ขอบคุณทุกคนที่สนใจหนังสือและถามไถ่กันเข้ามานะคะ ช่วงนี้กระบวนการจัดหน้ากับเขียนตอนพิเศษคืบไป 90% แล้ว ใครที่สนใจก็ยังโอนเงินเข้ามาได้เรื่อยๆ ทั้งของเรื่องลำนำรักสีรุ้งและเมื่อหัวใจเราใกล้กัน รายละเอียดอยู่ที่หน้า 49 ค่ะ
แล้วไหนๆต้นฉบับก็ใกล้จะส่งโรงพิมพ์แล้ว อาจมีคนเริ่มคิดถึงน้องนะ เลยขอเอาส่วนหนึ่งของตอนพิเศษจากมุมมองของน้องนะบ้างมาลงเป็นพรีวิวก่อน นี่จะเป็นเรื่องตอนที่น้องนะเพิ่งย้ายโรงเรียนตอน ม.4 เทอมสอง แล้วก็เพิ่งเจออ๊อฟที่เรียนอยู่ ม.6 เป็นครั้งแรกค่ะ แฟนๆคู่นี้คงหายคิดถึงกันไปได้บ้างน้า
ตอนพิเศษ: ก้าวแรกของหัวใจ“น้องนะ? ตื่นหรือยังลูก เดี๋ยวไปสายนะ”
เสียงแม่ดังผ่านประตูเข้ามาแว่วๆ และพอผมหรี่ตาขึ้นก็เห็นว่าฟ้าข้างนอกที่เห็นผ่านม่านหน้าต่างยังเป็นสีน้ำเงินอมส้มอยู่เลย เลยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวแล้วงึมงำตอบแม่ไปแบบง่วงๆ
“ยังเช้าอยู่เลยแม่ ขอนะนอนต่อก่อนนะ...”
ผมพูดจบก็หลับต่อ แต่ปุบปับก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อโดนดึงผ้าห่มที่คลุมตัวออก พอหรี่ตาขึ้นมองอย่างไม่เต็มใจก็เห็นว่าแม่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมเลยได้แต่ส่งเสียงอย่างขัดใจแทน
“อื๊อออ แม่อ้ะ”
“ไม่ ‘แม่อ้ะ’ ล่ะ วันนี้เปิดเทอมวันแรกนะจ๊ะ แม่ต้องรีบไปต้อนรับนักเรียนนะ เราก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วๆเข้า พ่อเค้าจะได้ไปส่งพร้อมกัน”
“แม่ก็ไปก่อนสิ เดี๋ยวนะตามไปเองทีหลังก็ได้”
ผมพึมพำในคอ แต่ก็ไม่วายโดนแม่ฉุดแขนให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอ็ดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“ไปพร้อมกันนี่แหละ อย่างอแงสิ อุตส่าห์ย้ายโรงเรียนวันแรกทั้งที น้องนะจะได้รีบไปทำความคุ้นเคยไว้ก่อนไง”
แม่พูดแล้วก็หยิบผ้าขนหนูส่งให้ จากนั้นก็ดันหลังผมไปที่บันไดเพราะว่าห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ยเพราะว่าหมดสิทธิ์คัดค้าน ไม่ใช่ความผิดผมนี่นาที่แม่ต้องคอยไปตวจเช็คนักเรียนตอนเข้าโรงเรียนเพราะอยู่ฝ่ายปกครอง อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไปเหยียบโรงเรียนแม่มาก่อนสักหน่อย ในเมื่อตั้งแต่เด็กๆเวลาแม่ต้องเข้าเวรไปตรวจโรงเรียนทีไรก็พาผมกับพ่อไปเป็นเพื่อนด้วยตลอดอยู่แล้ว ให้ผมหลับตาเดินยังได้ว่าจากรั้วโรงเรียนไปถึงโรงอาหารน่ะไปยังไง
ผมอาบน้ำเสร็จก็เอาผ้าขนหนูพันเอวแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง ระหว่างที่ลงไปอาบน้ำเมื่อกี้ แม่ก็เอาเสื้อกับกางเกงที่รีดเรียบร้อยออกมาแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าให้แล้ว ผมเลยแค่เช็ดตัวให้แห้งแล้วก็หยิบเครื่องแบบมาใส่ก็พอ หลังจากสวมถุงเท้าเสร็จแล้วก็คว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงบันไดไปข้างล่างอีกที
“อ้าว มานะหรอกเหรอเนี่ย พ่อนึกว่ามีตัวอะไรวิ่งอยู่ในบ้าน วิ่งซะสั่นไปทั้งหลังเชียว”
พ่อเอ่ยแซวเมื่อผมเดินเข้าไปในครัว ตั้งแต่เด็กแล้วที่พ่อชอบเรียกผมด้วยชื่อเต็ม คงเพราะว่ามันฟังแล้วให้ความรู้สึกเข้มแข็งดีล่ะมั้ง แล้วก็พ่อเองนั่นแหละที่เป็นคนตั้งชื่อให้ผมแบบนี้
“บ้านจะสั่นได้ไงพ่อ ก็แม่เค้าจะรีบไปโรงเรียน นะก็ต้องรีบวิ่งลงมาน่ะสิ”
ผมตอบแล้วก็เข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างๆพ่อแล้วตักข้าวต้มกุ้งขึ้นมากิน พ่อเลยยกมือขึ้นมาขยี้ผมสั้นๆบนหัวผมแล้วก็หัวเราะ “ไปว่าแม่เค้าได้ไงล่ะ ที่จริงมานะน่าจะตื่นเต้นกว่านี้หน่อยนา เพิ่งจะย้ายโรงเรียนวันแรกทั้งที”
ผมทำหน้ามุ่ย “ใครบอกว่านะอยากย้ายกันล่ะ แม่บังคับชัดๆ”
“น้องนะ”
แม่ปรามเสียงดุขณะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผมเลยได้แต่ก้มหน้าแล้วคนข้าวต้มในถ้วยอย่างจ๋อยๆ “ขอโทษครับ”
“ย้ายมาเรียนโรงเรียนแม่แหละดีแล้ว จะมัวแต่ติดเพื่อนได้ยังไงกัน เราน่ะเรียน ม.ปลายแล้วก็ต้องคิดถึงอนาคตสิ อย่างน้อยอัตราเด็กจากโรงเรียนแม่ที่เอ็นท์ติดก็เยอะกว่าโรงเรียนเก่าของเรานะ”
ผมได้แต่เงียบแล้วก็ตักข้าวต้มเข้าปากต่อ เพราะว่านี่เป็นประโยคติดปากของแม่ตั้งแต่ตอนที่บอกว่าจะให้ผมย้ายโรงเรียนเมื่อตอนปิดเทอมแล้ว ทั้งที่เกรดของผมที่โรงเรียนเก่าก็ไม่ได้แย่ แถมติดสามอันดับแรกของห้องเสียด้วยซ้ำ แต่แม่ก็ยังยืนยันทำเรื่องย้ายให้ผมไปอยู่โรงเรียนเดียวกันจนได้ ทั้งๆที่เพื่อนๆที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ ม.1 ของผมอยู่ที่โรงเรียนเก่ากันหมด แล้วที่ใหม่นี่ผมก็ไม่รู้จักใครเลยแท้ๆ
“เอาน่า ก็เหมือนกับตอนเราไปเข้า ม.1 ใหม่ๆ นั่นแหละ ตอนนั้นมานะก็ไม่รู้จักเพื่อนๆมาก่อนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพอเข้ามหา’ลัยเราก็ต้องแยกจากเพื่อนอยู่ดี คิดซะว่านี่ก็เป็นการฝึกไว้ก่อนก็แล้วกัน”
มันเหมือนกันที่ไหนล่ะพ่อก็...ตอนผมเข้า ม.1 นั่นยังพอมีเพื่อนๆจากตอนประถมไปเรียนต่อที่เดียวกันบ้าง แต่ผมไม่ได้สนิทกับใครที่มาต่อที่โรงเรียนของแม่เลยสักคน แล้วต่อให้เจอกันตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะจำกันได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ถึงอธิบายไปพ่อกับแม่ก็คงไม่เข้าใจหรอก ที่สำคัญเรื่องเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ผมไม่อยากย้ายโรงเรียนสักหน่อย แต่ถึงจะพูดออกไปพ่อกับแม่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ผมคนข้าวต้มที่เหลืออย่างหมดอารมณ์แล้วก็ลุกเอาถ้วยไปวางในอ่างล้างจาน จากนั้นก็เดินตามพ่อกับแม่ไปขึ้นรถ ปกติทุกเช้าพ่อจะไปส่งแม่เป็นคนแรก ตามด้วยผม แล้วจากนั้นถึงค่อยขับรถไปทำงานที่สำนักงานกฎหมาย แต่ตั้งแต่วันนี้ไป พ่อก็ไม่ต้องขับรถอ้อมไปส่งผมที่โรงเรียนเก่าอีกแล้ว
++------++
หลังจากที่พ่อมาส่งผมกับแม่แล้วก็นัดเวลามารับตอนเย็นก่อนจะขับออกไป พอลับหลังรถสีเทาของพ่อแล้วแม่ก็หันมาทำท่าจะจูงมือผมไปที่อาคารเรียน
“งั้นเดี๋ยวแม่พาเราไปส่งที่ห้องก่อนก็แล้วกันนะ”
“แม่! นะไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ แค่หาห้องเรียนนะไปเองได้”
ผมพูดแล้วก็พยายามจะบิดมือออก ถึงผมจะชินกับการที่พ่อกับแม่ปฏิบัติด้วยหรือพูดด้วยเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆเวลาอยู่บ้านก็เถอะ แต่ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นที่โรงเรียนมาเห็นแล้วมองว่าผมเป็นเด็กไม่รู้จักโตหรอกนะ
แม่มองผมแล้วก็ถอนหายใจ จากนั้นก็ยื่นมือมาบีบไหล่เบาๆ
“เอางั้นก็ได้ ห้องเรียนของ ม.4 อยู่ที่ชั้นสี่นะ เลขห้องแขวนไว้หน้าประตูอยู่แล้ว หาไม่ยากหรอก เดี๋ยวน้องนะเอากระเป๋าไปวางบนห้องแล้วก็ลงมาเข้าแถวตอนได้ยินสัญญาณออดก็แล้วกัน”
ผมพยักหน้า จากนั้นก็ถือกระเป๋าแล้วเดินขึ้นไปที่ห้องเรียนบนตึกที่แม่บอก ส่วนแม่ก็แยกไปที่ห้องหมวดภาษาไทยที่ตัวเองประจำอยู่ จากนั้นก็คงลงมายืนรอรับเด็กนักเรียนที่หน้าประตูเพื่อตรวจเช็คเครื่องแบบและทรงผม รวมทั้งทำโทษเด็กที่มาสายเพราะว่าเป็นหน้าที่ของอาจาย์ฝ่ายปกครอง
อาคารเรียนที่นี่มีสามอาคาร โดยห้องเรียนของชั้น ม.ต้นจะอยู่ที่อาคารหนึ่งทั้งหมด ส่วนของชั้น ม.ปลาย จะกระจายกันไปตามอาคารสองกับอาคารสาม และห้องอาจารย์หมวดต่างๆก็จะอยู่กระจายไปตามอาคารทั้งสามหลังเหมือนกัน โชคดีว่าหมวดภาษาไทยของแม่อยู่คนละอาคารกับผม และแม่จะสอนแต่พวกเด็ก ม.5 กับ ม.6 ดังนั้นอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเรียนกับแม่ระหว่างที่อยู่ ม.4 แค่นึกว่าถ้าเกิดแม่เรียกให้ตอบคำถามในห้องแล้วเผลอเรียกว่า ‘น้องนะ’ ขึ้นมา ผมจะโดนเพื่อนๆในห้องล้อยังไงบ้างก็ไม่อยากคิดต่อแล้ว
พอขึ้นมาถึงห้อง ม. 4/9 ผมก็เดินเข้าไปวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่แถวกลางๆและค่อนไปทางด้านหลัง สำหรับห้องเรียนชั้น ม. 4 ของที่นี่จะมีอยู่สิบห้อง สี่ห้องแรกเป็นของแผนกคณิตย์-วิทย์ สี่ห้องถัดมาเป็นแผนกศิลป์-คำนวณ ส่วนสองห้องสุดท้ายเป็นแผนกศิลป์-ฝรั่งเศส ความที่ผมเรียนเลขไม่ค่อยเก่งก็เลยเลือกเรียนแผนสุดท้ายนี้ตั้งแต่ที่โรงเรียนเก่าแล้ว ตอนที่แม่จะทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้ผมก็เลยยืนยันว่าจะขอเรียนแผนเดิมด้วย
ผมเดินไปเปิดหน้าต่างห้องบานหนึ่งออกแล้วก็เท้าศอกพลางมองออกไปด้านนอก ที่อยู่ติดกับอาคารเรียนฝั่งนี้ก็คือสวนผลไม้สลับกับบ้านคนที่อยู่ริมถนน จากมุมบนห้องนี้สามารถมองไปเห็นนักเรียนคนอื่นๆทั้งที่มีพ่อแม่มาส่ง ขับมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานมาเอง หรือว่าเดินมาเองจากบ้านก็ได้ และเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนใหญ่ จำนวนนักเรียนก็เลยเยอะและหลากหลายกว่าที่โรงเรียนเก่าของผมอย่างเทียบไม่ติด
ยิ่งพระอาทิตย์ตรงฝั่งตะวันออกเริ่มลอยสูงขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังมาจากหน้าประตูโรงเรียนและเสียงฝีเท้าที่เดินไปมาตามอาคารเรียนมากขึ้นเท่านั้น และเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้องซึ่งตามด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้ก็ทำเอาผมสะดุ้ง พอมองกลับไปก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้กับโต๊ะตัวที่ผมเพิ่งวางกระเป๋าลงไปเมื่อกี้
“เอ่อ หวัดดี”
ผมเอ่ยทักขึ้นก่อนแล้วก็เดินเข้าไปหา อีกฝ่ายเลยละสายตาจากโต๊ะขึ้นมามองหน้าผม ชื่อที่ปักอยู่บนหน้าอกทำให้ผมรู้ว่าเด็กคนนี้ชื่อ ‘เจษฎา’
“หวัดดี นี่กระเป๋านายหรือเปล่า? พอดีโต๊ะตัวนี้มันโต๊ะของเราตั้งแต่เทอมที่แล้วน่ะ ช่วยเปลี่ยนไปนั่งตัวอื่นแทนได้มั้ย?”
ผมมองหน้าคนพูดสลับกับโต๊ะที่มีรอยขูดขีดตามประสาโต๊ะไม้ที่ผ่านการใช้งานมาหลายปีแล้วก็พยักหน้า เพราะถ้าหากเป็นผม ถ้ายังอยู่ที่โรงเรียนเก่าล่ะก็ ผมก็คงอยากนั่งที่โต๊ะเก่าของตัวเองมากกว่า
“ก็ได้ ถ้างั้นเรานั่งตรงนี้ได้มั้ย?”
ผมหยิบกระเป๋าไปวางตรงเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับเด็กคนนั้นแทน เพราะว่าห้องนี้จัดเก้าอี้เรียงเป็นแถวคู่ แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหากย้ายกระเป๋าไปไว้ที่อื่นแล้วจะโดนเจ้าของโต๊ะมาทวงอีกหรือเปล่า คนตรงหน้าเลยมองหน้าผมแล้วก็ชื่อบนอกผม จากนั้นก็เกาหัวเบาๆ
“นั่งไปก่อนก็ได้แหละมั้ง เทอมที่แล้วอาจารย์เค้าใช้วิธีจับคู่ให้นั่งด้วยกันน่ะ เราก็ไม่รู้ว่าเทอมนี้เค้าจะทำแบบนั้นอีกหรือเปล่า ยังไงถ้าโดนเปลี่ยนที่ใหม่ก็ค่อยย้ายก็ได้ ...ว่าแต่นี่นายเพิ่งย้ายโรงเรียนมาเหรอ?”
“อือ เราชื่อนะ”
“งั้นเรียกเราว่าจ้าก็ได้ ห้องนี้ไม่ค่อยมีเด็กผู้ชายหรอก ดีเหมือนกันจะได้มีนายเพิ่มมาอีกคน งั้นเดี๋ยวเราพาไปทัวร์รอบโรงเรียนให้เอามั้ย?”
ความจริงผมพอจะรู้อยู่แล้วว่าส่วนไหนของโรงเรียนอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวเองและผมก็ยังไม่มีเพื่อน การทำความคุ้นเคยกับจ้าไว้ก่อนก็น่าจะดี เผื่อมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับโรงเรียนใหม่นี้ผมจะได้ถามได้ ผมเลยพยักหน้า
“ว่าแต่ทำไมถึงไม่มาเข้าที่นี่ตั้งแต่เทอมแรกล่ะ นายเพิ่งย้ายบ้านมาเหรอ?”
จ้าหันมาถามระหว่างที่เดินลงจากห้องเรียนด้วยกัน บางทีที่อีกฝ่ายไม่เอะใจตอนเห็นนามสกุลผมคงเป็นเพราะว่าไม่รู้จักแม่ผม ดังนั้นผมเลยคิดว่ายังไม่บอกดีกว่า
“ก็เปล่าหรอก พ่อกับแม่เราเค้าเห็นว่าที่นี่การเรียนการสอนดีกว่า ก็เลยทำเรื่องให้ย้ายมาที่นี่น่ะ”
ผมตอบความจริงไปแค่ครึ่งเดียว และโชคดีว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ พอลงมาจากอาคารแล้วจ้าก็พาผมไปเดินดูโรงอาหารว่าอยู่ตรงไหน ต่อด้วยสหกรณ์ ห้องพยาบาล ห้องน้ำ ซึ่งเป็นจุดที่ผมก็รู้อยู่แล้วว่าอยู่ตรงไหนทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วปล่อยให้จ้าอธิบายไปเรื่อยๆ หลังจากชี้ให้ดูว่าห้องธุรการอยู่ตรงไหนแล้วจ้าก็เดินนำผมไปที่โรงยิมซึ่งอยู่ตรงสุดอาคารสอง
“เวลามีชั่วโมงพละจะแล้วแต่อาจารย์ว่าเค้าจะมาสอนที่โรงยิมหรือที่สนามฟุตบอลน่ะ แต่ส่วนมากวิชาบาสกับวอลเลย์จะสอนแต่ในโรงยิมเท่านั้น เดี๋ยวเข้าไปดูข้างในกันหน่อยแล้วกัน”
ผมพยักหน้าแล้วก็เดินตามไป ความจริงผมไม่ค่อยถนัดวิชาพลศึกษามาแต่ไหนแต่ไร อาจเพราะความที่ผมตัวเล็ก เวลาที่ขอเล่นอะไรกับเพื่อนๆก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากให้อยู่ในทีมมาตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยค่อนข้างจะฝังใจแล้วก็เลยทำให้ไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาไปด้วย
“อ้าว มีรุ่นพี่มาเล่นอยู่แล้วนี่นา พวกนี้นักกีฬาของโรงเรียนด้วย”
จ้าเอ่ยขึ้นแล้วก็เดินเข้าไปในโรงยิม ด้านในมีคนเล่นบาสอยู่แล้วประมาณสิบกว่าคน ดูจากรูปร่างและหน้าตาแล้วก็น่าจะเป็นรุ่นพี่โตๆทั้งนั้น ผมเห็นจ้ายืนนิ่งดูรุ่นพี่พวกนั้นส่งบอลและชู้ตลูกลงห่วงอย่างสนใจก็เลยถามขึ้น
“จ้าชอบบาสเหรอ?”
“อื้อ เรากะว่าเดี๋ยวตอนที่อาจารย์เปิดคัดสมาชิกทีมของโรงเรียนตอนเทอมสองนี่เราก็จะลองสมัครดู ทีมโรงเรียนเราเจ๋งนะ เคยได้แชมป์จังหวัดติดกันมาสองปีซ้อนแล้วด้วย”
ผมพยักหน้าแล้วก็เออออไปด้วย แต่ไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่กับเรื่องชื่อเสียงทางกีฬาของที่นี่ เพราะว่านอกจากเรื่องการเรียนการสอนแล้ว โรงเรียนนี้ก็มีชื่อด้านกิจกรรมไม่แพ้กันเพราะว่าเป็นโรงเรียนใหญ่
พอคิดถึงตรงนี้ผมก็อดจะก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจไม่ได้ ถึงอะไรๆของที่นี่จะดีกว่าโรงเรียนเก่าผมหมดเลยก็จริง แต่ผมก็คิดถึงเพื่อนๆผมที่โน่นมากกว่า
“เฮ้ย! นะ ระวัง!!”
“เอ๋? โอ๊ย!!!”
ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของจ้า แต่ยังไม่ทันได้ถามว่าเพราะอะไรก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆหนักๆพุ่งมาโดนหน้าผาก หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะชุลมุนพร้อมกับภาพคนหลายคนที่วิ่งเข้ามารุมล้อมแบบเบลอๆ หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็มืดสนิท
++------++
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอ่อนโยนที่แนบลงบนแก้ม พอค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นก็เห็นว่าเป็นแม่นั่นเองที่กำลังมองผมอย่างเป็นห่วง
“ฟื้นแล้ว น้องนะเป็นไงมั่งลูก? เวียนหัวหรือเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ผมกะพริบตาถี่ๆแล้วก็มองไปรอบตัว พอเห็นผ้าม่านที่แขวนลงมาจากราวบนเพดานกับเตียงสีขาวก็รู้ทันทีว่ากำลังอยู่ในห้องพยาบาล ผมเลยเบนสายตากลับไปหาแม่อีกครั้งแล้วส่ายหน้า
“ไงจ๊ะ ฟื้นแล้วเหรอ?”
คงเพราะได้ยินเสียงแม่ผม อาจารย์ประจำห้องพยาบาลก็เลยรูดผ้าม่านออกแล้วเดินเข้ามายืนข้างเตียง ผมเลยถามขึ้นเพราะงงว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“แม่ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมนะมาอยู่ห้องพยาบาลได้ล่ะ?”
ผมยันตัวขึ้นมานั่ง แม่เลยยกมือขึ้นมาลูบหน้าผมแล้วก็พยักหน้าไปทางอาจารย์พยาบาล “ก็เราน่ะไปโดนลูกบาสอัดใส่หน้าจนเป็นลมในโรงยิมน่ะสิ เห็นว่าเพื่อนที่ไปด้วยกับพวกเด็กม.6 เค้าช่วยกันพามาส่งห้องพยาบาล พออาจารย์แขเห็นว่าเป็นเราก็เลยให้เด็กวิ่งไปบอกแม่”
ผมได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว ตายล่ะ นี่ผมเผลอเป็นลมจนทำให้คนอื่นวุ่นวายกันขนาดนี้เลยเหรอ ที่สำคัญ ตอนนี้เค้าเข้าแถวเคารพธงชาติกันไปหรือยังล่ะเนี่ย
“แม่ แล้วเรื่องเข้าแถวล่ะ?”
“ตอนนี้เค้าเข้าแถวเสร็จจนเริ่มโฮมรูมกันไปแล้วจ้ะ ถ้าเรารู้สึกไม่ดีจะนอนต่อก่อนก็ได้นะ วันเปิดเทอมวันแรกยังไม่ค่อยมีอะไรหรอก”
เป็นอาจารย์แขที่ช่วยตอบให้ ผมเลยรีบเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วก็ลุกลงจากเตียง แค่เป็นเด็กที่เพิ่งย้ายมาก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูกอยู่แล้ว ขืนขาดเรียนช่วงเช้าวันแรกด้วยคงยิ่งเป็นเป้าสายตาเข้าไปใหญ่น่ะสิ
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะไปเรียน เดี๋ยวไม่ทันจดตารางสอน”
“งั้นเดี๋ยวแม่เดินไปส่ง….แล้วก็ห้ามปฏิเสธด้วย เกิดเวียนหัวแล้วน็อคไปอีกจะทำยังไง?”
ผมได้แต่ย่นจมูกเมื่อโดนแม่ดักทาง หลังจากไหว้ขอบคุณอาจารย์แขแล้วก็เลยเดินตามแม่ออกจากห้องพยาบาลเงียบๆ ทีนี้เพื่อนๆคงได้รู้กันหมดทั้งห้องล่ะว่าผมเป็นลูกอาจารย์ฝ่ายปกครอง
แม่พาขึ้นลิฟต์ซึ่งปกติให้ใช้ได้เฉพาะพวกอาจารย์ขึ้นไปที่ชั้นสี่ จากนั้นก็พาผมไปส่งถึงที่หน้าห้องเรียน แค่นั้นไม่พอยังขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาของผมพาผมเข้าไปแนะนำหน้าห้องด้วยตัวเองอีกด้วย ตลอดเวลาที่สายตาของเพื่อนๆในห้องพุ่งมาที่ผม ผมก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนไม่หยุด พอแม่เดินออกจากห้องไปแล้วผมเลยรีบเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆจ้าซึ่งผมวางกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า แล้วก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองใครอีกเลย
อาจารย์ที่ปรึกษาของผมชื่อโสภาพรรณ ประจำอยู่หมวดสังคมศึกษาและยังค่อนข้างสาว พออาจารย์จดตารางสอนอันใหม่ให้เสร็จแล้วก็สำรวจความเห็นเรื่องหัวหน้าห้องกับเรื่องเวรประจำห้องต่อ หลังจากทุกคนลงความเห็นว่าขอให้หัวหน้าห้องกับรองหัวหน้าห้องเป็นคนเดิมเหมือนเทอมที่แล้ว อาจารย์เลยแค่จัดเรื่องเวรประจำวันให้ใหม่โดยให้ยึดตามแถวที่นั่งแทน
หลังจากอาจารย์โสภาพรรณเดินออกไปแล้ว จ้าก็หันมาหาผม “ยังเป็นไรมากหรือเปล่า ตอนนายเป็นลมเราตกใจหมดเลย ว่าแต่ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะว่าเป็นลูกอาจารย์ ถ้าหากอาจารย์ห้องพยาบาลไม่บอกให้เราวิ่งไปบอกอาจารย์วรรณีเราคงไม่รู้หรอกว่าแม่นายสอนที่นี่ด้วย”
“...โทษที เราไม่ค่อยอยากให้ใครรู้น่ะ”
ผมก้มหน้าแล้วก็ตอบเบาๆ รู้สึกว่าหน้ายังร้อนไม่หายที่โดนแม่จูงมือมาแนะนำที่ห้องเมื่อกี้อย่างกับผมเป็นเด็กอนุบาล แถมถ้าไม่รู้สึกไปเอง ผมคิดว่าเห็นเพื่อนคนอื่นในห้องแอบมองผมแล้วก็หัวเราะคิกคักกันเสียด้วยสิ ที่ไม่อยากย้ายมาโรงเรียนแม่ก็เพราะแบบนี้นี่แหละ
หลังจบโฮมรูม การเรียนการสอนของภาคเช้าก็เริ่มต้นขึ้น ระหว่างนี้ผมจึงลืมเรื่องน่าอายเมื่อเช้าไปได้บ้าง และพอถึงคาบพักกลางวันจ้าก็หันมาถาม
“นะไปกินข้าวกลางวันด้วยกันมั้ย? เดี๋ยวเราแนะนำเพื่อนๆเราให้”
“อื้อ เอาสิ”
ผมเดินตามจ้าลงไปที่โรงอาหาร โดยในกลุ่มของจ้าจะมีเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนชื่อวีกับแนทซึ่งเรียนห้องเดียวกันมานั่งกินข้าวด้วย หลังจากทักทายกันแล้วผมเห็นว่าคนยังเข้าคิวซื้ออาหารกันเต็มแทบทุกร้านอยู่ ผมเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ข้างโรงอาหารก่อน
อาจเพราะตอนนี้เพิ่งหมดเวลาพักกลางวันของนักเรียนม.ต้น ส่วนนักเรียนม.ปลายก็เพิ่งได้ลงมาทานข้าว ในห้องน้ำชายจึงไม่มีใครอยู่เลย ผมเดินเข้าไปจัดการธุระในห้องน้ำเสร็จแล้วก็ออกมาล้างมือที่อ่าง แต่เพราะว่าจุดที่ผมยืนนั้นใกล้กับประตูห้องน้ำไปหน่อย พอมีคนผลักประตูเข้ามาก็เลยโดนสีข้างผมเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย”
“อ้าว! ขอโทษๆ พี่ไม่เห็นว่ามีคนยืนอยู่”
ผมได้แต่ยืนก้มหน้าแล้วก็ลูบสีข้างตัวเองป้อยๆ ทำไมวันที่เพิ่งจะได้เริ่มเทอมใหม่ทั้งทีผมถึงต้องเจอแต่เรื่องเจ็บตัวแบบนี้ด้วยนะ
“ไม่เป็นไรครับ...”
ผมตอบอุบอิบแล้วก็จะก้าวขาออกจากห้องน้ำ แต่เพราะว่าอีกฝ่ายเล่นบังประตูไว้ซะมิด ผมเลยได้แต่ยืนกุมสีข้างแล้วก็ก้มหน้าอยู่แบบนั้น
เท่าที่ฟังอีกฝ่ายเรียกตัวเองเมื่อกี้ แสดงว่าคงจะเป็นรุ่นพี่ชั้นโตถึงได้มั่นใจว่าตัวเองเป็นพี่ แต่ว่าก็ไม่แน่อีก เพราะบางทีผมก็โดนเด็กรุ่นเดียวกันหรือรุ่นน้องนึกว่าผมอายุน้อยกว่าอยู่บ่อยๆ
“ขอโทษที เจ็บมากเลยเหรอ? เอ๊ะ...เราใช่คนที่โดนลูกบาสของพี่อัดใส่หน้าเมื่อเช้าหรือเปล่าน่ะ?”
“เอ๋?”
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงอย่างประหลาดใจ แต่ว่ายังไม่ทันเงยขึ้นจนสุดก็ต้องตกใจที่อีกฝ่ายก้มลงมาจนสายตาอยู่ระดับเดียวกัน มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหน้าผากให้เบาๆจนผมต้องกะพริบตา
“ใช่จริงๆด้วย หน้าผากยังแดงอยู่เลย ขอโทษนะ ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
ผมมองสายตาที่จ้องหน้าตัวเองในระยะใกล้ แล้วในหัวก็เกิดตื้อคิดคำตอบไม่ออกจนได้แต่ส่ายหน้า จู่ๆก็รู้สึกว่าผิวแก้มร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รุ่นพี่คนนั้นเลยยิ้มแล้วก็ยืดตัวขึ้นยืนตรงเหมือนเดิม ผมเลยแหงนหน้าตามจนคอแทบตั้งบ่า หวา...ตัวใหญ่ชะมัด ผมยังสูงไม่ถึงไหล่พี่เขาเลย
“เวลาพวกพี่ซ้อมกันทีไรก็เล่นกันเต็มที่ทุกทีน่ะ แต่ปกติเช้าๆไม่ค่อยมีใครเข้าไปในโรงยิมกันหรอกนอกจากนักกีฬาที่ไปซ้อม คราวหลังถ้าเราจะเข้าไปอีกก็ระวังอย่าเข้าใกล้สนามมากนักก็แล้วกัน”
“เอ่อ ครับ”
ผมตอบรับเสียงเบา ความรู้สึกเจ็บตรงสีข้างหายไปแล้ว แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงผิดจังหวะมากกว่า ความที่สายตาผมอยู่ตรงระดับหน้าอกของพี่เขาพอดี ผมเลยได้อ่านชื่อที่ปักอยู่ตรงนั้นไปโดยปริยาย
อรรถพล เกียรติพิชานันท์… ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเคยเห็นชื่อนี้นะ?
“งั้นพี่ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
พออีกฝ่ายเอ่ยปาก ผมเลยเหลือบตาขึ้นมองคนพูดอีกที ที่จริงคนที่บังประตูจนผมออกไปไม่ได้มันพี่เขาต่างหาก แต่ผมก็พยักหน้าให้แล้วก็เบี่ยงตัวให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปข้างใน แต่พอจะเดินออกก็ได้ยินเสียงพี่เขาเรียกไว้อีก
“เออนี่”
“หือ?”
ผมหันหน้ากลับไปหาคนเรียกด้วยสีหน้าสงสัย อีกฝ่ายเลยยิ้มให้แล้วก็ชี้ที่นาฬิกาข้อมือตัวเอง
“นี่หมดเวลาพักของพวก ม.ต้นแล้วนี่นา เราไม่รีบขึ้นไปเรียนจะดีเหรอ?”
ผมหมุนตัวแล้วก็เดินจ้ำออกมาทันที ผมใช่เด็ก ม.ต้นที่ไหนกันเล่า!
++------++
ที่เหลือ ทู บี คอนติ๊นิว ในหนังสือเน้อ 