Fragrance wind: ฟุ้งกลิ่นรำไป>ปี่ใบลาน<10/09/62 20.25น.(รีไรท์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fragrance wind: ฟุ้งกลิ่นรำไป>ปี่ใบลาน<10/09/62 20.25น.(รีไรท์)  (อ่าน 2224 ครั้ง)

ออฟไลน์ แมวเหมียวเขี้ยวคม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
...


นิยายเรื่องนี้เคยลงไปแล้ว แต่เพราะมีเรื่องยุ่งๆที่บ้านจึงไม่ได้เข้ามาแต่งนานแล้วและโดนลบไปค่ะ

เราจึงถือโอกาศแก้เนื้อหาบางส่วนที่ขัดแย้งกันแล้วเอามาลงใหม่และตัดตัวละครบางตัวที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินเรื่องออกไป จึงมีเนื้อหาบางส่วนที่ไม่ตรงกับต้นฉบับที่เคยลงก่อนหน้านี้



นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับขันทีค่ะ แต่ไม่ใช่ขันทีในราชวังจีนอย่างที่เห็นกันทั่วไป

เป็นขันทีในราชสำนัขอยุธยาซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จักถ้าไม่สนใจประวัติศาสตร์ ในสมัยอยุธยามีการนำเข้าขันทีมาทำงานในราชสำนัขส่วนใหญ่จะมาจากเปอร์เซียอินเดียและจีน

แต่อาจเพราะมีจำนวณไม่มากเลยไม่ค่อยถูกกล่าวถึง และถูกยกเลิกไปในสมัยธนบุรี เนื้อหาส่วนใหญ่จึงมาจากจินตนาการของเราเอง  นายเอกของเราเป็นขันทีจากจีน เพราะเราติดสำนวณนิยายจีนค่ะ555

สำนวณเราอาจดูไม่โบราณเท่าไหร่ เพราะเราไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์อยุธยามากนัก ไม่ค่อยได้อ่านจดหมายเหตุหรือพงศ์สาวดารแต่ชอบอ่านบันทึกจากบาทหลวงฝรั่งเศสและยึดลาลูแบร์เป็นเหมือนพจณานุกรม

จุดเริ่มต้นที่ไม่หอมหวน

ในวันที่อากาศแจ่มใสข้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ลมจากแม่น้ำพัดเอือยอ่อนให้ความรู้สึกสงบ ร่างบอบบางที่เพิ่งหลุดรอดจากความตายมาได้ไม่นานเหนื่อยล้าจนไม่อยากขยับ

ในห้วงเวลาเกือบสุดท้ายของชีวิต ภาพมากมายไหลหลั่งเข้ามาในหัวข้า สุขสม เจ็บปวด คละเคล้ายากจะอธิบาย จนข้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มคิดถึงมันที่ตรงไหน

เอาเป็นตรงที่ข้าจำความได้ก็แล้วกัน ที่ที่ข้าเกิดนั้นไกลออกไปข้ามทะเลไปในที่ที่เรียกว่าแผ่นดินใหญ่ ภาพนั้นเลือนลางราวกับความฝันและไม่ค่อยปะติดปะต่อ

แม่เรียกข้าว่าฟางเอ๋อ  ในแผ่นดินนั้นมันแปลว่าอะไรตอนนี้กลับไม่ค่อยแน่ใจนัก จำได้ว่าบ้านของข้าสุขสบายแม้จะไม่แน่ใจว่าเท่าตอนนี้หรือไม่แต่ก็จำได้ว่าไม่เลว

จนกระทั่งพ่อตายจากไป ทุกอย่างก็ดูแปลกตา แม่เอาแต่นั่งร้องไห้บางครั้งกลับเหม่อลอย แต่ไม่นานก็กลับทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ข้าจำได้ว่าในบ้านมีข้าวของมากมาย กลับค่อยๆร่อยหลอไปทีละนิดในขณะที่ผู้คนก็ค่อยๆหายไปด้วยเช่นกัน เมื่อมองย้อนกลับไป ตอนนั้นแม่คงขายทุกอย่างที่มี ข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งข้าทาส

แต่สิ่งที่แม่ยังคงหวงแหนไว้คือข้ากับพี่ชาย พี่ชายเป็นคนฉลาดนั่นคือสิ่งที่ข้าจำได้เพราะใครๆก็ชมเขาเช่นนั้น ท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า มักพูดว่าเขาคงจะได้เป็นบันฑิต

บันฑิตคืออะไรตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คนเราจะเริ่มใส่ใจอะไรๆก็ต่อเมื่อกำลังจะเสียมันไปนั่นแหละ

สถานการณ์เป็นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งปู่ของข้าล้มป่วยใช้เวลาไม่นานก็สิ้นใจ ตอนนั้นเราไม่มีเงินแม้แต่จะทำศพให้ด้วยซ้ำ

ทว่าสวรรค์ดูจะยังเมตตาครอบครัวข้าอยู่บ้างแต่ก็คงชังน้ำหน้าข้าเต็มทน มีพ่อค้าทาสมาตระเวนหาเด็กผู้ชาย ให้ราคาสูงกว่าทั่วไปอยู่หลายเท่าตัว

เหล่าครอบครัวแร้นแค้นที่หวังจะมีรายได้จูงมือเด็กเอาไปขายมากมายถึงที่ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดกลับต้องจูงมือกลับแทบไม่ทัน เหลือไว้เพียงข้ากับท่านแม่และชายแก่ขอทานที่มีลูกชายติดบ้านอยู่หลายคน

ข้าจำได้ในวันนั้น แม่ส่งข้าให้นายทาสทั้งน้ำตา สะอึกสะอื้นปานขาดใจ ข้าเองก็ร้องไห้เช่นกันแม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร 

ข้าถูกนำไปตัดองค์ชาติให้เป็นขันทีคำที่เพิ่งเข้าใจได้ไม่นานก็ต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิต อาหลางเด็กชายที่ถูกขายมาด้วยกันบอกข้าว่าเราจะได้ไปอยู่ในวังกินอิ่มนอนหลับสุขสบาย

แต่ข้ารู้อะไรมากกว่าเขา ขันทีไม่ได้สุขสบาย พวกเขาไร้เกียรติและถูกเย้ยหยัน ท่านพ่อมักดูถูกพวกนั้นให้ได้ยินอยู่เสมอ

แต่ไม่นานเมื่อข้าเริ่มทำใจได้และคิดว่าทำงานในวังก็ฟังดูไม่เลวร้ายนัก ทุกอย่างกลับต้องพังทลายอีกครั้งเมื่อคนที่มารับพวกเราไม่ใช่คนจากในวัง

แต่เป็นชายต่างชาติผิวคล้ำในชุดแปลกตา ข้าได้ยินว่าเขาเป็นราชทูตจากแผ่นดินอาณารยชนย์ป่าเถื่อนที่อยู่ไกลจากกำแพงออกไป

คนร่ำรวยโง่เขลาที่ไม่รู้ราคาทาส เขายอมจ่ายให้ทุกราคาที่พ่อค้าเสนอขาย และข้าจะไม่มีวันได้เจอท่านแม่อีก อาจไม่มีวันแม้แต่ได้เห็นแผ่นดินเกิดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2019 20:19:20 โดย แมวเหมียวเขี้ยวคม »

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ชะตากรรมจะเป็นเช่นไร เราจะติดตาม เจ้าไป อิอิ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เคยอ่านนานแล้ว เรายังพอจำได้อยู่เลย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ แมวเหมียวเขี้ยวคม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
แผ่นดินแห่งใหม่

บนเรือลำใหญ่พวกเขาให้เรานอนในห้องเก็บผ้าไหมใต้ท้องเรือที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ทำ

สุขสบายจนไม่น่าไว้วางใจสำหรับชีวิตของทาสและขันที มีเพียงตะเกียงหนึ่งดวงแกว่งไปมาให้แสงสว่างในห้องที่มืดเกือบตลอดวัน

หลายวันที่เด็กหญิงข้างตัวเขาเอาแต่ร้องไห้และอ้วก ร่างผอมกอดหม้อดินที่เต็มไปด้วยอาจมแต่ก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้จนข้าเริ่มรู้สึกรำคาญ

แต่คนที่ดูท่าจะรำคาญยิ่งกว่ากลับเป็นพี่ชายที่โตพอควร เด็กชายที่เกือบจะได้เป็นหนุ่มแต่ไม่มีโอกาศ เจ้าของร่างบางสูงที่ไม่ยอมพูดอะไรตั้งแต่ขึ้นเรือมา

ข้าได้ยินใครบางคนเรียกเขาว่าเฟยจู เขาถูกตอนและขายมาเป็นคนสุดท้ายหากทำใจยังไม่ค่อยได้ย่อมไม่แปลก

แต่ใบหน้านั้นกลับเมินเฉย ราวกับไม่ว่าชะตาเลวร้ายใดก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้อีก

“เขาจะร้องไห้ไปถึงเมื่อไหร่” คำถามแรกที่ออกจากปาก ทำให้ข้านึกลำบากใจ

“ข้าไม่รู้” นั่นเป็นคำตอบเดียวที่พอจะนึกออก “คงตอนที่ได้กิน”

“ใช่! พูดถึงเรื่องกิน” เด็กหนุ่มผู้นั้นเบิกตาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้

“เจ้าเคยเห็นหมูที่เขาเลี้ยงไว้ข้างบนไหม”

“เคยๆ ข้าเห็นตอนเขาขนขึ้นมาบนเรือ” ข้าพยักหน้า อย่างออกจะมึนงง

“ข้าได้ข่าวว่าเย็นนี้เขาจะเชือดมัน ตุ๋นมาให้เรากิน” สิ้นคำ เสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงก็หยุดลง กลายเป็นความสนอกสนใจ

“จริงเหรอวันนี้จะได้กินหมูตุ๋นเหรอ”

“ใช่ เหมือนที่เมื่อวานเราได้กินข้าวกับเนื้อแห้งไง ข้าวขาวๆชามใหญ่ๆนั่นน่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยใบหน้าเริ่มเรียบเฉย

“ใช่ๆก่อนหน้านั้นข้าก็ได้เนื้อไก่” นางแทรก

“ไม่ใช่ เป็นจระเข้ต่างหาก”

“จระเข้” ใบหน้าเล็กประหลาดใจ

“ใช่ พวกเขากินได้ทุกอย่างแหละ” แย้มยิ้มหยัน เมื่อได้ล่อให้ใครบางคนติดกับ

“เจ้าว่าพวกเขาจะกินเราไหม”

“ไม่ๆ ท่านกำลังขู่ข้า” อินูน้อยที่มากับพวกเราว่า แต่ใบหน้ากลับไม่อาจปิดความตระหนกเอาไว้ได้

“คิดอย่างนั้นก็ตามใจ” อาจูเอ่ยก่อนหันมาพูดกับข้า

“คิดดูสิ พวกเราเป็นทาสกับขันที แต่อยู่ในเรือนี้วันๆไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลากินก็มีคนเอามาให้ ต่างจากหมูพวกนั้นตรงไหน”

โอ๊ก………..เสียงขย่อนของเก่าดังมาจากเด็กน้อย พร้อมสิ่งปฏิกูลที่เปรอะไปทั่วกองผ้าไหมชั้นดี

“ทำอะไร นังหมูโง่ พวกเราต้องถูกตีจนตายแน่” ร่างสูงกว่าโวยวายพลางกระชากร่างเล็กก่อนเงื้อมมือขึ้นฟาด แต่ต้องหยุดชะงัก มือหนาของชายผิวดำที่ปราดลงมาจากบันไดคว้ามือของอาจูไว้ได้ก่อน

“ไม่ใช่ข้านะ ไม่ใช่ เป็นนังทาสนั่นต่างหาก” ร่างผอมบางโวยวายพลางชี้มือไปทางเด็กหญิงที่หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ร่างหนาปราดสายตามองพวกเราเพียงครู่ส่งความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วไขสันหลัง

ก่อนที่เสียงโวยวายจะค่อยๆเงียบหายไปพร้อมกับร่างของเฟยจูที่ถูกถูลู่ถูกังขึ้นข้างบน ทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นของสองร่างที่เหลืออยู่

เกือบๆสี่ถึงห้าเดือนที่พวกเขาไม่ได้เห็นอาจูอีก หลังจากชะตากรรมในวันนั้นของอาจู ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นในใจให้อาเหวินขึ้นอีกหลายส่วน

บางทีเด็กหญิงก็ละเมอโวยวายขึ้นกลางดึกพูดว่าวิณญานของอาจูจะมาเล่นงานตน หนำซ้ำยังเริ่มถามอะไรแปลกๆ

เช่นเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว หลังจากข้าวกับเนื้อแห้งถูกส่งลงมาข้างล่าง อาเหวินเอาแต่จ้องมันอยู่นานก่อนจะหันมาพูดกับข้าว่า

“เจ้าคิดว่านี่เป็นอาจูหรือเปล่า” พลอยทำให้หมดความเจริญอาหารเอาเสียดื้อๆ

จวบกระทั่งวันที่หน้าหวาดหวั่นที่สุดมาถึง เมื่อเสียงฝนที่ซัดสาดลงมาพร้อมกับประตูที่เปิดจากด้านบน ชายผิวดำร่างยักษ์ลงมาลากพวกเราขึ้นไป

ร่างกายของพวกเราดูราวกับลูกแมวที่สั่นเทาเมื่อถูกล้อมไว้ด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ บ้างผิวคล้ำ ผิวดำ จนไปถึงชายชาวต้าชิงเช่นเดียวกันกับข้าและอาเหวิน

ไม่ไกลนักร่างสูงบางของอาจูที่เราคิดว่าตายไปแล้วเดินก้มหน้าฝ่าสายฝนตามชายผิวคล้ำที่เป็นคนไปซื้อเรามาท่าทางดูไม่ได้เดือดร้อน กลับอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นนิดหน่อย

เสียงพูดคุยด้วยภาษาที่เราไม่เข้าใจดังอื้ออึงไปทั่ว สิ่งที่เราได้เห็นคือท่าเรือที่คับคั่งไปด้วยชายหญิงจากหลากหลายชาติพันธุ์

สำเภามากมายหลายลำหลายรูปทรงจอดเทียบท่าตลอดแนวความยาวของทะเล บางลำดูเหมือนจะมาจากตะวันตกไม่ต่างจากเมืองท่าที่เทียนจิน

ชายผิวคล้ำที่ดูจะเป็นนายเรียกพวกเราให้ตามลงจากเรือ สินค้ามากมายถูกขนตามลงมาทีหลังโดยจับกังเปียยาวชาวชิง

ทุกคนทำงานอย่างขมักขเม่นท่ามกลางสายฝนเพื่อลำเลียงของลงสู่เกวียนที่มารอรับ เราเดินทางกันต่อลงสู่เรือที่แล่นขึ้นไปตามแม่น้ำสายหนึ่ง 

เมื่อได้นั่งสงบจิตสงบใจ เหวินเอ๋อก็เริ่มร้องไห้คล่ำครวญจับไม้จับมืออาจูที่พยายามสะบัดออกด้วยความรำคาญ

“พี่จู พี่จู ข้านึกว่าท่านตายไปเสียแล้ว” เด็กน้อยโอยโอด ในขณะที่ร่างสูงกว่าหันมาถลึงตาใส่

“ถ้ารู้ว่าท่านยังไม่ตาย ที่ไหนจะทิ้งเนื้อดีๆพวกนั้นไปหลายส่วน ฮือ อือ” คนคล่ำครวญยังคงไม่ยอมสงบปาก ในขณะที่ความอดทนของผู้ฟังขาดผึ่ง

“ใช่ ใช่ ถ้าข้าตาย จะเป็นผีตามจองล้างจองผลาญเจ้าไม่ให้ได้อยู่เป็นสุข” คนที่เกือบเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเด็กหนุ่มตะคอก

“พี่จู ท่านรู้ไหมว่าเราจะไปที่ไหนกัน” ข้าถามด้วยอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

“ข้าไม่รู้ แต่ได้ยินพวกเขาเรียกที่นี่ว่ามะละกา เป็นแค่เมืองท่า อาณาจักรจริงๆต่อเรือเล็กเข้าปากแม่น้ำไปอีกเกือบๆสามวัน”

เป็นจริงอย่างที่อาจูว่า หลังจากล่องเรือเข้าปากแม่น้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลสีขุ่นขลั่กกับแม่น้ำสายใหญ่ ก่อนเทียบท่าเพื่อเอาสินค้าไปไว้ที่โรงเก็บ

ชายผิวคล้ำผู้เป็นนายพาเราลงเรือเล็กล่องแม่น้ำต่อไปใช้เพลาเกือบสองวัน ก่อนเลี้ยวไปตามคลองที่แตกสาขาออกมาจากแม่น้ำสายหลัก

ซอกแทรกสายน้ำแคบๆที่ทุกหัวมุมมักมีท่าเรือไม้เล็กๆปรากฏอยู่ตลอด เป็นเครื่องหมายบอกว่าอาณาจักรแห่งนี้ผู้คนใช้สายน้ำแทนถนน 

ในที่สุดเรือน้อยก็เล่นเข้าเทียบท่าน้ำ หญิงวัยกลางคนถือตะเกียงมารอรับเจ้านายผิวคล้ำ

หล่อนใช้ผ้าผืนหนึ่งพันไว้รอบอกนุ่งผ้าหขมวดปมแล้วตลบชายขึ้นให้มีรูปทรงคล้ายกางเกงแขก ใส่เครื่องประดับทองชิ้นเล็กและก้าวมวยผมเพื่อบอกฐานะที่ต่างจากคนอื่นๆ

เบื้องหลังเป็นกลุ่มชายร่างใหญ่ผิวคล้ำเปลือยอกสักลวดลายสีเขียวไปทั้งตัว นุ่งผ้าที่ขมวดปมเช่นกันแต่ชายผ้านั้นสั้นจนรั้งขึ้นไปให้เห็นน่อง

พวกเขาขมีขมันมารับสัมภาระจากคณะเดินทางทันทีโดยแทบไม่ต้องออกคำสั่ง ชายผู้ซื้อเรามาพูดอะไรบางอย่างกับนายหญิงที่รออยู่

เธอหันไปบอกสาวใช้ร่างใหญ่ผมสั้นเกรียนข้างตัว เจ้าหล่อนก็มาจูงเราทั้งสามให้ตามไป

เดินขึ้นจากท่าน้ำไม่ไกลก็พบบ้านไม้หลังใหญ่ที่ลอยขึ้นเหนือพื้นดินด้วยเสาไม้หลายต้น ให้ความรู้สึกไม่มั่นคงอย่างประหลาด แต่เธอไม่ได้ให้เราขึ้นไปบนนั้นกลับจูงเราลัดเลาะไปด้านหลังแทน

ข้างหลังไม่ไกลจากริมน้ำมีกระท่อมกว้างใหญ่พอสมควรข้างฝาของมันสานขึ้นจากไม้ไผ่ที่ตอกเป็นเส้นยาวขัดกันยึดไว้ด้วยเสาทั้งสี่ข้างในเป็นแคร่ไม้ไผ่และหมอนมุ้ง

หญิงสาวจากไปพร้อมลากอาเหวินแยกไปด้วยทิ้งเราสองคนไว้ในกระท่อมที่กันลมแทบไม่ค่อยได้ ทว่าลมที่นี่กลับให้ความรู้สึกอุ่นไม่เย็นบาดผิวเหมือนที่ที่จากมา

เราจึงจับจองแคร่แล้วล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า จวบจนใกล้รุ่งสางเมื่อแสงแดดยังเป็นเส้นสีชมพูตรงขอบฟ้ายังไม่ถึงเพลาเช้านักหญิงคนเดิมก็มาปลุกเราให้ตื่น

พวกข้าลุกตามอย่างว่าง่ายด้วยหวังว่าจะมีงานให้ทำกันเสียทีแต่สิ่งที่พบกลับเป็นหญิงสาวกลุ่มใหญ่ พวกหล่อนยืนล้อมรอบม้านั่งเตี้ยๆสามตัวที่ต่อขึ้นจากแผ่นไม้อย่างลวกๆที่ริมน้ำ

ในมือมีสิ่งที่ดูเหมือนกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ขนาดย่อมๆ พวกเราถูกแก้ผ้าแล้วจับให้นั่งลงบนม้านั่ง ก่อนเสียงดังฉับจะดังเฉียดหูพาให้สะดุ้งโหยง

เส้นเปียยาวสองเส้นหนึ่งคือที่ข้าเฝ้าถนอมมาตั้งแต่จำความได้ ลงไปกองอยู่กับพื้นดูไม่ต่างจากงูที่สิ้นฤทธิ์ พวกข้ามองหน้ากัน

แววตาที่ปกติเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันของอาจูบัดนี้ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว

น้ำถังใหญ่ก็ถูกราดลงมาเหนือหัวของพวกเราตามด้วยเสียงแกรกกรากของคมมีดโกนที่กวาดผ่านผมทุกเส้นที่เหลืออยู่ ตอนนี้พวกข้าดูไม่ต่างจากพระในวัด แม้อยากจะร้องโวยวายก็คงไม่ทัน

หลังจากขัดทุกซอกทุกมุมไม่ต่างจากไก่ที่ถูกถอนขนแล้วเอาไปล้าง ผ้าผืนใหญ่ก็ถูกนำมาโพกไว้บนหัวของข้า

ตามมาด้วยการนุ่งผ้าถลกชายขึ้นเหน็บไว้ที่ด้านหลัง ผูกผ้าลายตารางคาดไว้ที่เอว แล้วปิดท้ายด้วยเสื้อแขนยาวคอปาด สภาพดูคล้ายพวกพ่อค้าอาหรับที่ท่าเรือ

เจ้านายผิวคล้ำคนเดิมเดินมาดูพวกเราอย่างพึงพอใจ ก่อนที่หญิงสาวจะพาเรากลับที่พัก เตรียมข้าวกับปลาแห้งไว้สามจานกับน้ำขันใหญ่

เมื่อกินหมด เจ้านายก็เรียกให้ออกไปแล้วออกคำสั่งบางอย่างพวกเราจึงถูกจูงให้ลงไปในเรืออีกครั้งโดยมีผู้เป็นนายนั่งตรงหัวเรือมีทาสชายร่างยักษ์พายอยู่ตรงท้าย

เรือลำน้อยล่องไปตามลำน้ำออกสู่แม่น้ำสายใหญ่อีกครั้งก่อนจอดเทียบท่า พวกเขาขึ้นจากเรือโดยปล่อยให้ทาสชายนั่งเผ้าเรือไว้อย่างนั้น 

เบื้องบนพื้นที่โล่งกว้าง เป็นตลาดที่รวบรวมพ่อค้าแม่ค้าชาวพื้นเมืองและต่างชาติที่หลากหลายที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยเห็นมา

บ้างเสนอขายพับผ้า ถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ เครื่องประดับและน้ำหอม ไปจนถึงขนมและหมากผลพื้นเมือง แต่ผู้เป็นนายกลับไม่แวะดูแม้แต่น้อย

เขาเดินตรงดิ่งลัดตลาดไปที่กำแพงอิฐสูงฉาบปูนขาว เบื้องหลังกำแพงปรากฏสิ่งก่อสร้างยอดแหลมสีทองส่องประกายอยู่ลิบตา

ชายวัยกลางคนสนทนากับยามเฝ้าประตูซักพัก แล้วนำเด็กทั้งสองเดินผ่านประตูเข้าไป ภายในกำแพงประกอบไปด้วยหมู่ตึกยอดสามเหลี่ยมสร้างเรียงกันเป็นกลุ่ม

พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐแดงผ่านกำแพงสองถึงสามชั้น

ก่อนหยุดที่หน้าประตูทางเข้าซึ่งมีทหารแขกที่ถ้าหากมองว่าทาสหนุ่มเฝ้าเรือนั้นเป็นยักษ์ชายผิวดำทั้งสองตรงหน้าคงเป็นขุนเขา

เจ้านายผิวคล้ำกระซิบบางอย่างก่อนหนึ่งในสองคนนั้นจะหายเข้าไปเบื้องหลังหลังกำแพง แล้วกลับออกมาพร้อมกับชายชราท่าทางแข็งแรงและเด็กหนุ่มที่โตกว่าอาจูซักสี่ถึงห้าปี

ทั้งสองแต่งกายคล้ายพวกเขา จะต่างก็ตรงผ้าที่ทำจากไหมชั้นดีทอลวดลายละเอียดยิบ ผ้าโพกผมของเด็กหนุ่มมีแผ่นเงินทรงกลมดุนลายประดับด้วยหินสี

ที่ข้างเอวห้อยพวงหางจิ้งจอกยาวถึงเข่าแกว่งไปมา ใบหน้างามผิวขาวจัด นัยน์ตาสีอ่อนชวนฝัน รับกับจมูกโด่งได้รูป บ่งบอกว่ามีเชื้อสายมาจากดินแดนของพวกตะวันตก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ แมวเหมียวเขี้ยวคม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ลมหอมจากฝ่ายใน

ในมือของเด็กหนุ่มปรากฏถาดใบหนึ่งวางถุงผ้าสีแดงใบใหญ่ไว้สองถุง เขาพูดกับเจ้านายผิวคล้ำสองสามคำก่อนยกถาดใส่ถุงผ้ายื่นให้อย่างนอบน้อม

ชายผิวคล้ำยิ้มก่อนหยิบถุงทั้งสามใบท่าทางพึงพอใจ เสียงกรุกกริกที่ได้ยินบ่งบอกว่าข้างในถุงผ้าคงเต็มไปด้วยเหรียญเงินตราหรือโลหะที่มีค่าในอาณาจักรแห่งนี้

เราถูกทิ้งไว้กับคนแปลกหน้าอีกครั้ง ชายชราเรียกเราให้ตามเข้าไปในประตูที่มีชายผิวดำคอยเฝ้า เราตามเข้าไปสู่เส้นทางที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันตกเลียบไปกับกำแพงที่เจาะช่องไว้สำหรับวางตะเกียงแบบอาหรับ

ข้างทางปลูกไม้ยืนต้นให้ร่มเงาทางทิศเหนือมีคลองสายเล็กๆมีเรือนไม้ยกพื้นคล้ายที่เขาเห็นเมื่อครั้งมาถึงครั้งแรกแต่มีรายระเอียดงดงามกว่าปรากฏอยู่เป็นระยะ

เมื่อเดินได้ซักพักชายชราก็หยุดเพื่อแวะตรงตะพานข้ามคลองพบกับหญิงกลางคนร่างอวบหล่อนห่มผ้าไหมที่ตวัดพาดไปทางไหล่ขวานุ่งผ้าทอลายคาดไว้ด้วยเข็มขัดโลหะลงยา

ปราดตามองพวกเราทั้งสามก่อนพูดอะไรซักอย่างแล้วดึงอาจูแยกออกไป

ชายชราเรียกข้าที่มองตามไปจนสุดสายตาอย่างหวั่นใจที่ต้องเห็นสหายร่วมทางที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวถูกจับแยกออกไป ทิ้งข้าไว้กับเด็กหนุ่มที่ยังคงเดินไปจนสุดกำแพงทิศตะวันตก

ก่อนที่ข้าจะมายืนอยู่หน้าบ้านไม้ยกพื้นที่ดูคล้ายบ้านเล็กๆสามหลังตั้งเรียงกันไว้บนพื้นไม้ที่ถูกยกสูง

“ล้างเท้าก่อนขึ้นมาด้วยล่ะ” ข้าต้องประหลาดใจเมื่อเขาบอกเป็นภาษาของข้า ก่อนหยิบกะลาที่มีด้ามจับตักน้ำจากตุ่มใบเล็กๆข้างบันไดราดเท้าแล้วเดินขึ้นบ้านไป

ข้าทำตามอย่างว่าง่ายแม้หวั่นใจว่าไม้ที่ปูพื้นอยู่จะทะลุลงไปหรือไม่ บนเรือนไม้ห้องแรกที่ข้าได้เห็นตู้ไม้ปิดทึบไปจนถึงตู้ลิ้นชักวาดลวดลายตั้งตลอดแนวผนังด้านซ้าย

บนผนังด้านในแขวนไว้ด้วยพัดด้ามยาวหลากหลายรูปทรงและธงผ้าสีสันต่างๆแนวผนังด้านขวามีหีบไม้วางไว้หลายหีบ ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้เตี้ยๆวางบนพรมทอลวดลายแบบแขก

เด็กหนุ่มเปิดประตูติดผนังด้านซ้ายเพื่อพบกับทางเดินแคบๆที่เชื่อมไปยังอีกห้องภายในมีมุ้งสี่สายผูกไว้สองหลัง ผนังห้องข้างมุ้งด้านขวายังมีที่ว่างพอให้วางตู้และหีบไม้โต๊ะเครื่องแป้งที่ฝุ้งไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมตั้งไว้ตรงหัวมุม

ร่างสูงหันมามองเขาหัวจรดเท้าก่อนถอนใจ

“ข้าคิดว่าเขาจะหาขันทีชาวเปอร์เซียมาได้จากแถวๆมะริด” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ ก่อนเอ่ยต่อ

 “ที่นี่เรียกว่าเรือนเครื่องสูง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะนอนกับข้าที่นี่มีหน้าที่เก็บที่นอนหมอนมุ้งอยู่ในสภาพที่เห็นนี้ทุกเช้า กวาดถูเรือนทั้งหมดให้สะอาดยกเว้นเรือนหลังขวาข้าจะดูแลเอง หลังเรือนลงบันไดไปเจ้าจะเจอตุ่มห้าตุ่มด้านซ้ายข้าไม่ให้เจ้ายุ่งจนกว่าข้าจะสั่งแต่จะมีตุ่มสิบตุ่มอยู่ด้านขวาสามารถใช้อาบใช้กินได้ ถ้าวันไหนเจ้าเห็นว่ามันพล่องไปมากแล้วยังไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกให้ไปสุดคลองที่อยู่ทางทิศเหนือจะมีประตูที่กำแพงเปิดออกไปเป็นท่าน้ำ เจ้าสามารถใช้ทำธุระหรือตักน้ำมาเติมให้เต็มตุ่มแล้วเปิดฝาทิ้งไว้จนกว่ามันจะตกตะกอน แต่ถ้าวันไหนที่มีฝนตกก็ให้เปิดฝาปล่อยให้น้ำล้นจนน้ำฝนเข้าไปแทนเพราะที่นี่น้ำฝนคือน้ำที่สะอาดที่สุด เดินเลียบไปทางทิศตะวันตกของคลองถึงเขตุสระแก้วมีตำหนักสวนองุ่น ด้านหลังเป็นห้องเครื่องเจ้าสามารถไปเบิกอาหารได้และเจ้าต้องเตรียมอาหารไว้ให้ข้าสามมื้อไม่ว่าข้าจะกลับมากินหรือไม่”

“เอ่อ….แล้ว คนอื่นๆล่ะขอรับ” ข้าเอ่ยถามอย่างลังเล

“ดี อย่างน้อยเจ้าก็ถามอะไรบ้าง ข้านึกว่าเจ้าจะก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งเป็นอย่างเดียว” เด็กหนุ่มเอ่ย

“ที่นี่มีขันทีอยู่เจ็ดตำแหน่ง ชายแก่ที่ออกไปรับพวกเจ้า คือ ออกพระศรีมโนราชภักดีศรีปรัยวัล เป็นหัวหน้าของพวกเราทั้งหมด หลวงศรีมโนราชภักดีศรีองค์เทพ หลวงศรีมโนราชภักดีศรีเทพรักษา  หลวงเทพชำนาญภัคดีศรีเทพรักษา ส่วนข้าหลวงราชาชานภักดี  อีกสามตำแหน่งเป็นพวกผิวดำที่เจ้าเห็นเฝ้าประตูฝ่ายในคือ ปลัดจ่านุชิต ปลัดพิพิต ปลัดมระกฏ ”

“มีแค่นี้หรือขอรับ”

“แล้วก็มีพวกเจ้าเข้ามาเป็นผู้ช่วยอีกสองคนส่งไปตำหนักพระมเหสีห์หนึ่งคน” เด็กหนุ่มเอ่ย

“เจ้าคิดว่าพวกเราราคาเท่าไหร่กัน” ใบหน้างามนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ปนขบขัน

“คนที่นี่น่ะ ไม่มีใครยอมเป็นขันทีหรอก พวกเขาเชื่อว่าหากถูกตอนเป็นขันทีแล้วจะไม่สามารถเข้าถึงหลักธรรมขั้นสูงของพวกเขา และไม่ได้รับอนุญาติให้เป็นนักบวชในศาสนาไม่สามารถจะเรียนหนังสือกับพระของพวกเขาได้ ในเพลาเดียวกัน หากเจ้าตอนใครให้เป็นขันทีชาติหน้าก็จะต้องเกิดเป็นวัวเป็นควายให้เขาตอน ขันทีที่นี่จึงถูกซื้อหรือเป็นของกำนันจากต่างชาติ เป็นสมบัติราคาแพงที่มีแต่กษัตริย์และพระมเหสีเท่านั้นที่ครอบครองได้ แม้ในยุคที่มั่งคั่งที่สุดก็ไม่เคยมีขันทีเกินสิบคน”

เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนเอ่ยตัดความ

 “ข้าต้องไปแล้ว ทำงานตามที่สั่งไว้ด้วยล่ะ”

“เดี๋ยวขอรับ” ข้าพลันนึกอะไรออก “ให้ข้าเรียกด้วยชื่อนั้นหรือขอรับ” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก

“ลวง รา ชา ชาน”

“อัคนัส เรียกข้าว่าอัคนัส” ใบหน้างามตอบอย่างเสียมิได้

“เจ้าล่ะชื่ออะไร”

“ฟางเอ๋อ ขอรับ” ข้าเอ่ยออกไปแต่เขาแทบไม่อยู่รอฟังด้วยซ้ำ


   หลังจากนั้นวันเวลาของข้าก็ดูจะสงบสุขดีมีอาหารประหลาดๆชวนให้แปลกใจสามมื้อและงานก็ไม่ได้ล้นมือนัก

อัคนัสมักตื่นตั้งแต่เช้าอาบน้ำแต่งกลิ่นหอมฟุ้งประดับประดาเครื่องประดับและเหน็บมีดสั้นออกไป กลับมาหลังบ่ายรีบกินอาหารที่เตรียมไว้

แล้วออกไปกว่าจะกลับมาอีกก็ตอนฟ้ามืด จะมีนานๆครั้งที่เขาว่างเกือบทั้งวัน ครั้งหนึ่งเขากลับมาพร้อมกับกระดานที่ทำจากหินฉนวนสีดำแท่งดินสอพองและตำราเขียนอักษรอีกหนึ่งพับ สอนข้าให้อ่านออกเสียงแล้วบอกว่าจะกลับมาสอบตอนที่ว่าง

เทียบกับขันทีที่อยู่เรือนเครื่องเทศที่หลังพระตำหนักสวนองุ่นซึ่งเป็นที่ประทับของพระธิดาของพระมหากษัตริย์แล้ว การที่ต้องหัดตวงเครื่องเทศให้ได้ปริมาณที่ถูกต้องทั้งวันงานของข้ากลับดูไม่น่าเบื่อซักนิดเดียว

ในกรมนักเทษขันทีภาษาที่ใช้มีอยู่หลายภาษา หลักๆคือภาษาไทยสยาม อินเดีย อาหรับ มีงานบางอย่างที่ใช้ภาษาโปรตุเกสและภาษาบ้านเกิดของข้าเอง

และการได้มาอยู่กับอัคนัสที่พูดชิงได้นั้นต้องเรียกว่าสวรรค์คงเห็นว่ารังแกข้ามามากพอแล้ว หลังจากได้ตำรามาพับหนึ่งข้าก็ใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการคัดอักษรและหัดอ่านออกเสียงไปพลาง

ไม่นานก็ทำได้คล่องจนน่าภูมิใจแต่อัคนัสก็ไม่เคยมาสอบข้าซักที จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากกลับมาช่วงบ่ายอัคนัสสั่งให้ข้าไปขอเทียนร่ำและกำยานจากนางกำนันที่ตำหนักท้าวศรีสุดาจันทร์มาไว้อบร่ำธงพัดและเครื่องบังเพื่อกันแมลง 

พี่หัวหน้านางกำนันนึกเอ็นดูข้าเลยชวนให้ไปเที่ยวหลังตำหนัก ข้าเห็นว่าการได้พูดคุยกับพวกนางเป็นการฝึกภาษาที่ได้ร่ำเรียนมาไม่ถือว่าเป็นการเหลวไหลนัก

หลังจากให้พวกนางจับไปอุ้มเล่นเป็นตุ๊กตาจนพอใจ เมื่อข้ามีท่าทีสนอกสนใจพวกนางก็ปล่อยให้ข้าช่วยทำเครื่องหอมที่พวกนางทำอยู่กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืด

แม้จะแบ่งบุหงารำไปมาได้หลายถุง ก็ต้องแลกกับการโดนอัคนัสเฆี่ยนเสียหลายไม้ถึงอย่างนั้นหากว่างเว้นจากงานแล้วยังไม่นึกจะทำอะไรก็จะกลายเป็นคนขี้คล้านเอาได้

ข้าเห็นว่าอัคนัสเกลียดคนขี้คล้านนักจึงแอบไปตำหนักนั้นช่วยพวกนางควั่นเทียนอบดอกไม้ทุกครั้งที่มีโอกาศ

ผู้คนในฝ่ายในของอาณาจักรนี้โดยเฉพาะสตรีตั้งแต่ชนชั้นสูงจนถึงนางกำนันดูจะหลงใหลในกลิ่นเครื่องหอมกันนักจะเห็นได้จากในนิทานคำกลอนบทกวีที่มักบรรยายถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ที่อบอวนออกมาจากร่างกายของผู้หญิง

และเพราะพวกเขามีเวลาว่างพอให้อาบน้ำได้ถึงวันละสามครั้งทำให้กลิ่นเฉพาะนั้นถือเป็นเสน่ห์มากพอๆกับการมีรูปโฉมที่งดงาม

และเมื่อตัวข้าเต็มไปด้วยกลิ่นบุหงากำยานและควันเทียนอัคนัสก็รู้ว่าข้าออกจะว่างเกินไป จึงใช้วันหยุดนานครั้งเริ่มสอนให้ข้าซักและอบผ้าไหมที่เขาหวงนักหวงหนา รวมถึงขัดเครื่องเงินทองเหลืองซ่อมธงผ้าพัดและเครื่องสูง 

วันหนึ่งอัคนัสพาข้าไปที่ตลาดน้ำติดกำแพงฝั่งตะวันตกของฝ่ายใน โดยทะลุออกไปทางวัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งเป็นทางที่พวกข้าเข้ามาในวันแรกก่อนล่องเรือไปตามคลองด้านซ้ายไม่ไกล

ด้วยมีกฏว่านางกำนันและขันทีห้ามออกไปไกลจากฝ่ายในเกินด่านขนอนที่นี่จึงเป็นที่เดียวที่เราพอจะหาซื้อของได้ตามใจชอบ อัคนัสให้เบี้ยหวัดข้าเป็นถุงผ้าถุงเล็กๆสีแดงหนึ่งถุง ข้างในมีโลหะตอกเป็นก้อนปั้มตราตรงส่วนโค้งใช้เป็นเงินตราของอาณาจักรนี้

พวกพ่อค้าต้อนรับเราเป็นอย่างดีเพราะเบี้ยหวัดของขันทีมากพอๆกับขุนนางชั้นกลาง มีอาหารและที่พักที่พระราชทานจากฝ่ายใน ไม่มีครอบครัวทั้งจากอดีตและในอนาคต

ไม่ว่าจะเก็บสะสมทรัพย์สินไว้เท่าใดตายไปก็ต้องคืนให้ท้องพระคลังอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ขันทีจึงเป็นพวกที่ใช้จ่ายได้โดยแทบไม่ต้องคิด

ข้าตั้งใจหาซื้อช้อนที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ โดยปกติแล้วชาวอโยธยามักใช้มือเปิบข้าวทว่าก็ยังมีมารยาทเล็กน้อยพอเป็นธรรมเนียม

เช่นที่อัคนัสมักสอนให้ข้าหยิบอาหารโดยไม่ให้เลอะเกินสามนิ้ว หรือล้างมือในขันเล็กๆที่เตรียมไว้ให้ก่อนเช็ดมือให้สะอาดทุกครั้งหลังกินข้าวเสร็จ

แต่ถึงอย่างไรนิ้วมือทั้งสามก็ไม่อาจตักน้ำแกงได้และข้าก็ไม่กล้าเสี่ยงถือวิสาสะใช้ของส่วนตัวของอัคนัส

ในตลาดนี้มีช้อนตักน้ำแกงหลากหลายแบบ ตั้งแต่ช้อนกระเบื้องเคลือบวาดลวดลายจากจีนช้อนหอยกาบที่มีด้ามจับทำจากไม้ฝังลายมุกไปจนถึงช้อนกะลามะพร้าวขัดมันข้าจึงซื้อทุกอันที่กล่าวไป

ข้ากลับมาเจออัคนัสตรงจุดนัดพบ เขาอวดอะไรบางอย่างกับข้ามันเป็นขวดแก้วเป่าลายขนาดกลางข้างในบรรจุน้ำสีอำพันเอาไว้ เมื้อเปิดออกกลิ่นหอมของมันก็กำจายติดจมูก

“น้ำกุหลาบ ข้าสั่งซื้อมาจากพ่อค้าอินเดียตั้งแต่ปีที่แล้ว” เขาว่า
 
“ข้าไม่มีทางแบ่งให้เจ้าเด็จขาด” ใบหน้างามนั้นเอ่ยอย่างรื่นรม

แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่ได้คิดติดใจ ด้วยรู้ว่ามันเป็นแค่การโอ้อวดอันเป็นนิสัยของอัคนัสเพราะถ้าหากอัคนัสผู้จู้จุกจิกทุกครั้งที่ข้าซักผ้าไหมคิดจะแบ่งน้ำกุหลาบมาให้ข้าจริงๆล่ะก็ วันนั้นคงเป็นวันสุดท้ายก่อนโลกจะล่มสลายแน่ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2019 16:06:54 โดย แมวเหมียวเขี้ยวคม »

ออฟไลน์ แมวเหมียวเขี้ยวคม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ลมฝน

เวลาของข้าในฝ่ายในดูจะผ่านไปเร็วอย่างประหลาด อาจเป็นเพราะในดินแดนแห่งนี้มีเพียงสามฤดูเท่านั้นฤดูกาลจึงผันผ่านและวนกลับมาใหม่เพียงไม่กี่อึดใจ

ในเดือนหกปีที่สี่ของข้าหลังวุ่นวายกับพิทธีเข้าพระวษาที่ผ่านไปได้ไม่นาน  ช่วงเพลาที่ข้าหลงนึกไปว่าชีวิตคงเป็นเหมือนนิทานในตอนจบที่จะสงบสุขเรื่อยไป

ข้าน่าจะรู้ว่าที่ผ่านมาสวรรค์ไม่ได้เมตตาข้าถึงเพียงนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นในวันที่ฝนตกหนัก หยดน้ำสะอาดที่ร่วงลงจากฟากฟ้าเรียกให้ข้าต้องลงจากเรือนเพื่อไปเปิดฝาโอ่งรับน้ำฝนที่รินมาจากชายคา

น้ำในตุ่มด้านซ้ายซึ่งใช้ในงานพิธีพล่องลงไปมากและเพราะมันต้องเป็นน้ำฝนสะอาดเท่านั้นข้าจึงไม่อาจปฏิเสธแม้จะเกียจคร้านซักเพียงใด ในขณะที่ตุ่มด้านขวาก็ต้องการน้ำสะอาดสำหรับใช้ดื่มกิน

ข้าตระเตรียมผ้าที่เก็บไว้ของทั้งข้าและอัคนัสเพื่อมาซักกลางสายฝน ด้วยผ้าเนื้อดีสีสดหากซักด้วยน้ำคลองจะเก่าเร็ว ดูท่าหากฝนจะตกนานคงต้องหาเสี้ยวกะลามะพร้าวมาขัดชานเรือนด้วยเสียเลย

ท่ามกลางม่านสายฝนที่ซัดสาดข้าเห็นร่างเล็กเลือนรางกลางสายฝนวิ่งมาจากตะพานทางทิศตะวันออกดูรีบร้อนคล้ายกำลังหนีใครมา

ร่างนั้นหลบเข้าไปในไม้พุ่มหนึ่งเพียงไม่กี่อึดใจก็มีนางกำนันราวสามถึงสี่คนมาด้อมๆมองๆหาก่อนผละไป อันที่จริงข้าไม่ควรจะยุ่ง แต่ร่างเล็กเปียกซกที่คลานออกมานั้นยากที่จะละสายตา ข้าจึงเดินฝ่าสายฝนออกไป

“อย่ามายุ่งกับข้า” เสียงแหลมเล็กตะโกน ใบหน้าน้อยๆขึ้นสีแดงเรื่อ ข้าหันซ้ายแลขวาก่อนตะโกนตอบกลับ

“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจะไปที่ใดขอรับ” ใบหน้าน้อยนั้นเบ้อย่างครุ่นคิด ก่อนถามกลับ

“ทางออกไปทางทางใด” ข้าเข้าใจว่าร่างเล็กนั้นคงเป็นนางในที่เพิ่งเข้ามาใหม่ 

ในทุกๆปีเด็กสาวลูกผู้รากมากดีและพ่อค้ามั่งคั่งที่พอจะมีเส้นสายจะถูกส่งเข้ามาเป็นนางในหรือก็คือนางกำนัลชั้นสูงเพื่อเรียนรู้ศิลปะงานบ้านงานเรือนและมารยาทในวัง

ด้วยความหวังของครอบครัวว่าในอนาคตพวกนางจะถูกยกให้ไปเป็นภรรยาเอกของขุนนางหรือจ้าวนายที่เหมาะสม หรือกลายไปเป็นพระสนมนางห้าม

ต่างจากขันทีอย่างพวกเขาที่ไม่มีที่ไหนให้กลับ นางในต้องจากบ้านอันคุ้นเคยที่มีแต่คนคอยเอาอกเอาใจมาใช้ชีวิตใต้กฎเกณฑ์ในวัง ย่อมมีบ้างที่ไม่เต็มใจแต่พออยู่ไปพวกนางก็จะชิน

“ไปทางนู้นขอรับ” ข้าชี้มือออกไปตามความเป็นจริงแต่ก็มิวายกล่าวเสริม

“แต่ถ้าคุณหนูคิดจะออกไป ต้องผ่านขันทีแขกยามตัวใหญ่ๆไปนะขอรับ ว่ากันว่าถ้าใครล้ำเขตุเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาตจะโดนหักแขนหักขาแล้วก็ผ่าหน้าอก แต่ถ้าออกไปข้าก็ไม่รู้ว่าจะโดนเหมือนกันหรือเปล่า” ครู่หนึ่งหน้าน้อยๆนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด

แต่ทว่าเสียงตะโกนเรียกไม่ได้ศัพท์ของนางกำนันสาวที่ดังมาแต่ไกลทำให้ร่างเล็กนั้นรีบวิ่งไปทางเรือนเครื่องสูง

ข้าซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัวรีบหันหลังตามร่างเล็กที่ไวปานปรอท ท้าวเล็กๆก้าวขึ้นไปบนเรือนอย่างถือวิสาสะทิ้งรอยเท้าเฉอะแฉะไว้ตามพื้นห้องกลางแล้วย่ำไปบนพรม

“คุณหนูขอรับ ขึ้นมาไม่ได้นาขอรับ” ข้าวิ่งไล่ตามร่างนั้นอยู่นาน

จนเมื่อคิดได้ว่าต้องจัดการกับผ้าก่อนที่ฝนจะหยุดจึงทิ้งร่างเล็กไว้แล้วออกมา อย่างไรเสียก็คงต้องถูพื้นใหม่อยู่แล้ว ประตูที่เชื่อมห้องต่างๆก็ปิดไว้ปล่อยเด็กนั่นไปซักพักจะเป็นไร

ข้าตลบเอาผ้าปูที่นอนและผ้าใหม่ใส่ถังออกไปรับน้ำฝนที่หน้าเรือนผสมด่างขี้เถ้าแล้วลงไปย่ำหนักๆ ซักพักร่างเล็กก็ออกจากเรือนมาดู

นัยน์ตาสีดำกลมโตคล้ายลูกปัดจ้องมองอย่างสนอกสนใจอยู่นานก่อนเดินย่ำเท้าตามออกมาเหมือนจะล้อเลียน ข้าจึงยกร่างเล็กนั้นเข้ามาไว้ในถัง

“หากจะย่ำแล้วก็ลงมาย่ำด้วยกันเป็นไร”  เด็กน้อยย่ำกองผ้าไปอย่างนึกสนุก ข้าจึงได้ผู้ช่วยเพิ่มมาอีกคน

“เอ็งชื่อกระไร” เสียงเล็กถามเจื้อยแจ้ว

“ฟาง ขอรับ”

“ฟางข้าวนะหรือ” ใบหน้าน้อยถามต่อ

“ไม่ใช่ขอรับ เปนภาษาอื่น เรียกฟางเอ๋อเถอะขอรับ”

“ภาษากระไร” ดูท่าปากเล็กๆนั่นจะไม่ยอมหยุดถามง่ายๆ

“ฮั่นขอรับ ฮั่นที่เป็นภาษาจีน”

“แล้วแปลว่ากระไร”

“ไม่รู้ขอรับ ลืมไปแล้ว” ข้าตอบอย่างสัจจริง ด้วยสามปีหลังมานี้อัคนัสเริ่มพูดภาษาไทยกับข้ามากขึ้นจนนานวันกลับหลงลืมคำบางคำในภาษาของตน

“แล้วคุณหนูเล่าชื่อกระไรขอรับ”

“ชื่อสิงห์”

“ชื่อเหมือนพ่อชายเลยขอรับ” ใบหน้าเล็กง้ำงอคล้ายจะไม่พอใจเมื่อข้าวิจารณ์ชื่อของนางแต่เพียงอึดใจก็กลับมายิ้มร่าราวกับไม่นึกติดใจอะไร

“เอ็งมาแต่เมืองอื่นรึ”

“ขอรับ” ข้าตอบเพียงส่งๆ แต่เสียงหวานนั้นยังคงเจื้อยแจ้ว

“เช่นนั้นมิคิดถึงบ้านหรือ”

“คิดถึงขอรับ” เมื่อรู้สึกว่าเด็กตรงหน้าเพียงอยากหาเพื่อนคุยเท่านั้น ข้าจึงตอบไปอย่างสัจจริง

“เช่นนั้นมิอยากกลับบ้านหรือ”

“ฟางเอ๋ออยู่ที่นี่มิอาจกลับบ้านได้ขอรับ" ข้าถอนใจเฮือกหนึ่ง "เมื่อมิอาจกลับบ้านได้ ก็เพียงต้องอยู่ให้เป็นสุขเท่านั้น”

“อยู่เป็นสุขอย่างใดเล่า” เด็กน้อยยังคงไม่ลดละ

“เมื่อคืนมีที่นอนข้าก็เป็นสุข เมื่อเช้ามีข้าวกินข้าก็เป็นสุข บ่ายนี้ฝนตกลงมาแล้วข้าได้ซักผ้าก็เป็นสุข” สิ้นคำตอบ ดวงตาใสคู่นั้นจ้องมองมาที่ข้านิ่งจนข้าเริ่มรู้สึกอึดอัด

“ผ้าสะอาดแล้วมังขอรับ” ข้าว่าก่อนก้าวออกจากถังซักพร้อมกับสิงห์

เทน้ำด่างออกแล้วเอาผ้าลงซักในน้ำสะอาดที่รองไว้อีกถัง เมื่อบิดจนหมาดดีจึงใส่ตะกร้าใบใหญ่เอาขึ้นไปเก็บบนเรือนเพื่อรอแดดออก

สายฝนเริ่มซาลงทิ้งหยดน้ำปอยเล็กๆข้าจึงไปหยิบเศษกะลามะพร้าวออกมาขัดพื้นชานเรือนที่ยังแฉะ ร่างเล็กยังตามไม่เลิกรา ข้าจึงไปหยิบเศษกะลามาแบ่งให้มาช่วยขัดแต่ดูเหมือนจะเป็นการเล่นน้ำฝนกันมากกว่า

เมื่อสายฝนหยุดลงข้าก็พาร่างเล็กเข้าไปในเรือนจัดหาผ้าที่ยังไม่ได้ใช้มาได้พับหนึ่ง แล้วจัดการแก้จุกผมที่มวยไว้กลางกระหม่อมของเด็กน้อย

ซึ่งดูจะเป็นการถือวิสาสะด้วยชาวสยามถือว่ากลางกระหม่อมเป็นที่อยู่ของขวัญ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์ที่มอมพลังชีวิตให้กับร่างกาย

หากเป็นเด็กผู้ชายโดยเฉพาะในชนชั้นสูงคนที่จะสัมผัสได้มีเพียงมารดาและคนที่มีศักดิ์สูงกว่าเท่านั้น แต่เด็กผู้หญิงที่พอจะอะลุ่มอล่วยได้และการปล่อยให้กระหม่อมชื้นเป็นเวลานานจะทำให้เด็กเป็นหวัดเสียเปล่าๆ

ข้าเอาหวีเสนียดที่แกนทำจากงาช้างมาสางจุกผมจนแห้งแล้วม้วนตลบกลับขึ้นไปเป็นมวยอีกครั้ง

“ข้าอยู่กับเจ้าได้ไหม” เสียงเล็กเอ่ยถาม  ข้าไม่ตอบเพราะอย่างไรก็ต้องมีใครมารับเด็กคนนี้ไปอยู่ดี

“คุณหนูนุ่งโจงเองเป็นใช่หรือไม่ขอรับ” หน้าน้อยๆพยักรับ ข้าจึงผละลงไปเอาสำรับที่ห้องเครื่อง

ทว่าเมื่อกลับมาร่างเล็กกลับยังนุ่งผ้าไม่ถึงไหนข้าจึงเข้าไปช่วย สายตากลับไพล่ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควร ก่อนเหลือบมองกำไลทองหัวบัวลงยาที่กระทบแสงไปมาที่ข้อเท้า

“อ้าว ไม่ใส่ให้แล้วหรือ” ใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเบ้ปากอย่างไม่เข้าใจ 

เด็กผู้ชาย!! สิ่งที่อยู่ในหัวข้าตีกันไปหมด ในวังหลังแห่งนี้นอกจากขันทีที่ถูกตอนและเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับพระราชนุญาติจากกษัตริย์

หากเด็กคนนี้เป็นใครที่สามารถเข้ามาอยู่ในนี้ได้อีก ข้าก็ไม่มีสิทธิ์แม้จะแตะเพียงปลายเส้นผม

แอ๊ด…….เสียงประตูที่ถูกผลักโดยอัคนัสที่ก้าวเข้ามา เบื้องหลังเป็นนางกำนันท่าทางหวาดกลัวสองคน

ใบหน้าของหญิงทั้งคู่ดูใจชื้นเมื่อได้เห็นเด็กชายตรงหน้าข้า  นางหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาอุ้มร่างที่ร้องดิ้นงอแงออกไปโดยที่อีกนางพนมมือหันไปทางอักนัส

“คุณขันทีอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเลยนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นอิฉันสองคนต้องเดือดร้อนแน่เจ้าค่ะ” อัคนัสเพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับปาก พวกนางจึงจากไปอย่างรีบร้อน 

“สำรับข้าล่ะ” ใบหน้าของอัคนัสเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าจึงรีบไปยกสำรับมาจัดให้ นั่งรออัคนัสที่จัดการอาหารในสำรับไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถาม

“ไม่ใช่คนศักดิ์ใหญ่เท่าที่เจ้ากลัว” อัคนัสว่าหลังจากกินข้าวเสร็จ เขาล้างมือในอ่างเล็กๆที่ข้าเตรียมไว้

“แต่ก็ไม่ใช่คนที่เจ้าจะแตะต้องได้เช่นกัน” สายตาคมกริบเหลือบมองมาที่ข้า

“ในวังหลังแห่งนี้แม้กฎเกณฑ์เล็กน้อยก็ทำเจ้าหัวขาดได้ แต่ก็สามารถอะลุ่มอล่วยหากทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น พวกนางสับเพร่าทำตัวเด็กคนนั้นหายตามหาที่ใดก็ไม่เจอ เลยขอขึ้นมาดูบนเรือนเรื่องนี้คงไม่มีใครพูดถึงอีก”

ข้าโล่งใจเมื่ออัคนัสพูดเช่นนั้น ทว่านั่นคือลมฝนแรกเท่านั้น 

ออฟไลน์ KK ก้านแก้ว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฟางเอ๋อ>_<  รอจ้า :katai5:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แมวเหมียวเขี้ยวคม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
กฤษณา กระลำพัก จันทร์หอม

ข้าได้ของขวัญจากอัคนัส ใช่สวรรค์ท่านไม่ได้เข้าใจผิดเขาให้ของขวัญข้าจริงๆ

วันหนึ่งในช่วงบ่ายที่ครึ้มชื้นจากสายฝนที่เพิ่งซา อัคนัสถามข้าว่าอายุเท่าไหร่แล้ว อันที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจนักด้วยว่าจะเอาอะไรกับเด็กที่จำแม้แต่แซ่ของตัวเองยังไม่ได้

และถึงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษอยู่บ้างวิญญาณของพวกเขาก็คงไม่นึกใส่ใจเพราะอย่างไรข้าก็ไม่อาจผุดลูกผุดหลานให้พวกเขาได้อยู่แล้ว จึงได้แต่แค่นนึกให้ออกว่าที่แม่ของข้าบอกไว้ตอนนั้นอายุเท่าไหร่กัน

“สิบเอ็ดขอรับ” ข้ากะเอาคร่าวๆ

“งั้นก็ถือเป็นของขวัญโกนจุกให้เจ้าก็แล้วกัน” อัคนัสว่าพลางเลื่อนกล่องไม้กล่องหนึ่งบนโต๊ะมาทางข้า

ข้าเพิ่งนึกได้ว่าหากนับเป็นเด็กชายชาวอโยธยาคนหนึ่งอายุสิบเอ็ดปีก็คงได้เวลาโกนจุกแล้ว พิธีโกนจุกหรือที่เรียกว่าโสกันต์ในชนชั้นสูง

มีขึ้นเพื่อรับขวัญให้กับเด็กที่กำลังโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเด็กมักจะได้ของขวัญเป็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับมีค่ามากเท่าที่ครอบครัวจะหาได้

เพื่อใส่ในพิธีที่มีพระหรือผู้ใหญ่ที่จะอุปถัมภ์ในภายภาคหน้ามาตัดจุกให้ แต่เพราะเด็กต่างด้าวอย่างข้าไม่ไว้จุก จึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองกับพิธีดังกล่าว

ข้าเปิดกล่องไม้ ข้างในเป็นมีดสั้นอย่างแขกด้ามทำจากเงินดุนลายลงยาดำเมื่อสัมผัสข้ารู้สึกได้ถึงปลายมีดที่ลับคมมาอย่างดี อัคนัสหยิบมันขึ้นเมื่อข้ามีท่าทีสงสัย เขาควงมันไปมาในมืออย่างคล่องแคล่ว

“ชอบไหม” เขายื่นด้ามมีดมาให้ ใบหน้างามแย้มรอยยิ้มยากจะเข้าใจ ข้ารับมาด้วยรู้ว่าสิ่งใดที่อัคนัสมอบให้นั้น ย่อมไม่ควรปฏิเสธ

“วันเมื่อรืนวาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะออกว่าราชการไม่ได้ประทับในเขตุพระราชฐานชั้นใน ดูข้าจะมีเพลาทั้งวัน” อัคนัสเอ่ย

“เช่นนั้นฤๅขอรับ” ข้าเอ่ยรับ ก่อนจัดแจงเก็บสำรับที่เขาเพิ่งกินเสร็จ

“ข้าจะสอนหมัดมวยแลมีดสั้นให้” ขันทีหนุ่มเอ่ย ชั่วขณะข้าเห็นแววไหววูบคล้ายพึงอกพึงใจในตาเขา ก่อนใบหน้านั้นจะว่าต่อ

“พรุ่งนี้บ่ายข้าจะพาตามเสด็จไปตำหนักท้าวอินทรเทวี หากพบใครแปลกตาก็อย่าออกกริยาว่อกแว่กให้ข้าอับอาย” ข้าพยักหน้ารับด้วยชินชากับความประหลาดใจเสียจนคิดว่ามิอาจประหลาดใจสิ่งใดได้อีก

…………………………………….


เบื่องหลังตำหนักท้าวอินทรเทวีสิริธิดามีสวนชมพู่เล็กๆร่มครึ้มอยู่สวนหนึ่ง ในช่วงต้นฤดูฝนติดดอกร่วงปูพื้นให้เป็นสีชมพูน่าชม

กษัตริย์จึงทรงรับสั่งให้ตั้งพลับพลาแล้วเชิญเจ้านายซึ่งเป็นที่สนิทสิเน่หามารับยำดอกชมพู่หลายพระองค์

ใบหน้าจิ้มลิ้มของร่างน้อยที่นั่งอยู่บนตักของสตรีวัยกลางคนจ้องลงมายังข้าที่หมอบกราบอยู่บนพื้น นัยน์ตาวาวระยับที่เกือบลืมไปแล้วชวนให้ท้องไส้ข้าปั่นป่วนจนอยากจะเอาหน้ามุดซ่อนเข้าไปในอกหากทำได้

แม้เบื้องซ้ายจะเป็นมิชอัลขันทีเด็กชาวแขกมัวร์จากห้องเครื่องเทศที่คุ้นเคยก็ไม่ทำให้ข้าอุ่นใจขึ้นสักนิด ร่างบางเอาสอกกระทุ้งข้าทีหนึ่งก่อนเอ่ยกระซิบ

“ฟางเอ๋อ เป็นไรจึ่งตัวสั่นงั่นงก” ข้าไม่ตอบ

เพียงพยายามกวาดสายตามองหาอัคนัสที่หลังจากพาข้ามานั่งหมอบอยู่ในนี้ก็มิเห็นอีก กลับพบเพียงแววตาหมางเมินของอาจูที่หมอบรวมอยู่กับเหล่านางกำนัลพี่เลี้ยงข้างตั่งของเจ้านายสตรีวัยแรกรุ่นพระองค์หนึ่งเคียงกับเจ้านายสตรีทรงพระเยาว์อายุคงน้อยกว่าข้ามิมากนัก

ท้ายแถวไปเห็นเพียงขันทีเด็กชาวแขกมัวร์เปอร์เซียสองคนที่คาดว่าไม่อยู่ในความดูแลของหลวงศรีมโนราชภักดีศรีองค์เทพ ก็หลวงศรีมโนราชภักดีศรีเทพรักษาและ หลวงเทพชำนาญภัคดีศรีเทพรักษา

“มิชอัล เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าบัดนี้หลวงราชาชานภักดีอยู่ที่ใด”

“หลวงราชาชานภักดี ก็ต้องนำ ปลัดจ่านุชิต ปลัดพิพิต ปลัดมระกฎ ตรวจตราอยู่ข้างนอกนั่นซี ส่วนคุณพระศรีมโนราชภักดีนายข้าก็ชิมอาหารอยู่ข้างหน้าโน่น ส่วนคุณหลวง..”

“พอๆ ๆ” ข้ากระซิบยั้งเขาไว้ ด้วยไม่อยากรู้เรื่องหาสาระมิได้พวกนั้น “นี่มิชอัล เจ้ารู้หรือเปล่า เจ้านายที่ทรงพระเยาว์พวกนั้นคือใครบ้าง”

“ข้ารู้ๆ" ปากช่างจ้อนั่นรีบว่า “กุมารที่นั่งพระเพลาของท้าวอินทรเทวีผู้นั้นคือพระองค์เจ้าศรีสิงห์โอรสในเจ้าฟ้าไชย ส่วนเจ้านายสตรีแรกรุ่นบนตั่งนั้นคือพระราชกัลยาณีพระราชธิดาแต่องค์อินทรเทวี…..”

ชื่อต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในหัวอีกมากนั้นชวนคลื่นเหียนอย่างประหลาด ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังรู้ว่าการนั่งบนตักของพระสนมเอกระดับนั้นได้ย่อมมิธรรมดาเป็นแน่แต่ทว่าโอรสของเจ้าฟ้าไชยใยจึงมาอยู่ตำหนักในกันเล่า

“พระสิงห์มาอยู่ตำหนักแม่หยัวหลายเพลาแล้ว คุ้นชินบ้างแล้วฤๅ” ชายเจ้าของกลิ่นหอมไหม้ของไม้กฤษณาถามร่างน้อยบนตักของสตรีกลางคนหลังฉากกั้น ใบหน้างามง้ำงอขึ้นเล็กน้อยแทนคำตอบ

“ดูทำเข้านั่น” ท้าวอินทรเทวีตรัสเจือสรวน

“คราหน้าหากเป็นเด็กดีสูเจ้าขอสิ่งไรพ่อจะหามาฝาก” สิ้นคำนัยน์ตาของร่างเล็กกลับส่องประกายวาววับ

“เช่นนั้นประทานพระศรีให้ข้าสักจีบได้ ฦๅไม่ “เมื่อเสียงเจื้อยแจ้วนั้นพูดจบก็ปรากฏเสียงหัวเราะขึ้นเบาๆ ใบหน้าของผู้ที่ข้าเดาว่าคงเป็นพระไชยแย้มยิ้มก่อนรับสั่ง

“เอาซี แต่พระสิงห์ยังเล็กนักรับหมากเข้าไปเกรงจะยัน หากอยากแล้วพ่อจักคายชานให้”

“มิเอากระหม่อม หม่อมฉันอยากได้พระศรีจีบหนึ่งหาใช่ชานพระศรีไม่” ชายสูงศักดิ์อีกผู้หนึ่งซึ้งประทับอยู่มิไกลแย้มรอยยิ้มกลิ่นของเขาหอมเย็นทว่าละมุนคล้ายกลิ่นของไม้จันทน์หอมคละเคล้ากลิ่นดอกไม้ ใบหน้ายาวเอ่ยขึ้นอย่างรื่นรมย์

“หากพระสิงห์ยืนกรานเช่นนั้นจักขัดใจหลานไปใยฝ่าบาท” สิ้นคำของเจ้าฟ้านารายณ์ พระไชยทรงหยิบพระศรีจีบหนึ่งยื่นมาให้ ข้าซึ่งหมอบอยู่จึ่งรีบเข้าไปรับแล้วก้มหน้างุดคลานเข่าเอาไปให้ร่างเล็กบนตักของคุณท้าว

“ข้าให้ สูเจ้ารับไว้ซี” ร่างเล็กนั้นเอ่ย สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนโดยรอบ

“ขอบพระทัยกระหม่อม” ข้าเอ่ยตะกุกตะกักออกไปก่อนใบหน้างามแย้มยิ้มที่ทำให้ใจข้าเย็นเยียบ

“อย่างนั้นก็เคี้ยวซี ข้าให้ใยเจ้ายังไม่เคี้ยว” สิ้นคำใบหน้าของข้าแทบบิดเบี้ยวด้วยหลากหลายอารมณ์

พระศรีหรือที่สามัญชนเรียกว่าจีบหมาก เป็นส่วนผสมของลูกหมากผลไม้อย่างหนึ่งของชาวสยามกับพลูใบไม้กลิ่นฉุนชนิดหนึ่งปาดด้วยปูนแดงและยาเส้น

มีคุณช่วยดับกลิ่นปาก เมื่อเคี้ยวไปนานๆจักทำให้ฟันกลายเป็นสีดำตามคติความงามของชาวสยามที่ว่า มีแต่เสือกับหมาเท่านั้นที่ฟันขาวแล้วจักงามได้

แต่ทว่าลูกหมากนั้นกลับเป็นพิษอ่อนๆสำหรับคนที่ไม่เคยเคี้ยวมาก่อน เรียกอาการว่ายันหมาก ชาวสยามจึงมักคายเศษหมากที่เคี้ยวแล้วหรือที่เรียกว่าชานหมากให้เด็กที่เพิ่งหัดเคี้ยวเพื่อลดพิษ

“เอาซี เคี้ยวให้ข้าดู ฦๅเจ้ารังเกียจ”

“มิได้กระหม่อม” ข้ารีบตอบ

หากรังเกียจพระศรีที่ประธานลงมาผ่านเจ้าฟ้าไชยให้พระสิงห์แล้วมีหรือหัวข้าจะยังอยู่บนบ่าได้ ข้ายัดหมากจีบนั้นเข้าปากแลเคี้ยวให้ใบหน้าเล็กที่จ้องนิ่งนั้นเห็น

ไม่มีคราใดตั้งแต่ย่างเท้าลงบนแผ่นดินอยุธยาที่ข้ารู้สึกได้ว่ากำลังถูกรังแกอยู่จริงๆ เว้นครั้งนี้ หนำซ้ำยังจากคนที่ข้าไม่มีสิทธิแม้แต่จะคิดด่าได้ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะคลานถอยลงมาหมอบยังที่ของข้า

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งดังขึ้นผ่านม่านผ้าของพลับพลานั่น

“แท้แล้วพระสิงห์เพียงเย้าขันทีน้อยหรอกฦๅ ดีว่าหากเป็นนางกำนัลน้อยสักคนสิ้นพิธีโสกันต์พระไชยมิต้องเตรียมพานหมากพานธูปมาให้ท้าวอินทรเทวีฤๅ จริงไหมจ้าวธรรม”

“จริงพระยะค่ะ” สิ้นเสียงตอบของใครคนหนึ่ง เสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังไปทั่วบริเวณขัดกับตัวข้าที่กำลังรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง

ข้างในหัวหนักอึ้งเหมือนถูกกดทับจนน้ำตาแทบรื้น แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนไม่ให้เผลอขย้อนก้อนรสเผ็ดขมในปากออกมา

………………………………

“ฟางเอ๋อ ฟางเอ๋อ” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยนามพร้อมกับสัมผัสที่ตบลงบนแก้มเบาๆ เมื่อได้สติสิ่งที่ข้าทำคือสะดุ้งโหยงลุกขึ้นพนมมือเหนือหัวในท่าหมอบกราบตัวสั่นระริก

“วิปราศแล้วหรือไร” อัคนัสแค่นเสียงออกมาอย่างหยามเหยียด เมื่อมองไปรอบๆกลับพบว่าอยู่บนเรือนไม้ที่คุ้นเคย

“อัคนัส อัคนัส ตูข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรขอรับ” ข้าเกาะแขนเขาไว้สีหน้าคล้ายจักร่ำไห้

“เจ้าถามว่ากลับมาได้อย่างไรฤๅ!! ก็เป็นข้านั่นซีที่แบกเจ้ากลับมา” อัคนัสแหว

“เป็นตัวโง่งมอันใดจึ่งกลืนน้ำหมากเข้าไปจนยันได้” เมื่อพูดถึงหมากปากข้าก็พลันแสบร้อนขึ้นมา

“ล่ะ แล้ว เจ้านายทรงพระเยาว์องค์นั้นได้กล่าวอันใดฦๅไม่ขอรับ”

“มิได้ บัดนี้แจ้งแล้วใช่ฦๅไม่ว่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันมิควรยุ่งเป็นเช่นไร” ข้านิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนก้มหน้างุด ด้วยแจ้งใจว่าเหตุที่อัคนัสไม่ดุด่าข้าในครานั้นก็เพื่อสั่งสอนข้าในครานี้

“ในวังหลังแห่งนี้กฎเกณฑ์เคร่งครัดพิสดาร แม้นเรื่องเล็กกลับเป็นเรื่องใหญ่ได้เท่าใดเรื่องใหญ่ก็ก่อให้ฉิบหายไปถึงคนรอบข้างได้เท่านั้น” เมื่อข้าเงียบได้ครู่หนึ่งอัคนัสก็พูดต่อ

“หากไม่นับองค์กษัตริย์บนพลับพลาแล้วที่เจ้าได้พบนั้นล้วนเปนเชื้อพระวงศ์ที่เห็นจะเป็นยอดของยุค เจ้าฟ้าไชยหรือพระองค์อินทร์ พระราชโอรสอันประสูติแต่ท้าวศรีจุฬาลักษณ์พระองค์ก่อน เป็นที่โปรดปรานของขุนหลวงท่านยิ่งนัก พระธรรมพระเชษฐาเคียงพระบาทแม้จะไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเท่าใดแต่มีอำนาจโดดเด่นในหมู่ขุนนางฝั่งกลาโหมมีกำลังพลสังกัดอยู่มิใช่น้อย ส่วนองค์ท้ายคือเจ้าฟ้านารายณ์พระราชโอรสแต่ท้าวอินทรเทวีสิริธิดา มีกำลังพลในสังกัดมิมากกลับนิยมคบค้ากับพวกต่างด้าวเช่นพ่อค้าวิลันดาแลบาทหลวงโปรตุเกส ยังเป็นที่ชื่นชมของพวกทหารรับจ้างแขกมัวร์แลพวกหมู่บ้านญี่ปุ่น จึ่งโจษกันว่าคงจะเอาดีทางค้าขายเสียมากกว่า ถึงกระนั้นเจ้าฟ้าพระองค์นี้หากมีทีท่าจักเอนเอียงหาฝ่ายใดก็จักยังประโยชน์แก่ฝ่ายนั้นมิน้อย”

“เช่นนั้น โอรสของพระไชย”

“พระสิงห์ผู้นั้นเป็นโอรสของพระไชยรับมาแต่เมืองลาวด้วยกำพร้าพระมารดาจึงฝากฝังให้ท้าวอินทรเทวีบำรุงไว้จนกว่าจักถึงโสกันต์” ข้าลำดับทุกอย่างในหัว หากแม้นพระไชยนำโอรสมามากฝากไว้กับแม่หยัวอิทรเทวีแล้วย่อมสนิทชิดเชื้อกันดีอยู่

“อำนาจในอโยธยานั้นเหมือนสายน้ำเชี่ยวพร้อมแทรกไปตามช่องโหว่แห่งโอกาสใดๆอย่างไร้กฎเกณฑ์แลยิ่งมิใช่หน้าที่อันใดของพวกเราจักคาดเดา จงจำไว้ มิว่าใครจักมากบุญหนักวาสนาย่อมมิมีความหมาย ตัวของเราคือผู้ที่ก้มหน้าแนบพื้นแลเปนเพียงสมบัติของพระเจ้าอยู่หัวและพระมเหสีแห่งกรุงศรีอโยธยาเท่านั้น”

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ แมวเหมียวเขี้ยวคม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 
ปี่ใบลาน


จ๊อม! เสียงวัตถุแข็งตกกระทบผืนน้ำ ในขณะที่ข้าเอี้ยวตัวหลบโดยพยายามทรงตัวบนพื้นเรือที่โครงเครง

“โอ๊ย!!! อัคนัสขอรับ ท่านอัคนัสขอรับ.....” ข้าส่งเสียงออดอ้อนหวังจักได้รับความเมตตาจากผู้ที่อยู่เหนือร่างข้าให้ลดความรุนแรงลงบ้าง

จ๊อม ปั๊ก จ๊อม ปั๊กๆ ๆ ๆ ๆ “โอ๊ย!!!! ”

โครม ซู่ม….. ร่างข้าหงายร่วงลงสู่ผืนน้ำ ก่อนมือจะตะเกียกตะกายเข้าหาฝั่งโดยมีก้อนลูกหินขว้างใส่ไม่หยุด

“ใครให้เจ้าว่ายเข้าฝั่ง! ” ใบหน้างามบนต้นมะกอกริมน้ำแหวขึ้น ก่อนปาลูกหินใส่ข้าอีกระลอกใหญ่ “ว่ายกลับไปที่เรือ! ”

“จักเอาให้ข้าตายฤๅขอรับ” ข้าอุทธรณ์ แต่ทว่ากลับไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะเมตตาลดราวาศอกเลยสักนิด

“ก็ให้รู้ว่าแค่นี้เจ้าจักตาย หากวันนี้เจ้าหลบลูกหินข้าได้ไม่ถึงชั่วยาม ตะวันลับฟ้าข้าก็ไม่ให้เจ้าขึ้นจากเรือ”

ข้าน่าจักรู้ตั้งแต่แรก ของขวัญจากหลวงราชาชานภักดีมีหรือจะให้มาโดยมิมีเหตุ ข้าได้อะไรจากเขาเป็นต้องมิลำบากกายก็ลำบากใจทุกที

เพราะหลังจากได้มีดเล่มนั้นมาก็ดูเหมือนว่าอัคนัสจะมีเวลาว่างมากขึ้นแลนั่นก็หมายความว่าข้าจะมีเวลาว่างน้อยลง ทุกวันตั้งแต่บ่ายข้าต้องฝึกหัดมวยแขกกับอัคนัส รวมถึงกริชมีดสั้นแลตะบอง

หน้าที่ของขันทีในอโยธยานั้นนอกเหนือจากงานจิปาถะเช่นดูแลเครื่องสูงที่สตรีไม่อาจแตะต้อง ตวงเครื่องเทศ ยาและเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายหน้าแล้ว

ยังควบงานอารักขาในการเสด็จทางชลมารค ด้วยเหตุนี้อัคนัสซึ่งหมายมาดจะให้ข้าตามไปด้วยในขบวนเสด็จพิทธีเข้าพระวษาในปีหน้าจึงเริ่มให้ข้าเรียนรู้สิ่งที่จำเป็น

“ประทานโทษเถิดเจ้าค่ะคุณหลวง” เสียงหวานดังขึ้น จากนางกำนัลสาวคนหนึ่งที่เดินเข้ามานัยน์ตาหลุกหลิกลังเลคล้ายจะนึกเกรงใจ ซึ่งเดาว่าเกรงใจเพียงอัคนัสเท่านั้น

“กระไร! อีกแล้วฤๅ” คิ้วของอัคนัสขมวดเมื่อมองไปทางเจ้าหล่อน ริมฝีปากงามขบเม้มแสดงถึงความหงุดหงิดที่ปิดไว้ไม่มิด

“อีกแล้วเจ้าค่ะ” หล่อนว่า ในขณะที่ข้ามองอัคนัสด้วยสายตาคล้ายจักบอกว่า ปาข้าด้วยลูกหินลูกมะพร้าวลูกทุเรียน หรือแม้แต่ลูกไฟก็จักไม่อุทธรณ์ใดๆ ขอเพียงอย่าส่งข้าไปเลย

“คุณข้าหลวง” อัคนัสว่าพลางถอนหายใจ “ช่วยไปบอกพระองค์ท่านว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามจักไป”

สวรรค์ท่านน่ะเคืองแค้นอะไรข้าหนักหนา ข้าใช้เวลาไม่ถึงชั่วเคี้ยวหมากจืดด้วยซ้ำในการผลัดผ้าใหม่ ด้วยว่าคุณเธอยืนยันจักรอจนกว่าข้าจักตามไป

ข้าเดินมาถึงเรือนย่อยในตำหนักท้าวอิทรเทวีพร้อมนางกำนัลที่มาตาม เสียงเด็กคนหนึ่งกรีดร้องเงียบลงเมื่อข้ามาถึง

ใบหน้าน้อยยิ้มอย่างผู้มีชัยอันเป็นธรรมชาติของเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง ข้าคลานเข่าไปยังยกพื้นก่อนหมอบกราบ นางกำนัลสองถึงสามคนก็ยกถาดสองใบมาวางไว้เบื้องหน้า ใบหนึ่งวางฝักบัวไว้มัดใหญ่อีกถาดเป็นสิ่งข้านึกขยาดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“พระองค์ชายท่านมีรับสั่งว่า หมากที่พวกอิฉันเจียนนั้นยังไม่หมดยางดีเคี้ยวแล้วฝาดนักทั้งหมากที่คุณขันทีเจียนไว้ให้เมื่อคราก่อนก็หมดสิ้น แลถ้าหากไม่มีหมากไว้ล้างโอษฐ์ก็จักไม่รับเครื่องเสวยเย็นเจ้าค่ะ” ใบหน้างามเอ่ยน้ำเสียงเจือแววกระแทกกระทั้นชวนให้นึกหวั่น

แม้ใจข้าจะอยากตะโกนว่า ก็ให้อดไปซีเด็กตัวแค่นี้อดข้าวซักมื้อตกดึกคร้านจะเรียกหาสำรับให้ไม่ทัน

หากบอกว่านางกำนัลข้าหลวงฝีมือเจียนหมากทรามกว่าขันทีชะนีก็คงโหนต้นไม้ได้ทรามกว่าปลา เห็นชัดว่าเป็นการอ้างฟ้าอ้างฝนไปเลื่อนเปื้อน เด็กนั่นรู้ว่าข้าแพ้หมากก็เลยอยากจะรังแก

ทั้งยังต้องมาเป็นเหยื่อรับสายตาเย็นชาของนางกำนัลตำหนักนี้ แต่ทำได้เพียงหยิบมีดเจียนขึ้นมาผ่าลูกหมากอย่างสงบเสงี่ยม

นางกำนัลในเรือนพระสิงห์นั้นทุกนางล้วนอ่อนหวานเยาว์วัย เป็นธรรมดาของตำหนักเจ้านายบุรุษที่แม้จะยังมิเจริญวัยดี แต่ก็ต้องมีบ้างที่พวกนางจะแอบหวัง

ว่าหากเมื่อใดที่เจริญชันษาถึงโสกันต์ออกไปสร้างวังที่ฝ่ายหน้าแม้มิถูกเลือกขอพระราชทานให้ไปเป็นเอกแล้ว ปะเหมาะแม้ได้เป็นเพียงอนุแต่ก็บำรุงกันมาแต่ยังทรงพระเยาว์ย่อมได้รับความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างดี

การมานั่งแย่งหน้าที่ของพวกนางเช่นนี้ หากว่าข้าไม่ใช่ขันทีเด็กที่ในอนาคตเมื่อได้อวยยศจะมีตำแหน่งเหนือกว่าพวกนางเป็นแน่แล้วคงต้องถูกกระทบกระเทียบสักคำสองคำ หลังจากต้องทนแสบทนร้อนนั่งเจียนหมากจนเสร็จ ข้าซึ่งทำท่าจะคลานกลับก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง

“เดี๋ยวเจ้าค่ะ มีรับสั่งว่าอยากเสวยเม็ดบัวหลวง อย่างไรเสียก็อยากให้คุณขันทีช่วยแกะไว้ให้ด้วยเจ้าค่ะ”

เจ้าข้าโว้ยยยยยยยยยยยย นั่นเป็นแค่เสียงในใจข้าเท่านั้น

..................................................................

เมื่อใกล้สิ้นสุดฤดูฝน ในวังกำลังจะมีงานใหญ่อีกครั้งคือเสด็จพระราชกุศลออกพระวษา

เวลาที่เหล่าขันทีต้องวิ่งวุ่นเข้าๆออกๆตำหนักต่างๆเพื่อตรวจนับจำนวนคนที่จักตามเสด็จไปวัดไชยยาราม ตรวจตราและทำบัญชีสิ่งของที่แต่ละตำหนักจะนำออกไปทำบุญ ซึ่งแทบจะเป็นการประชันความมั่งคั่งของวังหลัง

ตระเตรียมอุปกรณ์ในพระราชพิธีทางสงฆ์และเครื่องสัปทนที่ใช้ในขบวนเสด็จทั้งหมดก็จะถูกนำออกมาตรวจนับและซ่อมแซม

ผ้าแดงผืนยาวที่จะถูกขึงเป็นฉากบังไปตลอดระยะทางจากวังหลังจนถึงวัดไชยถูกนำมาตรวจตราไม่ให้มีรอยขาดหรือรูโหว่แม้แต่ซักรูเดียว

ตำราใบลานเกี่ยวกับงานศาสนาถูกนำออกมาซ่อมแซมในขณะที่มีการเบิกของจากเรือนเครื่องเทศตลอดทั้งวัน มากกว่าช่วงเวลาไหนๆ ความวุ่นวายที่แม้แต่ขันทีเด็กที่ยังไม่รู้ประสายังต้องถูกเรียกมาใช้งาน

เมื่อข้าต้องนั่งซ่อมเครื่องพัดและวิ่งตามตูดอัคนัสต้อยๆก็ไม่มีใครจากตำหนักนั้นมาตามตัวข้าไปได้ เป็นความสบายใจที่มิอาจพรรณนา

เมื่อวันออกวษามาถึงความวุ่นวายก็เริ่มตั้งแต่เช้า อัคนัสนำปลัดจ่านุชิต ปลัดพิพิต ปลัดมระกฎ ออกตรวจตราปัดกวาดเส้นทางและไล่นกกาก่อนจะขึงผ้าเป็นฉากบัง

เมื่อขบวนเสด็จไปถึงวัดไชยเมื่อช่วงสาย อัคนัสก็สั่งให้ข้าแยกไปกับคุณปลัดทั้งสาม

ขันทีร่างยักษ์ถือตะบองบ้างไม้หวายบ้างเดินตรวจไปตามแนวผ้าที่ขึงไว้เพื่อแยกโลกของฝ่ายในออกจากภายนอก หากพบพวกริลองดีมาแอบส่องดูนางในตามแนวผ้า พวกข้าก็มีสิทธิใช้ไม้หวดให้หลาบจำ

“กระผมเปล่านะขอรับ” เสียงหนึ่งดังมาแต่ไกลก่อนที่ข้าจะชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ร่างที่สูงกว่าข้าเพียงเล็กน้อยเหมือนจะหนีใครบางคนมา

“เจ้าชื่อกระไร” ร่างนั้นเอ่ยถาม ดวงตากลมโตบนใบหน้ารูปไข่เบิกกว้าง

“ฟางเอ๋อ” ข้าตอบ

“ฟางเอ๋อ ใช่ ฟางเอ๋อจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มเรียกข้าเสียงดังวางท่าสนิทสนม

เส้นผมของเขาสั้นเกรียนผิวสีแทนคล้ำตามแบบชาวสยาม นุ่งโจงผ้าฝ้ายสีน้ำตาลตัดกับเสื้อผ้าไหมจีนพระราชทานสีเขียว มองปราดเดียวก็เดาได้ว่าเป็นลูกผู้ดีหรือมหาดเล็กซักคน

“คนรู้จักฤๅ” เสียงดังมาจากปลัดจ่านุชิตที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมา แต่มิทันที่ข้าจักได้อ้าปากร่างสูงกว่าก็ชิงตอบหน้าระรื่น

“ใช่ซีขอรับ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่ามาหาเพื่อน มิได้มีเจตนามิเหมาะมิควรอันใด” มือยาวไม่ว่าเปล่ากลับดึงคอข้ามากอด

“จำได้ไหมวันก่อนพ่อข้ายังฝากของเจ้าไปให้คุณอาพระสนม เรายังได้เจอกัน” เขาเอ่ยความที่ข้ามิเคยรู้เรื่องมาก่อน

“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไป” ปลัดจ่านุชิตว่า เมื่อร่างยักษ์ผละจากไป ทิ้งให้ข้ามึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าร่างสูงก็พ่นลมออกมาอย่างโล่งอก

“ข้าชื่อวาด เป็นมหาดเล็กเวรเดช” ใบหน้าคมแย้มยิ้มก่อนยัดบางสิ่งใส่มือข้า “อ่ะ ข้าให้” เขาเอ่ยก่อนจะวิ่งจากไป

ในมือข้าพลันปรากฏปี่ใบลานอันน้อยอยู่อันหนึ่ง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด