Flower Kiss Series.
Sugar Flower.
- 1 -
เสียงดนตรีดังแว่วมาจากตึกกิจกรรมของโรงเรียนแห่งหนึ่ง หลังหมดคาบเรียนหลัก เด็กนักเรียนหญิง-ชายก็มาออกันที่หน้าห้องซ้อมดนตรี ซึ่งภายในห้องมีกลุ่มนักเรียนชายกำลังซักซ้อมเพลงกันอยู่
HOTNESS เป็นการรวมตัวกันของเด็กหนุ่ม 5 คน คือ ออกัส นักร้องนำของวงผู้เป็นที่นิยมของนักเรียนทั้งหญิง-ชาย ด้วยบุคลิกที่ดูโดดเด่นบวกกับน้ำเสียงที่น่าฟัง รวมถึงลักษณะนิสัยที่เข้ากับคนอื่นง่ายและไม่ถือตัว ทำให้เขาเป็นนักร้องนำที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในวง
และอีกหนึ่งหนุ่มที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกัน แต่เป็นการนิยมชมชอบอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ เสียมากกว่าคือ เป้ มือกลองของวง เขาเป็นคนค่อนข้างขี้เบื่อ ไม่ค่อยชอบวุ่นวายกับใครสักเท่าไร ด้วยบุคลิกที่ไม่สนใจโลกทำให้มักมีคนขวางหูขวางตาจนมีเรื่องกับใครต่อใครอยู่บ่อยครั้ง แต่สาว ๆ ก็ยังคงชอบเขามากพอดู
นอกจากนั้นก็ยังมีพุฒ หัวหน้าวงผู้เข้มงวด ทำหน้าที่เป็นมือคีย์บอร์ด โอโซน มือกีตาร์ และธนิน มือเบสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเจ้าชู้ของวง ต่างคน ต่างบุคลิก ต่างนิสัย แต่เมื่อรวมตัวกันแล้วกลับเข้ากันได้ดีจนกลายเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของโรงเรียนไปแล้ว
ทางเดินหน้าห้องซ้อมเวลานี้เต็มไปด้วยเด็กนักเรียน หนุ่มน้อยแว่นหนาก็เป็นอีกคนที่มาเมียงมองอยู่ไม่ไกล แว่นตาอันโตบดบังใบหน้าเอาไว้เสียเกือบครึ่ง ทำให้ดูเฉิ่มเชยไร้ที่ติ เขาแหวกเพื่อนนักเรียนเพื่อหาทางเข้ามาให้ถึงหน้าประตูห้องซ้อม เมื่อโผล่หน้าเข้ามาได้แล้วก็ขยับแว่นตาอันโตให้เข้าที่ สายตาภายใต้กรอบแว่นจ้องมองมือกีตาร์ของวงแล้วเปิดยิ้ม เพื่อนนักเรียนรายรอบผงะถอยกับบรรยากาศแปลก ๆ ที่เด็กแว่นปล่อยออกมารอบกาย ขณะที่ด้านหลังก็ดันกันเข้ามาเพราะอยากเห็นกลุ่มหนุ่มหล่อเขาซ้อมดนตรีบ้าง น้องแว่นเลยถูกชนล้มกลิ้งลงไปกลางห้อง
เสียงดนตรีเงียบลงพร้อมกับเสียงวี้ดว้ายของนักเรียนหญิงที่นิ่งสนิทแบบไม่ได้นัดหมาย แม้แต่เสียงพูดคุยก็ยังไม่มีแว่วมา ทุกสายตามองมายังน้องแว่นเป็นตาเดียว ร่างที่ฟุบหน้าอยู่บนพื้นนั้นค่อยขยับลุกขึ้นยืน เสียงรอบกายยังคงเงียบอยู่ ทำให้พอยืนขึ้นมาแล้วได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้ามองใคร
เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยซุบซิบดังขึ้นรอบกายราวกับกดปุ่มเปิด คนที่ยืนตัวลีบอยู่ในห้องซ้อมดนตรีรู้สึกอายแสนอายกับสถานการณ์ตอนนี้ หน้าเขาร้อนผะผ่าวไปหมด ได้แต่โทษตัวเองที่ซุ่มซ่ามจนเกิดเรื่องเช่นนี้
ขณะที่มีแต่คนหัวเราะกลับมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาหา อุ้งมือใหญ่จับแขนของเขาแล้วดึงออกจากห้องไป กลุ่มนักเรียนหน้าห้องต่างหลีกทางให้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก น้องแว่นก้มหน้างุด ๆ เดินตามคนที่จับแขนตนเอง ก่อนที่มือนั้นจะเลื่อนลงมาจับมือเขาแล้วรั้งให้เดินตามไป เวลานี้น้องแว่นมองเห็นแต่ปลายเท้าของตนเองเวลาก้าวเดินเท่านั้น เพราะไม่กล้าพอที่จะเงยขึ้นมองใครอีกคน
“แว่นอันโตไปนะ”
เสียงของคนที่เดินอยู่ด้านหน้าเอ่ยทัก เด็กแว่นโตเลยเผลอยกมือขึ้นจับมัน ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ความอายกับสถานการณ์เมื่อครู่ยังไม่จางไปไหน กลับมาอายเรื่องแว่นของตนเองต่อเสียแล้ว
“มันทำให้ลำบากในการมองเห็นหรือเปล่า?”
เสียงนั้นยังคงดังมาให้ได้ยิน แต่น้องแว่นก็ยังคงเงียบอยู่ ไม่รู้ว่าคนด้านหน้ากำลังจะพาตนเองไปไหน แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือเขายอมตามมาง่าย ๆ แบบนี้
เสียงเปิดประตูบานเลื่อนดังขึ้นทำให้เขาชะงัก ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเมื่อจมูกได้กลิ่นยาลอยมา... ห้องพยาบาล??
“อาจารย์ครับ”
ผู้ที่พาเขามาเอ่ยเรียกอาจารย์ประจำห้องพยาบาล เขามองเห็นเพียงด้านหลังที่ช่างแสนคุ้นตา
“อ้าว? กวิน มีเรื่องมาอีกแล้วหรือเรา?”
“โธ่ อาจารย์”
เสียงอาจารย์ห้องพยาบาลเอ่ยเย้าลูกศิษย์คงไม่ทำให้น้องแว่นสนใจได้เท่าชื่อของคนตรงหน้านี้ กวิน? พี่กวิน?? พี่...
“ทำแผลหน่อยไหม?”
“.......” แว่นน้อยชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาถาม ดวงตาเบิกโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่กวินที่ว่าคือ พี่เป้ มือกลองวง HOTNESS มิน่า ถึงได้คุ้นชื่อนัก
เด็กหนุ่มรุ่นพี่เห็นน้องแว่นทำหน้าเอ๋อเลยชี้ที่ขาของอีกฝ่าย ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองตามมือรุ่นพี่ถึงได้เห็นว่าขาถูกน่าจะถูกอะไรครูดถลอกจนเลือดซิบ เพิ่งมารู้สึกว่ามันเจ็บก็ตอนเห็นเลือดออกนี่เอง
อาจารย์ห้องพยาบาลจัดการทำแผลให้ มันเป็นเพียงแผลถลอก อีกไม่กี่วันคงตกสะเก็ดและหายไปเอง เป้เดินตามเข้าไปยืนดูจนน้องแว่นทำแผลเสร็จจึงจะกลับไปซ้อมดนตรีต่อ
“พี่ครับ!”
“......?” เสียงเรียกนั้นทำให้เป้หันกลับมามองเชิงถาม
“ขอบคุณนะครับ”
“หึ” มีเพียงเสียงหึในลำคอกับอาการยิ้มมุมปากนิด ๆ ก่อนที่ตัวสูง ๆ นั้นจะเดินออกจากห้องพยาบาลไป
น้องแว่นมองตามหลังหนุ่มรุ่นพี่ ก่อนก้มลงมองมือของตนเองที่พี่เขาจับมาตลอดทางโดยที่อาจไม่รู้ตัว ริมฝีปากอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึง เหมือนจะไม่สนใจใคร แต่กลับใจดีกว่าที่คิด
บ้านสองชั้นหลังกะทัดรัดในเวลาหลังโรงเรียนเลิก หนุ่มน้อยวัยมัธยมวิ่งเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว ไหว้สวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของตนแล้วก็ตรงขึ้นห้องทันที เขาวางกระเป๋าไว้บนที่นอนก่อนที่จะค้นกล่องเหล็กในลิ้นชักใต้ตู้เสื้อผ้าออกมา เปิดดูของในนั้นแล้วอมยิ้ม เดินถือกล่องไปวางที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วหยิบกระดาษสำหรับเขียนจดหมายมากางบนโต๊ะ จรดปากกาเขียนจดหมายแบบที่มักจะทำทุกครั้งเมื่อมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับตนเอง เขียนจดหมายถึงใครบางคน เก็บใส่ซองเอาไว้แต่ไม่ได้ส่ง
กระดาษแผ่นบางสีสันสวยงามถูกบรรจงเขียนข้อความลงไปอย่างตั้งใจ มือที่จับปากกายกปลายมันขึ้นแตะคางเมื่อคิดหาถ้อยคำดี ๆ ที่จะเขียนลงไป ก่อนริมฝีปากจะเปิดยิ้มเมื่อนึกออก ก้มหน้าก้มตาเขียนจนเสร็จ คนเขียนก็ค่อย ๆ พับมันใส่ซอง ตรวจดูความเรียบร้อยอีกนิด เมื่อเห็นว่าสมบูรณ์แบบดีแล้วก็จรดปากกาเขียนชื่อของตนเองด้านหลังซองเป็นการปิดท้าย
From Sugar.เมื่อเขียนจนเสร็จก็วางมันลงในกล่องแล้วปิดฝาให้สนิท ก่อนถือกล่องนั้นมานั่งที่เตียง กอดมันเอาไว้แนบอกพลางยิ้มกับตนเอง กล่องที่เต็มไปด้วยความสุขของเขา
“ทำอะไรน่ะ ชูการ์?”
เสียงทักที่ดังมาจากหน้าประตูห้องทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก เบี่ยงตัวแล้วรีบซ่อนกล่องที่ตนกอดไว้ด้านหลัง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นอันโตฉายแววแตกตื่น ขณะที่เอ่ยปฏิเสธแบบมีพิรุธจนเห็นได้ชัด
“ป... เปล่า ก้าไม่ได้ทำอะไร...”
เด็กหนุ่มหน้าประตูหรี่ตาจับผิด เขาเห็นแล้วว่าอีกคนซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง แต่เมื่ออยากให้มันเป็นความลับ เขาจึงทำเป็นมองไม่เห็นไปอย่างนั้น
“พี่โซนมีอะไรหรือเปล่า?” เอ่ยถามเมื่ออีกคนเดินเข้ามาในห้อง
“แค่จะมาดูว่าที่หกล้มเป็นไงบ้าง”
พอพูดถึงเรื่องหกล้ม ตากลมก็ก้มลงมองขาตนเอง ที่ห้องซ้อมดนตรีนั่นเขาตั้งใจไปดูพี่ชายซึ่งก็คือโอโซน มือกีตาร์วง
HOTNESS ผู้ที่กำลังนั่งลงจับขาเขาพลิกไปพลิกมาเพื่อดูแผลอยู่ตอนนี้ แต่กลับโดนเบียดจนล้มคะมำ น่าขายหน้า
“แค่ถลอกนิดหน่อย น่าจะครูดกับขอบประตูตอนล้ม ครูห้องพยาบาลใส่ยาให้แล้ว เดี๋ยวก็หาย” น้องแว่นที่ถูกเรียกว่าชูการ์รายงานให้พี่ชายได้รับทราบ
“พวกนั้นก็จริง ๆ เลย จะเบียดอะไรกันนักหนา” คนเป็นพี่บ่น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันยากเกินควบคุมได้ ยิ่งคนเยอะยิ่งพูดกันลำบาก แถมหัวหน้าวงอย่างพุฒก็สั่งห้ามไม่ให้พูดจาทำร้ายจิตใจแฟนคลับที่มารอดูเพราะชื่นชอบพวกเขา แต่หนนี้มันเกินไปจริง ๆ น้องของเขาต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ มันน่านัก!
“พี่โซนฮอทไง พวกเขาก็เหมือนก้าแหละ อยากเห็นเวลาพี่ซ้อม โคตรเท่เลย” น้องแว่นชื่นชม
“บ๊อง” เขกเหม่งไปที มีน้องเป็นแฟนบอยหรือไงวะ
โอโซนลุกขึ้นยืน มองสำรวจห้องนอนของน้องแล้วคิ้วขมวด บนโต๊ะเขียนหนังสือและหน้าทีวีเต็มไปด้วยหนังสือเรียนและวิชาการ ซึ่งเกือบทุกเล่มถูกคั่นด้วยสติ๊กเกอร์ที่มาร์กจุดสำคัญเอาไว้ สมเป็นเด็กคงแก่เรียนเสียจริง
“ชูการ์ เรื่องเรียนอย่าไปเครียดกับมันมากนะ วัน ๆ พี่เห็นเราอ่านแต่หนังสือ” เอ่ยเตือนเพราะอีกหน่อยน้องอาจจะต้มหนังสือกินแทนข้าว
ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน ก็ชูการ์เล่นเฉิ่มเชยปานนั้น ในขณะที่พี่ชายเป็นถึงมือกีตาร์ของวงดนตรีดังในโรงเรียน มันเป็นเรื่องที่ชูการ์รู้สึกว่าเป็นปมด้อย จึงพยายามทุ่มเทที่จะเรียนให้เก่งเทียบเท่าพี่ แม้ความเท่จะมีไม่ติดฝุ่นก็ตาม
“ก็ก้าอยากเก่งเหมือนพี่บ้างนี่” ชูการ์บอกเสียงเบา ที่เขาต้องอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้ก็เพราะอยากเก่งแบบพี่นะ “พี่โซน สอนก้าหน่อยสิ”
โอโซนที่กำลังเปิดดูหนังสือของน้องชายส่ายหน้าทันทีที่ได้ฟังคำขอ “ไม่เอาอะ แค่นี้ยังบ้าเรียนไม่พออีกเหรอ?”
ชูการ์หน้ามุ่ยที่พี่ปฏิเสธทันควัน เขาก็แค่อยากเก่งเหมือนพี่ อยากเท่เหมือนพี่ อยากมีคนชื่นชมบ้าง ตอนนี้แม้แต่จะบอกว่าเป็นน้องชายของโอโซนวง
HOTNESS ยังไม่กล้าพูดเลย แถมเพิ่งไปทำเรื่องขายขี้หน้าที่ห้องซ้อมดนตรีมาอีกต่างหาก
“ดูทำหน้าเข้า เออ ๆ เดี๋ยวให้เพื่อนมาช่วยสอน มันเรียนเก่งนะ... แต่ประวัติไม่ค่อยดีเท่าไร” ประโยคหลังพี่ชายพึมพำเพียงเบา ๆ
“ใครอะ ก้ารู้จักไหม?”
ชูการ์หูผึ่งเมื่อได้ฟังว่าพี่ชายจะให้เพื่อนมาช่วยสอน เพื่อน ๆ พี่มีแต่หัวกะทิคั้นสดทั้งนั้นล่ะ หนุ่มน้อยแว่นหนาตากลมโตคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าพี่จะให้ใครมาสอนตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่ออกัสแสนใจดี หรือจะเป็นพี่พุฒ แต่ถ้าเป็นพี่ธนินคงไม่ดีเท่าไร เพราะพี่เขาชอบแกล้งชูการ์อยู่เรื่อย
“เป้” เสียงพี่ชายแทรกเข้ามาในความคิด
“หา?” ชูการ์ป้องหู เอียงคอเล็กน้อย ทำท่าขอฟังอีกที
“เป้ กวิน มือกลองวง
HOTNESS”
ชัดเป๊ะ!ชูการ์ถึงกับนิ่งสนิท จะให้พี่เป้มาสอนเขาหรือ พี่เป้นี่นะ เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม ไม่ใช่เขาไม่ชอบพี่เป้หรืออะไร เพราะเมื่อกลางวันพี่เขาเพิ่งช่วยพาไปห้องพยาบาลมา เขารู้ว่าพี่เป้เป็นคนใจดี แต่ขอเป็นคนอื่นแทนได้ไหม ฮือออ
.........
ถึงจะคร่ำครวญในใจไปหลายล้านรอบ แต่สุดท้ายชูการ์ก็มายืนเจี๋ยมเจี้ยมต่อหน้าพี่เป้อยู่ดี เมื่อวันหยุดพี่ชายอย่างโอโซนพาเพื่อนอย่างเป้มาจริง ๆ พอสองหนุ่มมายืนข้างกันแบบนี้ทำให้ชูการ์รู้สึกว่าตนเองเหมือนอยู่ห่างไกลไปอีกหลายล้านปีแสง
“ฝากด้วยนะเว้ย” โอโซนตบบ่าเพื่อนปุ ๆ
เป้ปรายตามองคนที่มันโยนภาระมาให้เขาแล้วเอ่ยถาม “กูสงสัย”
“ว่า?”
“ทำไมมึงไม่สอนน้องมึงเองวะ?” ขณะที่ถาม สายตาก็พลอยมองจ้องเด็กแว่นตรงหน้าไปด้วย
“.........” ชูการ์ยืนก้มหน้าบิดมือไปมา ไม่รู้จะวางมันไว้ตรงไหน ดูมันเกะกะไปหมดทุกอย่าง
“กูขี้เกียจ จบนะ” ตอบได้หน้าตาเฉยมากสำหรับคนเป็นพี่ชาย
เป้ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น นอกจากเดินตามชูการ์ขึ้นไปบนห้องนอนซึ่งเป็นแหล่งรวมหนังสือสารพัดอย่าง หนังสือหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะเตี้ย ๆ หน้าทีวี เป้เดินไปนั่งลงบนเบาะนุ่มรูปผลไม้ดูน่ารักคิกขุ ไม่สมกับเป็นห้องของเด็กผู้ชายเอาเสียเลย เขาไล่เปิดดูหนังสือเรียนบนโต๊ะ ก่อนเหลือบสายตาขึ้นมองเด็กที่นั่งตัวลีบอยู่ใกล้ ๆ แล้วจึงเอ่ยถาม
“เรียนถึงไหนแล้ว?”
“หา! เอ่อ…” เพียงแค่คำถามธรรมดากลับทำให้ชูการ์สะดุ้งได้
“.........” เป้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ใช่ยักษ์นะ จะกลัวอะไรหนักหนา
ชูการ์ดูลนกับการหาหนังสือบทที่เรียนมา มือคว้าหนังสือที่เป้ถืออยู่มาเปิดหาด้วยอีกเล่ม คนที่ถือมันอยู่เมื่อครู่ยกมือค้างเพราะถูกแย่งหนังสือไปแล้ว
พอหันกลับมาชูการ์ก็ถึงกับหน้าเจื่อน พี่เป้ทำหน้าดุทำไมอะ “ขอโทษครับ…”
“ทำอะไรผิด?”
“เอ๊ะ... ก็เปล่าครับ…”
“แล้วขอโทษทำไม?”
น้ำเสียงที่ดูเรียบเฉยยิ่งทำให้ชูการ์ประหม่า เด็กแว่นนั่งเงียบ ใจมันแป้วกลัวทำให้พี่เขาโกรธ
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็อย่าขอโทษพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวมันติดนิสัย” เป้ถอนใจเบาเมื่อเอ่ยประโยคนั้น
“ครับ” ชูการ์รับคำ ไม่กล้าเงยหน้ามองคนพูด ถึงพี่เขาจะไม่ได้ดุเสียงดัง แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดุอยู่นี่นา
“ตกลงเรียนถึงไหนแล้ว?” คนพี่พยายามเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าน้องแว่นดูจะจ๋อยลงไป เขาไม่ได้ว่านะ แค่บอกเฉย ๆ เอง
“อ... อ๋อ นี่ครับ”
ชูการ์เลื่อนหนังสือเข้าไปให้เพื่อนพี่ชายดู ซึ่งอีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาเพื่อที่จะได้ดูใกล้ ๆ พอเงยหน้าขึ้นมาทำให้สบตากันโดยไม่ตั้งใจ
“แว่น...”
“ครับ?”
“อันโตไปนะ”
“พี่เคยพูดแล้ว” ชูการ์ว่า นิ้วเรียวขยับแว่นตาตนเองเล็กน้อย พี่เป้ชอบทักเรื่องแว่น ไม่รู้ว่าแกล้งหรืออะไร แต่มันทำให้เขาไม่มั่นใจทุกทีที่ถูกทัก
“หึ นั่นสิ” คนพูดทำน้ำเสียงเห็นด้วย ก่อนเอ่ยถามต่ออีก “ไม่คิดเปลี่ยนบ้างเหรอ?”
“มันดูไม่ดีหรือครับ?” แตะขาแว่นทั้งสองข้างของตนเอง ชักจะไม่มั่นใจขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
“อืม” เป้ก็กลับตอบรับตัดกำลังใจน้องเสียอย่างนั้น
“ใจร้าย”
“แค่พูดความจริง”
“.........” ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเมื่อฟังพี่พูด ไม่เห็นต้องพูดตรงแบบนั้นเลย คนยิ่งไม่มั่นใจอยู่
ชูการ์หยิบหนังสือที่วางอยู่ใกล้มือมาเปิดอ่าน ไม่อยากพูดกับพี่เป้แล้ว เป้เองก็ปล่อยให้น้องนั่งหันหลังให้ไป ส่วนตนเองก็เปิดหนังสือเล่มที่น้องให้มานั้นอ่านไปเรื่อย ๆ หยิบกระดาษกับปากกามาจดส่วนที่สำคัญควรจำไว้ให้น้องด้วย ต่างคนต่างอยู่คนละมุม ไม่รู้สอนกันแบบไหนถึงไม่พูดไม่จากันเลย
ปล่อยเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เป้ถึงได้ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งเมื่อรู้สึกเมื่อยขึ้นมา หันไปมองน้องแว่นก็เห็นว่าหลับไปเสียแล้ว จึงวางหนังสือในมือลงก่อนลุกเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ มองคนหลับกลางกองหนังสือแล้วยิ้มบาง ก่อนจะค่อย ๆ ถอดแว่นตาหนาเตอะนั่นออกช้า ๆ เมื่อไร้สิ่งบดบังใบหน้าแล้วเด็กคนนี้กลับดูดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก สมกับเป็นน้องโอโซน แพขนตายาวปิดสนิทเมื่อเจ้าตัวยังคงหลับไม่รู้เรื่อง
เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปหา แตะจูบริมฝีปากอมชมพูนั้นแผ่วเบาก่อนผละออกมาช้า ๆ เปลือกตาคนหลับขยับเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วกะพริบเพื่อปรับการมองเห็น
ชูการ์ขยับลุกนั่ง ก่อนหันไปมองอีกคนที่ยังนั่งเปิดหนังสืออยู่ที่เดิมแต่กลับเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไร จึงยกมือจะจับแว่นตามความเคยชิน แต่ปรากฏว่าแว่นตาของตนเองหายไปเสียแล้ว หนุ่มน้อยหันรีหันขวางมองหา ขณะที่เพื่อนพี่ชายเหลือบมองมาแต่ไม่พูดอะไร
“พี่” ชูการ์เอ่ยเรียกเมื่อหาแว่นไม่เจอ
“หือ หลับสบายไหม?”
“อ่า…” คนถูกทักถึงกับไปไม่เป็น เขาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย มันหลับไปเอง แต่ก็ไม่กล้าเถียงไปแบบนั้นเพราะรู้ตัวว่าตนเองผิด “พี่เป้ แว่นผมหาย”
ชูการ์เอ่ยบอกอย่างต้องการความช่วยเหลือ ก่อนจะเพ่งมองดูคนที่ตนเองกำลังพูดด้วย คล้ายจะเห็นว่าพี่เขาใส่แว่นหรือเปล่านะนั่น พอเขม้นมองดูดี ๆ ถึงได้รู้ว่าแว่นที่คนพี่ใส่นั้นมันแว่นของตนเอง
“พี่เป้ แว่นผม…”
“ยืม” เป้ตอบกลับมาสั้น ๆ ทำให้เจ้าของแว่นหน้ามุ่ย
“ไม่เห็นรู้เรื่อง” น้องแว่นแอบบ่น
“หึ” คนถูกบ่นแค่หัวเราะในลำคอ ไม่ได้ให้ความสนใจไปมากกว่านั้น ยังคงอ่านหนังสือและขีดเขียนอะไรบนกระดาษที่วางซ้อนอยู่ในนั้นต่อไป
“ผมมองไม่ชัด” ประท้วงอีกเมื่อเพื่อนพี่ชายทำท่าว่าจะไม่ยอมคืนแว่นให้ ไม่ได้หวงแว่น แต่เขามองไม่ชัดจริง ๆ
“มาถอดเอาสิ”
“.........” พอถูกยื่นข้อเสนอมาแบบนั้นชูการ์ก็นั่งนิ่ง
และดูท่าว่าคนตั้งข้อเสนอเองก็ไม่คิดจะคืนให้เหมือนกันหากไม่มาถอดเอาเองดังว่า เป้วางหนังสือที่อ่านค้างไว้ลงข้างกาย นั่งมองน้องแว่นที่ตอนนี้ไม่มีแว่นแล้วว่าจะเอาอย่างไร
ชูการ์เม้มปาก ท่าทางอึดอัดกับสถานการณ์ อยากได้แว่นคืน แต่ไม่กล้าเข้าไปเอา นั่งจ้องกันอยู่พักหนึ่งถึงได้ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้พี่ มือเอื้อมไปจับขาแว่นตาเพื่อจะถอดออกมา แต่เมื่อพี่เหลือบสายตาขึ้นมามอง ชูการ์ก็ชะงัก เผลอหลุบตามองปากพี่แล้วก็หน้าแดงเมื่อนึกพิเรนท์อะไรไม่รู้
พอถอดแว่นออกมาได้แล้วชูการ์จึงจะผละออกไป แต่เป้กลับจับแขนน้องกระตุกเบา ๆ ตัวบางเซมาหา มือเกาะบ่าเขาเป็นหลักยึด เสมือนเวลาหยุดนิ่งอยู่แค่นั้นเมื่อสบตากันในระยะใกล้ เป้ค่อยเลื่อนมือมาที่เอวน้อง มองสบตากลมไร้สิ่งบดบังนั้นแล้วจึงค่อยเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ทีละนิด
ชูการ์หลับตาปี๋เมื่อพี่เข้ามาใกล้จนเกินไป ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นนุ่มที่ข้างแก้ม ตากลมเบิกโตด้วยความตกใจ ยกมือแตะข้างแก้มของตนเองขณะมองพี่ตาโต
“ชูการ์ หวานจริงเหมือนชื่อหรือเปล่า อยากชิม”
ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น เมื่อริมฝีปากของคนพูดเลื่อนมาแตะจูบเพื่อพิสูจน์ความหวานจริงดังว่า ตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตนเอง หัวใจเต้นระรัวกับสัมผัสเพียงแผ่วผิวนั้น
“หวาน” คนเป็นพี่เอ่ยบอก รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนริมฝีปาก
ชูการ์เพิ่งเคยเห็นพี่เขายิ้มแบบนี้เป็นครั้งแรก ปรกติชอบทำหน้านิ่งตลอด แก้มเขาแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เฉหลบสายตาของพี่ที่มองมาด้วยแววประหลาดที่เขาไม่อยากเข้าใจมันสักนิด ทำอย่างไรดี หัวใจเขาเต้นแรงไม่หยุดเลย…
.........
ร้านขายหนังสือในห้างสรรพสินค้า
ชูการ์หอบหนังสือเดินตามเป้ที่เดินเฉยไม่ยอมช่วยกันเลย ทุกวันหยุดเป้จะมาช่วยสอนช่วยติวหนังสือให้น้องชายเพื่อน ชูการ์ยอมรับว่าพี่เขาสอนเข้าใจง่าย แถมยังช่วยจดตรงที่สำคัญเอาไว้ให้ท่องจำด้วย วันนี้เขาอยากได้หนังสือแนวข้อสอบเพิ่มเติมอีก พี่เป้เลยออกมาเป็นเพื่อน พอซื้อเสร็จกลับไม่มีน้ำใจช่วยถือเลยสักนิด น้องแว่นเลยได้แต่แอบบ่นในใจ
“ไหวไหม?” เป้หันกลับมาถามน้องที่ถือถุงหนังสือหนักจนตัวเอียง มุมปากติดจะยิ้มเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถาม
“ทำไมเพิ่งมาถาม” น้องแว่นบ่นอุบ
“หึ ก็เห็นอยากได้นักไม่ใช่เหรอ ถือเองก็ถูกแล้ว”
ชูการ์ส่งค้อนให้พี่วงโต ก็จริงที่พี่เขาบอกแล้วว่าไม่ให้ซื้อเพิ่มอีก เพราะเท่าที่มีอยู่มันก็เยอะมากแล้ว ทำความเข้าใจกับพวกนั้นก็พอ แต่ชูการ์ยังดื้ออยากมาเอง
“พี่หิวแล้ว แวะกินอะไรหน่อยนะค่อยกลับ”
เป้เปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นน้องหน้างอยิ่งกว่าเดิม แอบสงสารอยู่เหมือนกันนะที่ถือของหนักแบบนั้น ยิ่งผอม ๆ อยู่เสียด้วยสิ แต่ให้ทำไงได้ บอกว่าไม่ต้องซื้อแล้ว เพราะที่มีอยู่ก็มากมายหลายเล่มจนไม่รู้จะอ่านไปทำไมหนักหนา มันก็คล้าย ๆ กันทุกเล่มนั่นล่ะ
ชูการ์เดินตามเพื่อนพี่ชายเข้าไปในร้านอาหารต้อย ๆ เมื่อเข้ามาในร้านแล้วก็ได้แต่นั่งมองพี่กิน ไม่ยอมสั่งอะไรมากินด้วย เขาอยากกลับบ้านไปอ่านหนังสือมากกว่า เหมือนว่าพี่เป้จะรู้เลยแกล้งถ่วงเวลา ก็ดูสิ กินไปยิ้มไปแบบนั้นน่ะ ยิ้มบ่อยขนาดนี้แกล้งเขาชัวร์
“ไม่กินเหรอ?” เป้เลิกคิ้ว ทำท่าทีไม่รู้เรื่องว่าน้องกำลังเขม่นตนเอง แถมยังสั่งราดหน้าผักรวมของชอบน้องมาอีกจาน
ชูการ์มองแล้วส่ายหน้า อยากจะบอกให้พี่รีบกินเร็ว ๆ มากกว่า สั่งมาทำไมตั้งสองจาน จะกินหมดหรือไงกัน
“อร่อยนะ”
“พี่เป้…”
“ชิม” คนพี่ทำหูทวนลมแถมยังตักอาหารให้น้องชิมอีก
ชูการ์เบี่ยงหน้าหนี มองพี่ตาคว่ำ “ไม่เอา”
ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่เป้ก็ยังไม่ยอมเอาช้อนออกไป จะให้น้องชิมให้ได้ ชูการ์มองเพื่อนพี่ชายขี้แกล้งอย่างอ่อนใจ ว่าพี่ธนินขี้แกล้งแล้ว เวลานี้คงสู้พี่เป้ไม่ได้ พอจะจับคันช้อนเองพี่เขาก็ไม่ยอม น้องแว่นจึงต้องอ้าปาก ยอมให้ป้อนตามใจ
พอน้องยอมกิน เป้ก็ยิ้มพอใจ ก่อนยกจานราดหน้าที่สั่งมาเผื่อให้น้องไป ส่วนตนเองก็กินต่อ ลอบมองน้องที่ค่อยตักราดหน้ากินช้า ๆ แล้วก็ยิ้ม สุดท้ายก็ยอมกิน ถึงหน้าจะดูบึ้งไปหน่อยก็เถอะนะ
“เป้”
เสียงทายทักนั้นทำให้ชูการ์ที่กำลังจะตักราดหน้าเข้าปากเงยหน้าขึ้นมอง เป้เองก็หันไปมองตามเสียงเช่นกัน ก่อนเอ่ยเรียกชื่อผู้ที่เข้ามาทัก
“ฮันนี่”
ชูการ์หันมามองเป้ ก่อนหันกลับไปมองคนที่ถูกเรียกว่าฮันนี่คนนั้น พี่ผู้ชายหน้าหวานนี่ใครกันน่ะ?
“ขอพวกเรานั่งด้วยคนนะคะ เป้” เพื่อนผู้หญิงที่มากับเด็กหนุ่มชื่อฮันนี่เอ่ยขอ
เป้หันมามองชูการ์ที่ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวกับใครเขา ก่อนจะหันไปตอบเด็กสาวในกลุ่มของฮันนี่
“เรามากับน้อง คงไม่สะดวก”
เด็กสาวในกลุ่มนั้นพากันหน้าเจื่อนไปที่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ฮันนี่ยิ้มขำก่อนขอตัวไปนั่งโต๊ะอื่น แต่สาว ๆ ยังไม่เดินตามไป พอมองหน้าชูการ์แล้วหนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้นมาเสียงแหลม
“เอ๊ะ! น้องแว่นนี่ดูคุ้น ๆ จัง น้องเป้จริง ๆ เหรอ?”
ชูการ์ขยับแว่นตาเล็กน้อยตามความเคยชินเมื่อรู้สึกประหม่า เป้มองท่าทางของน้องแล้วปรายสายตามองคนพูด เพราะคำพูดนั้นทำให้ชูการ์วางช้อนส้อม เลิกกินของที่น้องชอบ
“คนนั้นไงแก ที่หกล้มหน้าทิ่มในห้องซ้อมดนตรีน่ะ”
“เออ ใช่ ๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นน้องเป้” อีกคนเออออตามกันเมื่อนึกขึ้นได้
“นั่นสิ ดูเฉิ่ม ๆ แถมซุ่มซ่ามอีก ต่างจากเป้อย่างกับอะไร”
เสียงซุบซิบนินทานั้นทำให้คนถูกนำไปเป็นหัวข้อก้มหน้านิ่ง ทั้งที่เรื่องมันผ่านมาแล้ว และเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดเสียหน่อย เป้มองน้องที่ก้มหน้าก้มตาก่อนที่จะเรียกพนักงานเก็บเงิน วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมาหา ถือถุงหนังสือที่วางอยู่ข้าง ๆ ก่อนจับมือน้องพาออกจากร้านไป ไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร
ชูการ์มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่อย่างขอบคุณ นึกว่าพี่จะไม่สนใจ ปล่อยให้โดนว่าอยู่อย่างนั้นเสียอีก มือข้างที่ไม่ถูกจับวางทับมือพี่อีกที เป้ชะงักเล็กน้อยกับสัมผัสนั้น ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อให้น้องมาเดินข้างกัน
“อย่าคิดมาก”
“ครับ” คนน้องรับคำอย่างว่าง่าย
“พี่เป้…”
“หือ?”
“ขอบคุณนะครับ”
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เป้เลิกคิ้วงง ๆ กับคำขอบคุณนั้น
ชูการ์ยิ้มให้ ถึงพี่จะบอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรให้ แต่แค่พี่ไม่ทิ้งให้เขาถูกว่าอยู่แบบนั้น เขาก็ขอบคุณมาก ๆ แล้ว
“ยิ้มบ่อย ๆ นะ”
คำพูดลอย ๆ นั้นทำให้น้องแว่นเอียงคอมองพี่งง ๆ “ครับ?”
“ชอบ”
“.......” ถึงจะรู้ว่าพี่เขาไม่ได้หมายความไปในทางที่ตนเองกำลังคิดอยู่ แต่ชูการ์ก็อดหน้าแดงกับคำพูดนั้นไม่ได้ ทำไมเขาเขินได้ง่ายดายปานนี้
“หน้าแดง”
“เปล่าสักหน่อย”
“หึ ๆ”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ชูการ์ก็ตรงขึ้นห้องเพื่อเอาหนังสือออกมาดูทีละเล่ม เป้เข้ามานั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ ช่วยน้องจัดการกับหนังสือเล่มหนาพวกนั้นขณะที่มองหน้าน้องไปด้วย ชูการ์ที่เข้าสู่สถานะตั้งใจเรียนทำให้สนใจแต่หนังสือ ไม่ได้รู้เรื่องว่ามีใครมองตนเองอย่างไรทั้งสิ้น เป้ได้แต่แอบคิดขำ ๆ ในใจ มันคือความสามารถพิเศษสินะ
เริ่มเรียนกันไปสักพักใหญ่โอโซนก็เข้ามาพร้อมถาดของว่าง เอามาวางไว้แล้วขอลงไปเอามาอีกรอบเพราะตนเองจะกลับขึ้นมากินด้วย เมื่อโอโซนออกไป เป้จึงให้น้องวางมือจากหนังสือทุกเล่มแล้วพักกินอะไรสักหน่อยก่อน ทั้งที่อยากทำต่ออีกสักนิดแต่ชูการ์ก็จำต้องวางเพราะสายตาดุของพี่เป้ หนุ่มน้อยเก็บของแล้วมานั่งข้างพี่ ตักพุดดิ้งนมสดของโปรดที่คุณแม่ทำไว้ให้กินอย่างอร่อย พี่ชายอย่างโอโซนเพิ่มวิปปิ้งครีมใส่ในถ้วยของน้องให้เป็นพิเศษ ชูการ์เลยจ้วงใหญ่ ของชอบอยู่แล้ว
“เลอะแก้ม”
“.....?” จับแก้มตนเองเมื่อพี่ทัก
“ไม่ใช่ตรงนั้น”
มือเรียวปัดเช็ดไปทั่วเพราะไม่รู้ว่ามันเปื้อนตรงไหน เป้เอื้อมมาจับมือน้องไว้ โน้มหน้ามาใกล้แล้วตวัดเลียมุมปากเร็ว ๆ ก่อนผละออกไปนั่งกินขนมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้น้องนั่งอึ้ง กะพริบตาปริบ ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเมื่อครู่นี้
“โหย กินเร็วจังวะ กูลงไปแป๊บเดียวเองนะเว้ย” โอโซนโผล่เข้ามาในห้องพร้อมของกินแล้วโวยเพื่อน
“มึงมาช้าแล้วโทษคนอื่นเหรอวะ?”
ปล่อยสองหนุ่มเพื่อนซี้เขาเถียงกันไป ส่วนชูการ์เขยิบออกมาอีกนิดให้พี่ชายนั่งตรงกลาง ในมือยังถือถ้วยพุดดิ้งติดมาด้วย หันหลังให้พี่ชายกับพี่เป้ที่ยังเถียงกันอยู่ ตักพุดดิ้งเข้าปากแล้วยิ้มเขินอยู่คนเดียว
+TBC+