ตอนที่ 23: ปลายทางของสองเรา (ครึ่งแรก)
เวลา...จะว่าไปมันก็ชอบผ่านเลยเราไปแบบไม่ให้โอกาสตั้งตัว จากวันที่ผมได้กลับมาเจอนะอีกครั้ง จนวันที่รู้ใจตัวเองและตกลงคบกัน ผ่านเรื่องใจหายใจคว่ำตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรกด้วยกัน จนได้ไปฉลองครบรอบครึ่งปีด้วยกันที่ริมทะเล ตอนนี้ชีวิตการเป็นศึกษาปีที่สามในรั้วมหาวิทยาลัยของผมและปีที่หนึ่งของนะก็จบลงไปแล้ว
เนื่องจากภาคปกติของผมกับภาคอินเตอร์ของนะเปิดและปิดเทอมไม่พร้อมกัน ผมเลยสอบไล่ปลายภาคเทอมสองเสร็จก่อนและได้ปิดเทอมเร็วกว่าเกือบสามเดือน ระหว่างนั้นผมจึงตัดสินใจไปฝึกงานที่บริษัทด้านการค้นคว้าข้อมูลการตลาดแห่งหนึ่งซึ่งอาจารย์ช่วยแนะนำให้ เพราะนอกจากจะตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะหาอะไรที่มีสาระทำระหว่างปิดเทอม อีกเหตุผลสำคัญก็คือ ผมจะได้ไม่ต้องกลับบ้านแล้วปล่อยให้นะอยู่หอคนเดียวระหว่างที่เจ้าตัวยังสอบไม่เสร็จด้วย
ขณะที่เราเติมเต็มเวลาที่หายไปช่วง ม.ปลายผ่านการใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยกัน ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับผู้คนรอบตัวเราเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่หล่งกับมุ้ย ที่ผมว่าดูยังไงมันก็ใกล้เคียงการเป็นคู่รักเข้าไปทุกที เพราะจากที่พี่หล่งเคยโทรศัพท์ไปแหย่มุ้ยทุกวัน เดี๋ยวนี้ทั้งสองคนก็พัฒนาถึงขั้นออกไปทานข้าวหรือดูหนังด้วยกันแล้ว ถึงแม้ว่าพอผมทักมุ้ยเรื่องนี้ทีไรก็จะโดนแผดเสียงแว้ดๆใส่ว่าผมคิดไปเองทุกครั้งก็ตาม หรือว่าเรื่องของพี่อิม พี่สาวผมที่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเชียงรายซึ่งเริ่มปรึกษากับแฟนเรื่องการแต่งงาน เพราะว่าฝ่ายชายเพิ่งได้รับเลื่อนยศเป็นพันตำรวจโท และตอนนี้ก็พาพี่สาวผมไปแนะนำกับทางบ้านอย่างเป็นทางการแล้วอีก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายเหล่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ก็คือการที่แม่ตัดสินใจแต่งงานใหม่ในที่สุดหลังจากดูใจกับว่าที่สามีใหม่มาปีกว่า โดยแม่บอกเรื่องนี้กับผมระหว่างที่ปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นปีสี่นั่นเอง
เจ้าของนามสกุลใหม่ของแม่ หรือในอีกแง่ก็คือคนที่จะมาเป็น ‘พ่อเลี้ยง’ ของผมชื่อลุงตั๋ง ซึ่งลุงตั๋งกับแม่เคยเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกันและเคยคบกันมาก่อนแล้วตอนยังเป็นวัยรุ่น เพียงแต่หลังจากที่เรียนจบแล้วต่างฝ่ายต่างสอบติดคนละที่จึงทำให้แยกห่างกันไป และจากนั้นก็ไม่ได้นัดพบหรือติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งลุงตั๋งกลับมาร่วมงานศพพ่อของตัวเองที่นครสวรรค์เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนจึงทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง
ถ้าใครได้มาฟังเรื่องของลุงตั๋งกับแม่แล้วอาจจะนึกว่าเป็นนิยายก็ได้ เพราะทั้งๆที่ตลอดเวลาซึ่งทั้งสองคนแยกไปมีครอบครัวของตัวเองนั้น มีบางช่วงที่ลุงตั๋งกลับมาเยี่ยมญาติที่นครสวรรค์บ้าง แต่ว่าก็ไม่เคยได้เจอแม่ผมเลยสักครั้ง ส่วนแม่เองก็ไม่เคยติดตามถามไถ่ข่าวคราวของอีกฝ่ายจากคนรู้จักเลยเหมือนกัน สาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันก็เป็นเพราะลุงตั๋งต้องเข้าไปคัดลอกเอกสารที่สำนักงานเขตเพื่อจัดการเรื่องพินัยกรรมมรดก และแม่ผมก็ดันต้องเข้าไปทำบัตรประชาชนใหม่แทนบัตรเดิมที่หายในวันนั้นพอดี อดีตคู่รักวัยเรียนเลยได้กลับมาพบกันใหม่หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสามสิบปีด้วยเหตุนี้
การได้พบกันอีกครั้งทำให้ทั้งสองคนได้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็กลายเป็นโสดรอบสอง เพราะว่าภรรยาของลุงตั๋งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ส่วนลูกสาวคนเดียวที่มีก็เพิ่งแต่งงานออกเรือนไปได้ไม่นาน ในขณะที่ฝ่ายแม่ผมก็หย่าขาดจากพ่อมาสี่ปีกว่า และคงไม่มีวันหวนกลับไปคืนดีกันอีกเพราะพ่อก็แต่งงานใหม่ไปแล้ว
แน่นอนว่าลุงตั๋งกับแม่ไม่ได้ตกลงใจแต่งงานกันทันทีหลังจากได้กลับมาเจอกัน เพราะถึงแม้ลูกๆของแต่ละคนจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่การตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับใครก็ถือเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ยิ่งทั้งคู่ห่างหายกันไปเกือบสามสิบปีก็ยิ่งทำให้ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ทั้งคู่ต่างทำงานและมีสังคมกันคนละที่ เพราะในขณะที่แม่ผมทำงานและมีเพื่อนๆอยู่ที่นครสวรรค์ แต่ว่าลุงตั๋งกลับมีบ้านและการงานอยู่ที่กาญจนบุรี ดังนั้นหากทั้งสองคนจะแต่งงานกันจริงๆก็หมายถึงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องยอมย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งแทน และสุดท้ายก็เป็นลุงตั๋งที่ยอมเสียสละด้วยการทำเรื่องขอย้ายงานจากการประปาส่วนภูมิภาคที่กาญจนบุรีมาที่นครสวรรค์ เพราะถึงอย่างไรลุงตั๋งก็ต้องมาดูแลมรดกซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ตามพินัยกรรมของพ่อที่เสียไปอยู่แล้ว แต่ว่าแม่ผมก็ต้องย้ายของออกจากบ้านเดิมเพื่อไปอยู่บ้านสามีหลังจากแต่งงานกันแล้วเหมือนกัน
ตอนแรกที่แม่โทรมาขอให้กลับบ้านในสุดสัปดาห์หนึ่งระหว่างที่ยังฝึกงาน ผมก็คิดอยู่แล้วว่าแม่คงมีเรื่องสำคัญจะบอก เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับระบุว่าต้องเป็นวันเสาร์นั้นเท่านั้น และตอนแรกผมก็ตั้งใจจะพานะกลับไปด้วย แต่ว่าเจ้าตัวติดทำรายงานกับเพื่อนๆ ผมเลยต้องกลับไปที่บ้านคนเดียว แล้วก็เป็นอย่างที่คาดคือแม่นัดผมไปเพื่อให้ได้พบกับลุงตั๋งจริงๆ แต่ที่ไม่ได้คาดไว้ก็คือการได้เจอพี่อิมที่มาพร้อมกับพี่ธัญญ์ แฟนซึ่งเป็นตำรวจที่เพิ่งได้เลื่อนขั้น ส่วนลุงตั๋งเองก็พาลูกสาวกับลูกเขยมาแนะนำด้วย จึงนับเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับว่าที่สมาชิกครอบครัวใหม่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
พี่จี๊ด ลูกสาวของลุงตั๋งอายุน้อยกว่าพี่อิมหนึ่งปีและมากกว่าผมสามปี เพิ่งแต่งงานกับแฟนชื่อพี่โชคซึ่งเป็นเจ้าของอู่รถแห่งหนึ่งในตัวเมืองกาญจน์ได้ไม่นานและปลูกบ้านอยู่ด้วยกันที่นั่น ส่วนด้านพี่อิมเอง ที่พาพี่ธัญญ์มาครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการพาคนรักมาแนะนำกับครอบครัวแล้ว พี่อิมก็มากระซิบบอกผมว่าเพราะตอนแรกพี่ธัญญ์ตั้งใจจะมาสู่ขอพี่อิมด้วย แต่หลังจากที่รู้ว่าแม่ผมนัดให้ทุกคนมารวมตัวกันเพราะจะประกาศเรื่องแต่งงานกับลุงตั๋งอย่างเป็นทางการ พี่อิมเลยต้องขอให้พี่ธัญญ์เลื่อนการสู่ขอไปก่อน แต่แหวนวงเล็กบนนิ้วพี่อิมก็ทำให้ผมรู้ว่าถึงอย่างไรท่านสารวัตรก็ได้หัวใจและคำตอบของพี่ผมไปแล้ว
อันที่จริงผมก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินแม่บอกว่ามีเพื่อนสมัยเรียนมาจีบแล้ว แต่พอได้ยินคำยืนยันเข้าจริงๆ ก็ยังอดจะช็อคไม่ได้ เพราะในที่สุดผมก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่ากำลังจะมีผู้ชายอื่นเข้ามาในชีวิตของแม่ และครอบครัวที่เคยเหลือเพียงเราสามคนก็จะไม่ใช่แค่ ‘เราสามคน’ ที่มีเพียงผม พี่อิมและแม่อีกต่อไป แต่หลังจากที่ได้เจอลุงตั๋ง ผมก็เริ่มมั่นใจว่าอย่างน้อยแม่ผมคงจะมีคนที่คอยดูแลไปจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน เพราะในขณะที่พ่อผมมักชอบออกไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูงตลอดเวลาแม้กระทั่งวันหยุด ลุงตั๋งกลับเป็นคนขรึมๆและไม่ชอบกินเหล้าเมายา นอกจากนี้ยังชอบอยู่บ้านทำสวนในวันหยุด ความทุ่มเทเอาใจใส่ครอบครัวของลุงตั๋งซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อของผมเคยขาดไปนั่นเอง คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมคลายความกังวลว่าแม่ได้พบคนที่ดีแล้ว และผมเองก็ต้องปรับตัวกับครอบครัวใหม่ที่ขยายใหญ่ขึ้น เพราะว่าหากแม่ทำอะไรแล้วมีความสุข นั่นก็ถือเป็นความสุขสำหรับผมด้วยเหมือนกัน
+------+
นับจากวันที่ทุกคนในครอบครัวรับรู้ว่าพวกเรากำลังจะเกี่ยวดองกัน และหลังจากการย้ายงานของลุงตั๋งผ่านไปอย่างราบรื่น เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเทอมพอดี และขณะที่ผมกำลังรอให้ภาคการศึกษาสุดท้ายเริ่มเพื่อจะได้เรียนให้จบเสียที แม่กับลุงตั๋งก็ได้กำหนดฤกษ์พิธีแต่งงานกันระหว่างนั้นนั่นเอง
ความที่แม่กับลุงตั๋งไม่อยากสิ้นเปลืองเงินทองจัดงานให้เอิกเกริกเพราะต่างคนก็ไม่ได้เพิ่งจะแต่งงานเป็นครั้งแรก หลังจากปรึกษากันแล้ว พวกผู้ใหญ่เลยคิดว่าจะทำพิธีสงฆ์และจัดเลี้ยงอาหารง่ายๆที่บ้านก็พอ เพียงแต่ว่าใช้วิธีจ้างร้านอาหารมาจัดการให้จะได้ไม่ต้องวุ่นวายเก็บกวาดกันเอง แต่เพราะว่าลุงตั๋งเองก็มีเพื่อนที่รู้จักกันที่กาญจนบุรีเยอะ งานที่ตอนแรกคาดกันว่าคงมีแขกมาเพียงยี่สิบสามสิบคนเลยกลายเป็นงานที่มีแขกหกสิบกว่าคน พอถึงวันงานจริงๆจึงต้องให้ทางร้านเอาเต๊นท์มากางที่สนามและเอาโต๊ะกับเก้าอี้เสริมมาวางให้ด้วย
กำหนดการของงานก็คือจะมีการทำพิธีสงฆ์ในตอนเช้า หลังจากนั้นก็ตามด้วยการเลี้ยงเพลและเลี้ยงอาหารโต๊ะจีนให้กับแขกที่มาร่วมงาน จะว่าไปนี่ก็เป็นการรวมญาติที่ผมห่างหายไปนานเหมือนกัน เพราะว่ายายผมเสียไปก่อนที่ผมจะเกิด ส่วนตาก็เสียไปตั้งแต่ตอนผมแปดขวบ หลังจากนั้นเลยไม่ค่อยมีงานใหญ่ที่ทำให้ญาติๆได้มารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาเท่าไหร่
นอกจากญาติๆแล้ว ครอบครัวของเพื่อนและคนรู้จักที่สนิทก็ได้รับเชิญมาด้วย ดังนั้นในบรรดาแขกเหรื่อของวันนี้จึงมีครอบครัวของน้าเหมียว แม่ของมุ้ยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ผมมาร่วมงาน โดยน้าเหมียวพาครอบครัวมาครบ ทั้งลุงปุ่นซึ่งเป็นสามี พี่เม่น ลูกชายคนโตก็พาภรรยากับลูกสาวที่อายุได้ขวบกว่ามาด้วย และแน่นอนว่ามุ้ยก็ต้องมา ส่วนนะเองก็มากับลุงพงษ์และอาจารย์วรรณีตั้งแต่เช้าเหมือนกัน
คงเพราะในการ์ดเชิญก็บอกไว้แล้วว่าขอให้แขกแต่งตัวตามสบายได้ วันนี้พวกสาวๆก็เลยแต่งชุดกระโปรงที่ดูไม่เป็นทางการมากนัก ส่วนพ่อหนูน้อยใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีครีมแขนสามส่วนกับยีนส์ฟอกสีดำ ขณะที่ผมเองใส่กางเกงสีเทากับเสื้อเชิ้ตสีขาวมีลายกราฟฟิคที่ด้านหลัง
“อ้าวน้องนะ ไงลูก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณวรรณี คุณพงษ์ สวัสดีค่ะ”
แม่ซึ่งยืนรับแขกอยู่หน้าบ้านคู่กับลุงตั๋งเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นแฟนผม ก่อนจะคว้าตัวเข้าไปกอดอย่างดีใจราวกับได้เจอลูกชายคนเล็กที่หายไปนาน จากนั้นก็หันไปทำท่ากระซิบกระซาบกับพี่อิมที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วพยักเพยิดมาทางผม ตอนแรกพี่อิมทำตาโตขึ้นแวบหนึ่ง แต่แล้วก็หันมามองผมสลับกับนะแล้วก็ยิ้ม พ่อหนูน้อยเองก็คงพอจะรู้ตัวว่ากำลังโดนมอง แก้มสองข้างเลยเริ่มเรื่อเป็นสีเลือดฝาดขึ้นมา ผมเลยขอตัวพาเข้าไปหลบญาติๆในครัวด้วยกันก่อน เพราะว่าผมต้องไปเตรียมน้ำชามาถวายคณะของพระสงฆ์ที่เพิ่งมาถึงบ้านพอดี
“เมื่อคืนพี่อิมทำน้ำพั้นช์เหลือไว้ในตู้เย็นพอดี แต่ไม่ได้ใส่เหล้าหรอกนะ นะจะเอาหน่อยมั้ย?”
คนถูกถามพยักหน้า ผมเลยหยิบเหยือกใส่น้ำพั้นช์ออกมาจากตู้เย็นแล้วรินใส่แก้วส่งให้ระหว่างรอกระติกน้ำเดือด พ่อหนูน้อยรับแก้วไปแล้วก็กวาดสายตาไปรอบห้องครัวที่ค่อนข้างใหญ่และสะอาดเรียบร้อยด้วยความสนใจ เพราะว่าตั้งแต่ผมย้ายของออกจากบ้านเดิมมาอยู่ที่นี่เมื่อเดือนก่อนก็ยังไม่เคยพานะมาเที่ยวเลย ส่วนบ้านเก่าของผม ตอนนี้แม่เปิดให้คนอื่นมาเช่าไปแล้ว
“พี่อ๊อฟชินกับบ้านใหม่หรือยัง?”
นะถามขึ้นหลังจากชิมน้ำพั้นช์สูตรของพี่อิมไปอึกหนึ่ง ผมเลยยิ้มให้คนถามก่อนจะมองไปรอบๆ ยอมรับว่าตอนแรกที่รู้ว่าต้องย้ายของตามแม่มาอยู่ที่นี่ผมก็ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน เพราะว่าผมเองก็ผูกพันกับบ้านเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เกิด แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บของไว้ที่นั่นในเมื่อผมเองก็ไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยๆ และความจริงที่นี่ก็สะดวกดี เพราะว่าอยู่ใกล้ในเมืองมากกว่า จะขับรถออกไปไหนก็ง่ายกว่าที่บ้านเดิมตั้งเยอะ
“ก็เริ่มคุ้นขึ้นมากกว่าเดิมแล้วล่ะ ห้องใหม่ก็ใหญ่ดี เพียงแต่คงต้องหาเวลาจัดข้าวของให้เป็นระเบียบหน่อย ของบางส่วนพี่ยังไม่ได้เอาออกมาจากกล่องเลย”
“งั้นให้นะช่วยด้วยนะ”
พ่อหนูน้อยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระตือรือร้น พอผมเห็นสีหน้าตื่นเต้นอย่างกับเจ้าตัวกำลังขอไปเที่ยวก็อดจะยื่นมือไปบีบจมูกโด่งเล็กเบาๆไม่ได้ ความจริงตั้งแต่นะขึ้นปีสองเป็นต้นมา ผมก็รู้สึกเหมือนเจ้าตัวเริ่มทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็จะมีเวลาที่อยู่กับผมสองคนนี่แหละที่ยังไงก็ยังชอบอ้อนอยู่ดี
“โอเค แต่เอาไว้ให้จบงานวันนี้ไปก่อนก็แล้วกัน”
ผมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กย่นจมูก แต่ว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากประตูครัว
“อ๊อฟ แกชงชาเสร็จยัง เดี๋ยวใกล้จะได้เวลาเริ่มทำพิธีแล้วนะ พี่อิมฝากให้ชั้นมาตาม”
มุ้ยเอ่ยขึ้นพลางโยกตัวหลานสาวที่อุ้มติดมาด้วยไปมา วันนี้ยายเพื่อนผมใส่ชุดกระโปรงเข้ารูปสีฟ้าอ่อน ส่วนกระโปรงซึ่งยาวแค่เข่านั้นเป็นผ้าเนื้อบางพลิ้ว ส่วนผมก็ถักเปียเดี่ยวแล้วปัดมาไว้เหนือไหล่ ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักมุ้ยมาก่อนคงเห็นแล้วคิดว่าน่ารัก แต่สำหรับผมที่รู้จักคุ้นเคยกันดีตั้งแต่เด็ก มองแล้วให้รู้สึกแปลกๆพิกลที่เห็นเพื่อนแต่งตัวหวานได้ซะขนาดนี้ เห็นแล้วน่าถ่ายรูปส่งไปให้พี่หล่งดูชะมัด แต่ดูเหมือนยายจอมจุ้นจะอ่านสายตาผมออกเลยถลึงตาใส่ ส่วนนะก็ได้แต่หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของพวกผมสองคน
“แป๊บนึง น้ำเดือดแล้ว เดี๋ยวจะยกออกไปให้แล้วล่ะ งั้นนะออกไปกับมุ้ยก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการตรงนี้เสร็จก็จะออกไปแล้วเหมือนกัน”
ท้ายประโยคผมหันไปบอกคนข้างตัว นะเลยเอาแก้วน้ำพั้นช์ที่เหลืออยู่นิดเดียวไปล้างก่อนจะเดินออกไปกับมุ้ย พอผมเทน้ำชาใส่แก้วที่เรียงไว้ในถาดแล้วจึงเดินออกไปตรงส่วนสำหรับทำพิธีสงฆ์บ้าง
หลังจากได้เวลาตามฤกษ์ที่กำหนด พระสงฆ์ที่นิมนต์มาทั้งเก้ารูปก็เริ่มพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ ส่วนผมเองก็ไปคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าพิธีซึ่งเป็นพี่ชายของลุงตั๋งนั่นเอง ความที่แขกมากันเยอะทำให้ห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นที่ทำพิธีดูแน่นไปถนัดตาทีเดียว
หลังจากเสร็จพิธีสงฆ์แล้ว ผมก็คอยช่วยประสานเรื่องถวายอาหารเพลต่อ และพาคณะไปส่งที่รถหลังจากฉันอาหารเพลเสร็จแล้วอีก เพราะผมรู้สึกว่านี่เป็นงานแต่งงานครั้งที่สองของแม่ทั้งที และก็คงจะไม่มีครั้งที่สามอีกแล้ว จึงอยากจะช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นพอทำทุกอย่างเสร็จแล้ว กว่าจะได้กลับมาตรงที่จัดเลี้ยงอีกทีผมเลยรู้สึกว่าตัวเองเหนียวเหงื่อไปหมด
“ไปกินข้าวได้แล้วล่ะอ๊อฟ เราน่ะพักได้แล้วนะ”
พี่อิมเดินมาบอกแล้วก็แตะบ่าผมเบาๆขณะที่ผมเดินกลับเข้าไปในงาน ผมเลยชะโงกหน้ามองว่าใครนั่งอยู่โต๊ะไหนกันบ้าง และดูเหมือนพี่อิมก็อ่านสายตาผมออก เลยบอกผมยิ้มๆ
“น้องนะนั่งอยู่กับพ่อแม่เค้า แต่ว่าก็อยู่โต๊ะติดกับพวกพี่น่ะแหละ เดี๋ยวอ๊อฟไปนั่งกับน้องนะก็ได้ ส่วนแม่กับลุงตั๋งก็ให้นั่งกับพวกแขกผู้ใหญ่ไปเถอะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ แต่เพราะความที่รู้สึกเหนียวตัวเต็มที ผมเลยคิดว่าน่าจะไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนค่อยมานั่งกินข้าวดีกว่า
“งั้นเดี๋ยวอ๊อฟไปเปลี่ยนเสื้อบนห้องแป๊บนึง ถ้านะถามหา พี่อิมก็บอกว่าเดี๋ยวอ๊อฟลงมาก็แล้วกัน”
พี่สาวผมยิ้มแล้วก็รับคำก่อนจะผละไป ผมเลยเดินอ้อมสนามหญ้าที่มีโต๊ะและแขกบางส่วนนั่งอยู่เพื่อเข้าไปในบ้าน ห้องใหม่ของผมที่บ้านนี้อยู่ด้านในสุดของชั้นสอง ซึ่งนอกจากจะเป็นห้องที่รับลมได้ดีที่สุดแล้วก็ยังมองออกไปเห็นวิวคลองหลังบ้านได้ด้วย และที่ผมเลือกห้องนี้ก็เพราะแบบนี้นี่แหละ ถึงจะรู้ตัวว่าคงไม่ค่อยได้กลับมาบ่อยๆก็ตามทีเถอะ
ผมถอดเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาออกจากตัวแล้วโยนลงตะกร้ามุมห้อง จากนั้นก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าและเอาน้ำลูบเหงื่อตามตัวออกเสียหน่อย แต่ขณะที่เดินออกมาจากห้องน้ำพลางใช้ผ้าเช็ดตัวซับน้ำไปพลาง จู่ๆผมก็รู้สึกเพลียขึ้นมาอย่างกะทันหัน เลยใช้เท้ากดเปิดพัดลมแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อนี่แหละ
ในที่สุดแม่ผมก็แต่งงานใหม่อย่างเป็นทางการแล้วสินะ...
ผมนอนมองเพดานห้องไปพลางก็ระบายลมหายใจยาว นับจากวันนี้ไป บ้านที่ผมจะกลับมาเวลาปิดเทอมหรือเวลาอยากเจอแม่ก็คือที่นี่ เวลาผมจะกรอกเอกสารอะไรที่ต้องระบุชื่อของแม่ด้วย ผมก็ต้องจำให้ได้ว่าแม่เปลี่ยนนามสกุลตามลุงตั๋งไปแล้ว และถ้าจะตัดสินใจทำอะไรในอนาคต นอกจากแม่ พี่อิมแล้วก็พ่อ ก็จะมีคนที่ผมต้องบอกให้รู้เพิ่มขึ้นอีกคน
สามีใหม่ของแม่เป็นคนดี...เรื่องนั้นผมรู้และมั่นใจ เพราะบรรดาเพื่อนๆของลุงตั๋งที่มาร่วมงานจากาญจนบุรีต่างพูดชมเชยลุงตั๋งให้ฟังไม่หยุดปากกันทั้งนั้น และผมเองก็โตเกินวัยที่จะมาต่อต้านกับการที่แม่มีพ่อใหม่แล้ว เพียงแต่สำหรับตอนนี้ ถ้าใครถามว่ารู้สึกดีใจ เสียใจ หรือน้อยใจ ผมก็คงตอบได้แค่ผมรู้สึกเนือยๆก็เท่านั้น บางทีการที่ต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้าก็อาจจะมีส่วนทำให้เป็นแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง
ขณะที่ผมปิดเปลือกตาลงเพราะกะจะพักสายตาสักแป๊บ จากนั้นก็จะลุกไปใส่เสื้อแล้วลงไปกินอาหารข้างล่าง เสียงเคาะประตูห้องเบาๆก็ทำให้ผมต้องหรี่ตาขึ้นมอง และก็ได้เห็นว่าเป็นพ่อหนูน้อยนั่นเองที่มาเคาะเรียก
“พี่อ๊อฟ นะเข้าไปนะ”
“อื้อ เข้ามาสิ”
ผมพูดแล้วก็หลับตาลง เสียงฝีเท้าของนะที่เดินอ้อมเตียงและไปหยุดตรงหน้าต่างทำให้รู้ว่าคงกำลังเพลินกับวิวจากคลองหลังบ้าน แต่เพียงครู่เดียวผมก็รู้สึกได้ว่าฟูกตรงข้างตัวยวบเพราะคนตัวเล็กมานอนหงายลงข้างๆ หลังมือของนะแตะเข้ากับหลังมือผมอย่างแผ่วเบา ผมเลยขยับมือไปประสานนิ้วเข้ากับมือข้างนั้น แต่ว่าก็ยังคงนอนนิ่งไม่ขยับอยู่เหมือนเดิม