆ แต่ผมอ่านท่าทีของพ่อผมออก

“เรื่องของเรา?” ผมพยักหน้าช้าๆ

“กังวลหรอครับ” เป้ถามต่อ

“อืม..ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจแต่ก็ไม่กล้าถามเลย” ผมพูดเสียงสั่น

“ถึงพ่อจะไม่ว่า แต่เค้าอาจจะทำให้พ่อผิดหวังหรือเปล่า” ภัทรว่าต่อ

“เค้ารู้ว่าเราสองคนเพิ่งคบกัน และเราสองคนยังเด็กมาก ทุกคนอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่ความสับสนของวัยรุ่น”

ถึงภัทรจะจริงจังกับมันมากที่สุดก็ตาม

“เค้าอยากให้พ่อรู้ อยากให้พ่อยอมรับ แต่เค้ากลัวถ้าพ่อบอกให้เลิกกับเป้ เค้าไม่อยากเลิก แต่เค้าก็ไม่อยากทำให้พ่อผิดหวัง”

“แล้ว..” เป้พยายามจะพูดอะไรขึ้นมาแต่ไม่ทันผม

“เค้าคิดว่าเราอาจจะไปกันไม่รอด” ผมตกใจสิ่งที่ผมหลุดปากออกไป

เป้เงียบลงทันที ไม่มองหน้าผมจนอาหารมาเสิร์ฟ เราสองคนนั่งกินข้าวไปเงียบๆ ผมแอบเหลือบมองเขาเป็นระยะ จนเริ่มใจเสียเมื่อเขายังไม่ยอมพูดอะไรเลย ผมพยายามชวนคุยเปลี่ยนเรื่องแต่เขาก็ตอบสั้นๆ กระทั่งกินหมด จ่ายเงินแล้วเดินไปป้ายรถเมล์เป้ก็ไม่มีท่าทีจะชวนคุย ผมเลยตัดใจ นั่งรอรถเงียบๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกัน

ผมไม่ได้อยากพูดแบบนั้น

แต่มันก็เป็นความจริงไม่ใช่หรอ

ถ้าคนรอบข้างไม่สนับสนุนเราจะไปกันรอดหรอ

ไม่ใช่แค่พ่อผม แต่ยังมีครอบครัวเป้ รวมถึงเพื่อนๆอีก

ยิ่งคิดน้ำตาก็ทำท่าจะไหลอีกแล้ว

เมื่อเห็นรถสองแถว ผมเตรียมจะลุกขึ้น แต่เป้ฉุดมือผมให้นั่งต่อ ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วหันกลับไปมองรถสองแถวที่ผ่านหน้าเราไปก่อนที่เป้จะเอ่ยขึ้น

“ภัทรพูดถูก ว่าเรายังเด็ก...” ผมหันข้างไปมองคนที่ยังมองตรงไปข้างหน้าทันที ท่าทางเป้ดูนิ่งจนดูไม่ออกว่าคิดอะไร

“แล้วเราก็คบกันมาแค่สองเดือนนี่เนอะ” ผมเม้มปากแน่น

“แล้วมันก็จะมีเรื่องเข้ามาอีกเยอะ มันจะยุ่งยาก”

“และเค้าก็ไม่มีอะไรให้ครอบครัวภัทรมั่นใจได้สักอย่างด้วย”

“ถ้าไปคบกับผู้หญิงสักคนมันคงจะง่ายกว่านี้เยอะเลยเนอะ”

ผมเริ่มน้ำตาคลอจนมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไร

กลัวใจอีกคนเหลือเกินตอนนี้

กลัวเขาจะเปลี่ยนใจ


“แต่เค้าก็ยังเชื่อว่าความรักที่เค้ามีให้ภัทรเป็นของจริง” เป้หันหน้ามาสบตา เอื้อมมือมาจับมือผม

“แล้วภัทรล่ะ ภัทรคิดเหมือนกันหรือเปล่า” นำ้ตาที่เอ่อออกมาตอนนี้ไหลอาบสองแก้ม

“ความรักที่ภัทรให้เค้า เป็นของจริงไหม” ผมยังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเร็วๆหลายครั้ง จนเป้ยิ้มบางๆ ใช้มือที่ว่างอยู่มาเช็ดน้ำตาทีเปื้อนแก้มของผม

“งั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าปล่อยมือเค้านะ” ผมพยักหน้าไม่หยุด น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาอย่างหมดสภาพ กระชับมือที่เชื่อมกันแน่นขึ้นกว่าเดิม

“ถ้าภัทรเชื่อเหมือนที่เค้าเชื่อ ถ้าภัทรไม่ปล่อยมือเค้า เรามาพิสูจน์ไปด้วยกันนะ ให้ทุกคนเห็นว่าเราไม่ได้สับสน ไม่ได้ล้อเล่น และความรักของเรามันไม่ทำลาย แต่ทำให้เราสองคนดีขึ้น”

น้ำตาผมไหลหนักกว่าเดิมในทุกคำที่เป้เอ่ยออกมา มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัว แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มใจ ผมดีใจเหลือเกินที่คนที่ผมรักคือผู้ชายคนนี้ คนที่ใส่ใจคนคิดมากและคนขี้กลัวอย่างผม

“เลิกกังวลได้แล้วนะ มีเค้าอยู่ทั้งคน”

เร็วกว่าความคิด ผมโผเข้าไปกอดเป้ น้ำตายังไม่หยุดไหล มันเป็นกอดแรกตั้งแต่คบกันมา ทั้งๆที่ผมเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแม้กระทั่งจับมืออีกฝ่าย แต่ตอนนี้ผมอยากทำทุกอย่างที่สามารถสื่อความในใจของผม

“อึก..ขอบ...ขอบคุณนะ” ผมพูดยังไม่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมกอด

“เฮ้ออออ...อย่าทิ้งเค้าก่อนแล้วกัน” เป้เอ่ยแซว ผมตีหลังเขาเบาๆ

“ฝันไปเถอะ ถึงจะไล่ก็ไม่ไปหรอก” เป้หัวเราะเอามือที่กอดหลังผมอยู่มาลูบกลุ่มผมของผมเบาๆ ผมดึงตัวออกเพื่อสบตากับเขา


มันอาจจะสำคัญ..

ที่จะทำให้ทำให้คนอื่นเชื่อและยอมรับ

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด....

คือการที่เราสองคนเชื่อมั่นในความสัมพันธ์นี้

ถ้าเราพิสูจน์ให้ตัวเราเองเชื่อได้

ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่ล้านคนบนโลกนี้

ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า

ความรักของเราไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

และเป็นความจริงที่สุด...

“เค้ารักเป้ที่สุดเลย มากที่สุดเลยจริงๆนะ”

“เป้ก็รักภัทรที่สุดเลย”



***********
การเขียนนิยายนี้ยากจริงๆนะคะ การบรรยายความรู้สึกที่คิดเป็นตัวอักษรลงไปในกระดาษบอกเลยว่ายากจริงๆ นี่เมย์เขียนแล้วแก้เป็นสิบๆรอบก็ยังรู้สึกเข้าไม่ถึงสิ่งที่เราตั้งใจจะสื่ออกมาอยู่ดี แงงงง

มันก็ต้องฝึกกันต่อไปเนอะ สู้ๆๆๆ

ยังไงฝากติชมด้วยนะคะ ใกล้จบแล้วววววว


ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 12 เรื่องที่โดนหลอก

“เข้ามาสิภัทร” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับมา ส่งยิ้มให้เจ้าของบ้านเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและเดินตามเข้าบ้านไป

เธอผายมือเป็นการเชิญให้ผมนั่งลงตรงข้ามกับเธอ ความมุ่งมั่นที่เคยมีก่อนหน้าหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมประหม่าอย่างบอกไม่ถูก จะเอาสายตาไปมองตรงไหนก็รู้สึกไม่เหมาะสักที่

มลหัวเราะให้กับท่าทางของผม วันนี้เธอก็ยังคงเป็นหญิงสาวที่มาพร้อมกับร้อยยิ้มน่ามองและบรรยากาศสบายๆรอบตัว

“ภัทรกินข้าวเช้ามาหรือยัง อยากกินอะไรไหม” ผมส่ายหัว แค่ขอมาเจอวันนี้ก็เกรงใจเจ้าตัวจะแย่อยู่แล้ว

“งั้น.. เข้าเรื่องเลยไหม ไหนมีเรื่องอยากจะคุยกับมล”

จังหวะนั้นแม่ของมลเดินเข้ามาพร้อมถาดที่มีน้ำและขนม ผมลุกขึ้นยกมือไหว้ เจ้าของบ้านที่มาใหม่ยิ้มและบอกให้ทำตัวตามสบาย เมื่อแม่ของมลเดินห่างไป ผมก็ตั้งสติ ไม่ลืมความตั้งใจที่ทำให้มาวันนี้

“คือเรื่องเป้...”

“ฮืม...อ่อ เป้เล่าให้ภัทรฟังแล้วหรอ” เมื่อผมเกริ่นขึ้น เธอก็นิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“มลโอเคไหมครับ...” ผมถามและก้มลงมองมือตัวเองแอบเหลือบมองหน้าสาวน้อยที่ตอนนี้คิ้วเริ่มชนกัน ก่อนจะคลายออกอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ

“ตอนแรกก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน..แต่ว่าก็เข้าใจได้”

แปลกใจ?
ใช่สิ เธอคงคิดว่าเป้จะตอบตกลง ก็เพื่อนเชียร์กันซะขนาดนั้น เป็นผมผมก็ต้องคิด

“แต่แอบงอนภัทรเหมือนกันนะ น่าจะบอกมลตั้งแต่วันนั้น” เธอพูดกลั้วหัวเราะ

“เราไม่รู้นี่ครับ”

“แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกว่าชอบเป้อยู่” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเธออย่างรวดเร็ว

“มล..มลว่าอะไรนะ”

“มลก็หน้าแตกเหมือนกันนะ ไปสารภาพกับแฟนเขา นี่นึกว่าจะโดนภัทรเกลียดไปแล้วซะอีก”

“เป้..เป้บอกมลอย่างนั้นหรอ”

“อ้าวนี่เป้ยังไม่ได้บอกภัทรหรอ วันเสาร์ที่มลบอกชอบเป้ เป้เขาก็ขอโทษเพราะตอนนี้คบกับภัทร ดีนะแค่เกริ่นๆออกไป ไม่งั้นเสียฟอร์มแย่”

ผมยังงงๆ

“เราขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง”

“อืม มลเข้าใจ เป้ก็ขอไว้เหมือนกันว่าอย่าเพิ่งบอกใคร เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจหรอก ยังไงก็สู้ๆนะ” เธอส่งยิ้มสดใสมาให้ผม

“ขอบใจมลจริงๆเลยนะครับ ตอนนี้เราสบายใจขึ้นมาเยอะเลย”

“อืม แล้วมลยังไม่เลิกล้มระนาดนะ เทอมหน้าไปลงเล่นด้วยแล้วอย่ามาแอบหึงเป้นะ”

“ถ้าสอนไม่ได้เรื่องเดี๋ยวเราจัดการให้เลย” เราทั้งคู่หัวเราะ ตอนนี้ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก โล่งไปหมดแล้ว

แต่เป้นะเป้

ผมจำได้ว่าตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยด้วยซ้ำ แล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยเล่าเรื่องวันนั้นให้ฟังเลยสักนิด ผมอมยิ้มเมื่อคิดถึงตรงนี้

ร้ายที่สุดล่ะคนนี้

——

รวมสาย (3)

เดี่ยว: เหี้ยเป้

เป้: อะไรวะ

บอล: มีไรกันกูเพิ่งตื่น สัดแต่เช้าเลยพวกมึง

เดี่ยว: บอกภัทรไปยังที่พวกกูรู้อะ

เป้: ยัง ทำไม

บอล: ช้าจังวะเมื่อไหร่จะบอก กูแม่งทำตัวไม่รู้จนเหนื่อยแล้วนะ

เดี่ยว: กูอยากแซว กูคันปาก กูอยากเล่าให้แต้วฟังจะตาย

บอล: ไอ้เชี่ย หลงเมีย

เป้: กูก็อยากบอกจะตายห่า หมั่นไส้ไอ้พี่นิว ยังโทรหาภัทรตลอด แม่งอาทิตย์นี้ไปเข้าค่ายจะเจอพี่แกอีก ถ้าภัทรยังไม่ให้กูบอกใคร กูคงอกแตกตาย

บอล: แล้วทำไมภัทรต้องห้ามด้วยวะ หรือเขาอาย?

เดี่ยว: เชี่ยบอลมึงมันไม่เข้าใจความรัก

บอล: โธ่พ่อนักรัก มึงเข้าใจมึงก็บอกกุมาสิ

เดี่ยว: ไม่ใช่ทุกคนนะมีงที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ มึงจำปีที่แล้วที่ไอ้ตั้มโดนล้อทั้งเทอมไหมที่คบกับพี่ที

เป้: เออ ก็เพราะแบบนี้ กูน่ะก็ไม่แคร์หรอก แต่ภัทรคิดมากไง กูเลยต้องใจเย็น ต้องเงียบอยู่แบบนี้

เดี่ยว: แต่ก็ทนไม่ไหวบอกพวกกูนะมึง

บอล: หรืออยากอวด?

เป้: เออ! ไม่อยากให้คนอื่นมายุ่งกับคนของกู

บอล: คนของกู สาดดด โครตหล่อ

เดี่ยว: ก็เอาไปพูดกับแฟนกูมั้งดีกว่า เชดดดด

เป้: ที่ภัทรกลัวมากที่สุด เขากลัวพวกมึงจะรับไม่ได้ ก็มึงเล่นแซวกูกับมลไม่เลิก

เดี่ยว: เออ ไอ้เชี่ยบอล ทั้งๆที่ไอ้เป้บอกแล้ว วันสอบเสร็จยังแซวไม่เลิก กูเห็นภัทรหน้าเสียเลย

บอล: เอ้า กูก็เล่นสมจริงไงมึง เดี๋ยวภัทรมันสงสัย

เดี่ยว: แล้วอีกอย่าง ถึงภัทรจะเป็นแฟนมึง แต่มันก็เป็นเพื่อนพวกกูเหมือนกัน

บอล: ใช่ กูไม่ใช่คนจิตใจคับแคบนะ

เป้: เออ ขอบใจนะ สรุปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่นานหรอก เห็นวันนี้จะไปหามล หึหึหึ

เดี่ยว: ไปหามลแล้วมึงขำอะไรวะ

เป้: ไม่รู้ว่าทำหน้ายังไง ตอนรู้ความจริง คนอะไรน่ารักชิปหาย

บอล: มลอะนะ? เขาก็ต้องตกใจไหมมึง แล้วมลเขาไม่ได้ชอบมึงหรอ แล้วภัทรไปหาทำไม กูงง

เดี่ยว: เออ อะไรของมึงวะ

เป้: เสือก! กูวางละ จะโทรหาภัทร

เดี่ยว: เออ ไปเลย บอกพวกกูมาแล้วกัน พวกกูยังไงก็ได้ กลัวแต่มึงจะออกแตกตาย

บอล: ไอ้เชี่ยเป้ กูยังงงอยู่เลย เฮ้ย! สัดวางไปแล้ว

เดี่ยว: มึงทำไมเสือก

บอล: ได้ข่าวว่ามึงโทรมาหาพวกกู

——

ภัทร: ครับ

เป้: กลับบ้านยังครับ

ภัทร: อืมเพิ่งถึงเมื่อกี้ เป้ก็โทรมาเลย

เป้: แล้วไปคุยกับมลเป็นไงมั้ง

ภัทร: ....ก็...รู้สึกไม่ดีเลย

เป้: ทำไมล่ะ มลว่าไงบ้าง

ภัทร: ก็ร้องไห้ใหญ่เลย โทษว่าเป็นเพราะเรา

เป้: เฮ้ย จริงดิ แล้ว หลุดแทนตัวว่าเราอีกแล้วนะครับ

ภัทร: อืม... โกรธไม่ยอมมองหน้าเราเลย บอกคบกับเป้มาก่อนแล้วเป้มาขอเลิก เพราะมีเราเข้ามาแทรก

เป้: ไม่จริงนะ ไม่เคบคบกันเลยด้วย

ภัทร: เราไม่รู้จะเชื่อใครแล้ว เราเหนื่อย วางก่อนได้ไหม ขอห่างกันสักพักนะ

เป้: ไม่เอานะ คุยกันก่อนนะ

ภัทร: เราขอคิดอะไรสักพักนะ เปิดเทอมหน้าค่อยคุยกันได้ไหม

เป้: โห ภัทรฟังเค้านะ วันนั้นที่มลบอกเค้า เค้าพูดไปชัดเจนเลยนะ ว่าคบกับภัทรแล้ว

ภัทร: จริงหรอ ตอนไหน

เป้: ก็วันเสาร์ก่อนที่เค้าจะไปขอภัทรคบไง จริงๆนะ เชื่อเค้านะ เค้าไม่เคยคบกับมลเลย

ภัทร: หึหึหึ ฮะฮ่าๆๆๆๆ

เป้: .....

ภัทร: ฮะฮ่าๆๆๆๆๆๆ

เป้: นี่หลอกใช่ไหม

ภัทร: ฮะฮ่าๆ ใช่ กับคนใจร้ายก็ต้องแบบนี้แหละ

เป้: ใจร้ายอะไร

ภัทร: ก็มลรู้แล้วทุกอย่าง แล้วยังไม่ยอมเล่าให้เค้าฟัง ให้เค้ากังวลอยู่ได้

เป้: ง่ะ

ภัทร: สมน้ำหน้า ใจเสียเลยใช่ไหม

เป้: ขอโทษนะครับ

ภัทร: แล้วบอลกับเดี่ยวอีก

เป้: ไอ้เชี่ยตั้ม!

ภัทร: ไม่ต้องไปโทษตั้มเลย คนนิสัยไม่ดี ไม่รักษาสัญญา

เป้: ก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากให้ทุกคนรู้ว่าภัทรเป็นของเค้า

ภัทร: แล้วทำไมไม่เล่าเรื่องที่บอกมลไปแล้ว

เป้: ก็อยากให้เซอร์ไพร์ เป็นไงเค้าชัดเจนจริงๆใช่ไหม

ภัทร: แหนะ ยังจะมีหน้สมาเป็นไงอีก

เป้: ...ผิดไปแล้วคร้าบบบ

ภัทร: แต่ก็ขอบคุณมากเลยนะ ตอนนี้สบายใจที่สุดในโลกเลยยย

เป้: แล้วบอกพี่นิวได้ยัง

ภัทร: ฮะฮ่าๆ ตามใจเลยครับ

เป้: ลงสถานะในเฟสได้ไหม

ภัทร: มีพ่ออยู่นะ

เป้: โอเคครับๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ

ภัทร: แล้วห้ามทำแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นโกรธจริงๆด้วย

เป้: คร้าบบบบสุดที่รัก

ภัทร: เอาใหญ่แล้วนะ

เป้: หน้าแดงทำไมครับ

ภัทร: คุยโทรศัพท์อยู่เห็นได้ไง

เป้: แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าทำหน้ายังไง ก็แฟนเค้าทั้งคน

ภัทร: คร้าบบบสุดที่รัก ยอมแล้วครับ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ

เป้: ให้เค้าไปรับนะ แล้วค่อยไปโรงเรียนพร้อมกัน

ภัทร: ไม่เป็นไร รอที่ป้ายรถเมล์แล้วค่อยเดินเข้าไปพร้อมกันก็ได้

เป้: โอเคครับ ฝันดีนะครับ

ภัทร: ฝันดีเหมือนกันนะครับ


**********



ชอบตอนนี้ ;)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 13 - เรื่องของคนสำคัญ

ผมลงจากรถสองแถวพร้อมกระเป๋าเป้สะพายหลังและกระเป๋าถือใบใหญ่ที่จุเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นรวมถึงขนมกินเล่นเต็มกระเป๋า ลงมาจากรถก็สบตากับคนที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์ พยายามฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า ทั้งที่รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ใช่คนที่นัดไว้

“สวัสดีครับพี่นิว” คนแก่กว่ายิ้มรับพร้อมคว้ากระเป๋าในมือผมไปถือเอง

“ขนอะไรมาเยอะแยะเลย นอนแค่คืนเดียวเองนะครับ” ผมยิ้มกลับ

“ขนมทั้งนั้นแหละครับ พี่นิวมาทำอะไรตรงนี้ครับ” ผมจำได้ว่าพี่เขามีรถยนต์ ไม่น่าจะมารถเมล์ เพราะทั้งตัวก็ไม่เห็นจะมีกระเป๋าใส่ของสักใบ

“ก็มารอเรานั่นแหละ ว่าแล้วว่าต้องมาเวลานี้ ป่ะเข้าไปข้างในกัน” คนพูดส่งยิ้มละมุนมาให้ผม ตอนนี้ใจผมเต้นรัวไปหมดแล้ว ไม่ใช่เขินพี่นิวนะ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนคนทำผิดแล้วจะโดนจับได้ยังไงไม่รู้

“เออ พี่เข้าไปก่อนเถอะครับ ผมนัดกับเป้ไว้ตรงนี้น่ะครับ”

ไม่ทันจะพูดจบประโยค รถสองแถวสายแปดอีกคันก็มาจอดตรงหน้าพวกผมสองคน ผมหลับตาลงภาวนาไม่ให้เป้ลงมาจากรถคันนั้น ค่อยๆลืมตาขึ้นมาพอดีสบเข้ากับคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุดตอนนี้

สายตาโหดมากด้วย!

ผมทำใจกล้าโบกมือทักทายและส่งยิ้มให้เขา เป้เดินมาข้างตัวผมไม่ได้เอ่ยอะไรแต่กล่าวสวัสดีพี่นิว เราสามคนเดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยกัน

จะเรียกว่าด้วยกันหรือเปล่า คือผมเดินคุยกับพี่นิวโดยมีเป้เดินตามหลัง รู้สึกร้อนๆที่หลังเหมือนโดนพลังงานอะไรสักอย่างพุ่งใส่ตลอดเวลา ไม่ต้องมองกลับก็รู้ว่าตอนนี้เจ้าหมีอารมณ์เสียแค่ไหน

งานเข้าค่ายของเราวันนี้เป็นงานแนะนำชมรมดนตรีไทย จุดประสงค์เพื่อต้องการเพิ่มสมาชิกชมรมให้มากขึ้นโดยจะจัดขึ้นทุกปีหลังปิดเทอมแรกแบบนี้ คนที่อยู่ในชมรมจะเป็นฝ่ายจัดงานและมีคนนอกชมรมมาเข้าร่วม ช่วงเช้าถึงเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่ทางชมรมให้ความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทยและให้ผู้เข้าร่วมได้ทำความรู้จักและลองเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ หลังอาหารเย็นจะเป็นเวลานันทนาการและพูดคุยกัน ช่วงเช้าวันต่อมาก็ทำการปิดค่ายแยกย้ายกันกลับบ้าน

ตอนที่เรามาถึงเพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า งานจะเปิดตอนเก้าโมง ดังนั้นจึงยังไม่มีผู้ร่วมงานมากัน มีแต่คนในชมรมวิ่งวุ่นจัดเตรียมข้าวของให้พร้อมจนถึงวินาทีสุดท้าย ผมกับเป้อาจไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก เพราะรับหน้าที่ในการแนะนำเครื่องดนตรี แต่กับฝ่ายประสานงานอย่างตั้มมันมาเตรียมงานตั้งแต่ตีห้าแล้ว เมื่อมันเห็นผมก็รีบโบกมือเรียกให้เข้าไปช่วยเตรียมเอกสาร ผมวางกระเป๋าไว้มุมห้องที่จัดแยกไว้สำหรับคนในชมรมโดยเฉพาะ ขอตัวจากพี่นิวแล้วตรงไปหาตั้ม ไม่ลืมที่จะแอบมองอีกคนที่ตั้งแต่เช้ายังไม่พูดกับผมสักคำ นึกว่าเขาจะเดินตามมา แต่ปรากฎว่าเจ้าตัววางกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป

“เป็นไงครับ หวานกันแต่เช้าเลยนะ” ตั้มเอ่ยแซว
“หวานอะไรล่ะ ยังไม่ได้คุยกันสักคำเลยวันนี้” อีกฝ่ายคิ้วขมวดเมื่อเห็นผมทำหน้ามุ่ย แต่ก็ร้องอ๋อเมื่อมองผ่านผมไปด้านหลัง เห็นพี่นิวที่แอบมองมาทางผมเป็นระยะ
“แล้วพี่แกยังไม่รู้หรอ เรื่องไอ้เป้” ผมส่ายหน้า ก็ยังไม่ได้บอกใครเลย
“กลัวเรตติ้งตก?”
“ไอ้ตั้ม!” มันหัวเราะ มันไม่ได้ว่าผม มันแค่เอาคำที่เป้เคยใช้มาแซวผม ไม่น่าเล่าทุกอย่างให้มันฟังเลย
“กูเคยว่าไอ้เป้ไว้เยอะ แต่วันนี้กูเข้าข้างมันนะ”
ผมหรี่ตามองหน้าเพื่อนทรยศ มันลอยหน้าลอยตาว่าต่อ
“มันจะบอกใครก็ไม่ให้บอก แสดงออกก็ไม่ได้ แล้วเรื่องมลเห็นไหมว่ามันตัดฉึบ มึงล่ะ อย่าบอกว่าไม่รู้ว่าโดนจีบ?”
“...”
“ตอนชอบเขาจะเป็นจะตาย ทีงี้ทำมาเขิน”
“พอไหม เพื่อนสำนึกอยู่” มันหัวเราะเอามือมาขยี้หัวผม
“เออ เดี๋ยวกูช่วยเอง”
ผมมองหน้ามันอย่างไม่วางใจ คิดแผนอะไรอีกล่ะ

“เป้ไปกินข้าวพร้อมเราไหม”
ผมเอ่ยทักขึ้นขณะที่เขากำลังตีระนาดโชว์ผู้ที่มาร่วมงาน ซึ่งหน้าแปลกที่คนที่สนใจตีระนาดส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิงทั้งนั้น ตอนที่ผมเดินเข้ามาในห้องก็พอดีกับที่พวกเธอมองตาละห้อยพร้อมยกมือถือมาอัดคลิป ไม่รู้งานนี้สนใจระนาดหรือคนตีกันแน่

“ภัทรไปเถอะ เดี๋ยว’เรา’เสร็จตรงนี้จะพาน้องๆไปโรงอาหารเอง”
เขาพูดทั้งๆที่ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเจ้าตัวเน้นคำว่า’เรา’เหลือเกิน ผมทำอะไรไม่ได้เลยเดินไปโรงอาหารคนเดียว รับถาดข้าวมาแล้วมองหาตั้ม แต่สงสัยเจ้าตัวจะยุ่งอยู่เลยยังไม่มากินข้าว ผมหาที่ว่างและนั่งลง หยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะส่งข้อความหาเพื่อนสนิท พอดีกับที่มีถาดข้าวอีกถาดมาวางตรงหน้า

“นั่งด้วยได้ไหมเอ่ย” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับคนมาใหม่ พยักหน้าเป็นการเชิญ พี่นิวยิ้มกลับมาและนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“มาคนเดียวหรอ ตั้มกับเป้ล่ะ”
“ยังยุ่งกันอยู่เลยครับ”
“แล้วภัทรล่ะ เป็นไงช่วงเช้าเห็นคนมารุมเยอะเลยนี่ เหนื่อยไหม”
“ก็สนุกดีครับ มีคนสนใจเยอะแบบนี้ เทอมหน้าคนในชมรมต้องเพิ่มขึ้นแน่” ผมสนุกจริงๆ การที่ได้มาแบ่งปันสิ่งที่รู้ให้คนที่มีความสนใจเดียวกันมันไม่เหนื่อยเลยสักนิด

“เทอมหน้าพี่จบแล้วนะ” พี่นิวพูดขึ้นทำให้ผมหันไปสบตากับพี่เขา เจ้าตัวจ้องหน้าผมนิ่งไม่มีทีท่าขี้เล่นเหมือนที่เป็นประจำ
“เหนื่อยแย่เลยนะครับ ทั้งที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ ยังอุตส่าห์มาติวให้ผม ขอบคุณพี่นิวมากเลยนะครับ” ผมพูดจากใจ
“ภัทรก็รู้ว่าพี่เต็มใจ” เจ้าตัวยังจ้องหน้าผมไม่เลิก

หมับ!
“ภัทร”

นี่บอกเลยว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร!

จู่ๆพี่นิวก็เรียกชื่อพร้อมเอามือมาจับมือผม แถมเป็นจังหวะเดียวกับที่เป้เดินนำน้องๆเข้ามาในโรงอาหาร สายตาผมสบกับเขาแปปนึงก่อนที่สายตาเจ้าตัวจะมองต่ำไปยังมือที่ถูกจับของผม
ผมไม่กล้าสะบัดมือออก ตอนนี้ไม่กล้าขยับตัวด้วยซ้ำ สติผมไม่อยู่กับผมอีกต่อไปแล้ว

“ภัทรรู้ใช่ไหมว่าพี่คิดยังไง” เสียงของพี่นิวเรียกความสนใจของผมทั้งหมดกลับมาตรงหน้า ทั้งๆที่พอจะเดาได้ แต่พอมาถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน ผมกวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นเป้แล้วตอนนี้

“พี่ชอบภัทรนะ”
“เอ่อ.. คือ”
“พี่ไม่ได้ต้องการอะไรนะ แค่อยากให้รู้ไว้ ถ้าภัทรไม่ได้รังเกียจช่วยเก็บเอาไปคิดได้ไหมครับ”
คนพูดปล่อยมือผมแล้ว ผมที่ตอนแรกยังอึ้งอยู่พยายามรวบรวมสติ ถึงเวลาของผมแล้ว

ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อเป้บ้าง

“คือพี่นิวครับ คือผมไม่ได้รังเกียจนะพี่นิว” ภัทรเกริ่นทำให้สีหน้าอีกฝ่ายดูดีขึ้นมานิดนึง
“แต่ผม.. เอ่อ ผมมีแฟนแล้ว” มุมปากที่กำลังจะยกยิ้มของอีกฝ่ายกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง

“คือผมคบกับเป้อยู่ครับ”

ผมกลั้นหายใจพูดจนจบประโยค เมื่อตอนนี้พูดออกไปแล้วก็รู้สึกโล่งขึ้นมาทันที พี่นิวตอนนี้อึ้งไปแล้ว อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หุบลงแบบนี้อยู่หลายครั้ง ขณะที่ผมรออีกฝ่ายพูดอะไรสักอย่างขึ้นมาก็มีคนมาแตะบ่าผม เมื่อหันไปดูก็เห็นเพื่อนตัวดียิ้มร่าพร้อมถาดข้าวในมือ

“มึงกูเพิ่งได้กินข้าวเนี้ย เหนื่อยมากเลย มึงกินเสร็จยัง” ผมพยักหน้าให้มัน ตอนนี้รักมันที่สุดเลย
“งั้นวันนี้ไปล้างจานให้หน่อยดิ คนขาดน่ะ”
ผมรีบตกลง ตอนนี้ให้ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ได้ออกจากตรงนี้ ผมมองคนตรงหน้า พี่นิวพยักหน้าเป็นเชิงว่าไปเถอะ ผมถึงลุกและถือถาดอาหารไปข้างโรงอาหาร เมื่อเดินมาถึงก็เห็นคนที่ผมเพิ่งบอกกับพี่นิวว่าเป็นแฟนกำลังเติมน้ำลงกะละมังอยู่

ตั้ม กูรักมึงว่ะ!

“กินข้าวเสร็จแล้วหรอครับ” ผมทักอีกฝ่าย
“...”
เป้ไม่ยอมตอบ เริ่มเอาจานลงกะละมังแรกแล้วบีบน้ำยาล้างจานลงไป
“งั้นเค้าล้างน้ำเปล่านะ” เป้หันมามองหน้าผม ยื่นสายยางมาให้ ผมเอามาจ่อในกะละมังหน้าผมแล้วว่าต่อ
“ไม่อยากคุยกับเค้าหรอ”
“...”
“เป็นอะไรครับ”
“...”
“วันนี้สาวๆเยอะ เลยไม่สนใจเค้าเลยนะ”
เป้หยุดงานในมือมองหน้าผม สายตาที่ส่งมาทั้งดุทั้งน้อยใจ
“เราไม่ได้ขี้อ่อยอย่างคนบางคนนะครับ”
“แทนตัวว่าเราได้ไง ผิดกฎ แล้วเค้าก็ไม่ได้อ่อยนะ”
“อืม ไม่ได้อ่อย”
เป้สวนกลับแทบทันที จากที่นิ่งๆตอนนี้หน้าออกไปหมดแล้วว่าโมโหแค่ไหน
“นั่งจับมือกันในโรงอาหารแล้วยังมีหน้ามาว่าคนอื่น”
“เห็นจริงๆด้วย ว่าแล้วว่าต้องเห็น”
“ที่เห็นแค่จับมือ ที่ไม่เห็นนี่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างเหมือนกัน”
“ไปใหญ่แล้ว เป้ฟังก่อนได้ไหม”
“เพราะแบบนี้ถึงไม่อยากบอกใครว่าคบกับเป้ใช่ไหม”
“เป้ครับ..”
“เค้าไม่อยากฟัง ภัทรเงียบไปเลยได้ไหม”
ผมหุบปากเงียบ ตอนนี้เป้โมโหเกินไป พูดอะไรก็คงไม่ฟังแล้ว เราทั้งสองยืนล้างจานกันเงียบๆ จนงานเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินตามเป้กลับเข้าห้องพักของชมรมที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เพราะคนไปรวมกันที่ห้องซ้อมวงกันหมดแล้ว

“เป้ฟังเค้านะ” ผมจับข้อมืออีกฝ่ายรั้งไว้
“ภัทรไม่คุยกันตอนนี้ได้ไหม เค้าไม่อยากพูดอะไรไม่ดี แต่ตอนนี้มีแต่เรื่องไม่ดีเต็มหัวไปหมด”
เจ้าตัวหันหน้ากลับมาหาผม ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ผมเคยทำมาแล้วครั้งนึง
หมับ!
ผมสวมกอดใต้วงแขนอีกฝ่าย จากตรงนี้ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วของเป้ชัดเจน

“วันนี้พี่นิวมาบอกเค้าว่าชอบ”
เป้สบถออกมา พยายามจะดึงผมออกจากอ้อมกอดแต่ผมจับไว้แน่น
“แต่เค้าบอกแล้วว่ามีแฟนแล้ว เค้าบอกไปแล้วว่าคบกับเป้อยู่”
อีกฝ่ายนิ่งลงแล้ว ผมจึงเงยหน้าไปหาเขา เจอสายตาที่มองลงมาอยู่ก่อนแล้ว
“หายงอนยังครับคุณแฟน” ผมยิ้มแป้นให้เขา เป้หัวเราะในลำคอแล้วยิ้มกว้างกลับมา รวบกอดเอวผมไปในอ้อมแขน
“เกือบได้ต่อยคนแล้วนะ”
“ไม่เอาสิ”
ผมซบอกเขาหัวเราะเขาๆ ถึงจะเขินแทบตายแต่ก็รู้สึกดีมากเลย
“หัวร้อนไปหมดเลย”
“อืม”
“ขอโทษที่ว่าภัทรอ่อยนะครับ”
“อืม”
“บอกว่ามีแฟนแล้วหรอ”
“อืม”
“บอกว่าเป็นแฟนเค้าเลยหรอ”
“อืม”
ฟอด!
“งั้นต้องให้รางวัล” เป้ก้มลงมาหอมแก้มผมไวๆหนึ่งที แล้วยังมีหน้าพูดกลั้วหัวเราะ ผมตกใจรีบดึงตัวเองออกมาเอามือจับแก้ม
“เป้ ทำอะไรน่ะ” ผมว่าตัวผมแดงไปหมดแล้ว
“หอมแฟน” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย ผมว่าเลือดผมมารวมกันที่หน้าหมดแล้ว
“เอาใหญ่แล้ว” ผมหลบตาอีกฝ่าย
“ก็แฟนน่ารักให้ทำไง”
“...”
“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ไปห้องซ้อมกันดีกว่าเนอะ”
“ก็รักสิ”
“หืม? ภัทรว่าอะไรนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย พยายามทำใจกล้า
“ก็ถ้าน่ารัก..ก็รักสิ”
เป้มองผมตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง รอยยิ้มที่ทำให้เจ็บอกตอนนี้กว้างกว่าทุกทีที่เคยเห็น

การประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าเรารักกันอาจจะเป็นการให้เกียรติคนรักของเรา แสดงให้เห็นว่าเราจริงจังกับรักครั้งนี้แค่ไหน
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเป็นที่รักขนาดไหน ไม่ว่าจะมีใครรู้หรือไม่ เขาก็เป็นคนสำคัญ เป็นที่รักของเราเสมอ

ก็ถ้าน่ารักก็รักสิ เพราะผมก็รักคุณที่สุดเหมือนกัน

*****
ตอนหน้าจบแล้ววววว น้องยังเด็กเนาะ ยังไม่อยากให้มีฉากnc ตามวัยจ้า ใสๆจ้า แต่ยังอยากเขียนตอนที่นางโตๆกันแล้วนะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ตอนนี้กำลังอินกับเรื่องใหม่ “รักมือสอง/2nd hand love นะคะ ฝากเรื่องใหม่ด้วยน้าาา


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บทที่ 14 เรื่องที่ยอม

ผมเป็นคนคิดมาก
ผมไม่รู้ว่านิสัยแบบนี้มันเริ่มจากตอนไหน

อาจจะเป็นครั้งแรกที่ต้องย้ายโรงเรียนตอนปอหนึ่ง ผมยังจำตัวเองในตอนนั้นได้อย่างแม่นยำ ผมคนที่เคยร้องไห้เพราะไม่อยากแยกจากเพื่อนสนิทข้างบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่เกิด ผมที่งอแงไม่ยอมไปโรงเรียนใหม่ ร้องไห้จนพ่อสัญญาว่าปิดเทอมเมื่อไหร่จะพากลับไปหาเพื่อนสนิทที่บ้านเก่า ผมจำตัวเองได้ดีว่าผมเฝ้ารอทุกวัน ถามแม่วันละไม่รู้กี่ครั้งว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะปิดเทอม

และก็เป็นผมอีกนั่นแหละ ที่ต้องมายอมรับความจริงที่ว่า เพื่อนที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายในวันที่ผมกำลังจะจากไป วิ่งเข้ามาทักทายผมไม่ถึงนาทีแล้ววิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนใหม่ที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังเก่าของผม ผมมองทั้งสองหัวเราะเล่นน้ำในถังกันอย่างสนุกสนาน โดยที่อีกคนไม่หันมามองผมอีกเลย

และก็คงเป็นเพราะวันนั้น ผมจึงได้เรียนรู้ความรู้สึกของคนที่ถูกลืมเป็นครั้งแรก

หรืออาจจะเป็นตอนปอสี่ที่พ่อกับแม่นั่งตรงหน้าผมด้วยหน้าตาจริงจัง ทั้งสองมองผมด้วยแววตากังวลก่อนที่จะบอกข่าวร้ายที่สุดเท่าที่เด็กอย่างผมจะรับไหว  ผมพยายามทำตัวเป็นเด็กดีของพ่อแม่ผมมาตลอด เพราะรู้ว่าท่านทั้งสองทำงานหนักแค่ไหน ผมจำตัวเองที่เม้มริมฝีปากพยายามที่จะเก็บกลั้นน้ำตาที่มันจะไหลเอ่อออกมาทุกขณะจนผมได้กลิ่นเลือดออกมาจากโพรงปาก มือที่ชุ่มเหงื่อจิกเข่าตัวเองแน่นจนผมรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว

ผมต้องเลือกในวันที่ผมไม่อยากเลือก
ผมโดนบังคับให้โตในวันที่ผมยังอยากเป็นเด็ก
ผมโดนบังคับให้ทิ้งหนึ่งในสองของคนที่ผมรักที่สุดไว้ลำพัง
ถึงผมจะเข้าใจและยังรักทั้งสองมากที่สุด

แต่มันก็อาจจะเป็นวันนั้น ที่ทำให้ผมได้เริ่มคิด
ความสัมพันธ์มันน่ากลัว

คนเรารักกันได้มากในวันนึง แต่ก็ลืมอีกคนได้ในอีกวัน

ถ้าไม่อยากถูกลืม ก็ไม่ควรเริ่มรัก
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมคิดแบบนั้น

“นั่งเหม่ออะไรอยู่เอ่ย” ผมเบนสายตาจากหน้าต่างในห้องนอนของผม มองอีกคนที่นั่งจ้องหน้าผมอย่างสงสัย วันนี้เป้ขนเกมส์มาเล่นบ้านผม มันเป็นแบบนี้ประจำในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ไม่กี่วันเราก็จะเปิดเทอมใหม่แล้ว ช่วงนี้ผมมักย้อนกลับไปคิดเรื่องราวในอดีตบ่อยขึ้น อาจจะบ่อยที่สุดตั้งแต่พ่อกับแม่เลิกกัน ผมป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่คบกับเป้ ผมรู้ว่าผมคิดมาก แต่ใจผมก็กลัวไปหมด กลัวว่าเรื่องของเราวันนึงมันจะจบลงในแบบที่เราไม่อยากให้เป็น

“คิดถึงใครอยู่ บอกมาเลยนะ” เขาเอามือมาบีบจมูกผมเบาๆ ทำหน้างอนใส่อีก

“คิดถึงใครดีน้า” ผมหัวเราะเบาๆ คนตัวโตกว่ายิ่งทำหน้างอนเข้าไปใหญ่ เบะปากจนหมดหล่อไปแล้ว

“คิดถึงเด็กในสังกัดหรอ” คำใหม่ของเขาล่ะ ถึงงานเข้าค่ายวันนั้นผมจะคุยกับพี่นิวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีน้องๆที่มากันวันนั้นหลายคนเข้ามาขอเบอร์ ถึงผมไม่ได้ให้ไปแต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปหาเบอร์มาจากไหน โทรมาหา ส่งข้อความมาหยอดจนคนข้างตัวผมหัวร้อนไปหมด แต่อย่าว่าแต่ผมเลย อีกฝ่ายก็มีคนเข้ามาเยอะไม่แพ้กัน แต่ที่ดีที่อีกชัดเจน ปฎิเสธให้ผมเห็นซึ่งๆหน้า ไม่มีเรื่องให้มานั่งปวดหัวกัน มีแต่เป็นผมนั่นแหละที่พูดอะไรไม่ได้ไม่ค่อยออก ได้เขานี่แหละที่คอยรับสาย คอยบลอคข้อความที่เข้ามาแทนตัวผม เรื่องขี้หึงนี่ระดับชาติจริงๆ

“คนไหนดี มีเยอะ”

“โห เดี๋ยวนี้แกล้งเก่งนะ อย่างงี้แหละ รักเขามากกว่าก็ต้องตกเป็นรองเสมอ”
ผมหัวเราะส่ายหน้าให้อีกคน เถียงกันมาไม่รู้กี่รอบแล้วว่าใครรักมากกว่ากัน และผมก็ไม่เคยเถียงชนะสักที เพราะอีกคนยืนยันตลอด เอาข้ออ้างสารพัดมาชี้ว่าตัวเองรักมากแค่ไหน

“เค้าโทรหาภัทรวันละสามเวลาหลังอาหารเลยนะ คิดถึงอยู่ฝ่ายเดียว”
แหม ก็ตอนกลางคืนคุยกันจนหลับตลอด แล้วพอจะโทรหาอีกฝ่ายก็โทรมาก่อนทุกที แล้วมันก็ไม่ได้แปลว่าไม่คิดถึงสักหน่อย ผมคิดถึงอีกฝ่ายตลอดเลานั่นแหละ เป็นไปได้ก็อยากโทรหายี่สิบสี่ชั่วโมง แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง เราสองคนก็มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ผมต้องไปลงเรียนภาษาอังกฤษ เพราะจบมอสามเมื่อไหร่ผมจะไปเรียนซัมเมอร์กับแม่ แล้วเรียนแบบ intensive จันทร์ถึงศุกร์ การบ้านก็เยอะ เวลาที่เหลือนี่ก็ให้เขาทั้งนั้น ส่วนเป้ก็ลงเรียนเปียโนและกีต้าร์ คนนี้เขารักดนตรีจริงๆ เขาเล่นเครื่องดนตรีที่วงได้แทบทุกชิ้นแล้ว ตอนนี้ก็เลยอยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง

“เค้าโพสรูปคู่ลงอินสตราแกรมตลอดเลยนะ ภัทรไม่เคยลองแล้วภัทรก็ไม่ยอมให้แท๊คไปด้วย”
ก้อย่างที่บอกว่าพ่อยังไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากให้คนเอาไปพูดถึงเยอะ เรายังเด็กกันทั้งคู่ ยังไงก็ต้องคิดเยอะๆก่อนที่จะทำอะไร โซเชียลมีเดียมันน่ากลัวจะตาย

“ภัทรเคยยอมให้เข้าจับมือด้วยซะที่ไหนเวลาไปไหนด้วยกัน”

และอีกสารพัดเหตุผลที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน จนไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หัวข้อนี้ย้อนมาผมก็จะตอบได้แค่

“ดีใจจัง”
“ยอมรับอีกแล้วว่ารักน้อยกว่า”
“เปล่า แต่เค้ารักเป้มากที่สุดแล้วต่างหาก ถ้าเป้รักเค้ามากกว่านั้น เค้าก็ดีใจสิ” ผมยิ้มแป้นตอบกลับไป สองมือเอื้อมไปบีบแก้มอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว เจ้าตัวเหมือนจะพอใจในคำตอบเอื้อมสองมือมาวางบนมือแต่ละข้างของผม

“อยากบอกให้ทุกคนรู้จัง อยากให้ทั้งโลกรู้ว่าภัทรเป็นของเค้า”

“ให้เวลาเค้าหน่อยนะ ค่อยๆโตไปด้วยกันเนอะ ผ่านที่ละด่าน” อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างใจดี

“อืม เค้าไม่รีบ มีเวลาทั้งชีวิต”
“เค้าเป็นคนคิดมาก คิดทุกสิ่งทุกอย่าง คิดเล็กคิดน้อยไปหมด อย่าเพิ่งเบื่อนะ”
“เค้าจะช่วยคิดเอง เรื่องไหนก็มาคิดไปด้วยกันนะ”
“ถึงจะไร้สาระที่สุดน่ะหรอ”

“ถ้าเป็นเรื่องของภัทร ไม่ว่าสำหรับคนอื่นจะไร้สาระ จะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน แต่สำหรับเขามันสำคัญเสมอ”

ผมรู้สึกเจ็บอก น้ำตาผมเอ่อล้นขอบตาจนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ได้รับมานาน

ก่อนที่ผมจะรู้ว่าเพื่อนคนแรกของผมมีเพื่อนใหม่
ก่อนที่ผมจะรู้ว่าผมจะไม่มีพ่อกับแม่ในบ้านเดียวกันอีกแล้ว
ความรู้สึกที่ผมเป็นศูนย์กลางของความรัก

“เค้ารักภัทรที่สุดเลย” ยิ้มเจ็บอกในตำนาน
“เค้าไม่แน่ใจเลยจริงๆ”
“....”
“ไม่แน่ใจว่าเป้รักเค้ามากกว่า”

เขายิ้มกว้างและหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะหุบยิ้มอีกครั้งจ้องตรงมาที่ผม เจ้าตัวโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จับมือผมที่อยู่บนแก้มของเขาแน่นขึ้น ตอนนี้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัดแล้วเพราะเขาเข้ามาใกล้จนสายตาผมจับโฟกัสไม่ถูก ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆพร้อมๆกับความร้อนของริมฝีปากยามที่กระทบกัน ผมหลับตาลงปล่อยใจไปกับความรู้สึก จูบแรกของเราเบาและหวานอย่างที่ผมเคยจินตนาการไว้

ผมดีใจที่เขาเป็นกอดแรกของผม
เป็นจูบแรกของผม
เป็นคนที่ผมรัก

เขาผละออกช้าๆทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เห็นสายคมที่มองผมมาด้วยแววตาแสนรัก รอยยิ้มของเขายังสร้างปฎิกริยากับร่างกายของผมเหมือนวันแรกที่เจอกัน ตัวผมเริ่มสั่นเพราะรู้สึกควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ มันมากเหลือเกินสิ่งที่ผมอยากให้เขารับรู้ ความรู้สึกที่มันล้นเอ่อจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด

ผมกำลังเผชิญกับสิ่งที่ผมพยายามหลบหลีกมาตลอด

แม้ว่าสักวันผมจะกลายเป็นคนที่ถูกลืม
แม้ว่าสักวันผมอาจจะกลายเป็นคนที่ไม่ถูกรัก
แม้ว่าสักวันต้องเสียใจเมื่อเรื่องของเรามันไม่ใช่อย่างที่ฝันไว้
แต่ผมก็คงยอมแลก
ถ้าวันนี้ผมยังได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว
ถ้าวันนี้ยังได้จ้องตาและสวมกอดคนที่ชัดเจนเสมอ
ถ้าวันนี้ยังได้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึก
ถ้าวันนี้ยังได้รับความรักจากคนแสนดีที่เข้าใจกันที่สุด
ผมก็ต้องยอมแลก
ด้วยทั้งหมดของผม ด้วยอะไรก็ตาม


*******

จบแล้วค่า เรื่องแรกในชีวิต ยิ่งเขียนไปก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองต้องปรับปรุงอีกหลายจุด โดยเฉพาะเรื่องพล๊อตเรื่อง คือบอกตรงๆว่าแอบไหลไปเรื่อยๆไม่ค่อยตรงกับที่คิดไว้ตอนแรกเท่าไหร่ เลยพอกลับมาอ่านแล้วรู้สึกไม่ค่อยพอใจเลบ งือ
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เอาจนจบ ฮ่าๆ
แต่ยังไม่จบนะ (อะไรของเแก)
ขอเวลาเมย์ฝึกปรือวิชาหน่อยนะคะ แล้วจะกลับใหม่ พร้อมพล๊อคเรื่องที่ดีขึ้น เป็นเรื่องราวความรักตอนที่น้องสองคนโตขึ้นกว่านี้ น้องยังเด็ก คบกันแปปเดียวเอง เอาไปจูบเดียวพอ 5555
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ จะดีมากเลยถ้าเม้นให้หน่อยน้า อยากรู้จริงๆว่าคิดยังไงอย่างที่บอกเรื่องแรกเนาะ เราก็อินของเรา แต่คนอื่นอินบ้างไหม ไม่รู้จริงๆ 555

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
น่ารักค่ะ เราชอบความรู้สึกแอบรัก...มันอินดี อิอิ
ชอบความรู้สึกแบบความรักค่อยๆก่อตัวไม่รีบร้อนนี้ด้วย
บทจะขี้อ้อน ขี้งอนทีก็มาเต็มเลยนะเป้555
น้องภัทรนี่คล้ายเราเลยแบบเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใคร....งั้นชั้นขอแฟนแบบเป้บ้างได้มั้ย ประทานมาให้ชั้นที555

เป็นเรื่องที่อ่านได้เรื่อยๆเลยค่ะ Feel good ดี ไม่มีตัวละครที่ร้ายๆแบบสุดขั้วออกมา อ่านสบายมากๆเลย
รอตอนต่อของทั้งคู่ตอนโตนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ(ในฐานะคนที่เริ่มก้าวเดินเส้นทางนักเขียนเหมือนกัน ^__^)

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
น่ารักค่ะ เราชอบความรู้สึกแอบรัก...มันอินดี อิอิ
ชอบความรู้สึกแบบความรักค่อยๆก่อตัวไม่รีบร้อนนี้ด้วย
บทจะขี้อ้อน ขี้งอนทีก็มาเต็มเลยนะเป้555
น้องภัทรนี่คล้ายเราเลยแบบเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใคร....งั้นชั้นขอแฟนแบบเป้บ้างได้มั้ย ประทานมาให้ชั้นที555

เป็นเรื่องที่อ่านได้เรื่อยๆเลยค่ะ Feel good ดี ไม่มีตัวละครที่ร้ายๆแบบสุดขั้วออกมา อ่านสบายมากๆเลย
รอตอนต่อของทั้งคู่ตอนโตนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ(ในฐานะคนที่เริ่มก้าวเดินเส้นทางนักเขียนเหมือนกัน ^__^)

ขอบคุณมากๆเลยนะคะ มีกำลังใจขึ้นเยอะมากเลยยย :)))

ออฟไลน์ kedtawan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่ารักกกก  :katai2-1: อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกกก :mew1:ขอบคุณนะที่แต่งนิยายมาให้อ่านกัน

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
เจ้าของกระทู้ กรุณาเปิดอ่านข้อความใน PM (กล่องข้อความส่วนตัว)

ผู้ดูแลห้อง Boy's love story
 :n1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
bookmark..ตามมาอ่านเรื่องนี้
ติดใจฝีมือคุณนักเขียน
อิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด