My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน ตอนที่ 20 END (01/03/62)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน ตอนที่ 20 END (01/03/62)  (อ่าน 14575 ครั้ง)

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน




ผมได้ตั้งความหวังไว้ว่าจะมีชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างสงบสุข

แต่พอได้ใช้ชีวิตกับรูมเมทสุดหล่อเพียงไม่กี่วันก็ดูเหมือนว่าชีวิตผมจะไม่สงบสุขตลอดไป



"ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป มึงต้องทำตามทุกอย่างที่กูบอก"






.

.



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2019 00:31:20 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน
«ตอบ #1 เมื่อ17-02-2019 23:47:58 »

1. อยู่ดีๆ ก็เป็นถั่วงอก


"ไอ้มิ้นๆ ทางนี้โว๊ย!" ผมหันไปตามเสียงเรียกที่โคตรจะดังจนทุกคนแถวนี้หันไปมองมันกันหมด ผมเดินทำหน้าเซ็งๆ ไปหาเพื่อนคนเดียวที่ผมมีในตอนนี้ ถึงมันจะเรียกชื่อผมผิดก็เถอะ

          ผมชื่อมิมครับ ตอนนี้กำลังเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาปี 1 ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมตั้งความหวังไว้ว่าจะใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างสงบสุข แค่คิดว่าตัวเองจะได้เริ่มชีวิตใหม่ก็มีความสุขจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

"ยืนยิ้มไรของมึง" ไอ้บอสมันผลักหัวผมเบาๆ แล้วยิ้มล้อเลียนผม "ไอ้มิ้น..มึงอยู่หอไหนวะ กูหอสาม"

"หอสาม" ผมพูดไปด้วยเสียงอ่อนแรง แค่มีมันเป็นเพื่อนคนแรกใจผมก็หวิวแล้ว เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กๆ และที่สำคัญ "กูชื่อมิม"

"เฮ้ย! จริงหรอวะ โคตรดีเลยๆ" นี่มึงได้ฟังชื่อกูไหมเนี่ย มันล็อคคอผมเข้าไปกอด โยกตัวผมไปมาเหมือนเด็กๆ หัวผมถูไถไปกับอกมันจนผมเสียทรงไปหมด  ตัวก็ใหญ่ ดีใจก็เบอร์ใหญ่ ทำไมสมองมึงไม่ใหญ่ตามวะ "กู 343"

"กู 333" ผมรอดแล้ว เย้ๆ ผมดิ้นออกจากอ้อมแขนมันแล้วดันแว่นขึ้นจมูกดีๆ

"เสียดายว่ะ มิตรภาพเราจะสั่นคลอนรึเปล่าวะ" ผมคิ้วกระตุกหนึ่งทีกับคำว่ามิตรภาพของมันคือมึงเราเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์อะ "ไปๆไอ้มิ้น ไปขนของกัน"

"เออๆ" นี่ก็ย้ำชื่อกูผิดๆ จังเลย

          ผมลอบถอนหายใจ เดินขนของตามมันไป หอที่นี่ไม่มีลิฟหรอกครับ เดินและเดินทั้งนั้น เป็นหอชายล้วน นอนห้องละสองคน หอที่นี่ใช้วิธีสุ่มเลือกรูมเมทครับ สุ่มจริงจังครับ ทุกชั้นปี ทุกคณะ มั่วกันไปหมด มีห้องน้ำรวมให้ในแต่ละชั้น ถึงใครจะมองว่าอยู่หอมหาลัยลำบากแต่ก็จริงครับ ลำบากจริง แต่ประหยัดเงินไปเยอะและอาจจะได้ของแถมเป็นความทรงจำดีๆ ก็ได้ หึๆ

"มึงขำไรวะ เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน"

"เปล่าๆ"

          ผมดันแว่นขึ้นจมูกดีๆแก้เก้อ แต่ละชั้นที่ขนของขึ้นไปผมก็ทนฟังไอ้บอสมันบ่นไปตลอดทาง ปากบอกว่าเหนื่อยแต่พูดไม่หยุดเลย ผมก็ชักสงสัยแล้วว่ามันเหนื่อยเดินหรือเหนื่อยพูด ถึงมันจะบอกว่าเหนื่อยแต่เดินนำผมตลอดเลย เหอะ อย่าให้ขายาวบ้างแล้วกัน

"ถึงชั้นสามแล้ว" ผมบอกมัน

"เออๆ" มันพยักหน้าให้ผม แล้วจะเดินขึ้นไปต่อแต่ในเสี้ยววินาทีมันก็หันกลับมาจ้องผมเขม็ง ผมจ้องมันตอบแบบงงๆ "ไอ้มิ้น กูลืมบอกมึง เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะเว้ย"

"...อืม" มันบอกแบบนั้นเสร็จแล้วก็เดินไปเลยปล่อยผมให้อืออืมกับอากาศ จะว่าไปกูก็ลืมบอกมึงเหมือนกันว่ากูชื่อมิม!! กูห้อยป้ายชื่ออันเบ้อเริ่มว่ากูชื่อมิมเรียกกูว่ามิ้นอยู่ได้!!

"กูชื่อมิม!!"

"..."

ไร้เสียงตอบรับครับ

"เฮ้อ"

          ย้ำอีกครั้ง ผมชื่อมิมครับ ชื่อจริงมินตาชื่อเล่นมิมผมไม่รู้ความหมายหรอกครับเพราะพ่อเป็นคนตั้งชื่อเล่นให้ ส่วนแม่ตั้งชื่อจริง ทุกวันนี้แม่ผมเรียกมินตาตลอด เพื่อนๆ ก็เรียกมินบ้างมิ้นบ้างมิ้มบ้าง หนักสุดที่เคยได้ยินมาก็คือมิมะ มิมะได้มาจากที่มหาลัยแห่งนี้ครับ จากพี่กระเทยคนหนึ่งในเอกที่เรียกชื่อผมในวันรายงานตัว ผมเลยกลายเป็นน้องมิมะของเพื่อนๆ ตอนแรกโกรธครับแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเพื่อนก็ยังเรียกผมว่ามิมะเหมือนเดิมหรือก็คือผมชินนั่นล่ะครับ

         จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเรียกชื่อผมถูก จะว่าไปถ้าพ่อผมยังมีชีวิตอยู่พ่อคงเป็นคนเดียวที่เรียกชื่อผมถูก...ผมไม่ดราม่าครับ ผมเลยไม่โกรธไอ้บอสเท่าไหร่ที่เรียกชื่อผมไม่ถูกแค่แอบหวังหน่อยๆ ว่าจะมีใครเรียกชื่อผมถูกบ้าง

          ไอ้ 'บอส' เป็นเพื่อนคนแรกของผมครับ เจอกันตั้งแต่วันสัมภาษณ์ ไม่รู้ทำไม เราถึงสนิทกันเร็วขนาดนี้จำได้ว่านั่งรอสัมภาษณ์ข้างกัน พูดกูมึงตั้งแต่สองนาทีแรกที่ได้คุยกันแล้วก็แลกไลน์กันตั้งแต่วันนั้น มันเป็นคนร่าเริงบวกบวมๆ ครับ แต่มีแค่สมองนะครับที่บวมเพราะมันจัดว่าเป็นคนหล่อมากคนหนึ่งเลย อันนี้ผมต้องยอมรับ หุ่นดี หน้าคม ขาว สูง มันโดนเลือกให้เป็นเดือนเอกตั้งแต่วันรายงานตัว

          ส่วนผมนั้นนอกจากเป็นน้องมิมะของทุกคนแล้ว ก็เป็นแค่หนุ่มแว่น ขาวเตี้ย ผอมแห้งสไตล์ขี้โรคๆ และยังเป็นเบ๊ของไอ้บอสในบางครั้งด้วย

"เฮ้อ" ผมสะบัดความคิดไร้สาระแล้วเดินไปตามทางเดินชั้นสาม ตอนนี้เริ่มเย็นแล้วครับ หอนี้คงมีปีหนี่งเยอะพอสมควรเพราะเสียงยกของ เสียงคนคุยกันและเสียงเดินค่อนข้างวุ่นวายมากครับ

 
'333'
 
          ผมเงยหน้ามองเลขบนประตูอีกครั้งแล้วหลับตาภาวนาให้เจอกับรูมเมทดีๆ สักคน นิสัยดีๆ รวยๆ ไม่ค่อยกลับห้อง สะอาดเรียบร้อย เป็นรุ่นพี่ยิ่งดีเพราะเวลาจะได้ไม่ค่อยตรงกัน ผมมองเลขห้องอีกครั้งแล้วเคาะประตูไปสามครั้งพอเป็นพิธี ยืนรอสักพักก็ไม่มีใครเปิด ผมเลยตัดสินใจไขกุญแจเข้าไป

          ผมเปิดห้องเข้าไป กดเปิดไฟที่สวิสข้างประตู แล้วกวาดสายตาไปทั่วห้อง ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ ครับ  ผมมองดูรอบๆ ห้องอีกครั้ง ห้องค่อนข้างเล็กครับ มีสองเตียงวางหัวชนหัวเป็นเตียงสองชั้น มีที่นอนข้างข้างบน ส่วนข้างล่างเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เก็บของแล้วก็ตู้เสื้อผ้าคนละตู้ เตียงฝั่งติดระเบียงคงเป็นของรูมเมทผมเพราะผมเห็นมีข้าวของวางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด ผมมองสำรวจไปทั่วห้องอีกครั้ง จะว่าไปแล้วห้องก็ไม่ได้รกมากถือว่าสะอาดเลยในสายตาผู้ชายด้วยกัน

ก๊อกๆๆ ก๊อกๆ

          ผมกำลังจะจัดเสื้อผ้าใส่ตู้เสื้อผ้าแต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาก่อน งั้นผมโยนไปไว้ในตู้เสื้อผ้าไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยพับครับ

ก๊อกๆๆๆ

"ไอ้มิ้น!" เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง บวกกับเสียงอันทรงพลังของไอ้บอส ทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปเปิดประตูเพราะกลัวประตูจะพังก่อน

"ว่า"

"ยังมาว่งมาว่า เดี๋ยวดีดให้เตี้ยลงเลย" ผมอ้าปากพะงาบๆ ใส่มัน เถียงไม่ออกครับ จริงมาก แรงมาก "มึงลืมขนฟูกนอนขึ้นมานี่ไง ถอยไปๆ กูกับพี่เขาหนักจะตายแล้วเนี่ย"

          ผมรีบขยับหลบให้ไอ้บอสขนเบาะเข้ามา แอบมองสำรวจพี่ที่เดินยกเบาะตามหลังมันเข้ามา พี่เขาตัวสูงมาก สูงกว่าไอ้บอสอีก ถามดูตัวใหญ่อีก เอ่อ แบบตัวหนาๆ น่ะครับ เหมือนยักษ์เลย ผมเห็นแค่ข้างหลังก็เขยิบหนีเดินไปอีกฝั่งแล้วครับ สงสารความสูงตัวเอง ผมมองไอ้บอสที่พอวางฟูกที่นอนผมลงที่พื้นฝั่งตรงข้ามกับเตียง ก็ทำท่าสะดีดดิ้งปวดแขน...คือเพื่อน....มึงตัวใหญ่กว่าฟูกนอนกูอีก

"ขอบคุณนะครับพี่" ผมรีบยกมือไหว้พี่ยักษ์ พี่ยักษ์หันหน้ามาจ้องหน้าผมนิ่งๆ เอ่อ นิ่งไปแล้ว "เอ่อ ขอบคุณครับ"

"อืม" ผมมองหน้าดุๆ ของพี่ยักษ์ที่ยังจ้องผมอยู่แบบงงๆ ผมหันไปมองไอ้บอสสลับกับหันมามองพี่ยักษ์ ไอ้บอสนี่มึงเลือกคบคนที่หน้าตาใช่ไหมวะ พี่ยักษ์นั้นพูดได้คำเดียวว่าโคตรหล่อ ถึงหน้าจะดูนิ่งๆ แต่ดวงตาคมๆ จมูกโด่งๆ สูงก็สูง หุ่นก็ดี ทำเอาผมเสียความมั่นใจในสารร่างตัวเองลงไปเยอะเลย  เหมือนตัวเองจะตัวเล็กลงกว่าเดิมอีก ว่าแล้วก็ก้มหน้าเขยิบถอยห่างพวกหล่ออีกสักหน่อย "ไม่เป็นไร"

"อะ ครับ" ผมตกใจนิดหน่อยที่พี่ยักษ์ตอบกลับ คิดว่าจะหยิ่งๆ ซะอีก...จะว่าไปจะหยิ่งได้ไงวะ เขาอุตสาห์ช่วยยกเบาะมาให้เชียวนะ คิดได้ดังนั้นผมเลยหันไปยิ้มเชิงขอบคุณให้พี่ยักษ์ พี่ยักษ์พยักหน้ารับเบาๆ ผมยิ้มให้พี่ยักษ์อีกครั้ง ทั้งหล่อทั้งมีน้ำใจ โคตรเท่

 "มึงไหว้ขอบคุณกูบ้างดิ กูก็ยกขึ้นมาเหมือนกันนะเว้ย"

 "ไม่อะ แต่ขอบใจนะ"

 "ไอ้ลูกหมา" ไอ้บอสมันคว้าคอผมแล้วกดเข้าจักแร้ของมัน มันหัวเราะด้วยเสียงตัวร้ายในหนังแล้วรัดคอผมแน่นขึ้นไปอีก ถึงมึงจะฉีดน้ำหอมมาแต่กูก็ไม่พิศวาสนะเว้ย ผมพยายามดิ้นออกจากแขนมันทั้งทุบทั้งตี แต่มันก็ยังไม่ปล่อยเอาแต่หัวเราะ โหยแรงเยอะอย่างควาย หายใจไม่ออกเว้ย ถ้าหลุดออกไปได้นะ พ่อจะปั๊ดหัวให้ "ฮ่าๆ หอมไหมลูกหมา"

 "ปล่อยย ; - ; " ครับ อยู่ภายในใจด่าเป็นหมื่นล้านคำแต่ในโลกแห่งความจริงผมมันก็หงิมตลอดกาล เก่งได้แค่ในใจครับ

 "จู๋จี๋กันเสร็จยัง กูเหนื่อย กูจะนอน" ผมกับไอ้บอสชะงักแล้วหันไปมองสิ่งมีชีวิตหน้าดุที่ยืนกอดอกมองพวกผมนิ่งๆ ผมเกิดคำถามขึ้นทันทีครับคือพี่มึงง่วงมึงก็กลับไปนอนห้องมึงไหมยังไง เหมือนคำถามภายในใจผมจะดังเกินไปเพราะจู่ๆ พี่ยักษ์ก็หันมาสบตาผม

 "หึ กูเป็นรูมเมทมึงไง...ถั่วงอก"

"..!!" ว้อททททท




ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน
«ตอบ #2 เมื่อ17-02-2019 23:59:03 »

2.น้ำตาลต่ำ



"ตามึงจะถลนออกมาละ" พี่มันส่ายหน้าให้ไอ้บอสที่เล่นใหญ่ "ไอ้บอส มึงออกไปได้ยัง"


"โหย..พี่ให้ผมได้ใช้สกิลแอ็คติ้งที่ผมเรียนมาหน่อย" มันกอดอกทำท่างอนให้พี่ยักษ์ ขนลุกชิบ..ว่าแต่มันสนิทกันหรอวะ "พี่ว่าแอคติ้งผมใช้ได้ไหม"


"ถั่วงอก มึงไม่ปวดหัวเวลาคุยกับมันหรอวะ"


"อะ..เอ่อ ผม" พี่ยักษ์มึงเรียกกูว่าถั่วงอกได้ธรรมชาติเหมือนเป็นชื่อกูจริงๆ ไปแล้ว "ไม่ครับ ผะ ผมชื่อมิมครับ"


"อืมๆ ไอ้บอสออกไปได้แล้ว กูจะนอน" พี่ยักษ์หันไปไล่ไอ้บอสที่ตอนนี้ยืนกอดอกขมวดคิ้วเหมือนเครียดอะไรสักอย่าง คนมีสาระอย่างมันคงเครียดเรื่องแอ็คติ้งเมื่อกี้แน่ๆ พี่ยักษ์มันหันมามองผมอีกครั้ง "กูชื่อโต ปี 2 บริหาร"


"ผมชื่อมิมครับ ปี 1 วิทยาศาสตร์..ชีวะครับ"


"อืม ยินดีที่ได้รู้จัก มีไรก็ปรึกษาได้" พี่มันยิ้มนิดๆ โห โคตรดูดีอยากยิ้มเบาๆ แล้วเท่ไม่เบาบ้าง


"ครับ" อะ..เงียบ เกิดเดดแอร์ทันที ไอ้บอสก็หายตัวไปแล้ว ไม่ลากันสักคำเลย


"มึงจัดของไปนะ กูนอนละ"


"เอ่อ ผมนอนพื้นนะครับ" ผมชี้ไปที่ฝูกที่นอนขนาดเดี่ยวของผม พี่มันพยักหน้าให้ผม


"อย่าทำพื้นสกปรกก็พอ ไม่งั้นกูเอาที่นอนมึงไปเผาแน่" โอ้โห มีขู่ คิดว่าแก่กว่าปีเดียวแล้วจะกลัวหรอวะ


"คะ..ครับ" ใช่ กลัวครับ น้องมิมไม่สู้คน ถนัดด่าในใจครับ ขืนหลุดด่าไป ร่างแห้งๆ อย่างผม พี่มันดีดทีเดียวก็ปลิวแล้วครับ


"พี่โต พักผ่อนเลยครับ" ยิ้มการค้าแถมให้อีกครั้ง สังคมสอนให้อยู่เป็นครับ


          พี่มันยิ้มให้ผม ใช่ครับ มันยิ้ม โอ้โห ยิ้มแล้วโคตรหล่อกว่าเดิม ผมล่ะอยากเอาสกอตเทปไปแปะมุมปากให้พี่มันยิ้มตลอดไปจริงๆ ดูดีกว่าตอนทำหน้าดุอีก พี่มันปืนบันไดขึ้นไปนอน ส่วนผมก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเอาของออกมาจัดให้เป็นระเบียบ ผมใช้เวลาจัดของและที่นอนไม่นานนักก็เสร็จครับ


          พอจัดของเสร็จก็มีเวลาว่างครับ ห้องเงียบสุดๆ ผมเลยไปนั่งเล่นที่โต๊ะเขียนหนังสือใต้เตียงตัวเอง จะว่าไปแล้วพี่มันเป็นคนนอนนิ่งมาก แทบจะไม่ขยับตัวเลย ไม่กรนด้วย นับเป็นโชคดีของผมจริงๆ ที่มีรูมเมทที่มีนิสัยการนอนที่ดีแบบนี้

          ผมมองขึ้นไปชั้นสองของเตียงข้างๆ อยู่ๆ ก็นึกสงสัยในความดูดีของเขา พี่มันเหมือนลูกคนรวยครับ ไม่เหมาะกับสภาพหอในแบบนี้เลย เหมือนพวกคุณหนูรวยๆ ที่อยากหนีความสุขสบาย แล้วขอคุณหญิงแม่ออกมาใช้ชีวิตลำบากๆ อะครับ ผมส่ายหัวให้กับความคิดไร้สาระของตัวเองแล้วล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋าเกงเกงเพื่อทำสิ่งไร้สาระกว่านั่นก็คือเล่นเกมส์ครับ


ครืด ครืด


          ยังไม่ทันจะเข้าเกมส์มือถือผมก็สั่นขึ้นมาก่อน ไอ้บอสโทรมาได้ถูกจังหวะมาก คนกำลังจะเล่นเกมส์โว๊ย จะเกรี้ยวกราดแล้วนะ


"ว่า" เกรี้ยวกราดได้แค่นี้จริงๆ ครับ


"กินข้าวกัน รอหน้าหอนะมึง"


"เออๆ" ตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้ว จริงๆ ก็หิวครับ เลยไม่ปฏิเสธไป ไม่ได้กลัวมันหรอกนะครับ...จริงๆ นะครับ


          ก่อนออกจากห้อง ผมมองพี่โตที่นอนหันหลังอยู่  ผมควรปลุกพี่มันแล้วถามว่า'พี่จะเอาอะไรไหมครับ'เพื่อสร้างมิตรภาพดีไหม...แต่ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวพี่มันโมโหที่ปลุกมันขึ้นมาแล้วซวยเลย ผมยังไม่อยากโดนเผาหรอกนะ








"ไปไหนมา" พอผมเปิดประตูเข้ามาปุ๊บ ก็เจอพี่โตยืนกอดอกทำหน้ายักษ์ปั๊บ โอ้โห พี่จะทำหน้าดุเพื่ออะไร


"ไปกินข้าวกับบอสมาครับ" เอ่อ ผมชักจะทำตัวไม่ถูกแล้วสิ


"ทำไมไม่บอกกู" อ้าว หน้าดุอย่างเดียวไม่พอต้องกวนตีนด้วย ก็พี่มึงหลับไงครับ


"ผมไม่รู้ กะ ก็เห็นพี่หลับ" ไอ้มิมมึงต้องสู้ เสียงอย่าสั่น ถึงพี่มันจะตัวใหญ่เหมือนยักษ์หน้าดุเหมือนเสือ มึงก็ต้องสู้


"เอาเบอร์มึงมา" เกิดคำถามในใจทันทีครับ ทำไมต้องเบอร์แค่ไลน์ไม่ได้หรอ ผมยึกยักอยู่สักพัก ไอ้พี่โตก็เดินทำหน้าดุมาหา "เร็วๆ ดิ"


"ครับๆ " โอ๊ย อย่าดุกูกลัว เอาหน้ายิ้มแบบเดิมกลับมาผมต้องทำไง

          พี่โตยื่นมือถือมาให้ ผมกดเบอร์ตัวเองลงไปพร้อมกับตัดพ้อในใจทำไมผมรู้สึกเหมือนชีวิตต่อไปนี้ของผมต้องเป็นเบ๊พี่มันแน่ๆ เหมือนเซ็นสัญญาทาสยังไงไม่รู้


"มึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อะ ให้เบอร์กูแค่นี้จะตายไง"


"ปะ เปล่าครับ" ผมตอบไปก้มหน้าไป ตอบแบบไม่สบตาพี่มันครับ แต่ไม่ได้กลัวนะครับสำรวจเท้าพี่มันเฉยๆ เอ๊ มีเล็บขบไหมน้า "ผมจะไปอาบน้ำ"


"เออ" พี่มันเดินผ่านผมไปแอบเห็นว่ามันยกยิ้มนิดนึง มีอะไรให้ยิ้มวะ "เดี๋ยวกูออกไปข้างนอก เอาไรไหม"


"ไม่ครับๆ "


"เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก"


"ครับ ขอบคุณครับ" ทำหน้าคิ้วขมวดขู่ขนาดนี้ถ้าผมบอกไม่รับคงโดนฆ่าหมกห้องแน่ๆ


          พอพี่มันออกจากห้องไปแล้วผมก็หายใจได้สะดวกขึ้น ไม่รู้ว่านอนหรือไปกินรังแตนมากันแน่ ก่อนหน้านี่ก็อารมณ์ดีอยู่เลย ผมเดินเกาหัวไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำกับเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปห้องอาบน้ำรวมทันที ไม่ค่อยอยากอยู่ในห้องคนเดียวครับ ห้องมันเงียบเกิน

          ระหว่างอาบน้ำผมก็คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ทำไมพี่มันดูอารมณ์เสียขนาดนั้นหรือผมทำห้องสกปรกแต่ผมเพิ่งย้ายมาเอง



"เฮ้อ" ช่างเถอะ พี่มันอาจจะเครียดเรื่องอื่นมั้ง



          จู่ๆ หน้าที่พี่มันยิ้มให้ผมก็ลอยขึ้นมา ทั้งที่ตอนยิ้มก็ดูดีมากขนาดนั้น ทำไมพี่มันถึงไม่ค่อยยิ้มเลยนะ ละ..แล้วกูจะยิ้มทำไมเนี่ย!













แกร่กๆๆ ปังๆ




"!!!" ผมตกใจหันไปมองที่ประตูทันทีที่ได้ยิน ที่ตกใจก็เพราะว่าผมเพิ่งเข้ามาหลังจากอาบน้ำเสร็จเมื่อกี้เลยครับ เดินจากประตูยังไม่ถึงครึ่งห้องเลยด้วยซ้ำ



          ผมหยุดคิดถ้าเป็นไอ้บอสคงตะโกนเรียกผมตั้งแต่บันไดแล้วหรือพี่โตลืมกุญแจห้องรึไงกัน ผมตัดสินใจเดินไปเปิดประตูแต่กลับไม่มีใครอยู่หน้าห้องเลยสักคน ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วครับ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ทางเดินข้างนอกก็ไม่มีใคร มีเพียงไฟตามทางเดินที่เปิดอยู่ ผมได้แต่เกาหัว หันซ้ายขวามองอีกรอบก็ไม่เจอใคร



          ผมปิดประตูแล้วเดินกลับไปนอนเล่นบนฟูก พยายามไม่คิดอะไรกับเรื่องเสียงประตูเมื่อครู่ แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ครับ ข้างนอกมันวังเวงมาก ไม่มีใครบนทางเดินสักคน แล้วห้องผมก็อยู่ห่างจากบันไดพอสมควร เวลาผมเดินจากบันไดกว่าจะถึงห้องก็หลายก้าวอยู่ จะเป็นไปได้ยังไงที่ผมเปิดไปแล้วจะไม่เห็นใครเลย อย่างน้อยก็ต้องเห็นหลังแวบๆ บ้างสิ ระ..หรือว่าจะไม่ใช่คนวะ ไม่ๆๆๆๆ มึงจะไม่คิดแบบนี้ไอ้มิม ไม่ๆ ฮือ




แกร่ก



ผมโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มค่อยๆ มองไปที่ประตูห้องที่เปิดออก





"พี่โต!" ผมยิ้มแล้ววิ่งไปหามันที่ประตูทันที พี่มันทำหน้างงๆ มองผม




"อะไรของมึง"




"เปล่าพี่" ผมยิ้มเบาๆให้พี่มัน จริงๆ แล้วผมโคตรดีใจที่พี่มันกลับมา ตรงๆ เลยนะครับ เมื่อกี้ผมเกือบร้องไห้แล้ว ผมว่าเสียงเคาะประตูเมื่อกี้มันต้องเป็นพลังงานบางอย่างแน่ๆ มิมสัมผัสได้





"ขนม" พี่มันพูดแค่นี้ก่อนจะยัดถุงขนมใส่มือผม ผลักหน้าผากผมเบาๆ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเอง ผมก้มมองถุงขนมใบโตในมือตัวเอง




"พี่โต" พี่มันหันมามองผม ผมยกมือขึ้นไหว้พี่มัน "ขอบคุณครับ"




"อืม" พี่มันตอบอืมเบาๆ หันหน้ากลับไปสนใจมือถือบนโต๊ะต่อ ผมแอบลอบยิ้มเบาๆ แต่คำพูดต่อมากลับทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาจนได้ "มึงไม่ต้องไหว้กูบ่อยขนาดนั้นก็ได้ กูรู้สึกแก่แปลกๆ"




"ครับๆ" ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเอง เป็นเพราะเตียงเราติดกัน แล้วโต๊ะผมอยู่ฝั่งซ้ายของเตียง ส่วนโต๊ะของพี่โตอยู่ฝั่งขวา ทำให้ตอนนี้เราเหมือนนั่งอยู่ข้างๆ กันเลย ผมเอาถุงขนมวางบนโต๊ะแล้วเริ่มค้นถุงด้วยความตื่นเต้นเพราะฐานะทางบ้านผมไม่ดีเท่าไหร่ ผมเลยดีใจมากๆ ที่ได้กินขนมแบบนี้ จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา




"มอร์จุ๊บ!!"




"มึงตะโกนทำไม กูตกใจหมด"




              ผมหันไปยิ้มแหะๆ ให้พี่โตที่สะดุ้งตกใจ ที่ผมเผลอตะโกนไปเมื่อกี้มันเป็นเพราะว่าสิ่งนี้เลยครับ มอร์จุ๊บคุ้กกี้ช็อกโกแลตชิปของโปรดของผม กินทีไรก็รู้สึกอารมณ์ดีทุกครั้ง มันเป็นขนมอย่างเดียวที่ผมแอบเจียดเงินมาซื้อกินบ่อยๆ แต่พักหลังๆ ไม่ได้กินเลยครับ ช็อตสุดๆ ต้องสั่งห้ามตัวเองไม่ให้ซื้อ


"มอร์จุ๊บอะไรของมึง" ผมเห็นพี่มันกดหยุดเกมส์ไว้ แล้วหมุนเก้าอี้มามองผมดีๆ



"ชื่อขนมไงพี่" ผมเลยหมุนเก้าอี้เข้าหาพี่มันบ้าง ถือห่อขนมไว้ระดับอกใช้มืออีกข้างชี้ที่ขนม ทำท่าเหมือนพรีเซนเตอร์ยาสีฟัน ยิ้มยิงฟันให้พี่มันตบท้าย พี่มันขมวดคิ้วนิดนึง แล้วก็พยักหน้าเบาๆ "นี่ขนมของโปรดผมเลยนะพี่ พี่รู้ได้ไงอะ"


"กูเก่ง" พี่มันตอบผมมาแบบกวนๆ ยิ้มมุมปากไปอีก ถึงจะรู้ว่าพี่มันบังเอิญหยิบมาแต่ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมอารมณ์ดีสุดๆ แล้วคนที่ซื้อให้ผมก็คือพี่มันด้วย ครั้งนี้ผมจะมองข้ามไปครับ ถึงแม้จะแอบคิ้วกระตุกนิดนึงก็ตาม




"ครับ ขอบคุณนะพี่" ยิ้มอ้อนไปหนึ่งที เตรียมตัวจะแกะห่อเพื่อสวาปามแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะจู่ๆ พี่โตก็ลุกจากเก้าอี้เดินมาใกล้ผมแล้วเอามือมาวางบนหัวผมแล้วโยกไปมาเบาๆ





"กินนมด้วยจะได้โตไวๆ" พี่มันหยิบนมกล่องที่อยู่ในถุงออกมาวางไว้ข้างซองคุกกี้





"อะ..เอ่อ ครับๆ" ไปไม่เป็นเลยครับกู เคยแต่หัวร้อน แต่นี่หน้าร้อน หน้าร้อนไม่พอใจก็เต้นแรงขึ้นมาด้วย ผมรีบแกะขนมกินทันทีรีบยัดขนมเคี้ยวๆ กลืน บางทีน้ำตาลในร่างกายอาจจะต่ำไป



"ค่อยๆ กิน กูไปอาบน้ำละ" พี่มันเอามืออกแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินผ่านผมไป



          ผมพยักหน้ารัวๆ โฟกัสแต่คุ้กกี้ตรงหน้าทั้งที่กินหมดไปครึ่งอันแล้วแต่กลับไม่รู้รสชาติเลย ผมภาวนาให้พี่มันออกไปจากห้องเร็วๆ ไม่ได้กลัวพี่มันนะครับแค่รู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยอยากมองหน้าหล่อๆ ของพี่มันเท่าไหร่ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่อยากมองหน้าพี่มันในตอนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ  รู้แค่ว่าอาการน้ำตาลต่ำนี่น่ากลัวจริงๆ






ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Re: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน
«ตอบ #3 เมื่อ18-02-2019 08:47:48 »

น้องมิมน่ารัก คุณพี่โตก็คงสนใจน้องบ้างแหละนะ

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน ตอนที่ 3
«ตอบ #4 เมื่อ18-02-2019 17:41:14 »

3. กรี๊ด


แกร่ก

โอเค..พี่โตกลับมาแล้ว


          นี่ผมรอพี่โตหรอ...ผมสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดเมื่อกี้ออกไปให้หมด แล้วหันมาโฟกัสสายตาไว้กับซองคุ้กกี้โง่ๆ พร้อมดูดนมเข้าปากอย่างขมักเขม้น พยายามไม่สนใจเสียงเดินของพี่โตที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กัน พี่มันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนผมอดที่จะหันไปมองไม่ได้

พรวด!

"เฮ้ย!! มึงพ่นนมใส่กูทำไมเนี่ย!" ผมตาโต มองละอองนมกระจายไปโดนพี่มันตั้งแต่คางลงมาถึง นะ..หน้าท้อง

"แค่กๆ..ละ แล้วพี่โป๊ทำไมเล่า!!" ผมใช้มือปาดคราบนมที่ปากออกแบบลวกๆ แล้วรีบมองไปทางอื่นทันที ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่ผมก็ไม่อยากมองซิกแพคของพี่มันแบบใกล้ๆ หรอกนะครับ

"ไม่โป๊สักหน่อย" ก็จริงแบบที่พี่มันบอก พี่มันไม่ได้โป๊ครับเพราะพีมันใส่บ็อกเซอร์ไว้ แต่บ็อกเซอร์พี่มึงก็ย้วยเหลือเกินสงสารยางยืดที่ต้องทำหน้าที่ในวันที่สุขภาพไร้เรี่ยวแรงจะเกาะขนาดนี้ "แล้วกูก็บอกมึงแล้วด้วยว่าจะไปอาบน้ำ จะตกใจทำไม"

"ก็..แล้วทำไมไม่ใส่เสื้ออะ" ผมเถียงโง่ๆ ไป ผมมองไปทั่วห้องพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองหน้าท้องของพี่มันที่อยู่ระดับเดียวกับสายตาผม ใกล้กระทั่งได้กลิ่นสบู่ที่พี่มันใช้เลย แต่ผมจะไม่บอกหรอกนะครับว่าซิกแพคพี่มันชัดมากและขาวมาก หน้าตาดีแล้วยังหุ่นดีอีก "พี่ออกไปห่างๆ ได้ไหมครับ"

"เรื่องของกู" พี่มันพูดพร้อมยิ้มร้ายๆ ให้ผม แล้วจู่ๆ มันก็ดึงแว่นผมออก โลกผมเบลอทันที

"เฮ้ย!! พี่จะทำอะ.."

ตุบ

          เสียงตุบที่ได้ยินไม่ใช่เสียงผมโดนพี่โตถีบลงเก้าอี้แต่อย่างใดครับ แต่มันคือเสียงหน้าผมกระทบกับพุงแข็งๆ ของพี่มัน เอ่อ ก็ซิกแพคของพี่มันนั่นล่ะครับ ถึงจะชื่นชมหุ่นพี่มันแค่ไหนแต่ผมก็สติดีพอ ผมไม่อยากเอาหน้าไปซุกหรอกครับ แต่ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะ..

"ฮ่าๆๆ มึงต้องรับผิดชอบที่พ่นนมใส่กู" ใช่ครับ พี่มันเป็นคนกดหน้าผมลงกับซิกแพคของมันเอง กดแช่ไว้ไม่พอยังบังคับหน้าผมถูไปมาอีก อื้อหือ ทั้งแข็งทั้งขาว รับรู้แค่นี้ผมก็หลับตาปี๋แล้วครับ น้ำตาลผมคงลดฮวบฮาบเพราะผมรู้เลยว่าหน้าผมร้อนวูบวาบไปหมด

"ปล่อยผม" ผมทั้งทุบทั้งตีที่แขนพี่มันแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย แถมพี่มันยังกดแรงกว่าเดิมจนผมเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ผมหยุดดิ้นเพราะหมดแรงครับ ผมทั้งโกรธทั้งอายพี่มัน

"โอเคๆ" พี่มันยอมปล่อยผมแต่เอามือมาจับแขนกันไว้แทน

"ทำบ้าไรของพี่!" อีกนิดกูเกือบร้องไห้แล้วเนี่ย!

"ใจเย็น" พี่มันลูบหัวผมเบาๆ ดูเหมือนว่าอาการน้ำตาลต่ำของผมยังไม่ดีขึ้นสักทีเพราะใจผมมันเต้นแรงจนต้องเอียงหัวออกจากสัมผัสนี้

"พะ..พี่จะให้ผมใจเย็นได้ไง พี่กะ..อื้อ" พี่โตไม่ยอมให้ผมพูดต่อ มันเอามือใหญ่ๆ ของมันอีกข้างมาปิดปากผมไว้ ปิดปากผมลามไปเกือบถึงตาครับ คือหน้ากูเล็กหรือมือพี่มึงใหญ่ "อ่อยอ๋มมม"

"พูดมาก...ไปล้างตัวกัน"

"อ่อยอ๋มม"

"หึ จะอ่อยกูหรอ"

"ไอ้! อ่อย"

"หึ" พี่มันยอมปล่อยมือที่ปิดปากผมไว้แล้วดึงแขนผมให้ลุกขึ้น "ถ้าพูดมากจะเผาที่นอนทิ้ง"


          พอพี่มันพูดแบบนั้น ผมจะทำอะไรได้นอกจากเงียบ แล้วก็เดินตามแรงลากของพี่มันไป ทั้งดุ ทั้งขี้แกล้ง แถมยังคอยจะเผาที่นอนกันอยู่เรื่อย อยู่ไหนอะ ความคูลที่ผมเคยแอบชมนักหนาว่าโคตรเท่


"กูจะไปล้างตัวข้างใน มึงรอกูด้วย"


"..ครับ" สงสัยครับ ทำไมต้องรอด้วยหรือพี่มันเกิดความพิศวาสอะไรตัวผม แต่ดูเหมือนคำถามในหัวผมจะดังจนเกินไป


"มึงเอากุญแจห้องมาหรอ" พี่มันพูดตอบแบบเซ็งๆ


"อ่า..ไม่ได้เอามาครับ เดี๋ยวผมรอหน้าห้องน้ำนะครับ" ยิ้มแหยๆ ให้ไปแล้วรีบไปล้างหน้าทันที

          ไอ้มิมเอ้ย พี่มันจะพิศวาสอะไรมึง พี่เขารู้ไงว่ามึงจะเข้าห้องไม่ได้ ผมล้างหน้าแรงๆ หวังล้างความเด๋อของตัวเองออกไปด้วย แล้วเดินคลำทางไปยืนโง่ๆหน้าห้องน้ำ ไม่ได้ใส่แว่นแล้วลำบากมาก ตอนมายังสบายเพราะพี่มันจูงแต่ตอนนี้แค่คลำทางออกจากห้องน้ำเมื่อกี้ก็สะดุดทางต่างระดับไปสามรอบแล้ว

"ไปกัน" พี่มันพูดเบาๆ แล้วเดินผ่านผมไป

"พี่โต.." ผมตัดสินใจเรียกพี่มันไว้คือผมมองทางไม่ค่อยชัดครับเพราะตอนออกมาจากห้องผมไม่ได้ใส่แว่นมาด้วย ถ้าไม่ใช่พี่มันถอดออกผมคงไม่ต้องมาขออะไรมันแบบนี้ โกรธมันก็โกรธแต่ก็ไม่อยากสะดุดหกล้มตกตึกตาย เอาวะ "คือ..แว่น..ผมมอง..ไม่เห็น"

หมับ

          ผมยังพูดไม่จบประโยคพี่มันก็คว้ามือผมไปจับทันที บีบมือผมเบาๆ เหมือนเป็นคำตอบแทนคำพูดว่าพี่มันจะจูงกลับห้องเอง แล้วพี่มันก็จูงผมแต่รอบนี้ผมกลับรู้สึกไม่เหมือนกับครั้งแรก เหมือนว่าพี่มันตั้งใจในการพาผมเดินกลับห้องมาก คอยหันมามองผมเป็นบางครั้ง คอยบอกเวลาเจอพื้นต่างระดับและความเร็วในการเดินก็ลดลง

     ผมมองแผ่นหลังตรงหน้าที่ตอนนี้เปลือยเปล่า พี่โตไหล่กว้างมาก ผิวสีขาวจนผมแอบสงสัยว่าเคยตากแดดบ้างรึเปล่า จู่ๆใจผมกระตุกจนผมเอามืออีกข้างขึ้นมาจันทีบหน้าอกตัวเองไว้

"พี่โต..." พี่มันไม่ได้ตอบรับแต่หยุดเดินแทนแล้วก็เงียบเหมือนรอให้ผมพูดต่อ ผมมองแผ่นหลังกว้างๆนี้อีกครั้ง "ถ้าถึงห้องแล้ว พี่ใส่เสื้อเลยนะ"

"หึ อืม" พี่มันหัวเราะเบาๆ แล้วก็เดินต่อ โดยที่พี่โตยังเดินนำหน้าผมอย่างเดิมจนถึงห้อง


          แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นใจของผมที่เต้นแรงเอามากๆ ผมไม่รู้ว่าเพราะอาการน้ำตาลต่ำหรือเป็นเพราะว่าแผ่นหลังกว้างข้างหน้ากับมือใหญ่ๆ ที่กุมมือของผมอยู่ในตอนนี้กันแน่




          พอถึงห้องผมก็ดึงมือตัวเองออกแล้วเดินไปที่โต๊ะตัวเองทันที ผมตกลงกับตัวเองว่าผมต้องอยู่กับตัวเองก่อน ให้ใจกลับมาเต้นเป็นปกติก่อน ผมยังไม่อยากมองหน้าพี่โตตอนนี้ โชคดีที่ห้องเล็กครับเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงโดยผมไม่สะดุดหรือชนอะไร

          ผมรีบหยิบแว่นขึ้นมาใส่แล้วหยิบหนังสือสรุปชีวะตอนม.ปลายขึ้นมาทำท่าอ่าน ใช่ครับ ผมทำท่าอ่านพยายามไม่สนใจพี่โตที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าใส่เสื้อ แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนที่ฟูกที่นอนผม ผมหันไปหาพี่มันทันที

"พี่...ที่นอนผม" ยังไม่ถึงหนึ่งวันเลย พี่มึงจะทำตัวสนิทกับกูขนาดนี้ไม่ได้

"มึง...โกรธกูหรอ" พี่มันลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วมองผมด้วยสายตาจริงจังจนผมอดรู้สึกประหม่าไม่ได้

"เปล่า ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับที่นอนผม" เราสบตากัน สักพักพี่มันก็เดินมาหาผม "กูหมายถึงเรื่องนม"

"เปล่า.." ผมหลบตาพี่มันแล้วหมุนเก้าอี้หันหลังให้พี่มัน "ผมจะอ่านหนังสือ"

"อ่านอะไร อีกตั้งหนึ่งอาทิตย์ถึงเปิดเทอม"

"ผมเตรียมพร้อมไว้" โกหกครับ ผมแค่นั่งจ้องรูปดอกไม้ที่ตัวเองวาดไว้บนสมุดเฉยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องอะไร

"โกรธใช่ไหม"

"เออ โกรธ" ใช่ครับ ผมโกรธที่พี่มันแกล้งกันแบบนั้น ตั้งแต่จำความได้ผมโดนแกล้งมาตลอด ตั้งแต่ไหนแต่ไร ใจผมสู้ครับ แต่สังขารไม่ให้ พอขึ้นมหาลัยมาผมก็คาดหวังว่าจะไม่โดนแกล้งด้วยการใช้กำลังแบบนี้

"พูดไม่เพราะ" พี่มันหมุนเก้าอี้ผมกลับไปให้เผชิญหน้ากัน ผมก้มหน้าทันที

"โกรธ..ครับ" เกิดเป็นผมคงทำได้แค่นี้ ต้องยอมคนอื่นตลอดเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ผมกำหมัดแน่นเพื่อข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ ทั้งโกรธ น้อยใจ เสียใจปนกันไปหมด

"ขอโทษ" ผมเงยหน้ามองพี่โตที่ตอนนี้ย่อตัวลงมามองผม พี่โตยิ้มเบาๆ ให้ผมแล้วดึงมือผมไปวางไว้ที่ท้ายทอยตัวเอง ผมสะดุ้งจะชักมือกลับแต่พี่โตก็ดึงมือผมไปไว้ที่เดิม "ให้ทำคืน"

"พะ..พี่ ผม ไม่เป็นไรครับ" ผมดึงมือตัวเองออกอีกครั้ง แล้วครั้งนี้พี่มันก็ยอมปล่อย

"ขอโทษทั้งเรื่องนมแล้วก็เรื่องที่นอน" ผมสบตากับพี่โตมองหาว่าพี่มันโกหกรึเปล่าแต่ที่ได้กลับมาคือพี่โตไม่ได้โกหก แววตาพี่มันเต็มไปด้วยความจริงจังและรู้สึกผิด

"ผม..ผมก็ขอโทษที่พ่นนมใส่พี่ แล้วก็ขอบคุณที่จูงผมจนถึงห้อง"

"อืม" พี่มันยิ้มให้ผมแล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ แล้วผมก็น้ำตาลต่ำอีกแล้ว



แกร่กๆๆ ปังๆๆ


          ผมกับพี่โตหันไปที่ประตูพร้อมกัน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สักพักพี่มันก็เอามือออกจากหัวผมแล้วจะเดินไปที่ประตูแต่ผมกลับดึงแขนพี่มันไว้ก่อน พี่โตหันมามองผมงงๆ

"ใครครับ!!" ผมตัดสินใจตะโกนถามออกไปแต่เงียบครับ ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา "พี่โต...ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาเคาะแบบนี้ครับ"

"มึงนั่งอยู่นี่ก่อน เดี๋ยวกูไปดูเอง" ผมดึงแขนพี่มันไว้อีกครั้ง

"พี่แกล้งผมรึเปล่า" ผมจ้องหน้าพี่มันเขม็ง ผมเริ่มกลัวแล้วครับ ถ้าพี่มึงแกล้งกูอีกนะ กูจะ..จะ "ถ้าพี่แกล้งผม ผมจะพ่นนมใส่พี่"

"หึ ไม่แกล้ง" พี่มันบอกแบบนั้นแล้วก็เดินไปเปิดประตู ผมเห็นพี่มันชะโงกหน้าออกไปดู หันซ้ายขวาแล้วก็ปิดประตูเหมือนเดิม "ไม่มีใครเลยว่ะ"

"ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้ พอผมออกไปดูก็ไม่เห็นใคร" ผมเล่าไปขนลุกไป น้องมิมสัมผัสได้

"เขาอาจเคาะห้องผิด ไม่มีไรหรอก" พี่มึงเอาความมั่นใจอะไรมาพูดว่าไม่มีอะไร ทั้งที่พูดว่าไม่มีอะไรแต่ผมก็เห็นนะ ว่าพี่มันแอบทำหน้ากังวลออกมา "กูจะนอนแล้ว มึงก็รีบนอนดึกแล้ว"

          พี่มันพูดแล้วก็เดินไปปีนเตียงสู่รังนอนของมันส่วนผมก็เดินมานั่งหงอยๆ ที่เก้าอี้ตัวเอง อย่างที่พี่มันบอกตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว แล้วจะมีใครมาเคาะห้องได้อีก หนึ่งเลยผมแทบจะไม่รู่จักใครเลย ไอ้บอสนี่ตัดไปได้เลยครับเพราะมันคงหลับตั้งแต่หลังจากไปกินข้าวกับผมเสร็จ จะว่าเพื่อนพี่โตแกล้งก็ไม่น่าใช่เพราะพี่มันดูไม่น่าแกล้ง...ดุขนาดนี้ใครจะกล้าแกล้ง

          สุดท้ายถ้าไม่ใช่ทั้งหมดนั้นก็เหลืออยู่อย่างเดียวแล้วครับ ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ทันทีแค่คิดก็มือไม้สั่นไปหมด อย่างสุดท้ายที่ผมพยายามไม่นึกถึงนั่นก็คือ ผะ ผี!!!


แกร่กๆๆ ปังๆ


"เฮ้ย!" ผมได้ยินเสียงตะโกนของพี่โตดังมาจากเตียงชั้นสองของพี่มันแต่ตอนนี้ไม่สนแล้วครับผมพุ่งตัวสู่ฟูกน้อยแสนรักของตัวเองทันทีดึงผ้าห่มมาคลุมโปงให้มิดชิดและเริ่มท่อง

"นะโมตัสสะ พะคะวะโต.." ท่องไม่จบไม่เป็นไรขอแค่ได้ท่อง

"เชี่ย อย่าให้กูรู้นะว่าใครแม่งกวนตีนแบบนี้" ผมได้ยินเสียงพี่โตเดินกระแทกส้นเท้าไปเปิดประตูออกอย่างแรงแล้วก็เงียบไป

"พี่โต! อย่าเงียบดิวะ!"

"มึงนี่พูดไม่เพราะจริงๆ" ผมเปิดผ้าห่มออกแล้วก็จ้ะเอ๋กับพี่โตที่นั่งอยู่บนฟูกเดียวกับผม นี่พี่มึงมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย "ที่หน้าห้อง ไม่มีใครเลย"

"พะ..พี่ พอแล้วอย่าพูดเลยผมกลัวไปหมดแล้วเนี่ย"

"หรือเราจะโดนผีหลอกวะ" พี่มันพูดไปทำท่าคิ้วขมวดไป

ฟรึ่บ

"กรี๊ดดดด"

"เฮ้ย!"

พอพี่โตพูดแบบนั้นปุ๊บไฟก็ดับปั๊บ ฮือ แม่จ๋าช่วยมิมด้วยมิมไม่อยากอยู่แล้ว

"ฮือ.." ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้เลยครับแต่ผมกลัวจริงๆ ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ตั้งแต่วันแรกเลย

"มึงกรี๊ดหรอ"

"ก็..ฮึก ผมตกใจอะ ฮือ"

"ร้องไห้หรอ"

"ฮือ ผมกลัว"

"ไม่แมนเลย"

"พี่ก็กลัว! ผมรู้ ฮึก" ใครเขาจะมาคิดเรื่องแมนไม่แมนตอนนี้กันวะ นี่เรากำลังสู้อยู่กับผีอยู่นะเว้ย ฮึก ผมถอดแว่นออกเพราะเช็ดน้ำตาไม่ถนัด มืดแบบนี้ไม่ใส่ก็คงไม่เป็นไร ตอนนี้ผมกับพี่โตเรานั่งเบียดกันสุดๆ จริงๆ มีแค่ผมที่เบียดพี่มัน ก็คนมันกลัวอะครับ ว่าแล้วก็ขอเบียดอีกหน่อยกำชายเสื้อพี่มันไว้ด้วย กันพี่มันหาย

"กูไปนอนแล้วนะ"

"ไม่! พี่โต..ผมไม่ให้ไป" จับแขนไว้เป็นตัวประกันเรียบร้อยครับ

"กูง่วง"

"นอนกับผมก็ได้ๆ"

"ไหนบอกไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับที่นอน"

"ก็..ก็.." หมดคำพูดเลยครับ

"หึ งั้นกูจะนั่งตรงนี้ รอให้มึงหลับ โอเคไหม"

"ครับ" ว่าแล้วผมก็เอนตัวลงนอนเขยิบให้พี่มันได้นั่งดีๆ ผมนอนแบบพิงหัวไปโดนแขนพี่มันไว้ครับ กันพี่มันลุกหนีจะได้งับไว้ทัน

"ร้อนอะพี่" ผมชวนพี่มันคุยหลังจากที่ผมนอนลงเอาหัวเบียดแขนพี่มัน พี่มันก็ไม่ได้ขยับออกแต่กลับเล่นมือถือในความมืดแทน

ฟรึ่บ

"พี่โต!" พอผมบอกว่าร้อนพี่มันก็โยนผ้าห่มออกจากตัวผม แล้วก็ถอดเสื้อตัวเองออก "อะไรๆ"

"กูก็ร้อนแล้วก็ง่วงด้วย" พี่มันเบียดร่างควายๆ ของมันมาในฟูกเดียวกับผม ผมที่งงๆ อยู่ก็ขยับตัวให้พี่มันได้นอนด้วยกันโดยอัตโนมัติ พอได้ที่พี่มันก็หันหลังให้ผมทันที ผมได้แต่ทำปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไร ในความมืด "นอนได้แล้ว"

"ครับ" ในตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ทำได้เพียงนอนมองแผ่นหลังกว้างที่พอมองเห็นลางๆ ในความมืดด้วยใจที่เต้นแรงแล้วผล็อยหลับไป






          ผมลืมตาตื่นเพราะแสงแดดตอนเช้าทำให้แสบตา ค่อยๆ ลืมตาให้ตาปรับโฟกัสแล้วคว้าแว่นที่พื้นขึ้นมาใส่ นอนบิดขี้เกียจตัวไปมา บิดซ้ายขวาแล้วก็ต้องตกใจกับร่างที่นอนอยู่ข้างๆ พี่โต...พี่มันยังไม่ตื่นและยังไม่ใส่เสื้อ

          ผมค่อยๆ มองสำรวจใบหน้าของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมชี้ฟูไม่ได้ทรงแต่กลับดูดีเหมือนตั้งใจเซ็ตมาเป็นทรงตื่นนอน ใบหน้าขาวใส ขนตายาวสวย จมูกโด่งและริมฝีปากบางๆ พอรวมทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันแล้วทำให้คนคนนี้หล่อมากๆ ตอนหลับยังหล่อขนาดนี้ ถ้าตื่นมาคง อึก ใจผมกระตุกอย่างแรง จนผมต้องมองไปที่อื่นและที่ที่ผมมองกลับทำให้ใจผมเต้นแรงกว่าเดิม..ซิกแพค

"ทะลึ่งนะมึง"

"พี่!" ผมมองพี่มันด้วยความตกใจ นี่พี่มันตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ผมเลิ่กลั่กมองไม่มองตาพี่มันที่จ้องผมอยู่ตรงหน้า

"ตื่นแล้วก็ลุก" พี่มันว่าแบบนั้น แล้วก็ลุกจากที่นอนเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินออกจากห้องไปเลย

ทิ้งให้ผมนั่งงงๆ อยู่บนที่นอน



ผมมองผ้าห่มที่กองอยู่บนตักตัวเอง

มองพัดลมที่เปิดอยู่

แล้วผมก็ยิ้มออกมาเหมือนคนบ้า






จะว่าไปแล้วพี่มันก็ใจดีมากๆ เลยนะเนี่ย




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 17:52:16 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน ตอนที่ 4
«ตอบ #5 เมื่อ18-02-2019 18:07:16 »

4. ถั่วงอกและไสยศาสตร์


             ตอนนี้ผมกำลังนั่งเซ็งๆ อยู่ในห้องไอ้บอสเพื่อนเลิฟ หลังจากโดนผีหลอกไปเมื่อสองวันที่แล้ว ถ้าพี่โตไม่อยู่ห้องเมื่อไหร่ ผมก็จะมาหมกตัวเองอยู่ในห้องบอสทันที ผมเล่าให้บอสฟังแล้วเรื่องที่ผมเจอผี มันรับฟังอย่างเดียวไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยอมให้ผมมาอยู่ด้วยและวันนี้ผมมาอยู่ห้องบอสนานกว่าปกติครับเพราะพี่โตออกไปทำธุระตั้งแต่เที่ยงจนตอนนี้จะทุ่มนึงแล้วก็ยังไม่กลับ

          ผมหันไปมองรูมเมทไอ้บอส'ข้าวปุ้น'เป็นเพื่อนในเอกเดียวกันกับพวกเรา ผมล่ะอิจฉาไอ้บอสจริงๆที่มีข้าวเป็นรูมเมท ทั้งน่ารัก ใจดี นิสัยก็ดีแถมมาจากโรงเรียนเดียวกับมันอีก เหมือนคนที่ถูกมองจะรู้ตัว ดวงตากลมโตนั้นเงยหน้าจากมือถือแล้วยิ้มให้ผมทันที

"หิวไหมมิ เอาโอวัลตินไหม" ยิ้มอย่างนางฟ้าเลย ให้อภัยเรื่องเรียกชื่อผิดก็ได้ พอข้าวเห็นผมไม่พูดก็ทำท่าจะลุกไปชงโอวัลตินให้ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกผิดไปใหญ่เลย

"ข้าวไม่เป็นไรๆ เราไม่หิว" ผมลอบถอนหายใจ ถ้าผมไม่ป๊อดก็คงไม่มาเป็นภาระคนอื่นแบบนี้ "ขอโทษที่มารบกวนนะ"

"ไม่เป็นไร จริงๆ เราก็กลัวผีเหมือนกันนะ" ใช่ครับข้าวก็รู้เรื่องนี้ ตอนแรกก็อายครับ แต่พอมองข้าวพูดไปยิ้มไป ผมก็ลืมความอายไปหมดเลย น่ารักเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ เลยอะ "ดีเลยมีมิมาอยู่เป็นเพื่อน"

"ไอ้เตี้ยมันชื่อมิ้น"

"มึงว่าใครเตี้ย" ผมที่กำลังเคลิ้มกับความน่ารักของข้าว หันไปมองตาขวางใส่ไอ้บอสที่เพิ่งเข้ามาในห้อง

"ไม่รู้สิ" อ้าว สับสนเลยเพราะผมกับข้าวความสูงเราค่อนข้างใกล้เคียงกันน่ะครับ ข้าวเตี้ยกว่าผมนิดเดียวแต่ไม่ได้ดูแห้งแบบผม เลยน่ารักที่สุด เหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ ผมหันไปยู่ปากใส่ไอ้บอสทันที ด่าก็ไม่เคลียร์ แถมยังเรียกชื่อกันผิดอีก

"กูชื่อมิม"

"ข้าว..นี่ขนมที่มึงฝากกูซื้อ"

"อะ ข้ามกูตลอด"

"ขอบใจนะ"

          ผมแอบเบะปากให้ทั้งสองคนไปหนึ่งที นี่คงเป็นข้อดีของการมีรูมเมทอายุเท่ากันสินะ อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลาเลย จู่ๆ ผมก็นึกถึงหน้าพี่โตขึ้นมา ถึงพี่จะใจดีกับผมแต่ก็ไม่ค่อยอยู่ห้อง ไม่ดีเลยเพราะผมดันไปเจอดีเข้า ข้อดีของการมีรุ่นพี่เป็นรูมเมทของผมกลายไปข้อเสียไปซะงั้น ว่าแต่เมื่อไหร่พี่มันจะกลับนะ ไลน์ไปถามดีไหมนะ

"มิกินขนมกับเราไหม"

"ไม่เป็นไรๆ" ผมหันไปปฏิเสธลูกหมาของผมที่นั่งจกขนมห่อกับไอ้บอสที่พื้นข้างๆ อย่างเมามันส์ แล้วได้แต่ถอนหายใจ ยิ่งข้าวใจดีผมยิ่งเกรงใจอยากกลับห้องจะตายแล้ว พี่โตเมื่อไหร่มึงจะกลับเนี่ย อยากเปลี่ยนรูมเมทจังโว๊ย ไม่เอาความเป็นส่วนตัวแล้ว กูกลัวผี! "เฮ้อ"

"จะสองทุ่มแล้ว พี่มันกลับมาแล้วมั้งมึง"

"ละ..แล้วถ้ายังไม่กลับอะ" ชวนกูนอนห้องมึงซี่ เพื่อนเลิฟ

"นี่มึงกลัวผีขนาดนี้เลยหรอวะ"

"ก็..." เถียงไม่ออกเลยครับ

"มึงจะไปส่งกูไหม"

"ไม่อ่ะ เหนื่อย" มันพูดแบบนั้นแล้วก็เอนตัวนอนลงบนตักข้าว ผมนี่ตกใจตาเหลือกเลยครับ

"เฮ้ย! ไอ้บอสมึงนอนตักข้าว!" ผมนี่ลุกขึ้นยืนเลยครับ ความพ่อหวงลูกหมาในตัวผมเดือดปุดๆ

"แล้ว..?" มันลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วเอียงคอถามผม โห ถ้าผมตัวโตกว่านี้ผมจะจับมันทุ่มพื้นแล้วแต่ผมมันขี้ก้างครับทำได้แค่เดินไปยืนอยู่ข้างหลังข้าวแล้วขู่ฟ่อๆ

"มิใจเย็นๆ ไม่มีอะไร เราไม่เป็นไร" ข้าวเงยหน้ามองผมแล้วดึงมือผมไปนั่งข้างๆ "เวลาเหนื่อยๆ บอสนอนประจำล่ะ"

"คะ..คือ มันไม่แปลกๆ หรอ" ผมขมวดคิ้ว นี่ผมงงไปหมดมิตรภาพลูกผู้ชายมันไปถึงขั้นนอนตักแล้วหรอวะ แค่คิดว่าไอ้บอสจะมานอนตักผม ผมก็เบะปากแล้ว

"ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย กูนอนแค่ตักข้าว ไม่มีวันนอนตักมึง!"

"เหอะ"

"ข้าวไม่รู้สึกแปลกๆ เลยหรอ"

"ไม่อ่ะ" ข้าวตอบแบบนั้นแล้วยิ้มให้ผม "มิจะนอนไหม บอสเคยบอกว่าสบายมากเลยนะ"

"ข้าว.." ผมยิ้มเลยครับ ได้นอนตักลูกหมาตัวน้อยๆ ข้าวจ๋าา

ฟรึ่บ

"มึงทำไรเนี่ย!! ไอ้บอส!" ครับ ผมโดนไอ้บอสผลักครับ หน้าผมนี่ไถลลงพื้นเลยครับ ตักข้าวอยู่แค่เอื้อม โหย ไอ้เพื่อนเลิฟ มึงใจดำมาก

"กลับห้องได้แล้ว ดึกแล้ว"

"มึงแม่ง! กูกลับก็ได้!" ครั้งนี้ผมงอนจริงครับพูดเลย มิตรภาพเราได้สั่นคลอนแน่

"มิ.." ผมที่กำลังเดินปึงปังจะออกจากห้องกลับโดนมือน้อยๆ ดึงไว้ "เดี๋ยวเราไปส่ง"

"ข้าว.." มึงเห็นไหมไอ้บอส มึงเห็นนางฟ้าของกูไหม ข้าวจ๋าข้าวได้เจริญเติบโตจากลูกหมาน้อยไปเป็นนางฟ้าของเราแล้วนะ ผมพยักหน้าแล้วยิ้มหวานให้ข้าวที่กำลังยิ้มหวานให้ผม "ขอบคุณนะข้าว"

"ข้าวมึงอยู่นี่ มันมาเองไปเองได้"  ไอ้บอสมันลุกขึ้นมาดึงมือข้าวที่จับแขนผมอยู่ให้หลุดออก แล้วลากข้าวไปยืนข้างๆ มัน

"ไอ้บอสทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ เอาข้าวปุ้นคืนมา" ข้าวเลิ่กลั่กมองหน้าผมกับไอ้บอสสลับกันไปมาแล้วก็ก้มหน้าลงไปเหมือนยอมแพ้

"ไอ้บอสกูเพื่อนมึงนะเว้ย" ผมงอแงโหยโหนจนไอ้บอสผลักหน้าผากผมไปหนึ่งที "มึงงง"

"ต่อให้มึงลงไปดิ้นกับพื้น กูก็ไม่ให้ข้าวไป"

"มิตรภาพเรามันสั่นคลอนแล้วหรอวะ!"

"ไม่มึง! ไอ้มิ้น มิตรภาพเราไม่มีวันสั่นคลอนเว้ย" มันเดินมาทำท่าร้อนรนตบไหล่ผมเบาๆ แล้วยิ้มให้แบบโคตรเฟค ผมกรอกตาไปทีนึงให้แอคติ้งเบอร์ใหญ่ของมัน

"งั้นก็แปลว่ามึงจะให้ข้าวไปส่งกู"

"เปล่า" อ้าว ไอ้!.. ผมกำลังจะอ้าปากด่ามัน "เดี๋ยวกูไปส่งมึงเอง"

"โหย..เพื่อนเลิฟ" ผมยิ้มให้มัน ดีใจแทบจะกระโดดกอดมันแล้วถ้าไม่ติดว่า..

"เออๆ มึงออกไปรอข้างนอกก่อน แป๊บนึงนะเพื่อนเลิฟ"

ผลั่ก! ปัง!

          ครับ เพื่อนเลิฟมันผลักผมออกมานอกห้องแล้วปิดประตูใสหน้าผมทันทีที่พูดจบ เจ็บกระดองใจ คำว่ามิตรภาพเรามันสั้นจังวะ ไอ้บอส!

"ไอ้บอส! มึงๆๆ.." ด่าไม่ออกครับ ทำได้แค่เดินวนเวียนอยู่หน้าห้องมันไปมา

ปังๆ !

"มึง! จะห้านาทีแล้ว เร็วๆ ยุงจะหามกูแล้ว"

"เออๆ!"

          หลังจากที่มันตะโกนบอกผมมันก็เปิดประตูออกมาแล้วรีบปิดห้อง แล้วเดินนำผมไปที่บันไดแบบไม่รอผมเลยสักนิด

"มึงเดินช้าๆ กูตามไม่ทัน" สงสารขาสั้นๆ ของตัวเองเหลือเกิน

"เออๆ" มันหยุดเดิน ผมยิ้มแล้ววิ่งไปหามัน พอวิ่งไปถึงมันก็ผลักหน้าผากผมทันที  "วิ่งมาทำไมเนี่ย"

"โอ๊ย มึง" แรงก็ควายผลักมาได้แว่นเกือบหลุดเลย "ก็กูกลัวมึงหนี"

"เออๆ คือ..กูขอโทษที่อารมณ์ไม่ดีใส่"

"ไม่เป็นไร กูหล่อและใจดี ให้อภัย" ยิ้มหล่อๆ แบบพี่โตให้มันไปหนึ่งที

"เฮ้อ กูปวดหัวเลย" มันถอนหายใจแล้วทำท่ากุมขมับ

"พวกรุ่นพี่ใช้งานมึงหนักไปแล้ว มึงทำงานแทนเดือนจนกูคิดว่ามึงเป็นเดือนคณะแล้วเนี่ย" ผมบ่นไปมองมันไป "ทำไมไม่เอาไอ้เดือนไปทำงานบ้างวะ"

"ก็มันไม่ค่อยว่างไง" มันตอบผมมาเสียงหงอย "แล้วมึงก็รู้ว่ากูเต็มใจ"

"..เออๆ" จะไม่ให้มันเต็มใจได้ยังไง ก็ไอ้บอสมันดันไปแอบชอบ.... เอ่อ..เอาเป็นว่ามันเต็มใจสุดๆ แต่ผมก็อดที่จะห่วงมันไม่ได้ "แต่มึงก็อย่าหักโหมให้มาก เดี๋ยวร่างกายมึงจะแย่เอา กูไม่อยากเห็นภาพข้าววิ่งร้องไห้มาบอกว่ามึงเป็นลมหรอกนะ"

"รู้แล้วครับ เพื่อนเลิฟ ที่กูปวดหัวก็เพราะมึงเนี่ย" มันว่าแล้วกอดคอผมบังคับให้เดินไปที่บันได "บ่นเยอะกว่าข้าวอีก"

"ข้าวโคตรจะใจดีเลยเนอะ" พอนึกถึงข้าวผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ อยากให้โลกนี้มีคนแบบข้าวเยอะๆ จังเลย โลกคงจะสดใสแล้วก็น่าอยู่กว่านี้ นางฟ้าของผม

"อืม...ทำไมมึงชอบข้าวหรอวะ"

"ชอบดิ จะมีใครไม่ชอบข้าวบ้างวะ"

"..."

"มึงถ้าพี่โตยังไม่กลับ กูจะทำยังไงดี"

"..."

"กูกลัวจริงๆ นะเว้ย มึงว่าพี่โตกลับยัง"

"ทำไมมึงพูดถึงพี่โตบ่อยจัง"

"มึงก็สงสัยแปลกๆ ก็พี่โตเป็นรูมเมทกู"

"เออ" จู่ๆ ไอ้บอสมันก็มองหน้าผมด้วยแววตาจริงจัง จนผมเผลอเกร็งไปกับท่าทีที่จริงจังของมัน "แล้วมึงไปทำบุญยัง"

"ทะ ทำแล้ว ไปใส่บาตรมาเมื่อเช้า"

"งั้นก็ดีแล้วคงไม่มีอะไรแล้ว"

"แล้วถ้ามันมีอะมึง" ผมเริ่มงอแงอีกครั้งเพราะตอนนี้เราเดินมาถึงห้องของผมแล้วครับ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนยืนอยู่หน้าบ้านผีสิงอะครับ ผมกลัวจนต้องจับแขนไอ้บอสไว้ทั้งๆ ที่มันเพิ่งเอาแขนออกจากคอผม มันมองผมงงๆ "มึงอยู่กับกูก่อนได้ไหม"

"กู..เหนื่อยจริงๆ"

"มึงนอนบนที่นอนกูก็ได้ เดี๋ยวกูนวดให้ นะๆๆๆ" ผมยิ้มอ้อนมันแบบเต็มที่

"มิ้น" โอเค ผมปล่อยมือออกจากแขนมันทันที ยอมก็ได้ มันคงจะเหนื่อยจริงๆ ครั้งนี้จะไม่ซีเรียสเรื่องเรียกชื่อผิดก็แล้วกัน

"เออ มึงกลับไปนอนเถอะ กูอยู่ได้" พูดไปให้เท่เฉยๆ ครับ ไม่ได้ประชดเลยนะครับ จริงจริ๊ง

"มึงลองดูก่อนว่าพี่โตมายัง"

"อืม" คีฟคูลไว้ไอ้มิมอย่าให้มันรู้ว่าเราอ่อนแอ


แกร่ก


          ผมไขกุณแจแล้วเปิดประตู มืดครับ ในห้องปราศจากสิ่งมีชีวิต วังเวงเปลี่ยวหัวใจเหลือเกิน ผมรีบเอื้อมมือไล้ไปตามผนังห้องเพื่อเปิดไฟ โดยที่ไม่ให้ตัวเข้าไปในความมืดสักนิด ผมจะไม่ประมาทครับ เราไม่รู้ว่าในความมืดมีอะไร ผมต้องเซฟตัวเอง ขืนมีอะไรมาฉุดผมเข้าไปไอ้บอสจะได้ดึงผมไว้ทัน หล่อและฉลาดสุดๆ ไปเลย

"ยังไม่กลับอะ" พอกดเปิดไฟได้ ผมก็รีบปิดประตูห้องทันที กลัวยุงเข้าครับ กลัวผีก็กลัวแต่กลัวยุงมากกว่าครับ

"เอาไง" ยังมีหน้ามาถามอีก มึงไล่กูขนาดนี้ น้อยใจโว๊ย

"ไม่เป็นไร กูอยู่ได้" ง้อกูสิ บอกว่าไปนอนห้องกูก็ได้สิ เพื่อนเลิฟ...

"โอเค ฝันดีมึง" ว้อท!

"ฝะ ฝันดี" ไอ้บอส! นี่มึงจะไม่รั้งกันหน่อยหรอ

          พอผมพูดฝันดีจบมันก็เดินดุ่มๆ จากไปเลย ทิ้งให้ผมยืนโง่ๆ อยู่หน้าห้องอย่าเดียวดาย ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้  แม่บอกถ้าเจอหมาดุต้องไม่สนใจมันครับ อย่าไปทำให้มันรู้ว่าเรากลัว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้จะใช้ได้กับผีรึเปล่า แต่ผมก็จะลองดูครับ นิ่งไว้ ไอ้มิม นิ่งๆ

          ผมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง พอปิดประตูเรียบร้อยผมก็เอาหลังพิงผนังไว้ จะได้ไม่มีอะไรมาโดนหลัง ดันแว่นขึ้นจมูกให้เรียบร้อย เบิกตากว้างๆ มองไปทั่วห้องให้ชัดที่สุด เอาวะ กูจะไม่กระพริบตาจนกว่าพี่โตจะกลับห้อง!

ก๊อกๆ

"กรี๊ดดดดด!" ผมทำบุญให้แล้วไงครับ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ฮือ

"ไอ้มิ้น! มึงเป็นอะไร!"

"กะ.." อ้าว นี่มันเสียงไอ้บอส ผมกำลังจะกรี๊ดต่อเลย เอ้ย ใครกรี๊ดกันครับ ไม่มี๊

"ไอ้มิ้น! มึงเป็นอะไร เปิดประตู!"

ปังๆๆๆ!

"เปิดแล้วๆ อย่าพังประตูเข้ามานะ!"

แกร่ก

"กูได้ยินเสียงคนกรี๊ด" พอผมเปิดประตูออกไปก็เห็นมันทำสีหน้าเคร่งเครียดแล้วจับตัวผมหมุนไปมา "มึงเป็นอะไรรึเปล่า"

"เปล่า กูดูยูทูป"

"อ่อๆ" มันยิ้มแห้งๆให้ผม

"แล้ว..มึงมีอะไร" หรือว่าจะเปลี่ยนใจพาไปนอนด้วย

"กูว่ากูมีไอเดียดีๆ แล้ว" ผมชะงักแล้วมองมันแบบงงๆ มันยิ้มให้ผมแล้วลากผมไปคุยที่บันได "ไอ้มิ้น มึงต้องตั้งใจฟังดีๆ นะ"

"กูชื่อมิม"

"เออๆ ตั้งใจฟังดีๆ"




(พี่โต Part)


          วันนี้ผมออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เที่ยง แล้วก็ออกไปฉลองเปิดเทอมกับเพื่อน ไม่ได้เมามายอะไรหรอกครับแค่ไปนั่งกินหมูกระทะ ตอนแรกผมคิดว่าอาจดึกมากจนผมกลับหอไม่ทันแต่เรากินกันไวมากเลยแยกย้ายกลับกันไว ผมเลยมาถึงหอก่อนเวลาประมาณสามนาที โชคดีสุดๆ

          ผมชอบอยู่หอครับ ไม่เหงาดี ก่อนหน้านี้ผมอยู่กับรุ่นพี่คณะบริหารครับ อยู่กับพี่เขาค่อนข้างสบายครับเพราะพี่เขาเป็นคนเงียบๆ ต่างคนต่างอยู่เลยไม่มีปัญหากันแต่พี่เขาจบออกไปแล้ว ทำให้ปีนี้ผมต้องมีรูมเมทใหม่ เป็นรุ่นน้องต่างคณะ ความรู้สึกแรกคือกังวลครับ กลัวจะเข้ากันไม่ได้แต่พอได้เจอวันแรก ผมก็รู้เลยครับว่าชีวิตผมจะมีเรื่องสนุกๆ เพิ่มมาอีกเรื่องแล้ว

          ผมรีบเดินขึ้นบันไดไปให้ถึงชั้นสามให้ไว ในหัวก็คิดถึงหน้ามึนๆ ของเด็กถั่วงอกที่ตอนนี้คงกำลังทำหน้างอแงเพราะกลัวผีอยู่ แค่นี้ผมก็รู้สึกสนุกแล้ว เอ่อ ที่ผมเรียกว่าถั่วงอกก็เพราะผมหยักศกของมันที่ดูฟูหน่อยๆ กับแว่นอันโตๆ ตัวมันก็ขาวๆ เล็กๆ เลยทำให้มันดูเหมือนถั่วงอก 

          ผมชอบเวลาที่ได้คุยกับเด็กถั่วงอกครับ ชอบเวลาที่มันด่าผมทางสายตา ผมรู้ครับว่าหลายๆ ครั้งมันชอบเถียงผมในใจ ซึ่งตรงนี้ล่ะครับที่ทำให้มันน่าแกล้ง อยากแกล้ง อยากเห็นสีหน้าอีกหลายๆ อารมณ์ของมันให้มากกว่านี้
 
          พอเดินไปถึงหน้าห้องผมก็ได้ยินเสียงร้องเพลงทำนองคุ้นๆ ออกมาจากในห้อง เป็นเสียงของเด็กถั่วงอกที่กำลังร้องเพลงพอผมตั้งใจฟังดีๆ ผมก็รู้ว่าเป็นเพลงอะไร แล้วก็เป็นเพลงที่ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


"มะหมี่ มะหมี่ มะหมี่ทำกับข้าวขูดมะพร้าวอยู่ในครัว.."


          ผมค่อยๆ ไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปให้เบาที่สุด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเด็กถั่วงอกไว้ เฮ้อ ทำไมเด็กคนนี้ทำให้ผมอารมณ์ดีได้ขนาดนี้กันนะ



(ถั่วงอก Part)

"มะหมี่ไม่รู้ตัวถูกคนชั่วลากเอาไป เอาไม้แหย่รู ถูๆ ไถๆ แสบๆ คันๆ มันๆ ปนกันไป เอาออกก็ไม่ได้ใครก็ได้ช่วยเอาออกที เอิ้วๆๆ!"

แปะๆๆ

"เฮ้ย!" ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมองเสียงปรบมือที่ประตูทันที "พี่โต!"

"ไม่เต้นต่อแล้วหรอ" พี่มันว่ายิ้มๆ แล้วเดินมาเขี่ยจุกผมน้ำพุของผม ผมรีบปัดมือมันออกแล้วแกะผมออกทันที ผมหหอบหายใจด้วยความเหนื่อย อยากมองคาดโทษคนที่แอบเข้ามาในห้องก็ไม่กล้าครับ แม่บอกใจกากอย่าทำเป็นเก่ง

"เรื่องของผม" ผมเดินหน้าบูดไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง ทำไมพี่มึงต้องกลับมาตอนนี้ ตอนกูอยากให้กลับก็ไม่กลับ ฮึ่ยย "ทำไมพี่ไม่เคาะห้อง"

"มึงเต้นทำไม มันหมดช่วงรับน้องคณะแล้วไม่ใช่หรอ" แหม ทำมาเป็นเปลี่ยนเรื่อง แถมยังเนียนลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผมอีก "บอกเร็ว..ซื้อขนมมาฝากเยอะเลย มีขนมที่มึงชอบด้วย"

"กะ..ก็เต้นไหว้เจ้าที่ไง" ผมไม่ได้เห็นแก่ขนมที่มันซื้อมาเลยนะครับ

"ไหว้เจ้าที่..หึ"

"อย่าขำ!"

"กูพี่มึง"

"..อย่าขำครับ"

"ไหว้ยังไงบ้าง บอกหน่อย" พี่มันเท้าคางลงกับต้องแล้วเอียงหน้าจ้องผม จ้องไปยิ้มไป ทำท่าเหมือนพวกนายแบบเท่ๆ เลย หมั่นไส่ความหล่อโว๊ย กูทำท่านี้ทีไรเหมือนพะยูนปวดฟันทุกที "หืม?"

"ก็มีคนบอกผมมาว่าต้องไหว้เจ้าที่ก่อน ไม่งั้นจะเจอดี"

"แล้วทำไมต้องเต้น"

"กะ..ก็ มันบอกว่าเป็นวิญญานปีหนึ่งที่ตายก่อนได้รับน้อง แล้วเขาก็เสียดายที่ไม่ได้รับน้องวิญญานเลยยังไม่ไปไหน ดังนั้นปีหนึ่งเลยต้องเต้นเพลงรับน้องอะไรก็ได้สามรอบในห้องของตัวเอง เพื่อทำให้เจ้าที่พอใจ" ผมจะไม่บอกหรอกนะว่าไอ้บอสบอกมา "จริงๆ นะพี่ ผมรู้มาว่าปีหนึ่งเต้นกันทุกคนเลย แล้วพี่ได้เต้นไหมอะ"

"ไม่" จู่ๆ พี่มันก็เอามือทั้งสองข้างปิดหน้าตัวเอง สักพักผมก็สังเกตเห็นว่าไหล่พี่มันสั่น โอ้โห ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าพี่มึงหัวเราะ "มึงนี่นะ"

"เพราะพี่ไม่เต้นไง พี่กับผมเลยโดนหลอกพร้อมกัน" ยังทำหน้ากลั้นขำไม่เชื่อกันอีก "พี่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ดิ"

"ใครบอกมึงมา ไอ้บอส?"

"..."  รู้ได้ไงวะ

"อะ..ขนม" พี่มันวางถุงขนมไว้บนโต๊ะผม แล้วเอามือมาขยี้หัวผมเล่น "กูจะไปอาบน้ำ"

"พี่ไม่เต้นหรอ"

"ก็มึงเต้นไปแล้ว" พี่มันลุกขึ้นลากเก้าอี้ไปไว้ที่โต๊ะตัวเอง แล้วก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม สักพักพี่มันก็หมุนเก้าอี้ผมให้หันไปหาพี่มัน ผมมองพี่มันงงๆ

"อะไรพี่"

"ไปอาบน้ำด้วยกันไหม" พี่มันยิ้มให้ผมแบบเจ้าเล่ห์ ผมนี่ใจกระตุกเลยครับ

"ไม่ครับ" ผมปฏิเสธไปกำลังจะหมุนเก้าอี้กลับไปหาถุงขนมแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะพี่มันกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตโดยที่ปลดไปจ้องตาผมไป กว่าผมจะได้สติก็ไปปาเม็ดที่สามแล้ว "ปะ ไปถอดในห้องน้ำซี่!"

"ไม่"

          พี่มันบอกแบบนั้นแล้วก็ปลดกระดุมต่อจนครบทุกเม็ด ระหว่างที่ปลดกระดุมสายตาของพี่มันไม่หยุดที่จ้องผมเลยสักวินาทีจ้องไปยิ้มไป ผมมองไปตามรอยแยกของเสื้อก็พบกับซิกแพกแน่นๆ ของพี่มัน ถึงผมจะเคยเห็นมาแล้วแต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนะครับ เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นใครถอดเสื้อให้ดูใกล้ๆ แบบนี้ แต่ถึงจะมีแต่ก็ไม่มีใครมาถอดเสื้อไปจ้องผมไปแบบนี้!

          ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมากครับ แล้วก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้ามากๆ ผมว่าผมน้ำตาลต่ำอีกแล้ว ผมสัมผัสได้เลยหน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ ถ้าถามว่าทำไมไม่หันหน้าหนีไป บอกเลยครับ แค่เห็นสายตาที่พี่มันมองมาแบบนั้นผมก็ไม่กล้าขยับแล้วเหมือนพี่มันใช้สายตานั้นตรึงผมเอาไว้ไม่ให้หันไปไหนและเหมือนพี่มันยังแกล้งผมไม่หนำใจเพราะพอพี่มันถอดเสื้อออกทั้งหมด พี่มันก็กระตุกยิ้มมุมปากแล้วเดินมาหาผม


ฟรึ่บ


"เด็กทะลึ่ง"

          และก่อนที่ผมจะช็อคเพราะหัวใจเต้นแรงเกินไป พี่มันก็โยนเสื้อมาคลุมหัวผมไว้ ภาพข้างหน้าโดนปิดไปด้วยเสื้อของพี่มัน สักพักผมก็ได้ยินเสียงพี่มันเปิดและปิดประตู พี่โตออกไปแล้วแต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม มีเสื้อเชิ้ตของพี่มันคลุมหัวไว้อย่างเดิม ผมดึงเสื้อพี่มันออกจากหัวตัวเอง แล้วมองเสื้อในมืออย่างเงียบๆ

ตึกตัก ตึกตัก

          อาจเป็นเพราะว่าห้องมันเงียบมากๆ ทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองชัดเจนขนาดนี้หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ติดอยู่อยู่บนเสื้อพี่มันที่ทำให้ใจผมเต้นแรงขนาดนี้หรืออาจจะเป็นเพราะหุ่นดีๆ ของพี่มัน สายตา น้ำเสียงหรือคำว่า'เด็กทะลึ่ง'ที่พี่มันพูดออกมาหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่รู้หรอก แต่ที่ผมรู้ ผมรู้แค่ว่าอาการใจเต้นแรงแบบนี้ไม่ใช่อาการน้ำตาลต่ำอย่างแน่นอน

"บ้าเอ้ย"

ตึกตัก ตึกตัก




****************



สวัสดีค่ะ เป็นนักเขียนหน้าใหม่นะคะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ
ตอนนี้ยังงงๆ กับระบบอยู่บ้าง
ถ้าผิดพลาดไปขออภัยด้วยค่ะ ถ้ายังไงก็ช่วยชี้แจงได้นะคะ
แล้วก็ฝากติดตามเรื่องนี้ด้วยนะคะ
 :mew1:

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: My Roommate ก็แค่รูมเมทกัน ตอนที่ 5
«ตอบ #6 เมื่อ19-02-2019 10:09:02 »

ตอนที่ 5 ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ใช่ญาติ

      หลังจากเมื่อคืนที่ผมได้ผ่านการนอนคิดมาอย่างหนักถึงสาเหตุการใจเต้นของตัวเองมาทั้งคืน ผมรู้ว่าผมหลอกตัวเองเรื่องน้ำตาลต่ำนั่น ผมแค่กลัวและก็ไม่อยากยอมรับในความรู้สึกตัวเอง
 
          สุดท้ายแล้วก็ได้ข้อสรุปแบบไม่ปลอบใจตัวเองมาว่าผมหวั่นไหว ครับ ผมยอมรับเลยวาผมหวั่นไหวกับพี่มัน ทั้งสายตา ทั้งคำพูดหรืออะไรก็ตามที่ประกอบเป็นพี่มัน ผมก็หวั่นไหวหมด พอสรุปได้แบบนี้แล้วผมยิ่งนอนไม่หลับไปกันใหญ่ไม่อยากคิดถึงความรู้สึกต่อจากการหวั่นไหวนี้เลย สุดท้ายทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รอฟังเสียงพี่มันออกจากห้อง แล้ววิ่งแจ้นมานั่งหน้ามึนตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าอยู่ในห้องไอ้บอส

"ลุกไปจากที่นอนกู"

"ทีข้าวนอนได้" ผมรีบลุกจากที่นอนมันหลังจากมันเดินเอาเท้ามาสะกิดขาผม "ลุกแล้วๆ"

"ถ้าจะอยู่ทั้งวันขนาดนี้ ไม่ย้ายมาอยู่ห้องนี้เลยวะ" ผมนั่งลงกับพื้นมองหน้าเพื่อนเลิฟที่ถลาตัวลงที่นอนตัวเองอย่างแรงจนผมกลัวว่าหลังมันจะหักเอา

"ถ้าทำได้กูก็มาแล้วไหม" ใช่ครับ ผมลองไปถามป้าคุมหอสุดโหดมาแล้วเรื่องการเปลี่ยนรูมเมท ป้ามองหน้าผมเหมือนเป็นตัวปัญหา มันเป็นกฎของมหาลัย เขาสุ่มมาให้แบบนี้แล้วถ้ามึงยังเรื่องมากก็ย้ายออกไปไหมทางสายตา "ป้าด่ากูทางสายตาแล้วตอบว่า'ไม่ได้ค่ะ'แบบใจร้ายมาก"

"งั้นมึงก็ไปหาแลกรูมเมทแบบไม่ให้ป้ารู้ดิ"

"นี่มึงคิดรึยังก่อนตอบอะ มึงก็รู้ว่าป้าแกต้องตรวจห้องกับชื่อคนอยู่ทุกเดือน"

"งั้นมึงก็ย้ายออกแบบป้าบอก"

"ไอ้บอสสส"

"งั้นมึงก็ทำใจ เท่าที่กูรู้มาพี่โตก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะ ตอนอยู่ม.ปลายก็หล่อไปวันๆ เหมือนกู ฮ่าๆ"

"แหวะ" ผมทำท่าอ้วกใส่มันแล้วก็ได้รับมะกอกลงหัวหนึ่งลูก "โอ๊ย! กูเจ็บ"

"ฮ่าๆ"

"กูไม่อยากอยู่กับพี่มันแล้วอะมึง" ผมเข้าไปเขย่าแขนมันทำหน้าน่าสงสารให้เพื่อนเห็นใจ "กูรู้สึกแปลกๆ ไม่อยากอยู่อะ"

"มึงหวั่นไหวกับพี่มันรึไง ดูทำหน้าเข้า ฮ่าๆ"

"..."

"ฮะ..ฮ่า" ไอ้บอสมองผมที่เงียบไปแล้วทำตาโตใส่ผม "ไอ้มิ้น!"

"กูบอกว่ากูชื่อมิม..คือกูก็ไม่รู้"

"มึง..มึงจริงเหรอวะ" มันทำหน้ากังวลจนผมรู้สึกหวิวในใจ มันคงจะรังเกียจกันสินะ

"กูไม่แน่ใจ กูแค่รู้สึกอึดอัดเวลาที่พี่มันเข้ามาใกล้"

"อึดอัด?"

"อะ เออ" ขอโทษที่โกหกนะไอ้บอส แต่ผมไม่กล้าบอกว่าผมใจเต้นเพราะพี่มัน กลัวโดนเกลียด กลัวเพื่อนรับไม่ได้ที่ผมมีอาการแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน

"เฮ้อ ถ้าอึดอัดนี่เรื่องปกติเลย ผู้ชายสองคนที่ไม่รู้จักกันมาอยู่ห้องด้วยกันสองต่อสองจะอึดอัดก็ปกติ" มันถอนหายใจแล้วยีหัวผมไปมาแรงๆ จนแว่นเกือบหลุด "แต่ถ้ามึงใจเต้นก็ว่าไปอย่าง ฮ่าๆ"

"ฮะ..." เหมือนได้ยินหัวใจตัวเองหยุดเต้น ผมดันแว่นให้เข้าที่แล้วหลบตาไอ้บอสทันที ชิบหายแล้ว "ฮ่าๆ นั่นสินะ"

"เออ งั้นมึงเลิกทำหน้าโลกถล่มได้ละ อยู่ด้วยกันไปเดี๋ยวก็ชิน" มันว่าอย่างนั้นแล้วเอนตัวลงนอนหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแล้วพูดต่อ "กูเข้าใจ พี่มันเป็นคนนิ่งๆ แบบนี้แหละ สมัยม.ปลายก็เป็นงี้"

"นิ่ง?" ผมขมวดคิ้วทันที ขี้แกล้งแบบนั้นน่ะนะ คนนิ่งๆ ที่ไหนกันจะเอาหน้ารุ่นน้องไปถูพุงตัวเอง

"เออ พี่มันไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เอาตรงๆ ถ้าพี่มันไม่หล่ออาจจะโดนโลกลืมไปเลยก็ได้"

"อ่า แต่กู" ผมบีบมือตัวเองไปมาหรือผมจะบอกปัญหาที่แท้จริงไปดีนะ

"มิ้น" มันเงียบไปสักพัก "กูยืนยันว่าพี่มันไม่ใช่คนไม่ดีอะไร"

"กูรู้" ผมรู้ พี่โตไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มีแต่ผมที่คิดหวั่นไหวไปเอง ทั้งที่พี่มันแค่แกล้งกันเล่นเท่านั้น...ผมแค่กลัวความรู้สึกตัวเอง

"เอางี้ ถ้ามึงรู้สึกอึดอัดเมื่อไหร่ ก็มาหากูกับข้าวได้เสมอ โอเค๊"

"...ขอบใจมึง" ผมยิ้มให้มัน ซาบซึ้งที่มันเป็นห่วงกันทั้งที่เราเป็นเพื่อนกันไม่นานแต่มันก็ยังห่วงผม แล้วก็ไม่รำคาญที่ผมมางอแงใส่มันแบบนี้

แกร่ก

"ข้าวมาส่งแล้วครับผม"

          ผมหันไปมองข้าวที่เพิ่งเข้ามาในห้องถือถุงใส่กล่องข้าวเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไมถึงวิไอ้บอสก็วาร์ปไปช่วยถือถุงกล่องข้าวช่วยทันที ไม่นานหลังจากหารค่าข้าวกันเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันสามคนข้างที่นอนไอ้บอส ระหว่างกินข้าว ไอ้บอสก็เล่าวีรกรรมตอนม.ปลายให้ฟัง พวกเรากินไปหัวเราะไป

          ผมรู้สึกมีความสุขมากจนไม่อยากต้องคิดมากกับความรู้สึกที่แสนวุ่นวายก่อนหน้านี้แล้ว ผมมองข้าวกับไอ้บอสที่กำลังหัวเราะแล้วหัวเราะตาม บางทีถ้าผมไม่ไปอยู่ใกล้พี่โตไปเรื่อยๆ ทุกอย่างคงดีขึ้น ความรู้สึกหวั่นไหวอะไรพวกนั้นคงหายไปเอง

"ขอบใจมากนะข้าว ที่ลงไปซื้อข้าวให้พวกเรา" ผมบอกข้าวที่กำลังเก็บกวาดเศษซากที่เหลือจากพวกเรากินไป

"อื้อ ไม่เป็นไรๆ"

"ข้าวใจดีที่สุดเลย"

"ใจดีไรของมึง เห็นแบบนี้แสบจะตาย" ไอ้บอสที่เดินออกมาจากห้องน้ำเดินมานั่งข้างๆ ผม

"อะไรของมึง ใส่ร้ายข้าว"

"ใส่ร้ายไรวะ เรื่องที่หลอกมึงก็เป็นความคิดมัน"

"มึงหมายถึงอะไร" ผมใจเสียทันทีขอร้อง ขอให้ไม่ใช่เรื่องเมื่อวาน

"เอ้า ก็เรื่องหลอกให้มึงเต้นไง" โอ้โห เต็มๆ เลย รู้สึกเขางอกเลย

"ฮ่าๆ เราเป็นคนคิดเอง อยากให้มิเลิกคิดมากน่ะ" ข้าวหัวเราะแล้วเข้ามานั่งข้างผมแล้วเขย่าแขนผมไปมา ถ้าเป็นตอนปกติผมคงฟินมาก แต่นี่มันไม่ใช่แล้วข้าว มิมว่าไม่ใช่ "ถ้ามิได้ฟังเรื่องตลกคงฝันดีแล้วไม่คิดถึงเรื่องผีอีกไง"

"ขำมากเลย ฮ่าๆ" อยากถามว่า'มันตลกตรงไหนวะข้าว'ก็เกรงใจ ละอายใจที่กูเต้นเต็มที่มาก ตอนนี้ผมได้แค่ตามน้ำไป ถ้าไอ้บอสกับข้าวรู้ว่าผมเต้นจริงๆ ผมคงไม่มีหน้ามาเจอพวกมันอีก

"เห็นไหมบอส เราบอกแล้วว่ามิไม่เต้นหรอก ใครมันจะไปเชื่อ" กูเต้นครับข้าว

"นั่นสินะ" ผมบอกแบบนั้นแล้วยิ้มแห้งๆ ให้ข้าว

"เออ ถ้ามึงเชื่อนี่โคตรโง่เลย ฮ่าๆ"

จึก จึก จึก

          แต่ละคำพูดของมึงจิ้มลึกลงมากลางใจ ต่อไปนี้กูจะเชื่ออะไรได้บ้างไอ้บอส มิตรภาพเราช่างสั้นเหลือเกิน แม้แต่ข้าวยังใจร้ายกับผม ผมปาดน้ำตาออกจากหางตา ไอ้บอสกับข้าวคงคิดว่าผมร้องไห้เพราะขำ แต่เปล่าเลยกูร้องไห้เพราะโลกใบนี้โหดร้าย หัวใจผมมันเจ็บปวดไปหมด ไม่ใช่มัดหมี่ที่โดนลากไปแต่เป็นผมเองที่โดนลากไปย่ำยีหัวใจจนบอบช้ำ พวกงูพิษ!!!

"ฮ่าๆ" ผมฝืนหัวใจที่เจ็บปวดแล้วพูดต่อ "เรื่องผีปีหนึ่งก็ไม่เนียนฮ่าๆ"

"กูว่าแล้วว่ามึงต้องจับได้ ขำๆ เนอะ"

"แล้วเรื่องเคาะประตูนี่มึงก็ทำใช่ไหม" ผมก้มหน้าลงมองมือตัวเองแล้วถอนหายใจ ทำไมผมโง่แบบนี้

"เปล่า" ...อ้าว

"งะ..งั้นมีผีจริงๆ หรอวะ" ผมเงยหน้ามองเพื่อนเลิฟงูพิษทันที

"เรื่องนี้กูไม่รู้ว่ะ กูกับข้าวแค่อยากให้มึงเลิกหาต้นตอเสียงจะได้ไม่คิดมาก" ไอ้บอสขมวดคิ้วอยู่สักพักก็หันมาสบตาผม "ว่าแต่มึงถามพี่โตยังอะ"


.

.

          ตอนนี้ผมมานอนคิดเรื่องที่ผ่านมาในห้องตัวเองแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงโกรธไอ้บอสกับข้าวไม่ลง เฮ้อ จะโทษใครได้ล่ะ...ผมมันตื่นตูมไปเอง ผมลุกขึ้นจากที่นอนทันทีที่พี่โตเปิดห้องเข้ามา พี่โตเลิกคิ้วมองผมที่เดินไปหาพี่มันที่ประตู ผมจะไม่รออะไรแล้วผมรอพี่มันมาทั้งวันแล้วแค่อยากรู้ความจริงของเรื่องทั้งหมดนี้ ผมสูดลมหายใจลึกๆ แล้วถามออกไป

"พี่โตครับ เรื่องเสียงเคาะประตูวันนั้น"

"อ๋อ..." พี่มันเดินเข้าไปวางกระเป๋าที่เก้าอี้แล้วหันมามองผม "เพื่อนกูเป็นคนเคาะเอง มันแค่อยากแกล้งกูเล่นน่ะ"

"พะ..พี่!" ได้หรอ! แบบนี้ก็ได้หรอ ผมทึ้งหัวตัวเองไปมา ลนลานจนพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมด ทั้งโกรธทั้งอาย ทำได้แค่หันไปเหวี่ยงใส่คนที่อยู่ร่วมห้อง "แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม!"

"อ้าว ยังไม่ได้บอกหรอ"

"พี่รู้ไหมผมกลัวแค่ไหนแล้ว...แล้วพี่ก็ปล่อยให้ผมเต้น...พี่ พี่มัน.."

"ทำไม" พี่มันเดินเข้ามาใกล้ผม ผมถอยหนีจนหลังไปชนกับประตู ไม่มีทางให้หนีแล้ว พี่มันก้มหน้าลงมาจ้องตาผมใกล้ๆ แล้วคำพูดต่อมาของพี่มันก็ทำให้ผมใจกระตุก "กูว่าตอนมึงเต้นก็น่ารักดีนะ"

"พี่.." ไม่ธรรมดาแล้ว ผมเห็นแววตาความชั่วร้ายที่โผล่ออกมา แววตาที่บ่งบอกว่ากำลังเจอเรื่องน่าสนุกเข้าแบบนั้น เล่นเอาผมขนลุกไปทั้งตัว "ทำไมต้องแกล้งกันด้วย"

"หึ"

"ไม่ต้องมาขำเลยนะ"

ผลั่ก!

ผมผลักพี่มันออกแล้วเตรียมตัวจะเปิดประตูออกไปหาไอ้บอส อะไรบางอย่างบอกผมให้หนี

"ถ้ากูเอารูปมึงโพสต์ลงไอจี มึงว่าคนจะกดถูกใจกันเยอะไหมนะ"

"!!!"

"อ้อ ถ้าเอาลงเฟสบุ๊คด้วยแล้วแท็กมึง มึงคงดังเลยนะเนี่ย"

"พี่!!"

"แคปชั่นว่าเต้นไหว้เจ้าที่คงฮาระเบิด"

ไหน...ไหนไอ้บอสบอกว่าพี่มันเป็นคนนิ่งๆ ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ไม่ใช่แล้ว แบบนี้มันร้ายกาจที่สุด


"พี่โต.." ผมละมือออกจากลูกบิดแล้วหันหน้าไปมองพี่มันด้วยความเครียดแค้นทั้งหมดที่มี

"โอ๊ะโอ โกรธแล้วสินะ"

          ผมมองรูปตัวเองที่ทำหน้าเหยเกที่กำลังเต้นท่าเอาไม้เสียบรูในมือถือพี่มัน ท่าทางแบบนั้นถ้าพี่มันโพสต์ลงไป ทุกคนคงเข้ามาหัวเราะเยาะผม ไอ้ผมทรงน้ำพุนั้นยิ่งทำให้ดูตลกเข้าไปใหญ่ ถ้าพี่มันโพสต์ไปชีวิตมหาลัยอันสงบสุขที่ผมวาดฝันไว้คงพังทลายลง ไปที่ไหนก็คงมีแต่คนมอง โดนหัวเราะเยาะ...ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเกลียดที่สุด

         
          ผมกำหมัดแน่นแล้วเดินไปประจันหน้ากับพี่มันที่ยืนอยู่กลางห้อง ถึงผมจะอ่อนแอแถมยังตัวเล็กกว่าพี่มันเยอะอีกต่างหาก แต่คนอย่างผมน่ะ คนอย่างผม...



"ได้โปรด! อย่าโพสต์รูปเลยนะครับลูกพี่!!!"

"หึ"

.

.




"โอ๊ย! มึงเบาๆ!" พี่มันตวาดใส่ผมแล้วยกขาจนเกือบจะเตะหน้าผม "มึงไม่อยากทำใช่ไหม ได้..กูจะโพสต์รูปมึงเดี๋ยวนี้เลย"

"ไม่ใช่ครับ ผมอยากทำครับ แค่ลูกพี่บอกมาว่าจะให้หนักเบาตรงไหน" ผมยกมือขึ้นมาทำท่าตะเบ๊ะเหมือนตำรวจแล้วตะโกนออกไป "ผมนวดให้ลูกพี่ได้ทั้งนั้นครับ!"

"ดีมาก งั้นก็นวดดีๆ แล้วก็ทำหน้าให้มีความสุขหน่อยสิวะ"

"ครับ! " ไอ้มิมยิ้มไว้ๆ

"เฮ้อ ให้มันจริงใจหน่อยสิ" ผมยิ้มหวานแล้วแอบเบะปากตอนที่พี่มันเอนตัวลงนอนบนที่นอนของผม "ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไม่มีความสุขหรอครับ"

"ผมมีความสุขมากครับ" แม้ในใจอยากจะบีบคอพี่มันแค่ไหนแต่ก็ทำได้แค่ยิ้มหวานแล้วนวดขาให้พี่มันต่อ ผมจะทำอะไรได้ ผมเป็นรองพี่มันขนาดนี้เพราะรูปพวกนั้นแท้ๆ

"แรงหน่อย"

"ครับ ลูกพี่" โลกใบนี้เกลียดอะไรผมนักหนา ทำไมทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้กันนะ

          ผมจะยอมให้รูปหลุดไปไม่ได้ ผมจะไม่ยอมให้ชีวิตมหาลัยอันสงบสุขของผมโดนทำลายเด็ดขาด ดังนั้นผมต้องอดทนอีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้วพี่มันคงเลิกแกล้งผมไปเองหรือไม่ก็ต้องลบรูปผมออกจากมือถือพี่มันให้ได้!

"ฮึบๆ" ผมออกแรงนวดน่องพี่มันอย่างเอาเป็นเอาตาย นวดแรงขนาดนี้ไม่เจ็บก็ให้มันรู้ไป ผมแอบมองหน้าพี่มันหวังว่าจะได้เห็นความเจ็บปวดบนหน้าดุๆ นั่น แต่ว่า..

"หึ" พี่มันดันจ้องตาผมแล้วหัวเราะใส่ผมซะงั้น "ดีมาก...ลูกน้อง"

ไอ้....เกลียดเสียงหัวเราะพี่มึงจริงๆ โว๊ย

ไอ้ปีศาจ!!!





ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
6. ฉันทำสิ่งใดให้คุณเคืองโกรธ


แปดโมงเช้า ผมที่กำลังนอนเมาขี้ตา อยู่ๆ ก็มีกองเสื้อผ้าหล่นใส่หัวจนต้องสะดุ้งตื่น
     "พรุ่งนี้จะเปิดเทอมแล้ว ฝากรีดผ้าหน่อย"
     "เอ่อ..ได้ครับ"

เก้าโมงเช้าอันสดใสกับเหงื่อที่ไหลย้อยหลังรีดผ้า
     "ลูกน้อง กูปวดไหล่"
     "เดี๋ยวผมนวดให้ครับ"
     "ดีๆ"

สิบโมงเป๊ะๆ หลังนวดพี่มันจนมันพอใจ ก็ปล่อยให้ผมไปอาบน้ำให้สดชื่นแต่พอผมเปิดประตูเข้ามา
     "อยากกินขนม ไปซื้อให้กูที"
     "ครับ"

สิบโมงครึ่งผมนั่งเฉยๆ มองพี่มันกินขนมจนหมด โดยที่ไม่แบ่งผมสักคำ...
     "ลูกพี่..เอ่อ ผมไปหาไอ้บอสได้ไหมครับ"
     "ทำไม ไม่อยากอยู่กับกูหรอ"
     "ไม่ใช่ครับ"
     "แล้วแต่เลย แต่ถ้ากูมือลั่น.."
     "ไม่ไปแล้วครับ! ผมจะอยู่กับลูกพี่"

สิบเอ็ดโมงพี่มันมานอนเล่นที่ฟูกนอนของผม ผมได้แต่นั่งเขี่ยพื้นไปมาไม่กล้าทำอะไรเลยครับกลัวพี่มันแกล้ง
     "เอ่อ..ลูกพี่ไม่อยากไปไหนหรอครับ"
     "ไม่ อยากอยู่เฉยๆ"
     "ครับ.."

เที่ยงตรง ผมนอนมองเพดานอยู่พื้นข้างฟูกนอนตัวเอง อยากจะร้องไห้แต่ก็ต้องอดทน รอเวลาเหมาะสมที่จะลบรูปตัวเองจากมือถือเฮงซวยของพี่มัน แล้วเวลานั้นผมจะเป็นอิสระ ด๊อบบี้จะได้เป็นอิสระสักที วะฮะฮะฮ่า
     "มึงนอนยิ้มทำไมวะ"
     "ผม ผม...เอ่อ"
     "เฮ้อ อยากกินกะเพราหมูกรอบ ไข่ดาวสุก"
     "ได้แล้วครับ "
     "ดีมากแต่ไม่อยากกินแล้วล่ะ ลูกน้องกินเถอะนะ"
     "ขอบคุณครับ"
     "อยากกินข้าวผัดกุ้งแทนน่ะ"

เที่ยงยี่สิบผมวิ่งสี่คูณร้อยขึ้นหอ ถ้าเกิดมาช้าพี่มันจะมีข้ออ้างเล่นตุกติกครับ นิสัยขี้แกล้งแบบนี้อย่าเปิดช่องโหว่ให้มันได้เปรียบ
     "ข้าวผัดกุ้งครับ แฮ่กๆ"
     "ดีมาก"
     "ครับ"
     "เออ เมื่อกี้ลืมบอก ไปซื้อโค้กมาหน่อย"
     "คะ ครับ"

ไอ้$%^8&*(!

          นี่แค่ครึ่งวัน! ครึ่งวันผมก็รู้สึกประสาทเสียจะตายอยู่แล้ว ไอ้พี่โตมันจิกหัวใช้ผมอย่างกับทาส ยิ่งเวลาที่ผมทำตามแววตาที่เคยนิ่งๆ ก็ดูเป็นประกายสดใส ดูดีใจเกินเบอร์มากที่ได้แกล้งผม ยิ่งคิดถึงมุมปากที่ยิ้มเยาะเย้ยให้ผมยิ่งน้อยใจ ถ้าผมแข็งแรงกว่านี้ ไม่เก่งแต่ในใจแบบนี้ คงรวบรวมความกล้าต่อยหน้าพี่มันไปสักหมัดแล้ว สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นพี่มัน ไม่ว่าจะเป็นใครๆ ก็มักจะแกล้งผมเสมอ แม้กระทั่งไอ้บอสกับข้าว...บางทีผมอาจจะตั้งความหวังกับชีวิตมหาลัยมากไปแค่หวังว่าจะได้อยู่แบบสงบสุขสักที

          พี่โตมันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนภายในข้ามคืน ผิดกับตอนแรกที่เป็นคนนิ่ง คนคูล พ่อแบดบอยเย็นชา ที่ผ่านมาทั้งหมดมันภาพลวงตา จริงๆ แล้วมันก็แค่ไอ้ยักษ์ขี้แกล้ง รังแกคนที่ไม่มีทางสู้แบบผม ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผมคิดบ้าอะไรถึงไปหวั่นไหวกับพี่มัน ผมขอถอนคำพูดทั้งหมด

"เอาอะไรจ้ะหนู" ผมสะบัดหัวตัวเองไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปให้หมด แล้วสั่งน้ำกับป้าเจ้าของร้านขายน้ำท่าทางดูใจดี "เอ่อ โค้กสองแก้วครับ"

"โค้กสองแก้วนะจ้ะ"
   
"ครับ" ตอนนี้โรงอาหารหอในคนค่อนข้างเยอะเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ทุกคนคงทยอยกลับหอในแล้วหลังจากหยุดหนึ่งอาทิตย์หลังรับน้องของมหาวิทยาลัย

"อ้าว ไอ้มิน มึงก็เรียนที่นี่หรอวะ" ผมหันไปมองข้างหลังทันที ถึงจะไม่ใช่ชื่อผมแต่ผมก็จำเสียงนี้ได้ ผมเงยหน้ามองใบหน้านั้นแล้วเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้า....ทำไมผมต้องมาเจอมันอีก

"..!" ผมสะดุ้งทันทีที่มันจับแขนผม "มึง"

"มึงทักทายเพื่อนแบบนี้หรอวะ" มันยิ้มให้ผมแล้วก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูผม "ดิ้นทำไม จับนิดจับหน่อยไม่ได้ไง"

"ไอ้นัด...ปล่อย!" ร่างกายผมตอบสนองท่าทีคุกคามของมันด้วยการหันหน้าหนีและพยายามยื้อแขนออกจากมือมันทันที "ปล่อยกู"

"สองแก้วยี่สิบจ้า" ผมสะบัดแขนจนสุดแรงจนหลุดจากมือใหญ่ๆ นั่นได้ "นี่ครับป้า!"

"ไอ้มิน!"

          ผมหันไปยื่นแบงค์ยี่สิบให้ป้า คว้าแก้วน้ำทั้งสอง แล้วรีบวิ่งออกมาจากโรงอาหารทันที วิ่งออกมาโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุดสักนิด มารู้ตัวอีกทีผมก็ยืนหอบอยู่หน้าหอตัวเองแล้ว มือผมเปียกน้ำที่ทำหกเกือบหมดแก้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเสียสละน้ำในแก้วตัวเอง เทรวมให้ได้หนึ่งแก้ว เหนื่อยแทบตาย ข้าวก็ไม่ได้กิน น้ำก็ไม่ได้กิน แถมยังเจอมันอีก

          'นัด' เพื่อนร่วมห้องตอนม.ปลายของผม มันคือต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่เหลือใคร เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมกดออกจากไลน์กรุ๊ปห้องทันทีที่เรียนจบและผมก็บล๊อกไลน์ทุกคนในห้อง ที่ผมทำไปแบบนั้นเพราะไม่มีใครต้องการผม เหตุผลงี่เง่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยอมพี่โตขนาดนี้ กลัวพวกนั้นจะเห็นรูปนั่น รูปน่าเกลียดของผม ถึงแม้ผมจะบล๊อกพวกนั้นหมดแต่คำว่าโลกโซเชียลนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ผมตัวคนเดียวควบคุมมันทั้งหมดไม่ได้

          ถ้ารูปหลุดไปก็เหมือนกับว่าการที่ผมหนีจากพวกนั้นไม่มีค่าอะไร สุดท้ายผมก็โดนกระทำแบบเดิม ผมแค่อยากให้พวกนั้นมองว่าผมไม่ต้องการพวกนั้นเหมือนกัน ผมอยู่ได้ ผมมีความสุข

"ทำไมน้ำกูเหลือแค่นี้" ผมหลุดออกจากพะวังเพราะเสียงดุๆ ของรูมเมทปีศาจ

"ผมทำหกครับ" ผมมองแก้วน้ำในมือพี่มันแล้วถอนหายใจ ยอมรับแต่โดยดีว่าผมผิดเอง ผมเหนื่อยเกินกว่าจะแก้ตัวอะไรไปได้แต่พูดออกไปเสียงหงอยๆ ว่า "ขอโทษครับลูกพี่"

"เออ ช่างเหอะ" พี่มันมองผมสักพักแล้วเดินมาหาผม "นี่เงินค่าข้าว"

"ผมไม่มีทอนอะ"

"งั้นเก็บไว้ซื้อให้กูกินวันอื่น" ว่าแบบนั้นแล้วก็ยัดแบงค์ลงพันลงมาในมือผมทันที

"ครับ" ดีเลย ผมจะมุบมิบไปเยอะๆ เลย ให้สาสมกับที่พี่มันใช้งาน

"เดี๋ยวกูมา" พี่มันยีหัวผมไปมา ก่อนจะเปิดประตูห้องออกไปพี่มันหันมามองผมอีกครั้ง "กินข้าวด้วยล่ะ"

"ครับ"

"อ่อ.." ผมหันสบตากับพี่มันเพราะเหมือนพี่มันอยากพูดอะไรสักอย่าง เราเลยสบตากันอยู่อย่างนี้ จนผ่านไปสักพักพี่มันก็ยังไม่พูดอะไร ทั้งห้องเลยตกอยู่ในความเงียบและแล้วใจผมก็กระตุกอีกครั้ง เฮ้ย! ไม่ได้นะเว้ย มึงจะใจเต้นไม่ได้นะเว้ย ไอ้มิม! "เก็บห้องด้วยล่ะ"

"ครับ" ผมหลบสายตามองมือตัวเองทันที เกือบไปแล้วไอ้มิม มึงคาดหวังอะไรสุดท้ายพี่มันก็แค่จะแกล้งมึงเหมือนเดิมจะคาดหวังว่าพี่มันจะมาเป็นห่วงมึงหรอ ตลก ฮ่าๆๆ "เอ่อ แล้วลูกพี่จะไปไหนครับ"

"ไปหาเพื่อนที่อยู่ชั้นบน คนที่มาเคาะห้องเราน่ะ" พี่มันยิ้มเยาะเย้ยผม แล้วก็เปิดประตูออกไปทันที

ปัง

"ไอ้..." ผมถึงกับหลุดด่าพี่มัน เห็นไหม กูบอกมึงแล้วไอ้มิมอย่าคาดหวังกับรูมเมทปีศาจ พี่มันร้าย มันร้าย ผมทึ้งหัวตัวเองไปมา แล้วทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบนฟูกนอนตัวเอง "โอ๊ะ"

"หึๆๆ" ผมมองวัตถุสีดำที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอนตัวเองแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเป็นเสียงหัวเราะของพี่โต จะไม่ให้ผมหัวเราะเสียงนี้ก็ไม่ได้แล้วล่ะเพราะวัตถุสีดำที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้นมันคือมือถือเฮงซวยของพี่มัน! ในที่สุดพระเจ้าก็เข้าข้างผม
         
          ผมพุ่งตัวลงฟูกคว้ามือถือพี่มันโดยเร็ว หน้าจอปรากฏเป็นรูปผมที่กำลังทำท่าน่าเกลียดอยู่ คิ้วขวาผมกระตุกทันที เอ๊ะ ทำไมพระเจ้าเข้าข้างผมขนาดนี้ พี่มันจะเปิดรูปผมไว้ทำไม ทำไมมันพอดีขนาดนี้ เอ๊ะ...พระเจ้าครับ

"อะ แฮ่ม ทำอะไรครับ"

"!!!" แล้วพระเจ้าก็ตอบผมด้วยไออุ่นของใครบางคนที่กำลังคร่อมตัวผมไว้ ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดคอด้านหลังผมและเหมือนคนข้างบนจะแกล้งกันยังไม่หนำใจถึงได้ก้มลงมากระซิบชิดข้างหูกันแบบนี้

"....ลูกน้อง"

"พี่!" ผมพลิกตัวประจันหน้ากับคนที่กำลังคร่อมผมไว้เตรียมจะผลักพี่มันออก แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด

"หืม" พี่โตกำลังมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ใจผมกระตุกกลัว ไม่กล้าขยับตัวหรือแม้แต่สัมผัสคนตรงหน้าเพราะสายตาดุดันนั้นเต็มไปด้วยความพอใจ เหมือนตอนที่สิงโตกำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อลูกกวาง ผมหันหน้าไปทางอื่นทันที ไม่ไหว ผมทนมองมองสายตาแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ "ว่าไงครับ"

"ละ...ลูกพี่ลืมมือถือไว้คะ..ครับ"

"จริงด้วยสินะ" ผมพยายามหันหน้าหนีอีกทีเพราะพี่มันโน้มหน้าลงมาใกล้กันเพื่อหยิบมือถือตัวเองออกจากมือผมไป พี่มันไม่ได้ทิ้งน้ำหนักตัวทับผมแค่คร่อมผมไว้แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่กล้าที่จะผลักออกเลยสักนิด "หึ นี่มันรูปเจ้าถั่วงอกกำลังเต้นนี่นา คิดจะทำอะไรครับ"

"ปะ เปล่าพี่!" ผมหลับตาตะโกนออกไป

"คิดจะลบรูปสินะ แบบนี้ต้องลงโทษ"

"ไม่ชะ.." ยังไม่ทันจบประโยคแก้ตัวของผม ริมฝีปากของผมก็โดนปิดด้วยริมฝีปากคนด้านบน ผมเบิกตากว้าง พยายามมองภาพตรงหน้ากลบเกลื่อนความอุ่นร้อนของริมฝีปากที่สัมผัสกัน ผมเห็นเพียงขนตายาว ผมสีดำสนิท เพียงเท่านี้ความร้อนที่ริมฝีปากก็ชัดเจนขึ้นตอกย้ำว่าผมกำลังโดนจูบ ผมหลับตาปี๋หนีสัมผัสร้อนๆ ที่บดคลึงริมฝีปากผมเบาๆ

"อะ.." ผมเผลอหลุดเสียงออกมาตอนที่พี่โตย้ำสัมผัสแรงๆลงบนริมฝีปากผมและถอนริมฝีปากออก ความร้อนจากริมฝีปากหายไปแล้วแต่เหมือนความร้อนทั้งหมดนั้นแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าผมแทนและเหมือนมันจะร้อนไปถึงใจผมด้วย

"หึ ตอนแรกกะว่าจะปล่อยๆ ไปแล้วแหล่ะ แต่พอมึงคิดจะลบรูปกันแบบนี้" พี่มันจ้องตาผมด้วยสายตาที่พอใจ มองไปทั่วใบหน้าผม ตั้งแต่ตา จมูกและหยุดตรงที่ริมฝีปากผม พี่โตแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว "ชักสนุกกว่าเดิมแล้วสิ"

"พะ..พี่" เหมือนเสียงผมถูกสูบหายไป หายไปพร้อมกับแรงกายทั้งหมด ผมได้แต่นอนมองหน้าคนข้างบนนิ่งๆ

"ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปมึงต้องทำตามทุกอย่างที่กูบอก แล้วถ้ามึงขัดคำสั่งกู กูจะลงโทษมึง" เหมือนพี่มันจะเน้นย้ำคำว่าลงโทษและใช้นิ้วเกลี่ยแก้มผมไปมา ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนเดินไปประตูห้องแต่ก็ไม่ลืมจะทิ้งประโยคทำร้ายจิตใจกันไว้ "เฝ้าห้องดีๆ ล่ะ...ลูกน้อง"

ปัง

"อะ.." สมองผมเบลอไปหมดแต่เหมือนกับว่าความร้อนจากริมฝีปากนั้นยังคงชัดเจนมาก จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาแตะริมฝีปากของตัวเอง หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที หูของผมอื้ออึงแต่กลับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นแรงมาก เต้นแรงแบบที่ผมเกลียดที่สุดเลย "อ้ากกกก"






ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
7. เปิดเทอมวันแรกมันแยกยาก


ถ้าคุณโดนรูมเมทจูบ...คุณจะทำยังไง
ระหว่างหลบหนีหายไปเลยหรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          แน่นอนว่าสถานการณ์ของผมในตอนนี้ถูกบังคับให้เลือกข้อหลัง ผมจะยอมทำตามทุกอย่างที่พี่โตมันบอกแต่ผมก็ไม่ได้จะยอมพี่มันตลอดหรอกนะ ผมจะยอมทำตามแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น ทำดีให้พี่มันเห็นใจก่อนสักพัก หลังจากนั้นผมน่าจะต่อรองได้บ้างนี่คือแผนของผม

          ผมลุกขึ้นนั่งหลังจากเสียงนาฬิกาปลุกตัวเองดังขึ้น รีบเอื้อมมือไปปิด กลัวคนบนเตียงจะตื่น แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปเพราะพี่โตค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วมองลงมา เหมือนจะด่าผมเรื่องนาฬิกาปลุกผ่านทางสายตา

"เอ่อ..ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ"

          เมื่อคืนหลังจากพี่มันออกไปผมก็ข่มตาให้หลับหลีกหนีการสบตากับพี่มันตรงๆ แต่เมื่อกี้แค่ได้สบตากันแป๊บเดียว ผมก็รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตไปทั่วร่างเลย ผมรีบลุกไปหยิบเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำ แล้วรีบเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทันทีแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงกวนประสาทของคนที่อยู่ในห้องที่ดังลอดออกมา

"เสียดายจัง อยากได้มอร์นิ่งคิสจัง"

          ผมรีบเดินไปห้องน้ำทั้งโกรธทั้งอายไปหมด ที่สำคัญดันไปใจเต้นกับพี่มันด้วยนี่สิ ตั้งสติหน่อยไอ้มิม มึงจะมาหวั่นไหวกับคนแบบนี้จริงๆ หรอวะ

          หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินเตาะแตะถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด ก่อนจะมายืนถอนหายใจอยู่หน้าห้อง ไม่มีอีกแล้วผู้ชายที่ผมแอบชื่นชมว่าใจดี ผู้ชายที่ซื้อขนมให้ ผู้ชายที่จูงมือผมตอนที่ไม่ได้ใส่แว่น ข้างในห้องนี้มีแต่คนขี้แกล้งเท่านั้น

           จำไว้ไอ้มิมไม่มีคนใจดีแบบนั้นแล้ว เป็นไงเป็นกัน ผมเคาะประตูสามครั้ง รอไม่นานคนข้างในก็เดินมาเปิดประตูให้ พี่โตอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว นี่พี่มันมันไม่อาบน้ำหรอเนี่ยและเหมือนพี่มันรู้ทันความคิดผม


"กูอาบแล้ว พิสูจน์ไหม" พี่มันหันมามองผม แถมยังทำท่าจะเดินเข้ามาหาผม

"ไม่ๆๆๆ ไม่ดีกว่าครับ" ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธ พร้อมทั้งยกมือโบกไปมาประกอบอีก

"นี่มึงไม่เชื่อกู?" พี่มันกอดอก จ้องผมเขม็งเหมือนเป็นคำเตือนว่าพี่มันกำลังไม่พอใจและถ้าผมพูดอะไรผิดใจพี่มันออกไป อาจโดนฆ่าหมกห้องก็เป็นได้ โดนฆ่าก็ดีสิแต่ถ้าโดนลงโทษ...

"ผมเชื่อ" พอคิดถึงเรื่องจูบเมื่อวานผมก็รีบตะโกนบอกพี่มันทันที ผมเชื่อหมดเลยครับ ถ้าพี่บอกว่าพี่เป็นคนดีที่สุด ผมก็จะเชื่อ! "ผมเชื่อพี่จริงๆ ครับ!"

"เออ" และเป็นอีกครั้งเหมือนพี่มันจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ "ไม่ต้องทำท่ากลัวกูจะจูบขนาดนั้นก็ได้"

"คะ..ครับ" ผมแทบจะมุดหน้าลงกับพื้น พี่มันยังสติดีอยู่ไหมเนี่ย ไอ้การที่พูดออกมาโดยไม่กระดากเลยเหมือนพูดถึงลมฟ้าอากาศนี่ต้องเป็นคนแบบไหนวะ

          ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าที่โต๊ะตัวเองทันที จะให้ผมทำเป็นสบายๆกับคนที่เพิ่งขโมยจูบแรกของตัวเองไปได้ไง แค่มองหน้าก็คิดถึงสัมผัสเมื่อวานแล้ว ร้อนๆๆๆ ผมพยายามไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาต้องรีบไหวตัว ก่อนที่พี่มันจะแกล้งอะไรผมอีก ในหัวตอนนี้มีแต่เสียงต้องหนีๆๆๆ


"ผมไปเรียนก่อนนะครับ" หยิบกระเป๋าได้ก็รีบพูดแล้วก้าวเดินฉับๆ ไปหาประตูทันที แต่ข้อมือของผมก็โดนยักษ์คว้าไว้ก่อน

"เดี๋ยวสิ" พี่มันกระตุกข้อมือผมแรงๆ ทีเดียว ผมก็ลอยไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่มันแล้ว

"พี่!" ผมพยายามผลักพี่มันออกทันทีแต่ไม่ขยับเลยสักนิด เหมือนกับว่าผมแค่เอามือไปวางไว้บนอกแน่นๆ ของพี่มันเลย ผมดิ้นต่ออีกสักพักก็ต้องหยุดเพราะหมดแรง ผมหอบหายใจสูดดมกลิ่นหอมแบบสปอร์ตที่เหมือนกับเครื่องยืนยันว่าพี่มันอาบน้ำแล้วนี่เข้าไป ไม่ได้ตั้งใจดมนะครับ ผมแค่เหนื่อย!

"หึ" พี่มันหัวเราะ แถมยังยิ้มชั่วร้าย ดูพอใจมากที่ได้แกล้งผม ผมจ้องหน้าพี่มันพร้อมก่นด่าในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ผมสู้แรงพี่มันไม่ไหวแน่ๆ อยากกอดก็กอดไปเลยไอ้พี่บ้าและเหมือนผมจะคิดผิดที่ว่าพี่มันดูพอใจที่ได้แกล้งกอดผมเพราะต่อมาพี่มาก็ยกนิ้วชี้ที่ปากตัวเองเป็นท่าทางบอกว่าต้องการอะไร "เร็วสิ"

"ผมไม่อยากทำ" ผมเบือนหน้าหนี รู้สึกเจ็บที่หัวใจ ผมทำอะไรผิดนักหนาถึงแกล้งกันขนาดนี้

"งั้นก็ยอมให้กูลงรูป" พี่มันจับเชยคางผมให้ไปสบตากับตัวเองตรงๆ มองผมด้วยสายตาท้าทาย

"ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้" ผมไม่ได้ตัดพ้อแค่อยากรู้เหตุผล เหตุผลที่ทำเหมือนผมเป็นของเล่นแบบนี้ ทั้งที่ผมไม่เคยทำอะไรให้ "พี่เป็นเกย์รึไง"

"กูจะเป็นอะไรก็ได้ แต่เหตุผลหลักๆ ก็เพราะว่าสนุกกับท่าทีของมึง" แล้วพี่มันก็ไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด ในแววตาพี่มันมีแต่ความพอใจและสนุกที่ได้เห็นผมน้ำตาคลอแบบนี้

          ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด เหยียบย่ำความรู้สึกตัวเอง ลดคุณค่าของตัวเองด้วยการทำตามคำสั่งนั้น เพื่อปกป้องตัวเองจากคำพูดของคนพวกนั้น ผมเขย่งปลายเท้าและใช้แขนทั้งสองข้างโน้มคอคนที่สูงกว่าลงมา เบียดตัวเองเข้าหาอกแกร่งและเมื่อใบหน้าของผมใกล้ชิดกับพี่มัน ผมก็ตอบรับคำสั่งของพี่มันทันที

"ได้ครับ" ผมประกบริมฝีปากตัวเองลงไปที่ริมฝีปากบางข้างหน้าทันที ดูเหมือนพี่มันจะตกใจเล็กน้อยที่ผมทำแบบนี้แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นเพราะต่อมาพี่มันก็รัดวงแขนให้แน่นขึ้น ยืนนิ่งๆให้ผมจูบ ส่วนผมก็ทำได้แค่ค้างสัมผัสไว้แบบนี้ ถึงจะทำเป็นใจกล้าแค่ไหนแต่ผมจูบก็ไม่เป็นและนี่เป็นครั้งที่สองที่ผมจูบ สัมผัสนุ่มนิ่มและร้อนรุ่มทำให้ใจผมเต้นแรงแต่ก่อนที่ใจผมจะเต้นแรงไปกว่านี้ ผมก็รีบนับหนึ่งถึงสามในใจเพื่อจะผละออก หนึ่ง สอง สาม...

"อะ" ผมเผลอหลุดร้องในตอนที่ผมจะถอนริมฝีปากออก คนตัวใหญ่กว่ากลับใช้มือใหญ่นั้นกดท้ายทอยผมไว้ บดเบียดริมฝีปากตัวเองเข้าริมฝีปากผมอย่างแรง ขบกัดริมฝีปากทั้งบนและล่างของผม ใช้นิ้วโป้งกดคลึงหลังคอผมไปมาเหมือนจะปลอบใจกัน ผมหลับตามัวเมาไปกับสัมผัสที่พี่มันมอบให้ แต่แล้วผมก็สะดุ้งในทันทีที่มีสัมผัสเปียกชื้นไล้เลียไปมาที่ริมฝีปากล่างของผม ผมตกใจและผลักพี่มันออก

ผลั่ก!

"หึ" พี่มันเซถอยหลังไปสองก้าวหลังจากผมผลักพี่มันออกไป ผมใช้หลังมือตัวเองเช็ดริมฝีปากและมองคนข้างหน้าที่ยกยิ้มกวนประสาทให้กัน

 "ผมทำตามที่พี่บอกแล้ว" ผมว่าแบบนั้นแล้วหยิบกระเป๋าที่กองอยู่ที่พื้นรีบหันหลัง เดินออกจากห้องทันทีแต่ก็ไม่ทันที่จะหนีเสียงเยาะเย้ยที่ตามหลังมา


"ตั้งใจเรียนนะครับ...ลูกน้อง"

ปัง!



          แล้วผมจะเรียนรู้เรื่องได้ไงกัน! เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทำผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย วันนี้อาจารย์พูดแค่อินโทรที่เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ผมกลับจำอะไรไม่ได้ จับใจความไม่ได้เลยสักนิด ผมถอนหายใจแล้วตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดอีกครั้ง

          วิชาแรกนี้คือวิชามหาลัยครับ เรียนในห้องโถงใหญ่ ผมเลือกที่จะมานั่งข้างหลังกับคณะอื่นที่ไม่รู้จัก เพื่อที่จะหลบบอสกับข้าว ผมยังไม่พร้อมจะเจอทั้งสองคนในตอนนี้เพราะใจผมมันไม่ไว้ใจไปแล้ว และผมก็ยังแอบโทษว่าเป็นความผิดของสองคนนั้น ที่ทำให้ผมต้องมาโดนพี่โตแกล้งแบบนี้

          ผมมองหลังของสองคนนั้นที่นั่งอยู่แถวหน้าแล้วถอนหายใจ ถ้าผมหายนอยด์เมื่อไหร่ผมจะเข้าไปหาและเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง หวังว่าพวกมันจะเข้าใจผมนะ แต่ถ้าไม่...ผมก็คงต้องอยู่คนเดียวอีกครั้งเพราะผมมันก็แค่ไอ้แว่นจืดๆ ใครจะไปสนใจผมกัน

          หลังจากอาจารย์สอนเสร็จ เพื่อนๆ ในห้องเริ่มลุกออกจากห้อง แต่ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะพยายามหลบบอสกับข้าวที่นั่งอยู่ด้านหน้า ผมรอสักพักจนห้องเงียบสงบมั่นใจว่าจะไม่เหลือใครในห้องแล้ว แล้วก็ใช่ไม่มีใครในห้องแล้ว แต่เก้าอี้ที่เคยว่างเปล่าข้างผมนั้นมีใครบางคนนั่งอยู่ คนๆ นั้นไม่ใช่บอสหรือข้าวแต่เป็นไอ้นัด

"นอนหลับฝันดีไหม"

"อย่ามายุ่ง" ผมรีบคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วลุกหนีมันทันที

"ดุจังเลยน้า" มันคว้าข้อมือผมเอาไว้ กระชากอย่างแรงจนหน้าผมกระแทกอกมันอย่างแรง

"ปล่อยกู!" ผมดิ้นออกจากการจับกุมของมันแทบจะทันทีที่มันจับตัวกัน

"ฮ่าๆ" แล้วผมก็โล่งอกที่มันยอมปล่อยข้อมือผม แต่คำพูดต่อมาของมันกับทำให้ผมหน้าชาไปหมด "มึงชอบกูไม่ใช่หรอไง"

"ไม่! ไม่ใช่!" ผมตะโกนลั่นห้องโถง

"ดุจัง" มันพูดหน้าตาเฉย แล้วใช้นิ้วชี้ดันคางผมขึ้น

"อึก..." ผมเผลอกลืนน้ำลายตอนที่เราได้สบตากันตรงๆ ความรู้สึกเจ็บปวดจากเรื่องเก่าๆ ทำร้ายหัวใจผมอีกครั้ง "อย่ามายุ่ง"

"ขอร้องสิ ขอร้องเหมือนวันนั้นไง" ไอ้นัดกระตุกยิ้มร้ายให้ผม ก้มหน้าลงมาสบตาผมใกล้ๆ จนปลายจมูกแทบจะชิดกัน

"หึ" อดไม่ได้ที่ผมจะหัวเราะออกมา มันไม่เคยเปลี่ยน...ไม่เปลี่ยนไปเลย

ครืด ครืด

"มีคนคบตัวประหลาดแบบมึงด้วยหรอวะ" มันถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วมองหน้าจอมือถือของผมที่วางไว้บนโต๊ะเลคเชอร์

"กูก็ไม่เห็นมีใครคบมึง"

"ปากดี!" มันกระชากคอเสื้ออย่างแรง จนตัวผมปลิวไปตามแรง มันง้างกำปั้นยกค้างไว้ ผมมองหมัดที่กำไว้แน่นของมัน แล้วละสายตามาจ้องมองท้าทายมัน

ปัง!!

"เฮ้ย! ไอ้นัด!" เสียงกระชากประตูอย่างแรงดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนลั่นห้องโถงดังขึ้น ทำให้ไอ้นัดลดกำปั้นลงแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ "ไปได้แล้ว!"

"เออ!" มันตะโกนบอกเพื่อนโดยที่ไม่ละสายตาไปจากผม พอเพื่อนมันออกไป มันก็ก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม "มึงรีบลาออกซะ กูไม่อยากใช้ชีวิตมหาลัยร่วมกับตัวประหลาดที่ชอบเพศเดียวกันแบบมึง"

"ทำไมกูต้องทำตามมึงบอก" ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำเป็นเข้มแข็งแล้วจ้องตามันกลับ

"ก็ถ้ามึงไม่ทำ กูจะทำให้มึงลาออกเอง" แล้วความกลัวทั้งหมดก็ถาโถมลงมาในหัวใจผม

"ไอ้เลว" ผมด่ามันนิ่งๆ ความรู้สึกที่มีต่อคนคนนี้คือเกลียด ผมเกลียดมัน

"ทั้งหมดมันเป็นความผิดของมึง" มันพูดทิ้งท้ายแบบนั้นแล้วเดินออกไป ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบและความกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจผมจนเจ็บปวดไปหมด


ครืด ครืด


มือที่สั่นเทาของผมกดรับเบอร์ที่ผมไม่อยากจะรับเลยสักนิด "ครับ"

"มาหากูที่หน้าคณะ" เสียงทุ้มต่ำพูดกับผมอย่างเนือยๆ

"ครับ" ตอนนี้ผมอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำอะไร แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากตอบรับคำสั่ง

"เร็วๆ ล่ะ ลูกน้อง" จะแกล้งอะไรกันอีก


          หลังจากที่ผมไปหาพี่โตที่หน้าคณะบริหาร ผมก็โดนพี่มันลากขึ้นรถรางมหาลัยมาที่หลังม. แล้วก็จบด้วยการที่ผมต้องมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ท่ามกลางอากาศร้อนๆ และใจร้อนๆ ของผม ไม่ให้ใจร้อนก็คงไม่ได้ โดนไอ้บ้านัดขู่มาซะขนาดนั้น ผมต้องคอยรีเฟรชโซเชียลของมันตลอดทุกเพราะตอนนี้มันเป็นช่องทางเดียวที่ผมจะได้รู้การเคลื่อนไหวมัน
         

"ถ้ามึงยังเล่นแต่มือถือ กูจะลงรูป" เสียงทุ้มจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามดังขึ้นมาทำลายความคิดของผม ผมเงยหน้ามองพี่โตที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วมองจอมือถือผมอยู่ แล้วพี่มันก็หันมาสบตาผมเป็นอีกครั้งที่ใจผมกระตุกกับดวงตาดุๆ คู่นี้ "เอาไง"

"กินแล้วครับๆ" ผมว่าอย่างนั้นแล้วหลบสายตาพี่มัน คว่ำหน้าจอมือถือลงและรีบกินก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ตรงหน้าแต่ผมลืมไปว่า.. "โอ๊ย! ร้อนๆๆๆ"

"มึงนี่นะ" พี่มันยื่นแก้วน้ำมาให้พร้อมใช้ทิชชู่เช็ดปากให้ผม ผมถึงกับเบิกตาโตตกใจกับการกระทำแบบนี้ "ไอ้เด๋อ ไอ้ถั่วงอกเด๋อ"

"ขะ..ขอบคุณครับ" ผมขอบคุณพี่มันแล้วก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าให้หมดเร็วๆ ร้อน! หน้าร้อนไปหมดแล้วโว๊ย

"จะว่าไปกูก็ชอบกินถั่วงอกนะ" เอ๊ะ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่มันแบบงงๆ นี่คือพี่มันจะชวนคุยกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อกี้ใช่ไหม "เพราะมันเหมือนได้กินมึงเข้าไปเลย"

แค่กๆๆ

"ฮ่าๆ มึงนี่ตลก" เป็นอีกครั้งที่พี่มันยื่นน้ำมาให้ แถมจะเช็ดปากให้กันอีกรอบแต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่เอาเว้ย ผมมองคาดโทษคนตรงหน้าที่กำลังหัวเราะ "กูล้อเล่นๆ"


          หลังจากนั้นเราก็ต่างกินก๋วยเตี๋ยวกันเงียบๆ พี่มันเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ หุ่นดี ทำให้เวลาไปไหนก็เด่นกว่าชาวบ้านเขา หน้าตาดูดุเวลาทำหน้านิ่งๆ แต่พอยิ้มทีกลับดูดีมาก ผมรับประกันเลยว่ารอยยิ้มของพี่มันสามารถทำให้หัวใจใครหลายคนเต้นแรงได้...รวมถึงผมด้วย ผมไม่อยากหวั่นไหวกับคนที่เห็นผมเป็นตัวตลกแบบนี้เลยหรือผมจะลองต่อรองกับพี่มันตอนนี้เลย อย่างน้อยก็ขอร้องไม่ให้มาโดนตัวกันผมคงจะเลิกหวั่นไหวได้

"พี่เลิกโดนตัวผมได้ไหม" ผมโพล่งออกไป พี่โตชะงักไปนิดนึง วางตะเกียบลงแล้วทำท่าตั้งใจฟังสิ่งต่อไปที่ผมกำลังจะพูด "ผมเข้าใจว่าพี่สนุกที่ได้แกล้งผมแต่การที่จะ..เอ่อ แบบนั้นมันเกินไปสำหรับผม"

"นั่นสิ" พี่มันพยักหน้าเห็นด้วยกับผม จ้องหน้าผมเหมือนให้ผมพูดต่อ

"เอ่อ...ผมยอมทำทุกอย่างที่ไม่ใช่ถูกเนื้อต้องตัวกันได้ไหม"

"งั้นไม่ขอให้ทำทุกอย่างแล้ว" ผมยิ้มกว้างทันที ในใจดีใจจนแทบจะกระโดดกอดป้าที่ลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่ แต่เอ๊ะ..เหมือนผมจะฟังผิด ประโยคมันแปลกๆ นะ "จูบอย่างเดียวพอ"

"ขอบคะ..!" เอ๊ะ..ไม่ใช่แล้ว ผมว่าพี่มันเข้าใจผิด "มะ..ไม่ใช่นะ ผมหมายความว่า"

"ได้ๆ เข้าใจ" พี่มันพยักหน้าแล้วยกมือเรียกป้ามาเก็บเงิน ก่อนที่ป้าจะมา พี่มันก็ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผมว่า "เข้าใจแล้วแต่เราจะจูบกันตอนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวค่อยกลับไปจูบกันที่ห้องนะ"


"..." ผมช็อกกับประโยคเมื่อกี้ ถ้าเหมือนการ์ตูนที่เคยอ่านวิญญานผมคงหลุดออกจากร่างไปแล้ว เหลือแค่ร่างแห้งๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้

"ฮ่าๆ" แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะคนอื่นอีก

ไอ้^&*^*%%&




ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
8. สองแก้วยี่สิบจ้า


    ผมยืนนิ่งในอ้อมกอดของพี่โต หลับตารับสัมผัสริมฝีปากร้อนที่บดคลึงริมฝีปากของตัวเอง เงยหน้าแล้วเอียงคอเล็กน้อยให้สัมผัสนั้นเขยิบเข้ามาใกล้ชิดกันอีก จมูกโด่งนั้นคลอเคลียอยู่บริเวณแก้มของผม พี่โตขบกัดริมฝีปากล่างของผม จนผมสะดุ้ง แล้วใช้นิ้วโป้งคลึงท้ายทอยและจูบซับตรงที่เพิ่งกัดผมไปเบาๆ เหมือนจะปลอบใจกัน

          พี่โตถอนจูบออก ผมค่อยๆ ลืมตามองใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบ เราจ้องตากันสักครู่และสิ่งที่ผมเห็นก็ยังคงเหมือนเดิม

          ในแววตาคู่นี้ยังคงสนุกกับการที่ได้แกล้งผมเหมือนเดิม เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ทำแบบนี้ พวกราจูบกันแค่ในตอนเช้าก่อนที่จะออกไปเรียนเท่านั้นและดูเหมือนผมจะเคยชินกับการทำแบบนี้ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ใจผมก็ยังคงเต้นแรงจนน่ากลัวในทุกครั้ง

"เอ่อ ผมไปเรียนแล้วนะครับ" ผมผลักอกพี่มันเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าให้หยุดกอดกันได้แล้ว แต่คนตัวใหญ่กว่าก็ยังไม่ปล่อย ยังคงกอดผมไว้และจ้องหน้าผม แปลกที่ครั้งนี้มือผมที่วางอยู่บนอกแกร่งสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นในจังหวะที่ใกล้เคียงกับผม ผมมองหน้าพี่โตที่ขมวดคิ้วมองหน้าผม "...พี่"

"อ่อ อืม" พี่มันผละตัวออก แล้วหันหลังให้ผมทันที

          ผมมองพี่มันขยี้ผมตัวเองแล้วปีนบันไดขึ้นไปนอนบนเตียงตัวเอง แล้วถอนหายใจออกมากับความพยายามของพี่มัน ขนาดวันนี้ไม่มีเรียนยังจะตื่นมาจูบผม ไม่รู้จะแกล้งอะไรกันหนักหนา
 
"ตั้งใจเรียน" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากเตียงชั้นสอง ก่อนที่ผมจะเปิดประตูห้อง

"ครับ"

          แปลก! นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ผมรู้ว่าการที่ผู้ชายสองคนจูบกันทุกเช้านี่มันแปลกอยู่แล้ว แต่ที่ผมยอมขนาดนี้ก็เพราะมีรูปบ้านั่นและการที่พี่มันจูบผมก็เพราะพี่มันอยากแกล้ง

          สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมันว่าพี่มันไม่ได้คิดอะไร แค่สนุกก็เพราะแววตาของพี่มัน แววตาเวลาที่จูบผมเสร็จมันดูมีความสุขทุกครั้ง เอ่อ สุขแบบสนุกอารมณ์เหมือนเวลาเล่นแล้วเกมชนะอย่างนั้นเลยครับและที่สำคัญถ้าพี่มันพิศวาสผมคงไม่จบแค่ปากแตะปากแบบนี้ แต่...

          ไอ้อาการที่ผมเจอวันนี้นี่มันแปลก จริงอยู่ที่พี่มันยังดูสนุกหลังจากได้จูบผม แต่ทุกครั้งปกติพอจูบกันแล้วรีบผละออกแล้ว แต่ครั้งนี้พี่มันกอดผมนานกว่าปกติ แถมใจยังเต้นแรงอีกต่างหากหรือว่าพี่มันคิดอะไรเกินเลยกับผม

         
ตึกตัก ตึกตัก

          แล้วทำไมใจผมต้องเต้นแรงด้วย เต้นแรงเหมือนดีใจที่มันชะ..ชอบ ชอบ! มึงคิดได้ไงไอ้มิม คิดได้ไงว่าพี่มันจะชอบมึง โอ๊ย ยิ่งคิดใจผมยิ่งเต้นแรง จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาลูบที่อกตัวเองหวังให้มันเต้นช้าลง หวังให้ความรู้สึกดีใจแปลกๆ นี่ลดลงด้วย

"ชิบหายแล้ว" ผมพึมพำออกมาเบาๆ ระหว่างกำลังยืนรอรถรางอยู่ป้ายรับส่งนักศึกษาหน้าหอใน

 

"ไม่มีอะไรที่ชิบหาย เท่าการที่มึงเมินกูหรอกไอ้เหี้ยมิ้น!"

 

"!!!"

 

     ผมสะดุ้งสุดตัว หันไปมองคนข้างหลังทันที เห็นไอ้บอสยืนจ้องหน้าผมเขม็ง ข้างบอสมีข้าวยืนอยู่ด้วยแต่ข้าวไม่สบตาผม



          ในที่สุดผมก็หลบไม่พ้น ผมเม้มปากแน่นไม่รู้จะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ ผมยอมรับว่าโกรธที่พวกมันเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องทำให้ผมเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้เกลียด ความจริงอยากจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแล้วขอความช่วยเหลือ แต่อีกใจหนึ่งผมอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่อยากให้พวกมันมาแบกรับตัวปัญหา...ตัวขี้แพ้แบบผมไม่เหมาะกับที่จะเป็นเพื่อนพวกมันเลยสักนิด

 

"ทำไมมึงหลบหน้าพวกกูแบบนี้!" ไอ้บอสคงจะทนไม่ไหว มันเข้ามากระชากคอเสื้อผม แล้วตะคอกใส่ผม "กูทั้งโทรทั้งไลน์หาแต่มึงก็เงียบ ไปเรียนก็หลบหน้าพวกกู มึงเป็นเหี้ยไร!"

 

"บอส! ใจเย็นๆ" ข้าวเข้ามาจับแขนบอสไว้ พยายามดึงมือบอสออกจากคอเสื้อผม "บอสปล่อยมิก่อน"

 

"...." ผมหลับตาแน่น ตกใจที่มันทำแบบนี้

 

"ไม่พอใจอะไรก็คุยกันดิวะ” เสียงไอ้บอสเสียงอ่อนลงและปล่อยมือออกจากคอเสื้อผม “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอวะ"

 

"มึง...มึงไม่เข้าใจ" ผมถอยหลังหนึ่งก้าว ก้มหน้ามองพื้น

 

"ก็พูดดิ!" เหมือนการกระทำของผมจะทำให้มันโกรธอีกครั้ง  "ไม่พูดแล้วกูจะรู้ไหม"

 

"..." ผมไม่ยอมสบตามันได้แต่มองพื้นอยู่อย่างนั้น ผมแค่ต้องการเวลา  "กู...กูขอโทษ"

 

"มึง..."

 

"กูขอเวลาหน่อยได้ไหม" ผมพูดออกมาเบาๆ แล้วมองสบตากับบอส ขอร้องมันทางสายตา "ขอเวลา"

 

"ได้" บอสมันมองผมนิ่งๆ ก่อนที่จะก้าวถอยหลังออกห่างจากผมไปหนึ่งก้าว

 

"..." ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แค่พยักหน้าแล้วยิ้มให้บอสเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ

 

"ไปข้าว ไปเรียนกัน" บอสหันไปพูดกับข้าว แล้วเดินจากผมไป

 

          ตลอดคาบเช้านี้ผมพยายามตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก ผมจะไม่ให้เรื่องยุ่งยากทั้งหมดที่ผมเจอทำลายการเรียนของผม ผมจะทำให้แม่เสียใจไม่ได้ แต่แล้วผมก็เหม่อมองไปด้านหน้าห้องที่บอสนั่งอยู่จนได้ อยากไปนั่งตรงนั้นบ้าง อยากพูดคุยหยอกล้อกันแบบนั้นบ้าง ผมต้องอดทน อีกนิดเดียวหวังว่าพวกมันจะรอผมและเข้าใจผม จะไม่เกลียดกันก่อนใช่ไหม

 

ครืด ครืด

 

"ครับ" ผมรีบรับสายทันทีที่เห็นว่าใครโทรมา

 

"เลิกเรียนแล้วใช่ไหม" เสียงทุ้มต่ำดังออกมา



          ผมคุ้นชินแล้วที่พี่โตจะโทรหาผมหลังคาบเช้าจบลงแบบนี้เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าช่วงบ่ายพี่มันไม่มีเรียน ก็จะโทรหาผมแล้วฝากซื้อข้าวตลอด

 

"ครับ ผมกำลังจะกลับ" ผมพูดขณะเก็บชีทกับปากกาเข้ากระเป๋าสะพายตัวเอง แล้วรีบเดินออกมาจากห้องเลคเชอร์ โดยไม่สบตาใคร "พี่จะกินอะไร"

 

"กูอยากกินสุกี้ ซื้อของมาเดี๋ยวกูเคลียร์ห้องรอ" พี่มันบอกอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมใจกระตุกออกมา "ชวนไอ้บอสมาด้วยก็ได้"

 

"อ่า บอสมันไม่ว่างครับ" ไม่รู้ทำไมผมถึงกำลังรู้สึกแย่ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากให้เรื่องแบบนี้จบๆ ไปสักทีหรือจะยอมให้พี่มันลงรูปไป แล้วผมก็จะได้มีอิสระ

 

"งั้นซื้อมาสำหรับสองคนพอ แล้วมาเบิกเงินที่กู"

 

"ครับ" แต่อิสระที่มีแต่คนหัวเราะเยาะ อิสระที่กลายเป็นตัวตลกผมไม่อยากได้หรอก "แล้วผมจะรีบไปครับ"




          ผมเดินช้าๆ แบกกระเป๋าสะพายที่ดูตุงเป็นพิเศษเพราะผมต้องยัดส่วนประกอบของสุกี้รวมกับชีทชีวะหนาๆ ไม่รู้ว่านี่เป็นแผนที่พี่โตแกล้งกันรึเปล่าเพราะตอนนี้ผมปวดหลังมาก

          ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดูอึมครึม อีกไม่นานฝนคงได้ตกลงมาแน่ๆ ผมต้องรีบเดินแล้วเพราะต้องรีบขึ้นไปเก็บผ้าที่ตากไว้ ถ้าผ้าเปียกขึ้นมา ผมคงจะต้องโดนพี่มันแกล้งแน่ๆ ผมเดินเร็วกว่าเดิมอีกนิด อีกไม่ไกลก็จะถึงหน้าหอแล้ว แต่จู่ๆ ข้อมือผมก็ถูกใครบางคนดึงไว้ก่อน

"อยู่หอสามหรอ" แทบไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าเป็นใคร

"ปล่อย" ผมพยายามเดินต่อแต่ไอ้นัดก็ดึงแขนผมให้หันไปประจันหน้ากับมันจนได้

"ไม่ดีใจรึไง ที่กูมาหา" รอยยิ้มกวนประสาทบนใบหน้าที่ดูดีของมัน ทำเอาผมปวดหัว

"มึงคิดจะทำอะไร" ทั้งที่มันก็แกล้งผมเหมือนพี่โต แต่ผมกลับกลัวมันมากกว่าเพราะผมรู้ว่ามันจะทำทุกอย่างให้ผมเจ็บปวด

"หึ ก็ทำให้ทุกคนรู้ไงว่ามึงมันผิดเพศ"

"ปล่อย!" และผมก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้

"โอเคๆ" มันก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูผม แล้วยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว "แล้วเจอกัน"

          ผมยืนอยู่ตรงนั้นสักพักมองดูแผ่นหลังกว้างที่ผมมองจนชินตาเดินจากไป ผมลูบหน้าตัวเองและสะบัดหัวเรียกสติ ผมไม่รู้เลยว่าจะเจอกับมันที่นี่ ไม่รู้เลยว่าเรื่องวุ่นวายพวกนี้จะจบลงยังไง


แกร่ก


"มาแล้วครับ ผมไม่ได้ซื้อโค้กมานะพี่ มันหนักอะ" ผมพยายามร่าเริงกลบเกลื่อนเรื่องที่กังวลใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เอาของที่จะใช้ทำสุกี้ออกมาจากกระเป๋าไปวางไว้ข้างๆ กระทะไฟฟ้าของผมที่แอบเอาเข้ามาในหอ

"ทำไมช้า" ผมเงยหน้าสบตากับพี่โตที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าต่าง

"...เอ่อ รถรางคนมันเยอะพี่" ผมเลิ่กลั่กหยิบถุงผักขึ้นมาให้พี่มันดู "เนี่ย ผักเหี่ยวเลย"

"อย่าโกหกกู" พี่มันเดินเข้ามาประชิดตัวผม ดึงถุงผักนั่นไปจากมือผมแล้วโยนไปไว้ข้างโต๊ะ เสียงทุ้มต่ำถามผมเบาๆ "มันเป็นใคร"

"..." ผมเม้มปากแน่น ไม่อยากให้พี่โตรู้ว่านอกจากพี่มันแล้ว ผมยังโดนคนอื่นแกล้งอีก "อะไรของพี่"

"ตอบ!" พี่มันตะคอกใส่ผม จับคางผมให้เงยหน้าไปสบตากับพี่มัน

          ผมกลัว ไม่กล้าแม้จะสบตาคนตรงหน้าผมเพราะผมรู้ว่าคนที่ชอบแกล้งคนอื่นน่ะ ไม่ชอบให้ใครมาแกล้งคนที่เป็นเหยื่อของตัวเองหรอก

"พะ พี่" พอพี่มันวาดแขนแข็งแรงนั้นรอบเอวผมไว้ ความกลัวก็เริ่มเกาะกุมหัวใจ ผมฝืนทำใจดีสู้เสือ ฝืนยิ้มพยายามเปลี่ยนเรื่อง "นี่...พี่แอบมองผมหรอ"

"..หึ จำไว้ดีๆ" แต่เหมือนแววตาดุดันนี้จะไม่หลงกลผมเลยสักนิด ผมสัมผัสได้แต่ความโกรธออกมาจากสายตาจากคนตรงหน้าที่ก้มตัวลงมากระซิบข้างหูผม "มึงเป็นของเล่นของกูคนเดียว"

"อะ.." แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ

          ริมฝีปากร้อนจู่โจมเข้ามาประกบปากผมทันที ผมขัดขืนผลักพี่มันออกสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผล ผมสู้แรงไม่ไหวแขนแข็งแรงรัดเอวผมไว้แน่น ผมพยายามเบือนหน้าหนีแต่มือใหญ่นั่นดันท้ายทอยผมไว้ ปากร้อนเคลื่อนไหวบดคลึงด้วยความรุนแรง ไม่ได้สนแว่นสายตาผมที่เคลื่อนไปมา มัวแต่ตะโบมจูบลงมาจนผมเจ็บไปทั่วริมฝีปาก ผมหมดแรงดิ้นได้ยืนหลับตาให้พี่มันจูบด้วยความจำยอม

"อื้อ!" ทันทีที่ผมหยุดดิ้นลิ้นร้อนๆ แทรกตัวเข้ามาในริมฝีปากผมทันที  ผมร้องประท้วงด้วยความกลัว พี่มันไม่เคยทำแบบนี้ ผมดิ้นอีกครั้ง กลัวกับสัมผัสลื่นที่เคลื่อนไปมาทั่วปาก กลัว...จนสุดท้ายก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมา "ฮึก"

"โธ่เว้ย!"

ตุบ

"..." ผมลงมากองที่ฟูกนอนตัวเองเพราะแรงผลักของพี่มัน ผมเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วจัดแว่นให้เข้าที่ พยายามหายใจเข้าลึกๆ กลั้นน้ำตาตัวเองที่ทำท่าจะไหลมาอีกครั้งเพราะความรู้สึกเจ็บปวดในอกนี่

"ออกไปซื้อโค้กให้กู" พี่มันพูดออกมาหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปสักพัก พี่มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แกล้งใช้ผมด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบนั้น

"คะ...ครับ" แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากทำตามคำสั่ง

ปัง

          ผมรีบปิดประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง พอมีสติผมก็มายืนอยู่หน้าโรงอาหารแล้ว ผมตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำในโรงอาหารก่อนเพื่อสงบสติอารมณ์

"ฮึก"  พอปิดประตูห้องน้ำแล้วก็เหมือนสติผมได้กลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่สุดท้ายน้ำตาผมก็ไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก จนต้องถอดแว่นออก ผมก้มหน้าร้องไห้กับฝ่ามือตัวเอง ผมเจ็บกับการที่พี่มันทำแบบนี้ ทำเหมือนผมจะสำคัญแต่ไม่เลย ไม่ใช่เลยสักนิด ผมเจ็บเพราะผิดหวังกับตัวเองที่เผลอไปตั้งความหวังให้ตัวเอง คาดหวังว่าตัวเองจะพิเศษสำหรับพี่มัน แต่ไม่ใช่เลย


          สุดท้ายพี่โตก็เห็นผมเป็นแค่ของเล่น มีแค่ผมคนเดียวที่คิดไปเองทั้งหมด
          คิดไปเองว่าพี่มันจะชอบผม ชอบแบบเดียวกันกับที่...ผมชอบพี่มัน

.

.
          หลังจากที่ตั้งสติแล้วผมก็ออกมาซื้อน้ำ บอกกับตัวเองให้พยายามเข้มแข็งไว้ ถ้าพี่มันยังคงทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็คงต้องทำตามนั้น รอวันพี่มันเบื่อที่จะแกล้งกันไปเอง ส่วนเรื่องความรู้สึก ผมก็ยอมรับและผมก็จะกำจัดมันออกไปให้ได้ก่อนที่ตัวผมเองจะรู้สึกไปมากกว่านี้

"สองแก้วยี่สิบจ้า"

"เอ่อ นี่ครับ" ผมหลุดจากความคิดตัวเองและผมยื่นเงินให้ป้าที่ยิ้มแย้มอย่างใจดี "ขอบคุณครับ"

"จ้า ฝนนี่มันตกทุกวันเลยนะ ป้าละเบื่อจริงๆ"

เปาะแปะ เปาะแปะ

"เอ่อ ครับ" ผมพยักหน้าเห็นด้วย มองออกไปนอกโรงอาหารที่ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว ผมโค้งหัวให้ป้าเล็กน้อยเป็นเชิงลา คว้าแก้วมาถือแล้วรีบเดินออกจากโรงอาหารก่อนที่ฝนจะตกหนักไปกว่านี้


          แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว ฝนห่าใหญ่เทลงมาเหมือนกลั่นแกล้งผม ผมตัดสินใจวิ่งไปหลบที่ป้ายรอรถรางหน้าหอก่อน อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้วแท้ๆ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกัน ยังไม่อยากเจอหน้าพี่โต ยิ่งพอรู้ความรู้สึกตัวเองชัดขนาดนี้แล้ว ยิ่งไม่อยากเจอไปกันใหญ่

          แต่ดูเหมือนผมจะหนีเสือปะจระเข้ ถึงแว่นผมจะเปียก แต่คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ต้องมองให้ชัดแต่ผมก็จำเขาได้ชัดเจน

"บังเอิญจังน้า" น้ำเสียงกวนประสาทแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

"ไอ้นัด..." ตอนนี้ทั้งป้ายมีแค่ผมกับมัน 'อันตราย' สัญชาตญาณผมสั่งให้ผมถอยให้ห่างจากมัน

"หึ ไม่ระวังตัวเลยนะ" มันพูดแบบนั้นแล้วเดินมาใกล้ผม "มึงก็รู้ว่ากูต้องการอะไร"

"กูเกลียดมึง" พอได้จ้องตากันแบบนี้ ผมก็รู้ได้เลยว่ามันยังไม่เปลี่ยนไปเลย

"ได้...แล้วมึงจะเสียใจ" มันถอนหายใจแล้วมองผมอีกครั้งด้วยสายตาที่ผมกลัวที่สุด "ที่เลือกแบบเดิม"

พลั่ก

"นี่มึง!" นัดตะโกนลั่นที่ผมปาแก้วโค้กทั้งสองแก้วใส่มันแล้ววิ่งหนีมันมาแบบนี้และไม่รอช้ามันก็วิ่งตามผมมา

ตุบ

"อึก..." ผมเสียหลักล้มลงกับพื้น ผมล้มแรงมากจนกลิ้งหมุนไปกับพื้น ไม่รู้ว่าหัวผมไปกระแทกโดนอะไรเข้าเพราะผมลุกขึ้นไม่ได้ผมมึนหัวไปหมด เจ็บแต่ก็ต้องกลั้นเสียงร้องไว้เพราะผมไม่อยากให้คนใจร้ายที่กำลังยืนค้ำหัวผมได้ยิน

"หึ มึงหนีกูไม่พ้นหรอกหน่า" มันว่าอย่างนั้นก่อนกระชากแขนผมอย่างแรง

          ผมที่ยังไม่หายมึน โดนมันลากผมไปตามพื้นดินที่ตอนนี้เปียกเละเป็นโคลน ผมทั้งดิ้นทั้งพยายามลุกแต่ก็ทำไม่ได้เพราะแรงกระชากของมัน ลำตัวกับขาของผมครูดไปกับพื้นดินจนแสบไปหมด

"ปล่อยกู!" ผมดิ้นและพยายามตะโกนแข่งกับเสียงฝน ให้มันปล่อย อย่างน้อยถึงแรงจะสู้ไม่ได้ แต่ก็อยากเอาเสียงขู่ไว้ก่อน แล้วเหมือนมันจะฟังคำสั่งกันเพราะมันหยุดลากผมแล้วแต่กลับมานั่งคร่อมบนตัวผมไว้แทน

"มะ มึงจะทำอะไร!" ผมไม่รู้ว่ามันลากผมมาที่ไหนเพราะแว่นผมมันหล่นหายไปตั้งแต่ตอนที่ล้ม ผมเห็นภาพด้านหลังไอ้นัดเป็นสีเขียวลางๆ และฝนที่ตกอย่างแรงทำให้ผมยิ่งมองลำบากกว่าเดิม

"ถ้ามีรูปมึงแก้ผ้ากลางสายฝนหลุดออกไป มันจะเป็นยังไงนะ" มันพูดแบบนั้นแล้วใช้หลังมือเกลี่ยแก้มผมไปมา หยิบแว่นมาสวมให้ผมแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน "กูว่ามันก็คงดีกว่าตอนม.หกนะ ฮ่าๆ"

"!!!" ต่างจากผมที่ตกใจกลัวจนไม่กล้าดิ้นขัดขืนไปโดยอัตโนมัติ ได้แต่มองใบหน้ามันผ่านแว่นที่เลอะโคลนแบบนี้ "ยะ...อย่าแตะตัวกู"

"กูไม่อยากแตะมึงเลยสักนิด กูเกลียดมึงจะตายแล้วไม่รู้รึไง" นัดมันว่าอย่างนั้นแต่การกระทำของมันกำลังสวนทางกับสิ่งที่มันพ่นออกมา

แคว่ก

"นัด!" เสื้อผมขาดไปตามแรงของคนข้างบนที่กระชากออก หน้าอกและหน้าท้องบางส่วนของผมปะทะกับเม็ดฝนเย็นๆ ใจผมกระตุกวูบ ความกลัวเข้าจู่โจมหัวใจไปจนชาหนึบ ในหัวมีความทรงจำเก่าๆ ไหลย้อนกลับมาจนผมหายใจไม่ออก "พอแล้ว นัด...ฮึก"

"ขอร้องสิ" ผมไม่รู้ว่านัดกำลังพูดอะไร ผมเห็นแค่สายตาแห่งความสะใจและเสียงหัวเราะน่าเกลียดของพวกนั้นอยู่ตรงหน้า "ฮ่าๆ"

"ฮึก" ผมร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำไมกันนัด...ทำไมถึงต้องเกลียดกันขนาดนี้

"เห้ย!!!" เสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้น ก่อนที่นัดจะดึงกางเกงผมออก นัดรีบลุกไปจากตัวผม แต่ก่อนที่จะลุกไปมันก็ก้มลงมากระซิบแนบหู

"จำไว้...กูไม่ปล่อยมึงแน่" พร้อมกับจูบเบาๆที่ขมับของผม


ตึกตึกตึก

          เม็ดฝนเย็นๆ กระหน่ำหล่นใส่ตัวผม จนผมสะดุ้งหนาวเพราะความเย็นของมัน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมดและก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับลงไป เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงวิ่งของใครบางคนที่กำลังวิ่งมาทางนี้ คนคนนั้นตะโกนเรียกผมเสียงดัง...เขาตะโกนเรียกชื่อผม

...เขาเรียกชื่อของผมจริงๆ

"มิม!!!"




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ข้าวสวย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
9. มิตรภาพของเรา



ผมเชื่อว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ

 

 

          แต่ตอนนี้ดูเหมือนความเชื่อนั้นของผมกำลังจะหมดลงแล้ว สองวันแล้วที่พี่โตไม่กลับห้อง ผมนั่งเหม่อมองโต๊ะของคนใจร้ายที่หายไป ความเงียบในห้องทำให้ผมรู้สึกแย่

 

          หลังจากที่ผมตื่นขึ้นในโรงพยาบาล คุณพยาบาลบอกผมว่ามีคนพาผมมาส่งที่นี่ เขาออกค่ารักษาให้แล้วกลับไปโดยไม่รอเจอผม ไม่ยอมบอกว่าชื่ออะไร คุณพยาบาลบอกแค่ว่าเขาดูเป็นห่วงผมมากและทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา

 

          ในตอนนั้นผมพยักหน้ารับแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ในใจผมทั้งกลัว ทั้งรู้สึกโดดเดี่ยว ทำไมเขาไม่รอเจอผม ผมอยากขอบคุณที่ช่วยผมไว้ อยากขอบคุณที่จำชื่อผมได้

 

...พี่โต ทำไมพี่ถึงหลบหน้าผมแบบนี้

 

          ผมจำเสียงทุ้มที่ตะโกนเรียกผมได้ดี แม้ในตอนนั้นเสียงฝนที่ตกลงมากระทบพื้นดินจะดังแค่ไหนหรือต่อให้ผมสติเลือนรางแค่ไหน ผมก็จำเสียงนั้นได้ดี เสียงที่คอยออกคำสั่งเพื่อที่จะแกล้งกัน เสียงที่คอยบอกให้ผมตั้งใจเรียนในทุกวันนั้น ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร



          แต่ที่ผมไม่รู้คือการที่พี่โตหลบหน้าผมทำไม ความรู้สึกน้อยใจมันตีขึ้นมาจากในอกทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าว ไม่อยากเจอ ไม่อยากแกล้งกันแล้วเหรอ ผมไม่เหลือความสำคัญอะไรอีกแล้วหรือไง ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันพี่มันจะเบื่อกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วและทิ้งผมไปเลยแบบนี้ เกลียดผมแล้วหรือไงนะ

 

20.00 น.

 

          ผมมองเวลาบนมือถือตัวเองแล้วตัดสินใจเดินออกจากห้อง จุดหมายปลายทางของผมคือชั้นสี่ สักห้องที่มีเพื่อนพี่โตอยู่ ผมทนไม่ไหวแล้ว อยากเจอ อยากถามในหลายๆ เรื่องและหนึ่งในคำถามที่ผมอยากถามที่สุดคงจะเป็น

 

‘ รู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ‘

 

          ผมรู้ว่าเรื่องของเราไม่ปกติ ไม่มีทางที่ผู้ชายสองคนทีไม่ได้รู้สึกอะไรกันจะจูบกันทุกวันแบบนี้แน่ๆ ผมแค่อยากรู้แม้ว่ามันจะดูงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“...ใครแม่งมาเคาะห้องตอนนี้วะ” เสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดมาจากห้องสุดท้ายของชั้นสี่ ผมเคาะมาทุกห้องแล้ว บางห้องก็ไม่อยู่ บ้างห้องก็ตอบอย่างสุภาพ บางห้องก็ด่า



“มีไรวะ!!” ..แบบนี้



“คือ..ผม” ผมเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าตรงหน้า ใบหน้าดุดันนั้นกำลังมองผมอย่างอารมณ์เสีย ในมือกำจอยเกมไว้แน่นเหมือนพร้อมจะฟาดหัวผม ผมพูดประโยคถัดไปทันทีแต่สายตาของผม ดันสบเข้ากับคนด้านหลังของผู้ชายคนนี้เสียก่อน “มาหาพี่ตะ..”



“มาหาไอ้โตหรอ” พี่ที่มาเปิดประตูให้ผมถาม แล้วไม่ถึงวิเขาก็เปลี่ยนสีหน้ามายิ้มเหมือนเจอเรื่องสนุก “ว้าว เคลียร์กันดีๆ ล่ะหนู”



“หุบปาก” พี่โตว่าแบบนั้นแล้วเดินกระแทกไหล่เขาออกมา ดึงแขนผมแล้วลากให้เดินตามไปยังบันได ผมมองมือใหญ่ที่กุมข้อมือตัวเองเอาไว้แล้วรู้สึกใจชื้นขึ้นมา มองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าแล้วยิ่งคิดถึง อยากสัมผัส อยากกอด



“...” เราหยุดเดิน เมื่อถึงบันได พี่โตปล่อยแขนผมแล้วหันหลังให้ผมทันที เรายืนเงียบกันอยู่สักพัก เป็นผมเองที่ทนไม่ไหวกับบรรยากาศอึดอัดนี้ ผมดันแว่นขึ้นจมูกดีๆ แล้วรวบรวมความกล้าพูดออกไป



“ขอบคุณที่ช่วยผมในวันนั้นครับ”



“อะ อืม” เหมือนพี่โตจะตกใจเล็กน้อยที่ผมพูดออกไปแบบนั้น แต่คำถามต่อมาก็ทำให้ผมอยู่ไม่สุข “คนที่ทำมึงมันเป็นใคร”



“เอ่อ ผมแค่สะดุดล้มครับ” ผมโกหกออกไปแล้วหลบตาคนตรงหน้าที่หันมามองผม



“โกหก” แน่นอนว่าพี่โตไม่เชื่อผม



“ผม..อึก” และผมก็ไม่สามารถคิดคำโกหกอะไรออกไปได้อีก



“เฮ้อ” พี่โตถอนหายใจแล้วหันไปมองทางอื่น



“ทำไมพี่ไม่กลับห้องเลย” ผมพยายามถาม พยายามคุยอยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ยอมโดนแกล้ง โดนสัมผัสก็ได้แค่ไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้ “เอ่อ คือผม..”



“กูลบรูปมึงแล้ว”



“!!!”



“กูลบแล้ว” พี่มันยืนยันโดยเปิดแกลอรี่ภาพที่ตอนนี้ไม่มีอัลบั้มเด็กถั่วงอกอีกต่อไป “มึงไม่ต้องกังวลอะไรอีก ที่ผ่านมากูขอโทษ”



“พี่.. คือผม” ไม่ใช่แบบนี้สิ



“กูจะมาอยู่ห้องไอ้แทนเอง” ผมไม่ต้องการแบบนี้ “ไม่ต้องห่วง มันสนิทกับป้าคุมหอนี้”



“แต่ผม..” อยากให้พี่อยู่ด้วยกัน แต่เสียงของผมดูเหมือนจะเบาไปที่จะทำให้พี่มันหันหลังกลับมา

 

 



          สุดท้ายผมก็มายืนร้องไห้อยู่หน้าห้องนี้ ห้องที่ผมเดินเลี่ยงมาโดยตลอด ห้องที่ผมพยายามเมิน ห้องที่ผมเคยมองข้ามไป



343



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“คร้าบบ”



“ฮึก ไอ้บอส” ผมโผกอดคนตรงหน้าแล้วร้องไห้จนสุดเสียงโดยไม่กลัวว่าคนใจร้ายในห้องสุดท้ายของชั้นสี่จะได้ยินเลยสักนิด “ฮือออออ”



“มึง..” ไอ้บอสกอดผมไว้หลวมๆ แล้วดันตัวผมเข้าไปในห้อง “ไม่ไหวแล้วสินะ”



“กูขอโทษ”



          หลังจากนั้นผมก็เล่าทุกอย่างให้บอสกับข้าวฟัง ผมยอมวางอีโก้ตัวเองไปจนหมดเพราะผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมแค่ต้องการที่พักพิงในตอนนี้



“มึง ไม่เป็นไร” บอสกอดผมแล้วลูบหลังผม



“ไม่เป็นไรนะๆ” และข้าวก็เดินมากอดผมไว้เช่นกัน



          กลายเป็นว่าพวกเราในตอนนี้กอดกันกลมอยู่กลางห้อง ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่ ส่วนหนึ่งเศร้าเรื่องพี่โต และอีกส่วนหนึ่งก็เศร้าที่ผมเองยังไม่กล้าพอที่จะเล่าทุกอย่างจริงๆ ให้บอสกับข้าวฟัง ผมบอกแค่ว่ามีปัญหากับพี่โตเล็กน้อย ไม่อยากให้พวกมันมาเครียดกับปัญหานี้



          พอไอ้บอสได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกลับตีหน้าผากผม มันบอกผมว่าเรื่องแค่นี้เองเพื่อนกัน ต้องช่วยเหลือกันสิ มึงมาอยู่ห้องกูก็ได้และคำพูดพวกนี้ก็ทำให้ผมร้องไห้อีก ถ้าพวกมันรู้ว่าพี่โตกับผมจูบกัน รู้ว่าผมชอบผู้ชาย พวกมันจะกอดผมไว้แบบนี้ไหม



“เอ้า แดก” บอสยื่นโค้กกระป๋องให้ผมที่นั่งอยู่บนที่นอนของข้าว “เลิกเหม่อได้แล้วมึง”



“ขอบใจ”



“เรื่องพี่โตเดี๋ยวกูจัดการให้” มันนั่งลงข้างผมแล้วบอกแบบนั้น


“ไม่ต้องมึง กูเคลียร์แล้ว”



“เคลียร์ว่า”



“เอ่อ ก็จะไม่ยุ่งข้าวของกันอีกไง แบบไม่ก้าวก่ายกันอีก” ผมโกหกอีกแล้ว “กูขอโทษพี่มันแล้ว มึงไม่ต้องห่วง”



“ขอโทษก็ดีแล้ว มึงก็ไปหยิบข้าวของเขามาใช้มั่วซั่ว สมน้ำหน้าโดนเขม่นเลย” มันขยี้หัวผมไปมา “เออ วันนี้กูมีซ้อมถ่ายวิดีโอโปรโมทมหาลัยไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”



“แล้วข้าวอะ” ผมหันไปมองข้าวที่นั่งหันหลังให้พวกเราอยู่ แต่พอได้ยินบอสพูดถึงก็หันมายิ้มให้



“ก็ไปด้วยกันนี่ล่ะ”



“เอ่อ..”



“มิไปด้วยกันเถอะนะ” ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของข้าวก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา



“ก็ได้”

 





          ผมนั่งมองผู้คนเดินไปมาข้างหน้าแล้วก็รู้สึกเหงาขึ้นมา มองดูข้าวยิ้มและหัวเราะกับพี่ๆ สต๊าฟ แล้วผมก็ยิ่งเหงาและรู้สึกแย่กว่าเดิม ไม่น่ามาเลยไอ้มิม มาแล้วก็ไม่มีตัวตน ต้องมานั่งเงียบๆ คนเดียวแบบนี้หรือไอ้ความคิดที่อยากอยู่แบบสงบสุขของผมมันจะเปลี่ยนไปแล้วนะหรือจริงๆ ผมก็ต้องการสีสันแบบคนอื่นบ้าง



“เป็นไงมึง กูหล่อมะ” ไอ้บอสเดินมาเก๊กท่าหล่ออยู่ตรงหน้าผม



“..เออ” ผมตอบมันไปแบบเอือมๆ แล้วหลุดยิ้ม



“ฮ่าๆ กูไปถ่ายละ รอแป๊บนะ” ดูเหมือนมันคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ มันขยี้หัวผมไปมา “เดี๋ยวข้าวก็มานั่งเป็นเพื่อนละ”



“อือ”



“ไปละ”



“มิ เราเอาขนมมาฝาก” ไอ้บอสเดินออกไปไม่นาน ข้าวก็เดินมาหาผม พร้อมรอยยิ้มสดใส



“อ่อ ขอบใจ” ผมยิ้มให้ข้าวและก็หุบยิ้มแทบจะทันทีที่เห็นคนเดินเข้ามาใหม่ ผมลืมไปได้ยังไงว่าไอ้นัดก็เปนเดือนคณะ ผมใจเต้นแรงด้วยความกลัว ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวหนีมัน “ขะ ข้าว เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”



“อ่า โอเคๆ”



          ผมพยักหน้าให้ข้าวแล้วรีบวิ่งไปทางห้องน้ำเพื่อหลบมัน ตอนนี้ผมออกไปไม่ได้เพราะมันกำลังคุยกับสต๊าฟหน้าประตูทางออกอยู่ ผมต้องซ่อนรอโอกาสดีๆ แล้วค่อยย่องออกจากที่นี่





 

ซ่าๆๆๆ

 

          ผมเปิดก๊อกน้ำแล้วใช้มือกวักน้ำเย็นเข้าหน้าตัวเอง เรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา ตลอดสองวันที่ผ่านมาผมไม่ได้เจอนัดเลยถือว่าเป็นโชคดีของผมหรือว่ามันตั้งใจจะทำแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมกำลังกลัวสุดๆ มองมืออันสั่นเทาของตัวเองแล้วก็รู้สึกอ่อนแอจนต้องร้องไห้ออกมา     

          ภาพวันที่ฝนตกย้อนคืนกลับมาทำให้ผมกลัว แต่ภาพความทรงจำตอนม.หกที่จู่ๆ ก็ย้อนกลับมาในตอนนี้ทำให้ผมกลัวมากกว่า

 

“กูบอกพวกมึงแล้วไงว่ามันเป็นตุ๊ด ฮ่าๆ”

“ฮ่าๆ โคตรเกย์เลยว่ะ ไอ้มิน”

“จดหมายแม่งทำขนกูลุกเลย”

“มึงอย่ามาใกล้กู”

“กูเดินผ่านแม่งทีไร เสียวตูดชิบ ฮ่าๆ”

 

“พอสักที!!”

 

         ผมตะโกนออกไปลั่นห้อง พวกผู้หญิงไม่ได้สนใจอะไรผมนักแค่หันมามองแล้วหันกลับไปพูดคุยกันต่อ แต่พวกผู้ชายพวกนั้นบางส่วนหยุดพูด แต่บางส่วนก็ตะโกนกลับมาแซวผมเหมือนเดิม



         ผมโกรธจนตัวสั่น ทำไมกันแค่ชอบผู้ชายมันผิดขนาดนั้นรึไง ผมหันไปมองผู้ชายคนเดียวในห้องที่ยังคงอยู่ข้างผม ‘นัด’ เพื่อนคนเดียวที่ผมมี เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาลจนตอนนี้ เป็นคนเดียวที่เข้าใจผมและเป็นคนเดียวที่ผมจะปกป้องให้ถึงที่สุด



“โว้ๆๆ น้องแว่นของเราขึ้นแล้วว่ะ”



“พอได้แล้วทุกคน อีกไม่กี่วันเราก็จะจบม.หกแล้วนะ รักกันไว้สิ” หัวหน้าห้องพูดขึ้นมา ทำให้พวกผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง บางคนทำหน้ารำคาญใส่ผม บางคนก็แกล้งทำหน้าเห็นใจให้ผมแต่ก็ไม่มีใครกล้าเดินมาหา แต่คำพูดต่อมาของหัวหน้าก็ทำให้ทุกคนในห้องยกเว้นผมและนัดหัวเราะออกมา “ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่ชอบผู้ชายเองเนอะ”



“ฮ่าๆๆๆๆ” หัวเราะเยาะเย้ยผมเต็มที่แล้วก็ปล่อยคำพูดเหล่านั้นวนเวียนทำร้ายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมมองมือนัดที่จับมือผมไว้แล้วแทบจะทำให้ผมร้องไห้ออกมาสุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งก้มหน้ายอมรับเสียงหัวเราะเหล่านั้น



         เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม ผมโดนล้อด้วยประโยคในจดหมายบ้าๆ นั่น โดนมองเหมือนตัวประหลาด ดึงเก้าอี้ บางวันก็โดนสาดน้ำใส่ ชีวิตผมคงแย่กว่านี้ถ้าไม่มีนัดคอยไปห้องน้ำและกินข้าวเป็นเพื่อน จนในวันสุดท้ายของการไปโรงเรียน ผมก็ทนไม่ไหว



“กูไม่ได้เขียนจดหมายบ้านั่น” ผมตัดสินใจพูดออกไปในตอนที่ทุกคนกำลังนั่งรออาจารย์ที่ปรึกษา



“อย่ามาโกหกหน่อยเลยน่า” เพื่อนคนหนึ่งในห้องพูดขึ้น



“ไม่ได้โกหก”



“แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะครับ” ผมเหลือบไปมองนัดแล้วพยักหน้าให้ ทำเหมือนที่เราเตรียมกันมา บอกพวกมันไปว่าเขาไม่ได้เขียนเพราะวันนั้นผมโดดรียนแล้วไปอยู่กับมันทั้งวันที่สนามบอล จะเอาเวลาที่ไหนมาใส่จดหมายลงไปในกระเป๋าของหัวหน้าห้องที่อยู่ในห้องแลป “คนที่ได้รับจดหมายเองก็บอกว่าเห็นมึงเดินไปที่กระเป๋ามัน แถมในจดหมายก็มีชื่อมึงอยู่ด้วย”



“นัดบอกพวกมันไป ว่าไม่ใช่ของกู”



“ฮ่าๆๆ พวกกูไม่เชื่อคำพูดไอ้นัดหรอก”



“..ทำไม”



“ก็ไอ้นัดมันเป็นคนเดียวที่อยู่กับมึงตลอด” ฟิวหรือหัวหน้าห้องที่พูดขึ้นมา



          มันเป็นคนที่ได้รับจดหมายนั่นแล้วเอาไปป่าวประกาศกับทุกคนว่าเป็นของผม ในจดหมายมีประโยคเดียวว่า ‘กูชอบมึง’ พร้อมทั้งลงชื่อผมไว้ว่ามินตรา จริงๆ มันแค่เป็นกระดาษโง่ๆ ใบเดียวที่ทุกคนดันโง่เชื่อ เหมือนทุกคนเกลียดผมอยู่แล้ว ไม่อยากรับฟังคำพูดอะไรจากผม เหมือนแค่อยากแกล้งกันเท่านั้น...



“นัด”



“...” นัดเงียบไปไม่ยอมสบตาผม



“แล้วที่มันยังอยู่กับมึงแบบนี้ เผลอๆ อาจเป็นผัวมึงก็ได้”



พลั่ก



“โอ๊ย! ไอ้เหี้ยนัด!”



“นัด..พอแล้ว!” ผมเข้าไปดึงนัดออกมาจากฟิว ไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต



“อย่าตามมา” นัดสะบัดมือผมออกแล้วเดินออกไปจากห้อง



         ผมวิ่งออกมาจากห้องแล้วได้แต่แอบอยู่ในห้องน้ำจนมืด ผมไม่รู้ผมทำอะไรผิดนักหนา ทำไมผมต้องมาทนรับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ ถึงผมจะชอบผู้ชายจริงแต่ผมไม่ได้ชอบฟิวและที่สำคัญในตอนนี้นัดหายไปไหนก็ไม่รู้ ผมเป็นห่วงกลัวนัดจะคิดมาก



         หลังจากผมร้องไห้จนเหนื่อย ผมก็ตัดสินใจเดินกลับห้องเพื่อไปเอากระเป๋า เสียงเพลงสนุกสนานดังเล็ดลอดออกมาจากหอประชุม สุดท้ายผมก็ไม่ได้เลี้ยงอำลากับห้องแต่ต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมก็คงไม่ได้ไปอยู่ดีเพราะทุกคนในห้องก็คงไม่อยากให้ผมไปร่วมอยู่แล้ว



         ผมหยิบมือถือออกมา กดออกจากกรุ๊ปห้องและบล็อกทุกคนยกเว้นนัด พรุ่งนี้ผมจะโทรหามัน อยากขอบคุณที่ปกป้องกันและก็ขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ ผมว่าโชคดีมากเลยที่มีเพื่อนแบบนี้แต่โชคดีที่มีอยู่น้อยนิดของผมก็หมดลงเพราะบทสนทนาที่ดังออกมาจากห้องนี้



“กูรู้ว่าจดหมายเหี้ยนั่น เป็นของมึง”



“แล้วไงวะ” ผมจำเสียงของนัดได้



“แหม ต่อยกูซะเต็มแรง ไอ้ควาย” และไม่ต้องเดานี่คงจะเป็นฟิว



“เนียนๆ ไง มึงก็รู้ว่ากูต้องการอะไร”



“มึงเกลียดอะไรมันขนาดนั้นวะ”



“แฟนกูแอบชอบมัน”



“หะ..”











         แล้วผมก็วิ่งออกมา วิ่งมาถึงหน้าโรงเรียนแล้วโบกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน มองจอมือถือที่โชว์เบอร์ของนัด ผมตัดสินใจลบออกและบล็อกทุกอย่าง ไม่ต้องการรับรู้อะไรแล้ว ผมจะหนี หนีเรื่องบ้าๆ นี่ไปให้หมด 



         พอถึงบ้านผมก็ร้องไห้เสียงดังและวันนั้นผมก็ได้เห็นน้ำตาของแม่ แม่ร้องไห้ไปกอดปลอบผมไป ณ วินาทีนั้นผมก็ตัดสินจะตัดขาดกับทุกสิ่งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ไม่อยากเสียใจแล้ว ไม่อยากทำให้แม่ร้องไห้เพราะผมอีก



         สุดท้ายในวันรับใบจบการศึกษา ผมก็ไม่ได้ไปร่วมพิธีที่โรงเรียน ผมหนีและหันหลังให้กับทุกคน วันนั้นผมอธิษฐานให้นัดมีความสุขและภาวนาขอโอกาสให้ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

 







ซ่าๆๆๆ



          ผมเหม่อมองใบหน้าตัวเองในกระจกที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ผมเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำแล้วหยิบแว่นขึ้นมาสวมปกปิดรอยน้ำตาไว้ ในใจอยากโทรหาแม่ อยากบอกเหลือเกินว่าผมเหนื่อย อยากกลับบ้านแต่ก็ทำไม่ได้ ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง อยากให้แม่เข้าใจว่าผมมีความสุข



“ฮึก” ผมสะอื้นออกมาเพราะความเจ็บปวดในอก สุดท้ายผมมันก็แค่คนขี้ขลาดจนน่าสมเพช



“ร้องไห้อีกแล้วหรอ” เสียงทะเล้นดังขึ้นมาทางประตูทางเข้าห้องน้ำ



“นัด” ผมสะดุ้ง หันไปสบตากับคนที่เดินเข้ามาหา ผมถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ



“คิดว่ากูจะไม่เห็นที่มึงวิ่งมาที่นี่หรอ” ถอยจนหลังชนกับกำแพงเย็นเชียบ “โง่ไปหน่อยมั้ง โง่เหมือนแต่ก่อนเลย ฮ่าๆ”



“นัด กูกับแฟนมึงไม่มีอะไรเลย” ผมตัดสินใจพูดออกไป อยากให้เราจบเรื่องบ้านี่สักที เลิกแล้วต่อกันสักที  “พอเถอะ”



“หุบปาก กูรู้ว่ามันไม่มีอะไร” แต่นัดก็ยังคือนัดโกรธผมและไม่รับฟังอะไรเลย “และกูก็รู้ว่ามึงแอบฟังกูกับฟิวคุยกัน”



“พอได้ไหม กูยอมแล้ว” ผมกลัวที่จะย้อนกลับไปในตอนนั้นอีก จนต้องปิดหูตัวเองไว้ “กูยอมทุกอย่างแล้วนัด”



“หึ”



“อย่ามายุ่งกันอีกพอ ปล่อยกูไป” ผมอยากมีชีวิตที่ไม่มีอดีตพวกนี้ ผมอยากเริ่มต้นใหม่



“ไม่!!!” แต่เหมือนทุกอย่างไม่เป็นใจเลย ทำไมต้องมาเจอกันด้วย “กูไม่มีวันปล่อยมึง”



“นัด” ผมเงยหน้าสบตามัน “กูไม่ได้ชอบมึง”



“มึงต้องชอบ! มึงชอบผู้ชายไม่ใช่รึไง” มันกระชากตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น



“กูไม่มีวันชอบมึง พอสักที!” ผมขัดขืน ดิ้นจนสุดแรง



พลั่ก!



“นัด..กูขอโทษ” ผมผลักนัดออกจนมันล้มลงไปกับพื้น พอเห็นมันทำหน้าเจ็บปวดแบบนั้น กลายเป็นผมที่รู้สึกเจ็บปวดที่ทำร้ายเพื่อนตัวเอง แล้วผมก็ร้องไห้อีกครั้ง “นัด ฮึก”



 

“แฟนกูแอบชอบมัน”

“หะ...”

“แต่กูชอบมันและกูก็เลิกกับแฟนแล้ว”

“...อือ”

“ขอบใจที่ช่วยทำแบบนั้น ต่อไปนี้มันจะได้เหลือแค่กูคนเดียว”


 





“มึงเป็นเพื่อนคนเดียวของกูนะ”




พลั่ก



“อึก..” นัดลุกขึ้นมาแล้วเหวี่ยงผมเข้ากับกำแพงอย่างแรงจนผมรู้สึกจุกจนยืนไม่ไหว ผมทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงไว้



“ถ้ามึงไม่ชอบ กูก็จะทำลายมึงด้วยมือกูเอง” มันพูดแบบนั้นแล้ว เคลื่อนใบหน้ามาใกล้ผม ผมเบือนหน้าหนีแต่มันก็บีบคางผมให้หันกลับไปเผชิญหน้ากัน



“อย่า..” ผมมองใบหน้าโกรธจัดของมันแล้วก็ใจหาย จะมีทางไหนไหมที่จะทำให้มึงมองกันเป็นเพื่อนเหมือนเดิม ภาพข้างหน้าเลือนรางเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นของผม “ฮือ”



 

พลั่ก

 



“พอได้แล้ว” ผมมองคนที่ถีบเข้ากลางหลังนัด จนมันกลิ้งออกไปจากตัวผม

 

“พี่โต”



          พี่โตไม่ตอบอะไร พี่มันเดินเข้ามาพยุงผมขึ้นและดันตัวผมไปไว้ข้างหลังโดยที่ไม่มองหน้าผม มีแต่ผมที่มองคนตรงหน้าไม่หยุด ผมงงที่พี่มันมาอยู่ที่นี่ได้ไงแต่อีกใจก็รู้สึกดีใจมากที่ได้เจอพี่โตอีก ถึงแม้จะเจอกันในสถานการณ์แบบนี้แต่ผมก็ดีใจที่พี่มาช่วยผมไว้อีกครั้ง แล้วในใจผมรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาด



“มึงมาเสือกอะไร” นัดเดินมามองหน้าพี่โตอย่างหาเรื่อง

 

“พูดกับกูดีๆ” พี่โตพูดแล้วยื่นมือถือที่มีคลิปบางอย่างอยู่ให้นัดดู และเสียงที่ดังก้องห้องน้ำก็ทำผมและไอ้นัดตกใจ

 

“ถ้ามึงไม่ชอบ กูก็จะทำลายมึงด้วยมือกูเอง”

 

“มึง!!” นัดตะโกนด้วยความโกรธ ผมรู้ว่าถ้าไม่มีคลิปนี้ มันคงถลามาต่อยพี่โตแล้ว



“อย่ามายุ่งกับกูและมิมอีก”



“หึ มึงชอบมันรึไง” มันทำสีหน้ากวนประสาทและมองมาที่ผม ผมใจกระตุกและมองไปที่หลังของคนตรงหน้า



“แล้วมึงล่ะ” พี่มันไม่ตอบแต่ถามคนตรงหน้าแทนและผมไม่ได้อยากได้ยินคำตอบนั่นจากไอ้นัด “ชอบมิมรึไง”



“พี่โต พอแล้ว” ผมเม้มปากและดันแว่นขึ้น ไม่อยากให้พี่โตรู้ว่านัดชอบผมและผมชอบผู้ชาย ผมกลัวที่จะโดนทิ้งไปอีก



 “ทำไมกูต้องบอกคนนอกอย่างมึง อ้อ แต่กูมีเรื่องมันจะบอกมึง” นัดมองผมแล้วกระตุกยิ้มร้าย “มันชอบผู้ชายนะ”



“..!!” ผมเบิกตาโพลงเตรียมตัวจะหันหลังหนี วิ่งนี้เรื่องพวกนี้อีกครั้ง



“แล้วไง” แต่ผมยังไม่ทันหันหลังด้วยซ้ำ ข้อมือของผมก็โดนพี่โตดึงให้ผมไปยืนข้างๆ กัน “มึงรู้ไหมว่าคลิปเมื่อกี้ถ้าใครเห็น มึงจะโดนอะไรบ้าง”



“ไอ้!”



“กูจะบอกอะไรให้นะ” พี่โตบีบข้อมือผมเบาๆ และพูดออกไป “การที่มึงทำให้คนที่มึงรักเจ็บปวด สุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดคือมึง...จำไว้”



“ฮึก” ผมร้องไห้อีกครั้ง



“...” นัดเงียบไป แล้วมองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม แววตาเจ็บปวดแบบนั้นผมไม่อยากเห็นที่สุดเลย นัดมองมือพี่โตที่กุมข้อมือผมไว้แล้วยิ้มออกมาเบาๆ และเดินผ่านผมออกไป

 





          ตอนนี้ผมกับพี่โตนั่งอยู่บนที่นอนของผม ผมลูบแขนตัวเองไปมาพยายามหักห้ามใจที่เต้นแรงของตัวเองให้เต้นเบาลงหน่อย กลัวคนข้างๆ จะได้ยินชะมัด น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ผมเรียกร้องอยากที่จะเจอพี่มันแต่พอได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ผมกลับพูดอะไรไม่ออกเลย



“เจ็บไหม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาทำให้ผมหันหน้าไปสบตากับพี่โต



“อะ..ไม่เป็นไรครับ” ผมก้มมองแขนตัวเองแทบจะทันทีที่ได้สบตากัน ไม่เคยชินกับสายตาของพี่มันเลย



“นอนพักนะ” พูดแบบนี้ แล้วทำท่าจะลุกออกไป ผมเลยดึงแขนพี่โตไว้



“พี่โต ขอบคุณครับ”



“อืม” พี่โตยอมนั่งลงเหมือนเดิมแต่หลบสายตาผม แล้วเราก็เงียบอีกครั้ง



“วันนั้นผมขอโทษที่โกหก” เป็นผมที่ทำลายความเงียบ



“ไม่เป็นไร”



“ผม..” ผมก้มมองมือตัวเอง บีบมือไปมา พยายามรวบรวมคำพูดเพื่อที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น “เอ่อ..คือว่า”


“พี่ฟังอยู่” ผมสบตากับพี่โตที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว สายตาอบอุ่นที่มองมาทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น ผมเลยเริ่มเล่าทุกอย่างออกไป



          ผมเล่าทุกอย่างให้คนตรงหน้าฟัง ตั้งแต่ตอนม.หกจนถึงปัจจุบัน พี่โตไม่ได้พูดอะไรแค่นั่งข้างๆ ผมแล้วลูบหัวผม พอเล่าจบผมก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เรื่องราวพวกนี้ผมเพิ่งได้เล่าให้คนอื่นฟังเป็นครั้งแรก



“เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะผม ผมมันขี้ขลาดถ้าผมไม่หนี ทำทุกอย่างให้มันชัดเจนหรือเข้มแข็งกว่านี้ นัดจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้”



“อย่าโทษตัวเอง” พี่โตวางมือใหญ่ลงบนหัวผมโยกไปมา “รู้สึกโล่งขึ้นไหม”



“ครับ พี่รังเกียจผมไหม” จบประโยคนั้นผมก็ก้มหน้าลง “จนมาถึงตอนนี้ผมยังคิดเลยว่ามีค่าพอที่จะเป็นเพื่อนกับพวกบอสหรือพี่ได้ไหม ผมมันก็แค่คนขี้ขลาดแถมยังขี้โกหกอีก”



“ฟังกูนะไม่ว่ามึงหรือว่าใครก็มีค่าในตัวเองทั้งนั้น กูไม่เคยรังเกียจมึง ที่กูหลบหายไปเพราะกูรู้สึกผิดเกินกว่าจะมองหน้ามึงได้และวันนี้มึงก็ไม่ได้ขี้ขลาดแล้วเพราะมึงกล้าที่จะเล่าให้กูฟัง” พี่มันมองผมแล้วพูดออกมา “กูเชื่อว่าถ้ามึงกล้าเล่าทุกอย่างให้ไอ้บอสฟังเมื่อไหร่ มันต้องเข้าใจมึงแน่นอน”



“พี่..”



“และที่สำคัญ มึงรู้ไหมว่ากูโกรธตัวเองที่ทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นกับมึงไปแค่ไหน กว่ากูจะรู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันแย่แค่ไหนก็ตอนเห็นมึงนอนอยู่ที่โคลนนั่น กูขอโทษ ขอโทษที่แกล้งมึงไปแบบนั้น ขอโทษที่บังคับมึง”



“ครับ” ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจนพูดอะไรไม่ออก ผมไม่คิดเลยว่าพี่มันจะคิดแบบนี้...ผมก้มหน้ามองมือตัวเองแล้วพึมพำถามออกไปด้วยความหวัง “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้พี่จะกลับมาอยู่ห้องนี้ใช่ไหม แล้วผมขอเรียกพี่ว่าลูกพี่เหมือนเดิมได้ไหม”



“อือ ได้สิ แต่กูไม่มีรูปมึงแล้วนะ”



“อ่า” ผมพยักหน้ารับ



“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” พี่มันเอาแขนมากอดคอผมไว้แล้วดึงตัวผมไปใกล้กัน “กูจะเก็บความลับว่าเวลามึงร้องไห้แล้วขี้มูกโป่งไว้ให้เอง”



“ครับ ลูกพี่” ผมสบตากับคนข้างๆ ในแววตาคู่นี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ทำผมใจเต้นแรง ผมไม่อยากถามถึงความสัมพันธ์ของเราแล้ว กลัวเหลือเกินที่จะถามออกไป กลัวว่าถามออกไปแล้วจะไม่มีแววตาแบบนี้มอบให้กันอีก



“ฮ่าๆๆๆ” แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน หัวเราะเสียงดังจนกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรง ผมเงยหน้ามองคนที่กอดคอผมไว้ที่กำลังยิ้มกว้าง แค่ได้อยู่ข้างๆ คนที่เราชอบมันก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรอ ผมขออยู่ชื่นชมความอบอุ่นจากเขาคนนี้ต่อไปโดยไม่หวังอะไร





“ขอบคุณนะครับ”

“เหมือนกัน”

 



          ผมเชื่อว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ

          และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะรอยยิ้มของคนตรงหน้านั้น

          ช่างสวยงามเหลือเกิน





ออฟไลน์ กฤตย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
 :a5:รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
10. น้องมิมไม่อยากไปค่าย



“พี่เสร็จยัง”

 

“เออ” ผมมองคนที่กำลังวิ่งวนไปทั่วห้อง เพื่อตามหาถุงเท้าอีกข้างของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อคนตัวสูงเจอมันอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง “แป๊บเดียวๆๆ”

 

“พี่..จะสายแล้ว” ใครบอกว่าพี่มันหล่อนิ่ง โคตรเท่กันวะ มันก็ไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไปเลยสักนิด

 

“เสร็จแล้ว” บางทีที่แตกต่างคงจะเป็นหน้าหล่อๆ ที่เวลายิ้มแล้วโคตรดูดีกว่าเดิม แบบตอนนี้ล่ะมั้ง “ไปเรียนกัน”

 

          เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ปกติที่ว่าหมายถึงแบบที่รูมเมทปกติทั่วไปเขาเป็นกัน เราคุยกันบ่อยขึ้น ส่วนมากก็พูดถึงเรื่องที่เจอในแต่ละวัน ไปกินข้าวด้วยกันในบางครั้งที่ว่างตรงกัน แต่เราไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผ่านมากันอีกเลย รวมถึงเรื่องที่จูบด้วย...เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกันได้แนบเนียนซะจนผมคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง

 

          วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เรานั่งรถรางไปเรียนด้วยกัน ด้วยความที่รถรางจะไปถึงคณะพี่มันก่อนที่จะถึงคณะวิท ผมเลยต้องนั่งข้างในสุดไปโดยปริยาย ตามปกติแล้วเราจะไปพร้อมบอสกับข้าว บางทีก็จะมี ‘พี่พี’ เพื่อนพี่โตมาด้วยแต่วันนี้เราตื่นสาย ทุกคนเลยไปกันก่อนแล้ว อันที่จริงแล้ว ผมไม่เคยนั่งรถรางกับพี่มันสองคนเลย

 

“เอาไป อาหารเช้าสำคัญ” ผมสะดุ้งเพราะจู่ๆ พี่มันก็โยนอะไรบางอย่างมาที่กระเป๋าที่อยู่ตรงตักผม

 

“ขนมเนี่ยนะพี่” ผมหยิบของตรงหน้าขึ้นมาดู แล้วก็ยิ้มออกมาเพราะมันคือขนมยี่ห้อมอร์จุ๊บของโปรดของผม

 

“กินไปเหอะ” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วก็หันไปสนใจมือถือตัวเอง ผมแอบย่นจมูกใส่พี่มันแล้วเริ่มแกะห่อ “ดีกว่าไม่ได้กิน”

 

“ของพี่อะ” ผมถามขณะที่เคี้ยวขนมตุ้ยๆ

 

“...” พี่มันเก็บมือถือแล้วเอามือกอดอกทำท่าจะนอน เหมือนจะหนีผม

 

“อะ ผมให้” ผมยื่นขนมไปข้างหน้าคนที่หลับตาอยู่ ไม่ถึงวิตาคมนั่นก็หรี่ขึ้นมามองหน้าผมแทนขนม

 

“คุ้นๆ ว่ากูซื้อ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้สบตากัน

 

“เอ่อ..พี่ให้ผมแล้วนี่” ..อย่าจ้องกันขนาดนี้ได้ไหมเล่า!!!

 

“เหอะ” ถึงจะทำเป็นไม่อยากกินแต่พี่มันก็หยิบชิ้นที่ผมยื่นให้ไปกินเข้าปาก แล้วก็กลับไปนั่งกอดอกและหลับตาเหมือนเดิม

 

“ฮ่าๆๆ” ผมมองคนที่กินขนมไปหลับตาไปแล้วก็ขำออกมาเสียงดัง ผมยื่นขนมให้อีกชิ้น พี่มันก็หยิบไปกินแล้วเก๊กเหมือนเดิม สงสัยคงติดใจขนมแล้วสิ “ผมบอกพี่แล้วว่าอร่อย”

 

“เออ” เฮ้อ น่ารักจริงๆ เลย

 

          เพราะเวลานี้ใกล้เวลาเข้าเรียนเต็มทีแล้ว ทำให้คนในรถรางเยอะจนเราต้องนั่งเบียดกันขนาดที่ว่าไหล่ผมไปเกยอยู่บนอกพี่มันแล้ว ตอนแรกก็กลัวพี่มันจะรำคาญแต่คำว่าไม่เป็นไรก่อนหน้านี้ก็ทำเอาผมเกือบหลุดยิ้มออกมา

 

          ผมมองสำรวจใบหน้าหล่อเหลาคนที่กำลังหลับอยู่ตอนนี้แล้วใจก็เต้นแรงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ยิ่งไหล่ของผมไปสัมผัสบนอกแน่นนั้นแล้ว ก็เหมือนเลือดทั้งหมดในร่างกายมันวิ่งมาประท้วงบนหน้าผม ทำยังไงดี ถ้าผมหัวใจวายตายก่อนเรียนจบจะทำยังไง

 

“มึงนี่ เหมือนน้องชายกู”

 

“อะ..อะไรของพี่” ผมสบตากับดวงตาคมที่ลืมขึ้นมามองกัน

 

“ชอบทำหน้าเหลอหลาไปทั่ว”

 

“ผะ..ผมไม่ได้ทำ” นี่พี่มันไม่ได้หลับหรอ เห็นผมแอบมองตั้งแต่แรกเลยสินะ!

 

“หึ” หัวเราะใส่ผมก่อนจะหลับตาหนีกันดื้อๆ ผมเลยหันหน้าออกไปด้านข้างแทน ไม่มองก็ได้

 

          หลังจากนั้นผมก็นั่งเกร็งไปสักพักแต่พอมองข้างทางไปเรื่อยๆ ผมก็ผ่อนคลายลง ผมชอบลมเย็นที่พัดผ่านหน้าในตอนนี้มันทำให้ผมอารมณ์ดีมาก จนหลุดยิ้มออกมา ผมแอบมองใบหน้าคนข้างกายที่กำลังหลับตาพริ้มอีกครั้ง แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม พี่มันบอกว่าผมเหมือนน้องชายเขา แต่ผมว่าผมไม่เหมือนน้องชายพี่เลยสักนิดเพราะน้องชายพี่ต้องไม่ใจเต้นแรงกับพี่แบบนี้สิ

 

“กูไปละ”

 

“ครับ” ผมพยักหน้าแล้วโบกมือบ๊ายบายหยอยๆ ให้พี่โต ทำไมวันนี้รถรางขับเร็วจังวะ

 

“ไม่สาย ไม่ต้องทำหน้างอ” ผมกำลังจะเถียงกลับแต่นิ้วมือชี้ของคนตัวสูงกว่าก็จิ้มลงมาที่แก้มซ้ายผมเบาๆ สองครั้ง

 

จึ้กๆ

 

“อะ!..” ผมสะดุ้งและเบิกตาโพลงกับการกระทำนั้นของพี่มัน รู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้าจนอยากจะร้องไห้

 

“หึ ตั้งใจเรียน” แล้วผมก็นั่งก้มหน้าเพราะทนกับสายตาคู่นี้ที่จ้องมองมาที่ผมไม่ไหว กลัวว่าหัวใจจะกระเด้งออกมาจากอกและหัวสมองของผมก็ประมวลผลอะไรไม่ออกเลย

 

          ผมรู้แค่ว่าก่อนลงพี่มันลูบหัวผมเบาๆ อีกครั้ง ลูบแบบลูบที่ไม่ใช่ขยี้เหมือนไอ้บอส ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งขยับแว่นตัวเองไปมา แอบมองคนตัวสูงเดินลงไปจากรถ มองหลังกว้างที่เดินเร็วเข้าตึกไป ลมเย็นเหมือนเรียกสติผมกลับมาแต่เหมือนเรียกกลับมาไม่ครบสักเท่าไหร่เพราะผมเอาแต่จับหัวตัวเองแล้วยิ้มออกมาไม่หยุด จนผู้หญิงที่นั่งข้างผมทำหน้าแปลกๆใส่

 

          ผมบอกแล้วว่าผมไม่เหมือนน้องพี่เลยสักนิด น้องพี่น่ะคงไม่ใจเต้นแรงกับทุกการกระทำของพี่ คงไม่อยากกอดหรืออยากจูบพี่ตอนที่อยู่ใกล้กันแน่ๆ

 

 

 

“กูมาทันเว้ย” ผมวิ่งยิ้มร่าเข้าห้องเลคเชอร์ ดีใจสุดๆ เพราะมาทันเวลาแบบเฉียดฉิวแถมอาจารย์ยังไม่เข้าห้องเลยด้วยซ้ำ

 

“ใช่เวลาอวดไหม นั่งๆ” ไอ้บอสกรอกตาใส่ผมแล้วดึงแขนผมให้นั่งข้างมัน ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปหาข้าวที่นั่งอยู่ข้างบอส อาจารย์ก็เข้าห้องก่อน ผมเลยทำได้แค่ส่งยิ้มให้ข้าว

 

          พออาจารย์เริ่มสอนก็เหมือนทุกคนกำลังโดนร่ายมนต์ใส่ อาจารย์เหมือนมีความสามรถในการทำให้หนังตาเป็นอวัยวะที่หนักที่สุดได้และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนเวทมนต์นี้ แต่ก่อนที่ผมจะพ่ายแพ้ผมก็หันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน ไอ้บอสแพ้อาจารย์ไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกกำลังนั่งหลับสัปหงก ส่วนข้าวก็เหมือนคนที่เอาชนะเวทมนต์ได้เพียงคนเดียวเพราะตาใสนั้นเอาแต่จับจ้องไปที่ด้านหน้า มือจดทุกคำพูดของอาจารย์

 

          ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยตอนไอ้บอสมันเอนหัวไปซบข้าวแต่โดนข้าวจับหัวซบลงบนโต๊ะแทน ข้าวหันมาหัวเราะแบบไม่มีเสียงกับผม แล้วหันไปตั้งใจเรียนต่อ ผมมองภาพนี้สักพักเพราะเป็นภาพที่ผมอยากเห็นใกล้ๆ มานานแล้ว ต่อไปนี้ผมคงไม่ต้องเฝ้ามองดูจากข้างหลังอีกแล้ว ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะ...

 

“คร่อก” พ่ายแพ้ให้กับเวทมนต์ของอาจารย์

 

ครืด

 

“อือ” ผมตื่นขึ้นมาเพราะแรงสั่นของมือถือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ งัวเงียลุกขึ้นมามองนาฬิกาหน้าห้องแล้วถอนหายใจ นี่ผมหลับไปเกือบสองชั่วโมงเลย

 

“เก็บของกันเร็ว หิวแล้ว” ข้าวบอกแบบนั้นตอนอาจารย์เดินออกไปจากห้อง แล้วลุกขึ้นยืนเร่งพวกผม

 

“กินไรดีวะ” บอสถามข้าวไป เก็บของไป

 

“ชาบูๆๆๆๆ” ส่วนข้าวก็กระโดดไปมา แบบรู้เลยว่าอยากกินแค่ไหน “ชาบูไหมมิ”

 

“เคๆ” ผมมันอะไรก็ได้แม้จะต้องเจียดเงินเก็บมาก็ตาม ฮึก วันต่อไปคงต้องพึ่งพามาม่าเพื่อนยาก

 

          ผมหยิบมือถือมาดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาและเดินตามหลังข้าวออกจากห้องเลคเชอร์ไป จู่ๆ ไอ้บอสก็เอียงหัวมาดูหน้าจอมือถือผมแบบตั้งใจเผือกมาก “ใครวะ” 

 

“อ่อ พี่โตบอกว่าเรียนเสร็จแล้ว” ผมอ่านข้อความให้ไอ้บอสฟัง

 

ครืด

 

“หิว”

 

“ฮ่าๆ คืนดีกันแล้ว พี่มันต้องรายงานมึงตลอดเลยหรอวะ”

 

“เอ่อ..” คำว่ารายงานของมัน ทำใจผมกระตุก

 

“งั้นชวนมากินชาบูกับเราดิ”

 

“พวกมึงจะไม่อึดอัดหรอ” ผมถามบอสกลับ

 

“ไม่เป็นไรเว้ย” ไอ้บอสพูดแบบนั้น แล้วกอดคอผม เพื่อลากเข้าลิฟต์ที่ตอนนี้ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเราสามคน

 

“แน่ใจนะ” ผมกังวลจน เผลอขยับแว่น

 

“แน่ใจสิมิ มาสี่จ่ายสามนะ” ผมมองข้าวที่ชูสี่นิ้วขึ้นมาสลับเป็นสามนิ้วไปมาแบบงงๆ

 

“รู้เรื่อง!” กว่าจะเข้าใจก็ตอนที่ไอ้บอสกับข้าวแท็กมือกัน

 

“ฮ่าๆๆๆ” แล้วพวกเราก็หัวเราะลั่นลิฟต์

 

 

 

          หลังจากที่พวกผมยืนรอคนหาร เอ้ย รอพี่โตที่หน้าร้านชาบูข้างมหาลัยไม่นานนักพี่โตก็มายืนหล่อสมทบกับพวกเราแต่สิ่งที่นานคือต้องรอคิวเข้าร้าน ยังดีที่พวกเรามีเกมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่ทำให้รอคอยได้ถึงหนึ่งชั่วโมง จนเวลาล่วงเลยถึงบ่ายสองในที่สุดก็ได้เข้ามานั่งที่โต๊ะ

 

          ผมนั่งข้างพี่โตส่วนบอสกับข้าวก็นั่งข้างกัน โดยผมนั่งตรงข้ามกับข้าว พวกเราไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่ละคนรีบสั่งของกินและเทลงหม้อกันอย่างลวกๆ ตามแบบฉบับผู้ชายหิวโซ

 

“มาพี่ผมตักให้”

 

          ผมมองไอ้บอสที่รับถ้วยมาจากพี่โตแล้วหนักใจ ก็มันดันตักปลาหมึกให้พี่มันจนพูนถ้วยขนาดนั้น มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าไม่ติดว่าพี่มันไม่กินปลาหมึก ผมมองหน้าคนด้านข้างที่ขมวดคิ้วหน่อยๆ นี่อีกคน ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง กลายเป็นผมต้องพูดออกมาเองเพราะทนไม่ไหว

 

“มึง..พี่โตไม่กินปลาหมึก” ผมรู้เรื่องนี้ก็ตอนโดนแกล้งให้ไปซื้อข้าวปลาหมึกกระเทียมมาให้พี่มันแต่พี่มันดันไม่กินปลาหมึก ผมเลยต้องเดินไปซื้อข้าวผัดหมูให้พี่มันกินแทน จำได้จนวันนี้เพราะวันนั้นมันร้อนมากจนผมคิดว่าผมจะละลายตายไปเพราะแดดประเทศไทย

 

“จริงดิพี่” ไอ้บอสหยุดตักแล้วมองหน้าพี่โตแบบทึ่งๆ

 

“อือ” นี่ก็นิ่งซะจนผมคิดว่าพี่มันหลับ

 

“รู้ใจกันไปอี้ก” มันเอาปลาหมึกทั้งหมดบนถ้วยพี่โตเทลงถ้วยผม แล้วคืนถ้วยให้พี่โต ก่อนจะทำท่าบิดไปมาจนขาผมกระตุก

 

“ไอ้บอส!”

 

          ผมขึ้นสียงใส่มันแล้วแก้อาการเขินด้วยการหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบแก้ร้อนที่ใจและใบหน้า ผมแอบกังวลว่าพี่มันจะไม่สบายใจ แอบมองหน้าคนนั่งข้างกันแต่ก็ต้องตกใจที่พี่มันก็หยิบน้ำขึ้นมากินเหมือนกัน พี่มึงมากินน้ำพร้อมกันตอนนี้ทำไม!

 

“กินน้ำพร้อมกันไปอี้ก” ผมถลึงตาใส่ไอ้บอสให้หยุดพูด

 

“ชงเก่งขนาดนี้ ไปขายกาแฟเลยไป” ผมพูดไปหน้าร้อนไป

 

“แหม เขินหรอจ้ะ น้องมิ้นน” ยัง ยังไม่หยุดอีกไอ้เพื่อนบ้า

 

“มิ้นพ่อง” ทนไม่ไหวเลยหยิบผักปาใส่มัน

 

“ฮ่าๆ” แต่ไอ้บอสดันหลบหลังข้าวแล้วหัวเราะใส่ผมอีก

 

“ฮึ่ย”

 

“พอๆ กินต่อเร็ว” เป็นข้าวที่ห้ามทัพ ผมเลยทำได้แค่นั่งเคี้ยวปลาหมึกไปมองหน้าไอ้บอสไปอย่างเกรี้ยวกราด

 

“คร้าบ” หมั่นไส้มัน!

 

          หลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งใจกินกันอย่างสามัคคี มีหัวเราะกับมุกฮาๆ จากไอ้บอสเป็นระยะ ระหว่างนั้นผมก็แอบมองใบหน้าของคนนั่งข้างกันไปด้วย แอบโล่งใจที่ดูเหมือนพี่โตดูโอเค ถึงพี่มันจะเงียบเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ดูไม่อึดอัดอะไร ดีจังเลยนะ

 

 

 

“มึงไปค่ายกับกูไหม” จู่ๆ ไอ้บอสก็หันมาพูดกับผมระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งพักหลังกินเสร็จ

 

“ค่ายไรอะ”

 

“ค่ายจิตอาสาไปเก็บขยะตามชายหาดไรงี้ เขาบังคับกิจกรรมเป็นคู่แบบแฮปปี้บัดดี้” ผมมองไอ้บอสที่ดี๊ด๊าผิดปกติ แล้วคิ้วขวาผมก็กระตุกทันที “ไปนะมึง วันเสาร์นี้เอง”

 

“ก็คือพรุ่งนี้?” ผมมองข้าวที่ตอนนี้นั่งกุมขมับอยู่สลับกับไอ้บอสที่ร่าเริงผิดปกติ พวกมันทำตัวแปลกเกินไปแล้ว เอ๊ะ.. “เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่า”

 

“ใช่จ้ะ กูเขียนชื่อมึงไปแล้วเพื่อนเลิฟ” ผมมองมันที่ลุกลี้ลุกลนเบียดตัวควายๆ ของมันไปอยู่หลังข้าว แล้วยังมีหน้าโผล่หน้าออกมาพูดอีกว่า “ก็ข้าวไปคู่กับพี่มันแล้วอะ ฮี่ๆ”

 

“ยังจะมาฮี่ๆ อีก กูไม่ไป!” ผมตะโกนขึ้นมาทันที พยายามเอื้อมมือไปดึงผมคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม โดยมีพี่โตที่คอยยื้อคอเสื้อผมไว้อยู่ “มานี่เลย ใครบอกให้เขียนชื่อกูฮะ!”

 

“พี่โต ช่วยผมด้วยย” ผมมองหน้าไอ้บอสที่กำลังอ้อนพี่โต แล้วชาบูแสนอร่อยก็แทบจะพุ่งออกมา แต่ก่อนที่ผมจะอ้วกนั้น

 

“...” พี่โตก็พยักหน้าให้ไอ้บอส แล้วผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแทนทันที “มึงไปค่ายดิ”

 

 

 

          หลังจากผมกัดกับไอ้บอสพักใหญ่ เราก็เดินออกจากร้าน ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปค่ายดีไหม เลยบอกไอ้บอสว่าจะให้คำตอบคืนนี้ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ไอ้บอสต้องเข้าไปคุยเรื่องดาวเดือนที่คณะ ข้าวเลยอาสาไปเป็นเพื่อนมัน ส่วนผมกับพี่โตก็ตัดสินใจเดินกลับหอด้วยกันสอคน ถามว่าผมตื่นเต้นไหม บอกเลย…

 

“พะ..พี่ ดูน้อง มะ...หมาสิ แหะๆ” ตื่นเต้นจนพูดไม่รู้เรื่องแล้ว!

 

“...นั่นกองใบไม้แห้ง” พี่มันพูดด้วยใบหน้าและเสียงเนือยๆ แล้วเดินนำผมไปก่อน

 

“อ่า...ฮะ จริงด้วย” ทิ้งให้ผมยืนเดียวดายอยู่ท่ามกลางเศษหน้าของตัวเอง โอ๊ย ทำไมถึงมึนขนาดนี้นะ ไม่เท่เลย

 

“มิม...มานี่”

 

          ผมละสายตาจากกองใบไม้ที่รูปร่างเหมือนหมานอน ไปมองคนที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบใหญ่ใจกลางมหาลัย พี่โตเรียกผมแล้วก็หันหลังกลับไป

 

 “ครับ”

 

          ผมตอบรับเบาๆ แล้วเดินไปหยุดข้างคนตัวสูงกว่า เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว แสงรอบข้างเราเลยกลายเป็นสีส้มไปหมด

 

“...”

 

“พี่รู้ไหมว่าพี่เป็นคนแรกที่เรียกชื่อผมถูก” ผมพูดออกไปทำลายความเงียบ

 

“หรอ” ผมมองใบหน้าคนด้านข้างที่กลายเป็นสีส้มเพราะแสงของดวงอาทิตย์กำลังส่งสัญญาณล่ำลากัน ถึงจะกลายเป็นสีส้มแต่ก็ยังดูดีจนใจผมเต้นแรงขึ้นมาไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไหร่ของการอยู่ใกล้กัน

 

“จริงๆ นะ ไม่เคยมีใครเรียกชื่อผมถูกเลย เหมือนไม่มีใครจำได้” ผมรู้สึกงี่เง่าที่พูดเปิดเผยความอ่อนแอไป อายจนต้องหันกลับมามองผืนน้ำที่กลายเป็นสีส้ม

 

“ไม่หรอก”

 

“...” ผมบึนปากไม่เชื่อคำพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

 

“ทุกคนจำได้” พี่มันเว้นวรรคนานจนผมสงสัยหันหน้ากลับไปมอง ถึงรู้ว่าพี่มันกำลังมองผมอยู่ “ที่เขาเรียกแบบนั้นเพราะว่าเวลาเรียกแล้ว มึงชอบทำหน้าตลกแบบนี้ไง”

 

“ไม่จริงหรอก” ผมย่นจมูกใส่คนข้างๆ แล้วหันไปมองผืนน้ำอีกครั้ง

 

“หึ”

 

          เสียงหัวเราะของพี่มันเหมือนลอยมาตามลมที่พัดมา เล่นเอาหัวใจผมคันยุกยิกไปหมด ผมมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลากันไปแล้วจริงๆ รอบข้างเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม จนผมใจหาย ทำไมกันนะ ช่วงเวลานี้ของวันผมมักจะเศร้าทุกที

 

“กูอยากให้มึงไปค่าย” ผมเลิกคิ้วทันทีที่พี่มันพูดออกมาแบบนั้น

 

“ไอ้บอสมันจ้างพี่มาเท่าไหร่”

 

“หึ” หัวเราะอีกแล้ว “เปล่า กูแค่อยากให้มึงไป”

 

“ทำไมครับ” ผมมองสบตาคนข้างๆ อีกครั้ง

 

“อยากให้มึงได้ประสบการณใหม่”

 

“ผม..” เพราะแววตาคนข้างหน้านั้นจริงจัง จนผมเผลอเปิดความอ่อนแอให้เขาเห็นอีกครั้ง “ผมกลัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้”

 

“เข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กูแค่อยากให้มึงได้เจอคนเยอะๆ มึงอาจจะโชคดีได้เจอกับคนที่เข้ากับมึงได้อีกแบบพวกไอ้บอสไง...ไม่ดีหรอ”

 

“ดีครับ แต่ถ้าไม่เจอ..” ผมเม้มปากแล้วหลบตาคนตรงหน้า หันกลับไปมองท้องฟ้าสีครามข้างหน้าแทนผืนน้ำที่มืดมิด

 

“ก็เก็บไว้เป็นบทเรียนไง” เหมือนพี่มันจงใจเว้นวรรค ให้ผมได้เตรียมใจกับคำพูดต่อไปของพี่มัน “หรือแบบที่มึงเคยเจอมาก็เก็บไว้เป็นบทเรียนก็พอ อย่าเก็บเอาพวกนั้นมาทำร้ายตัวเองในตอนนี้”

 

“...” คำพูดที่ทำเอาผมพูดไม่ออก

 

“การที่มึงเจอคนหลายรูปแบบจะทำให้มึงโตขึ้นและมึงมีค่ากว่าคำพูดของคนพวกนั้น”

 

“..ฮึก” และสัมผัสอบอุ่นจากมือใหญ่ที่วางอยู่บนหัวของผม ทำเอาผมร้องไห้ออกมา

 

“ร้องไห้ทำไม หื้ม” ผมไม่รู้ว่าเสียงทุ้มกับลมที่พัดมา อะไรที่ทำให้หัวใจผมลอยไปไกลได้มากกว่ากัน

 

“ท้องฟ้า...สวยมากเลยครับ” แต่ผมรู้ว่ามันทำให้ผมงี่เง่าชะมัด

 

“หึ กูก็ว่างั้น” งี่เง่า ที่ชอบคนคนนี้ไปหมดหัวใจแล้ว

 

 

 

          หลังจากนั้นเราก็เดินกลับหอด้วยกันด้วยความเงียบแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรและผมก็หวังว่าคนที่เดินข้างกันจะไม่รู้สึกอึดอัดกับผมด้วย พอถึงหอผมก็ส่งไลน์ไปบอกบอสว่าจะไปค่ายกับมัน มันดีใจใหญ่จนแทบจะลงมาหาแต่ผมก็ห้ามไว้ทัน ไม่อยากกัดกับมันอีก เปลืองพลังงานในการเตรียมกระเป๋า ถึงจะไปแค่สองวันแต่ผมก็ต้องเตรียมของทุกอย่างให้พร้อม

 

“ต้องเครียดขนาดนั้นเลยหรอ”

 

“ครับ” ผมตอบแล้วเงยหน้ามองพี่มันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและเดินเข้ามายืนมองผมกำลังเตรียมของใส่กระเป๋า

 

“จัดตามที่ในกรุ๊ปไลน์บอกก็จบแล้ว” พี่มันหมายถึงกรุ๊ปไลน์ค่าย ที่ไอ้บอสเพิ่งลากผมเข้าไป ในนั้นมีบอกรายละเอียดทุกอย่าง รวมถึงสิ่งของที่ต้องเอาไปด้วย “พี่..ผมเริ่มกังวล จนไม่อยากไปอีกแล้ว”

 

“กลัวคิดถึงกูรึไง”

 

ตุบ

 

          เพราะคำพูดนั้น ทำเอามือผมหมดแรงปล่อยถุงแชมพูหลุดมือจนมันกลิ้งไปกระทบเท้าคนที่ยืนค้ำหัวกันอยู่

 

“มึงนี่นะ” พี่มันหยิบขวดแชมพูแล้วเดินเข้ามานั่งข้างผมหยิบเสื้อผมขึ้นมาพับ “กูช่วย”

 

“อะไรของพี่” ผมก้มหน้าหงุดไม่ยอมมองหน้าคนข้างกัน ทำไมพูดคำว่าคิดถึงออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้นกันนะ

 

“มิม” ผมไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่เรียกกัน จะมองได้ไงเล่า ผมรู้ว่าตอนนี้ผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ

 

          แต่เหมือนผมจะคิดผิดเพราะไม่ทันที่ผมจะพับเสื้อตัวนี้เสร็จ พี่โตก็ใช้สองมือใหญ่นั่นมาประครองหน้าผมให้เงยหน้าไปสบตากันโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว



“พี่..”

 

“ยอมมองหน้ากันสักที”

 

          เหมือนหัวใจของผมกำลังเต้นประท้วงการกระทำนี้ มันเต้นแรงจนผมกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน ผมพยายามยื้อหน้าออกแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะสายตาคนตรงหน้าที่ทำให้ผมใจกระตุก

 

          รอบตัวของพวกเราเงียบงัน ก่อนที่ผมจะรับรู้ว่าใจของผมมันเต้นเร็วกว่าเดิม ก็ตอนที่ปลายจมูกเราสัมผัสกันเบาๆ ผมจ้องตาคนข้างหน้าอีกครั้งราวกับจะได้รับรู้ความรู้สึกของการกระทำนี้ แต่พี่โตกลับหลบตาแล้วลดมือทั้งสองข้างนั้นลง

 

“พี่..”

 

          สุดท้ายเป็นผมเองที่ดึงไหล่คนตัวโตกว่าเข้ามาหากันและประกบปากตัวเองลงไปที่ริมฝีปากร้อน ความรู้สึกมักไปไวกว่าสมอง ผมบดเบียดริมฝีปากเข้าหาคนตรงหน้า จูบซับเบาๆ ที่มุมปากและพี่โตตอบรับสัมผัสของผมด้วยการขบริมฝีปากล่างของผมเบาๆ มือใหญ่อันอบอุ่นนั้นลูบไล้หลังผมขึ้นมาจนถึงท้ายทอย ผมเบียดตัวเองเข้าหา ให้ริมฝีปากเราได้ใกล้กันอีกนิด

 

          แต่แล้วสัมผัสร้อนก็โดนช่องว่างเข้าแทรก ผมลืมตามองคนข้างหน้าที่ผละตัวออกจากกัน พี่โตไม่สบตาผมและลุกออกไปนอนที่เตียงตัวเองทันที ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากพี่โตอีกเลย มีแต่แผ่นหลังกว้างที่ผมมองเห็น

 

 “ผม..” นานนับนาที ผมก็หลุดเสียงที่แสนงี่เง่าของตัวเองออกมาทำลายความเงียบ แต่ก็ไม่มีคำใดจะพูดออกมาต่อ มีแต่ความเงียบระหว่างพวกเราเท่านั้น

 

 

 

          เมื่อคืนผมนอนไม่หลับและผมก็ไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนตียงชั้นสองนั้นนอนหลับรึเปล่า ผมเห็นพี่โตลุกออกไปข้างนอกตอนตีสี่เพราะพี่มันรู้ว่าผมต้องตื่นตอนตีห้าอย่างแน่นอน เพียงแค่เห็นแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้อง น้ำตาที่ผมเก็บไว้ทั้งคืนก็หลั่งไหลออกมาไม่หยุด สิ่งที่ผมกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว จบแล้วสินะ ต่อไปนี้คงไม่มีแววตา สัมผัสหรือคำพูดที่แสนอบอุ่นพวกนั้นแล้ว

 

          แล้วคนที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ก็คือผมเอง ผมทำลายทุกอย่างเอง แค่ได้รับความอบอุ่นก็คิดไปเอง เป็นผมเองที่โลภเองที่หวังมากไป หวังว่าจะได้รับความรักจากเขา จนทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ โดนเกลียดเข้าให้แล้ว

 

ครืด ครืด

 

“ตื่นรึยังจ้ะ บัดดี้” เสียงสดใสจากไอ้บอส ทำเอาผมน้ำตาคลออีกครั้ง

 

“อือ”

 

“ลงมาเร็ว กูรออยู่หน้าหอ”

 

          สุดท้ายผมก็มานั่งหน้าเศร้าบนรถบัสอยู่ข้างไอ้บอส รอบตัวผมดูสดใสร่าเริงตรงข้ามกับจิตใจผมไปหมดเลย ทุกคนร้องเพลงสันกันเสียงดังและบางคนก็เต้นกันไม่หยุดตั้งแต่ล้อยังไม่หมุน บรรยากาศครึกครื้นทำเอาผมหัวเราะออกมาได้

 

          แต่พอเปลี่ยนเพลงสันมาเป็นเพลงมัดหมี่ ผมกลับหัวเราะไม่ออกเอาดื้อๆ สุดท้ายเลยหันมามองป้ายชื่อสีชมพูที่ห้อยคอตัวเองแทน ป้ายสีชมพูสดใสเขียนด้วยลายมือแสนน่ารักว่า ‘มิมีใคร’ ทำเอาผมหงุดหงิดจนหันไปมองนอกรถแทน แม้แต่ป้ายชื่อยังตอกย้ำกันเลย

 

“ขอเสียงปรบมือให้กับคู่มาสายแห่งชาติหน่อยจ้า” เสียงแหลมจากพี่แตงสาวประเภทสองที่เป็นหัวหน้าค่ายของเราวันนี้ เรียกความสนใจผมให้หันไปมอง

 

          ทุกคนปรบมือและส่งเสียงแซวคนด้านหน้า ผมปรบมือตามงงๆ และหยิบแว่นขึ้นมาใส่ พอภาพข้างหน้าชัดเจนมือสองข้างของผมก็ชะงักข้างทันทีที่ได้สบตากับตนที่ยืนอยู่ด้านหน้า พี่โตกำลังยืนอยู่ข้างหน้านั่น ที่สำคัญพี่มันกำลังมองจ้องมาที่ผม

 

“นี่คบกันแล้วจริงจัง? มาด้วยกันแบบนี้” เสียงพี่แตงเรียกสติผมอีกครั้ง ผมหันไปมองผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างพี่โต

 

“พี่แตง” ผู้หญิงคนนั้นสวยจนผมใจหาย เธอตีแขนพี่แตงเบาๆ แล้วหันกลับไปมองใบหน้าพี่โต

 

“แหม ทำอายลูกแก้วจ๋า ได้ยินข่าวว่าตามเขาต้อยๆ”

 

“พี่แตง” เธอเขินอายด้วยท่าทีที่น่ารัก

 

“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะพี่แตงดังขึ้น พร้อมกับใจของผมที่แตกสลายลง

 

“ว่าไงคะ คุณชาย”

 

“...” และความเงียบของพี่มัน ก็ทิ้งผมให้ยืนเดียวดายท่ามกลางเศษใจตัวเองอีกครั้ง แค่นี้ผมก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว

 

“กริบจ้า เจ๊ขอโทษที่แซวแรง แยกย้ายๆ” พี่แตงดันหลังสองคนให้หาที่นั่ง “คนครบ! ล้อหมุนเลยจ้า เลทโก!!”

 

          ส่วนผมก็ยังโง่เง่าเผลอสบตากับคนที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง ความน้อยใจและเจ็บปวดในอกตีขึ้นมาทันที ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวจากน้ำตาตัวเอง จนผมมองคนที่กำลังเดินหาที่นั่งไม่ชัด ผมบังคับไม่ให้น้ำตาไหลออกมาด้วยการเบือนหน้าหนีภาพข้างหน้า

 

          แค่เดินข้างกันก็เหมาะสมขนาดนั้นแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทุกคนก็รู้อยู่แล้ว มีแค่ผมที่ไม่รู้อะไรเลย ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่มันเลย






ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
11. ขี้แยจังวะ



“ขอนั่งด้วยนะครับ”

 

          ผมตกใจกับเสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างกาย ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร ผมไม่มองร่างสูงที่ยืนอยู่เลยสักนิด สายตาผมเอาแต่มองออกไปข้างทางแทน เผลอดันแว่นแล้วเบียดตัวเองให้ชิดกับกระจกรถ พร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนบอสไว้ส่งสัญญาณให้ช่วยกัน


“พี่..” ผมเดาว่าบอสก็คงตกใจไม่น้อยที่พี่โตโผล่มาแบบนี้ ผมดึงแขนมันอีกครั้ง “เอ่อ”

 

“ไอ้บอส” ผมตัดสินใจหลับตาแล้วเอาหน้าไปซุกไหล่บอสแทน ไม่อยากเจอตอนนี้ ขอเวลานอกหน่อย

 

“มึงคือ..” ไอ้บอสทำท่าทีอึกอักครู่ใหญ่ ก็สะดุ้งเพราะเสียงเรียกของข้าว

 

“บอส! มานี่..” แล้วนางฟ้าของผมก็ดึงเกราะป้องกันของผมไปเหลือแต่ความว่างเปล่า ผมมองแค่หลังไอ้บอสที่ลุกขึ้นยืนก็หลับตาหนีปัญหา เมื่อกี้ผมเห็นแค่แขนพี่โตก็ใจสั่นเป็นบ้าแล้ว

 

“มันเรื่องอะไรกันวะ..” ผมได้ยินเสียงพึมพำของบอสที่กำลังเดินออกไปจากผม

 

“ชู่!” ทำไมนางฟ้าของผมถึงทำแบบนี้

 

“ไอ้บอส! ข้าว!” ทนไม่ไหวเลยลืมตามองสองคนนั้นที่วิ่งออกไป

 

พรึ่บ

 

“มิม...” ไม่ทันที่ผมจะหลับตาอีกรอบ คนตัวใหญ่กว่าก็นั่งลงแทนที่ไอ้บอสและส่งเสียงทุ้มเรียกกัน

 

“ผม...” แค่ได้สบตากับคนที่นั่งข้างกันในตอนนี้ เหตุการณ์เมื่อคืนก็ย้อนเข้ามาและใจผมก็ปวดหนึบขึ้นมา สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดออกไปว่า “ผมขอโทษ”

 

“มิม..ไม่ต้องขอโทษ” ผมมองแววตาคนข้างหน้าที่ดูเศร้า จนผมเผลอใจหายตา ผมไม่เคยเห็นคนตรงหน้าแสดงความรู้สึกแบบนี้และการที่เห็นพี่มันเศร้า ดันทำให้ผมเศร้าตามไปด้วย

 

          จู่ๆ พี่โตก็ทำท่าเหมือนโน้มตัวลงไปหยิบอะไรสักอย่างที่พื้น ทำให้ผมเห็นบรรยากาศในรถที่ตอนนี้กำลังเงียบลง สงสัยคงหมดแรงกันก็ดันเต้นกันตั้งแต่รถยังไม่ออกจากมหาลัย

 

          ผมมองพี่โตที่ก้มลงไปนานจนผิดปกติ ผมมองหูแดงๆ นั่นแล้วก็สงสัย คือพี่บอกผมไม่ต้องขอโทษแล้วก็ก้มหน้าหนีกันเนี่ยนะ แต่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาโดยผมไม่ทันได้ตั้งตัว พี่โตมองตาผมอย่างแน่วแน่ แล้วขยับตัวมาใกล้ผม หันหลังให้ทางเดินบังผมเอาไว้

 

ฟรึ่บ

 

จุ๊บ

 

 “..พี่ทำอะไรเนี่ย!” ผมแทบจะตะโกนเมื่อมือของผมโดนคนข้างๆ ดึงไปจะ..เอ่อ จูบ เสียงดังฟังชัด แต่ผมก็ต้องกระซิบถามแทนเพราะกลัวมีใครได้ยินสิ่งที่พี่มันทำ แต่เหนือสิ่งอื่นใดสัมผัสเมื่อครู่มันกำลังจะฆ่าผม รอยจูบที่อบอุ่นนั้นโดนประทับลงมาอีกครั้งหนึ่งจากคนข้างกัน

 

จุ๊บ

 

“พี่!” ผมตกใจซ้ำสองและผมกำลังแย่ ผมรู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้กำลังจะระเบิดเพราะความเขินอาย หัวใจที่เคยเต้นอย่างเจ็บปวด กลับมาเต้นด้วยจังหวะสั่นระรัวเพราะสัมผัสจูบที่มือ

 

“ขอโทษที่เมื่อเช้าออกมาก่อน” ว่าแบบนั้นแล้วมองผมด้วยสายตาที่อ้อนวอน

 

“ผม...” ผมพูดอะไรไม่ออกสักคำ สับสนกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั้งหมด

 

“ยกโทษให้ได้ไหม” คนที่ปฏิเสธจูบกันเมื่อคืน กำลังอ้อนวอนให้ผมยกโทษให้

 

“พี่...ผมงงไปหมดแล้ว” คนที่ขึ้นรถมากับผู้หญิงคนหนึ่งแต่กลับมานั่งกับผม

 

“เดี๋ยวก็เข้าใจ” กำลังขอร้องให้ผมเข้าใจเรื่องอะไรกัน

 

“...ผม” ผมมีคำถากมายที่อยากถาม ทำไมถึงอยู่ที่นี่ ทำไมถึงทำแบบนี้ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับพี่...

 

“รอพี่ได้ไหม” คำถามเหล่านั้นโดนกลืนลงไปในลำคอเพราะคำพูดพร้อมสายตาอ้อนวอนข้างหน้า พี่โตจับมือผมไว้แน่น สอดประสานนิ้วเติมเต็มช่องว่างและจูบลงที่หลังมือผมอีกครั้ง

 

จุ๊บ

 

“รอพี่นะครับ”

 

“ครับ” และผมก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

 

          ผมมองมือตัวเองที่โดนคนข้างๆ กอบกุมเอาไว้ จนป่านนี้ยังไม่ยอมปล่อยมือผมเลย ผมมองใบหน้าคนด้านข้างที่หลับอยู่แล้วก็ยิ้มออกมา จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะเข้าข้างตัวเอง ถ้าผมหวังอีก จะผิดหวังอีกไหม ‘มีใจเหมือนกันใช่ไหม’ ประโยคนี้ดังขึ้นมาในหัวผม

 

“ไม่ง่วงรึไง”

 

“อะ..” โดนจับได้อีกแล้ว ผมรีบหลับตาปี๋ “ง่วงครับ”

 

“หึ”

 

 

 

          เนื่องจากมีอุบัติเหตุทำให้รถที่จะออกจากกรุงเทพติด ตอนนี้ทั้งคันเงียบกริบส่วนหนึ่งหลับไปเพราะแอร์เย็นๆ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เซ็งเพราะว่าดูเหมือนเราจะถึงที่หมายช้ากว่ากำหนดการและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

 

          ตอนนี้เวลาเที่ยงครึ่งแล้ว แต่ในกำหนดการเราจะเริ่มกิจกรรมกันตั้งแต่เก้าโมง ดูเหมือนทีมงานที่จัดต้องแก้ปัญหากันยกใหญ่ พี่แตงเลยปล่อยให้เรากินข้าวเที่ยงกันก่อนและเรียกรวมทีมงานทันทีที่ถึงโรงแรมที่จะเป็นที่พักของเราเกือบสามสิบชีวิตและผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่โตเป็นหนึ่งในทีมนั้นก็ตอนที่พี่มันขอตัวไปหาพี่แตง

 

“เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยนะคะ เราเลยจะเริ่มกิจกรรมหลักกันเลย ขอให้ทุกคนแยกกลุ่มตามสีป้ายชื่อนะคะ” ผมยืนอยู่ข้างบอสรวมกับสมาชิกในค่าย บริเวณลานอเนกประสงค์ที่อยู่ติดกับชายหาด ผมป้ายสีชมพูส่วนบอสสีฟ้า ผมมองหน้ามันแบบไม่เข้าใจ

 

“ไหนมึงบอกเป็นบัดดี้กันอะ”

 

“นั่นดิ” ไอ้บอสขมวดคิ้วงุนงงแต่ไม่ยอมสบตาผม

 

“กูไม่อยากอยู่แยกกับมึง”

 

“ข้าวก็สีชมพู” บอกแบบนั้นแล้วดึงข้าวให้มายืนข้างผมอีก

 

“อืม ก็ได้”

 

          ผมกับข้าวเดินแยกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ยังดีที่มีข้าวไม่งั้นผมคงอยากร้องไห้มากกว่านี้ ผมเอาแต่ก้มหน้าในใจก็คิดโทษตัวเองว่าไม่น่ามาเลย คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจที่ผมเป็น คนที่เก็บตัวมาตลอดแบบผม มันยากมากเลยนะที่จะออกมาเจออะไรแบบนี้ แค่นี้มือผมก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะความประหม่าแล้ว

 

“เอาล่ะค่ะ เนื่องจากเสียเวลากันมามากแล้ว ขอเปิดค่ายอย่าเป็นทางการเลย ขอให้ทุกคนมีความสุขกับค่ายของเรา ค่ายรวมรักดาวเดือนพิทักษ์โลก!!!!”

 

“เฮ้ๆๆ เย้ๆๆ”

 

          ผมมองคนรอบตัวที่ส่งเสียงเชียร์พี่แตงแล้วก็งุนงงกับชื่อค่าย ไหนบอกเป็นค่ายอาสาแล้วๆ นี่มันอะไรกัน ผมมองไปรอบตัวอีกครั้งตั้งใจมองทุกคนดีๆ บางคนผมจำได้ว่าเคยเห็นตามเพจโปรโมทมหาลัยบ้าง ถึงว่าคนหล่อสวยถึงได้เยอะกว่าปกติแบบนี้

 

“ไอ้บอส!” ไม่ต้องรออะไรผมก็แทบจะพุ่งไปขยุ้มผมคนหลอกผมมาที่นี่แล้ว “ฮึ่ย”

 

“มิ ใจเย็นๆ” เหมือนข้าวรู้ว่าผมต้องไปจัดการไอ้บอสแน่ๆ ถึงมากอดแขนผมเอาไว้แบบนี้ “ไม่เป็นไรนะมิ เราก็มาเป็นบัดดี้ของพี่เรา พี่เราเป็นเดือนเศรษฐศาสตร์ปีที่แล้ว”

 

“ข้าวก็รู้ว่าเรา..” ผมสูดหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติ “เรา..”

 

“มันไม่แย่หรอก มีเรากับบอสอยู่ อ้อ แล้วก็พี่โตด้วย” ข้าวพยายามพูดปลอบผมแล้วก็ดึงแขนให้เดินตามกลุ่มไป “ถือว่ามาทำจิตอาสาเนอะ เก็บขยะกัน”

 

          ‘จิตอาสาอะไรกัน ก็แค่ข้ออ้างที่จะพากันมาฉลองประกวดดาวเดือนจบ’ ในตอนแรกผมก็คิดแบบนี้แต่สิบนาทีต่อมาความคิดผมก็เปลี่ยนไป พวกเราไม่ได้ใส่เสื้อสกรีนชื่อค่ายหรืออะไร เราใส่ชุดธรรมดาของแต่ละคนมีแค่ป้ายชื่อที่บ่งบอกว่าเรากำลังทำกิจกรรมอาสากันอยู่

 

          สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดคงจะเป็นเพราะว่าทุกคนกำลังตั้งใจเก็บขยะกัน จนผมรู้สึกเสียใจที่ตอนแรกคิดแบบนั้นและสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดคงจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่ชายหาดแห่งนี้ พอเห็นพวกเราเก็บขยะก็เริ่มมาเก็บช่วยกัน ผมรู้สึกซึ้งใจจริงๆ

 

“เราจะเก็บจากตรงนี้ไปสุดหาดด้านขวามือนะคะ งานนี้นะคะเราได้ความช่วยเหลือจาก...”

 

          ผมเก็บขยะไปฟังเสียงพี่แตงขอบคุณผู้ที่สนับสนุนโครงการไปแล้วก็ยิ้มออกมา พี่แตงนี่เก่งจริงๆ เลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำเลย ดีจังเลยนะ

 

          สุดท้ายกลุ่มที่เก็บขยะได้มากที่สุดก็คือกลุ่มผมเอง เราทุกคนได้รับของที่ระลึกเป็นพวงกุญแจจากเปลือกหอยและเงินรางวัลจำนวนหนึ่ง ผมกับข้าวขอแยกตัวออกมารอไอ้บอสที่ห้องเพราะบอสต้องทำพิธีถ่ายรูปดาวเดือนของปีนี้กันต่อและอาจจะต้องถ่ายอะไรต่ออีก

 

 

 

“มึงหลอกกูมาทำอะไรเนี่ย” ผมถามไอ้บอสทันทีที่มันเปิดประตูเข้าห้องมา

 

“ไม่ได้หลอก กูแค่อยากให้มึงเปิดหูเปิดตา”

 

“ด้วยการเก็บขยะ”

 

“ของจริงมันต่อจากนี้ไอ้น้อง” ไอ้บอสเดินมานั่งข้างผมที่เตียง ในหนึ่งห้องแบ่งกันอยู่กันสี่คนมีพวกผมและข้าวกับพี่มัน  “มึงก็รู้ว่าทำไมกูถึงต้องมาที่นี่”

 

“...กู” ก็เพราะเดือนของคณะผมไม่เคยว่าง “เหอะ”

 

“เออ งั้นกูไปอาบน้ำละ”


“เดี๋ยวกูไปเดินเล่นรอข้างนอกนะ”

 

“เออๆ เข้างานพร้อมกันนะเว้ย”

 

“รู้แล้ว”

 

 

 

ซ่าซ่าซ่า

 

          ผมยืนมองคลื่นที่ซัดปลายเท้าตัวเอง ปล่อยให้น้ำทะเลในตอนเย็นพัดพาเรื่องร้อนใจของผมให้ไหลออกไป ทั้งที่เมื่อเช้าจับมือผมไว้แบบนั้น แต่ทั้งวันกลับหายไปเลย ไม่พยายามมาเจอกันเลย ความน้อยใจผมมันออกมาวิ่งเล่นทั่วหัวใจอีกแล้ว คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็หายไปเลย ใจร้ายชะมัด

 

          ผมหยิบมือถือออกมาดูไลน์ที่ไม่มีใครส่งข้อความเข้ามาแม้แต่คนใจร้ายคนนั้น พี่โตคิดอะไรกับผมกันแน่หรือแค่สนุกเหมือนที่ผ่านมาในตอนนั้น

 

ครืด ครืด

 

“ฮัลโหลครับ..แม่”

 

“ครับ ผมมาค่ายจิตอาสา”

 

“ทะเลครับ กลับพรุ่งนี้ครับ”

 

“ครับ ผมสบายดี”

 

“รักแม่ครับ”

 

          แม่ผมโทรมาถูกเวลาจริงๆ ถึงจะไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังแต่การบอกไปว่าตัวเองสบายดีก็เหมือนจะทำให้ผมรู้สึกสบายขึ้นจริงๆ อยากปิดเทอมแล้วสิ จะกลับไปกอดแน่นๆ เลย

 

“มิม” เสียงทุ้มที่กลืนไปกับเสียงคลื่นทำให้ผมได้ยินไม่ชัดนักแต่ก็รีบหันกลับไปหวังให้เป็นคนใจร้ายที่ผมรอมาทั้งวัน อยากรู้และอยากเข้าใจในทุกเรื่องของพี่มัน

 

“พะ..” แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนี้คนตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ใช่เขา “นัด…”

 

“คือ...กู”

 

“ฮึก” แต่กลายเป็นคนที่ผมอยากจะลืมไปให้หมด ผมกลัวเขาจนสุดหัวใจ “อย่าเข้ามา!”

 

 

 

“แฮ่กๆๆๆ” ผมหอบหายใจอย่างหนักหลังจากวิ่งหนีนัดมาโดยไม่คิดชีวิต ในใจผมคิดถึงพี่โตอยากให้เขามาจับมือผมไว้ในตอนที่กลัว แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างนั้นคงไม่มีฮีโร่ครั้งที่สาม ในใจผมกลัวและรู้สึกโดดเดี่ยวกว่าเดิม สองเท้ายังวิ่งฝ่าความมืดตรงไปที่พักของตัวเองและผมก็เห็นที่พักของผมในตอนนี้ที่กำลังยืนหันหลังอยู่  “บอส!”

 

ฟุ่บ

 

“เฮ้ย มึงเป็นไร” ทันทีที่บอสหันมาผมก็พุ่งตัวเข้าไปกอดทันที ไม่มีคำถามต่อจากนั้นมีแต่มือที่ลูบหลังผมไปมา “ไม่เป็นไรแล้วๆ”

 

 “...แฮ่กๆ” ผมพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แล้วเอียงหน้าซบที่อกไอ้บอสให้ถนัด น้ำตาผมเอ่อคลอและทันทีที่ได้สบตากับคนใจร้ายที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลน้ำตาผมก็ไหลลงมาทันที เป็นผมเองที่หลบสายตานั้นแล้วซบใบหน้าลงไปที่อกบอสแทน

 

 

 

          งานของจริงที่ไอ้บอสพูดถึงคงเป็นตอนนี้ หลังจากพี่แตงพูดขอบคุณทุกคนที่มาค่าย ก็อธิบายเหตุผลที่ให้พาบัดดี้มาด้วยก็เพราะว่าเป็นการขอบคุณบัดดี้ของเหล่าดาวเดือนที่เป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้ดาวหรือเดือนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ หรือถ้าแปลในแบบของผมคือขอบคุณที่เป็นเบ๊นั่นเอง พอพี่แตงพูดจบก็เริ่มปาร์ตี้ทันที

 

“วู้ๆ” ไอ้บอสที่มาทำหน้าที่แทนเดือนเมาดิบคนแรกไปกับเสียงเพลงและไฟในผับของโรงแรม

 

          ส่วนผมก็ทำได้แค่นั่งตัวลีบอยู่ข้างมัน ย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็น พอผมเบือนหน้าหนีพี่โตก็หันหลังเดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมาเลยและก็ไม่มองหน้ากันอีก พอคิดได้ว่าตัวเองทำเรื่องงี่เง่าไปก็อายจนอยากหวังพึ่งแอลกอฮอล์ที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

“ทุกคนมาเล่นเกมกานนน” พี่แตงที่เริ่มเมาได้ที่พูดขึ้นมาเสียงดัง จนทุกคนในโต๊ะหันไปมอง

 

“เล่นค้าบๆๆ” ไอ้บอสที่สวมบทบาทเมาพูดขึ้นมา ทำไมถึงว่ามันสวมบทบาทหรอครับ ก็มันเพิ่งกินไปแก้วเดียว! “มาเล่นกันเจ๊”

 

“ไอ้นี่ยังไม่ได้อธิบายเลย แต่ก็มาเล่นเลย มาไอ้ลูกรัก”

 

          ผมปวดหัวกับคนเมาจริงและเมาปลอมทั้งสอง อยากลุกหนีก็ทำไม่ได้เพราะผมกลัวจะเจอนัดอีกเลยต้องตัวติดกับมันไว้ ผมมองไปรอบโต๊ะ มีแต่พวกเด่นๆ ที่นี่โคตรจะไม่เข้ากับผมเลย ผมอยากไปนั่งกับข้าวเพราะโต๊ะนั้นมีผู้ชายใจร้ายที่กำลังนั่งหน้านิ่งกับผู้หญิงแสนสวยคนนั้น ผมมันน่าสมเพชชะมัด

 

“ตามเจ๊มา เกมนี้ต้องโต๊ะนี้เท่านั้นน้า” ผมมองพี่แตงที่เหน็บขวดเบียร์เปล่าไว้ที่เอวแล้วกอดคอคุยกับไอ้บอสก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

“เฮ้ย ไอ้บอสกูไม่ไป!” แต่เหมือนผมจะขำไม่ออกเพราะไอ้บอสมันกำลังลากผมไปโต๊ะนั้นด้วย

 

 “ฮายย หนุกไหมจ้ะ” คนทั้งโต๊ะเงยหน้าขึ้นองพี่แตงแล้วลุกออกไปให้พี่แตงนั่ง ส่วนผมก็ยืนแอบอยู่หลังบอส “หนุกแน่นอน เงียบเชียวว”

 

          ผมมองพี่แตงที่วางขวดเบียร์เปล่าหนีบมาด้วยวางลงบนโต๊ะและหมุนขวดนั่น ผมเผลอไปสบตากับพี่โตแล้วก็เหมือนใจผมจะเจ็บจี๊ดขึ้นมา ยิ่งเห็นมือขาวของพี่ลูกแก้วที่จับแขนพี่โตไว้ผมยิ่งอยากเดินอกไปจากตรงนี้ เหอะ จะให้ผมเข้าใจอะไรกัน

 

“หวยออกที่..คุณชายชองเจ๊” เสียงพี่แตงเรียกสติผม “เอาหล่ะเจ๊ถามแล้วนะ”

 

“ทำไมผมต้องตอบ”

 

“ตอบสิ ไม่ตอบเจ๊ให้กินเลิฟช็อตกับเจ๊น้า”

 

“งั้นผมกิน”

 

“แต่ไม่มีให้กิน ผ่าม” เล่นเองตบมุกเองจนทั้งโต๊ะฮาครืน “ตอบมา”

 

“เจ๊ยังไม่ได้ถาม”

 

“เออว่ะ ฮ่าๆ” ทั้งโต๊ะขำขึ้นมาอีกรอบและก็เงียบลงเพราะคำถามต่อมาของพี่แตง “จะถามว่าพี่โตของเรามีคนที่ชอบรึยังอะ”

 

“อูยๆๆ” ชงเก่งกันจนผมอยากรู้ว่าพี่แตงจ้างพวกนี้มาเท่าไหร่

 

“อืม”


“กรี๊ดๆๆ” พี่แตงและผู้หญิงบางคนกรี๊ดออกมา ยังไม่ทันหมุนพี่แตงก็หันไปถามคนข้างพี่โต “ลูกแก้วอะ”

 

“พี่แตง ยังไม่ได้หมุนขวดเลย” พี่ลูกแก้วพูดออกมาแบบเขินอาย

 

“ไม่ต้องหมุนแล้ว กูมาเสือกเนี่ย ฮ่าๆๆ”

 

“ว่าไงมีคนที่ชอบแล้วรึยังจ้ะ”

 

“อืม” พี่ลูกแก้วตอบพร้อมพยักหน้าเบาๆ

 

“กรี๊ดๆๆ ได้กันๆๆ”

 

          เสียงเชียร์ดังลั่น ผมมองพี่ลูกแก้วที่อายจนเอนตัวไปซบพี่พีที่นั่งอยู่อีกข้างและพี่พีก็ก้มลงไปกระซิบบางอย่างข้างหูพร้อมกับลากมือไปตามเอวคอดสวยนั่น แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น พี่โตก็ดึงพี่ลูกแก้วให้ลุกขึ้นแล้วดึงมือสวยให้เดินตามไป ทุกคนหยุดมองแล้วหันไปกระซิบกัน

 

“เกรี้ยวกราดอะ” พี่แตงว่าอย่างนั้นแล้วก็หันมาชวนพวกผม “ไปกินเหล้าต่อกัน จบเกมละ”

 

“กูไปเข้าห้องน้ำนะ!” ผมตะโกนบอกบอสแข่งกับเสียงเพลง

 

“เออ รีบมา” เกมมันยังไม่จบสักหน่อย

 

 


          ถ้าจบเกมจริงมันต้องเป็นแบบนี้ ผมเดินออกตามหาทั้งคู่สุดท้ายก็มาเจอที่สวนของโรงแรม ผมเห็นพี่โตกำลังเช็ดน้ำตาให้พี่ลูกแก้ว แล้วพูดอะไรบางอย่างแล้วกอดพี่ลูกแก้วไว้ ผมเม้มปากไว้แน่น ไม่มีน้ำตาสักหยดแต่ข้างในอกผมมันเจ็บไปหมด

 

          ผมเดินกลับไปที่ผับใต้ดินด้วยสมองมึนงงและใจที่เจ็บจนชาไปหมด ตอนเดินลงบันไดผมสวนกับพี่พีที่ยักคิ้วให้ผม แต่ผมกลับยิ้มให้เขาไม่ออกทำได้แค่หลบตาแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ...พี่ให้ผมรออะไร

 

“ไอ้มิ้นค่อยๆ กินดิวะ” ไอ้บอสเตือนผมหลังจากที่ผมคว้าแก้วเหล้ามันมากระดกรวดเดียวหมด

 

“เอามาอีก” ถึงจะไม่อร่อยก็ขอกินอีกหน่อย ไม่อยากรู้สึกอะไรแล้ว

 

“เออๆ”

 

          ผมกินเหล้าไปไม่รู้กี่แก้วแล้ว ตอนนี้สายตาผมมองภาพข้างหน้าเบลอไปหมดทั้งที่ยังใส่แว่นอยู่ ผมหัวเราะและก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน แบบนี้เองหรอที่เรียกว่าเมาแต่ทำไมไมเห็นลืมเลย ทำไมหน้าคนใจร้ายถึงชัดขนาดนี้

 

“พอได้แล้ว”

 

“ไม่ต้องมายุ่งนะ ฮึก” ผมพูดกับพี่โตในมโนของตัวเอง ว่าแต่ทำไมพี่โตถึงจับแขนกันได้นะ

 

“มิม พอก่อน”

 

“เอาคืนมา” แล้วแก้วเหล้าก็โดนแย่งไปจากมือผม พี่โตชักจะเหมือนจริงจนผมกลัวแล้ว “บอสอยู่ไหน”

 

“พี่..เดี๋ยวผมจัดการเอง” เสียงบอสดังขึ้นจากไหนไม่รู้ พร้อมสติผมที่ดับวูบลง

 

 

 

“ไหวไหมมึง” ผมลืมตาขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงไอ้บอส ผมมองไปรอบข้างผมอยู่ในห้องแล้ว ข้าวกับพี่ของข้าวหลับไปแล้ว ผมมองหน้าไอ้บอสอีกครั้งแล้วเหมือนความรู้สึกในใจผมมันก็ตีประท้วงขึ้นมา สุดท้ายน้ำตาผมก็ไหลออกมาอัตโนมัติ “ขี้แยจังวะ”

 

“รำคาญกูไหม”

 

“มาก”

 

“เหมือนกูเลย”

 

“แต่ไม่เป็นไร การที่มึงร้องไห้กับกูมันแปลว่ามึงไว้ใจกู”

 

“ไอ้บอส ฮือ”

 

“สบายมาก” ผมกอดมันไว้แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ทำไมอกหักมันถึงเจ็บแบบนี้นะ

 

 

 

          ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่า ทุกคนกำลังเตรียมตัวกลับ รอรถที่ลานข้างโรงแรม ขนาดคนเยอะขนาดนี้ผมก็ยังต้องจับแขนไอ้บอสไว้เพราะผมทั้งมึนและกลัว กลัวเจอนัดและกลัวเจอพี่โต น่าตลกชะมัดที่ผมเป็นแบบนี้

 

“ข้าวลืมของอะ เดี๋ยวกูไปช่วยข้าวหาของก่อนนะ”

 

“อืม”

 

“อยู่คนเดียวได้นะ ไปด้วยกันไหม”

 

“ไม่เอา มึนหัว”

 

“สมน้ำหน้า ฮ่าๆ”

 

“ชิ” ผมย่นจมูกใส่มันแล้วผลักหลังมันให้เดินออกไป

 

          ผมเดินตามสมาชิกในค่ายออกไปยืนรอรถกลางแดด เงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่ขยันทำงานแต่เช้า โอ๊ย ปวดหัวสุดๆ ไปเลย ผมยอมแพ้ให้กับแสงแดด เลยเดินไปแอบอยู่ใต้ต้นไมแถวนี้แทน คนเริ่มขึ้นรถเมื่อไหร่ผมค่อยออกไปแล้วกัน

 

“ไหวไหม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมตกใจจนรีบหันกลับไปมอง

 

“พี่โต”

 

“ทำไมถึงกินเยอะแบบนั้น”

 

“...ผม” เป็นอีกครั้งที่ผมพูดไม่ออกและตกใจกับการที่พี่มันลูบหัวผมแบบนี้ “อะ”

 

“เย็นนี้กินชาบูกันดีไหม” ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้า ทำไมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ง่ายดายขนาดนี้

 

“พี่บอกให้ผมรอ..แล้วผมก็จะเข้าใจเอง” ผมดันแว่นแล้วมองดวงตาคนตรงหน้า “ต้องรออีกนานแค่ไหนหรอครับ”

 

“...มิม”

 

“ผมรอฟังอยู่” และตอนนี้ผมต้องการคำอธิบายทุกอย่าง

 

“...” พี่โตจับมือผมไว้ทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากสวยตรงหน้าเลย

 

“ตอนนี้ผมไม่เข้าใจอะไรเลย” เป็นผมที่ดึงมืออกมาจากมือที่แสนอบอุ่นนั่น “บางอย่างเราก็ต้องการคำพูดอธิบายนะครับ”

 

“…” พี่โตหลบตาผมแล้วมองไปด้านหลังผมแทน

 

 “อย่าตามมา ผมอยากนั่งกับบอส”

 

          ผมบอกแบบนั้นแล้วรีบขึ้นมานั่งข้างบอสทันที น่าตลกที่ลึกๆ ในใจ ผมอยากให้พี่โตเดินตามมาพูดประโยคเดิม ‘ขอนั่งด้วยนะครับ’ แต่มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอกเพราะตอนที่ผมหันหลังจะเดินกลับมาที่รถพี่ลูกแก้วยืนอยู่ตรงนั้น

          ตอนนี้เขาคนที่เคยพูดแบบนั้นกำลังยิ้มให้พี่ลูกแก้ว พวกเขาเดินขึ้นรถมาด้วยกันและพวกเขาก็เหมาะสมกันเหลือเกิน

 

อยากไม่มีความรู้สึกจัง จะได้ไม่เจ็บแบบนี้

ชอบเขาขนาดไหนกันนะ ถึงเจ็บจนร้องไห้ออกมาขนาดนี้

 

 “เฮ้ย มึงปวดหัวขนาดนี้เลยหรอวะ”

 

“ฮือ”

 

“มึงไหวไหม”

 

“บอส..กูปวดไปหมดเลย ฮึก”

 

“ต่อไปนี้...มึงห้ามแดกเหล้าแล้วนะ”

 

“อือ กูจะไม่ทำอีกแล้ว”



จะไม่ชอบอีกแล้ว

ถ้าความรู้สึกมันห้ามกันได้ง่ายเหมือนที่พูดก็คงดี











ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
12. ไม่รู้อะไรเลย



             ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะหลบพี่โตตอนลงจากรถทำไมเพราะสุดท้ายเราก็มาเจอกันหน้าห้องเหมือนเดิม ผมกระชับสายสะพายไว้แน่นเพราะมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ ก้อนบางอย่างจุกตันขึ้นมาที่อกที่ก่อนหน้านี้มันเจ็บหนักจนกลายเป็นความหน่วงในตอนนี้

 

“เข้าไปสิ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นหลังเปิดประตูห้อง

 

“ครับ” ผมตอบรับแล้วเดินนำเข้าไปในห้องก่อน

 

แกรก

 

          พี่มันล็อคห้องแล้วเดินเอาของไปวางไว้ที่โต๊ะตัวเอง ผมก็ทำเช่นนั้น พอวางของเสร็จก็เหมือนอากาศในห้องมันกำลังหายไป อึดอัด ทำอะไรไม่ถูก ผมยืนเม้มปากอยู่กับที่พยายามไม่มองไปด้านที่คนตัวสูงกำลังยืนมองมาที่ผมอยู่

 

“มิม..”

 

“ผม..” เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เราพูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

“พูดก่อนเลย” และเป็นพี่มันที่ให้ผมพูดก่อน

 

“ผม..ผมจะไปหาบอสนะครับ” พูดโดยไม่หันมองพี่มันเลยสักนิด กลัวความอ่อนแอเล่นงาน กลัวแพ้สายตานั้น “คงกลับดึก”

 

“อืม”

 

          ผมคว้ากุญแจห้องและมือถือ รีบเดินออกไปจากห้อง แต่ก่อนจะปิดประตูผมก็เพิ่งนึกได้ว่าพี่โตจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอหันกลับไปมอง ผมก็เห็นพี่โตก็ใส่หูฟังแล้วไปแล้ว

 

 

 

“...มิม”

 

“...”

 

“ไอ้มิ้น!”

 

“ฮะ..มีไรมึง”


“แหม พอเรียกมิ้นแล้วถึงจะตอบ” มันผลักหน้าผากผมเบาๆ “ข้าวมึงบูดแล้วมั้งเนี่ย กินสักที”

 

“เออๆ”

 

“ช่วงนี้มิเป็นไรรึเปล่า เห็นเหม่อใจลอยทั้งวันเลย” ข้าวมองผมแล้วถามต่อ “ทะเลาะกับพี่โตหรอ”

 

“เฮ้ย มันแกล้งอะไรมึงรึเปล่า” ผมยังไม่ได้พูดอะไรไอ้บอสก็โวยวายขึ้นมาก่อน

 

“เปล่าๆ” ผมรีบปฏิเสธ แล้วหลบตาพวกมัน

 

“เออๆ ถ้ามีไรก็บอกพวกกูได้นะ”

 

“เออ กูไปซื้อน้ำนะ” อีกครั้งที่ผมโกหกและหนีพวกมันออกมา

 

“โค้กหนึ่งแก้วครับ” ผมเดินมาซื้อโค้กที่ร้านป้าใจดีเหมือนเดิม

 

“จ้า” ป้าหันมารับแล้วก็จัดการรินโค้กใส่แก้วน้ำแข็งให้ผม “สิบบาทจ้า”

 

“ครับ”

 

“วันนี้ไม่ซื้อเผื่อเพื่อนแล้วหรอ”

 

“อ่า ไม่ครับ” ผมรับแก้วมาพร้อมยื่นเงินให้ เฮ้อ คิดถึงคนใจร้ายคนนั้นอีกแล้ว

 

 

 

          ลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้าผมทำให้รู้สึกดีไม่น้อย ผมมานั่งมองทะเลสาปในตอนเย็นเป็นวันที่สองแล้วและเป็นเวลาสองวันแล้วที่ผมหลบหน้าพี่โต พอถึงช่วงประมาณหนึ่งทุ่มผมก็จะไปหลบอยู่ห้องไอ้บอสและกลับไปนอนห้องตัวเองตอนเที่ยงคืนกว่า พอเช้าก็รีบตื่นและหนีออกมาก่อนที่พี่มันจะตื่น…ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้มาสองวันแล้ว

 

“เฮ้อ” ถอนหายใจออกมาแล้วเอนหลังพิงกับพนักม้านั่ง “อะ”

 

          ผมสะดุ้งเมื่อมือของผมสัมผัสกับแก้วน้ำข้างกาย น้ำโค้กที่ผมซื้อมาเมื่อกลางวันยังวางอยู่ข้างผม แค่กินเข้าไปคำเดียวผมก็กินต่อไม่ได้แล้ว ภาพในวันนั้นมันไหลย้อนเข้ามา น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกกลัวมากมายเหมือนแต่ก่อน แต่ผมดันคิดถึงเสียงที่ตะโกนเรียกชื่อผมแข่งกับฝนมากกว่า คิดถึงจะตายอยู่แล้ว

 

          ผมมันงี่เง่าชะมัด ทั้งที่หลบหนีมาตลอดแต่ก็ไม่ช่วยอะไรเลยและแสงสีส้มในตอนเย็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมคิดถึงเข้าไปอีก อยากเจอ อยากสัมผัสแต่ก็ทำไม่ได้

 

          ผมทำไม่ได้หรอก ผมไม่อยากไปยุ่งกับคนที่มีเจ้าของ ต่อให้ผมจะชอบพี่มันแค่ไหนแต่ผมก็ทำไม่ได้ ให้ผมสัมผัสหรือมีความสัมพันธ์ผิดๆ ผมไม่ทำเด็ดขาด ถ้าหลบหน้าไปเรื่อยๆ แบบนี้สักวันก็คงดีขึ้นเอง

 

สักวันคงเลิกชอบไปเองล่ะมั้ง

 

“ฮ่าๆๆ” ผมมองไปรอบตัวเพราะตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วทำให้มีนักศึกษามารวมตัวทำกิจกรรมยามว่างแถวนี้กันเยอะ บางคนก็มาวิ่งออกกำลัง นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันและเสียงหัวเราะจากนั่งศึกษาที่นั่งจับกลุ่มกันก็ทำให้ผมอมยิ้ม ทุกคนดูมีความสุขกันจัง เหมือนจะมีแค่ผมที่ทุกข์อยู่แบบนี้

 

“พีขี่ดีๆ!” ผมละสายตาจากผืนน้ำไปมองบริเวณถนนด้านหลังเพราะได้ยินเสียงที่ผมคุ้นหู

 

“โอ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ผมจะมองหาเจ้าของเสียงคนนั้นพบ สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งแทน ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้แล้วขี่รถจักรยานมาจอดใกล้ผม “อ้าว น้องหนูมาทำอะไร”

 

“อะไรหรอพี” เสียงผู้หญิงที่ผมคุ้นหู ดังออกมาจากหลังพี่พี “ใครอะ หน้าคุ้นจัง”

 

          ทันทีผู้หญิงคนนั้นโผล่หน้าออกมามองผม จากด้านหลังพี่พี ผมก็ลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เหมือนกับว่าผมกลัวผู้หญิงคนนี้

 

“รูมเมทไอ้โตไง” พี่พีหันไปพูดกับคนที่ซ้อนท้ายมาด้วย

 

“จริงหรอ” พี่ลูกแก้วมองมาที่ผมแล้วยิ้มกว้างให้ ก่อนที่จะพยายามลงจากจักรยานโดยมีพี่พีช่วยพยุง ผมมองมือที่อยู่บริเวณเอวพี่ลูกแก้วแล้วก็ขมวดคิ้วทันที ทำไมเหตุการณ์แบบนี้มันคุ้นๆ นะ

 

“ดีจัง ได้เจอคนที่ทำให้โตรีบกลับห้องสักที” พี่ลูกแก้วที่ลงจากจักรยานเรียบร้อยแล้ว ยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่สดใสจนผมแสบตา

 

“เออ ว่าแต่ช่วงนี้ทะเลาะอะไรกันอีก เห็นไอ้หน้าตายนั่นหน้าบูดเกือบทุกวันเลย” พี่พีพูดแล้วมองผม

 

“..เอ่อ ไม่รู้ครับ เราก็แค่รูมเมทกัน ผมไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องหรอกครับ” ถึงแม้อยากจะรู้แค่ไหนก็ตาม แล้วนี่ผมจะตัดพ้อทำไมเนี่ย “เอ่อ คือผมก็ไม่รู้ครับ”

 

“โธ่ น้องหนู” พี่พีทำหน้าเศร้า ก่อนจะหันไปทำหน้าทะเล้นใส่พี่ลูกแก้ว

 

“หยุดแกล้งได้แล้ว” ผมมองพี่ลูกแก้วตีไปที่แขนพี่พีเสียงดังฟังชัด ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาผมและเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ “ขอบคุณมากนะคะ”

 

“..ครับ ดะ เดี๋ยว” ผมตกใจและสับสนในเวลาเดียวกันมองมือที่ค่อยๆ ปล่อยมือผมออกแล้วยิ่งสับสน “ขอบคุณอะไรกันพี่”

 

“ก็ขอบคุณที่ช่วยพี่ไง ถ้าไม่ได้เรา พี่คงไม่มีความสุขแบบนี้” พี่ลูกแก้วยิ้มให้พี่พีแล้วหันมามองผม “แล้วก็ขอโทษที่พี่จะขอร้องอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ แต่ช่วยฟังโตหน่อยนะ ถึงจะทะเลาะอะไรกันหนักแค่ไหน การรับฟังกันสำคัญที่สุดนะ อย่าให้เหมือนพวกพี่เลย”

 

“อะ..อะไรกันครับ ผมงงไปหมดแล้ว” ตอนนี้ผมสับสนไปหมดแล้ว พี่ลูกแก้วกำลังพูดอะไร “ผมช่วยอะไรพี่ แล้ว..”

 

“แก้ว เดี๋ยวเราจัดการเอง” จู่ๆ พี่พีเดินเข้ามากุมมือพี่ลูกแก้ว แล้วมองหน้าผมก่อนจะยิ้มออกมา “พี่กับลูกแก้วเป็นแฟนกัน”

 

“อ่า..ครับ” อ่อ พี่ลูกแก้วกับพี่พีเป็นแฟนกัน..อ่อ “ฮะ! พวกพี่เป็นแฟนกัน!”

 

“ใช่..ฮ่าๆๆ” พี่พีหัวเราะแต่ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเพราะโดนพี่ลูกแก้วตี

 

“อย่าบอกนะว่าโตยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับเรา” พี่ลูกแก้วถอนหายใจแล้วหันไปจ้องคนข้างกัน “ทำไมไม่บอกกันเล่า ไม่งั้นเราบอกเองตั้งแต่กลับมาก็จบแล้ว”

 

“โอ๋ๆ ก็เราหมั่นไส้ไอ้โตอะ”

 

“พี่...” ผมที่ยังสับสนก็ปวดหัวขึ้นมา พยายามเอาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาประกอบกันแต่ก็ยังงง แต่แล้วผมก็เข้าใจทั้งหมดเมื่อพี่ลูกแก้วพูดออกมา

 

“คือว่า พี่ไปขอร้องโตช่วยทำตัวติดกับพี่ เพื่อให้คนโง่แถวนี้เขารู้ตัวสักทีน่ะ” พี่ลูกแก้วตีไปที่แขนพี่พี “พี่ทะเลาะกันน่ะ เลยให้โตช่วย”

 

“แต่พี่ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำไง วันนั้นพี่เลยส่งสัญญาณให้เราไง” พี่พียักคิ้วให้ผม “แต่ดูเหมือนไอ้โตจะยังไม่ได้บอกอะไรเรา น้องหนูก็เลยทำหน้าเศร้าแบบนั้น”

 

“นิสัยไม่ดีๆๆ” พี่ลูกแก้วหยิกแขนพี่พี จนพี่พีต้องกระโดดหนี

 

“เอ่อ..”

 

“พี่ไม่ได้เป็นแฟนพี่โต” เป็นพี่ลูกแก้วที่พูดสรุปออกมา “แล้วที่พี่มาคุยแบบนี้ ก็เพื่อมาขอร้องให้น้องคืนดีกับพี่โต พี่ไม่อยากเห็นมันเศร้าแบบที่ผ่านมาน่ะ”

 

“อ้าว เธอเราเริ่มหึงแล้วเนี่ย” พี่พีว่าแล้วเอาแขนมาคล้องคอพี่ลูกแก้วและแน่นอนว่าพี่ลูกแก้วก็ดิ้นออกจากแขนล่ำนั่นทันที ผมมองพี่พีทำหน้าบูดแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขาหันมาจ้องผมอย่างจริงจัง “เอาเป็นว่าลองกลับห้อง ไปฟังไอ้หน้าตายพูดสักหน่อย”

 

“พี่ ผม...ผมไม่เข้าใจ”

 

“น้องหนู กูรู้ว่ามึงเข้าใจทั้งหมดแล้ว” อึก คำพูดพี่พีเหมือนเอามีดมาปักกลางใจผม “ตอนนี้มันอยู่ที่มึงแล้ว”

 

“...”

 

“ทุกอย่างมันอยู่ที่มึงแล้ว...ว่ามึงจะทำยังไงต่อไป”

 

“...”

 

“ถอยหรือเดินหน้าต่อ”

 

“ครับ”

 

“แต่ถ้าเป็นกู...กูจะวิ่งว่ะ”

 

“ครับ ขอบคุณมากนะพี่”

 

          ผมขอบคุณพี่พีกับพี่ลูกแก้วและวิ่งออกจากที่นั่นทันที ปลายทางผมคือห้อง 333 ไม่ใช่สิ ปลายทางของผมคือพี่โต ผมวิ่งไปด้วยรอยยิ้ม หวังว่าครั้งนี้ผมจะตั้งความหวังได้ อย่างน้อยแค่ได้อยู่ข้างกัน จะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนผมก็รับได้ ขอแค่ไม่ทำให้ใครเจ็บปวดหรือเป็นความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยนก็พอ

 

“วิ่งไปเลยน้องหนู วิ่งๆๆๆ!”

 

“พี อย่าตะโกน”

 

“โอ๊ย ลูกแก้วว”

 

         

 

“แฮ่กๆๆ” ผมยืนหอบอยู่หน้าห้อง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ต้องวิ่งมาตามที่พี่พีบอก กว่าจะรู้ว่าได้ทำอะไรที่โง่ลงไปก็ยืนอยู่หน้าห้องแล้ว ก็เหมือนที่ผ่านมากว่าจะรู้อะไรก็ต้องโง่มาก่อน โง่ที่หนีมาโดยตลอด ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และใช้กุญแจไขห้องเข้าไป

 

แกรก

 

          ปลายทางที่ผมวิ่งมาหากำลังนั่งอยู่ในห้องนี้...เหมือนกับว่านั่งรอคอยกัน พี่โตนั่งใส่หูฟังอยู่ตรงนั้น เหมือนกับวันที่ผมหนีไปไม่มีผิด พี่มันเงยหน้าขึ้นมามองผมใบหน้านั้นเรียบเฉย ผิดกับผมที่น้ำตาจะไหลออกมา ทั้งดีใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งโกรธ ผมหลบตาแล้วเดินเข้าไปวางกระเป๋าที่โต๊ะตัวเอง

 

“วันนี้กลับมาเร็วจัง” พี่โตพูดและมองมาที่ผม

 

“อึก...” ผมยืนอยู่กลับที่ไม่พูดอะไรออกไป พยายามกลั้นสะอื้นและก้มหน้าจนคางชิดอกแต่เพราะขนมยี่ห้อที่ผมชอบวางอยู่บนโต๊ะทำให้ผมทนไม่ไหว น้ำตาที่เก็บสะสมไว้พังทลายออกมาทันที

 

“...” จู่ๆ พี่โตก็ลุกจากเก้าอี้ ทำท่าจะเดินออกจากห้อง

 

ตุบ

 

“ฮึก” ผมสะอื้นออกมาและมองแผ่นหลังนั้นด้วยความไม่เข้าใจ สุดท้ายขนมหนึ่งซองก็โดนผมปาไปกลางหลังคนคนนั้น พี่โตหันมามองหน้าผมและชะงักไปเล็กน้อย

 

“พี่บอกได้ไหม ว่าพี่ให้ผมรอเข้าใจอะไร” ผมมองสบตาพี่มันผ่านม่านน้ำตาที่ไหลไม่หยุด

 

“...”

 

“ทำไมไม่พูดออกมา พูดออกมาได้ไหมครับ”

 

ตุบ

 

          ขนมห่อที่สองโดนปาไปกลางอกคนใจร้าย ทำไมถึงเอาแต่เงียบแค่พูดออกมา จะให้ผมเป็นอะไร จะให้ผมอยู่ตรงไหนขอแค่บอกกัน ผม...ผมจะได้รู้สึกถูก ผมจะได้เก็บความรู้สึกผมให้ถูกที่ถูกทาง

 

“..มิม”

 

“ผมรอฟังอยู่” ผมพูดออกไป พยายามที่จะหยุดร้องไห้ “แล้วผม..ฮึก ก็จะเชื่อทุกอย่างที่พี่พูดด้วย”

 

“...พี่กับลูกแก้วเป็นเพื่อนกัน”

 

“จบแล้วหรอครับ” ผมเม้มปากแน่น สุดท้ายก็ไม่ยอมพูด ไม่ยอมพูดเรื่องของเรา “แล้วระหว่างระ..”

 

‘ แล้วระหว่างเราเป็นอะไรกัน ’

 

 “ชอบบอสใช่ไหม” ยังไม่ทันจบประโยค พี่โตก็แทรกถามคำถามที่ทำให้ผมใจกระตุกด้วยความโกรธ

 

“พี่ไม่เคยรู้อะไรเลย” สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว “พี่ ฮึก..มันไม่เคยรู้อะไรเลย”

 

“..มิม”

 

“ยังกล้าคิดว่าผมชอบบอสอีก พี่คิดไดยังไง! พี่คิดว่าการที่ผมจูบกับพี่มันเป็นเพราะว่าผมทำตามที่พี่บอกอย่างเดียวหรอ เพราะผมกลัวพี่หรอ!” เป็นผมที่พังทุกอย่าง “ใช่ ผมกลัว กลัวว่าจะรู้สึกดีมากเกินไป กลัวจนกลายเป็นว่า”

 

“มิม” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาเหมือนจะห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ

 

“จนกลายเป็นว่าผมชอบพี่” เป็นผมเองที่ทำลายเส้นแบ่งความสัมพันธ์ระหว่างเรา

 

“พี่แม่ง! ไม่เคยรู้อะไรเลย!” ผมตะโกนออกไปทั้งน้ำตา “ฮึก ไม่รู้อะไรเลย”

 

“...มิม” พี่โตเดินมาหาผมใช้แขนแข็งแรงนั่นรั้งเอวผมให้เขยิบเข้าไปหาพี่มัน เข้าไปใกล้จนตัวผมจมลงในอ้อมกอดแสนอบอุ่นนี้ จมูกโด่งคลอเคลียอยู่บริเวณหน้าผากและลากไล้ริมฝีปากร้อนนั้นมาประทับบริเวณเปลือกตาทั้งสองข้างของผม


          แค่สัมผัสเล็กน้อยแค่นี้กลับทำให้ความเจ็บปวดที่ใจของผมนั้นสลายหายไป เหลือแต่ใจดวงน้อยของผมที่เต้นแรงขึ้นด้วยความหวังจากการกระทำที่แสนอบอุ่นนี้

 

“พี่แม่ง..” สุดท้ายคำพูดของผมก็สลายหายไปในอากาศและใจของผมก็เต้นแรงจนผมจับจังหวะไม่ได้เพราะสัมผัสแผ่วเบาของริมฝีปากเราที่ประกบกัน





ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
13. เกิดใหม่มาเป็น...



         จากสัมผัสที่แผ่วเบาที่สัมผัสกัน พี่โตเพิ่มความแรงในการกดริมฝีปากลงมาให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น ไม่มีการลูบท้ายทอยปลอบใจมีแต่มือใหญ่ที่ลูบไปตามแผ่นหลังผม นั่นทำให้หัวใจผมทำงานอย่างรุนแรงและตอบรับสัมผัสนั้นด้วยการเงยหน้ารับสัมผัสแล้วขยับริมฝีปากตาม ผมมึนเมากับสัมผัสจากคนตรงหน้า

 

“พี่แม่ง...” ผมผลักพี่มันออก แล้วสบถออกไปอีกครั้ง

 

จุ๊บ

 

“พูดไม่เพราะเลย” พี่มันก้มลงมาจูบแรงๆ ที่ริมฝีปากผมอีกครั้งเหมือนหมั่นเขี้ยวกัน

 

“ผม...” เพราะความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไหลย้อนกลับมาในหัวผม ผมเพิ่งบอกชอบพี่มันไปและทันใดนั้นหน้าผมก็ร้อนขึ้นทันที ผมอายจนก้าวถอยหลังเพื่อจะหนี แต่ดูเหมือนคนข้างหน้าจะไม่ยอม

 

“จะไปไหน” พี่มันพูดแบบนั้นแล้วดึงเอวผมไปใกล้ แถมยังใช้แขนแข็งแรงกอดกันไว้อีกและคำพูดต่อมาทำให้ผมอยากสลายหายตัวไปจากต้องให้สิ้นเรื่อง “บอกชอบกันแล้ว จะหนีไปไหน...หื้ม?”

 

“อะ..ผะ...ผม” ใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหน้าผมในตอนนี้ต้องแดงมากแน่ๆ ผมแพ้แล้ว ผมก้มหัวลงจนคางชิดอก "ผม ฮื้อ"

 

แพ้ ผมแพ้ผู้ชายคนนี้ทุกทางแล้ว

 

"หึ..จุ๊บ" พี่โตหัวเราะและจุ๊บลงมาที่หน้าผากผม "ขอบคุณนะ"

 

"ครับ?" เหมือนกับดักที่พี่มันวางไว้ ผมเผลอเงยหน้าสบตาเข้ากับดวงตาคู่นี้

 

"ขอบคุณที่ชอบพี่" ใจผมเหมือนหยุดเต้นเพราะสายตาที่มองจ้องมา "ขอบคุณที่กล้าหาญขนาดนี้"

 

"..พี่โต"

 

"เป็นพี่ที่ขี้ขลาด เป็นพี่ที่กลัวมาตลอด" พี่มันพูดแล้วกระชับอ้อมกอดให้ผมซบหน้าลงบนอกหนา "ได้ยินไหม"

 

ตึกตัก ตึกตัก

 

“ฮึก...” แล้วผมก็สะอื้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงเหมือนกัน

 

“กลัวเราจะเกลียดพี่เพราะเราไม่ได้เริ่มความสัมพันธ์ที่ดีอะไร ออกจะผิดเพี้ยนไปด้วยซ้ำ” พี่โตกระชับอ้อมกอด แล้ววางคางลงมาที่หัวของผม “พอเห็นเราอยู่ใกล้บอส พี่ก็กลัว..กลัวว่าเราจะชอบบอสแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่นั่งรอเราอยู่แบบนี้ ตลกไหม”

 

“ฮึก” ผมพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลแต่กลับส่งเสียงสะอื้นออก สุดท้ายทำได้แค่ส่ายหัวถูไถไปกับอกแกร่ง

 

“...กับความรักไม่มีใครกล้าคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะมิม”

 

“..พี่” พยายามเรียกให้ตัวเองมีสติกับคำพูดต่อไป

 

“ขอบคุณนะ” พี่โตก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม ผมกลั้นหายใจ พยายามควบคุมหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปกว่านี้เพราะกลัวเหลือเกินว่าใจของผมจะเต้นดังจนไม่ได้ยินเสียงของพี่โตที่กำลังจะบอกกันว่า “พี่ก็ชอบมิม...พี่ชอบเราที่สุดเลย”

 

“พี่แม่ง” ผมสบถออกมาอีกครั้ง ใครกันที่จะทนไหวกับการกระทำแบบนี้

 

“พูดไม่เพราะเลย”

 

“ไม่ต้องมะ...อื้อ” ไม่ต้องมาพูดเลย

 

 

 

          เสียงผมขาดหายไปอีกครั้งเพราะริมฝีปากร้อนแรงที่ก้มลงมาปิดปากผมเอาไว้ สัมผัสเปียกชื้นที่ริมฝีปากผมทำให้ผมตกใจจนเผลออ้าปาก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะพี่มันส่งสัมผัสร้อนชื้นเข้ามาในปากของผม ลิ้นใหญ่กวาดต้อนลิ้นผมไปเกี่ยวกระหวัดไว้ ดูดดึงจนผมหูอื้อตาลาย กว่าจะรู้ตัวผมก็โดนพี่มันอุ้มมาวางลงบนฟูกที่นอนของตัวเองโดยมีคนตัวใหญ่ทาบทับผมไว้

 

“อื้อ” ผมร้องประท้วงในลำคอผมเริ่มจะขาดอากาศหายใจ พี่มันค่อยๆ ถอนจูบออกแล้วจูบเบาๆ ที่ปลายจมูกผม

 

“ต่อไปนี้พี่จะพูดเพราะๆกับเรานะครับ” มือใหญ่นั้นดึงแว่นผมออกไป แล้วเลื่อนหน้ามาชิดจนปลายจมูกเราสัมผัสกันเบาๆ  "พี่ชอบมิม"

 

"อึก...แฮ่กๆ" ผมเพิ่งเข้าใจว่าคนที่มีความสุขจนเจ็บที่หัวใจเป็นยัง ผมพยายามหายใจให้ทันหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง

 

"ชอบ...ตั้งแต่เห็นเราเต้นมัดหมี่ หึ" คนที่ทับอยู่พูดไปยิ้มไปเหมือนจะล้อเลียนกัน จนผมอดไม่ได้ที่จะตีอกคนขี้แกล้งไป "ยิ่งเห็นหน้าของเราตอนโดนแกล้ง ก็อยากแกล้งเข้าไปอีก อยากใกล้เข้าไปอีก พอได้ใกล้ชิด ก็อยากสัมผัส” 

 

"..ผะ..ผม”

 

“เราเป็นผู้ชายคนแรกที่พี่ชอบ พี่เลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง”

 

"..."

 

“แต่รู้ไหมพอเห็นเราร้องไห้ มันก็ทำให้พี่เจ็บตาม” พี่โตกอดผมไว้ ซุกหน้าลงไปที่ซอกคอผมแล้วพูดเสียงอู้อี้ออกมา “เรื่องของพี่มันไม่มีอะไรเลย แค่คนขี้ขลาดที่ชอบมิม ชอบแต่ไม่รู้จะทำยังไง”

 

"..ผม" ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วใช้สองแขนเล็กของตัวเองกอดรัดคนข้างบนตอบ “ผมก็แค่ชอบพี่ ชอบจนเก็บมันไว้ไม่ไหว ผมมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว”

 

“เป็นคนเก่งของพี่ต่างหาก” พูดแบบนั้นแล้วเงยหน้ามายิ้มให้ผม ยิ้มสว่างไสวจนผมนึกอยากเก็บไว้ดูคนเดียว

 

“ใครเป็นของพี่...อะ” ผมพยายามจะเถียงสู้แต่คนตัวสูงก็ทำเรื่องที่ผมอายจนแทบอยากจะมุดหน้าหนี พี่โตก้มลงไปจูบที่คอผมเหมือนจะหยอกกัน แต่ผมแทบจะตายไปกับสัมผัสร้อนที่ลำคอตัวเองจนต้องเอ่ยปากเรียกคนขี้แกล้ง “พี่โต!”

 

"เราไง” พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วซุกหน้าลงบนอกผม “พี่ไม่ปล่อยแล้วนะ พี่ไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ของเรามันบิดเบี้ยวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว...ขอโทษนะ"

 

"พอแล้วไม่ต้องขอโทษแล้ว ผมก็มีส่วนผิด” ผมเม้มริมฝีปากแน่น พี่โต..คงจะได้ยินเสียงหัวใจผมหมดแล้ว

 

"จูบพี่สิ" ผมมองแววตาเจ้าเล่ห์ที่ส่งมาแล้วใจกระตุก อายจนไม่กล้าสบตาแต่ก็อยากสัมผัส ไม่ถึงวินาทีมือทั้งสองข้างของผมก็ประคองใบหน้าคนข้างบนให้โน้มลงมา ให้ริมฝีปากเราประกบกัน ผมย้ำสัมผัสไปบนริมฝีปากนั้นเบาๆ แล้วผละออก พี่มันเอาแต่ยิ้มและมองไปทั่วใบหน้าที่เห่อร้อนของผม "ดีจัง เหมือนเกิดใหม่เลย"

 

"เกิดใหม่มาเป็นอะไรครับ" ผมหัวเราะเบาๆ แล้วสบตากับคนที่อยู่บนตัวผม

 

"ก็เกิดใหม่มาเป็นฟะ..อื้อ" เป็นผมที่ทนไม่ไหวจนต้องใช้มือปิดปากคนข้างบนไว้

 

“ห้ามพูดออกมานะ!” กลัวว่าตัวเองจะมีความสุขมากจนเกินไป

 

“หึ” พี่โตหัวเราะแล้วจูบมือของผมที่ปิดปากพี่มันเอาไว้ เป็นผมที่ยอมแพ้ให้กับสัมผัสร้อนกลางฝ่ามือ

 

“มะ...” ผมเอามือมาปิดหน้าตัวเองแทน “เหมือนผมกำลังจะสำลักความสุขตายเลย”

 

“ฮ่าๆ ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ”

 

“นะ..น่ารักอะไรเล่า!” ผมโวยวายแล้วเก๊กหน้าเคร่งขรึม มองจ้องคนตรงหน้า “ผมน่ะ..เท่จะตาย”

 

“ครับ เจ้าถั่วงอกเท่ที่สุดเลย” มือใหญ่ลูบหัวผมเบาๆ ทำเอาผมใจกระตุก

 

“ทำไมผมไม่ดีใจเลยอะ..อื้อ”

 

          ไม่รู้ว่าวันนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องรึเปล่า แต่จะสำคัญอะไรเพราะเรารู้แล้วว่าเราใจตรงกัน เรารู้สึกเหมือนกัน ผมหลับตาพริ้มรับสัมผัสจากริมฝีปากร้อน แล้วลองส่งลิ้นทักทายไปและได้เสียงหัวเราะในลำคอของพี่มันตอบกลับมา พร้อมสัมผัสกอดรัดของเราที่เพิ่มมากขึ้น

 

          ท่ามกลางความเงียบ ผมได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นแรงไปพร้อมกัน ตอนที่ถอนจูบออก แล้วเราจ้องตากัน เหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องผม ดูเหมือนผมจะตกหลุมรักคนตรงหน้าเข้าไปเต็มๆ แล้วและดูเหมือนผมจะชอบพี่มันเพิ่มขึ้นไม่หยุดเลย

 

 

 

          หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้สามวันแล้วทุกอย่างเหมือนเดิมแต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือเราเกือบจะไปเรียนสายตลอดเพราะ

 

"..อื้อ"

 

          ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าไม่ปล่อยของพี่มันก็สามวันที่ผ่านมานี่เลยครับ เพราะพี่มันจูบไม่ปล่อย!!! ไอ้ที่นิ่งๆ ที่ผ่านมาคือภาพลวงตาทั้งหมด คนที่ไม่ยอมจูบผมวันนั้นอยู่ที่ไหน พี่มันจูบผมอยู่นานไม่ยอมปล่อย จนผมที่ต้องทุบอกแกร่งประท้วงให้ถอนจูบออกสักที

 

ตุบ ตุบ

 

"โอเคๆ" พี่โตผละออกแล้วยิ้มให้ผม แถมยังเอานิ้วมาเกลี่ยที่มุมปากกันอีก

 

“ปะ..ไปเรียนได้แล้วครับ!”

 

 

 

ครืด

 

          ผมละสายตาจากโปรเจคเตอร์หน้าห้องแล้วมองไปที่มือถือของตัวเอง พี่โตส่งมาว่าถ้าใครเลิกก่อนให้ไปเจอหน้าคณะ ผมวางปากกาแล้วส่งกลับไปว่าจะไปหาเอง

 

          ผมมองหน้าบอสกับข้าวที่ตั้งใจเรียนอยู่ เผลอดันแว่นขึ้นด้วยความประหม่า อยากบอก อยากเล่าให้พวกมันฟังแต่ก็กลัวจะเหมือนที่ผ่านมา...กลัวพวกมันรับไม่ได้

 

“มีไรมึง” เป็นบอสที่หันมามองผม

 

“เดี๋ยวกูแวะไปหาพี่โตนะ พวกมึงกลับก่อนเลย”

 

“เออ”

 

“เจอกันพรุ่งนี้” ผมบอกพวกมันตอนออกจากห้อง แล้วเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถรางให้ทันเพื่อที่จะไปคณะบริหาร

 

 

 

          ผมไปถึงหน้าคณะบริหารแบบรวดเร็ว พอมาถึงก็ยืนงงสักพักเพราะพี่โตไม่ได้ยืนรอกันเหมือนครั้งที่แล้ว ผมเลยเดินไปนั่งรอที่ม้าหินข้างตึกและส่งไลน์ไปบอกพี่โตว่ารออยู่ที่ไหน สักพักผมก็ได้ยินเสียงคนเดินลงมากันเยอะมาก จนผมต้องหันไปมองแล้วเจอกับ

 

“อยากล้อ แต่กลัวโดนมันต่อยอะ” พี่พีที่พูดกับพี่ลูกแก้วด้วยท่าทีงอแง จนโดนพี่ลูกแก้วหยิกเข้าที่แขน “โอ๊ย”

 

“หนูคนนั้นนี่” พี่แทนชี้มาที่ผมแล้วยิ้มให้

 

“น้องหนูต่างหาก” เป็นพี่พีที่เถียงพี่แทนกลับ ผมมองพี่ลูกแก้วที่ยิ้มให้ผมและหันไปสบตากับคนพี่โตที่ยืนอยู่หลังสุด

 

“เอ่อ..สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่ลูกแก้วและพี่พีกับพี่แทน แล้วบอกชื่อตัวเองไปห้ามทัพน้องหนู “ผมชื่อมิมครับ”

 

“สวัสดีจ้า” พี่ลูกแก้วตอบกลับแล้วยิ้มหวานให้ “น้อง..”

 

“กลับหอกัน” ยังไม่ทันที่พี่พีกับพี่แทนจะพูดขึ้น พี่โตก็เดินมาดึงแขนผมออกไปเลย

 

“โหย ไม่ล่ำลากันเลยน้า”

 

          ผมได้ยินเสียงพี่พีพูดไล่หลังมาเลยหันไปโค้งหัวให้ แทนคนตรงหน้าที่ไม่รู้รีบอะไรนักหนา แต่พอผมมองคนที่เดินนำอยู่ดีๆ ก็พบว่าพี่มันหูแดงหรือว่าจะเขินกันนะ “พี่โต”

 

“..ร้อน” และคำแก้ตัวที่แสนน่ารักนี้ก็ทำให้ผมเขินตามจนได้ ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ

 

 

 

          ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่บนรถรางแล้วเพราะเป็นช่วงเข้าเรียนคาบบ่ายทำให้บนรถรางไม่ค่อยมีคน ผมมองมือเราสองคนที่จับกันไว้แล้วยิ้มออกมา เหมือนพี่โตจะรู้ว่าผมเขินเลยสอดประสานนิ้วและใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือผมไปมา

 

          ผมเงยหน้ามองสบตาแล้วยิ้มให้พี่โตที่ตอนนี้หน้าแดงไปหมด ใครบอกว่าพี่โตเป็นคนหน้าตาย เป็นคนนิ่งๆ ไม่จริงเลย พี่โตน่ะน่ารักที่สุด

 

“อะ..” ในตอนที่ใกล้จะถึงหอรถรางก็จอดรับนักศึกษากลุ่มหนึ่งเพราะคนที่ขึ้นมาเยอะทำให้ผมตกใจเลยรีบปล่อยมือออกจากมือพี่มัน...ผมไม่ได้ตั้งใจ พอรถออกตัวผมเลยแอบมองใบหน้าคนข้างๆ พี่โตเม้มปากแล้วหันหน้าไปทางอื่น ผมคงโดนโกรธแล้วสิ

 

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ” พูดออกมาแบบนั้นทั้งที่ไม่มองหน้าผม

 

          ผมมองหน้าพี่มันสักพักแล้วก็เอื้อมมือของตัวเองไปดึงมือใหญ่มาจับไว้และสอดประสานนิ้วเข้ากับมือพี่มัน พี่โตหันมามองหน้าผมนิ่งๆ ส่วนผมก็ยิ้มให้เขาเบาๆ แล้วพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด “ผมไม่ได้ตั้งใจ”

 

“หึ” พี่โตหัวเราะเบาๆ กระชับมือเราให้แน่นขึ้น แล้วหยิบกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองมาวางบนตักทับมือของเราสองคนไว้ ผมก้มหน้ามองกระเป๋าสะพาย...ไม่ใช่สิ มองมือเราที่กอบกุมกันไว้ใต้กระเป๋านี้

 

 

 

ผมบีบมือพี่มันเบาๆ

ต่อไปนี้เราจะผ่านทุกเรื่องไปด้วยกันใช่ไหม…

และคำตอบคงเป็นแรงบีบเบาๆ ที่ตอบกลับมาจากคนข้างกาย




ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
14. ทิชชู่ปริศนา



“ถ้ากินไม่หมด โดนลงโทษ”


“โหย พี่” ผมทำปากยื่นไม่พอใจกับคำพูดของพี่มัน “ผมอิ่มแล้วครับ”


“อีกสองคำ”


“คำเดียว”


“มิม..” พี่มันทำเสียงดุ พร้อมกับยื่นมือมาดึงมาผมไป


“สองคำก็ได้ครับ” และนั่นก็ทำให้ผมยอมแพ้ ถ้าพี่มันจูบมือผมตอนนี้ ผมคงไม่กล้ามาโรงอาหารนี้อีก


“ดีมาก” ผมดึงมือกลับมาและตักข้าวมากินต่ออีกสองคำเป๊ะๆ โดยที่มีพี่มันนั่งจ้องทุกคำ


ตอนนี้ผมกับพี่โตกำลังกินข้าวเที่ยงที่รวมเป็นข้าวเย็นด้วยกันที่โรงอาหาร คนในโรงอาหารค่อนข้างน้อยเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์บวกกับช่วงนี้ใกล้สอบมิดเทอมด้วย พอเถียงเรื่องการกินของผมเสร็จ เราต่างคนต่างเงียบ พี่โตลงมือกินข้าวต่อ ส่วนผมก็เหม่อมองแก้วน้ำโค้กของพี่มันไป...ในที่สุดพวกเราก็ได้กินน้ำด้วยกันสักที


ผมเหม่อมองแก้วน้ำได้สักพัก ก็เงยหน้ามองคนที่กินข้าวอยู่ตรงข้ามกัน จู่ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมา นั่นทำให้ผมรู้สึกใบหน้าร้อนขึ้นมา จนต้องซ่อนสีหน้าตัวเองไว้ด้วยการก้มหน้าลงไปมองมือที่ตักตัวเอง ก้มจนคางจนเกือบชิดอก ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะเมื่อเช้า...


"พี่โต" ผมเรียกคนตัวสูงที่เดินมากอดผมจากด้านหลังไว้ ผมจับด้านไม้กวาดไว้แน่น ระงับความเขินของตัวเอง
พอเราเข้าใจกันแล้วพี่มันก็แสดงออกมากขึ้น สัมผัสตัวผมบ่อยขึ้นและพูดเพราะขึ้นมากจนผมรูสึกชอบพี่มันมากกว่าเดิม ชอบจนเจ็บไปทั้งใจเลย

"ขึ้นไปหาแทนนะ" พี่มันพูดแล้ววางคางไว้บนหัวผมและโยกตัวผมไปมา แถมยังจับแขนผมให้กวาดพื้นต่อด้วย "เดี๋ยวมา"

"..." ผมพยักหน้าแล้วดึงแขนกลับมา พยายามยื้อตัวเองออกจากอ้อมกอดนี้

"หึ ไม่ต้องเก็บเตียงพี่นะ" พี่มันขำแล้วปล่อยตัวผม คงรู้สินะ ว่าผมน่ะ...เขินจะตายอยู่แล้ว "เดี๋ยวพี่มาเก็บเอง"

"ครับ" ผมตอบกลับ มองสบตากับคนที่เดินไปหน้าประตู พี่โตยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผมหลงใหลจนอยากเก็บรอยยิ้มนี้ไว้ไม่ใครได้เห็น

“เฮ้อ”

หลังจากพี่โตเดินออกจากห้องไป ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยู่กับพี่มันแล้วหัวใจผมทำงานหนักทุกที ผมตั้งสติแล้วกวาดห้องต่อ แต่พอกวาดไปข้างฟูกนอนของตัวเองขึ้นมาแล้วก็เขินอีกรอบเพราะอาทิตย์ก่อนพี่มันซื้อฟูกนอนที่ใหญ่กว่าเดิมและย้ายลงมานอนกับผมแล้ว เอ่อ แค่นอนข้างกันเฉยๆ นะครับ นอนเฉยๆ ไม่มีอะไรจริงๆ

อ่า โคตรเขินเลย

พอกวาดห้องเสร็จเรียบร้อย ผมก็เตรียมจะเอาผ้าที่อยู่ในตะกร้าไปตากที่ระเบียง แต่ผ้าห่มที่ยับยู่ยี่บนเตียงชั้นสองของพี่โตกลับแย่งความสนใจของผมไป จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากขัดคำสั่งพี่มันเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่เพราะเมื่อคืนพี่มันทิ้งให้ผมนอนอยู่ข้างล่างคนเดียวเกือบทั้งคืน แล้วค่อยมานอนกอดผมตอนใกล้เช้า ผมเลยถือวิสาสะปีนขึ้นไปจะพับผ้าห่มให้…ไม่ได้สงสัยอะไรจริงๆ นะครับ

“...!!”

แต่ตอนที่ผมดึงผ้าห่มยับยู่นี่ออกก็พบเข้ากับกองทิชชู่ที่ถูกขยำไว้เป็นกองเพราะผมเป็นผู้ชาย ผมเลยเข้าใจในทันทีว่ากองทิชชู่นั่นคืออะไรและมันทำให้ตอนนี้ผมอายจนทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่รีบเอาผ้าห่มทับไว้แบบเดิมแล้วรีบปีนลงมาพร้อมใจที่เต้นแรง



“กินไหม” ผมสะดุ้งเพราะเสียงทุ้มที่พูดกับผม พี่มันยื่นแก้วน้ำโค้กที่เหลือเกือบครึ่งแก้วมาให้ผม


“อ่า ไม่เป็นไรครับ” ผมคว้าแก้วน้ำโค้กตัวเองมากินแก้เขินและไม่ยอมสบตาคนตรงหน้าอีก


เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดเราสองคนไม่มีธุระที่ไหน พี่มันเลยชวนผมนอนดู Netflix อยู่ในห้อง แต่กว่าพวกเราจะได้ดู ท้องฟ้าข้างนอกก็กลายเป็นสีดำไปหมดแล้วเพราะกว่าจะอาบน้ำกันเสร็จและกว่าจะเลือกซีรีส์ใน Netflix ที่เราสองคนช่วยกันหารได้ถูกใจเราทั้งคู่นั้นก็ใช้เวลานานพอสมควร


ผมมองพี่มันเตรียมที่นอนจัดแจงวางโน้ตบุ๊กของพี่มันอย่างดีและเว้นที่ให้พอเราสองคนนั่งดู ปิดไฟห้องและเปิดแค่โคมไฟเล็กข้างฟูกที่นอน ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นแสงส้มนวลๆ รวมกับอากาศเย็นในช่วงนี้แล้วทุกอย่างดูดี มันคงจะเป็นการดูซีรีส์กับคนที่เรารักแบบสุดโรแมนติกถ้าไม่ติดว่า...


“ไปนั่งอะไรตรงนั้น”


“คือผม..”


ตอนนี้ผมกำลังนั่งหดตัวอยู่ข้างฟูกนอน ไม่ยอมขึ้นไปนั่งบนที่นอนตัวเองที่ตอนนี้มีพี่มันนั่งหน้ามุ่ยอยู่ เอาตรงๆ นะครับดู ใครมันจะไปกล้านั่งด้วยกันวะ


“มานี่” พี่มันตบเบาะปุๆ ตรงระหว่างขามัน คงกะให้ผมไปนั่งพิงอกแบบสุดโรแมนติก แต่ตรงนั้นมันเสี่ยงสุดแล้วไม่ใช่รึไง!


“..พี่” ผมกัดริมฝีปากแน่น หลบตาคนที่กำลังกอดอกอยู่บนที่นอน


“มิม อย่าดื้อ” ไอ้อยากอยู่ใกล้คนที่ชอบมันก็อยากนะครับ แต่..แต่อย่าลืมนะครับว่าเมื่อเช้าผมไปเจออะไรมา “เร็ว จะเปิดแล้ว”
 

“ครับ” แต่เพราะกลัวคนข้างหน้าจะโกรธเอา เลยตอบเสียงหงอยและทำการย้ายสังขารตัวเองไปนั่งด้านหน้าพี่มัน พอนั่งลงปุ๊บพี่มันก็คว้าผมไปกอดปั๊บ แถมหอมแก้มจากด้านหลังผมไปฟอดใหญ่และการที่พี่มันทำอย่างนี้ยิ่งทำให้ผมประหม่าเข้าไปใหญ่


“บอกแล้วไงว่าไม่ตองไปเก็บเตียงพี่”

 
“พี่รู้!” ผมตกใจตาเหลือก พยายามจะดิ้นออกจากอ้อมกอดแข็งแรงนี้ “พี่โต!”


“ใครจะไม่รู้กัน หืม ก็เราทำหน้าแดงทั้งวัน แถมยังไม่ยอมสบตากันอีก”


“ก็..ก็ผม”


“พี่เก็บแล้ว ขอโทษนะ”


“ขอโทษทำไมครับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ” ผมเม้มปากแน่น หลุบตามองแขนที่กอดรัดเอวตัวเองไว้แล้วถอนหายใจออกมา “ผมแค่..ทะ ทำตัวไม่ถูกและก็ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังพี่”


“ครับ ต่อไปนี้จะไปทำในห้องน้ำ”


“ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว!” ผมตะโกนออกไป พร้อมเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าตัวเองไว้ ทำไมต้องมาคุยเรื่องนี้กันด้วยนะ หน้าผมร้อนจนเหมือนจะระเบิดออกมาเลย


“ฮ่าๆ” พี่โตหัวเราะสะใจที่ได้แกล้งผม พี่มันเปิดซีรีส์ที่เราเลือกและเราก็เข้าสู่ความเงียบเพื่อตั้งใจดู


เรากึ่งนั่งกึ่งนอนดูซีรีย์ไปสักพัก โดยที่พี่โตวางคางไว้บนหัวของผม ส่วนผมก็เอนตัวพิงอกแกร่ง ผมอินไปกับตัวเอกในเรื่องจนลืมรอบข้างไปเลย แต่ลมหายใจร้อนที่ถี่ขึ้นของพี่มันก็ทำให้ผมเลิกสนใจซีรีส์ตรงหน้า


ผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของคนที่ผมนั่งพิงอยู่และสัมผัสบางอย่างที่หลังของผม ทำให้ผมเม้มปากด้วยความประหม่า อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงไปกับคนข้างหลังด้วย ผมรู้ว่าพี่มันเป็นอะไรและนั่นทำให้ผมรู้สึกเขินอายจนเอามือมาปิดใบหน้าร้อนของตัวเองไว้


“พี่... ปล่อยผมก่อนได้ไหมครับ” ผมเรียกคนข้างหลังด้วยเสียงอู้อี้ดังลอดออกมาจากมือ พยายามเรียกคนตัวโตเหมือนชื่อให้ปล่อยอ้อมแขนแข็งแรงที่รัดเอวผมไว้ แต่ดูเหมือนพี่มันจะไม่ยอมปล่อยแถมยังรัดเอวผมไว้แน่นกว่าเดิมอีก “พี่โต”


“...มิม” เหมือนตอนนี้พี่โตจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้วเพราะตอนนี้พี่มันเอาแต่ซุกจมูกโด่งๆ นั่นลงบริเวณด้านหลังคอผม สูดดมราวกับมันหอมนักหนา ส่วนมือใหญ่ก็เอาแต่กอดรัดผมสลับกับลูบวนไปทั่วบริเวณเอวผม ปากก็เอาแต่พร่ำเรียกชื่อผม “มิม”
 

“อึก” และสัมผัสของพี่มันก็ทำให้ผมเริ่มเกิดอาการเดียวกัน จนผมต้องงอตัวไปข้างหน้า พยายามหายใจให้เป็นปกติ “อะ ผม”


“พะ พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พี่โตยอมคลายอ้อมกอด แต่ก่อนที่พี่มันจะลุกออกไป ผมก็ได้ทำในสิ่งที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ากล้าทำออกไปได้ยังไง ผมจับแขนแข็งแรงนี้เอาไว้ ให้กอดผมไว้เหมือนเดิม


“มิม” เสียงทุ้มต่ำครางชื่อผมออกมาเหมือนเตือนผมว่าอย่าทำแบบนี้และผมเองก็ดื้อพอที่จะพูดออกไปว่า


“คะ..คือ” ผมสัมผัสได้ถึงมือที่สั่นเทาและเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง ผมหายใจเข้าลึกๆ และพยายามปรับเสียงที่ติดขัดของตัวเองให้เป็นปกติ แต่มันก็ยังไม่ดีขึ้นอยู่ดี “หะ..ให้ เอ่อ ผมช่วย”


ฟรึ่บ


“ทำไม..” ยังไม่ทันจบประโยคพี่โตก็รวบตัวผมขึ้นไปนั่งบนตักแล้วกอดรัดผมไว้ มอบสัมผัสร้อนจากริมฝีปากประทับไว้บนหลังคอของผมและกระซิบข้างหูผมเบาๆ “ทำไมน่ารักขนาดนี้”


ผมขนลุกซู่กับเสียงทุ้มที่พร่ำกระซิบบอกว่าผมน่ารัก ปลายจมูกสูดดมหลังใบหูคลอเคลียลากต่ำลงมาบริเวณซอกคอของผม ผมเอียงคอหลบสัมผัสนั้นแต่ในใจผมนั้นอยากสัมผัส...อยากสัมผัสกันมากกว่านี้ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่อัดอั้นของผมนั้นกำลังเรียกร้องพี่มัน ไม่ต่างจากพี่มันที่ต้องการจากผมเลย


“ผมไม่น่ารักสักหน่อย” พูดแบบนั้นแล้วขยับแว่นแก้เขินเพราะผมน่ะ...ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ผมเอาแต่ใจแถมยังโลภมากอีกต่างหาก “ผมไม่นะ...อื้อ”


เป็นจูบที่รุนแรงที่สุดกว่าทุกครั้งที่จูบกันมาก ผมเอียงหน้าเข้าหาใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ด้านหลัง เราสลับกันดูดกลืนริมฝีปากกัน พี่โตอาศัยจังหวะที่พลิกตัวผมไปประจันหน้าดีๆ ดึงแว่นผมออกไป เอื้อมมือไปปิดจอโน้ตบุ๊กลงและประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้พี่มันสอดลิ้นเข้ามาสอดประสานกับลิ้นของผม ลากไล้ฝ่ามือร้อนเข้าไปในเสื้อของผม ผมสะดุ้งกับสัมผัสนั้นแล้วถอนริมฝีปากออกด้วยความตกใจ


“พี่...อื้อ” ผมร้องเรียกความยับยั้งชั่งใจสุดท้ายของเราทั้งคู่ไว้ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ผลเพราะเราดันแพ้ให้กับจูบร้อนแรงที่เกิดตอนเราประกบริมฝีปากกันอีกครั้ง


“อื้อ” ผมร้องออกมาตอนที่ลิ้นร้อนเข้ามาเกี่ยวกระหวัดผมอีกรอบ พี่โตกดท้ายทอยผมให้ริมฝีปากเราแนบชิดกันมากขึ้น เราต่างคนต่างดูดกลืนกันและกัน เสียงลมหายใจร้อนดังหอบกระเส่าประสานกันไปทั่วห้อง “อือ”


“มิม” พี่โตถอนริมฝีปากออกแล้วเรียกชื่อผม ก่อนจะพลิกตัวผมให้มานั่งเผชิญหน้ากัน ผมนั่งลงบนตักแกร่ง กัดริมฝีปากที่เริ่มชาของตัวเองเอาไว้ด้วยความประหม่า หลบสายตาร้อนแรงคนตรงหน้า “มองตาพี่สิ...นะครับ”


“พี่..” เหมือนผมตกหลุมพรางคนตรงหน้าครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ผมมองสายตาร้อนแรงที่มองผมเหมือนจะกลืนกินผมไปทั้งตัว พี่มันยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมแล้วจัดการถอดเสื้อตัวเองออกโดยมีผมนั่งมองอยู่บนตัก


“รู้สึกไหม” จับมือผมไปวางบนอกแกร่งที่ตอนนี้เต้นแรงเหมือนหัวใจของผม “รู้ไหมมันเต้นแรงขนาดนี้เพราะใคร”


“อื้อ” ผมร้องครางออกมาเมื่อคนตัวโตถอดเสื้อยืดผมออก ในระหว่างนั้นมือใหญ่ก็เอื้อมไปบีบสะโพกของผม “พะ..พี่”


“จะช่วยพี่ใช่ไหม เด็กดี”


“อะ” ผมสะดุ้งเพราะริมฝีปากร้อนที่ประทับลงมาที่บริเวณไหปลาร้าของผม “คะ ครับ”


“ครับอะไรครับ”


“ผะ..” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และจ้องไปที่ดวงตาแสนเจ้าเล่ห์นั่น “ผมจะช่วยพี่”


“หึ ได้ครับ”


ผมเม้มริมฝีปากแน่นในตอนที่มันเอนตัวนอนลง ปล่อยให้ผมนั่งคร่อมตักพี่มันไว้ มือผมดูเล็กไปถนัดตาเมื่อวางอยู่บนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยๆ นี้ ผมกัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง ลากมือเล็กนั่นไปจับกลางลำตัวอีกคนที่โป่งพองขึ้นมาจนเห็นเป็นรูปร่างผ่านกางเกงบอลผมถอดกางเกงพี่มันออกแล้ว หลบสายตาออกจากสิ่งนั้น มัน..เอ่อ มันใหญ่จนใจผมกระตุกวูบ


“ถอดของเราด้วยสิ”


“คะ ครับ” ผมตอบรับแล้วถอดกางเกงตัวเองออก สิ่งนั้นดีดผึงออกมาบ่งบอกว่าผมก็รู้สึกแบบเดียวกันกับพี่มัน


ผมเอื้อมมือไปจับสิ่งนั้นของพี่มันแล้วเริ่มชักรูดมัน มันทั้งร้อนและแข็งจนผมหน้าร้อนวูบใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา


“พี่ช่วย” ยังไม่ทันที่ผมจะประมวลผลคำนั้นเสร็จ


ไม่มีคำเตือนสำหรับการกระทำต่อจากนี้ ทันทีที่พี่มันลุกขึ้นมาประจันหน้ากันรวบของเราเข้าไว้ด้วยกัน ผมมองสบสายตาร้อนแรงคนตรงหน้าแล้วเหมือนใจจะหยุดเต้น สายตาแบบนี้ น่ากลัวชะมัด พี่มันขยับข้อมือชักขึ้นลงช้าๆ และเปลี่ยนระดับเป็นเร็วจนผมแอ่นหลังเข้าหาพี่มันและนั่นทำให้ปากร้อนนั้นครอบครองตุ่มไตสีชมพูไว้อย่างพอดี ดูดดึง กดเม้มจนผมสะท้าน


“อ๊า” ผมหลุดครางเพราะไม่เคยรับสัมผัสแบบนี้มาก่อน มือข้างขวาผมจับไว้ที่หลังมือใหญ่ที่กำลังทำหน้าที่ชักจูงความรู้สึกของเรา มือซ้ายจับไหล่กว้างเป็นที่พยุงไว้ตัวเองไว้


“อืม” เสียงครางทุ้มในลำคอของคนตัวใหญ่บอกถึงความรูสึกพึงพอใจ


เราจูบกันอีกครั้งแลกลิ้นเกี่ยวกระหวัด อ่อนโยนและร้อนแรงในคราวเดียวกัน ความรู้สึกเสียวกระสันจากเนื้อสัมผัสส่วนล่างที่สูสีกันตีขึ้นมาจนผมหายใจหอบ ผมเงยหน้าหนีจูบร้อนเพื่อหายใจ แต่เหมือเปิดทางให้คนเอาแต่ใจจูบเม้มแรงบริเวณคอของผมก่อนจะก้มลงไปดูดดึงตุ่มไตผมอีกรอบ มือใหญ่อีกข้างบีบเค้นไปตามเนื้อตัวผม


“อ๊ะ พะ พี่โต” ผมร้องเรียก ตอนที่พี่มันลากมือใหญ่มาขยำที่ก้นผมอย่างแรง แต่การกระทำที่ทำให้ผมตกใจที่สุดคงจะเป็นตอนพี่มันเอานิ้วยาวของตัวเองมาเลียและไปสัมผัสบริเวณช่องทางด้านหลังของผม “พี่จะทำ อะ อ๊า”


ก้านนิ้วยาวค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปด้านใน ผมเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ จิกไหล่กว้างทั้งสองข้างไว้แน่น ความรู้สึกเจ็บแปลกๆ มาจากทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกเสียวกว่าเดิม แต่แล้วนิ้วยาวนั้นก็สัมผัสโดนตรงที่ทำให้ผมรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว


“เจ็บ อ๊ะ ตะ ตรงนั้น” พอผมพูดแบบนั้นพี่โตยิ่งกดเน้นย้ำตรงนั้นพร้อมกับ ขยับข้อมือด้านหน้าให้เร็วขึ้น “อา ผม ผมจะออก..”
 

“อืม”


“พี่..โต อ๊ะ”


“พร้อมกันนะครับ”


“อา”


เสียงครางครั้งสุดท้ายดังระงมและเราก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน ผมฟุบตัวซบลงแผ่นอกด้านหน้าทันทีที่พี่มันถอนนิ้วออก ผมมองหน้าท้องทั้งสองที่เลอะน้ำรักแล้วรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมาแต่ไม่มีแรงจะหลบคนตรงหน้าแล้ว ปล่อยให้พี่มันอุ้มจัดท่านอนให้โดยไม่สบตา


“ช่วยพี่อีกครั้งนะ เด็กดี”


“ผมไม่ไหว..แล้ว”


“แค่มือนะครับ”


มือผมถูกนำไปสัมผัสกับตรงนั้นอีกครั้ง ผมนอนหมดแรงฟังเสียงลามกจากพี่มัน ด้วยใจสั่นไหวและพี่มันก็เริ่มจูบผมอีกครั้งและจูบไปทั่วตัวผม


“อา” เสียงทุ้มครางออกมาขณะปลดปล่อย พี่มันลุกหายไปแล้วกลับมาภายในชั่วอึดใจพร้อมกับทิชชู่ แล้วเช็ดทั้งที่ตัวผมและที่ตัวเองเสร็จ ก่อนจะลุกไปทิ้งก็พูดทิ้งท้ายไว้เหมือนจะแกล้งกัน


“เดี๋ยวครั้งนี้พี่จะทิ้งให้ดีๆ นะครับ”


“ไอ้พี่บ้า”

“ฮ่าๆ”


“เมื่อกี้ใครพูดไม่เพราะกันนะ” พี่โตทรุดตัวลงนอนข้างผมแล้วกอดผมไว้จากด้านหลัง


“ขอโทษครับ” ผมว่าเสียงเบา แล้วพลิกตัวหันไปหาพี่มันมุดเข้าอ้อมกอดนี้ให้เราใกล้กันเข้าไปอีก ผมซบหน้าลงกับอกแกร่ง พร้อมบอกพี่มันเสียงเบาว่า “ผมไม่มีแรงอ่านหนังสือแล้ว”


“ฮ่าๆ” และคำพูดของผมก็เรียกเสียงหัวเราะจากพี่มันได้ดีจริงๆ


“ไว้อ่านพร้อมกันพรุ่งนี้นะ” เสียงทุ้มบอกผมเสียงเบาแล้วกดจูบลงมาที่หน้าผากผมและย้ายมากระซิบข้างหูผม “ฝันดีครับ”


“ฝันดีครับ” ผมตอบรับเสียงเบาด้วยความอ่อนเพลีย เบียดตัวเข้าหาความอบอุ่น ก่อนจะผล็อยหลับไป





ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกค่ะ ติดตาม  :mew2:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เขินพี่โต   :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
15. วันที่ฝนตก



วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก...



          เริ่มชีวิตปีหนึ่งไม่ทันไรอาทิตย์สอบก็มาถึงแล้ว ผมนั่งอ่านกระดาษที่ทำสรุปไว้อยู่หน้าห้องสอบโดยมีบอสและข้าวนั่งอยู่ข้างๆ ถึงแม้วิชานี้จะเป็นวิชามหาวิทยาลัยที่อาศัยการคิดวิเคราะห์มากกว่าความจำ แต่ผมก็ไม่อยากพลาดการเก็บคะแนนในการสอบมิดเทอมนี้ ก็ผมอยากเอาเอไปอวดแม่สักวิชาน่ะครับ เด็กวิทย์อย่างพวกผมกว่าจะได้เกรดเอนั้นยากมาก ดังนั้นวิชานี้จึงกลายเป็นหนึ่งในวิชาที่ควรเก็บเอ


“โห ไอ้น้องมิ้นเครียดไรขนาดนั้น วิชานี้ชิวๆ” เสียงกวนๆ ของไอ้บอสดังขึ้นทำลายสมาธิของผม


“ชิวไม่ได้” ผมพูดออกไปเสียงนิ่งๆ สายตาจับจ้องไปที่กระดาษสรุปของตัวเอง อีกไม่กี่บรรทัดก็จะครบรอบที่สามที่อ่านทวนแล้ว พอคิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะได้สอบเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นจนมือชุ่มเหงื่อไปหมด บางทีผมอาจจะต้องไปสงบความตื่นเต้นนี้สักหน่อย "ไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ"


“หืม กูไปด้วยดิ” ผมกำลังจะหันไปเอ็ดไอ้บอสที่กวนผมไม่หยุด แต่เสียงข้าวก็ดังขึ้นมาก่อน


“พอเลยบอส หยุดแกล้งมิได้แล้ว” อยากจะขอบคุณข้าวที่ช่วยผม แต่ข้าวก็ยังแกล้งเรียกชื่อผมไม่ถูกอยู่ดี ผมล่ะปวดหัวกับสองตัวนี้จริงๆ เรียกชื่อผมให้ถูกนี่มันยากมากเลยหรอ


"รู้ทันอีก" ไอ้บอสทำปากจู๋ใส่ข้าว แล้วถลาตัวเข้าไปซบไหล่ข้าว แต่ข้าวก็ผลักหัวมันออกแต่ไอ้บอสมันก็ยังไม่ละความพยายามในการซบหัวลงบ่าเล็กๆ นั่นและแล้วก็กลายเป็นสงครามเล็กๆ ระหว่างสองคนนั้นที่ซบกันผลักกันไปมา


“เดี๋ยวมานะ” ผมส่ายหัวและอาศัยจังหวะที่พวกมันกำลังตีกันเดินออกมาทำสมาธิ


          ตอนนี้ผมมายืนทำสมาธิบริเวณบันไดหนีไฟอีกสิบนาทีก็จะเข้าห้องสอบแล้ว ผมกวาดสายตาไปตามข้อความที่สรุปไว้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเก็บกระดาษนั้นลงกระเป๋า ผมว่าผมพร้อมแล้ว หายใจเข้าออกลึกๆ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับไปยังประตูหนีไฟมือถือผมก็สั่นขึ้นมา


ครืด ครืด


'ตั้งใจทำข้อสอบนะ'


'สู้ๆ'


          ทันทีที่อ่านประโยคสั้นๆ นี้จบ ผมก็ยิ้มเหมือนคนบ้า เสียงหัวใจเต้นดังจนหูอื้อตาลายไปหมด ผมพยายามเม้มปากไว้ไม่อยากยิ้มเยอะจนเกินไป ทั้งที่พี่โตไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่ผมก็ยังไม่อยากยิ้มจนมากเกินไป กลัวพี่โตจะรู้ว่าผมน่ะชอบเขามากแค่ไหน


'ครับ'


          ตอบไปสั้นๆ ทั้งที่ในอกแทบจะระเบิดยิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ของเราตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง ทุกอย่างมันดีจนผมคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เราอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา เรียนรู้กันและกัน และผมก็พบว่าพี่มันค่อนข้างที่จะ...


ครืด ครืด ครืด


'สอบเสร็จแล้วรีบกลับนะ'


'คิดถึง'


พี่มันขี้อ้อนจนผมตกใจ


'ครับ'


          ผมสะบัดหัวไปมาหวังให้อาการใจเต้นแรงลดลง สูดหายใจเข้าออกลึกๆ อีกครั้ง แต่ข้อความต่อมาของพี่มันก็ทำให้สมาธิผมก็กระเจิงไปหมด


ครืด


'อยากกอด'


แล้วผมจะเอาสมาธิที่ไหนมาทำข้อสอบกันเล่า!!!


'ครับ'


          ได้แต่ตอบไปเรียบๆ แล้วรีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋าสะพาย เอามือพัดหน้าตัวเองไปมา พยายามปรับลมหายใจตัวเองให้เป็นปกติ ขืนออกไปหน้าแดงๆ แบบนี้ มีหวังบอสกับข้าวก็สงสัยกันพอดี ผมยังไม่พร้อมจะบอกเรื่องนี้ของผมกับพี่โต


          เพราะผมก็ยังไม่รู้ว่าผมกับพี่โตเราเป็นอะไรกันแน่ พี่โตไม่เคยพูดถึงรูปแบบความสัมพันธ์ของเราเลย ผมเลยไม่รู้สถานะของตัวเอง ในตอนนี้ผมก็แค่รูมเมทของพี่มันเท่านั้น ผม...ไม่กล้าถามหรอก



"มิม"


"!!!" ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง


"นัด!" ผมเผลอเรียกชื่อคนตรงหน้าออกมาด้วยความตกใจ ไม่ถึงวินาทีผมก็พุ่งเข้าหาประตูทันที ไม่อยากอยู่ในสถานที่แบบนี้กับเขาแค่สองคน นัดอันตรายเกินไป


พรึ่บ


"ปล่อย!" นัดดึงข้อมือผมและกระชากผมเข้าหาตัวเองอย่างแรง จนผมเซเข้าไปปะทะกับอกแกร่ง


"มิม..ฟังกูก่อน" น้ำเสียงมันอ้อนวอนปนเจ็บปวด แต่แรงที่กำข้อมือผมไว้ทำให้ผมอึดอัด


"ปล่อย" ผมพูดแล้วมองที่ข้อมือตัวเองที่ตอนนี้เจ็บและชาไปหมด


"ขอร้อง" เสียงอ่อนแรงนั้นทำให้ผมเผลอสบตากับนัด ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและตัดพ้อที่ผมไม่เข้าใจ


"เจ็บ" ผมพูดออกไปขณะที่จ้องตากับมัน นัดชะงักไปเล็กน้อยและยอมปล่อยข้อมือผม ผมไม่รอช้ารีบวิ่งออกมาทิ้งนัดให้นัดยืนอยู่ตรงนั้น...และหนีมันอีกครั้ง




          ผมเดินเข้าห้องสอบด้วยสีหน้าไม่ดีนัก บอสกับข้าวถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมเลยส่ายหน้าเป็นการบอกว่าผมไม่เป็นไร พวกมันไม่ได้ถามซักไซร้อะไรต่อและเราก็เดินแยกไปนั่งที่ใครที่มัน


          ผมนั่งลงและมองกระดาษข้อสอบแล้วหลับตาลง พยายามทำจิตใจให้สงบ จู่ๆ ผมก็นึกถึงหน้าพี่โตและนึกถึงความรู้สึกอบอุ่นจากอ้อมกอดที่ผมได้รับทุกวัน น่าแปลกที่ใจผมนั้นสงบลงอย่างง่ายดาย พอผมเรียกสติตัวเองกลับคืนมาได้แล้ว ก็ก้มหน้าทำข้อสอบอย่างเดียวโดยไม่สนใจคนที่ทิ้งรอยไว้ที่ข้อมือผมที่กำลังเดินเข้ามาในห้องสอบเลยสักนิด





"กินไรกันดี"


         และนี่คือคำถามแรกหลังจากเราออกมาจากห้องสอบ  เป็นผมที่พูดออกมาเพราะความหิวและโล่งที่ผมเกร็งข้อสอบมาถูกทาง ตอนนี้ผมน่ะอารมณ์ดีสุดๆ ไปเลย


"แหม ทำข้อสอบได้สินะเตี้ย" ผมหันไปจะเถียงไอ้บอสแต่มันดันรู้ทันและล็อคคอผมเอาไว้แทน


"ไอ้บอส!" ผมโวยวาย พยายามดิ้นให้หลุดจากแขนแข็งแรงนี่ ผมก็พอจะรู้สภาพร่างกายตัวเองที่เกิดมาตัวเล็กกว่ามันเลยจะหันไปขอความช่วยเหลือจากข้าว


"ฮ่าๆๆ" แต่ความหวังของผมกลับหัวเราะและกำลังถ่ายรูปผมเอาไว้ แน่นอนว่ารูปหน้าเหวอๆ ของผมต้องไปโผล่บนไอจีสตอรี่ข้าวแน่นอน


"ฮึ่ย อย่าให้หลุดออกไปได้นะเว้ย"


"ฮ่าๆๆ"


"มิม"


          พวกเราชะงักเพราะเสียงทุ้มที่เรียกผม อาจเพราะการที่เรียกชื่อเล่นจริงๆ ของผมทำให้ไอ้บอสกับข้าวหยุดแกล้งผมและหันไปมองคนมาใหม่ จริงๆ ก็ไม่ค่อยใหม่เท่าไหร่


"...นัด" ผมเม้มปากแน่น กังวลว่าคนตรงหน้าจะพูดเรื่องในอดีตออกมา กลัวที่จะโดนเกลียดอีก


“ขอคุยด้วยหน่อย” นัดถือวิสาสะเดินเข้ามาจับข้อมือผมไว้และแรงบีบนั้นทำให้รอยที่ช้ำอยู่แล้ว เจ็บขึ้นมาจนผมเผลอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ


“...ปล่อย” ผมพูดออกมาเบาๆ ไม่อยากให้บอสกับข้าวรู้จักกับคนคนนี้ ผมกลัว


“ยุ่งไรกับเพื่อนกู” เป็นบอสที่มาดึงผมออกจากมือแข็งแรงนี้แล้วดันตัวผมไปไว้ข้างหลังมัน ผมมองแผ่นหลังข้างหน้าแล้วน้ำตารื้นขึ้นมา ถ้ามันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม มันจะอยากปกป้องผมอยู่ไหม จะรับได้ไหม...


“มิม พาเพื่อนไปด้วยก็ได้” นัดไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่เรียกชื่อผมและพอผมสบตากับมัน รอยยิ้มเยาะเย้ยเหมือนกำลังเจอเรื่องสนุกแบบนั้น ผมก็ตัดสินใจได้ทันที


"อือ"




          ตอนนี้ผมนั่งตรงข้ามกับนัดโดยที่มีข้าวนั่งข้างผมและบอสนั่งข้างนัด โชคดีที่โรงอาหารไม่ค่อยมีคนเพราะเราสอบเสร็จกันไว ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งชิวกันแบบนี้ แต่ถึงต่อให้โรงอาหารสงบแบบนี้ การกินข้าวครั้งนี้ก็เป็นการกินข้าวที่อึดอัดที่สุดที่ผมเคยกินมา ทั้งโต๊ะเงียบไปหมดมีเพียงแค่เสียงช้อนที่กระทบกับจานข้าวเท่านั้นและแล้วผมก็ทนกินได้แค่สามคำเพราะทนกับความเงียบนี้ไม่ไหว อึดอัดสุดๆ ไปเลยโว๊ย


"อิ่มแล้วหรอ" ผมเงยหน้าสบตาคนที่นั่งตรงข้ามแล้วถอนหายใจออกมา สถานการณ์น่าอึดอัดขนาดนี้แต่นัดมันยังยิ้มอยู่ได้


"อือ" ผมตอบนัดไปแล้วหันไปมองบอสที่จ้องผมเขม็ง สายตาเต็มไปด้วยคำถามจนผมต้องหลุบตามองมือตัวเอง


"..." แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง


"เอ่อ นัดเป็นเพื่อนตอนม.ปลาย"


"อือ..." บอสตอบรับสั้นๆ แล้วทุกอย่างก็เงียบลง ข้าวเอาแต่มองหน้าบอส ส่วนบอสก็จ้องผมเหมือนจะให้ผมพูดอธิบายต่อ



"ขอกูคุยกับเพื่อนหน่อย" เป็นผมที่ตัดบทออกไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเล่าทุกอย่างให้ฟัง ผมแค่กลัวว่าพวกบอสจะรับไม่ได้ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว ถ้าผมปิดเรื่องนี้ไว้ได้ ปิดอดีตที่กลายเป็นตัวตลกแบบนั้นได้ ผม...ต้องทำอะไรสักอย่าง "คะ แค่สองคน"



"ได้ ข้าวกลับ" บอสพูดขึ้นทันทีที่ผมพูดจบและเดินออกไปโดยที่ไม่มองหน้าผมเลย ข้าวมองผมเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดอะไรและวิ่งตามบอสไป ขอแค่ครั้งนี้ผมจะจบเรื่องนี้และจะอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนฟัง



"เพื่อนยังไม่รู้สินะ"



"นัด" นัดยิ้มแล้วยกมือขึ้นมากอดอก ทำท่าทีสบายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำหน้ารู้สึกผิดอยู่เลย ผมงงไปหมดแล้ว



"ทำไมทำหน้าแบบนั้น"



"...มีอะไรกับกูอีก"



“กูขอโทษ”


“หะ..อะ อะไร” ผมขวดคิ้วทันที ผมไม่เคยรู้เลยว่านัดคิดอะไรอยู่และตอนนี้ก็เช่นกัน มันคิดจะทำอะไรกันแน่



“ที่ผ่านมาทั้งหมด” มันเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ ผมไม่ได้สะบัดออกเพราะอยากจะรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ “กูขอโทษ”



 “..กู” ทำไมพูดออกมาง่ายขนาดนั้นกันนะ “นัด..ต้องการอะไร”



“ต้องการ? หึ ต้องการมึงไง" นัดพูดด้วยน้ำเสียงเกลื้อหัวเราะ "เริ่มใหม่กันได้ไหม”



“เดี๋ยว กูไม่เข้าใจ" ทำไมพูดออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้น "ทำไม...ตอนนั้นถึงทำแบบนั้น”


"ขอโทษ ลืมทุกอย่างแล้วมาเริ่มใหม่กันได้ไหม" ผมมองแววตาคนข้างหน้าแล้วใจกระตุกไปด้วยความเจ็บปวด อีกแล้ว เป็นผมที่ทำให้นัดต้องเจ็บอีกแล้ว แววตาที่เคยแข็งกร้าวนั้นอ่อนแสงลงเพราะผมอีกแล้ว "ให้กูได้รัก.."


“ทำให้ทุกคน...” เป็นผมที่พูดแทรกมันขึ้นมา ผมไม่อยากได้ยินอีกแล้ว “เกลียดกูทำไม”


 “ขอโทษ” ผมเลือกที่จะดึงมือกลับมา มองไปที่ใบหน้านั้นแล้วผมก็ใจหาย นัดกำลังจะร้องไห้ “ให้โอกาสกูได้ไหม”


“...” นัดก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนที่แกล้งทำเป็นเข้มแข็ง


“ให้โอกาส...” และเอาแต่ใจ “กูรักมึงได้ไหม”


“นัด” มีคำพูดหนึ่งที่บอกว่าทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวและผมก็เชื่อแบบนั้น “มึงรักกูจริงรึเปล่า”


“...”


“หรือแค่อยากเอาชนะ”


“มิม”


“...กูไม่เคยเข้าใจความรักของมึงเลย มึงไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากูจะรู้สึกยังไง มันเหมือนกับว่ามึงรักแค่ตัวมึงเอง”


“ขอโทษ” จะว่าไปแล้ว ผมนี่สิที่เอาแต่ใจตัวเองมากกว่านัด ทั้งหนี ทั้งไม่สนใจและรักนัดไม่ได้เลย


"ขอโทษเหมือนกัน" ถ้าผมในตอนนั้นกล้าที่จะบอกทุกอย่างตรงๆ แบบในตอนนี้ ทุกอย่างคงจะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม ทุกคนจะมีความสุขมากกว่านี้ไหมนะ "แต่กูรักมึงไม่ได้จริงๆ"


          ผมเอื้อมมือไปจับมีนัดไว้บีบเบาๆ แล้วยิ้มให้ เป็นจังหวะเดียวกันที่น้ำตาของผู้ชายตรงหน้าไหลลงมา ผมเอื้อมมืออันสั่นเทาของตัวเองไปปาดรอยน้ำตานั้นออก


          พี่โตเคยบอกผมไว้ว่าตัวเราเองมีคุณค่าเสมอและผมก็เพิ่งเข้าใจในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะได้รับรู้ว่ามีคนรักผมมากถึงขนาดนี้ แต่เป็นเพราะผมเลือกที่จะไม่วิ่งหนีแต่กลับเอื้อมมือไปเจอกับอดีตที่น่าสงสารของตัวเองและหยุดมันไว้เหลือแค่รอยน้ำตาบนปลายนิ้วและได้รอยยิ้มของเพื่อนคนเดิมกลับมา


          ผมกำลังจะยิ้มกว้างแต่ปลายสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นคนที่กำลังจะหันหลังออกไปจากโรงอาหาร แค่เห็นแผ่นหลังกว้างแบบนั้น ใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ


 “พี่โต!” ผมตะโกนเรียกคนที่กำลังเดินออกไป ผมเห็นพี่โตหยุดสักพัก แล้วเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามองผมและนั่นก็ทำให้ใจผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม "ไม่.."


ฟรึ่บ


 “...มิม” นัดลุกขึ้นมาขวางผมแล้วจับมือผมไว้


“กู..." ผมละสายตาจากแผ่นหลังนั้นมามองคนตรงหน้า


“...เพราะมันใช่ไหม” ผมชะงักไปแต่สุดท้ายก็หลบตามันและมองออกไปข้างนอกที่ฝนกำลังเทลงมาด้วยใจที่อึดอัด ไม่อยากพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจนัดอีกแล้ว


“ต่อให้ไม่มีเขา กูก็มะ..” ผมหยุดพูดไปเพราะนัดจูงมือผมให้ไปนั่งที่เดิม พร้อมกับนั่งลงข้างกันแล้วจับมือผมเอาไว้ “ขอโทษนะนัด”



"เข้าใจแล้ว" นัดพูดออกมาแบบนั้น แล้วปล่อยมือและยิ้มให้ผม “ไปหาคนที่ทำให้มึงยิ้มได้เถอะ”


“...” เป็นยิ้มที่ทำให้ผมร้องไห้


“แล้วถ้าเขาไม่ฟังมึง พาเขามาหากู” เป็นรอยยิ้มที่ผมคิดถึงมาโดยตลอด รอยยิ้มของเพื่อนคนหนึ่ง “กูจะอธิบายทุกอย่างเอง”


“อืม”  ผมตอบรับ คว้ากระเป๋าตัวเองแล้ววิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนเลยไม่ทันได้ยินประโยคสุดท้ายจากเพื่อนของผม ที่พูดออกมาด้วยความเจ็บปวดทั้งหมดในหัวใจด้วยเสียงที่แผ่วเบา


“ขอโทษ ที่กูรักมึง”




ซ่าๆ


          ผมวิ่งฝ่าฝนออกมาด้วยใจที่รีบร้อน วิ่งมาเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกแค่ไหนเพราะคนที่ผมตามหานั้นก็เปียกฝนไม่ต่างจากผมเลย เจอแล้ว ผมเจอเขาแล้ว


“พี่โต!” ผมคว้าแขนแข็งแรงที่เปียกชุ่มไว้ ดึงให้ร่างสูงหยุดเดินและดึงอีกครั้งให้หันมาหากัน


“...” แต่สายตาเย็นชาที่มองมาทำเอาผมขอบตาร้อนผ่าว


“พี่” ผมนิ่งไปเพราะคนตรงหน้าไม่พูดอะไร พี่โตเอาแต่มองผมด้วยสายตาเย็นชา จนผมทนไม่ไหวและสะอื้นออกมาด้วยความเจ็บปวด "ฮึก..."


ฟรึบ


“ฟังผม..” และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น พี่โตสะบัดแขนตัวเองออกจากมือผมแล้วหันหลังไปและก้าวเดินออกไป


“....”


“พี่โต!" ผมตะโกนเรียกคนข้างหน้าแข่งกับเสียงฝน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นพี่มันยังเดินต่อไปจนผมทนไม่ไหวต้องวิ่งเข้าไปกอดแผ่นหลังนั้นไว้ "ฟังผมหน่อยนะครับ..ฮึก”


“...” พี่โตดันตัวผมออก แล้วจับแขนผมไว้และลากไปที่ป้ายรถรางใกล้หอของเรา


“พี่ ฮือ” สุดท้ายผมก็แค่คนอ่อนไหวและอ่อนแอ ทั้งที่คิดว่าได้ก้าวผ่านอดีตเหล่านั้นมาแล้วผมจะเข้มแข็งขึ้น แต่ไม่เลย แค่เห็นแววตาเย็นชาของพี่โตที่มองมา ผมก็ร้องไห้ไม่หยุดเพราะความกลัวเกาะกุมหัวใจไปหมด


ซ่าๆ


“เฮ้อ...วิ่งตากฝนมาทำไม” พี่โตยอมพูดกับผมแล้วแต่ไม่มองผมเลยสักนิด


“ฮึก...” ผมสะอื้นอีกครั้งแล้วถลาไปกอดคนตรงหน้า โชคดีที่ฝนกำลังจะหยุดตกและที่ป้ายนี้ก็ไม่มีใครอยู่ ทำให้ผมได้ทำตามใจตัวเองแบบนี้ “ผมกลัว กลัวพี่จะหายไปอีก”


“...”


“ไม่เอาแล้ว ฮึก”


“...”


“ไม่เอาแล้วนะ”


“มิม”


“อย่าหายไปนะครับ ผะ” ผมพูดไปร้องไห้ไป ใบหน้าผมซบลงไปที่อกแว่นตาที่ขึ้นฝ้าถูไถไปกับอกแกร่ง แค่คิดว่าพี่มันจะหลบหน้าผมเหมือนครั้งก่อน ใจผมก็เจ็บไปหมด “ผมอยากอยู่กลับพี่ ฮึก เมื่อกี้มันไม่มีอะไรเลยนะครับ”


“พอแล้ว”


“อึก” คำว่าพอแล้วเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจผม เกลียดกันแล้วใช่ไหม “พี่ ฮึก”


“หยุดร้อง”


“พะ” พอแล้ว..งั้นหรอ


“ชู่”




ปัง


          เสียงประตูห้องที่ปิดลงเรียกสติผมให้กลับคืนมา หลังจากฝนหยุดตกเราก็เดินกลับหอ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไร แค่คำสั้นๆ คำเดียวทำเอาผมร้องไห้ไม่ออก แต่ในใจผมนั้นกำลังร้องไห้อย่างหนัก ผมไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้


“พอแล้ว” ผมถามคนที่กำลังยืนหันหลังให้ผมอยู่ “มะ หมายความว่าอะไรครับ”


“...” พี่โตหันมามองหน้าผมแต่ไม่พูดอะไร แววตาเย็นชานั่นทำเอาหัวใจผมเจ็บไปหมด


หรือว่าไม่ชอบผมแล้ว


หรือว่าจะเกลียดผมแล้ว


“กะ เกลียดผมแล้วหรอครับ”



พลั่ก




“โอ๊ย”







ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
16. เดืองราว



พลั่ก


“โอ๊ย”


      ผมร้องออกมาเพราะถูกผลักอย่างแรงจนหลังผมชนกับประตู ความปวดร้าวที่แผ่นหลังทำให้ผมส่งเสียงร้องออกมา แต่แล้วใบหน้าของคนตรงหน้าที่เข้ามาประชิดอย่างรวดเร็วทำให้ผมเงียบลงไป ลมหายใจร้อนที่พัดมาโดนริมฝีปากผมทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลายด้วยหัวใจที่สั่นระรัว


“ผม..” ผมถอยหลังชิดกับประตูมากขึ้นเพราะพี่โตเอาแต่ขยับมาใกล้กันมากขึ้น มือใหญ่คว้าเอวผมไปดึงตัวผมเข้าไปใกล้ จนผมตกอยู่ในอ้อมกอดของพี่มัน ทันทีที่ปลายจมูกของเราแตะกันเบาๆ ใจผมก็แทบจะหยุดเต้น ถึงแม้ที่ผ่านมาเราจะเคย จะ..จูบกันแล้ว แต่ครั้งนี้สายตาที่มองมาที่ผมนั้นมันต่างไป สายตาที่อยากจะกลืนกินผมไปทั้งตัวนั้นทำเอาผมพูดไม่ออก "พะ พี่"


“รู้ไหมตอนนี้เราทำให้พี่หึงสุดๆ เลย”


“อึก” ผมตกใจ เผลอกลืนน้ำลายเพราะคำว่าหึงของพี่มัน ผม...ผมจะใช้คำว่าหึงได้จริงๆ หรอ "ผม คือ..พี่..หึงผม?"


"ใช่ หึงจะตายแล้ว" พี่มันพูดแบบนั้นแล้วเอาหน้าผากมาพิงหน้าผากผมไว้ พร้อมกับกระซิบเบาๆ "รู้ไหมครับ"


"ผม..ผม มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดเลย” ผมพูอธบายออกไปด้วยความตื่นเต้น ไม่อยากให้พี่โตเข้าใจผิด “ผมกับนะ.."


"รู้แล้ว พี่งี่เง่าเอง" พี่โตพูดแทรกขึ้นมา แล้วถอนหายใจ "แค่เราจะชื่อพูดมัน พี่ยังไม่ชอบเลย นิสัยไม่ดีเลยเนอะ"


"ผม.." ผมบีบมือตัวเองไว้แน่น พยายามจะหุบยิ้มของตัวเองไว้แต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด ยิ่งตอนที่พี่โตก้มลงมาหอมแก้มผม ผมยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก ตอนนี้ผมมีความสุขจนเหมือนใจจะระเบิดเลย

“ยังจะยิ้มอีก”

“กะ ก็ผม” ผมช้อนตามองคนที่สูงกว่า อยากบอกความรู้สึกไปว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนเพราะการที่พี่มันหึงผม นั่นก็แปลว่าผมก็สำคัญกับพี่มัน ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไงสุดท้ายก็ได้แต่พูดอะไรโง่ๆ ออกไป “ดีใจ”


“...” พี่โตเลิกคิ้วแล้วมองผม


“ผม ผมชอบเวลาที่พี่เป็นแบบนี้” ผมพูดไปแล้วก็เขินจนต้องเอาหัวไปซบกับอกเปียกๆ ของคนตรงหน้าแทนเพราะทนไม่ไหวแล้วกับสายตาที่จ้องมา ถ้าผมมองมากกว่าผมอาจจะละลายลงไปกับพื้นก็ได้


“หึ จะโกรธแล้วเนี่ย” เสียงหลุดหัวเราะทำให้ผมยิ่งซุกหน้าเข้ากับอกเข้าไปอีก จนแว่นติดกับเสื้อที่เปียกทำให้ภาพเบลอไปหมด


“ไม่เอาครับ ห้ามโกรธ” ผมพูดอู้อี้อยู่กับอกพี่มัน


“...”


“พี่” เพราะได้รับความเงียบเป็นคำตอบ ผมใจหายจนต้องเงยหน้ามองคนที่กอดเอวผมไว้อย่างหลวมๆ สายตาที่มองผมแบบนิ่งๆ ทำให้ผมเดาไม่ออกว่าพี่มันคิดอะไรอยู่ “พี่โต อย่าเงียบสิครับ”


“...”


“พี่” ผมเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังเงียบ เอาแต่จ้องหน้าผม สุดท้ายก็เป็นผมที่ยอมแพ้ “ทำยังไง พะ พี่ถึงหายโกรธ”


“...”


“ทำยังไงครับ” ผมซบอกคนตรงหน้าอีกครั้งเพราะเขินที่พูดประโยคนั้นออกไป แต่เสียงหัวใจที่เต้นเร็วของคนตรงหน้ายิ่งทำให้ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมด


"จูบพี่สิ” เสียงทุ้มพูดออกมาเบาๆ ท่ามกลางความเงียบในห้อง ผมกลืนน้ำลายอีกครั้งด้วยความประหม่าและเงยหน้าจ้องตาคนสูงกว่า เราจ้องตาอยู่อย่างนั้นสักพัก พี่โตก็เอื้อมมือมาถอดแว่นมัวๆ ของผมออกไป


“...” ผมมองคนข้างหน้าที่กอดเอวผมแน่นขึ้นจนตัวเราสัมผัสกันใกล้ชิดเข้าไปอีก มองรอยยิ้มที่ยิ้มมุมปาก แล้วมองตาพี่มันอีกครั้ง พี่โตพยักหน้าเบาๆ เหมือนบอกให้ผมทำเร็วๆ ผมเลยตัดสินใจเขย่งปลายเท้า เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ใบหน้าหล่อเหลาแล้วกดจูบลงที่ริมฝีปากสวยตรงหน้า ผมกดจูบเบาๆ อีกครั้งแล้วถอนริมฝีปากออก


“และเป็นของพี่คนเดียว” ผมชะงักไปเพราะคำพูดนั้น เคลื่อนใบหน้าออกมา มองลึกเข้าไปในตาผู้ชายตรงหน้า


“...” แล้วผมก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ประโยคคำสั่ง


“นะครับ” แต่เป็นประโยคขอร้อง


และผมเอง


ก็ดันเป็นคนใจอ่อนมากซะด้วยสิ





“อื้อ”

     ทันทีที่ริมฝีปากเราแนบชิดกัน เหมือนมีพายุพัดความร้อนแรงถาโถมเข้ามาสู่เราสองคน แขนของผมกอดเกี่ยวคนตัวสูงกว่าไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวเพราะลิ้นที่ชอนไชไปทั่วปากผมกำลังทำให้ผมยืนไม่อยู่ อ้อมกอดพี่โตรัดผมไว้แน่นยิ่งขึ้น เราสัมผัสกันใกล้ชิดมากขึ้นจนลมหายใจเราเป็นของกันและกัน


“อ๊ะ” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะพี่โตอุ้มผมเดินไปที่โต๊ะ วางผมลงและก้มลงมาจูบที่ลำคอผม ผมหลุดครางออกไปเพราะความรู้สึกแปลกที่ตีขึ้นมา ผมกอดก่ายตัวพี่โตไว้ ส่วนมือทั้งสองข้างของพี่โตก็ลูบไล้ไปทั่วบริเวณหลังและสะโพกของผม เราจูบกันอีกครั้ง ผมแยกขาออกกว้างให้เราได้แนบชิดกันมากขึ้น


“จำได้ไหม” พี่โตเงยหน้ามาถามผมเสียงนิ่ง ใช้มือใหญ่สองข้างประครองหน้าผมเอาไว้ ตอนที่ปลายนิ้วคนตรงหน้าเกลี่ยปอยผมที่บังสายตาผมอยู่ออกทำให้ใจผมเต้นแรง แต่เสียงทุ้มที่พูดประโยคต่อมาเกือบทำให้ผมหยุดหายใจ “พี่บอกแล้วว่าต่อไปนี้จะไม่ปล่อยแล้ว”


“อะ”


“เตรียมตัวรับมือกับพี่รึยัง เด็กน้อย” น้ำเสียงขี้เล่นนั้นทำเอาใจผมสั่นไหว ผมสบตากับคนตรงหน้า ถึงเราจะเคยสัมผัสกันมากกว่าจูบแต่ผมรู้ว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนครั้งนั้น สายตาพี่โตในครั้งนี้ต่างออกไป


“พี่...อ๊ะ” ผมร้องขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสื้อนักศึกษาของผมหลุดไปจากตัวและพี่โตก็กำลังใช้ปากครอบครองตุ่มไตนั้นไว้ ขบเม้มจนผมสะดุ้งทั้งตัว ผมหลับตาหนีภาพตรงหน้าและปล่อยอารมณ์ไปตามธรรมชาติ ปล่อยไปตามอารมณ์ของเราในตอนนี้ ความรู้สึกหวามไหวแล่นไปทั่วท้อง ผมหายใจหอบหนัก


แกร่ก


“ถือไว้” พี่โตกระซิบบอกผมแล้วยัดสิ่งของบางอย่างลงมาในมือผม ผมก้มลงมองเจ้าสองสิ่งนั้นแล้วก็เขินจนหน้าร้อนไปหมด อีกทั้งใจเต้นแรงจนหูอื้อไปหมด แต่ก่อนที่ผมจะได้เขินกว่านี้พี่โตก็ก้มลงมาจูบผมและคว้าเอวดึงไปใกล้ แล้วอุ้มผมไปวางบนที่นอนโดยที่ริมฝีปากเราไม่ได้ห่างกันเลยสักนิด...แข็งแรงชะมัด


      พอหลังผมสัมผัสเข้ากับที่นอนนุ่มของเรา ตัวผมก็โดนพี่มันทาบทับไว้ พี่มันจูบผมอย่างรุนแรงสลับกับอ่อนโยนจนผมรู้สึกมึนหัวไปหมด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลมหายใจร้อนที่รินรดอยู่บริเวณท้องของผมทำให้ผมขนลุกไปหมด พี่มันเงยหน้าขึ้นมามองผมและจัดการกับกางเกงผมดึงมันออกจากตัวผมอย่างรวดเร็ว แล้วจัดการเสื้อผ้าของตัวเองเช่นกัน


      ผมมองหน้าคนที่คร่อมผมไว้ มองริมฝีปาก ลำคอ หน้าท้องที่มีซิกแพคแน่นและพอถึงตรงนั้นผมก็หันหน้าไปทางอื่นทันที เม้มปากด้วยความประหม่าเพราะสายตาคมกำลังมองสำรวจไปทั่วร่างที่เปลือยเปล่าของผมเช่นกัน ทำได้แค่นอนนิ่งๆ ใจผมเต้นรัวจนผมจะร้องไห้และผมก็สะดุ้งเพราะมือใหญ่สัมผัสเข้ากับส่วนอ่อนไหวของผมและชักนำมัน


“พี่..ผม อ๊ะ” ผมร้องออกมาตามแรงอารมณ์พยายามใช้มือจับมือพี่โตออก พี่โตก้มลงมากัดเบาๆ ที่ริมฝีปากผมและลากปากไปทั่วบริเวณลำคอของผม

“ไม่ต้องกลัวนะ” พี่มันกระซิบบอกข้างหู กดจูบลงเบาๆ ที่แก้มผมและหยิบอุปกรณ์สองอย่างนั้นขึ้นมา เปิดฝาแล้วบีบเจลออกมา ก้มลงมาหอมแก้มผมอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้เจลนั้นป้ายลงบริเวณช่องทางด้านหลังของผม กดวนไปมา จนผมครางออกมา พี่มันยิ้มแล้วเริ่มสอดนิ้วเข้ามา “น่ารัก”


“อะ...” ผมไม่ได้สนใจคำพูดชมนั่นเลยเพราะความเจ็บจากช่องทางด้านหลังที่โดนรุกรานถาโถมเข้ามาและความรู้สึกจากส่วนหน้าที่ถูกกระตุ้นไม่หยุด ทำให้ผมทั้งเจ็บทั้งกระสันไปพร้อมกัน “มันเจ็บ..อ๊ะ”


“อือ” พี่โตสอดนิ้วที่สามเข้าไปและเริ่มเคลื่อนมือนั้น พร้อมกับจูบผมไปด้วยผมมัวเมาไปกับรสจูบอีกครั้ง ไม่ได้รู้เลยว่าพี่มันสวมถุงยางตอนไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่นิ้วนั้นถอดถอนออกไป “อย่าเกร็งนะ”


“พี่...อ๊ะ โอ๊ย เจ็บๆ” ผมร้องออกมาแล้วเริ่มดิ้น ผมมองตรงนั้นแล้วความกลัวก็เริ่มเกิด เข้าไปแค่นั้นผมก็รู้สึกจะตายแล้ว เข้าไปหมดนั่นผมต้องตายจริงๆ แน่ “ผมไม่เคย อึก พี่โต!”


“เหมือนกัน” ผมชะงักแล้วหยุดดิ้นจ้องตาคนที่ก้มลงมาหอมแก้มผม พี่มันจ้องลึกเข้ามาจนใจผมกระตุกไปด้วยความหวามไหว “พี่ไม่เคยกับผู้ชายเหมือนกัน เราเป็นคนแรก”


“...” ผมพูดอะไรไม่ออกแค่หลับตาลงพยายามจะไม่เกร็ง


“เด็กดี” และก็ได้รับคำชมอีกครั้ง


“เจ็บ” ผมบอกเสียงเบา ตอนที่พี่โตพยายามดันเข้ามาอีก พี่โตจูบหน้าผากผมแล้วประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง


“อา”


“อื้อ!” พี่มันอาศัยจังหวะที่ผมเผลอไปกับจูบนั้นเข้ามาจนสุดตัวตน ผมร้องทันทีแต่เสียงไม่อาจเล็ดลอดริมฝีปากคนข้างบนออกมาได้เลย


“อืม” พี่โตถอนจูบออกแล้วหลับตาคำรามในลำคอ พี่มันหยุดนิ่งสักพักแล้วค่อยๆ ขยับตัวเข้าออกช้าๆ


“อ๊ะๆ พี่...พี่โต” ผมอึดอัดและรู้สึกแปลกๆ แต่สักพักผมก็ต้องครางออกมาเพราะแรงกระแทกไปโดนจุดที่ทำให้ผมกระสัน จนผมต้องช่วยตัวตนของตัวเองไว้ พี่มันยิ้มทันทีที่ผมครางและเพิ่มแรงกระแทกไปจุดนั้นแรงขึ้น ถี่ขึ้น จนผมหอบหายใจด้วยความเสียวกระสัน “อ๊า อ๊ะ”


“อา มิม” พี่โตหลับตาครางชื่อผมแล้วก้มลงมาขบเม้มที่ลำคอผม พี่โตคว้ามือผมไปจับไว้แล้วจูบลงบนนิ้วผมและเริ่มขยับเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์


“อ๊ะๆๆ”เสียงเรากระทบกันผสมกับเสียงร้องครางของผมดังไปทั่วห้อง มือของเรายังคงจับกันไว้แน่น ตัวผมสั่นคลอนไปทั้งตัว ผมมองคนที่อยู่ข้างบนด้วยใจที่เต้นแรง ยิ่งเห็นหน้าที่บ่งบอกถึงความกระสันเหมือนกันผมยิ่งห้ามตัวเองที่จะถึงฝั่งฝันไม่ไหว “พี่ อ๊ะ จะเสร็จ อ๊า”


“อา” ผมกับพี่มันครางออกมาพร้อมความสุขที่ปล่อยออกมาพร้อมกัน น้ำรักผมกระเด็นไปทั่วหน้าท้องของสองเรา พี่โตทิ้งตัวลงมาทาบทับกอดผมไว้ ซุกไซ้จมูกโด่งข้างซอกคอผม เรานอนกอดกันและปล่อยให้เสียงหอบดังภายในห้องเล็กๆ นี้ “แฮ่กๆ”


“อ๊ะ พี่โต” ผมสะดุ้งอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงตัวตนพี่โตที่ขยายขึ้นอีกครั้ง


“มิม” พี่โตเรียกชื่อผมและลากมือใหญ่ผ่านหน้าท้องผมไปจับส่วนนั้นของผมไว้อีกครั้ง


“พี่โต!” และผมก็ตะโกนออกมาด้วยความอับอาย เมื่อกี้มันยังไม่พออีกหรอวะเนี่ย!


“หึ อีกรอบนะครับ” พี่มันยกยิ้มมุมปากแล้วหยิบกล่องถุงยางขึ้นมา ฉีกซองไป มองหน้าผมไป


“อ๊า” ฮือ ใครก็ได้ช่วยผมด้วย


ก่อนที่ผมจะหลับไปด้วยความอ่อนล้า ผมก็ได้ยินเสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยกระซิบบอกประโยคเดิมกับผมทุกค่ำคืน


“ฝันดีครับ” คืนนี้ก็เช่นกัน


และผมก็อยากได้ยินประโยคนี้ตลอดไปเลย








“อื้อ”


     ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดและความปวดร้าวที่ถาโถมเข้ามาตอนผมขยับพลิกตัว ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนที่นอน ตั้งสติอยู่สักพักเพราะปวดหัวนิดหน่อย แต่พอได้สติแล้วเรื่องเมื่อคืนก็ย้อนกลับมาจนผมต้องเม้มปากด้วยความประหม่า ก้มมองสำรวจร่างกายตัวเองแล้วก็รู้สึกเขินแปลกๆ เพราะพี่มันใส่เสื้อของพี่มันให้ผม แล้วก็ยังใส่บ๊อกเซอร์ให้ผมด้วย


      ผมหันไปมองหาคนที่นอนกอดผมมาทั้งคืนแต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่มีพี่มันนอนอยู่ตรงนั้น มองไปรอบห้องก็ไม่เห็นใคร ผมรู้สึกใจหายแปลกๆ เอื้อมมือไปสัมผัสที่นอนอีกฝั่งที่พี่มันเคยนอน เย็น...พี่มันคงลุกออกไปนานแล้ว


      ผมถอนหายใจ พยายามห้ามความรู้สึกที่ตีขึ้นมาจากอก อย่าน้อยใจดิวะไอ้มิม พี่มันอาจมีสอบก็ได้ ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็เถอะ อาจจะสอบนอกตารางมั้ง ผมปัดความคิดตัวเองทิ้งแล้วคลานไปที่โต๊ะตัวเองหาที่จับเพื่อพยุงตัวขึ้น


“ฮึก” กว่าจะรู้ตัวว่าร้องไห้ก็ตอนที่ยืนขึ้นได้ แล้วก็เผลอร้องออกมาหนักขึ้นเพราะความเจ็บที่แล่นไปที่สะโพกอย่างจัง “โอ๊ย อย่างี่เง่าดิวะ”


ก๊อกๆ


     ผมหันไปมองที่ประตูด้วยความสงสัย คงจะเป็นไอ้บอสมาชวนไปกินข้าวมั้ง ผมเช็ดน้ำตากับเสื้อพี่มัน แล้วมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง โอเค สภาพเรียบร้อยแล้ว ผมค่อยๆ เดินไปหยิบแว่นตัวเองที่โต๊ะพี่โตแล้วเดินไปเปิดประตู


“กูขออาบนะ..อ้าว” ยังไม่จบประโยคผมก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่บอสแต่เป็นคนที่ผมตามหาเมื่อกี้ “พี่..”


“มิม” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมแต่ผมดันไม่กล้าสบตา ทำได้แค่มองปลายเท้าของตัวเอง


“...” เพราะผมกลัวจะร้องไห้ออกมาเพราะความน้อยใจเหมือนเมื่อกี้ ผมยอมรับว่างี่เง่า แต่ผมอยากตื่นขึ้นมาเจอพี่มัน อยากกอดพี่มัน ไม่ใช่หายกันไปแบบนี้ สุดท้ายก็ยั้งความงี่เง่าตัวเองไว้ไม่อยู่ “พี่ไปไหนมา” 


“พี่ให้” ผมมองหน้าคนที่ตอบไม่ตรงคำถาม แล้วมองบางอย่างที่อยู่ในมือของคนตรงหน้า


“...พี่” ผมพูดได้แค่นี้ แล้วยิ้มออกมาเพราะความสดใสของดอกดาวเรืองในกระถางเล็กนี้


“เป็นแฟนกันนะครับ”


“...” เป็นประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อน ผมใจเต้นรัว มองหน้าคนที่ยืนถือกระถางดาวเรืองอยู่ แต่พอผมสังเกตคนตรงหน้าดีๆ ตอนนี้พี่โตหน้าขึ้นสีแดงจัดและเหงื่อท่วมตัวไปหมด ผมก็ร้องไห้ออกมา ยื่นมือสั่นเทาไปรับกระถางนั้นไว้แล้วพยักหน้ารัวๆ ไป “ครับ”


“ดูแลมันไปด้วยกันนะ”


“ฮึก คะ ครับ” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำท่าทีที่โง่เง่าไปมากแค่ไหน แต่ผม..ผมในตอนนี้โคตรจะมีความสุขเลย


“ร้องไห้ทำไม หืม” พี่โตพูดแล้วปาดน้ำตาผมออกจากแก้ม ผมส่ายหน้าตอบ พี่โตลูบหัวผมเบาๆ แล้วค่อยๆ พยุงผมพาผมเดินเข้าห้อง


“เจ็บมากไหม”


“...ครับ” ผมพูดออกไปตามความจริง


“ต้องทำบ่อยๆ นะ จะได้ไม่เจ็บ” ผมหันขวับไปมองคนที่ยิ้มกรุ่มกริ่มมองผมจากด้านหลังทันที


“บ้า” และผมก็หยิกเอวพี่มันเพราะหมั่นไส้ไปหนึ่งที


“โอ๊ย” พี่มันร้องแล้วบิดตัวหนีมากอดผมไว้จากด้านหลังแทน แล้วหัวเราะร่าออกมา “ฮ่าๆๆ”


     สักพักผมก็หัวเราะตามพี่มัน ผมหันหน้าไปเผชิญกับพี่มันที่หัวเราะอยู่ เราหยุดหัวเราะแล้วมองตากันท่ามกลางความเงียบ ใจผมเต้นแรงเพราะสายตาที่แสนอบอุ่นจากคนตรงหน้า เรายืนมองกันอย่างนี้สักพักแล้วก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน พี่โตเคลื่อนใบหน้าหล่อๆ นั่น ลงมาจูบที่หน้าผากผมค้างไว้ แล้วกอดเอวผมไว้หลวมๆ วางคางไว้บนหัวผมแล้วโยกตัวผมไปมา ท่าทางแบบนี้ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง พี่โต...มีความสุขเหมือนกันใช่ไหมครับ


     ผมก้มมองดอกดาวเรืองในอ้อมกอดตัวเองแล้วรู้สึกมีความสุขจนอธิบายไม่ได้ แต่ผมให้สัญญาว่าจะดูแลความรักครั้งนี้ให้ดีที่สุด






-------------------------



เขินจัง  :katai5:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4:สนุกค่ะ.รอติดตามอ่านนะคะ

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
17. เพื่อนเลิฟ



“มิม คืนนี้ได้ไหม”


“อือ” ผมเอียงคอหลบคนที่เอาแต่กอดและซุกไซร้คอผมไม่หยุด “ไม่ได้ครับ”


“...”


“ให้ผ่านช่วงสอบไปก่อนนะ” ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วเปลี่ยนมาจับมือใหญ่ทั้งสองข้างไว้แทน ไม่ลืมใช้ท่าไม้ตายด้วยการมองช้อนตาอ้อนอีกฝ่าย “นะครับ”


“ครับ” พี่โตเม้มปากกลั้นยิ้มไว้แล้วถอนหายใจออกมารับปากผมและนั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้


            ผมมองพี่ที่เดินกลับไปนอนที่ฟูกนอนแล้วหัวเราะออกมานิดหน่อย ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่โตน่ารักมากเพราะหลังจากวันนี้ที่เราเป็นของกันและกันแล้ว พี่โตที่น่ารักอยู่แล้วก็น่ารักกว่าเดิม แถมยังขี้อ้อนมากขึ้นด้วยผิดกับคนหน้ายักษ์ที่ผมรู้จักและนั่นก็ทำให้ผมชอบคนคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ


            ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ถึงเราจะคบกันแล้วแต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม น่าแปลกที่ผมไม่ได้อึดอัดหรือเป็นกังวลกับการเป็นแฟนกันเหมือนที่ผมคิดไว้แรกๆ เรายังทำกิจวัตรทุกอย่างเหมือนเดิม ที่เพิ่มมาก็คงจะเป็นการแสดงความรักของพวกเรา ผมสามารถทำตามสิ่งที่อยู่ในใจได้มากขึ้นแต่ผมก็ไม่ได้แสดงออกตลอดเวลาหรอกนะครับ ผมทำแค่ตอนเราอยู่ด้วยกันสองคน


            เอ่อ แต่เรื่องแบบนั้นตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่ได้ทำกันเลยนะครับเพราะติดสอบกันทั้งคู่ต้องใช้เวลาอ่านหนังสือ ที่พี่มันมาขอวันนี้คงเป็นเพราะวันนี้ผมสอบตัวสุดท้าย แต่ผมไม่ให้หรอกครับเพราะพี่มันยังมีสอบอีก 


“พี่โต ผมไปแล้วนะครับ”


“อือ” พี่โตเงยหน้าจากหมอนนุ่มมามองผม “เย็นนี้พี่ออกไปกับเพื่อนนะ”


“ครับ”


            ผมชอบที่เราจะทำอะไรก็บอกกันเสมอ ผมเป็นคนที่โชคดีมากจริงๆ อยากจะบอกให้ทุกคนรับรู้ถึงความโชคดีของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วในใจผมก็ยังกังวลอยู่ ผมเลยยังไม่บอกใครเรื่องที่เราคบกันและดูเหมือนพี่โตก็รับรู้ว่าผมกังวลในเรื่องนี้ พี่โตเลยยังไม่บอกใคร ใจหนึ่งผมก็สบายใจที่เราปิดเรื่องนี้เป็นความลับแต่อีกใจผมก็กังวล แต่ก็ยังขี้ขลาดกลัวสายตาคนอื่น กลัวว่าเพื่อนจะรับไม่ได้และโดนรังเกียจเหมือนในอดีต


            ผมเดินลงมาจากหอเพื่อไปขึ้นรถรางไปยังหอสมุดของมหาวิทยาลัย วันนี้ผมมีสอบตอนบ่ายดังนั้นช่วงเช้าจึงว่าง ผมเลยอาศัยช่วงนี้ไปอ่านทบทวนสักหน่อย ถ้าอยู่ห้องผมคงไม่ได้อ่านแน่นอน ยิ่งพี่โตอยู่ด้วยแล้วผมคงไปนอนกอดพี่โตเล่นจนถึงเที่ยงแน่ๆ  ไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะกลายเป็นคนแบบนี้


“เฮ้อ” คิดถึงพี่โตอีกแล้ว





 


            ผมเงยหน้าจากกระดาษสรุปของตัวเองเพราะท้องที่เริ่มประท้วงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหิว ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาก็พบว่าเกือบเที่ยงแล้ว หิวแบบนี้คงต้องฝากท้องไว้กับโรงอาหารก่อน ถึงจะมีแรงสอบ แต่ก่อนอื่นผมต้องโทรง้อใครบางคนก่อน


“ฮะ ฮัลโหล”


“มีไร”


“บอส” ผมเรียกชื่อคนที่ผมโทรไปหาด้วยเสียงออดอ้อน “อยู่ไหน”


“ไม่ต้องมาอ้อนกู” มันว่าเสียงเข้มแล้วเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดออกมาเสียงเซ็งๆ ว่า “อยู่หอ”


“ไปกินข้าวกัน ก่อนสอบต้องกินข้าวนะ”


“เหอะ”


“เจอกันโรงอาหารนะ”


“เออๆ”


            ผมยิ้มออกมาตอนที่บอสวางสายไป แล้วเก็บของบนโต๊ะเดินออกจากหอสมุดด้วยความร่าเริง ในที่สุดผมก็ง้อมันสำเร็จ หลังจากวันที่ไปกินข้าวกับนัด ผมก็ง้อมันมาตลอดและในที่สุดวันนี้มันก็หายงอนผมสักที เหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่สุดท้ายผมก็ต้องหุบยิ้มลงเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกบอสเรื่องพี่โต ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มบอกยังไงดี กลัวว่ามันจะรับไม่ได้


“มิม”


            ผมหยุดเดินทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองแล้วหันกลับไปยังต้นเสียงนั้น ผมชะงักไปเพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่


“นัด” ผมเรียกชื่อนัดแล้วยิ้มให้นิดๆ


“จะไปแล้วหรอ”


“อืม มีสอบตอนบ่ายน่ะ”


“อ่อ” นัดพยักหน้าเบาๆ แล้วทำท่าทางอ้ำอึ้ง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง


“เอ่อ” ผมเลยพลอยอึกอักไปด้วย ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปลากข้อมือนัดออกมายืนบริเวณข้างหอสมุดแทน “มีอะไรรึเปล่า”


“ยินดีด้วยนะ”


“หะ” ผมถึงกลับงงที่นัดพูดออกมาแบบนั้น “ยะ ยินดีเรื่องอะไร”


“ก็เรื่อง...กับพี่คนนั้นไง”


“เอ่อ” ผมถึงกับเหงื่อตก มองไปที่ใบหน้านั้นด้วยความกังวล นัดรู้อะไรหรือว่ารู้เรื่องที่ผมกับพี่โตคบกันแล้ว “นัด ระ รู้แล้วหรอ”


“โห ไม่มีใครไม่รู้หรอก ฮ่าๆ” นัดหัวเราะออกมาก่อนจะพูดแบบยิ้มๆ “พี่โตมันเป็นคนดังนะ พี่มันอัพสเตตัสมีความรักในเฟสบุ๊คขนาดนั้น ไม่รู้ก็แย่แล้ว”


“ทะ ทำไงดี” ผมพูดออกมาด้วยความกังวลเพราะผมไม่ค่อยเข้าเฟสบุ๊คเลยไม่รู้เรื่องนี้ “แล้วๆ เอ่อ”


“ใจเย็นๆ พี่มันไม่ได้บอกว่าเป็นมึง ไม่มีใครรู้หรอก” นัดเงียบไปแล้วมองไปทางอื่น “มีแต่คนที่คอยสังเกตมึงแหล่ะที่รู้”


“นัด..” ผมมองไปใบหน้าเศร้าๆ ของมันแล้วใจหาย ผมเลยพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมันไม่แปลกหรอ”


“ไม่หรอก ความรักไม่แปลกหรอก” นัดหันมามองหน้าผมด้วยสายตาที่เจ็บปวด “ความรักไม่เคยผิด มีแต่คนที่ผิด...ผิดที่ไปตีกรอบรูปแบบของมันและดูถูกมัน”


“...”


“ขอโทษที่เคยทำเรื่องแย่ๆ แบบนั้นนะ”


“อือ กูยกโทษให้” ผมยิ้มให้นัดอีกครั้ง “ต่อไปนี้ก็ขอให้มึงเจอความรักดีๆ นะ”


“ถ้าเจอก็ดีสิ กูจะรักให้ดีเลยล่ะ” แล้วผมก็ได้รอยยิ้มตอบกลับมา





 

“สอบเสร็จแล้วโว๊ยยยย”


“ฉลองให้กับตัวสุดท้าย”


“เย้”


“ฮ่าๆๆ”


            ผมหัวเราะไปกับเสียงเพื่อนๆ ที่ตะโกนออกมาหลังจากเราชนแก้วกันในร้านชาบูแห่งหนึ่งเพราะเป็นร้านของรุ่นพี่ที่คณะทำให้พวกบอสและเพื่อนคนอื่นๆ กล้าเสียงดังขนาดนี้แต่เพราะได้รับสายตาดุ จากเจ้าของร้านเราเลยเงียบลงและหัวเราะออกมาแทน


            เนื่องจากวันนี้เราได้ผ่านการสอบวิชาสุดท้ายไปเลยนัดกันมาฉลองด้วยชาบู ผมอุตส่าเก็บเงินมาตั้งนาน วันนี้แหละ ผมจะกินให้คุ้มเลย ไม่มีอะไรต้องกังวลด้วยเพราะผมเลยบอกพี่โตแล้วว่าจะมาฉลองกับเพื่อน จะกินจนกว่าจะคลานออกจากร้านเลย


“ไอ้มิ้น ค่อยๆ กินดิวะ เดี๋ยวติดคอตาย”


“อ่าอุ้ง”


“เอี้ยวอ่อนอ่อยอู้ด” ไอ้บอสบอกผมโดยที่ตัวเองคีบนู่นนี่เข้าปากตัวเองไม่หยุด “แค่กๆๆ”


“ฮ่าๆๆ” ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง


            หลังจากนั้นพวกเราก็ลงมือกินอย่างจริงจังด้วยความหิวโหย สักพักใหญ่ผมก็ได้ยินเสียงซุบซิบจากผู้หญิงในกลุ่มบางคนคุยกัน เลยเงยหน้าไปมองตามเพื่อนผู้หญิงที่กำลังมองไปทางประตูทางเข้าร้านและผมก็ต้องตกใจที่พบว่าคนที่เข้ามาใหม่คือพวกพี่โตกับเพื่อนๆ


“ทำหน้าตกใจอะไรของมึง” บอสถามผมแล้วมองไปตามสายตาผม


“อ้าว พี่โตๆ! พี่มานั่งด้วยกันๆ” เป็นบอสที่ตะโกนเรียกพี่โต แล้วบอกมือหยอยๆ เรียกพี่โตมา


“...เออ” พี่โตตอบรับคำแล้วนั่งลงข้างบอสที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผม เรามองตากันแป๊บเดียวและละสายตาออกไปมองทางอื่น


            แล้วเราก็ลงมือกินกันอีกครั้งโดยมีบอสนั่งตรงข้ามผม พี่โตนั่งข้างบอส ข้าวนั่งข้างผมและเพื่อนพี่โตก็นั่งต่อจากพี่โตไป บอสยังคงคุยกับพี่โตไปทั่วตั้งแต่เรื่องโรงเรียน ไปยันชมรมฟุตบอลที่พี่โตเคยอยู่ ระหว่างนั้นพี่โตก็หันมามองผมบ้างเป็นบางครั้งส่วนผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้เบาๆ


“เออ แล้วพี่กับพี่ฟางเป็นไงบ้าง”


กึก


“…” เป็นผมที่ชะงักและหน้าชาเพราะคำถามแบบนั้นจากไอ้บอส


“ก็เป็นเพื่อนกันปกติ” ผมหันไปมองคนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว


“โหย ผมเชียร์ไม่ขึ้นจริงๆ ว่ะ พี่โคตรใจแข็ง”


“เราเป็นเพื่อนกัน” พี่โตมองตาผมแล้วพูดแบบนั้นออกไป เหมือนจะบอกกับทุกคนแต่ผมรู้ว่าพี่โตบอกผมและผมก็เชื่อเพราะสายตาที่อบอุ่นนั้นไม่มีแววโกหกเลยสักนิด


“งั้นผมจีบ”


“ตีนเถอะ” พี่โตหันไปหาไอ้บอสแล้วคีบหมูจากหม้อวางลงถ้วยตัวเองก่อนจะพูดออกมานิ่งๆ “เพื่อนกูควรเจอคนดีๆ”


“ทำไมพี่พูดงี้อะ”


“ฮ่าๆๆ”


“แหม ตัวเล็กดูมีความสุขจังน้า” พี่พีพูดขึ้นมาหลังจากเสียงหัวเราะของพวกเราเงียบลง “มีความรักแล้วมันดีมากใช่ไหมน้อง”


“...” และนั่นทำให้ผมพูดไม่ออก...พี่พีต้องรู้แล้วแน่ๆ


“ใครอะพี่” ไอ้บอสทำหน้าสงสัยแล้วมองตามสายตาพี่พี


“ใครดีน้า” และมองตามสายตานั้นมาหยุดที่ผม


“อะไรวะมึง” บอสถามแล้วจ้องหน้าผม


 “ไม่รู้” ผมตอบปัดไปแล้วสนใจผักในถ้วยตัวเองแทน ผมไม่กล้าที่จะเงยหน้าไปมองพี่โตด้วยซ้ำ ในตอนนี้ผมยังไม่พร้อม


“...”


“โอเคๆ กินต่อกันเถอะ เอาให้พี่วี่ขาดทุนไปเลย” เป็นพี่พีที่พูดทำลายบรรยากาศเงียบๆ เหล่านั้นไป


“นี่ พวกมึง!” และเสียงพี่วี่กำให้ทุกคนหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง


“ฮ่าๆๆ” ยกเว้นผมและบอส


            หลังกินไปสักพักผมก็เงยหน้ามองพี่โตเป็นเชิงถามว่าพี่พีรู้เรื่องเราได้ไง พี่โตส่ายหน้า คงจริงแบบที่นัดบอกถึงต่อให้พี่โตไม่ได้บอกว่าเป็นผมแต่คนใกล้ตัวถ้าสังเกตดีๆ ก็คงรู้ ผมเม้มปากแน่น อยากจะบอกแต่ก็กลัว


“กูอิ่มแล้ว” บอสพูดออกมาสั้นๆ แล้วลุกออกไปจากร้านเลย


“เห้ย บอส” ผมเรียกไว้แต่มันก็ไม่หันกลับมามองเลยสักนิด


            และแล้วบรรยากาศระหว่างพวกเราก็เงียบไปเพราะการลุกออกไปของบอส ผมหันไปมองพี่พีที่โดนพี่ลูกแก้วหยิกหูอยู่แล้วก้มหัวให้ ผมอยากขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้เพราะความขี้ขลาดของตัวเอง


 “มิม เราขอคุยด้วยหน่อย”





 

            ตอนนี้ผมกับข้าวเราออกมานั่งกันที่ม้านั่งริมทะเลสาบของม.ข้าวยังคงเงียบอยู่ เอาแต่จ้องมองไปยังผืนน้ำข้างหน้านิ่งๆ ผิดกับใจของผมที่นิ่งไม่อยู่แล้ว


“เราไม่รู้นะ ว่ามิมปิดเรื่องอะไรอยู่”


“...” ผมชะงักไปเพราะประโยคสั้นๆ จากข้าว


“แต่เรื่องมิมกับพี่โตอะ เรามองออกมาตลอด” ข้าวหันมามองผมแล้วจับมือผมไว้ “แต่บอสไม่ใช่”


“ข้าว” ผมเลิกมองมือเล็กของคนตรงหน้า เงยหน้าสบตาเข้ากับดวงตาหวานๆ แทน


“บอสมันห่วงมิมตลอดนะ มิมก็รู้ใช่ไหม” ข้าวพูดแล้วบีบมือผมแน่นขึ้น “อย่าให้มันรู้อะไรเป็นคนสุดท้ายเลย”


“เราไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้”


“มิมลองคิดกลับกันนะ ถ้ามิมเป็นห่วงเพื่อนคนนึงมาโดยตลอด มิมคิดว่ามิมเป็นเพื่อนสนิทกันแต่สุดท้ายมิมกลายเป็นคนสุดท้ายที่ได้รู้เรื่องสำคัญ มิมจะรู้สึกยังไง”


“...”


“บอสมันเป็นแบบนั้น ก็แค่คนตัวโตที่ขี้น้อยใจ” ข้าวยิ้มเบาๆ “สงสารมันหน่อยเถอะ”


“ขอโทษ”


“ไม่เป็นไร รีบบอกก่อนที่มันจะน้อยใจไปกว่านี้ ก่อนที่มันจะหายไป”


“อือ ขอบใจนะข้าว” ผมเม้มปากแน่นแล้วมองข้าวที่เดินจากไป



 

 

            ผมเหม่อมองผืนน้ำข้างหน้าด้วยใจที่สับสน ไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ ใจหนึ่งก็อยากบอก ใจหนึ่งก็ไม่อยากบอก แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ดูเหมือนว่าผมจะหลีกเลี่ยงความกลัวไม่ได้เลย


“พี่” ผมเรียกคนที่แอบเดินมานั่งข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


“หืม”


“ผม ผมจะบอกเรื่องเรากับบอส” ผมหันไปมองใบหน้าด้านข้างของพี่โต เผลอขยับแว่นด้วยควมประหม่า


“...ไม่เป็นไร” พี่โตพูดยิ้มๆ โดยที่ไม่สบตากับผม “ถ้าเราลำบากใจไม่ต้องทำ เรารู้กันแค่สองคนก็ได้”


“พี่...พี่ก็รู้ว่าคนอื่นรู้แล้ว”


“ถ้าเราไม่พูดอะไร มันก็เงียบไปเอง”


“...”


 “พี่ไม่อยากให้เราอึดอัด”


“...พี่อึดอัดเหรอ”


“ไม่ มิม” พี่โตหันมาสบตาผม “ฟังพี่...พี่ไม่สนใจใครอยู่แล้ว พี่เป็นห่วงแค่ความรู้สึกมิม พี่รู้ว่ามิมฝังใจกับอะไร ไม่ต้องฝืนอะไรเพื่อใคร...เข้าใจไหม”


“...” ผมเงียบไป แล้วมองมือใหญ่ที่เอื้อมมือมากุมมือผมไว้


“พี่รักมิมนะ รู้ไหม”


“พี่...” ผมน้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมทำได้แค่มองตาคนข้างหน้าไว้เพราะตอนนี้ใจผมกำลังสั่นไหวไปกับคำว่ารักของพี่โต


“พี่เคารพทุกการตัดสินใจของมิม จะเก็บไว้ก็ได้ จะบอกทุกคนก็ได้”


“...”


“ไม่ต้องคิดมากนะครับ”


“ผม...” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกระชับมือของเราให้แน่นขึ้น “ผมจะบอกว่าพี่รักผมและผมก็รักพี่”


“...” พี่โตมองผมแล้วก็ยิ้มออกมา “เก่งมากครับ เด็กดี”


ไม่ว่าต่อไปนี้จะเป็นยังไง ขอแค่มีมือนี้ที่คอยกุมมือผมอยู่ ผมก็ไม่กลัวอะไรแล้ว





 

 

            ผมนั่งอยู่ม้านั่งหน้าหออยู่คนเดียว หลังจากโทรหาบอสเพื่อจะเคลียร์เรื่องวันนี้ ส่วนพี่โตก็ขึ้นไปรอผมบนห้องแทนเพื่อที่จะให้ผมได้เคลียร์กับบอสสองคน ผมนั่งรอด้วยใจที่กระวนกระวาย พยายามเรียงประโยคที่จะพูดในหัวรอไอ้บอสลงมา


“บอส” ผมเรียกชื่อมันออกมา ตอนที่มันเดินมานั่งลงข้างผม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อที่จะบอกมันไปว่าผมกำลังคบกับพี่โตอยู่


“มึงมีแฟนแล้วใช่ไหม” แต่บอสมันก็คือบอส มันโพล่งออกมาจนผมต้องชะงักไป


“...”


“กูยังเป็นเพื่อนมึงอยู่ไหมวะมิม” ประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ผมน้ำตารื้น


“...กูเป็นเกย์” ผมบอกออกไปพร้อมมองหน้ามัน แต่บอสดันหันหน้าไปทางอื่น “กูชอบผู้ชาย”


“...” บอสเงียบไปแล้วก้มมองมือตัวเอง


“แล้วมึงก็พูดถูก กูมีแฟนแล้ว” ผมกลั้นหายใจพยายามทำให้เสียงตัวเองหยุดสั่นแต่ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาเอาไว้ได้เลย “กูกับพี่โตเป็นแฟนกัน ฮึก เรื่องที่กูไม่ได้บอกมึงมีแค่นี้”


“...” ผมเห็นสันกรามของบอสนูนขึ้นมาเพราะมันกัดฟันตัวเองไว้แน่น


“ฮึก มึงไม่เกลียดกูใช่ไหมบอส” ผมถามออกไปด้วยความกังวล “กูยังเป็นเพื่อนมึงใช่ไหม”


“...”


“ฮึก ขอโทษ” ผมสะอื้นเพราะบอสไม่มองหน้าผม เอาแต่หันไปทางอื่น นั่นทำให้ผมเจ็บปวดจนควบคุมให้ตัวเองหยุดร้องไห้ไม่ได้


 “ขอโทษทำไมวะ” เสียงทุ้มพูดออกมา แล้วลุกออกไปโดยที่ไม่มองกลับมาเลยสักนิด


 “บอส” ผมเรียกมันไว้ด้วยเสียงอันแผ่วเบา สุดท้ายผมก็เลี่ยงความกลัวนี้ไม่ได้ “ฮึก”







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2019 18:57:07 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขี้แยจังหนูลูก

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
18. เพลาอ่านว่าเพลา




          หลังจากที่บอสเดินออกไป ผมก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นสักพักก่อนที่จะเดินกลับมาที่ห้อง ผมทำเป็นทุกอย่างเรียบร้อยดี ไปอาบน้ำกลับมาเล่นเกมกับพี่โต ผมทนฝืนยิ้มอยู่หลายชั่วโมง แต่พี่โตก็จับได้ พี่โตเข้ามากอดปลอบผมก่อนนอน แค่นั้นผมก็ร้องไห้อย่างหนักจนหลับไป

 
“มิม” เสียงทุ้มเรียกสติผมให้ตื่นจากความคิดเรื่องวุ่นวายจากเรื่องเมื่อคืน


“อ่า ครับ”

 
“พี่ไปสอบก่อนนะ”


“สู้ๆ นะครับ”

 
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันนะ” พี่โตว่าแบบนั้นแล้วดึงผมเข้าไปกอด ผมกอดตอบแล้วซุกหน้าลงกับอกหนา สูดกลิ่นของพี่มันจนเต็มปอด ต้องชาร์จแบตหน่อย

 
“ครับ”


“เดี๋ยวพี่รีบกลับนะ”

 
“ครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว” ผมบอกแบบนั้นแล้วดันตัวพี่โตไปที่ประตู ผลักหลังเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าให้รีบไปสอบ


“เก่งจังเลยน้า”

 
“แน่นอน” ผมฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า พี่โตเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ แล้วเปิดประตูออกไป

 
          ทันทีที่ประตูปิดลง ผมก็หุบยิ้มแทบจะทันที พอในห้องเงียบสงบผมก็กลับมาคิดมากอีกครั้ง ผมเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนแล้วถอนหายใจออกมา เมื่อเช้าผมตื่นมาทำตัวเป็นปกติแต่พี่โตจับได้อีกครั้งและนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม พี่โตเลยชวนผมไปเที่ยวทะเลตอนวันหยุดหลังสอบนี้ ผมก็ตกลงไปโดยแทบไม่ต้องคิด บางทีการไปเที่ยวอาจะทำให้ผมหายเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้ ผมหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นนะ

 




          ผมนอนเล่นเกมในมือถือไปสักพักก็เริ่มหิว มองเวลาแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ปกติแล้วช่วงเวลานี้ผมจะลงไปกินข้าวกับบอสแล้วก็ข้าว แต่วันนี้มันคงไม่มีแบบนั้นอีกแล้ว


ครืด ครืด

 
‘ไอ้บอส’

 
          ชื่อที่ขึ้นมาที่หน้าจอทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก ผมลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าจอด้วยความงงงวยและตื่นเต้นจนมือสั่น ใช้นิ้วน้อยๆ ของตัวเองเลื่อนกดรับเบอร์นั้นแบบกล้าๆ กลัวๆ

 
“ฮะ ฮัลโหล”

 
“อยู่ไหน”


“เอ่อ” ผมถึงกลับพูดไม่ออกเพราะเสียงทุ้มที่พูดกับผม “ยะ อยู่หอ”

 
“...” แล้วมันก็ตัดสายไป

 

ก๊อก ก๊อกกก๊อก ก๊อก

 

          ผมนั่งงงอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจังหวะแปลกๆ ไม่ทันจบเพลงผมก็วิ่งไปเปิดประตูโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเพราะคนที่เคาะประตูเป็นจังหวะสามช่ามีแค่มันคนเดียวเท่านั้น

 
“บอส!”

 
“มึงตะโกนทำไมเนี่ย”

 
“แหะ” ผมหัวเราะแห้งออกมาเพราะอาการที่ตื่นเต้นจนเกินไปของตัวเอง

 
“ไป แดกข้าวกัน”

 
“เออ” ผมตอบรับคนที่ทำหน้าเข้มตรงหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง


          ผมวิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าตังกับมือถือ ล็อคห้องในเวลาเสี้ยววิ แล้วรีบวิ่งตามหลังมันไป มองแผ่นหลังกว้างของมันแล้วผมก็ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม

 



“กินไรมึง”


“เหมือนเดิม”

 
“เออ”

 
          ผมมองตามมันไปเรื่อยๆ มองมันเดินไปสั่งข้าวที่ร้านเดิมที่เราชอบมากิน มองมันเดินไปซื้อน้ำจนมันเดินมานั่งตรงข้ามผม ผมมองมันไว้เพราะกลัวมันจะหายไป กลัวจะสูญเสียใครไปเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นอีก

 
“มองกูซะเหมือนหมากลัวเจ้าของหาย”


“แหะ”

 
“ไม่ต้องมาแหะใส่กู”

 
“บอส” ผมเรียกคนที่กำลังก้มหน้าลงไปดูดน้ำจากแก้วไว้ บอสเงยหน้ามองผมแล้วเลิกคิ้วให้ผม “มึง มึงไม่เกลียดกูหรอ”

 
“กูจะเกลียดมึงทำไม”


“ก็..ก็ กู”


“ไปเอาข้าวกัน”

 
          ผมเงียบไปแล้วเดินตามมันไปหยิบข้าวที่ร้านพร้อมกับจ่ายเงินเสร็จ แล้วเราก็เดินมานั่งที่เดิม ผมกำลังจะพูดต่อแต่ไอ้บอสก็ยกมือขึ้นมาห้ามทัพ แล้วก้มหน้ากินอย่างหิวโหย ผมมองหน้ามันสักพักและเริ่มตักข้าวกินตามปกติ


“เย็นนี้กูกลับบ้านนะ แล้วมึงจะกลับไปหาแม่ปะ”

 
“อืม กูคงไม่ได้กลับอะ” ผมวางช้อนลงแล้วตอบมัน “ว่าจะกลับปิดเทอมใหญ่”

 
“อือ”

 
“พรุ่งนี้” ผมหยุดพูดเพราะไม่รู้ว่าจะพูดออกไปแล้วมันจะโกรธรึเปล่า


“พรุ่งนี้ทำไม”

 
“กู...กูจะไปเที่ยวกับพี่โต”

 
“อือ กินให้หมด”

 
“คร้าบ” ผมตอบเสียงอ่อย แล้วกินข้าวไปมองคนที่อยู่ตรงหน้าไปและผมก็ลอบยิ้มออกมาโดยไม่ให้มันรู้ตัว

 


“ร้อนชิบหาย”


          ผมมองไอ้บอสที่เดินนำหน้าผมไปไม่กี่ก้าวด้วยหลายความรู้สึก ทั้งดีใจปนเสียใจ ดีใจที่มันไม่โกรธผม แถมยังพยายามทำตัวเหมือนเดิม ทั้งที่มันจะทิ้งผมไปเลยก็ได้ ส่วนที่ผมเสียใจก็เพราะผมคอยแต่ทำให้มันเป็นห่วง ไม่เคยเห็นความสำคัญของมัน พยายามปิดทุกอย่างจากมันทั้งที่มันคอยให้อภัยผมเสมอ มีแต่ผมที่โง่งมติดอยู่กับคำพูดของคนที่ไม่เคยเห็นค่าของตัวเอง จนเกือบจะเสียเพื่อนดีๆ ไป


“เฮ้ย! ไอ้มิ้น มิมทำไรวะ” ไอ้บอสสะดุ้งโหยงเพราะผมเอาน้ำแข็งในแก้วน้ำที่ถือมาด้วยยัดใส่เสื้อมันจากด้านหลัง


“ฮ่าๆ ก็มึงบอกว่าร้อนไง” ผมหัวเราะใส่มันแล้วรีบวิ่งหนีมัน

 
“ไอ้นี่!” ไอ้บอสปัดน้ำแข็งออกจากเสื้อตัวเองแล้ววิ่งไล่ผมมา “หยุดวิ่ง”

 
“ไม่ อะ” ผมเซไปตามแรงกระชากเสื้อจากด้านหลัง ตัวผมกระแทกโดนตัวมันเต็มๆ ผมถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บ เงยหน้ามองมันแล้วก็น้อยใจ ทำไมมึงมึงไม่เจ็บเหมือนกูบ้าง!

 
“ขาสั้นแล้วทำซ่านะมึง”

 
“กูขอโทษนะมึง”

 
“...” บอสชะงักไปแล้วปล่อยเสื้อผม ผมหันไปเผชิญหน้ากับมันดีๆ แล้วเริ่มพูดต่อ


“แล้วก็ขอบใจมากนะ ที่ทำแบบนี้”


“กูจะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ” บอสถอนหายใจแล้ววางมือใหญ่นั้นไว้บนหัวผม “ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกกูได้ กูไม่ได้บังคับมึงให้บอกทุกอย่าง แต่ขอเถอะ อย่าให้กูรู้เรื่องสำคัญของมึงเป็นคนสุดท้ายเลย”

 
“บอส...”

 
“ที่สำคัญไม่ว่ามึงจะเป็นอะไร มึงก็เป็นไอ้เตี้ยที่ชอบทำหน้ามุ่ยเวลาโดนแกล้ง หึ” ผมเผลอทำหน้ามุ่ยออกไปตามที่ไอ้บอสพูดจริงๆ และนั่นก็ทำให้มันหลุดหัวเราะออกมา “จำไว้นะ มึงเป็นมึง เป็นเพื่อนกูเสมอ”

 
“บอส...” ผมน้ำตาคลอเบ้าเพราะซึ้งที่มันพูดออกมาแบบนั้น แต่..

 
“ใครถึงหอก่อนชนะ แพ้ร้อยนึงนะเว้ย!” บอสก็ยังเป็นไอ้บอส ใหญ่แต่ตัวสมองน้อยนิด

 
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิวะ”

 
“ตามกูไม่ทันหรอกไอ้เตี้ยมิ้น ฮ่าๆๆ”

 
“ไอ้บอส! มึง” ผมวิ่งตามมันไปสุดชีวิต ร้อยนี้ผมต้องได้!

 




          สุดท้ายมันก็ชนะไปเพราะความยาวของขาเรามันต่างกันเกินไป แต่ผมก็ไม่ได้เสียร้อยนึงไปหรอกครับ แค่โดนมันดีดเหม่งไปหนึ่งที แล้วก็มายืนหอบกันอยู่หน้าหอแบบนี้ โคตรอนาถเลย

 
“มึงจะวิ่งทำไมเนี่ย โคตรเหนื่อย แฮ่กๆ” ผมหันไปโทษคนข้างๆ ที่ยืนหอบไม่ต่างจากจากผม


“มึงก็เสือกวิ่งตามมาไง กูก็เลยต้องวิ่งต่อเนี่ย”


“กูร้อน อยากอาบน้ำแล้ว”


“ไปๆ ขึ้นห้องไป กูต้องไปเก็บของกลับเหมือนกัน”


“เออๆ”

 
          แล้วเราก็เดินลากสังขารขึ้นชั้นสามของหออย่างซอมบี้ ไม่น่าวิ่งตากแดดแข่งกับมันมาเลย ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บเหม่ง แต่...ก็สนุกดี

 




“อะแฮ่ม”


          ผมเงยหน้ามองคนที่กระแอมไอเรียกความสนใจ แล้วพบว่าคนคนนั้นคือพี่โตที่กำลังยืนถอดเสื้อพิงกรอบประตูห้องตัวเองจ้องผมอยู่ ผมขนลุกวาบไปทั้งตัว ชิบหายแล้ว ผมลืมพี่โตไปเลย คิดได้ดังนั้นผมก็กระโดดไปแอบอยู่หลังบอส หยิบมือถือมากดดู โอ้โห สิบสายไม่ได้รับ ชิบหายของแท้แล้วกู พ่อถอดเสื้อรอด้วย ฮือ


“แหะๆ” ผมโผล่หน้าไปยิ้มแหยๆ ให้พี่โตแล้วก็ต้องหดคอกลับมาอยู่หลังไอ้บอสเหมือนเดิมเพราะสายตาดุๆ นั่น

 
“โทรไปทำไมไม่รับ...มิมออกมา”

 
“ครับ” ผมตอบแล้วออกมายืนข้างไอ้บอสแทน ตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนพ่อจับได้ว่าหนีออกจากบ้านเลยครับ

 
          จู่ๆ พวกเราสามคนก็เงียบไปเพราะพี่โตเอาแต่จ้องบอสและบอสเองก็จ้องพี่โตกลับเหมือนกัน บรรยากาศมาคุจนผมประหม่า เผลอจับแขนบอสด้วยความกังวล ไม่ถึงวิพี่โตก็กระชากแขนผมดึงเข้าไปให้อยู่ในอ้อมกอดตัวเองแทน หน้าผมชนเข้ากับแผงอกที่ไม่มีอะไรปิดกั้นทำให้สัมผัสถึงผิวร้อนๆ ของพี่มันโดยตรงและนั่นก็ทำเอาผมหน้าร้อน จนผมต้องหลบหน้าไอ้บอสและยอมซุกหน้าเข้ากับอกพี่มันแทน

 
“ฝากดูแลมันด้วยนะพี่”

 
“อือ” ผมมองหน้าพี่โตกับหน้าไอ้บอสสลับกัน แล้วเบะปากจะร้องไห้ใส่ไอ้บอส มันยอมรับผมกับพี่มันแล้วใช่ไหม


“ไม่ต้องมาเบะเลยมึง” บอสบอกผมแล้วหันไปจ้องหน้ากับพี่โตอีกครั้ง “ยังไงก็เพลาๆ ลงหน่อยนะพี่ มันยิ่งเตี้ยๆ อยู่”

 
“หึ” พี่โตหัวเราะแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ แล้วเดินเข้าห้องไป

 
“อะไรวะ” ผมถามไอ้บอสแบบงงๆ


“ไปละ เที่ยวให้สนุกนะมึง”

 
“เออ มึงก็กลับบ้านดีๆ ล่ะ”

 
“หึ” ไอ้บอสหัวเราะนิดๆ แล้วเดินมาจิ้มคอผมสองสามทีแล้วเดินจากไป ผมขมวดคิ้วงุนงงงกับท่าทีของมันแล้วจับคอตัวเองหาสิ่งผิดปกติ แต่ก็ไม่มีอะไร เลยหยิบมือถือมาเปิดกล้องหน้ามาส่องดูที่คอก็ไม่เจออะไร


          จนกระทั่งผมเอื้อมจอไปถ่ายรูปคอด้านหลังผมก็ต้องช็อคเพราะที่คอผมมีรอยจูบพี่มันเต็มไปหมดเลย ทั้งม่วงทั้งแดง ถึงว่าไอ้บอสมันถึงพูดอะไร เพลาๆ แปลกๆ โว๊ย พี่มันๆๆๆๆๆ


“พี่โต!”

 



ออฟไลน์ Bronc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกมากจ้า ติดตามอยู่นะ
แต่ผู้แต่งลืมอัพเดทวันที่มาลงเปล่าจ้ะ
คนตามอ่านเลยนึกว่ายังไม่มาอัพเดทจ้ะ

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
19. ทัลเลทับบี้





              ลมทะเลพัดเข้ามาที่ใบหน้าเหมือนเป็นการต้อนรับว่าเรามาถึงทะเลแล้วจริงๆ เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งทำให้ผมสบายใจขึ้นอย่างที่คาดไว้ ผมถอดรองเท้า แล้วเดินเท้าเปล่าเหยียบลงไปบนทรายนุ่มๆ ใช้เท้าเขี่ยผืนทรายไปมา


“ชอบไหม”


“อะ ครับ”


         ผมหันไปตอบรับพี่โตที่เดินเข้ามาหาผมจากด้านหลัง แล้วมองออกไปยังทะเลที่มืดมิดตรงหน้าแล้วยิ้มออกมา ขนาดมาถึงตอนมืดผมยังยิ้มได้แล้ว ถ้าพวกเราไม่มัวแต่ไปแวะกินอาหารทะเลในตัวเมืองคงมาถึงเร็วกว่านี้ แต่ผมก็บ่นไม่ได้หรอกนะครับเพราะคนที่งอแงร้องกินนั่นน่ะคือผมเอง ก็คนมันหิวนี่ครับ


“พี่” ผมเรียกพี่โตเสียงอ้อนแล้วดึงชายเสื้อคนข้างๆ ไว้ “อยากเล่นน้ำอะ”


“ไม่ได้ ไปจัดของกันก่อน ตอนนี้มืดแล้วอันตราย” พี่มันวางมือเบาหัวผมแล้วตบเบาๆ “พรุ่งนี้ค่อยเล่น”


“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่ายแต่ก็แอบนอยด์ไม่ได้ ก็คนมันนั่งรถมาตั้งนานอย่างกระโดดลงน้ำให้หายเหนื่อยก็ไม่ได้


     หลังจากนั้นผมก็เดินตามพี่โตมายังรถที่พี่โตยืมเพื่อนมา เราขนกระเป๋าออกจากรถ โดยมีกระเป๋าแค่คนละใบเท่านั้นเพราะมาอยู่ที่นี่แค่สามวันสองคืนเอง บรรยากาศรีสอร์ทที่นี่ดูดีเลยครับ แนวโมเดิร์นมั้ง เอาจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอกครับรู้แค่ว่าที่นี่ดูสะอาดตาน่าอยู่ดี แถมยังติดชายหาดอีกด้วย


      ผมเดินตามพี่มันไปเรื่อยๆ จะว่าไปแล้วพี่มันก็เก่งเหมือนกันนะครับ จองที่พักภายในคืนเดียว แถมยังขับรถคล่องมากด้วย เฮ้อ ไม่ได้อยากอวดนะครับ แต่แฟนผมนี่เพอร์เฟคจริงๆ


     ผมงงเล็กน้อยที่เราไม่เดินไปในส่วนของบ้านเล็กๆ ที่แยกออกไปด้านขวาเพราะพี่โตพาผมเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทางด้านซ้ายแทน เราเดินเข้ามายังล็อบบี้ของบ้านหลังใหญ่ เอ่อ จริงๆ แล้วเหมือนห้องรับแขกมากกว่า พอเข้ามาผมก็เห็นคุณป้าผู้หญิงท่านหนึ่งนั่งอยู่ที่โซฟา ดูท่าทางใจดีคล้ายแม่ของผม อดไม่ได้ที่ผมจะยิ้มและยกมือไหว้


“สวัสดีครับ”


“สวัสดีจ้ะ เป็นไงชอบที่นี่ไหมลูก” คุณป้ารับมือไหว้ผมแล้วลุกขึ้นยืนถามอย่างใจดี อ่า คงเป็นเจ้าของที่นี่สินะ


“ชอบมากเลยครับ สวยมากเลย” ผมบอกออกไปด้วยความจริงใจ ลอบมองคนที่อยู่ข้างกายที่พอยกมือไหว้ตามผมแล้วก็เอาแต่ยืนทำหน้าบึ้งตึง


“ดีเลย ตอนนี้ดึกแล้วรีบไปพักกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าลงมากินข้าวด้วยกันนะลูก”


“ครับ”



     หลังจากนั้นพี่มันก็พาผมเดินออกจากล็อบบี้เพื่อขึ้นไปชั้นสองของบ้านหลังนี้ ผมงงไปหมดแต่ก็ได้คำตอบจากพี่มันทีหลังว่าห้องเต็มหมดแล้วเลยเหลือแต่ในบ้านหลังนี้ ผมพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย สงสัยคงเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ผมก็อดที่จะโมโหไม่ได้เพราะป้าเจ้าของที่นี่ไม่ระวังตัวเอาซะเลย ปล่อยให้คนอื่นมาเช่าห้องในบ้านตัวเองได้ไง อันตรายมากๆ


“พี่ คุณป้าเขาใจดีจังเนอะ” ผมพูดออกไปหลังจากเราเข้ามายังห้องที่พี่โตไขกุญแจเข้ามา


“อือ”


“ป้าไม่กลัวพวกเราขโมยของรึไงนะ”


“หึ เราจะขโมยอะไร หื้ม”


“ผมไม่ขโมยหรอกแต่คนอื่นน่ะสิ ผมชักจะเป็นห่วงคุณป้าแล้วนะเนี่ย”


“คิดมาก ไปอาบน้ำได้แล้ว” พี่โตว่าแบบนั้นแล้วแย่งกระเป๋าผมไปวางไว้บนโซฟาปลายเตียง “เหม็นแล้ว”


“ไม่เหม็นสักหน่อย”


“ฮ่าๆ”


     ผมมองค้อนคนตัวโตกว่าแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ปลายเตียงมา พร้อมเตรียมจะเข้าไปอาบน้ำแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเพิ่งมาสังเกตสภาพห้องซะก่อน นี่มัน...ไม่เหมือนห้องพักเลยสักนิด บรรยากาศมันเหมือนมีคนอยู่มาก่อนถึงแม้จะไม่มีร่องรอยของการใช้ทุกวันแต่ผมก็รับรู้ได้ว่ามันเคยมีคนอยู่มาก่อนแน่ๆ บางทีอาจจะเป็นห้องของลูกป้าก็ได้มั้ง


     พอผมอาบน้ำเสร็จก็พุ่งเข้าหาเตียงกว้างสีน้ำเงินเข้มทันทีเพราะความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แต่ก็โดนพี่มันห้ามไว้อีกครั้งเพราะผมหัวเปียกและนั่นก็คือเหตุผลที่ผมมายืนหน้ามุ่ยให้พี่มันเป่าผมให้อยู่แบบนี้ ห้ามไปหมดทุกอย่างเลยอะ


     หลังจากนั้นผมก็ไปนั่งจัดกระเป๋าบนโซฟาโดยไม่สนใจคนที่เดินออกมาจากห้องด้วยสภาพไม่ใส่เสื้อนั่นหรอก ไม่สนใจ!


“งอนอะไรครับ”


“ไม่..” กำลังจะตอบว่าไม่ได้งอน แต่ก็ไม่อยากงี่เง่าใส่พี่มันเลยบอกความจริงออกไป “ก็..ก็พี่ห้ามผมทุกอย่างเลย”


“พี่ทำไปเพราะห่วง”


“ผมรู้ ขอโทษครับ”


      สุดท้ายพี่มันก็ง้อผมด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตถ้วยใหญ่ที่ไม่รู้พี่มันไปซื้อมาจากไหนเพราะพี่มันออกจากห้องไปไม่ทันไรก็ได้มันกลับด้วยอย่างรวดเร็ว ผมไม่นึกสงสัยอะไรและให้อภัยพี่มันทันทีที่เห็นเพราะไอศกรีมช็อกโกแลตเป็นของโปรดของผม พอผมได้รับช้อนมาผมก็กอดถ้วยไอศกรีมไว้ในอ้อมแขนและเริ่มตักกินไปดูทีวีไป ไม่สนใจพี่มันที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน







(พี่โตพาร์ท)



“มิม”


“ผมขอกินก่อน”


     ผมนั่งเท้าคางมองคนที่ตักไอติมเข้าปากตัวเองไม่หยุดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา ผมไม่รู้ว่ามิมจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักแค่ไหน เป็นผู้ชายตัวเล็กที่แสดงสีหน้าเก่ง คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมด นั่นคือข้อแรกที่ผมเริ่มสนใจในตัวเด็กคนนี้ มิมเหมือนเด็กนั่นคือข้อที่สองที่ผมสังเกตได้ ส่วนข้อสามก็คือมิมแคร์ความรู้สึกคนอื่นแต่ขี้อายจนบางครั้งก็โดนคนอื่นเอาเปรียบจากตรงนี้


     หรือบางทีมันอาจจะเริ่มตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน ในตอนแรกมันเป็นความรู้สึกอยากแกล้ง ชอบเวลาที่เขาโดนแกล้ง ไม่รู้วันเวลาที่แน่ชัดรู้แค่ว่าตอนนี้ผมหลงรักคนคนนี้เข้าเต็มเปา เด็กผู้ชายหน้าจืดที่มองไม่เห็นคุณค่าตัวเอง มิมไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มืดมนอย่างผมแค่ไหน


     ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดามีข้อด้อยเต็มไปหมด ขี้แกล้ง ไม่กล้าแสดงออก แต่เพราะตัวตนของเขาและความขี้อายแต่ก็มีความกล้าหาญเล็กๆ ของคนตรงหน้าทำให้ผมอยากเป็นคนที่ดีกว่านี้ อยากดูแลไม่อยากให้เขาต้องเสียใจ


“หวา เย็นขึ้นสมองเลยอะ ปวดหัวๆ” ผมหลุดจากภวังค์แล้วมองคนที่นั่งข้างกันที่หลับตาปี๋เพราะเย็นจนขึ้นสมอง


“หึ” ผมฉวยโอกาสนั้นดึงถ้วยไอติมกับช้อนในมือน้อยๆ นั้น มาตักกินต่อ “อร่อย”


“พี่ อย่ามาแย่งผมนะ”


“จะแย่ง”


“โหย กินด้วย” ผมมองคนทำหน้าบูดที่ยื้อแย่งถ้วยไอติมจนตัวเองเบียดมาหาผมแทบจะเกยตักแล้วใจก็กระตุกขึ้นมา ยิ่งได้กลิ่นตัวหอมๆ แล้วยิ่งอยากหอม อยากกอด อยากฟัด “พี่โต กินดะ.. อื้อ”


      สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว คว้าคนตัวเล็กกว่ามานั่งบนตัก กดท้ายทอยเขาลงมาจนริมฝีปากเราสัมผัสกันด้วยความแนบแน่น ผมไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้โซฟานี้จะเปื้อนไปด้วยไอติมรึเปล่า ในตอนนี้ผมแค่อยากสัมผัสคนน่ารักตรงหน้า สัมผัสจนกว่าเราจะหลอมละลายไปด้วยกัน


“อื้อ”


     เสียงหอบกระเส่าจากคนที่นั่งบนตัวผมร้องประท้วง ผมหัวเราะในลำคอตอบและรัดคนตรงหน้าให้แน่นขึ้นจนเราสัมผัสกันแนบแน่น ผมเม้มริมฝีปากน้อยด้วยความหมั่นเขี้ยว บดจูบอีกครั้งก่อนจะสอดปลายลิ้นเข้าไปทักทาย เกี่ยวกระหวัดลิ้นน้อย ดูดกลืนรสชาติของไอศกรีมรสช็อกโกแลต...หวาน และผมคงหยุดไม่ได้แล้ว


“พี่ อื้อ” มิมร้องเรียกผมขึ้นมา ตอนที่ผมอุ้มเขาขึ้นจากโซฟาเพื่อพาไปยังเตียง “พี่ไอติม”


“หึ” ผมขำออกมาเพราะมิมกอดคอผมไว้แต่สายตาเอาแต่มองไอติมที่วางอยู่บนโซฟา “กินไอติมพี่ดีกว่า”


“พี่พูดอะไรเนี่ย! อื้อ” ผมจูบปากน้อยๆ นี่อีกครั้ง ดูดดึงริมฝีปากมิมไว้ด้วยความต้องการ กวาดลิ้นไปทั่วโพรงปากดูดดึงจนเสียงจูบของเราดังชัดเจนภายในห้อง มิมตอบรับจูบผมด้วยการใช้ลิ้นเล็กนั้นเกี่ยวกระหวัดลิ้นผมไว้ ผมวางคนตัวเล็กลงบนเตียง ขึ้นคร่อมไว้และถอดแว่นตานั้นออก


“...แฮ่กๆ” ผมมองมิมที่นอนหอบหายใจมองผมด้วยดวงตาคลอเยิ้มไปด้วยน้ำตานั้น ด้วยหลายอารมณ์ ทั้งอยากขย้ำและถนอมไปพร้อมกัน ผมวางมือตัวเองลงบนอกเล็กนั้นแล้วลางลงไปถึงท้องน้อยแล้วหยุดไว้ตรงนั้น มิมครางขึ้นมาและเผลอแขม่วหน้าท้องไปด้วยความเสียว ผมกระตุกยิ้มแล้วสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดสีขาวหยอกล้อเข้ากับตุ่มไตเล็กๆ “อื้อ พี่โต”


“น่ารัก” ผมพูดออกไปตอนที่จัดการถอดเสื้อผ้าคนตรงหน้าออกจนหมด ผิวที่เคยขาวซีดในตอนนี้ขึ้นริ้วชมพูไปทั้งตัว ผมมองภาพตรงหน้าด้วยใจที่สั่นระรัว อยากครอบครองมิมไว้คนเดียวเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา


     ผมโน้มตัวลงประกบจูบคนที่นอนอยู่ใต้ร่างผมไว้ด้วยความรุนแรง ลากริมฝีปากดูดคลึงไปทั่วบริเวณลำคอและแผ่นอกน้อยที่กระเพื่อมไปมาเพราะความกระสัน นึกสงสัยในใจว่ามิมทำอะไรกับผมรึเปล่า แอบเล่นของใส่ผมรึไงนะ ผมถึงหลงเขาขนาดนี้


"อืม เด็กดีของพี่"


“อ๊ะ” มิมครางรับทันทีที่ผมดูดดึงยอดอกข้างนึง แล้วเอื้อมมือไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวของเราสองคนไว้ด้วยกันและเหมือนมิมจะรู้ว่าผมชอบเสียงครางเขาแค่ไหน “อ๊า”


“อืม” ผมครางในลำคอตอนที่เราจูบกันอีกครั้ง ผมขยับข้อมือเร็วขึ้นไปตามจังหวะอารมณ์


“พี่ อะ ผม..”


“ครับ”


“ไหน..ไหนบอกจะให้ผมกินไอติม”


“หืม..” ผมหยุดขยับข้อมือแล้วจ้องตาถามความแน่ใจคนที่ผมนอนทาบทับอยู่ “รู้ใช่ไหมว่าคืออะไร”


“ผม..ผมอยากทำ” มิมพูดออกมาแล้วเม้มปากแน่น ผมก้มลงไปจูบปากเล็กนั่นเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง


     ผมขยับตัวไปนั่งข้างเตียง ดึงแขนมิมให้ลงมานั่งคุกเข่าบริเวณระหว่างขาผม มิมตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมนั่งแต่โดยดี ยิ่งเห็นหน้าแดงๆ ที่เอาแต่เงยหน้ามองหน้าผมโดยพยายามไม่มองส่วนอ่อนไหวนั้นแล้ว ผมยิ่งอารมณ์พุ่งสูงขึ้น


“ไม่ต้องกลัว” ผมปลอบคนที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วจับมือเล็กนั้นมาจับเข้ากับส่วนอ่อนไหวของผม


“...” มือนิ่มที่จับของผมไว้สั่นเล็กน้อย มิมเงียบไปสักพัก แล้วก้มหน้าลงไปใกล้ส่วนนั้น ก่อนที่จะแลบลิ้นเลียเข้าตรงส่วนปลายที่เยิ้มของผมและอ้าปากครอบครองส่วนหัวของผมไว้


“อืม” ผมครางในลำคอข่มใจไม่ให้ดันตัวเองเข้าไปจนหมด มองท่าทางเก้ๆ กังๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ใจเย็นๆ”


“..อื้อ” มิมครางรับผมตอนที่ผมดันตัวเองเข้าไปมากขึ้น คนตัวเล็กกว่าเหมือนจับจังหวะได้ มิมค่อยๆ ดูดและเลียไปทั่วส่วนปลาย ลิ้นเล็กยังคอยปรนเปรอไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผงกหัวเข้าออกจนผมทนไม่ไหวที่จะกระแทกสวนไป “อะ แค่กๆ”


“ขอโทษ มิม อา พอแล้ว” ผมพูดออกมาตอนที่คนตัวเล็กสำลักแล้วแต่ยังดื้อดึงทำต่อ มิมเลียสลับดูดจนแก้มตอบแล้วยังช้อนสายตามามองกัน ผมเอามือลูบหัวเล็กนั้นด้วนความเอ็นดูแล้วค่อยๆ กระแทกสวนจังหวะที่มิมเข้ามาใกล้กัน เหมือนเจอกับจังหวะที่ลงตัว เราทำอย่างนั้นเป็นเวลานานจนในที่สุดผมก็ปลดปล่อยออกมา” อา มิม อ่า อย่ากลืน”


จ๊วบ จ๊วบ


“มิม” ผมเรียกเด็กดีที่กลืนน้ำรักของผมลงไป อีกทั้งยังดูดส่วนที่เหลือบนส่วนที่อ่อนไหวของผมอีกจนเกิดเสียงดัง คงอยากทำให้ผมประทับใจโดยที่ไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลยว่า ทำให้ผมรู้สึกมากแค่ไหน


“อะ ทำไม” มิมทำหน้างงตอนที่ถอนหน้าออกมาจากส่วนนั้นที่รู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ผมดึงมิมขึ้นมาบนเตียงและเดินไปหยิบของสองอย่างนั่นออกมา ฉีกซองจับส่วนปลายไว้แล้วสวมลงไปจนสุด


“โดนดีแน่”


“พี่” ผมมองแววตาที่สั่นไหวของคนที่นอนอยู่ จับขาเรียวนั่นพาดบ่าก่อนจะใช้นิ้วที่ถูกชโลมด้วยเจลหล่อลื่นค่อยๆ เบิกทางเข้าไป จากสองเป็นสาม “อื้อ อ๊ะ พี่โต”


“อืม เด็กดี” ผมครางตอนที่ค่อยๆ ดันตัวตนเข้าไป ความคับแน่นแล่นเข้ามาจนผมเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ผมกลั้นหายใจดันเข้าไปจนสุดแล้วแช่ไว้แบบนั้นให้มิมได้ปรับตัว ก้มลงไปจูบดูดคลึงริมฝีปากที่เริ่มบวมของมิมไว้


“อ๊ะ” ผมขยับออกเกือบจะสุดแล้วดันกลับเข้าไปแรงๆ จนสุด เรียกเสียงครางจากมิม “อ๊ะ ตรงนั้น”


“อา” ผมกระแทกเข้าไปตรงนั้นให้แรงขึ้นและเพิ่มความเร็ว


      เหมือนอุณหภูมิในห้องที่เย็นที่ฉ่ำนี้ ไม่สามารถลดอุณหภูมิระหว่างเราสองคนได้เลย เหงื่อชื้นไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงเนื้อกระแทกกันผสานกับเสียงครางกระเส่าดังระงมไปทั่วห้อง ผมหอบหายใจด้วยความสุขสม เร่งจังหวะเอวตัวเองไปให้ถึงฝั่งฝันมองคนข้างล่างที่กอบกุมตัวเองไว้เพื่อให้ถึงฝั่งฝันแล้วหลับตาลง


“ผม ผมจะถึง”


“อา”


“อ๊ะ พี่โต”


      มิมกระตุกเกร็งแน่นเพราะถึงฝั่งฝันก่อน นั่นยิ่งเพิ่มความคับแน่นและความเสียวกระสันให้แก่ผม ผมจึงเร่งความเร็วเข้าไปอีกแล้วกระแทกอย่างแรงอีกสองสามครั้งก่อนจะปลดปล่อยออกมา ผมฟุบลงไปทับร่างเล็กไว้ หอมแก้มนิ่มค้างไว้แบบนั้นและกระซิบข้างหูที่ขึ้นสีแดงจัดไปว่า


“พี่รักมิม”


“ผมก็รักพี่”








“ไหวไหม”


      ผมถามมิมตอนก้าวขาเดินช้าๆ ลงบันได ได้คำตอบเป็นสายตาที่มองค้อนใส่ ผมหัวเราะในลำคอแล้วเดินไปประคองเอวน้อยนั่นไว้ ก็เมื่อคืนผมต่อไปอีกตั้งหลายรอบ ก็น่ารักซะขนาดนั้น ขนาดร้องว่าไม่ไหวแต่ตรงนั้นก็ตอบสนองผมซะแทบบ้า ว่าแล้วก็อดใจไม่ได้เลยก้มหน้าลงไปหอมแก้มนิ่มทันที


“พี่ เดี๋ยวมีคนเห็น” มิมกระซิบบอกก่อนจะเริ่มดิ้นออกจากอ้อมแขนผม “ปล่อยก่อน”


“หึ ครับๆ”


       ผมปล่อยมือออกตอนเราเดินลงมาถึงชั้นล่าง จูงมือมิมให้เดินตามมาบริเวณห้องกินข้าว บนโต๊ะมีอาหารมากมายวางอยู่ ผมมองหน้าคนข้างๆ ที่ทำหน้าตื่นเต้นมองอาหารแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง น่ารักจนผมอยากหอมอีกครั้งแต่ดันโดนรู้ทันเพราะมือน้อยนั้นดันอกผมออก แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แบบทุลักทุเล


“เมื่อคืนเป็นไงลูก”


“เอ่อ ก็ดีครับ หลับสบายดี” มิมตอบออกไปเสียงกระตุกกระตัก หน้าแดงจนผมหลุดยิ้ม


“โต เราแกล้งอะไรน้องรึเปล่า ทำไมน้องหน้าแดงแบบนั้น”


“ผมไม่ได้แกล้งอะไรนะแม่” ผมตอบกลับแม่ที่นั่งตรงข้ามผมไปแทบจะทันที ไม่ได้แกล้งครับแค่ฟัด


“!!!”


“หึ” ปฏิกิริยาตอบกลับของมิมเป็นแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ ตาเบิกกว้าง ลนลานจนวางมือไม้ไม่ถูกจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือน้อยไว้ แล้วเอามาวางไว้ที่หน้าตักตัวเอง


“มะๆ แม่!”


“โธ่ โต..” แม่ผมถอนหายใจแล้วหันมาดุผม “เฮ้อ นี่เรายังไม่ได้บอกน้องเลยหรอ ขี้แกล้งไม่เปลี่ยนเลย”


“ผมเปล่า”


“เอ่อ” มิมเม้มปากแน่น แววตาสั่นไหวไปด้วยความสับสนก่อนจะปล่อยมือผมไปยกมือไหว้แม่ผมและพ่อที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเอง “สวัสดีอีกครั้งนะครับ”


“จ้า” แม่ผมยิ้มรับด้วยความเอ็นดู ก่อนจะบอกให้เราเริ่มทานอาหารเช้ากัน “งั้นกินข้าวกันเถอะนะจ้ะ”


“ครับ” มิมตอบไปยิ้มไปแต่ผมก็สังเกตได้ว่ามิมกังวลแค่ไหน เพราะเอาแต่เม้มปากจนปากแดงไปหมดแล้ว


“พ่อ” ผมเรียกพ่อที่กำลังกอดอกมองมิมที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเองอยู่ พ่อหันมามองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมสังเกตเห็นมิมสะดุ้งตอนที่ผมเรียกพ่อด้วย มิมคงทำตัวไม่ถูกเลยคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแก้ขัดเขินคำโต ผมลอบยิ้มแล้วพูดประโยคที่ซ้อมไว้ในใจตั้งแต่เมื่อคืนออกมา “นี่แฟนผม”


พรวดด



นี่ผมพาโลมาตัวน้อยมากินข้าวด้วยหรอเนี่ย






---------------------
หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดูจริงๆ จ้ะ  :-[
*อัพวันที่แล้วจ้า ขอบคุณที่บอกนะคะ :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2019 19:51:05 โดย gigibabe »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เอ็นลู

ออฟไลน์ gigibabe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 20 ความลับของพี่โต END





( พาร์ทน้องมิม )


พรวด


   “แค่กๆๆ” ผมสำลักหน้าดำหน้าแดง ยื่นมือไปรับทิชชู่จากพี่โตมาเช็ดปากตัวเองแล้วรีบลุกไปหาผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพื่อจะช่วยเช็ดละอองน้ำเพราะผมดันพ่นน้ำโดนหน้าพ่อพี่โตเต็มๆ เลย...ตายแน่กู “เอ่อ ผมช่วยครับ”


“ไม่เป็นไรจ้ะ” เป็นแม่พี่โตที่พูดออกมาแล้วช่วยเช็ดน้ำที่ใบหน้าคุณพ่อออก ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพราะทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่กำทิชชู่ไว้และก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด “หนูไปนั่งเถอะลูก เดี๋ยวแม่ให้แม่บ้านจัดกับข้าวมาให้ใหม่นะ”

“ครับ ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ผมยกมือไหว้พ่อพี่โต คุณพ่อพยักหน้าให้แต่ไม่มองหน้าผมเลย ผมเดินกลับไปนั่งที่เดิมไม่กล้าเงยหน้าไปสบตากับพ่อพี่โตสักนิด ทั้งอายทั้งกลัว


“เฮ้อ” ได้ยินเสียงถอนหายใจของพี่โตแล้วผมยิ่งเป็นกังวลจนก้มหน้าจนคางชิดอก ยิ่งคิดได้ว่าพี่โตพูดว่าเราเป็นแฟนกันออกมา ผมยิ่งไม่กล้าเงยหน้ามองใคร ถึงจะไม่อยากปิดบังเรื่องของเราแต่ก็ไม่คิด ไม่สิ ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าจะต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้


“เรา...เป็นแฟนโตมันจริงๆ หรอ” ผมเงยหน้าสบตากับผู้ชายตรงหน้าที่หน้าตาละม้ายคล้ายพี่โต  ยิ่งสบตา มือผมยิ่งสั่นด้วยความประหม่า ถึงพ่อพี่โตจะไม่ได้ดุด่าอะไร แต่แววตาดุที่กดดันผมอยู่แบบนี้ ก็ทำให้ผมกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าพ่อแม่พี่โตไม่ยอมรับเราขึ้นมาจะทำยังไง


“...” ผมเงียบและหันไปมองหน้าพี่โตเรียกความมั่นใจ พี่โตพยักหน้ากลับมาและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ คล้ายจะปลอบผมว่าไม่เป็นไร


“...จริงๆ แล้วน้องเขาเป็นรูมเมทน่ะครับ” ผมที่กำลังจะตอบกลับคุณพ่อไปต้องชะงักไปเพราะพี่โตดันพูดขึ้นมาก่อน ผมหันไปมองพี่โตด้วยความไม่เข้าใจ ผม...ผมไม่ได้จะปฏิเสธ พี่โตหันมาสบตาผมอีกครั้ง ครั้งนี้ผมก็สัมผัสถึงความเจ็บปวดในดวงตาคู่นี้ได้ พี่โตยื่นมือมาลูบหัวและพูดต่อว่า “ก็แค่รูมเมทกันครับ”


“...” เหมือนใจผมหลุดหายไปกับเสียงทุ้มนั้น


“เอ่อ” คุณแม่มองใบหน้าของผมกับพี่โตสลับกันแล้ว หันไปลูบแขนคุณพ่อพี่โต ก่อนจะชวนเราลงมือทานอาหารที่ป้าแม่บ้านจัดให้ใหม่ตรงหน้า “ถ้าอย่างนั้นกินข้าวกันเถอะนะจ้ะ”


“ไม่ใช่ครับ!”


“...” ทุกอย่างนิ่งงันเพราะผมเผลอตะโกนออกไป คุณแม่ยกมือทาบอกด้วยความตกใจ พี่โตหันมามองผม


“ผมกับพี่โต” ผมจ้องตาคุณพ่อไว้ แล้วพูดประโยคต่อมาด้วยความมั่นใจ “เราเป็นแฟนกันครับ”


“ว่าไงนะหนู”


“ผมเป็นแฟนพี่โตครับ!”


“...” พ่อพี่โตกระตุกยิ้ม แล้วมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนจะพิจารณาอะไรสักอย่างก่อนที่จะ... “ฮ่าๆ”


“อะ” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจที่จู่ๆ พ่อพี่โตก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง


“ดี! เสียงดังฟังชัด ฮ่าๆ”


   ผมมองคุณพ่อกับคุณแม่พี่โตหัวเราะกันด้วยความงุนงง มองไปที่พี่โตที่นั่งเก๊กไม่ขำกับคนอื่นแต่ก็คงจะทนไม่ไหวเลยยิ้มออกมาแทน ผมหันกลับไปมองพ่อแม่พี่โตที่ยิ้มให้ผมแล้วผมก็ยิ้มตอบท่านไป...แบบนี้ถือเป็นการยอมรับผมไหมนะ


“พวกเรารู้แล้วล่ะลูก โตโทรมาบอกแม่ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้วว่าจะพาแฟนมา” คุณแม่พูดแล้วตีแขนพ่อพี่โตเบาๆ ให้หยุดหัวเราะ คุณพ่อเลยหยุดขำแล้วมานั่งกอดอกทำหน้านิ่งเหมือนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมแทน “พ่อเขาแค่อยากแกล้งเราเหมือนใครบางคน”

“เอ่อ...ครับ” ผมได้แต่ตอบรับแล้วส่งยิ้มไปให้แทน ขี้แกล้งกันทั้งบ้านเลยโว๊ย


“งั้นเรากินข้าวกันเถอะจ้ะ” คุณแม่ยิ้มอย่างใจดีให้ผม แล้วเราก็เริ่มลงมือทานข้าวกัน


   ในตอนแรกผมรู้สึกเกร็งเพราะบรรยากาศที่เงียบลง เผลอเม้มปากด้วยความกังวลแต่แล้วมือใหญ่ที่วางลงมาที่เข่าผมก็ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น ผมยิ้มให้พี่โตแล้วลงมือทานอาหารและผมก็ยิ้มออกมาอีกครั้งในตอนที่แม่พี่โตเล่าเรื่องสมัยพี่โตเด็กๆ ให้ฟัง


“โต เราไปเอาของหวานในครัวออกมาที”


“ครับ”   


           ผมมองตามพี่โตที่ลุกออกไปจากโต๊ะโดยที่ไม่คิดอะไรแต่พอหันหน้ากลับมาสบตากับคุณพ่อก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาอีกรอบเพราะรู้สึกกลัวแววตาดุๆ คู่นั้น ผมเผลอเม้มปากเพราะบรรยากาศที่เงียบไป


“อาหารอร่อยมากเลยครับ” ผมตัดสินใจพูดทำลายความเงียบ


“จริงเหรอจ้ะ”


“ครับ”


“ได้ยินแบบนี้แม่ก็ดีใจ” เป็นคุณแม่ที่ตอบแล้วยิ้มให้ผม จะว่าไปแล้วพี่โตนี่ใจดีกับผมเหมือนคุณแม่เลยนะ “เอ่อ แล้วตอนโตอยู่มหาลัยเขาเป็นยังไงบ้างจ้ะ”


“พี่โตดังมากเลยนะครับ ผมทึ่งมากเลย ทั้งที่พี่โตไม่ใช่เดือนแต่เกือบทั้งมหาลัยรู้จักพี่โตหมดเลย ผมว่าไม่ใช่แค่หน้าตาที่ทำให้พี่โตเป็นที่รู้จักหรอกนะครับ ผมว่าอาจเพราะพี่โตชอบช่วยเหลือคนอื่น ใจดี แล้วก็ให้คำปรึกษาดีๆ ได้หลายเรื่องเลยครับ” ผมพูดไปยิ้มไป พูดได้เป็นธรรมชาติมาก จนผมเองยังตกใจ “เอ่อ ขอโทษที่พูดมากครับ”


“ไม่เป็นไรจ้ะ” คุณแม่ยิ้มอย่างใจดีก่อนที่จะหลบตาผม แล้วผมก็เห็นน้ำตาหนึ่งหยดไหลลงจากตาคู่สวยนั้น “ฮึก อะ แม่ขอโทษจ้ะ”


“เอ่อ” ผมตกใจที่แม่พี่โตจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา ทำอะไรไม่ถูกเลยหยิบทิชชู่ยื่นให้คุณแม่ “ทิชชู่ครับ”


“ขอบใจนะลูก ที่เล่าให้ฟัง” คุณแม่รับทิชชู่ไปซับน้ำตา แล้วก็หันไปซบลงกับแขนคุณพ่อ ผมไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยทำได้แค่นั่งเงียบๆ อยู่แบบนี้


“ขอบใจมากที่ทำให้โตเปลี่ยนไปขนาดนี้ รู้ไหมเขายิ้มให้พวกเราเห็นเป็นครั้งแรกในหลายปีเลยนะ”


“...” ผมนิ่งไปหลังจากที่คุณแม่พูดแบบนี้


“ขอบใจนะลูก”


“ครับ” ผมยิ้มให้คุณแม่อีกครั้งก่อนที่จะทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดในตอนที่พี่โตเดินมาที่โต๊ะอาหาร เราลงมือทานของหวานกันต่อพูดคุยเรื่องของผมบ้างเรื่องของพี่โตบ้าง ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและได้ออกไปเดินทัวร์รีสอร์ทกับคุณแม่พี่โตหลังทานอาหารเสร็จด้วย






   ในตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่บนเปลใหญ่บริเวณหลังรีสอร์ท เวลานี้ผู้คนไม่พลุกพล่านนักเพราะแดดและอากาศที่ร้อน ถึงตอนนี้จะร้อนมากแค่ไหนแต่การที่ได้นอนเปลใต้ร่มไม้ พร้อมกับมีลมที่พัดมาตลอดเวลาแบบนี้ ก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายสุดๆ ไปเลย


“อือ” ผมบิดขี้เกียจแล้วขยับตัวไปซบอกคนที่นอนอยู่ข้างกัน แต่เพราะผมขยับตัวทำให้เปลแกว่งไปมาอย่างแรง ผมตกใจเลยเผลอกอดคนข้างๆ ไว้แน่น เอ่อ จริงๆ ไม่ใช่กอดหรอกครับ ตะครุบไว้มากกว่า


“หึ”


“ไม่ต้องขำเลย ถ้าตกลงไปเจ็บคู่แน่” ผมบอกพี่โตที่ตอนนี้ตื่นขึ้นมาขำใส่ผม


“แบบนี้คงไม่ตก” พี่โตดึงตัวผมเข้าไปใกล้แล้วใช้แขนแข็งแรงนั้นช้อนตัวผมขึ้นไปนอนบนตัวพี่มัน โอ้โห ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย กลัวกว่าตกเปลคือกลัวพ่อแม่พี่มันเห็นครับ


“เดี๋ยวพ่อกับแม่พี่เห็น”


“ไม่เป็นไรน่า เปลแข็งแรง”


“พี่ได้ฟังที่ผมพูดไหมเนี่ย” ผมดิ้นไปมาแต่พี่โตก็กดหน้าผากผมให้ซบหัวลงกับอกพี่มันไว้ “ผมอายพ่อกับแม่พี่นะ”


“...”


“พี่” ผมเงยหัวขึ้นไปมองคนที่กอดเอวผมไว้แน่น พี่มันหลับตาหนีผมไปแล้ว “เฮ้อ”


   ผมเลยต้องจำยอมกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงอกพี่มันอยู่แบบนี้ ลมทะเลพัดกลิ่นทะเลมาอีกครั้งบวกกับแปลที่แกว่งไปมาเริ่มทำให้ผมเคลิ้ม  ผมนอนพิงอกพี่โตคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องที่แม่พี่โตร้องไห้ไปเมื่อเช้า เกิดอะไรขึ้นกับพี่โตกันแน่ แล้วผมจะสามารถพูดเรื่องนี้ได้ไหมนะ


“พี่...” ผมพูดออกไปเสียงเบาจนมันแทบจะกลืนไปกับเสียงคลื่น “เมื่อเช้าแม่พี่ร้องไห้ด้วยอะ”


“...”


“ผมไม่รู้ว่าผมจะพูดเรื่องนี้ได้ไหม” ผมเม้มปากและดันแว่นขึ้นดีๆ “แต่ผมเป็นห่วงท่านแล้วก็ห่วงพี่ด้วย”


“...”


“ผมรับฟังพี่ได้นะ”


“...”


   ผ่านไปนานหลายนาทีทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ลมที่พัดมาเกือบตลอดเวลา เสียงคลื่นและความเงียบของพี่โต ผมหลับตาลง ไม่เป็นไร...ปลอบตัวเองแบบนั้น พร้อมนึกอยากหลับไปเลย ไม่อยากรู้สึกน้อยใจเพราะเรื่องนี้ เรื่องที่ว่าผมเองก็อยากเป็นแฟนที่ดี เป็นแฟนที่พี่มันจะพึ่งพาได้


“พี่เป็นคนทำให้น้องหนีออกจากบ้าน”


“...” เป็นผมที่เงียบไปบ้าง   


“ถ้าพี่...ถ้าวันนั้นพี่ห้ามมันไว้” เสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวดทำให้ใจผมรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย ผมเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ทั้งสองข้างมากุมไว้ “พ่อกับแม่คงไม่ต้องเสียใจแบบนี้”


“... แล้วตอนนี้น้องของพี่เป็นยังไงบ้างครับ”


“อยู่กรุงเทพ มันยังติดต่อกับพี่” ผมเงยหน้ามองพี่โตที่จ้องมองมาที่ผมอยู่แล้ว “แต่ไม่ยอมกลับบ้าน เพราะแบบนั้นพี่เลย...ไม่กล้ามีความสุขเวลาที่กลับมาที่นี่ รู้สึกตัวเอง...”


“พอแล้วครับ” ผมพูดแล้วเอียงหน้าซบอกแกร่ง ดึงมือใหญ่มาซบไว้ที่แก้มตัวเอง “อย่าโทษตัวเองเลย”


“...” พี่โตใช้มืออีกข้างลูบหัวผมเบาๆ


“ถ้ายังติดต่อกันอยู่ ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาต้องกลับมาแน่นอนครับ”


“มิม..”


“แล้วผมก็เชื่อวาพ่อแม่กับน้องของพี่ ไม่มีใครโทษพี่และที่สำคัญผมเชื่อว่าทุกคนอยากให้พี่ยิ้มได้” ผมจูบลงไปที่หลังมือพี่โต ผมไม่ได้พูดเพราะอยากปลอบใจหรือพยายามทำให้พี่โตพอใจ ผมแค่พูดเพื่อสื่อความรู้สึกตัวเองออกไป “ทุกคนอยากให้พี่มีความสุขนะครับ”


“...”


“ไม่เป็นไรนะครับ”


“...ขอบคุณครับ”


   ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกผมจะส่งไปถึงพี่โตรึเปล่า แต่อ้อมกอดจากแขนแข็งแรงที่ออบกอดผมให้แน่นขึ้นเหมือนกลัวผมจะหล่นหายไปนี้ ก็คงให้คำตอบกับผมได้ ผมหลับตาฟังเสียงสายลมที่พัดผ่านเราไป เหมือนผมจะได้ยินเสียงกระซิบลอยมาด้วยว่าอนุญาตให้เรามีความสุขได้แล้วนะ


   และสิ่งนี้ก็ทำให้สายตาที่มองกันชัดเจนขึ้น เราค่อยๆ เขยิบเข้าหากันไปทีละนิด ค่อยๆ เข้าไปอยู่ในชีวิตของกันและกัน แล้วมอบรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักนี้ให้แก่กัน








   ตอนนี้เรากลับจากทะเลแล้วครับ พี่โตขับรถไปคืนที่บ้านพี่แทนแล้วเราก็นั่งรถแท็กซี่มาม. เลยเพราะอีกไม่กี่วันก็เปิดเรียนปกติแล้ว ผมโทรหาแม่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ ให้สัญญากับแม่ว่าจะกลับบ้านตอนปิดเทอมใหญ่ บางทีผมอาจจะพาใครบางคนไปเซอร์ไพร์สแม่ด้วย ผมวางสายแม่ด้วยการบอกรักแม่เหมือนทุกครั้ง แล้วตัดสินใจแงะตัวเองจากที่นอนไปอาบน้ำ
 

“พี่ ผมไปอาบน้ำนะครับ”


“ครับ”   


   พี่โตลืมตาขึ้นมาตอบผมแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่น ผมเดินไปหยิบผ้าขนหนูกับชุดนอนเพื่อที่จะไปอาบน้ำ มองคนที่นอนแผ่เล่นเกมอยู่บนเตียงอีกครั้งแล้วแอบย่นจมูกใส่ สงสัยคืนนี้ผมต้องได้ไล่เด็กติดเกมไปอาบน้ำอีกแน่ๆ


   ผมปิดประตูห้องแล้วออกมาโดยที่ไม่ล็อคเพราะเดี๋ยวผมก็กลับมา เดินคิดเรื่องก่อนออกมาจากบ้านพี่โตแล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว พ่อกับแม่พี่โตใจดีมากเลย แม่ผมจะใจดีกับพี่โตแบบนี้ไหมนะ


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมา เมื่อนึกได้ตัวเองลืมเอาแปรงสีฟันออกมาด้วย ทำไมถึงขี้ลืมแบบนี้นะ แล้วแบบนี้จะดูแลพี่มันแบบที่แม่พี่โตฝากไว้ได้ไงเนี่ย


แกร่ก


   ผมเปิดประตูเข้าไปเบาๆ เพราะอยากแกล้งคนที่อยู่ในห้อง แต่เสียงที่ผมได้ยินกลับทำให้ผมยืนนิ่งอยู่กับที่พราะเสียงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี


"มะหมี่ไม่รู้ตัวถูกคนชั่วลากเอาไป เอาไม้แหย่รู ถูๆ ไถๆ แสบๆ คันๆ มันๆ ปนกันไป...”  เสียงของผมเอง


“พี่...” ผมเรียกคนที่นอนดูคลิปนั่นอยู่บนที่นอน “พี่ดูอะไรอะ”


“คือ..มิม” พี่โตลุกขึ้นนั่งแล้วปิดคลิปนั้น แล้วลุกเดินมาหาผมด้วยความรีบร้อน ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ดูเป็นกังวลจนผมมองออก “พี่ขอโทษ”


“พี่ ทำไม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ไม่คิดว่าพี่มันจะถ่ายคลิปไว้ “ไหนบอกว่าลบหมดแล้ว”


“พี่แค่อยากเก็บไว้” พี่โตเกาท้ายทอยแล้วมองไปทางอื่น  “ตอนเราเต้นน่ารักจะตาย”


“...” ผมมองใบหน้าขึ้นสีของคนตรงหน้าแล้วเม้มปากไว้


 “พี่ขอโทษนะ” พี่โตยื่นมือถือเครื่องสีดำนั่นให้ผม “ลบสิ”


“พี่โต”


“เพื่อความสบายใจ มิมลบเองเลย”


“ครับ”

   ผมถือมือถือของพี่โตไว้แล้วเดินไปนั่งบนที่นอน ส่วนพี่โตก็ยืนมองผมอยู่แบบนั้น ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตัดสินใจทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดที่จะทำ


“เสร็จแล้วครับ”


“...”


   ผมยื่นมือถือคืนให้พี่โตแล้วเดินไปหยิบแปรงสีฟันที่ยังอยู่ในกระเป๋าสะพาย สักพักก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากมือถือพี่โตดังไม่หยุด ผมเม้มปากแน่นเพราะมือถือผมเองก็ส่งเสียงแจ้งเตือนไม่ต่างกัน


“พี่โกรธผมไหม”


“พี่จะโกรธเราทำไม” พี่โตมองหน้าจอที่ยังค้างอยู่ที่แอพสีน้ำเงิน “พี่เป็นห่วงความรู้สึกเรา”


 “ผมจะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว”


“มิม”


“ผมทำถูกแล้วใช่ไหมครับ”


ฟรึ่บ

   พี่โตดึงแขนผมไปอย่างแรง จนตัวผมลอยเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่ผมคุ้นเคย ผมกอดตอบพี่โตทันทีแล้วก้มหน้าลงไปซุกกับอกแกร่ง สูดกลิ่นน้ำหอมที่ผมชอบเข้าปอด ดีจัง...เหมือนได้ชาร์จแบตเลย


“เก่งจังเลย แฟนใครเนี่ย” พี่โตพูดแล้วโยกตัวผมไปมา น่าแปลกแค่การกระทำเล็กๆ แบบนี้กลับทำให้ใจผมพองโตและทำให้มีรอยยิ้มเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย


“ไม่รู้” ผมตอบเสียงอู้อี้อยู่กับอกพี่โต ก่อนที่จะจูบลงไปที่อกแน่น “ของคนนี้มั้ง”


“หึ”


   ผมยิ้มเพราะเสียงทุ้มที่หัวเราะออกมา นึกถึงโพสต์ที่ตัวเองลงไปในเฟซบุ๊กแล้วก็อดที่จะหัวเราะกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้ ผมโพสต์คลิปเต้นนั้นลงไปโดยใช้เฟซบุ๊กพี่โตและแท็กตัวเอง พิมพ์คำอธิบายไปว่าเต้นไหว้เจ้าที่ ตอนนี้มือถือเรายังคงส่งเสียงแจ้งเตือนไม่หยุดและผมจะยอมรับกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้


   ผมจะไม่กลัวคำพูดพวกนั้นแล้ว ผมจะมีความสุข จะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว ผมโชคดีที่ได้เจอเพื่อนที่ดีและเพื่อนที่ไม่ดี แล้วผมก็รู้สึกโชคดีที่สุดที่ได้เจอกับคนตรงหน้า ต่อไปนี้การถูกเกลียดคงไม่น่ากลัวอีกต่อไปเพราะในตอนนี้ผมได้รู้จักความรักและผมก็รักเป็นแล้ว


ผมจะเติบโตขึ้นจากความรักครั้งนี้


จะเติบโตไปพร้อมกับคนคนนี้


คนที่เป็นเหมือนชีวิตใหม่ของผม


“ผมรักพี่” ผมกระชับอ้อมแขนรัดพี่โตแรงๆ จนพี่โตร้องออกมาเพราะความเจ็บ เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน เสียงหัวเราะของเราดังผสานกับเสียงแจ้งเตือน ทำให้ใจผมเต้นแรงขึ้นเหมือนตกหลุมรักคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมสบตากับคนที่เสียงหัวใจเต้นดังไม่ต่างจากผม แล้วพูดออกไปอีกครั้งว่า “ผมรักพี่...พี่โตของผม”










------------------------------- The End --------------------------------







จบแล้วจ้า

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ
อยากจะบอกว่าทุกคอมเม้นต์มีความหมายต่อไรท์มากๆ เลย
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ
LOVE
 :bye2:



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด