I'm your smile #ยิ้มของพี่น่าน อัพเดท บทที่ 10 (15/05/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: I'm your smile #ยิ้มของพี่น่าน อัพเดท บทที่ 10 (15/05/2019)  (อ่าน 3466 ครั้ง)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************






I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน
[/font][/size]



เรื่องราวของเมืองน่าน ผู้ชายหน้าดุแต่โคตรฮอต กับ ไอ้ยิ้ม จอมยิ้มสมชื่อ ยิ้มหัวได้ทุกสถานการณ์

สองคนที่ตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋กับชีวิตในรั้วมหาลัยและโรงเรียนใหม่ที่ห่างกันแค่ประตูโรงเรียนกั้น

กับความสัมพันธ์ที่วันวานเป็นอย่างไร วันนี้...ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเลย



-----------------------------------------------------------------------------------



"ยิ้มแค่อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้ตอนนี้คนที่ทำให้พี่น่านยิ้มได้จะไม่ใช่ยิ้มแล้ว

.

.

.

ยิ้มก็ยังอยากเป็นไอ้ยิ้มของพี่น่านเหมือนเดิมอยู่ดี"



#ยิ้มของพี่น่าน


By NAVY
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2019 22:56:30 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1




I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทนำ






ไม่เคยมีใครคิดหรอกว่าวันนี้จะมาถึง

วันที่คู่หูปาท่องโก๋อย่าง ‘พี่น่าน’ กับ ‘ไอ้ยิ้ม’ จะเดินแยกไปคนละทาง

ไม่สิ

คนที่เดินแยกไปน่ะมีแค่คนเดียว เพราะอีกคนนั้นได้แต่มองอดีตคู่หูที่เคยสนิทสนมรักใคร่เดินเคียงข้างใครอีกคนไป แล้วเดินตามต้อยๆ เหมือนหมาที่จงรักภักดีเหมือนเดิม







--------------------------------------------------------------------------------------------------------



ฝากไอ้ยิ้มกับพี่น่านด้วยนะ


#ยิ้มของพี่น่าน
NAVY :)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทที่ 1





หากพูดถึงคู่หูต่างวัยแห่งมัธยมชื่อดังประจำจังหวัด Q ไม่มีใครที่จะตอบไม่ได้ว่าทั้งสองคนที่ว่านั้นคือใคร



ทั้งคู่ไม่ได้โด่งดังจากผลการเรียนหรือกิจกรรมที่โดดเด่นสร้างคุณความดีให้โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้โด่งดังจากวีรกรรมเสียๆ หายๆ จำพวกตั้งก๊กยกพวกตีกันเหมือนเด็กช่างที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนเช่นกัน ทั้งสองคนเพียงแค่ใช้ชีวิตปกติสุขในโรงเรียนชายล้วนที่ดังที่สุดในจังหวัดก็เท่านั้น



ภาพที่ทุกคนในโรงเรียนเห็นเป็นประจำคือภาพเด็กผู้ชายม.หกตัวสูงชะลูดกับเด็กม.สามตัวเตี้ยม่อต่อแค่หน้าอกของรุ่นพี่ เดินกอดคอ เล่นหัวกันตลอดทางที่เดินกลับบ้านพร้อมกันในทุกเย็น เด็กผู้ชายอายุมากกว่าหรือชื่อของมันก็คือ ‘เมืองน่าน’ หรือ ‘ไอ้น่านหน้านิ่ง’ ของเพื่อนๆ เป็นคนหน้าดุไม่ค่อยยิ้มตามฉายามันเป๊ะๆ ทั้งที่มันก็ออกจะหน้าตาดีผิวขาวเนียนด้วยแม่เป็นคนเหนือ แล้วยังมีเชื้อสายจีนตามพ่อทำให้หล่อตี๋เสป็กหญิง อายุเพียงสิบแปดก็ตัวสูงโตอย่างกับยักษ์ปักหลั่นถึง 190 เซนติเมตร ถือว่าสูงที่สุดในห้องม.หกทับสามเลยในตอนนั้น แถมยังเรียนดี กีฬาก็เล่นได้เกือบทุกชนิด ทว่าที่โปรดปรานที่สุดเห็นจะเป็นกีฬาว่ายน้ำที่เจ้าตัวชอบดอดไปใช้อภิสิทธิ์หัวหน้าชมรม ไขกุญแจลงไปว่ายเล่นแทบทุกเย็น จนทำให้ร่างกายสูงเก้งก้างมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวแท้สาวเทียมทุกครั้งที่มีแข่งนอกโรงเรียน ถึงขนาดมีแฟนคลับตั้งขึ้นและคอยตามเชียร์ ‘พี่เมืองน่าน’ ทุกครั้งที่เมืองน่านมีแข่งขันกีฬาว่ายน้ำ



ส่วนอีกคนนั้นคือ ‘ยิ้ม’ หรือ ‘ไอ้ยิ้ม’ ของทุกคน นิสัยของมันก็ตามชื่อเลยที่มักจะมีรอยยิ้มสดใสแปะอยู่บนใบหน้า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรสอบตก สาวหักอกหรือโดนอาจารย์ด่า ใบหน้าของมันก็ยังคงยิ้มแป้นแล้นเป็นที่อ่อนอกอ่อนใจแก่บรรดาคนที่ถูกมันทำให้เคืองใจหรือโกรธ ทำเอาปากที่จะด่ามือที่จะลงโทษได้แต่หุบเก็บกลับไปด้วยความเอื้อเอ็นดู เพราะทุกคนรู้แก่ใจดีว่าไอ้ยิ้มนั้นไม่ค่อยคิดอะไรมากมายเหมือนคนอื่นเขา คิดอะไรก็พูด ไม่ชอบอะไรก็บอก แม้บางครั้งมันจะดูตรงไปบ้าง แต่มันก็เรียกได้ว่าจริงใจดี จนนานวันเข้าทุกคนก็เริ่มชินและมองว่ามันเป็นข้อดีแทนข้อเสียไปซะนี่ ที่วันๆ หนึ่งจะมีคนถูกไอ้ยิ้มพูดจาขวานผ่าซากใส่ทั้งใบหน้ายิ้มแย้มให้โดนด่าเป็นสิริมงคลของมันตลอดทั้งวัน



หลายครั้งที่มีคนชอบถามว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้มารู้จักกันได้ ก็จะมีคนที่เคยถามและสงสัยมาก่อนตอบทันทีทันควันว่า ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว ทว่าก็ไม่มีใครรู้อีกนั่นแหละว่านานแค่ไหน รู้แค่ว่านานพอที่ทุกคนจำได้เพียงแต่ที่ไหนมีเมืองน่าน ที่นั่นต้องมีไอ้ยิ้มเดินตามต้อยๆ เหมือนลูกหมายังไม่หย่านมแม่ คอยยิ้ม หัวเราะเหมือนสัมภเวสีตามติดตัวเมืองน่านไปทุกที่ คล้ายว่าการกระทำแบบนั้นจะทำให้รำคาญในสายตาคนอื่น ทว่ากลับกันเลยทุกคนกลับไม่เคยเห็นเมืองน่านจะรำคาญไอ้ยิ้มเลยสักครั้งทั้งที่เมื่อคนอื่นมาตามวอแวแบบนั้น รั้งแต่จะทำให้หน้าดุๆ ของมันโผล่ออกมาขู่ขวัญร่ำไป เลยกลายเป็นว่าหากไม่ใช่ไอ้ยิ้มละก็ อย่าริอาจไปทำตัวอ้อล้อกับเมืองน่านเด็ดขาด หากไม่อยากโดนเตะกระเด็นติดกำแพง



ทั้งสองคนสนิทกันมาก สนิทกันชนิดที่คล้ายจะรู้ตับไตไส้พุงกันทุกเรื่อง หากจับทั้งสองมาตั้งกระทู้ถามร้อยคำถามเกี่ยวกับเมื่อน่านและไอ้ยิ้ม ร้อยข้อก็ถูกร้อยข้อแบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย หรือแม้แต่ความในใจที่ไม่ทันได้พูด เพียงแค่สบตาหรือมองไปที่อีกคนเพียงแว่บเดียวก็เดาได้ว่าอีกคนต้องการอะไร ทั้งคู่ก็มักจะแสดงอภินิหารให้คนอื่นเห็นอยู่เนืองๆ ยกตัวอย่างเช่นวันที่เมืองน่านมีแข่งที่ต่างจังหวัด แต่วันออกเดินทางเจ้าตัวกลับยืนกรานที่จะไม่ขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางไปจังหวัดดังกล่าว เอาแต่ยืนหน้านิ่งแผ่ออร่าน่ากลัวอยู่แบบนั้นเกือบชั่วโมง จนไอ้ยิ้มเดินเข้าไปหาพร้อมกับผ้าขนหนูเน่าๆ ผืนหนึ่งนั่นแหละ เมืองน่านที่เลิกปล่อยออร่าน่ากลัวก็ยอมขึ้นรถตู้เพื่อไปแข่งโดยดี โดยมีไอ้ยิ้มคอยอธิบายให้ทีหลังว่า ผ้าขนหนูที่มันกลับบ้านไปหยิบให้มานั้นคือของสำคัญของเมืองน่าน ที่หากขาดไปแล้วนั้น อีกฝ่ายจะไม่สบายใจและนอนไม่หลับ เมื่อถามกลับไปว่ามันรู้ได้ยังไงว่าเมืองน่านลืมไอ้ผ้าเน่านั่น มันก็ทำเพียงแค่ยิ้มกว้างเหมือนเคยตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ คล้ายมันคือเรื่องง่ายๆ ที่มันทำเป็นประจำว่า ‘พี่น่านทำหน้าไม่สบายใจแบบนั้นทุกครั้งแหละที่ลืมของสำคัญ’ แล้วมันก็เดินหนีไปทิ้งให้คนอื่นสงสัยไม่หายว่า ไอ้หน้าไม่สบายใจกับสีหน้าอยากฆ่าคนของเมืองน่านมันสามารถแยกออกได้ยังไง?



อย่างที่พูดถึงฉายาของเมืองน่านไปว่าเป็น ไอ้น่านหน้านิ่ง มันก็นิ่งตามฉายา ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มแม้แต่ตอนที่คว้าแชมป์เหรียญทองตอนแข่งกีฬาระดับจังหวัด กลับเป็นไอ้ยิ้มแทนที่ทั้งยิ้มและดีใจจนร้องไห้ในวินาทีที่คู่หูได้รางวัล และมันเป็นแบบนั้นเสมอที่ทุกครั้งมีเรื่องยินดีอะไรเกี่ยวกับเมืองน่าน ไอ้ยิ้มจะเป็นคนแสดงอารมณ์ออกหน้าออกตาอย่างกับมันเป็นคนทำเอง จนมีคนเก็บมาแซวว่าบางทีที่เมืองน่านไม่ค่อยยิ้มก็เพราะว่ามีไอ้ยิ้มคอยยิ้มและดีใจแทนแล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่าคำพูดนั้นคือเมืองน่านที่บังเอิญผ่านมาได้ยินดันพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สไตล์เมืองน่านคนคูลว่า ‘อืม แบบนั้นล่ะ’ เล่นเอาบรรดาแก๊งหนุ่มวายสาววายจิ้นคู่ น่านยิ้มกันเป็นอาทิตย์ๆ จนเลิกเห่อเมื่อเห็นว่าเชียร์ยังไง๊...ยังไง ก็เชียร์ไม่ขึ้น



สาเหตุที่เชียร์ไม่ขึ้นคงเพราะแม้ทั้งคู่จะรู้ใจ สนิทสนมหรือเป็นรอยยิ้มให้อีกคนมากแค่ไหน การกระทำที่แสดงออกหรือคำพูดคำจามันก็แค่พี่น้อง แค่คนที่สนิทกันมากๆ คู่หนึ่งเท่านั้น ไม่มีแววตาปิ๊งๆ หรือคำพูดหวานๆ หลุดออกมาให้ชวนคิดลึกเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายคู่จิ้นน่านยิ้มก็พังพินาศลงเมื่อช่วงหนึ่งที่เมืองน่านและไอ้ยิ้มต่างคนต่างแข่งกันจีบผู้หญิงจากโรงเรียนสตรีที่ต่างชอบพอเพื่อที่จะได้รู้ว่าใครจีบหญิงเก่งกว่ากัน



ถึงอย่างนั้นคนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการต่อกับภาพที่เมืองน่านแสดงความเอ็นดูและมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเวลาที่ไอ้ยิ้มเผลอทำอะไรโก๊ะกังชวนขำให้คนอื่นเห็น หรือเวลาที่ไอ้ยิ้มจอมแป้นแล้นยิ้มหวานเอาใจพี่เมืองน่านของมันให้สอนการบ้าน เพราะภาพที่น้อยครั้งที่จำได้เห็นนั้นน่ารักเหลือเกินในสายตาของคนอื่นๆ



บรรยากาศที่คล้ายมิตรภาพทว่าเจือกลิ่นอายของความห่วงใยแสนพิเศษเช่นที่หากไม่เป็นเมืองน่านหรือยิ้มก็ไม่มีวันรู้ล้อมรอบทั้งคู่อยู่เสมอคล้ายจะไม่มีวันหายไป



วันวานเหล่านั้นดำเนินไปเนิ่นนานจนเหมือนไม่รู้จบ ภาพเด็กสองคนเดินเคียงข้างบนเส้นทางเส้นเดิมที่มุ่งสู่บ้านหลังน้อย ถกเถียงเสียงดังพร้อมกับถือหวานเย็นแท่งไม่กี่บาทที่คอยจะละลายเปื้อนมือทุกครั้งที่มัวแต่โม้ยืดยาวจนลืมกิน นั่นคือภาพทุกคนล้วนเห็นและจดจำในใจถึงภาพบรรยากาศของเด็กมัธยมที่ยากจะลบเลือน คล้ายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักเรียนที่ลืมได้ยากยิ่ง



แม้กระทั่งวันที่เมืองน่านเรียนจบม.ปลายในวันปัจฉิมฯ ทุกคนก็ยังคงเห็นเงาร่างเล็กเตี้ยที่สูงขึ้นมาเพียงสองเซนต์ของไอ้ยิ้มยืนอยู่ข้างๆ พี่น่านของมัน คอยเก็บบรรดาดอกไม้ตุ๊กตาจากบรรดาแฟนคลับให้ ไม่ห่างไปสักนาทีเดียว เรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนๆ ของเมืองน่านที่นอกจากจะไม่มีคนช่วยถือของแล้ว ยังไม่มีคนให้ของอีกด้วย เพื่อนคนหนึ่งของเมืองน่านเดินเข้ามาหายิ้มที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างๆ เมืองน่าน ขยี้หัวเกรียนๆ ตามประสาเด็กมัธยมต้นของมันแล้วพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “งี้คู่หูน่านยิ้มก็จบลงแค่ตอนนี้ดิวะ ในเมื่อไอ้น่านมันจะไปเรียนมหาลัย K แล้ว เหลือแต่ไอ้ยิ้มเรียนอยู่ที่นี่คนเดียว”



“นั่นสิ”



ไอ้ยิ้มปัดมือที่ยีหัวมันเล่นก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด “ใครบอก...”



“มันก็เห็นๆ กันอยู่เนี่ย”



“ไม่ช่าย ยิ้มหมายถึงใครบอกว่ายิ้มจะเรียนต่อที่นี่เล่า”



“อ้าว”



เจ้าตัวเล็กยิ้มแป้นกอดตุ๊กตาหมานุ่มนิ่มในอ้อมแขนที่เมืองน่านเพิ่งส่งมาให้เมื่อครู่ก่อนจะตอบกลับไป “ยิ้มสอบติดโรงเรียนมัธยม K ได้ ยิ้มเลยจะไปอยู่หอกับพี่น่านนู่นน ม.พี่น่านกับโรงเรียนยิ้มห่างกันแค่ประตูโรงเรียนกั้นเอง มันอยู่รั้วเดียวกัน”



“โหย อะไรวะ ติดอะไรกันขนาดนี้”



“พี่น่านติดยิ้มจะตาย บังคับขู่ให้ยิ้มไปสอบโรงเรียนนั้นทุกวันจนยิ้มรำคาญ...โอ้ย!”



เมืองน่านละมือที่เพิ่งเขกกะโหลกเด็ก พูดย้อนเสียงเข้ม “ขี้โม้”



“โม้อะไร เช้อ...”



“ใครไปติดอะไรเรา มีแต่เด็กแถวนี้แหละที่ติดพี่ พูดสิว่าวันที่นอนฝันร้ายไม่ได้วิ่งมาหาพี่ถึงหน้าบ้าน...” เมืองน่านกล่าวออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเด็กที่ตัวเตี้ยกว่าเป็นเท่าตัวเขย่งเท้าอย่างยากลำบากเพื่อจะปิดปากเขา ใบหูเล็กแดงจัดจนดูราวจะแผ่คลื่นความร้อนออกมาได้ด้วยซ้ำ ทุกคนหัวเราะลั่นกับการกระทำของคู่ซี้ตรงหน้า เอ่ยแซวเล่นหัวไอ้ยิ้มเป็นทิวแถวที่ถูกเปิดโปงเรื่องน่าอายจนไม่รู้จะซ่อนหน้าแดงแจ๊ดไว้ที่ไหนได้ โดยมีเมืองน่านเผยยิ้มที่จะได้เห็นนานๆ ทีที่มุมปากและลูบหัวเกรียนๆ ของไอ้ยิ้มแทนคำง้อเด็กเจ้าอารมณ์ที่ขี้งอนเป็นที่หนึ่งไปด้วย



“เออ เห็นพวกแกเป็นแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย รู้มั้ย พวกฉันคงคิดถึงพวกแกสองคนน่าดูเลย”



“นั่นดิ เรียนมหาลัยไกลจากมหาลัยพวกแกชะมัด”



“อย่าเพิ่งเลิกเป็นคู่หูกันไปซะก่อนละ วันเลี้ยงรุ่นช่วยลากไอ้ยิ้มมาหาพวกฉันให้หายคิดถึงคู่หูน่านยิ้มด้วยนะเว้ย”



“เออ ได้” เมืองน่านว่าพร้อมกับจับหัวยิ้มผงกไปมาเหมือนเล่นกับหมาน้อย ซึ่งท้ายที่สุดเจ้าหมาน้อยที่ยอมให้เล่นหัวได้ไม่ถึงนาทีก็หันมาแว้งไล่งับคนตัวสูงที่วิ่งหนีไปทั่วหอประชุมกว้างที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเหล่านักเรียนที่เรียนจบและกำลังลาจากชีวิตม.ปลายสู่การเป็นเด็กในรั้วมหาลัยแทน



ทุกคนหลบร่างสูงที่วิ่งสบายๆ และหลุดหัวเราะกับท่าทางหอบเหนื่อยของเด็กม.ต้นเพียงคนเดียวที่ทุกคนเอ็นดูคอยวิ่งตามรุ่นพี่ไปทั่ว แล้วค่อยส่งเสียงหัวเราะเผยรอยยิ้มกว้างขึ้นเมื่อสุดท้ายเมืองน่านก็ใจอ่อนกับท่าทางเหนื่อยๆ ของยิ้ม ปล่อยให้อีกคนกระโดดเกาะหลังเหมือนลูกลิงบังคับให้เขาเดินไปมาแทนการไถ่โทษ ภาพบรรยากาศในวันนั้นยังคงติดตรึงในใจของเหล่าเด็กที่จบการศึกษา จวบจนวันที่ได้พบกันอีกครั้งในงานเลี้ยงรุ่น พวกเขาก็ยังพูดถึงเสียงหัวเราะและรอยยิ้มนั้นกันได้ไม่รู้จบ ราวกับภาพของสองคู่หูสามารถสร้างรอยยิ้มให้พวกเขาได้เสียทุกครั้งที่พูดถึง



ไม่มีใครสักคนที่จะนึกออกถึงภาพวันที่ทั้งคู่แยกจากกัน รั้งแต่จะหวนคิดได้เพียงเงาร่างของคนสองคนเดินเคียงข้างกัน



ไม่มีใครนึกภาพเมืองน่านเดินข้างใครสักคนที่ไม่ใช่ยิ้มและไม่มีใครนึกออกว่าไอ้ยิ้มจะไปคอยดูแลใครนอกจากพี่น่านของมัน



และทุกคนหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ

 























ปี พ.ศ. 255X, หอพัก A



“พี่น่าน แน่ใจนะว่าเราอยู่ชั้นสี่”



“อืม ตามใบก็บอกอยู่นี่ไงว่าชั้นสี่” ชายหนุ่มตัวสูงกว่ายื่นใบรายละเอียดที่ถูกส่งมาจากหอพักดังกล่าวให้คนข้างๆ ดู ในนั้นบันทึกหมายเลขห้องและชั้นไว้ชัดเจนจนคนที่ท้วงหน้าเสีย โวยวายเสียงอ่อย



“มันไม่มีลิฟต์นะ ตั้งชั้นสี่แน่ะ เราย้ายห้องมาอยู่ชั้นสองไม่ได้เหรอ”



“แค่สี่ชั้นเอง เดินแปบเดียวก็ถึงแล้ว”



“พี่น่านออกกำลังกายบ่อยก็พูดได้เด่ะ แต่ยิ้มบอบบางนะเฟ้ย จะไปแบกของเดินขึ้นลงหลายๆ รอบโดยที่ไม่สะทกสะท้านแบบพี่ได้ไง”



เมืองน่านยกกระเป๋าเสื้อผ้าทั้งหมดขึ้นไหล่และถือไว้ที่มือก่อนจะก้มลงใช้หน้าผากเขกไอ้เด็กขี้โวยวายพอให้อีกคนร้องเสียงหลงแล้วพูดต่อ



“งั้นก็ฝึกซะ รีบๆ ยกขึ้นห้องได้แล้ว ไม่ร้อนรึไง”



“ไอ้พี่น่าน!”



“พี่ขึ้นไปก่อนนะ ค่อยๆ ขนขึ้นมาล่ะ ไม่ต้องรีบ” ว่าแล้วเขาก็เดินไปยังทางขึ้นบันไดเดินขึ้นไปด้วยท่าทางสบายๆ คล้ายกระเป๋าสี่ห้าใบที่แบกอยู่นั้นเบาราวปุ่ยนุ่น ทั้งที่ในความรู้สีกของยิ้มนั้น มันต้องหนักไม่ต่างจากกระสอบข้าวสองลูกเป็นแน่ เขาถอนหายใจพลางมองบรรดาข้าวของที่กองอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเลือกหยิบเครื่องนอนพวกหมอนและหมอนข้างขึ้นมากอดเอาไว้ ก้าวเดินทีละก้าวขึ้นไปบนหอพักที่ตั้งอยู่ไม่ไกลรั้วมหาลัยของเมืองน่านหรือรั้วโรงเรียนของยิ้มเท่าไหร่นักช้าๆ



หอพักนี้ถือเป็นหอพักดังใช้ได้สำหรับเด็กนักเรียนหรือนักศึกษาที่จะมาศึกษาต่อที่มหาลัยและโรงเรียนมัธยม K เพราะว่าอยู่ใกล้และมีร้านรวงมากมายให้เลือกสรรหากินได้ตามสะดวกตั้งแต่กลางวันจรดกลางคืน บางวันพื้นที่โล่งกว้างตรงข้ามหอพักก็จะมีตลาดนัดมาจัดขายข้าวของให้เดินเล่นพอเพลินๆ อีกด้วย ทำให้เมืองน่านและเขาต้องต่อสู้และแย่งชิงมาอย่างยากลำบากกว่าจะได้ห้องพักมาครอง ดังนั้นไอ้คำพูดที่เขาบอกว่าอยากจะเปลี่ยนห้องนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะแม้จะยังไม่ทันเปิดเทอม แต่หอพักแห่งนี้ก็ถูกจับจองไปหมดแล้ว ไม่มีที่ว่างไหนให้แลกเปลี่ยนได้อีก ยิ้มเลยได้แต่ปลอบใจตัวเองและให้กำลังใจไปพลางเมื่อกำลังแบกกล่องหนังสือกล่องที่สามจากครั้งที่ห้าที่ต้องเดินขึ้นลงอาคารว่าเขาโชคดีแค่ไหนแล้วที่หาหอพักราคาไม่แพงและใกล้โรงเรียนได้ถึงขนาดนี้



เมืองน่านที่กำลังรื้อข้าวของออกมาจากกล่องจัดเรียงบนตู้ที่ขนมาตั้งแต่เมื่อวานหันมามองใบหน้าเปื้อนเหงื่อของยิ้มด้วยความเอื้อเอ็นดูเช่นทุกครั้ง ถามเสียงเจือขันเล็กน้อย



“ไหวมั้ย?”



“ไม่ไหว ยิ้มจะตายแล้ว”



“กล่องสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ขนขึ้นมาหมดแล้วนี่”



“อื้อ” ยิ้มทิ้งกล่องลงบนพื้นทันทีที่ถึงที่หมาย ก่อนจะทิ้งตัวเองบ้าง นอนแผ่หราทั้งเสื้อชุ่มเหงื่อกลางพื้นโล่งที่พวกเขาตั้งใจจะจัดเป็นโซนนั่งเล่นใช้พักผ่อนหรือทำงานการบ้านของทั้งคู่ เมืองน่านล้วงผ้าเช็ดหน้าโยนแปะลงบนหน้าเด็กน้อย ก่อนจะยกกล่องหนังสือเลี่ยงไปอีกทาง



“หายเหนื่อยแล้วไปรื้อเสื้อผ้าตัวเองเข้าตู้ด้วยนะยิ้ม เดี๋ยวอันอื่นค่อยมาจัดกันวันพรุ่งนี้ วันนี้แค่จัดพวกเสื้อผ้าแล้วก็ของที่จะวางในห้องนอนก็พอ”



“คับ”



“คับแล้วก็ลุก เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกิน”



พอได้ยินคำว่าของกิน เรี่ยวแรงที่หายไปก็คล้ายจะกลับมาบางส่วน ยิ้มกลิ้งตัวไปหยุดอยู่ข้างกล่องและกระเป๋าที่หอบเสื้อผ้ามาเหมือนจะย้ายบ้านของตัวเอง ก่อนจะรื้อออกมาเรียงเป็นกองๆ ขนเข้าไปวางหน้าตู้เสื้อผ้าที่อยู่ห่างจากเตียงนอนขนาดควีนไซส์ แล้วเริ่มจัดเรียงเข้าตู้ โดนเว้นเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้เมืองน่านมีที่เก็บเสื้อผ้าของตัวเอง ส่วนพวกเสื้อผ้าส่วนเหลืออันอื่นๆ ก็จัดยัดลงในลิ้นชักที่มีในห้องและเช่นกันที่เขาเหลือเอาไว้สองชั้นสำหรับเมืองน่านเหมือนเดิม



ทางด้านเมืองน่านที่จัดเรียงพวกของใช้ที่ซื้อมาจากบ้านเกิดเข้าชั้นทั้งของใช้สำหรับอาหารในครัวที่แถมมา (แม้จะได้แค่ชั้นวางของ ไมโครเวฟและตู้เย็นขนาดเล็กก็เถอะ) และเรียงพวกข้าวของจำพวกแป้ง ยาสีฟัน สบู่ก็ด้วย แอบเหลือบมองเด็กที่เริ่มค้นข้าวของจำพวกเสื้อผ้าของเขามาสะบัดแล้วใส่ไม้แขวนเรียงไปในตู้เรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกองแล้วจึงเริ่มเรียงเสื้อผ้าอีกส่วนของเขาไปในลิ้นชัก จนเสร็จทั้งหมดนั้นแล้ว อีกคนกลับไม่ได้กลับไปนอนแผ่เช่นเดิม กลับเดินมาป่วนเขาที่กำลังจัดเรียงของที่เหลือเพียงไม่กี่อย่าง มองแล้วก็อดถามไม่ได้ “หิวขนาดนั้นเลย?”



ยิ้มเบ้ปากลูบท้องที่ไม่ค่อยจะป่องเช่นเพื่อนวัยเดียวกันคนอื่นๆ ที่ยังตัวสูงไม่เท่า คล้ายจะผอมบางเหมือนผู้หญิงแต่ก็ไม่ได้อ้อนแอ้นขนาดนั้น ยังดูเก้งก้างเหมือนผู้ชายอยู่สามสี่ส่วน ก่อนจะงับแขนเสื้อเขาพูดเสียงอู้อี้ “อื้อ อินอี่อ่านไอ้อั้งอัวเอยยย”



“พูดดีๆ น้ำลายเปื้อนเสื้อพี่หมดแล้วเนี่ย” เมืองน่ารีบวางของชิ้นสุดท้ายแล้วปิดตู้ แกล้งดมคราบน้ำลายวงเล็กๆ ที่อยู่บนแขนเสื้อแล้วย่นจมูก



“เหม็น”



“ชิ ทำอย่างกับน้ำลายตัวเองหอมตายอ่ะ ก็บูดมาสี่ชั่วโมงเหมือนกับยิ้มแท้ๆ”



“ต่อปากต่อคำนะ...ไม่กินแล้วใช่มั้ยข้าวน่ะ”



“กิน!”



เขาลูบหัวคนตัวเล็กแล้วดันให้เดินไปข้างหน้าเพื่อออกจากห้อง “งั้นก็ไปกันได้แล้ว”

 





















แม้จะมีร้านอาหารเยอะแยะให้เลือกแต่สุดท้ายทั้งคู่ก็เลือกเพียงร้านข้าวมันไก่ที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ดี เนื่องจากยิ้มบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่าไม่อยากเดิน เมื่อย สารพัดจะบ่น จนเมืองน่านที่อุตส่าห์ว่าจะพาเด็กน้อยไปกินเสต็กมีชื่อแถวๆ หอพักเป็นอันต้องพับเก็บรอวันหน้า แล้วเลือกข้าวมันไก่ที่ใกล้หอพักแทน ระหว่างรอยิ้มก็มองซ้ายมองขวาไปเรื่อยๆ กระทั่งสะดุดตากับเด็กวัยรุ่นดูเหมือนน่าจะวัยเดียวกับเมืองน่านในชุดนักศึกษามหาลัย K ที่เมืองน่านศึกษาอยู่เดินเข้ามาในร้านข้าวมันไก่ สะกิดก่อนเรียกให้ไปมอง “เพื่อนในคณะพี่น่านป่าว” เขาถามเมื่อคิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพื่อนร่วมคณะของเมืองน่าน ขณะที่เจ้าตัวทำเพียงแค่มองแวบหนึ่งแล้วเบือนหน้ากลับมาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนก้มลงอ่านข่าวต่างประเทศในสมาร์ทโฟนต่อ ไม่สนใจว่ายิ้มจะเรียกอะไรอีกเกี่ยวกับคนพวกนั้น เขาไม่เคยเจอหรือถ้าเคยเจอก็จำไม่ได้อยู่ดี



ยิ้มเลิกคิ้วมองคนที่นั่งทื่อไม่สนใจโลกอยู่ตรงหน้า ก่อนจะแอบลอบมองคนพวกนั้นเป็นระยะๆ จนกระทั่งเจ้าตัวสังเกตเห็นนั่นล่ะถึงได้เก็บสายตาที่มองกลับมาให้ความสนใจกับข้าวมันไก่ทอดร้อนๆ ของตัวเองแทน เมืองน่านสั่งน้ำเปล่าสองแก้วแล้วเลื่อนน้ำจิ้มไก่หวานๆ ไปตรงหน้ายิ้ม ด้วยรู้ดีว่ายิ้มกินเผ็ดไม่ค่อยได้ ซึ่งอีกคนก็รับมาแล้วสลับเอาน้ำจิ้มเผ็ดๆ ที่เหมือนคนทำจะยกมาให้เผื่อชอบกินกับไก่ทอดไปให้เมืองน่านแทน



“แล้วพี่น่านจะต้องเข้าไปทำกิจกรรมของคณะเมื่อไหร่อ่ะ” ที่ถามไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่กว่าเขาจะเปิดเทอมก็อีกตั้งเดือนสองเดือน ยิ้มก็แค่ถามเผื่อว่าคนตรงหน้าจะมีเวลาว่างสำหรับพาเขาเที่ยวใกล้ๆ แถวนี้บ้าง เพื่อไม่ให้เหงาจนเกินไปที่ต้องไกลบ้านเกิด เนื่องจากตอนที่ขนย้ายข้าวของเมืองน่านที่มีรถกระบะคันโตเป็นขนมาเองทั้งหมด จึงทำให้สะดวกหากจะไปไหนมาไหน ซึ่งเมืองน่านก็พอจะเข้าใจเจตนาในคำพูดของยิ้ม ทว่าก็รับปากอะไรไม่ได้



“กิจกรรมมันไม่แน่นอน พี่ไม่รู้ว่าจะมีวันว่างมั้ย...แต่จะพยายามแล้วกัน” ท้ายเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าทำหน้าม่อยคอตกที่ดูแล้วสงสารไม่น้อย ด้วยเอาใจคอยดูแลมาตั้งแต่วันกระเต๊าะ ครั้นพอโตขึ้นมาความเอ็นดูและเป็นห่วงยังคงเดิม เขาจึงค่อนข้างจะแพ้ทางสีหน้าเหงาๆ ของยิ้ม...ที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็นเท่าใดนัก



“ยิ้มรู้ว่าพี่น่านยุ่ง แต่อย่ายุ่งจนลืมยิ้มนะเฟ้ย...”



“รู้แล้ว รีบกินเถอะ ถ้ายังมีแรงเหลือเดี๋ยวไปเดินเล่นแถวนี้ดูที่ทางกันมั้ย?”



“ได้ๆ” ว่าแล้วยิ้มก็เร่งสปีดการกินจนหมดภายในไม่กี่นาที ซึ่งเมืองน่านเองก็ชินเสียแล้วที่ยิ้มกินเก่งแบบนี้ จึงกินเรียบร้อยหลังจากยิ้มเสร็จไม่นาน ทั้งคู่จ่ายเงินกับเจ้าของร้านและเดินออกจากร้านเตรียมจะไปเดินเซอร์เวย์ดูร้านรวงต่างๆ เป็นการสำรวจไปด้วย ก่อนจะออกจากร้านไปนั้นยิ้มก็พลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่กลุ่มผู้ชายในชุดนักศึกษานั่นเสียก่อน จึงชะงักขาแล้วก้าวไปโดยไม่รู้ตัว



“เห้ยย วันพีซ!”



“ยิ้ม! ทำอะไรน่ะ”



แต่คล้ายกับยิ้มไม่ได้ยินเสียงเรียกติดจะดุน้อยๆ จากเมืองน่าน ยังคงยิ้มตาพราวกับสิ่งที่ตนเห็นในมือของหนึ่งในคนที่นั่งในโต๊ะนั้น ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น



“พี่ไปซื้อที่ไหนอ่ะ บอกร้านหน่อยได้ป่ะ”



“ไม่ได้ซื้อ ยืมมาจากนู่นน เห็นร้านหมอฟันติดเซเว่นป่ะ ข้างๆ นั้นเป็นร้านเช่าหนังสือ”



“จริงดิ”



เมืองน่านรีบเดินกลับมาก่อนที่ไอ้ตัวเล็กจะเข้าไปสิงผู้ชายที่ถือการ์ตูน ดึงคอเสื้อให้ห่างเล็กน้อยเอ่ยเรียกอีกครั้ง “ยิ้ม”



“พี่น่านอย่าเพิ่งดุดิ พี่น่านดูสิดู! วันพีซเลยนะ! ยิ้มจะไปยืมวันพีซที่ร้านหนังสือ พี่น่านพายิ้มไปหน่อยนะ นะ”



“อย่าเสียงดังนักสิ ...ขอโทษนะที่เสียมารยาท” ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับผู้ชายสามคนที่ดูจะไม่ติดใจอะไรกับท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ของยิ้ม ติดจะเอ็นดูอีกต่างหาก



“ไม่เป็นไร นี่ก็อาการไม่ต่างจากน้องเขาเท่าไหร่หรอกเวลาการ์ตูนที่ชอบออกเล่มใหม่น่ะ”



“ยังไงก็ขอโทษนะ”



“อืม... เรียนอยู่ม. K เหรอ”



“ใช่”



“คณะไร พวกเราเรียนคณะวิทยาศาสตร์ เรากับไอ้นี่เรียนเอกชีวะ แต่อีกคนเรียนฟิสิกส์”



“วิทยาศาสตร์เหมือนกัน แต่เอกจุลชีวะ”



“เห้ย จริงดิ มิน่าคุ้นๆ ตั้งแต่ตอนเข้ามาในร้านล่ะ...แล้วนี่อย่าบอกนะว่าอยู่หอพัก A” คนที่นั่งตรงข้ามกับคนที่เช่าการ์ตูนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์ขัดกับใบหน้าที่ติดหวานๆ สไตล์เกาหลีที่กำลังฮิต เมืองน่านไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้ารับแล้วหันไปดุพร้อมดึงตัวยิ้มที่รั้นจะไปร้านหนังสือให้ได้โดยไม่รอเขา จนทั้งสามคนหัวเราะลั่น



“ไปเถอะ ก่อนน้องคนนั้นจะซนวิ่งข้ามถนนไปเสียก่อน อ้อ! เราชื่อเต้ ไอ้สองคนนี้ชื่อ เอกกับเพียซ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”



“เมืองน่าน แล้วก็ไอ้เด็กไร้มารยาทนี่ชื่อยิ้ม ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”



“พี่น่าน! ยิ้มไม่ได้นิสัยเสียแบบที่พี่ใส่ร้ายซะหน่อย” เจ้าเตี้ยยิ้มร้องโวยดังลั่นท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอีกคำรบจากสามหนุ่มที่รู้สึกชอบใจกับสองเพื่อนใหม่ทั้งจากคณะเดียวกันและต่างวัยอย่างยิ้ม พวกเขาโบกไม้โบกมือให้เมืองน่านแล้วกล่าวสำทับ



“แล้วเจอกันตอนรับน้องคณะนะ หวังว่าจะได้เจอกันอีก”



“ได้ แล้วเจอกัน” เมืองน่านไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากหันหลังวิ่งไปหายิ้มที่กำลังละล้าละลังไม่กล้าข้ามถนนใหญ่ไปอีกฝั่งเพื่อไปร้านหนังสือ จนเมืองน่านไปหยุดใกล้ๆ นั่นแหละ เด็กคนนั้นถึงได้หันมาโวยใส่พร้อมกับจับชายเสื้อคนตัวสูงกว่าเดินข้ามถนนไปด้วยความวางใจกว่าเมื่อครู่เป็นเท่าตัว





















มีต่อด้านล่าง





ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
“หูววว ยิ้มไม่เหงาแล้วพี่น่าน ยิ้มเจอสวรรค์สำหรับปิดเทอมนี้แล้ว”



“ยิ้มอย่าซน” แต่เหมือนอีกคนจะไม่ฟังเลยสักนิด ยังคงร้องหูหาไปทั่วร้านหนังสือที่เปิดให้เช่าขนาดสองคูหา เดินวนเวียนแถวบริเวณการ์ตูนโปรด ส่วนเขาก็คอยยืนอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก ด้วยไม่ต้องการให้ยิ้มห่างจากตาไปไกลแล้วเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น มีบ้างที่สะกิดเตือนให้เด็กที่หลงอยู่กับวังวนการ์ตูนในมือให้หลบทางคนที่จะเดินหาหนังสือ นอกนั้นเขาเองก็เดินหาหนังสืออ่านเล่นฆ่าเวลาเช่นกัน ไม่นานนักยิ้มก็เดินมาหาเขาพร้อมกับหนังสือการ์ตูนเรื่องดังสี่เล่ม ยิ้มแป้นแล้นทำให้หน้าบานเป็นจานเชิงกว่าปกติสองสามเท่า ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ห้ามอะไรที่เด็กคนนี้จะอ่านการ์ตูน เพราะตอนที่อยู่บ้านยิ้มไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อที่เป็นญาติเพียงคนเดียวอ่านการ์ตูนมากนัก ตามความเชื่อของผู้ใหญ่สมัยก่อนที่เชื่อว่าการ์ตูนไม่ได้ช่วยพวกพัฒนาสมองเด็ก ทำให้แม้ยิ้มจะชอบมากแค่ไหนก็ได้แต่แอบอ่านผ่านทางมือถือยามที่พ่อไม่อยู่บ้านเท่านั้น



“ยิ้มจะสมัครสมาชิกเป็นของตัวเองเลยมั้ยหรือจะใช้กับพี่?” เมืองน่านถามขึ้นเมื่อตอนที่เจ้าของร้านกำลังสแกนบาร์โค้ดบนหนังสือเช่าหลังเขาทำการสมัครสมาชิกรายปีเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งยิ้มก็ทำเพียงส่ายหน้ากอดถุงหนังสือที่เพิ่งได้มาด้วยสีหน้ามีความสุข



“ไม่เอาอ่ะ เปลือง ใช้กับพี่น่านนั่นแหละ”



“ได้ จะเดินไหนอีกมั้ยหรือจะกลับห้องเลย”



“กลับเลยๆ ยิ้มอยากอ่านหนังสือแล้ว”



“ตามใจ” เมืองน่านถอนหายใจกับสภาพสามนาทีสี่อารมณ์ของยิ้มก่อนจะกอดคอเด็กน้อยที่ดูมีความสุขเหลือเกินกับหนังสือการ์ตูนเพียงไม่กี่เล่ม พากันเดินกลับหอพักไปโดยไม่ได้เดินสำรวจอย่างที่ตั้งใจไว้



ระหว่างเดินเข้าห้องก็พบกับความบังเอิญอีกครั้งที่สามหนุ่มเต้ เอก เพียซนั้นดันมาอยู่ชั้นเดียวกันกับเขาแต่ต่างแค่เลขห้องเท่านั้น ยิ้มขอตัวเขาห้องก่อนในขณะที่เขายืนคุยกับเพื่อนต่างเอกแต่ร่วมคณะอยู่ชั่วครู่เกี่ยวกับเรื่องกิจกรรมคณะที่จะเริ่มมะรืนนี้สองสามคำ ให้พอเข้าใจและรู้กำหนดการณ์คร่าวๆ แล้วจึงเข้าห้อง ไม่วายได้ยินเสียงเอกแว่วไล่หลังมาอย่างอารมณ์ดี



“ถ้าอยากออกไปจอยข้างนอกก็มาได้นะ อยู่ร้าน W แน่ะ”



เมืองน่านแค่พยักหน้ารับไม่ได้บอกว่าจะไปหรือไม่ไป แต่ก็พอจะได้เดาได้หรอกว่าร้านที่เรียกไปจอยมันร้านอะไร ...ผู้ชายจะไปไหนได้ถ้าไม่ใช่ร้านเหล้า



เข้ามาในห้องเขาก็เห็นยิ้มนอนแผ่อยู่กลางห้องพร้อมกับหนังสือการ์ตูนกองอยู่ข้างตัว บรรยากาศเงียบงันที่นานๆ ทีจะโผล่มาทักทายทำให้เมืองน่านไม่ชินหูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เขาหยิบหนังสือตัวเองที่ยืมมาเช่นเดียวกันออกมาถือเอาไว้ หยิบหมอนจากบนที่นอนมาทิ้งลงข้างยิ้ม แล้วทิ้งตัวลงไปนอนกางหนังสือขึ้นอ่าน เช่นเดียวกับที่ยิ้มขยับหัวขึ้นมาวางบนหน้าท้องที่แข็งเป็นลอนจากการออกำลังกายของเมืองน่านแทนการนอนบนพื้นเปล่า ทุ่มเทสมาธิอ่านการ์ตูนในมือต่อคล้ายการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่ต่างอะไรกับชีวิตประจำวันที่พวกเขาล้วนเคยชิน มือของเมืองน่านวางบนกลุ่มผมที่เริ่มยาวขึ้นมาของยิ้ม ลูบไล้ไปมาหยุดบ้างกลับมาลูบเหมือนเดิมบ้าง แต่ไม่ละจากไปอย่างสิ้นเชิง

 










“อย่าไปไหนไกลนักนะยิ้ม”



“คับ”



“จะไปร้านหนังสือบัตรสมาชิกอยู่แปะอยู่ที่ตู้เย็นนะ พี่ติดแม๊กเน็ตเอาไว้ เงินก็ใส่กระเป๋าเงินไว้ให้แล้ว”



“คับ”



“เวลาข้ามถนนถ้ารถมันเยอะก็อย่าเพิ่งข้ามเข้าใจมั้ย? รอรถบางตาก่อน ไม่งั้นก็รอมีคนข้ามก่อนแล้วค่อยเดินไปพร้อมเขา...”



“ค้าบบ พี่น่าน ยิ้มรู้น่า สั่งเหมือนพ่อยิ้มเลย” ยิ้มยู่ปากกับคุณพ่อคนที่สองที่สั่งเสียจนนึกว่าเมืองน่าจะไปต่างประเทศ ไม่ใช่ไปทำกิจกรรมในตัวมหาลัยที่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร เมืองน่านขมวดคิ้วเล็กน้อยกับท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจของยิ้ม เขกหัวของคนอายุน้อยกว่าพลางถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง แม้จะลงแรงไม่มากนักแต่ก็ไม่กล้าเขกอีกครั้งเมื่อเด็กตรงหน้ายิ้มทะเล้น เปลี่ยนเป็นลูบหัวแทน



“ถามตัวเองดีกว่า ยิ้มเคยห่างจากพี่นานสักเท่าไหร่เชียว”



“ยิ้มอยู่ได้น่า พี่น่านไม่ต้องห่วงนะ”



“ไม่ห่วงได้ไง บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะคอยดูแล”



“...”



“พี่จะยอมให้เราเป็นอะไรไปได้ยังไง”



“...พ่อปลื้มใจตายเลยมั้งเนี่ย ที่คนคุมความประพฤติยิ้มทำหน้าที่ดีขนาดนี้” ยิ้มลอบเบ้ปากแล้วปัดมือของเมืองน่านออกจากหัวของตัวเอง ก่อนจะดันหลังของอีกคนให้เดินออกจากห้อง พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง



“ไปได้แล้ว! เดี๋ยวสายกันพอดี”



“...งั้นพี่ไปแล้วนะ”



“ครับ”



เมืองน่านถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วจะรีบกลับมา”



ยิ้มปิดประตูไปแล้ว แต่เมืองน่านยังคงยืนมองดูประตูที่ปิดลงอยู่หลายนาทีกว่าจะตัดใจเดินลงบันไดไปได้ เมื่อลงมาก็พบกับสามหนุ่มที่ดูเหมือนว่ากำลังรอเขาอยู่ เต้โบกมือให้เขาด้วยความกระตือรือร้นต่างจากเอกที่ติดจะสะลึมสะลือนิดๆ ส่วนเพียซนั้นฟุบหน้าอยู่กับม้าหินอ่อนหน้าหอพักไปแล้ว เอกลุกขึ้นขยี้ตาทักทายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย



“ไง กำลังรออยู่เลย”



“ไปกับพวกเรามั้ยน่าน พวกเรามีมอไซต์’ สองคันพอดีเลย” เต้ว่า



“เอาสิ” เอกพยักหน้าแล้วสะกิดเรียกเพียซให้ลุกขึ้นตรงไปยังรถมอไซต์คันสีส้มและสีฟ้าที่ข้างกันของเอกและเพียซ โดยมีเต้ซ้อนเอกไปแล้วเมืองน่านซ้อนเพียซ ก่อนที่พวกเขาจะออกจากหอพักนั้น เมืองน่านอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสี่...ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังทางข้างหน้า ตรงไปทำกิจกรรมในมหาลัยที่จะเริ่มต้นชีวิตของนักศึกษาของตัวเองแทน










 

“ว้า...น่าเบื่อชะมัดเลย”



“...”



“น่าน มึงเลิกทำหน้าดุเถอะวะ เพื่อนกลัวมึงหมดแล้ว” หลังจากที่ทำความรู้จักได้สักพักก็ตามประสาผู้ชายที่สรรพนามจะเปลี่ยนตามความสนิทสนม ตัวเมืองน่านเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนเรียบร้อยเช่นต่อหน้ายิ้มเสมอ ทำให้ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรกับคำพูดหรือสรรพนามจากปากของเอกที่อยู่สีเดียวกันกับเขา หลังจากที่ลงทะเบียนและแบ่งแยกเป็นกลุ่มๆ ตามสีป้ายชื่อที่ได้รับมา กิจกรรมดำเนินไปเรื่อยๆ ตามโปรแกรมที่ถูกกฏที่ตั้งขึ้นมาใหม่จากทางคณบดีทำให้ไม่ค่อยเฮฮาเท่าที่ควร เนื่องจากที่ผ่านๆ มามีข่าวออกหน้าหนังสือพิมพ์มากมายเกี่ยวกับการรับน้องที่รุนแรงเกินความเป็นจริง ความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้ทางมหาลัยไม่ต้องการมีความเสี่ยงจะเกิดความเสียหายดังกล่าวขึ้น จึงจำกัดการรับน้องให้อยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัย ทว่าในขณะเดียวกันมันก็ลดความสนุกสนานแบบดั้งเดิมมากโขเลยทีเดียว เมืองน่านถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ขณะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่สนใจคำพูดของเอกที่กล่าวถึงการตีสีหน้าอันเป็นปกติของเขา แต่ไม่ปกติสำหรับคนอื่นให้ออกไปจากหัว ถ้ารู้ว่ามารับน้องแล้วจะน่าเบื่อแบบนี้นะ เขานอนอยู่หอกับยิ้มยังจะดีกว่า ไม่งั้นก็พายิ้มไปเดินเล่นที่สวนสัตว์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ยังจะเข้าท่ากว่าเยอะ...



“เดี๋ยวก็พักเที่ยงแล้วน่า ทำหน้าเหม็นเบื่อไปได้”



“รู้แล้ว”



เอกส่ายหน้ากับท่าทางแบบขอไปทีของเมืองน่านแล้วอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับเมืองน่านคนเมื่อวานก่อน ตอนที่อยู่กับน้องยิ้ม เด็กม.สี่โรงเรียน K ที่อยู่ในเครือเดียวกันกับมหาลัย K แห่งนี้ไม่ได้เลย แม้ว่าจะยังหน้าดุๆ ไม่ยิ้มเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับตอนนั้นแล้ว เขาว่าเพื่อนใหม่ของเขาคนนี้ดูจะเป็นมิตรมากกว่าวันนี้เยอะเลยล่ะ




หรืออาจจะเป็นเพราะ...อยู่กับน้องยิ้มก็ไม่รู้




เอกมองเพื่อนชายที่นั่งหลับตาเข้าเฝ้าพระอินทร์ระหว่างรอเปลี่ยนฐานด้วยแววตาชื่นชม แม้ไอ้น่านเพื่อนคนนี้จะหน้าตาดุๆ ดูไม่น่าคบ แต่หากมองดีๆ มันก็หล่อแบบชนิดที่ถ้าเผลอมองละสายตาไม่ได้ ผิวขาวเหมือนคนเหนือสมชื่อ แต่กลับมีเค้าหน้าตี๋ๆ โดยเฉพาะตาคมที่ชอบตวัดมองคนอื่นเหมือนไม่พอใจตลอดเวลานั่นล่ะ ไหนจะตัวสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อแบบคนชอบออกกำลังกาย ทำให้เมืองน่านเด่นกว่าคนอื่นเสมอเวลายืนด้วยกัน แค่ตอนที่กวาดตาดูขณะนี้ก็มีสาวๆ ไม่น้อยแล้วที่แอบมองเพื่อนของเขาคนนี้ นี่ขนาดหน้าดุนะเนี่ย...ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ายิ้มขึ้นมาจะขโมยใจสาวๆ ไปมากแค่ไหน



“เอ่อ...ชื่อเมืองน่านเอกจุลฯ ใช่มั้ย?” จู่ๆ สาวน้อยตัวเล็กเจ้าของน้ำเสียงใสๆ ข้างหลังเมืองน่านก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าตัวยอมลืมตาหันกลับไปมองคนที่เรียกตนเอง ส่วนเอกนั้นก็ได้แต่พึมพำกับตัวเองประมาณว่า ‘นั่นไง ไม่ทันขาดคำ’



“...?” เขาไม่ได้ตอบกลับไป แค่เลิกคิ้วมองท่าทางเขินอายของผู้หญิงตรงหน้า กวาดสายตามองป้ายชื่อสีเดียวกันที่เขียนว่า ‘ฝ้าย’ รอฟังว่าเจ้าหล่อนจะพูดว่าอะไร นานทีเดียวกว่าเธอจะพูดออกมาพร้อมกับแก้มแดงจัด



“...เอ่อ เมืองน่าน เราฝ้ายนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”



“อืม ชื่อเมืองน่าน”



“น่าน...เราเรียกแบบนี้ได้มั้ย” พอเขาพยักหน้าอนุญาต ก็ดูราวรอยยิ้มตรงหน้าของเธอจะสดใสขึ้นเล็กน้อย “คือถ้ายังไง...ถ้าน่านยังไม่มีเพื่อน เที่ยงนี้ไปกินข้าวกับพวกเรามั้ย? เราเรียนเอกเดียวกันกับน่านน่ะ”



“...” เมืองน่านปรายตามองเอกที่มองเป็นเชิงขึ้นอยู่กับเขา ก่อนจะกลับมามองเพื่อนร่วมเอกที่เพิ่งเจอด้วยสีหน้าดุจเดิม “ไม่ละ เรามีเพื่อนแล้ว ขอบใจนะ” สาวเจ้าหน้าเสียไม่น้อยที่ถูกปฏิเสธแต่ก็ยอมเลิกเซ้าซี้แต่โดยดี เธอขยับกลับไปหากลุ่มเพื่อนก่อนจะพูดคุยกันเงียบๆ เหมือนเดิม ส่วนเมืองน่านนั้นหลังจากที่ปฏิเสธไปเรียบร้อย ก็เท้าคางเตรียมหลับตาอีกรอบ ถ้าไม่ติดว่าเอกทักขึ้นมาเสียก่อน



“นึกว่าจะชอบซะอีก ไปกินข้าวกับสาวๆ น่ารัก”



“ไม่ได้ชอบม่อหญิง”



“...ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเพิ่งรู้จักกัน กูนึกว่ามึงหลอกด่านะเนี่ย”



“ไม่สนิทแลวมันอึดอัด ยิ่งผู้หญิงด้วย...” เมืองน่านนึกย้อนกลับไปครั้งที่เขากับยิ้มแข่งกันจีบสาวโรงเรียนสตรี แล้วมีครั้งหนึ่งที่เขาและเธอคนที่ว่าไปกินไอติมที่ร้านด้วยกัน ทว่าบังเอิญเจอเพื่อนของเธอนั่งเกือบเต็มร้าน เหมือนฝันร้ายโคตรๆ ที่เขาต้องนั่งอยู่ท่ามกลางสาวๆ นับสิบที่จ้องจะแทะโลมเขาไม่ทางสายตาก็คำพูดตลอดเวลา ถึงจะรู้ว่าล้อเล่นก็เถอะ...แต่เขาไม่ค่อยชอบอยู่ดี สุดท้ายเขาก็เลิกแข่งกับยิ้ม พอดีกับที่ยิ้มมาขอยกเลิกแข่งด้วยสาเหตุที่ว่า ผู้หญิงหยิ่งเกินไป



‘เขาบอกว่ายิ้มเด็กเกินกว่าจะมาจีบเขา แล้วก็บอกว่ายิ้มเตี้ย...ยิ้มไม่ชอบแล้ว’



‘งั้นเลิกแข่ง?’



‘พี่น่านชนะไปเลยก็ได้ ยิ้มไม่แข่งแล้ว’ เจ้าตัวเล็กในชุดม.ต้นส่ายหน้ายิกๆ แบบเข็ดสุดๆ กับการโดนตอกหน้าด้วยปมด้อยเรื่องอายุและส่วนสูงจากสาวรุ่นพี่ ท่ามกลางความสบายใจแปลกๆ ในใจของเมืองน่านที่เกิดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่การแข่งนี้เริ่มแล้วเห็นยิ้มเดินไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เขาเลื่อนมือไปโยกหัวของยิ้มแล้วเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ‘พี่ก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน ถือว่าเสมอแล้วไปกินไอติมกัน พี่เลี้ยง’



‘จริงน่ะ!!’



‘อืม’

ยิ้มค่อยๆ เผยยิ้มกว้างสมชื่อ พุ่งเข้ามากอดแขนเขากระโดดไปมาเหมือนครั้งยังเด็กเวลาเขาตามใจอีกคน ‘พี่น่านใจดีที่สุดเลย อยู่เลี้ยงยิ้มไปเรื่อยๆ เลยนะ!’



‘ถ้ายิ้มไม่ซน’



‘ยิ้มน่ารักกับพี่น่านอยู่แล้ว’



เมืองน่านแกล้งกลอกตาไปมาเหมือนไม่เชื่อ ใช้นิ้วชี้จิ้มกลางหน้าผากอีกคน ล้อเสียงยานคาง ‘เหรออออ’



‘เออออ’ แล้วพวกเขาก็มองหน้ากัน เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นเช่นที่เขาไม่เคยทำต่อหน้าใครมาก่อนนอกจากยิ้ม...



 นึกมาถึงตรงนี้เมืองน่านก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัว...ก็พบว่ามีคนมากมายกำลังจ้องเขาอยู่ ไม่เว้นแต่เอกที่นั่งอยู่ข้างๆ จนเขาขยับตัวขึ้นนั่งปรับสีหน้ากลับไปนิ่งๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ ทุกสายตาถึงได้กลับไปทางอื่น ทำเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้มองเขาอยู่ มีแต่เอกที่ยังคงมองเขาอยู่อย่างนั้นจนต้องถามออกมา



“มองอะไรวะ”



“เชี่ยน่าน ยิ้มแล้วโคตรหล่อ ทำไมมึงไม่ชอบยิ้มวะ”



“...ชอบดิ”



“ห๊ะ? ชอบแล้วทำไมไม่ค่อยยิ้มเลยว่ะ”



เมืองน่านลุกขึ้นเมื่อรุ่นพี่เดินมาบอกว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นฐานต่อไป พร้อมกับเอ่ยตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่เอกดูก็รู้ว่ามันต่างจากน้ำเสียงที่ทั่วไปที่เมืองน่านพูด



มันดูอ่อนโยนลง



“มีคนคอยยิ้มให้อยู่แล้ว เลยไม่รู้จะยิ้มทำไมบ่อยๆ น่ะ”



คล้ายเวลากำลังพูดถึงใครสักคน...ที่สำคัญเหลือเกิน

 





























ถึงปากจะว่าอยู่ได้ แต่เอาจริงๆ ยิ้มก็แทบไม่ออกจากห้องไปไหนเลย



เขาถอนหายใจแล้ววางหนังสือการ์ตูนสุดโปรดเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เนื่องจากอ่านไม่จบเสียที ได้แต่อ่านวนหน้าเดิมๆ ไม่ไปไหน ยิ้มยันตัวขึ้นมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงสลับกับมองห้องที่ดูกว้างขึ้นถนัดตาพอไม่มีคนตัวสูงโย่งคอยเดินไปเดินมามุมไหนมุมหนึ่งของห้องเช่นเดิม



ยิ้มไม่ค่อยชอบอยู่คนเดียว...มันเหงาเกินไป ลูกคนเดียวมักจะขี้เหงามากกว่าปกติพี่น่านเคยบอกเขาเอาไว้แบบนั้น



เพราะแบบนั้น ตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกับเมืองน่านในเช้าวันหนึ่ง จากพี่ชายข้างบ้านตัวโตก็กลายเป็นเหมือนทุกอย่างของยิ้ม...เป็นทั้งฮีโร่ เป็นต้นแบบของเขา เป็นเป้าหมายของเขา เป็นคนที่ยิ้มอยากจะเดินข้างๆ มากที่สุด



เรียกได้ว่าหากมีพ่อ มีพี่น่าน สำหรับยิ้ม...เขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว



คนตัวเล็กถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเช่นเดิมเมื่อเห็นว่าอีกหลายชั่วโมงกว่าเมืองน่านจะกลับมาอย่างที่บอกเอาไว้ ครั้นจะอ่านการ์ตูนให้จบแล้วเอาไปคืนก็ไม่เห็นทางเลยว่าจะอ่านจบได้ ทั้งที่ชอบมากแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเนือยๆ ไม่มีความตื่นเต้นเหมือนครั้งที่เพิ่งไปยืมกับพี่น่าน...



“ถามตัวเองดีกว่า ยิ้มเคยห่างจากพี่นานสักเท่าไหร่เชียว”



จู่ๆ คำพูดของพี่น่านเมื่อเช้าก็ลอยเข้ามาในหัว ทำให้เขาอดคิดตามไม่ได้ว่ามันมีช่วงเวลาไหนหรือไม่หลังจากที่ได้พบกับเมื่องน่านแล้วพวกเขาห่างกันมากกว่าครึ่งวัน เมื่อคิดทบทวนตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นแทบไม่มีเลยสักครั้งที่พวกเขาจะไม่เจอหน้ากันทั้งวัน อย่างน้อยต้องมีสักครั้งที่ได้พบกันก่อนจะแยกกันทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีเลยที่จะห่างแบบนี้



มันเลยทำให้ยิ้มไม่ชินและไม่คิดอยากชินเลยด้วย



ถึงจะถูกมองเห็นลูกแหง่ เหมือนเด็กๆ ที่ติดคนนู้นคนนี้แล้วพออยู่คนเดียวก็ขี้เหงา ทำตัวฟุ้งซ่านก็เถอะ



“อย่าไปไหนไกลนักนะยิ้ม”



“ถ้างั้น...ถ้าไปหาพี่น่านที่ม.คงไม่ถือว่าไปไหนไกลหรอกมั้ง?”







---------------------------------------------------------------------------------



แรกๆ จะค่อยๆ เกริ่นไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับพี่น่านกับยิ้มแล้วก็เพื่อนๆ ของทั้งสองคน

#ยิ้มของพี่น่าน

NAVY:)

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
มีมาม่าไหมคะ เรื่องนี้ ถ้าชามโต เกินไป เช่น น่านไปเอาคนอื่น หัวใจดวงน้อยๆของผู้อ่านคนนี้ คงแหลกสลาย  :hao5: :hao5: :hao5:     แต่ก็จะรออ่านค่ะ สู้ๆ !

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1


I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทที่ 2
[/size]










“มีใครคิดจะถามความสมัครใจของกูบ้างมั้ยวะเนี่ย”



“เอาน่ามึง” เอกตบไหล่เมืองน่านที่บ่นยืดยาวไม่รู้จักจบสิ้นได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หลังจากที่ถูกลากให้เป็นตัวแทนเอก ไปแข่งประกวดดาวเดือนเพื่อหาว่าใครจะได้เป็นตัวแทนของคณะไปชิงตำแหน่งกับคณะอื่น ใบหน้าหล่อบูดบึ้งอีกกว่าเดิมจนคนที่เห็นเดินหลีกกันเป็นแถวๆ ไม่เว้นแม้แต่ไอ้เต้ที่หลบอยู่หลังเพียซด้วยกลัวสีหน้าดุๆ ของเมืองน่านมัน “ถือซะว่าทำเพื่อเอก อีกอย่างพอเป็นเดือน หน้าที่อื่นๆ มึงก็ไม่ต้องทำไม่ใช่เหรอวะ แค่ไปยืนหล่อๆ ให้คนดูเท่านั้นเอง”



“ก็นั่นแหละที่ไม่ชอบ”



“ไม่ชอบให้คนมองเยอะๆ?”



“...เออ”



มาถึงตรงนี้เอกก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ “โธ่เอ๊ย! ทำเป็นขี้อายไปได้ไอ้น่าน...เป็นผู้ชาย หน้าตาดีเสียเปล่า ทำไมไม่รู้จักหน้าด้านแล้วโชว์หล่อใส่สาวไปซะมั่ง เผื่อจะได้สาวกลับมาสักโหลสองโหล”



“กูก็เคยพูดไปแล้วไงว่าไม่ชอบม่อหญิง”



“เรื่องนั้นกูรู้น่า...”



เมืองน่านเบือนหน้าหนีไม่สนใจอีกว่าเอกจะพูดพล่าอะไรอีก เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่อีกคนพูดไม่วายก็เป็นการส่งเสริมให้เขายอมับการเป็นเดือนเอกที่แสนจะวุ่นวายนั่นล่ะ ดวงตาคมตวัดมองเรื่อยกระทั่งไปหยุดอยู่ที่กลุ่มคนก้อนหนึ่งที่คล้ายจะมุงอะไรสักอย่างอยู่ เสียงวี้ดว้ายดังมาเป็นระยะ พอๆ กับที่เริ่มมีคนเดินไปมุงเพิ่มมากขึ้น จนพวกเขาทั้งสี่คนยังอดให้ความสนใจไม่ได้ ก่อนที่เต้จะได้พูดอะไรออกมา เมืองน่านที่ยืนนิ่งอยู่เมื่อครู่ก็ดันวิ่งพรวดพราดไปยังกลุ่มก้อนที่ว่าแทบจะทันทีที่อีกคนมองเห็นอะไรสักอย่างอยู่ใจกลางกลุ่มก้อนนั้น มือใหญ่รีบคว้าเอาแขนของอีกคนพร้อมกับกระชากออกมจากวงล้อม ดวงตาที่ดุอยู่ยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าเจ้าของแขนที่ต้นจับอยู่นั้นคือ ยิ้ม!



“ยิ้ม! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”



ทว่าไอ้ยิ้มก็ยังคงเป็นไอ้ยิ้มที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวคนนั้นอยู่ดี จึงยิ้มหวานส่งให้พี่น่านของมันที่อุตส่าห์เดินวนตั้งนานเพื่อจะตามหา “มาหาพี่น่านไง”



“เดี๋ยวเถอะ พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ไปไหนไกล...”



“ยิ้มก็เลยมาหาพี่น่านไง ยิ้มคิดถึง”



“...”



“ยิ้มมาหาพี่น่านไม่ได้เหรอ” หากใครไม่มาเป็นเมืองน่านคงไม่รู้หรอกว่า สีหน้าหงอยๆ เหมือนหมากำลังจะถูกเจ้าของดุว่าของไอ้ยิ้มตอนนี้มันทำให้ใจของเขาอ่อนยวบราวกับเป็นดินโคลนมากแค่ไหน ทำเอาคำดุกล่าวที่จะพูดดุเรื่องที่เด็กคนนี้แอบหนีจากหอพักมาที่นี่โดยไม่บอกเขาก่อนกลับลงคอแทบไม่ทันและเปลี่ยนเป็นถอนหายใจอย่างจนปัญญาแทน เมืองน่านเม้มปากแน่นไม่ให้ตัวเองหงุดหงิดไปมากกว่า ก่อนจะกลับมาพูดกับเด็กตรงหน้าด้วยน้ำเสียงโทนเดิมไม่เจอความหงุดหงิดอีกต่อไป




สุดท้ายเขาก็แพ้




“มาได้ แต่ยิ้มน่าจะบอกพี่ก่อนไง”



แพ้ไอ้ยิ้มจอมแป้นแล้นคนนี้อย่างดิ้นไม่หลุด




“ก็...บอกแล้วไง”



“...?” เมืองน่านเลิกคิ้วถามคล้ายจะพูดว่า ‘บอกตอนไหนมิทราบ?’



“ตอนนี้ไง” ตอนที่ยิ้มพูดคำนั้นจบเหล่าเพื่อนที่ยืนมองสองคู่หูพูดคุยกันได้สักพักใหญ่ๆ จึงเดินเข้ามาสบทบและเอ่ยปากทักทายเด็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มด้วยน้ำเสียงดีใจที่ได้เจอ เต้เปลี่ยนจากเกาะเพียซมาเกาะยิ้มแทนทั้งยังชวนคุยเจื้อยแจ้วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเวลาอยู่ต่อหน้าเมืองน่าน เมื่อครู่ที่อารมณ์ของเมืองน่านเปลี่ยนไปฉับพลันในวินาทีท่ยิ้มปรากฏตัวขึ้น จากไม่ดีสุดขีดเป็นปกติได้ในไม่กี่นาที แค่นั้นพวกเขาก็มั่นใจได้แล้วว่า หากมียิ้มไม่ว่าเมืองน่านจะหงุดหงิดมากแค่ไหน ก็จะหายหงุดหงิดได้ทันตาเห็น



“เจอกันอีกแล้วนะน้องยิ้ม”



“หวัดดีคับ”



“น่าน ไหนๆ วันนี้ก็ว่างแล้วไปกินหมูกระทะกัน”



“พวกกูนัดจะไปกินกันอยู่แล้ว พวกมึงกับน้องยิ้มก็มากินด้วยกันซะสิ หลายๆ คนจะได้สนุก” เพียซว่า



เมืองน่านไม่ได้ตอบไปในทันที แต่เขาเลือกที่จะมองยิ้มก่อน เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังดูท่าจะชอบเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยินออกจากปากของเต้ เขาจึงตัดสินใจพยักหน้า ท่ามกลางเสียงเฮฮาของบรรดาเพื่อนใหม่และรอยยิ้มกว้างของยิ้มที่เปลี่ยนมายืนอยู่ข้างเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้




หลังตกลงมติได้ดังนั้น ทั้งห้าคนก็เดินไปยังรถมอซต์ที่จอดเอาไว้ ก่อนจะมาคิดหนักว่าจะพายัดกันไปได้ยังไงห้าคนให้ไปถึงร้านหมูกระทะได้โดยสวัสดิภาพ เอกยืนมองส่วนสูงและขนาดตัวของผู้ร่วมเดินทางด้วยสีหน้าหนักใจ แม้กระทั่งน้องยิ้มเด็กน้อยม.สี่วัยละอ่อนที่ตัวเล็กที่สุดหมู่พวกเขา ยังสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบเซนต์แน่ะ เมืองน่านเห็นแบนั้นจึงออกความเป็นเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบมานาน



 “เดี๋ยวกูขี่ให้ ไอ้เพียซซ้อนกู ส่วนยิ้มก็นั่งข้างหน้า พวกมึงสองคนขี่ล่วงหน้าไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวพวกกูค่อยๆ ขี่ตามไป”



เมื่อไม่เห็นว่ามีทางไหนจะดีกว่าที่เมืองน่านพูด เอกกับเต้จึงตัดสินใจขี้ล่วงหน้าไปก่อนและออกปากว่าแล้วจะมารับเพียซมาซ้อนท้ายไปส่งที่ร้านให้เร็วที่สุด ทิ้งสามคนที่กำลังพยายามยัดผู้ชายตัวใหญ่ขึ้นรถมอไซต์คันขนาดกลางอย่างทุลักทะเลเอาไว้เบื้องหลัง เมืองน่านทำเป็นไม่สนใจน้ำเสียงซึมกะทือของเพียซที่บ่นเกี่ยวกับรถว่ากลัวจะพัง หันไปสนใจยิ้มที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้างหน้าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แม้ว่าจะแทบไม่ได้แตะเบาะเลยก็ตาม



“เมื่อยมั้ย ทนหน่อยนะยิ้ม”



“ได้ๆ ยิ้มทนไหวเพื่อหมูกระทะ”



เมืองน่านคลี่ยิ้มเอ็นดู ก่อนจะสตาร์ทรถและออกตัวอย่างช้าๆ ไปยังร้านหมูกระทะเป้าหมายของพวกเขาเย็นนี้



ขับไปได้ไม่นาน เอกที่ซิ่งมาแต่ไกลก็เรียกให้พวกเขาหยุดก่อนจะรับเพียซขึ้นรถไปเพื่อไม่ให้เขาลำบากในการขับรถซ้อนสาม เสี่ยงให้โดนตำรวจโบก พอเพียซลงจากรถไปขึ้นรถของเอกนั้นก็ราวกับเหลือพื้นท่ว่างอีกเป็นกระบุงโกย มากพอจะให้เขาและยิ้มนั่งได้สบายๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นเพื่อให้ยิ้มไปนั่งข้างหลังจะได้ไม่ต้องมานั่งเกร็งตัวอยู่หน้าเขาให้เมื่อย



“ยิ้มลงนั่งข้างหลังพี่ไป จะได้ไม่เมื่อย”



“ไม่เอา ไม่เห็นเมื่อยเลย พี่น่านขับต่อเถอะ ยิ้มนั่งได้”



“แต่...”



ยิ้มหันมามองคนขี่ที่ทำหน้ามุ่ย ก่อนจะตบลงที่ว่างบนเบาะที่เมืองน่านเว้นให้เยอะแยะแล้วเอ่ยสำทับ “นี่ไง ที่นั่งเยอะ ยิ้มไม่เมื่อยหรอก รีบไปเถอะพี่น่าน เดี๋ยวช้านะ”



“...ถ้าอย่างนั้นก็นั่งดีๆ” เมืองน่านละมือออกจากแฮนด์รถ ปลดหมวกกันน๊อคสีส้มของเพียซออกแล้วสวมมันลงที่หัวของยิ้ม เมื่อมั่นใจแล้วว่าใส่ให้เรียบร้อย เขาจึงกลับมาจับแฮนด์อีกครั้งและออกตัวจากจุดที่หยุดจอดด้วยความเร็วที่ไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไป จนได้ยินเสียงบ่นผ่านลมที่ปะทะหน้ามาเป็นระยะๆ ว่า เขาขี่ช้าเหมือนเต่าไม่มีผิด



“พี่น่านขี่ช้าไปแล้ว”



“จะขี่ทำไมเร็วๆ ล่ะ อันตรายออก”



“ยิ้มหิววววว”



“ทนแปบเดียวเอง”



“ถ้าพี่น่านขับเร็วขึ้นติ๊ดนึง ยิ้มก็จะหิวน้อยลงเหมือนกัน”



“ไม่เอา”



“ทำมายยยย” เด็กน้อยเริ่มโวยวายหนักขึ้นพร้อมกับหันหน้ามุ่ยๆ มายังเขาที่พยายามไม่มองเด็กที่นั่งพิงอกเขาอยู่และมองตรงไปทางข้างหน้า แม้ว่ามันจะยากยิ่งก็ตาม



“บอกแล้วไงอันตราย”



“...เช้ออ”



เมืองน่านแกล้งกระทบคางลงบนหมวกกันน๊อคแล้วพูดต่อ “ก็พี่เป็นห่วงยิ้มไง เหมือนตอนที่ยิ้มแอบหนีจากห้องมาหาพี่ นั่นพี่ก็เป็นห่วง”



“ยิ้มไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”



“พี่ก็ยังห่วงอยู่ดี”



“...”



“อ้อ...ลืมบอก”



“...”



“พี่ก็คิดถึงยิ้มเหมือนกัน”

 





























“กว่าจะมาถึง ช้า”



“น้องยิ้มมานั่งนี่เร็ว พี่ปิ้งหมูไว้ให้เต็มเลย”




“ขอบคุณค้าบ! ตอนนี้ยิ้มกินหมูได้เป็นโลแล้ว” ยิ้มวิ่งพรวดพราดเข้าไปในร้านทันทีที่มองเห็นว่ากลุ่มเพื่อนของเขาจับจองที่ไหนของร้าน ทั้งสามสั่งเตาย่างหมูกันไปเรียบร้อย ภาพยิ้มวิ่งเข้าไปสบทบอ้าปากรับหมูจากมือของเต้ทำให้เมืองน่านอดส่ายหน้าไม่ได้กับท่าทางเช่นนั้น พอเขานั่งลงในที่ว่างเพียซก็เลื่อนแก้วโค้กมาให้จิบ ชะงักเพียงเล็กน้อยกับรสขมฝาดที่ติดปลายลิ้น เมื่อเหลือบมองที่ว่างข้างเอกมีขวดเหล้าวางสองสามกลม เขาก็พอจะเข้าใจและเก็บปากคำ จิบโค้กสูตรพิเศษไปเงียบๆ



“พี่น่าน เอาสามชั้นป่าว ยิ้มตัดให้” พอเขาพยักหน้ายิ้มก็หยิบชิ้นหมูสามชั้นยาวๆ มาตัดเป็นชิ้นพอดีคำลงในกระทะแบนที่วางอีกข้างหนึ่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการกินสไตล์เกาหลี โดยในกระทะเต็มไปด้วยผักและเนื้อ แถมด้วยถ้วยใส่ชีสในนั้น พอมันสุก ยิ้มก็จัดการห่อในผักสด ก่อนจะวางลงในถ้วยของเขา ซึ่งเขาก็รับมากินแต่โดยดี พร้อมกับคีบชี้นหมูที่สุกพอดีคำจากกระทะให้ในชามอีกคนไปด้วย ด้านเอกที่เห็นการดูแลเอาใจใส่ของสองคู่หูที่รู้ว่าไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดอะไร นอกจากความผูกพันที่มีมานานของทั้งสอง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดลึกมากไปสักนิดกับการกระทำของทั้งคู่ ทว่าถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาและรอไปว่าเดี๋ยวสักวัน หากทั้งสองคนอยากจะอธิบายอะไร เดี๋ยวก็พูดเอง...ละมั้ง




พวกเขานั่งกินไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไร นั่งตั้งแต่ตอนแสงฟ้ากลายเป็นสีส้ม กระทั่งลาลับขอบฟ้าไป ฟังเสียงพูดของยิ้มที่ดังขึ้นเป็นระยะสลับกับเสียงอู้อี้ยามในปากมีแต่ชิ้นเนื้อที่ถูกพี่ๆ ปรนเปรอมาให้ บางครั้งพวกเขาก็เงียบฟังดนตรีสดที่เริ่มแสดงขึ้นให้ช่วงหัวค่ำ สลับวนเวียนแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนเมื่อเมืองน่านขอตัวไปเข้าห้องน้ำและกลับมานั่นล่ะ เขาถึงได้สังเกตว่ามันมีอะไรผิดปกติไป



สีหน้าของสามหนุ่มดูรู้สึกผิดระคนขำขันเมื่อเห็นเขาเดินกลับมา ในขณะที่เด็กน้อยเพียงคนเดียวบนโต๊ะนั้นแทบจะเลื้อยนอนฟุบไปกับเก้าอี้ไม้ยาว ส่งเสียงอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์หลายคำ พอเห็นเขาเดินกลับมายิ้มก็ลุกพรวดพราดขึ้นโบกไม้โบกมือจนเขาจับแขนทั้งสองหุบลงแทบไม่ทัน



 “พี่น่านนนนน”



“ยิ้ม ซนอะไรอีก ทำไมเสียงดัง...” กลิ่นแอลกอฮอลล์จางๆ จากลมหายใจของยิ้มทำให้ผู้ปกครองจำเป็นตวัดสายตามองจำเลยทั้งสามที่เสหลบตากันเป็นทิวแถว จนทนโดนสายตาทิ่มแทงไม่ได้นั่นล่ะจึงได้ยอมรับกัน เต้ยิ้มแหยก่อนจะชี้ไปที่แก้วโค้กเจ้าปัญหา



“ยิ้มหยิบแก้วผิดตอนเผลอกินพริกเข้าไปน่ะ ก็เลย...หมดแก้ว”





“...แม่งเอ๊ย ยิ้ม! ได้ยินพี่พูดมั้ย”



“ได้ยิ้นนน ยิ้มไม่ได้หูหนวกนิ”



“รู้ว่าน้ำมันแปลกๆ ทำไมยังดื่มต่อฮะ”



ยิ้มเบ้ปากทำหน้าตาน่าสงสารเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกดุ ตีสีหน้าเสียจนเมืองน่านเม้มปากแน่น...เพราะเริ่มจะใจอ่อนอีกแล้ว “ยิ้มม่ายยู้ ยิ้มเผ็ดอ่ะ เลย...กระดกหมดเล้ยย”



“คราวหลังห้ามเลยนะ ถ้าน้ำมันขมแปลกๆ ไม่อร่อยห้ามกระดกต่อ เข้าใจมั้ย”



“พี่น่านทำเหมือนยิ้มเป็นเด็กๆ อีกแล้วอ่ะ”



“ก็เรายังเป็นเด็กจริงๆ นี่”



“ยิ้มรู้น่าว่าที่ยิ้มกระดกมันคือเหล้า!”



คราวนี้เมืองน่านถึงกับคิ้วกระตุกกับคำพูดของน้องคนโปรด “แล้วทำไม...ไม่สิ รู้ได้ยังไง”



“เคยกินไง๊”



“ยิ้ม!!”



คนตัวเล็กหดคอย่นเหมือนเต่าหดหัวกลับเข้ากระดองเมื่อเสียงของพี่น่านของมันดุมากกว่าทุกที ก่อนจะค่อยๆ กระเถิบตัววางหัวแปะลงบนแขนของเมืองน่าน ถูไถไปมาคล้ายจะออดอ้อน ทำเอาสามหนุ่มที่นั่งมองอยู่กลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน เปล่า พวกเขาไม่ได้หัวเราะกับท่าทางออดอ้อนที่น่ารักของยิ้ม แต่กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นว่าสีหน้าโกรธจัดของเมืองน่านอ่อนลงทันทีที่ถูกคนตัวเล็กกว่าอ้อนต่างหากล่ะ เสียงงุ้งงิ้งยังดังเข้าหูเมืองน่านเรื่อยๆ พร้อมกับที่เขาอารมณ์เย็นลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน จนเมื่อยิ้มเบะปากเหมือนจะร้องไห้นั่นล่ะ เขาจึงเลิกทำหน้าดุ



“เอาล่ะๆ พอ! ไม่ต้องมาอ้อนประจบลดความผิดเลยนะยิ้ม ครั้งนี้พี่ไม่หายโกรธเราง่ายๆ แน่”



“จริงอ้ะ”



“เออ”



ยิ้มเผยยิ้มหวาน “จริงเหยออ”



“...”



“พี่น่านสุดหล่อโกรธยิ้มจริงเหรอ”



เมืองน่านตัดสินใจล้วงกระเป๋าควักแบงค์ห้าร้อยออกมาวางบนโต๊ะพร้อมกับฉวยเอากุญแจรถของเพียซขึ้นมาถือเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็รวบตัวอ่อนปวกเปียกของยิ้มมาหนีบไว้ข้างตัว จัดการเจ้าตัวปัญหาให้กลับห้องก่อนที่จะสร้างความน่าอับอายให้มากกว่านี้ “ยืมรถก่อนนะ ขอโทษด้วย”





“เออ ยืมไปเถอะ เดี๋ยวพวกกูวนรถกลับสองรอบก็ได้”



แล้วสามหนุ่มก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาลั่นเมื่อลับแผ่นหลังกว้างของเพื่อนใหม่ที่แบกร่างของยิ้มเดินออกจากร้านไป ทิ้งไว้เพียงเสียงตะโกนบอกลาของยิ้มที่ลอยมาตามลม



“พี่เต้! อย่าลืมเลี้ยงหมูกระทะยิ้มอีกน้าาา”

 

























“โหห พี่น่านมีหลายหัวจังเลย”



“นั่งนิ่งๆ สิยิ้ม พี่จะได้เช็ดหน้าได้” ทันทีที่มาถึงห้องเมืองน่านก็วางตัวน้องลงบนเตียง หยิบกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูมาบิดให้พหมาด ตั้งใจจะเช็ดตามเนื้อตัวและใบหน้าของยิ้มให้พอสร่างเมาไปบ้าง ถ้าไม่ติดที่ว่าเจ้าเด็กนี่ดันขยับตัวไม่อยู่นิ่งเนี่ยสิ จนเขาต้องนั่งลงบนเตียงแล้วดึงให้ยิ้มนั่งลงบนตัก มือหนึ่งคอยับเนื้อตัวที่อยู่ไม่สุขให้อยู่นิ่งๆ ส่วนอีกมือก็คอยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดยิ้มที่ตอนนี้หลับตาพริ้มรับการดูแลจากเมืองน่านแต่โดยดีแล้ว



ยิ้มเอนหัวซบไหล่ของเมืองน่านในตอนที่อีกคนกำลังใช้ผ้าชุบน้ำใหม่ บ่นพึมพำเสียงค่อย แต่เพราะทั้งคู่ใกล้กันมากจนเมืองน่านได้ยินทุกอย่างชัดเจน



“ยิ้มขอโทษคับ”



“...รู้แล้วเหรอว่าผิดอะไร”



“งือ...” ใบหน้าที่ซบอยู่กับไหล่ขยับขึ้นลง “ยิ้มแอบจิบเหล้าตอนพ่อหลับ แค่ตอนนั้นครั้งเดียวจริงๆ แล้วก็มีครั้งนี้ครั้งที่สอง”



“คราวหน้าไม่ให้กินแล้วนะ ไว้โตกว่านี้ก่อนค่อยกิน ตอนนั้นพี่จะไม่ห้ามเลย”



คราวนี้ยิ้มผงกหัวขึ้นมามองใบหน้าของเมืองน่านเต็มตา ถึงจะยังดูสติไม่เต็มร้อย แต่ถึงอย่างนั้นเมืองน่านก็ยังสังเกตเห็นความจริงจังในแววตานั้นเลือนราง



“แล้วไอ้คำว่าไว้โตของพี่น่านมันหมายถึงตอนไหนอ่ะ”



“...ก็เราเข้ามหาลัยมั้ง”



“ขี้ตู่”



“ตู่อะไรเด็กดื้อ” เมืองน่านเขกหัวเด็กที่นั่งบนตักก่อนจะยอมให้อีกคนขยับลงมานอนบนตักตัวเอง “ยิ้มรู้นิสัยพี่น่านดีอย่ามาทำกลบเกลื่อนเลย...ต่อให้เข้ามหาลัย พี่น่านก็ไม่ยอมให้ยิ้มกินเหล้าอยู่ดี”



“ก็รู้ดีนี่ เวลายิ้มกินเหล้าแล้วจะเป็นแบบนี้พี่จะวางใจให้ไปกินได้ไง ถ้าจะให้กินพี่ก็จะให้กินแค่ในบ้าน”



“...แล้วก็กินแค่กับพ่อไม่ก็พี่น่าน ไม่ให้กินกับเพื่อนละสิ”



เมืองน่านอมยิ้มเอ็นดูกับสีหน้าบูดบึ้งของยิ้ม “รู้ใจพี่อีกแล้ว”



ยิ้มจับมือที่ใหญ่กว่าตัวเองเกือบเท่าตัวของเมืองน่านขึ้นมาเล่น แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง “มือพี่น่านใหญ่เนอะ”



“ก็พี่อายุมากกว่ายิ้มตั้งเยอะ ก็ต้องใหญ่กว่ามือยิ้มสิ”



“...ความจริงน่ะ ยิ้มอยากจับมือกับพี่น่านมาตลอดเลยนะ”



“...”



ยิ้มเอามือของเมืองน่านแนบแก้มตัวเองแล้วพูดต่อ ทั้งที่ดวงตาเริ่มหรี่ปรือเหมือนจะหลับ “มือของพี่น่านอุ่นมากๆ แล้วก็ทำให้ยิ้มรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งเลย”



“...”



“แต่พ่อบอกว่ามันดูไม่ดีเวลาผู้ชายกับผู้ชายจับมือกัน...ยิ้มเลยไม่ค่อยกล้าจับเท่าไหร่” ทันทีที่คำว่าพ่อหลุดออกจากปากของยิ้ม ก็เหมือนตัวคนที่เขานอนตักเกร็งขึ้นเล็กน้อย คล้ายเพิ่งนึกอะไรได้ แต่ยิ้มก็ไม่ได้สนใจมากนัก...เพราะตอนนี้เขาง่วงมากๆ เลยล่ะ



“ถึงจะเป็นแบบนั้น...ถึงจะไม่ดีแบบนั้น”



“...”



“เวลาที่ได้จับมือพี่น่าน ยิ้มไม่เคยอยากปล่อยไปเลย”



 





-----------------------------------------------------------------------------------------------------

 ยังไม่ดราม่าจนกว่าจะพ้นครึ่งเรื่อง

ตอนนี้ปูความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆๆ

#ยิ้มของพี่น่าน

NAVY:)


 

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1


I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทที่ 3





 

‘พี่น่านเก่งจัง ว่ายน้ำชนะอีกแล้ว’

‘ไม่หรอก ก็เกือบแพ้...หรือเราไม่สังเกตเห็น’ เมื่อเห็นว่ายิ้มส่ายหน้ายิก เมืองน่านก็หัวเราะออกมา ก่อนจะออกตัวว่ายอีกครั้งในสระน้ำของโรงเรียนที่เขาและยิ้มแอบกันเข้ามาเล่น ระหว่างที่งานปิดของเกมกีฬาสีภายในโรงเรียนกำลังเริ่ม เมืองน่านใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการว่ายไปกลับสามรอบ พอมาสุดที่ปลายเริ่มต้น โผล่พ้นน้ำมาก็ได้รับเสียงเชียร์จากมือทั้งสองที่ตบเข้าหากันไม่หยุดและรอยยิ้มจากเด็กตรงหน้า นั่นทำให้เขาหลุดยิ้มอีกครั้ง ‘แน่ะ! พี่น่านยิ้มอีกแล้ว ดีใจละสิท่าที่ตัวเองชนะ’

‘ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ’

‘แล้วทำมาเก๊กตีหน้านิ่งปล่อยให้ยิ้มดีใจอยู่คนเดียวหยั่งก๊ะคนบ้า’

‘แล้วปกติเราไม่ใช่คนบ้าหรือไง’

‘ไอ้พี่น่าน!’ เคืองไม่น้อยที่โดนแซว มือจึงกวักน้ำใส่หน้าหล่อๆ ที่ยิ้มยียวนอย่างที่หากแฟนคลับของพี่น่านมาเห็นเป็นต้องรุมกระทืบเขาเป็นแน่ แต่จะสนใจไปทำไม ในเมื่อพวกหล่อนก็ทำได้แค่เชียร์อยู่ข้างสนาม ไม่ได้อยู่ใกล้แบบที่เขาอยู่ใกล้ตอนนี้สักหน่อย ยิ้มไกวขาไปมาในน้ำสระสีฟ้าสะท้อนกับแสงสีเหลืองนวลจากเสาไฟสปอตไลท์ แสงเรืองรองที่สะท้อนผิวน้ำถูกประทับอยู่บนผิวของชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังลอยตัวอยู่กลางสระ ไม่มีวี่แววว่าจะขึ้นง่ายๆ ทิ้งให้ผ้าเช็ดตัวที่เขาหยิบมาเตรียมไว้ให้ เป็นหมันมาร่วมชั่วโมงแล้ว เมื่อเห็นว่าเขายังไงก็ต้องรอกลับพร้อมกับเมืองน่าน จึงเอ่ยถาคำถามที่คาใจมาตั้งเมื่อเย็นออกมา ‘พี่น่าน...’

‘หืม?’

‘ยิ้มเห็นนะ’

‘เห็นอะไร’

เมืองน่านว่ายเข้ามาใกล้ร่างของยิ้มที่อยู่ขอบสระ จ้องมองใบหน้าของยิ้มที่เขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใครบนโลก คุ้นเสียยิ่งกว่าพ่อและแม่ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้าที่เขาจะย้ายบ้านมาเจอกับยิ้มเสียอีก ดวงตาของยิ้มมีแววลังเลก่อนจะพูด

‘พี่คนนั้น มาพูดอะไรกับพี่น่านอ่ะ คนที่พี่น่านเคยแข่งจีบกับยิ้มคนนั้น’

‘อ้อ’

‘...’

เมืองน่านอมยิ้มที่เห็นว่ายิ้มดูสอกสนใจเป็นอย่างมากกับเรื่องที่ถาม นั่งรอคำตอบจากเขาตาแป๋ว จนเขาต้องขึ้นจากสระมานั่งอยู่ข้างๆ ยิ้ม พร้อมกับพึมพำขอบคุณอีกคนในตอนที่ยิ้มกางผ้าขนหนูคลุมกายเขาที่เปียกชื้น เขาแกล้งทำเป็นนึกอยู่พักใหญ่จนเด็กข้างๆ เขย่าแขนร้องโวยวายเรียกชื่อเขาเป็นการใหญ่อยู่นานนั่นล่ะ ถึงได้เลิกเล่นแล้วยอมตอบแต่โดยดี ‘ก็ไม่มีอะไรนี่’

‘ยิ้มเชื่อว่ามี! เล่ามาเลย’

‘เขามาบอกว่าชอบ’

‘...’

‘มาบอกว่าอยากจะคบด้วย’

‘...เหรอ’ มือของยิ้มหลุดจากแขนของเขาไปแล้ว ทั้งยังเบือนหน้าหนีไปยังสระน้ำกว้างคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้านั้นจริงจังทั้งยังไร้รอยยิ้มแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้จากยิ้ม ...ที่ควรมีแต่รอยยิ้มสมชื่อเจ้าตัว

เพราะแบบนั้น...

ตู้ม!!!

‘ไอ้พี่น่าน!!!!’

‘เป็นเด็กเป็นเล็กเขาไม่ให้ทำหน้าเครียดกันรู้มั้ย เดี๋ยวจะแก่ไว’

ยิ้มร้องโวยวายตีน้ำเสียงดังด้วยความขัดใจที่ถูกผลักตกลงน้ำแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะพยายามว่ายไปลากดึงคนที่ผลักตัวเองลงมาแค่ไหน เมืองน่านก็คล้ายกับก้อนหินที่วางอยู่ข้างขอบสระ ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ลากอยู่นานก็มีแต่เขาที่เหนื่อย ยิ้มจึงสะบัดมือของเมืองน่านทิ้ง

‘ไอ้พี่น่าน นิสัยไม่ดี แกล้งเด็ก!’

‘เย็นมั้ยยิ้ม เย็นสบายดีใช่มั้ย’ เสียงหัวเราะของเมืองน่านคล้ายกับดวงดาวที่พร่างพราวบนฟากฟ้าเหลือเกิน ในตอนที่ยิ้มเงยหน้าขึ้นมอง ปกติพี่น่านของมันก็หล่ออยู่แล้ว พอมาเจอยิ้มและหัวเราะชุดใหญ่จัดเต็มแบบนี้ มันก็แทบลืมความโกรธที่ถูกผลักลงน้ำ ได้แต่มองใบหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับนั่นไม่อาจละสายตาจากไปไหนได้เลย เมืองน่านเองก็มองเห็นอากัปกิริยานั่น จึงทิ้งตัวลงน้ำว่ายไปหาเด็กคนนั้นที่มองตามทุกการกระทำของเขา ก่อนจะพูดต่อ

‘คิดอะไรอยู่ เมื่อกี้น่ะ’

ยิ้มเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าควรจะตอบว่ายังไงดี

‘...เปล่า ยิ้มแค่คิดว่าถ้าพี่น่านมีแฟนแล้วจะลืมยิ้มมั้ย?’

‘...’

รอยยิ้มเผยอีกครั้ง ทว่ามันกลับดูเศร้าๆ อย่างบอกไม่ถูก ‘พ่อบอกว่าสักวันพี่น่านจะมีชีวิตเป็นของตัวเองและบางที...ในชีวิตที่ว่าของพี่น่านจะไม่มียิ้ม แล้วพี่ก็จะลืมยิ้ม ยิ้มเลยกลัวนิดหน่อย ถ้าหากว่า...พี่เกิดมีแฟนขึ้นมา’

‘ไม่หรอก...’

‘...’

เมืองน่านยกมือขึ้นขยี้หัวชื้นๆ ของยิ้ม ‘พี่ไม่ลืมเราง่ายๆ หรอก’

‘จะเชื่อได้มั้ยน้อ คำพูดของผู้ชายที่ดังที่สุดในโรงเรียนอย่างพี่น่านน่ะ’

‘เชื่อได้ดิ’

‘กลัวว่ายิ้มจะโดนหลอกแบบสาวๆ ของพี่ที่โดนหน้าหล่อๆ นี่ขี้ตู่ใส่อ่ะดิ’

‘งั้นพี่จะไม่หลอกเราคนเดียว’

‘หูยย งี้ยิ้มจะเอาไปโม้ ว่ายิ้มเป็นคนเดียวที่พี่จะพูดความจริงทุกอย่างด้วย’

‘ตามสบาย’

ไอ้ยิ้มหัวเราะออกมาได้สักที คราวนี้เสียงหัวเราะของมันค่อนข้างสบายใจขึ้นมาก จนทำให้คนมองพลอยสบายใจตามไปด้วย แต่แล้วมันก็หยุดหัวเราะแล้วถามขึ้นใหม่

‘งั้น...พี่น่านอย่าโกหกยิ้มนะ’

‘...’

‘ตอนนั้นที่พี่น่านบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว คนนั้นคือใครเหรอพี่น่าน’

 


























“...ยิ้ม!! ตื่นเร็ว สายแล้วนะเราน่ะ”

“ขอ...ห้านาทีคับ”

“พี่ให้สามชั่วโมงเลยเอ้า แต่เราจะไม่ได้ไปสวนสัตว์แทน ว่าไง?”

ยิ้มในชุดนอนยับยุ่งกระเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน เงยหน้ามองพี่น่านชุดพร้อมออกนอกบ้านกำลังมองเขามาพร้อมเลิกคิ้วแทนคำถามว่าตกลงเขาจะเอายังไง

“ยิ้มจะไปสวนสัตว์!”

“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว พี่จะได้อุ่นน้ำเต้าหู้ให้”

“ค้าบ”

ยิ้มใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำและซดน้ำเต้าหู้ที่เมืองน่านออกไปซื้อให้ในตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านเมืองน่านบังคับให้เขากินยาแก้แฮงค์ไปด้วย ซึ่งเขาก็ไม่มีโอกาสต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเมื่อคืนเขาทำตัวน่าตีมากเกินกว่าจะบ่ายเบี่ยง จึงยอมกลืนยาและเตรียมตัวไปเดินเล่นที่สวนสัตว์กับเมืองน่านด้วยรถส่วนตัว

ว่าแต่ เมื่อคืนฝันว่าอะไรหว่า...?

จู่ๆ ยิ้มก็นึกถึงฝันเมื่อคืนระหว่างที่เขานั่งอยู่บนรถรางของสวนสัตว์นั่งชมบรรยากาศรอบๆ ของสวนสัตว์แห่งนี้ โดยมีเมืองน่านนั่งมองไปรอบๆ อยู่ข้างตัว แม้ว่าจะเป็นช่วงปิดเทอมก็จริงแต่คนกลับบางตาอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมื่อปิดเทอมคนก็คิดแต่จะออกนอกจังหวัด ไม่ก็มุ่งหน้าสู่ทะเล ขึ้นเขามากกว่าจะพากันมาเดินที่สวนสัตว์ที่เจอแต่สัตว์เดิมๆ คุ้นตา ต่างจากยิ้มที่ชอบสวนสัตว์มากที่สุด มากกว่าทะเล มากกว่าภูเขา เขาชอบที่ได้เดินและมองเหล่าสัตว์ แม้บางครั้งจะอดสงสารไม่ได้ที่มันต้องถูกพรากจากบ้านเกิด เพียงเพราะสนองให้คนได้เฝ้ามองพวกมันจากนอกกรงก็ตาม

“เหม่อนะวันนี้ ชอบไม่ใช่เหรอสวนสัตว์น่ะ” ยิ้มพยักหน้า สลับกับยกโทรศัพท์ถ่ายช้างแอฟริกาตรงหน้าไปด้วย

“ชอบ แต่ยิ้มแค่คาใจเรื่องฝันเมื่อคืนนิดหน่อย”

“ฝันว่าอะไรล่ะ”

“ก็ยิ้มลืมนี่ไงถึงได้คาใจ วู้ว”

“เอ้า จำไม่ได้ก็ช่างมันไปเถอะ ไปเดินดูเพนกวินในบ้านหิมะมั้ย?” คล้ายว่าเมืองน่านตั้งใจให้ยิ้มไปสนใจเรื่องมากกว่าเรื่องความฝันที่คิดยังไง หากลืมไปแล้วก็ยากที่จะจำได้ว่าฝันว่าอะไร ยกมือชี้ไปยังโซนใหม่ที่เพิ่งปรับปรุงและเปิดให้บริการได้ไม่นาน โดยเลียนแบบสภาพภูมิอากาศที่ขั้วโลกใต้ มีหิมะเทียมตกและกองหนาๆ อยู่บนพื้นระหว่างเดินดูเพนกวินแต่ละชนิดในห้องกระจกที่มีอุณหภูมิติดลบ ยิ้มละความสนใจจากความฝันที่ลืมไปแล้วทันทีอย่างที่เมืองน่านคาดการณ์เอาไว้และวิ่งไปยังจุดประชาสัมพันธ์เพื่อรอคิวเข้าชม พวกเขาต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ และใส่บูทที่ทางสวนสัตว์เตรียมเอาไว้ให้ เพื่อกันไม่ให้พื้นหิมะสกปรก เพราะมันจัดการทำความสะอาดยาก ยิ้มดูตื่นเต้นน่าดูจนเมืองน่านต้องคอยปรามๆ เอาไว้บ้าง ไม่ให้วิ่งชนคนนู้นคนนี้

จนเมื่อถึงคิวของพวกเขาเข้าไป อาจเพราะใกล้เวลาเที่ยงที่คนจะมักจะไปกินข้าวกัน ทำให้รอบสุดท้ายของการเข้าชมเพนกวินมีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ภายในถ้ำที่ตกแต่งด้วยกองหิมะและเกล็ดหิมะเทียมโปรยปรายมีห้องกระจกต่างๆ ที่แสดงเพนกวินหลากหลายชนิด แต่ที่ยิ้มชอบเป็นพิเศษเห็นจะเป็นเพนกวินจักรพรรดิ์ ครั้งหนึ่งที่หนังแอนิเมชั่นที่เกี่ยวกับเพนกวินออกมาฉาย ยิ้มก็ชอบดูเป็นอย่างมากและเอาแต่เปิดดูเรื่องนั้นเป็นอาทิตย์จนเขาเอียนไปเลย ทว่าเมื่อมองพวกมันที่กำลังเดินเตาะแตะบนน้ำแข็งมันก็น่ารักมากจริงๆ ไม่แปลกใจที่เจ้าเด็กที่กำลังเอาหน้าแนบกับกระจกเย็นๆ นี่จะชอบถึงขนาดเข้าขั้นบ้าคลั่ง

“เก่งเนอะ”

“ทำไมล่ะ?”

ยิ้มชี้ไปที่ข้อมูลของสัตว์บนป้ายที่เขาจัดแสดงไว้ “นี่ไง เขาบอกว่าเพนกวินจักรพรรดิ์อ่ะ ตัวผู้จะเลี้ยงลูก ส่วนตัวเมียจะออกไปทะเลเพื่อหาอาหาร แล้วค่อยกลับมาอีกสองเดือนให้หลัง พอกลับมาก็ต้องตามหาคู่ตัวเองให้เจอ ถ้าหาไม่เจอก็ต้องรออีกตั้งปีหนึ่งกว่าจะได้มีโอกาสได้เจอกันอีก”

“ขนาดนั้นเลย”

“ยิ้มว่าถ้ายิ้มเป็นตัวผู้นะ ยิ้มคงหิวตายแน่ๆ เลยอ่ะ ตั้งสองเดือน”

เมืองน่านอมยิ้มกับความคิดไร้เดียงสานั่น “เพ้อเจ้อนะเราอ่ะ เป็นคนก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ จะเป็นเพนกวินทำไม... ไปเถอะ ไปดูตัวอื่นต่อกัน”

แม้เมืองน่านจะเดินไปแล้ว แต่ยิ้มก็ยังคงเกาะกระจกมองเจ้าเพนกวินจักรพรรดิ์อยู่นานกว่าจะตัดใจเดินห่างมาได้ เขาหยุดอยู่ตรงรอยเท้าของเมืองน่านที่เดินห่างออกไปไม่ไกล ก่อนจะนึกอยากทำอะไรบางอย่าง เขาซุกมือเข้ากระเป๋าทำคล้ายปีกเพนกวินก้าวเท้าเตาะแตะตามรอยเท้าบูทของเมืองน่านไปเรื่อยๆ เมืองน่านที่ผิดสังเกตหันกลับมาหายิ้มก็เผลอยิ้มอีกครั้งจนได้เมื่อเห็นเด็กน้อยของเขากำลังเลียนแบบเจ้าเพนกวินพวกนั้น ด้วยการเดินเตาะแตะตามรอยเท้าของเขา ทีละก้าว ทีละก้าวจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ยิ้มเงยหน้าส่งยิ้มกว้างๆ มาให้ก่อนจะยื่นมือทั้งสองมาหาเขา

“เจอกันแล้วนะ!”

เมืองน่านจับมือทั้งสองข้างนั้นแล้วถามกลับ “เจออะไรของเรา หืม?”

“ก็ยิ้มสมมติว่าตัวเองเป็นเพนกวินตัวเมียที่กลับจากหาอาหาร แล้วพี่น่านก็เป็นเพนกวินตัวผู้ที่กำลังรออาหารจากยิ้มอยู่”

“...”

“ยิ้มแค่อยากจะทำความปราถนาของหนึ่งใน 15% ของเพนกวินที่กลับมาหาคู่ของตัวเองจนเจอให้เป็นจริง เผื่อว่า...ในอนาคตข้างหน้าถ้ายิ้มกับพี่น่านต้องห่างกันไปในที่ไกลๆ นานๆ ...เราจะได้กลับมาเจอกันอีกไง”

“...เราต้องเจอกันอยู่แล้ว”

“ช่ายย พี่น่านติดยิ้มจะตาย ไม่ไปไหนหรอก”

“ยังคิดเพ้อเจ้อแบบนี้อีกหรอ” พอคำพูดนั้นหลุดจากปากของยิ้ม เมืองน่านก็พลันหวนย้อนไปยังวันปัจฉิมฯ ที่ยิ้มเคยโม้แบบนี้ต่อหน้าเพื่อนๆ ของเขา ยิ้มเปลี่ยนให้มือซ้ายจับเข้ากับมือขวาของเขาเดินเคียงกันเพื่อจะออกไปจากห้องเพนกวิน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉุนๆ “หรือไม่จริง พี่น่านน่ะติดยิ้ม”

“เราติดพี่มากกว่ามั้ง”

“ไม่ช่าย!”

“ใช่เลยต่างหาก”

“ขี้โม้ที่สุด”

“คนขี้โม้กว่าพี่ก็อยู่ข้างๆ นี่แหละ”

“ไอ้พี่น่านนน”

เสียงโวยวายค่อยๆ เงียบลงเมื่อคนทั้งคู่เดินออกจากพื้นที่มีแต่เกล็ดหิมะปกคลุม ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าสองคู่ที่เดินเคียงข้างกันไปจนสุดทาง...

 



























‘ตอนนั้นที่พี่น่านบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว คนนั้นคือใครเหรอพี่น่าน’

เมืองน่านตอบไม่ถูกเลยทีเดียวเมื่อสีหน้าจริงจังอย่างที่เห็นได้ไม่บ่อยนักของยิ้มกลับมาอีกครั้ง แม้ครั้งนี้มันจะยังเจือรอยยิ้มเช่นเคย ทว่ามันกลับทำให้เขา...รู้สึกว่าคำตอบที่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วแท้ๆ เป็นเรื่องยากขึ้นมาเมื่อจะตอบออกไป

‘ทำไมยิ้มถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะ’

‘ไม่รู้สิ แค่จู่ๆ อยากรู้ขึ้นมามั้ง’

‘...’

‘ยิ้มแค่อยากตอบคำถามในใจของตัวเองด้วยคำตอบที่ได้จากพี่ ว่าที่ผ่านมามีแค่ยิ้มคนเดียวใช่หรือเปล่าที่คิดมากไปเอง’

 
























“เดินยังไงให้ขาแพลงน่ะ ยิ้ม”

“เดินแบบคนธรรมดาเขาเดินกันนี่แหละจ้า”

“ลำบากพี่เลยเห็นมั้ยเนี่ย”

ยิ้มหัวเราะร่า กอดคอพี่น่านแน่น “ลำบากอะไร พี่น่านของยิ้มออกจะแข็งแรง แค่ยิ้มคนเดียวแบกขึ้นชั้นสี่น่ะ จิ๊บๆ”

สุ้มเสียงสูงๆ ตรงท่อนคำว่าจิ๊บๆ นั่นป่วนประสาทเมืองน่านอย่างประหลาด จนนึกอยากจะเขกกะโหลกเจ้าเด็กที่เกาะหลังตัวเองอยู่สักทีสองที แต่เขาก็ทำได้แค่กระชับร่างที่เกาะหลังตัวเองให้แน่นขึ้นแล้วก้าวบันไดขึ้นทีละก้าว เดินมาตั้งนานเขายังถึงแค่ชั้นสองเอง เมื่องเงยหน้าขึ้นไปพบว่ายังเหลืออีกสองชั้น ก็ชวนให้ทดท้อใจขึ้นมารางๆ

สงสัยเมื่อเช้าเขาก้าวเท้าออกจากห้องผิดข้างละมั้ง ถึงได้โดนเจ้าเด็กนี่แกล้งแทบทั้งวัน

ตั้งแต่ตอนเที่ยงที่สั่งของที่เขาไม่ชอบมาให้ โดนลากไปยังกรงเสือขาว หยอกจนมันพุ่งตัวกระแทกกระจก หวิดกลัวจะโดนขย้ำคอหากกระจกนั้นมันแตกขึ้นมา พอจะกลับก็รถติดอยู่บนถนนอยู่ราวๆ ชั่วโมงกว่าจนเมื่อยขาไปหมด แทบเรียกได้ว่าหมดสภาพเดือนเอกจุลชีวะที่หลายคนชื่นชอบ เหลือเพียงพี่น่านผู้สะบักสะบอมจากการโดนไอ้ยิ้มเคี่ยวกรำจนเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน

ยิ้มยิ้มหวานแนบแก้มลงลาดไหล่กว้างของเมืองน่านแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคิดถึงเจือจาง “เหมือนวันนั้นเลยเนอะ”

“วันไหนอีก!”

“ตอนนั้น...แข่งกีฬาเสร็จ พี่น่านก็ให้ยิ้มขี่หลังกลับบ้านแบบนี้เหมือนกัน”

“...”

“แล้วยิ้มก็โดนพ่อดุเพราะว่ากลับบ้านช้า ส่วนพี่น่านก็หนีเข้าบ้านไม่ชวยยิ้มแก้ตัวเลย” ว่ามาถึงตรงนี้ คนที่แบกก็โดนทุบสองตุ้บด้วยความแค้นแต่หนหลัง จนเผลอหลุดร้องออกมาเสียงหลง เมืองน่านจึงแก้เผ็ดด้วยการเหวี่ยงตัวเองไปมา เมื่อเดินถึงพื้นราบสำหรับพักเท้าก่อนจะวางยิ้มลง

“ทุบพี่แบบนี้ได้แสดงว่ามีแรงขึ้นแล้วดิ เอ้า! อีกสิบขั้น เดินขึ้นไปเองเลย”

“พี่น่านน ยิ้มขอโทษ”

“ไม่รู้ไม่ชี้ด้วย”

“ชิๆๆ” ถึงจะรู้ว่าหายดีแล้ว แต่ความรู้สึกยามได้อยู่บนแผ่นหลังของพี่น่านมันดีมากจริงๆ นี่ ยิ้มก็แค่อยากจะอยู่ให้นานขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ไม่น่าปากดีเล้ย! ว่าแล้วก็ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จนถึงชั้นสี่เห็นพี่น่านยืนรออยู่หน้าห้องพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ยิ้มสลดลงแม้แต่น้อย

เพราะแม้จะทำสีหน้าบูด แต่มือของเมืองน่านก็ยังยื่นมาหา...คล้ายรอให้ยิ้มวางมือลงไปเท่านั้น

“มาเร็ว จะได้อาบน้ำนอนสักที”

“อื้อ!”

พี่น่าน...ก็ยังคงเป็นพี่น่านของมันคนเดิมที่ใจอ่อนกับมันอยู่ดี

 























‘ยิ้มไม่กลัวหรือไงว่าถ้ารู้มันอาจจะมีอะไรเปลี่ยน’

‘พี่น่านพูดเหมือนว่าที่ผ่านมามีอะไรที่เหมือนวันแรกที่เราเจองั้นแหละ’

‘...’

‘พี่น่าน ยิ้มโตพอจะแยกแยะอะไรออกได้หลายอย่างแล้วนะ ยิ้มไม่ได้อายุสิบขวบเหมือนตอนที่เพิ่งเจอพี่แล้ว’ ยิ้มว่าพร้อมกับว่ายไปยังขอบสระหมายจะเหวี่ยงตัวขึ้นจากสระเสียที ทว่าก็ต้องชะงักและหันกลับไปเจอกับเมืองน่านที่มองเขาอยู่แล้ว พริบตาที่เขาคิดว่าเมืองน่านจะพูดอะไรออกมา พลุไฟที่ถูกจุดขึ้นจากทางสนามกีฬาโรงเรียนก็ถูกปล่อยสู่ท้องฟ้า เป็นสัญญาณว่างานกีฬาสีครั้งนี้ได้จบลงแล้ว

ยังไม่ทันที่ยิ้มจะได้ชื่นชมความสวยงามของมัน ยิ้มก็ต้องหันกลับไปหาเมืองน่านเมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา

‘งั้นยิ้มก็ควรจะรู้ได้แล้วว่า ยิ้มไม่เหมือนคนอื่น’

‘...’

‘สำหรับพี่ยิ้มไม่ได้เป็นน้องชายคนสนิทหรือคู่หูอะไรนั่น แต่ยิ้มเป็นคนพิเศษ’

‘พิเศษ...?’

‘ใช่ พิเศษมากพอ...ที่พี่อยากจะทำแบบนี้ทุกทีเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคน’

แล้วใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มเคยเห็นอยู่เป็นนิจก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้ชิดเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่แข่งกันเต้นรัวในอก ใกล้จนรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนิ่มที่ทาบทับริมฝีปาก บดเบียดจนคล้ายไม่ต้องการให้มีช่องว่าง สร้างความรู้สึที่คล้ายกับในตัวของยิ้มมีพลุไฟหลากสีระเบิดพร่างพราวเมื่อเมืองน่านสอนให้ยิ้มรู้จักว่าจูบที่แท้เป็นอย่างไร

ในปีนั้น หนึ่งปีก่อนที่เมืองน่านจะเรียนจบ นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้เปิดเผยถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

และเป็นครั้งแรกยิ้มได้รู้เสียทีว่าความรู้สึกที่มีต่อเมืองน่านนั้นไม่ใช่เพียงความรู้สึกทั่วไปอีกต่อไป

ความรัก

มันคือรักที่กว่าจะรู้ตัว ก็หยั่งรากลึก...เกินกว่าจะถอนออกเสียแล้ว

 









--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เขากิ๊กกันมานานแล้ววว

#ยิ้มของพี่น่าน


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่น่านก็คือละมุนจริงอะไรจริง คิดภาพตอนม่าไม่ถูกเลย แง้ งานน้ำตาต้องมาอีกแล้วแน่ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ตอนที่ 4



“น้องอายไปไหนแล้ว เห็นน้องอายมั้ย”



“น้อยอายเปลี่ยนเสื้ออยู่... น้องเพียซคะ! มาแต่งหน้าค่ะลูก”


“เอาดอกไม้ป๊อบโหวตมารึยัง ทำไมไม่เห็นซุ้มเลยวะ”


“กำลังยกมาพี่ ดอกไม้ก็ให้น้องมันขับไปเอามาอยู่”


“งานเริ่มเช้านะเว้ย ไม่ได้เริ่มบ่าย รีบเลยพวกมึง!!”


เสียงโวยวายดังขึ้นตั้งแต่ยังไม่เช้านี่น่าปวดหัวมาก แต่เขาก็ทำได้แต่นั่งนิ่งๆ ออกไปไหนไม่ได้เมื่อถูกคุมตัวโดยรุ่นพี่ผู้หญิงและสาวประเภทสองถึงสามคน กันไม่ให้เขาเดินเพ่นพ่าน ลำบากเวลาเดินตามหาตอนต้องบล๊อกกิ้ง เมืองน่านในเชิ้ตสีดำสนิทปลดกระดุมสองเม็ดบน ถอดเสื้อสูทสีขาวของตัวเองออกมาพาดไว้ที่เก้าอี้ได้สักพักแล้ว เพราะถึงจะเปิดแอร์ให้ แต่หากมีคนเดินไปมามากขนาดนี้ แอร์ติดลบก็ไม่ได้เย็นขึ้นเลยสักนิด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่ค่อยติดโทรศัพท์นัก แต่พอมาเป็นเดือนเวรนี่ เขาก็แทบไม่ห่างจากโทรศัพท์เลย


เหมือนว่ายิ้มจะยังไม่ตื่น


แน่ล่ะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอน...นั่งรอเขาจนเที่ยงคืนนี่นะ


เขาละโคตรเกลียดไอ้การเก็บตัวดาวเดือนบ้าบอนี่จริงๆ


“น้องน่านค้า อย่าทำหน้าบูดสิลูก ไม่หล่อเลย”


“...”


“อย่ามองพี่กาก้าด้วยสายตาดุๆ แบบนั้นสิ พี่ใจละลายไปกองกับเท้าแล้ว”


“...ผมอยากออกไปข้างนอก”


“ไม่ด้ายยย!!” กาก้าร้องเสียงหลงเมื่อน้องในสังกัดทำท่าจะออกไปข้างนอกอีกคน หลังจากที่มีน้องดาวเดือนคนอื่นแอบแว่บออกไปข้างนอก ไปหาอะไรกินบ้างละ ไปหาเพื่อนบ้างล่ะ ไปถ่ายรูปบ้างล่ะ มันทำให้อย่างอื่นรวนไปหมดเลยเพราะกว่าพวกเขากลับมามันก็สายกว่าเวลาที่ขอเอาไว้โข เขาไม่มีเวลาไปตามมากขนาดนั้น จึงไม่อยากเสี่ยงให้เมืองน่านหายไปอีกคน แม้ว่าสุดหล่อของเธอจะตีหน้าน่ากลัวมากขึ้น แต่กาก้าก็ไม่อาจปล่อยไปได้จริงๆ


“เห็นใจพี่เถอะนะลูก น้องๆ เล่นหายกันไปทีละคนสองคนทั้งที่จะบล๊อกกิ้งอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้ว พี่หัวใจจะวาย”


“ผมแค่อยากโทรศัพท์ ในนี้เสียงดังเกินไป”


“ไว้รอหลังบล๊อกกิ้งได้มั้ย”


“หลังบล๊อกกิ้งงานก็เริ่มแล้วไม่ใช่หรือไงครับ?”


กาก้ายิ้มหวาน “งั้นก็รอหลังงานจบ”


เมืองน่านเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อดสบถเบาๆ ไม่ได้เลย “แม่งเอ๊ย”


เมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาก็ได้แต่ส่งสติ๊กเกอร์ทักแชทของยิ้มไปรัวๆ หวังว่าเจ้าเด็กขี้เซาจะรำคาญจนลุกขึ้นมาอ่านเสียที




พี่น่าน :) : ยิ้มตื่นยัง 6.23 AM

พี่น่าน :) : คุณได้ส่งสติ๊กเกอร์ 6.23 AM

พี่น่าน :) : คุณได้ส่งสติ๊กเกอร์ 6.23 AM

พี่น่าน :) : คุณได้ส่งสติ๊กเกอร์ 6.24 AM

พี่น่าน :) : คุณได้ส่งสติ๊กเกอร์ 6.24 AM

พี่น่าน :) : ยิ้มครับ ตื่นมาคุยกับพี่หน่อยสิ 6.24 AM






“เฮ้อ...”


คิดถึงไอ้ยิ้มของเขาโคตรๆ ...


อย่างที่รู้ว่าการเป็นดาวเดือนมันต้องบมีช่วงเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมการแสดง ซ้อมเดินสารพัดสารพันจะจัดทำ ทั้งที่มันก็แค่งานโชว์ตัวเหล่าคนที่ถูกบังคับแต่แฝงหลังคำว่าหน้าที่ตัวแทน เขาจำต้องมาหมกตัวอยู่มหาลัยเป็นเวลาสามวัน! สามวันที่เขาอกไปไหนไม่ได้เลย สามวันที่เขาต้องเอาแต่ฟังเพลงตอนเดินโชว์ตัวซ้ำๆ จนเกลียดเพลงนั้นไปเลย และสามวันที่เขาทำได้แค่มองยิ้มผ่านทางเฟซไทม์ ไม่ได้นอนกอดตัวจริงด้วย... นี่มันชวนหงุดหงิดมากกว่าตอนที่เขาถูกเลือกเป็นตัวแทนเสียอีก


เขาจำได้ดีเลยว่าสีหน้าของยิ้มตอนที่รู้ว่าเขาจะต้องมาค้างในตัวม.นั้นเหวอแค่ไหน ทว่ายิ้มก็คงไม่อยากทำให้เขาต้องลำบากใจ จึงพยายามที่จะไม่งอแง หากบางครั้งในตอนที่เขาเก็บกระเป๋า เขาก็ยังสังเกตถึงความเหงาที่เจ้าเด็กน้อยพยายามที่เก็บซ่อนเอาไว้ให้มากที่สุดอยู่ดี ก่อนที่จะออกไปมหาลัย เมืองน่านจำได้ว่าเขายืนกอดยิ้มอยู่นานมาก ส่วนยิ้มเองก็พูดน้อยกว่าปกติ เอาแต่ยิ้มเหงาๆ ไล่ให้เขารีบไป ก่อนตัวเองจะเผลอรั้งเขาเอาไว้ ทั้งที่ตอนนั้นน่ะ เขาแทบอยากให้ยิ้มรั้งเขาไว้จะตาย


ไม่เห็นอยากจะไปเก็บตัวอะไรเลย ม.ก็อยู่แค่เนี้ย! เขายอมไปกลับทุกเช้าก็ยังได้


หลังจากที่เก็บตัว เขาก็ได้แต่ฝึกซ้อม นอกจากฝึกซ้อมอย่างที่กล่าวไปแล้ว เขายังต้องสละเวลาท่จะได้คุยกับยิ้มมานั่งคิดอีกว่าจะแสดงความสามารถพิเศษอะไร ซึ่งเขาก็คิดเพียงง่ายๆ โดยจะทำแค่ดีดกีต้าร์ร้องเพลงง่อยๆ ก็พอ เพราะเขาไม่ได้อยากจะไปชนะอะไรนักหนาเช่นคนอื่นที่หวังเอาไว้กับเขา เขาอยากจะให้มันรีบๆ จบเสียมากกว่า


แล้ววันสุดท้ายของการเก็บตัวก็มาถึงในคืนสุดท้ายก่อนวันแข่ง เขาจำได้เลยว่าวันนั้นเขาตั้งใจทำทุกอย่างเป็นอย่างมาก ตั้งใจซ้อมตั้งใจเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งในตอนที่พี่ๆ กำลังเอ่ยขอบคุณ เขายังฟังอยู่แค่สองสามคำก่อนจะลากไอ้เพียซแว่บขึ้นรถมอไซต์ที่ชักจะใช้เป็นเหมือนของตัวเองตรงดิ่งกลับหอ ตอนนั้นเขาได้บอกกับยิ้มเอาไว้แล้วว่าในคืนสุดท้ายเขาจะกลับมาที่หอ แต่เวลาเกือบเที่ยงคืนก็ไม่รู้ว่ายิ้มจะรอไหวหรือไม่ ทว่าเมื่อเขาไขกุญแจเข้าไปแล้วพบว่า ยิ้มนั่งรออยู่กลางห้อง ก็เหมือนกับความเหนื่อยล้าทั้งหมด ละลายหายไปกับรอยยิ้มหวานๆ และอ้อมกอดที่แสนคิดถึงจากคนที่เขาไม่เคยอยากยอมห่างไปแม้แต่วันเดียว


เขาเคยพูดว่ายิ้มน่ะติดเขา...แต่มันก็เป็นความจริงเช่นกันที่เขาก็ติดยิ้มมากเช่นกัน


ไม่ใช่เราขาดอีกฝ่ายไม่ได้ เพียงแต่...เราแค่อยากถนอมช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง


ติ๊ง!


เมืองน่านเลิกคิดฟุ้งซ่านเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของตัวเอง รีบกดปลดล๊อกแล้วเข้าหน้าแอปพลิเคชั่นที่คุ้นเคยเพื่ออ่านข้อความจากยิ้มที่เพิ่งส่งมาเมื่อครู่ รอยยิ้มที่ไม่คลี่ขยายออกแม้ในตอนที่รู้ว่าตัวเองถูกคนอื่นชมและยกให้เป็นผู้ชายที่เป็นตัวเต็งของตัวแทนคณะไปชิงตำแหน่งเดือนคณะ ค่อยๆ เผยออกมาเมื่ออ่านข้อความสั้นๆ นั้น



ยิ้มเองพี่น่าน :) : แล้วยิ้มจะ (แอบ) ไปหานะ 6.29 AM Read












“หูย ก็ยังตัวใหญ่กว่ายิ้มไซส์หนึ่งอยู่ดี”


“ก็น้องยิ้มตัวเล็กกว่าพี่เต้ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครสังเกตว่าน้องยิ้มไม่ใช่นักศึกษาในม.ออกก็พอแล้ว” เต้ช่วยน้องสวมไทด์ก่อนจะถอยออกมาสองสามก้าวเพื่อดูความเรียบร้อย แล้วพยักหน้าด้วยความภูมิใจกับผลงานชิ้นเอก...ไม่สิ ต้องเรียกว่าผู้สมรู้ร่วมคิดการแอบเข้าม.ไปเชียร์เมืองน่านโดยไม่ได้รับอนุญาตต่างหาก! “โอเคแล้วน้องยิ้ม เดี๋ยวเราไปรีบไปม.ไปหาที่นั่งให้มองเห็นไอ้น่านให้ชัดที่สุดกัน”


“พี่เอกไปจองไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ”


“เผื่อเราได้ที่ดีกว่าไง ไอ้เอกมันชอบอ๊องตอนเช้าๆ บางทีมันอาจจะเลือกที่หลังสุดให้ไว้สำหรับมันนอนก็ได้นะ” เต้บ่นออกมาด้วยความไม่มั่นใจในตัวเพื่อนสนิท ก่อนจะคว้ากุญแจวิ่งลงไปหารถมอไซต์ของเอกที่ถูก (บังคับ) จอดทิ้งเอาไว้ให้เขาใช้ ส่วนสามหนุ่มที่ต้องไปม.แต่เช้า เบียดอัดรถเพียซไปตั้งแต่เช้ามืด (แน่นอนว่าเอกมันถูกบังคับไปเฉยๆ ทั้งที่มันจะนอนตื่นสายกว่านั้นก็ได้) เต้สวมหมวกกันน๊อคให้กับยิ้มแล้วออกตัวจากหอพักเร่งไปหอประชุมทันทีด้วยกลัวว่าจะไม่ทันการเปิดตัวที่เริ่มในตอน 7 โมงเช้า


โชคดีที่ถึงวันนี้ในม.จะมีรถและคนเยอะก่าปกติเพราะการประกวดดาวเดือนของคณะวิทย์ (แน่นอนว่าผู้หญิงเยอะเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ชายปีนี้มันหล่อกว่าปกติ อย่างไอ้น่านไง!) ทว่าก็ยังพอให้พวกเขาฝ่าไปได้ไม่ยากนัก เมื่อมาถึงหอประชุมที่จัดแสดงการประกวด แม้จะเริ่มกันแล้วแต่ก็ยังไม่เยอะมากถึงขนาดที่จะทำให้เขาทั้งสองพลาดที่จะชมการเปิดตัวดาวเดือน ยิ้มใจเต้นนิดหน่อยตอนที่ถูกรุ่นพี่มองหน้า ก่อนจะลอบถอนหายใจที่เขามองเฉยๆ แล้วเลยผ่านไปไม่ได้มาจับผิดอะไร แล้วรีบเร่งฝีเท้าให้ทันเต้ที่วิ่งไปหาเอกที่อยู่แถวเกือบหน้าสุดใกล้ๆ ทางเดินตรงกลางใช้สำหรับให้ดาวเดือนเดินโชว์ตัวใกล้ชิดกับคนดู เวทีถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้ปลอมคล้ายจะจัดเหมือนอยู่ในสวนสวรรค์ตามคอนเซ็ปต์ที่ถูกเขียนเอาไว้หน้างาน สวยงามมากทีเดียวจนยากจะเชื่อว่ามันถูกจัดขึ้นภายในห้าวันนับแต่วันที่เขากลับจากสวนสัตว์


เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกับที่เสียงพูดคุยของผู้คนเบาลงจนได้ยินเสียงเบสหนักๆ ชัดเจน พิธีกรสาวสวยคู่กับพิธีกรหนุ่มที่น่าจะ...แต๋วแตกเดินเคียงคู่กันมา ก่อนจะกล่าวทักทายและพูดถึงกำหนดการณ์ต่างๆ ของวันนี้ สุดท้ายเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาอันสมควร พวกเขาก็เดินเลี่ยงไปยังขอบเวที เรียกชื่อและเอกของดาวเดือนแต่ละคนออกมา


ยิ้มมองหนุ่มหล่อสาวสวยแต่ละคนในชุดธีมสรวงสวรรค์ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทว่าในสายตายิ้มที่รอคอยนั้นก็ยังมีแค่พี่น่านของมันเท่านั้น จนเมื่อพิธีกรกล่าวชื่อของเมืองน่านและคู่ดาวจากเอกเดียวกัน เมื่อเมืองน่านเดินออกมาจากหลังเวทีมาหยุดยืนอยู่กลางเวที และเมื่อ...นัยน์ตาคู่นั้นกวาดมาพบกับเขา ยิ้มโบกมือน้อยๆ ให้เมืองน่านก่อนจะแสดงสีหน้าตกใจออกมาเมื่อเสียงกรี๊ดดังขึ้นมากกว่าปกติ เมื่อเมืองน่านที่หน้าบึ้งมาตลอด ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มอ่อนโยนและดวงตาที่จับจ้องเพียงยิ้มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา


“โว้วว ไม่ต้องประกวดแล้วมั้งเนี่ย ผลออกมาแล้วว่าใครจะชนะ” พี่เต้ว่ายิ้มๆ ซึ่งมีพี่เอกพยักหน้ารับเป็นคู่ ซึ่งพอได้ยินแบบนั้น ยิ้มก็ยืดกพูดตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ


“แน่นอน พี่น่านของยิ้มหล่อที่สุด”


“ไอ้นี่ก็อวยพี่ตัวเองจั๊ง!”


“ฮ่าๆๆ”


เมืองน่านโบกมือตามที่รุ่นพี่สั่ง แต่ใครจะรู้ว่าที่จริงแล้วเขาโบกให้กับกลุ่มเพื่อนและเจ้าเด็กน้อยที่ใส่เสื้อนักศึกษาหลวกโพรกคนนั้นต่างหาก พอเห็นยิ้มก็เหมือนกับความหงุดหงิดปลิวหายไปไหนก็ไม่รู้ ทำให้เมื่อต้องกลับหลังเวทีเตรียมการแสดงของตัวเองเขาเพิ่งจะมาคิดออกว่าเขาควรจะเล่นเพลงอะไรดี
หลังจากการโชว์ตัวจบลงก็เริ่มการแสดงส่วนบุคคลเริ่มตั้งแต่เอกแรกที่ออกมาเดินโชว์ตัวไปเรื่อยๆ แต่ละคนมีความสามารถพิเศษมะรรมดากันทั้งนั้น ซึ่งยิ้มก็นั่งดูเพลินๆ ระหว่างรอพี่น่านออกมา บางครั้งก็อ้าปากค้างกับการแสดงที่ไม่คิดว่าจะมีคนมาแสดงแบบนี้บนเวทีที่หาคนหล่อคนสวยไปเป็นตัวแทนคณะ บ้างก็หลุดหัวเราะลั่นไปกับการแสดงที่คาดไม่ถึง จนเมื่อคิวของเมืองน่านวนเวียนกลับมาอีกครั้งนั่นแหละ ยิ้มที่นึกว่าตัวเองจะไม่ตื่นเต้นก็ได้แจต่ขยับตัวยุ๊กยิ๊กไปมา ชะเง้อคอรอพี่น่านของมันให้ออกมาไวๆ เป็นที่เอ็นดูของสองเพื่อนของเมืองน่านที่กำลังมองอยู่


“...ต่อไปเป็นการแสดงของน้องเมืองน่าน เดือนจากเอกจุลชีวะ โดยจะแสดงการร้องเพลงและเล่นกีต้าร์ให้ทุกคนได้ชมกันครับ จะเพราะสมกับหน้าตาหล่อๆ ให้สาวใจละลายแค่ไหน ไปฟังกันได้เลยครับ!”


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!”


“เมืองน่าน! เมืองน่าน!”


ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำไร้สูทขาวเช่นตอนเดินตัวครั้งแรก เดินออกมาพร้อมกับกีต้าร์โปร่งตัวหนึ่ง เมืองน่านนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีไมค์ขาตั้งวางอยู่ตรงหน้า เมื่อลองเช็คไมค์พบว่าไม่มีปัญหา เขาจึงเริ่มแนะนำตัว “เมืองน่าน จากเอกจุลชีวะครับ”


“กรี๊ดดดดดดดดดดด หล่อจังเลย!”


“จะเอาคนนี้!!”


“อาจจะร้องไม่เพราะเท่าไหร่ แต่ช่วยฟังกันสักครู่นะครับ เพลงนี้ผมตั้งใจร้องเพื่อ...ใครบางคนที่อุตส่าห์ตื่นเช้ามาเชียร์ผม ใครบางคนที่เหมาะกับเพลงนี้ที่สุด เพลง ยิ้ม ของ JETSET’ER ครับ”



ก็เคยมั่นใจ ในประสบการณ์ของฉัน ว่าคงมากพอ จะรับมือกับใครก็ได้
เรื่องของหัวใจ ไม่ว่าจะมาไม้ไหน ก็รู้ทัน เสมอ



เมืองน่านเปลี่ยนจังหวะดนตรีที่สนุกสนานให้กลายเป็นเพลงหวานๆ ด้วยกีต้าร์โปร่ง น้อยครั้งที่ยิ้มจะเห็นพี่น่านของมันเล่นกีต้าร์ หากไม่ใช่ในโอกาสพิเศษ พี่น่านก็มักจะทิ้งกีต้าร์โปร่งเอาไว้ที่ไหนสักมุมของบ้าน ไม่เคยเอามาเล่นสักครั้ง เรียกได้ว่า เป็นครั้งแรกจากนานๆ ทีที่เขาจะได้ฟังเมืองน่านร้องเพลงไปด้วยเล่นกีต้าร์ไปด้วย



แค่เพียงลมปากที่เอ่ยคำหวาน สายตามองหว่านให้ใจหวั่นไหว
แต่รู้ไหมอะไร ที่ทำให้ฉันต้องแพ้



จะบอกว่าไม่เขินก็คงไม่ได้ เพราะหากไม่เขินนั้นยิ้มก็คงจะเป็นคนที่ตายด้านที่สุดในโลก เมื่อถูกพี่น่านมองด้วยดวงตายิ้มๆ คู่นั้นพร้อมกับร้องเพลงที่เป็นชื่อเขาออกมา ยิ่งบางจังหวะพี่น่านแอบส่งยิ้มมุมปากให้เขา ยิ้มก็ยิ่งรู้สึกว่าบางทีคนที่ควรร้องเพลงนี้มันควรจะเป็นเขามากกว่า ที่แพ้...รอยยิ้มของคนที่กำลังร้องเพลงอยู่จนหมดท่า



แค่เพียงรอยยิ้มเล็กเล็กของเธอครั้งเดียว ก็ทำให้ฉันไม่เหลียวไปมองที่ใด
เธอสะกดฉันไว้ด้วยเวทมนตร์ที่ใช้แค่เพียงมุมปาก
ไม่เคยจะคิดว่ายิ้มของเธอคนนี้ จะทำให้ฉันนั้นห้ามใจยาก
อยากขอได้ไหมอย่ายิ้มให้ใครอย่างนี้ ฉันขอเลยเธอ



เสียงกรี๊ดและเสียงชัตเตอร์ของเหล่าคนที่กำลังถ่ายรูปหรือถ่ายวิดิโอของเมืองน่านดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้บางท่อนเขาฟังเสียงของเมืองน่านได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้นยิ้มก็ยังนั่งมองพี่น่านร้องเพลงต่อไปเรื่อย ยิ้มแก้มตุ่ยเวลาที่ได้ยินเสียงทุ้มๆ มีเสน่ห์ของเมืองน่านเน้นหนักของเสียงลงในคำว่ายิ้ม...ที่มีในเพลง


เมืองน่านมักจะเป็นแบบนี้


อีกคนรู้เสมอ...ว่าทำอย่างไรให้คนอื่นตกหลุมตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคนโง่


แน่นอน หนึ่งในคนที่ยอมตกหลุมนั้นด้วยความเต็มใจ ก็มีเขาอยู่...ที่หนักกว่านั้นก็คือ เขาดันไม่คิดอยากจะปีนขึ้นมาเนี่ยสิ!



เพราะเพียงรอยยิ้มเล็กเล็กของเธอครั้งเดียว ก็ทำให้ฉันไม่เหลียวไปมองที่ใด
เธอสะกดฉันไว้ด้วยเวทมนตร์ที่ใช้แค่เพียงมุมปาก
ไม่เคยจะคิดว่ายิ้มของเธอคนนี้ จะทำให้ฉันนั้นห้ามใจยาก
อยากขอได้ไหมอย่ายิ้มให้ใครอย่างนี้ ฉันขอ...



“กรี๊ดดดดดด เพราะมากค่า”


“โอ๊ยยย งานดี งานสามีในอนาคต!”


เมืองน่านและยิ้มที่ไม่ได้ละสายตาออกจากอีกฝ่าย ต่างคนต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่เมืองน่านจะลุกขึ้นก้มโค้งตัวแทนคำขอบคุณให้กับผู้ชมที่ยังคงส่งเสียงกรี๊ดชื่นชมเขาไม่ขาด แต่หากเสียงตอบรับใดจะทำให้เขาประทับใจไม่รู้ลืมนั้น เขาได้มาแล้ว...


เมื่อตอนที่มองหน้ายิ้มแล้วเด็กคนนั้นขยับปากเป็นคำพูดไร้เสียง

‘พี่น่านของยิ้มเก่งที่สุด!’

แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว



เธอมัดใจฉันเอาไว้ ทั้งใจด้วยเพียงรอยยิ้มของเธอ



“แล้วยิ้มต้องซื้อเท่าไหร่อ่ะ พี่น่านถึงจะชนะป๊อบโหวต”


“ซื้อเท่าที่ยิ้มซื้อไปเถอะ เงินนี่ไอ้น่านก็ฝากพี่มาให้เราใช้นั่นแหละ ซื้อให้ดอกเดียวยังชนะเลยมั้งนั่น” เอกว่าพร้อมกับชี้ไปยังกลุ่มของสาวๆ ที่ต่อแถวซื้อดอกไม้ป๊อบโหวต ทั้งยังส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดไม่หยุดกับการแสดงที่เพิ่งจบลงไปทั้งหมดและส่วนใหญ่นั้น ล้วนพูดถึงแต่เมืองน่าน ทำเอาคนที่เชียร์เหมือนกันอย่างยิ้ม ยิ้มไม่หุบ ภูมิใจอย่างกับตัวเองถูกชมเสียเอง


ในที่สุดยิ้มก็ตัดสินใจซื้อช่อเล็กมาช่อหนึ่ง ในหนึ่งช่อเล็กมีดอกกุหลาบแดงอยู่ห้าดอก ยิ้มยืนมองมันอยู่สักพักก่อนจะวิ่งกลับไปยังซุ้ม ท่ามกลางสายตาสงสัยจากเต้และเอกที่ทุ่มดอกไม้สามช่อเพื่อเพื่อนน่านและเพื่อนเพียซที่กำลังรออยู่


ไม่นานก็กลับมาพร้อมดอกไม้ช่อเดิม เมื่อทั้งสองถามว่ายิ้มกลับไปที่ซุ้มทำไม เด็กน้อยก็เอาแต่ส่ายหน้าลูกเดียว ยิ้มหวานไม่ยอมบอกอะไรเลย จนพวกเขาขี้เกียจถามไปเองและกลับไปนั่งที่เตรียมเดินเอาดอกไม้ไปให้เหล่าดาวเดือนเพื่อเลือกป๊อบโหวต ไม่นานเมื่อเหล่าคนดูนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองเกือบทั้งหมดแล้ว พิธีกรก็กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งโดยประกาศเรียกบรรดาดาวเดือนของแต่ละเอกออกมายืนเรียงหน้ากระดานโชว์ความหล่อสวยในชุดใหม่ เมืองน่านเองก็เช่นกัน ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสูทผูกไทด์ซะหล่อเฟี้ยวอย่างกับหลุดมาจากเทพนิยาย เช่นเดียวกับดาวข้างตัวเมืองน่านที่งดงามราวกับเจ้าหญิง ยิ้มมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มที่หมองลงนิดหน่อย เพราะมันดูสมกันเหลือเกิน


ต่างจากเวลาที่เมืองน่านยืนข้างเขา เด็กกะโปโลไม่มีอะไรดีพอเลยสักอย่าง


แต่ว่านะ...แต่ว่า


“เชิญทุกคนมอบดอกไม้เลือกป๊อบโหวตที่โดนใจตัวเองมากที่สุดได้เลยครับ”


ยิ้มลุกขึ้นจากที่นั่งมองฝูงคนที่รุมกันวิ่งไปยังหน้าเวที ขณะที่สายตามองอยู่ที่คนเพียงคนเดียว


เขาอาจจะสู้คนอื่นไม่ได้ อาจจะไม่เหมาะสมเท่า ทว่าเขามั่นใจว่าเขามีความรู้สึกที่ไม่แพ้ใครและ...ไม่มีใครรู้ใจพี่น่านได้เท่าเขาอีก พอคิดแบบนั้นก็เหมือนกำลังใจจะกลับคืนตัวเองนิดหน่อย ทำให้ยิ้มรีบเดินตามพี่ๆ ทั้งสองออกไปยังหน้าเวทีเพื่อมอบดอกไม้ให้เมืองน่าน


ยิ้มฝืนแทรกฝูงคนที่รุมมอบดอกไม้ให้เมืองน่านได้ในที่สุด เด็กน้อยหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสุดหล่อของตัวเองมีสภาพไม่น่าดูเท่าไหร่ ผมเริ่มยุ่งและเสื้อผ้ายับเพราะถูกลูบไล้จากคนที่มามอบดอกไม้และถือโอกาสแต๊ะอั๋ง เมืองน่านแกล้งทำหน้าบูดก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นดอกไม้ช่อเล็กในมือของยิ้ม เขายื่นมันไปให้สุดเท่าที่แขนเล็กๆ นี่จะยื่นถึง ราวกับทหารต๊อกต๋อยกล้าหมายจะเด็ดดอมดอกฟ้าที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง “ให้พี่น่าน...ที่หล่อที่สุดในงานสำหรับยิ้ม”


“ขอบคุณนะยิ้ม”


“ด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดคับ”


เมืองน่านมองช่อดอกไม้ในมือแล้วหลุดยิ้มเหมือนคนบ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเห็นว่าช่อดอกในมือคล้ายจะแตกต่างจากดอกไม้ที่คนอื่นมอบให้อยู่สักหน่อย เพราะดอกไม้ป๊อบโหวตนั้นส่วนใหญ่จะเป็นกุหลาบสีแดงสด หากแต่ในช่อดอกไม้ของยิ้มนั้น...มันคือดอกกุหลาบขาวที่ถูกล้อมรอบด้วยกุหลาบแดงห้าดอก... ดอกกุหลาบสีขาวที่เขาชอบมากที่สุดดอกนั้น


ราวกับยิ้มจะพูดผ่านดอกไม้ช่อนี้ ว่าไม่ว่าจะพบผู้คนมากมายเพียงไร เขาจะเป็นคนเดียวที่อีกคนจะเฝ้ามองเสมอ


เมืองน่านหยิบดอกกุหลาบขาวออกจากช่อดอกไม้ก่อนจะส่งดอกไม้ช่อนั้นให้คนที่คอยเก็บดอกไม้เก็บไป ส่วนกุหลาบขาวนั้นเขานำมันมาจรดริมฝีปากก่อนจะถือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย


และแน่นอนเมื่อประกาศผลผู้ที่ได้รับตำแหน่งป๊อบโหวตจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเมืองน่าน ด้วยชนะอันดับสองไปด้วยดอกไม้มากกว่าสามร้อยดอก ยิ้มนั่งปรบมือให้อยู่หน้าเวที พร้อมกับขยับปากไร้เสียงส่งไปพร้อมกับคนอื่นๆ ที่กำลังร้องเรียกชื่อของเมืองน่าน ในตอนที่พิธีกรกำลังจะประกาศผู้ที่ได้รับตำแหน่งเดือนคณะเพื่อส่งไปชิงตำแหน่งเดือมหาลัยแข่งกับเดือนจากคณะอื่น ก่อนจะลุกขึ้นร้องเสียงดังเมื่อเมืองน่านคือผู้โชคดีคนนั้น


“พี่เต้ๆ ดูสิ พี่น่านได้เป็นเดือนมหาลัยแล้ว!!”


“ยัง!! นี่เดือนคณะยิ้ม ไม่ใช่เดือนมหาลัย”


ยิ้มเชิดหน้าพูดด้วยความมั่นใจ “เชื่อขนมกินได้เลย ยิ้มมั่นใจว่าพี่น่านจะได้เป็นเดือนมหาลัยแน่นอน!!”


“แต่มันอยากเป็นซะที่ไหนละยิ้ม เราไม่เห็นมันบ่นเลยหรือไงตอนที่เก็บตัวน่ะ”


“เป็นเดือนโก้จะตาย ทำไมพี่น่านถึงไม่อยากเป็นกัน”


เอกเลื่อนมือที่เขกหน้าผากเด็กที่ตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่เมื่อเมืองน่านชนะ แล้วพูดต่อ “ไม่ใช่เพราะเราหรือไง”


“เพราะยิ้ม?”


“ไอ้น่านมันไม่เคยอยากเป็นเดือนเลยยิ้ม ไม่อยากเป็นแม้แต่นิดเดียวเพราะการเป็นเดือนนี่มันดึงเวลาที่มันจะได้อยู่กับยิ้มไปไง”


“...”


“มันติดเรามากซะจนพี่คาดไม่ถึงเลยล่ะ”


ยิ้มลูบหน้าผากตัวเองเขินๆ กับสิ่งที่เอกพูดออกมา ก่อนจะพึมพำเสียงค่อย เบาเสียจนได้ยินเพียงหัวใจตัวเองเต้นดังคับอก
“ยิ้มเอง...ก็ติดพี่น่านมากเหมือนกันแหละน่า”









“น้องน่านนนน!! อยู่ไหนลูก”


“น่านน ออกมาถ่ายรูปกับพี่ๆ หน่อยจ้า หายไปไหนของเขาเนี่ยย”


“มีใครเห็นน้องน่านบ้างมั้ย น้องหายไปไหน”


“น้องน๊านนน!!”


...


“ไปแล้วๆ”


“แน่นะ?”


“อื้อ ยิ้มไม่ได้ยินเสียงแล้ว” เสียงพร้อมกับการขยับตัวยุกยิกหลังม่านที่ไว้เปลี่ยนเสื้อผ้า เมืองน่านที่ล้างเครื่องสำอางและเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยมองซ้ายขวาก่อนจับมือยิ้มวิ่งออกจากหลังเวที ตรงไปยังทางออกเพื่อไปจากงานนี้เสียที ทั้งสองคนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ที่เพิ่งสังเกตเห็นพวกเขากำลังวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังช้าไปอยู่ดี


“เร็วไอ้น่าน!!”


“ไอ้เอกติดเครื่องเร็วสิวะ”


“น่าน!! ยิ้ม!! มาเร็ว”


เสียงตะโกนของเต้ เอก เพียซที่รออยู่ปลายทางยิ่งทำให้ทั้งสองคนสับขาวิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้น ก่อนจะรีบกระโดดซ้อนท้ายมอไซต์ตรงดิ่งออกจากมหาลัยไป ยิ้มหัวเราะเสียงดังขณะเงยหน้าโต้ลมจากการนั่งมอเตอร์ไซต์ที่มีเมืองน่านเป้นคนขี่เหมือนเดิม ข้างกันนั้นก็มีรถเอกขับเคียงไม่ห่าง พวกเขาพูดคุยเฮฮาถึงเรื่องการฉลองหลังจากนี้ ทิ้งให้เหล่าคนที่รอจะถ่ายรูปกับเดือนวิทยาศาสตร์ได้แต่รอเก้อ มองรถมอไซต์ทั้งสองคันหายไปจนลับตา...



--------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยังไม่ดราม่าเร็วขนาดนั้นหรอกเนอะ

ให้เขามีความสุขกันก่อนนน

#ยิ้มของพี่น่าน
NAVY:)


ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ทำไมน่านถึงทิ้งยิ้มไปมีแฟน ทำไมยิ้มยังตามน่านอีก (มโนไปถึงอนาคตตอนม่าแล้ว)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1


บทที่ 5




“รู้จักน้องน่านคณะวิทย์มั้ย? เดือนปีนี้น่ะ”


“รู้สิ วันนั้นฉันยังไปส่องอยู่เลย งานดีมากกก”


“สูสีกับมาร์ค นิเทศฯ มั้ย? หรือดีกว่า”


“ถ้าตัดเรื่องส่วนสูง ฉันว่าก็สูสีกันนะ”


“แต่ฉันว่า...”


“หนวกหูชิบ ขยับไปนั่งที่อื่นได้มั้ยวะ”


ประโยคหลังจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้าตัวที่อยู่ในบทสนทนาด้านบน แม้จะกระซิบให้ได้ยินแค่กลุ่มเพื่อนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ทว่าน้ำเสียงที่เจือแววรำคาญใจของคนที่เคยอยู่แบบโนเนมมาตลอด (อย่างน้อยตอนที่มีแฟนคลับสมัยอยู่ชมรมว่ายน้ำ พวกหล่อนก็ไม่ได้มาวิจารณ์กันแบบระยะเผาขนแบบนี้นี่หว่า) กลับกลายเป็นคนดังชั่วพริบตายังคงชัดเจนมากพอให้เพื่อนๆ ที่กลั้นขำอยู่นานอดขำออกมาไม่ได้ เมืองน่านหน้าบึ้งเสียจนหมดเค้า ‘เมืองน่าน’ เดือนวิทยาศาสตร์สุดหล่อที่โปรยยิ้มแจกตอน (เด็กในปกครอง) มอบดอกไม้ป๊อบโหวต เป็นแค่ ‘ไอ้น่าน’ จอมหงุดหงิดไปเสียได้ เพียซกลั้นขำก่อนจะตบไหล่ให้ทำใจ เพราะแม้ตัวเขานั้นไม่ดังมากเท่าเพื่อน แต่ก็ถือว่าชีวิตส่วนตัวถูกขุดคุ้ยพูดถึงไปไม่น้อย ไม่อยากจะคิดว่าเมืองน่านต้องเจออะไรไปบ้าง
ระหว่างวันที่ผ่านมา


มือใหญ่กระแทกช้อนในชามก๋วยเตี๋ยวก่อนจะลุกขึ้นทันที ทำเอาสามหนุ่มที่เหลือเดินตามมาแทบไม่ทัน ทิ้งไว้แต่สีหน้าอึ้งๆ เหมือนไม่คิดว่าคนที่กำลังวิจารณ์หน้าตาอย่างออกรสออกชาติจะนั่งอยู่ข้างหลังตัวเองแบบนี้ไว้เบื้องหลัง ระหว่างทางน่านก็ยังคงบ่น


“ไม่น่ารับตั้งแต่แรกเลยว่ะ นี่วันก่อนมีคนมาเคาะถึงหน้าห้องถาม ‘นี่ใช่ห้องของเมืองน่านหรือเปล่าคะ?’ กล้าถามนะ ทั้งที่ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเพราะรู้ว่าห้องกูแม่งก็เลยมาเคาะกัน...”


“ไอ้น่าน เพิ่งรู้ว่ามึงขี้บ่น” เอกพูดขึ้น


“มันสมควรบ่นป่ะวะ บุกรุกความเป็นส่วนตัวชิบหาย ยามข้างล่างแม่งก็ไม่ห้ามอะไรเลย ตอนหลังกูถึงได้ไปบอกเขาให้กันๆ คน ถ้าไม่ใช่คนที่กูออกปากรับรอง ห้ามให้พาขึ้นมา ไม่งั้นนะป่านนี้แม่งคงได้กุญแจสำรองห้องกูไปล่ะ”


“เอาน่า” เต้วางชามลงบนที่ที่จัดให้วางจานชามที่ใช้แล้ว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าเมืองหน้าที่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ทำราวไม่สนใจกับสายตามากมายมที่มองมา “คนดังก็งี้แหละมึง แป๊บๆ เดี๋ยวเขาก็ลืม”


“คงลืมง่ายล่ะ เอาจริงๆ ก็คิดว่าทนไหวหรอกนะ ถ้าพวกนั้นไม่มายุ่งวุ่นวายกับยิ้ม”


“เดี๋ยวที่มึงบ่นๆ นี่เพราะ...มายุ่งกับน้องยิ้ม?”


“เออ”


เต้อ้าปากค้างหันไปมองเอกด้วยแววตาที่ดูก็รู้ว่าเริ่มสงสัยจนอดปากคำไว้ไม่อยู่ จนเอกต้องเริ่มเปิดปากถามว่าตกลงแล้วทังคู่นั้นเป็นอะไรกันแน่ “กูว่าจะถามมึงมานานล่ะ...”


ทว่าก็ถูกมือของเมืองน่านยกเป็นเชิงห้ามขึ้นมาก่อนเมื่อโทรศัพท์อีกคนมีสายเข้า แค่คำแรกที่ทัก พวกเอกก็แน่ใจแล้วว่าจนกว่าอีกฝ่ายจะคุยจบ (ซึ่งไม่จบง่ายๆ) พวกเขาจึงจะถามได้ “ไงยิ้ม กินข้าวหรือยัง? กินแล้วเหรอ กินอะไร...อย่าเดินข้ามถนนคนเดียวนะรู้มั้ย มันอันตราย... ครับ พี่ห่วงไง”


“...”


“ไปคืนหนังสืออ่ะได้พี่ไม่ห้าม แต่แค่ห่วงเราตอนข้ามถนนเฉยๆ ...ห่วงไม่ได้เหรอ?”


“...”


“ครับ แล้วนี่จะไปยืมต่อหรือเปล่า? เห็นบัตรที่พี่วางไว้ให้มั้ย...” แล้วเมืองน่านก็ค่อยๆ เดินห่างออกไปเรื่อย ทิ้งพวกเขาสามคนไว้กับคำถามที่จุกอกแต่หาที่ระบายไม่ได้สักที


“แล้วเมื่อไหร่จะได้ถามสักทีวะ ว่าน้องยิ้มกับมึงตกลงเป็นอะไรกันแน่?”











“โอเค งั้นเดี๋ยวยิ้มจะข้ามถนนไปคืนหนังสือแล้ว...ค้าบบ”


ยิ้มกดวางสายก่อนจะยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะกอดถุงในอ้อมกอดแน่น มองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวัง แม้ว่าตอนนี้ถนนจะค่อนข้างโล่งแล้ว แต่ก็ยังมีรถวิ่งอยู่ตลอด เมื่อเขาเห็นว่ามีคนกำลังจะเดินข้ามในจังหวะเดียวกัน ยิ้มจึงรีบวิ่งตามไปอย่างไม่คิดชีวิต เพราะหากรอเขาหาจังหวะเอง เห็นทีคงใช้เวลาเป็นชาติกว่าจะข้ามได้


เมื่อข้ามมาได้เขาก็ยิ้มให้กำลังใจตัวเองอย่างกับเพิ่งทำเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งได้ ทั้งที่มันก็แค่ข้ามถนนด้วยตัวเอง...แบบที่ไม่มีเมืองน่านคอยช่วยน่ะนะ


“ระวัง!!!”


“เฮ้ย!”


ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวของยิ้มก็ถูกแรงกระชากจากด้านข้างกระชากหลบรถมอเตอร์ไซต์ที่พ่วงท้ายคันโต ก่อนจะโดนชนไปเต็มๆ เสียงบีบแตรแหลมๆ ดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่รถคันนั้นจะจากไป ทิ้งให้ยิ้มมองตามอย่างงงๆ ที่เขาอุตส่าห์คิดว่าหลบพ้นเรื่องอันตรายบนท้องทะถนนแล้ว ทว่าก็ยังไม่พ้นอยู่ดี


“เป็นอะไรมั้ย?”


“...ไม่”


“เออ ดีแล้ว ทีหลังข้ามมาก็ขึ้นฟุตบาทด้วยดิ อย่ามายืนเด๋อด๋าอยู่ข้างถนน มันลำบากคนอื่นเขา”


ยิ้มหันไปมองคนที่เพิ่งช่วยตัวเองด้วยสีหน้าฉุนๆ พลางสะบัดมือออกจากการเกาะกุม ตอนแรกก็ว่าจะขอบคุณอยู่หรอกที่มาช่วย แต่โดนพูดจาแบบนี้ใส่ชักจะไม่โอเค “ถ้ามันลำบากมากนักทีหลังก็ไม่ต้องมายุ่ง”


“โอ้โห พูดงี้กับผู้มีพระคุณเหรอ”


“ปากดีแบบนี้สมควรให้ขอบคุณมั้ยล่ะ เงียบไปซะตั้งแต่แรกก็จะพูดขอบคุณอยู่หรอก”


“กวนแล้วมั้ยล่ะ หนีออกจากบ้านมาหรือไงไอ้เปี๊ยก”


“...” ยิ้มกัดปากแน่น ไม่ใช่ตอบโต้ไม่ได้ แต่เขาขี้เกียจไปต่อความยาวสาวความยืดกับคนแบบนี้ ยิ่งเห็นสีหน้าเยาะหยันที่อีกฝ่ายมองมา เมื่อเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ยิ้มก็ยิ่งหุบปากเงียบและตัดสินใจเดินไปอีกทาง ไม่สนใจจะฟังคำพูดของคนแปลกหน้าคนนั้นอีก


“อะไรวะ! เถียงไม่ได้เลยเดินหนีเหรอ ไอ้เปี๊ยก”


“...เปี๊ยกบ้าบออะไรวะ”


“เฮ้ หูหนวกหรือไง เมื่อกี้ยังพูดแจ้วๆ อยู่เลยนะ”


“แล้วจะตามมาทำไม วุ่นวาย!” ยิ้มพึมพำกับตัวเองเป็นครั้งที่สองก่อนจะวิ่งหนีเข้าซอยขวามือตัวเอง วิ่งหลบหลีกไปมา เพื่อที่คนบ้าๆ คนนั้นจะได้เลิกตามมาเสียที ก่อนจะใช้ความจำเดินย้อนกลับมาที่เดิมแล้วเดินไปยังร้านหนังสือเมื่อคิดว่าสลัดหลุด ทว่าใครมันจะไปรู้ว่า พอเดินมาถึงร้านจะพบว่าผู้ชายคนนั้นกลับมายืนอยู่หน้าร้านหนังสือซะงั้น


ผู้ชายนิสัยไม่ดี (ในสายตายิ้ม) คนนั้นชี้มายังในสือในอก ก่อนจะพูดขึ้นมา “ดูแค่ตราประทับหนังสือก็รู้แล้วว่านายจะมคืนหนังสือที่ร้านนี่ สนุกมั้ยล่ะ? วิ่งเล่นน่ะ...”


“...”


ไอ้บ้า!


“มองแบบนั้นทำไม หืม? เออ แล้วเมื่อไหร่จะขอบคุณเรื่องเมื่อกี้กับฉันล่ะ”


ยิ้มไม่ยอมพูดอะไรเหมือนเดิม แต่รีบเดินไปยังเคาเตอร์เพื่อคืนหนังสือให้เร็วที่สุด ตอนแรกก็อยากจะยืมต่อหรอกนะ แต่พอเจอแบบนี้แล้วอยากรีบกลับห้องไวๆ ชะมัด!


ผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าตอนที่ยิ้มคืนหนังสือเสร็จ ไม่ยอมไปไหนทั้งยังชอบมองมายังเขาด้วยสีหน้ากวนประสาท ยิ้มเบือนหน้าหนีทำเหมือนไม่เห็นผู้ชายคนนั้นในสายตา ก่อนจะเตรียมข้ามถนนเพื่อกลับไปหอพักอีกครั้ง


ชั่ววินาที่ข้อมือถูกมือกระด้างจับเข้าอีกครั้ง ด้วความไม่คุ้นเคยทำให้ยิ้มสะบัดอย่างแรง จนคนที่ถือวิสาสะมาจับอดตกใจไปด้วยไม่ได้ที่โดนปฏิเสธ ก่อนจะกลับมายิ้มยียวนเหมือนเดิมแล้วคว้าจับข้อมือยิ้มให้แน่นขึ้น “โห แรงดีใช่ย่อย”


“ปล่อย!!”


“อ้าว พูดได้แล้วนี่”


“บอกให้ปล่อยไงวะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”


“ทีเมื่อกี้นายยังไม่ยอมพูดกับฉันเลย งั้นครั้งนี้ฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินบ้างละกัน” ชายแปลกหน้าว่าด้วยสีหน้าสบายๆ ก่อนจะกึ่งลากกึ่งเดินพายิ้มข้ามถนนกลับไปยังฝั่งที่ยิ้มเดินออกมา ไม่ว่ายิ้มจะพยายามสะบัดหรือแกะมืออกใหม่สักกี่ครั้งมันก็ยังเป็นแบบเดิม ทั้งที่ความสูงของทั้งสองก็แทบไม่ต่างกันเท่าไหร่ ทว่าคนที่กำลังใช้กำลังกึ่งลากเขามานั้นแรงเยอะเสียจนเขาที่เป็นผู้ชายยังขัดขืนได้ยาก


“เอ้า ถึงแล้ว”


“ปล่อย!!!”


ผู้ชายแปลกหน้ารีบปลดมือตัวเองออกจากรอบข้อมือของยิ้ม ก่อนจะมองรอยแดงๆ รอบข้อมือของอีกฝ่ายด้วยสายตาลุขอโทษ...แม้จะแค่แวบเดียวก็เถอะ
“ผิวบางจังนะ อย่างกับผู้หญิงแน่ะ”


“ยุ่ง!!”


“ช่วยคนมันยุ่งวุ่นวายมากขนาดนั้นเลยหรือไง คนอื่นที่ฉันช่วยไม่เห็นเขาจะทำตัวแบบนาย มีแต่จะขอบคุณบูชาฉัน”


“นั่นมันคนอื่นไม่ใช่เรา ไปไกลๆ สักที” ว่าแล้วยิ้มก็หันหนีเตรียมวิ่งกลับไปยังหอแบบไม่คิดชีวิต ความหงุดหงิดทำให้ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มเป็นนิจไร้รอยยิ้มโดยสิ้นเชิง ทั้งที่ปกติไม่ว่าใครจำพูดจาหรือจะทำยังไง คนอย่างไอ้ยิ้มก็ไม่เคยหงุดหงิดเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าใกล้ทางเข้าหอแล้วเด็กหนุ่มจึงหยุดวิ่งและหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งมีการแจ้งเตือนขึ้นมาดู


ฉับพลันนั้นคล้ายกับมีคนมาสับสวิตซ์ในตัวยิ้ม


ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าบูดบึ้งเป็นรอยยิ้มภายในชั่วพริบตา เพียงแค่ประโยคเดียว





พี่น่าน :) : พี่กลับมาแล้วนะ รออยู่หน้าหอครับ 13.45 PM Read





“โห...ยิ้มสวยนี่เรา ทำไมไม่ชอบยิ้มล่ะ?”



“...จะตามมาทำไม”


ผู้ชายแปลกหน้าขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าทันทีที่เขาทักขึ้น รอยยิ้มที่ปรากฏบนดวงหน้าสะอาดสะอ้านนี้ก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันทีทันใด “อ้าว ทำไมไม่ยิ้มแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย”


“ยิ้มสวยจะตาย ยิ้มสิ”


“เราไม่ใช่คนบ้านะ จะได้ยิ้มให้คนบ้าแบบนาย!!”


“นี่ขนาดไม่บ้ายังคุยกับคนบ้าแบบนี้ได้ตั้งนานแน่ะ”


“...”


“เอ้า ยิ้มแบบเมื่อกี้อีกทีซิ อยากเห็น...เฮ้ย!! ไปไหน”


“...”


เสียงฝีเท้าที่ตามมาด้านหลังทำให้ยิ้มยิ่งรีบเดินมากขึ้น ท่องในใจซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเขาไม่ได้ยิน


“ยิ้มให้ดูอีกทีน่า แล้วเดี๋ยวจะไปเลย”


“...” ไม่ได้ยิน


“งั้นบอกชื่อก็ได้! ชื่ออะไร”


“...” ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!!!


“นายคนนั้นน่ะ...”






“มีปัญหาอะไรกับคนของผมไม่ทราบครับ?”






“พี่น่าน...” ยิ้มเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก่อนจะถูกดึงไปอยู่ด้านหลังของเมืองน่านจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของผู้ชายคนนั้น เห็นเพียงแต่เสื้อนักศึกษาที่ยังชื้นเหงื่ออยู่หน่อยๆ ของเมืองน่านเท่านั้น ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่ทันทีที่พวกพี่เอกเห็นเขา ก็เดินเข้ามาสบทบด้วยสีหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่รอดูเชิงเท่านั้น บรรยากาศเงียบลงไปมากเมื่อพี่น่านและเพื่อนๆ ปรากฏตัว แต่ก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น “ไม่ยักรู้ว่าอยากรู้จักใครต้องถามความเห็นคนอื่นด้วย”


เมืองน่านขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ทว่าก็ดูออกว่ากำลังไม่พอใจ “สำหรับคนอื่นอาจจะใช่ที่ไม่ต้องถามความเห็น” มือที่อยู่ข้างตัวเลื่อนไปหามือที่ยื่นมาหาเขาจากด้านหลัง ก่อนจะกุมกันแน่นแล้วพูดต่อ “แต่คนนี้ไม่ใช่”


“หวงจังเลยนะครับ พี่ชายเหรอ?”


“ไม่ใช่”


“...งั้น แฟน?”


“...”


ผู้ชายคนนั้นยิ้มแต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่โคตรกวนประสาทเหลือเกินในสายตาเมืองน่าน “เพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่าไม่ได้เป็นอะไรสักอย่างแต่กลับมีสิทธิ์หวงได้ด้วย อ้อ หรือเป็นเจ้าหนี้ถึงได้ทำแบบนี้ได้”


“กวนตีนนักนะมึง...”


“ไอ้น่าน!!”


“ใจเย็นมึง”


เอกและคนอื่นๆ รีบออกปากห้าม ยิ้มเองก็รีบรั้งแขนพี่น่านเอาไว้ เมื่ออีกคนหันมาเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าอย่าไปยุ่งกับคนแบบนั้น เมืองน่านเงียบไปนานจนเขาหวั่นใจ แต่สุดท้ายก็โล่งใจเมื่อเมืองน่านยอมหันหลังจูงมือเขาเดินขึ้นหอพักไป ทว่าผู้ชายคนนั้นก็ยังคงกวนประสาทเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อวินาทีก่อนพวกเขาจะขึ้นหอ เสียงยียวนนั้นยังไล่ตามหลังมาคล้ายจะไม่ให้เมืองน่านหรือคนอื่นๆ ลืม


“นายคนยิ้มสวยคนนั้นน่ะ ไว้เจอกันอีก...ฉันจะทำให้นายยิ้มให้ได้เลยคอยดู”







ขอโทษที่ช้ามากกกๆ นะคะ แงง
T_T
NAVY:)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
บทที่ 6








ปัง!!


“พี่น่าน...”


แค่เสียงปิดประตูโครมใหญ่ไอ้ยิ้มก็ใจแป้วเสียแล้ว ยิ่งเมื่อการเรียกชื่อของเขาไม่ได้รับการตอบรับเช่นที่เคย หน้าของมันก็ยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ พี่น่านของมันดุและโกรธน่ากลัวแค่ไหนมันรู้ดีที่สุด แต่ที่ไม่เคยกลัวเลยเพราะมันไม่เคยถูกพี่น่านโกรธใส่มาก่อน ซ้ำร้าย ไม่ว่าจะทำให้โกรธหรือไม่ เมืองน่านก็พร้อมจะอภัยให้ง่ายๆ เสมอ เพียงแค่มันยิ้ม...และอ้อนนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น


ทว่าครั้งนี้ คล้ายแผนการง้อแบบเดิมๆ คงไม่อาจทำให้พี่น่านหายโกรธมันได้ง่ายๆ อีกแล้ว


มือของมันดูลังเลที่จะยื่นไปหาคนตัวสูงที่กำลังกระดกน้ำเข้าปากราวกับกระหายน้ำเสียมากมาย จะเดินไปหาก็ไม่กล้าได้แต่ยึกยักมาอยู่กลางห้อง ยิ่งเมื่อเมืองน่านตวัดสายตามามองเหมือนอยากจะถามว่าทำไมเขาจึงไม่ยอมพูดหรือมีอะไรทำไมไม่พูด ใบหน้าที่หวาดกลัวของมันก็สั่นดิ๊กๆ แล้ววิ่งหนีไปตั้งหลักในห้องน้ำเสียอย่างนั้น ทิ้งให้คนที่กำลังโกรธแต่ก็รอให้อีกคนพูดอยู่นั้นได้แต่สบถในลำคอเพียงลำพัง ทั้งที่จริงแทบอยากจะเข้าไปบีบคอไอ้เด็กเวรนั่นให้หายโมโหแทนมาทำหน้าดุแบบนี้ใส่ยิ้มจะตาย!


เมืองน่านทิ้งตัวลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดงสดที่แบกมาจากบ้าน นิ่งคิดพยายามให้ตัวเองหายหงุดหงิดโดยไว เขาจะได้ไม่ต้องเห็นท่าทางหวาดหวั่นแบบนั้นจากยิ้ม... นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้แสดงความโกรธแบบนี้ให้อีกคนเห็น ทว่าครั้งนี้มันไม่ใช่เพียงความโกรธเฉยๆ นี่หว่า


เขาหวง หวงทั้งตัว ทั้งรอยยิ้ม ไม่อยากให้ไอ้เวรหน้าไหนเห็นทั้งนั้นล่ะ


ไอ้หมอนั่น...ถึงตอนนี้ยังไม่มีเจตนาอะไร หากแต่คนแบบยิ้ม มีหรือเมื่อได้รู้จักแล้วจะไม่ชอบ


เช่นเขาที่คิดว่าจะคงความเป็นพี่ชายที่สนิทได้ตลอดรอดฝั่ง ยังพ่ายแพ้กับรอยยิ้มนั้นที่เข้ามามอบความสดใสให้กับคนที่คิดว่าสูญเสียไปหมดแล้วทุกอย่าง จนกลับมายืนด้วยสองตัวเองได้อีกครั้ง


เขาไม่มีพ่อแม่ ญาติมีก็เหลือคนเดียวที่คอยถามไถ่คอยส่งเสียเขาจนเรียนจบ นอกนั้นน่ะเหรอ...แค่เพราะในมือของเขามันมีเงินมรดกพ่อแม่เท่านั้นแหละถึงยังติดต่อมา! เพื่อนเก่าๆ ก็ติดต่อได้แค่คนสองคน การย้ายบ้านครั้งสุดท้ายทำให้เขามีญาติผู้ใหญ่ที่เคารพเพียงพ่อของยิ้มและยิ้มคอยเคียงข้างเท่านั้น
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาจะถามยิ้ม หากเป็นเรื่องที่ยิ้มช่วยตัดสินใจไม่ได้พ่อของยิ้มก็จะคอยให้คำแนะนำชี้ทางให้เขาตัดสินใจต่อได้ในทางที่ดี ทั้งสองคนคอยค้ำจุนเขา...หนึ่งคือบุญคุณจากมิตรสหายเก่าของพ่อ หนึ่งคือกำลังใจที่ตอนนี้ไม่อยากขาดไปแม้แต่วินาทีเดียว


พอคิดแบบนั้นก็คล้ายกับความโกรธในอกค่อยๆ ละลายหาย ดวงตาเหลือบไปมองห้องน้ำที่ยิ้มเข้าไปซ่อนตัวได้เกือบห้านาทีแล้วถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำ เตรียมจะเคาะเรียกให้ยิ้มออกมาพร้อมทั้งบอกว่าเขาไม่ได้โกรธ... เสียงอู้อี้จากอีกฝั่งประตูก็ดังขึ้นมาก่อน “พี่น่าน ยิ้มขอโทษนะที่ไม่ระวังตัว”


“...พี่ไม่ได้โกรธยิ้ม”


“แต่พี่ก็ยังโกรธอยู่ ไม่ใช่เหรอ?”


“...”


“ยิ้มไม่อยากให้พี่น่านโกรธเลย ไม่ว่าจะโกรธใครก็เหอะ”


“เพราะเวลาพี่โกรธน่ากลัวล่ะสิ” รอยยิ้มหยันผุดขึ้นที่เรียวปากคล้ายจะยิ้มเยาะตัวเอง โทษใครไม่ได้ หลังจากพ่อแม่ตายเขาก็เจอแต่เหล่าญาติๆ ที่หวังเงินประกันกับเงินมรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้ แม้มันจะมากมาย หากแต่ถ้าเทียบกับเขาที่ตอนนั้นกำลังจะเข้าเรียนม.ต้น ยังไม่ทันได้เรียนจบ มันก็ยังถือว่าพอแค่กล้อมแกล้มเรียนจบถึงปริญญาตรี เหล่าญาติต่างเข้าหายิ้มด้วยสีหน้าที่เขาขยะแขยงว่าจะคอยส่งเสียดูแล ขอเพียงได้ดูแลมรดก จนเขาชินชาที่จะตีสีหน้าดุดันเพื่อกล่าวปฏิเสธไปเสียแล้ว หากไม่ได้พ่อของยิ้มและลุงที่อยู่ต่างประเทศยื่นมือมา เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเงินส่วนนั้นที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เขาเรียนหนังสือนั้น จะเหลือสักเท่าไหร่กัน


เขาลืมการยิ้มอย่างมีความสุขไปแล้วก่อนที่จะได้พบกับยิ้ม


เมื่อพบกับเด็กตัวเล็กๆ ที่คอยเกาะรั้วสีขาวที่เคยกั้นเขาจากทุกคนนั่นทุกวัน ทุกวัน คอยถามและยิ้มกว้างจนเห็นฟันเล็กเรียงเป็นระเบียบ คอยละลายกำแพงที่เขาขังตัวเอง บางที...หากไม่มียิ้ม เขาคงไม่ได้พบสิ่งที่เรียกว่าความสุขอีก


ยิ้มเป็นความสุขของเขา


แม้กระทั่งในตอนนี้


“ยิ้มไม่อยากให้พี่โกรธ...จนเสียเวลาที่จะมีความสุขมากกว่า”


ยิ้มก็ยังเป็นทุกอย่างที่เติมเต็มใจที่มีแต่ช่องว่างให้เต็มไปด้วยสุขล้นที่ได้พบเพราะอีกคนเสมอ


“...”


ยิ้มเปิดประตูห้องน้ำออกมาหาเขาที่ยืนอยู่ ดวงหน้านั้นไม่มีวี่แววลังเลหรือกังวลใจอีก ก่อนจะเข้ามากอดเขาซึ่งเขาก็กอดตอบกลับเหมือนเช่นเคยๆ “ยิ้มรู้ว่าพี่ไม่ชอบ แต่ไม่ต้องโกรธจนตัวเองต้องมาเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้เลยนะ ยิ้มไม่มีวันไปไหนหรอก”


“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”


“อ้าว นี่ไม่ได้หึงอยู่เหรอ” เจ้าตัวเล็กผละออกจากอ้อมกอด ตีหน้าเหวอจนเมืองน่านหลุดหัวเราะออกมา ก่อนเขาจะก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากหอม แล้วโอบร่างนั้นมากอดแน่นขึ้น “หึงสิ หวงมากด้วย ยิ้มมีคนเดียวพี่ไม่อยากแบ่งกับใครทั้งนั้นแหละ”


“ก็นั่นไง ต่อให้มีคนอยากแบ่ง พี่น่านจะเบื่อยิ้มแล้ว...ยิ้มก็ไม่ไหนหรอก”



“ไม่มีวัน...”


“ฟังก่อนซี่”



“จ้า”


ยิ้มหลุดขำกิ๊ก ก่อนจะพูดต่อ “ยิ้มเลือกแล้ว อาจจะเลือกตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วก็ได้ ว่ายิ้มจะไม่ไปไหน”


“...”


“อยู่ให้พี่น่านคอยห่วง หวง อยู่ให้พี่บ่นว่าทำไมยิ้มไม่ดูแลตัวเอง อยู่ให้พี่คอยดูแล...อยู่ให้พี่คอยยิ้มให้”


“...”


“ยิ้มแค่อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้ตอนนี้คนที่ทำให้พี่น่านยิ้มได้จะไม่ใช่ยิ้มแล้ว ยิ้มก็ยังอยากเป็นไอ้ยิ้มของพี่น่านเหมือนเดิมอยู่ดี”


เมืองน่านไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไงดีกับรอยยิ้มที่เอาแต่ขยายออก ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงกับความสุขที่ตอนนี้มันพองโตไปหมดทั้งใจกับคำพูดน่ารักๆ ของเด็กที่กำลังกอดเขาอยู่ในตอนนี้ เขาได้แต่กระซิบขอบคุณซ้ำๆ ขอบคุณที่ยิ้มอยู่กับเขามาตลอดหลายปี ขอบคุณคำเดิมๆ ที่เขาได้แต่พูดให้อีกคนฟังโดยที่ไม่รู้ว่ายิ้มนั้นเบื่อที่จะฟังแล้วหรือไม่


“ขอบคุณนะยิ้ม”


“...ขอบคุณทำไม มันเรื่องจริงนี่”


“พี่ก็จะอยู่กับยิ้ม จะพยายามให้เราได้อยู่ด้วยกันให้ได้”


“...”


“รอพี่หน่อยนะ”


“...อื้ม”


เมืองน่านเอนซบอยู่บนเส้นผมนุ่ม ดวงตากวาดที่มองไปด้านหลังของยิ้มราวกับกำลังวาดฝันถึงอนาคตที่ห่างไกล ที่ไม่รู้ว่า...จะมีสักทางในอนาคตหรือไม่ที่จะมี ‘พวกเขา’ เดินร่วมอยู่บนทางเดียวกัน ดั่งที่ปรารถนามาตลอด









“พี่ละนึกว่าไอ้น่านจะวิ่งเข้าไปตั้นหน้าเด็กคนนั้นแล้วซะอีก” เต้พูดขึ้นระหว่างที่พวกเขามากบดานกันอยู่ที่ห้องเอก พร้อมกับสั่งพิซซ่ามาสองถาดแทนข้าวเย็นที่ตั้งใจกันว่าจะไปหากินกันข้างล่าง ทว่าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่ไป พอพูดคำว่าข้างล่างปุ๊บ เมืองน่านก็ชักสีหน้าจนไอ้ยิ้มออกความเห็นว่าสั่งพิซซ่ามาดีกว่า... “ไอ้น่านก็สูงตั้งเท่านี้ ถึงไอ้เด็กนั่นมันจะสูงกว่ายิ้มเยอะ แต่ก็ยังเตี้ยกว่าไอ้น่านอยู่ดี ถ้าตีกันนะมีหวัง...”


“ไอ้เต้!!”


“อะไรวะ กูแค่พูด”


เอกวางกระดูกไก่กรอบที่มาพร้อมเซตพิซซ่าที่สั่งลงกล่องเปล่า แล้วชี้ไปที่หน้าเมืองน่านที่เหมือนมีเมฆหมอกดำทะมึนกระจายทั่ว “ดู! มึงดูหน้าเพื่อนมึงซิ ใช้สมองน้อยๆ เท่าเม็ดถั่วมึงประเมินสถานการณ์ด้วยครับ เลิกพูดไอ้เด็กนั่นสักที ก่อนไอ้น่านจะขับรถไปตาล่าฆ่าเขาถึงบ้าน ให้โดนลากเข้าคุกนอนกินข้าวแดงเล่น”


“...กูกินต่อก็ได้”


ยิ้มหัวเราะเบาๆ แล้วจับมือของพี่น่านเอาไว้ข้างหนึ่งอย่างไม่กลัวว่าจะกินลำบาก “ขอบคุณครับ”


“ไม่อยากได้คำขอบคุณว่ะน้องยิ้ม พี่ขอแลกกับคำถามหนึ่งได้หรือเปล่า”


“ถ้ายิ้มตอบได้นะครับ”


ทั้งสามคนมองหน้ากันเองแล้วหันมามองยิ้มที่เอียงคอมองพร้อมกับงับชิ้นพิซซ่าชีสเยิ้มไปด้วย ท่าทางราวกับหนูแฮมสเตอร์ตัวโตกำลังเล็มอาหารนั้นน่ารักสิ้นดี แต่พวกเขานั้นห้ามมองเกินกว่าห้าวิเด็ดขาด ไม่งั้นสายตาพิฆาตจากไอ้น่านจะทิ่มทะลวงมาทางพวกเขาทันที! เพียซเห็นเพื่อนทั้งสองของตัวเองเอาแต่เกี่ยงกันไปมา เขาจึงพูดเองเพื่อไม่ให้เสียเวลา “ยิ้มกับไอ้น่าน...มากกว่าที่เห็นอยู่หรือเปล่า?”


ผลั๊วะ!


“ถามเชี่ยอะไรของมึงเนี่ยกำกวมชิบหาย” เต้ตบหัวเพียซพร้อมว่าด้วยสีหน้ารำคาญใจที่เพื่อนถามอ้อมโลกเกิน


“อันนี้กูเห็นด้วย ทำไมมึงไม่ถามไปว่ะแบบ ‘เป็นแฟนกันเหรอยิ้ม?’ ยังจะเข้าใจง่ายกว่าเยอะ” เพียซชักสีหน้าใส่คู่กัดขัดคอที่มักจะตีกันบ่อยๆ แต่ในบางคราก็มักจะชอบแท๊กทีมมารุมเขา ก่อนจะโต้คืน “มึงก็ถามเองสิวะ เอาแต่เถียงกันจะรู้มั้ย สัส”


“เอ้า มึงถามแล้วพวกกูจะถามทำพระแสงเตี่ยมึงหรื๊ออ”


“ช่ายยยย”


“ไอ้เวรพวกนี้นี่...”



แต่ก่อนพวกเขาจะตีกัน เมืองน่านที่เพิ่งกินน้ำจากแก้วที่ยิ้มส่งมาเสร็จก็เงยขึ้นตอบเสียงเรียบ ทั้งยังไม่ปรายตามองว่าเพื่อนตัวเองแทบจะตีกันตายอยู่แล้วแค่เพราะความอยากรู้อยากเห็น “ไม่เคยขอคบ แต่จูบกันแล้ว พอใจยัง”


“พี่น่านนนน”


“อ้าว พี่พูดอะไรผิด”


“ไม่ผิดโว้ยย แต่...ตอบตรงไปมั้ย”


เมืองน่านชี้พวกเพื่อนที่กำลังมองมาทางเขาเป็นทางเดียว แล้วตอบยิ้มที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ “ก็มันสงสัยกัน พี่ก็ตอบไง”


“โอ๊ย พี่น่าน...ไอ้พี่น่าน บ้าที่สุดเลย”


“พี่ผิดอะไรเนี่ย” เขาหลุดหัวเราะออกมาเมื่อยิ้มเริ่มระดมทุบและยังมุดซุกใบหน้ากับแผ่นหลังเขาไม่หยุด ราวกับไม่ต้องการให้เพื่อนทั้งสามของเขาเห็นใบหน้าแดงแจ๋ของอีกคนได้ เสียงหัวเราะคิกคักของทั้งสองที่อยู่ในโลกส่วนตัว เรียกให้สติของทั้งสามคนกลับมา แม้จะยังไม่เต็มเท่าไหร่นักแต่ก็มากพอจะเข้าใจ เพียซเป็นคนแรกที่ได้สติและถามต่อคนแรก “เดี๋ยว! ไอ้น่านกลับมาคุยกับพวกกูก่อน”


“...”


“ไอ้ที่...มึงว่า ‘จูบกันแล้ว’ นี่ตอนน้องเท่าไหร่ว่ะ?”


“...” เมืองน่านไม่ได้ตอบ แต่ยกสองนิ้วแทน คราวนี้ได้เสียงตะโกนตอบกลับมาแทน


“ป.สองเหรอ ไอ้เชี่ย!!!”


“น่าน มึงมันสารเลว”


“มึงมันหลอกเด็ก ไอ้ตาแก่หื่มกาม”


“พวกมึงต่างหากที่เลว ไอ้สัส คิดกันแต่ละอย่าง” ว่าแล้วก็หยิบหมอนอิงปาไปเรียงตัว ก่อนจะพูดต่อ “ม.สองหรอกไอ้พวกบ้า กูเจอน้องตอนน้องสิบขวบ ไม่ได้เจอตอนเจ็ดขวบ ไอ้ฟาย”


“เปลี่ยนเรื่องคุยกันได้มั้ย ยิ้มเขินจะตายอยู่แล้ว พ๊อออ!”


เสียงตะโกนของยิ้มทะลุขึ้นมากลางปล้องท่ามกลางเสียงโวยวายของผู้ชายตัวโตๆ ทั้งสี่ ก่อนที่ทุกคนจะมองใบหน้าน่ารักกับแก้มแดงแจ๋นั่นด้วยแววตาเอ็นดู แต่ก็เพียงไม่กี่วิเท่านั้นแหละ พอเมืองน่านรับรู้ว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่กันสองคน ก็รีบหันหลังบังไม่ให้ใครมองหน้ายิ้มอีก ไม่สนใจเสียงโวยวายจากเบื้องหลังที่เอาแต่พูดว่าเขานั้นขี้งกเหลือเกินที่เก็บของน่ารักๆ ไว้ดูคนเดียว


“ไอ้น่าน ของดีต้องแบ่งกันดูสิวะ”


“น้องยิ้มก็น้องกูนะเว้ยยย ดูมั่ง”


“สัส น่าน กับเพื่อกับฝูงมึงยังหวง ไอ้ขี้งกกก”


“เรื่องของกู ยิ้มของกู”


“เงียบไปเลย ทั้งสี่คนนั้นแหละ พอแล้ว!!!”


แล้ววันนั้นห้องของเอกก็ได้รับเสียงด่ามากมายจากห้องอื่นๆ เนื่องจากเสียงดังมากเกินไป ก่อนจะได้รับใบแจ้งเตือนยาวเหยียดจากคนดูแลหอในเช้าวันถัดมา ท่ามกลางเสียงหัวเราะในความโชคร้ายของเพื่อนๆ จากเต้ เพียซ และเมืองน่าน จนเอกตั้งกฏห้ามไม่ให้พวกนั้นมาสังสรรค์ห้องเขาอีกเป็นอันขาด ทว่าใครจะไปรู้อนาคตได้ สุดท้ายเวลามีเรื่องประชุมหรือจะคุยปาร์ตี้อะไร ทุกคนก็ยังมาอยู่ห้องเอกอยู่ดี อาเมน











ต่อด้านล่าง


ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ต่อจากด้านบน







“คราวนี้น้องๆ จะต้องเตรียมการแสดงเป็นคู่แทนนะคะ ซึ่งคู่ของน้องๆ จะไม่มีการจับเองหรือพี่คนไหนจับให้ทั้งนั้น ทุกคนจะได้รับการสุ่มจากการจับสลากเอง จะเป็นคู่ชายชาย หญิงหญิง หรือชายหญิง ก็ได้ แต่! ห้าเปลี่ยนคู่เองเด็ดขาด หลังจากได้คู่กันแล้วก็ให้น้องๆ ทั้งสองคนช่วยกันคิดการแสดงขึ้นมาหนึ่งการแสดง ส่วนเรื่องคะแนนจะคิดเป็นรายคนและมีคะแนนคู่ที่จะแบ่งให้คนละครึ่งด้วยให้ด้านการทำงานเป็นทีม เอาล่ะค่ะ น้องคนแรกที่จะมาจับ น้องเฟย นิติฯ มาเลยค่ะ”


เสียงจอแจเงียบลงไปถนัดตาเมื่อมีการจับสลากเลือกคู่เกิดขึ้น เมืองน่านที่หลับไปแล้วได้สองตื่นถูกปลุกโดยเพื่อนจากคณะแพทย์ที่ได้รู้จักกันในการซ้อมการแสดงดาวเดือนให้เตรียมมาจับสลาก สีหน้าเบื่อๆ ของเมืองน่านตอนที่ถูกเรียกโดยเสียงแจ๋นๆ ของรุ่นพี่กระเทยทำให้เพื่อนคนอื่นๆ หัวเราะร่วน ยิ่งเมื่อผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อยืดถูกลูบไล้และอาการตอบรับคือกระโดดหนี ก็ยิ่งเรียกเรียโห่ฮาให้ดังขึ้นอีก


เมืองน่านลูบแขนตัวเองที่ถูกลูบเบาๆ ไม่ได้รังเกียจเพศที่สามทางเลือกอะไรหรอกนะ แต่เขาไม่ชอบให้คนมาจับเนื้อต้องตัวทางที่ดูก็รู้ว่าไม่บริสุทธิ์ใจนี่หว่า ว่าแล้วเขาก็เลือกสุ่มๆ กระดาษแผ่นน้อยในกล่องก่อนจะยื่นมันไปให้รุ่นพี่ที่รออยู่แล้ว สีหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้เขารำคาญอย่างบอกไม่ถูก


...ผู้หญิงนี่ ขี้เม้าท์ชะมัด ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เรื่องของเขากับไอ้คู่คนนี้จะไปถึงไหน


“น้องเมืองน่าน วิดยา ได้คู่กับน้องเอิง พยาบาลค่ะ”


“โห่ อะไรอ่ะพี่เต็ม ทำไมมันได้คู่กับผู้หญิงที่สวยขนาดนั้น ไม่ยอมม”


“ไอ้เอิงงง กูอิจฉา”


“อยากสลับไปคู่กับน่านมั่งอ่า”


เสียงโวยวายมีขึ้นเป็นระยะ แต่เมืองน่านไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก เขาเดินไปหาวไปก่อนหยุดลงนั่งข้างเอิงที่ยิ้มขันๆ กับสีหน้าอ้อนวอนของเพื่อนที่รั้งแต่จะขอแลกให้ได้เมื่อเธอได้คู่กับเมืองน่าน ผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคนที่เป็นดาวล้วนบอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่า โดนใจที่สุด หญิงสาวหันไปสะกิดเมืองน่านก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าคล้ายจะทำความรู้จัก “ฝากตัวด้วยนะน่าน”


“อือ รีบๆ ทำให้มันจบเถอะ”


“เบื่อเหรอ”


“โคตร”


“คิดถึงน้องคนนั้นอ่ะดี้!”


น่านถอนหายใจก่อนจะดีดหน้าผากเอิงจนร้องเสียงหลง “เลิกพูดได้ล่ะ ไอ้เหม่ง ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ”


“น่านบ้า เจ็บนะ!”


“สมควรโดน”


“ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย”


“กับเธอน่ะเหรอ? ฝันรอไปชาติหน้าเถอะ”


แล้วสุดท้ายเอิงก็ปิดสนทนาของพวกเธอสองคนด้วยการตีไหล่น่านไปหนึ่งที ท่ามกลางสายตาท่มองมาด้วยความสงสัยกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะถาม เพราะเมืองน่านนั้นมีนิสัยค่อนข้างที่รักความเป็นส่วนตัวสูง ส่วนเอิงนั้นก็เหมือนจะเข้าหาง่าย ทว่าท่แท้จริงแล้วค่อนข้างวางตัวออกห่างคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ เมื่อเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกัน ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า...มีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า


ระหว่างผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ชอบพูดกับใครเกินสองประโยคกับผู้หญิงที่วางตัวออกห่างกับคนอื่น


จากคนหนึ่งสู่อีกคน จากหนึ่งกลุ่มไปอีกกลุ่ม


กว่าจะรู้ตัว ข่าวลือของทั้งคู่ก็ไปไกล...เกินกว่าจะหาแล้วว่า ต้นตอนั้นมาจากที่ใดกันแน่แล้ว














ว่ากับว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ยามที่เฝ้ามองใครสักคนที่ปักใจ ก็ราวกับจะประกาศถึงความรู้สึกในใจให้ฝ่ายนั้นรู้ และเพราะแบบนั้น...


“พี่เพียซเลิกเอากล้องส่องทางไกลส่องเถอะ ยิ้มอาย”


เพียซลดกล้องส่องทางไกลในมือลดลง ก่อนจะตอบยิ้มกลับไป ขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องที่ร่างบางที่แสนโดดเด่นในสายตาของเขา “ก็ได้ พี่ไม่ส่องกล้องก็ได้”


“...ลงจากต้นไม้ด้วยพี่เพียซ!!”


“แต่ลงไปพี่ไม่เห็นเขาอ่ะดิ”


“ลงมา!!!”


“ก็ได้ๆ ลงก็ได้”


ยิ้มปิดหน้าอย่างอายๆ เมื่อถูกสายตาจากหลายที่มองราวกับเป็นตัวประหลาด ยิ่งเมื่อเพียซที่อยู่ในชุดไปรเวทกางเกงยีนส์มียี่ห้อ เสื้อเชิ้ตเท่ๆ ใบหน้านั่นก็ดูดีบอกยี่ห้อความเป็นเดือนเอกฟิสิกส์ แต่กลับทำตัวเหมือนไอ้ถ้ำมอง ลากเขาที่กำลังจะไปชวนพี่น่านของเขาไปกินข้าว มายืนรอตัวเองส่องผู้หญิงอีกคนในกลุ่มของดาวเดือนที่กำลังซ้อมการแสดง ยิ่งทำให้เกิดข้อครหาจากสายตาดังกล่าวว่า ไอ้เดือนที่อุตส่าห์ยังมีความหล่อกับเขานี่มันสมควรส่งไปหาตำรวจหรือเปล่า?

 
เพียซปัดเศษไม้ ใบไม้ที่เกาะตามตัวก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนการกระทำประหลาดๆ ของตัวเอง แล้วเรียกยิ้ม “ป่ะ ไปหาไอ้น่านกัน น่าจะได้เวลาแล้วล่ะ”


“เลยมาสิบนาทีแล้ว พี่ก็มัวแต่ส่องกล้องอยู่ได้”


“อ้าว ก็พี่ไม่กล้าไปทักนี่หว่า คนสวยเขามีไว้มองไกลๆ มืออย่าต้อง นี่คือคติสำหรับพี่”


“ถ้ายิ้มเป็นผู้หญิงคนนั้น ยิ้มจะแจ้งตำรวจเลยล่ะถ้าเห็นพี่ทำแบบนี้”


“เห้ย แรงไปมั้ง”


“ไม่อ่ะ โรคจิตว่ะพี่เพียซ คนเราเห็นหน้าตาดีๆ ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้”


เพียซหัวเราะร่า ก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ขี่มอไซต์คันเก่งไปยังตึกที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาจอดแอบมองคนอื่นมากนัก “พี่ป๊อดแค่เฉพาะคนนี้น่า คนอื่นพี่ก็จีบปกติ แต่คนนี้...ยากว่ะ”


“ทำไมอ่ะ”


“เขามีคนฝังใจ ขนาดเลิกกันไปแล้วยังไม่ลืม เห็นยังติดต่อกันอยู่ เลยจีบไม่ได้”


“เอ้า ยิ่งตอนช่วงนี้นี่แหละที่พี่ควรจะเอาตัวเองเข้าไปแทรก ไม่มีใครคนไหนหรอกนะพี่ที่อยากอยู่แบบครึ่งๆ กลางๆ แบบไม่รู้ว่าเป็นอะไรสำหรับคนที่ตัวเองรักหรอกนะ”


“เดี๋ยวผู้ชายคนนั้นก็ไปต่างประเทศแล้ว รอก่อนดิ เดี๋ยวจะจีบมาเป็นศรีสะใภ้คนแรกของกลุ่ม คอยดู”


ยิ้มหัวเราะกับหน้ากระหยิ่มกระหย่องของเพียซที่ดูราวกับชายหนุ่มผู้เพ้อฝันถึงเจ้าหญิงแสนสวยของตัวเองที่ยังไม่มีโอกาสได้ครอบครองคนนั้น “จ้า ยิ้มจะรอเจอว่าที่พี่สะใภ้คนแรกของกลุ่มนะ”


“ไว้ใจได้ จะไม่ทำให้ผิดหวัง”


เพียซเลือกที่จอดรถไว้ใต้ต้นไม่ใหญ่ข้างๆ ตึก ก่อนจะเดินนำยิ้มไปยังใต้ตึกที่กำลังมีการซ้อม ซึ่งจากที่เมืองน่านส่งข้อความมา อีกราวๆ ห้านาทีก็จะปล่อยแล้ว...และก็เป็นอย่างที่คิด ไม่นานกลุ่มคนที่รวมตัวกันก็ค่อยๆ แยกย้ายออกเป็นกลุ่มละคนสองคน พูดคุยกันเหมือนจะคุยกันว่าหลังจากนี้จะไปต่อที่ไหนดี เมืองน่านเองก็เช่นกัน ร่างสูงในเสื้อยืดเปียกชื้นเดินแยกออกมาจากกลุ่มดาวเดือน หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นหลัง ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ในมือคล้ายกำลังติดต่อใคร ทางด้านพวกเขาที่กำลังจะยกมือเรียกเพื่อนกลับต้องชะงักไปเสียก่อน เมื่อเห็นว่าเมืองน่านนั้น ถูกเรียกด้วยคนอื่นก่อนเสียแล้ว



ทั้งสองหันกลับคุยกันด้วยท่าทางที่ค่อนข้างสนิทสนม รอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้น สีหน้าผ่อนคลายของเมืองน่าน ทำให้ยิ้มมองด้วยความรู้สึกอึดอัดไม่น้อย มีความสงสัยขึ้นมาครามครันว่าเธอคนนั้น...ทำไมถึงได้สนิทกับพี่น่านของมันเสียเหลือเกิน จนกระทั่งได้ยินเสียงพึมพำของคนข้างตัวนั่นแหละ ยิ้มถึงได้รู้สึกตัวว่ามันไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว


“...เอิง”


“พี่เพียซว่าไงนะ”


“ผู้หญิงคนนั้น”


“...”


“ผู้หญิง...คนที่พี่แอบชอบเขามาตลอด”


“เขามีคนฝังใจ ขนาดเลิกกันไปแล้วยังไม่ลืม เห็นยังติดต่อกันอยู่ เลยจีบไม่ได้”


จู่ๆ คำพูดของเพียซก่อนหน้านั้นก็ดังขึ้นมาในสมองของยิ้ม ทั้งที่ส่วนลึกร้องเตือนดังว่าไม่ใช่ ...จะใช่ได้อย่างไรในเมื่อตลอดเวลาของเมืองน่าน ล้วนมีเขา...มีไอ้ยิ้มคนนี้คอยตามติดคล้ายดั่งเงาตามตัว จะมีเวลาไหนกันที่พวกเขาทั้งสองคนจะคบกันได้ โดยที่เขาไม่รู้


แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งที่รู้แล้วแท้ๆ ว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะเคยคบกัน


“แล้วเดี๋ยวเราโทรไปนะน่าน”


“อย่าดึกนะ กวนเวลานอน”


“เรื่องงานนะยะ”



“เออ นั่นแหละ กวนหมด”


“ไอ้น่านบ้า”



แต่ทำไมในใจของเขาถึงได้เจ็บแบบนี้กัน...









นานๆมาที ขอโทษนะคะ :)
ขอบคุณที่แวะเข้ามา แม้จะแค่เปิดหน้าเฉยๆ 555
เราดีใจที่มันมียอดคนเข้ามาดูเพิ่ม อย่างน้อยก็ยังมีคนอ่านเนาะ555
เจอกันใหม่ค่า
NAVY:(

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

อึดอัดแทน

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
พี่น่านต้องชัดเจนกว่านี้นะ  ปล่อยน้องยิ้มคิดไปถึงไหนแล้ว

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1


I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทที่ 7









“เขามีคนฝังใจ ขนาดเลิกกันไปแล้วยังไม่ลืม เห็นยังติดต่อกันอยู่ เลยจีบไม่ได้”

“ยิ้ม”

“เขามีคนฝังใจ ขนาดเลิกกันไปแล้วยังไม่ลืม...”

“ยิ้มครับ”

“เขามีคนฝังใจ...”

“ยิ้ม!!”

“ครับ” ยิ้มสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเมืองน่านที่เหมือนยินเพียงแว่วๆ ดังขึ้นข้างหู ใบหน้าที่ค่อยตระหนกของยิ้มหันไปมองเมืองน่านท่มองมันอยู่แล้วด้วยแววตาสงสัย ทั้งยังเป็นห่วงอยู่ด้วย

 “เป็นอะไร ทำไมเหม่อจังเลยวันนี้”

“...เปล่า ยิ้มคิดอะไรนิดหน่อย”

“เลิกคิดได้แล้ว กินเร็ว เดี๋ยวดึกๆ เราก็หิวอีก” เมืองน่านว่าพลางคีบเกี๊ยวกุ้งที่สุกกำลังดีจากหม้อสุกี้ใส่ในถ้วยของยิ้ม ไม่สนเสียงโวยวายของเต้ที่ร้องว่านั่นของมัน ซึ่งยิ้มก็รับมาเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ทิ้งให้เมืองน่านมองตามด้วยความไม่สบายใจ ทว่า...เดี๋ยวยิ้มก็มาเล่าให้เขาฟังเอง เมื่อคิดแบบนั้น เมืองน่านจึงไม่คิดมากอีกและคอยเอาใจใส่คนข้างกายแทน

โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า...ไม่มีวันที่ยิ้มจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับตัวเอง

ไม่มีทางที่ยิ้มจะให้เมืองน่านรู้ว่า ใต้รอยยิ้มแย้มนี้...มีความทุกข์ใดซ่อนอยู่

เพราะยิ้มเองก็รอ...รอมานานเหลือเกินให้พี่น่านของมันพูดกับมันเหมือนกัน แต่เหมือนมันจะรอเก้อ ไม่ว่าจะยังไงพี่น่านก็ยังเก็บคำพูดคำจานั้น ไม่ยอมเอ่ยออกมา ทั้งที่รู้ว่ามันรอ...

หรือบางทีอาจลืมว่ามันรอ

ช่างมันเถอะ ยิ้มคิด

ในเมื่อมีความสุขมาวางกองตรงหน้า มีเหตุอะไรเล่าจะไม่ไขว้คว้า ไว้รอวันที่ความสุขหายไปก่อนแล้วกัน...ถึงวันนั้นเขาค่อยมาคิดว่าควรทำอย่างไรดี ให้ความสุขนั้นกลับคืน

แม้จะดูแสนมักง่าย แต่คนอย่างไอ้ยิ้มจะทำอย่างไรนอกจากนี้ได้บ้าง

เด็กอย่างมันก็ทำ ก็คิดได้เท่านี้เอง

มันรู้ว่าความสุขของมันอยู่ที่ผู้ชายคนนี้...ก็เท่านั้นเองนี่นา

 

















‘ช่วงนี้พี่จะยุ่งเรื่องซ้อมดาวเดือนกับการแสดงหน่อยนะยิ้ม คงกลับดึก ถ้ามันเลยเที่ยงคืนแล้วไม่ต้องรอพี่นะ เดี๋ยวเราป่วยไปล่ะแย่เลย’

พี่น่านพูดเอาไว้แบบนี้ในเช้าของการซ้อมนับถอยหลังวันแสดงจริงที่ใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งยิ้มก็พยักหน้ายิ้มให้พี่น่านอย่างที่มันยิ้มมาโดยตลอด มองแผ่นหลังของเมืองน่านเดินออกจากห้อง วิ่งไปที่ระเบียงหมายจะโบกมือลาคนที่เดินจากไป แม้ว่าอีกคนจะไม่ได้หันกลับมามอง ยิ้มก็ยังคงโบกมือไปแบบนั้นเหมือนคนบ้าอยู่ดี

แต่พอลับร่างของเมืองน่าน รอยยิ้มที่เคยมีก็ค่อยๆ หายไป ยิ้มถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วถอยหลังกลับไปยังห้อง ขังตัวเองอยู่ในนั้น...ในห้องที่มีมันและพี่น่านเป็นเจ้าของทั้งวัน ไม่ยอมออกไปไหน

จนเมื่อได้ยินเสียงเคาะและเรียกชื่อมันจากข้างนอกนั่นแหละ มันจึงได้ยอมลุกจากเตียงและเดินไปที่ประตู สิ่งที่โผล่ออกมาอย่างแรกไม่ใช่หน้าคนที่เคาะแต่เป็น... ห่อข่าวมันไก่?

ยิ้มมองงงๆ ก่อนจะรับแล้วเบี่ยงตัวให้เพียซเข้ามาในห้อง สีหน้าของเพียซยังคงคล้ายเมื่อวานตอนที่พวกเขาไปแอบรอเหล่าดาวเดือนที่ซ้อมเสร็จกัน ทั้งคู่นั่งอยู่กลางห้องโดยมีโต๊ะญี่ปุ่นกั้นกลาง ยิ้มเดินไปหยิบถ้วยชามมาวางสำหรับใส่ข้าวและน้ำแกง เพียซไม่ได้ตอบหรือพูดว่าทำไมจึงมาหาเขาหรือทำไมจึงซื้อข้าวมาฝาก เอาแต่กินไปเงียบๆ ซึ่งมันดีแล้วในความรู้สึกของยิ้ม เพราะเขาเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากตอบคำถามใครเลยสักนิด

จนเมื่อกินหมดทั้งคู่นั่นล่ะ เพียซจึงได้พูดขึ้นในตอนที่ยิ้มกำลังล้างจานชาม “เขาไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกยิ้ม สบายใจเถอะ”

“ยิ้มรู้”

“แต่ยิ้มคิดมาก ไม่ใช่หรือไง”

ยิ้มหันกลับไปยิ้มให้เพียซที่มองอยู่ อยากจะพูดประมาณว่าเขาไม่ได้คิดมาก แต่แววตาของเพียซทำให้ยิ้มพูดไม่ออก พวกเขาได้รู้จักกันไม่ถึงเดือนก็จริง ทว่า...ก็มากพอที่จะทำให้ดูออกเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึก ยิ้มวางจานที่ล้างเสร็จในตระกร้า พิงเคาเตอร์แล้วพูดออกมา “นิดเดียวเอง...”

“เดี๋ยวไอ้น่านก็สติแตกพอดี ยิ่งเราเก็บเอาไว้ ยังไงน่านมันก็ต้องรู้สักวัน”

“...”

“เรื่องผู้หญิงคนนั้น...เขาไม่ใช่แฟนเก่าของไอ้น่านมันหรอก แฟนเก่าเขาเรียนอยู่ที่นี่...แต่กำลังจะทำเรื่องออกไปเรียนต่อต่างประเทศแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เป็นเรื่องหลังจากทั้งสองคนเลิกกัน เลยเหมือนกับพอย้ายปุ๊บก็เลิกติดต่อกัน”

“...”

“เพราะฉะนั้นไอ้ความคิดที่ว่าไอ้น่านจะกิ๊กกับผู้หญิงคนนั้นน่ะ ทิ้งไปได้เลย”

“นี่พี่กำลังปลอบใจยิ้มหรือตัวเองกันแน่”

เพียซกลอกตากับสีหน้าที่ค่อยๆ ดีขึ้นของเด็กตรงหน้าที่ไม่วายย้อนกลับมาเล่นเขา “นี่อุตส่าห์เอามาบอก ทำไมพูดจางี้กับพี่ฮะ”

“ขอบคุณครับ”

“...อาจจะปลอบใจตัวเองนิดๆ ก็ได้มั้ง” ทว่าท้ายเสียงอ่อยๆ ของเพียซกลับดังขึ้นถัดจากคำขอบคุณของยิ้ม ทำให้เสียงหัวเราะที่ยิ้มลืมไปเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงกลับมาอีกครั้ง เพียซยิ้มออกมาเช่นกันและพยายามทำเหมือนดุที่ยิ้มหัวเราะล้อเลียนเขาที่ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลยเรื่องเธอคนนั้น ทว่ามันก็ยังเจือรอยยิ้มเอ็นดูอยู่ดี “เดี๋ยวเถอะยิ้ม เมื่อกี้ละทำหงอย เดี๋ยวจะโดน”

“ยิ้มจะฟ้องพี่น่าน”

“ทั้งปี”

“อิอิ”

เพียซเดินเข้ามาหายิ้มที่กลับมายิ้มสดใสสมชื่อแล้วยีหัวเด็กน้อยเบาๆ “ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลย”

“...”

“น่านมันรู้สึกยังไง เรารู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ?”

 

















กล้าพูดกับเด็กไปแบบนั้น แต่พอถึงคราวตัวเองเพียซกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายเอาเสียเลย

ตอนนี้เขายืนอยู่ท่ามกลางชั้นวางหนังสือที่มีหนังสืออยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือภาษาต่างประเทศหรือหนังสือของไทย ทว่าไม่มีเลยสักเล่มที่เขาเคยอ่าน เพราะตอนนี้เขายืนอยู่โซนวรรณกรรม นวนิยาย ซึ่งเป็นแนวที่เพียซร้องยี้สุดๆ อย่างมากเขาก็อ่านเพียงหนังสือเรียนไม่ก็การ์ตูนที่เต้ยืมมาจากร้านเช่าหนังสือเท่านั้นเอง ไม่เคยสักครั้งที่จะเข้ามาในหอสมุดทั้งจากที่โรงเรียนเก่าหรือที่มหาลัย...

นี่เป็นครั้งแรก

เพราะอะไรน่ะเหรอ?

“เอิง งั้นเดี๋ยวเรากับหญิงไปกองประกวดก่อนนะ”

“จ้า แล้วเดี๋ยวเราตามไปนะ”

“รีบๆ ล่ะ เดี๋ยวเราบอกพี่ให้ว่าเอิงกำลังติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอยู่”

“ไม่ต้องก็ได้ รีบไปเถอะ เดี๋ยวเอิงคุยกับพี่ๆ เขาเอง”

มาหาผู้หญิงสิวะถามได้!!

เพียซยืนละล้าละลังอยู่ชั้นหนังสือถัดจากชั้นที่นางในฝันกำลังยืนไล่หาหนังสือที่ต้องการอยู่หนึ่งชั้น แอบเดินตามก้าวเดินของเธอคนนั้น มองดวงหน้าอ่อนหวานผ่านช่องที่ไม่เท่ากันของขอบหนังสือ ก่อนจะปลุกใจตัวเองที่เอาแต่ป๊อดอยู่นานและไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักสักที ให้เดินเข้าไปหาเธอได้แล้ว...เขาควรไปหาเธอเสียที

“ยิ่งตอนช่วงนี้นี่แหละที่พี่ควรจะเอาตัวเองเข้าไปแทรก ไม่มีใครคนไหนหรอกนะพี่ที่อยากอยู่แบบครึ่งๆ กลางๆ แบบไม่รู้ว่าเป็นอะไรสำหรับคนที่ตัวเองรักหรอกนะ”

ยิ่งนึกถึงคำพูดที่ยิ้มพูดทิ้งท้ายเอาไว้เมื่อวาน ในใจที่ไม่กล้าของเพียซก็ค่อยมีแรงขึ้นมากบ้าง ทว่าขาทั้งสองก็ยังไม่กล้าก้าวพ้นชั้นหนังสือเพื่อไปหาเธออยู่ดี ได้แต่แอบมองและให้กำลังใจตัวเองซ้ำๆ เท่านั้น

มือหนาทุบหัวตัวเองซ้ำๆ ที่ไม่ยอมเดินไปเสียที ยิ่งทุกคราที่หญิงในใจทำท่าเหมือนจะเจอหนังสือที่ต้องการทีไร ใจที่เต้นรัวก็เริ่มเต้นแผ่ว พอรู้ว่าไม่ใช่เล่มที่ตามหา ใจเขาก็กลับพองโตเช่นเดิม เอาแน่เอานอนไม่ได้สักอย่าง ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วแท้ๆ ว่าเธอไม่มีวันหาเจอ

เพราะไอ้ที่เธออยากอ่านแทบเป็นแทบตายน่ะ มันอยู่ในมือเขาต่างหาก!!!

โอ้ย!! เป็นแผนจีบที่ทั้งเสี่ยวทั้งเดาง่ายชิบหายเลยว้อย ไอ้เชี่ยเพียซ เขาด่าตัวเองในใจขณะที่ขาทั้งสองข้างเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า อีกไม่กี่ก้าวเธอก็จะก้าวพ้นชั้นหนังสือฝั่งนั้น หากเขาก้าวไปดักรอ เธอก็จะพบกับเขาพอดี ระหว่างเดินไปเขาก็ด่าตัวเองไปตลอดทาง แก้มทั้งสองร้อนแดงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นอย่างที่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนก็ทำให้เขาเป็นแบบนี้ไม่ได้

หากไม่ใช่เธอ...หากไม่ใช่เอิง คงเป็นไปไม่ได้

มึงมันบ้า มึงมันโง่ ทำไมไม่รู้จักคีพลุคให้มึงดูคูล ดูเท่ต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบบ้างว่ะ

ทำไมว่ะ

ทำไม

“เอ่อ...เอิง”

“คะ?”

ทำไมต้องทำตัวให้น่าสมเพซด้วยการเผยใจออกไปหมดหน้าตัก

“นี่ใช่หนังสือที่เอิงหาอยู่หรือเปล่า?”

“...ใช่จริงด้วย” เธอยิ้มออกมา และเป็นยิ้มที่แสนงดงามเหลือเกินในสายตาของคนที่เฝ้ามองมาตลอดเช่นเขา “ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไร”

“ว่าแต่ รู้ได้ยังไงน่ะว่าเราตามหาเล่มนี้อยู่”

ทำไมต้องเผยความรักที่มันซ่อนมานานผ่านตาคู่นี้ให้เธอรู้ ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่ายากที่สมหวัง

“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็เราชอบเอิง”

“...”

ทำไมถึงได้ทำลายหัวใจตัวเอง ขยี้ให้แหลกต่อหน้าเธอคนนั้น...แค่เพียงเพื่อให้เธอมองเห็นหัวใจตัวเองด้วยวะ

 “รับไปเถอะนะ บางทีนี่อาจจะเป็นอย่างเดียวที่คนแอบรักอย่างเราจะทำเพื่อเอิงได้”

ไอ้โง่...

 



















“วันนี้เหม่อนะ”

“หืม?”

เมืองน่านปรับสายกีต้าร์ในมือ แล้วดีดฟังเสียง เมื่อคิดว่ามันโอเคแล้วจึงเงยหน้ามองหญิงสาวที่นั่งกับตัวเองเพียงสองคนในห้องซ้อมดนตรีที่ขอแทบเป็นแทบตายกว่าอาจารย์จะอนุญาต “เธอนั่นล่ะ เหม่ออะไรนักหนา”

“...เปล่าสักหน่อย” เอิงส่ายหน้ายิ้มๆ แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก เมืองน่านเองก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ เพราะแม้ว่าเขาและเอิงจะเคยรู้จักกันมาก่อนตามประสาเพื่อนเก่า แต่ก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดต้องรู้ทุกเรื่องของอีกฝ่ายให้ได้ เมืองน่านให้เวลาเอิงอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบโน้ตเพลงที่ตั้งใจจะใช้ในวันงานแสดงออกมาวางบนแกรนด์เปียโนที่เอิงนั่งรออยู่และวางต่อหน้าตัวเองหนึ่งแผ่น ไม่นานเสียงดีดเปียโนก็ดังขึ้นคล้ายหญิงสาวปล่อยวางสิ่งที่คิดอยู่เมื่อครู่ได้แล้ว และพร้อมที่จะซ้อมกับเขา

“ที่คุยกันไว้ก็เล่นเพลง Only hope นะ”

“ได้ เริ่มซ้อมเลยมั้ยน่าน”

“ตามใจเธอ ฉันน่ะพร้อมมานานแล้ว อยากลองซ้อมเองก่อนก็ได้”

“โอเค น่านรอแปบนึงนะ”

 ระหว่างรอเมืองน่านก็อ่านเนื้อเพลงอังกฤษไปเพลิน เขากำลังคิดว่าจะร้องเนื้อด้วยดีหรือไม่ เสียงของเอิงที่เคยเป็นนักร้องสมัยอยู่โรงเรียนน่าจะทำได้ไม่ยาก

So I lay my head back down, And I lift my hands and pray

To be only yours, I pray

To be only yours I know now. You’re my only hope
“น่าน เราพร้อมแล้ว มาซ้อมกัน”

“ได้” เมืองน่านที่เผลอยิ้มกับท่อนฮุคของเพลงรีบเงยหน้าขานรับ ทว่าเมื่อมองใบหน้าของเอิงที่ค่อนข้างซีด เขากลับคิดจะค้านเสียก่อน “เอิง...ไหวหรือเปล่า”

“ไหวสิ ซ้อมไม่นานไม่ใช่เหรอ”

“พักก่อนมั้ย?”

“น่าน เดี๋ยวน้องคนนั้นจะรอนานนะ”

 





‘พี่น่าน!’

 





จู่ๆ เสียงของยิ้มก็ดังขึ้นในหัว จนน่านยอมพยักหน้าและทำตามสิ่งที่เอิงต้องการแต่โดยดี หญิงสาวยิ้มหวานก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฝีมือของคนที่ฝึกปรือการเล่นเปียโนให้เป็นความสามารถพิเศษมาตั้งแต่เด็กอย่างเอิง ไม่ทำให้เมืองน่านผิดหวังอย่างเด็ดขาด เขาค่อยๆ เสริมด้วยเสียงของกีต้าร์โปร่ง จนดนตรีทั้งสองสอดคล้องขึ้นในบทเพลงเดียวกัน

น้ำเสียงหวานไพเราะของเปียโนราวกับต้องการแทนดั่งตัวหญิงสาว ส่วนเสียงกีต้าร์โปร่งแทนเสมือนชายหนุ่ม ที่ร่วมกันร่ายรำขับร้องบทเพลงไปด้วยกัน

แต่ยังไม่ทันจะจบเพลง เสียงเปียโนที่ดีมาตลอดค่อยๆ แผ่วลง

แผ่วลง

“เอิง!!!”

ก่อนจะหยุดลงโดยสิ้นเชิง เมื่อผู้บรรเลงหมดสติและล้มลงไปในอ้อมกอดของเมืองน่าน

ภายในห้องดนตรีอันกว้างใหญ่และเคยมีเสียงดนตรีอ่อนหวานกล่อมเกลา เหลือไว้เพียงเสียงร้องของชายหนุ่มที่ร้องเรียกคนในอ้อมกอดให้ฟื้นคืน ทว่าไร้เสียงใดตอบกลับมา

มีแต่เพียงความเงียบงันรอบกายเขาเท่านั้นที่ตอบกลับมาว่า บัดนี้

ไม่มีสิ่งใดที่จะย้อนกลับเช่นวันวานได้อีกแล้ว

 


 





----------------------------------------------------------------------

จากนี้เราจะม่ากันนะ

ผิดพลาดตรงไหน (คำผิดเดี๋ยวมารีไรท์ให้หลังจบนะคะ) บอกได้นะคะ ชอบอ่านคอมเมนต์ อิอิ

#ยิ้มของพี่น่าน


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทำใจรับมาม่าไม่ไหวววว น้องยิ้มของพี่่

ออฟไลน์ TheBig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอแบบม่าเบาๆได้ไหม หัวใจเราบอบบางเหลือเกินค่า  :hao5: :m15: :sad11:

ออฟไลน์ Yysll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รออยู่นะคะ รอกินมาม่า อิอิอิ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทที่ 8








 

แล้วคืนนั้นเมืองน่านก็ไม่กลับมาที่ห้องอีกเลย

กลายเป็นว่าเขา...หรือไอ้ยิ้มคนนี้ต้องรอเก้อ นั่งรอจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าแล้ว ในห้องมีวี่แววว่าเมืองน่านกลับมา...ทว่าอีกคนกลับไม่ได้ปลุกเขา เพียงเข้ามาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกไปอีกครั้ง

ไม่มีการบอกลา ไม่มีอ้อมกอด ไม่มีอะไรเลย

ยิ้มมองกับข้าวที่ดูน่าอร่อยตรงหน้าแต่เขากลับไม่นึกอยากกินขึ้นมาเสียเฉยๆ แล้วยิ้มออกมา “...สงสัยว่าพี่เพียซจะเดาผิดแล้วล่ะมั้ง”

“น่านมันรู้สึกยังไง เรารู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ?”

“ยิ้มไม่รู้อะไรเลย ...ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยต่างหาก”

“น้องยิ้มมม” เสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงเรียกชื่อเขาทำให้ยิ้มเงยหน้าจากจานข้าวที่ไม่ได้แตะเลยขึ้นมอง เต้และเอกที่ว่างจนกว่าจะเข้าสู่การเรียนปรับพื้นฐานแวะเข้ามาหายิ้ม พร้อมกับเสื้อชุดนักศึกษาที่ไซส์เล็กลงให้พอเหมาะกับขนาดตัวของยิ้ม เต้หยิบออกมาด้วยความภูมิใจก่อนจะยื่นมาให้ “พี่ไปซื้อมาแล้ว คราวนี้ยิ้มจะไม่ประสบปัญหาในการใส่ชุดนักศึกษาแล้วใหญ่กว่าตัวเองหนึ่งไซส์อีกแล้ว”

“ขอบคุณครับ”

“น้องยิ้มเป็นอะไรเอ่ย ทำไมวันนี้ดู...ไม่มีชีวิตชีวาจัง”

“ไม่สบายหรือเปล่า” เอกถามพร้อมกับเลื่อนมือไปแตะที่หน้าผาก แต่หน้าผากของยิ้มและเขาก็อุณหภูมิไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ “สบายดีนี่ ทำไมดูหงอยๆ”

“ยิ้มไม่เป็นไรจริงๆ นะ แค่...เหงาๆ อ่ะ”

“เหงาเพราะไม่มีคนอยู่ด้วยหรือต้องเจาะจงแบบว่า เหงาที่ไม่มีไอ้น่านอยู่ด้วยล่ะ”

มุมปากของยิ้มกระดกขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะขำมากกว่า “คงเป็นทั้งสองข้อมั้งครับ อีกตั้งเดือนกว่าๆ กว่ายิ้มจะเปิดเทอมนี่ ก็ต้องเหงาเบื่อเป็นธรรมดา”

“เออ นั่นสิ น่าอิจฉาอยู่เหมือนกันนะ อยากเปิดเทอมช้าๆ เหมือนเด็กมัธยมบ้างว่ะ” เต้ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พับเสื้อนักศึกษาใส่ถุงบ่นด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ ส่วนเอกเองก็พิงตัวกับโซฟาเล่นโทรศัพท์ไปตามเรื่อง แต่ก็ยังคอยขานรับไม่ให้เพื่อนเหมือนคุยคนเดียว “แล้วนี่ยิ้มไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลยเหรอ หรือพวกรายงานตัวอะไรเนี่ยเสร็จไปแล้ว”

“เสร็จแล้วครับ เหลือเปิดเทอมก็เข้าเรียนเฉยๆ”

“โหย ดีชิบ พวกพี่นี่นะ พอเรียนปรับพื้นฐานเสร็จก็ต้องมาปรับตัวกับการเรียนทั้งหมดใหม่อีกที เห็นเขาว่ามันเรียนไม่เหมือนกับโรงเรียนมัธยมด้วย งานช้างเลยทีนี้”

“แถมเรียนรวมหลายเอก ถ้าเจอเอกแย่ๆ นะมึงเอ๊ย! วิชานั้นปังแน่นอน”

“ปังยังไงว่ะมึง” เต้ถามขึ้น “ถ้าเจอเอกแย่ๆ ไม่ใช่ว่าต้องพังไม่ใช่เหรอ”

“ปังปิ๊นาดไงไอ้ฉัด ทำมาโง่”

“ด่ากูอีกล่ะ มีวันไหนจะไม่ด่ากูบ้างมะ”

“ก็อย่าทำตัวโง่สิเพื่อนรัก”

เต้ทำหน้าตาล้อเลียนใส่ “ทำเหมือนมึงไม่โง่”

“เกรดกูเยอะกว่ามึงนะ”

“มึงโง่ตั้งแต่มาคบกับกูแล้วเพื่อน”

“เออ จริงด้วย”

ยิ้มนั่งมองทั้งสองคนคุยกันเพลินๆ มองความสนิทสนมที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เคยได้ยินพี่เพียซเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าทั้งสองคน ไม่สิ ทั้งสามคนสนิทกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมด้วยกันแล้ว แต่ที่สนิทกันมากๆ เห็นจะเป็นพี่เอกและพี่เต้ ที่สนิทแบบจิกกัด คล้ายคู่กัด แต่ในบางมุมกลับสนิทและรู้ใจกันอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้เขาเชื่อแล้วและมันดูน่ารักมากเลยทีเดียว

ไม่ต้องดีเหมือนกันหรือไม่ต้องเข้าใจกันทุกเรื่อง แต่ทว่าก็ยังอยู่ข้างกันคอยทะเลาะกันอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ

เห็นแบบนี้ยิ้มก็อดถามออกไปไม่ได้ “พวกพี่สองคนเคยมีเรื่องอะไรที่บอกอีกฝ่ายไม่ได้...แล้วเคยคิดอยากบอกมั้ยครับ”

เต้และเอกออกจะแปลกใจนิดหน่อยที่ยิ้มผู้มักจะคอยรับฟังหรือปรึกษาเรื่องราวต่างๆ กับ ‘พี่น่าน’ ของเจ้าตัวเสมอ กลับมาถามพวกเขาแทน แต่พอฟังปัญหาดีๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมไม่ถาม เต้ลงจากโซฟามานั่งข้างเอกแล้วพูดก่อน “ก็มีนะ แต่สุดท้ายก็พูดอยู่ดี ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม”

“ตามนั้น”

“เอาง่ายๆ คือพวกพี่ค่อนข้างที่จะชอบเคลียร์ให้มันจบลงไปทีเดียวไปเลย ดีกว่าจะปล่อยให้มันคาราคาซังให้รำคาญใจเล่นๆ อย่างครั้งหนึ่งสมัยม.สองมั้ง พี่สองคนดันชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ตอนแรกนี่ปิดเงียบเลย ไม่มีใครพูดต่างคนต่างกลัวอีกคนแซว หลังจากนั้นนานเข้า พอเริ่มจีบ มันก็พอรู้แหละว่ากำลังจีบคนเดียวกัน เคืองกันบ้างเวลาอีกคนจีบติด เยาะเย้ยบ้างเวลาผู้หญิงเขาเลือกไปกับเรา เป็นอย่างนี้เกือบสองอาทิตย์จนสุดท้ายพวกพี่ทนไม่ได้”

“เลยตีกัน?”

เต้หัวเราะแล้วโบกมือปฏิเสธ “ไม่ช่ายๆ ไม่ตีหรอก”

“ดูความเจ้าสำอางมันด้วยยิ้ม หมัดหนึ่งอย่างกับยุงกัด”

“อ้อ อยากลอง”

เอกวางโทรศัพท์แล้วกราบงามๆ ที่ไหล่ของเต้ “ขอโทษครับเฮีย”

“แล้วไป... ไม่ได้ตีกัน แต่พวกพี่นัดมานั่งคุย ลากไอ้เพียซมาคุยด้วย แต่เอาจริงเอามากัน เผื่อกรณีพวกพี่ตีกันขึ้นมาน่ะ” เต้หยุดพูดไปแปบหนึ่งเหมือนกำลังระลึกความหลังก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็ไม่มีอะไรนะ พอคุยเสร็จก็รู้เรื่อง โอเค มึงชอบ กูก็ชอบ แฟร์ๆ จีบกันซึ่งๆ หน้าไปเลย ใครได้ไปจะไม่โกรธกัน แล้วสุดท้ายยิ้มรู้ป่ะเป็นไง”

ยิ้มมองใบหน้าของทั้งสองคนพร้อมคิดไปด้วย พี่เต้ค่อนข้างจะเป็นเสป็คผู้หญิงสมัยนี้เพราะค่อนข้างจะป็นแนวเกาหลีบอย แต่พี่เอกนั้นค่อนข้างไปทางหนุ่มไทยแท้ ผิวแทนเข้มๆ ผู้หญิงก็น่าจะชอบเหมือนกัน คิดอยู่นานยิ้มก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะเดาไม่ถูกจริงๆ เอกจึงเฉลย “สุดท้ายคนที่ผู้หญิงคนนั้นเลือกคือไอ้เพียซ”

“อ้าว”

“ความจริงที่ผู้หญิงคนนั้นยอมไปไหนมาไหนกับพวกพี่สองคน เพราะว่าพวกพี่เป็นเพื่อนของไอ้เพียซ พอรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางที่เพียซจะมอง ก็เลยยอมบอกว่าชอบไอ้เพียซ แต่โชคร้ายไปหน่อยที่ตอนนั้น...หรือจะตอนนี้ก็เถอะ ไอ้เพียซมันก็ยังชอบผู้หญิงคนนั้นอยู่ เลยไม่ยอมคบด้วย จบ”

“พลิกล๊อคมะ” พอเห็นยิ้มพยักหน้า เต้เลยยิ้ม “เรื่องไม่พูดกันหรือไม่อยากพูด แต่สุดท้ายมันก็ต้องพูดอยู่ดี สู้หาเวลามาพูดให้รู้เรื่องก่อนจะสายไปดีกว่า เชื่อพี่”

“มันยากน่ะสิ”

“จะยากอะไร เนี่ย มันซ้อมเสร็จก็เรียกมาจับเข่าคุยเลย ไม่ฟังก็ฟันศอก...”

“น้องยิ้มเขาเรียบร้อยไอ้สัส นี่ก็สอนดีๆ ไม่ได้ เดี๋ยวเถอะมึง ไอ้น่านจะฟันศอกมึง”

“งั้นเตรียมโลงให้กูเลยถ้างั้น”

“ไม้จำปาสีชมพูเลย แด่มึง”

“ถุ้ย!”

“ฮ่าๆๆ” ยิ้มหลุดหัวเราะออกมาจนได้ รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่อย่างน้อยในเวลาแบบนี้เขาก็ยังมีคนที่พูดด้วยได้อย่างกลุ่มเพื่อนของเมืองน่าน คนที่พร้อมฟังเขาเวลาเขามีปัญหา อยู่ข้างเขาแทนเมืองน่านในตอนที่เจ้าตัวไม่อยู่ หรือแม้กระทั่งยอมสละเวลาไปเที่ยวเพื่อมานั่งฆ่าเวลากับเขาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี้

“ขอบคุณนะครับ ที่อุตส่าห์ฟังยิ้มพูด”

“ขอบคุณทำไม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”

“นั่นสิ”

“ก็...ยังไงก็ขอบคุณดีกว่าครับ”

เอกส่ายหน้ากับความขี้เกรงใจของเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ ก่อนเอ่ยถาม “ว่าแต่เรื่องอะไรที่พูดไม่ได้เหรอยิ้ม”

“...”

“ตอบไม่ได้ไม่เป็นอะไรนะ”

“พี่น่านเขาค่อนข้างแปลกไปนิดหน่อยน่ะครับ”

“ยังไง”

“ตั้งแต่ที่เขาเจอกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งในกองประกวดดาวเดือนน่ะครับ”

 















TeTea : เชี่ย น่านมึงมันชั่ว 22.36 PM Read

TeTea : TeTea ส่งสติ๊กเกอร์ถึงคุณ 22.36 PM Read

เป็นเอก : มึงแอบซุกกิ๊กเหรออออ เพื่อนชั่ว 22.36 PM Read

เป็นเอก : ไม่แบ่งกู 22.37 PM Read

 

เมืองน่านอ่านข้อความที่เหล่าเพื่อนของเขาส่งเข้ามาในไลน์หลังจากที่เพิ่งเดินออกจากโรงพยาบาล ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปพร้อมทั้งส่งสติ๊กเกอร์ ที่แทบไม่เข้ากับใบหน้าเคร่งเครียดของเขาในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาไม่อยากให้พวกนั้นรู้อะไรเลย...เพราะหากพวกเอกรู้ มีหรือที่ยิ้มจะไม่รู้

 

พี่น่าน :) : เสือก 22.39 PM

พี่น่าน :) : กิ๊กพ่อง 22.40 PM

พี่น่าน :) : คุณได้ส่งสติ๊กเกอร์ 22.40 PM

 

เมื่อส่งเสร็จแล้วเขาก็เก็บมันเข้ากระเป๋าเดินตรงไปยังรถของตัวเอง ขับตรงกลับยังหอพัก เรื่องราวต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาในทีเดียวทำให้เขาปวดหัวและเหนื่อยเหลือเกิน สิ่งเดียวที่ตอนนี้เขาอยากได้มากที่สุด คือได้เห็นหน้ายิ้ม ได้มองรอยยิ้มของยิ้ม ได้กอด...อยากจะอยู่แบบนั้นไม่ต้องไปสนใจอะไรหรือใครอีก อยากทำตามใจตัวเองเท่าที่อยากทำ

ทว่าเขานั้นไม่อาจ...

“ยิ้ม”

“กลับมาแล้วเหรอ พี่น่าน”

“กลับมาแล้วครับ”

เจ้าเด็กน้อยอยู่ในชุดนอนเหมือนเด็กๆ แต่แสนน่ารัก เผยรอยยิ้มนุ่มนวลให้เขาเหมือนเช่นที่ทำมาตลอด แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็พลอยเจื่อนลงจนหายไปในที่สุด เมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นรอยแผลที่มุมปากของเขา รอยช้ำนั้นต่อให้เป็นเด็กอนุบาลยังรู้เลยว่ามันคือรอยจากการโดนอะไรมา

ใช่...เขาไปมีเรื่องมา

แต่ยิ้มไม่ได้ถามเขาสักคำว่าทำไมถึงไปมีเรื่องหรือไปมีเรื่องกับใคร

สิ่งที่เด็กคนนั้นทำก็แค่...เดินเข้ามาหาเขา แตะลงที่แผลนั้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง “เจ็บมั้ย? อยากให้ยิ้มทำแผลให้หรือเปล่า?”

แม้จะแค่นั้น แต่ก็มากพอแล้วที่จะทำให้เมืองน่านพอใจ เขาพยักหน้าแล้วโอบร่างนุ่มนิ่มเข้ามาในอก กอดแน่นๆ ด้วยความคิดถึง พรมจูบลงบนกระหม่อมหอมๆ ของยิ้ม โดยมีเสียงจากคนที่ถูกเขากอดแน่นประท้วงนิดหน่อย ทว่าแขนที่โอบกอดตอบก็มากพอแล้วที่จะตอบว่า ยิ้มเองก็ชอบที่โดนกอดเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาอยู่แบบนั้นร่วมหลายนาที ก่อนที่ยิ้มจะพาเขาไปนั่งอยู่ที่โซฟา ก่อนเลี่ยงไปหากล่องปฐมพยาบาลจากที่ไหนสักแห่ง

มือของยิ้มไม่ได้เบาๆ ออกจะหนักไปสักนิดสำหรับเด็กที่ไม่เคยทำแผลให้ใครมาก่อน แต่ในความรู้สึกของเมืองน่านมันเบาและนิ่มนวลที่สุดแล้ว ยิ่งมองสีหน้าตั้งใจของยิ้มระหว่างพูดขอโทษเขาหากลงมือหนักเกินไปจนเขาเจ็บ รอยยิ้มบนเรียวปากก็ยิ่งขยายกว้าง แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขา...รักได้ยังไงกัน

“ฟู่วว ไม่เจ็บละเนอะ”

“อือ”

“ยิ้มไม่รู้จะห้ามยังไง แต่คราวหน้าถ้าจะมีเรื่องต้องชนะแล้วก็ห้ามเจ็บตัวอีกนะพี่น่าน”

เมืองน่านอมยิ้ม “ได้”

“งั้นไปอาบน้ำเถอะ มาเหนื่อยๆ พี่น่านจะได้นอนพักผ่อน”

“ได้ครับ”

ยิ้มเอียงคอมองด้วยความสงสัย แต่รอยยิ้มอ่อนหวานก็ยังคงอยู่บนใบหน้าที่แสดงความดีใจที่ปิดไม่มิดอยู่ดี “ทำไมวันนี้พี่น่านดูว่าง่ายจัง”

“แล้วไม่ดีหรือไง”

“ดีสิ ยิ้มชอบที่สุดเลย”

เมืองน่านลุกขึ้นยีเส้นผมนุ่มของยิ้มแล้วเดินเลี่ยงไปยังห้องเพื่ออาบน้ำอย่างที่ยิ้มบอกเขา ใช้เวลาเพียงไม่นานก็กลับมาเสื้อผ้าสบายๆ ไว้สำหรับเข้านอน ยิ้มไม่ได้นั่งอยู่กลางห้องรอเขาอีกแล้ว แต่กลับไปนอนหลับอยู่บนเตียงและคล้ายจะหลับสนิทเสียด้วย ที่จริงเขามีเรื่องจะคุย แต่ในเมื่อเด็กน้อยของเขาง่วงแล้ว ก็ควรจะปล่อยให้นอนเสียทีหลังจากที่อดหลับอดนอนเพื่อรอเขามาตลอดหลายวันแล้ว

เมืองน่านรวบเอาตัวยิ้มเข้ามากอด เกยคางไว้บนกลุ่มผมนุ่มๆ แล้วถอนหายใจออกมา ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเสียงงัวเงียของยิ้มดังขึ้น “ถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุสั้นไปปีนะพี่น่าน ไม่อยากอยู่กับยิ้มนานๆ หรือไง”

“อยากสิ แต่...”

“มีอะไรก็บอกยิ้มได้นะ พี่ก็รู้”

“...”

“แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร...”

ทำไมเมืองน่านจะจับน้ำเสียงน้อยใจไม่ได้ แต่ว่าบางเรื่องมันพูดกับยิ้มไม่ได้จริงๆ ทว่าเรื่องที่พูดได้มันก็มี... ดังนั้นเขาจึงคลายอ้อมกอดลงหน่อย ให้เขาได้มองนัยน์ตาคู่นั้นของยิ้มที่มองมา แม้ว่ามันจะดูอ่อนโรยเนื่องจากง่วงเต็มที แต่ยิ้มก็ยังพยายามฝืนลืมเพื่อที่จะคุยกับเขา นั่นทำให้เขาทั้งเอ็นดูทั้งสงสารจนอดลูบเบาๆ ใต้ดวงตาที่หมองคล้ำไม่ได้

“ยิ้มจะโกรธมั้ยถ้าวันหนึ่งพี่ทำให้ยิ้มผิดหวัง”

“...”

“ยิ้มจะเกลียดพี่หรือเปล่าถ้าพี่ทำให้ยิ้มเสียใจ”

“...”

“ยิ้มจะไปจากพี่มั้ยถ้าพี่ไปทำอะไรสักอย่างที่มันจำเป็นต้องทำ แต่มันทำให้ยิ้มเจ็บปวด”

ยิ้มไม่ตอบในทันทีเหมือนครั้งอื่นๆ ที่เขาเคยตั้งคำถาม เด็กน้อยนิ่งคิดก่อนจะถามกลับ “ยิ้มตอบด้วยคำถามได้มั้ยพี่น่าน”

“ได้สิ”

“ยิ้มอยากถามแค่ว่า วันนั้นพี่น่านจะยังรักยิ้มอยู่มั้ย?”

“...”

“ถ้าวันนั้นพี่น่านยังรักยิ้มอยู่ ยิ้มจะไม่โกรธที่พี่ทำให้ยิ้มผิดหวัง ยิ้มไม่เกลียดที่พี่ทำให้ยิ้มเสียใจ ยิ้มไม่ไปจากพี่น่านจนกว่าพี่น่านจะเป็นคนไล่ยิ้มไปจากพี่ด้วยปากของพี่เอง...ฟังดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากใช่มั้ย?” ยิ้มยิ้มตาหยีเมื่อพี่น่านของมันที่วันนี้ว่าง่ายกว่าปกติ ยอมพยักหน้าตามที่มันถาม ยิ้มลุกขึ้นเท้าแขนแล้วก้มใบหน้าลงมาเล็กน้อย จนริมฝีปากของทั้งคู่ทาบทับกันเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเมืองน่านเองก็ตอบรับแต่โดยดี มันไม่ได้ลึกซึ้งมากไปกว่าการจูบธรรมดาทั่วไป แต่ในความรู้สึกของพวกเขานั้น มันแสนพิเศษเหมือนทุกครั้งที่ได้สัมผัส ยิ้มผละออกมาและวางทาบหน้าผากของตนเข้ากับหน้าผากของเมืองน่าน ใกล้จนลมหายใจรินรดผิวแก้มอีกฝ่าย ใกล้จนเห็นทุกความรู้สึกที่แววตาสื่อออกมาทั้งหมด “ยิ้มไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอกที่จะไม่มีทางผิดหวัง ไม่เสียใจหรือไม่คิดที่จะไปจากพี่ ในตอนที่พี่ทำแบบนั้นกับยิ้ม”

“...”

“ทุกครั้งที่ต้องเสียใจ ผิดหวัง โกรธเพราะพี่ ยิ้มจะถามตัวเองก่อนว่ายิ้มยังรักอยู่มั้ย ถ้ายังรักยิ้มก็คิดแค่ว่า โอเค งั้นเรามาเริ่มกันใหม่”

“...”

“เพราะงั้นยิ้มถึงได้ถามพี่ว่าถึงตอนนั้นพี่จะยังรักยิ้มอยู่มั้ย...เพราะพี่ตอบว่ารัก รักที่หมายความว่ารักจริงๆ ที่ไม่ใช่บอกว่ารักเพราะสงสารหรือเกรงใจอะไรแบบนั้น ยิ้มก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกรธ ผิดหวัง หรืออยากไปจากพี่”

“...”

“คนเราถ้าจะรักใครสักคน ไม่มีวันที่เราจะไม่เสียใจ ไม่ผิดหวัง หรือไม่เจ็บปวดเพราะเขา แต่ให้จำแค่ว่าทุกครั้งที่เราสามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ ความรักที่ยังเหลืออยู่จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด นี่เป็นสิ่งที่พ่อบอกยิ้ม”

“...ยิ้มกับคุณลุงพูดเรื่องความรักกันด้วยหรือไง”

“บ่อยไป” ยิ้มถดตัวกลับมานอนข้างเมืองน่านเหมือนเดิม “แต่หมายถึงพ่อนะที่พูด”

“...”

“พ่อชอบเล่าให้ยิ้มฟังบ่อยถึงเรื่องของแม่ แน่นอนว่ายิ้มจะชอบถามตลอดว่าพ่อกับแม่มาเจอได้ยังไง มันเป็นคำถามเบสิกมากๆ อ่ะเนอะเวลาลูกๆ คุยกับพ่อแม่เรื่องความรัก พ่อก็จะชอบตอบแค่ว่า เรียนที่เดียวกันก็เลยเจอกัน” ยิ้มหัวเราะนิดหน่อย ภาพนั้นทำให้เมืองน่านอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เพราะมันดูอ่อนโยนทุกครั้งเลยที่ยิ้มพูดถึงคนในครอบครัว “แต่พ่อจะชอบเล่าเรื่องหลังจากที่แต่งงานกันแล้วมากกว่า พ่อบอกว่าพ่อชอบทำให้แม่ผิดหวังอยู่เรื่อย ตอนนั้นพ่อสูบจัด เหล้าก็ชอบดื่ม สารพัดจะทำให้แม่โกรธ แต่แม่ก็ไม่เห็นจะโกรธพ่อได้นานหรือจะหนีไปจากพ่อสักที ก็ยังอยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเสียตอนยิ้มเกิด”

“ยิ้ม...”

เสียงเมืองน่านคล้ายจะขอโทษที่เขาทำให้เรื่องน่าเศร้าในอดีตของยิ้มถูกเปิดเผย แต่ยิ้มชินเสียแล้วที่จะพูดถึงแม่ ไม่สิ พูดถึงบ่อยๆ อาจจะเศร้า แต่ที่มากกว่านั้นมันคือความคิดถึงเสียมากกว่า “พ่อเคยถามแม่ว่าทำไมถึงยังทนอยู่กับผู้ชายอย่างพ่อ ผู้ชายแบบที่ทำให้แม่โกรธบ่อยๆ ทำให้ผิดหวังหรือทำให้แม่เบื่อ แม่ก็ตอบแค่ว่าแม่รักพ่อ ไม่ว่ารักจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเหลือเท่าไหร่ แต่รักมันก็คือรัก มันก็แค่นั้น”

“...”

“ยิ้มเลยได้เรียนรู้เรื่องนี้จากแม่ผ่านพ่อ มันทำให้ยิ้มมีมุมมองความรักแบบนี้ คงจะดูโง่ในสมัยนี้ไปใช่มั้ยพี่น่าน ที่ยอมอภัยให้คนที่รักง่ายๆ แต่ยิ้มก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก...แค่พี่น่านอยู่กับยิ้มก็พอแล้ว”

เมืองน่านโอบร่างของยิ้มเข้ามาใกล้แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

“...พี่ไม่รับปากว่าในอนาคตพี่จะไม่ทำให้ยิ้มผิดหวัง เสียใจหรือเจ็บปวด ไม่รับปากด้วยว่าพี่จะรักยิ้มให้มากขึ้นหรือน้อยลงในวันข้างหน้า”

“...”

“แต่พี่รักยิ้ม นั่นคือคำตอบของพี่ตอนนี้”

รอยยิ้มกว้างๆ ของยิ้มดูราวจะเจือกับความตื้นตันนิดหน่อย เมื่อเมืองน่านสังเกตเห็นสิ่งแวววาวที่หางตาของเด็กที่กำลังซุกกอดเขาอยู่ เสียงกระซิบอู้อี้จากอกทำให้เมืองน่านกอดอีกคนแน่นขึ้น “ขอบคุณนะพี่น่าน ยิ้มดีใจจังเลย”

สำหรับไอ้ยิ้มคนนี้มันไม่ได้ต้องการคำสาบานอันใหญ่โตที่วาดฝันให้ถึงอนาคต ไม่ต้องการคำรับรองใดถึงวันข้างหน้าขนาดนั้น มันแค่ต้องการสำหรับวันนี้เท่านั้น เพราะก่อนที่จะมีวันพรุ่งนี้มันก็ต้องมี ‘วันนี้’ ก่อนมิใช่หรือ?

เพราะฉะนั้นคำตอบที่มันได้รับจากพี่น่านของมันตอนนี้ ถือเป็นคำตอบที่ดีที่สุดและมันชอบมากที่สุดแล้วล่ะ

“ยิ้มก็รักพี่น่านเหมือนกัน”

 





-------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวานเน็ตบ้านเสียเลยไม่ได้ลง

ปิดท้ายความสุข ตราม่าจงมาาาาาา

#ยิ้มของพี่น่าน

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
พี่น่านมีอะไรก็ควรบอกน้องไปเลย ทำลับๆล่อๆน้องรู้ทีหลังโคตรเสียความรู้สึก

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1


I’m Your Smile #ยิ้มของพี่น่าน

บทที่ 9







 



 

‘แม่เขาบอกก่อนที่จะเสียว่าให้เราชื่อยิ้ม...ยิ้มที่มาจากรอยยิ้มแห่งความสุข เพราะแม่เขาอยากให้เรามีความสุขและแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นด้วย’

‘เพราะแบบนั้นยิ้มเลยต้องยิ้มเสมอเหรอพ่อ’

ผู้เป็นพ่อลูบพวงแก้มนุ่มอย่างแสนรักในตัวบุตรชายเพียงคนเดียว ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ‘ไม่หรอกลูก ชื่อยิ้มไม่จำเป็นต้องยิ้มเสมอไป’

‘อ้าว’

‘แต่พ่ออยากให้เรายิ้มในตอนที่ยิ้มมีความสุข ยิ้มออกมาเพราะยิ้มอยากยิ้ม ไม่ใช่เพราะว่ายิ้มกำลังเจ็บปวดถึงได้ยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึก แบบนั้นคนที่จะแย่คือยิ้มเอง’

‘ไม่ดีหรอกเหรอพ่อ คนอื่นจะได้สบายใจไง’

‘แต่คนที่รักยิ้มจริงๆ เขาจะเสียใจนะ’

‘...’

‘เขาจะเสียใจที่แม้จะมีเขาอยู่แต่กลับไม่สามารถแบ่งเบาความทุกข์ยิ้มได้เลย เขาจะเจ็บปวดที่เขาทำได้แค่มองรอยยิ้มที่ยิ้มสร้างขึ้นเพื่อปิดบังคนอื่นเพียงเพราะยิ้มอยากซ่อนหัวใจที่เจ็บปวดไม่ให้ใครเห็น และเขาจะโทษตัวเองที่เขาไม่อาจทำอะไรเพื่อให้ยิ้มกลับมายิ้มเพื่อความสุขได้อย่างที่ควรเป็น’

‘แสดงว่า...พ่อรักยิ้มใช่มั้ย’

‘ใช่ เพราะพ่อรักยิ้มพ่อถึงได้อยากให้เรายิ้มออกมาจากใจ’

‘...’

‘จำไว้นะลูก เมื่อไหร่ที่เศร้าหรือเสียใจ ยิ้มไม่จำเป็นต้องยิ้ม ให้ร้องไห้ออกมา’

‘...’

‘แล้วคนที่เขารักยิ้มจะมาอยู่ข้างๆ ยิ้มเพื่อเช็ดน้ำตาและพายิ้มผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้เอง’

 


















การแสดงดาวเดือนมาถึงในที่สุด เมืองน่านออกไปแต่เช้าตรู่เช่นวันที่ไปประกวดเดือนคณะวิทยาศาสตร์ ส่วนยิ้มนั้นก็ตื่นขึ้นมาเช้าเช่นกันเพื่อเตรียม (แอบ) เข้าเชียร์เมืองน่านเช่นที่แล้วๆ มา ในใจก็ภาวนาขอให้ไม่โดนจับด้วยเถิด พร้อมทั้งยกมือประนมเหนือหัว เรียกเสียงฮาจากบรรดาพี่ๆ ที่วันนี้ก็ยอมตื่นเช้าเช่นเดียวกับยิ้ม เพื่อไปเชียร์เมืองน่าน เพียซเดินมาหายิ้ม โยกหัวไปมาแต่กลับไม่ได้พูดอะไรสักคำ ราวกับสิ่งที่พูดนั้นยิ้มและตัวเขาเองรู้ดีอยู่แล้ว

วันนี้คงจะมีใครสักคน ไม่เขา ก็ยิ้ม หรืออาจจะเป็นทั้งคู่ที่ต้องเจ็บปวดกับความเหมาะสม ยามสองคนนั้นยืนเคียงข้างกัน

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ทั้งยิ้มและเพียซก็ยังอยากที่จะไปอยู่ดี

ทั้งสี่คนเร่งตรงไปจับจ้องที่หน้าเวทีในหอประชุมใหญ่ของมหาลัย มองเวทีเปล่าๆ และฟังเสียงจอแจของเหล่านักศึกษาคนอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมดูการประกวดครั้งนี้ หัวข้อในการพูดคุยก็ไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องดาวเดือน แรกๆ ยิ้มก็ฟังไปเพลินๆ อยู่หรอก กระทั่งมีชื่อของเมืองน่านยิ้มก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ามันแปลกๆ

“ดูเอิงกับเมืองน่านมีอะไรๆ กันเนอะ ดูแลกันดีเกินไปอ่ะ”

“ไปเห็นที่ไหนมา เขาห้ามไม่ให้ไปเดินแถวที่ซ้อมไม่ใช่เหรอ”

“ไปเจอตอนที่เมืองน่านประคองเอิงลงจากรถน่ะสิ เหมือนเอิงจะไม่สบาย หน้างี้ซีดเชียว”

“อ๋อ สนิทเพราะเขาเป็นคู่การแสดงกันหรือเปล่า?”

“ถ้าสนิทเพราะเรื่องแสดง...” ยิ้มอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเมื่อรู้สึกว่าเสียงนั้นเบาลง พบว่าเป็นพี่ผู้หญิงจากด้านหลังตัวเองนี่เอง เมื่อเห็นว่ายิ้มหันไปมอง ทั้งหมดจึงหยุดพูดทันที ยิ้มจึงรีบยิ้มประจบทำเหมือนสนใจเสียเต็มประดา “เล่าต่อสิ เราก็อยากรู้เหมือนกัน”

ผู้หญิงคนที่เรื่องลังเลนิดหน่อย แต่ก็ยอมเล่าต่อ แต่ในระดับเสียงที่ลดลง เพราะตอนนี้คนทยอยเข้ามาแทบจะหมดที่นั่งในหอประชุมแล้ว และใกล้เวลาที่จะเริ่มการประกวดแล้วด้วย “...ก็ถ้าสนิทเพราะเรื่องการแสดงทำไมนิดๆ หน่อยๆ เมืองน่านต้องห่วงด้วยล่ะ เดินไปไหนมาไหนไกลสายตาก็ไม่ได้ เมืองน่านงี้คอยประกบเชียว”

“...”

“เหมือนเป็นแฟนกันเลย...เอ๊ะ! หรือตอนที่เขาประกวดดาวเดือนจะปิ๊งกันพอดี”

“ฉันก็อยากจะค้านหรอกนะ แต่เอิงสวยอ่ะ ...สู้ไม่ได้”

“เออ”

“ยิ้ม โอเคมั้ย?” เสียงพี่เอกดังขึ้นพร้อมกับวางมือบนไหล่ยิ้มที่นิ่งเมื่อฟังเรื่องราวจากปากของคนอื่น เด็กน้อยพยักหน้าและยิ้มให้พวกรุ่นพี่ที่อุตส่าห์พาเขามาดูสบายใจ ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับเวทีที่มืดลงและมีเพียงสปอร์ตไลท์ตัวเดียวที่ส่องรอพิธีกรมาทำการเปิดงาน คราวนี้เป็นคู่พิธีกรชายหญิงที่เคยเป็นดาวเดือนเมื่อปีก่อน ทำให้การเปิดงานครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงกรี๊ดและเสียงชื่นชมความสวยหล่อของพิธีกรจนแทบลืมว่าวันนี้เป็นวันที่พวกเขาต้องส่งต่อตำแหน่งให้กับรุ่นน้องคนอื่น

บรรยากาศสนุกสนานเริ่มต้นขึ้น ทุกคนมีอารณ์ร่วมไปกับอารมณ์ขันและมุกตลกของทั้งสองพิธีกร ทั้งยังเริ่มมีความคาดหวังและตั้งตาคอยการแสดงจากบรรดาดาวเดือนรุ่นใหม่ ต่างจากยิ้มที่แม้ตอนนี้จะยังมีรอยยิ้มทว่า...ในใจของเขามันเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก

ตอนนี้เขาอยากเจอเมืองน่าน อยากเห็นอีกคนยิ้มให้ อยากเข้าไปซุกอยู่ในกอดอุ่นๆ นั่น ฟังเสียงของเมืองน่านที่จะบอกเขาเช่นเดิม

ว่าเหมือนเดิม ยังรักอยู่...

“การแสดงที่ทุกคนจะได้พบเป็นรายการแรกได้แก่ น้องเต็ม คณะอักษรศาสตร์และ น้องนิว คณะศิลปกรรมศาสตร์ครับ!!”

เสียงกรี๊ดระลอกใหญ่เรียกให้ยิ้มสะดุ้งและเงยหน้ามองการแสดงตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้ การแสดงจากคนหน้าตาดีมีหรือที่จะไม่น่าสนใจ ยิ้มสนุกได้ไม่สุดนักกับความรู้สึกหม่นๆ ในอก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังคงปรบมือให้กับทุกการแสดงจากเหล่าดาวเดือนเพื่อให่เกียรติแก่พวกเขา จนเมื่อถึงคิวเมืองน่าน ยิ้มจึงได้เฝ้ามองอย่างจริงจัง มองตั้งแต่ทีมงานขนแกรนด์เปียโนสีดำมันวับที่ดูก็รู้ว่าราคาแพงขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเก้าอี้หนึ่งตัว ไม่นานนักหลังจากขานชื่อ เมืองน่านกับเอิง สาวสวยจากคณะพยาบาลศาสตร์ก็เดินเคียงคู่กันมา ชุดของทั้งสองเข้าคู่กันและดูต่างจากผู้แข่งขันคนอื่นๆ ตรงที่ค่อนข้างจะธรรมดา เอิงอยู่ในชุดสไตล์โบฮีเมียนสีขาวเรียบๆ แต่ดูดีเหลือเกินเมื่อสวมอยู่บนเรือนร่างบอบบาง รอยยิ้มของเธอแทบจะขโมยหัวใจของผู้ชายและผู้ชมคนอื่นๆ เสียหมด ส่วนเมืองน่านก็อยู่ในเสื้อคอกลมสีขาวและกางเกงยีนส์ธรรมดา แต่กลับดูดีและดึงดูดใจได้ไม่ต่างกัน เสียงกรี๊ดคงจะเบากว่านี้ ถ้าหากทั้งคู่ทำเพียงการแสดงนี้มันเป็นแค่การแสดงที่จำต้องคู่กัน ไม่ใช่การที่เมืองน่านเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่หน้าเปียโน คล้ายจะถามไถ่เธอว่าเธอพร้อมมั้ยกับการแสดงนี้ จนเมื่อเอิงพยักหน้า เมืองน่านจึงได้กลับมานั่งที่ของตัวเอง รอสัญญาณจากเปียโนก่อนจะเริ่มเล่นเพลง ‘Only hope’ ที่แสนไพเราะออกมา

ด้วยเพลงนี้เป็นที่รู้จักกันเรื่องความไพเราะและอ่อนหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อถูกบรรเลงคู่กับกีตาร์โปร่ง ทั้งยังมีการสบสายตาระหว่างผู้แสดง ความหวานและความงดงามก็ยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณ เต้และอีกสองคนมองใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของยิ้มด้วยสายตาเป็นห่วง แต่พวกเขากลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักนิด แม้กระทั่งตอนที่เพลงจบลง พวกเขาก็ทำได้แต่เพียงมอง...

มองหยาดน้ำสองสายที่ค่อยๆ รินไหลออกจากด้วยตาคู่นั้นของยิ้ม

‘จำไว้นะลูก เมื่อไหร่ที่เศร้าหรือเสียใจ ยิ้มไม่จำเป็นต้องยิ้ม ให้ร้องไห้ออกมา’

ไม่กล้าแม้แต่จะปลอบ...ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตา จนเจ้าตัวต้องเช็ดทิ้งเอง แล้วหันมายิ้มให้พวกเขาคล้ายจะบอกพวกเขาอีกครั้งว่า เจ้าตัวยังโอเค

แม้ยิ้มนั้นจะไม่สดใสอีกต่อไป แต่ยิ้มก็ยังคงยิ้มเช่นเดิม

พ่อจ๋า ยิ้มขอโทษนะ...

ต่อหน้าพวกเขาที่เป็นห่วงยิ้มอย่างจริงใจแล้ว ยิ้มร้องไห้ไม่ได้หรอก ยิ้มทำพวกเขาเสียใจไปกับยิ้มไม่ได้จริงๆ...

 



















“มันไม่มีอะไรหรอก การแสดง! ไอ้น่านมันตอแหลก็รู้ๆ กันอยู่”

“เต้” เอกส่ายหน้าปรามระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินไปยังเวทีเพื่อไปหาเมืองน่าน สิ่งที่เต้พูดแม้มันจะดูคล้ายคำปลอบ ทว่ามันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่เต้ก็ทนไม่ได้จริงๆ ที่จะไม่พูดอะไรสักประโยค พวกเขาตอนนี้งงไปหมดแล้วกับสิ่งที่เมืองน่านทำออกมา ทั้งยังไม่เข้าใจยิ่งขึ้นว่าทำไมต้องเป็นเอิง เป็นผู้หญิงที่เพียซหลงรักมาตลอดคนนั้น มองซ้ายก็เห็นใบหน้าที่คงรอยยิ้มน้อยๆ ของยิ้มที่โคตรจะอึดอัด มองไปขวาก็พบใบหน้านิ่งๆ แบบที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกยังไงของเพียซ ทำเอาทั้งเอกและเต้ที่ไม่รู้อะไรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ อึดอัดเหลือแสน ทั้งยังหมดคำพูดเสียดื้อๆ

ตอนนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ...ถามเจ้าตัวต้นเรื่องเท่านั้นเอง

“ถึงแล้ว...” มือของเอกกำลังจะเปิดประตู หากต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงบทสนทนาจากด้านในเข้าเสียก่อน

“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าฝืนตัวเองไง”

“นิดเดียวเองน่าน ทำเหมือนเป็นพ่อเราไปได้”

“อย่าทำให้เราต้องห่วงได้มั้ยเอิง ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ อีกอย่าง...”

เสียงหัวเราะหวานๆ ของเอิงดังลอดออกมาจากห้องพักเบาๆ “พอแล้ว ขี้บ่นนะน่านเนี่ย”

“จะไม่ให้บ่นได้ยังไงดูเอิงทำแต่ละอย่างดิ ห่วงตัวเองบ้าง”

“จ้าๆ”

กลายเป็นเต้และเอกที่ทนไม่ได้เป็นคู่แรก พวกเขาทั้งสองผลักประตูเข้าไปข้างใน ภาพที่ทั้งสี่เห็นคือภาพของเมืองน่านกำลังโอบประคองร่างของเอิงที่เหมือนคล้ายจะไม่สบาย เพราะใบหน้างดงามค่อนข้างซีด พวกเขาทั้งสองมองตรงมายังผู้มาใหม่ สายตาของเมืองน่านจับจ้องไปยังร่างที่หลบอยู่หลังเพียซ ก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาจับผิดของเพื่อนๆ

“สงสัยเราต้องคุยกันยาวว่ะเพื่อน ไม่รู้ว่ากูตกข่าวไปกี่เรื่องแล้ว”

“เออ ไม่บอกกูเคืองนะ”

เมืองน่านยิ้มนิดหน่อยกับสีหน้าโกรธไม่จริงจังของเอกและเต้ ทว่าเมื่อมองใบหน้ายิ้มๆ ของยิ้ม รอยยิ้มที่ว่าก็เจื่อนลง “รู้แล้ว เย็นนี้จะเล่าให้ฟัง”

“งั้น...เคลียร์กันเองนะ” เอกพยักเพยิดไปยังคนที่ยังคงไม่เดินออกจากเงาของเพียซและเดินออกไปจากห้องเป็นคนแรก ตามด้วยเอก เพียซเองก็เช่นกัน ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อถูกเมืองน่านเรียกกระทันหัน “เพียซ กูฝากเอิงหน่อย พาไปห้องพยาบาลที เอิงไม่ค่อยสบาย”

“...ได้”

เอิงพยักหน้ากระซิบขอบคุณให้เพียซตอนที่อีกฝ่ายเปิดประตูให้ ก่อนจะทั้งคู่จะหายไปจากห้อง เหลือไว้เพียงเมืองน่านกับยิ้มเพียงสองคนในห้องพักของดาวเดือน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่อย่างน้อยรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้ายิ้มก็หายไป หลายครั้งที่เขาอยากจะยื่นมือไปหา แต่สุดท้ายก็หดกลับมา เมื่อมีเสียงที่คุ้นเคยดังในหัวและเมื่อนึกถึงปัญหาที่ตนเพิ่งตกปากรับคำจะช่วย ทั้งยังขอร้องใครคนนั้นเอาไว้

ขอเอาไว้และจะทำตามเพื่อใครอีกคน

“ยิ้มมาใกล้ๆ สิ”

เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ยิ้มยืนอยู่ที่เดิม ส่ายหน้าปฏิเสธการพูดของเมืองน่านและเมืองน่านก็ไม่ได้เซ้าซี้ เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่เขาจะพูดนั้น หากได้เห็นใบหน้าของยิ้มใกล้ๆ แล้ว จะยังกล้าพูดหรือไม่

เขาให้เวลาตัวเองเตรียมใจนานเกินไปแล้ว เมืองน่านคิด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ

ตัดสินใจที่จะทำตามสัญญาที่ถูกขอเอาไว้เสียที

“เอิงเป็นแฟนพี่เอง ยิ้ม”

แม้ว่าจะต้องทำร้ายจิตใจคนตรงหน้ามากแค่ไหนก็ตาม...

 























“เอิงกับน่านเป็นแฟนกันเหรอ?”

“...”

เพียซยิ้มเล็กน้อยที่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของหญิงสายข้างกาย “ไม่ต้องตอบก็ได้ ถ้าลำบากใจ”

“...”

“โอเค ขอโทษนะครับที่ถาม”

“ไม่เป็นไร”

แล้วระหว่างพวกเขาก็เงียบไปแค่นั้น อีกไม่กี่ร้อยเมตรจะถึงห้องพยาบาลที่อยู่ถัดไปจากหอประชุมเพียงไม่เท่าไหร่แล้ว แต่เพียซยังอยากจะยืดเวลาไปอีกนิด อีกสักหน่อยให้เขาได้เดินข้างเธอ...ทว่าก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่ามันเป็นไปไม่ได้

“ถ้าคบกันดีๆ ก็ยินดีด้วยนะ มีความสุขมากๆ”

“...”

“เราน่ะไม่เป็นไรอยู่แล้ว อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นเลย” เพียซพูดเมื่อเห็นว่าเอิงทำสีหน้าลำบากใจ คงเพราะนึกถึงเรื่องที่เขาเคยสารภาพรักล่ะมั้ง “ที่แล้วๆ มามันก็เป็นแบบนี้ แค่ตอนนี้แฟนของเอิงกลายเป็นเพื่อนเราเท่านั้นเอง ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

“...”

“ดูแล รักกันให้นานๆ นะ อย่าเพิ่งปล่อยมือกันไปง่ายๆ”

“...”

“ให้มันคุ้ม...กับที่ต้องมีคนเสียใจด้วยนะ เอิง”

 



















‘แล้วถ้าไม่มีคนแบบนั้นล่ะพ่อ ยิ้มจะต้องทำยังไง’

‘ก็กลับมาหาพ่อ’ มือของพ่ออบอุ่นเสมอในความรู้สึกของเด็กชายยิ้ม ยิ่งเมื่อมือใหญ่โตนั่นลูบลงผมของเขา เขาก็ยิ่งชอบ ‘พ่อพร้อมจะกอดยิ้มแล้วเช็ดน้ำตาให้ยิ้มอยู่แล้ว’

เด็กน้อยโถมเข้ากอดร่างที่อ้าแขนออกพร้อมจะโอบรับเขาเสมอ บอกเสียงดังลั่น ‘ยิ้มรักพ่อจังเลย’

‘พ่อก็รักยิ้ม บนโลกนี้จะมีใครรักยิ้มได้เท่าพ่อ...ไม่มีหรอก’

 










-------------------------------------------------------------------------

ไม่ค่อยได้ลงเลย ขอโทษค่ะ แก้สัมนาบานเบอะ อยากจะตายแหล่ว 4555+

#ยิ้มของพี่น่าน

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ Yysll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยังรออยู่นะคะ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
บทที่ 10





แอ๊ดด...


“งั้นยิ้มกลับก่อนนะ ไม่ต้องรอดูประกาศผลพี่น่านก็ต้องชนะอยู่แล้ว”


“อืม...แล้วกลับยังไง”


คนตัวเล็กหันกลับมายิ้มแล้วตอบ “คงกลับพร้อมพี่เพียซ ไม่งั้นก็เดินกลับเอง ตอนนี้ยังสว่างๆ ไม่อันตรายเท่าไหร่”


“อ๋อ...” เมืองน่านนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพูดเสริมอีกประโยค “ระวังด้วยแล้วกัน”


“ได้ครับ”


“...”


“...”


“น่าน ได้เวลาแล้วนะ” ในตอนที่พวกเขาได้แต่มองหน้ากันเหมือนไม่รู้จะบอกลาหรือเดินจากไป เสียงของเอิงก็เข้ามาทำให้ทั้งคู่ได้สติ เมืองน่านพยักหน้าให้ร่างบางที่กำลังเดินเข้ามาหา ส่วนยิ้มก็เกาหลังคอเก้อๆ คงรอยยิ้มไว้บนหน้าตอนที่เอิงหันมาทักทายเขา สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะหันหลังเดินจากไป ไม่มองกลับมาอีกเลย


เมืองน่านมองแผ่นหลังของยิ้มที่ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ มองเหมือนไม่เคยมองมาก่อน... เมื่อกี้ในห้องเขาก็พูดเพียงประโยคนั้นเพียงประโยคเดียว ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ใช่ว่าไม่พูด แต่เขาพูดมันไม่ออก...เมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบว่ายิ้มกำลังร้องไห้อยู่ แต่เด็กคนนั้นกลับยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ขยับปากพึมพำอะไรสักอย่างที่เขาไม่ได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่ทำให้เมืองน่านรู้สึกราวกับถูกอีกคนใช้มีดกรีดลงกลางใจ แววตานั้นแห้งผากไร้แววคล้ายผืนดินแห้งแล้ง ขัดกับรอยยิ้มและคราบน้ำตาบนแก้มที่ชวนให้เขาอยากเช็ดมันออกนั่น แล้วจู่ๆ ยิ้มก็พูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้าห้องมา


ไม่ใช่คำว่าเกลียด ไม่ใช่คำว่าทำไม ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น


แต่เป็นคำขอที่ทำให้เขานึกอยากจะร้องไห้ออกมา


‘ยิ้มยังกอดพี่น่านได้มั้ย?’


เขาไม่รู้ว่าเขาพยักหน้าไปตอนไหน เขามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มือทั้งสองของเขากำลังโอบร่างน้อยในอ้อมกอดแน่น แน่นไม่เหมือนกอดครั้งไหนๆ ที่เคยกอด ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนเขายังโอบร่างนี้ เด็กคนนี้เข้านอนและหลับฝันได้พร้อมกันแท้ๆ ทว่าความรู้สึกที่ได้กอดครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง มันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขและเต็มล้นในใจ แต่มันกลับ...


เจ็บปวด


‘ยังไงยิ้มก็รักพี่อยู่ดี’


เจ็บที่เห็นน้ำตานั้นเกิดขึ้นเพราะเขาเอง


แล้วยิ้มก็ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา เดินถอยออกไปไกล ไกลจนเขามองเห็นรอยน้ำตาไม่ชัด เด็กน้อยคนนั้นเผยรอยยิ้มสดใสออกมาอีกครั้ง แต่เมืองน่านกลับไม่ชอบมันเลยแม้แต่น้อย ในใจเขาพูดเป็นพันครั้งว่าอย่ายิ้มเลย อย่ายิ้มแบบนั้นเลยนะ ทว่าในความจริงเขาก็ได้แต่กัดปากตัวเองแน่นจนห้อเลือด จิกมือเข้าที่กางเกงแน่นไม่ให้ดึงรวบร่างนั้นมากอด


เขาได้แต่มองยิ้ม...และปล่อยให้อีกคนเดินจากไปอยู่แบบนั้น ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ


“โอเคมั้ยน่าน”


“...อืม”


“เพราะเราแท้ๆ”


เมืองน่านหันมองสีหน้าแย่ๆ ของเอิงแล้วยีหัวเจ้าหล่อนเบาๆ “ไม่หรอก มันคือสิ่งที่...เราต้องทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีเอิงหรือไม่ก็ตาม แค่เพราะการที่เอิงอยู่ตรงนี้มันทำให้เรื่องทั้งหมดมันง่ายขึ้นเท่านั้นเอง”

“...”


“ดูแลตัวเองเถอะเอิง ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วนะ เธอน่ะ”


“อืม”


เมืองน่านลูบหัวหญิงสาวแล้วเดินเคียงข้างเธอเพื่อเตรียมขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง พวกเขาหันไปอีกทางกับทางที่ยิ้มเดิน จึงไม่รู้เลยว่า ที่แท้แล้ว...คนที่หันหลังเดินจากไปอย่างแน่วแน่คนนั้น สุดท้ายก็ได้แต่หยุดฝีเท้าและมองแผ่นหลังของคนที่มันเฝ้ามองมาตลอดชีวิตคนนั้น มองจนเงาร่างทั้งคู่จากไป...หายไปจากสายตา มันจึงค่อยๆ หันกลับไป เดินไปบนทางที่มันจำต้องเดินทางนั้น ทั้งน้ำตา...











หอพัก A, ชั้นสี่


“วันนี้ยอมอยู่ห้องด้วยแฮะ” ชายหนุ่มยิ้มด้วยสีหน้าสมใจในมือก็โยนกระเป๋าเงินเล่นฆ่าเวลารออยู่ด้านนอกห้องพักห้องหนึ่งในหอพัก A ข้างกันนั้นคือร่างสูงโปร่งเจ้าของผิวขาวซีดคล้ายชีวิตนี้ไม่เคยออกจากห้อง ดวงตาสีฟ้าอ่อนสวยราวกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ตามหนังแฟนตาซี ยิ่งเมื่อรวมกับสีอ่อนด้วยแล้ว รูปร่างหน้าของผู้ชายคนนี้ก็ยิ่งเป็นที่ดึงดูดคนทั่วไปอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะมีสีผมและสีตาที่เป็นธรรมชาติ ทว่าโครงหน้ากลับไม่กระเดียดไปทางตะวันตกเลยแม้แต่น้อย กลับเอนเอียงมาทางโซนตะวันออกตามสายเลือดแทน


“ทีหลังไม่ต้องมาเรียกด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกนะ” หนุ่มญี่ปุ่นว่าเสียงเข้มหลังจากโดนเรียกให้ลงไปด้านล่างหอพักที่ตัวเองอยู่ เพียงเพื่อยืนยันกับยามที่อยู่ข้างล่างว่ารู้จักกัน หลังจากที่มีผู้ชายคนหนึ่งโดนรบกวนจากคนแปลกหน้ามาเคาะห้องเป็นประจำมาบอกแกมสั่งว่า หากมีคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนในหอพัก ต้องได้รับคำยืนยันจากตัวผู้ชายคนนั้นหรือคนในหอพักเสียก่อน จึงจะขึ้นมาบนหอพักได้ แต่เพื่อนของเขากลับยังคงมีสีหน้าไม่ยี่หระ พูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงกวนประสาทต่อไป “คร้าบ ขอบคุณคร้าบ”


“...พวกคนอายุน้อยนี่ไร้สัมมาคารวะเหมือนนายหมดหรือเปล่า?”


“แหมม พูดเหมือนตัวเองเป็นคนแก่เป็นร้อยๆ ปี ทั้งที่อายุห่างจากผมไม่กี่ปีเอง”


“หุบปากน่า!” เขาตวาดเสียงลั่นเมื่ออีกคนชักจะกวนประสาทเขามากขึ้นทุกที จนอดคิดไม่ได้ว่าไม่มาหลงหลวมตัวไปรู้จักเลย เมื่อตวัดตาดุๆ ไปมอง อีกคนก็ยังตีหน้าทะเล้นทำท่าปิดปากได้กวนโมโหอย่างที่สุด!


“อุ้ย ตาแก่โกรธแล้วแฮะ”


ดวงตาสีฟ้าตวัดมองด้วยความหงุดหงิด ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ “ถ้าไม่ติดว่าแม่นายขอเอาไว้ ฉันจัดการนายแน่”


“จ้าๆ” ว่าแล้วก็หัวเราะคิกคักกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวแต่ทำอะไรไม่ได้ของริว หนุ่มสัญชาติญี่ปุ่นผู้รักสันโดษ แต่ดันมาอาศัยอยู่ในหอพักที่แสนจะพลุ่งพล่าน เพียงเพราะตามหาใครคนหนึ่งที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร รอให้รู้ก่อนเถอะจะเอามาแหย่ มาแกล้งให้ดุเขาไม่ออกเลย คอยดู


ขณะที่คิดเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงชั้นสี่ เสียงของใครอีกคนก็ทำให้เขาหันมาสนใจสิ่งรอบกาย ใครที่เป็นสาเหตุหลักที่เขามาที่นี่


 “นายมาทำอะไรที่นี่”


“อ้าว นายคนยิ้มสวย...สีหน้าแย่จังนะ” ประโยคแรกเขาหันไปพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมรับใบหน้าบูดบึ้งของอีกคนเต็มที่ ทว่าเมื่อหันกลับไปแล้วพบว่าอีกคนไม่ได้มีสีหน้าหงุดหงิดแต่อย่างใด แต่กลับมีแต่ความเศร้าอบอวลทั่วใบหน้าที่เคยสดใสนั้น ประโยคหลังน้ำเสียงจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“เกิดอะไรขึ้นหรือไง หรือวันนี้มันไม่ใช่วันที่โชคเข้าข้างนาย?”



“อืม คงงั้นล่ะมั้ง”


“...”


“จะหลบได้หรือยัง ขวางทาง” ยิ้มว่าพร้อมทั้งชูกุญแจ แทนคำพูดว่าตนเองจะเข้าห้อง แต่อีกฝ่ายไม่ต้องการแบบนั้น


“สภาพแบบนี้ฉันว่านายอย่าขังตัวเองอยู่ในห้องเลย เครียดซะเปล่าๆ” ว่าแล้วก็จับเข้าที่ข้อมือบางของอีกคนแล้วลากออกจากหน้าประตู เดินลงไปข้างล่างกระทั่งไปหยุดอยู่หน้ารถสัญชาติยุโรปราคาแพงที่เพิ่งได้มาเพราะพ่อหนุ่มญี่ปุ่นคนนั้นขอแม่เขาให้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนจะปลดล๊อกแล้วให้ยิ้มเข้าไปข้างใน แปลกดีที่ครั้งนี้อีกคนไม่ได้ขัดขืนเหมือนเคย


ไม่สิ ไม่ใช่ไม่ขัดขืน...แต่ไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนอย่างสิ้นเชิงต่างหาก


นั่นทำให้เขาสงสัยว่าเรื่องอะไรกันหนอ...ที่ทำให้เด็กคนนี้ดูเศร้าทั้งยังไม่มีแม้แต่แรงจะร้องค้าน


“ฉันชื่ออาร์ต”


“...ไม่ได้อยากรู้”


อาร์ตหัวเราะเบาๆ แม้จะไม่ได้ขัดขืน แต่ฝีปากก็ยังคมอยู่แฮะ... “อยากบอกให้รู้น่ะ แล้วก็...” เขาสตาร์ทรถและเลี้ยวออกจากหอพักที่เพิ่งขึ้นไปยืนอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพื่อตรงไปยังเป้าหมายใหม่ที่เพิ่งคิดได้เมื่อครู่


“เรากำลังจะไปสวนสนุกกัน”


“มีใบขับขี่หรือไงจะขับไปน่ะ”

เอาน่า ขับคล่องแล้วกัน ว่าไงจะไปป่าว”


“...เราไม่ได้อยากไปสักหน่อย”


“ไปเถอะ...”


“...”


“ฉันอยากเห็นรอยยิ้มของนายอีกครั้งนะ พ่อคนยิ้มสวย”










คงเพราะเป็นช่วงปิดเทอมของเด็ก ส่วนรุ่นโตๆ อย่างนักศึกษานั้นเริ่มเปิดเทอมกันแล้ว ทำให้ภายในสวนสนุกขนาดใหญ่นี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวของเด็กวัยกระเต๊าะมากกว่าเสียงเฮฮาของเด็กโตๆ อาร์ตกึ่งลากและเดินพายิ้มเข้ามาในสวนสนุก ซื้อบัตรราคาแพงที่ใช้สำหรับเล่นเครื่องเล่นทุกชนิดได้ไม่จำกัด ก่อนจะเดินผ่านประตูทางเข้าเข้าไป


“ไปเล่นอะไรกันก่อนดี รถไฟเหาะ หรือม้าหมุน...อืม อันนั้นก็น่าเล่นนะ” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังเครื่องเล่นที่ให้ผู้เล่นขึ้นไปยังจุดสูงสุดแล้วปล่อยลม เสียงกรี๊ดที่ดังมาจากเครื่องเล่นนั้นดังมาถึงจุดที่ยิ้มยืนอยู่ คนที่ต่อแถวเข้าเล่นก็มากเช่นกัน ทว่ายิ้มไม่ได้สนใจมากนัก เขากลับเดินเล่นเปะปะไปเรื่อยๆ บางทีก็โดนนายอาร์ตอะไรนั่นลากให้กลับไปเดินด้วยกัน บางทีก็โดนลากไปถ่ายรูป เชื่อได้เลยว่าไม่ว่าจะรูปไหนหน้าเขาก็ไม่ยิ้มอยู่ดี จนสุดท้ายเมื่อเหลืออดจึงได้พูดขึ้น หลังจากที่ถูกลากอยู่ในสวนดอกไม้อยู่นาน “พอเถอะ เลิกวิ่งไปมาซะที เราเหนื่อย”


แดดบ้านี่ก็ร้อนชะมัด...


“มาสวนสนุกแท้ๆ แต่จะนั่งเฉยๆ งั้นเหรอ”


“อืม” สีหน้านิ่งๆ ของยิ้มทำให้อาร์ตไปต่อไม่เป็น ได้แต่ยืนเกาหัวแก้เก้อที่ไม่รู้จะหาอะไรมาลากดึงให้เด็กคนนี้ออกมาจากความเศร้า แล้วไปสนุกกับเขาเสียที สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเดินไปยังร้านค้าซื้อน้ำและผ้าเย็นมาแทน ตอนนี้ก็เป็นตอนบ่ายๆ ถึงแดดในร่มจะไม่แรงเท่าข้างนอก ทว่าไอร้อนก็ทำให้เหงื่อออกอยู่ดีละนะ


“อ่ะ ผ้าเย็น”


“...” ยิ้มไม่ปฏิเสธ เพียงแค่รับมาฉีกออกจากซองแล้วโปะหน้าตัวเองเงียบๆ ซ่อนอยู่ใต้ผ้าเย็นผืนนั้นไม่พูดไม่จา


คนที่พาเขามาหลังจากนั่งแล้วก็เงียบไปนานพอดู จนเมื่อยิ้มรู้สึกว่ามีใครสะกิดนั่นแหละจึงได้ยอมดึงผ้าเย็นที่หมดความเย็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ออก เบื้องหน้าคือเหล่ามาสคอตที่ออกมาเดินเล่นแจกลูกโป่งให้กับเด็กๆ มากมาย ทว่าหนึ่งในนั้นกลับเป็นเด็กโข่งตัวสูงโย่ง กำลังยืนแย่งลูกโป่งจากมาสคอต แอบไล่เด็กๆ ที่เริ่มงอแงไปขอลูกโป่งมาสคอตตัวอื่นแทน ยิ้มมองร่างนั้นที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนที่ลูกโป่งมือจะถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้าเขา “ให้”


“...”


“เด็กๆ นี่กวนประสาทเป็นบ้า ตัวอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะไม่รู้จะมาแย่งอะไรกับลูกโป่งในมือมาสคอตตัวเดียวกับฉัน”




“...นายต่างหากที่ไปแย่งคนอื่น”


“แย่งอะไร ทุกคนมีสิทธิ์ได้ของที่เขาแจกไม่ใช่หรือไง”


“แต่บางคนเขาก็อยากจะได้ของจากมาสคอตตัวที่ชอบเท่านั้นนี่” อาร์ตเงียบไปเมื่อเห็นว่ายิ้มนั้นแม้จะพูดเรื่องตรงหน้า แต่ความหมายที่ซ่อนในคำที่พูดคล้ายจะหมายถึงเรื่องอื่น อีกคนรับลูกโป่งจากมือเขาแล้วยืนขึ้น “ถ้าไม่ได้จากตัวที่ชอบ...มันก็ไม่มีความหมายหรอกนะ”


แล้วก็เดินไปยังมาสคอตตัวนั้น...หมีพูห์ตัวโตสีเหลืองแสนสดใสกำลังแจกยิ้มให้เด็กๆ ที่ร้องไห้งอแง ก่อนที่จะหยุดลงเมื่อในมือของหมีพูห์กลับมามีลูกโป่งมากพอจะแจกเด็กได้ทุกคน รอยยิ้มกลับมาสู่ใบหน้าของเด็กๆ อีกครั้ง พวกเขาวิ่ง ส่งเสียงหัวเราะ บางคนวิ่งมาหายิ้มและพูดว่าขอบคุณ ก่อนจะวิ่งกลับไปหาครอบครัวที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ยิ้มมองภาพนั้นด้วยแสนคิดถึงพ่อที่อยู่ห่างไกลกัน...


ตอนนั้นลูกโป่งลูกหนึ่งก็ลอยอยู่ตรงหน้าเขา


มันมาจากมือของมาสคอตหมีพูห์ตัวนั้นนั่นเอง คล้ายมันจะขอบคุณที่เขานำลูกโป่งมาคืน


ยิ้มรับลูกโป่งนั้นคืนมา ขณะที่สมองย้อนกลับไปนึกถึงโควตหนึ่งที่ตนเคยได้อ่านจากที่ไหนสักที่ เป็นโควตที่ลงท้ายว่าหมีพูห์ตัวอ้วนๆ นี่เป็นคนพูดไว้ในหน้าหนังสือ...





เพราะเวลาที่ไม่มีเธอ...ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหลืออะไรเลย – พูห์






“ขอบคุณ...ฮึก ขอบคุณครับ”


หมีพูห์ตัวอ้วนคล้ายจะตระหนกไปเล็กน้อยที่เห็นเด็กผู้ชายตัวโตๆ หลุดร้องไห้ออกมาต่อหน้าต่อตา มาสคอตนั้นยืนลังเลอยู่นิดหน่อย สุดท้ายมันจึงยกมือเรียกเด็กผู้ชายคนนั้นให้เงยหน้า ได้พบกับมาสคอตหน้ายิ้มแป้นแล้นอ้าแขนกว้างๆ ให้ เหมือนจะบอกอย่างไร้เสียงว่า ...มาสิ ฉันจะปลอบเธอเอง
ยิ้มมองภาพนั้นแล้วยิ้มทั้งน้ำตาก่อนโถมเข้าไปกอดมาสคอตนั้นทั้งตัว ส่งเสียงสะอื้นไห้น่าสงสารออกมา คนมากมายที่เดินผ่านล้วนมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ยิ่งเห็นว่าสิ่งที่มาสคอตกอดไม่ใช่เด็กเล็กๆ แต่เป็นผู้ชายตัวโต ก็ยิ่งมองด้วยแววตาประหลาดๆ มากขึ้นไปอีก ทว่ายิ้มไม่สนใจอะไรอีกแล้ว



ไม่มีอะไรให้เขาสนใจอีกแล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากร้องไห้ แค่อยากร้องระบายความอึดอัดในใจเท่านั้น


การร้องไห้คนเดียวในห้องแคบอาจจะปิดบังและทำให้คนอื่นสบายใจ ดีกว่าการมายืนร้องไห้ในอ้อมกอดใครก็ไม่รู้ ทว่ามันกลับทำให้ยิ้มรู้สึกดีกว่าการที่ต้องปกปิดเสียอีก เขารู้สึกอบอุ่นและขอบคุณคนที่อยู่ในมาสคอตตัวนี้ที่กอดเขา


ขอบคุณที่ไม่ทำให้เขาต้องร้องไห้อย่างเดียวดาย


อาร์ตมองภาพนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ในแววตาของชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาพาอีกคน...คนที่เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ มีเพียงความประทับใจจากรอยยิ้มอันงดงามนั่นเท่านั้นที่นำพาเขามาเข้าใกล้ พามายังสวนสนุกแห่งนี้เพื่ออยากจะได้ชมรอยยิ้มอ่อนหวานนั้นอีกครั้ง


อีกสักครั้ง


เขาแค่อยากยืนยันให้แน่ใจ อยากจะยืนยันกับเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นไม่เป็นจังหวะยามที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกสักครั้ง


กลับได้พบแต่น้ำตาและความเสียใจที่อีกคนพกมาระบายแทนเสียนี่


ทว่า


“นายกำลังรบกวนเวลาทำงานของคุณหมีพูห์นะ”


อาร์ตว่าพร้อมกับดึงร่างของยิ้มออกจากอ้อมกอดของมาสคอตตัวนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมถอยแต่โดยดี ก่อนหันกลับไปขอโทษเสียงแหบพร่า เนื่องจากร้องไห้นานเกินไป


“...ขอโทษนะครับ”


หมีพูห์โบกไม้โบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ลูบหัวของยิ้มที่ยุ่งเหยิง ขยับท่าทางคล้ายจะให้กำลังใจ ปิดท้ายด้วยการปาดน้ำตาชื้นแฉะออกจากใบหน้าของยิ้ม การกระทำนั้นทำให้ยิ้มยกมุมปากและขอบคุณเสียงแผ่วเบา ...ภาพนั้นประทับอยู่ในดวงตาของอาร์ต


แม้ไม่ใช่รอยยิ้มเดียวกันกับครั้งนั้น แต่ก็งดงามไม่เปลี่ยน


แม้ไม่ใช่รอยยิ้มที่แย้มเพราะความสุข แต่รอยยิ้มที่ปรากฏเพราะคำขอบคุณแผ่วนั้นกลับทำให้ใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนครั้งนั้นไม่มีผิด
ครั้งที่ได้พบกันโดยบังเอิญและกลายเป็นภาพที่ฝังแน่นในใจของเขา จนไม่อาจสลัดหลุดหรือหนีพ้นไปได้


สุดท้ายก็แพ้ความต้องการอยากพบหน้า ดิ้นรนจนได้มาพบกันอีกครั้ง


และครั้งนี้อาร์ตก็แน่ใจแล้ว เมื่ออีกคนหันมาหาเขาและยิ้ม...ให้เป็นครั้งแรก


“นายเหมือนกัน ขอบคุณนะที่อุตส่าห์พามาถึงนี่”


“...”


บางทีมันคงเป็นสิ่งนั้น สิ่งที่ริวเฝ้าใฝ่หาและอยู่เพราะมันมาตลอด สิ่งที่เขาเคยพูดว่าช่างไร้สาระเหลือเกินที่ริวใช้เวลาเพื่อรอคอย ทั้งยังค้นหามันเหมือนคนบ้าตลอดมา


ความรัก







ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่คนแย่ จัมไว้น้องจะไม่ให้อภัยพีไปตลอดกาล!!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด