เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 14 up! — 26.04.19)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 14 up! — 26.04.19)  (อ่าน 3076 ครั้ง)

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************



'ทั้งที่เพิ่งได้รู้จักกันแท้ๆ แต่ใจผมกลับเต้นแรงเหมือนดีใจที่จะได้เจอคุณอีกครั้ง'

#เพราะคุณเปลี่ยนใจ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2019 10:45:48 โดย abluewhisper »

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (intro)
«ตอบ #1 เมื่อ01-03-2019 10:14:44 »

บทนำ: สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด



เมื่อสองปีก่อน



ปี๊ป่อ-- ปี๊ป่อ-- ปี๊ป่อ--



เสียงล้อบดถนนอันเป็นผลมาจากการเหยียบคันเร่งแทบมิดดังผสมปนเปไปกับเสียงไซเรนของรถพยาบาล ท่ามกลางความโกลาหล รถทุกคันพร้อมใจเบี่ยงเลนหลีกทางให้รถพยาบาลคันนั้นมุ่งหน้าไปถึงจุดเกิดเหตุที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แม้จะทำได้อย่างทุลักทุเลเพราะสภาพจราจรอันหนาแน่นในคืนวันศุกร์ของเมืองกรุง


ภาพเบื้องหน้าคือสภาพของรถยนต์คันสีดำที่กำลังพลิกคว่ำ หลังเสียหลักแฉลบออกข้างทางเพราะจำใจต้องหลบรถเลนสวนที่ขับแซงทางโค้งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พลเมืองดีที่ขับรถตามมาและเห็นเหตุการณ์ต่างจอดรถข้างทาง บ้างก็รีบโทรเข้าสถานีวิทยุรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน บ้างก็วิ่งมาช่วยผู้เคราะห์ร้ายพร้อมก่นด่าคนขับมารยาททรามที่ตอนนี้ซิ่งหนีหายไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่อาจทราบ


ไม่นาน รถพยาบาลและทีมกู้ชีพก็เดินทางมาถึง


“มาช่วยกันงัดประตูหน่อยเร็ว! ”


“น้องเขาเสียเลือดมาก กระดูกหักหลายที่ ค่อยๆ ยกนะ เอ้า ฮึบ! ”


“ติดต่อญาติของน้องได้แล้วครับ ตอนนี้กำลังไปที่โรงพยาบาล น่าจะถึงทันเราพอดี”


“โทรหา ER ที รายงานสถานการณ์แล้วให้เตรียมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าผ่าตัดได้เลย”


………...


เพิ่มไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เคยเห็นบ่อยๆ ตามในละครหรือซีรี่ส์ดัง แต่หลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินจากทีมกู้ภัย เขาก็รีบบึ่งมายังโรงพยาบาลที่ปลายสายแจ้งทันที หลังมาถึงไม่นาน รถพยาบาลก็พาร่างน้องสาวของเขาเข้ามาถึงแผนกฉุกเฉิน


“คนไข้ต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉินค่ะ ซี่โครงแทงทะลุม้ามและปอด เลือดออกภายใน คาดว่ากระดูกสันหลังช่วงล่างได้รับความเสียหายด้วยค่ะ” เสียงแพทย์หญิงแผนกฉุกเฉินรายงานศัลยแพทย์อาวุโสที่วิ่งเข้ามา แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเพิ่มเลยแม้แต่น้อย


หลังจากนั้น เหมือนเขาจะยืนฟังหมออธิบายสถานการณ์อย่างเร่งรีบอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอาแฟ้มที่น่าจะเป็นเอกสารยินยอมผ่าตัดอะไรสักอย่างมาให้เขาเซ็น เพิ่มจำรายละเอียดไม่ได้เลย เขาเอาแต่จ้องร่างที่นอนหมดสติหายใจรวยรินนั่นอย่างไม่วางตา


ตอนที่ร่างของพลัมถูกย้ายไป เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะวิ่งเกาะเตียงผู้ป่วยเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ในใจนึกสงสัยว่าคนพวกนั้นที่เคยเห็นในละครทำแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้สมองเขาไม่สั่งการแม้แต่จะให้พาร่างของตัวเองไปนั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด


“คุณคะ” นางพยาบาลสาวจากแผนกฉุกเฉินที่วิ่งตามมาเอ่ยขึ้นเบาๆ


“ครับ” เสียงของเขาเบาเสียจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์


“รบกวนญาติผู้ป่วยนั่งรอด้านนอกห้องฉุกเฉินนะคะ คุณเดินไหวรึเปล่า” ประโยคแรกเอ่ยขึ้นตามแนวปฏิบัติของโรงพยาบาล แต่ประโยคที่สอง เธอกล่าวออกมาด้วยเพราะเห็นว่าท่าทางของคนตรงหน้าราวกับพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ


“ครับ”


เขาดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล อาศัยสัญชาตญาณที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดในตอนนี้เดินมาถึงหน้าห้องผ่าตัด เพิ่มทิ้งตัวลงนั่ง จากที่เมื่อกี้กำลังอยู่ในภาวะช็อกสุดขีด ตอนนี้สมองเขาเริ่มประมวลผล


ถ้าเกิดว่าพลัมเป็นอะไรไป…


แหมะ


น้ำตาร่วงลงมาจากใบหน้าของเขา จากหนึ่งหยด สองหยด กลายเป็นหยดแล้วหยดเล่าจนเขาสะอื้นตัวโยน เมื่อรอบกายไม่มีใคร ความจริงที่ว่าเขาเหลือน้องสาวเพียงคนเดียวที่เป็นคนในครอบครัวยิ่งทำให้เพิ่มไม่อยากคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด


เพิ่มนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เขารู้สึกตัวอีกทีตอนที่หน้าห้องผ่าตัดมีความวุ่นวายระลอกใหม่เกิดขึ้น คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูละครแบบฟูลเอชดี เตียงคนไข้อีกเตียงที่รายล้อมไปด้วยญาติผู้ป่วยกำลังถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของคนที่น่าจะครอบครัวของผู้ป่วยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เขาได้ยินเสียงคนพูดกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง แต่มันแทบฟังไม่รู้เรื่องเมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกลบด้วยเสียงสะอื้น


ความคิดที่จะชะเง้อมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงชะงักลงเมื่อเห็นศัลยแพทย์อาวุโสผู้รับผิดชอบการผ่าตัดของน้องสาวเขาเดินออกมาจากประตูบานเลื่อนตรงหน้า


“ญาติของคุณพริมารึเปล่าครับ”


“ครับ”


เพิ่มลุกขึ้นยืน น้ำตาที่แห้งไปแล้วพานจะไหลออกมาอีกดื้อๆ นายแพทย์คนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา ความเงียบที่เกิดขึ้นราวกับเป็นลางบอกเหตุร้าย ระยะเวลาที่รอคุณหมอเอ่ยอะไรสักอย่างออกมาคล้ายจะยืดยาวจนแทบทนไม่ไหว แต่พอได้ยิน เพิ่มกลับรู้สึกอยากยืดมันออกไปให้นานแสนนาน


“ทีมแพทย์สามารถยื้อชีวิตของน้องไว้ได้ แต่ว่า…”


“...”


“เนื่องจากการช่วยเหลือที่ล่าช้า ทำให้คนไข้มีภาวะสมองตายครับ”


สิ้นคำพูดของคุณหมอตรงหน้า หูเขาก็อื้ออึงไปหมด น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม


เขารู้สึกสับสน เสียใจ สิ้นหวัง โกรธทุกอย่างที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ นึกย้อนไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่าถ้าสถานการณ์ต่างออกไปจากนี้ พลัมก็คงยังมีชีวิตอยู่ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ


“เดี๋ยวยังไงหมอจะย้ายร่างน้องออกจากห้องผ่าตัดก่อน ญาติคนไข้สามารถเข้าไปเยี่ยมได้ แต่ในภาวะนี้...”


เขารู้ดีว่าสิ่งที่หมอต้องการจะสื่อคืออะไร การดูแลคนที่ไม่อาจตื่นขึ้นมารับรู้อะไรได้อีกเป็นเรื่องสาหัส ถึงอย่างนั้น คำพูดของคุณหมอทำให้เพิ่มนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาสงบสติอารมณ์ ปาดน้ำตาลวกๆ กลืนก้อนสะอื้นแล้วพูดขึ้น


“เอ่อ หมอครับ เรื่องพลัม…”


ความตั้งใจสุดท้ายของพลัม… เขาจะช่วยสานต่อให้สำเร็จเอง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2019 10:22:53 โดย abluewhisper »

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 1)
«ตอบ #2 เมื่อ01-03-2019 10:22:27 »

บทที่ 1 : ควิซ



“ไอ้ที ถ้ามึงไม่มามหาลัยภายใน 15 นาทีนี้ มึงได้แดกเอฟวิชาจารย์กุสุมาแน่”


เสียงเย็นเยียบของไอ้บาล์มที่ทะลุผ่านลำโพงของมือถือทำให้เขาขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทีเด้งตัวขึ้นจากเตียงก่อนพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวและเปลี่ยนชุดภายในเวลาไม่ถึงห้านาที


ให้ตาย ทั้งที่บาล์มมันเตือนแล้วแท้ๆ ว่าเช้านี้มีควิซใหญ่ เขาก็ยังตื่นสายจนได้


ต้องโทษไอ้น้องชายตัวดีที่โทรมาปรึกษาปัญหาหัวใจจนดึกดื่น กว่าเขาจะได้หลับได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม ทีคาดโทษเอาไว้ว่ากลับบ้านคราวนี้ต้องเล่นงานเจ้าซีให้โอดครวญกลับไปซบอกแฟนมัน ข้อหากำลังจะทำเขาติดเอฟวิชาบังคับในเทอมนี้


...ไม่สิวะ เขาจะไม่ยอมพลาดควิซเก็บคะแนนเพราะเรื่องแบบนี้เด็ดขาด!


ทีคว้ากุญแจกับกระเป๋าสตางค์และมือถือมายัดใส่กระเป๋ากางเกง วิ่งออกไปใส่รองเท้า ล็อกห้อง แล้วใช้เท้าถีบประตูปิดดังโครมแบบที่อาเจ๊นิติบุคคลต้องด่าถ้าได้เห็น แต่บอกเลยว่าจุดนี้เขาไม่แคร์ เขากระโดดขึ้นวินมอไซค์ขาประจำที่ปากซอยคอนโด บอกจุดหมายที่พี่วินคุ้นเคยดีเพราะใช้บริการบ่อยครั้ง ก่อนภาวนาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับฝีมือการบิดและคันเร่งของเครื่องยนต์สองล้อนี่


“ขอบคุณมากพี่ อะนี่ ไม่ต้องทอน! ”


เขาแทบจะโยนเงินใส่มือของพี่วินก่อนใส่เกียร์หมาวิ่งขึ้นตึกเรียนมาอย่างไว ทีเกือบจะกระโดดขึ้นบันไดครั้งละสามขั้น จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าห้องเรียนที่มีสมาชิกราวสามสิบคน เมื่อเห็นว่าอาจารย์ยืนอยู่ข้างในแล้วจึงรีบเปิดประตูเข้าไป


“ขออนุญาตครับ”


เขาหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังสีขาวด้านบน เข็มวินาทีชี้อยู่ที่เลขหก ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลา 8.14 นาที เขาทำหน้ารู้สึกผิดทั้งที่ในใจลิงโลด ทีเห็นอาจารย์เหลือบมองนาฬิกาก่อนถอนหายใจเอือมๆ แล้วพูดขึ้น


“ครั้งนี้รอดตัวไปนะนายทีตา หยิบข้อสอบแล้วไปเริ่มทำได้”


“ขอบคุณครับ”


เขาทำตามที่อาจารย์บอกอย่างว่าง่าย เดินไปนั่งลงตรงโต๊ะที่บาล์มจองให้ก่อนยักคิ้วใส่อีกฝ่าย บาล์มถอนหายใจแล้วส่ายหัวเบาๆ เขายิ้มขำ แต่เสียงแหวของอาจารย์กุสุมาที่ส่งมาข้ามห้องทำให้เขารีบเริ่มลงมือทำข้อสอบ


…………


“โชคดีตลอดเลยนะมึงเนี่ย” บาล์มพูดขึ้นหลังพวกเขาเลิกคลาสเรียนในช่วงเช้า ตอนนี้เขาสองคนลงมานั่งที่โต๊ะไม้ใต้ตึก อากาศช่วงเดือนตุลาคมร้อนอบอ้าว แต่ยังดีที่ใต้ตึกคณะพวกเขามีลมโกรกเป็นระยะตลอดเวลา ยังไม่รวมพัดลมติดผนังที่คณบดีเพิ่งสั่งมาติดตั้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนด้วย


“แน่นอนว่ะ นี่ใคร ทีตาผู้มากับดวงนะเว้ย-- โอ๊ย! ” หนังสือเล่มไม่บางที่กระแทกเข้าบนหัวทำให้เขาร้องโอดโอย ทีหันไปมองค้อนคนมาใหม่ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา


นอกจากบาล์ม กลุ่มเขายังมีไอ้ซีน เพื่อนร่วมคณะอีกคนที่ไม่ได้เข้าเรียนกับพวกเขาเมื่อเช้า เพราะมันลงวิชานี้ไปแล้วเมื่อปีก่อน อันที่จริงวิชานี้เป็นวิชาที่เด็กเศรษฐศาสตร์ต้องลงพร้อมกันเมื่อขึ้นปีสาม แต่เพราะเขาต้องดรอปไปเทอมหนึ่ง ทำให้บาล์มตัดสินใจลดวิชานั้นแล้วมาเรียนกับเขาในปีนี้


“ขี้อวด ไอ้บาล์มไลน์มาเล่าให้กูฟังละ ถ้ามันไม่โทรหามึงแต่เช้า ป่านนี้มึงได้นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องอาจารย์แล้ว”


บาล์มที่นอนซบแขนตัวเองอยู่ยกหัวขึ้นมาพยักหน้าหงึกหงัก แล้วฟุบลงนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทีแอบเห็นซีนอมยิ้มกับท่าทางของไอ้ยักษ์ตรงหน้าที่ทำตัวเหมือนเด็กประถม เขาถึงได้ส่งสายตาล้อเลียนแบบไม่จริงจังนัก แล้วก็ได้ปฏิกิริยาตอบกลับเป็นกำปั้นที่ชกเข้ามาที่ต้นแขนอย่างจัง


กับคนที่ชอบนี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่กับเพื่อนละทำร้ายกันเก่งเหลือเกินนะครับคุณมึง


ทีทำได้แค่คิด เพราะรู้ว่าถ้าพูดออกไป ไอ้ตัวเล็กข้างๆ ได้ถีบเขาตกเก้าอี้จริงๆ แน่


“ละเป็นไงมั่ง ควิซ”


ซีนถามขึ้นหลังจากมันนั่งอ่านหนังสือไปได้สักพัก


“ใช้ได้ ต้องขอบคุณโพยจากมึงเนี่ยแหละ โคตรดีที่อาจารย์แกยังใช้ข้อสอบแนวๆ เดิม”


“หึ จบคลาสนี้พวกมึงต้องเลี้ยงเหล้ากู”


“เห้ยๆ ได้ไงวะ กูไม่ได้เป็นคนขอนะเว้ย มีแต่มึงที่อาสาเอามาให้เอง เพราะไอ้บาล์---” เสียงที่กำลังพูดอยู่หยุดลงกะทันหันเมื่อซีนเงยหน้ามองเขาตาเขียวปั้ด ทำให้ทียกมือสองข้ามเป็นเชิงยอมแพ้


แตะไม่ได้จริงๆ ว่ะเรื่องนี้


“เออๆ เอาเป็นว่าบุญคุณนี้กูจะไม่ลืมครับคุณซีน”


“ดีมาก เฮ้อ พวกมึงนี่ก็นะ ชอบทำตัวเป็นภาระ มึงดรอปไปเทอมนึงก็จะแย่แล้ว บาล์มดันบ้าจี้จะรอมาลงกับมึงอีก ทิ้งกูกันหมด” ซีนถอนหายใจ ถึงจะฟังดูรู้ว่ามันไม่ได้บ่นจริงจังนักก็เถอะ แต่เขาก็อดรู้สึกแย่นิดๆ ไม่ได้


“ขอโทษทีว่ะ เลือกได้ กูก็ต้องอยากเรียนพร้อมพวกมึงอยู่แล้ว”


ทีพูดเสียงอ่อน บาล์มที่เหมือนจะหลับไปก่อนหน้านี้เงยหน้าขึ้นมองซีนเงียบๆ นั่นทำให้ซีนรู้ว่าเผลอพูดเรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีไปแล้ว


“แต่ก็ดีไม่ใช่เหรอวะ ชีทเลคเชอร์ของกูเนี่ยจะทำให้พวกมึงเก็ทเอวิชานี้เลยนะเว้ย” คนตัวเล็กพูดตัดบทขึ้นหวังเปลี่ยนบรรยากาศ ทีที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องเมื่อกี้มากนักถึงได้ตอบกลับไปแบบส่งๆ


“เออ เอาตรงๆ ได้ชีทจากเทพอย่างมึงกูก็อุ่นใจแหละ ยอมเรียนจบช้าไปครึ่งปีก็ได้วะ”


“มึงมันพวกแผนสูง! ”


“ใครกันแน่ กูจะฟ้องบาล์มว่ามึงวางแผนแอบขโมยไข่ดาวมันแดกตอนมันลุกไปซื้อน้ำเมื่อวาน”


“เชี่ยที! ก็มันคอเลสเตอรอล กูไม่อยากให้บาล์มตัวหนากว่านี้--- อุ่บ! ” ไอ้ซีนโวยวายเสียงดังทำเป็นกลบเกลื่อนเมื่อรู้ว่าความแตก ภาพที่บาล์มเห็นเลยเหมือนแมวตัวเล็กๆ กำลังไล่ข่วนหมาโกลเด้นตัวโต ทั้งที่เขากับทีตัวใหญ่พอๆ กัน แต่กลับเป็นซีนที่มีเรี่ยวแรงเยอะสุดในหมู่พวกเขาทั้งที่ตัวเล็กสุด


ถึงบาล์มจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมซีนมันเอาแต่ทำร้ายไอ้ทีก็เถอะ


“กูจะไม่มาถ่ายรูปรับปริญญากับมึง! ”


“ไอ้หมา งั้นมึงอย่าหวังว่าปีมึงจบจะมีคนมาหานะเว้ย กูกับบาล์มจะไม่โผล่หน้าไปให้มึงเห็น! ”


“แล้วกูเกี่ยวอะไรด้วยวะ...” บาล์มเกาหัวแกรกๆ จับซีนแยกออกมานั่งข้างๆ เขาก่อนไอ้ทีจะโดนงาบหัว หันไปเห็นทีทำสายตาล้อเลียนใส่ซีนที่ตอนนี้นั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้วก็อดถอนหายใจออกมาอีกรอบไม่ได้


นี่มีเพื่อนหรือมีลูก กูล่ะงง


“ว่าแต่มึง ช่วงนี้ร่างกายเป็นไงบ้าง” บาล์มเกาหัวแกรกๆ แล้วถามขึ้น


“สบาย วันก่อนกูเพิ่งไปเล่นบาสกับพวกไอ้เกี๋ยงมา”


“เออๆ อย่าหักโหมมาก”


“ครับพ่อบาล์มมมม” ทีลากเสียงยาวตอบ ถึงจะทำเป็นกวนๆ แต่ทีรู้ดีว่าพวกเขาเป็นห่วง


“ดูแลตัวเองเยอะๆ มึงอะ เป็นไรไปพวกกูขี้เกียจหามส่งโรงพยาบาล”


“ตลก มีแค่ไอ้บาล์มแหละที่หามได้ ตัวเล็กๆ อย่างมึงเนี่ย... เฮ้ยๆ ๆ อย่าทำร้ายกู” ทีเอี้ยวตัวหลบมือที่ทำท่าจะโบกกบาลอีกรอบแทบไม่ทัน


“ตีกันเป็นเด็กไปได้ แดกข้าวมั้ย มึงมีเรียนตอนบ่ายไม่ใช่หรอ” บาล์มถามขึ้น


“อือ ขี้เกียจสัส เดี๋ยวเย็นนี้กูมีนัดกับซีด้วย” ทีตอบเซ็งๆ ยังไม่ทันไร ไอ้น้องชายตัวดีก็ทักมาบ่นเรื่องแฟนอีกแล้ว


“โชคว่ะ กูกับบาล์มจะดูหนังเผื่อมึงละกัน” ซีนยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินทำหน้าไปโรงอาหาร บาล์มเองก็ลุกจากเก้าอี้ ยักไหล่ทำท่าแบบช่วยไม่ได้ก่อนเดินตามไอ้จิ๋วข้างหน้าไป


...ไอ้พวกมนุษย์ปีสี่ที่ว่างตอนบ่ายกันทั้งคู่นี่มันน่าอิจฉาจังโว้ย


ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 2)
«ตอบ #3 เมื่อ01-03-2019 10:30:38 »

บทที่ 2 : คนคุ้นหน้า



“พี่ที! ” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งกระโดดเข้าชาร์จเขาทันทีที่ทีแตะบัตรบีทีเอสเข้ามา ซีในชุดนิสิตยิ้มแหยเมื่อเขามะเหงกเข้าใส่หัวของคนที่เล่นไม่รู้เวลา


แหงสิ ถึงไอ้น้องชายของเขาจะตัวบางกว่า แต่ไม่ได้แปลว่าจะแรงน้อยกว่าซะหน่อย


“เฮ้ย เดี๋ยวๆ เดี๋ยวพี่ล้มฟาดฟื้น อายเขา” ทีดึงหน้ากากอนามัยออกก่อนจะบ่นใส่ซี


“พี่ทีรับได้อยู่แล้ว พี่ทีเป็นพี่ชายซีนี่นา”


...ตรรกะอะไรของมัน


“ว่าไงล่ะเรา เมื่อคืนคุยกันยังไม่พอใจอีกหรอ รู้เปล่าว่าเกือบทำพี่พลาดควิซเมื่อเช้า” เขาทำเป็นแกล้งโกรธ นั่นทำให้ซีตาโตแล้วเขยิบเข้ามาจับแขนเขาเขย่าเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ


“ง่า พี่ที ซีขอโทษ” แค่เห็นลูกอ้อนกับสายตาเป็นประกายของน้องชาย เขาก็ใจอ่อนยวบ จากที่เคยคิดไว้ว่าจะลงโทษอะไรนั่นก็ช่างมันเถอะ ทั้งที่เขากับซีเป็นพี่น้องที่ห่างกันแค่หนึ่งปี แต่นิสัยกลับต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะไอ้ท่าไม้ตายการอ้อนแบบนี้


ให้ลองเปลี่ยนเป็นเขาทำดูสิ ขนลุกนอนไม่หลับไปสามวันสามคืน


“โอ๋ๆ ไม่โกรธๆ ปะ ไปกินข้าวกัน”


“เย้! พี่ทีเลี้ยงซีด้วย พี่ทีน่ารักที่สุดเลย! ”


เออ เรื่องคิดเองเออเองเก่งก็ไม่มีใครเกิน ถึงนั่นจะเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจอยู่แล้วก็เถอะ


“ไม่ให้จังหวะพี่ปฏิเสธเลยนะ ไอ้ตัวแสบ”


ทียกมือขึ้นขยี้หัวน้องชาย ก่อนพากันขึ้นบันไดเลื่อนมายังชานชาลาของสถานี เพราะอยู่ๆ ซีเกิดอยากกินข้าวหน้าแกงกะหรี่เจ้าโปรดขึ้นมา พวกเขาเลยตัดสินใจขึ้นรถไฟฟ้าไปกันเพื่อความสะดวก ถึงจะไม่ใช่วันหยุด แต่ช่วงเย็นของวันธรรมดาแบบนี้สถานีล้นไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ทีเขยิบตัวเดินไปต่อแถวรอขึ้นขบวนถัดไป จนกระทั่งรถไฟฟ้าแล่นเข้ามาเทียบชานชาลา


ผู้คนกรูกันออกมาจากขบวนราวกับน้ำที่ถูกเทออกจากปากขวด เขาสังเกตเห็นคนไร้มารยาทบางคนที่เดินกระแทกไหล่คนอื่นเพื่อเบียดตัวออกไปจากความวุ่นวายนี้ ทีเบี่ยงหลบพร้อมดึงซีออกห่างจากทางเข้าขบวน พอคนเริ่มลดลงถึงเขยิบตัว ตั้งใจจะเดินเข้าไปในขบวน ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...


“เฮ้ย!”


ปั้ก!



“โอ๊ย!”


ใครสักคนวิ่งสวนออกมาจากประตูขบวน ชนเขาที่มัวแต่หันไปคุยกับซีจนไม่ได้ดูข้างหน้า ทีที่ตัวค่อนข้างใหญ่กว่ายังแค่เซ แต่คนที่พุ่งมาชนน่ะล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้ว กระดาษที่อีกฝ่ายถืออยู่หล่นกระจัดกระจาย เสียงร้องของเจ้าตัวดังขึ้น เหมือนทุกอย่างจะหยุดชะงักไปแป๊บหนึ่ง ก่อนคนบนพื้นจะได้สติแล้วรีบก้มลงเก็บของที่ตอนนี้กระจายอยู่ทั่วชานชาลา


“คุณ เป็นอะไรมากมั้ย”


“มะ ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่ผมไม่ได้ดูทาง” คนตรงหน้าตอบเขาแบบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้รถไฟฟ้าขบวนที่เขากับซีควรจะได้ขึ้นแล่นออกจากชานชาลาไปแล้ว ทีคิดว่าก็ยังดีที่ไม่ได้ชนกันจะๆ ตรงหน้าประตูบีทีเอส ไม่งั้นคงวุ่นวายกว่านี้ ไหนจะรถไฟฟ้าต้องจอดรอ คนติดค้างในขบวนและหน้าขบวนอีก


“ซีรอตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บของไปคืนคุณคนนั้นก่อน”


เขาช่วยก้มลงเก็บเอกสารที่หล่นตอนอีกฝ่ายวิ่งชน ผู้โดยสารบางคนที่ยืนรออยู่ตรงชานชาลาก็ช่วยกันหยิบแผ่นที่ปลิวไปไกลมายื่นให้เขา ทีรวมได้ปึกหนึ่งแล้วเดินกลับไปหาคนที่กำลังกุลีกุจอรวมปึกกระดาษอยู่ ส่วนปากก็พูดใส่โทรศัพท์ที่ตอนนี้หนีบไว้ข้างหูด้วย


“หยิบออกมาจากบริษัทแล้วครับ แป๊บนะพี่ ผมกำลังรีบไป มีอุบัติเหตุนิดหน่อย อ๋อ เปล่าครับๆ ผมไม่เป็นอะไร”


“นี่ครับ” เขายื่นเอกสารให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกดวางสายโทรศัพท์ มืออีกข้างก็ถอดหน้ากากอนามัยออกไม่ให้ดูมีพิรุธเกินไป


“ขอบคุณมากครับ”


จังหวะที่คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมารับของไปจากมือเขา ทีรู้สึกเหมือนจะวูบไปนิดหน่อย


ไม่ใช่เพราะอาการป่วยหรือหน้ามืดกะทันหัน แต่เป็นเพราะ...


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก



ทีขมวดคิ้ว


หัวใจเขาเต้นแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก ปฏิกิริยาของร่างกายเหมือนกับเวลาออกกำลังกายอย่างหนักหรือวิ่งเร็วจนเหนื่อยหอบ แต่นี่ไม่ใช่ เขาไม่ได้เพิ่งผ่านกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดอย่างรุนแรง


อีกอย่าง สิ่งที่เขารู้สึกไม่ใช่ความตื่นเต้นหลังออกกำลังกายที่อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน


“คุณโอเคมั้ย เมื่อกี้ผมวิ่งชน เจ็บรึเปล่า”


อีกฝ่ายถามเมื่อเห็นเขายกมือขึ้นจับหน้าอก แต่สายตาไม่ได้ละไปจากคนตรงหน้าแม้แต่น้อย


ทีไม่ตอบคำถาม แต่ถามสิ่งที่เขากำลังสงสัยอยู่ออกไป


“เรา… เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ”


ใช่ ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนกับการได้เจอคนที่คิดถึง เหมือนการได้กลับมายังสถานที่ที่ คุ้นเคย เขาไม่มีคำอธิบายเป็นรูปธรรมให้กับสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ทีปฏิเสธการมีอยู่ของมัน ณ ตอนนี้ไม่ได้


“ครับ?”


ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาในอกอย่างรุนแรงช่างขัดกับสีหน้างงงวยของคนตรงหน้า แน่นอนว่าขัดกับความทรงจำที่กำลังต่อต้านในสมองของทีเองด้วย ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ เขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน เขามองคนที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนแล้วเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม


เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง นั่นเพราะทีสูงกว่าคนคนนี้ประมาณเจ็ดหรือแปดเซ็น รูปร่างที่โปร่งกว่าทำให้อีกฝ่ายดูตัวเล็กกว่าที่ควรจะเป็น ผิวขาวตัดกับดวงตาและผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งถูกซ่อนไว้หลังแว่นกรอบบาง เจ้าตัวยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ อาจเพราะอากาศบนชานชาลาที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เขาสังเกตเห็นสร้อยข้อมือเส้นบางสวมอยู่ที่ข้อมือ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของผู้หญิง แต่เมื่อมาอยู่บนข้อมือเล็กนั่นกลับดูเข้ากันอย่างประหลาด


หากมองแค่หน้าตาและรูปร่าง ทีคิดว่าเป็นไปได้ทีเดียวที่อีกฝ่ายอาจจะอายุเท่ากันหรือน้อยกว่าเขาไม่มาก


แต่เพราะผู้ชายตรงหน้าเขาอยู่ในสภาพชุดทำงานกึ่งลำลอง มือถือกระเป๋าเอกสารและกระบอกใส่กระดาษ แถมเมื่อกี้เขายังได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับบริษัทอะไรสักอย่างด้วย นั่นทำให้ทีพอจะมั่นใจว่าคนตรงหน้าน่าจะเป็นคนทำงานที่อายุมากกว่าเขา


“เอ่อ จ้องกันขนาดนี้ผมก็เขินนะครับ”


มือข้างที่ใช้เสยผมเปลี่ยนมาเป็นดันแว่นเบาๆ อย่างประหม่า ทีถึงรู้สึกตัวว่าเขายืนมองคนคนนี้อย่างเงียบๆ มาหลายวินาทีแล้ว


“อะ ขอโทษทีครับ” เขาเกาหัวเบาๆ แก้เขิน พยายามทำตัวไม่ให้ดูเลิ่กลั่กเกินไป แม้ว่าหัวใจยังคงเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากเดิมก็ตาม


“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณมากที่ช่วยเก็บเอกสารกลับมาให้” อีกฝ่ายยิ้ม ทั้งที่เป็นคำแสดงความยินดี แต่ไม่รู้ทำไม พอทีมองดีๆ ถึงได้สังเกตเห็นประกายความหม่นหมองอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า


เขาพยักหน้าตอบรับ ยืนมองจนคนตรงหน้าหายไปในกระแสผู้คนที่ล้นหลามไม่ต่างกันของชานชาลาอีกฝั่งแล้วถึงเดินกลับไปหาซีที่ยืนพิงกำแพงอยู่


ทีสังเกตเห็นน้องชายส่งสายตาล้อเลียนมาให้เลยถามออกไป


“อะไร”


“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยอะคนเรา”


“ก็ยิ้มเป็นปกติงี้อยู่แล้ว”


“อย่ามา ซีดูออกนะ แบบนี้รึเปล่าที่เขาเรียกว่ารักแรกพบ” ซีส่งสายตาล้อเลียน นั่นทำให้เขารีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ


“เฮ้ย ใช่ที่ไหนล่ะ แค่ยิ้มให้เขาตามมารยาท”


“โห่ ปฏิเสธใหญ่เลยนะพี่ที แล้วนี่จะไปทำความรู้จักเขายังไงล่ะเนี่ย ได้ขอลงขอไลน์เขามาบ้างเปล่า”


“ตลก อยู่ๆ จะไปขอเขาได้ไง”


“รู้อยู่แล้วว่าอย่างพี่ทีน่ะไม่ไหวจริงๆ”


ทีส่ายหัวให้กับความคิดฟุ้งซ่านของน้องชาย จริงอยู่ที่ลึกๆ เขาเองก็รู้สึกติดใจกับแววตาคู่นั้นที่ดูยังไงก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็แค่ความรู้สึกสนใจเพียงชั่ววูบ


...คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วแหละมั้ง


“เอ่อ คุณคะ รู้จักคนเมื่อกี้รึเปล่า” คิดยังไม่ทันจบประโยค ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินมาหาพร้อมกับยื่นกระดาษในมือให้


“ครับ?”


“พอดีมันปลิวไปตกอยู่ตรงนู้นน่ะค่ะ ฉันเพิ่งเก็บได้ ว่าจะเอาไปให้คุณผู้ชายคนนั้นแต่ไม่ทัน เห็นคุณไปยืนคุยกับเขาเลยคิดว่าอาจจะรู้จักกัน เผื่อคุณเจอเขาจะได้คืนให้ได้”


“เอ่อ คือผมก็ไม่--- / ครับ! ฝากพวกผมไว้ได้ครับคุณน้า” ซียิ้ม รับกระดาษหนึ่งแผ่นตรงหน้ามาด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวขอบคุณ


หลังจากผู้หญิงคนนั้นเดินกลับไป ทีถึงได้หันไปขมวดคิ้วใส่เจ้าน้องชายตัวดีที่ตอนนี้ยัดกระดาษแผ่นนั้นใส่มือเขา


“นี่ ทำอะไรเนี่ย จริงๆ เราควรจะเอาไปฝากพนักงานบีทีเอสสิ เผื่อเขากลับมาหา”


“พี่ที นี่มันโอกาสที่จะได้เจอคุณคนนั้นอีกรอบนะ พี่คิดดูสิ ปกติถ้าเรามั่นใจว่าทำของหายที่ไหน เราก็ต้องกลับมาหาตรงที่เดิมใช่มั้ยล่ะ เนี่ยแหละโอกาส!” ซีคะยั้นคะยอ ก่อนจะดึงแขนเขาให้เดินตามเจ้าตัวเข้าบีทีเอสไป


ทีถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน เป็นอีหรอบนี้ เขาคิดอย่างปลงตกว่ายังไงขากลับมาสยามรอบดึก ซีก็คงจะงอแงไม่ยอมให้เขาไปฝากเอกสารไว้กับพนักงานอยู่ดี


ช่วยไม่ได้แฮะ ไว้พรุ่งนี้หลังเรียนเสร็จ เขาจะรีบแวะเอาเอกสารไปที่แผนกรับฝากของหายของบีทีเอสแล้วกัน


ทีแอบขอโทษผู้ชายคนนั้นในใจ รวมถึงภาวนาว่าเอกสารที่อยู่ในมือเขาจะไม่ได้มีข้อมูลอะไรด่วนที่อีกฝ่ายต้องใช้


ว่าแต่ เห็นรีบขนาดนั้น คนคนนั้นจะไปทันนัดรึเปล่านะ...


tbc.



สวัสดีค่า เปิดเรื่องใหม่เรื่องแรกในชีวิตเลยค่ะ .////. ตอนเขียนก็หวั่นใจเหมือนกันว่าจะมีคนอ่านมั้ยน้า แต่ถ้าคุณผ่านเข้ามาเห็นแล้วอยากติดตาม เราก็คงจะดีใจมากมากมากเลย เรื่องนี้จะอัพประมาณอาทิตย์ละสองสามตอนค่ะ เปิดมาเหมือนดราม่า แต่จริงๆ ไม่ดราม่านะ มีความนุ่มสูงงงง ฮี่ ฝากเป็นกำลังใจให้ทีกับคุณเพิ่มด้วยนะคะ :-)

#เพราะคุณเปลี่ยนใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2019 22:01:01 โดย abluewhisper »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ความตั้งใจอะไรง่ะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ความตั้งใจของพริมาคืออะไรเพิ่มถึงตั้งใจสานต่อให้  ตามๆ+1

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทที่ 3 : เรื่องวุ่นวายในโรงอาหาร


“ไปทันก็แย่แล้ว” เพิ่มบ่นกับรุ่นพี่คนสนิทที่ตอนนี้นั่งกลั้นขำหลังเขาเล่าเหตุการณ์บนบีทีเอสเมื่อวานตอนค่ำให้ฟัง


ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาเองก็เลิ่กลั่กเพราะโดนลูกค้าโทรตามหลายรอบ ด้วยความที่กลัวจะไปสายแล้วทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหาย ทำให้ไม่ระมัดระวังจนชนเข้ากับคนบนชานชาลาเข้าไปเต็มๆ


โอย นี่แค่คิดยังรู้สึกเจ็บที่ก้นกบไม่หาย


“ไม่ใช่วันของแกจริงๆ ว่ะเพิ่ม” พี่จิน พี่ซีเนียร์ที่รับผิดชอบดูแลทีมเขาพูดขึ้นอย่างเห็นอกเห็นใจ คุยเล่นกับเขาอีกสองสามคำก่อนจะขอตัวไปสะสางงานที่กองเต็มโต๊ะมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน


เพิ่มหยิบกองเอกสารขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจ ยังไม่ได้บอกพี่จินว่าที่จริงแล้วมีเอกสารอีกแผ่นที่เขาไม่ได้เอาไปเสนอลูกค้า โชคดีที่ไม่ใช่เอกสารที่มีข้อมูลสำคัญ เมื่อวานเขาเลยยังพูดบ่ายเบี่ยงไปได้ว่าจะส่งเป็นไฟล์สแกนมาให้ทีหลัง ซึ่งลูกค้าคนนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไร


เขาค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นตอนที่ทำหล่นบนชานชาลาบีทีเอสแน่ๆ


แต่ปัญหาคือ ไม่มีอะไรรับประกันว่ากลับไปแล้วเขาจะได้เอกสารแผ่นนั้นคืน


จริงอยู่ว่าถ้าหายังไงก็ไม่เจอ สุดท้ายเขาคงต้องขึ้นพิมพ์เขียวร่างแบบแปลนตรงส่วนนั้นใหม่อีกรอบ ไม่ได้ถึงกับยุ่งยากอะไร แต่เพิ่มก็คิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขาสะเพร่าแต่แรก ก็คงไม่ต้องมานั่งทำงานซ้ำซ้อนแบบนี้


เขานั่งเท้าคาง นึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานตอนค่ำอีกครั้ง รู้สึกว่าอย่างน้อยตัวเองก็โชคดีที่เจอคนมีน้ำใจ


ผู้ชายคนนั้น ทั้งที่เขาเป็นคนวิ่งชนแท้ๆ ยังอุตส่าห์ช่วยเก็บเอกสารมาคืนให้ แต่ที่ทำให้เพิ่มคิดไม่ตกคือคำถามแปลกๆ นั่น


‘เรา… เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ’


ตลกดีที่ฟังดูเหมือนหนังแฟนตาซียังไงชอบกล แต่เพิ่มก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอคนตรงหน้ามาก่อน แล้วพอดูดีๆ อีกฝ่ายเองก็เหมือนจะยังไม่มั่นใจในตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ


เหมือนกับว่า… พูดออกมาก่อนจะทันได้รู้ตัว


ครืดดดดด ครืดดดดด


เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นทำให้เพิ่มหายใจลอย เมื่อเห็นว่าเป็นใครถึงได้กดรับทันทีแล้วกรอกเสียงลงไป


“ไง”


‘ไงคุณสถาปนิก พอจะมีเวลาว่างสักสองสามชั่วโมงมั้ยครับ’ เสียงกวนๆ ติดจะอารมณ์ดีดังมาจากปลายสาย เพิ่มยิ้มก่อนจะตอบกลับไป


“ไม่ทราบว่าคุณอาจารย์จะพาผมไปเลี้ยงข้าวไหนดีล่ะ”


‘พอ ไอ้สัส ขนลุก คุณเคิณอะไร ละสรุปเที่ยงนี้ว่างปะเนี่ย ที่โทรมาชวนแดกข้าวอะ’


“เออๆ ว่าง เดี๋ยวออกไป ว่าแต่อาจารย์พูดคำหยาบคายแบบนี้จะดีเหรอครับ”


‘โอ๊ย กูหนีออกมาอยู่โซนปลอดภัยแล้ว วันๆ พูดแต่ครับๆ คุณๆ รู้สึกคลื่นไส้จะแย่’


“กูละอยากฟ้องคณะกรรมการจริงๆ คนไรวะ พอไม่ได้สอนแล้วก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน”


เพิ่มหัวเราะขำอย่างไม่จริงจังนักหลังได้ยินอีกฝ่ายโวยวายเสียงดัง ตอบรับอีกสองคำก่อนจะวางสายไป


อาจารย์วายุ หรือที่เขามักจะเรียกด้วยความคุ้นเคยว่าไอ้วา เป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่เรียนมัธยม ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรืออะไร แต่วากับเขาดันได้อยู่ห้องเดียวกันตลอดช่วงมัธยมปลาย ทำให้สนิทกันเหนียวแน่นตั้งแต่ตอนนั้นมา ถึงพอเข้ามหาลัยเขาจะเลือกเรียนสถาปัตย์ ส่วนวาเลือกเรียนบัญชี แต่ก็พอจะหาเวลาว่างมาเจอกันได้ตลอด


ช่วงที่หายหน้าหายตาไปจริงๆ คือหลังจากที่วาเรียนจบ อีกฝ่ายตัดสินใจไปเรียนต่อด้านบริหารที่อังกฤษทันที หลังจากนั้นก็กลับมาบรรจุเป็นผู้ช่วยอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย


จากที่คิดว่าอีกฝ่ายกลับไทยมาแล้วน่าจะได้เจอกันมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าได้เจอกันน้อยกว่าตอนอยู่มหาลัยเสียอีก เพราะทางนั้นเองก็ต้องเรียนรู้งานเยอะ ส่วนเขาที่เพิ่งจบมาก็เข้าทำงานในบริษัทของรุ่นพี่ที่สนิทพอดี ทำให้วันนี้เขาตื่นเต้นที่จะได้เจออีกฝ่ายหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสามเดือนเต็มๆ


…………


“เพิ่ม!” ผู้ชายใส่แว่นในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนโบกมือเรียก เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหาทันที


“ชิวาว่าของพวกกู ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลยนี่” เขาแซวยิ้มๆ


“ชิวาว่าบ้านมึงสิ ตอนนี้กูเป็นอาจารย์วายุแล้วโว้ย”


“แต่ยังหยาบคายเหมือนเดิม” เขาเลิกคิ้วทำท่ากวนประสาทให้อีกฝ่าย


“มึงก็กวนประสาทเหมือนเดิม ไป ไปซื้อข้าว!” ไอ้วาเดินมาผลักไหล่เขาแล้วดันให้เดินไปต่อคิวซื้ออาหาร


“นึกถึงตอนเรียนชะมัด มึงโดนกูแกล้งให้เฝ้าโต๊ะทุกที”


“นั่นเพราะกูใจดีหรอกเว้ย” วาโวยวาย แต่ก็เห็นว่าอันที่จริงมันซื้อข้าวมารอไว้แล้วต่างหาก


ช่วงเวลาเที่ยงนิดๆ โรงอาหารคับคั่งไปด้วยนิสิตนับร้อยที่ลงมาทานอาหารเที่ยงก่อนกลับขึ้นไปเรียนต่อในคาบบ่าย เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่ต้องมาแย่งที่นั่งเด็กๆ ในโรงอาหาร แต่จะให้ทำไงได้ ในเมื่อไอ้วา เจ้าของนัดวันนี้ก็มีสอนตอนบ่ายเหมือนกัน ครั้นจะออกไปกินข้างนอกมันก็กลัวจะกลับมาเลท สรุปแล้วเลยมาจบที่โรงอาหารแสนคุ้นหูคุ้นตาที่มากินกันบ่อยครั้งสมัยยังเรียนอยู่


เขาเดินไปต่อคิวร้านข้าวราดแกงเจ้าประจำ รอไม่นานก็ได้จานข้าวพร้อมกับสองสามอย่างเดินกลับมาที่โต๊ะ มีไอ้วานั่งตักข้าวมันไก่เข้าปากไปก่อนแล้วโดยไม่รอ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพิ่มกำลังจะยกกระเป๋าออกวางไว้ที่เก้าอี้ตัวข้างๆ หากไม่ใช่เพราะเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน


“ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยครับ?”


“อ๋อ ไม่มีครับ นั่งไ--- เอ้ย! คุณ!”


เพิ่มที่ส่งเสียงตอบรับพร้อมยกกระเป๋าออกจากที่นั่งด้านข้างชะงักไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นคนที่หน้าตาคุ้นเคย จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง ก็คนตรงหน้าเขาคือผู้ชายที่เขาวิ่งชนบนชานชาลาเมื่อวันก่อน


...แถมยังอยู่ในสภาพชุดนิสิตเสียด้วย


เขาแอบสารภาพในใจเบาๆ ว่าตอนนั้นนึกว่าจะอายุใกล้เคียงกันซะอีก


“อะ…” คนตรงหน้าเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบหลบตาเขาอย่างโจ่งแจ้งแล้ววางจานลงบนโต๊ะ


“ที! ได้ที่นั่งยัง!” เสียงตะโกนมาจากข้างหลังทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างเขาหันไปมอง ก่อนจะหันกลับมาด้วยสีหน้ายังตื่นตระหนกเหมือนเดิม


“อะ เอ่อ ตรงนี้นั่งได้ใช่มั้ยครับ”


“ได้สิ เชิญเลย” เขาเห็นอีกฝ่ายหันไปกวักมือเรียกเพื่อนข้างหลังไวๆ ก่อนจะหันกลับมานั่งลงตรงที่นั่งข้างเขา


เพิ่มคงไม่ติดใจอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งเงียบเชียบ ไม่ลงมือหยิบช้อนส้อมขึ้นมาทาน แต่กลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นกำเสื้อตรงหน้าอก นิ่งอยู่อย่างนั้นจนเพื่อนเจ้าตัวอีกสองคนเดินมานั่งลงตรงหน้า แล้วเอ่ยถามสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ


“มึงเป็นไรเปล่าวะที”


คนที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าชื่อทีส่ายหัว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอื้อมมือไปหยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักอาหารเข้าปาก ท่าทางที่เหมือนตกใจทีแรกดูสงบลง แต่เขาแอบเห็นด้วยหางตาว่าอีกฝ่ายลดมือลงมาจับหน้าอกตัวเองเป็นระยะ


เอ้อ จะว่าไป…


“นี่คุณ ไม่สิ ชื่อทีใช่มั้ย”


เขาหันไปสะกิดคนข้างๆ หลังจากกินข้าวเสร็จ


“ครับ?” อีกฝ่ายหันมาสบตาเขา แต่เหมือนจะมองได้แค่แวบเดียวแล้วก็หลบตาไป


มีพิรุธชะมัด


“คือ วันนั้นที่ชนกันน่ะ เอ่อ เหมือนฉันจะทำเอกสารตกไว้ นายเห็นบ้างรึเปล่า” พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในชุดนิสิต สรรพนามที่ใช้เรียกเลยเปลี่ยนไปแทบจะโดยอัตโนมัติ


“อ๋อ ครับ อยู่กับผมเอง” ทีหันมาตอบลวกๆ ก่อนหันกลับไปกินข้าวต่อ


ท่าทางแบบนี้มันอะไรกันนะ


“นี่… คือ หันมาคุยกันดีๆ ก่อนได้มั้ย ทำไมต้องทำตัวเหมือนทำอะไรผิดมาด้วย” เขาขมวดคิ้ว จะว่าเริ่มโมโหก็ไม่ใช่ แต่หงุดหงิดเล็กน้อยมากกว่าที่อีกฝ่ายถามคำตอบคำเหมือนไม่อยากคุยด้วย


“หรือจริงๆ แล้วตั้งใจจะขโมย?”


เขาถามไปกวนๆ อย่างนั้น ไม่รู้ทำไม แต่เห็นท่าทางของคนตรงหน้าแล้วเกิดอยากแกล้งขึ้นมา ทั้งที่อันที่จริงทีก็ดูไม่ใช่คนความมั่นใจต่ำอะไร แต่ท่าทีแบบกล้าๆ กลัวๆ นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นลูกหมาหงอย เลยอดแหย่ไปเพื่อดูปฏิกิริยาไม่ได้


แต่คนที่ประหลาดใจดันเป็นเพิ่มซะเอง จากที่คิดว่าจะได้เห็นทีหันกลับมาปฏิเสธเป็นพัลวัน อีกฝ่ายกลับเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะแล้วตอบกลับมาด้วยสีหน้ากวนไม่แพ้กัน


“ผมเก็บไว้น่า แต่ใครมันจะเอาของแบบนั้นมามหาลัยด้วยล่ะครับ”


หมอนี่…


อยู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นน่าหมั่นไส้ซะจนเขาตามไม่ทัน เพิ่มเริ่มสงสัยว่าจริงๆ แล้วเป็นคนยังไงนะ


“ก็แปลว่าไม่ได้ตั้งใจจะเอามาคืน” เพิ่มที่เริ่มสนุกกับการต่อล้อต่อเถียงพูดจาหาเรื่องอีกฝ่าย เขาแอบเห็นว่าไอ้วาที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำหน้างงๆ ปนสงสัย


“โห คุณ ใส่ร้ายขนาดนี้ไม่พาผมไปสอบสวนที่โรงพักเลยล่ะ ผมก็คนดีมีการศึกษาไง”


“หรอ” เพิ่มพูดล้อๆ ยิ้มราวกับถือไพ่เหนือกว่า


“ผมทิ้งไว้ที่คอนโด ตั้งใจจะเอาไปฝากไว้ที่บีทีเอสอยู่แล้วล่ะครับ แต่ไหนๆ ก็รู้จักคุณแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้ผมเอามาให้กับตัวเลยแล้วกัน จะได้พ้นข้อหาเป็นขโมย”


ประโยคสุดท้ายนั่น ฟังยังไงก็เหมือนเหน็บแนมเขาชัดๆ


ไม่น่ารักเลย


“ดีเหมือนกัน อืม… แต่เย็นนี้ฉันไม่ว่าง เป็นพรุ่งนี้เช้าแทนได้มั้ย?”


“ก็ได้ครับ พรุ่งนี้เช้าผมไม่มีเรียนพอดี” พออีกฝ่ายพูดจารู้เรื่องแล้วก็ว่าง่ายเหมือนกันแฮะ


“งั้นไปเจอที่บีทีเอสเหมือนเดิมแล้วกัน ...จริงสิ งั้นขอเบอร์ไว้หน่อย เดี๋ยวถึงแล้วฉันจะโทรหา”


ทียิ้มแบบมีเลศนัย ก่อนจะโพล่งออกมา


“จีบผมเหรอครับ”


“แค่ก! จะบ้าเรอะ!” พอได้ยินเสียงกวนๆ ถามกลับมาแบบนั้น เขาที่ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มถึงกับสำลัก


“ล้อเล่นครับ ไอจนหน้าแดงแล้วคุณ ฮ่าๆ” เหมือนอีกฝ่ายจะดีใจที่เอาคืนเขาได้สำเร็จ เลยหัวเราะออกมา เขามองหน้าทีด้วยสีหน้าเอือมระอาอย่างไม่ปิดบัง บ่นเบาๆ ว่าเด็กสมัยนี้ปีนเกลียวเก่งชะมัด แล้วก็ได้คำตอบจากอีกฝ่ายเป็นคำขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม


ไม่รู้ตัวรึไงว่านั่นไม่ใช่คำชมน่ะ


เขาที่แลกเบอร์กับบอกชื่ออีกฝ่ายเสร็จสรรพกำลังจะหยิบจานลุกขึ้นไปเก็บพร้อมกับวา ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงของเด็กปีนเกลียวทักไว้ซะก่อน


“จะว่าไป” ไม่พูดเปล่า คนที่นั่งอยู่ยังกระตุกชายเสื้อเขาให้หันกลับมาอีกรอบ ทีนิ่งมองหน้าเขาสักพักก่อนจะถามขึ้นมา


“ที่เคยทักว่าเหมือนเคยเจอกันมาก่อนไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ ผมเพิ่งนึกออกว่าคุณหน้าคุ้นๆ อาจจะประหลาดที่ผมถามงี้ แต่ว่า...”


“คุณมีน้องสาวรึเปล่าครับ?”


สิ้นคำถามนั้น เพิ่มรู้สึกหน้าชา ร่างกายพาลไม่ขยับเอาดื้อๆ ก้อนความรู้สึกที่เขาคิดว่ามันน่าจะหายไปนานแล้วพุ่งตัวขึ้นมาจากท้องน้อย มันทำให้เขาอึดอัด


เพิ่มรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจถี่ขึ้น กระบอกตาเขาร้อนผ่าว


“ขอตัวก่อนนะ” คนที่พูดขึ้นคือวาที่นั่งเงียบมานาน อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน รวบจานข้าวเขาซ้อนกับของตัวเองแล้วดึงข้อมือเขาเดินออกไปจากโต๊ะตัวนั้น เพิ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินตามมาเงียบๆ ก่อนหันหลังออกมา เขาสบตากับทีเป็นรอบสุดท้าย หมอนั่นเหมือนจะชะงักไป แต่เขาไม่คิดจะหาเหตุผลให้กับสีหน้าแบบนั้นในตอนนี้


ทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกอะไรแล้วแท้ๆ


แต่ทำไมถึงได้รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจจนเจ็บไปหมดแบบนี้...


tbc.



มาแล้วค่า ในที่สุดคุณเขาก็ได้เจอกันซะที ว่าแต่เจอไม่ทันไรก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วทีจะง้อ (?) คุณเพิ่มยังไงดีน้า
อัพตอนต่อไปวันอังคารนะคะ เห็นมีคนรอติดตามแล้วชื่นใจมากเลย :)

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 4)
«ตอบ #7 เมื่อ05-03-2019 20:59:43 »

บทที่ 4 : ผลส้มกับความกลมของโลก


ก็เคยได้ยินอยู่หรอกว่าโลกน่ะรูปทรงเหมือนผลส้ม แต่มันจะต้องกลมอะไรขนาดนี้วะ!


นั่นคือสิ่งที่ทีคิดในจังหวะที่เขานั่งลงตรงโต๊ะอาหารข้างๆ คนที่เพิ่งวิ่งชนเขาจนจุกเมื่อวาน ทีไม่ได้เกิดรู้สึกตกใจที่เจออีกฝ่ายเท่ากับความจริงที่ว่าหัวใจเขามีอาการเดียวกับเมื่อวานตอนค่ำเป๊ะๆ มันเต้นแรงจนเขาเกือบนึกว่าอาการกำเริบอีกรอบ


เขานั่งคิดหาคำตอบอยู่นาน มือก็กุมหน้าอกสังเกตอาการตัวเองไปด้วย


ยังดีที่มีไอ้ซีนกับบาล์มอยู่ เกิดเป็นอะไรขึ้นมามันยังช่วยโทรเรียกรถพยาบาลให้ได้


คำถามที่อีกฝ่ายยิงใส่เขาตอนแรก แทบจะเป็นการถามคำตอบคำแบบผิดวิสัยกวนๆ ของตัวเอง เขารู้ตัวดี ไม่ใช่เพราะเขินหรืออะไร แต่เขางุนงงกับอาการของตัวเองมากเกินกว่าจะใส่ใจกับอย่างอื่น


ถึงจะยังไม่มีคำอธิบาย แต่เขาก็มั่นใจว่าหัวใจเขาเต้นเร็วผิดปกติแค่จังหวะที่สบตากับอีกฝ่าย


คิดเองแล้วก็น้ำเน่าชิบหาย...


แต่พอทีมั่นใจแล้วว่าไม่ได้รู้สึกอย่างอื่นนอกจากอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าเดิม เขาก็กลับมาเริ่มบทสนทนากับคนข้างๆ ได้อีกรอบ ทีคิดว่าตัวเองเก็บอาการได้ดีพอควร อย่างน้อยก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายได้บ่อยๆ แม้เวลาคนคนนั้นตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่หลากหลายขึ้นจะยังทำให้ใจเขากระตุกอยู่ตลอดก็ตาม


พอสังเกตดีๆ ทีรู้สึกว่าคนคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจใช้ได้ ทั้งท่าทีที่ดูจะสนิทกับคนอื่นได้ง่าย แล้วก็คำพูดกวนๆ นั่น ถึงจะเพิ่งได้รู้จักกัน แต่เขาก็คิดว่าสามารถพูดคุยอย่างสนิทสนมกับอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว


มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น


จนกระทั่งเขาถามถึงน้องสาวของคุณเพิ่ม


ทีไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป แต่สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายทำให้เขาตกใจ แววตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายความเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิด ใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อหากอีกฝ่ายไม่เดินหนีไปก่อนพร้อมกับใครอีกคนทำให้ทีนึกอยากจะกลืนคำพูดที่พูดออกไปกลับมา ณ เดี๋ยวนั้น


“ที เฮ้ย ทีตา!”


เขาสะดุ้ง เสียงซีนที่เรียกพร้อมกับมือที่เอื้อมมาผลักหัวเขาทำให้ทีหลุดออกจากห้วงความคิด



“มึงโอเคปะเนี่ย” อีกฝ่ายถามขึ้น ไม่ว่าเปล่ายังหยิบส้อมที่จิ้มลูกชิ้นอยู่มาชี้ใส่หน้าเขา


แม่ไม่เคยสอนรึไงว่าอย่าเล่นกับของกินน่ะ


“เออๆ กูยังงงๆ อยู่ เมื่อกี้กูพูดไรผิดไปปะวะ” เขาเกาหัวแกรกๆ เพราะยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเมื่อกี้เขาทำอะไรผิด


“คือ... กูก็คิดเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่ามึงจะถามออกไปแบบนั้น” บาล์มที่นิ่งมาตลอดเอ่ยขึ้น


“ทำไม”


“เขาหน้าเหมือนน้องพลัม ดาวคณะคนที่ดังๆ ตอนปีหนึ่ง” บาล์มค่อยๆ พูดออกมา ส่วนซีนที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มหน้าเจื่อนลงเมื่อได้ยินชื่อนั้น


“เออ นั่นแหละ กูถึงคุ้นๆ ว่าเหมือนเคยเห็นเขาเวอร์ชันที่หน้าหวานแล้วก็เด็กกว่านั้น อาจจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ได้นะมึง” เขาพูดขึ้น ดีใจที่นึกออกซะทีว่าผู้ชายคนนั้นหน้าคล้ายกับใครที่เขาเคยเจอมาก่อน


นึกย้อนไปตอนนั้น น้องพลัมก็เป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ นอกจากเป็นดาวคณะตอนปีหนึ่ง น้องยังเข้าร่วมกิจกรรมที่พี่ๆ ปีสองอย่างพวกเขาจัดตลอดไม่เคยขาด ทำให้เป็นที่เอ็นดูของใครหลายคน โดยเฉพาะไอ้ซีนที่เคยได้รับผิดชอบให้ไปดูแลกลุ่มน้องดาวเดือนคณะ


“จะว่าไปก็ไม่ได้เห็นน้องเขานานแล้วเนอะ เขาซิ่วไปเข้าที่อื่นแล้วเหรอ”


ซีนเงียบ บาล์มเองก็เงียบ สองคนหันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทีเห็นอย่างนั้นถึงได้ขมวดคิ้ว


“มีอะไรเปล่าวะ”


“มึง คือ… น้องเขาเสียแล้ว”


ประโยคที่บาล์มพูดขึ้นเบาๆ ทำให้ทีนิ่งไป


“ว่าไงนะ”


“น้องเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนพวกเราปิดเทอมก่อนขึ้นปีสามพอดี” ซีนเป็นคนตอบที หางตามันมีรอยแดงขึ้นนิดหน่อย บาล์มที่สังเกตเห็นถึงได้ยกมือขึ้นโยกหัวซีนช้าๆ เหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็กที่กำลังจะร้องไห้


“น่าจะเป็นช่วงเดียวกับที่มึงเข้าโรงพยาบาล มึงถึงไม่ได้ข่าว”


โต๊ะอาหารเหมือนมีบรรยากาศมาคุพุ่งเข้ามาปกคลุมโดยไม่ได้ตั้งใจ ยังดีที่กินข้าวจนหมดแล้ว ไม่งั้นคงไม่เหลือความอยากอาหารต่อแน่ๆ


พวกเขานั่งกันอยู่อีกสักพัก ก่อนซีนจะไล่เขาไปเรียนต่อในวิชาคาบบ่าย เพราะเห็นว่าใกล้หมดเวลาพักเที่ยง


ทีแยกกับอีกสองคนนั้นมา ในใจยังรู้สึกหนังอึ้งกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ


นั่นมาพร้อมกับความรู้สึกผิดที่เขาอาจเผลอพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจคุณเพิ่มอย่างมากไปเสียแล้ว


แล้วจะให้ไปเจอหน้ากันแบบไม่รู้สึกอะไรได้ยังไงล่ะเนี่ย…



…………


เช้าวันศุกร์ อากาศขมุกขมัว ฝนที่ตกหนักมาตลอดทั้งคืนทิ้งร่องรอยไว้เป็นแอ่งน้ำตามฟุตบาท ขนาดวันนี้เขาไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยยังรู้สึกอึดอัดกับความชื้นของบรรยากาศรอบตัว ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือสภาพการจราจรในตอนเช้าที่แสนเร่งรีบ รวมถึงผู้คนมากมายที่ล้วนแล้วแต่พึ่งพาระบบขนส่งสาธารณะอย่างบีทีเอส


ทั้งที่ตั้งใจว่าจะมาถามคุณเพิ่มให้เคลียร์เรื่องเกี่ยวกับเมื่อวาน จะได้บอกขอโทษไปอย่างจริงใจที่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจโดยไม่รู้ตัว แต่เอาเข้าจริงทีกลับรู้สึกลังเลที่จะทำเช่นนั้น เพราะเขาไม่อยากเห็นสีหน้าเหมือนโลกจะแตกของคุณเพิ่มอีก


ถ้าการพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากจำจะทำร้ายคนคนหนึ่งได้มากขนาดนั้น ทีเลือกที่จะไม่พูดถึงมันเลยยังจะดีซะกว่า


เหมือนกับที่เขาเลือกที่จะไม่พูดถึงอาการป่วยของตัวเองในตอนนั้นให้คนรอบตัวได้ยิน


เพราะมันก็มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้คนฟังไม่ใช่รึไง


ยิ่งไปกว่านั้น… คนพูดเองก็ไม่ได้เจ็บน้อยไปกว่ากันเท่าไหร่เลยด้วย


ครืดดดดดด


เสียงโทรศัพท์สั่นแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ทีหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อคนส่ง


p: อยู่ไหนแล้วน่ะ


นี่ไม่ใช่ข้อความแรกที่เขาได้รับจากคุณเพิ่ม เมื่อคืนหลังอาบน้ำเสร็จ อยู่ๆ ไลน์ก็เด้งเตือนว่าอีกฝ่ายได้เพิ่มเขาเป็นเพื่อนจากเบอร์โทรศัพท์ หลังเขาตอบรับและกดเพิ่มอีกฝ่ายในรายชื่อเพื่อนไม่นาน ทางนั้นก็ส่งข้อความมาสั้นๆ ว่า อย่าลืมหยิบของมาให้พรุ่งนี้ด้วย ส่วนเขาเองก็พิมพ์ตอบกลับไปแค่ว่าหยิบใส่กระเป๋าไว้แล้ว ยังไงก็ไม่ลืมแน่ๆ


คุณเพิ่มส่งสติกเกอร์เป็นคำว่าขอบคุณมา ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหลังจากนั้น


θ: ถึงแล้วครับ


p: อ่อ รอแป๊บหนึ่งนะ ฉันตื่นสาย


ประโยคที่ฟังดูยังไงก็ไม่น่าจะออกมาจากปากคนทำงานออฟฟิศอย่างคุณเพิ่มทำให้เขาขำ


θ: นี่ไม่ใช่ว่าไปทำงานไม่ทันแล้วจะโดนดุเอาหรือไงครับ


p: บริษัทฉันไม่เคร่งเรื่องเวลาเท่าไหร่


...เป็นงานที่น่าอิจฉาจังแฮะ


p: จริงๆ แอบบอกพี่ซีเนียร์ไว้แล้วว่าออกมาเจอลูกค้าตอนเช้าน่ะ


นึกอิจฉาในใจได้ไม่ทันไร ประโยคถัดมาดันทำเขาหัวเราะออกมาจริงๆ ทีส่ายหัวเบาๆ ให้กับความเจ้าแผนการของคุณเพิ่ม เขาเดินไปหาที่ยืนพิงแถวๆ ราวเหล็ก ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป


θ: ไปโกหกเขาแบบนั้นจะดีเหรอครับ


p: ใครว่าโกหก ก็มีนัดจริงๆ ...แค่ไม่ได้บอกว่านัดกี่โมง


θ: คุณร้ายกว่าที่ผมคิดอีกนะเนี่ย


p: นายก็คุยเก่งกว่าที่ฉันคิดเหมือนกัน


เห็นอีกฝ่ายพิมพ์ตอบมาแบบนั้นทีถึงได้หยุดพิมพ์ สไลด์หน้าจอเลื่อนกลับขึ้นไปอ่านทวนบทสนทนาด้านบนอีกรอบ ถึงได้รู้สึกว่าไม่เหมือนกับบทสนทนาของคนที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง


จะว่าเป็นบรรยากาศสบายๆ ชวนคุยของคนที่ชื่อคุณเพิ่มก็ได้ล่ะมั้ง ขนาดคุยกันผ่านตัวอักษรยังรู้สึกได้เลย


p: ถึงแล้ว อยู่ตรงไหนน่ะ


ยังไม่ทันได้พิมพ์ตอบอะไรกลับไป ฝนที่เริ่มตกลงมาปรอยๆ อีกครั้งทำให้เขารู้สึกเวียนหัว จากที่ตอนแรกทีพยายามหาที่ว่างๆ ยืนพักเพื่อให้หายใจหายคอได้สะดวก กลับกลายเป็นว่าคนเริ่มแน่นขึ้นโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกต อากาศรอบตัวที่เจือความชื้นทำให้ทีเริ่มรู้สึกคลื่นไส้


โชคดีที่ใกล้ๆ มีเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ทีเลยค่อยๆ เดินไปนั่งอย่างยากลำบาก


เขาเริ่มมือสั่น มือที่กำมือถืออยู่เปลี่ยนมาปิดปากเพราะรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน จังหวะที่คิดว่าจะต้องเรียกพี่พนักงานบนบีทีเอสเพื่อขอความช่วยเหลือ ดันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นซะก่อน


“ที!”


คนที่เขาเพิ่งคุยอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์เมื่อกี้กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา ทีที่รู้สึกหน้ามืดมองเห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัดนัก แต่จากน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าเป็นคุณเพิ่มแน่ๆ อีกฝ่ายนั่งลงข้างเขา พยายามดึงมือเขาที่สั่นแบบเห็นได้ชัดไปช่วยบีบ ยังดีที่เขาเองไม่ได้เกิดอาการแพนิค เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีปัญหาแบบนี้



“ที ได้ยินรึเปล่า ไหวมั้ยเนี่ย”



เสียงคนข้างๆ ดังขึ้นเป็นระยะ ส่วนมืออีกข้างก็หยิบแฟ้มขึ้นมาพัดให้อากาศถ่ายเท เขาหลับตาพิงราวเหล็ก ค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆ เหมือนกับที่หมอเคยสอน ไม่นานก็เริ่มจับจังหวะลมหายใจได้ มือที่กำแน่นจนเกร็งถึงค่อยๆ คลายออก


เป็นตอนนั้นที่เริ่มรู้สึกเขินๆ มืออีกข้างของคุณเพิ่มที่วางทาบลงมาได้สักพักแล้ว


แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เพียงแค่ดึงมือกลับไปเฉยๆ ในขณะที่มืออีกข้างยังคงคอยพัดให้เขาอยู่ ทีบอกขอบคุณเบาๆ ก่อนจะทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายส่งแฟ้มในมือมาให้เขาพัดต่อเอง แล้วล้วงกระเป๋าหยิบของชิ้นเล็กมาให้เขา


...ยาดม


“ตกลงใครเอาของมาให้ใครกันล่ะเนี่ย” เพิ่มพูดขำๆ หวังให้เขารู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผลพอสมควร


ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้เท่าไหร่แล้ว


“ขอบคุณมากครับ” ทีรับมาหมุนเปิดฝาแล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลิ่นมินท์ที่ผ่านเข้าสู่ปอดทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้น หลังจากนั้นถึงได้ใช้มือจับเสื้อด้านหน้าของตัวเองแล้วดึงเข้าออกเพื่อระบายความร้อนในตัว


“เฮ้อ อากาศแบบนี้น่าหงุดหงิดเนอะ คุณว่ามั้ย” เขาถามออกไป


“นายไม่สบายบ่อยเหรอ” คนข้างๆ ย้อนเขากลับด้วยคำถาม


“อ๋อ เปล่าครับ ปกติผมก็สบายดี”


“แต่มือยังสั่นอยู่เลยนี่…” เขาก้มลงมอง มือทั้งสองข้างสั่นแบบที่อีกฝ่ายว่า


“ถึงจะโกหกฉันได้ แต่ปฏิกิริยาของร่างกายมันไม่โกหกหรอกนะ” อีกฝ่ายยังคงตั้งข้อสังเกต นั่นถึงเป็นตอนที่ทีหันไปมองแล้วเห็นว่าคุณเพิ่มส่งสายตาออกอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด


จะใช้ตัวช่วยตอบยังไงดีล่ะเนี่ย…


“เป็นห่วงผมก็บอกมาเถอะน่า” เขาพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการกวนประสาท หวังจะให้อีกฝ่ายหลุดมาดหงุดหงิดออกมาเหมือนคราวก่อน


“เป็นห่วง”


แต่กลายเป็นว่าคำพูดที่พูดออกมาแบบไม่คิดจะปิดบังทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ คุณเพิ่มไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วเอื้อมมือมาขอยาดมคืน ทียื่นยาดมส่งให้แบบงงๆ จากนั้นถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่พวกเขานัดเจอกัน มันเพราะเขาจะเอาของมาให้คุณเพิ่มไม่ใช่รึไง


เขาหยิบกระดาษแผ่นที่ใส่แฟ้มไว้เรียบร้อยส่งให้คนตรงหน้า เพิ่มรับมาดูว่าใช่เอกสารที่ตัวเองทำตกไว้จริงๆ ก่อนจะเก็บกลับเข้ากระเป๋าไป เอ่ยขอบคุณเล็กน้อย จากนั้นถึงได้เดินไปต่อแถวรอขึ้นบีทีเอส เห็นอย่างนั้นเขาก็เดินตามมาเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งบีทีเอสเคลื่อนตัวเข้ามาถึงชานชาลา อีกฝ่ายก็แค่โบกมือให้เขาแล้วก้าวเข้าขบวนไป


ทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะกันแท้ๆ


แล้วทำไมเขาถึงต้องรู้สึกผิดแบบแปลกๆ ด้วยล่ะเนี่ย


tbc.


ทิศทางเรื่องดูหนัก แต่สัญญาว่าไม่หน่วงไปจนใจรับไม่ไหวแน่นอนค่ะ ที่จริงเราเขียนเรื่องเศร้าๆ ได้ไม่เก่งหรอก เชื่อเถอะ อ้อ ลืมบอกไปเลย ถ้าใครที่หลงมาอ่านแล้วกลัวว่าจะแบดเอนด์ ไม่ต้องห่วงนะคะะ อย่างที่บอกว่าเราเขียนอะไรเศร้าแซ้ดได้ที่ไหน มีแต่อยากให้คุณเขาได้เจอความรักดีๆ กันทั้งนั้นแหละ ส่งใจให้ทีกับคุณเพิ่ม ฮึบ! ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ :D

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น้องพลัมตั้งใจจะทำอะไรเกี่ยวกับทีตาแน่ๆเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai1: ดราม่าได้ แต่อย่ามากกกก

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 5)
«ตอบ #11 เมื่อ07-03-2019 21:14:40 »

บทที่ 5 : บทสนทนาไม่ธรรมดา


บีทีเอสเคลื่อนตัวออกจากสถานีมาสักพักแล้วก็จริง แต่เพิ่มยังอดคิดถึงคนที่ดูป่วยจนผิดปกติไม่ได้ มือสั่นรุนแรงแบบนั้น ดูยังไงก็รู้ว่าไม่เหมือนอาการอย่างโรคไข้หวัด แถมทีเองยังดูคุ้นเคยกับมันพอสมควร


ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียอย่างนั้น


เพิ่มไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ยอมบอกเขาว่าตัวเองเป็นอะไร นั่นเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้าใจได้ ใครจะไปอยากเล่าทุกอย่างให้คนที่เพิ่งเคยเจอกันแค่สองสามครั้งฟังกัน แต่สาเหตุของความกระวนกระวายที่เขาเป็นอาจจะเกิดจากความเป็นห่วงแบบที่เขายอมรับกับทีไปตรงๆ เมื่อกี้นี้ก็ได้


แต่พอมาคิดดู ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกเป็นห่วงคนที่เพิ่งเคยเจอกันแค่สองสามครั้งด้วยล่ะ


ที่จริง ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เพิ่มก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่สามารถละสายตาไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงหน้าคมที่ทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มอง หรือนิสัยติดอารมณ์ดีของเจ้าตัวที่ดูจะชอบแหย่ให้เขาหงุดหงิดทุกครั้ง


คิดมาถึงตรงนี้แล้วเพิ่มก็ยิ้มขำ ทั้งที่ทีเป็นคนชอบพูดแกล้งเขาแท้ๆ แต่พอเขายอมรับแบบตรงๆ ว่าเป็นห่วงโดยไม่แสดงอาการหงุดหงิดหรือปฏิเสธ ดันเป็นฝ่ายนั้นที่ดูประหลาดใจเสียเอง


θ: ขอโทษครับ


โทรศัพท์ที่แจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้เพิ่มกดเข้าไปอ่าน


p: ขอโทษทำไม


θ: ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง


เขาถือโทรศัพท์ค้าง ตามองข้อความนั้นแบบที่ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี อีกอย่างที่เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนเห็นหน้าต่างแชท คือทีเป็นคนที่มีเสน่ห์เวลาพูดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทั้งตอนอยู่ต่อหน้า หรือแม้แต่ตอนพิมพ์ผ่านโปรแกรมแชทนี่ก็ตาม


อ่านไปอ่านมา เหมือนคนกำลังจีบกันอยู่ยังไงไม่รู้


หรือจริงๆ ทีแค่เป็นคนที่อัธยาศัยดีมากๆ และอาจจะเป็นเขาที่คิดอยู่ฝ่ายเดียวก็ได้


p: ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่างน้อยไปหาหมอมั้ย


เขาพิมพ์ไปแบบนั้น


θ: จะไปหาครับ


เพิ่มอ่านข้อความนั้นอย่างวางใจ ก่อนจะสลับหน้าต่างแชทมาอีกห้องหนึ่งเพื่อไลน์ตอบเพื่อนอีกคนที่กำลังจะไปเจอ


ppin: ถึงไหนแล้วเพิ่ม


p: อีกสองสถานี รอแป๊บ


ที่เพิ่มบอกทีว่ามีนัด เขาหมายความตามนั้นจริงๆ นอกจากมีนัดทีในตอนเช้า ช่วงสายๆ ของวัน เขาเองก็มีนัดกับเพื่อนสนิทอีกคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก


เพิ่มลงจากบีทีเอสเมื่อถึงสถานีที่นัดอีกฝ่ายไว้ เดินต่อเข้าไปยังซอยที่อยู่ไม่ไกลจากบันไดเลื่อนขึ้นสถานี ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่ที่เขามักจะนัดรวมตัวกับเพื่อนบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยอยู่มหาลัย ถ้าไม่ต้องอยู่ตัดโมจนดึกดื่นหรือไปสังสรรค์กับชาวแก๊งสถาปัตย์ เขาก็จะใช้เวลามานั่งพูดคุยหรืออ่านหนังสือกับเพื่อนที่นี่ หลายครั้งไอ้วามันก็ตามมาด้วยจนไปๆ มาๆ ก็สนิทกันหมดทั้งกลุ่ม


เขาผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่คุ้นเคยทำให้เพิ่มรู้สึกดีขึ้น กวาดตามองเพียงรอบเดียวก็เห็นร่างของผู้หญิงตัวเล็กกำลังยิ้มแป้นอารมณ์ดีโบกมือมาทางเขา เพิ่มเดินไปสั่งกาแฟที่เคานท์เตอร์ก่อน แล้วถึงเดินมานั่งที่โต๊ะตัวเดียวกับหญิงสาว


“ว่าไงพ่อคนงานยุ่ง เห็นว่าเมื่อวานไปทะเลาะกับไอ้วามาอีกแล้วหรอ?”


เพิ่มหัวเราะ นึกไปถึงบทสนทนาในห้องแชทเมื่อคืนที่ไอ้วามันเข้าไปโวยวายหาว่าเขาแกล้งมันใหญ่ ทั้งที่ความจริงมันเป็นแบบนั้นซะที่ไหน


“ทะเลาะอะไร วามันก็บ่นไปงั้นของมันตลอด ว่าแต่ปิ่นเถอะ ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”


เขานั่งเท้าคางมองหญิงสาวตรงหน้า ปิ่นแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยจากตอนอยู่มหาลัย ใบหน้าจิ้มลิ้มและรูปร่างติดผอมบางของอีกฝ่ายทำให้เป็นที่หมายปองของใครหลายคน ไม่แปลกที่ตอนอยู่มหาลัยเขาแทบจะทำตัวเป็นไม้กันหมาให้คนตรงหน้า เพราะความจริงคือปิ่นเองก็มีแฟนอยู่แล้ว เพียงแค่อีกฝ่ายอยู่คนละมหาลัย เลยตามมาประกบตัวแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นคนที่เพิ่มเองก็รู้จักดีมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน


“อือ เหนื่อย งานเยอะเหมือนเดิม ไม่ค่อยได้เจออัทธ์ด้วย” ชื่อของบุคคลที่สามที่เพิ่มเพิ่งนึกถึงเมื่อกี้โผล่ออกมาแทบจะทันที


“มีแฟนทำงานคอนซัลท์ก็ทำใจหน่อย” เขาพูดขึ้นอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่ในใจก็นึกชื่นชมสองคนนี้ที่ยังคบกันมาได้ยืดยาวตั้งแต่สมัยมัธยมจนถึงปัจจุบัน


“เออ มันก็ฟีลแบบ ขอบ่นหน่อย แต่ฉันน่ะทำใจได้นานแล้ว” ปิ่นยกหลอดขึ้นคนแก้วกาแฟ ดูดไปสองสามอึกแล้วถึงยกแก้วกาแฟเย็นชี้มาทางเขา


“ว่าแต่แกเถอะ”


“อะไร”


“มีอะไรจะอัปเดตกับเพื่อนบ้างมั้ย” ปิ่นถามด้วยสีหน้าคาดคั้น เขาถอนหายใจแบบเซ็งๆ ก่อนพูดออกไปเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน


“จะมีอะไรล่ะ ทุกวันนี้แทบจะแต่งกับงาน”


“ใช่เหรอ เมื่อเช้าไปเจอใครมา”


...สมแล้วที่เป็นเจ้าแม่สายข่าว


“ไอ้วาบอก?”


“จะมีใครอีก แกไม่รู้เหรอว่ามันโทรมาหาฉันเมื่อคืน ได้ข่าวว่าไปหว่านเสน่ห์ใส่เด็กมหาลัยมางี้” ไม่พูดเปล่า ปิ่นยังส่งสายตาล้อเลียนมาจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่า ไอ้วามันไปเล่าอะไรยังไงของมันวะเนี่ย


“ตลกละ แค่เจอคนรู้จักเฉยๆ”


“มันบอกว่านึกว่าป้าร้านข้าวแกงฉีดยาอะไรมา ปกติไม่เห็นแกจะคุยกับใครแบบสนิทสนมขนาดนั้น อย่างน้อยก็ไม่ตั้งแต่… เมื่อสองปีก่อน”


ปิ่นพูดเสียงเบาลง เขารู้ดีว่าเพื่อนสนิทตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายจิตใจหรือพูดขึ้นเพื่อให้เขานึกถึงเรื่องในตอนนั้น แต่มันก็ยังอดรู้สึกโหวงๆ ในใจไม่ได้อยู่ดี


“เออๆ ยอมรับว่าไปเจอมา” เพิ่มพูดตัดบทให้บรรยากาศดีขึ้น ที่จริงหลังจากผ่านเรื่องในตอนนั้นมาเขาเองก็ทำใจได้ขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่การโดนทักขึ้นมาจังๆ แบบไม่ทันตั้งตัว เขาก็พอจะรับมือไหว ยิ่งกับเพื่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่เขาใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ทำให้สามารถพูดถึงพลัมได้โดยที่ไม่รู้สึกจุกมากเท่าเมื่อก่อน ปิ่นเองที่รู้เรื่องนี้ดีถึงได้กล้าพูดขึ้นมา


แล้วอีกอย่างก็เป็นเพิ่มเองที่ขอให้ทุกคนทำตัวเหมือนปกติ


“ชื่ออะไร”


“นี่แกจะเก็บข้อมูลไปสืบเรื่องน้องรึไง”


“จะบ้าเหรอ ถามแค่ชื่อ จะได้เรียกถูก”


“ชื่อที อืม... ทีตา”


ชื่อในไลน์ที่ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์แบบนั้นทำให้เขาคิดว่านั่นคงเป็นชื่อเล่นจริงๆ ของอีกคน


“ต๊าย สัมผัสได้ถึงความเอ็นดู น้องก็เรียนอยู่บัญชีเหรอ”


“ไหนว่าถามแค่ชื่อ”


“เอ้า สงสัย ก็เห็นว่าไปเจอกันที่โรงอาหารบัญชี”


“วาเล่าขนาดนี้ ไม่ไปถามเลยล่ะว่าหน้าตาเป็นยังไง”


“ก็เห็นว่าหน้าตาดีใช้ได้เลยนี่... อุ่ย” ปิ่นที่หลุดพูดออกมารีบทำเป็นก้มลงดื่มกาแฟต่อ เขาหรี่ตามอง


“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยถามคณะ”


จะว่าไป เขาเองก็ไม่ได้รู้จักทีดีไปมากกว่าปิ่นเท่าไหร่เลย นึกย้อนไป ภายใต้บทสนทนาที่ดูสนิทสนมเกินคนรู้จัก เขากับทีไม่ได้ต่างจากคนแปลกหน้าที่รู้เพียงชื่อเล่นของกันและกัน ฝั่งทีน่าจะรู้จักเขามากกว่าหน่อย ถ้าอีกฝ่ายได้เห็นเอกสารแบบแปลนที่เขาทำหล่นไว้ ก็คงพอเดาออกว่าเขาทำงานด้านสถาปนิกอะไรเทือกนั้น


แต่ทางฝั่งนี้นี่สิ ทีเรียนอยู่คณะอะไรก็ยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำ


“แต่ว่าก็แปลกดี”


“หืม”


“เมื่อวาน อยู่ๆ ทีก็ถามขึ้นมาว่าเรามีน้องสาวรึเปล่า”


“ไม่แปลกหรอก แกกับพลัมหน้าเหมือนกันขนาดนั้น มองผ่านๆ นึกว่าแฝด”


“หรือจริงๆ ทีอาจจะรู้จักพลัมอยู่แล้ว…”


“ก็เป็นไปได้ พลัมอยู่เศรษฐศาสตร์นี่ ทีอาจจะอยู่คณะเดียวกันก็ได้นะ”


“โลกมันจะกลมเกินไปหน่อยมั้ยเนี่ย”


เพิ่มบ่นกับตัวเองแล้วถอนหายใจเบาๆ ปิ่นเห็นอย่างนั้นถึงได้เอื้อมมือมาบีบมือเขา ทั้งที่ภายนอกดูออกจะเข้มแข็ง แต่ปิ่นเองก็รู้ดีว่าเพิ่มยังมีความอ่อนแอข้างในที่ไม่ค่อยได้แสดงออกให้ใครเห็นมากนัก


ซึ่งเกือบทั้งหมดนั้นเกิดจากเรื่องเมื่อสองปีก่อน


ดูยังไงก็รู้ว่าคนที่รักน้องสาวมากๆ อย่างเพิ่ม ยังคิดถึงพลัมอยู่ตลอด ถึงจะผ่านมานานแล้วก็เถอะ...


“พูดถึงพลัม วันก่อนฉันเพิ่งเจอพี่รุ่งมา” เพิ่มเงยหน้าขึ้นจากแก้วกาแฟเมื่อได้ยินชื่อรุ่นพี่อีกคนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามานาน


“เห้ย ไรอะ ไม่เห็นชวน”


“ชวนไรล่ะ เจอกันโดยบังเอิญ วันนั้นฉันกับอัทธ์ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลพี่รุ่ง เลยโทรถามเผื่อฟลุ๊ค บังเอิญพี่เขาออกเวรพอดีเลยมีเวลาปลีกตัวมาหาได้แป๊บหนึ่ง”


“โอ๊ย อยากเจอพี่รุ่ง ไม่ได้เจอกันมาจะสองปีแล้วมั้ง” เขาบ่น


พี่รุ่งเองก็เป็นอีกคนที่เพิ่มกับปิ่นรู้จักดีตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน แถมยังไปโรงเรียนเดียวกันจนกระทั่งจบมัธยมต้น ทำให้พวกเขาแทบจะสนิทกันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่หลังจากที่พี่รุ่งสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ เขากับอีกฝ่ายก็ได้เจอหน้ากันน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งในตอนนี้ที่เพิ่มได้ข่าวว่าพี่รุ่งเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆ แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปทักทายสักที


“นั่นสิ ยังนึกถึงสมัยก่อนที่แกกับพลัมงอแงจะตามพี่รุ่งไปมหาลัยด้วยให้ได้”


“เราน่ะไม่เท่าไหร่ พลัมต่างหากตัวดี ร้องไห้ไม่หยุดเลยตอนพี่รุ่งสอบติด บอกว่าจะหายไปอยู่ตั้งไกล ทั้งที่ความจริงก็อยู่แค่นี้เอง”


“ใช่สิ แต่จะว่าไป… พี่รุ่งก็ยังไม่รู้เรื่องพลัมเลยเนอะ”


“อือ ขาดการติดต่อไปนานเลย ถ้าพลัมยังอยู่ ตอนนี้ก็คงคิดถึงพี่รุ่งมากแน่ๆ”


เขาพยายามนึกถึงหน้าของน้องสาวตอนที่มีความสุขมากๆ ถึงจะเจือไปด้วยความรู้สึกเศร้า แต่ประกายความสดใสของพลัมก็เป็นสิ่งที่เขาจะจำได้เสมอ เพิ่มยกข้อมือขึ้นมาดูสร้อยที่เคยเป็นของพลัม ลูบเบาๆ อย่างเหม่อลอย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปิ่นพูด


“เอาน่า ไว้ค่อยเล่าให้พี่รุ่งฟัง แต่ฉันเชื่อว่าพี่รุ่งเองก็ต้องภูมิใจในตัวพลัมมากอยู่แล้ว” ปิ่นยิ้มให้เขาอย่างเข้าใจ นั่นทำให้เพิ่มรู้สึกดีขึ้น


“อื้อ”


เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา เพิ่มดีใจที่แม้จะเสียน้องสาวไป อย่างน้อยรอบตัวเขาก็มีเพื่อนดีๆ ที่จะคอยให้กำลังใจเสมอเวลาที่เขารู้สึกแย่


อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกว่า… เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้


tbc.

กอดคุณเพิ่มเขาซะหน่อย ♡ มีคนมาคอมเม้นท์ไว้ด้วย ดีใจมากอ๊าก ยินดีต้อนรับนะคะะ ช่วงแรกอาจจะยังเอื่อยๆ อยู่ (ตามพล็อตที่วางไว้ แหะ) แต่เดี๋ยวสักพักจะสปีดอัพความน่ารักของสองคนนี้แล้วค่ะ! ฮื่ออ ใครผ่านมาแล้วสนใจ จิ้มอะไรทิ้งไว้สักตัวก็ได้นะ อยากบอกว่ามันเป็นกำลังใจให้เราได้มากอย่างไม่น่าเชื่อเลย :)

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ต้องใช่แน่ๆ โรคหัวใจ แล้วหัวใจที่ ทีได้มา คือของพลัม ฮือออ น้ำตาไหลแล้วววว :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น้อนทีน่ารักกกกกก

อยากอ่านต่อแว้ววว

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 6)
«ตอบ #15 เมื่อ09-03-2019 22:18:34 »

บทที่ 6 : เช็คอัพ


หลังจบคาบเรียนในช่วงเช้า ทีก็นั่งรถมายังโรงพยาบาลตามปกติ อันที่จริงเขานัดหมอเรื่องเช็คอัพไว้แล้วตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่บังเอิญพอดีที่เมื่อเช้าดันเกิดอาการกำเริบ ทีค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นอาการข้างเคียงของยาตัวใหม่ที่หมอเพิ่งจ่ายให้เมื่อต้นเดือนก่อน


“นายทีตา เชิญห้องตรวจที่ 12 ค่ะ” นางพยาบาลเรียกชื่อ เขาดึงหน้ากากอนามัยให้กระชับก่อนเดินเข้าไป


“สวัสดีฮะหมอรุ่ง”


“ไงเจ้าที” คุณหมอคนสวยที่ทีคุ้นเคยยิ้มออกมาเมื่อเห็นคนไข้ขาประจำที่เธอคุ้นเคยดี


หมอรุ่งเป็นคุณหมอเจ้าของไข้ของทีเมื่อสองปีก่อน แพทย์หญิงตรงหน้าเป็นสาววัยกลางคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดูจะอารมณ์ดีเสมอ ทีไม่ปฏิเสธว่าใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่มักแสดงออกให้เห็นอยู่บ่อยครั้งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีพี่สาวที่ใกล้ชิดเพิ่มอีกคน โดยเฉพาะช่วงสองปีก่อนที่เขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น นอกจากซีที่จะตามมาด้วยเวลาว่าง เขาก็รู้สึกอุ่นใจเสมอทุกครั้งที่หมอรุ่งเป็นคนตรวจร่างกายให้


“ช่วงนี้ร่างกายเป็นยังไงบ้าง” หมอรุ่งเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่ใกล้เคียงกับทุกครั้งที่เขามีนัดพบอีกฝ่าย


“สบายดีครับ ช่วงนี้ผมเล่นบาสอาทิตย์สองอาทิตย์ครั้งกับเพื่อนที่คณะ ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”


“ดีแล้วล่ะ แปลว่าร่างกายเราปรับตัวได้ปกติดี” หมอยิ้ม ก่อนลงมือจดยุกยิกๆ ในสมุดคนไข้


แน่นอนว่าเขาอ่านออกซะที่ไหน


“ครับ หมอว่าผมจะเล่นถี่ขึ้นได้มั้ยฮะ อาจจะอาทิตย์ละสองครั้ง”


“ได้สิ แต่ค่อยๆ เพิ่มความถี่นะ เดี๋ยวกะทันหันไปร่างกายจะรับไม่ไหว ลองเล่นอาทิตย์ละครั้งให้ชินไปก่อนสักเดือนหนึ่ง แล้วค่อยเพิ่มเป็นอาทิตย์ละสองครั้งก็ได้จ้ะ” หมอรุ่งอธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น


“เข้าใจแล้วครับ เอ้อ หมอ”


“หืม” หมอรุ่งเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มประวัติคนไข้ของเขาอีกรอบ


“เรื่องยาตัวใหม่ที่หมอเพิ่งจ่าย...”


ทีเล่าอาการของเขาตอนอยู่บนบีทีเอสให้หมอฟัง จบท้ายด้วยการบอกว่าเป็นอาการที่เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่หมอเปลี่ยนยาบางตัวให้ใหม่ หมอรุ่งซักประวัติเขาเพิ่ม ก่อนจะลงความเห็นว่าเป็นอาการข้างเคียงอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ


“งั้นเดี๋ยววันนี้หมอจ่ายยาตัวเดิมที่ทีเคยกินละกันนะ เราโอเคใช่มั้ย”


“ไม่มีปัญหาครับ”


หลังจากนั้น ทีเดินตามหมอรุ่งเข้าไปในห้องหัตถการเพื่อตรวจร่างกาย ตรวจเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงพอดี หมอรุ่งที่บอกเขาว่ายังไม่มีคิวคนไข้ต่อถึงได้ชวนทีไปกินข้าวเที่ยงที่ห้องอาหารในโรงพยาบาล เขาเองที่ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยตอบตกลงแทบจะทันที


“จริงสิ หมอฮะ ผมถามเพิ่มอีกอย่างได้มั้ย” ทีถามขึ้นหลังจากหมอรุ่งยกถาดอาหารมาวางแล้วนั่งตรงข้ามเขา


“ถามได้ แต่หมอคิดค่าวินิจฉัยอาการเพิ่มนะ” หมอรุ่งหัวเราะเบาๆ ที่เขาทำหน้าเหวอไปนิดหนึ่ง


“โหหมอ ให้ผมมีเงินเก็บบ้างอะไรบ้างเถอะ”


“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะ อยากปรึกษาอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าปัญหาหัวใจ?”


“เรื่องนั้นผมก็ปรึกษาหมอมาเกือบสามปีแล้วนี่ครับ” ทีเล่นคำพร้อมยิ้มกวน ทำให้หมอรุ่งเอื้อมมือมาผลักหัวเขาข้อหายียวนเกินเหตุ


“เดี๋ยวเหอะ ฉันสั่งเปลี่ยนหมอเจ้าของไข้แล้วจะเสียใจ”


“แค่นี้ถึงกับต้องงอนเลยเหรอครับ อะๆ ผมไม่แกล้งแล้วก็ได้”


“ย่ะ เล่ามาได้แล้ว เดี๋ยวบ่ายสามหมอมีเคสต้องไปจัดการต่อ”


“ครับ คือว่า… หมอเคยเห็นหน้าใครแล้วใจเต้นแรงมากๆ มั้ย”


หมอรุ่งหรี่ตา อ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เขาเบรกไว้ก่อนแล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อ


“เดี๋ยวๆ หมออย่าเพิ่งแซวผม คือมันไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ค่อยถูกอะครับ นอกจากจะหัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดแล้ว คนคนนั้นยังให้ความรู้สึกอุ่นๆ ที่หัวใจแปลกๆ เหมือนกับ…” ทีพยายามนึกอารมณ์ในตอนที่เจอคุณเพิ่มครั้งแรก


“ให้ความรู้สึกเหมือนกับ… ดีใจที่ได้เจอคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน”


ทีสรุปอาการแปลกประหลาดของตัวเองให้หมอรุ่งฟัง อีกฝ่ายนั่งเคาะโต๊ะ ก่อนจะถามขึ้นด้วยมาดแพทย์สาวเต็มที่ไม่ต่างจากอยู่ในห้องตรวจ


“แล้วอาการอื่นล่ะ เจ็บหน้าอกผิดปกติมั้ย รู้สึกมือสั่นหรือหน้ามืดรึเปล่า”


“เปล่าเลยครับ ไม่ได้มีอาการพวกนั้นเลย ผมเลยหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร”


“ตั้งแต่ผ่าตัดมา เคยเป็นแบบนี้มาก่อนรึเปล่า”


“ไม่เคยฮะ”


“งั้นหมอคงสรุปได้เบื้องต้นว่า… ทีอาจจะตกหลุมรักคนคนนั้นเข้าแล้วรึเปล่าน้า”


“หมอ!”


“เด็กน้อยของหมอโตเป็นหนุ่มแล้วนะเนี่ย” หมอรุ่งล้อขำๆ คราวนี้เป็นฝั่งทีที่โวยวายขึ้นมาบ้าง


“หมอออ ผมเครียดนะ อยู่ๆ เจอคนแปลกหน้าแล้วเกิดอาการทั้งหมดที่ว่ามานั่น ใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะ”


“ฮ่าๆ โอเคๆๆ หมอเข้าใจแล้ว แค่จะบอกว่า อาการแบบนี้มันไม่มีในตำราแพทย์เล่มไหนหรอกนะ” หมอรุ่งพูดขึ้น เขาถึงได้เริ่มตั้งใจฟังอีกรอบ


“ง่ายๆ เลย ปกติเวลาอาการอะไรก็ตามกำเริบ มันมักจะตามมาด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว เหมือนร่างกายอ่อนแอลงใช่มั้ยล่ะ ทีเองก็น่าจะนึกออก เหมือนกับช่วงแรกๆ ที่เราเพิ่งผ่าตัดใหม่ๆ”


“ครับ”


“แต่คราวนี้ เราดันบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนกับอะไรแบบนั้นเลย แถมเท่าที่ทีเล่าให้ฟัง มันฟังดูเป็นความรู้สึกดีๆ มากกว่า...”


“แบบนี้น่ะ ไม่เรียกว่าอาการป่วยหรอกนะ”


หมอรุ่งขยิบตาให้เขา ก่อนจะลุกขึ้นเดินถือถาดไปวางที่โซนเก็บจาน ส่วนเขาเองที่กินเสร็จแล้วก็เดินตามไปเหมือนกัน อันที่จริง เขาเองไม่ได้จำเป็นต้องมาเล่าทุกอย่างให้หมอรุ่งฟัง แต่ทีแค่รู้สึกเคยชินกับการมีคนคอยรับฟังเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเขา แล้วหมอรุ่งเองก็เป็นผู้ฟังที่ดีพอที่จะทำให้ทีสบายใจ


“เดี๋ยวหมอต้องไปเข้าเวรต่อแล้ว ไว้เดือนหน้าเจอกันนะ”


“ขอบคุณมากครับหมอรุ่ง”


“ถึงตอนนั้นอย่าลืมมาอัปเดตหมอด้วยล่ะ เรื่องคุณคนนั้นน่ะ”


“หมอ!”


เขาได้ยินเสียงหัวเราะของหมอรุ่งหลังจากที่เขาทำเสียงฮึดฮัด แพทย์หญิงในชุดกาวน์โบกมือให้เขาก่อนเดินไปอีกทาง ทีถึงได้เดินลงบันไดมา ตั้งใจจะออกไปเรียกแท็กซี่เพื่อนั่งรถกลับคอนโด เขาไม่ลืมหยิบหน้ากากอนามัยมาสวมอีกครั้งก่อนเดินฝ่าฝูงชนออกไปหน้าโรงพยาบาล แต่ก่อนหน้านั้น เขาที่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าคุยอะไรค้างไว้กับคนในแชทก็หยิบมือถือขึ้นมา แล้วพิมพ์บอกอีกฝ่ายว่ามาหาหมอแล้ว


คุณเพิ่มจะได้หาย ‘เป็นห่วง’ เขาซะที


………...


หลังจากที่แยกย้ายกับที รุ่งก็เดินกลับขึ้นไปยังชั้นห้องผู้ป่วยพักฟื้น บ่ายนี้ยังมีเคสที่เธอต้องเข้าไปตรวจอีกสามเคส นั่นไม่รวมถึงผ่าตัดใหญ่ในช่วงหัวค่ำที่ตอนนี้เจ้าของไข้มานอนรอเตรียมความพร้อมอยู่แล้ว


ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะที่เธอทำงานอยู่ไม่ได้มีคนไข้มากนัก แต่แต่ละเคสมีความยากและกินเวลานานหลายปี กว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่นี่คือผู้ป่วยรอรับการปลูกถ่ายไต เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ทุกวันนี้มีผู้ป่วยรอรับการปลูกถ่ายจำนวนมาก แต่อัตราการบริจาคนั้นต่ำเสียจนน่าใจหาย นั่นแปลว่าในหลายครั้งโรงพยาบาลจำเป็นต้องปฏิเสธคนไข้หากไม่สามารถหาอวัยวะทดแทนที่เข้ากันได้


“อ้าว รุ่ง มาตรวจเคสคุณกาญจน์เหรอ” ศัลยแพทย์อาวุโสท่านหนึ่งทักขึ้นเมื่อเห็นเธอเดินออกจากห้องคนไข้


“สวัสดีค่ะพี่ก้อง” เธอยกมือขึ้นไหว้ หมอก้องเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ จะเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าเธอเองก็ได้ร่วมผ่าตัดกับพี่ก้องหลายครั้ง รวมไปถึงเคสของทีเมื่อสองปีก่อนด้วย


“จริงสิ เมื่อเช้ารุ่งมีนัดเช็คอัพกับที พี่ก้องจำทีได้มั้ยคะ”


“จำได้สิ เคสผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น พี่ว่าอีกนิดเด็กๆ ในหวอดก็จะเห็นทีเป็นฮีโร่กันหมดอยู่แล้วมั้ง” หมอก้องยิ้มขำ นั่นทำให้เธออดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้


พูดถึงเคสของที จะเรียกว่าเป็นการผ่าตัดที่เหมือนกับรอดมาอย่างปาฏิหาริย์เลยก็ว่าได้ ในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะทีมแพทย์มีฝีมือไม่มากพอ หรือเพราะร่างกายน้องอ่อนแอเกินไป แต่กรณีของทีคือผู้ป่วยที่รอการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาหลายปี เนื่องจากไม่มีผู้บริจาค จนกระทั่งในตอนที่อาการโคม่าแทบจะไม่รอด ทีมของเธอก็ได้รับมอบอวัยวะมาจากเคสผู้ประสบอุบัติเหตุและสมองตายกะทันหัน


อาจฟังดูใจร้ายกับผู้บริจาค แต่เธอไม่ปฏิเสธว่าดีใจจริงๆ ที่หัวใจดวงนั้นช่วยต่อชีวิตให้ทีได้


เพราะว่าในตอนนั้น ทีมของเธอเป็นทีมที่แสตนด์บายดูแลอาการของทีอยู่ในห้องผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ทำให้เธอไม่เคยได้รู้ชื่อของผู้บริจาค รู้เพียงแค่ว่าเป็นอวัยวะของหญิงสาวที่อายุใกล้เคียงกัน น่าเสียดายที่ทีเองก็ไม่ได้มีโอกาสได้ขอบคุณญาติๆ ของผู้หญิงคนนั้น เธอได้ยินว่าหลังจากที่หัวใจถูกส่งผ่านมายังทีมปลูกถ่าย ญาติคนนั้นก็นำร่างของผู้เสียชีวิตกลับไปทันทีโดยที่ไม่ได้โผล่มาที่โรงพยาบาลอีก


การลาจากที่กะทันหันขนาดนั้น คงไม่แปลกที่เขาคนนั้นจะยังอยู่ในภาวะช็อกต่อการสูญเสียจนไม่อยากรับรู้สิ่งอื่น


“พี่ก้องคะ”


“ว่าไง”


“ตอนนั้น คนที่บริจาคหัวใจให้ที หมอจำชื่อน้องคนนั้นได้มั้ยคะ”


“จำไม่ได้แล้วแฮะ แต่คิดว่าน่าจะมีแฟ้มข้อมูลอยู่แหละ” หมอก้องทำท่านึกไปครู่หนึ่งก่อนตอบเธอกลับมา


รุ่งพยักหน้ารับคำหมอก้อง


“ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยวรุ่งลองถามจากน้องที่ดูแลฐานข้อมูลดู”


“ทำไมอยู่ๆ สนใจขึ้นมาล่ะ” หมอก้องถาม รุ่งที่นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ถึงได้ตอบกลับไป


“แค่คิดว่า อาจจะถึงเวลาแล้วที่ทีน่าจะได้เจอกับญาติของเจ้าของหัวใจดวงนั้นน่ะค่ะ”


………...


ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่หลังจากวันนั้นเธอเองก็ยุ่งกับการผ่าตัดและเคสตรวจคนไข้เสียจนลืมเรื่องดังกล่าวไปเสียสนิท จนกระทั่งอาทิตย์ถัดมานั่นแหละรุ่งถึงได้มีเวลาว่างพอจะไปขอให้นางพยาบาลที่ดูแลฐานข้อมูลผู้บริจาคอวัยวะดึงข้อมูลออกมาให้


บ่ายวันจันทร์หลังเสร็จสิ้นการผ่าตัดในช่วงเที่ยงๆ แฟ้มข้อมูลผู้บริจาคอวัยวะก็มาวางอยู่บนโต๊ะของเธอ รุ่งกล่าวขอบคุณพยาบาลสาวที่ช่วยเป็นธุระให้ เธอถอดเสื้อกาวน์ออกก่อนจะนั่งลงพิงเก้าอี้นวม มือหยิบแฟ้มที่ว่าขึ้นมาเปิด


ภายในแฟ้มมีรายละเอียดที่บอกเล่าสภาพร่างกายของผู้บริจาคในตอนที่เข้ามาถึงโรงพยาบาล รุ่งกวาดสายตา สภาพของร่างกายที่สะบักสะบอมจากอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้เธอไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนหนึ่งต้องเผชิญกับเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ นั้นยิ่งเพิ่มความน่าประหลาดใจให้กับการปลูกถ่ายอวัยวะของที เพราะนอกจากหัวใจ อวัยวะอื่นในร่างของเด็กคนนี้เสียหายมากเกินกว่าจะสามารถนำไปปลูกถ่ายต่อได้


แต่สิ่งที่ทำให้รุ่งมือเย็นเฉียบคือตอนที่เธอเห็นชื่อของผู้บริจาค


ตอนที่เธอจินตนาการถึงหน้าของหญิงสาวเจ้าของอวัยวะ รุ่งไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนคนเดียวกับเด็กสาวที่เธอสนิทสนมด้วยตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก


ยัยพลัม…


รุ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เลื่อนหาเบอร์ที่เธอไม่ได้ติดต่อไปนานเป็นแรมปี ใจหวังให้เด็กคนนั้นยังใช้เบอร์โทรศัพท์เดิมอยู่ รุ่งนึกเสียใจขึ้นมาที่วันนั้นไม่ได้ถามเบอร์เพิ่มจากปิ่น แต่คิดว่าคนอย่างเพิ่ม ถ้าไม่น่ามีอะไรก็คงไม่ได้เปลี่ยนเบอร์


รุ่งยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเธอคิดถูก พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดขึ้นที่ปลายสาย เธอก็กรอกเสียงกลับไปอย่างรวดเร็ว


“เพิ่ม พี่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”


tbc.


ถึงจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นความลับเท่าไหร่ แต่พอเขียนออกมาจริงๆ ก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีค่ะ ที่สำคัญคือมีคนเดาถูกด้วย! ยังคงยืนยันว่าไม่ต้องกลัวดราม่านะคะะ มีพอเป็นกระสัยกรุบกริบ หลักใหญ่ใจความคือเรื่องของการเปิดใจให้กันมากกว่า เพราะสองคนนี้ต่างคนต่างก็มีอดีตของตัวเอง จะพยายามเขียนออกมาให้สื่อไดนามิคระหว่างกันได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะะ

เช่นเคย ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน/ฝากคอมเม้นท์ไว้นะคะ ชื่นใจแท้ :-D

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

น่าสนใจ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ติดตาม​ค่ะ​

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 7)
«ตอบ #19 เมื่อ12-03-2019 21:55:24 »

บทที่ 7 : คนที่ทำให้สบายใจกับคนเห็นแก่ตัว


ทีตบไฟเลี้ยวรถเข้าซอยที่คุ้นเคย ก่อนจะจอดรถที่หน้าบ้านเดี่ยวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากในโครงการหมู่บ้าน เขาไขกุญแจแล้วเดินเข้ามาในตัวบ้านได้สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาววัยกลางคนกับน้องชายตัวดีดังมาจากในครัว


เชื่อเลยว่าเจ้าซีไปป่วนแม่ตอนทำกับข้าวอีกแล้วแน่ๆ


“อ้าว ที กลับมาแล้วรึ” พ่อเขาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่หันมาเมื่อได้ยินเสียงเขาเดินมาในห้องนั่งเล่น ทียกมือไหว้ก่อนจะทักทายแล้วเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาชุดในห้องนั่งเล่น


“สวัสดีครับพ่อ”


“เอ้อ วันนี้ไปหาหมอมาใช่มั้ย หมอว่าไงบ้าง”


“ครับ ไปเช็คอัพปกติ หมอเปลี่ยนยากดภูมิให้เพราะทีเหมือนจะแพ้ตัวก่อนน่ะพ่อ ส่วนร่างกายก็ปกติดีฮะ”


“ดีแล้ว ดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะๆ ด้วยลูก”


“ครับ”


ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน ทีมักจะได้ยินประโยคใกล้เคียงกับสิ่งที่พ่อพูดเสมอ ไม่ว่าจะทั้งจากพ่อเอง จากแม่ หรือแม้กระทั่งพี่ฝ้าย พี่แม่บ้านที่มาช่วยดูแลงานบ้านเป็นประจำ มันทำให้ทีรู้สึกอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงเกินความจำเป็น


ทีรู้ดีว่าอาการป่วยของเขาถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากถ้าเทียบกับคนในวัยเดียวกัน และการที่พ่อแม่เขาไม่มาตามประกบเขาทุกฝีก้าว ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง นั่นคงเป็นเพราะพวกท่านก็ไม่อยากทำให้เขารู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นไปมากกว่านี้


ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ


“พี่ทีกลับมาแล้ววว” เสียงไอ้ตัวดีที่ตะโกนออกมาก่อนจะเห็นตัวทำให้ทั้งเขาและพ่อสบตากันก่อนจะยิ้มออกมา


แน่นอนว่าในบ้านหลังนี้ เจ้าของความสดใสและรอยยิ้มคือซี ถึงเขาจะทำตัวกวนประสาทและไร้สาระกับเพื่อนไปวันๆ แต่เมื่ออยู่กับที่บ้าน ทีมักรู้สึกว่าตัวเองควรทำหน้าที่เป็นพี่ชายคนโตที่ดี ส่วนนึงเพราะอยากให้ซีรู้สึกว่าพี่อย่างเขาพึ่งพาได้ (ซึ่งอีกฝ่ายก็ดันพึ่งพาปรึกษาเขาบ่อยซะจนทำให้นอนไม่พอไปหลายคืน) อีกส่วนหนึ่งคืออยากให้พ่อกับแม่เห็นว่าเขาเองก็โตเป็นผู้ใหญ่พอให้เป็นห่วงเรื่องต่างๆ น้อยลง


“ไอ้ตัวยุ่ง วันนี้จะอ้อนไม้ไหนอีก”


“อ้อนที่ไหน มีแม่อยู่ทำไมซีจะต้องอ้อนพี่ทีด้วย จริงมั้ยฮะแม่”


“จ้าๆ อุ๊ย ซีอย่าเพิ่งกอด ขอแม่วางจานข้าวแป๊บหนึ่งลูก”


“สวัสดีครับแม่” ทีลุกขึ้นเดินไปหอมแก้มคุณแม่คนสวยของเขา ก่อนช่วยลำเลียงกับข้าวจากในครัวมาวางบนโต๊ะทานอาหาร


“วันนี้ของโปรดทีกับซีเพียบเลยน้า แม่กับพี่ฝ้ายลงมือเต็มที่เลย” แม่หันมาพูดกับเขาก่อนจะหอมแก้มทีตอบ


“เอ้า แล้วของโปรดพ่อล่ะ”


“คุณอยู่บ้านทุกวันอยู่แล้ว ตามใจลูกๆ บ้างสิคะ” คำที่ฟังดูเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กทำให้พ่องอนไม่กล้าเถียงอะไร เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนโต๊ะอาหารได้อีกระลอก


ถึงจะบอกว่าเป็นของโปรด แต่มื้ออาหารที่มักทำทานกับที่บ้านเขาส่วนใหญ่เป็นมื้ออาหารง่ายๆ เพราะใจความหลักใหญ่ของการกลับมากินข้าวที่บ้านไม่ใช่รสชาติอาหาร แต่เป็นการที่ทุกคนได้มาอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อพูดคุย เขามักจะขับรถกลับมาบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่ได้มีธุระไปไหน


บรรยากาศของครอบครัวทำให้ทียิ้มกว้างออกมา


“จริงสิ พี่ที ตกลงได้คืนเอกสารให้คุณคนนั้นไปยัง” ซีถามเขาหลังตักแกงเขียวหวานเข้าปากคำโต


“คืนแล้วน่า พี่นัดเจอเขาที่บีทีเอสเมื่อวานตอนเช้า”


“เฮ้ย ไรอะ ทำไมมีนัดจงนัดเจอ ไหนว่าชื่อเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ เนี่ย! แม่ดูสิครับ พี่ทีของเราร้ายขนาดไหน”


“ร้ายอะไร พี่แค่บังเอิญเจอเขาที่มหาลัย เลยติดต่อกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ทางนั้นจะได้ไม่ลำบาก” เขาทำเป็นไม่สนใจเสียงฟ้องของซี ตอบเรียบๆ พร้อมกับตักข้าวเข้าปาก


“เขาก็เป็นนิสิตเหมือนพี่ทีเหรอ”


“เปล่าหรอก เหมือนจะแค่แวะมาทำธุระเฉยๆ” ทีตอบแล้วเอื้อมมือไปตัดทอดมันมาใส่จาน


“โหย แบบนี้เปล่าที่เขาเรียกชะตาต้องกัน”


“ไปกันใหญ่แล้วน่า แทนที่จะคุยเรื่องพี่ ไหนเล่าเรื่องของเรามั่งสิ ทะเลาะกับเก็ทนี่ดีกันรึยัง”


ได้ผล ทีที่ตั้งใจเบี่ยงหัวข้อสนทนาไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้าคำถามอีกต่อไปร้องเยสในใจเบาๆ เมื่อเห็นซีออกอาการหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นอีกฝ่ายก็เล่าเรื่องยาวเหยียดว่าเถียงกันเรื่องข้อสอบบ้างล่ะ ไม่ยอมไปอ่านหนังสือด้วยกันบ้างล่ะ ลามไปจนถึงโวยวายว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจตัวเองบ้าง ทีสารภาพกับตัวเองว่าแทนที่จะเห็นใจน้องชาย เขาดันเห็นใจเจ้าเก็ทมากกว่าที่ต้องมารองรับความงอแงทั้งหมดนี่ของซี


“น่าลูก แต่สุดท้ายเก็ทก็ยอมตามใจเหมือนทุกทีไม่ใช่รึไง” แม่ถามขึ้นอย่างคนรู้นิสัยของลูกชายตัวเองดี


“...ก็ใช่ครับ แต่ว่าเก็ทชอบดุซีนี่”


“เขาดุเพราะเขาเป็นห่วงซีไง” ทีตอบ


“มีแฟนเหมือนได้พี่ชายอีกคนเลยอะ” ซีเอาส้อมจิ้มลูกชิ้นปลากรายเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ พ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ เอื้อมมือมาโยกหัวซี ก่อนบอกเป็นทำนองว่าลูกชายพ่อซนขนาดนี้ มีคนมาช่วยดูแลก็ไม่เลว ทำให้ซีเหมือนจะงอนไปอีกรอบ คราวนี้พ่อถึงกับต้องจำใจยกแกงเขียวหวานทั้งถ้วยให้ซีเพื่อง้อเลยทีเดียว


อีกอย่างหนึ่งที่เขารู้สึกขอบคุณจนไม่รู้จะพูดยังไงคือที่บ้านเขาไม่เคยกีดกันเรื่องความรัก ไม่ว่าจะเป็นใครหรือเพศไหน แม่เขาก็จะแค่สอนว่าเรารักใครไปแล้วก็ต้องดูแลกันและกันให้ดี ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทีคิดว่าพ่อกับแม่เองก็ปล่อยให้ลูกชายทั้งสองคนมีอิสระที่จะได้ลองสัมผัสกับมันด้วยตัวเอง


แต่ทีไม่เหมือนกับซี เขาไม่เคยเจอใครที่ทำให้รู้สึกอยากผูกพันด้วย


อาจเป็นเพราะอาการป่วยที่ทำให้ทีไม่อยากให้มีใครอีกคนต้องมาคอยพะวงเป็นห่วงเขาตลอดเวลา ที่ผ่านมาเขาถึงเลือกรักษาระยะห่างกับคนรอบข้างตลอด แต่ก็ไม่ใช่ว่าทีไม่เคยหวั่นไหวกับใครเลย แน่นอนว่าความรู้สึกดีๆ มันห้ามกันยาก แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่เลือกหยุดไม่ให้ตัวเองรู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น


คิดไปคิดมาฟังดูมืดหม่นชะมัด


ติ๊ง


เสียงข้อความเข้าทำให้ทีเหลือบไปมองมือถือที่วางไว้ข้างๆ ชื่อคนที่ส่งไลน์เข้ามาทำให้เขายิ้มออกมาบางๆ


โชคดีที่ซีมัวแต่นั่งคุยกับพ่อเรื่องวิชาเรียนอยู่ เลยไม่ทันได้เห็นเขา ไม่งั้นคงต้องโดนแซวไปอีกพักใหญ่แน่ๆ


…………


หลังจบมื้ออาหาร เขาก็ช่วยแม่ยกจานมาล้างที่ห้องครัว วันนี้พี่ฝ้ายขอตัวกลับก่อนเพราะต้องไปทำธุระ เขาเลยตั้งใจว่าจะช่วยแม่ทำความสะอาดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนขึ้นห้องไปอาบน้ำ


“ทีขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวแม่เก็บเอง” แม่ห้ามเขาที่กำลังจะลงมือหยิบแปรงมาทำความสะอาดหม้อ


“ไม่เป็นไรครับแม่ ทีช่วย”


“งั้นแค่ขัดหม้อก็พอนะจ๊ะ เดี๋ยวคนในแชทรอนานน้า” เสียงแม่ที่แซวขึ้นเบาๆ ทำให้ทีเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่าแม่จะเห็นตอนที่เขาแอบอ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์


“อะ เห็นด้วยเหรอครับแม่” โดนจับได้แบบนี้เขาก็เขินเหมือนกันนะ ให้ตาย


“ใครกันนะที่กำลังจะได้หัวใจของลูกชายแม่ไป”


“โถ่ แม่ครับ หัวใจของทีก็อยู่กับแม่แล้วไง”


“จ้า อันนั้นแม่รู้อยู่แล้วล่ะ แต่แหม แม่เห็นเรานั่งยิ้มอยู่ตั้งนาน”


“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ เขาก็เป็นคนที่คุยสนุกคนหนึ่ง”


“ทีรู้มั้ย คนที่คุยด้วยแล้วสนุก กับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจน่ะไม่เหมือนกันนะ” อยู่ๆ แม่เขาก็พูดขึ้นมา ถึงจะเหมือนพูดขึ้นมาเฉยๆ แบบที่ไม่เกี่ยวอะไร ทีก็ยังยืนล้างหม้อแล้วตั้งใจรอฟัง กับเรื่องแบบนี้ แม่มักมีคำสอนดีๆ ให้เขาเสมอ


“แล้วเราจะแยกยังไงล่ะครับ ว่าคนไหนเป็นแบบไหน”


“นั่นสินะ ที่จริงทั้งสองแบบก็เป็นคนที่เราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้คุยด้วยทั้งคู่…”


“แต่กับคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ สำหรับแม่นะ เวลาได้คุย เรามักอยากส่งสัญญาณอะไรกลับไปให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจด้วยเหมือนกัน มันเป็นเพราะลึกๆ เราเองก็รู้สึกขอบคุณจนอยากตอบอะไรบางอย่างไปให้ทางนั้นรู้สึกดี”


”...”


”ส่วนถ้าเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุก มันก็ไม่ได้ผิดอะไร เราแค่ไม่ได้รู้สึกติดใจว่าต้องตอบแทนเขา อะไรประมาณนี้ละมั้งจ๊ะ”


แม่ยกจานขึ้นวางบนตะแกรงก่อนจะหันมายิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่เหมือนเห็นลูกชายตัวเองทะลุปรุโปร่ง และใช่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนกับที่แม่รู้ทันทีเสมอ


“ก็… คงใช่ครับ เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับที่ผมแคร์คนในครอบครัว แบบว่าอยากดูแล ไม่อยากให้เขาทำหน้าเศร้าๆ อะไรประมาณนั้น แต่ยังไม่จริงจังหรอกนะครับแม่ แค่เกิดรู้สึกขึ้นมาเป็นบางครั้งเท่านั้น” เขาเกาจมูกแก้เขิน


“ของแบบนี้ เราตอบไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ หรอกจ้ะ ต้องรอดูกันไปยาวๆ”


แม่ปิดบทสนทนาค่ำคืนนี้ ก่อนไล่ให้เขาขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน (และตอบแชทคุณเพิ่ม) ซะที ทีที่เห็นว่าเหลืองานในครัวต้องจัดการอีกไม่เยอะแล้วถึงได้ยอมปล่อยมือ แต่ยังไม่วายเดินไปห้องนั่งเล่นลากเจ้าซีมาช่วยแม่เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย เมื่อเห็นว่าซียอมมาช่วยแต่โดยดีแล้วเขาถึงได้เดินขึ้นไปห้องนอนของตัวเอง


เขาใช้เวลาอาบน้ำสระผมไม่ถึง 15 นาที จากนั้นถึงได้ล้มตัวลงนอนบนเตียง มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าจอไลน์เพื่อตอบข้อความที่ส่งมาตั้งแต่ตอนเขายังกินข้าวอยู่


θ: อ๋อ ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ครับ


ทีพิมพ์ตอบไปแบบนั้น เมื่อตอนบ่ายคุณเพิ่มถามเกี่ยวกับเรื่องที่ไปหาหมอมา แต่ทีก็ไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากทุกอย่างปกติดี หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หายไปนานเหมือนกับยุ่งเรื่องงานอยู่ กลับมาอีกทีก็มายิงคำถามใส่เขาว่าเรียนคณะอะไรอยู่


p: ตอนแรกนึกว่าอยู่บัญชีซะอีก


θ: เปล่าครับ แต่ทุกวันนี้ก็เหมือนเรียนบัญชี มีตัวที่ต้องเรียนกับเด็กคณะนั้นเต็มไปหมด


p: พลัมก็เคยบ่นแบบนี้


ชื่อที่อีกฝ่ายพิมพ์มาทำให้ทีชะงัก เขาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป จ้องอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายพิมพ์ข้อความส่งมาเพิ่ม


p: ที่วันนั้นถามว่าฉันมีน้องสาวมั้ย


p: จริงๆ นายรู้จักพลัมอยู่แล้วรึเปล่า?


ในเมื่อไม่รู้จะโกหกไปทำไม ทีถึงได้ตอบกลับไปตามตรง


θ: ครับ รู้จักกันตอนรับน้องคณะ หลังจากนั้นก็มีทักทายกันบ้างถ้าเจอหน้า


p: อืม


ไม่มีข้อความต่อจากนั้นมาจากคุณเพิ่ม เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงในสถานการณ์นี้ แต่ที่แน่ๆ คือทีไม่อยากให้บทสนทนาจบลงแบบค้างคาอย่างนี้


θ: คุณเพิ่ม


p: หืม


θ: อยู่บ้านรึเปล่าครับ


p: อื้อ กลับมาสักพักแล้ว


θ: ผมคอลนะ


p: เห้ย เดี๋ยว---


ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธ ทีกดตรงสัญลักษณ์รูปโทรศัพท์ขวาบนทันที ถือหูรอไม่นานทางนั้นก็กดรับ


‘จะโทรมาทำไมเนี่ย’


“เหงา”


‘เรื่องของนายสิ’


“ผมหมายถึง ไม่อยากให้คุณเหงา”


‘ไม่ได้เหงาซะหน่อย’


“แล้วนี่อยู่บ้านกับใครครับ”


‘อยู่คนเดียว’ เสียงปลายสายเหมือนเบาลงนิดหน่อย แต่ทีทำเป็นไม่ใส่ใจแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส


“เห็นมั้ย มีผมคุยด้วยดีกว่าเป็นไหนๆ”


‘ทำไมถึงชอบคิดเองเออเอง’


“ถ้าไม่ดีกว่า คุณคงไม่กดรับโทรศัพท์ผมหรอก ใช่มั้ยล่ะครับ”


‘จริงๆ ก็แค่ว่างอยู่ต่างหาก’ เขาได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายยอมแพ้ นั่นทำให้ทีโล่งใจว่าอย่างน้อยคุณเพิ่มก็ไม่ได้คิดจะตัดสายเขาตั้งแต่ตอนแรกที่โทรมา


‘แล้วมีอะไรรึเปล่า’


“ที่จริงผมแค่จะโทรมาขอโทษที่ตอนนั้นโพล่งถามเรื่องพลัมไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่า…”


‘อืม ไม่เป็นไรหรอก’ ปลายสายตัดบท ทีเงียบไป เพราะสัมผัสได้ว่าทางนั้นไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้


เขารู้ว่าตัวเองกำลังกระวนกระวาย เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ว่าคนปลายสายกำลังไม่สบายใจ นั่นทำให้ทีนึกถึงคำพูดของแม่ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากทำให้อีกฝ่ายหายอึดอัด และหาทางออกจากบทสนทนาที่ดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องน่ามีความสุขนี่ซะที


“จริงสิครับ ที่คุณเคยถามผมเรื่องอาการป่วย”


‘หืม’ เขาที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องคงทำให้ปลายสายเกิดงงขึ้นมา


“ผมไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังหรอกนะ แต่จริงๆ แล้วผมเคยป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ครึ่งปีแน่ะ” ที่เขาตัดสินใจเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้คุณเพิ่มฟังนี่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ทีแค่คิดว่าการจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจ ทางนั้นต้องรู้สึกไว้วางใจจนอยากเปิดเผยความทุกข์ของตัวเองให้อีกคนได้รับฟัง


แล้วการที่จะได้รับความไว้วางใจแบบนั้น เราก็ต้องเอาความเชื่อใจไปแลกมาก่อนไม่ใช่รึไง


“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องพลัม แต่ผมไม่ได้เล่าเพราะอยากแก้ตัวหรอกนะครับ ผมอยากเล่าเพราะมันถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งในชีวิตผมเลย” ทียิ้มกับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงคนปลายสายขยับตัวแล้วครางตอบรับแบบพร้อมตั้งใจฟัง


“ตอนผมเข้ามัธยมปลายใหม่ๆ ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง อาการก็ทรงๆ เรื่อยๆ แต่ว่ามาทรุดลงหนักตอนผมอยู่ปีสองพอดี ตอนนั้นผมเลยต้องดรอปเรียน ทีนี้ก็เข้าโรงพยาบาลเป็นเรื่องเป็นราวเลยแหละ”


‘แบบนี้ก็เรียนไม่ทันคนอื่นน่ะสิ’ ทางนั้นถามกลับมา


“ครับ ตอนนี้ผมก็ช้ากว่าเพื่อนไปครึ่งปี น่าจะเป็นพาร์ทที่เศร้าที่สุดของชีวิตนายทีตาตอนนี้แล้วล่ะ”


‘ออกจะดี แบบนี้ยืมเลคเชอร์เพื่อนที่เรียนไปแล้วได้สบาย’


“ฮ่าๆๆ ผมทำแบบนั้นเลยแหละ นี่มั้งข้อดี ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตอนเรียนคุณก็นิสัยแบบเดียวกัน”


‘ฉันแค่ยกตัวอย่าง แต่ไม่ได้ทำซะหน่อย นี่หลอกด่ากันรึเปล่าเนี่ย’


“ให้เรียกว่าเรียนแบบมีการวางแผนล่วงหน้า”


‘เชื่อแหละ’ เสียงกวนๆ อีกฝ่ายทำให้ทีสัมผัสได้ว่าบทสนทนาเริ่มไปในทิศทางที่ผ่อนคลายขึ้น


“แน่นอนครับ เอาเป็นว่าหลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัดแล้วหายดี แต่ยังต้องกินยาอยู่เรื่อยๆ บางทียาก็มีผลข้างเคียงรุนแรง แบบที่ผมเป็นตอนอยู่บนบีทีเอสนั่นแหละ”


‘เท่าที่ฟังมา ยังไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเท่าไหร่เลยนี่นา’ เพิ่มพูดขัดขึ้นมา


“ก็ใช่ครับ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า การผ่าตัดของผม... คือการปลูกถ่ายอวัยวะน่ะ”


‘...’


“คุณเพิ่ม?” เขาเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรกลับมา


‘โทษที ตกใจเลยแฮะ ฉันเพิ่งเคยคุยกับคนที่เปลี่ยนอวัยวะตัวเป็นๆ แบบนี้ครั้งแรกนี่แหละ’


“โถ่คุณ พูดเหมือนผมเป็นตัวประหลาด”


‘ก็คนประหลาดจริงๆ’


เสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่ายทำเขาใจกระตุก


“ประหลาดตรงไหนครับ เคสผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะก็มีเป็นร้อยเป็นพัน”


‘เปล่าหรอก แค่เคยได้ยินมาว่าอัตราความสำเร็จมันค่อนข้าง… น้อย เลยแปลกใจนิดหน่อย’ เหมือนอีกฝ่ายจะเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังเพราะคิดว่ากำลังทำร้ายจิตใจเขา แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เขาแบกรับมันมาก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดแล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้ถึงไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่


“นั่นแหละครับ เพราะรอดมาได้ ผมถึงได้บอกว่าถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเลย”


ทียิ้ม หลับตาแล้วนึกถึงความรู้สึกของตัวเองตอนลืมตาขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี


“ถึงผมจะไม่เคยรู้ว่าเจ้าของอวัยวะเป็นใคร แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณเขามากจริงๆ ทุกครั้งที่นึกถึงช่วงเวลานั้น ผมก็รู้สึกว่าชีวิตที่ได้รับสานต่อมานี้… ผมอยากใช้มันให้ดี”


เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอจากปลายสายทำให้ทีนึกว่าคุณเพิ่มหลับไปแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงพูดออกมา


‘ขอบคุณ’


“ขอบคุณทำไมครับ?” เขาสงสัย


‘ที่เล่าให้ฟัง’


“ผมก็ดีใจที่คุณยอมฟัง” ทีอมยิ้ม ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดต่อ


‘ฉันว่านะ’


“ครับ?”


‘คนคนนั้นที่มอบอวัยวะให้ที เขาต้องดีใจมากแน่ๆ ขนาดฉันที่เป็นคนฟังยังรู้สึกได้เลยว่า... ดีแล้วที่เป็นนาย


หลังได้ยินประโยคนั้น ใจทีกระตุกแบบผิดจังหวะไปหลายสเต็ป มันไม่ได้เต้นรัวแบบตอนที่เจอหน้ากันก็จริง แต่หัวใจเจ้ากรรมดันส่งสัญญาณแปลกๆ เพราะคำพูดของคุณเพิ่ม


และทีรู้ดีว่ามันไม่ใช่อาการของโรค


“ผมก็อยากให้เขาคิดแบบนั้นครับ”


หลังจากนั้น คุณเพิ่มกับเขาก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ทั้งที่ไม่มีสาระสลักสำคัญอะไร แต่ทีกลับรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีจนไม่อยากให้จบลง แต่สักพักอีกฝ่ายก็ขอตัววางสายไปเพราะง่วง เขาเองก็วางโทรศัพท์ที่หัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอน หัวใจที่เต้นแบบแปลกๆ ถึงได้ค่อยๆ สงบลง


ทีหลับตา


ที่เคยคิดว่าไม่อยากผูกพันกับใคร


ถ้าคราวนี้เขาอยากลองเป็นคนเห็นแก่ตัวดูบ้าง… จะเป็นอะไรมั้ยล่ะเนี่ย


tbc.


มาเป็นกำลังใจให้พ่อคนเห็นแก่ตัวที่ยิ้มเก่งที่สุดในโลกคนนี้กันค่ะ ♡

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 7)
« ตอบ #19 เมื่อ: 12-03-2019 21:55:24 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รู้แล้วใช่ไหม

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :3123:
รออ่านต่อจร้าา
 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 8)
«ตอบ #23 เมื่อ16-03-2019 20:26:49 »

บทที่ 8 : ไม่ลองก็ไม่รู้


“นี่ นายไม่มีเรียนรึไง”


เพิ่มทักขึ้นเมื่อเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากำลังนั่งกดมือถืออยู่ที่เก้าอี้บีทีเอส นั่นทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองแบบตกใจนิดหน่อย


เช้าวันจันทร์เป็นเช้าที่น่าเบื่อสำหรับเพิ่มเสมอ สภาพสะโหลสะเหลของคนทำงานที่ยังไม่หลุดจากภวังค์ของวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูคล้ายฉากในหนังซอมบี้ยังไงบอกไม่ถูก แน่นอนว่าเขาเองก็ยังอยากพักผ่อนนอนอืดอยู่บ้าน แต่จะให้ทำยังไงได้ เพราะไม่ว่าจะสนุกสุดเหวี่ยงหรือผ่อนคลายอย่างเต็มที่แค่ไหน ยังไงวันจันทร์ก็มาถึง


แต่ดูเหมือนเช้านี้ที่เพิ่มออกจากบ้านเร็วกว่าปกตินิดหน่อยจะทำให้เขาได้เจอกับเด็กหนุ่มเจ้าของข้อความกว่า 80% ที่เขานั่งพูดคุยโต้ตอบด้วยในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มไม่ได้เป็นคนติดมือถือ เพื่อนส่วนใหญ่ของเขาก็ไม่ได้เล่นไลน์กันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ดูเหมือนว่าทีจะทำให้เขาติดมือถือมากกว่าที่เคยเป็นหลายเท่าตัว


“เช้านี้ผมว่างครับ ว่าจะออกไปหาที่นั่งทำงาน” อีกฝ่ายยิ้มให้เขา


เป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าเกินไปมากๆ


“ทำไมต้องไปไกลๆ ล่ะ แถวนี้ก็มีร้านให้นั่งตั้งเยอะ”


“ผมขี้เกียจเจอคนอื่นน่ะ เวลาทำงานผมใช้สมาธิเยอะ ถ้าพวกเพื่อนมันรู้ว่าผมอยู่แถวนี้แล้วแห่มา ผมปั่นงานไม่เสร็จแน่ๆ”


“แถมยังเป็นพวกทำงานอยู่ห้องไม่ได้ด้วยล่ะสิ”


“ฮะๆ ใช่ครับ ไม่เป็นอันทำงาน หลับก่อนตลอด”


“ของแบบนี้มันอยู่ที่ความตั้งใจต่างหาก”


“ไอ้ตั้งใจก็ตั้งใจนะ แต่เตียงนอนมันมีแรงดึงดูดมากเกินไปนี่ครับ” พอเห็นอีกฝ่ายงอแงขึ้นมาหน่อยๆ เพิ่มก็รู้สึกว่าทีก็มีมุมเด็กๆ เหมือนกัน น่าเอ็นดูชะมัด


...น่าเอ็นดู?


“คุณเพิ่ม”


“หืม โทษที ว่าไงนะ” เหมือนทีจะถามอะไรบางอย่าง แต่เขาที่เผลอชะงักไปกับความคิดตัวเองเมื่อกี้เลยไม่ได้ยิน


“เย็นนี้ว่างมั้ยครับ”


“...ทำไมล่ะ”


“มีหนังเรื่องที่ผมอยากดู”


ที่ทีพูดมาแบบนั้น ฟังยังไงก็ดูเหมือนชวนไปเดทชัดๆ ไหนจะสายตาเป็นประกายด้วยความคาดหวังนั่นอีก เพิ่มไม่ได้อยากให้ความหวัง แต่ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าหางลู่หูตกเหมือนสุนัขที่ไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของ แทนที่จะตอบกลับไป เขาเลือกที่จะถามอย่างอื่นขึ้น


“แล้วเพื่อนๆ ไปไหนหมดล่ะ”


“พวกมันปั่นธีสิสกันหมดเลย ไม่มีใครว่างไปดูกับผมสักคน” สีหน้าที่เศร้าเกินความจำเป็นทำให้เพิ่มรู้สึกมันเขี้ยว


“งั้นก็ไปดูคนเดียวสิ ง่ายออก” เขาเสนอ แอบลอบมองปฏิกิริยาคนตรงหน้าไปด้วย


แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ตาที่เคยเป็นประกายวาววับอ่อนลงอย่างรวดเร็ว


หมอนี่ จะแสดงออกความรู้สึกชัดไปไหนเนี่ย


“อ่า จริงด้วย งั้นผมไปก่อน...” ทีที่ลุกขึ้นพร้อมดึงกระเป๋าเป้มาสะพายรวดเร็วทำให้เพิ่มแอบขำอยู่ในใจ ถึงจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็เห็นชัดว่าอีกฝ่ายคงเสียใจอยู่ไม่น้อย


ถึงอย่างนั้นเพิ่มก็ดีใจอยู่ลึกๆ ที่อีกฝ่ายไม่เซ้าซี้จนทำให้เขาอึดอัด


“นี่ใช่ทีคนเดียวกับที่พูดไม่หยุดตอนโทรหาฉันเมื่อวันก่อนรึเปล่าเนี่ย” เพิ่มอมยิ้ม ยืนมองทีที่หันกลับมาหาเขาอย่างงงๆ เขากระตุกแขนเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ ก่อนเขยิบตัวเข้าไปใกล้เมื่อเห็นว่าคนบนชานชาลาเริ่มเยอะขึ้นจนโดนเบียด จากนั้นถึงพูดขึ้น


“จริงๆ ก็ว่างอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะงานเข้ารึเปล่า เดี๋ยวบอกอีกทีนะ”


สาบานได้ว่าเพิ่มเหมือนเห็นหางตีขึ้นพั่บๆ อย่างดีใจเมื่อคนตรงหน้าฟังเขาพูดจนจบ


“ได้ครับ” ทีที่ยิ้มจนตาหยีทำให้เขาหัวเราะออกมา อีกฝ่ายเองก็หัวเราะนิดหน่อยก่อนบอกลาเพราะกลัวเขาไปทำงานสาย เพิ่มเดินข้ามมาชานชาลาอีกฝั่งหนึ่ง ยืนต่อคิวอยู่ตรงนั้น แต่รู้สึกได้จากหางตาว่าเหมือนมีสายตาหนึ่งคู่กำลังมองมาที่เขา


จะใครอีกล่ะถ้าไม่ใช่เจ้าเด็กนั่น


เพิ่มทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ก็รู้ตัวดีว่าข้างในรู้สึกอยู่ไม่สุข เป็นอาการผิดปกติที่เขายังไม่อยากหาสาเหตุตอนนี้


หรือที่จริงต้องบอกว่ายังไม่อยากยอมรับกับตัวเองตอนนี้มากกว่า


p: จะมองอีกนานมั้ย


เขาเปิดไลน์ขึ้นมาแล้วพิมพ์ไปแบบนั้น


θ: ก็จนกว่าคุณจะขึ้นบีทีเอส


p: แล้วถ้าจะไม่ให้มองล่ะ


θ: ไม่ได้หรอกครับ


θ: เพราะผมอยากมอง


ประโยคนั้นทำให้เพิ่มก้มหน้าลงมากกว่าเดิม ดีที่ประตูบีทีเอสเปิดแล้วคนทยอยเดินออกจนหมดพอดี เขาถึงได้จังหวะรีบเดินเข้าไป


แล้วทำไมต้องรู้สึกเขินๆ ด้วยล่ะเนี่ย


หลังจากนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก โชคดีที่ได้ที่นั่งบนบีทีเอสเพราะต้องนั่งไปอีกหลายสถานี เพิ่มถึงได้มีโอกาสใช้เวลาตกผลึกความคิด เขามักทำแบบนี้เวลามีเรื่องที่ตัวเองยังหาคำตอบไม่ได้


เรื่องความสัมพันธ์ก็เป็นอีกเรื่องที่เพิ่มมักใช้เวลากับมันมากกว่าอย่างอื่น พลัมเคยบอกไว้ว่าเขาดูเป็นคนสบายๆ แต่ลึกๆ แล้วเข้าถึงยาก นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมที่ผ่านมาเขาถึงไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับใครมากเกินไป


แต่ตอนนี้เพิ่มเริ่มคิดว่า มันอาจจะไม่ใช่เพราะเขาเข้าถึงยาก


มันอาจเป็นเพราะที่ผ่านมา เขายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้รู้สึกดีด้วยจริงๆ


แน่นอนว่าเขาเคยโดนรุกจีบ เป็นมาตั้งแต่อยู่สมัยมหาลัย เพิ่มไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง เขาคบกันแฟนทั้งผู้ชายผู้หญิงมาก็พอสมควร แต่ทุกครั้งก็จบลงเพราะอีกฝ่ายบอกทำนองว่า ไม่ได้รู้สึกเหมือนคบกันเป็นแฟนอยู่ อาจจะเพราะข้างในเขาค่อนไปทางเฉยๆ เสียด้วยซ้ำ และอาจจะเพราะมันไม่ได้หวือหวา สุดท้ายก็เลยโดนบอกเลิกไป


ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจขนาดนั้น


เพิ่มเคยคิดว่าอาจจะดีกว่าถ้าเขาอยู่คนเดียว การได้รับความรักจากกลุ่มเพื่อนและน้องสาวไม่ใช่สิ่งที่แย่เลย กลับกัน มันเป็นความสัมพันธ์ที่เขามั่นใจได้ว่าจะไม่จบลงแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่จนกระทั่งเกิดเรื่องเมื่อสองปีก่อน


เหตุการณ์นั้นเป็นจุดหักเหที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา มันทำให้เขาเสียศูนย์ หลังจากนั้นถึงเป็นช่วงที่เขาไม่อยากมีใครเข้ามาอยู่ในชีวิตเพิ่มอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะเข้าหาเขาด้วยวิธีไหน เขาก็ไม่คิดจะสนใจอีก


มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น


แล้วทำไมกับที เขาถึงปฏิเสธไม่ลง?


ไม่ใช่แค่นั้น เพิ่มรู้ตัวดีว่าหลายครั้ง เป็นเขาเองที่ดึงดันจะสานต่ออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ราวกับไม่ยอมให้เส้นความรู้สึกบางๆ ที่เชื่อมตัวอยู่นั้นขาดลง มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขายังหาคำอธิบายไม่ได้ รู้เพียงแค่ว่าถ้าอยากได้คำตอบ เพิ่มคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้เวลาเพื่อค้นหามันไปพร้อมๆ กับที


ที่แน่ๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจความรู้สึกแบบนี้เสียด้วยสิ


…………


เพิ่มมาถึงออฟฟิศตอนประมาณเก้าโมงครึ่ง ปกติแล้วเขามักจะมาเป็นคนแรกๆ แทบจะเป็นคนเปิดออฟฟิศเลยด้วยซ้ำ บริษัทที่เขาทำอยู่เป็นบริษัทรับงานออกแบบด้านสถาปัตยกรรม มีสถาปนิกอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก เลยให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านอีกหลังมากกว่าเป็นที่ทำงาน


หลังจากเรียนจบสถาปัตยกรรมออกแบบภายในไม่นาน รุ่นพี่ที่รู้จักกันก็ชวนให้มาทำงานที่นี่ ถึงจะงานหนัก แต่เพิ่มก็ยอมรับว่าเพราะเป็นที่ๆ มีแต่คนดีๆ เขาถึงได้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายจนทนไม่ไหว


“มาเช้าอีกแล้วนะ” เพิ่มที่กำลังเก็บกระเป๋าเข้าลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานหันมาตอบรับเสียงที่คุ้นเคย


“สวัสดีครับพี่เต็ง”


รุ่นพี่ที่เพิ่มสนิทกันตั้งแต่สมัยเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ โบกมือรับท่าไหว้อย่างไม่ถือสา อันที่จริงก็พี่เต็งนี่แหละที่เป็นคนแนะนำเขาให้เข้ามาเป็นอินทีเรียดีไซเนอร์ที่นี่ แถมเจ้าตัวยังควบตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทซะด้วย


“คนอื่นยังไม่มีใครมาเหรอ”


“ครับ วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อยเลยมาเร็ว”


“ถามจริง ทำไมตื่นเช้าเก่ง” เสียงหาวออกมาทำให้เพิ่มหัวเราะ


“ผมตื่นเองจนมันชินแล้วพี่ แต่ที่จริง พี่ก็ให้พี่ปันช่วยปลุกก็ได้นี่”


“ช่วยปลุกอะไรล่ะ หมอนั่นน่ะตัวดี ชอบดึงไม่ให้พี่ลุกจากเตียง” พี่เต็งส่ายหน้าเมื่อพูดถึงแฟนหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน


พี่ปันเป็นนักเขียนหนุ่มฟรีแลนซ์อารมณ์ดีที่เพิ่มเคยเจอบ้างตอนอีกฝ่ายพามาที่ออฟฟิศ ความร่าเริงเป็นกันเองของพี่ปันทำให้ทุกคนหลงรัก แน่นอนว่าคนที่ได้ชื่อว่าหวงแฟนสุดๆ อย่างพี่เต็งก็มักจะมาคอยกันท่าไม่ให้หนุ่มๆ ในออฟฟิศเข้าใกล้พี่ปันมากเกินความจำเป็นจนหลายครั้งถึงกับโดนเหล่าพนักงานแซว


แต่พี่เต็งแกแคร์ซะที่ไหนล่ะ


“ปีนี้ก็เข้าปีที่แปดแล้วรึเปล่าพี่” เพิ่มทักขึ้นเพราะจำได้ว่าคู่พี่เต็งคบกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ปีสาม


“ใช่ เป็นตัวเลขที่ฟังดูนานจนเหลือเชื่อเลย”


“นั่นสิพี่ เอาจริงพี่คบกับพี่ปันมาขนาดนี้ เคยเบื่อกันหรือรักกันน้อยลงบ้างมั้ย”


ที่เพิ่มถามออกไปแบบนั้น เพราะเขาไม่เคยคิดเรื่องจะคบกับใครยาวนานขนาดนั้นมาก่อน ถึงได้อยากรู้ว่าระยะเวลามันสามารถทำให้ใจคนเราเปลี่ยนไปได้เยอะแค่ไหน อย่าว่าแต่แปดปีเลย แค่สี่ถึงห้าปี เขาก็คิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่นานมากๆ แล้ว


“มีเบื่อสิ” คำตอบของพี่เต็งทำเขาประหลาดใจ


“เป็นธรรมดาอยู่แล้วเพิ่ม เวลาคนเรามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องมีความซ้ำซากจำเจจนทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายบ้าง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าความรักลดลงหรอกนะ”


“หืมมม” เขาตอบรับด้วยความสนใจ ก่อนฟังพี่เต็งอธิบายต่อ


“เหมือนกับว่าพออยู่ด้วยกันนานๆ เข้า คนสองคนก็จะปรับตัวเข้าหากันจนถึงจุดสมดุล ปันจะชอบเรียกมันว่าเป็นจุดอิ่มตัวในความสัมพันธ์อะไรแบบนั้น พี่ก็เห็นด้วยนะ ความรักจะไม่ได้หวือหวาเท่าเมื่อก่อน ออกจะเรียบๆ ด้วยซ้ำ แล้วก็ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคิดว่ารักกันมากขึ้นหรือน้อยลงมั้ย ก็มันอยู่ในจุดที่พอดีแล้ว…”


“เป็นความรู้สึกอุ่นใจ คล้ายๆ กับการมีบ้านให้เรากลับไปหามากกว่าน่ะ” พี่เต็งพูดปิดท้าย


“โหย ผมนึกอะไรแบบนั้นไม่ออกเลยแฮะ”


“ฮ่าๆ ของแบบนี้ มีแค่ต้องลองใช้ชีวิตไปด้วยกันนั่นแหละถึงจะรู้ สุดท้ายเพิ่มอาจจะไม่ได้รู้สึกเหมือนพี่ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ใช่ความรักที่ดีนะ”


เพิ่มเงียบไป ปล่อยให้คำพูดของพี่เต็งลอยวนอยู่ในความคิด


“อยู่ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ หรือว่ามีคนที่กำลังดูๆ อยู่รึไง”


คราวนี้เป็นฝ่ายรุ่นพี่หนุ่มถามเขาขึ้นมาบ้าง เพิ่มตอบกลับไปแบบไม่คิดจะปิดบัง


“ไม่เชิงหรอกครับ เหมือนกำลังคุยๆ อยู่มากกว่า แต่มันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเขาคิดยังไง”


“แล้วเราล่ะ คิดยังไง”


“ครับ?”


“เราตอบตัวเองได้รึเปล่า ว่าคิดยังไงกับเขา”


คำพูดนั้นของพี่เต็งทำให้เขาหยุดคิดไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา


“ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเท่าที่ผ่านมา… มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีนะพี่”


“แบบนั้นก็ลุยเลย ถ้ามันไม่ใช่ความรู้สึกแย่ พี่ก็ไม่เห็นว่าเราต้องคิดเยอะอะไร ทำสิ่งที่ใจอยากจะทำนั่นแหละ”


พี่เต็งทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวไปทำงานเมื่อมีสายโทรเข้า เพิ่มบอกขอบคุณไปแล้วก็เริ่มหันกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์เริ่มงานของสัปดาห์นี้บ้าง ในใจยังนึกถึงประโยคที่รุ่นพี่คนเก่งแนะนำมา


ทำสิ่งที่ใจอยากจะทำงั้นเหรอ…


…………


บ่ายวันนั้นเพิ่มงานเข้ากะทันหัน ทำให้วิ่งวุ่นกันไปหมดทั้งแผนก ดูจากเวลาแล้วเขาคิดว่าต้องได้อยู่แก้แบบจนดึกดื่นแน่ๆ เพราะลูกค้าจะเอาด่วนภายในวันพรุ่งนี้ นั่นทำให้เพิ่มตัดสินใจไลน์ไปบอกขอโทษทีว่าเย็นนี้คงไม่ว่าง เขานั่งมองหน้าจอบทสนทนาอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าทียังไม่ได้อ่านซะทีก็คิดได้ว่าทางนั้นคงตั้งใจทำงานอยู่ เลยตัดสินใจปิดหน้าจอแล้วหันมาทำงานต่อ


ครืดดดดด


ไม่ถึงห้านาที เสียงโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมา แวบแรกเพิ่มนึกว่าเป็นทีที่โทรกลับมาหา แต่พอดูชื่อแล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่ เขากดรับแล้วพูดขึ้นอย่างคุ้นเคย


“ฮัลโหล หวัดดีครับพี่รุ่ง”


“เพิ่ม พี่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”


ประโยคที่ไม่ใช่คำทักทาย บวกกับเสียงที่ฟังดูซีเรียสผิดปกติทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้น


“ครับ พี่รุ่งมีอะไรรึเปล่า”


“...เรื่องพลัมน่ะ”


หัวข้อสนทนาที่ไม่คิดว่าพี่รุ่งจะเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาทำให้เพิ่มเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มืออีกข้างของเขากำชายเสื้อไว้ ในใจคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเล่าให้พี่รุ่งฟัง


“พี่ขอโทษนะ ตอนนั้นพี่ไม่ได้ข่าวเลย” เสียงสั่นน้อยๆ จากปลายสายทำให้เขารู้สึกโหวงในอกขึ้นมา


“ผมเองก็ไม่ได้ติดต่อหาใคร พี่รุ่งไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”


“พี่เสียใจด้วยจริงๆ นะเพิ่ม”


“ครับ” เขายกมือขึ้นปาดตาน้ำที่รื้นขึ้นมาลวกๆ ก็รู้หรอกว่าไม่ควรร้องไห้ในเวลางานแบบนี้ แต่การได้ยินเสียงพี่รุ่งที่เป็นเหมือนพี่สาวของเขากับพลัม มันทำให้เขานึกถึงความทรงจำสมัยก่อนขึ้นมา


“แต่พี่ไม่ได้โทรมาแค่เรื่องนี้หรอกนะ” พี่รุ่งพูดขึ้นมาอีกครั้ง


“ครับ?”


“คือพี่เพิ่งรู้ว่าพลัมเคยทำเรื่องเป็นผู้บริจาคอวัยวะไว้ บังเอิญเหมือนกันที่ตอนนั้นพลัมถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลพี่พอดี ก็เลยเหมือนกับว่าในตอนนั้น พี่จะเป็นหนึ่งในทีมที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะของพลัมน่ะ”


“จริงเหรอครับพี่รุ่ง”


ข้อมูลใหม่นี้ทำให้เพิ่มตกใจ จริงอยู่ที่เขารู้ว่าพี่รุ่งเป็นหมอด้านศัลยกรรมในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่ที่พลัมถูกส่งตัวไปเมื่อสองปีก่อน


“จ้ะ ปกติถ้าครอบครัวของผู้บริจาคอวัยวะต้องการ หมอสามารถติดต่อผู้ได้รับบริจาคให้มาเจอกันได้ เคสนี้เป็นเคสที่พี่ดูแลอยู่เอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แล้วนี่ก็ผ่านมาตั้งสองปีแล้ว…”


“พี่เลยคิดว่า เพิ่มจะอยากเจอหน้าคนที่ได้รับหัวใจของพลัมไปรึเปล่า?”


tbc.

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 9)
«ตอบ #24 เมื่อ20-03-2019 17:58:17 »

บทที่ 9: ไม่ยอมปล่อย


สุดท้ายเมื่อเย็นวันจันทร์ทีก็ไม่ได้เจอคุณเพิ่ม ช่วงบ่ายแก่ๆ เขาเพิ่งเห็นข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาว่าติดงานด่วนกะทันหัน นั่นทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหรือจริงๆ แล้วคุณเพิ่มไม่ได้อยากมาดูหนังกับเขา


ทีใจแป้วไปหลายชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อตอนค่ำๆ ทางนั้นไลน์มาบอกสั้นๆ ว่าวันรุ่งขึ้นน่าจะได้ออกจากบริษัทเร็ว นั่นถึงเป็นสาเหตุให้ทีมานั่งรอที่หน้าโรงหนังอยู่ในตอนนี้ นึกแล้วก็ยังรู้สึกหูชาไม่หาย เพราะโดนไอ้ซีนด่ายับที่อยู่ๆ เขาก็ยกเลิกนัดกับมันและบาล์มกะทันหัน ซีนสวดเขาไม่ยั้งจนสุดท้ายต้องยอมบอกว่าจะมาดูหนังกับคุณเพิ่ม


แค่นั้นแหละ จากที่อารมณ์เสียอยู่มันก็เปลี่ยนมาล้อเลียนเขาทันที


“ครั้งนี้รุกแรงเหมือนกันนะเนี่ยยยย” ไอ้ซีนลากเสียงยาว จงใจกวนประสาทจนเขาต้องผลักหัวมันไปรอบหนึ่ง


“มึงเลิกล้อกูได้แล้ว เอาเวลาไปจีบไอ้บาล์มให้ติดเหอะ”


“ไอ้สัส! กูพยายามอยู่มั้ยล่ะ บาล์มก็ความรู้สึกช้าเหลือเกิน”


“หึ คนจ้องมันเยอะนะมึง ระวังโดนคาบไปแด--- โอ๊ย! ” ซีนชกเข้าที่ต้นแขนเขาอีกรอบ


ไอ้พวกคนสองมาตรฐานชอบใช้ความรุนแรง


“ใช่สิ ใครจะเหมือนคุณเพิ่มของมึง เกลียวที่ปีนอยู่หนาวมั้ยล่ะครับเพื่อนที”


“กูชอบที่อากาศเย็นๆ” เขายักไหล่ตอบกลับหน้าตาย ส่งผลให้ซีนทำหน้าเหม็นเบื่อชัดเจน มันยังโวยวายล้อเลียนเขาไม่เลิกจนบาล์มที่เดินกลับมาจากห้องน้ำลากมันไปอีกทาง เมื่อเห็นว่าซีนยอมกลับหอไปแต่โดยดีเขาถึงได้ถอนหายใจออกมา


เฮ้อ หรือจริงๆ ยอมโดนสวดไปให้จบๆ จะดีกว่าวะเนี่ย


เขายังไม่ได้อยากยอมรับกับใครตรงๆ เรื่องจะจีบคุณเพิ่มอะไรนั่น ส่วนหนึ่งก็เพราะทียังไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองด้วยซ้ำว่าใช่ความชอบในลักษณะนั้นรึเปล่า แต่เขารู้แค่ว่ารอบตัวคุณเพิ่มมีบรรยากาศอบอุ่นที่ดึงดูดให้เขาอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา ไหนจะสายตาที่มีแววความเศร้าติดอยู่ลึกๆ นั่นอีก ทีเชื่อว่าถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่มีใครเห็นด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาตั้งใจมองฝ่ายนั้นอย่างเต็มตาเสมอมาตั้งแต่ครั้งแรกๆ ทีถึงได้รู้ว่าไม่มีครั้งไหนที่ดวงตาคู่นั้นจะทอประกายสดใสได้แบบเต็มที่เลย


ถึงตรงนี้ ทีก็คิดว่าจะเป็นไปได้มั้ยนะ ที่เขาอยากให้ดวงตาของคุณเพิ่มสะท้อนแต่ประกายของความสุข


ความตั้งใจแน่วแน่นี้ทำให้ทีอดยอมรับกับตัวเองไม่ได้ว่า


เขาสนใจคุณเพิ่ม


ใช่ คำว่าสนใจน่าจะเป็นคำที่ถูกต้องที่สุดในตอนนี้ และถ้าเขาอยากจะได้คำตอบว่าเขา สนใจ อีกฝ่ายในแง่ไหน ก็มีแต่ต้องมาเจอให้มันชัดเจนไปเลยเท่านั้นแหละ


“ที” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เขายิ้มขึ้นมา ทีหันกลับไปมอง เห็นคนตัวเล็กกว่าถือกระเป๋ายืนอยู่ข้างๆ แก้มขึ้นสีนิดหน่อย น่าจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนจากข้างนอก เขาสังเกตว่าปกติคุณเพิ่มจะใส่คอนแทคเลนส์มากกว่า เหมือนจะมีแค่วันแรกที่เจอกันที่อีกฝ่ายใส่แว่นกรอบบาง


แต่ให้ตายเถอะ


เป็นครั้งแรกที่ทียอมรับกับตัวเองในใจว่าคนคนนี้น่ารักชะมัด


“ผมซื้อตั๋วมาแล้ว เข้าโรงกันครับ” เขาชวนอีกฝ่ายขึ้นบันไดเลื่อนไปยังส่วนของโรงภาพยนตร์ ตาก็ลอบมองคนตรงหน้าไปด้วย วันนี้คุณเพิ่มใส่เสื้อเชิ้ตโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงสีน้ำตาลอ่อนขาห้าส่วนทรงกระบอกเผยข้อเท้า รองเท้าผ้าใบคู่สีขาวครีมตัดกับถุงเท้าสีเหลืองมัสตาร์ด ดูติสท์ๆ สไตล์เด็กสถาปัตย์ แต่ไม่ได้เถื่อนเท่า ออกจะเป็นแนวสุภาพมากกว่าหน่อย


ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกเหมือนคนตรงหน้ายังเป็นนิสิตอยู่ด้วยซ้ำ


“คุณกินอะไรมารึยัง” เขาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกขวดน้ำขึ้นดื่ม


“อื้อ กินรองท้องมาแล้วเมื่อตอนสี่โมง เดี๋ยวออกจากโรงแล้วไปหาอะไรกินกัน” คำพูดนั้นทำให้ทีแปลกใจนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจะเป็นคุณเพิ่มที่ชวนเขาไปไหนต่อไหน


“ได้สิครับ คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”


“นายเลือกเลย”


“ผมเลือกแล้วก็ต้องไปนะครับ ไม่เอาแบบที่บอกอะไรก็ได้ แต่ก็ไม่กินสักอย่างนะ” เขาพูดล้อๆ ทีเล่นทีจริง


“ฉันเป็นคนกินง่ายอยู่แล้ว จริงสิ นี่ค่าหนัง” คุณเพิ่มยื่นแบงก์สีแดงสามใบมาให้


“ไม่เอาครับ ผมเลี้ยง ผมเป็นคนชวนคุณมานะ”


“จะให้คนเด็กกว่าเลี้ยงได้ยังไง เอาไปเดี๋ยวนี้เลย”


“ผมว่าให้คุณเลี้ยงข้าวผมแทนดีกว่า แบบนี้โอเคมั้ย”


“จะไม่เอาจริงๆ เหรอ งั้นหลังจากหนังจบไม่ไปกินข้าวด้วยนะ” ทีหลุดหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางงอนๆ ของอีกฝ่าย


“เป็นคนชวนเองแท้ๆ ไม่ไปได้เหรอครับ”


“ได้สิ”


“แบบนี้ก็แปลว่าคุณต้องมาเลี้ยงผมวันหลังนะ”


“ที!” เสียงครางในลำคอกับเสียงเรียกชื่อเขาเหมือนเด็กที่เถียงไม่ชนะทำให้ทีใจกระตุก ไม่รู้อะไรเกิดดลใจให้คุณเพิ่มทำตัวน่ารักผิดปกติแบบนี้ขึ้นมา เห็นตอนแรกเป็นคนกวนๆ นิ่งๆ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีมุมแบบนี้ด้วย


คุณเพิ่มจะรู้มั้ยเนี่ยว่าทำเขาหัวใจเต้นผิดปกติมาหลายรอบเกินไปแล้ว


“ก็ได้ งั้นฉันเลี้ยงข้าว แล้วห้ามเบี้ยวเด็ดขาด” หลังจากเขายืนกรานหลายต่อหลายรอบ คุณเพิ่มก็ยอมแพ้ ทางนั้นยอมเก็บเงินเข้ากระเป๋าไปแต่โดยดี พวกเขาเดินไปเข้าห้องน้ำทำธุระให้เรียบร้อยก่อนจะพากันเดินเข้าโรงภาพยนตร์


ตั้งแต่ที่เจอคุณเพิ่มจนถึงตอนนี้ หัวใจเขายังไม่หยุดออกอาการเลย ทีนอนหลับตาฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตึกตัก ตัวอย่างหนังที่ฉายขึ้นในช่วงโฆษณาไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นเท่าร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้เด็ดขาด


ไหนๆ ที่ผ่านมาก็เข้าหาคุณเพิ่มแบบหน้าหนาสุดๆ แล้ว


โดนรู้ความจริงเข้าตอนนี้ก็เสียฟอร์มหมดสิ


“โอ๊ะ โทษที” อีกฝ่ายพูดขอโทษเบาๆ เมื่อลืมตัวยกมือขึ้นมาพาดตรงที่วางแขน แล้วชนเข้ากับแขนของเขาที่วางไว้อยู่ก่อนหน้าสักพักแล้วตั้งแต่หนังเริ่มฉาย


“ไม่เป็นไรครับ… แต่มือเย็นเหมือนกันนะคุณ” เขาเอียงหัวไปตอบด้วยเสียงกระซิบ


“อืม ปกติขี้หนาวน่ะ”


คุณเพิ่มกำลังจะค่อยๆ ยกมือออกจากที่วางแขน แต่เขาที่เร็วกว่าใช้นิ้วเกี่ยวมือของอีกฝ่ายไว้แล้วดึงทั้งแขนมาทางฝั่งเขา บีบเบาๆ ตรงมือที่เย็นกว่าส่วนอื่น ทีสัมผัสได้ว่าคนข้างๆ สะดุ้งกับการกระทำของเขาแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว


อย่างที่บอก


ถ้าที่ผ่านมาหน้าหนาขนาดนั้นแล้ว… ก็มีแต่ต้องลุยให้สุดเท่านั้นแหละ


“ที ปล่อย” เหมือนคุณเพิ่มจะเริ่มตั้งสติได้ ถึงพูดแกมบังคับให้เขาทำตาม แถมพยายามดึงมือออกจากมือเขาด้วย


“ชู่ว เบาๆ สิคุณ นี่ในโรงหนังนะ” เขาที่ยังคงเอียงตัวเข้าหาอีกฝ่ายกระซิบตอบ


“อยากให้ฉันเงียบก็ปล่อยมือ”


“ไม่เอา เดี๋ยวคุณหนาว”


“ไม่หนาว”


“หนาวสิ มือเย็นขนาดนี้ยังจะปฏิเสธ ไหนคุณเคยบอกเองว่าร่างกายไม่โกหก” พอยกคำพูดที่อีกฝ่ายเคยใช้ดุเขาขึ้นมาอ้าง คุณเพิ่มถึงได้หยุดดึง อีกฝ่ายทิ้งตัวลง ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ


“ร้ายนักนะ”


ทีไม่ได้พูดอะไรกลับไป เขาแค่ยิ้มกับตัวเองในความมืด ก่อนบีบมืออีกฝ่ายเป็นเชิงตอบรับ


สองชั่วโมงในโรงหนังผ่านไปไวราวกับเขาโดนกลั่นแกล้ง เป็นครั้งแรกที่ทีตื่นตัวในโรงหนังมากกว่าผิดปกติ ทุกครั้งที่แขนข้างนั้นขยับ เขานึกลุ้นอยู่ในใจวางอีกฝ่ายจะดึงมือออกไปเลยรึเปล่า


แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น


ทั้งที่เขาเองก็จับเอาไว้หลวมๆ (มียกขึ้นมาบีบและถูเล่นบ้างบางจังหวะ) แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็กำลังจับมือเขากลับเหมือนกัน มือข้างที่หายเย็นไปนานแล้วเพราะความอบอุ่นจากร่างกายเขาถูกส่งผ่านไปยังคงประสานกับมือของเขาอยู่จนถึงตอนนี้ นั่นทำให้ทีอารมณ์ดีสุดขีดแม้ว่าหนังที่เขาดูอยู่จะเป็นหนังฆาตกรรมเลือดสาดก็ตาม


“นี่ นายโรคจิตรึเปล่าเนี่ย ฉากจบสยองขนาดนั้นแต่ทำไมดูหน้าระรื่นเหลือเกิน” คุณเพิ่มถามขึ้นหลังจากหนังฉายจบและพวกเขาเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ ไม่ว่าเปล่ายังเขย่ามือข้างที่จับเขาอยู่เพื่อเรียกให้เขาหันไปตอบคำถาม ทีที่ยังคงติดยิ้มที่มุมปากอยู่ถึงพูดขึ้น


“เปล่าครับ ผมดีใจไปหน่อย”


“ดีใจที่?”


“ใครบางคนยังไม่ยอมปล่อยมือเลย”


เขายกมือข้างที่ยังโดนมืออีกฝ่ายกุมไว้ขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะปล่อยหลังจากเดินออกมาจากโรงหนัง แต่คุณเพิ่มที่ไม่ได้พูดอะไรก็เดินจับมือเขาออกมาหน้าตาเฉยจนถึงตอนนี้


“ไม่อยากจับแล้วเหรอ”


คำถามที่ถามขึ้นมาแบบซื่อๆ เกือบทำให้ทีเผลอตอบออกไปว่าอยากสิ แต่สายตาคู่นั้นของคุณเพิ่มที่มองมาแบบท้าทายทำให้ทีรู้ว่านั่นไม่ใช่ประโยคออดอ้อนหรือถามด้วยความไร้เดียงสาแต่อย่างใด


“ถ้าไม่อยากจับแล้วคุณจะปล่อยมืองั้นสิ” ทีถามกลับเพื่อลองเชิงอีกฝ่าย


“ไม่รู้สิ แต่ใครบางคนก็อุตส่าห์ฉวยโอกาสได้ทั้งที ปล่อยตอนนี้จะไม่เสียดายแย่เหรอ หืม” ท่าทางที่เหมือนกำลังล้อเลียนเขาทำให้ทีรู้สึกมันเขี้ยวจนอยากบีบแก้มอีกฝ่ายแรงๆ


นี่ถ้าไม่ติดว่าคนข้างๆ อายุมากกว่าเขานิดหน่อยละก็นะ....


“ตกลงตอนนี้ใครฉวยโอกาสกันแน่ครับเนี่ย” เขาเถียงคุณเพิ่มกลับด้วยแววตาวาววับ เริ่มสนุกกับการต่อปากต่อคำเล็กๆ นี่ ส่วนใจก็คิดว่าวันนี้คนคนนี้จะเซอร์ไพรส์เขาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเกินไปแล้ว


“ลองดูไง ทำเป็นกล้าจับมือฉันในโรงหนัง ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ แล้วนายอาจจะป๊อดก็ได้…”


คุณเพิ่มกึ่งลากกึ่งจูงให้เขาเดินลงบันไดเลื่อนมา


“แน่จริงก็จับให้คนทั้งห้างเห็นไปเลยเป็นไง”


คำท้าทายนั้นทำให้ทีหลุดหัวเราะออกมา เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายในมุมแบบนี้ แต่พอได้เห็นเข้าทีกลับรู้สึกอยากเก็บคนตรงหน้าไว้ใกล้ๆ ตัวตลอดเวลาซะอย่างนั้น


ทั้งความขี้เล่น นิสัยชอบเอาชนะ เป็นห่วงความรู้สึกคนอื่น แล้วในขณะเดียวกันก็มีมุมขี้อ้อนเหมือนเด็กๆ


ทั้งหมดนั่นทำให้ทียอมรับว่า เขาคงหลงอีกฝ่ายเข้าแล้วจริงๆ


ทีกระชับมือข้างนั้น สอดนิ้วประสานเข้ากับนิ้วมือของอีกฝ่ายแล้วบีบเบาๆ สัมผัสที่เหมือนเติมเต็มอะไรบางอย่างในใจเขาแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานมาพร้อมกับการเต้นของหัวใจที่สงบลงอย่างประหลาด คราวนี้เขาเป็นฝ่ายจูงมือคนข้างๆ เดินไปยังร้านอาหารที่ตั้งใจจะพาอีกฝ่ายไปกินแต่แรก


“ไหนๆ ถ้าพูดถึงขนาดนั้น… งั้นหลังจากนี้ผมไม่ปล่อยมือแล้วนะ”


ถ้าตอนนี้ทีหันไปมองหน้าคุณเพิ่มสักนิด เขาอาจจะได้เห็นแก้มที่ขึ้นริ้วสีแดงอ่อนๆ กับรอยยิ้มอ่อนโยนแบบที่เพิ่มไม่ได้แสดงออกให้ใครเห็นมานาน


tbc.


ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าใครรุกหนักกว่าใคร ใกล้จะเข้าสู้ช่วงไคลแม็กซ์แล้ว มาเป็นกำลังใจให้สองคนนี้กัน!
เช่นเคย ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ :-)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 o13
55 มีท้าให้จับมือกลางห้างด้วย
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 10)
«ตอบ #26 เมื่อ23-03-2019 22:58:56 »

บทที่ 10: คนที่เหมาะจะอยู่คนเดียว


ทั้งที่ตั้งใจจะแกล้ง แต่ทำไมถึงได้รู้สึกเปลืองตัวขนาดนี้เนี่ย…


หลังจากที่ทีบอกว่าจะไม่ปล่อยมือ หมอนั่นก็ทำตามที่ว่าจริงๆ เด็กโค่งตรงหน้ายังลากเขาไปนู่นมานี่ไม่หยุด จะมีปล่อยมือจริงๆ ก็แค่ตอนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน พอกินเสร็จก็รีบคว้ามือเขาไปจ่ายเงินแล้วตะลอนๆ ไปซื้อของต่อ


ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง เขารู้สึกเหมือนใช้พลังงานจนเต็มสูบ


ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยมาจากงานหรือเพราะทีอารมณ์ดีเกินไปกันแน่


“คุณ แวะไปดูเครื่องครัวเป็นเพื่อนผมหน่อย” สรรพนามที่ทีใช้เรียกทำให้เพิ่มรู้สึกเขินแปลกๆ ก็จริงที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าคุณเพิ่มๆ มาตลอด แต่พอลดลงเหลือแค่คำว่าคุณ ฟังยังไงก็เหมือนคำที่เอาไว้ใช้เรียกคู่รักเลย


“นี่ ยังไม่เหนื่อยอีกเหรอ จะสองทุ่มแล้วนะ พรุ่งนี้ฉันยังต้องไปทำงาน”


“ผมก็มีเรียน” คำตอบที่อีกฝ่ายพูดออกมาหน้าตาเฉยทำให้เพิ่มดึงมืออีกฝ่ายแรงๆ อย่างหมั่นไส้


“ก็แปลว่าเราต้องรีบกลับบ้านกันไงล่ะ”


เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคนั้น แต่สายตาของคนตัวสูงกว่าที่มองมาแบบติดขำทำให้เขาย้อนนึกความหมายของสิ่งที่เพิ่งพูดไปอีกรอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามันยิ่งทำให้ฟังดูเหมือนแฟนกันเข้าไปอีกไม่ใช่รึไง


“อะไร ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย”


“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยครับ” ทีเลิกคิ้วปฏิเสธข้อกล่าวหา


“ทำสายตาแบบนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่”


“โหย แบบนี้รึเปล่าที่เรียกมองตาก็รู้ใจ”


“ขอเถอะ คิดนานมั้ยคำเสี่ยวๆ แบบนี้” เพิ่มถอนหายใจอย่างเอือมๆ แบบไม่จริงจังนัก


หมอนี่จะพูดจาให้คิดไปถึงไหนเนี่ย


“บอกเลยว่าไม่ใช่ทีทำไม่ได้นะครับ ของแบบนี้มันคือความธรรมชาติ”


ทีที่จะสลด คนข้างๆ ยังพูดออกมาได้อย่างภูมิอกภูมิใจแถมยิ้มระรื่นอีก


“กะล่อนโดยเนื้อแท้ว่างั้น”


“ซะที่ไหนล่ะ เขาเรียกเป็นคนติดตลกครับ”


“คนตลกก็นกตลอดน่ะสิ” เพิ่มพูดขึ้นลอยๆ เพื่อหยอก รอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ในใจลึกๆ อยากเห็นทียอมแพ้แล้วอ้อนเหมือนลูกหมาตัวโตบ้าง แต่เหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายดันงัดเขาแบบไม่ยอมง่ายๆ


“ผมเชื่อในคำว่าหล่อมักนก ตลกมักได้มากกว่า”


“เขามีแต่สวยมักนก ตลกมักได้”


“ก็ดีนี่ครับ เพราะถ้าหล่อแล้วยังต้องนกอีก ผมคงลำบากแย่” ท่าทางเหมือนจะเสียดายแบบนั้นทำให้เพิ่มนึกอยากเตะขาอีกฝ่ายข้อหาทำตัวน่าหมั่นไส้เกินเหตุ


ถึงอีกฝ่ายจะมีดีให้มั่นใจจริงๆ ก็เถอะ...


“ปล่อยมือซะตอนนี้เลยได้มั้ยเนี่ย”


เพิ่มยกมือข้างที่จับกับมืออีกคนอยู่ขึ้นมา ทำเป็นเหมือนจะสะบัดมือออก แต่มือที่เหนียวหนึบกว่าของทีดันจับเอาไว้แน่นแบบไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยให้หลุด


เฮ้อ จะไปโทษอีกฝ่ายก็ไม่ได้ มันเขาเองนี่ที่ท้าทายให้อีกฝ่ายจับไว้ให้ตลอดน่ะ


“เดี๋ยวก็ได้ปล่อยแล้วครับ ไม่ต้องห่วง” ทียิ้ม ตอนนั้นถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายพาเขาเดินมาที่ลานจอดรถของห้างแทนที่จะเป็นแผนกเครื่องครัวแบบที่เจ้าตัวตั้งใจไว้ เห็นทำตัวเหมือนดื้อแบบนั้น แต่จริงๆ ก็ฟังเหมือนกันนี่


หรือเขาคิดไปเองกันแน่นะ


“วันนี้ผมเอารถมาด้วยเพราะตั้งใจจะกลับบ้าน เดี๋ยวผมไปส่ง” ทีเดินดุ่มๆ ไปที่รถ ไม่รอจังหวะให้เขาปฏิเสธ


“เอ๊ย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวนายกลับดึก ฉันไปบีทีเอสได้”


“ให้ผมไปส่งไม่ได้เหรอ” คราวนี้ทางนั้นหันกลับมาทำหน้าแบบลูกหมาโกลเด้นตัวโตจริงๆ ทำเอาเพิ่มชะงักค้างไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกพ่ายแพ้กับลูกอ้อนของคนตรงหน้าเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้


“...เอางั้นก็ได้”


เมื่อเห็นว่าเถียงไปก็มีแต่จะเสียเวลา แถมคนตรงหน้าก็ดึงดันพาเขามาที่รถจนได้ เพิ่มถึงได้คิดว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับคนบนบีทีเอส แถมใจลึกๆ เขายังอยากคุยกับทีมากกว่านี้อีกหน่อย


เพิ่มรู้ตัวว่าตอนอยู่กับที เขายิ้มและหัวเราะมากขึ้น แสดงอารมณ์ออกมาได้หลากหลายมากขึ้นแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน เหมือนทีปลดล็อกอะไรบางอย่างในตัวเขาและทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วย อีกอย่างคือตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเมื่อกี้ เขาสัมผัสได้ว่าทีไม่ได้สนใจอย่างอื่นนอกจากเขาจริงๆ


ถึงจะไม่อยากยอมรับด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ แต่หมอนั่นก็เป็นคนที่หน้าตาดีในระดับหนึ่งเลย การที่คนที่ดูดีอย่างทีเดินจับมือเขาไปนู่นมานี่ไปทั่ว หลายครั้งมันเรียกสายตาคนอื่นให้มองจนเขาแอบประหม่า แต่ทีไม่ได้ใส่ใจของพวกนั้นสักนิด อีกฝ่ายแค่จับมือเขาให้แน่นขึ้นแล้วพูดคุยอารมณ์ดีตามปกติ ความเป็นธรรมชาติแบบนั้นทำให้เพิ่มเองก็เลิกสนใจใครต่อใครที่มองมา


สุดท้ายเขาก็เข้าใจสิ่งที่ทีกำลังคิด


เราจะไปแคร์สายตาของคนไม่รู้จักทำไม


สิ่งที่ทีแคร์ก็ดูจะมีแค่คนที่รู้จักกันอย่างเขานี่แหละ


เพิ่มบอกทางไปบ้านตัวเองคร่าวๆ ให้คนที่ตอนนี้กำลังสตาร์ทรถฟัง เปิดกูเกิลแมพในมือถือเพื่อนำทาง ก่อนจะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตัวไว้ ทีปล่อยมือเขาไปตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูไปนั่งฝั่งคนขับ หลังจากสตาร์ทรถและขับออกไปได้พักหนึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีจะเอื้อมมาจับมือเขาอีก นั่นถึงทำให้เพิ่มนึกขึ้นได้ว่าคำท้าทายของเขามันก็แค่จับมือเดินในห้าง


พออีกฝ่ายยึดถือเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ขึ้นมา เขาดันแปลกใจซะอย่างนั้น


เข้าใจยากเหมือนกันนะเนี่ย...


ถึงจะคิดแบบนั้น แต่เพิ่มรู้ตัวว่าเขาก็อยากทำความเข้าใจอีกฝ่ายให้มากขึ้นเหมือนกัน


“วันนี้สนุกรึเปล่าคุณ”


อยู่ๆ คนที่กำลังเลี้ยวรถออกจากลานจอดก็ถามขึ้นมา


“หนังเหรอ สนุกดี ลุ้นตลอดเรื่องเลย ถึงฉากฆาตกรรมจะน่ากลัวไปหน่อยก็เถอะ อีกอย่าง  ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวของพระเอกจะเข้ามายุ่งกับคดีไ---”


“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงว่าคุณสนุกรึเปล่า… ที่อยู่กับผม” คำพูดที่แทรกขึ้นก่อนเขาพูดจบทำให้เพิ่มค่อยๆ ลดเสียงลง


“อื้ม ก็ดีนะ” เขาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปถึงได้พูดออกไปแค่นั้น


“ผมชอบนะ เวลาที่คุณหัวเราะหรือแสดงอารมณ์หลากหลายออกมา”


“...”


“ไม่รู้ว่าเคยมีคนบอกรึเปล่า แต่ตาของคุณดูเศร้าตลอดเลย เหมือนกับว่าคุณกำลังเหงา พอเห็นคุณยิ้มออกมาได้แบบเป็นธรรมชาติแบบนั้นผมเลยอดดีใจไปด้วยไม่ได้”


เพิ่มเหลือบมอง เห็นทีตั้งใจมองตรงไปข้างหน้าทั้งที่ตอนนี้รถก็ติดไฟแดงอยู่ มือที่ยังคงกำพวงมาลัยไว้ดูเกร็งราวกับกำลังไม่มั่นใจว่าควรพูดหรือแสดงท่าทางอะไรออกไปต่อจากนี้


เขายิ้มออกมา


ที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายแคร์ คงไม่ใช่แค่เขาคิดไปเองจริงๆ ด้วย


เมื่อเห็นว่ารถยังไม่มีทีท่าจะขยับ แถมตัวเลขข้างไฟแดงยังเหลืออีกเกือบสามนาที เพิ่มถึงได้ยืดตัวขึ้น ก่อนจะเอียงหัวไปซบลงที่ไหล่ของที เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายสะดุ้งเบาๆ กับสัมผัสที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ไม่ได้มีอาการเขยิบหนี


เขาหลับตา ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอยู่พักหนึ่งจนรู้สึกสงบลงก่อนจะพูดขึ้น


“ขอบคุณ”


ทีผ่อนลมหายใจหลังได้ยินคำนั้น แล้วถึงพูดตอบกลับมา


“ผม… ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”


“ทำสิ อย่างน้อยทีก็เป็นคนแรกที่ไม่ยอมปล่อยมือ… ในหลายๆ ความหมายน่ะนะ” เขาหัวเราะเบาๆ


“ที่ผ่านมามีคนเข้าหาฉันเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่เข้ามหาลัยนั่นแหละ ตอนนั้นฉันที่ยังตื่นเต้นกับการได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ก็ไม่ปฏิเสธมันหรอก”


เพิ่มเว้นจังหวะ เรียบเรียงความคิดตัวเองก่อนจะพูดต่อ


“แต่ว่า พอเกิดเรื่องเมื่อสองปีก่อน เหมือนกับฉันสูญเสียประสาทสัมผัสด้านความรู้สึกไปหมด อะไรที่เคยชอบ อะไรที่เคยสนุกกับมัน ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ ถึงขั้นเฉยชาไปเลยก็มี กับเรื่องความสัมพันธ์ก็เหมือนกัน ตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็ไม่คิดว่าจะอยากผูกพันกับใครอีก หลายคนที่ผ่านเข้ามา พอเห็นฉันเป็นแบบนั้นก็ค่อยๆ ปลีกตัวห่างออกไปจนไม่เหลือใคร


...บางทีฉันเลยคิดว่าตัวเองอาจจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวมากที่สุดแล้วก็ได้”


“นั่นไม่จริงหรอกครับ” ทีแย้งขึ้นมา คราวนี้เพิ่มถึงได้เขยิบกลับมานั่งตัวตรงแล้วหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ทียังคงไม่ได้หันมามองเขา ไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้อีกฝ่ายหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวาผ่านสี่แยก ก่อนจะขับเข้าซอยที่เพิ่มคุ้นเคย


“คนที่เหมาะจะอยู่คนเดียว คงไม่แสดงสีหน้ามีความสุขแบบที่คุณยิ้มออกมาตอนอยู่กับคนอื่นอย่างผมหรอก”


รถเคลื่อนตัวเข้าซอยหมู่บ้านที่มีบ้านทาวน์เฮ้าส์ขนาดย่อมๆ เรียงรายอยู่ เขาบอกบ้านเลขที่ทีเบาๆ แล้วชี้ไปที่บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่มากทางขวามือ ทีถึงได้ขับช้าๆ ไปอีกสักพักก่อนจะไปจอดรถตรงหน้าบ้านที่มีรั้วสีเทาอ่อน


เป็นตอนนั้นที่ทีหันมามองเขาแบบเต็มตา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างหนักแน่น


“ก็จริงที่เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คุณเสียศูนย์ทางความรู้สึก แต่มันไม่ได้แปลว่าคุณไม่มีสิทธิ์จะกลับมาเป็นคุณคนเดิม บางที ลึกๆ แล้ว… คุณอาจจะกำลังรอใครบางคนมาดึงคุณขึ้นจากมวลความเสียใจอยู่ก็ได้”


สายตาของทีที่สบเข้ากับดวงตาของเขาอ่อนโยนจนเพิ่มรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา เขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นทีที่พูดในสิ่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด คำว่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมฟังดูเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเพิ่ม แต่ตอนที่ทีพูดขึ้นมาแบบนั้น ลึกๆ ในใจเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองก็หวังให้มันเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า


สัมผัสอุ่นๆ ที่ศีรษะทำให้เพิ่มเงยหน้าขึ้น ทีลูบผมเขาเบาๆ ราวกับจะปลอบโยนว่าไม่เป็นไร นั่นยิ่งทำให้ขอบตาเขาร้อนมากขึ้นไปอีก ในตอนนั้น เพิ่มไม่ได้รู้สึกว่าทีเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาเลย


กลับกัน เป็นตัวเขาเองต่างหากที่โหยหาอยากได้รับความอบอุ่นจากคนข้างๆ


“ถึงบ้านแล้วนะครับ” อีกฝ่ายสางเส้นผมเขาอีกสองสามครั้งก่อนละมือออกแล้วพูดขึ้น เพิ่มยกมือขึ้นเช็ดตาลวกๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นถึงได้ตอบกลับไป


“อื้อ ขอบคุณที่มาส่ง”


“บ้านคุณอยู่ใกล้คอนโดผมแค่นี้เอง แบบนี้ก็มาส่งได้บ่อยๆ”


“ไม่ต้องเลย คราวนี้ยอมมาด้วยเพราะเห็นว่าจะขับกลับบ้านอยู่แล้วหรอกนะ” ทีย่นจมูกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้เถียงอะไรกลับมา


“เหนื่อยรึเปล่า เข้ามาก่อนมั้ย” เขาที่กำลังไขกุญแจเข้าไปในตัวบ้านเอ่ยชวนเจ้าตัวที่ยืนมองอยู่


“เจอกันไม่กี่ครั้ง คุณจะชวนผมเข้าบ้านเข้าเรือนแล้วเหรอ”


จริงจังได้ไม่ทันไร เผลอแป๊บเดียวก็กลับมากวนๆ เหมือนเดิมอีกแล้ว


เฮ้อ หมอนี่


“พอดีฉันเป็นคนมีมารยาทน่ะ”


“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า ไว้วันหลังแล้วกันนะ” ทีพูดแค่นั้นก่อนจะเปิดประตูรถกลับเข้าไปนั่ง เขาที่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้หันกลับไปพูดกับอีกฝ่ายก่อนที่จะปิดประตูรถ


“ที”


“ครับ”


“ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ”


“เดี๋ยวผมโทรหา”


“แค่ไลน์มาก็ได้”


“เดี๋ยวโทรมาครับ”


“...ตามใจ”


ลืมไปได้ยังไงว่านอกจากจะกวนแล้วยังดื้อสุดๆ เลยด้วย


เพิ่มเดินเข้ามาในตัวบ้านหลังจากที่ทีขับรถออกจากซอยไป วางกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวลงนอนคว่ำ วันนี้เขาเหนื่อยมากก็จริง แต่เพิ่มยอมรับว่าเป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่งที่เขาไม่ได้มีมานาน


ทั้งหมดเป็นเพราะผู้ชายคนที่ดึงดันจะมาส่งเขาให้ถึงบ้านเมื่อกี้นี้


ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เพิ่มยิ้มออกมาอีกรอบ เขามองไปทั่วห้องก่อนสายตาจะไปหยุดลงที่รูปของเขากับน้องสาวที่ถ่ายไว้ในวันรับปริญญาของเขาตั้งแต่ก่อนพลัมจะประสบอุบัติเหตุ เพิ่มเดินไปหยิบรูปนั้นมามองเด็กสาวที่กำลังยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตา


ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้พลัมได้มีความรู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบที่เขากำลังรู้สึกอยู่บ้าง


เขาลุกขึ้น หยิบรูปใส่กรอบนั้นกลับไปวางที่เดิมก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อไปอาบน้ำให้เรียบร้อย


เพราะเดี๋ยวใครบางคนถึงบ้านแล้วต้องโทรหาเขาแน่ๆ


tbc.

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 11)
«ตอบ #27 เมื่อ29-03-2019 23:34:14 »

บทที่ 11 : ความจริง


เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาบริษัทเขาโปรเจคท์เข้ารัวๆ เพิ่มถึงได้ยุ่งมากจนไม่มีเวลาว่างออกมาเจอทีอีก แต่ดูเหมือนว่าทางทีเองก็เรียนหนักขึ้นไม่ใช่น้อย สังเกตได้จากความเร็วในการตอบแชทที่ลดลง ปกติทีมักจะตอบข้อความเขาภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังจากที่ทักไป แต่ช่วงหลังๆ มานี้อีกฝ่ายหายไปเกือบค่อนวันเลยก็มี บางทีเขาทักไปตั้งแต่ช่วงสาย เจ้าตัวได้มาอ่านอีกทีก็บ่ายแก่ๆ นู่น


แต่เพิ่มเองไม่ได้ติดใจอะไร เพราะทีบอกไว้ตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์แล้วว่าใกล้สอบ


มาคิดดู สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้ต่างไปจากเดิมคือการมีทีเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ แม้จะไม่ได้เจอหน้า แต่ชื่อของอีกฝ่ายไม่เคยหายไปจากหน้าจอโทรศัพท์เขา อันที่จริง ถ้าลองเลื่อนโนติผ่านๆ เกือบทั้งหมดเป็นชื่อของที เพราะนอกจากหมอนั่นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับใครเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้อีก


นั่นทำให้เพิ่มคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานะ มีคนคุยด้วย แบบที่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึง


θ: เที่ยงแล้ว ทานข้าวด้วยนะครับ


ยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์เขาก็แจ้งเตือนข้อความเข้าจากคนที่กำลังนึกถึงอยู่


p: กำลังจะออกไปหาอะไรกินเลย นายล่ะ


θ: ผมเลิกเรียนเที่ยงครึ่ง เดี๋ยวหลังจบคลาสคงไปกินที่โรงอาหาร


p: งั้นก็ตั้งใจเรียนสิ อีกครึ่งชั่วโมงเอง


θ: ครับๆ ผมแวะมาทักคุณเฉยๆ กลัวใครบางคนทำงานหนักจนลืมกินข้าว


ก็เป็นซะอย่างนี้


เขารู้ตัวว่ากำแพงที่เคยก่อไว้มันค่อยๆ พังทลายลงเพราะความสม่ำเสมอของคนตรงหน้า ถึงทีจะตอบข้อความช้าลง แต่อีกฝ่ายไม่เคยลืมที่จะส่งเมสเสจแสดงความเป็นห่วงมาให้เขา ทั้งทักมาเรื่องให้กินข้าวบ้าง พักสายตาระหว่างทำงานบ้าง บางวันที่เขาอยู่ปั่นแบบจนดึกดื่นยังไล่ให้เขาไปนอนเลยก็มี เรื่องเล็กๆ พวกนี้ดูไม่สลักสำคัญ แต่เพิ่มรู้ดีว่าเพราะทีเป็นคนใส่ใจคนอื่นจริงๆ หมอนั่นถึงได้ไม่เคยละเลยที่จะทักมาหาเขาตลอด


ความห่วงใยที่ส่งมาในรูปแบบของข้อความสั้นๆ ทำให้เพิ่มรู้สึกว่าแต่ละวันของเขามีความหมายมากขึ้น


เพิ่มเดินออกมาหาข้าวเที่ยงกินพร้อมกับพี่ๆ อีกสองสามคน ถ้าไม่นับน้องๆ ที่มาฝึกงาน เขาก็แทบจะเป็นคนที่เด็กที่สุดในบริษัทนี้แล้ว ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ไม่เคยใช้เรื่องความอาวุโสมาแบ่งระดับความสามารถในการทำงาน พี่เต็งบอกทุกคนเสมอว่าเราเคารพกันที่งาน ไม่ใช่ที่ตัวเลขอายุ นั่นทำให้บรรยากาศในบริษัทเขาเหมือนการนั่งทำงานกับเพื่อนๆ มากกว่าจะเป็นกับรุ่นพี่


อาจจะเป็นเพราะเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตลอด เพิ่มถึงได้มองว่าในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับที เขาไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นคนที่อายุมากกว่าเสมอไป บางทีเพิ่มก็ยอมรับว่าเขาเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดตอนที่ทำตัวแบบเด็กๆ ด้วยซ้ำ ในขณะที่หลายครั้งทีกลับดูเป็นผู้ใหญ่


พูดให้ถูกก็คือ... ดูพึ่งพาได้มากทีเดียว


θ: เย็นนี้ว่างมั้ยครับ


ออกมากินข้าวได้ไม่ทันไร พอถึงเวลาพักเที่ยงที่เป็นเวลาเลิกคลาสของอีกฝ่าย ทีก็ส่งข้อความมาทันที


p: หืม มีอะไรรึเปล่า


θ: ไปกินข้าวกัน


p: ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้วเหรอ


θ: อ่านมาทุกวันจนสมองเปื่อยแล้วคุณ ขอพักบ้าง


เขาหลุดยิ้มกับคำว่าสมองเปื่อย


“แน่ะ เพิ่ม คุยกับใครอยู่ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”


เขาเงยหน้าขึ้นมาจากจอเมื่อได้ยินเสียงพี่จินแซว ความตั้งใจที่จะตอบข้อความถูกแทนที่ด้วยการต้องมารับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า


“พี่จินอย่าแซวว เพิ่มคุยกับน้องที่รู้จักเฉยๆ”


“อะๆ ไม่แซวจ้า แต่ไม่ได้เห็นเราดูอินเลิฟแบบนี้มานานแล้วนะ”


“อินเลิฟ?”


“ใช่ มองเพิ่มละเหมือนเห็นตัวเองตอนโดนจีบใหม่ๆ”


“ต่างกันแค่แกนกไปแล้ว ส่วนน้องเพิ่มน่าจะสมหวังนะ ฮ่าๆ” เสียงจากพี่ผึ้ง พี่อีกคนในแผนกเขาเรียกเสียงหัวเราะฮาครืนจากทั้งโต๊ะ ทำให้พี่จินถึงกับหันไปดุแบบไม่จริงจังแถมแก้ตัวเป็นพัลวัน เพิ่มมองบรรยากาศรอบตัวที่ทำให้เขานึกถึงสมัยอยู่มหาลัยไม่น้อย ก่อนจะหยิบมือถือกลับขึ้นมาอีกรอบเพื่อตอบข้อความที่อ่านค้างไว้


p: โทษที วันนี้ไม่ได้น่ะ มีนัดแล้ว


θ: นัดใครครับ


p: จะอยากรู้ไปทำไม


θ: หล่อสู้ผมได้มั้ย


p: ไม่ได้หรอก เพราะเป็นผู้หญิง


เพิ่มรอให้ทีตอบอะไรกวนๆ กลับมาอีกรอบ จะได้แกล้งให้อีกฝ่ายงอนเล่นๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวอ่านข้อความแล้ว ทีไม่ได้พิมพ์อะไรกลับมาอีก จนกระทั่งบ่ายโมงกว่าๆ ที่เพิ่มกลับขึ้นมายังออฟฟิศเพื่อทำงาน ก็ยังไร้วี่แววของคนทางนั้น


แล้วทำไมคนที่กระวนกระวายใจดันกลายเป็นเขาซะงั้น


เพิ่มพยายามไม่คิดถึงใครอีกคนที่ตอนนี้น่าจะกำลังเตรียมเข้าเรียนคลาสช่วงบ่าย เขาวางมือถือไว้ข้างๆ คอมพิวเตอร์ที่เปิดโปรแกรมเขียนแบบอยู่ แต่ถึงจะกำลังนั่งปรับแบบอย่างขะมักเขม้นแค่ไหน เขาก็อดเหลือบไปมองเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่วางทิ้งไว้เป็นระยะไม่ได้


สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ให้กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น


p: เป็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ น่ะ


นั่งมองหน้าจออยู่แป๊บเดียวก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว เหมือนกับกำลังรอให้เขาพิมพ์อะไรบางอย่างไปอยู่


θ: ครับ


p: ไม่ได้เจอกันนานแล้วเลยนัดออกมาทานข้าว


θ: ดีแล้วครับ


p: คือ พี่เขาก็แต่งงานแล้วน่ะนะ


ประโยคที่พิมพ์ออกไปเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่รุ่งที่เขาไม่ได้จำเป็นจะต้องบอกให้ทีรู้เลย ถึงอย่างนั้นเพิ่มก็ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายคิดในสิ่งที่ชวนเข้าใจผิดอย่างการที่เขานัดไปเจอผู้หญิงสองต่อสอง


θ: ครับ ไม่เป็นไร ไว้เจอกันวันอื่นก็ได้ :)


เหมือนอีกฝ่ายทำเป็นมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่านั่น เพิ่มเดาความคิดของทีไม่ออก แต่รู้ว่าอีกฝ่ายดูไม่น่าใช่คนคิดเล็กคิดน้อย อีกอย่าง เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เจอกันเขาก็แสดงออกชัดขนาดนั้นว่าไม่ได้สนใจคนอื่น


การไม่มีสถานะชัดเจนมันลำบากแบบนี้เอง


ไว้คืนนี้หลังเสร็จธุระค่อยโทรหาทีอีกรอบแล้วกัน


…………


“หวัดดีครับพี่รุ่ง”


เพิ่มที่เดินหอบกระเป๋าพร้อมกระบอกเขียนแบบเข้ามาในร้านยกมือขึ้นทักทายหญิงสาววัยกลางคนที่โบกมือเรียก พวกเขานัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในสยาม หลังจากตกลงกันแล้วว่าน่าจะเป็นที่ที่สะดวกที่สุดสำหรับสองฝ่าย


“โหย โตขึ้นเยอะเลยเพิ่ม”


“แหงสิครับ ครั้งล่าสุดที่เจอกันก็ตั้งแต่เพิ่มยังอยู่มหาลัย” เพิ่มทำเป็นบ่นแบบไม่จริงจังนัก เขารู้ดีว่าไม่ว่าเมื่อไหร่พี่รุ่งก็จะเห็นเขาเป็นเด็กเสมอ


“น่า พี่ขอโทษ ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาพี่วุ่นๆ กับการปรับตัวน่ะ ตั้งแต่กลับจากเรียนเฉพาะทางมาก็รู้สึกเหมือนยังไม่ได้พักจริงๆ เลย งานที่โรงพยาบาลหนักมากกกก”


“พี่ไม่เห็นบอกเลยว่าไปต่อเฉพาะทางด้านปลูกถ่ายอวัยวะ”


“อย่าว่าแต่เพิ่มเลย พ่อแม่พี่ก็เพิ่งรู้ตอนพี่ตัดสินใจจะไปเรียนต่อ” พี่รุ่งยักไหล่ ส่วนเพิ่มเองไม่ได้ติดใจอะไรมาก เขารู้ดีว่าพี่รุ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยก่อน เวลาตั้งใจทำอะไรก็มักจะไม่ค่อยปรึกษาหรือเล่าให้คนอื่นฟังมากเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นพี่รุ่งทำตามความตั้งใจได้สำเร็จไปแล้วทุกครั้ง ตอนที่ตั้งใจสอบเข้าเพื่อเรียนหมอก็เหมือนกัน


เขาคุยสัพเพเหระกับฝ่ายตรงข้ามอีกนิดหน่อย ก่อนยกมือเรียกบริกรมารับออเดอร์อาหาร สั่งอะไรทานง่ายๆ เช่นเดียวกับพี่รุ่งที่สั่งอาหารจานเดี่ยว พอบริกรเดินไปเรียบร้อยแล้วเพิ่มถึงได้หันกลับมาคุยเรื่องที่ตั้งใจนัดอีกฝ่ายออกมา


“พี่รุ่งครับ เรื่องคนที่ได้รับบริจาคอวัยวะของพลัม...”


“อ๋อ จ้ะ จริงๆ จะคุยทางโทรศัพท์ก็ได้ แต่พี่คิดว่าเจอหน้ากันน่าจะดีกว่า คือพี่ก็ยังไม่ได้นัดทางนั้นหรอกนะ เห็นว่าช่วงนี้ใกล้จะสอบแล้วด้วย เขาคงยุ่ง”


“เอ๊ะ กำลังจะสอบ… เขาอายุเท่าไหร่ครับเนี่ย”


“ตอนนั้นก็อายุพอๆ กับพลัมนี่แหละ เป็นเด็กที่ร่าเริงมากคนหนึ่งเลย เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนเขาเพิ่งเข้ามาตรวจร่างกาย พี่ถึงนึกได้ว่าต่างฝ่ายต่างยังไม่เคยเจอกันเลยนี่เนอะ”


“ครับ คือตอนนั้นเพิ่มยังรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


“แล้วตอนนี้โอเคขึ้นมั้ย จริงๆ ถ้าไม่อยากเจอ…”


“ไม่เลยๆ เพิ่มดีขึ้นมากแล้วพี่รุ่ง ได้เจอก็คงดีเหมือนกัน” เขาเกาหัว รู้ว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้มากพอสมควร


“พี่เข้าใจเรานะ พี่ผ่ามาก็หลายเคส แต่ยังรู้สึกยินดีมากๆ ทุกครั้งที่ผู้ป่วยได้เจอกับครอบครัวผู้บริจาค มันเหมือนเป็นเวทมนตร์อย่างหนึ่งเลยล่ะ”


“พี่รุ่งเล่าเคสของคนคนนี้ให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ”


“ได้สิ อย่างที่บอกไป เขาก็เป็นเด็กมหาลัย เด็กคนนั้นเข้าโรงพยาบาลมาเมื่อสองปีก่อนด้วยโรคร้ายแรงด้านหัวใจ ตอนนั้นทีมแพทย์เฉพาะทางเองก็หมดหวังกับเคสนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ”


“โห อายุก็เพิ่งไม่มาก เจอแบบนี้เข้าก็น่าสงสารนะครับ”


“ใช่ ตอนนั้นทุกอย่างมืดมนมากเลยล่ะ น้องจะรอดชีวิตได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนหัวใจใหม่ แต่เราก็รู้ใช่มั้ยล่ะว่าการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะไม่ได้ง่าย แค่จะหาผู้บริจาคอวัยวะก็ยากเต็มกลืนแล้ว” ดวงตาของรุ่งหม่นแสงลงเมื่อพูดประโยคถัดมา


“อาจจะฟังดูผิดกับทั้งเพิ่มและพลัมที่พี่พูดแบบนี้ แต่ตอนที่พวกพี่รู้ว่ามีเคสผู้ป่วยสมองตายที่เคยเซ็นยินยอมบริจาคอวัยวะไว้เข้ามา มันเหมือนกับเจอปาฏิหาริย์เลย”


ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นเรื่องน่าดีใจ แต่ส่วนลึกของเพิ่มกลับจมดิ่งไปยังเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน เขายังจำความรู้สึกในตอนที่ยืนมองร่างโชกเลือดของน้องสาวบนเตียงผู้ป่วยได้


เพิ่มไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นน้องสาวของเขา


ในตอนนั้น ทั้งที่รู้ว่าอวัยวะของพลัมกำลังจะถูกส่งต่อเพื่อยื้อชีวิตให้ใครอีกคน… เขาไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย


ที่เขาคิดแบบนี้ มันฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปรึเปล่านะ


“หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของกระบวนการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่าย ผลการตรวจเบื้องต้นชี้ว่าภูมิในร่างกายของน้องเขาไม่ได้ต่อต้านอวัยวะใหม่ พอเป็นแบบนั้นทีมก็ลงมือทันที จากนั้นก็อย่างที่เพิ่มรู้ การผ่าตัดประสบผลสำเร็จด้วยดี”


“ตอนนี้ คนคนนั้นมีความสุขมากไหมครับ”


“อื้อ อย่างที่บอกว่าเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดีคนหนึ่งเลยแหละ ล่าสุดตอนมาเช็คอัพก็เหมือนจะกำลังอินเลิฟด้วย แหม น่าอิจฉาจริงๆ”


ความรู้สึกแง่ลบตีตื้นขึ้นมาอย่างที่เพิ่มไม่อาจควบคุม และแม้เขารู้ว่าไม่ถูกต้องเอาซะเลย ก็ไม่อาจห้ามวูบหนึ่งของความคิดได้


คนที่ควรจะได้ยิ้ม


ได้หัวเราะ


ได้มีความสุข


ได้ตกหลุมรัก


คนที่ควรจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความรู้สึกทั้งหมดนั่น


คนคนนั้นควรจะเป็นพลัมไม่ใช่หรือไง


“เพิ่ม?”


“อะ ขอโทษครับ ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” มือที่กำลังลูบสร้อยเส้นบางชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกของคนตรงข้าม อาหารถูกยกมาเสิร์ฟสักพักแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไรเลยแม้แต่น้อย


เสียงคนที่เข้ามาใหม่ในร้านทำให้เพิ่มที่กำลังเหม่ออยู่มองออกไป แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยกำลังเดินพูดคุยหัวเราะมากับเพื่อนอีกสองคน เป็นตอนนั้นที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ๆ โต๊ะของเขาแล้วสังเกตเห็นเขานั่งอยู่ในร้าน


“อ้าว คุณเพิ่ม”


“ที”


“บังเอิญอีกแล้วนะครับ... เอ๊ะ หมอรุ่ง?” ทีที่เพิ่งสังเกตเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาร้องทักออกมา


“อ้าว รู้จักกันอยู่แล้วเหรอเนี่ย โลกกลมกว่าที่คิดอีกแฮะ” พี่รุ่งหันหน้ามามองเขาและทีสลับไปมาก่อนจะยิ้ม


เพิ่มที่ค่อยๆ สังเกตความจริงอะไรบางอย่างเริ่มหน้าชา


โรคร้ายแรงถึงขั้นนอนโรงพยาบาล


ปลูกถ่ายอวัยวะ


เด็กมหาลัย


ช่วงเวลาของเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน


“แบบนี้ก็ง่ายเลย ที นี่พี่ชายพลัม ผู้ป่วยที่บริจาคหัวใจให้เธอเมื่อสองปีก่อน… ส่วนเพิ่ม นี่ไงที ผู้รับบริจาคอวัยวะจากน้องพลัม”


tbc.


พยายามจะเขียนให้ไม่ดราม่ามากนัก แต่ก็อยากลองเขียนมุมมองของคนที่ผ่านความสูญเสียมาอย่างหนักหน่วงดู เลยอาจจะเป็นช่วงที่หน่วงหัวใจหน่อยนะคะ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหนุ่มทีของเราจะดูแลคุณเพิ่มเองไงล่ะ ตอนหน้ามาดูกันค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีเมื่อสองปีก่อนกันแน่ /รวบกอดทุกคนที่ผ่านเข้ามา ♥

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 12)
«ตอบ #28 เมื่อ05-04-2019 23:34:51 »

บทที่ 12: เรื่องที่ทำให้สับสน


เมื่อสองปีก่อน


“หมะ หมอ ว่ายังไงนะคะ”


เสียงของแม่เขาที่สั่นเครือเทียบไม่ได้เลยกับความอื้ออึงในโสตประสาท ทีพยายามรวบรวมสติ แต่พบว่าทำได้ยากเหลือเกินในสถานการณ์แบบนี้


“ผลวินิจฉัยชี้ว่า… ทีป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบค่ะ”


ทีเคยได้อ่านเจอจากในอินเทอร์เน็ต


อาการหัวใจวายก็มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดหัวใจตีบ


เขาเงยหน้าขึ้นมองคุณหมอ แววตาสงบนิ่งนั้นทำให้ทีรู้สึกโกรธขึ้นมา


ทีไม่เข้าใจว่าทำไมคนเป็นหมอถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย หรือเป็นเพราะบุคลากรเหล่านี้ต้องเจอกับเคสร้ายแรงมาแล้วเป็นพันๆ เคส แล้วอาการป่วยของเขาก็เป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่สำหรับคนพวกนี้เท่านั้น


แค่นั้นเองน่ะเหรอ


“แล้ว มันจะรักษาหายได้ใช่มั้ยคะ”


“รักษาได้ค่ะ เพียงแต่ว่าเคสของที…”


หมออธิบายด้วยคำศัพท์ยืดยาวที่ทีจับความไม่ได้ สมองยังคงปฏิเสธความจริงที่บั่นทอนสติจนทำให้รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ทีไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าแค่ปวดหน้าอกตอนเล่นบาสจนหมดสติไปถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่เข้าใจว่าหมอกำลังพูดอะไรให้แม่ของเขาฟัง ไม่เข้าใจว่าโลกนี้มีโรคร้ายแรงขนาดนี้ได้ยังไง


ไม่เข้าใจว่าแล้วทำไมถึงต้องเป็นเขา


รู้ตัวอีกที เขาก็ต้องไปทำเรื่องดรอปเรียนจากคณะ ชุดนิสิตที่เคยใส่กลายเป็นชุดสีฟ้าของโรงพยาบาล วันๆ หนึ่งเขากินยานับได้ไม่ถ้วน


แต่อาการก็เหมือนจะมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ


ไม่ต้องฟังคำวินิจฉัยจากหมอเพิ่มเติม ในการตรวจแต่ละครั้ง ทีรู้ดีว่าร่างกายของตัวเองไม่เคยดีขึ้น ยาที่กินเข้าไปเหมือนถูกเททิ้งให้สูญเปล่ามากกว่าช่วยเข้าไปเยียวยา


นอกจากความป่วยทางร่างกายที่ทีไม่เคยทำใจให้ชินกับมันได้ อีกอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีอิทธิพลกับตัวเองมากขนาดนี้คือสภาพจิตใจที่ดำดิ่งลงทุกวัน หลังจากที่ป่วยหนัก แทบจะไม่มีสักครั้งที่ทีหัวเราะออกมาได้อย่างเต็มปอด บางวันเขากินข้าวแทบจะไม่ลง ในขณะที่บางคืนก็คิดมากจนนอนไม่หลับ


ครอบครัวของเขากับซีนและบาล์มเป็นกลุ่มคนที่มาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลบ่อยที่สุด แต่ทุกครั้งที่คนเหล่านั้นมา เขากลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้คนรอบข้างมากเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนที่มองเข้าไปในดวงตาของแต่ละคน แม้คนที่มาหาเขาจะทำเป็นร่าเริงแค่ไหน แต่ทีเห็นว่าข้างในนั้นคือความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ไม่มิด


การสังเกตเห็นความเศร้าในแววตาคนอื่นกลายเป็นเรื่องเคยชินไปโดยไม่รู้ตัว


นั่นทำให้ทีสงสัยว่า บางทีดวงตาของเขาก็คงสะท้อนอารมณ์แบบเดียวกันออกมารึเปล่านะ


หลังจากนอนโรงพยาบาลมาได้สักพัก ทีก็รู้ว่าเขาสามารถหายจากอาการป่วยนี้ได้หากได้รับการปลูกถ่ายหัวใจดวงใหม่ ข้อเท็จจริงนี้ทำให้เขาหลงดีใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะค้นพบความจริงในไม่ช้าว่ามันช่างเป็นความหวังที่ริบหรี่จนแทบมืดบอด ใครๆ ก็รู้ว่าการเป็นผู้ป่วยที่ทำได้แค่นอนรอการบริจาคอวัยวะมันสิ้นหวังแค่ไหน


แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เคยคิดจะไปลงชื่อทำเรื่องบริจาคอวัยวะเลยด้วยซ้ำ


ในตอนนี้… การจะหวังรอพึ่งผู้บริจาคที่เป็นใครจากไหนก็ไม่รู้ฟังดูเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้จนน่าขำ


จากหลายอาทิตย์ผ่านไปเป็นหลายเดือน ทีรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนอนรอความตายมากกว่ากำลังได้รับการรักษา แต่อย่างหนึ่งที่พอจะทำให้ทีมีความหวังขึ้นมานิดหน่อยคือหมอรุ่ง หมอรุ่งเป็นศัลยแพทย์ที่ถูกโอนมารับผิดชอบเคสของเขาแทนหมออีกท่าน และเพราะหมอรุ่งคลุกคลีกับการปลูกถ่ายอวัยวะมานาน เธอถึงได้มีแต่เรื่องดีๆ มาเล่าให้เขาฟัง อย่างเช่นจำนวนอวัยวะบริจาคที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน เคสผู้ป่วยที่เข้ารับการปลูกถ่ายแล้วหายดี รวมไปถึงเรื่องน่าประทับใจอย่างการที่ผู้ป่วยได้เจอกับญาติของผู้บริจาค


เขาที่ไม่เคยได้เข้ามาสัมผัสกับเรื่องพวกนี้เลย มาตอนนี้กลับรู้สึกได้ว่าการปลูกถ่ายอวัยวะมีความพิเศษของมันอยู่


ไม่ใช่แค่เรื่องของฝีมือการรักษา… แต่เป็นเรื่องของน้ำใจระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน


อย่างน้อยมันก็ทำให้ทีรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้น


ถึงเขาจะรู้ตัวดีว่าเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้อีกไม่มากนักแล้วก็ตาม


…………


“ที! พี่ปุ้ม เตรียมห้องผ่าตัดด่วนเลยค่ะ! ” เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาซ้ำๆ กับเสียงของหมอรุ่งที่หันไปบอกนางพยาบาลใกล้ตัวบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก เป็นเพราะอยู่ๆ เขารู้สึกหายใจลำบาก แถมเครื่องรอบตัวก็เริ่มส่งเสียงร้อง ทีรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดสติ เขาใจสั่น หัวใจเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ แบบขาดๆ เกินๆ พอพยายามยกมือขึ้นมองก็เห็นว่าปลายเล็บเริ่มเปลี่ยนสี ส่วนขาก็รู้สึกบวมขึ้น


อาการทั้งหมดตรงกับที่ทีเคยอ่าน


แบบนี้เหรอที่เขาเรียกว่าหัวใจจะวาย


ความวุ่นวายหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ทีไม่ได้เตรียมใจจะรับมือ แม่กับน้องชายเขาที่มาเยี่ยมในวันนี้พอดีพากันวิ่งมาสมทบระหว่างที่เตียงเขาถูกเข็นออกไปยังห้องผ่าตัด ทั้งสองคนร้องไห้ แต่แค่จะพูดปลอบใจทียังไม่มีแรง เขาฝืนลืมตาขึ้นมองทุกอย่างรอบตัว ภาพแม่กับซี บรรยากาศในโรงพยาบาล เพดานสีขาว ใครบางคนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่หน้าห้องผ่าตัด


เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นทุกอย่างแล้วก็ได้


ภายในห้องผ่าตัดที่อวลไปด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือหมอรุ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ในชุดสีเขียวและผ้าปิดปาก เขาหลับตาลง รู้สึกสงบอย่างประหลาด


ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลง ทีได้ยินเสียงลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง


‘หมอคะ มีผู้ป่วยสมองตายจากอุบัติเหตุอยู่ห้องข้างๆ เราอาจจะใช้หัวใจของน้องเขาปลูกถ่ายให้ทีได้’


…………


“พี่รุ่ง ผมขอตัวก่อน…” ท่ามกลางสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนที่ขยับตัวเร็วที่สุดดูจะเป็นร่างตรงหน้าเขา อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนพรวดพราด คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปจากร้านโดยยังไม่ได้แตะต้องอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเลยสักนิด


“เดี๋ยว คุณ! เอ่อ หวัดดีฮะหมอ ไว้ค่อยคุยกันนะครับ” เขาหันไปทักทายผู้หญิงตรงหน้าที่ทำหน้าไม่ถูกในสถานการณ์นี้ ทีคิดว่าพี่รุ่งน่าจะไม่ได้เตรียมใจรับมือกับปฏิกิริยาของคุณเพิ่ม แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาจะมาจัดการทีหลัง เขาตะโกนบอกลาซีนกับบาล์มลวกๆ ทั้งสองคนที่เหมือนจะยังงงๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าปล่อยเขาไป หลังจากนั้นทีถึงได้วิ่งตามคุณเพิ่มออกไป


ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน


ทียังจำช่วงที่เขาฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ ได้ดี เขาไม่ปฏิเสธเลยว่ารู้สึกดีใจมากแค่ไหนที่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แม้หลังจากนั้นอีกเกือบหกเดือนเขาจะวุ่นกับการพักฟื้นร่างกายและทานยาเพื่อปรับภูมิให้เข้ากับหัวใจใหม่ ทีก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อ ความรู้สึกโชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่ต่อเปลี่ยนเขาไปมาก ทุกอย่างที่ทีทำ เขาทำมันโดยคิดว่าอยากใช้ชีวิตให้คุ้ม เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าเราไม่มีวันรู้เลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน


แต่ใช่ อย่างหนึ่งที่เขาไม่เคยได้รู้เลยคือชื่อของผู้บริจาค เขาไม่แน่ใจว่าจะต้องทำหน้าหรือทำตัวอย่างไรหากได้พบกับญาติของผู้บริจาค


เพราะการที่เขาได้รับการ ‘ต่อ’ ชีวิตมาด้วยหัวใจดวงนั้น สำคัญพอๆ กับความจริงที่ว่าผู้บริจาคคนนั้น ‘สูญเสีย’ ชีวิต


“คุณเพิ่ม เดี๋ยวก่อนครับ” เขาที่วิ่งตามออกมาทันคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ ทีจับโดนสร้อยข้อมือเส้นบางที่เคยสังเกตก่อนหน้านี้ นั่นทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นสร้อยของพลัมก็ได้


“...” อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร แต่หันหน้ากลับมาสบตากับเขา สิ่งที่ทีเห็นทำให้เขาตกใจจนเกือบจะเผลอปล่อยมือ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้นถึงได้ยังคงกระชับข้อมือเล็กนั้นอยู่


คนตรงหน้าไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมา แต่ในสายตาคู่นั้นมีแต่ความเจ็บปวดและสับสนอย่างรุนแรงปนเปกันอยู่ มันทำให้เขาพูดไม่ออก แต่ทีรู้เพียงแค่ว่าเขาไม่อาจปล่อยให้คนคนนี้อยู่ตามลำพังได้ในเวลาแบบนี้


“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านครับ”


“ไม่ต้องหรอก” คนตรงหน้าปฏิเสธเสียงเบา


“ให้ผมไปเถอะ… นะครับ”


“รู้ใช่มั้ยว่าทำแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น”


คำถามนั้นทำให้เขารู้สึกตื้อไปหมด แต่ทีไม่ยอมแพ้


“คุณก็รู้ใช่มั้ยว่าผมไม่อยากปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวตอนนี้”


“...”


“...”


“ตามใจ”


ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถจนกระทั่งขึ้นไปนั่ง มีแค่ความเงียบที่น่าอึดอัดระหว่างพวกเขา ไม่มีใครพูดอะไรแม้กระทั่งตอนที่รถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณห้างสรรพสินค้าไปจนถึงถนนใหญ่ คุณเพิ่มไม่ได้แม้แต่จะหันมามองทางด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเพียงเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างข้างที่นั่งคนขับ


“หนาวมั้ยครับ” เขาหันไปถามอีกฝ่ายในตอนที่รถติดไฟแดง คิดว่าเป็นคำถามที่ฟังดูไร้สาระ แต่ทีไม่ชอบบรรยากาศในตอนนี้เลย


“ไม่” คนข้างๆ ตอบพร้อมส่ายหัวเบาๆ ยังคงมองออกไปข้างทาง


“คุณโกรธผมเหรอ”


“เปล่า”


“แล้วทำไมไม่คุยกันดีๆ ล่ะ”


“ฉัน… สับสน ก็เลยยังไม่อยากคุยตอนนี้”


“เข้าใจแล้วครับ”


ได้ยินอีกฝ่ายพูดมาแบบนั้น เขาก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายถอยออกมาแต่โดยดี อย่างน้อยทีก็เบาใจได้ว่าคุณเพิ่มไม่ใช่คนประเภทที่ไร้เหตุผล อีกฝ่ายแค่ต้องการเวลาในการคิดทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้น


แต่สิ่งที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจจนแทบนั่งไม่ติดคือ ทีไม่รู้เลยว่าหลังจากคุณเพิ่มตัดสินใจแล้ว


เขาจะยังมีโอกาสได้อยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายรึเปล่า...


“ถึงแล้วนะ”


รถเคลื่อนตัวเข้าสู่ปากซอยบ้านหลังที่คุ้นเคยก่อนทีจะค่อยๆ ดับเครื่องยนต์ลง เขาได้ยินคุณเพิ่มบอกขอบคุณเบาๆ ก่อนเปิดประตูลงไป แต่คราวนี้ทีเองก็เปิดประตูแล้วเดินตามลงมาด้วย นั่นทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้ากึ่งสงสัยตอนหันมาเห็น


คราวนี้เป็นเขาเองที่กำลังทำตัวไร้เหตุผล


ทีพยายามยื้อเวลาที่จะได้อยู่กับคนตรงหน้าให้ได้นานที่สุด ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องการเวลานั่งคิดทบทวนเรื่องต่างๆ คนเดียวมากกว่า แต่ทีไม่อยากปล่อยมือ


ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ทุกอย่างเปราะบางเกินไป


“อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ว่า… ผมขอเข้าไปด้วยได้ไหม”


ทีเห็นอีกฝ่ายที่ทำสีหน้าประหลาดใจปนสับสน ก่อนที่จะเป็นตัวเขาเองที่หลุบตาลง คิดแค่ว่าคราวนี้ถ้าคนตรงหน้าไม่ยอม เขาก็จะยอมกลับบ้านโดยไม่ดื้ออีก


“เข้ามาสิ”


คุณเพิ่มพูดแค่นั้น ทำให้ทีเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจเล็กน้อย เขายังหาคำอธิบายให้สถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ แต่ในเมื่อทางนั้นไม่ได้ปฏิเสธ เขาก็มีแต่ต้องทำตามความตั้งใจเท่านั้น


ภายในตัวบ้านของคุณเพิ่มตกแต่งด้วยสีโทนอบอุ่น เครื่องเรือนกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์มีสีน้ำตาลเทาและสีขาวแทรกอยู่ จะเรียกได้ว่าสมแล้วที่เป็นสถาปนิกออกแบบภายในก็ไม่ผิดนัก เป็นบ้านที่ตกแต่งแบบง่ายๆ ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์หรูหรา แต่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองและน่าอยู่มากทีเดียว


แต่สิ่งหนึ่งที่ทีสังเกตมาตั้งแต่มาส่งอีกฝ่ายคราวที่แล้วคือ บ้านนี้ไม่มีวี่แววของผู้อยู่อาศัยคนอื่นนอกจากคุณเพิ่ม ทุกอย่างที่เขาเห็นในตอนนี้ยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนั้น การจัดวางรองเท้าที่ดูจะมีเพียงรองเท้าของคุณเพิ่มเพียงไม่กี่คู่ เก้าอี้โต๊ะทานข้าวที่ไม่มีร่องรอยการใช้งาน แม้แต่เบาะโซฟาก็มีรอยย่นอยู่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น


บรรยากาศความเหงาที่แทรกซึมอยู่ในทุกอณูของตัวบ้านทำให้ทีรู้สึกวูบโหวงในอก


“คุณ… อยู่คนเดียวเหรอครับ”


“อื้ม ตั้งแต่พลัมเสีย”


เขาเดินเข้าไปใกล้คนตรงหน้า ตั้งใจจะคว้ามืออีกฝ่ายมาจับ แต่ต้องชะงักไปอีกครั้งเมื่อคราวนี้เป็นคุณเพิ่มที่หันมามองเขา น้ำตาที่อีกฝ่ายดูจะกลั้นมาตลอดค่อยๆ เอ่อออกมาจากดวงตาคู่นั้น


“คุณเพิ่ม”


“ทำไม…”


“...”


“ฉันไม่เข้าใจ”


ในขณะที่สมองทำหน้าที่ของมันในการประคองเหตุผลอย่างยากเย็น ความเสียใจที่สะท้อนออกมาจากดวงตากลับเร่งให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้


“ทำไม… ทำไมถึงต้องเป็นนาย”


ตอนนี้… ทีรู้แล้วว่าหัวใจสามารถโดนทำร้ายได้มากกว่าที่เคยเป็น


tbc.


ฮึบฮึบๆ อดทนไว้นะทั้งคู่ y__y

ออฟไลน์ abluewhisper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เพราะคุณเปลี่ยนใจ .•☁ (chapter 13)
«ตอบ #29 เมื่อ13-04-2019 22:39:05 »

บทที่ 13 : ระหว่าง 'เรา'


“คุณเพิ่ม…”


“ให้เป็นคนที่ไม่รู้จักยังจะดีซะกว่า”


เสียงสั่นๆ ของคนตรงหน้ากับอาการที่ดูราวกับเสียใจจริงๆ ทำให้ทีรู้สึกหนักอึ้งไปหมด เขาที่ไม่เคยได้รับปฏิกิริยาแบบนี้จากใครมาก่อนถึงกับอับจนด้วยคำพูด


มันไม่ใช่ว่าการที่เขารอดชีวิตมาได้… เป็นเรื่องที่ดีอย่างนั้นเหรอ


“ตอนนี้ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไร ควรจะรู้สึกยังไง ทุกสิ่งที่นายเล่ามาฟังดูเป็นเรื่องน่าดีใจ แต่พอคิดว่าหัวใจดวงนั้นควรเป็นของพลัม ควรได้เต้นเพื่อให้พลัมมีชีวิต ฉันก็สับสน ไม่เข้าใจว่าทุกอย่างมันปะติดปะต่อกันแบบนี้ได้ยังไง มันดูผิดพลาดไปหมด แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเลวที่คิดแบบนั้น แต่…”


“คุณเพิ่ม ใจเย็นๆ ก่อน” เขาเดินเข้าไปจับไหล่สองข้างของอีกฝ่าย แต่กลับชะงักเมื่อคนตรงหน้าถอยหนี


“ไม่ ฉัน ฉันไม่สมควรได้รับความใจดีจากนายเลย ที ไม่ใช่ในตอนที่ฉันคิดแย่ๆ กับนายแบบนี้”


อีกฝ่ายหลบตาเขา ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับแขนอีกข้าง ท่าทางราวกับกำลังกอดตัวเอง ทีไม่เคยเห็นคนตรงหน้าอ่อนแอราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อแบบนี้


สิ่งที่เห็นทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่ผ่านมา คนคนนี้ต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้คนเดียวมานานแค่ไหนกัน


“คุณ… เสียใจจริงๆ เหรอครับ”


ทีไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรเพื่อปลอบใจคนตรงหน้า เขาแค่อยากเข้าใจคุณเพิ่ม อยากรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญความลังเลขนาดไหน และเพราะเห็นน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดลงมาซะที เขาถึงได้ถามออกไปแบบนั้น


“อือ… ฮึก” เสียงครางปนสะอื้นของทางนั้นทำให้ทีเข้าใจว่าอีกฝ่ายตอบรับ และมันทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง


“ควรจะเป็นพลัมที่อยู่ตรงนี้มากกว่าผมรึเปล่า”


“ฉะ ฉัน… ฉัน ไม่รู้”


“ที่ผมถามออกไปแบบนั้น ผมแค่กำลังพยายามเข้าใจความสับสนของคุณอยู่ คุณยังไม่ต้องตอบตัวเองให้ได้ทั้งหมดหรอกครับว่าควรจะคิดอะไร รู้สึกยังไง”


เสียงของเขาที่ฟังดูจริงจังขึ้นเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป


“ที คือ...”


“แต่อย่างน้อยตอนนี้ คุณตอบผมอย่างหนึ่งก่อนได้มั้ย”


เขาเดินเข้าไปหาคุณเพิ่มอีกรอบ เอื้อมมือไปจับข้อมืออีกฝ่าย ทีสัมผัสได้ว่ามันสั่นน้อยๆ แต่คราวนี้คนตรงหน้าไม่ได้ดึงมือออกหรือพยายามหนีเหมือนเมื่อกี้


“คุณ เคยคิดบ้างมั้ยว่า… โชคดีที่เป็นผม โชคดีที่ผมยังมีชีวิตอยู่”


เพิ่มเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เบิกตากว้าง น้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลกลิ้งลงมาบนแก้ม เขาเอื้อมมือไปปาดมันออกให้เบาๆ แต่เหมือนว่าการทำแบบนั้นกลับจะทำให้อีกฝ่ายร้องไห้หนักกว่าเดิม


แต่ถึงแม้จะยังร้องไห้ไม่หยุด ทีก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้าชัดเจน


ตอนที่คุณเพิ่มพยักหน้ายืนยันสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป


พูดออกไปด้วยความไม่มั่นใจในคำตอบที่จะได้รับเลยแม้แต่น้อย


“คิด คิดสิ ถึงจะรู้สึกแย่ต่อพลัม แต่ว่า ฮึก แต่ว่าการที่นายอยู่ตรงนี้…”


“ครับ”


“มันดีจนทำให้รู้สึกว่า อึก ฉันไม่คู่ควรกับความอ่อนโยนของนายเลย”


ประโยคนั้นทำให้ทียิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะตัดสินใจรวบคนตรงหน้าเข้ามากอด เขาโยกตัวเบาๆ เหมือนปลอบเด็กที่กำลังโยเย นึกในใจว่าความอึดอัดที่รู้สึกก่อนหน้านี้หายไปเยอะทีเดียว


“ใครว่าล่ะ ไม่เห็นใช่แบบนั้นเลย”


“รู้ได้ยังไง” คนงอแงถามเสียงอู้อี้อยู่ข้างหูเขา


“คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมคงเสียใจมากถ้าคุณไม่ตอบว่าใช่”


“รู้สิ ฮึก แต่ แต่ฉันไม่ได้ตอบแค่เพื่อให้นายดีใจหรอกนะ”


“ผมรู้ครับ ถึงได้บอกว่าไม่ใช่แบบที่คุณคิดซะหน่อย”


“...”


“คนที่เป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นจนร้องไห้ออกมา แล้วก็ตรงไปตรงมากับความรู้สึกตัวเองเสมอแบบคุณน่ะ เป็นผมซะอีกที่รู้สึกโชคดี”


แรงกดเบาๆ ที่หัวไหล่ทำให้ทีเหลือบมอง เห็นคนที่ตอนนี้เริ่มหยุดร้องไห้แล้วฝังหน้าลงไปที่ไหล่เขา แม้จะยังสะอื้นอยู่ แต่ริ้วแดงๆ ที่เห็นเลยมาตรงแก้มใกล้ใบหูของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกโล่งใจปนเอ็นดู ทีไม่ได้พูดอะไรออกไปหลังจากนั้น ทำแค่ยืนกอดปลอบคุณเพิ่มจนอีกฝ่ายเงียบไป


คราวนี้ เสียงหายใจที่สม่ำเสมอขึ้นแม้จะติดอู้อี้อยู่บ้างของคนในอ้อมกอดทำให้เขารู้สึกสงบลง แน่นอนว่าเมื่อกี้ทีเองก็ลุ้นกับคำตอบจากอีกฝ่าย เพราะถึงที่ผ่านมาทุกอย่างระหว่างเขาสองคนจะดีมาตลอด แต่มันไม่เคยมีอะไรชัดเจน ยิ่งพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขายิ่งเสียความมั่นใจถึงขั้นกลัวว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปด้วยซ้ำ


“ขอโทษ” เขาที่ยืนคิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ตกใจนิดหน่อยตอนที่คุณเพิ่มพูดขึ้นมา


“หืม”


“ขอโทษที่พูดอะไรไปแบบไม่สนความรู้สึกของทีเลย”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณ…”


“นี่ ทำไมถึงไม่เถียงอะไรกลับมาบ้าง” อยู่ๆ คุณเพิ่มก็ยิงคำถามออกมา ทำเอาเขางงไปชั่วขณะ


“...”


“ตอนแรก ทำไมถึงไม่โวยวาย ไม่แสดงความเสียใจออกมาบ้าง ถ้าเป็นฉัน ถ้าคนที่ฉันกำลังรู้สึกดีด้วย อยู่ๆ ก็มาตั้งคำถามกับการที่ฉันมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ผ่านเรื่องสาหัสมาขนาดนั้น มันต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ ทำไมนายถึงอดทนได้ขนาดนั้น”


เหมือนว่าพอได้นิ่งลงบ้าง คุณเพิ่มถึงได้ใช้เวลาทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น คราวนี้เขาถึงได้เป็นฝ่ายโดนถามแทน คนที่เคยอยู่ในอ้อมกอดเขาเขยิบออกมา แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับเอาไว้


“ไม่ใช่เพราะผมอดทนหรอกครับ ผมเองก็รู้สึกแย่แบบที่คุณบอก... เฮ้ย ไม่เอา ไม่ร้องไห้สิ”


ทีค่อยๆ ตอบคำถามตามความจริง แต่เหมือนกับการยอมรับกลายๆ จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดจนน้ำตาเอ่อขึ้นอีกรอบ เจ้าตัวปาดออกได้ทันก่อนมันจะไหลลงมา ส่วนเขาเองก็เริ่มอธิบายให้ทางนั้นเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


“ช่วงที่ผมป่วย คนรอบข้างคอยดูแลและให้กำลังใจผม แม้แต่ในวันที่ผมหงุดหงิด โมโหกับสภาพของตัวเอง หรือในวันที่ตัดสินใจยอมแพ้ไปแล้ว ทั้งหมดทำให้ผมรู้สึกขอบคุณ และพยายามตอบทีด้วยการใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างมาตลอด”


ทีบีบมือที่จับมือของอีกคนอยู่เบาๆ ก่อนจะพูดต่อให้จบ


“ผมดีใจที่ทุกคนเห็นความสำคัญของผม ที่ผ่านมา คุณเองก็เป็นหนึ่งในคนทำให้ผมมีความสุข ผมเลยแค่คิดว่าผมรู้สึกแย่ก็จริง แต่ไม่อยากทะเลาะให้คุณต้องรู้สึกไม่ดีไปมากกว่าความสับสนที่คุณกำลังเผชิญอยู่”


คนตรงหน้าเงียบไปนิดหน่อยก่อนถอนหายใจออกมา อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาทัดผมไว้หลังใบหูลวกๆ แล้วพูดขึ้น


“...ทำไมถึงเป็นคนที่ความคิดโตกว่าอายุขนาดนี้นะ ฟังแล้วรู้สึกอายชะมัด”


“อายกว่าที่กำลังจับมืออยู่อีกเหรอครับ”


“ไม่เหมือนกันซะหน่อย แต่ว่า… หายรู้สึกแย่นะ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว” คุณเพิ่มเขย่ามือเบาๆ เป็นการถามย้ำ เขาถึงได้ยิ้มออกมา


เวลาอีกฝ่ายกำลังจริงจังกับเรื่องอะไรสักอย่าง จะแซวไปก็ไม่มีผลงั้นสินะ


“หายแล้วครับ แต่ถึงตอนนี้จะหายแล้ว เมื่อกี้ตอนที่รอฟังคำตอบจากคุณ ผมก็ลุ้นนะ”


“คิดว่าฉันเป็นคนใจร้ายไม่มีเหตุผลขนาดนั้นเลยเหรอ”


“ฮะๆ เปล่าครับ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นใครที่ได้รับบริจาคหัวใจของพลัมไป สุดท้ายคุณก็จะยอมรับและยินดีกับคนคนนั้นได้แน่ๆ แต่ที่ผมเกิดไม่มั่นใจขึ้นมาก็เพราะว่าท่ามกลางเรื่องทั้งหมดนี่ ผมกับคุณไม่ใช่แค่ใครก็ไม่รู้...”


เขาสูดหายใจลึก เตรียมใจเรียบเรียงคำพูดแล้วถึงพูดออกไปในที่สุด


“ผมกับคุณ เราเป็นมากกว่านั้น… แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่เคยชัดเจน”


น้ำเสียงเขาไม่มีความล้อเล่นอยู่ในนั้น และทีเชื่อว่าคุณเพิ่มสัมผัสถึงความจริงจังของมันได้ คราวนี้จากที่ดูเศร้าๆ ถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอีกครั้ง ส่วนเขาเองตัดสินใจปล่อยมืออีกฝ่าย ก่อนจะพูดเรื่องที่ตัวเองกังวลจริงๆ ออกมา


“ผมคิดเรื่องนี้หนักกว่าเรื่องที่ตัวเองรู้สึกแย่อีกนะ เกิดคุณเปลี่ยนใจไม่อยากสานต่ออะไรก็ตามระหว่างเราขึ้นมา ผมค---”


ความตั้งใจที่จะพูดให้จบประโยคค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ เหมือนสมองหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ


นั่นเพราะอยู่ๆ คนตรงหน้าก็หันมาหาเขา เขย่งเท้าขึ้นนิดหน่อย


แล้วเอี้ยวตัวมาหอมแก้มเขา


...หอมแก้ม?


ทีที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกับการกระทำของคนตรงหน้าถึงกับยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองอย่างเหม่อลอย แต่พอสติกลับเข้าที่แล้วนั่นแหละ หัวใจถึงได้เต้นดังจนแทบระเบิดออกอยู่รอมร่อ


“งั้นแบบนี้ชัดเจนขึ้นรึเปล่า” น้ำเสียงที่ฟังดูมั่นใจช่างขัดกับท่าทางเขินๆ ของอีกฝ่าย ทั้งหมดนั่นยิ่งทำให้เขาเอ็นดูคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ทีหัวเราะเบาๆ แล้วพูดอีกอย่างออกไป


“บทคุณจะมั่นใจก็ทำเอาผมเหวอไปเลยนะครับเนี่ย เฮ้อ ไม่อ่อนโยนกับใจทีบ้างเลย”


“ใครกันแน่ที่เริ่มก่อน แถมยังดูออกง่ายชะมัด คนที่อยู่ๆ ก็คว้ามือคนอื่นไปจับในโรงหนังมีสิทธิ์พูดด้วยรึไง” คุณเพิ่มบ่นแบบไม่จริงจัง แต่สิ่งที่ทำให้ทีดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมาคือการได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายในที่สุด


“ว่าแต่จะไม่ตื่นเต้นตกใจสักหน่อยเลยหรือไง”


“ผมแค่เก็บอาการเก่งเท่านั้นแหละ ตอนนี้หัวใจทำงานหนักจะแย่แล้วครับ”


“ต้องพาไปโรงพยาบาลรึเปล่า”


“คุณเพิ่ม!”


เสียงหัวเราะที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าอยากได้ยินมานานแสนนานดังขึ้นจากคนข้างตัว ทียกยิ้มขึ้นแบบควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกอบอุ่นแล่นมาจากไหนไม่รู้ แต่เขาก็คิดว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปนานๆ


…………


“แล้ว?”


“ครับ ก็มันดึกแล้ว ใจคอจะให้ผมกลับทั้งแบบนี้เลยหรือไง”


ทีทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาของคนตรงหน้าที่หรี่มองมาแบบไม่ไว้วางใจ หลังจากอีกฝ่ายขอตัวไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย เขานั่งดูโทรทัศน์รออีกฝ่ายเดินออกมา แล้วเถียงข้างๆ คูๆ หาเหตุผลที่ฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดีให้คืนนี้เขาได้นอนค้างที่นี่


“ก็ขับรถมานี่ วันนั้นที่มาส่งฉันยังไม่เห็นบ่นเลย”


“วันนั้นผมแรงเหลือเฟือจะตาย แต่วันนี้ผมเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็นเลยนี่นา”


สาบานเลยว่า ให้ตายเขาก็ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ตัวเองเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวกลับคอนโด แล้วอีกอย่าง ไหนๆ คุณเพิ่มก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของพวกเขาแล้ว


เขาเริ่มยอมรับกับตัวเองเงียบๆ ว่าอยากอยู่ใกล้ๆ คนตรงหน้าตลอดเวลา


“มาสิ” แต่ก่อนที่เขาจะได้ประท้วงอะไรต่อ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นขณะเดินไปที่บันได


“ครับ?”


“ถ้าจะนอนก็ต้องอาบน้ำก่อนมั้ยล่ะ เดี๋ยวพาไป ข้าวของใช้ของฉันได้หมดแหละ แต่เสื้อผ้า… อืม พอจะมีเสื้อโอเวอร์ไซส์อยู่บ้าง เดี๋ยวค้นให้นะ”


ได้ยินแบบนั้น ทีก็ยิ้มกว้างออกมาซะจนคนมองอยากถอนคำพูด


“งั้นผมนอนไหนได้บ้าง บ้านคุณมีผ้าห่มกับหมอนสำรองมั้ย ผมว่านอนโซฟานี่ก็คงได้”


“ไม่ต้องหรอก มานอนที่ห้องฉันนี่แหละ”


“จะดีเหรอครับ”


“ฉันไม่ปล่อยนายเปิดแอร์นอนอยู่ข้างล่างหรอก เปลืองไฟจะแย่”


ราวกับตั้งใจย้ำสิ่งที่คิดจริงๆ คุณเพิ่มเอื้อมมือไปหยิบรีโมตมากดปิดแอร์ที่เปิดทิ้งไว้ จากนั้นถึงได้ปิดสวิตช์ไฟชั้นล่างที่อยู่ตรงผนังข้างบันได บอกเป็นนัยว่าให้ทีเดินตามมา


“ผมนอนพัดลมก็ได้”


“มาเถอะน่า ยังไงนอนเตียงก็สบายกว่าอยู่แล้ว”


เดี๋ยวนะ


ตอนแรกที่บอกว่าไปนอนห้องอีกฝ่าย เขาก็นึกว่าจะมีฟูกมีหมอนปูรองนอนที่พื้น ไอ้เรื่องประหยัดไฟน่ะก็พอเข้าใจ ถึงจะไม่เกี่ยงเพราะตัวเองก็นอนพัดลมได้จริงๆ ก็เถอะ


แต่ให้นอนด้วยกันบนเตียงเลยนี่มันออกจะเกินความคาดหมายไปหน่อยรึเปล่า


“ทำไม คิดอะไรทะลึ่งอยู่เหรอ”


เจ้าของบ้านที่ตอนนี้เดินมาหยุดยืนหน้าห้องนอนเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไป ยังไม่วายหันมาส่งสายตาล้อเลียนเขา ทีพรูลมหายใจ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่ชินกับคุณเพิ่มที่ชอบพูดอะไรให้ประหลาดใจออกมาอยู่เรื่อย


“ถ้าผมบอกว่าคิดจริง คุณจะว่ายังไง”


“พูดแบบนี้แปลว่าอยากกลับบ้าน”


อีกคนทำท่าจะงับประตูปิดลงจริงๆ แต่ทีที่เร็วกว่าแทรกตัวเข้ามาในห้องได้ทัน เขายิ้มระรื่นคล้ายสนุกกับการต่อล้อต่อเถียงกับคุณเพิ่มโหมดโหดๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ต้อนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้


ทียกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้


“ไม่แกล้งแล้วครับ ตอนนี้อยากอาบน้ำจริงๆ แล้วนี่ก็จะห้าทุ่มแล้วด้วย รีบเข้านอนกันเถอะครับ พรุ่งนี้คุณก็ต้องไปทำงานแต่เช้า”


“เพิ่งห้าทุ่มเอง เพิ่งรู้ว่านายเป็นเด็กอนามัยใช้ได้”


เพิ่มพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง ก่อนจะยอมเบี่ยงตัวให้เข้าเดินเข้าไป จากนั้นถึงได้เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อกับกางเกงที่จะพอมีให้เขายืมก่อนได้


ความรู้สึกแรกที่เขารับรู้ตอนได้เข้ามาในห้องนี้คือความอบอุ่น


มันเป็นบรรยากาศชวนให้ผ่อนคลายที่อบอวลอยู่ภายในห้องนอน แม้จะตกแต่งด้วยเครื่องเรือนและสีแบบเดียวกับชั้นล่าง แต่เขาสัมผัสได้ว่าคุณเพิ่มน่าจะใช้เวลาอยู่ในห้องนี่นานกว่าส่วนอื่นๆ ของบ้านหลายเท่าตัว มองไปทางไหนก็มีร่องรอยของความมีชีวิตชีวา เขาไม่ได้จับจ้องทุกอย่างจนเสียมารยาท เพียงแค่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำหลังจากคุณเพิ่มหยิบเสื้อผ้าทุกอย่างกับชี้ไปที่ประตูตรงอีกมุมหนึ่งของห้องให้


ทีใช้เวลาอาบน้ำสระผมไม่นานก็เปลี่ยนตัวให้เจ้าของห้องตัวจริงเข้าไปอาบน้ำบ้าง ตอนเดินเช็ดผมออกมายังเห็นอีกคนนั่งวาดอะไรยุกยิกอยู่ที่โต๊ะเขียนแบบใกล้หน้าต่าง ท่าทางจะเป็นคนบ้างานพอดู แต่พอเห็นเขาอยู่ในชุดพร้อมนอนก็ละจากงานที่ทำอยู่แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว


เขานั่งลงที่ปลายเตียง ระหว่างกำลังใช้ผ้าซับน้ำจากผมให้แห้งก็อดเหลือบมองไปทางประตูห้องน้ำเป็นระยะไม่ได้


ใครจะไปคิดว่าหลังจากต่างฝ่ายต่างพูดคุยจนใจตรงกัน จะข้ามขั้นมาถึงนอนเตียงเดียวกันไปได้


ทีสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แต่ไม่นานหยุดเมื่อเห็นว่ามีหยดน้ำกระเด็นลงบนที่นอน เปลี่ยนมาเป็นถอนหายใจเบาๆ แทน


ก็ที่เมื่อกี้บอกไปว่าคิดจริงน่ะ


...เขาไม่ได้ล้อเล่นเสียหน่อย


tbc.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด