Chapter 9
"ในกรณีถูกจับข้อมือ ให้คุณหนูยกแขนข้างที่โดนจับขึ้นตั้งฉาก แล้วกระตุกแขนเข้าหาตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้แขนอีกข้างยกศอกขึ้นเสยปลายคางคนตรงหน้าแบบเน้นๆ ได้เลยครับ" คำอธิบายของชายในชุดสูทสีดำดังขึ้นพร้อมกับร่างกายที่ผ่านประสบการณ์มากมายขยับเคลื่อนไหวตามประโยคที่ตนพูดโดยมีลูกน้องในความดูแลของตนเป็นคู่มือให้
"โหย ลูกพี่เพลาๆ หน่อยสิครับ พี่เคลื่อนไหวกะฆ่าแบบนี้ผมหลบศอกพี่ไม่ทันหรอกนะ" ชายหนุ่มผู้โชคร้ายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าศอกของคนตรงหน้าอยู่ห่างปลายคางของตนไม่กี่มิล
"อย่าบ่นมากความต่อหน้าคุณหนูใหญ่ได้มั้ย ฉันไม่ได้เสยปลายคางแกจริงๆ สักหน่อย ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้" คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกพี่ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกดต่ำพลางผลักหัวคู่ซ้อมในวันนี้อย่างนึกรำคาญ
ถ้าไม่ติดว่าหัวหน้าการ์ดกลุ่มเอมีติดภารกิจต้องบินตามคุณท่านและคุณหญิงของบ้านไปดูงานต่างประเทศ จ้างให้ชายร่างหนาก็ไม่คิดเอาลูกน้องใต้อาณัติมาเป็นคู่ซ้อมแบบนี้แน่ๆ
นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วนับตั้งแต่ที่คุณหนูใหญ่ของบ้านเข้ามาขอให้เขาช่วยสอนวิธีการป้องกันตัวแบบง่ายๆ ให้ ครั้งแรกที่โดนขอร้องแบบนั้นเขารู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมากลางกบาลแบบจัดหนักเลย
จะไม่ให้เขารู้สึกแย่ได้ไง ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงบอดี้การ์ด แต่คุณหนูคนสำคัญที่เป็นเป้าหมายควรปกป้องกลับมาขอให้เขาช่วยสอนการปกป้องตัวซะงั้น เจอแบบนั้นเข้าไป ไม่ให้คิดว่าทำงานผิดพลาดก็คงเป็นเพราะตัวเขาที่พึ่งพาไม่ได้นั่นแหละคุณหนูถึงอยากดูแลตัวเองแบบนี้
แต่ก่อนที่บอดี้การ์ดหน้าโหดขี้กังวลจะคิดมากไปไกลถึงขอบโลก คุณหนูใหญ่ก็อธิบายเจตนาของตนที่อยากเรียนรู้วิธีป้องกันตัวให้ฟังจนหมดเปลือก เมมโม่ไม่ได้โกหกว่าที่อาจารย์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ร่างบางเล่าทุกอย่างให้ฟังแม้กระทั่งเรื่องโดนซ้อม ซึ่งนั่นทำหัวหน้าการ์ดอย่างเขาของขึ้นสุดๆ
ตอนฟังจบครั้งแรกบอดี้การ์ดหน้าโหดก็แทบพุ่งไปฆ่าไอ้พวกเวรนั่นทันที เหนื่อยให้เจ้านายตัวเล็กกับพวกลูกน้องทั้งหลายมาช่วยยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นานสองนาน กว่าจะสงบก็ตอนที่หัวหน้าการ์ดกลุ่มเอมาฟาดกะโหลกเข้าให้นั่นแหละถึงนิ่งลงได้
พอได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของคุณหนูใหญ่และหน้านิ่งๆ ของเจ้าของฝ่ามือพิฆาต คนใจร้อนเลยพอสงบลงได้บ้าง
ใช้เวลาไปพอสมควร จนในที่สุดชายร่างหนาหน้าโหดก็ยอมรับข้อเสนอที่จะสอนวิธีป้องกันตัวให้ โดยมีหัวหน้าการ์ดกลุ่มเอเป็นคู่ฝึกด้วยอีกคน
แต่อย่างว่าจะสอนทั้งทีเรื่องอะไรเขาต้องสอนวิธีง่ายๆ อย่างบิดข้อมือแล้วสะบัดออกแรงๆ เพื่อให้มีเวลาวิ่งหนีได้ทันแบบนั้นด้วยล่ะ
เหอะ ฝันไปเถอะ
สอนทั้งทีเขาก็หวังให้ฝ่ายนั้นได้แผลเหมือนกันละวะ! มาทำร้ายเจ้านายของเขาแบบนี้คิดว่าจะอยู่ครบสามสิบสองเหรอ รอก่อนเถอะ! คุณหนูใหญ่เผลอเมื่อไหร่เขาบุกกระทืบพวกเวรนั่นเละแน่!!
"พี่รุจ พี่รุจ! พี่รุจครับ!!! " เสียงเรียกของนักเรียนคนเก่งทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังคิดแผนการชั่วร้ายต้องหลุดจากภวังค์แล้วหันมาโค้งรับคำคุณหนูของบ้านที่กำลังเรียนรู้วิธีที่ตนสอนอย่างตั้งใจ
และดูท่าจะตั้งใจดีมากซะด้วย
รุจเหลือบสายตามองศิษย์ที่ร่างกายผอมแห้งแรงน้อยกำลังทำให้ลูกน้องใต้อาณัติของเขาตาโตมองศอกที่ห่างปลายคางตนอยู่ไม่กี่มิลเหมือนอย่างที่โดนจากลูกพี่ตัวเองมาแบบเป๊ะๆ
"โอ้ คุณหนูเก่งมากเลยครับ" รุจเงยหน้ามองผลงานลูกศิษย์คนเก่งด้วยแววตาชื่นชมอย่างจริงใจ
เห็นแบบนี้รุจก็เคยเป็นหน่วยพิเศษในกรมตำรวจมาก่อนนะ ชายหนุ่มจริงจังในเรื่องงานพอสมควร การจะให้มานั่งปั้นคำชมปลอมๆ หรือเอาใจเด็ก แบบนั้นเขาไม่ถนัดหรอก หากเขาชมคือมันดีจริงๆ
และที่สำคัญคุณหนูของเขาเรียนรู้ได้ไวมาก อาจจะไม่ไวเท่ามือขวาของรุจหรือพวกบอดี้การ์ดชั้นหัวหน้า แต่ก็ไวพอให้ลูกน้องใต้อาณัติอย่างนนท์ที่ทำงานบอดี้การ์ดมาเกือบหนึ่งปีรับมือไม่ทันแล้วกัน
"ขอบคุณครับ ว่าแต่พี่รุจจะพักก่อนมั้ย ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วยังต้องมาสอนผมต่ออีก ขอโทษนะครับ" เมมโม่ลดศอกจากคู่ซ้อมตรงหน้าแล้วหันไปพูดคุยกับอาจารย์หน้าโหดของตนด้วยความรู้สึกผิด
อาทิตย์กว่าที่ผ่านมานี้ร่างบางได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลย ประจวบเหมาะกับที่พ่อแม่ของเขากำลังติดพันเรื่องจะลงทุนอะไรสักอย่างกับทางเกาหลีพอดี ทำให้เมมโม่ไม่ถูกตรวจความเคลื่อนไหวเท่าช่วงแรกๆ การจะทำอะไรในช่วงนี้จึงสะดวกเป็นอย่างมาก
และที่สำคัญตั้งแต่ที่โดนซ้อมไปคราวนั้นพวกบ้านั่นก็ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นอีกเลย สงสัยคิดว่าตนบอกทางผู้ใหญ่ไปมั้ง เลยพากันซุกหัวเก็บตัวกันยกแก๊ง ซึ่งมันเป็นอะไรที่เข้าทางเขาสุดๆ
พอพูดถึงเรื่องหายหัว ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเมมโม่ก็ไม่เห็นโคล์วกับลุกซ์เลยเช่นกัน ถ้านับดูก็น่าจะเกือบอาทิตย์เข้าให้แล้ว ดูผิดวิสัยของพวกคนห่วงเพื่อนไร้สาระอย่างสองคนนั้นมาก
ซึ่งถ้าถามว่า เห็นแปลกไปแบบนี้แล้วเมมโม่ติดต่อไปหาพวกนั้นบ้างมั้ย ตอบตรงนี้เลยว่า...
ไม่!
อยู่เงียบๆ แบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด เรื่องไรจะหาเรื่องให้ตัวเองปวดหัวเพิ่มล่ะ บ้าดิ
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เหนื่อยอะไร คุณหนูเถอะยังไหวมั้ยครับ เราจะย้ายไปซ้อมในโรงฝึกกันต่อนะ วันนี้ผมจะให้นนท์เป็นคู่มือให้ ถ้าคุณหนูทุ่มนนท์ไม่ถึงห้าครั้งผมจะไม่ให้พักนะครับ" นี่คือสิ่งที่ทำให้เมมโม่ตัดสินใจเลือกรุจเป็นครูสอน
ถ้าเป็นคนอื่นคงเกร็ง กลัวทำให้ตัวเขาบาดเจ็บ หรือต่อให้ไปเรียนเป็นครอสที่โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวอย่างดี แต่ถ้าวันนึงครูผู้สอนรู้ว่าเมมโม่เป็นใครก็คงไม่กล้าลงไม้ลงมือมากเกินไปอีกเช่นกัน
ซึ่งแตกต่างจากรุจ ชายร่างหนาหน้าโหดเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายมาก แต่ในเรื่องงานและเรื่องการฝึกมันต่างกัน รุจเข้มงวดและจริงจังกับงาน เขาไม่มีทางมาอ้อมมืออ้อมแรงเพียงแค่เพราะคู่ซ้อมหรือลูกศิษย์ของตนเป็นเจ้านายแน่นอน
"รับทราบครับอาจารย์" เมมโม่รับคำของชายหน้าโหดด้วยรอยยิ้มมุมปาก บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งสองให้ความรู้สึกสยองและน่ากลัวในสายตานนท์เป็นอย่างมาก
บางทีนนท์ก็อยากร้องไห้กับเงื่อนไขทุ่มห้าครั้งซะจริงๆ นี่จะไม่ลองถามความสมัครใจกันบ้างเลยหรือไงนะ
ดูท่าจบงานนี้มียอกแน่ๆ ซวยจริงๆ ไอ้นนท์เอ๊ย!
"ไปดีมาดีนะคะ" เสียงเอ่ยส่งของแม่บ้านคนสนิทดังขึ้นพร้อมแววตาอบอุ่นที่มองคล้อยตามรถยุโรปคันหรู เจ้าของใบหน้าเรียวคมเท้าคางมองนอกหน้าต่างรถพลางส่งยิ้มบางให้หญิงสูงวัยที่ยืนมองส่งตนด้วยความเคารพจนหายลับสายตา
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลี้ยวออกถนนใหญ่เคลื่อนตัวอย่างนิ่มนวลไปในเส้นทางเดิมอันแสนคุ้นเคย เมื่อถึงจุดหมายก็ตีไฟเลี้ยวหยุดจอดหน้าป้ายรถเมล์ที่ประจำโดยมีชายร่างสูงโปร่งดีกรีนักศึกษาแพทย์ปี4 ยืนหมดสภาพมองรถเจ้าปัญหาด้วยความเหนื่อยอ่อน
"เฮ้อ" ชายหนุ่มถอนหายใจท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ยืนรอรถอยู่ ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาเดินไปเปิดประตูด้านหลังคนขับขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย
ขัดขืนไปก็ดีแต่จะทำให้ตัวเองอายซะเปล่าๆ ขึ้นซะ จะได้จบๆ ไป
เมื่อรับผู้โดยสารครบทุกคนแล้ว ชายสูงวัยผู้มีหน้าที่ส่งคนสำคัญทั้งสองก็ยกยิ้มเอ็นดูกับภาพเดิมๆ แล้วเริ่มเคลื่อนรถออกสู่ถนนใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยันจุดหมายเดิมอย่างเช่นทุกวัน
หลังจากส่งนักศึกษาแพทย์สภาพใกล้เหลือแต่กายหยาบเสร็จ รถยุโรปคันสวยสะดุดตาก็มาหยุดลงอย่างช้าๆ ตรงหน้าคณะบริหาร คราวนี้ถึงคิวของคุณหนูใหญ่ที่ต้องรีบเข้าเรียนคลาสแรกให้ทันเวลาบ้างแล้ว
"ขอบคุณครับ" เมมโม่เอ่ยขอบคุณลุงคนขับดั่งเช่นทุกวันก่อนจะคว้าข้าวของและกระเป๋าเป้คู่ใจขึ้นพาดบ่าแล้วลงจากรถเดินเข้าคณะอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ตั้งแต่เมมโม่กลับมาเรียน นี่ก็ผ่านมาได้เกือบอาทิตย์กว่าแล้ว ปฏิกิริยาของคนรอบข้างส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยจนใกล้เป็นปกติ แต่มันก็มีบางส่วนอยู่บ้างที่ยังคงจับกลุ่มมองมาที่เขาเหมือนเห็นเศษขยะเดินได้ แต่เมมโม่ก็ไม่คิดสนใจ ตราบใดที่ไม่เข้ามาหาเรื่องกัน อยากจะมองจนเห็นถึงตับไตก็ตามสบายเลยเถอะ
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูบานเดิมดังขึ้นเหมือนวันแรกที่ร่างบางก้าวเข้ามา ปฏิกิริยาของคนทั้งห้องก็เหมือนถูกจับวางดั่งเช่นวันวานที่ผ่านมาอย่างน่าขบขัน
เจ้าของร่างที่มักสร้างเสียงฮือฮาเงยใบหน้าขึ้นกวาดสายตาหาจุดที่จะทำให้ตัวตนของเขาจืดจางในห้องเพื่อเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์เหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้ดวงตาคู่สวยต้องหยุดชะงักลงกลางห้องเมื่อสบเข้ากับคู่กรณี 3-4 คนที่ตนจำได้ติดตา
แหม มาหาเรื่องได้ถูกจังหวะเวลากันจริงๆ
นักศึกษาแปลกคณะทั้งสี่เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นเป้าหมายของตนมาเข้าเรียนตามปกติ ชายหนุ่มร่างสูงที่เคยฝากความเจ็บปวดไว้ที่ร่างกายผอมบางยกขาขึ้นพาดโต๊ะพร้อมเลิกคิ้วข้างนึงส่งให้คนที่มองมาอย่างกวนอารมณ์ แต่การตอบสนองที่ทำเหมือนตนเป็นธาตุอากาศแล้วมองเลยผ่านไป กลับทำให้คนที่จะไปยั่วโมโหชาวบ้านต้องรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาแทน
"ใจเย็นสิวะแม็ก มันเก่งได้ก็แค่ตอนนี้แหละ" เพื่อนในกลุ่มคว้าไหล่คนใจร้อนที่ทำท่าจะพุ่งลงไปกระทืบคนตัวเล็กอยู่รอมร่อเพื่อไม่ให้ทำเสียเรื่องเหมือนคราวที่แล้วอีก
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นพวกเขาทั้งหลายก็อยู่ไม่เป็นสุขกันสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพราะความคึกคะนอง แต่ยังไงมันก็ลบความจริงเรื่องที่พวกเขาทำร้ายคุณชายตระกูลธนพัฒน์โชคสกุลไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้อาทิตย์กว่าที่ผ่านมาทุกคนจึงอยู่ในความหวาดระแวงตลอดทั้งสัปดาห์
แต่พอผ่านไปสักระยะความหวาดหวั่นทั้งหลายก็สิ้นสุดลง เพราะทั้งที่ผ่านมานานพอสมควรพวกเขาทั้งหมดกลับไม่มีใครโดนเก็บหรือเกิดปัญหาด้านครอบครัวกันเลยสักคน
ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานอย่างดีว่าอีกฝ่ายกลัวพวกเขาจนขนาดไม่กล้าฟ้องพ่อแม่ ในเมื่อได้โอกาสงามๆ มาแบบนี้ แล้วทำไมจะไม่จัดต่อล่ะ คราวนี้ถึงทีพวกเขากระชากเจ้าชายที่ยืนบนหอคอยสูงเฉียดฟ้าตกลงมาอยู่ใต้เท้าพวกเขาบ้างแล้ว!!
"หึ! หลังจบคลาสนี้กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำเก่งต่อไปได้สักแค่ไหน" เจ้าของชื่อที่โดนเอ่ยเตือนตอบกลับเพื่อนอย่างนึกอารมณ์ดี
จะช้าจะเร็วยังไงไอ้ขยะนั่นก็ไม่พ้นมือพวกเขาอยู่แล้ว ที่สำคัญพอได้เห็นปฏิกิริยาของคนทั้งคลาสชายหนุ่มก็ยิ่งอยากหลุดขำ
ขนาดเพื่อนคณะเดียวกันยังรังเกียจมันเลยคิดดู
เมมโม่ส่ายหัวระอาพลางกลอกตาอย่างนึกเบื่อหน่ายก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะว่างมุมห้องที่ปลีกวิเวกอยู่ไกลๆ เพียงลำพัง
ดูจากสีหน้าและท่าทาง ทำไมร่างบางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แต่เอาเถอะ พูดมากก็ใช่ว่าจะดี เมมโม่ไม่ใช่พวกที่ชอบเห่าเป็นฝูงแล้ววิ่งหนีซะด้วยสิ
ไหนๆ ก็อยากเอาคืนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาลองสักตั้งกันหน่อยเป็นไงJ
เสียงจับกลุ่มพูดคุยของนักศึกษาทั้งหลายบ่งบอกว่าถึงเวลาสิ้นสุดคลาสเรียนช่วงเช้าของนิสิตคณะบริหารได้เป็นอย่างดี
ผู้คนบางจำนวนที่จับเค้าลางความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าได้คร่าวๆ ก็พากันทยอยออกจากห้องตามหลังอาจารย์ไปติดๆ แต่บางคนที่รอดูเรื่องสนุกก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่พลางมองไปยังแผ่นหลังบางของคนต้นเรื่องที่กำลังเก็บข้าวของอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่
ซึ่งในจำนวนนั้นรวมถึงไทม์และซองอึนด้วย
เมมโม่ถอนหายใจกับความบ้าบอของจิตใจมนุษย์ ก่อนจะจับกระเป๋าเป้พาดบ่าหวังเดินออกจากห้องแล้วให้พวกนั้นตามมาเพื่อไปเคลียร์กันที่อื่น แต่ดูเหมือนสมองของพวกนั้นจะกลวงกว่าที่คิดไว้มากโขจึงทำให้แผนของเขาล่มไปหมด
"จะรีบไปไหนล่ะคุณหนูเมมโม่" คำถามที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ของชายร่างสูงที่เคยทำร้ายตนคว้าเข้าที่ข้อมืออย่างถือวิสาสะ
เมมโม่ปรายตามองมือของอีกฝ่ายที่บีบข้อมือตนไว้แน่นจึงเผยรอยยิ้มมุมปากพลางช้อนสายตามองคนตรงหน้าอย่างท้าทาย
"มะ-"
พรึบ! ผลัวะ! ตุบ!
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร ข้อมือเล็กที่อยู่ในกำมือก็ถูกยกขึ้นตั้งฉากอย่างรวดเร็ว แขนที่ดูไร้เรี่ยวแรงกระชากร่างสูงหนาเข้าหาตัวพร้อมกับยกศอกอีกข้างสวนเข้าเสยปลายคางชายหนุ่มแบบเน้นๆ
แม็กยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวหรือทำอะไรไปบ้าง แต่สิ่งนึงที่ทำให้ตัวเขามั่นใจว่าทุกอย่างเป็นความจริงคือกลิ่นคาวเลือดและความปวดหนึบที่กระจายไปทั่วกรามและปลายคาง
"แม็ก!!! " หลังจากหายตกตะลึง พวกพ้องที่เหลือก็ตะโกนเรียกชื่อเพื่อนของตนพร้อมกับวิ่งไปดูคนที่นั่งเลือดกบปากอยู่ตรงพื้นทันที
ทั้งสามก้มมองแม็กที่ยกมือปิดปากด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พอเห็นมือของเพื่อนใจร้อนคลายออกก็พากันตาโตกับจำนวนเลือดที่ไหลอยู่เต็มฝ่ามือ
มันจะมากไปแล้ว! ตอนแม็กแกล้งมัน ยังไม่ทำถึงกับเลือดตกยางออกเลยแท้ๆ สันดานต่ำจริงๆ!!
"เมมโม่! มึง!! " พอเห็นเพื่อนเจ็บหนักหนึ่งในนั้นก็เกิดฟิวส์ขาด พวกเขาลุกขึ้นหมายจะพุ่งใส่ร่างของอีกคนที่ยืนหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อนเพื่อเอาคืนแทนเพื่อน
ฟิ้ว! ตุบ!
เท้าที่ก้าวไปได้แค่ครึ่งก้าวต้องถอยหลังแทบทันทีเมื่อจู่ๆ หนังสือเล่มหนาถูกปามาตรงกลางระหว่างกลุ่มพวกเขาและคนร่างบางอย่างพอดิบพอดี
"เอาละ พอแค่นั้นเลยนะ" เสียงใสจากเจ้าของหนังสือเล่มหนาดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของซองอึนลุกยืนเต็มความสูงพลางส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับพวกกลุ่มคนตรงหน้า
"พวกนายคงไม่คิดว่าพวกเราจะนั่งเฉย ดูเพื่อนร่วมคณะถูกรุมทำร้ายแบบหมาหมู่อย่างนั้นหรอกใช่มั้ย ^^" ซองอึนเอ่ยต่อด้วยแววตาหยอกล้อพร้อมริมฝีปากสีสวยที่แย้มยิ้มอย่างน่ารัก แต่มันกลับทำให้คนมองรู้สึกเย็นยะเยือกจนไม่อาจพูดหาเรื่องกลับไปได้
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบขึ้นมาทันที แต่นั่นก็เป็นคำตอบให้ผู้บุกรุกได้เป็นอย่างดีว่าถ้าหากพวกเขาทำอะไรขึ้นมาอีก ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ไม่อยู่เฉยอีกต่อไปแน่
"กลับกันก่อนเหอะ พาไอ้แม็กไปหาหมอด้วย" เมื่อเห็นว่าพวกตนเริ่มเสียเปรียบ หนึ่งในนั้นจึงคิดว่าควรรีบถอยทัพ พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ทุกคนจึงเห็นด้วยกับความคิดนั้น
พวกเขาลุกขึ้นพยุงคนเจ็บที่พยายามขัดขืนแล้วพากันกลับออกไปโดยไม่สบตาใครทั้งสิ้น
เมมโม่ไม่นึกสนใจกลุ่มคนพวกนั้นที่เดินผ่านร่างตนไปแม้แต่น้อย เจ้าของเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนาก่อนจะนำกลับไปยื่นคืนให้กับเจ้าของที่ตัวเล็กกว่าด้วยใบหน้านิ่งเหมือนทุกที
"ขอบคุณ" ซองอึนมองหนังสือที่ถูกส่งคืนมาด้วยสีหน้าตกตะลึงจนดูโอเว่อร์ มือเรียวเล็กคว้าไหล่เพื่อนสนิทที่นั่งหน้าตายอยู่ข้างกายเขย่าอย่างตื่นเต้นสุดๆ
"ไทม์ๆ ๆ ๆ ๆ! ดูดิ ดู๊! หนูเมมขอบคุณฉันด้วยแถมหนูเมมไม่มองหน้านายสักนิด โหย!!!! น่าสนใจเป็นบ้า!! ถ้านายไม่เอา ฉันขอนะ!! " ประโยคแปลกๆ ที่เอ่ยออกมาเหมือนเด็กเจอของเล่นถูกใจ ทำให้ผู้ฟังอย่างเมมโม่ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ตัวเขาไม่ใช่สิ่งของนะ และไอ้ชื่อหนูเมมเนี่ย แค่แม่เขาเรียกคนเดียวก็เกินพอแล้วมั้ง!
"เฮ้อ" เมมโม่พยายามนับเลขในใจเพื่อบรรเทาอารมณ์อย่างสุดความสามารถพลางถอนหายใจกับท่าทางเหมือนเด็กของซองอึนที่เอาแต่เขย่าไหล่คนข้างกายเพื่อขอคำตอบโดยไม่คิดถามเขาเลยสักนิด
ถ้าจะเมินกันขนาดนี้ก็ช่างเถอะ
เมมโม่วางหนังสือไว้ที่โต๊ะตรงหน้าซองอึนแล้วเตรียมหันหลังเดินกลับ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาก็ถูกดึงคอเสื้อจากด้านหลังให้ต้องหยุดชะงักลงซะก่อน
ใบหน้าเรียวคมเอี่ยวหันไปมองเจ้าของมือพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่คว้าคอเสื้อเขาไว้กลับไม่พูดอะไรแล้วเอาแต่นั่งใช้มืออีกข้างเท้าคางมองหน้าเขากลับซะงั้น
"โหยยยย นี่เป็นคำตอบอ่อ! ฉันอุตส่าห์เป็นคนช่วยหนูเมมไว้นะ ไทม์แม่งขี้โกง" ซองอึนที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทก็รู้เจตนาคนข้างกายทันที เล่นคว้าคอเสื้อขนาดนี้ใครจะกล้าแย่งต่ออีกเล่า
"เสร็จธุระยัง" เมื่อเห็นว่าคู่เพื่อนปวดประสาทคุยกันจบแล้ว เมมโม่จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ติดหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยพลางปรายตามองหวังให้อีกฝ่ายปล่อยคอเสื้อตนเร็วๆ
ไทม์ไม่ตอบกลับอะไร มือหนาละจากคอเสื้ออีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างนึกพอใจกับท่าทางของคนตรงหน้า
แตกต่างจริงๆ ไม่เหมือนกับเมมโม่ที่เคยรู้จักเลย น่าสนใจชะมัด
คนโดนก่อกวนกลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดหันไปสนใจเสียงพูดคุยถึงตนที่ดังไล่หลังหรือคำพูดเอ่ยแซวของซองอึนแม้แต่น้อย
เมมโม่ปิดประตูห้องเรียนด้วยความละเหี่ยใจแล้วออกเดินหวังไปหาข้าวกินเพื่อเติมพลัง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปได้ไกลก็โดนคว้าไหล่จากข้างหลังอีกครั้ง
พรึบ
"เมมโม่!!!!! "
เพียะ!!!
เสียงใสของคนที่ไม่รู้จักดังขึ้นพร้อมกับโดนคว้าไหล่ให้หันไปรับแรงเหวี่ยงจากฝ่ามือเล็กจนใบหน้าเรียวหันไปตามแรงตบอย่างไม่ทันตั้งตัว
"ทำไม!!! ทำไมนายทำแบบนี้!!!! ทำไม!!!! " คนโดนตบหันกลับมามองหญิงสาวร่างเล็กที่เอาแต่ทุบอกเขาพลางร้องไห้ดั่งคนจะขาดใจด้วยความงุนงง
ใบหน้าที่แดงจากการถูกตบเงยขึ้นหวังหาใครสักคนอธิบายเหตุการณ์ แต่กลับเจอแค่ผู้หญิงอีกคนที่สูงไล่เลี่ยกับตนยืนมองมาด้วยแววตาเจ็บปวดปนโกรธเคืองเท่านั้น
"ทั้งที่ฉันปล่อย ฮึก! ปล่อยเขาให้ ฮึก!! ให้นายไปแล้ว!!! แล้วทำไม!! ฮึก! ทำไม!! ทำไมนายถึงทำร้ายพวกเขาอีก!!!!! " หญิงสาวร่างเล็กที่ไม่รู้จักเอ่ยตะคอกปนสะอื้นอย่างคับแค้นใจ ใบหน้าหวานใสเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร กำปั้นเล็กของเธอก็คอยแต่ทุบอกคนตรงหน้าเพื่อระบายความโกรธเคือง
เมมโม่ก้มมองคนประทุษร้ายตนด้วยความไม่เข้าใจ แต่เขาก็เลือกยืนนิ่งให้อีกฝ่ายทุบตีพลางยกมือลูบหลังปลอบโยนไปด้วย
"ฮึก! ฮืออออออออออออออออออออออ" คนโดนปลอบสับสนกับสัมผัสอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่เพราะตอนนี้ตัวเองเจ็บปวดและอ่อนแอจึงเลือกจะไม่หาคำตอบแล้วปล่อยโฮให้อีกฝ่ายปลอบตนทั้งอย่างนั้น
เมมโม่ขมวดคิ้วแน่นอย่างงุนงงเข้าไปใหญ่เหมือนยิ่งปลอบหญิงสาวยิ่งร้องอย่างไม่สิ้นสุด พอเงยหน้าหวังให้คนที่น่าจะมาด้วยกันช่วยหยุดให้ แต่ฝ่ายนั้นกลับมองมาที่เขาเหมือนกำลังคิดว่าทักคนผิดซะอย่างงั้น
เอาละสิ ข้าวก็ยังไม่ได้กินแล้วยังต้องมาปลอบคนที่ตบตัวเองอีก ชีวิตหลังสูญเสียความทรงจำจะหรรษาไปหน่อยแล้วมั้ง
TBC.
//เป็นตอนที่ยาววววววมาก