เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว) รีไรท์ 100%
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว) รีไรท์ 100%  (อ่าน 10852 ครั้ง)

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:



เช่นทินกรอ่อนแสง


ไม่มีความรักของใครไม่เจ็บปวด แต่ใครที่เจ็บปวดกว่ากัน

วายดราม่า  โดย Symbol A
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:15:40 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอนที่ 1
จังหวะชีวิต






ใครก็อยากเป็นที่รัก มีคนมารุมรักย่อมดีกว่ามีคนมารุมเกลียด เป็นซัมวันดีกว่าเป็นโนบอดี้ .... เหรอ?

ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ ผมอยากเป็นแค่โนบอดี้ที่มีซัมวันเป็นของผมเอง และอยากเป็นซัมวันของเขาคนนั้นแค่คนเดียว แค่นี้เองแต่ทำไมมันยากจัง

‘บี๋อายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยพาแฟนมาหาอาเลยนะเรา’

คุณอาวัยห้าสิบตอนปลาย ครอบครัวคนเดียวของผม มักจะถามผมแบบนี้เสมอ

'ผมอยู่คนเดียวสบายดีครับอา'

คำตอบที่ไม่ถูกใจคนฟังนัก และมักจะถูกตอกกลับมาด้วยความห่วงใย

'เลือกมากระวังเถอะจะโสดจนตายเหมือนอา'

ความห่วงใยของอาบางทีก็ทำผมยิ้มไม่ออก ใครจะอยากโสดครับ ผมแค่หาคนนั้นไม่เจอ จะให้คบใครก็ได้ เพื่อรอคอยใครบางคนผมไม่ทำหรอก คนเรามีความรู้สึกมีจิตใจ ไม่ควรมีใครต้องอยู่ในฐานะตัวสำรอง ตัวแทน หรือแค่คนแก้เหงา



พรุ่งนี้เป็นการทำงานวันแรก ผมไม่ใช่เด็กจบใหม่หรอก แค่เปลี่ยนงาน ที่เก่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนร่วมงาน อยู่ด้วยแล้วปวดหัวมาก ส่วนเจ้านายก็เป็นแรงผลักดันอันดับต้นๆ ให้ผมตัดสินใจ..ลาออก

'คุณมีปัญหากับที่ทำงานเก่าหรือเปล่าถึงเปลี่ยนงาน' คำถามจากฝ่ายบุคคล

'ผมแค่อยากหาประสบการณ์เพิ่มครับ'

มันก็เป็นแพทเทิร์นหนึ่งเท่านั้น เป็นคำตอบที่คนตรงหน้าผมคงอยากจะฟัง ในสังคมที่เรียกว่างานประจำ ทุกอย่างมีคำตอบสำเร็จรูปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องครีเอทใหม่ให้กลายเป็นแกะดำ ขืนจริงใจมากเกินไปจะได้กลายเป็นจุดด่าง ที่ต้องโดนซักออกในสักวัน หลังตอบคำถามที่จริงบ้างดัดแปลงบ้างผมก็ได้งานใหม่ เป็นฝ่ายไอทีของบริษัทโฆษณาอันดับต้นๆ ของประเทศ ก็ผมจบทางด้านนี้มา ถึงลุคไม่ให้แต่ผมก็เก่งพอตัวนะ

..ขอให้เป็นที่วันดี...บอกตัวเองในใจก่อนตบเท้าเข้าที่ทำงานใหม่



“คุณน้องขามาทางนี้เลย” ยังไม่ทันได้แนะนำตัว ผมก็โดนพี่คนหนึ่ง ลากแขนไปในห้องที่มีลักษณะคล้าย สตูดิโอ

“อืม..เอ่อ” ยืนทำหน้างงดูนั่นดูนี่ไป ฝ่ายไอทีที่นี่ทำงานในสตูงั้นเหรอ

“น้องเบย์ใช่ไหมเนี่ยปะเปลี่ยนชุด” เดี๋ยวๆ

“ผมชื่อบี๋ครับ ฝ่ายไอที เพิ่งมาเริ่มงานวันนี้”

เสียงอุทาน ‘อ้าว’ ดังขึ้น

“แล้วไม่บอกก่อนละจ๊ะ ไอทีไม่ต้องหน้าตาดียังกะนายแบบก็ได้มั้ง อ่ะไปไหนก็ไปเลย” มนุษย์เพื่อนร่วมงานนี่เอาใจยากทุกคนเลยไหม

กำลังจะหันตัวกลับ “น้องเบย์ใช่ไหมคะ”

เสียงพี่คนที่ลากผมนั่นแหละ เอ่ยทักอีกคนที่เพิ่งจะก้าวขาเข้ามา

อดหันไปมองคนมาใหม่ที่ชื่อคุ้นหูไม่ได้ เขาคนนั้นไม่ได้คุ้นแค่ชื่อเสียแล้ว

“บี๋/เบย์” เราต่างอุทานชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกัน

ผมเป็นคนได้สติก่อน เลยรีบเดินออกมาทันที ทิ้งทุกอย่างไว้ เป็นความคุ้นเคยที่ไม่ต้องการทักทาย เพราะแค่ย่างกรายเข้าใกล้ก็ไม่ควรทำ



ในที่สุดผมก็มานั่งในห้องทำงานที่เป็นของฝ่ายไอทีจริงๆ

“พี่ฝากเด็กใหม่ด้วยนะโม”

“น่ารักไหมพี่”

“หล่อม๊ากกก”

“แปลว่าไม่น่ารักดิ เซ็งว่ะ”



แม้มีประตูกั้นแต่ผมก็ได้ยินชัดเจน เสียงคนชื่อโม ทำให้ใจที่เพิ่งเต้นเป็นปรกติ กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง วันนี้วันรวมญาติรึไงแต่ครั้งนี้ผมดีใจนะ ประตูเปิดออก ร่างสูงเดินเข้ามา เวลาหกปีที่เราไม่เจอกันโมไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

“บี๋/โม” เป็นอีกครั้งที่ผมอุทานชื่อพร้อมกับอีกคน

เรื่องราวที่เคยเลือนรางกระจ่างชัดขึ้นมาราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แค่เราสองคนเจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างก็กลับมา

“มึงสบายดีเหรอ” ผมเป็นคนทำลายความเงียบ

“ดีมาก มึงล่ะ”

คำถามง่ายๆ ที่เราใช้เพื่อขจัดความเงียบ ขับไล่ความอึดอัดในห้องทำงาน ห้องที่ไม่ได้กว้างนักยิ่งดูแคบลงไปอีก เพราะพื้นที่ส่วนตัวของเราต่างขยายกว้างเกินไป

เราสองคน...เข้าไม่ถึงกันอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่ง เราเคยใช้คำนี้ร่วมกัน

‘เพื่อนสนิท’

ผมใส่หูฟัง ก้มหน้าทำงานที่ได้รับมาจากหัวหน้า แล้วเมินเฉยต่อความอึดอัดที่มีแผนกไอทีมีสามคน ผม โม และพี่หัวหน้าชื่อจิ๋ว แต่ตัวไม่จิ๋วเลย

“โม! บี๋! วันนี้พี่เลี้ยงรับน้องใหม่ ปะ! ไปกันเดี๋ยวร้านคนเยอะ”

ผมกับโมคุยกันแทบนับคำได้ พี่จิ๋วบอกว่า

“โมมันงี๊แหละ ถ้าไม่สนิทมันจะไม่ค่อยพูด เดี๋ยวอยู่ไปก็สนิทกันเอง”

ผมหัวเราะทั้งที่ไม่ได้ขำ ยิ้มทั้งที่รู้สึกเศร้า ไม่เคยคิดว่าเราสองคนต้องมาใช้คำนี้ร่วมกัน ‘คนแปลกหน้า’ ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างอยู่ ถ้าผมทนไม่ได้ก็อาจจะออกไปหางานใหม่ ไม่อยากให้โมมันอึดอัดหนีไปอีก

....ถ้ามึงไม่ไหวบอกกูนะโม กูจะเป็นคนไปเอง...เตรียมประโยคนี้ไว้ในใจ ในเร็ววันนี้อาจต้องได้ใช้



เลิกงานแล้ว พี่จิ๋วหายไปก่อนผมจะรู้ตัวซะอีก ส่วนโมเลิกงานตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน ตามด้วยผมที่เพิ่งมาเลยทำงานช้าสุด ก็ยังไม่ชินกับระบบต่างๆ ผ่านไปอีกวันกับชีวิตที่วุ่นวายใจ หรือผมควรกลับไปทำงานที่บ้านอย่างที่อาขอร้อง ยอมรับกับคำว่าแพ้ ในเมื่อสู้เองแล้วไปไม่รอดก็กลับไปซบอกอา เกาะอากินเหมือนตอนเด็กๆ

ผมไม่ได้ใช้รถส่วนตัว ทั้งที่รถที่บ้านใช้ทั้งอาทิตย์ไม่ซ้ำกันยังได้ เงินทองแค่เปลือก ผมเคยบอกใครบางคนไว้ แล้วเขาก็ท้ากลับมาว่า ลองไปใช้ชีวิตแบบไม่มีเปลือกสิ ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งพาตัวเองมานั่งอยู่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ใกล้ที่ทำงาน ตรงข้ามมีแผงหนังสือผมเดินไปดูระหว่างรอเส้นเล็กน้ำตก

หนังสือนิยายเล่มหนาถูกพลาสติกซีลหนาแน่น กันการเปิดอ่านก่อนชำระค่าเสียหาย รูปประกอบสวยสะดุดตา และนามปากกาที่คุ้นเคย โดย...โอโซน

“ทำสำเร็จแล้วสินะ”

ผมจ่ายค่าหนังสือแล้วกอดมันไว้แน่น เส้นเล็กน้ำตกรสชาติดีกว่าทุกครั้งที่ผมเคยสั่ง

ขากลับเลือกนั่งรถไฟฟ้า เพราะไปเบียดบนรถเมล์ตอนนี้คงไม่ไหว แต่มีหลายคนที่ใจตรงกัน เลยต้องฝ่าผู้คนเดินย้อนกลับเข้าห้าง มันเป็นเย็นวันศุกร์พรุ่งนี้ผมหยุดไม่รีบเท่าไหร่ ระหว่างเดินสายตาดันไปเจอเข้ากับป้ายงานเปิดตัวหนังสือ

“พี่กาศ” เพิ่งหลุดอุทานชื่อเขา คนที่เขียนหนังสือเล่มที่ผมเพิ่งจ่ายเงินไปมาดๆ เขายังเหมือนเดิม สี่ปีที่เราไม่เจอกัน ดูดีเหมือนวันสุดท้ายที่เราบอกลากัน เดินไปนั่งเก้าอี้สำหรับแฟนนิยาย บนเวทีพี่คนนั้นกำลังเริ่มพูดถึงหนังสือของเขา ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยสนใจโลกภายนอกเท่าไหร่ ผมเลยไม่รู้มาก่อน ว่าเขามาไกลขนาดนี้แล้ว

“สวัสดีครับ” ทันทีที่เขากล่าวทักทายประโยคธรรมดาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

เพราะงานไม่ได้กว้างมากนัก เขากวาดตามองมา เราจึงประสานสายตากัน เขานิ่งไปจนพิธีกรต้องสะกิดเรียก

“สบายดีไหมครับ ผมสบายดี ผมคิดถึง คิดถึงมาก” เขาพูดกับทุกคนแต่สายตาจ้องเพียงผม ทุกคำที่บอกให้ทุกคนได้ยิน กลับเป็นแค่ผมที่ได้...ครอบครอง..สายตาของเขาทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น

“ขอถามก่อนเลยว่าทำไมถึงมาเป็นนักเขียนละคะ”

“เคยมีใครบางคนบอกผมว่า ถ้าเราชอบเราจะมีเหตุผล แต่เมื่อมันเป็นรักมักจะไร้เหตุผล เมื่อก่อนผมคิดว่าตัวเองเขียนเพราะเหตุผลมากมาย แต่เวลาผ่านไปผมรู้แค่ ตื่นมาทุกเช้าพร้อมเรื่องราวใหม่ในหัว รู้แค่ว่ามีหน้าที่ต้องเขียนต่อให้จบ ก่อนนอนผมก็คิดแต่เรื่องที่เขียนค้างไว้ ไม่มีเหตุผลดังนั้น ผมมั่นใจว่ามันคือ...ความรัก..ผมรักจึงเลือกจะทำต่อไป”

เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับบทสนทนาในวันนั้นของเรา

‘บี๋’

‘ครับ’

‘รักกับชอบต่างกันยังไง’

‘ถามอะไรเนี่ย’

‘จะเอามาแต่งนิยาย’

‘อืมมม ชอบคงมีเหตุผล ชอบเพราะหน้าตา เพราะนิสัย แต่รักคงไม่มีเหตุผลละมั้ง’

เขายังจำได้!!

เสียงพิธีกรปลุกผมขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วทำไมถึงใช้นามปากกาว่าโอโซนละคะ”

“ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นแค่อากาศที่ไม่มีใครสนใจไม่มีตัวตน แต่คนเดิมคนนั้นบอกผมว่าผมเป็นโอโซน แก๊สชนิดหนึ่งมีสีน้ำเงิน ทำให้เกิดอากาศ และน้ำดื่มบริสุทธิ์”





‘กูแค่อากาศอย่าสนใจกูเลย’

‘ใครบอก พี่เป็นโอโซนต่างหาก แก๊สชนิดหนึ่งมีสีน้ำเงิน ทำให้เกิดอากาศ และน้ำดื่มบริสุทธิ์ พี่จะมีคุณค่ากับโลกนี้ถ้าพี่ค้นพบตัวเอง’

เขาจำได้ทุกอย่าง เหมือนที่ผมไม่เคยลืมทุกสิ่งระหว่างเรา

เขายิ้มมา ผมยิ้มตอบ ลุกเดินออกมาในช่วงที่เขาต้องก้มหน้าแจกลายเซ็น

ผมยังไม่พร้อม.....ที่จะเจอ



ก้าวขาเข้าห้องพักขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เช่าห้องนี้นานเกือบสองปีแล้ว ห้องที่ไม่มีข้าวของเกินจากที่จำเป็น เสื้อผ้าในตู้ก็แค่พอใส่และเหมือนเดิมมันมีแค่สีดำก่อนหน้านี้ไม่มีของที่ทำให้ต้องคิดถึงเรื่องราวในอดีต จนกระทั่งตอนนี้

นั่งลงบนเบาะรองนั่งที่หุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ รู้สึกถึงฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อ จนต้องเช็ดกับกางเกงให้แห้งก่อน ด้วยกลัวกระดาษจะเสียหายบรรจงแกะพลาสติกออกด้วยความระวัง แล้วเริ่มใช้สายตากับหน้าแรก

ถึงทินกรที่ส่องแสงมานาน มีบ้างไหมที่เหนื่อยอ่อน เวลานอนเคยเหงาหรือเปล่า คุณทินกรมีเพื่อนสนิทไหม แล้วแฟนเก่าล่ะ ตอนนี้คุณมีคนรักแล้วรึยัง?

แค่คำโปรยก็นำพาความความทรงจำให้กลับมาอีกครั้ง

ความทรงจำระหว่างเพื่อนรัก

ความทรงจำระหว่างแฟนเก่า

และ

ความทรงจำระหว่างคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้

ใคร่ครวญว่า มันเป็นความบังเอิญรึเปล่า ที่ทำให้ผมเจอทั้งสามคนในวันนี้ คำถามเดิมๆ กลับมาอีกครั้ง

เลือก....ใครสักคน... หรือ ไม่เลือก...ใครเลย



 #เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:43:12 โดย antivirus »

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 1 (22/11/2018)
«ตอบ #2 เมื่อ22-11-2018 21:36:55 »

จิ้มค่ะ. ชอลชื่อเรื่องจังเลยค่า :pig4:

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 2

ของขวัญ “ร่ำ”




สวัสดีครับผมชื่อ ดลลธี แปลว่า ของขวัญของพระเจ้า พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่รอให้คำตอบว่าชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา คิดเอาเองอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่าผมเป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้พวกท่าน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพระเจ้าคงเสียใจ ที่พวกท่านไม่อยู่ชื่นชมของขวัญของพระองค์ให้นานกว่านี้

วันที่ผมลืมตาดูโลกได้เพียงสามวันแม่ก็จากไป ต่อมาเมื่อครบสามขวบ ผมยังไม่ทันได้เรียนรู้วิธีเก็บความทรงจำ พ่อก็ตามไปอยู่กับแม่ซะแล้ว

ชีวิตของผมมีแค่อา เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่อาก็เลี้ยงผมมา เพราะรับปากกับพ่อผมไว้ อาไม่ค่อยชอบให้พูดเรื่องพ่อแม่ ท่านว่าอดีตผ่านไปแล้ว อย่าเอามาทำร้ายตัวเองมันเสียเวลา

เป็นเด็กกำพร้าเวลามีงานวันพ่อวันแม่เลยไม่ค่อยอิน เคยอยากให้มีแค่วันผู้ปกครองด้วยซ้ำ คือไม่ต้องใช้จำกัดความแค่คำว่าพ่อแม่ไง ไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีพ่อแม่หรอกนะ ก็ได้แต่คิดไปเป็นตุเป็นตะในวัยไม่ประสาโลก

ดลลธีวันนี้อายุครบยี่สิบแล้วครับ ชีวิตนักศึกษาปีสองลุ่มๆ ดอนๆ ผมเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ พยายามแล้วแต่ตั้งใจทีไรก็ง่วงตลอด

“บี๋ไปกินข้าวโรงอาหารกลางกันเถอะ วันนี้ร่างกายกูต้องการมันปิ้ง” อาจารย์ยังไม่ออกจากห้องเพื่อนสนิทก็กอดคอชี้ชวนไปถึงของโปรดตัวเองซะแล้ว

ลืมเล่าอีกอย่างผมชื่อเล่นว่าบี๋ มาจากคำว่าเบบี๋ คุณอาเป็นคนตั้งให้ บอกว่ามันแทนคำว่ารักที่อามีให้ผม และเวลามีคนเรียกชื่อนี้ผมจะได้รู้สึกว่าใครๆ ต่างก็รักผมเช่นกันมันก็ดีนะ แต่จะไม่ใช่ว่าเราเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเหรอ เหมือนเราชื่อรักแล้วมีคนมาเรียกชื่อ แต่เราก็มโนว่าเขาบอกรักทั้งที่ไม่ใกล้เคียงเลย

“มึงไปซื้อน้ำดิโม” โมที่ก้นเกือบสัมผัสม้านั่งมองผม ก่อนจะยืดตัวก้าวออกไปซื้อน้ำตามคำสั่ง ด้วยสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร



วันนี้ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ตามตรงก็คือยังง่วงอยู่ หยิบมือถือขึ้นมาเขี่ยนิ้วเล่น

??????

เครื่องหมายคำถามหลายอันเกิดขึ้นในหัว ทันทีที่เปิดเข้าไปในพื้นที่ออนไลน์เรียกว่าไอจี แจ้งเตือนเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ไอจีของเบย์ โพสต์ภาพข้าวมันไก่ธรรมดาสองจาน และสัญลักษณ์หัวใจหนึ่งดวงใต้ภาพ เรียกน้ำตาให้ผมเหมือนสั่งได้ ผมไม่กล้าหันไปมองรอบตัวกล้วว่าเขาจะอยู่ในรัศมีสายตา ซึ่งมันคงจะแย่กว่านี้มาก

“น้ำเปล่าของมึง” โมมาถึงยื่นน้ำให้ ท่าทางจะเจอใครบางคนที่ทำให้ผมก้มหน้าตอนนี้

“กูเจอแฟนมึงว่ะ” คงเจอจริงสินะ ก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก ตาแดงคงห้ามไม่ได้ แต่หยดน้ำสีใสจะพยายามที่สุดไม่ให้ไหลลงมา

“ขอพูดเป็นครั้งที่สามล้านแปดสิบเถอะนะเพื่อน เลิกเถอะกูไหว้ก็ได้”

ไม่จำเป็นต้องมาห่วงหรอกในเมื่อผมเองยังไหวก็จะทนเจ็บต่อไป

“กินเถอะกูโอเค”

“.............” โมไม่พูดอะไรอีก แค่ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองมาเหมือนอยากด่าผม แต่ก็ละความสนใจไปจัดการมันปิ้งในจานของตัวเองแทน ราวกับว่ากำลังปลง

ใช่จะเป็นครั้งแรก ถึงผมจะโวยวายมันก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอยู่ดี เบย์เป็นแฟนผมตั้งแต่มอห้า เราอยู่กันคนละโรงเรียนถ้าไม่นับเรื่องเจ้าชู้ เขาก็เป็นแฟนที่ดี ตอนที่เราคบกันเพื่อนผมที่รู้จักเบย์ก็เตือนก็ห้าม แต่ผมไม่ฟังคนมันชอบอยากได้ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ สี่ปีที่คบกันมาเบย์ก็พาผมไปอยู่สองที่ ไม่สวรรค์ก็นรก

“อิ่มแล้วมึงไปไหนต่อ” โมเอ่ยถาม มือวางจานในภาชนะรอล้าง

“ตอนแรกว่าจะไปหามัน แต่คงไม่ไปแล้ว” ผมก็ทำได้แค่นี้ งอนไปสามวันเดี๋ยวเบย์มาง้อผมก็หายกลับไปสวรรค์และรอรับนรกอีกรอบ

“ไปดูหนังกันกูเลี้ยง” มันเป็นวิธีปลอบใจของเพื่อนอย่างโม

“ป๋าขาาา” ผมหันไปวางมือบนไหล่มัน ทำเสียงออดอ้อน

“ขนลุกสัด” ถึงโดนว่าแบบนั้น มันก็ยอมให้ผมเกาะต่อไปจนถึงลานจอดรถ

โมเป็นเดือนมหาวิทยาลัย รูปร่างหน้าตาไม่ต้องพูดถึง มันใจดีแต่ปากเสียเข้าขั้นโคม่าผู้หญิงที่ไหนจะมาทน ส่วนใหญ่ก็เข้าหาเพราะหน้าตาและฐานะ สุดท้ายไม่รอดเกินสองเดือนสักราย

“เดี๋ยวกูไปอาบน้ำที่ห้องก่อน แล้วจะเอารถใครไปค่อยว่ากันอีกที”

โมยักคิ้วให้ก่อนเดินแยกไปที่รถของตัวเอง ผมพิงประตูรถมองเพื่อนจนมันลับตาไปเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจ้องตาแข่งกับแสงแดดจัดจ้า จนปวดตาและทนไม่ไหว นานเกือบนาทีแสงจ้ายังเป็นเงาดำในม่านตาผมอยู่ ผมอ่อนแอเกินกว่าจะสู้ความรู้สึกแย่ได้ ไม่มีน้ำตาไม่ได้หมายความว่าไม่เจ็บ

‘อยากคบเราจริงดิ เราเจ้าชู้นะ’

‘คิดว่ารับไหวน่า’

‘บี๋ดื้อมากกว่าที่คิดแฮะ’

‘ดื้อกับเบย์แค่คนเดียว’

‘ฟังดูไม่ค่อยดี แต่ก็น่ารักดี’

‘จะบอกว่าเบย์ชอบคนดื้องั้นสิ’

‘เปล่าจะบอกว่า..ชอบบี๋ต่างหาก’

‘เปล่าจะบอกว่า..ชอบบี๋ต่างหาก’

‘งมงาย’ สำหรับคนอื่นคงยังพอโงหัวขึ้นมาได้ แต่สำหรับผม มันติดตัวไปจนวันตายนั่นแหละ

เสียงสายเรียกเข้า ชื่อคนที่คิดถึงโชว์หราบนจอ

(เบบี๋ทำอะไรอยู่ครับ) เพราะความงมงายมันซึมเข้ากระแสเลือด แค่เขาโทรมาทักทายด้วยคำหวานผมก็เลือกโยนทิ้งความเศร้า

“กำลังจะกลับคอนโดครับเย็นนี้ไปดูหนังกับโมนะ”

(ให้เบย์ไปด้วยไหม)

“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ว่ากัน” ตอบไปอย่างนั้นแต่ในใจอยากไปดูกับเขาจะแย่

(งั้นบี๋ไปดูกับเพื่อนเถอะเนอะ กลับคอนโดไลน์มาบอกด้วยเบย์เป็นห่วง)

ยิ้มให้เขาตอนกดวางสาย ยิ้มทั้งที่รู้ว่าไปไม่ถึงหรอกแต่ก็ยังยิ้ม เบย์เป็นคนไม่ติดแฟน ไม่ชอบให้แสดงความเป็นเจ้าของไม่ชอบโดนคุม แต่สี่ปีที่ให้สถานะแฟน เพื่อนสนิทของเราทั้งคู่ก็รู้ว่าผมเป็นคนสำคัญที่สุดของเบย์ ใครมาทีหลังห้ามยุ่งกับผม ถ้ามาวุ่นวายเบย์ก็จะเลิกทันที เหมือนจะดีแต่เปล่าเลย ผมไม่ได้อยากเป็นที่หนึ่ง ผมอยากเป็นแค่หนึ่งเดียวของเขา

ขับรถฝ่าความเศร้ากลับมาที่คอนโดตัวเอง เตรียมตัวไม่นานเพื่อนก็ไลน์มา สรุปว่าโมขอพารุ่นพี่อีกคนไปด้วยมันว่าพี่ชายข้างบ้าน ก็ไม่ติดอะไรไปหลายคนก็น่าสนุกดี ไม่เกินชั่วโมงเพื่อนก็โทรมาเรียกให้ลงไปหาได้แล้ว สลัดความหม่นที่ไม่มีประโยชน์อะไรทิ้งไปก่อน วันนี้ผมยังไม่พร้อมจะตัดสินใจ



“บี๋นี่พี่กูชื่อกาศ พี่นี่เพื่อนสนิทผมชื่อบี๋” ผมกับพี่กาศแค่ยิ้มให้กัน ผมไม่ได้ยกมือไหว้เขาด้วยซ้ำ ผมเป็นเด็กไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ อาสอนมาแล้วแต่ผมไม่ค่อยจำเอง

นั่งข้างหลังคนเดียว หัวเอนพิงกระจกใจลอยไปตามเพลงที่เพื่อนเปิด เรื่องเบย์วนเวียนในหัวเต็มไปหมด ส่วนพี่กาศก็นั่งเงียบไม่ค่อยพูด นานทีโมจะชวนเราสองคนคุยบ้าง จนมันคงคิดคำถามไม่ออกเลยเงียบไปด้วยอีกคน

รถติดนิดหน่อย กว่าจะถึงห้างก็เกือบดูรอบที่จองไว้ไม่ทัน หนังที่ถูกเลือกวันนี้คือเรื่อง The Pursuit of Happyness เรื่องพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ชีวิตจนตรอกเมียทิ้งตกงาน เงินในบัญชีโดนสรรพากรยึด ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ต้องพาลูกไปนอนในห้องน้ำของรถไฟฟ้าใต้ดิน พยายามมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยการไปสมัครเป็นนายหน้าค้าหุ้น ตอนจบเขากลายเป็นเจ้าของธุรกิจพันล้าน แต่กว่าจะจบผมก็เสียน้ำตาให้เขาไปหลายหยด หันไปมองพี่กาศก็ไม่ต่างกัน ส่วนตัวตั้งตัวตีอย่างโมมันหลับตั้งแต่กลางเรื่อง ผมกับพี่กาศหันมายิ้มให้กันบางๆ ไม่มีใครพูดปลอบใจใคร แต่กลับรู้สึกดีที่อย่างน้อย ก็มีใครสักคนมาแชร์ความรู้สึกกับเรา ออกจากโรงหนังโมล้อเราสองคนไม่หยุด

“พอกันเลยทั้งเพื่อนทั้งพี่ ต่อมน้ำตาตื้นทั้งคู่”

“มึงหลับนิก็พูดได้สิ มันเศร้าจะตายเนอะพี่กาศ” ผมหันไปถามความเห็นพี่ชายตัวสูงของเพื่อน ซึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย



ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นผมกับโมคุยกันเรื่องงานคู่ที่ต้องส่ง ส่วนพี่กาศก็ทำตัวเป็นอากาศสมชื่อยิ้มบ้าง ส่ายหัวให้ตอนผมกับโมเถียงกันบ้าง มากสุดก็หัวเราะ เขาพูดน้อยมากทั้งที่เสียงเขาทุ้มฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นสบายหูจะตาย

ช่วงเวลาของเพื่อนสนิทและคนที่เพิ่งรู้จักจบลง ผมถึงห้องตอนห้าทุ่ม ไม่ลืมส่งข้อความรายงานตัวตามที่อีกคนสั่งไว้

.....ถึงห้องแล้วครับ....

เบย์แค่ส่งสติกเกอร์หมีสีน้ำตาลกอดหมีสีขาวมาให้ ก็ยังดีแต่ถ้าเลือกได้ผมอยากให้เขาอยู่ด้วยและกอดผมไว้ตอนนี้ รู้ดีว่าเลือกไม่ได้หรอกแต่ผมก็ยังอยาก







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:44:40 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 2 (23/11/2018)
«ตอบ #4 เมื่อ23-11-2018 16:06:12 »

เบย์กับโมแอบคบรึเปล่า
ไม่งั้นจะมาทำงานบิษัทเดียวกันเป๊ะๆ แบบนี้ได้ไง
บี๋เลือกพี่กาศเถอะ นะๆๆๆ
+1 ขอบคุณ

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2

ตอน 3

ต้นหญ้า “ร้อง”




สวัสดีผมชื่อกาศ ชื่อจริงชันกาศ ชื่อหญ้าชนิดหนึ่งพบได้ตามบริเวณริมถนนที่รกร้าง บางครั้งก็กลายเป็นวัชพืชในเขตเกษตรกรรม วัชพืชที่ไม่มีใครต้องการ มีเยอะไปก็ต้องกำจัดให้พ้นทาง

อายุเลขสามแล้วแต่ผมก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ล่องลอยราวกับคนที่ตายไปแล้ว ใช้คำว่าความฝันเพื่อบังหน้าคำว่าตกงาน ไม่มีหนี้พอกับไม่มีอันจะกินชีวิตเริ่มตกต่ำแบบนี้เมื่อสามปีก่อน เรื่อยมาไม่มีทีท่าจะดีขึ้น บางเดือนไม่มีเงินใช้ต้องขอแม่จ่ายค่าโทรศัพท์ให้ ตกต่ำอย่างแท้จริง ก็ตอนไม่มีเงินจ่ายค่าตั๋วหนังต้องให้น้องชายข้างบ้านจ่าย ทั้งที่เมื่อก่อนโมมันจะอ้อนขอให้ผมซื้อนั่นซื้อนี่ให้เสมอ

มันทำใจยากนะ วันหนึ่งคนที่ต้องพึ่งพาเรา กลับกลายเป็นคนที่ต้องมาดูแลเรา รู้สึกแย่ขึ้นไปอีกตอนที่เพื่อนน้องแค่ยิ้มแต่ไม่ไหว้ผมด้วยซ้ำ ใครมันจะมาเคารพคนไม่มีเงินอย่างผมกันล่ะ ชินแล้ว คนเราก็มองกันที่ภายนอกที่เงินในกระเป๋าทั้งนั้นใครบอกว่าเงินไม่สำคัญโอนมาให้ผมได้นะผมรออยู่

อยู่บ้านกับพ่อแม่ ท่านสองคนมีกินมีใช้จากเงินบำนาญ ข้าราชการเก่าก็ดีอย่างนี้เอง ท่านเคี่ยวเข็ญให้ผมไปสอบแข่งกับคนอื่นอยู่หลายครั้ง แต่มันยากมาก ข้อสอบคล้ายคัดคนไปทำงานที่นาซ่าแบบนั้นคิดว่าผมจะสอบผ่านรึไง

สุดท้ายก็มาลงตัวที่งานเอกชน ทำไปทำมาชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน ก็ไม่เป็นที่ต้องการของผม ตลอดเกือบสิบปีที่ทนไม่มีคำว่าความสุขไม่อยากลุกไปทำงานตอนเช้าวันหยุดก็อยากหยุดเวลาไว้แบบนั้น

ตัดสินใจหันหลังให้งานประจำตอนที่รู้จักพี่สาวคนหนึ่ง เรียกเธอว่าพี่สาวทั้งที่ความจริงอีกสองปีเธอก็สมควรเกษียณตัวเองได้แล้ว ผมถามตัวเองว่าตอนอายุเท่าพี่คนนั้นผมอยากเป็นอย่างเธอไหม คำตอบคือไม่ ผมไม่อยากแก่ไปพร้อมกับงานที่ตัวเองไม่ได้รัก เรื่องความรักก็เหมือนกัน ผมไม่อยากคบใครเพียงเพราะเขามีเงิน รู้สึกตัวเองมีอุดมการณ์สูงส่งเต็มประดาก็ตอนนั้นเอง

แต่ชีวิตที่ผมเลือกมันไม่ได้สวยงามอย่างที่ผมวาดไว้ งานอิสระทำให้ผมมีเวลา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความอดทน นักเขียนไส้แห้งที่แท้จริงเขียนไปวันๆ จับคำนั้นเอาคำนี้มาเชื่อมต่อแต่งเติมเรื่องราวในมโนสำนึกตามใจอยาก มีคนอ่านบ้างมีคนเมินบ้าง นานจะมีคนเข้ามาชมว่าสนุกน่าติดตาม มีคนยอมจ่ายเพื่อเข้ามาอ่าน แต่ก็ยังไม่มากพอให้ผมมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ

“ก๊อกๆ”

“ใครครับ”

“แม่เอง พ่อกับแม่ไปวัดสองสามวันนะลูก ตังค์วางให้บนโต๊ะนะครับ”

“คร๊าบบบ อนุโมทนาบุญด้วยครับ”

บางครั้งก็สงสารพ่อกับแม่ที่เสียเงินส่งเขาเรียนจนจบปริญาตรี อายุขนาดนี้พ่อกับแม่ยังต้องทิ้งเงินไว้ให้อีกอนาถใจกับตัวเอง แต่ให้กลับไปทำงานประจำ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำอยู่ดี สักวันก็ตายอยู่แล้ว อดทนพยายามต่อไปให้สุดทางที่เลือกเถอะ ใช่ว่าใครอยากเป็นนักเขียนก็จะดังตั้งแต่เรื่องแรกอย่าง เจ.เค.โรว์ลิง ทุกคน

มีคนโทรมา หน้าจอโชว์เป็นชื่อ ...Mo...

“พี่กาศว่างอยู่ไหมครับ”

“ว่างมีอะไร”

“พอดีผมกับไอ้บี๋เพื่อนคนที่ไปดูหนังกับเราวันก่อนอ่ะพี่ ต้องเขียนบทหนังสั้นส่งอาจารย์ อยากให้พี่ช่วยดูคำให้หน่อยว่ามันโอเคไหม”

ความจริงก็ไม่ได้ว่างเพราะผมต้องปั่นต้นฉบับเรื่องที่ค้างไว้ แต่งานเขียนที่ให้คนอ่านฟรีกับงานน้องที่ต้องส่งอาจารย์ ผมว่างานน้องน่าจะสำคัญกว่า

สักพักโมกับน้องบี๋คนที่ไม่ไหว้ผมนั่นแหละ ก็เดินเข้ามาหาผมในบ้าน ผมลุกจากหน้าคอมเดินไปเชิญให้แขกต่างวัยนั่งที่ห้องรับแขก วันนี้น้องบี๋ยิ้มหวานให้ผมต่างจากวันแรกที่เจอกัน วันนั้นน้องดูเศร้าไม่ค่อยพูด แต่ผมว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายที่เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่านะ ยิ้มแล้วน่ายิ้มตามออกทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆ ล่ะ

“พี่กาศอ่านดูหน่อย” ยื่นมือไปรับกระดาษเอสี่มาอ่าน

ชื่อเรื่อง ร่ำร้อง เรื่องราวผู้ชายคนหนึ่งร่ำร้องให้กับชีวิตที่ไม่มีอะไรดีของเขา ระหว่างทางเจอกับผู้คนที่ต่างก็ร่ำร้องในเรื่องที่ต่างกันไป สุดท้ายเขาก็รู้ความหมายและมีคำตอบให้กับตัวเอง บทก็เป็นคำพูดที่ผู้ชายตัวเอกพูดคุยกับคนอื่นในเรื่อง คำพูดที่แฝงด้วยปรัชญาการร่ำร้อง

“ใช้ได้ไหมพี่” โมถามด้วยท่าทีตื่นเต้น

“เขียนเก่งขนาดนี้มาเป็นนักเขียนแทนกูเถอะ”

เมื่อได้รับคำชมโมกับบี๋ก็ยิ้มให้กัน

“แล้วตอนจบล่ะ”

“คือพวกผมคิดไม่ออกอ่ะ พี่ช่วยคิดหน่อยดิ” อย่างนี้เอง ผมไม่ใช่คนที่จะตรวจงานหรอก ผมเป็นคนทำงานมากกว่า เด็กพวกนี้มันร้าย

“พวกมึงจะใช้กูก็บอก ทำมาเป็นให้ช่วยดูคำ”

ผมทำตีหน้าดุ น้องบี๋รีบออกตัว

“พี่กาศช่วยพวกเราด้วยนะครับ ผมจ้างก็ได้คือมันคิดไม่ออกแล้ว รู้อย่างนี้ไม่ลงเรียนวิชาเลือกตัวนี้หรอก ถึงว่ามีแต่เด็กนิเทศลง”

“แล้วก่อนลงไม่อ่านก่อนว่าเขาเรียนอะไรกัน มั่วจริงๆ ตั้งใจเรียนกันไหมเนี่ย” ผมยังบ่นต่อไม่หยุด เล่นตัวไปความจริงจะทำให้ ตั้งแต่น้องมันบอกจะจ้างแล้ว

“วิชามันไม่ครบพี่ เหลือตัวเลือกแค่วิชานี้ กับของมนุษย์ผมกับไอ่บี๋ก็เก่งภาษาม๊ากมากเลยเลือกวิชานี้ แหะๆ”

โมอธิบายยืดยาวเด็กบี๋ก็ยิ้มอ้อนผมอย่างเดียวตกปากรับคำพร้อมตกลงค่าจ้าง แต่ผมไม่ได้หน้าเลือดอะไรมากมายมันก็น้องผม จะรื้อเขียนให้พวกมันใหม่ทั้งหมด แต่ก็ไม่ทิ้งโครงเรื่องเดิม เด็กสองคนดีใจเข้ามาบีบไหล่นวดขาให้ผมอย่างประจบประแจง

“แต่มึงสองคนต้องมาช่วยกู จะได้เข้าใจว่าตอนไหนทำไมถึงใช้คำแบบนั้น”

“ได้เลยครับ ผมสองคนผลัดกันมาได้เปล่า เผื่อว่างไม่ตรงกัน” โมต่อรอง

“ตามใจมึง”

“ขอบคุณครับพี่” บี๋ที่นั่งนวดขาผมอยู่ยิ้มตาหยีบอก นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้ อยากหลบสายตาของใครสักคน ทำตัวไม่ถูก มองหาเรื่องที่จะทำให้เด็กสองคนนี้ไปให้ห่างจากตัวผม แล้วก็นึกได้

“มึงสองคนกินไรมายัง แม่กูแกงเลียงกุ้งไว้ไปตักมากินสิ”

“พูดแล้วหิวเลย บี๋แกงเลียงของโปรดมึงนิป่ะข้าวเที่ยงฟรีกันเถอะ”

“อือ” เด็กบี๋ลุกตามโมไปอย่างว่าง่าย เกิดคำถามหนึ่งข้อที่ผมอยากรู้ โมกับบี๋เป็นแฟนกันรึเปล่า?

ผมลุกไปเปิดทีวีช่องโปรด รายการเพลงกำลังออกอากาศอยู่เพลงเกี่ยวกับคนที่จมปลักในความรักดังขึ้น โมมันเดินมาจะกดเปลี่ยนช่อง

“อะไรของมึงกูชอบดูช่องนี้” ผมบอกโม มันชะงักหันไปมองหน้าเพื่อน หรือว่าเพื่อนมันกำลังอกหัก

“เพลงอะไรเพราะดีนะพี่” บี๋ถามออกมาแบบนั้น คงไม่ใช่อกหักก็ดูปรกติดี

“ไม่รู้ดิเพิ่งเคยฟังเหมือนกัน แต่เพลงแบบนี้กูดูเพราะนางเอกเอ็มวีน่ารักมากกว่า มึงสองคนฟังนะความรักมันไม่จำเป็นหรอก เงินต่างหากที่จำเป็น คนเราถ้ารักแล้วทุกข์ก็เลิกไปเถอะว่ะ” โมมันพยักหน้ารับ ส่วนบี๋เอาแต่จ้องหน้า จนผมเริ่มไปไม่เป็น รู้สึกผิดที่ผิดทางแปลกๆ

“บางอย่างก็พูดง่ายนะพี่” แปลว่าทำยาก หรือแปลว่ามันก็ทำไม่ได้ หรือมันกำลังพยายามทำอยู่

“พูดเหมือนมึงอกหักอยู่งั้นแหละ” เอากับผมสิไปยุ่งอะไรกับน้องมันวะกู

“เอ่อคือ..” โมมันก็เหมือนจะช่วยตอบ แต่เจ้าตัวเขาชิงตอบซะเอง

“ไม่หักหรอกพี่ ผมมันไม่มีหัวใจ” นั่นคือคำตอบหรือคำใบ้ให้ทายปริศนากันแน่ ซับซ้อนเกินไปสำหรับคนเพิ่งเจอกันได้แค่สองครั้งอย่างผมกับมัน ผมก็ล่าถอยความอยากรู้อยากเห็น ไปสนใจกุ้งในชามดีกว่า

“โอ้โห..อร่อยมากครับ” บี๋ชมทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มแก้มน่าเอ็นดูนะ

“ป้ามะลิทำอาหารอร่อย” โมมันบอกเพื่อน

“วันหลังกูให้แม่ทำให้กินอีก” ผมบอกพวกมันแล้ววางหน้าเฉย แต่ถ้าพวกมันจ้องตาผมจะรู้ว่าผมกำลังยิ้มอยู่

กินอิ่มเด็กสองคนก็ช่วยกันเก็บล้าง ผมย้ายตัวเองไปนั่งหน้าคอมที่ประจำของผม โมเดินไปเลือกแผ่นหนัง มันชอบมานอนดูหนังแผ่นที่บ้านผม ส่วนบี๋นั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟาหน้าทีวี

“เรื่องนี้มึงดูยัง” บี๋ชะโงกหน้าไปอ่านชื่อเรื่อง แล้วส่ายหัว

“ดูไหม” บี๋พยักหน้ารับ เป็นเด็กที่พูดน้อยจริงๆ ดูไม่วุ่นวาย ดูไม่น่ารำคาญ

“พี่ขอดูนะ” ผมยักคิ้วตอบมัน แล้วกลับมาสนใจคอมของผมต่อ แต่ยากมากในที่สุดผมก็ลุกเดินไปหาพวกมันจนได้

“ดูด้วยดิ” บี๋เงยหน้ามองผมแล้วขยับให้เหลือที่ว่างพอให้ผมนั่งด้วย ส่วนโมมันเสียสละลงไปนั่งบนพรมแทน ผมกับบี๋เลยได้นั่งโซฟาแค่สองคน รู้สึกไม่อึดอัดเลยทั้งที่ ปรกติผมไม่ชอบอยู่ใกล้คนไม่สนิท มีระยะปลอยภัยของตัวเองค่อนข้างกว้าง ไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวถ้าไม่จำเป็น

แต่ตอนนี้ร่างบางที่นั่งข้างๆ กำลังสัปหงกหัวจะชนไหล่ผมอยู่แล้ว ส่วนไอ่โมหลังจากได้หมอนก็นอนหันหน้าเข้าจอนิ่งสนิท ไม่รู้ว่าตั้งใจดูหรือหลับไปแล้ว เด็กสองคนนี้มันหลับง่ายหรือหนังไม่สนุกกันแน่

ผมยกมือจับหัวเล็กให้ซบไหล่ตัวเอง แล้วขยับตัวให้บี๋พิงสบายๆ กลิ่นเส้นผมของมันดึงผมออกห่างจากเรื่องราวในหนังมากขึ้นทุกที เป็นเด็กผู้ชายที่ผมหอมมากผมชอบ นั่งให้เด็กมันพิงจนหัวมันหล่นลงตักผมไปแล้ว

คนเราใช้เวลากี่นาทีในการตกหลุมรักใครสักคน ผมตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าถามว่าคนเราใช้เวลานานแค่ไหนในการห้ามใจไม่ให้ตกหลุมรักใครสักคน คำถามนี้ผมตอบได้ในทันทีว่า นานจนกว่าเขาจะไม่อยู่ในสายตาเรา

เรื่องราวในหนังนับถอยหลังเข้าสู่ตอนจบ

ส่วนเรื่องของผมกับเด็กที่หลับสนิทอยู่บนตัก กำลังเริ่มนับหนึ่งเพิ่งเริ่มต้น







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:46:17 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 4

เลิกรา


“เบย์คืนนี้จะมาหาบี๋ไหม”

(คืนนี้มีซ้อมหลีดให้พวกรุ่นน้องคงเลิกดึกไม่อยากเข้าไปปลุกบี๋ครับ)

“งั้นฝันดีไว้ก่อนนะครับ รักเบย์นะ”

(รักเหมือนกันครับเบบี๋ของผม)

ประโยคแสนหวานแต่ผมฟังด้วยความขมขื่น สี่วันมาแล้วที่เขาไม่มาหาผม เราคุยกันแค่นั้นแล้วก็วาง ทำทีว่าเข้าใจเขา แต่เปล่าเลยไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยทำใจได้เลยสักครั้ง อยากโวยวายอยากงอแง อยากไปเฝ้า อยากบอกว่าเลิกดึกแค่ไหนผมก็พร้อมจะไปรอ หรือขอแค่เขากลับมาหาผมบ้าง

“คิดถึง”



วันที่ฝนจะตกอากาศมักจะอบอ้าว บางคราวก็มีเมฆครึ้ม หรือเสียงสายฟ้าเป็นสัญญาณ

“ตื่นแล้วเหรอครับขี้เซา” เบย์มา พอตื่นมาเจอเขาแบบนี้รู้สึกเหมือน ตัวเองเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกอีกครั้ง

ถูกปลุกด้วย.....คนที่ผมรัก

ถูกปลุกด้วย.....กลิ่นอาหารที่ผมคิดถึง

ถูกปลุกด้วย...จูบที่ผมถวิลหา

“ให้เลือกว่าจะกินข้าวก่อนหรืออาบน้ำก่อนครับ” ผมกอดคนที่ตั้งคำไว้แน่น ไม่อยากให้เขาหายไปอีกแล้ว...อยากหยุดเวลา

“อาบน้ำก่อนก็ได้” อยากกอดแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยมือ

อาหารของเบย์มันธรรมดาก็แค่โจ๊กใส่ไข่ ไข่ที่ไม่ค่อยสุก แต่เพราะคนทำต่างหากที่ทำให้เป็นโจ๊กพิเศษ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

“อิ่มไหมครับ เอาอีกไหม”

“พอแล้ว”

“ทำไมกินนิดเดียว เนี่ยบี๋ผอมลงไปตั้งเยอะ” อะไรที่นานทีจะได้รับ มันจะยิ่งมีความหมาย

ไม่จริงเลย!! สำหรับเบย์ เขาไม่ต้องคอยเอาใจใส่แบบนี้ เขาก็มีความหมายสำหรับผม

“อยากไปเที่ยวอ่ะ หยุดตั้งสามวัน” ผมเปรย ถามว่าคาดหวังจะได้รับคำตอบแบบไหนระหว่าง ‘บี๋อยากไปไหนครับเบย์จะพาไป’ หรือ ‘รอก่อนได้ไหมช่วงนี้เบย์ต้องฝึกหลีดให้น้อง’ แน่นอนว่าผมอยากได้ยินประโยคแรก ก็ทำใจไว้แล้วว่าต้องเป็นประโยคหลังที่ต้องได้ยิน

แล้วจะถามทำไมให้ตัวเองเจ็บ คงเหมือนที่คิดว่ารางวัลที่หนึ่งมันหายาก แต่เราก็อยากจะเสี่ยงอยู่ดี แม้จะรู้ว่าสุดท้ายจะได้มาแค่กระดาษไร้ราคาแผ่นเดียวก็ยอมเสี่ยง

แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้

“เอาสิไปไหนดี” ตอนนี้รางวัลที่หนึ่งอยู่ในมือผมแล้ว



ชั่วโมงต่อมาผมพบตัวเองนั่งหน้ามึนอยู่ในคัมรี่สีแดงของเบย์ ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดเลยว่าเบย์จะใจดีกับผมแบบนี้ไง เลยไม่ทันได้เตรียมตัวไว้ก่อน ว่าจะดีใจแค่ไหน ตอนนี้เลยนั่งคิดว่า ดีใจแค่ไหนถึงจะพอ?

“คิดอะไรอยู่ครับ หนาวรึเปล่าลดแอร์ไหม”

เป็นคนใจร้ายที่.....แสนจะใจดี

เป็นคนใจร้ายที่...มีแต่ความอ่อนโยน

“นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ไปไหนด้วยกันแบบนี้”

มันไม่ใช่คำถาม เขาเลยไม่ได้ตอบอะไร

คนเราไม่เคยรู้จักคำว่า ‘พอ’

พอเบย์ตอบข้อความ.....ผมก็หวังจะได้ฟังเสียงเขา

พอเบย์โทรหา....ผมก็หวังจะเห็นหน้าเขา

พอเบย์มาหา....ผมก็หวังจะได้เวลาของเขา

พอเบย์ให้เวลา....ผมก็งี่เง่าอยากให้เขาเอาใจ

ผมกล่าวโทษตัวเองเมื่อคิดได้ หันไปมองคนขับ ภายใต้แว่นสีชาเบย์ดูตั้งใจกับเส้นทาง เขาไม่ได้ใส่ใจกับความงี่เง่าที่ผมแสดงออกเลยสักนิด มันทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้น ขอโทษเขาด้วยการล้มหัวลงซบไหล่ แล้วพูดคำที่คิดไว้นานว่าอยากจะพูดต่อหน้าเขา

“บี๋รักเบย์” รักมาก...รักจนไม่คิดว่าจะเลิกรักได้

“เบย์ก็รักบี๋” เขางอแขนข้างที่ผมกอดอยู่ดันหัวผมไปหอม คำว่ารักของเขาเพราะจับใจ แค่สามคำความน้อยใจทั้งหลายก็อันตรธาน รอยยิ้มความสุขกลับมาเป็นของผมอีกครั้ง นี้แหละเหตุผลของคนงมงายอย่างผมแค่เขากลับมา แค่เขาใจดีด้วย ดูแลเอาใจใส่ ไม่ต้องตลอดเวลาก็ได้ ผมรอเก่ง ผมจะรอ ผมเต็มใจรอ

ถึงทะเลแล้ว เหมือนฝันทั้งที่ยังตื่น เขาโอบกอดผมเดินเข้าที่พักระดับห้าดาว หยุดยาวแบบนี้ที่พักอื่นคงเต็มหมดแล้ว เบย์จ่ายไปเยอะสำหรับค่าที่พัก แน่นอนว่ามันคุ้มกับราคาที่จ่าย

ผมชอบ..ระเบียงกว้างมองเห็นวิวทะเลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีตึกอื่นบดบัง มันเหมือนไม่มีคนอื่นมาให้รำคาญใจ มีแค่ผมกับทะเล มีแค่ผมกับเขา ไม่มีเงาคนอื่น

ผมชอบ..เตียงนอนโทนขาวดำ มันดูสะอาดและไม่น่าเบื่อ มันเหมือนเบย์ผู้ชายที่ดูสะอาดดูดี สำหรับผมผู้ชายคนนี้มีความน่าค้นหาไม่เคยลดลง

ผมชอบ..กลิ่นหอมแบบผ่อนคลายคล้ายลาเวนเดอร์ อาจไม่ใช่กลิ่นที่หอมที่สุดแต่ผมก็ชอบมากที่สุด เหมือนเบย์ที่ไม่เหมือนใคร อาจจะมีคนอื่นดูดีเท่า หรือมากกว่าแต่เขาเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น

ผมชอบ..ห้องน้ำที่มีอ่างสีขาวขนาดใหญ่ ระบบน้ำวน มีฟองละมุนเคลือบเราสองคนไว้ แผ่นหลังแน่นของเขาแนบกับแผ่นหลังเนียนละเอียดของผม หงายหลังพิงต้นคอเขา เรานั่งหันหลังให้กันในอ่างอาบน้ำ

“ไม่ใช่ผู้วิเศษเป็นเพียงผู้ชายที่ใจมั่นรักเธอ ไม่มีฤทธิ์เดชมีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ” ท่อนสุดท้ายของบทเพลงที่เขาใช้ร่ายมนตร์ให้ผมหลงรักอีกครั้ง

“สำหรับผมเบย์ไม่ใช่ผู้วิเศษจริงๆ นั่นแหละ”

“หมายความว่าไง” เขาหันมากอดซ้อนหลัง ชันเข่าขึ้นให้ผมวางแขน ทิ้งตัวลงพิงอกเขา แล้วเขาก็บรรจงลูบไล้ผิวท่อนบนของผมอย่างเพลินมือ

“เบย์เป็นพ่อมดต่างหาก”

พ่อมดที่...ถนัดร่ายมนตร์ให้ผมรัก

พ่อมดที่..ล่อหลอกให้ผมหลง

พ่อมดที่..วางกับดักลวงให้ผมตกหลุมพราง

เขาเป็นพ่อมดใจร้าย ร้ายตรงที่ทุกอย่างที่เขาทำกับผม เขาก็ทำกับใครอีกหลายคน

“กลัวผมไหมล่ะ” เสียงของเขามีบางอย่างที่ทำให้เดินตามไปอย่างว่าง่าย

“ไม่กลัว” ความจริงผมกลัว แต่รักมากกว่า

“พูดแบบนี้ไม่อยากเดินชายหาดสินะ หื้มม” เสียงหัวเราะของผมคงดังไปถึงหน้าห้อง ถ้าใครยืนหน้าห้องของเราก็คงได้ยิน อย่ารำคาญหรือตำนิผมเลยนะ มันอาจเป็นเสียงหัวเราะ เป็นความสุขสุดท้ายของผม



ก่อนพายุจะเข้าบรรยากาศจะสงบ ต้นไม้นิ่งงัน ต้นหญ้าใบไม้จะไม่ไหวติงเบย์ให้เวลาผมมีความสุขกับสัมผัสของเขา ในอ่าง ระเบียง บนโต๊ะกินข้าว จบลงที่เตียงนอน เต็มอิ่มสมกับการรอคอย ล้นปรี่สมกับที่อดทนมา หลับคาอกเขาเหมือนวันวาน หมดแรงเหมือนคืนแรกที่เราสัมผัสกัน ตีสามแล้วสิบสองชั่วโมงผ่านไปราวเทน้ำใส่แก้ว

“ฝันร้ายเหรอครับ” เขากระซิบผ่านหูริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากหนึ่งจูบ สองจูบ สามจูบ แค่หนึ่งถึงสามผมก็คลายอารมณ์ หลับตาลงพร้อมเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง แม้จะต้องเจอกับฝันร้ายผมก็ไม่อิดออด

เมื่อเราเตรียมพร้อมมันจะไม่มาหรอก ไม่ฝันร้าย แถมฝันดีอีกต่างหาก ฝันว่าเขากอดหอมผมทั้งคืน กระซิบซ้ำว่ารักผมมากที่สุดย้ำหนักว่าผมไม่เหมือนใคร สัญญาว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม เขาจะเหมือนเดิม เบย์จะกลับมาหาผมแล้ว

ความดีใจขับไล่ความโกรธ ความไม่มั่นใจทุกอย่างก่อนหน้านี้ให้หายไปหมด รวดเร็วราวดอกไม้ร่วง ยิ้มรับกับสิ่งที่คิดไปเองเรื่อยๆ ไม่ทันระวังตัวว่ากำลังก้าวลงเหวลึก

“หิวไหมครับ” เขาคอยป้อนของอร่อยให้ผม

“เดินเล่นกัน” เขายื่นมือให้ผมจับ

“เล่นน้ำกันไหม” เขาคอยอยู่ใกล้ตัวผมไม่ห่าง

“อย่ามองผมแบบนั้น จะหาว่าไม่เตือน” เขาหยอกล้อคลอเคลีย

“หนาวรึเปล่าเนี่ย” เขายกเสื้อคลุมให้ผมอย่างไม่ต้องร้องขอ

“บี๋ชอบทะเลผมจำได้” เขาตอบคำถามโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

ค่ำคืนสุดท้ายทุกอย่างดีจนไม่อยากให้พระอาทิตย์กลับมาทำงาน แต่จันทร์ทราคงไม่ยอมทินกรคงต้องมาเปลี่ยนเวร

“ขอบคุณนะครับที่พามาเที่ยว มีความสุขมากเลย”

“เบย์สิต้องขอบคุณที่บี๋ยอมมาเที่ยวด้วย รู้ไหมบี๋เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด” ราวกับเขาอยากเปิดใจบางอย่างกับผม



คัมรี่คันเดิมผู้โดยสารสองคนไม่เปลี่ยน เส้นทางเดิมแค่วิวข้างทางฝั่งผมเปลี่ยนไป ผมยิ้มให้เขายิ้มตอบกระทั่งสุดทาง

“ตลอดสี่ปีที่เราเป็นแฟนกัน บี๋ไม่เคยทำให้ผมลำบากใจ ไม่เคยตามจิก ตามหวง บี๋มีแต่ความเข้าใจให้เสมอ บี๋เป็นรอยยิ้มในวันที่เบย์ต้องการ และหายตัวไปในวันที่เบย์อยากมีโลกส่วนตัวแต่บี๋ครับ เบย์ไม่อยากเห็นแก่ตัวอีกแล้ว แม้จะต้องเสียดายเสียใจและเจ็บปวด แต่เบย์ขอเลือกปล่อยบี๋ไป”

ทีละพยางค์ที่ทั้งหวานและขื่นขม “บี๋น่ารักมาก ควรเจอใครที่ดีกว่าผม”

ทีละคำที่ทั้งอบอุ่นและเย็นเยือก “เวลาเห็นรอยยิ้มของบี๋ผมรู้สึกผิด”

ทีละประโยคที่กอดรัดและผลักไส “บี๋ครับเราเลิกกันเถอะ”

เขาคือมหันตภัยเงียบ ไร้วี่แววไม่มีอะไรแจ้งเตือนล่วงหน้า เขาใช้ความอ่อนโยนทำร้ายคนอ่อนแออย่างผมช้าๆ รู้ตัวอีกทีตอนร่างร่วงลงหุบเหวนั้นแล้ว



ไร้ซึ่งความตายแต่รายล้อมด้วยความทรมาน





ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:47:28 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Chapter 5

“ร่ำร้อง”


ชันกาศ......



อะไรที่ฝืนเกินไปสิ่งที่ได้ย่อมแย่ ยี่สิบห้าชั่วโมงมาแล้วที่ผมยังไม่ได้ทิ้งร่างลงเตียง แขนเริ่มชาหัวเริ่มปวดจี๊ดเป็นพักๆ ถ้าการทำตามฝันจะทรมาทรกรรมร่างกายขนาดนี้ผมควรยอมแพ้หรือไปต่อ ที่ตั้งใจว่าต้องตายกันไปข้างหนึ่งถ้าต้นฉบับเรื่องนี้ไม่จบผมจะไม่นอน แต่สุดท้ายร่างก็พ่ายตาจะปิดผมเลยคิดจะพักสายตาสักหน่อย ฟุบกับโต๊ะคอมแล้วมันก็ลุกลามไปเป็นการหลับจริงจังห้ามไม่อยู่

“พี่กาศครับ”

“หื้ออ”

“พี่กาศ”

เสียงใสแว่วมาปลุก รู้สึกเวียนมึนเล็กน้อย ปวดตามร่างกายบรรยายไม่ถูก ยันตัวตั้งตรงชูแขนเอียงคอไปมา ขับไล่อาการทั้งหลายที่กำลังรุมเล่นงานผมอยู่

“มานานรึยัง” เมื่อมีสติก็รีบทักทายเด็ก แววตาเศร้าจนทำเอาผมตาสว่างขึ้นมาทันที บี๋ส่ายหัวยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ดูฝืนจนผมไม่อยากรับไว้เลย

“พี่งานเยอะเหรอ ให้ผมกลับก่อนไหม”

“ไม่ๆ กูปั่นเสร็จพอดี” ผมโกหก

“งั้นกูไปล้างหน้าแป๊บ มึงกินอะไรก็หาในครัวนะตามสบาย” ผมลุกเดินขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำ ได้ยินเสียงของเด็กน้อยแว่วมาว่าแกงเลียงกุ้งอะไรนี่แหละ แม่ผมทำไว้ให้เพราะผมขอให้แม่ทำ รู้ว่าวันนี้บี๋จะมาไม่รู้ว่าทำไมอยากเอาใจเด็กคนนี้ รู้แค่ไม่ชอบเห็นตากลมโตนั่นถูกความเศร้ายึดครอง คือตามันโต เวลาเศร้ามันก็เห็นชัด ผมไม่ชอบให้ใครมาเศร้าอยู่ใกล้ๆ เวลาดูรายการทีวีที่มีดราม่าชีวิตจริงของใครสักคน ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็จัดการตัวเองจนสดชื่น ทั้งที่หลับไปไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ เดินลงไปได้กลิ่นกาแฟหอมลอยมาแต่ไกล

“ผมชงเผื่อพี่ด้วย” เป็นเด็กที่รวยความสนิทคนหนึ่ง เราเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม เพิ่งเคยอยู่ด้วยกันสองต่อสองครั้งแรก ตอนนี้น้องตักข้าวตักแกง ชงกาแฟ จัดโต๊ะรอผมกินข้าว ที่สำคัญนี่บ้านผมด้วย ไม่ทันได้รู้สึกว่าบี๋คือคนแปลกหน้า ผมกับเด็กคนนี้สนิทกันตอนไหนนะ

คิดถึงครั้งล่าสุดที่บี๋มานอนตักผม ตื่นมามันก็ทำหน้ามึนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็เลยเลยตามเลย ไม่ได้แสดงอะไรออกไป เราสองคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้เราก็ต่างรู้แก่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“บอกแม่พี่ทำขายเถอะ ผมจะมาอุดหนุนทุกวันเลย” หน้าตาก็ซื่อ เวลาพูดก็ยิ่งดูน่าเชื่อ

“เหรอไม่ต้องรีบอวยก็ได้ รอแม่กูมาค่อยประจบยังทัน” ผมล้อเข้าหน่อยมีทำปากจู๋ใส่ผมอีก ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่ถูกใจน้อง แต่แค่ต้องตาก็ใช่ว่าจะต้องสานต่อ ผมเป็นคนที่ไม่พร้อมจะดูแลใครในตอนนี้ อย่างที่รู้กันอยู่ ผมจนที่อยู่ที่กินยังอาศัยพ่อแม่อยู่เลย

เมื่อคิดได้แบบนั้น มื้อสายที่เหมือนจะพิเศษของผม เลยกลายเป็นธรรมดาลงทันที เราสองคนตักอาหารเข้าปากตัวเองเงียบๆ ผมมองเขาบ้างเขามองผมบ้าง เราจ้องตากันบ้าง แต่ไม่มีความหมายอะไร ผมซ่อนความรู้สึกเก่ง ต่างกับบี๋ที่แสดงออกหมดทั้งสีหน้าทั้งแววตา เขาเศร้ามากจนผมใจหาย

มื้อนั้นจบลงในเวลาไม่นานนัก บี๋เก็บโต๊ะผมเดินไปปั่นผ้าในตะกร้าระหว่างรอเขาล้างจาน กลับมากวาดบ้านโซนห้องรับแขก กางโต๊ะญี่ปุ่นลงบนพรมสีเทา เตรียมพื้นที่ทำงานให้เราสองคน

“เริ่มกันเลยไหมครับ” ผมยิ้มรับตอนบี๋เดินมาถาม

“ทำไมตั้งชื่อเรื่องว่าร่ำร้อง” ผมเริ่มคำถามง่ายๆ

“มันฟังแล้วรู้สึกได้ทันที ไม่ต้องค้นหาอุปมา ไม่ต้องเสียเวลาแปลครับ”



ภาษาที่น้องใช้ตอบผมมันทำให้รู้จักบี๋ในมุมใหม่ นอกจากเด็กผู้ชายตัวขาว ตากลมโต ที่ดูเศร้ากับชีวิต มุมที่ผมเห็นตอนนี้คือเขา....น่าค้นหา

“ร่ำร้องเพื่ออะไร” ผมถามต่อ

“เพื่อให้ได้คำตอบในเรื่องที่ไม่รู้แม้กระทั่งคำถาม” วกวนแต่งดงามผมชอบภาษาในความคิดของเด็กคนนี้จัง

“ร่ำร้องกับใคร”

“ทุกคนที่รับฟัง”

“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ควรหยุด”

“.....................” คราวนี้ไม่มีคำตอบ ผมจ้องหน้ารอคำตอบ แต่ริมฝีปากอิ่มของบี๋กลับเม้มเป็นเส้นตรง สายตาก้มลงมองภาพบนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าแทน ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาอย่างจำนน

“พี่ช่วยหน่อย นึกไม่ออกแล้ว”

ผมจ้องแป้นพิมพ์ ตัวอักษรที่เป็นวัตถุดิบให้ผมทำงานมีแค่ที่เห็น ใช้สมองมึนเบลอจากการอดนอนคิด ผสมถ้อยคำให้มันสวยงามเพียงพอให้ลงตัวกับที่บี๋คิดไว้ก่อนหน้า ระหว่างผมกับเขามีเพียงโน้ตบุ๊กตกรุ่นของผมกั้นอยู่

โต๊ะเล็กทำให้หัวเข่าของเราแทบชนกัน หน้าผากเขากับปากผมห่างกันแค่คืบ เขาตัวเล็กกว่าผมเวลาคุยกันน้องจะเงยหน้าขึ้นนิดหน่อย เป็นองศาที่น่ามอง แม้ว่าจะขัดตากับรอยแดงรอบดวงตาของบี๋ไปบ้าง แต่ผมก็รู้สึกอยากจะมองเขาอยู่ดี

นิ้วทั้งสิบเคาะรัวลงบนแป้นพิมพ์ เกิดเสียงเป็นจังหวะที่จับทิศทางไม่ได้ เมื่อถ้อยคำที่ผสมกันเป็นข้อความสมบูรณ์ ผมเรียกเขาให้มาอ่านก่อนจะไปต่ออีกบท



“ร่ำร้อง” ไม่ใช่คำอุปมา ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาคำแปล มันก็แค่การ “ร่ำร้อง” ที่ทุกคนเคยทำ เพื่อให้ได้คำตอบในเรื่องที่ไม่รู้แม้กระทั่งคำถาม เรามัก “ร่ำร้อง” ต่อทุกคนที่เราพบเจอเพื่อหวังจะได้คำตอบนั้น คำตอบที่มีเพียงหัวใจเท่านั้น ที่บอกได้ว่ามันตรงกับคำถามของเรา



“ทำไมตรงคำว่าร่ำร้องพี่ใส่เครื่องหมายคำพูดทุกครั้งเลย”

“ก็อยากให้คำว่าร่ำร้องมันโดดเด่น ที่สำคัญมันเป็นคำที่ต้องใส่อารมณ์เวลาอ่าน กูอยากให้มันไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ แต่เป็นอาการที่ชัดเจนที่สุดในเรื่อง งงไหม” บี๋พยักหน้าจ้องผมไม่วางตา รอยยิ้มน้อยผุดขึ้นเป็นกำไรแรกให้ผมลิงโลดใจ

“ไม่เสียดายค่าจ้างเลย พี่แม่งสุดยอดวะ” ถ้อยคำหยาบคายไปหน่อย แต่น่ารักมากในความคิดผม แค่วันแรกกำไรจากงานนี้ก็เกินคุ้มแล้ว

“แน่นอนอยู่แล้วไอ้น้อง” ฉวยโอกาสวางมือโยกหัวเขาไปมา เสียงบ่นงุ้งงิ้งในคอเมื่อหัวเล็กเอียงหลบมือผมไม่พ้น ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้ด้วย?

“พี่กาศผมว่าจะให้ตัวเอกไปเจอคนอื่นเป็นบทๆ ไป แล้วก็มีเรื่องราวของการร่ำร้องที่ต่างกัน พี่ว่าไง”

“เหมือนเรื่องเจ้าชายน้อยเลย มึงลอกไอเดียเขามาใช่ป่ะเนี่ย” น้องทำหน้างง โอเคเชื่อแล้วว่าไม่ได้ลอกดูหน้าก็รู้ว่าไม่ใช่คนรักการอ่านเท่าไหร่

“เจ้าชายอะไรนะพี่”

“ช่างเถอะ แล้วบทแรกจะให้ร้องเรื่องไร”

“รักที่ไม่สมหวัง” น้องบอกเสียงอ่อนลง

“ประสบการณ์ตรงรึเปล่า” ผมถามแต่บี๋ก็เงียบไม่ตอบไม่ยิ้มไม่คัดค้าน ผมเลยหันไปสนใจงานให้เขาต่อ

“ต้องการร่ำร้องแบบไหนในความรักครั้งนี้” คำถามนำเริ่มต้นอีกครั้ง

“ไม่คร่ำครวญแต่ไม่มีสิ้นสุด”

“อาการโคม่าน่าดู ใช้เครื่องช่วยหายใจต่อลมหายใจไปเรื่อยๆ” เหมือนผมพูดแทงใจดำ บี๋หันมองขวับตากลมแดงรื้นขึ้นมาดื้อๆ อย่านะอย่าร้อง ผมไม่ถนัดเรื่องการปลอบ

“เอางี๊ กูจะชวนคุยแล้วมึงก็โต้ตอบสมมุติมึงเป็นตัวเอกแล้วกัน”

“จะดีเหรอพี่”

“มันเป็นวิธีการเขียนร่วมกันไง ใช้ได้ดีในการเขียนบท” ชักแม่น้ำทั้งห้าให้เขายอมเล่นด้วย เพื่อล้วงความลับที่ผมอยากรู้ ในที่สุดก็สำเร็จ

“ทำไมคุณมา..ร่ำร้อง..ตอนนี้” คำถามปลายเปิดของผมเริ่มอีกครั้ง

“รักของผมไม่ได้ดังหวัง” คำตอบของบี๋ดูจริงจังกว่าทุกครั้ง ผมเกือบไม่กล้าถามต่อ จนเขาท้วงว่าให้ถามต่อสิ ผมถึงรู้ตัว

“ก่อนจะเจอรัก คุณคาดหวังหรือไม่”

“ผมคิดว่าไม่ ความหวังของผมมันคงมาพร้อมกับความรัก”

“ความหวังกับความรักคุณคิดว่าอะไรควบคุมได้ยากกว่ากัน”

“ทั้งสองอย่าง แต่ถ้าผมควบคุมรักได้คงจะดี”

“นั่นไม่ใช่ว่าคุณหวังอยู่เหรอ”

“...............” บี๋หันมามองผมตากลมโตมีแววเหนื่อยล้า หัวใจผมเหมือนโดนปั้มด้วยแรงมหาศาล ทำไมน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้นะ

“ผมแนะนำให้คุณเลิกหวังที่จะเลิกรัก แล้วใส่ใจกับสิ่งอื่นรอบตัวเพื่อให้ความรักที่ทำให้คุณเจ็บมันได้บางลง รู้จักโปรแกรมทำลายเซ็นไหม เราสามารถปรับระดับได้ว่าเราอยากให้ชื่อของเราทึบแค่ไหน ทึบจนไม่เห็นพื้นหลัง หรือจางจนเกือบเป็นแค่ลายน้ำ”

“ความรักของผมไม่ใช่ลายเซ็น มันเป็นลมหายใจของผม ถ้ามันจางลงผมคิดว่าผมคงใกล้ตาย” เราต่างคนต่างเงียบ ผมไม่กล้ามองหน้าบี๋ แต่เห็นแค่หางตาก็รู้สึกว่าร่างบางเริ่มสั่นเทา เขาก้มหน้าใช้มือปัดไล่บางอย่างเดาว่าเป็นน้ำตา ใครจะอยากร้องไห้ต่อหน้าคนไม่สนิท คงเกินจะกลั้นแล้ว แม้ความสามารถในการปลอบโยนคนอื่นของผมจะแทบเป็นศูนย์ แต่ผมก็เลือกจะปลอบเขาอย่างตั้งใจที่สุด



“คุณรู้ไหมว่า คำตอบความรักมีแค่สองข้อเท่านั้น คือสมหวังและผิดหวัง และเราไม่สามารถเลือกได้ว่าเราจะได้ข้อไหน”

“แต่ตอนที่ผมเอ่ยคำว่ารักออกไปผมคาดหวังอย่างมากที่จะได้คำว่ารักกลับคืน” คำตอบปนเสียงสะอื้นนั้นช่างบาดหัวใจคนฟังอย่างผม

บี๋ลุกไปเข้าห้องน้ำขณะที่สายตาผมมองตัวหนังสือบนจอ แต่ผมกลับใช้ความรู้สึกจับจ้องเขาทุกความเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากมือถือของเขาดัง

“เป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงเขาตกใจมาก

“ได้ครับเดี๋ยวไปรับ”

เดาว่าคนในสายเป็นคนเดียวกับที่ทิ้งความเศร้าไว้ในดวงตากลมโตของเขา

บอกผมว่ามีธุระไว้จะโทรมานัดใหม่ แล้วก็รีบไปแทบจะทันที รู้สึกเหมือนถูกทิ้งอยู่บ้างแต่ไม่เป็นไรมาก ผมไม่ได้อยู่ในฐานะใดเลยในชีวิตของเด็กคนนั้น

ผมก็แค่ ‘ไม่คู่ควร’ ก้มหน้าคิดคำลงในบทหนังสั้นให้เขาต่อไป



ร่ำร้องฉากแรก....

“แสงแดดอ่อนแรงแล้วทำไมคุณยังร่ำร้อง”

“เพราะรักที่ผมมีมันไม่เป็นดังหวัง”

“ก่อนจะเจอความรักคุณคาดหวังไว้หรือไง”

“ไม่ความหวังของผมมันมาพร้อมกับความรัก”

“ความหวังกับความรักคุณคิดว่าอะไรควบคุมได้ยากกว่ากัน”

“คงทั้งสองอย่าง ก็ถ้าผมควบคุมรักได้คงจะดี”

“แปลว่าตอนนี้คุณก็ยังหวังสินะ”

“ผมอยากเลิกหวังแต่ผมทำไม่ได้”

“ลองสนใจสิ่งอื่นรอบตัวมากขึ้นแล้วใส่ใจกับความรู้สึกตัวเองให้น้อยลงสิ เคยใช้โปรแกรมทำลายเซ็นหรือเปล่า เราสามารถปรับระดับได้ว่าเราอยากให้ชื่อของเราทึบแค่ไหน ทึบจนไม่เห็นพื้นหลัง หรือจางจนเกือบเป็นแค่ลายบนน้ำ”

“แต่ความรักของผมไม่ใช่แค่ลายเซ็น มันเป็นลมหายใจทั้งหมดของผม ถ้ามันจางลงผมคิดว่าผมคงใกล้ตาย”

“ฟังผมนะเด็กน้อย คำตอบของความรักมีแค่สองข้อเท่านั้น คือสมหวังและผิดหวัง และเราไม่สามารถเลือกได้ว่าเราจะได้ข้อไหน”

“ผิดเหรอที่ผมเอ่ยคำว่ารักออกไป คาดหวังอย่างมากจะได้คำว่ารักกลับมา”

“อย่ามองหาความผิด คุณควรเอาเวลาที่มีค่า ไปยอมรับความจริงจะดีกว่า”



บทหนังสั้นฉากแรกจบลง ผมออกจากโปรแกรมพิมพ์งานสีฟ้าอ่อน เอาไว้ค่อยทำต่อพรุ่งนี้







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:48:43 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Chapter 6

แฟนเก่า



‘บี๋ครับผมรถชน รบกวนมาหาหน่อยได้ไหม’ ประโยคที่ได้ยินหลังจากรับสายทำเอาผมควบคุมลมหายใจ จับจังหวะการเต้นหัวใจตัวเองไม่ได้ ทั้งที่คิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไรมากเพราะเสียงเขาปรกติ อดดีใจไม่ได้ที่เขายังคิดถึงผมเป็นคนแรก และในตอนนั้นผมไม่สนใจอะไรแล้ว แทบจะเหาะไปหาเขาทันที

ลืมสิ้น..บทหนังสั้น ที่ต้องรับผิดชอบ

ลืมสิ้น..พี่กาศ ผู้ชายที่คุยด้วยแล้วทำให้ผมสบายใจมากขึ้น

ลืมสิ้น...คำว่าเลิกที่เพิ่งได้ยินจากปากเบย์ ทั้งที่เมื่อคืนร้องไห้จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน

ตอนจะลงจากรถนั่นแหละผมถึงรู้ตัวว่า....เราเลิกกันแล้ว

นั่งทำความเข้าใจกับตัวเองสักครู่ ซักซ้อมการวางตัวให้เป็นแค่แฟนเก่าก่อนไปเจอหน้าเบย์

แฟนเก่า....ต้องไม่ให้ความสำคัญต่อกันมากเกินไป

ข้อนี้พลาดตั้งแต่รีบมาทันทีที่รับสายเขาแล้ว

แฟนเก่า....ต้องไม่ห่วงกันมากเกินไป

“เป็นไงบ้างเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

พยายามอย่างที่สุดที่จะเก็บความห่วง กับอาการตื่นตกใจไว้กับตัวเอง แต่มันก็เผลอแสดงไปเยอะเกินฐานะแฟนเก่าจนได้ ทันทีที่ลงจากรถผมตรงดิ่งไปหาเขา ท่ามกลางไทยมุงกลุ่มใหญ่ สภาพคัมรี่สีแดงท้ายยุบแต่ส่วนอื่นก็ปลอดภัย

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่บี๋มา เบย์ไม่รู้จะพึ่งใคร ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

เบย์ดูไม่ตกใจเลยสักนิดที่รถชน เขายังเป็นคนเก่งของผมเสมอ

“พูดอะไรอย่างนั้น บี๋เป็นห่วงเบย์มากนะ นี่รีบมาหาทันทีเลย ประกันมารึยังครับ แล้วต้องทำอะไรอีก ให้บี๋ช่วยอะไรบอกมา”

สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ แถมกำลังทำท่าห่วงเขาออกนอกหน้ามากรู้ตัวเลย

แฟนเก่า....ต้องไม่หวง

“บี๋ช่วยไปส่งโปรดให้ผมที นี่ตกใจมากผมไม่อยากให้นั่งแท็กซี่ไปคนเดียว”

ในขณะที่ผมห่วงเขาแทบตายแต่เขาก็เอาแต่ห่วงคนอื่น เด็กผู้ชายหน้าตาใสซื่อ น่ารักบอบบางปากแดงแก้มแดง มีรังสีตื่นกลัวออกมาจากร่างเล็กที่เบย์โอบ ยืนตรงหน้าผม โปรดตัวเล็กกว่าผมมาก

นี่สินะสาเหตุที่เขาขอเลิก

ความอ่อนโยนของเขาที่ให้กับเด็กอีกคน ทำให้ผม...หวงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์แต่มันก็เลิกคิดไม่ได้

“ชื่อโปรดเหรอ พี่ชื่อบี๋นะ..ปะไปส่ง” ที่แสดงไปช่างห่างไกลกับสิ่งที่คิด

“สวัสดีครับ” เด็กนักเรียนมอปลายหน้าหวานยกมือไหว้ผม

เบย์ย่อตัวจับหัวโปรด เสียงเขาอ่อนโยนอบอุ่น

“พี่เคลียร์ทางนี้แล้วจะรีบตามไปนะ ไปกับเพื่อนพี่อย่าดื้ออย่าซนเข้าใจไหม ถึงโรงเรียนแล้วทักมาบอกพี่ด้วย” ความอ่อนโยนที่เขามีตอนนี้เป็นของคนอื่นไปหมดแล้ว

ผมกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เบย์ยึดทุกอย่างที่มีความหมายไปจากผมเพื่อยื่นให้กับคนใหม่ของเขา

“อื้ออ” โปรดขานรับในคอดูแล้วก็น่ารักดี แต่ผมไม่ชอบเลยสักนิด

“อย่าทำหน้าแบบนั้น พี่อดใจไม่ได้หรอก”

“พี่เบย์!!”

ผมก็แค่...คนที่เคยเขินอายกับอะไรแบบนั้นเหมือนกัน

แฟนเก่า....ต้องไม่น้อยใจกัน

แน่นอนว่าผมก็ทำไม่ได้ ตอนนี้นอกจากจะน้อยใจแล้ว ผมยังเสียใจ ผิดหวัง ประดังเข้ามาแทบจะยืนไม่อยู่ บอกเลิกเมื่อวานวันนี้เปิดตัวแฟนใหม่ เขาคงกลัวช้าไปผมจะไม่เจ็บละมั้ง





ในรถของผมค่อนข้างอึดอัด แฟนใหม่กับแฟนเก่า ทำแบบนี้เพื่ออะไร เพื่อทำร้ายความรู้สึกตัวเองงั้นเหรอ

“พี่บี๋กับพี่เบย์เอ่อ..เลิกกันนานแล้วเหรอครับ” อยู่ๆ โปรดก็ถามขึ้นมา

“ทำไมถามแบบนั้น” ผมยังคงเป็นคนดีต่อไป

“ก็ถ้าเป็นผม เลิกกันไปแล้ว คงมาทำดีด้วยไม่ได้ ผมถามได้ไหมทำไมพี่สองคนเลิกกันครับ” หน้าตาโปรดดูจริงใจจนผมไม่กล้าพูดอะไรร้ายใส่

“พี่ว่าเรื่องนี้ไปถามเบย์เถอะ ว่าแต่โปรดคบกับเขานานแล้วเหรอ พี่ไม่เคยเห็นเราเลย” น้ำเสียง ท่าทางของผมคงเหมือนแฟนเก่าที่เลิกกับเบย์มานานมาก เปล่าเลยเพิ่งเลิกเมื่อวานครับ และอยากจะบอกน้องว่าพี่ยังรักผู้ชายคนนั้นเต็มหัวใจ คิดแค่เพื่อนไม่ได้มันไม่มีทาง

แต่ทว่า...นาทีต่อมาคำตอบของเขาเล่นเอาหัวใจผมเจ็บจนชา

“ปีกว่าแล้วครับ”

“................”

คบซ้อน!!

ผมรู้ว่าเบย์ไม่เคยมีผมคนเดียว แต่ก็แน่ใจเขาไม่จริงจังกับใครนอกจากผมก่อนจะห่วงน้องโปรดว่าน้องคนนี้ก็เป็นคนหนึ่งที่โดนหลอก ผมก็ตาสว่างอีกรอบ

“ผมเคยไปเจอที่บ้านพี่เบย์มา คุณแม่กับคุณพ่อน่ารักมาก ที่บ้านเราจะให้เราหมั้นกันตอนผมขึ้นปีหนึ่ง”

เบย์บอกว่า...ผมเป็นคนดี

เบย์บอกว่า..อยู่กับผมแล้วสบายใจ

เบย์บอกว่า..ผมเข้าใจเขาที่สุด

เบย์บอกว่า..เขาหลงใหลบทรักของเรา

และครั้งหนึ่งเบย์บอกว่า...รักผม..รักแค่ผมเท่านั้น

แต่สี่ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยเจอครอบครัวเขา เขาไม่เคยอยากเจออาของผมผมเป็นคนดี แต่ดูสิ่งที่เขาตอบแทนความดีของผมสิมันช่าง...สาหัส

“พี่เบย์เจ้าชู้มาก” อยู่ๆ โปรดก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“ใช่” ผมเผลอหลุดปากเสียงเบา

“พี่ว่าผมจะทำให้เขาเลิกเจ้าชู้ได้ไหม”

ในใจผมอยากตะโกนใส่หน้าเด็กคนนั้นว่า ‘ไม่มีทาง’ แต่พูดได้แค่

“ก็ลองดูสิ”

“วันก่อนผมกับเขาไปดูหนัง เจอผู้ชายคนหนึ่งเขาเดินมาทัก พี่เบย์โกรธมาก โวยวายใส่คนนั้นไม่หยุด ว่าห้ามมาวุ่นวายกับผม พี่ว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับผมมากกว่าใครไหม”

ไม่ใช่หรอกเขาก็เคยทำแบบนั้นกับกู!!

“คงใช่แหละ” ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนดีได้ขนาดนี้ ไม่เคยคิดเลยจริงๆ

เป็นคนสำคัญที่สุดงั้นเหรอ.....โง่ที่สุดต่างหาก



‘ออโต้ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับบี๋ เขาเป็นคนพิเศษของฉัน อย่ามาให้ฉันเห็นอีก’

‘เบย์ไม่เห็นต้องไล่เขาขนาดนั้น เขาร้องไห้ไปโน่นแล้ว’

‘ก็ผมโกรธที่กล้ามาทำให้บี๋ไม่สบายใจนี้นา บี๋เป็นคนสำคัญของผมนะ’

เหมือนจะเห็นภาพตัวเองในวันที่เคยสำคัญ

คนสำคัญของนายมีกี่คนกันแน่เบย์?



“คืนนี้พี่บี๋ไปงานวันเกิดพี่โฮมไหมครับ ถ้าไปผมฝากดูแลพี่เบย์ด้วยนะ ปีนี้ผมไม่ว่างไปด้วย ขอบคุณที่มาส่งนะครับ” ผมแยกยิ้มแค่ปากให้โปรดก่อนเราจะแยกย้ายกัน น้องบอกว่าไปซ้อมละครต่อ





วันเกิดโฮม จริงสิเพื่อนสนิทของเบย์คนที่ผมสนิทมากที่สุด เคยไปกับเบย์แค่สามปีแรกที่คบกัน ปีที่ผ่านมาเบย์บอกว่าโฮมไม่ว่างจัด ผมเพิ่งจะรู้วันนี้ว่าที่บอกไม่ว่างไม่ใช่โฮมหรอก เบย์ต่างหากที่ไม่ว่างพาผมไปด้วย เพราะมีโปรดไปแทนแล้ว

ผมน่าจะรู้สักนิดว่าปีที่ผ่านมา เบย์ไม่ได้มีใครเป็นตัวเป็นตนเลย และผมไม่เคยเห็นหน้าโปรดด้วย แค่รู้ว่ามีใครอีกคนแน่ๆ แล้วก็คิดไปเองว่าคงเป็นคนทั่วไปที่เคยมี แค่เล่นๆ แต่ไม่ใช่

รูปจานข้าวมันไก่สองจาน

การที่เขาไม่ค่อยว่างมาหา

เสียงเล่าลือว่าเจอเขาเดินกับเด็กใหม่

เวลาที่เขารีบวางสาย

ผม...ไม่ทันเอะใจ

วันที่เบย์บอกเลิกผมเขาคงมั่นใจแล้ว ว่าโปรดคือคนที่ใช่กว่าผม พิเศษกว่าผม และสำคัญกว่าผม คนเราเจ็บจากคำว่าโดนทิ้งได้กี่ครั้งกันนะ



หลังโปรดลงไป ผมยังไม่ได้ขับไปไหน ชื่อเบย์กะพริบที่หน้าจอ ไม่อยากรับสายแต่ว่าอยากฟังเสียงของเขา อ่อนแอสิ้นดีเลยผม

“ส่งน้องแล้วครับ เบย์จะให้บี๋ไปรับไหม” ทำไมต้องอยากเจอคนที่ทำเราเจ็บ

“มาได้เหรอครับ งั้นก็ไม่เกรงใจรีบมาเลยผมหิ๊วหิว” เบย์คิดอะไรอยู่ คิดว่าคนเพิ่งเลิกกันเมื่อวานแต่วันนี้เป็นเพื่อนกันได้แล้วเหรอ ตลก!!

แต่ที่ตลกกว่าคือผมขับรถวนมารับเขาอีกรอบ เหมือนหัวเองไร้หัวใจไปแล้ว เบย์ยังพูดจาดีอ่อนโยนกับผมเหมือนเดิม แค่ทิ้งระยะห่างให้ผมรู้ว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น

“ทำไมโทรหาผมล่ะ” อดถามไปแบบนั้นไม่ได้

“ไม่รู้สิแต่ไหนแต่ไรมา เวลามีปัญหาคนแรกที่ผมคิดถึงก็คือบี๋ คงชินถ้าทำให้ลำบากใจผมขอโทษนะ” เขาแสดงความรู้สึกผิดผ่านทางสายตา แต่ผมอ่อนยวบไปหมดทั้งหัวใจ

“ไม่หรอกแค่สงสัยเฉยๆ ที่บอกเลิกคิดว่าไม่อยากเจอกันอีกแล้ว”

“เปล่านะบี๋สำคัญมากกว่าแฟนอีก ผมไม่อยากเสียบี๋ไป ที่บอกเลิกเพราะไม่อยากทำร้ายอีก บี๋เราจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม”

สิ่งที่คิด..ไม่ไม่มีทา สิ่งที่ตอบ “อือ”

เมื่อวานเป็นแฟน วันนี้เป็นเพื่อน เปลี่ยนไปไวจนตั้งตัวไม่ทัน

“คืนนี้งานวันเกิดโฮมไปด้วยกันไหม พวกนั้นบอกคิดถึงบี๋อยู่”

‘คืนนี้พี่บี๋ไปงานวันเกิดพี่โฮมไหมครับ ถ้าไปผมฝากดูแลพี่เบย์ด้วยนะ ปีนี้ผมไม่ว่างไปด้วย’

จากตัวจริงกลายเป็นตัวสำรอง

“ไปดิ”

ผมยอมเป็นอะไรก็ได้ อยู่ในสถานะไหนก็ได้ขอแค่ได้อยู่ในชีวิตเขาต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่าจะทำใจได้



ผับเดิมที่กลุ่มเบย์ชอบมา ผมไม่ได้มานานมากแล้ว หลายมุมมีการปรับเปลี่ยน ทุกสิ่งต้องถูกโยกย้ายไปตามกาลเวลา เหมือนความสัมพันธ์ของเรา

“เบย์บี๋ทางนี้พวก” เสียงเจ้าของวันเกิดโบกมือเรียกเราสองคน เมื่อก่อนเบย์ชอบเรียกผมว่าเบบี๋ เขาว่ามาจากชื่อผมกับเขาผสมกัน และอยากให้ผมรู้ว่าเขารักผม

หลังๆ เขาไม่ค่อยเรียก ผมเพิ่งเข้าใจเหตุผลว่าทำไม เขาถึงไม่เรียกผมแบบนั้นอีกเหตุผลที่ว่าคือ...ไม่ได้รักแล้ว

“นั่งๆ บี๋มาด้วยเหรอ ก็เอ่อ..ไหนว่า..” เลิกกันแล้ว โฮมคงอยากถามแบบนั้น ผมเลยทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีให้เบย์ตามที่เขาต้องการ

“ทำไมวะเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ” เบย์ดูจะพอใจกับคำตอบของผม เขากอดคอผมยิ้มให้เพื่อนในกลุ่ม แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน

“ดีแล้วมึง กูไม่อยากให้เบย์มันคิดมากอีก บี๋มึงโอเคจริงใช่ไหม” หมายความว่าไงที่ว่าเบย์คิดมาก

“โอเค๊ ถึงไม่เลิกก็เหมือนเพื่อนกันไปทุกวันนี้หว่า” แนบเนียนเหมือนเรียนมาเป็นชาติ เบย์ยิ้มเหมือนโล่งใจ นั่นทำให้ผมเศร้าไม่สุด อย่างน้อยความเป็นเพื่อนก็ดูจริงใจกว่าความเป็นแฟนที่เขามีให้ผม เพื่อนคนอื่นคุยเล่นเฮฮา ส่วนใหญ่ผมรู้จักและคุ้นเคย พวกมันไม่ถามอะไรถึงเรื่องของผมกับเบย์อีกจนกระทั่ง เบย์ลุกไปเข้าห้องน้ำ

“ช่วงที่มันจะบอกเลิกมึง มันห่วงมึงมากเลยนะบี๋ สำหรับเบย์กูไม่เคยเห็นมันห่วงใครเท่ามึง” คำบอกเล่าจากปากโฮมที่เริ่มเมา

“จริงพวกกูทุกคนยืนยันได้มึงสำคัญกับมันที่สุดแล้ว” เสียงฮาวลูกพี่ลูกน้องโฮม และคนอื่นก็เริ่มเปิดใจกับผมเรื่องเบย์

“เบย์มันบอกว่ามึงเป็นแฟนที่โคตรชิล ไม่หึง ไม่หวง เข้าใจมันทุกอย่าง กูเห็นด้วยวันนี้แหละ บี๋มึงนี่แฟร์สุดๆ เลยว่ะ”

เพื่อนหน้าโง่คนแรกบอก แล้วยกแก้วมาชนกับผมตอนท้าย

“แต่กูว่าพวกมึงเป็นเพื่อนกันดีแล้ว เบย์มันดูสบายใจเวลาอยู่กับมึง คบแบบแฟนมันบอกว่ากลัวเสียมึงไป” เพื่อนหน้าโง่คนที่สองตามมากระทืบซ้ำ

“ยินดีต้อนรับเข้าแก๊งพวกกูนะเว่ย มีอะไรบอกได้ตอนนี้มึงเป็นเพื่อนพวกกูแล้วไม่ใช่แค่แฟนเพื่อน”

“ตอนมึงสองคนคบกัน กูแม่งอยากถีบไอ่เบย์ที่ทำมึงเสียใจ กูเคยคิดว่าใครวะจะใจกว้างได้แบบมึงเข้าใจ ไม่โวยวายเหี้ยไรเลย แต่ตอนนี้ก็เก็ทละ มึงสองคนคงเหมาะจะเป็นเพื่อนกันมากกว่าแฟน”

พวกมันกำลังโง่ แต่คนที่โง่ที่สุดมากกว่าพวกมันรวมกัน ก็คือผม

เบย์ดูแลผมเพราะความผูกพัน

เบย์แคร์ผมเพราะเห็นผมเป็นแค่เพื่อน

แต่ที่ไม่เข้าใจ เพื่อนบ้าบออะไรเอากัน

ผมยิ้มให้พวกมันเหมือนยินดีกับมิตรภาพที่เกิดขึ้น ผมแสดงเก่ง!! ทั้งที่ในใจว้าวุ่นสับสนจนใจเซ

จำได้ว่าดื่มเยอะมาก เบย์พากลับห้อง เช็ดตัวให้ ลูบหลังให้ เช็ดอ้วกให้ ห่มผ้าให้และเฝ้าจนผมหลับ ทั้งที่เมามากแต่ยังมีแรงจะหวัง หวังว่าตื่นมาเขาจะยังอยู่ แต่ว่างเปล่า!!



ผมถามตัวเองว่า...ทำไมคนเราต้องหวังในเรื่องที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางจะสมหวังผมตอบไม่ได้



ผมถามตัวเองต่อว่า...คนเราสามารถทนเป็นคนถูกทิ้งได้นานแค่ไหน?

ผมว่าผมพอรู้คำตอบของคำถามนี้นะ



ก็จนกว่าเราจะเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปซะเองไง







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:49:41 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 7
«ตอบ #9 เมื่อ25-11-2018 11:15:43 »

ตอน 7

ราคาของน้ำตาหนึ่งหยด



..ชันกาศ....



“พี่กาศไปช่วยผมแบกไอ้บี๋หน่อย” ผมเด้งตัวจากที่นอนเมื่อได้ยินชื่อนั้น

บี๋!! ภาพดวงตากลมโตของเขา เข้ามาในหัวแทบทันที ที่ตกลงใจว่าจะปล่อยน้องให้ไปเจออะไรที่ดีกว่าตัวเอง เป็นอันพังไม่เป็นท่า เมื่อได้ฟังความจริงบางอย่างจากปากโมตอนนั่งรถไปกับมัน

“มันเป็นคนดี หน้าตาก็ดี แต่อาภัพรัก” เรื่องของบี๋เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

“เหี้ยเบย์แฟนมันคบกันมาสี่ปีแล้ว เจ้าชู้ที่หนึ่ง บี๋ก็ใจกว้างเป็นท้องฟ้า แม่งไม่ปริปากบ่นสักคำก็ไม่มี ยอมเข้าใจทุ๊กอย่าง ตอนมันโทรมาบอกว่าห่านั่นบอกเลิก ฟังดูก็รู้ว่าเพื่อนผมเศร้าขนาดไหน แต่พี่รู้ไหมผมเนี่ยยิ้มหนักมาก แทบกราบให้มันเลิกมันก็ไม่เลิก แต่อยู่ๆ ก็พ้นกรรม ไอ้นั่นเลิกไปเอง”

โมเล่าไปยิ้มไปอารมณ์ดี ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยตั้งใจฟังเรื่องคนอื่นมากขนาดนี้มาก่อน

“แล้วนี่มันเมา กลับไม่ไหวหรือยังไง” ผมถามไปมองข้างทางไป ให้ดูเหมือนไม่อยากรู้มากนัก

“ตอนโทรมาก็ไม่ได้เมามากหรอก แต่คิดว่าเอาพี่ไปด้วยช่วยพูด มันจะคิดอะไรได้มากกว่าผม เพราะผมพูดจนปากจะฉีกมันก็คงไม่สนใจจะฟัง”

“ขนาดมึงเพื่อนสนิทยังไม่ฟัง แล้วกูเป็นใคร มันจะฟังกูเหรอ”

“พี่ชอบมันนี่ ไปทำคะแนนสิ” ผมว่าไม่ได้แสดงอาการนะ โมมันรู้ได้ไง

“เอาน่าผมไม่ว่าหรอก บี๋มันเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก ได้กับพี่ผมก็หมดห่วง”

“เพ้อละมึง พวกมึงก็น้องกูไหมล่ะ” โมโคลงหัวไปตามจังหวะเพลง ไม่พูดอะไรอีกจนถึงผับ ก่อนจะลงจากรถ ก็ยืนยันว่าจะเป็นพ่อสื่อจนถึงที่สุด

“แล้วแต่พี่นะ ผมแค่จะบอกว่าเพื่อนผมอร่อย ที่สำคัญมันก็สเปกพี่” เดี๋ยวนะขายเพื่อนขนาดนี้ มึงเคยชิมเขาแล้วรึไง แล้วมันรู้สเปกผมตอนไหนวะ



เสียงเพลงจังหวะเน้นโยกดังผสมเสียงอื้ออึงของนักเที่ยวราตรี ไฟแสงสีแข่งกันอวดศักดา ผมกับโมมองหาคนเดียวกัน ร่างบางของใครบางคนที่เรามองหา

เจอแล้ว หาไม่ยากเพราะน้องบี๋เด่นมาท่ามกลางกลุ่มคน เชิ้ตสีดำ กางเกงยีนสีเข้มขาดช่วงหน้าขา ผิวล่อสายตาตรงรอยขาดของผ้ายีน ขาวเนียนจนผมต้องลอบกลืนน้ำลาย น้องดูไม่ได้เมามาย แต่มีไอเศร้ากระจายอยู่รอบตัวหนาแน่นจนน่าอึดอัดในมือมีแท็ปห้าเบียร์เยอรมัน ผมเคยลิ้มลองและติดใจจนถึงทุกวันนี้

อีกสิบนาทีจะสี่ทุ่มครึ่งถือว่ายังไม่ดึกมาก บี๋คงยังไม่เมาจริงๆ นั่นแหละ

“อ้าวพี่กาศมาด้วยเหรอ” แทนที่จะยกมือไหว้ รุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าผมเป็นรอบแค่เรียกชื่อแล้วยิ้มให้เท่านั้น เจอกันกี่ครั้งก็ไม่ได้ไหว้ แต่ผมก็ไม่ถือสาอะไรแล้ว แค่ไหว้นี่นาไม่ได้ให้เงินเลยไม่สำคัญ

“เมายังมึงอ่ะ” ผมทักกลับ

"ผมเหมือนเมาเหรอ" เด็กมันย้อนมา ผมทำท่าจะโบกหัวให้สักที แต่ดวงตากลมโตที่ดูเศร้ามากนั้นทำให้ผมใจอ่อน หันไปทางโมมันถามว่าเบียร์หรือเหล้า

“พวกมึงจัดเลยกูไม่เศร้าอะไร” ความจริงไม่มีตังค์

“ได้ไงพี่มาทั้งที เอาเบาๆ ก็ได้ ผมเลี้ยง” คำว่าเลี้ยงน้องมันกระซิบ ผมก็พยักหน้าตามใจมัน เลยได้ขวดเดียวกับเพื่อนมันมาครอง เบียร์ที่ผมติดใจกลิ่นคล้ายขนมผสมนมเปรี้ยว กลืนง่ายอร่อยลิ้น เมื่อก่อนผมดื่มบ่อย แต่ช่วงที่ผ่านมาเก็บเงินอันน้อยนิดไว้ยาใส้ เลยห่างไกลของเมาไปโดยปริยาย

“คอเดียวกันเลยนะพี่” บี๋พูดพลางมองขวดในมือผม

“ชอบอะไรเหมือนกันซะด้วย” โมเริ่มชงทั้งที่พวกเราก็ไม่ได้ดื่มอะไรที่ต้องชงกันสักคน

“ดีแล้วไม่ใช่เหรอ วันหลังจะได้มาด้วยกันบ่อยๆ” บี๋หันไปตอบโม ท่าทางคงไม่เข้าใจ ว่ากำลังโดนเพื่อนตัวเองจับคู่ให้ผม

“ดีไหมพี่กาศ” โมส่งต่อคำถามให้ผมด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าแก่แดดให้มันมากนักนะพวกมึงอ่ะ”

“คร๊าบบพ่อ” โมล้อเลียนโดนผมโบกไป ร้องเจ็บเสียงหลง บี๋ก็โวยวายด้วย ที่ผมว่ามันไม่เมาน่าจะคิดผิด

“โหยย ยี่สิบแล้วเด็กตรงหนาย บรรลุนิติภาวะแล้วนะพี่”

กลับมาทำหน้านิ่งใส่มันสองคน วางท่าเป็นผู้มีวุฒิภาวะที่สุดประจำโต๊ะต่อ

“ว่าแต่มึงเถอะมาดื่มย้อมใจว่างั้น”

บี๋ได้ยินคำถามจากโมถึงกับหุบยิ้มตาหม่นขึ้นมาอีกรอบ

“เบย์แม่ง” ในตอนนั้นผมคิดว่าเอาแล้ว ดราม่าเริ่มขึ้นแล้วแน่ๆ แต่ไม่ใช่เลย

บี๋เงียบไปนานมากจนคนถามทนรอไม่ได้ โมเลยไม่วายจะถามซ้ำ เหมือนจะยุให้คนปากหนักระบายอะไรออกมาบ้าง แต่เปล่าประโยชน์บี๋ยังคงเงียบ

“มันไม่เล่าเพราะไม่อยากให้พวกเรามองไอ้ห่านั่นไม่ดี” โมกระซิบบอกผมมันมีจริงเหรอ คนที่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง ห่วงมากกว่าตัวเอง แคร์มากกว่าตัวเองขนาดผมรักพ่อแม่มาก แต่การเลือกทางเดินให้ตัวเองทุกวันนี้ ก็ไม่ได้แคร์สายตาพ่อแม่เลยด้วยซ้ำ

“เก็บไว้คนเดียวเส้นเลือดในสมองแตกตายนะมึง” ผมบอกเด็กปากแข็ง ที่ทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่แววตาเจ็บปวดจนซ่อนไม่มิด

“พี่ฝากมันแป๊บนะ ผมรับโทรสับก่อน” โมชูหลักฐานว่ามีคนโทรเข้า ผมกับบี๋พยักหน้าให้ มันก็ทิ้งพวกเราไว้ราวกับวางแผนมาก่อนแล้ว คงไม่ผิดจากที่คิดเพราะเกือบสิบห้านาทีแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าโมจะกลับมา

ผมถอนหายใจมองขวดเบียร์ราคาแพงตรงหน้า ที่ยังไม่ได้เปิด สลับกับมองเด็กบี๋ ที่ทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตก ไม่รู้จะจัดการอะไรก่อนดี

“พี่มีแฟนมาแล้วกี่คน” บี๋เป็นคนทำลายความเงียบ

“สาม ตอนนี้กูโสด” ผมควรตอบแค่ว่ากี่คนไม่ใช่เหรอวะ

“พี่ลืมแฟนคนแรกได้แล้วรึยัง”

“จำหน้าไม่ได้แล้ว ทั้งสามคนเลย” ด้วยความสัจจริง

“นานไหมพี่ กว่าจะลืม”

“กูไม่ได้นับวันรอ จะใส่ใจทำไมวะแค่คนที่ทิ้งเรา”

“นั่นดิเนอะ แค่คนที่ทิ้งเรา ครั้งแล้วครั้งเล่า”

สายตาของบี๋เหมือนไม่มีผมอยู่ในนั้น ทั้งที่ตอนนี้มันจ้องผมอยู่แท้ๆ

“พี่รู้ไหม วันก่อนมันบอกเราเลิกกันเถอะ แต่เมื่อวานสาระแนมาบอกว่าเป็นเพื่อนกันเถอะ หึ” คืนนี้อีกยาวไกล ความเมาและอารมณ์เศร้าของบี๋เริ่มเข้าเป็นเนื้อเดียวกันไปทุกที ยิ่งเมาก็ยิ่งเพ้อ ไม่ได้เพ้อแบบคร่ำครวญร้องห่มร้องไห้ แต่เหมือนคนอัดอั้นอยากระบายมากกว่า ผมค่อยๆ ละเลียดเครื่องดื่มหมักยีสต์ในมือ รสชาติของแพงมันแตกต่างอย่างนี้แหละ

“มันบอกรถชน ผมรีบไปหาห่วงมันมากกว่าห่วงความรู้สึกตัวเองอีก แล้วไงมันบอกให้ไปส่งแฟนใหม่มันหน่อย" มันหยุดกระดกขวดเบียร์ ยกหลังมือเช็ดเบียร์ที่หกตรงมุมปาก เด็กอะไรเซ็กส์ซี่เป็นบ้า ระหว่างที่สมาธิผมจดจ่อที่ปากน่าจูบ เรื่องเศร้าก็ดังขึ้นอีกรอบ

"มันคิดว่าผมไม่มีหัวใจรึไงกัน เด็กคนนั้นบอกคบมันมาปีกว่า พี่ดูหน่อยผมมีเขาบนหัวไหม” บี๋จับมือผมไปวางบนหัวมัน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนิ่มมือมาก เผลอลูบหัวมันอยู่สักพักก็ดึงมือกลับด้วยรู้ตัวว่า....ไม่ควร

“ทำผมเจ็บเจียนตายไม่พอ หน้าด้านลากผมไปวันเกิดไอ่โฮม เพื่อนมันบอกว่า..เบย์อยากมีผมเป็นเพื่อน เห็นผมสำคัญจนไม่อยากจะเสียไป บอกว่าดีใจที่เห็นพวกผมเป็นเพื่อนกันได้ เบย์จะได้หายเครียด ถุ้ยสัดหมาเถอะ”

ผมพอเข้าใจบี๋นะ มันคงไม่อยากเข้าใจ หรือเป็นคนใจกว้าง มันแค่ยอมทุกอย่างเพราะรัก

เบียร์ยี่ห้อที่ผมชอบทำไมกลืนยากขึ้นทุกที ตอนนี้เรื่องของผมกับบี๋ ผมยังไม่คิดจะเดินหน้าหรอกรู้แค่ว่าถูกใจ แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอะไรต่อ ใครจะกล้าคิดละ ขนาดเบียร์ในมือยังไม่มีปัญหาจะจ่ายเลย

“ความจริงก็คือความจริง มึงเศร้าให้ตายมันก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี” คำปลอบโยนที่ผมพอจะคิดออกตอนนี้

“พี่รู้ไหม ทำไมผมไม่เล่าเรื่องนี้ให้ไอ่โมฟัง”

“มึงคงหวังจะกลับไปดีกับแฟน แล้วไม่อยากให้เพื่อนมองแฟนมึงไม่ดีมั้ง”

บี๋หรี่ตาแล้วส่ายหน้า ใบหน้าขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นแดง ตากลมโตมีแววฉ่ำปรือ จังหวะกะพริบตาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เมาแล้ว? ร่างโปร่งย้ายตัวเองมานั่งข้างผม ซบหัวลงกับไหล่ผมราวกับผมเป็นหลักให้มันยึด ผมนั่งตัวตรงห้ามมือไม่ให้ไปสัมผัสมันกลับ

“ทุกครั้งที่เล่ามันจะด่าเบย์ ผมไม่ชอบให้เพื่อนรักด่าคนที่ผมรัก” แปลได้ว่ามันแคร์ทั้งสองคนมาก



ฟองเบียร์ลอยตัวขึ้นบนปากขวด จังหวะหนึ่งก็แตกเหมือนไม่เคยมีอยู่ กลุ่มฟองระลอกใหม่ลอยขึ้นมาทดแทน ตราบใดที่ผมยังไม่กระดกดื่มให้หมดขวด มันก็ยังเวียนวนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ

“แต่พี่ไม่เหมือนมัน พี่ฟังแล้วเงียบ เงียบจนผม....ชอบ” ไหล่ที่รับน้ำหนักรู้สึกเบาขึ้น แต่สายตาของผมกลับต้องมาทนรับสายตากลมโตของบี๋แทน ซบไหล่กูเหมือนเดิมเถอะขอร้อง จ้องตาแบบนี้ผมจะอดใจไม่ได้อยู่แล้ว

ชอบ!!

คำสุดท้ายของประโยคเหมือนส่งมาพร้อมกลิ่นนมเปรี้ยวและน้ำผลไม้หมัก มันคือกลิ่นของแท็ปห้า ที่อยู่ในมือของเราสองคน ผมไม่ได้เมา แต่ก็รู้สึกว่าสมองว่างเปล่า ตอนที่โดนปากอิ่มของบี๋จู่โจมเข้ามาดูดปากผมอยู่นานเกือบครึ่งนาที

ดีจนลืมไปว่าเราไม่ได้มากันสองคน เคลิ้มจนลืมคำว่าไม่คู่ควร คงเหลือแค่เพียงการกระทำตามใจ เราสัมผัสกันแค่ปาก แลกเปลี่ยนกันแค่รสเบียร์ที่ยังติดปลายลิ้น แต่ผมรู้สึกชอบมากกว่าตอนดื่มจากขวดหลายต่อหลายเท่า

‘แล้วแต่พี่นะ ผมแค่จะบอกว่าเพื่อนผมอร่อย ที่สำคัญมันก็สเปกพี่’

โมมันพูดถูกทุกอย่าง

ประสานสายตา ประทับริมฝีปาก รุกล้ำกันแค่ปลายลิ้นแล้วถอยห่างราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

แท็ปห้าจะมีรสขมก่อนจะหวาน เหมือนจูบของบี๋ที่ตอนนี้ผมจำได้แค่ปากเขาที่หวานล้ำเกินจะลืมลง



บี๋กลับไปนั่งตรงข้ามผมเหมือนเดิม สายตาอ่านยากก่อนจะเปลี่ยนเป็นยั่วยวน ผมเป่าปากสั่นขาไล่ความงุ่นง่านในอารมณ์ให้พ้นไป สักพักโมก็กลับมาจัดการเบียร์ในขวดที่เหลืออย่างรวดเร็ว เพิ่งรู้ว่าน้องข้างบ้านที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก คอแข็งเหมือนกัน โมมันคุณหนูหน้าตาดี ไม่ต่างจากบี๋เลยแต่ยังไงบี๋ก็ดูหวานน่ารักกว่าในสายตาผม

“เอาจริงนะตอนแรกที่เห็นมึงสองคน กูนึกว่าเป็นแฟนกันซะอีก” ผมเปิดใจถามเรื่องที่เคยสงสัย ไม่อยากผิดใจกับโมถ้ามันก็ชอบบี๋ผมก็จะถอยให้ แต่เดี๋ยวนะถ้ามันไม่ชอบผมจะไม่ถอยเหรอ หรือว่าไงเริ่มสับสนกับตัวเอง

“แฟนไอ่บี๋เหรอ อี๋ไม่นะ ผมไม่นิยมเอาควายมาทำเมีย”

บี๋มองตาขวางใส่โมก่อนจะโวยตาม

“กูไม่สนมึงหรอกไอ้เดือนมหา'ลัย ปากกู" บี๋ชี้นิ้วไปที่ปากตัวเอง แล้วพูดต่อ

"จูบได้แค่...คนที่กูชอบ..เท่า..นั้น!”



ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึก

แค่คำที่บี๋มันตะโกนใส่หน้าเพื่อน ทำเอาหัวใจผมเต้นเร็วจนตามไม่ทัน เด็กมันเมา มันไม่รู้ตัว มันไม่มีสติ ผมพร่ำบอกตัวเองอยู่สักพัก

“กูไปเข้าห้องน้ำนะ” ลุกไปสงบสติอารมณ์สักหน่อย ก่อนจะเผลอทำอะไรที่ไม่ดีต่อตัวเองและเด็กตรงหน้า

ผมคงหลบออกมานานไปหน่อย พอกลับไปก็เจอบี๋ฟุบโต๊ะไปแล้ว ส่วนโมยังนั่งจิ้มมือถืออย่างมีสติเหมือนเดิม เบียร์ที่เหลือแค่ขวดเปล่าตั้งกระจายเต็มโต๊ะ เมื่อเห็นผมเดินมาใกล้โมก็ชวนกลับ

“กลับเถอะพี่ ผมง่วงมากเลย” ผมพยักหน้า มันลุกเดินนำไป แปลว่าผมต้องแบกบี๋คนเดียว โอเคก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝืนใจอะไรนักออกจะชอบด้วยซ้ำ แขนขาวเนียนถูกผมดึงขึ้นไหล่ คนเมาปรือตาขึ้นมองผมก่อนจะยืนขึ้นไม่ค่อยมั่นคงนัก ชั่วอึดใจก็เซทิ้งตัวมาที่ผมอย่างง่ายดาย



ถ้าเบียร์ราคาแพงมีความแตกต่างจากเบียร์ทั่วไป ทั้งรสและกลิ่น

ผมว่าบี๋คือ...เบียร์...ที่แพงที่สุดในโลก



ยากที่ผู้ชายคนไหนจะมีกลิ่นดึงดูดได้เท่านี้

ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนผิวเนียนลื่นมือได้เท่านี้

ไม่เคยเห็นใบหน้าผู้ชายคนไหนจะน่ามองได้เท่านี้

ไม่เคยต้องมาห้ามใจกับใครมากเท่านี้

ไม่เคยไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย



แต่ถ้าบี๋คือเบียร์ราคาแพงที่ผมไม่มีปัญหาจ่าย ผมก็ควรจะต้อง ‘ตัดใจ’





ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:50:35 โดย antivirus »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 7
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-11-2018 11:15:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2

ตอน 8

ฟองเบียร์ที่หวั่นไหว กับหัวใจที่อ่อนแอ



ชันกาศ...



ผมหันไปมองบี๋ที่นอนอยู่เบาะหลังเป็นพักๆ

“ไม่ต้องห่วงมันหรอกพี่ เห็นอย่างนี้มันก็ผ่านมาเยอะแล้ว” โมบอก ผมติดใจคำว่าผ่านมาเยอะ อยู่ไม่น้อย

“ผมหมายถึงมันเจ็บมาเยอะ แค่ปรกติมันไม่เมาเป็นหมาแบบนี้ จะแค่แอบไปร้องไห้คนเดียวที่ห้องอ่ะ”

“ท่าทางจะรักฝังใจ” ผมออกความเห็น

“รักแรกของมัน แถมไอ่บ้านั่นก็ไม่เคยเหี้ยใส่มันนอกจากเจ้าชู้ ให้ความหวังแล้วก็ทิ้งให้เจ็บ เป็นอย่างนี้มาตลอด”

“เพื่อนมึงก็ทนเหรอ”

“ผมถึงบอกว่าบี๋มันก็ควายดีๆ นี่เอง” ผมเข้าใจโม มันคงเจ็บแค้นแทนเพื่อนแต่ทำอะไรไม่ได้ แถมบี๋ก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้มันทำ แม้แต่ระบายให้ฟังบี๋ยังไม่ทำ

“แล้วจะเอาไงกับมัน”

“ทิ้งไว้ที่ห้องก็สงสาร เอาไปบ้านผมเดี๋ยวแม่จะด่า ฝากมันไว้ที่พี่ละกัน”

“เอามันกลับห้องแล้วมึงก็ไปนอนกับมันสิวะ”

ผมพยายามหาทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

“พรุ่งนี้ผมมีนัดไปต่างจังหวัดกับพ่อดิ นะพี่กาศน้า” แต่ไม่เป็นผล

“เออๆ” ทุกอย่างมาลงตัวที่ผมกับโมหิ้วบี๋คนละข้างขึ้นบันไดไปห้องผม บี๋ไม่ได้ตัวหนักมากมาย แต่ก็ไม่ได้เบาหวิวก็มันเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เด็กผู้ชายวัยยี่สิบปีที่กำลังโตเต็มวัย เมาและไม่มีสติจะก้าวกว่าจะถึงห้อง เล่นเอาคนแบกเหงื่อแตกเหมือนกัน

“รบกวนพี่ด้วยนะครับ” คนฝากยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีกครั้ง

“ไม่ต้องเลยมึงอ่ะ คราวหน้าอย่าหวังว่ากูจะหลวมตัวไปด้วย”

ตะโกนไล่หลังเด็กข้างบ้าน มันออกจากห้องผมอย่างไม่เป็นห่วงเพื่อนที่เมามายของตัวเองเลยสักนิด ใจคอจะทิ้งเนื้อเกรดเอไว้กับเสือผู้หิวโหยอย่างผมจริงเหรอ

หันมามองเด็กที่ตอนนี้หมดสติอยู่บนเตียงผม ดูไม่มีพิษไม่มีภัย เหมือนคนละคนกับที่เพิ่งปล้นจูบผมไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้



“อื้ออ” บี๋ครางขัดใจเมื่อถูกผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า เสียงครางกับริมฝีปากอมชมพูที่อ้าออกเล็กน้อย ทำให้ความยับยั้งช่างใจที่มีอยู่น้อยนิด พร้อมขาดได้ทุกเมื่อ

พ่อกับแม่ผมไม่อยู่ ไปงานศพเพื่อนพ่อที่ต่างจังหวัด อีกเป็นอาทิตย์จะกลับตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจเลย

“ม่ายอาวจานอน” ส่งเสียงยานคางบอก มุดหน้าหนีผ้าในมือผม

"เช็ดหน้าก่อนจะได้นอนสบาย" ผมก็ห่วงเด็กนี่จังเลย

"เบย์บอกว่าเป็นเพื่อนกันเถอะ เพื่อนบ้าอาราย ไอ่เหี้ยยยย"

พอเพ้อขึ้นมาน้ำตามันไหลทั้งที่ไม่มีสติ อยากเห็นหน้าคนชื่อเบย์นี่ขึ้นมาแล้วสิ มันทิ้งคนที่น่ารักน่าดูแลแบบนี้ได้ลงคอได้ยังไง ขนาดผมเพิ่งรู้จัก ผมที่ไม่ชอบดูแลใครยังอดใจดูแลมันไม่ได้เลย

จากเพ้อด่าพอน้ำตามาบี๋ก็เปลี่ยนเสียงเป็นโหยหา

“เบย์” จับแขนผมแน่น พร่ำเรียกคนที่ไม่ดูดำดูดีตัวเองต่อไปไม่ขาดปากไม่ใช่ว่าที่จูบผมไปเพราะคิดว่าผมเป็นไอ้บ้านั่นหรอกนะ ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ชีวิตของผมมันไร้ค่าไม่พออีกหรือไง แค่ไร้อนาคต ไม่มีเงิน มันไม่เพียงพออีกเหรอ

บางครั้งชีวิตที่เราว่าแย่ มันก็ยังมีเรื่องเลวร้ายกว่ารอเราอยู่เสมอ บางคราวที่เราเดินไปเจอทางตัน ทว่าเมื่อหันกลับก็เจอเหวลึก

บี๋ดึงผมไปกอด ซุกหน้ากับอกผมนิ่งไม่มีน้ำตาแล้ว มีแต่ลมหายใจอุ่นกับกลิ่นเบียร์ราคาแพง

“ปล่อยก่อนบี๋” ผมเรียกสติเขาให้รู้ตัวว่าผมไม่ใช่คนที่เขาอยากกอด เขาชะงัก แขนเล็กคลายออกคล้ายจะเพิ่งมีสติ บี๋ทิ้งตัวนอนหงายตามองเพดาน ปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก

“ผมร้อน” หรือผมคิดผิด ดูไม่มีสติกว่าเดิมอีก

ซอกคอขาวกับผิวที่ไม่จับก็รู้ว่านุ่มนิ่ม ปลุกอารมณ์ผมได้ดียิ่งกว่าหน้าอกตูมของผู้หญิงซะอีก ผมเคยชอบผู้ชายแต่นานมาแล้ว แต่ชอบมองแต่ไม่ได้คบกัน แต่กับบี๋ไม่ใช่แบบนั้น มันคือความอยากครอบครอง อยากสัมผัส อยากขยี้ให้พอใจ

“อย่าเพิ่งไปนะครับ ผมขอร้อง” จับชายเสื้อผมไว้ รั้งตัวผมด้วยเสียงแผ่วเบา

“มึงมีสติไหมกูไม่ใช่คนนั้น” หันไปถามคนที่นอนเปิดอกขาวล่อตาอยู่

“พี่กาศ ผมไม่ดีตรงไหนเหรอ” ถอนหายใจ อย่างน้อยมันก็รู้ตัวว่าเป็นผมสักที แม้อาการจะหนักอยู่ก็เถอะ

“ผมสู้เด็กมัธยมคนนั้นไม่ได้ตรงไหน”

“ผมไม่อยากเป็นเพื่อนมัน”

“ถ้ามันอยากเป็นเพื่อน แล้วมาเอาผมทำไม”

“ผมไม่อยากรักมันแล้ว แต่ผมทำไม่ได้” เสียงของบี๋ราบเรียบ ทุกประโยคที่เหมือนเป็นคำถามแต่ดูไม่ต้องการคำตอบ ผมคงสำคัญแค่เป็นคนรับฟัง ไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น

คนเราอ่อนแอได้เท่าที่ใจอยาก แต่กลับเข้มแข็งได้ยากเย็น แม้จะทุกข์จนแทบจะรับไม่ไหว ก็ไม่อาจสั่งตัวเองให้ลุกมาเข้มแข็งได้ในข้ามคืน

“มันบอกว่าผมสำคัญที่สุด ดีที่สุด แคร์ผมที่สุด ไม่อยากทำร้ายผมอีกเลยปล่อยผมไป พี่ว่ามันปล่อยผมไปไหน นรกหรือเปล่า ทำไมผมเจ็บเจียนตายแบบนี้”



“บี๋อย่าทำร้ายตัวเอง” จับมือเล็กที่เอาแต่ทุบอกตัวเองไว้

“ฟังกู..บี๋มองหน้ากูสิ” สั่งเสียงดัง ตากลมโตมีน้ำตารื้นที่ขอบตาอีกแล้ว

น้ำตาไม่ใช่ผลพวงของความอ่อนแอเสมอไปก็จริง แต่ผมว่าตอนนี้บี๋อ่อนแออย่างถึงที่สุดแล้ว

“มึงอย่าร่วมมือกับคนอื่นทำร้ายหัวใจตัวเองสิวะ”

ถ้าคนอื่นทำให้เราเจ็บ ทำไมเราต้องเห็นดีเห็นงามตอกย้ำตัวเองให้เจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า ปากร่ำว่าเจ็บว่าทนแทบไม่ไหว แต่ความคิดกลับกระทืบหัวใจตัวเองอยู่ไม่หยุด ร่อแร่ขนาดไหนก็ยังมีเรี่ยวแรงมาบีบหัวใจหัวเองไม่ยอมปล่อย

“ใครก็เคยอกหัก กูก็เคย เพื่อนมึงก็เคย คนที่เคยรักก็เคยเจ็บกับความรักทั้งนั้น มึงไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะเจ็บปวดแค่เพราะคนที่มึงรัก เขาไม่รักมึงตอบ ร้องได้ เศร้าได้ เสียใจได้ แต่กูว่ามึงเหมาะกับรอยยิ้มมากว่า”

ตอนพูดผมยังรู้ตัว แต่ตอนก้มลงจูบนั้นขาดสติโดยสิ้นเชิง พร่ำบอกเขาว่าความผิดหวังเป็นแค่เรื่องธรรมดา แต่พอจูบเขาแล้วมานึกได้ว่า เขารักคนอื่นหัวปักหัวปำก็เจ็บขึ้นมาซะอย่างนั้น ใครไม่รักก็คงไม่รู้

“พี่กาศ” เสียงประท้วงของบี๋ทำให้ผมได้สติผละออก

เราจ้องหน้ากันนิ่ง นัยน์ตากลมโตว่างเปล่าเดาได้ยากว่าบี๋มองผมด้วยความรู้สึกแบบไหน คงยากที่ความรู้สึกหนึ่งก็ยังตัดใครบางคนไม่ได้ แต่ต้องมารับจูบจากอีกคนที่เพิ่งรู้จักกัน ตอนนี้บี๋อ่อนแอ แล้วก็อ่อนไหวด้วยแถมเมาอีก

ฉวยโอกาส....ผมจะไม่ทำแบบนั้น

“กูขอโทษ” ผมเอ่ยออกไปกับคนตรงหน้า

“ไม่เป็นไรผมก็จูบพี่ที่ผับ ถือว่าเจ๊ากันไป”

“ผมถอดเสื้อนะ ร้อนนอนไม่ได้” ถอดแล้วมายังมีหน้ามาขออีก

“ยั่วกูรึไง”

“เนี่ยก็เป็นซะอย่างนี่” รอยยิ้มขี้เล่นทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้



“ขอโทษนะบ้านกูไม่มีแอร์มีแค่พัดผมที่เร่งให้ได้แค่เบอร์สาม”

“เชื่อเถอะว่าผมไม่ต้องการแอร์หรอก” ผมเลิกคิ้วสงสัยความหมายของแอร์ที่เราคุยกัน คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำความเย็นถูกไหม

“จะบอกว่าต้องการใครสักคนงั้นสิ” ผมเลยถามเด็กมันซ้ำ

“โหพี่รู้ทัน แบบนี้ผมจะเล่นอะไรล่ะ”

เกิดมาสามสิบกว่าปี เพิ่งโดยเด็กเต๊าะ หน้าร้อนวางท่าไม่ถูกเลยทีเดียว

“หายมึนยัง”

“พี่คิดว่าไงล่ะ” จากสายตาหวานเยิ้มที่ส่งมา

“หึ..นอนไปเลยมึงอ่ะ พูดมากกูจับปล้ำซะนี่”

“พี่กาศ” ผมจ้องคนที่เรียกไม่วางตา

“ช่วยถอดกางเกงให้ผมหน่อยสิ ไม่มีแรงอึดอัด”

“................”

ไม่มีคำตอบรับแต่ผมก็เอื้อมมือไปช่วยน้องตามที่มันขอ มือผมสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ กางเกงยีนถูกโยนลงข้างเตียงเหมือนไม่ใช่แบรนด์ดังราคาแพง เรียวขาขาวของบี๋อยู่ห่างผมแค่คืบ

หักห้ามใจ

อดทนอดกลั้น

ข่มตัวข่มอารมณ์

สารพัดคำที่ผมพยายามคิดให้ออกในตอนนี้ เพื่อป้องกันความยุ่งยากในอนาคตที่อาจจะเกิดได้ หลับตาซ่อนความต้องการเดินออกมาจากห้อง ลงบันไดไปชั้นล่างเสียบน้ำร้อน

ผมต้องอดทน อายุสามสิบกว่าแล้วไม่ใช่เด็กแล้ว และข้างบนนั่นน้องมันเพิ่งอกหักมาได้สองวัน ถ้าเกิดมีอะไรเกินเลยไป แล้วมันกลับไปดีกับแฟน ผมก็เจ็บ แล้วถ้ามีอะไรกันขึ้นมา น้องอยากสานต่อ บอกตามตรง ผมไม่มีปัญญาดูแลลูกคุณหนูแบบนั้นหรอก

รถแพงใครก็อยากขี่ เบียร์แพงใครก็อยากดื่ม แต่ไม่มีจ่าย คงอดทั้งขี่ทั้งดื่ม

นั่งดื่มน้ำอุ่นอยู่นาน สร่างเต็มตาตอนเกือบตีสอง เดินเข้าห้องหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนในห้องที่ไม่ได้มืดนัก พยายามไม่มองไปที่เตียง เดินผ่านไปถึงห้องน้ำโดยสวัสดิภาพ

ใช้เวลาครู่ใหญ่จัดการความต้องการของตัวเอง ทำความสะอาดร่างกายให้ไร้ราคะ แน่ใจแล้วว่าตัวเองปรกติจึงเดินออกมา ตัวปัญหานอนไม่รู้ร้อนรู้หนาวยึดเตียงผมไว้ดูสบายใจ ไม่รู้หรือไงว่าทิ้งความยากเย็นให้คนอื่นแสนเข็ญแค่ไหน

ผมเปิดผ้าห่มขึ้น

คุณพระช่วย!!

หันไปมองข้างเตียงฝั่งบี๋ เสื้อผ้าทุกชิ้นของน้องกองอยู่ครบ นั่นแปลว่านอนเปลือยอยู่บนเตียงผมตอนนี้

ความพยายามที่ผ่านมากลายเป็นศูนย์ ที่ว่าปลดปล่อยออกไปก็เริ่มคับแน่นขึ้นมาอีกครั้งมากกว่าปรารถนา เกินกว่าจะอดทน

สติดับวูบตอนร่างขาวเนียนนั้นพลิกคว่ำหน้า โชว์สะโพกงอนให้ผมเต็มตาราวกับเขาตั้งใจ ผมจู่โจมอย่างคนเสียการควบคุม สัมผัสทุกส่วนของคนตรงหน้าตามที่ใจอยาก

“หื้มม” เขาครางรับกับสัมผัสของผมยิ่งทำให้ผมย่ามใจ ผมชอบแท็ปห้า เพราะรสชาติมันเข้มข้น ชัดเจน เวลาได้กลิ่นและกลืนลงคอทำให้ผมลืมเบียร์อื่นที่ผมเคยดื่มไปหมด มีแค่แท็ปห้า ที่อบอวนในลำคอเท่านั้น มันดีที่สุดและไม่เคยมีเบียร์ขวดไหนมาแทนที่ได้

เหมือนบี๋ตอนนี้ที่ทำให้ผมคิดถึงแค่เขา ร่างบี๋บิดเร่าเร้าไปมา เสียงของบี๋ครางแหบแทบขาดใจ ตากลมโตของบี๋ล่อลวง ปากของเราร้อนในตัวเขาอุ่น แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเราทั้งคู่เต้นแรง

“บี๋เจ็บไหม” ผมเริ่มรุกเข้าไป

“บี๋ไหวหรือเปล่า” เขาตอบรับตัวผม

“บี๋พร้อมนะ” ผมเริ่มขยับนำ

“บี๋สวนหน่อย” เขาก็เริ่มขยับตาม

“บี๋ช้าหน่อย”

“บี๋แน่นไป”

“บี๋........”

“บี๋........”

“บี๋........”

“บี๋........”

“บี๋........”

จำไม่ได้ว่าเรียกชื่อนี้ไปกี่ครั้ง สัมผัสร่างของอีกคนไปกี่หน ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรู้แค่ว่า ....อิ่ม..เอม..ถึง..ใจ จะเพราะเมาหรือเพราะเราต่างใจง่าย ก็ไม่สนแล้วร่างน่า

สัมผัสนี้ของผม

ปากอิ่มนี้ของผม

แก้มนุ่มนี้ของผม

เสียงหวานนี้ของผม

กลิ่นหอมนี้ของผม

คิดแค่นี้มันก็มีความสุขดี คงลืมไปอย่างเดียวที่ไม่มีทางได้มาเป็นของผม



"กลับมาได้ไหม..เบย์”

หัวใจของบี๋!!!







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:51:49 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 9

คนสำคัญ



บี๋..



ต้องรักมากขนาดไหนถึงจะเจ็บได้ขนาดนี้

ต้องเจ็บขนาดไหนถึงจะโกรธได้ขนาดนี้

ต้องโกรธขนาดไหนถึงจะแค้นได้ขนาดนี้

ผมนอนถามตัวเองเป็นด้วยคำถามนามธรรมที่ไม่มีคำตอบเป็นรูปเป็นร่าง

ลืมตาขึ้นมองใบหน้าคมสันได้รูป ของคนที่นอนหันหน้าชนกันอยู่

‘บี๋อย่าทำร้ายตัวเอง มึงอย่าร่วมมือกับคนอื่นทำร้ายหัวใจตัวเองสิวะ’

ผมรู้ทุกอย่าง แต่ผมเลือกจะทำทุกอย่างอยู่ดี บางทีผมก็เจ็บที่ต้องคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับเบย์ แต่ผมก็เต็มใจเจ็บ แค่ได้คิดถึงแค่ได้เจ็บ ในความไม่ต้องการ มีความโหยหาเจือปน

หนึ่งปีก่อนช่วงที่เบย์มักจะทำให้ผมผิดหวัง รอเก้อ ผมไม่ได้ร้องไห้แต่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่อกด้านซ้าย ความทรมานที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกชิน รู้ตัวอีกทีก็ชอบฟังเพลงเศร้า ดูหนังเศร้า อินกับมันเพื่อให้ตัวเองรู้สึกเจ็บให้มากที่สุด

ผมรู้ผมกำลังหยิบอารมณ์มาแทงความรู้สึกตัวเอง

ผมรู้ผมกำลังถอยห่างความสุขด้วยขาของตัวเอง

ผมรู้ผมกำลังลดคุณค่าของชีวิตด้วยการหลงลืมความภูมิใจในตัวเอง

ผมรู้................

‘ใครก็เคยอกหัก กูก็เคย คนที่เคยรักเคยเจ็บกับความรักทั้งนั้น มึงไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะเจ็บปวด เพราะคนที่มึงรักเขาไม่รักมึง’

แต่ผมไม่เคย เบย์เป็นคนแรกที่ผมรัก

คนแรก...ที่ทำให้ผมร้อนผ่าวทั้งที่หนาวเหน็บ

คนแรก...ที่ทำให้ผมอิ่มเอมทั้งที่เจ็บปวด

คนแรก...ที่ทำให้ทะเลเป็นสวรรค์

คนแรก...ที่ทำให้ผมวิ่งตามทั้งที่อยากหลบหน้า

คนแรก... คนแรก... คนแรก

หลายอารมณ์ที่ย้อนแย้งในหัวผม ในความรู้สึกผมร่างกายทุกสัดส่วนเกิดขึ้นได้ รับรู้ได้ เพราะผู้ชายชื่อ..เบย์

เพราะไม่รักผมเลยเจ็บ เพราะไม่เคยเจ็บผมเลยไม่รู้ว่าต้องไปต่อยังไง

‘ร้องได้ เศร้าได้ เสียใจได้ แต่กูว่ามึงเหมาะกับรอยยิ้มมากว่า’

นอกจากเบย์ก็มีพี่กาศ ที่ผมรู้สึกว่าอยู่ด้วยความรู้สึกพิเศษกว่าคำว่าเพื่อน มากกว่าคำว่าพี่



“มองนานมีค่ามองนะ” เสียงน่าฟังออกจากปากยักได้รูป พี่กาศเป็นผู้ชายคนละแบบกับเบย์ถ้าเบย์หล่อแบบเกาหลี พี่กาศก็คงหล่อแบบฝรั่ง

“ตื่นมาก็หน้าเลือดเลยนะครับ” เขาดึงผมเข้าไปกอด เราสองคนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงเขาตั้งแต่เมื่อคืน ผมปวดตัวนิดหน่อยแต่คิดว่าลุกไหว พี่กาศก้มลงจูบที่หน้าผากผม สัมผัสของขาไม่ได้อ่อนโยนมากมาย แต่กลับรู้สึกได้ว่าจริงใจ ผมหลบสายตาของเขา แล้วหาเรื่องที่จะเป็นอิสระจากกอดแน่นหนานี้

“หิวจัง” ออดอ้อนและเร้าหรือ

“โจ๊กได้ไหมพี่ไปต้มให้” เมื่อผมพยักหน้าตอบรับ เขาก็ลุกไปใส่กางเกงแล้วก็เดินออกไปทันที ผมไม่ได้คาดหวังให้เขาอ่อนโยน หรือ มาตั้งคำถามว่า เจ็บไหม ไหวรึเปล่า ซึ่งมันก็ดีที่เขาไม่ทำแบบนั้น ตอนลุกขึ้นผมเจ็บตอนเกร็งสะโพกแต่ไม่มากพอให้ผมนอนเดี้ยงอยู่บนเตียง ผมคงแข็งแรงเกินไป ไม่ก็ผ่านมาเยอะกับเบย์

ผมไม่ใช่เพิ่งจะเคย ผมไม่ได้บริสุทธิ์ เข้าห้องน้ำจัดการตัวเองกลับมาเก็บห้องให้พี่กาศ ทิ้งบางสิ่งที่ใช้เมื่อคืนลงถังขยะ ยืนใจลอยมองซากราคะที่ผมทำกับพี่เขาเมื่อคืนสองชิ้น เพราะผมติดกระเป๋าไว้แค่สองชิ้น

ในความว่างเปล่ามีความผิดบาปซุกตัวอยู่ มันลึกมากจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันไม่มีอยู่ในใจผมตั้งแต่แรก ผมไม่ใช่คนดี บางทีผมก็ละเลยคุณธรรม



เดินตามเขาลงไปข้างล่าง โจ๊กถ้วยสำเร็จรูปตั้งบนโต๊ะสองถ้วย

“ปรกติกินเยอะไหม อิ่มไหมแค่นี้” เขาเป่าไล่ความร้อนของโจ๊กที่ตักขึ้นมา เปล่าเขาไม่ได้ป้อนผม เขาเป่ากินเอง

“ได้ครับ ปรกติถ้าเมาผมไม่ค่อยกินอะไรอยู่แล้ว” ตอบให้เขาคลายกังวล มันก็แค่โจ๊กสำเร็จรูป แต่ไม่ได้แย่อะไร

“พี่เห็นมือถือผมรึเปล่า”

“เดี๋ยวหยิบให้ ชาร์จไว้ให้แล้วเมื่อคืน กลัวเช้ามาจะใช้แล้วแบตหมด” ระหว่างคำอธิบาย มือถือก็วางตรงหน้าผมแล้ว เกินความคาดหมาย พี่กาศก็มีมุมเอาใจใส่เหมือนกัน ไม่ได้หวานซึ้งแต่ผมก็ชอบ

“ขอบคุณครับ” เราต่างคนต่างกินเงียบๆ ไม่มีการพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืน ไม่มีข้อตกลงสำหรับเรื่องที่จะเป็นไปราวกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบอาการปรกติมาแสดง เก็บซ่อนความไม่ปรกติที่ใจเรารู้สึก

“พี่เล่นไอจีไหม” ผมยื่นมือถือให้ เขารับไปพิมพ์หาชื่อแอคของเขา ไม่นานผมก็เข้าไปในพื้นที่สาธารณะของเขาเต็มตัว

“มีแต่โปรโมทนิยายไม่เห็นลงหน้านักเขียนเลย”

“คนที่ติดตามก็เพราะนิยาย ไม่มีใครสนใจคนเขียนหรอก” พี่กาศหยิบถ้วยเปล่าบนโต๊ะไปทิ้ง แล้วแก้วน้ำเปล่าก็ถูกวางแทนที่ ผมยกขึ้นดื่มทำหน้าสดชื่น

“อ่าร์ อิ่มจัง”

“อยู่ง่ายกินง่ายก็ดี จะได้โตไวๆ” ยื่นมือมาจับหัวผมแล้วขยี้ตามอำเภอใจเบย์ก็ชอบทำแบบนี้ เขาบอกว่าเส้มผมของผมนุ่มมือ

“ผมนุ่มจัง” คงจะดีถ้าพี่กาศไม่พูดคำเดียวกับเบย์



“อะไรแค่ชมผมนุ่มหน้าหุบเลย” ก้มหน้าเล่นมือถือต่อ เขาเลยเลิกยุ่งกับหัวผม เดินไปเปิดตู้เย็นอีกครั้งเพื่อเก็บขวดน้ำ ระหว่างนั้นผมเห็นใครบางคนโพสต์อะไรบางอย่าง

“วันนี้พี่ว่างไหมครับ”

“วะ ว่าง” เหมือนเขาลังเลที่จะตอบแต่สุดท้ายก็ตอบ

“ไปเที่ยวกัน” เขาเงียบไปสักพัก

“นะครับ ผมเลี้ยงเอง”

‘พี่กูไม่ใช่สายเปย์ อย่างที่มึงเห็น ถ้าจะเต๊าะต้องเปย์ตัวเอง’ โมบอกตอนดื่มเมื่อคืน

“ผมหมายถึงค่าจ้างที่พี่จะช่วยทำบทหนังไง นะครับ..น้า..ตามใจผมหน่อย”

สุดท้ายพี่กาศก็ยอมออกมากับผมจนได้ ผมยิ้มแล้วยิ้มอีกตอนเห็นเขาแต่งตัวเสร็จ ดูดีมากๆ เป็นเดทที่ทำให้ผมปั่นป่วนหัวใจ ไม่ใช่เพราะคนที่เดทด้วย หากแต่เป็นคนที่กำลังรอความบังเอิญทำให้ได้เจอต่างหาก

ผมเดินห้างกับพี่กาศ ผู้ชายที่ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่เดินผ่านก็ต้องหันมามองผมด้วยความอิจฉา ก็พี่เขาดูดีขนาดนี้ เดินไปสักพักความบังเอิญก็เริ่มทำงาน

“พี่บี๋” เสียงเด็กคนนั้น เจอกันสักที หลังจากที่ผมตามหาร้านขายรองเท้า ที่โปรดอัพสตอรี่ก่อนหน้านี้ ผมเผลอจับแขนพี่กาศแน่น จนพี่เขาดึงมือผมไปสอดประสานมือเขา อบอุ่นแต่ก็เปลี่ยวเหงา สองความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะคนสองคน

อบอุ่นจากคนหนึ่งอยู่ข้างกายผม

เปลี่ยวเหงาจากอีกคนที่อยู่ข้างคนอื่น

หากแต่ผมอยากได้ความอบอุ่นจากคนที่มากับคนอื่นมากกว่า



“บี๋” ท่าทางเบย์ตกใจที่เจอผมกับคนอื่นเช่นกัน ในความไม่มั่นใจอะไรเลย ผมกลับมั่นใจว่าเบย์รู้สึกเสียหน้า เพราะพี่กาศดูดีมาก มากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ส่วนคนที่เรียกผมยืนยิ้มราวกับดีใจที่เราเจอกัน ช่างน่ารำคาญ

เบย์จับมือโปรด พี่กาศจูงมือผม เหมือนกันแต่ต่างกัน เราไม่ได้ทักทายกัน ผมแค่ยิ้มให้โปรดและยักคิ้วให้เบย์

“บี๋หิวไหม เมื่อเช้าก็กินไปนิดเดียว” ดูเหมือนพี่กาศจะไม่ใส่ใจจะรู้จักสองคนตรงหน้า ผมชอบที่เขารู้ว่าควรทำอะไร

“พี่หิวก็บอกอย่าเอาผมมาอ้าง” ทำทีใส่ใจแค่คนข้างๆ เหมือนกัน

“อย่ามารู้ทัน”

“เรียกว่ารู้ใจดีกว่าไหมครับ” พี่กาศยิ้มหวานใส่หน้าผมเป็นการยอมแพ้รอยยิ้มของเขาทำให้ผมเลิกสนใจเบย์ไปได้ครู่หนึ่ง

“เอ่อขอโทษนะครับ เราสองคนก็กำลังจะไปกินอาหารญี่ปุ่นพอดี พี่สองคนไปด้วยกันไหมครับ” เป็นโปรดที่ไม่รู้ว่าตั้งใจจะชวนเพราะอะไร ขณะที่เบย์ทำหน้าเหมือนไม่ถูกใจนัก

“เอายังไง แล้วแต่บี๋เลย” พี่กาศบอกผม

“ไปด้วยได้เหรอมาเดทกันนี่” ผมหันไปถามคนอีกคู่ น้ำเสียงเป็นมิตรของผมคือคมมีดที่พร้อมจะจ้วงแทงสองคนตรงหน้าให้บาดเจ็บสาหัส หรือตายไปเลยได้ยิ่งดี

“ไปได้ ไปด้วยกันนะครับพี่ เอ่ออ” เบย์หันมามองหน้าผมเพื่อขอคำตอบว่า คนที่มากับผมชื่ออะไร

“พี่กาศหิวมากไหมครับ” แต่ผมไม่อยากให้อะไรมันง่ายเกินไป

“หิวแต่ไม่มากเท่าไหร่” พี่กาศพูดราวกับรู้ใจผมอีกแล้ว

“งั้นเอาไงดี” ทำทีคิดหนัก ท่าทางเบย์ยิ้มไม่ออกคงหงุดหงิดไม่น้อย

“วันนี้พ่อกับแม่กลับมาแล้ว แม่ว่าจะทำแกงเลียงไว้รอบี๋ด้วย” ผมยิ้มกว้าง

“โอเค งั้นเก็บท้องไว้รอแกงแม่ดีกว่า”

“ทำไม” พี่กาศถามขึ้นมาแบบนี้เล่นเอาผมงง

“ทำไมอะไรพี่”

“ทำไมน่ารักวะ หื้มม” แล้วเขาก็บีบแก้มผมเล่น จนผมต้องยู่หน้าใส่

ผู้ชายคนนี้เก่ง ทั้งที่ผมใจจดใจจ่ออยู่กับการประชดประชันแท้ๆ แต่แค่มองตาเขาผมกลับใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ แถมทำให้ทั้งเบย์ทั้งโปรด กลายเป็นอากาศไปเลย วันนี้ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอีกนิด

“โอ๊ยยย พี่เบย์ช่วยด้วยมดกัดโปรด” เบย์หันไปยิ้มตามน้ำให้เด็กของตัวเอง

ผมรู้เบย์คงไม่ค่อยชอบใจ ดูจากท่าทางเขาคงยังไม่ชินที่เห็นผมอยู่กับคนอื่น คบกันมาตั้งนานนี่นา แค่เขากัดปากมองไปทางอื่นแล้วเผลอปล่อยมือคนข้างๆ ก็รู้แล้วว่าเขาใส่ใจคนอื่นมากกว่า ก็น่ายินดีที่คนอื่นคนนั้นคือผมเอง

“พี่เบย์ไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยว่าพี่บี๋มีแฟนใหม่แล้ว แถมแฟนพี่บี๋หล่อมาก” ผมค่อนข้างตกใจที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากโปรด แต่ลึกๆ แล้วพอใจ สีหน้าเบย์บ่งบอกว่าหงุดหงิดกับคนของตัวเองไม่น้อย

“พี่ก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ยินดีที่รู้จักนะครับพี่กาศ”

“ครับ" พี่กาศแทบไม่มองหน้าคนที่ทักทาย

"เมื่อกี๊บี๋ว่าอยากดูอะไรนะ ไหนนำไปซิ” พี่กาศก็เป็นคนถือตัวอยู่พอสมควรในความคิดผม ตอนนี้เหมือนเขาสนใจแค่ผมด้วยซ้ำ ขนาดประโยคที่ว่ายินดีที่ได้รู้จักเขายังหวงที่จะพูดเลย

เบย์ดูเสียหน้าแต่ยังฝืนยิ้ม ส่วนน้องโปรดก็ยิ้มเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร เหมาะสมกันดีจัง ผมบอกลาพวกเขาสองคน พี่กาศไม่ได้จับมือ ไม่ได้โอบกอด หรือแม้แต่แตะตัวผม เขาแค่ใช้สายตามองมาที่ผมไม่หยุด ให้ผมเดินนำเขาเดินตาม ราวกับสิ่งรอบตัว คนรอบข้างไม่มีอะไรที่เขาสนใจจะมอง นอกจากผม

เขาทำให้ผมเพิ่งรู้สึกว่า คนสำคัญเป็นยังไง



ถึงโรงหนัง เราเลือกแถวกลางๆ มีคนดูเกือบครึ่งโรง ที่นั่งพี่เขาให้ผมเลือกบอกว่านั่งตรงไหนก็ได้แค่นั่งข้างผมก็พอ รู้สึกดีจนยิ้มให้เขานานเป็นนาทีเลย

“แม่พี่จะกลับมาแล้วจริงเหรอ” ผมได้ยินว่าอีกหลายวันกว่าท่านจะกลับ

“ยัง..แค่ช่วยมึงอ่ะ คิดว่าไม่อยากเจอสองคนนั้นเท่าไหร่” อย่างนี้เอง ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นซะก่อน ที่เขาคิดก็ถูก ผมไม่อยากไปนั่งร่วมโต๊ะกับสองคนนั้น แต่ที่เขาไม่รู้คือวันนี้ผมตั้งใจจะมา ตั้งใจพาเขามาเจอกับเบย์ พี่กาศคงเสียใจที่การมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่หนังที่ผมอยากดูกับเขา

ผมแค่ใช้เขาเป็นครื่องมือประชดคนอื่นเท่านั้นเอง แต่เพราะผมไม่ใช่คนดี เลยไม่ต้องแคร์ความรู้สึกพี่กาศ แล้วก็แน่ใจว่า เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าผมคิดยังไงในตอนนี้ หนังความยาวชั่วโมงครึ่ง

ผมเอาแต่นั่งคิดถึงท่าทางของเบย์ตอนเห็นผมอยู่กับพี่กาศ

“บี๋...”

“คะ ครับ” อยู่ดีๆ พี่กาศก็เลื่อนมือมากุมมือผมแน่น

“กูอยู่ข้างมึงนะ” ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยแค่พิงหัวลงกับไหล่เขา หลบสายตาที่กลัวเขาจะอ่านมันออก ผมไม่ได้เสียใจ ไม่ได้เศร้าอะไรอย่างที่เขาคิด ผมกำลังพอใจมากต่างหาก และในจังหวะที่พี่กาศหันกลับไปสนใจจอขนาดใหญ่



ผมกำลังยิ้มด้วยความสะใจ







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:53:05 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง ตอน 10 รู้ตัว
«ตอบ #12 เมื่อ26-11-2018 11:07:11 »

ตอน 10

รู้ตัว



ชันกาศ....



‘Best seller’ ป้ายสีสันโดดเด่นวางบนกองหนังสือที่ถูกวางแบ่งหมวดหมู่ ที่นี่คือหนึ่งในที่ที่ผมมาบ่อยที่สุด เวลาเบื่อบ้าน ‘ร้านหนังสือ’ ผมอยากเป็นเจ้าของหนังสือที่อยู่บนชั้นนั้น ‘Best seller’ อันดับ 1 แม้ว่าจะอยากมานานแล้ว แต่ยังไม่เหนื่อยที่จะอยาก

กวาดสายตามองหนังสือแต่ละเล่มไปเรื่อย ทำความรู้จักกับเล่มที่สนใจ แนะนำตัวกับบางเล่มที่วางไม่ลง อ่านฟรีได้ก็ควรทำ ตอนนี้เงินไม่มี ขออ่านฟรีก่อน

“แกดูไอจีพี่เบย์สิ”

“เบย์ไหน”

“แฟนพี่บี๋ปีสองไง”

“อร๊ายยอย่าบอกนะว่าเขาเลิกกันแล้ว”

ผมหูผึ่งตั้งใจฟังบทสนทนาของน้องนักศึกษาสองคน ห่างแค่ชั้นหนังสือกั้น

“สงสารพี่บี๋เลิกไปดีแล้ว เพื่อนฉันที่เป็นดาวเล่าว่าพี่เบย์เจ้าชู้มากกกกก”

“เคยได้ยินเหมือนกัน หน้าตาดีแต่เจ้าชู้ก็ไม่ไหวป่ะ พี่บี๋ออกจะน่ารักขนาดนั้นใครก็อยากจีบ คอยดูจะฮอตกว่าตอนไม่โสดอีก”

รู้ตัวอีกที ก็ตอนรู้สึกเจ็บเล็บที่เผลอไปจิกหนังสือในมือแน่นเกินไป ท่าทางน้องบี๋จะเป็นที่หมายปองของหลายคน ไม่งั้นคงไม่มีคนพูดถึงแบบนี้หรอก แต่ผมจะทำอะไรได้ ขอเป็นแฟนเหรอ เฮ้อออ คิดแล้วเหนื่อยเป็นบ้าเลย เกิดมาหน้าตาดีแต่ไม่มีตังค์ คือให้ผมหล่อน้อยหน่อยแต่รวยขึ้นมานิด ผมก็ยอมนะ

คิดแล้วก็พาลจะท้อ ต้นฉบับที่ส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา ผ่านไปสามชาติก็ยังไม่มีเมลตอบกลับ ไม่ผ่านหรือไม่มีใครอ่าน

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่า ความฝันของความฝันคือสักวันจะเป็นความจริง ผมกลับมาคิดได้ตอนนี้ ขึ้นชื่อว่าฝันมันก็ไม่จริงแล้วป่ะ

ความพ่ายแพ้ที่มีจริง กำลังกัดกร่อนความฝันของผมให้พังลงทุกนาที



เดินออกจากร้านหนังสือเตร็ดเตร่ไปตามร้านรวงเจริญหูเจริญตา แต่ความคิดเจ้ากรรมเห็นอะไรก็คิดถึงบี๋ไปหมด เจ้าของดวงตากลมโตของผมอยู่ที่ไหนอยู่กับใครนะ ยากเย็นนักที่เราจะห้ามความคิด เจ้าความคิดที่ฟุ้งซ่านของผมก็ฉุดให้ผมทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว

“โมอยู่ไหนวะ”

(อยู่คณะพี่ ทำงานกลุ่ม ไอ่บี๋ก็อยู่นะ)

ตอนแรกแค่อยากรู้ว่าน้องมันอยู่ไหนทำอะไร หลังจากรู้แล้วก็อยากเจอ ผมจะไปหาน้องแค่ไปเห็นหน้าสักนิดก็ยังดี ควบสองล้อคู่ใจบิดไปตามความคิดถึง ในที่สุดก็มาถึงตึกเรียนสีไข่ ป้ายชื่อคณะบอกว่าผมมาถึงแล้ว มองหาคนที่ทำให้คนไม่ชอบออกจากบ้านอย่างผมถ่อมาถึงที่นี่

“พี่กาศ” เสียงบี๋เรียกผมดังลั่นลานหินอ่อน เด็กนักศึกษามองคนแปลกหน้าอย่างผมเป็นสายตาเดียว เสียงซุบซิบที่ไม่กลัวผมได้ยินก็ดังเข้าหู

“ใครอ่ะหล่อม๊ากกก”

“แฟนใหม่บี๋เหรอเนี่ยไปหามาจากหนาย”

“ตกลงใครเทใครมีใหม่ไวทั้งคู่”

"ใครไม่รู้รู้แต่หล่อกว่าเบย์"

คนอื่นมักจะตัดสินเราในแบบที่เขาคิด แล้วก็เลือกให้ความคิดของเขา สำคัญกว่าความจริงที่เราเป็น ดังนั้นผมไม่เก็บเอามาใส่ใจ ด้วยรูปร่างหน้าตาทำให้มักมีคนตัดสินผมแค่ภายนอกแต่ไหนแต่ไรแล้ว เคยแคร์คำคนจนลืมตัวตนอยู่บ้างตอนเด็ก แต่ตอนนี้โตพอจะรู้จักคำว่า...ช่างแม่ง

“มาได้ไงครับเนี่ย” บี๋ถามและดึงแขนผมไปนั่งลงข้างเขา โมยิ้มแซวให้ ก็ถ้าคนที่ผมมาหาไม่ใช่บี๋ผมก็คงไม่อะไร เขินตอนนี้ยังทันอยู่ไหม

“รู้ปุ๊บมาปั๊บเลยนะพี่กู” โมมันยังทำให้ผมทำตัวไม่ถูกต่อไป ส่วนน้องบี๋กับเพื่อนที่นั่งกันอยู่รอบโต๊ะ ประมาณสี่ห้าคน จ้องผมไม่วางตา

“โมไม่แนะนำพี่ชายให้พวกกูรู้จักหน่อยหรา” น้องผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามผมเอ่ยขึ้นมา

“ของใครก็แนะนำเอง กูมันก็แค่น้องข้างบ้าน ถ้ามีแค่กูพี่เขาจะมาหาเหรอ โอ๊ยยย..เจ็บ..พี่กาศ” โดนผมโบกหัวทิ่มโทษฐานที่มันบังอาจแซวหนัก แซวจนผมเริ่มชินแล้วเนี่ย หันไปยักคิ้วให้บี๋ น้องอมยิ้มแล้วเอ่ยปากแนะนำผมกับเพื่อนในฐานะ

“แฟนกู”

ฟะ..แฟนงั้นเหรอ

สถานะเราชัดเจนภายในสองวิด้วยคำนิยามจากปากน้อง ผมยังไม่ได้จีบ จำได้ว่ายังไม่มีใครขอใครคบ ถึงเราจะเกินกว่าคำนั้นไปแล้วก็เถอะ สำหรับผมมันค่อนข้างเกินความคาดหวัง

เคยเดินไปดูของแล้วเจอของถูกใจมาก รู้ตัวว่าไม่มีเงินจ่าย แต่แม่ค้าใส่ถุงยื่นให้เลยไหม การจะบอกว่าไม่ครับ ผมแค่ชอบไม่ได้จะซื้อ แล้วโดนแม่ค้ามองแรง ร้ายหน่อยก็โดนแช่งโดนด่า

นั่นว่าแย่แล้ว

แต่นี่ไม่ใช่แม่ค้าไง เด็กที่มีดวงตากลมโตที่ผมหลง

เขาว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ผมไม่พร้อมดูแลเขา นาทีนี้คำว่าแย่คงยังไม่พอ

“พี่กาศเป็นนักเขียนเหรอคะเก่งจัง” ไม่เก่งเลย พี่ยังไม่มีผลงานไหนได้ตีพิมพ์ด้วย

“ไม่หรอกครับ” ถ่อมตัวไปตามที่ควรจะเป็น

“ผมมีงานภาษาไทยเขียนไม่ได้ อาจารย์ให้เขียนเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษา ผมจ้างพี่ได้มะ”

จ้าง…แปลว่า..ได้เงิน

“ได้สิ พี่รับเขียนทุกอย่างแหละ”

ในตอนนั้นเองที่ผมได้ค้นพบวิธีเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นเงิน มันไม่ต้องยิ่งใหญ่อะไรมากมายก็ได้ ธุรกิจที่ไม่ถูกต้องแต่ถูกใจก็เริ่มต้นขึ้น

รับเขียนงานทุกชนิด สนใจติดต่อ 098-XXX-XXXX

นอกจากความคาใจในคำว่าแฟน ผมก็ได้ลูกค้าที่ขี้เกียจทำการบ้านอีกหลายคน

‘Best seller’ ยังคงสำคัญกับความรู้สึกของผม แต่ตอนนี้โฟกัสที่ ‘ค่าจ้าง’ ก่อนเพราะจำเป็นกว่า



กลับมาที่โต๊ะหินอ่อนอีกครั้ง นักศึกษาโต๊ะอื่นมองเราสองคนเป็นระยะ แต่ในเมื่อบี๋ใม่แคร์แล้วผมจะแคร์ทำไม

“รวยแล้วมาเลี้ยงผมด้วยนะ” เสียงอ้อนของคนที่นั่งพิงหลังผม พร้อมกับเล่นมือถือของตัวเองไปด้วย โมไปส่งงาน ส่วนเพื่อนคนอื่นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่รู้จักสายพันธุ์ มีเพียงผมกับเด็กผู้ชายที่มีดวงตากลมโตชื่อบี๋ แล้วก็คำว่าแฟนคาดล้อมเราสองคนไว้ด้วยกัน

ต้นหญ้าอย่างผมจะมีสิทธิ์ได้ชูคออยู่ในสนามหน้าบ้านหรูได้จริงเหรอ มันเป็นคำถามที่ผมไม่ต้องการให้ใครตอบ เพราะผมรู้ดีแก่ใจว่า....เป็นไปไม่ได้

"พี่กาศ"

"ว่าไง"

“ขอโทษนะ ที่แนะนำว่าพี่เป็นแฟน ผมแค่เบื่อที่คนอื่นมาจ้องจับผิดว่าพี่เป็นใคร ผมโดนทิ้งหรือเปล่า บางทีผมเดินไปไหน ก็มีแต่คนมองด้วยสายตาที่เหมือนห่วง สงสาร มันทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง”

รู้สถานะตัวเองเถอะ ชันกาศแกมันวัชพืชไม่ใช่ไม้ดอกที่มีราคา

“ขอโทษทำไม กูไม่ว่าอะไรสักหน่อยคิดมากจังวะ”

ยิ้มให้เขาว่าผมโอเค

ลูบหัวให้เขาเลิกคิดมาก

ที่ว่าโอเคไม่ใช่การแสดงทั้งหมด ซอกหลืบของความผิดหวัง ผมก็มีความโล่งใจอยู่ บางทีแม่ค้าก็ใจดี นอกจากจะไม่ถือสาคนไม่ตังค์จ่ายอย่างผม ยังใจดียื่นของชิ้นนั้นให้ผมเอาไปเชยชมฟรีอีกต่างหาก

“โมหนีกลับไปแล้วอ่ะ พี่ไปส่งผมที่ห้องหน่อยดิไม่ได้เอารถมา”

“อืมไปสิ” ผมเดินตามหลังน้องไปจนถึงรถตัวเอง

“จำรถกูได้ด้วยเหรอ”

"ก็จำไม่ยากนี่ครับ ถ้าสนใจ"

ผมยิ้มกับคำว่าสนใจ วางหมวกใบเดียวที่มีครอบหัวเขา ก้มลงปรับสายรัดคางให้พอดีกับเจ้าของคนใหม่ หน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตากลมโตมองผม สายตาท้าทายเป็นประกายของความต้องการ ดึงกระจกกันลมลง ในตอนนั้นลิ้นของเขาแลบเลียที่ริมฝีปากอย่างไม่ตั้งใจ

รู้ว่าเขาตั้งใจ...ยั่วผม



ถ้าคำว่าแฟน เป็นคำนิยามแทนคนสองคนที่มีใจตรงกัน และอยากมีช่วงเวลาส่วนตัวร่วมกัน เราคงไม่ใช่แฟน เพราะผมกับบี๋เราไม่เคยบอกกันว่าเรารักกัน หรือแม้แต่ชอบ ส่วนเรื่องที่ทำร่วมกันก็มีแค่บางเรื่องเท่านั้น เช่น มือของเขาที่กอดเอวผมมันก็แค่บางครั้ง

พาเขาลัดเลาะมาจนกระทั่งถึงคอนโดหรู พนักงานรักษาความปลอดภัยมองรถผมแปลกๆ แต่พอเห็นบี๋ก็ก้มหัวให้ ก่อนจะเปิดที่กั้นอย่างรวดเร็ว บี๋ชี้ให้ผมจอดฮอนด้าเวฟสีแดง ข้างๆ คือรถของบี๋ซูเปอร์คาร์จากอังกฤษ แม็คลาเรนสีขาว เงยหน้าขึ้นก็เจอป้ายเจ้าของที่จอด น่าจะเป็นเลขห้อง แปลว่าห้องเขาต้องใหญ่พอจะมีพื้นที่จอดรถส่วนตัว ได้ถึงสองคันอย่างนั้นหรือเปล่า



เดินมายืนข้างบี๋ในลิฟต์ ภาพรถของเราสองคนยังติดตา เขาทำให้ผมเข้าใจคำว่า ‘เอื้อมไม่ถึง’ จะต่อบันไดให้สูงแค่ไหนก็ไม่อาจไปถึงเขา

“ตามสบายนะพี่”

“อยู่คนเดียวเหรอ”

“เปล่าครับ”

“............” ผมเลิกคิ้วมองเขา

“อยู่กับแฟนต่างหาก” บี๋เขย่งเท้าขึ้นมาจุ๊บปากผมเบาๆ วาบหวิวกระดากอาย ถ้าเป็นแฟนกันจริงผมคงไม่พ้นต้องเกาะเมียกิน ต้องเขียนหนังสือกี่หมื่นเล่มเหรอถึงจะมีพอเลี้ยงเขา ได้ดีเกินกว่าที่เขาเลี้ยงตัวเอง

“อย่าพูดเล่นบ่อย เดี๋ยวกูคิดจริง” ผมจิ้มนิ้วชี้ใส่หน้าผากเด็กชอบยั่วให้เขาถอยห่างจากตัวผม ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว ตอนนี้เขาเป็นของร้อนที่ผมไม่อาจจับจองได้ตามอำเภอใจ ด้วยว่ารับผิดชอบค่าเสียหายไม่ไหว

“มีของกินในตู้เย็นนะครับ” ผมเห็นเขากัดปากก่อนจะหมุนตัวไปในห้องนอน ทิ้งให้ผมอยู่ในโซนห้องรับแขกที่ใหญ่กว่าห้องนอนผมสองเท่าได้

ตู้เย็นที่เขาว่าอยู่โซนครัว ถัดไปอีกนิดหน่อย ราคาห้องนี้คงแพงกว่าบ้านเดี่ยวของพ่อแม่ผมอีกมั้ง

นั่งมองรูปมองของสะสมของบี๋ไปเรื่อย สะดุดตากับกรอบรูปสีน้ำทะเลที่ถูกซ่อนอยู่ในซอกกองตำราวิชาคอมพิวเตอร์ รูปเด็กผู้ชายสองคนในชุดนักเรียน ยืนกอดคอกัน เหมือนรูปถ่ายกับเพื่อนทั่วไป เพียงแต่ในรูปนั้นคือบี๋กับเบย์ ดูจากอักษรย่อที่เสื้อ ไม่ได้เรียนที่เดียวกัน ผมรีบวางมันไว้ที่เดิม เพราะได้ยินเสียงดังจากในห้องนอน

ไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าของห้องก็เดินออกมาในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กลิ่นหอมดึงดูดใจจนตอนที่เขาเดินเข้ามาผมลืมระวังตัว รู้สึกก็ตอนที่เผลอดึงร่างบอบบางนั้นมานั่งตักตัวเองซะแล้ว เสื้อโอเวอร์ไซส์แขนยาวคอวีสีดำ กับกางเกงขาสั้นสีเดียวกับเสื้อเขาไม่ได้ขัดขืน เราจ้องหน้ากัน เหมือนกำลังสำรวจกันและกัน ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

เขาคงจะชอบสีดำ ของในห้องก็มีโทนสีนี้เกือบทั้งหมด ชอบเองหรือชอบเพราะใคร เกลียดตัวเองที่เอาแต่คิดเรื่องของเขา ย้อนแย้งกับความตั้งใจที่จะปฏิเสธ ยิ้มมุมปากเย้ยหยันตัวเอง

ยอมให้นิ้วเรียวไล้กรอบหน้าผมเล่น ดวงตากลมโตของบี๋เป็นประกายอีกครั้ง แต่มันเป็นประกายที่ว่างเปล่าจนผมรู้สึกกลัว

“กลับดีกว่า” บอกทั้งที่มือไม่รักดีล้วงลูบแผ่นหลังเนียนของเขาอยู่อย่างนั้น

“รีบไปไหน” บี๋วางคางลงที่ไหล่ผม สองแขนกอดตัวผมไว้แน่นเหมือนเด็กเอาแต่ใจ รั้งผมไว้ เพื่อใช้คลายเหงา

“รีบไป ให้ไกลจากมึง ยั่วกูอยู่นั่นแหละ” ผมบอกเสียงอ่อนใจ มือเขาจับมือผมลากลงไปสัมผัสสะโพกของตัวเอง เต็มไม้เต็มมือจนผมหลุดครางอย่างเหลืออดอวัยวะหนึ่งขยายจนรู้สึกอึดอัด ขณะที่อวัยวะที่อยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายเจ็บปวดเป็นความทรมานที่ล่อใจ เป็นความเจ็บปวดที่น่าลิ้มลอง

“หรือพี่ไม่ชอบ” เขาปล่อยมือจากผมแล้วทำท่าจะลุกขึ้น ใครจะยอม ไม่สนใจอะไรแล้ว ผมขาดสติโดยไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ เมามายได้แค่เพียงสบดวงตากลมโตนั้น ดันร่างของบี๋นอนราบกับพื้นพรมเนื้อนุ่มสีแดง ผิวขาวของเขาที่ตัดกับสีแดงของพรม ขาวสะอาดชวนหลงใหล

ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจของผม เป็นติดลบทุกทีที่อยู่กับบี๋

คอเสื้อตกจนโชว์ลาดไหล่ขาวเนียน น่าตีตราจองให้เป็นรอยด้วยคมเขี้ยว ผมก้มลงใช้จมูกสูดซุกซอกคอจนบี๋ครางฮือ เรือนร่างของเขาทำให้ผมเกิดจินตนาการได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แม้สายฝนทำให้เราเปียกปอนและหนาวสั่น ถึงอย่างนั้นใครหลายคนกลับไม่เคยเกลียดฝน ส่วนผมที่ไม่ชอบความเปียกแฉะ ไม่ชอบสัมผัสนัวเนีย ไม่ชอบอะไรที่ต้องใช้เวลานาน บทรักของผมที่ผ่านมาเป็นแค่การปลดปล่อยตัวเองให้หายอึดอัด

ผู้หญิงที่เคยผ่านมาใช้ปากและมือของเธอ บำเรอผมอย่างถึงใจ แต่ผมไม่ค่อยได้ทำอย่างเดียวกันกลับ ถนัดแต่กำหนดจังหวะ ไม่มีคู่นอนคนไหนที่ผมประทับใจ จนทำให้ผมเสพติดจนเก็บไปคิดถึง

แต่นั่นมันก่อนหน้าที่จะมาเจอบี๋ ผมเต็มใจที่จะอึดอัดต่อไปเพราะอยากยืดเวลาที่จะได้สัมผัสเขาด้วยมือ และปากของผม ทำให้เขาคราง ทำให้เขาทรมาน จนต้องร้องขอ ให้ผมจัดการเขาเสียที

ผมไม่ชอบความเปียกชื้น แต่ผมชอบตอนที่เราแลกรสหวานผ่านปลายลิ้น จนน้ำสีใสในร่างกายล้นหยดที่มุมปาก ชอบเวลาที่ได้ใช้นิ้ววนส่วนนั้นของเขา ที่มีแต่ความต้องการซึมออกมาไม่ขาด ชอบดวงตากลมโตที่เยิ้มเย้ายวน ชอบทุกอย่างที่เขาแสดงออก หลงทุกอย่างที่เรากำลังทำให้กัน เราแชร์เรือนร่างกันจนต่างคนทนไม่ไหว

“ร่างกายของผมพี่อยากสัมผัสแบบไหน ผมตามใจพี่” เสียงอนุญาตให้ล่วงล้ำดังขึ้น เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไร้ซึ่งความเขินอาย สัมผัสจากผมมันดิบเถื่อนแค่ไหนเขาไม่เคยปริปากบ่น ยิ่งทำให้ผมพอใจ

เราเรียกชื่อของกันและกัน คำที่เรียกมีแค่ชื่อ แต่อารมณ์ที่สื่อคือน้ำเสียงที่สั่นพร่าแสนแหบหิว กล้ามเนื้อบางช่วงของร่างกระตุกซ้ำจนใจกระเจิง สายธารขาวกระจาย เหนื่อยหอบแล้วทุกอย่างก็สงบลง

แต่เรียวขาเนียนเนื้อนุ่มยังขยับเบียดขาผมไม่หยุด มือผมยังนวดเฟ้นสะโพกกลมของเขาไม่รู้เบื่อ ในห้วงเวลา ณ ขณะรัก ผมมีแค่ชื่อเขา

“บี๋” ผมจูบแผ่วเบาที่แผ่นหลังของเขา เต็มไปด้วยความหลงใหลในตัวเจ้าของชื่อ

“พี่กาศ” เขาเรียกชื่อผมแต่สายตาล่องลอยไปที่กองหนังสือ



ในห้วงเวลา ณ ขณะที่เขาเรียกชื่อผม คนเดียวที่เขาคิดถึงไม่ใช่ผม หากแต่เป็นเด็กอีกคนในกรอบรูปสีน้ำทะเล ที่ซ่อนอยู่หลังกองหนังสือนั้นต่างหาก







ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น

#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:54:18 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 11

เกินจะกลั้น จึงสั่นไหว



บี๋...

สุดท้ายพี่กาศก็ยืนยันว่าจะกลับบ้าน เลยไม่อยากรั้งเขาไว้อีก ยอมให้เขาทิ้งผมให้อยู่ลำพัง

มันไม่แย่เท่าไหร่ ตอนเบย์ทิ้งไปแย่กว่านี้เยอะ ราวสองชั่วโมงต่อมาผมรับสายเพื่อนและทำอะไรไม่ถูก

“พี่กาศรถชน” โมมันว่าเสียงตื่นตกใจ

"รถชน!! " แต่ผมคงตกใจกว่ามันหลายเท่า

“ตอนนี้หมอแค่ให้ดูอาการ พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยม วันนี้ดึกแล้วให้เขาพักก่อน”

แขนขาหักไหม เลือดคั่งในสมองรึเปล่า ตับปอดฉีดไหม สารพัดที่ผมอดคิดไม่ได้ ผมอยากไปหาเขาตอนนี้ แต่เป็นไปไม่ได้อยู่ดีต้องรอคืนนั้นผมแทบไม่ได้นอน เอาแต่รอให้ถึงเช้า เป็นห่วงพี่เขามากกว่าที่เคยคิดไว้ซะอีก



ลืมตาตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รีบไปรับโม ปลุกมันถึงเตียงนอน

“สัดบี๋มึงมาเช้าไปนะ เป็นห่วงพี่กูขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อย่าพูดมากไปอาบน้ำเลยมึง” โมหงุดหงิดผมรู้ แต่ยอมไปอาบน้ำตามที่สั่ง



แล้วเราสองคนก็มาอยู่หน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ คู่กรณีที่ชนพี่กาศเป็นฝ่ายผิด เลยออกค่ารักษาให้หมด ผมผลักประตูเข้าไปเห็นพี่เขากึ่งนั่งกึ่งนอน ตามเนื้อตัวไม่มีแผลอะไรอย่างที่ผมคิด

“เป็นยังไงบ้างพี่”

“พังยับ กูว่าซ่อมไม่ได้อ่ะ” เขาตอบผมด้วยสีหน้าเซ็งจัด

“ผมถามถึงพี่ไม่สนใจรถเลยสักนิด” น่าโมโหมากที่เวลานี้ เขายังเอาแต่ห่วงของนอกกายอยู่ได้

“ฮ่าๆ ก็ไม่เป็นไรนอนรอให้หมอสบายใจ พรุ่งนี้ก็กลับไปเป็นคนไม่มีแม้แต่มอไซค์ใช้”

พี่กาศยังคงใช้ประโยค ที่บ่งบอกว่าเขาสนใจข้าวของมากกว่าตัวเองไม่หยุด

“อ้าวบี๋มึงจะไปไหน” เสียงโมตะโกนไล่หลังมา ตอนผมปิดประตู



ลงไปซื้ออะไรกินดับอารมณ์ตัวเองสักหน่อย ห่วงเขาแทบบ้าแต่ว่าได้กลับมาแต่ไฟในหัว คนเรามีเหตุผลในการไม่รักตัวเองอยู่ไม่กี่ข้อ สำหรับพี่กาศผมไม่รู้หรอกว่าเขารักตัวเองบ้างไหม แต่ทุกคำดูเหมือนสิ่งที่เขาห่วงคือสมบัตินอกกาย ไม่เงินก็ของ ไม่ของก็เงิน ไม่เคยมีหรอกว่ากลัวตัวเองป่วย กลัวตัวเองเจ็บ

“มานั่งหน้างอคอหักอยู่ตรงนี้เอง กูหาแทบแย่” เงยหน้ามองเพื่อนตัวดี ที่ไม่บอกให้หมดว่าพี่กาศไม่เป็นอะไรเลย เนี่ยแล้วก็หลุดออกไปหมดว่าผมห่วงพี่เขาแค่ไหน

“อย่ามาจ้องกูแบบนั้น กูไม่ผิดมึงโวยวายตื่นตูมไปเอง ห่วงเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออกูห่วงเขา ห่วงโคตร แล้วก็นะกูไม่เข้าใจทำไมเขาต้องสนใจแต่ของนอกกายวะ ไม่เคยจะห่วงตัวเองบ้าง”

“มึง..รักพี่กาศรึยัง” ไม่เข้าใจทำไมโมชอบถามความรู้สึกของผมกับพี่กาศทั้งที่มันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม มันต้องรู้สิว่าผมรักเบย์มากแค่ไหน จะให้เปลี่ยนใจเลยมันก็ไม่ใช่ผมแล้ว

“โมกูไม่เข้าใจ ทำไมมึงชอบถามอะไรที่รู้อยู่แล้ววะ” มันยักไหล่ แล้วดึงขนมในมือผมไปกินหน้าตาเฉย

“กูไม่รู้ถึงถามไง เมื่อก่อนมั่นใจว่าไม่ชอบแค่เอาเขามาประชดไอ้เบย์ แต่มึงห่วงเขาขนาดนี้แน่ใจเหรอว่ามึงไม่คิดอะไร”

“ธรรมดาไหม คนที่อยู่ด้วยกันมากๆ ก็ต้องห่วงกันสิ ถ้ามีคนบอกมึงรถชนกูก็ตกใจ” แล้วเราสองคนก็ตกใจที่อยู่ๆ คนที่พูดถึงก็เดินเข้ามา

“พี่กาศ” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ รู้สึกกลัวว่าเขาจะได้ยินที่ผมพูด

ผมไม่ได้รักเขา...แต่แคร์ความรู้สึกเขาอยู่ไม่น้อย

ผมไม่ได้รักเขา...แต่ไม่อยากให้เขารู้ว่าเอาเขามาประชดใคร

ผมไม่ได้รักเขา...แต่ก็ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต

คนเรามีเหตุผลในการเหนี่ยวรั้งใครบางคนให้อยู่กับตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้รักมากมาย สำหรับผมเหตุผลนั้นคือ....เห็นแก่ตัว

ลากพี่กาศเข้ามาตอบโต้เบย์ โดยไม่คิดสักนิดว่า ระหว่างเบย์กับพี่กาศใครจะเจ็บกว่ากัน

“กูจะกลับแล้ว เดี๋ยวให้ที่บ้านมารับ มึงจะอยู่ต่อก็ได้นะ” โมไปแล้ว พี่กาศเดินมานั่งแทนโม บางทีผมก็อยากให้เขาเดินหันหลังไปซะยังจะดีกว่า การที่เขาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว อาจจะเพื่อให้ผมสบายใจ แต่มันยิ่งทำให้ผมอยากถอยออกห่างเขาออกมา

ความรู้สึกแบบนี้สิ ที่เบย์รู้สึกกับผม ผมกับเบย์เราต่างก็ไม่ใช่คนดี และเราต่างก็รำคาญคนดี

นั่นแปลว่าน้องโปรดไม่ได้เป็นแบบที่ผมเป็น เบย์ถึงเลือกอยู่กับคนนั้น

แล้วตอนที่รถชนทำไมเบย์โทรหาผม?

แล้วตอนอยู่บนรถกันสองคน ทำไมโปรดถามผมแบบนั้น?

แล้วตอนเจอกันทำไมโปรดเลือกจะชวนผมกับพี่กาศไปกินข้าวด้วยกัน?

มันเป็นวิธีแสดงความเป็นเจ้าของ ในที่สุดผมก็เข้าใจเด็กคนนั้น



“คิดอะไรอยู่ บอกแล้วไงอย่าคิดมากเรื่องพี่” เปล่าผมไม่ได้คิดถึงพี่

“เดินลงมาขนาดนี้กลัวผมงอนเหรอ” ผมหันไปใช้น้ำเสียงร่าเริงกับพี่กาศให้เขารู้สึกดี แต่ก็รู้สึกกลัวว่าเขาจะหาว่าผมไม่จริงใจหรือเปล่า

“มึงมันกวนตีน ไหนมีอะไรให้กินบ้าง” หรือเขาไม่ได้ยินที่ผมพูดกับโม

“ขนมจีบกุ้งพี่ชอบกินนี่นา เอาไปเลยครับ” ปากเขาชนแก้มผมเบาๆ แล้วรับของชอบไปกิน ตาผมกำลังยิ้มแม้ปากจะยังเป็นปรกติ เราไม่รักเขาแต่เราต้องการเขา มันดีรึเปล่านะอาจดีเพราะไม่ต้องกลัวจะเจ็บ

“อร่อยดี อาหารโรงบาลจืดมากแดกเกือบไม่ลง” เขาระบาย อย่างพี่กาศจะมีอะไร ไม่เรื่องของกิน ก็เรื่องเงินเรื่องทอง

“จะตายแล้วยังห่วงกินนะครับพี่”

“นั่นปากหรือเปล่า เดี๋ยวกูจับจูบลืมซะเลย”

“จูบไม่กลัว กลัวไม่...จูบ..” คำว่าจูบคำสุดท้ายแทบไม่มีเสียง เพราะคนที่นั่งอยู่ ลุกยืนแล้วเดินห่างไปโดยไร้สาเหตุ

ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า

“พี่กาศรอด้วยเซ่ พี่เป็นอะไรเนี่ย” พยายามตื๊อถามจนถึงห้องผู้ป่วย แต่ก็ไม่มีคำไหนหลุดจากปากเขา ให้ผมเอามาใช้เป็นคำตอบได้ เขาล้มตัวนอนและหลับไป

ไม่สนใจผมที่ยืนกระวนกระวายอยู่ข้างเตียง ผมนั่งมองแผ่นหลังของเขา แล้วก็คิดหาคำตอบให้ตัวเองว่าเขาโกรธอะไรผม ผมพูดอะไรผิด



“ก๊อกๆ” ประตูเปิดออกพร้อมคนมาใหม่ คือพ่อกับแม่พี่กาศนั่นเอง ชายหญิงสูงวัยผมสีดอกเลา สีหน้ากังวลทั้งคู่ แม้จะเอาแต่จ้องลูกชายแต่พวกท่านก็รับไหว้ผม

“พี่เขาหลับเหรอลูก”

“ครับคุณแม่”

“พ่อกับแม่รีบมาเลย แม่เค้าลมแทบจับ ดีว่าโมมันบอกก่อนว่าไม่เป็นไรมาก เฮ้ออ ว่าไปก็เสียดายรถเพิ่งจะผ่อนหมด”

“พ่อนี้ยังไงลูกไม่เป็นไรก็ดีเท่าไหร่แล้ว” พ่อลูกช่างเหมือนกัน

“พ่อ แม่ไหนบอกกลับพรุ่งนี้” คนที่นอนหันหลังใส่ผมพลิกตัวมาคุยกับพ่อแม่ คือแกล้งหลับใส่กันก็ได้เหรอ

“งั้นผมขอตัวไปหาอะไรกินนะครับ” พ่อกับแม่บอกขอบคุณผมที่ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนพี่เขา แล้วผมก็หมุนตัวออกมาให้เขาอยู่กับครอบครัวเขาไป ตอนออกมาพี่กาศไม่ได้พูดอะไร หน้าผมยังไม่มองเลย มันยังติดแหง็กอยู่กับคำถามเดิม

เขาโกรธอะไรผม?

ทันทีที่เดินออกมาจากห้องมือถือผมก็ดังขึ้น ชื่อคนที่โทรมามีผลให้ผมใจเต้นแรง ลืมเรื่องพี่กาศไปสนิท เบย์!!

“ว่าไง” ผมทักทายเป็นคำถาม

(บี๋มีเรื่องรบกวนหน่อย) สำหรับเขาผมคงเป็นได้แค่ที่พึ่ง เวลามีปัญหา

“อะหะ”

(มารับหน้าคณะหน่อยดิ ว่างรึเปล่าครับ) ถ้าไม่รักก็ไม่ต้องพูดเพราะเหมือนตอนรักกันก็ได้นะ

“สักพักได้ไหม ไม่ได้อยู่แถวนั้น”

(ได้ขอบคุณครับ..บี๋ๆ)

“ว่า”

(ไม่ต้องรีบมานะ ขับรถดีๆ)

เหมือนทุกครั้งที่ผมเองมักจะแบมือขอมีดจากเขา เพื่อมาแทงแผลในใจตัวเองอีกครั้ง ไม่เบื่อบ้างเลย แต่ก็ยังคิดได้ว่า ไม่ต้องรีบไปรับเขาเหมือนทุกครั้ง ผมไม่ใช่แท็กซี่ ผมแค่คนที่มีหนี้กับเขาตั้งแต่ชาติปางก่อน ถึงต้องตามมาใช้ให้เขาในชาตินี้ รอก่อนนะเจ้ากรรมนายเวร วันนี้ผมจะสอนให้เขารู้ว่าการรอคอยอะไรจากผมมันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด

ส่งข้อความหาพี่กาศว่า เจอเพื่อนขอนั่งคุยกันสักพัก เย็นๆ จะขึ้นไปหา ไม่มีคำว่าอ่านแล้วใต้ข้อความ แต่ผมรู้ว่าเขาเห็นมันจากแจ้งเตือนแล้ว พ่อกับแม่คงยังอยู่ ผมขับรถไม่รีบร้อนเปิดเพลงฟังไปด้วย จนในที่สุดก็ถึงมหาวิทยาลัย เบย์นั่งรอหน้าคณะ ตอนเดินเข้าไปหาเขา ก็อดมองไปรอบๆ ไม่ได้ ครั้งนี้ไม่มีเด็กคนนั้นอยู่ด้วย ทะเลาะกันหรือเปล่า?

“ไง รถไปไหน” ถามทันทีที่เบย์หันมามองผม

“โดนโปรดยึด” ผมพาตัวเองมาเจ็บทำไม

“ยึด”

“เมื่อวานเมาแล้วเผลอหิ้วเด็กนิเทศกลับด้วย ไม่คิดว่าโปรดจะมาเจอ เลยโดนยึดรถไปใช้สองอาทิตย์ หง่อยแดกโดยสมบูรณ์”

“สมน้ำหน้า”

“บี๋ไม่เคยทำแบบนี้เลย” พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง

“คนดีไม่มีใครชอบหรอก” เหมือนผมจะยิงมุกแต่มันไม่ได้ตลกเลยสักนิด

“ไม่รู้จริงอย่ามาพูด” เบย์ยืนขึ้นแล้วเดินนำ

ไม่รู้จริงเรื่องไหน เรื่องที่ว่าเขาไม่ชอบคนดี หรือเรื่องที่ผมว่าตัวเองเป็นคนดี



“จอดรถไม่ตรงอีกแล้ว ขับมาจะปีแล้ว ทำไมจอดไม่ตรงสักที” โดนบ่นเรื่องเดิมๆ มันทำให้ความรู้สึกเดิมๆ กลับมา

“หลังๆ พี่กาศขับอ่ะ ไม่ค่อยได้ขับเอง” ผมโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง เบย์ชะงักไปก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดีใจนะที่บี๋มีคนดีๆ ดูแล” เขาคงดีใจจะได้รู้สึกผิดน้อยลง

“กลับคอนโดหรือจะให้ไปส่งที่ไหนละ”

“ถ้าแค่จะกลับหรือไปที่ไหน เรียกแท็กซี่ไปแล้ว จำไม่ได้จริงเหรอวันนี้วันอะไร”

16 มีนาคม วันเกิดเบย์

“จำไม่ได้จริงอะ น้อยใจได้มะ” ประโยคความหมายไม่เหมาะสมกับสถานะหลุดออกมาจากเบย์เรื่อยๆ

“แล้ว..” ผมถามกลับหน้านิ่งให้เขารู้ตัวว่าไม่ควรพูด แต่เขาไม่สนใจ

“วันสำคัญเบย์อยากอยู่กับคนสำคัญไม่ได้เหรอ”

“คนสำคัญงั้นเหรอ ละเมอป่ะ” ยอมรับนะว่าเริ่มใจเต้นไม่รู้ว่าโกรธหรือเพราะอะไร

“บี๋สำคัญกับเบย์นะ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร สำคัญที่สุดตลอดมาและตลอดไปนั่นแหละ” ภายใต้รอยยิ้ม ผมกลับร้าวราน แต่ในความร้าวรานผมกลับยินดี

“อยากไปทำสังฆทานวัดที่เราเคยไปตอนมอห้า”

“อยากไปไหนก็ขับเอง” ผมยื่นกุญแจรถให้อีกคน เขายิ้มเหมือนได้ของขวัญชิ้นโต วินาทีนั้นผมเหมือนกำลังเจอข้อสอบที่ยากที่สุดในชีวิต ควรตอบกลับเบย์ด้วยสีหน้าแบบไหน

ถ้าผมเป็นคนพิเศษจริงแล้วที่ผ่านมาทำไมต้องทิ้งผมไป

ถ้าผมสำคัญที่สุดแล้วทำไมต้องทำร้ายกัน

แต่ถ้าเขาโกหกทำไมเขายังต้องการผม เพลงในรถถูกเลือกโดยคนขับ หากท่าทางบ่งบอกอารมณ์ที่เขามีต่อผม แปลว่า เขายังรู้สึกดีกับผมเหมือนเดิม หากสายตาเป็นหน้าต่างของใจเขา แปลว่า เขายังซ่อนผมไว้ไม่เคยคิดจะทิ้ง หากเนื้อเพลงคือคำตอบ แปลว่า ผมคือคำว่าตลอดไปของเขา

ห่วงใย..ตลอดไป

คิดถึง...ตลอดไป

สำคัญ...ตลอดไป

แต่..ไม่ใช่..รัก..เขาไม่ได้รักผมในแบบคนรักอีกแล้ว แค่ผูกพัน แค่ห่วงใย เราเป็นได้แค่คนเคยรัก แต่ก็ไม่ใช่ในแบบเพื่อนอย่างสนิทใจ คงยากถ้าเราจะฆ่าใครโดยไม่มีความเกลียดชังแฝงอยู่ เหมือนเขาที่ตอกย้ำคำว่าเพื่อนให้ผม โดยที่ตัวเขาเองก็รู้แก่ใจว่าผมรู้สึกกับเขามากว่าคำนั้น

ถึงวัดในเวลาต่อมา ผมแตะศอกเขาตอนกรวดน้ำรับพร สัมผัสที่ไม่เคยได้รู้สึกมานาน แปรปรวนทั้งที่รอบตัวเงียบสงัด สั่นไหวทั้งที่แสดงว่าเฉยชา เรียกหาทั้งที่อยากผลักไส

ครู่ต่อมาในมือของเราสองคนมีขนมปัง เพื่อโยนให้อาหารปลาเบื้องล่าง

ปากของเราถาม และตอบในเรื่องที่ตัวเองสงสัยใคร่รู้จากกันและกัน

"บี๋กับพี่กาศเป็นไงบ้าง"

“เรื่อยๆ ไม่หวือหวา ไม่รีบเร่ง แต่ก็ดี กับน้องโปรดล่ะ ดูเกรงใจน้องมาก”

“อือก็เกรงใจ” เขาเงียบไป สายตาจับจ้องปลาที่แข่งกันงับเศษขนมปัง

“โปรดยังเด็ก บางครั้งก็ไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ ขี้หึงมากจนเบย์อึดอัด” เบย์ก็ยังคงเป็นเบย์ เห็นแก่ตัว แต่คำว่าเห็นแก่ตัว ผมคงไม่กล้าเอาไปว่าเขาหรอก เพราะมันจะเข้าตัวเปล่าๆ อยู่ๆ ก็คิดถึงพี่กาศขึ้นมา ใกล้เย็นแล้วพ่อกับแม่กลับรึยังไม่รู้

“ที่ผ่านมาบี๋ทนได้ยังไง บี๋เคยรักเบย์ไหม โปรดบอกว่าคนไม่รักเท่านั้นที่ไม่รู้สึกอะไร” เบย์ดึงผมกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“มาอยากรู้อะไรตอนนี้ เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าไปคิดมากให้เสียเวลาน่า”

“แปลว่าไง บี๋ไม่ได้รักเบย์เลยจริงเหรอ” เขาเอาอะไรมาคิดว่าไม่รัก

“เบย์จะกลับเลยมะ” ผมตัดบทไม่อยากคุยต่อ

“ตอบมาก่อนอยากรู้มาก ขอร้องละ บี๋ตอบมาก่อน”

“สำคัญขนาดนั้น”

“มากๆ ที่ผ่านมาตอนเราคบกัน เบย์รู้แค่บี๋ให้อิสระเพราะเราต่างต้องการแบบนั้น บี๋ไม่เคยเรียกร้องอะไร ไม่เคยงอแงเลยสักเรื่อง เวลานอกลู่นอกทางบี๋ก็ทำเหมือนรู้แต่ไม่ใส่ใจ มันทำให้เบย์ไม่รู้จริงๆ ว่าบี๋รู้สึกยังไง บี๋เจ็บไหม บี๋จะแอบร้องไห้บ้างหรือเปล่า”

มือผมจับราวสะพานแน่น ก้มหน้าฟังโดยไม่คิดจะเงยหน้าไปมองเขา ปล่อยให้เขาพูด

“พอโปรดตอกกลับมาว่า ไม่รักเท่านั้นถึงจะไม่รู้สึก เลยอดคิดไม่ได้ว่าที่ผ่านมา บี๋เข้าใจหรือบี๋ไม่รักเบย์เลยกันแน่”

“อยากรู้เพราะแคร์กัน หรือเพราะอยากใช้มันเป็นเหตุผลเพื่อมองโปรดว่าทำตัวงี่เง่าล่ะ” เบย์ทำตาเศร้าแล้วตอบผม

“ความจริงแล้ว คนที่เบย์แคร์มีแค่บี๋นะ โปรดแค่ชอบไม่ได้แคร์มากมาย ที่เกรงใจเพราะยังไงก็ยังเป็นแฟน แต่กับบี๋มันไม่เหมือนกันเลย ต้องให้บอกกี่ครั้งว่าบี๋สำคัญที่สุด...สำคัญกว่าใคร”

พอ!! พอเถอะ ตะโกนบอกเขาในใจ ผมอยากให้เขาหยุดพูด แต่ก็อยากฟังรู้ทั้งรู้ว่าความเงียบไม่สามารถหยุดยั้งคำพูดเขาได้ ยิ่งผมเงียบเขายิ่งพูด พูดถ้อยคำมากมายที่ยืนยันว่าเขาแคร์ จนผมเองที่ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป



“เบย์พอเถอะ ถ้าอยากรู้นักจะตอบให้ก็ได้ ที่บี๋แสดงออกมันไม่จริง บี๋แค่อยากรักษาความรักไว้โดยการไม่เรียกร้องเจียมตัวในฐานะแฟนที่เบย์มอบให้ ร้องไห้ลับหลังจะเสียงดังแค่ไหนก็ได้ ขอแค่ไม่ให้เบย์ได้ยิน อดทนเจ็บเพื่อจะอยู่ต่อไป และเกือบตายในวันที่โดนทิ้ง ถึงวันนี้ตอนนี้ก็ยังไม่อยากยอมรับหรอกคำว่าเพื่อน แต่ที่ไม่อยากปฏิเสธ เพราะยังไม่พร้อมจะเสียเบย์ไป”

สารภาพหมดแล้วทุกอย่าง

“รู้ไหมว่าการเป็นคนสำคัญของเบย์มันเหนื่อยแค่ไหน เจ็บปวดแค่ไหน ถ้ารู้ก็ควรจะรู้ได้แล้วว่า...รัก....มากแค่ไหน”

ผมฟิวส์ขาด บอกไปหมดที่รู้สึกกับเขา

“บี๋” เสียงเรียกของเขาฟังดูอู้อี้

ตามมาด้วยเสียงกลั้นสะอื้น ของเราทั้งคู่



“ถ้าบอกกันสักคำ ถ้าบี๋บอกสักคำว่าไม่โอเค เบย์จะไม่ทำ เบย์จะไม่ทำ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:55:41 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 12

คำแก้ตัวของเบย์



ผมชื่อเบย์ เป็นนักศึกษาปีสอง แฟนเก่าผมชื่อบี๋เราคบกันมาสี่ปี ตั้งแต่ผมอยู่มอห้า บี๋เป็นคนน่ารักมาก ทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ ใจดี ใจกว้าง บางครั้งที่ผมละเลยเขา ปล่อยเขารอก็ไม่เคยมีสักครั้ง ที่เขาจะต่อว่าอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่งอน แต่ไปง้อก็หาย ระหว่างที่แฟนผมไม่ว่าอะไร ผมก็มีคนเข้าหามากมาย เราเรียนคนละคณะว่างคนละเวลา การที่ผมมีเพื่อนเยอะมีคนเข้ามาในชีวิตเยอะ ทำให้ผมชินกับการมีคนอยู่ด้วย แค่ใครสักคนที่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ลำพัง

เมื่อบี๋ไม่ว่าง ผมก็มองหาคนอื่นมาคลายเหงา ยิ่งบี๋ไม่ว่าจากที่แวะหาเศษหาเลย ก็กลายเป็นชั่วโดยตั้งใจ หลายครั้งที่บี๋ว่างแต่ผมก็เลือกจะไม่ว่างเพราะแค่อยากลองของใหม่ แค่ลองคงไม่ได้ผิดอะไร

อายุแค่นี้อนาคตยังอีกไกล จะให้หยุดแค่คนเดียวมันก็น่าเสียดายชีวิตวัยรุ่น

ผมไม่ใช่คนที่บูชาความรัก คิดว่าบี๋ก็ด้วย

“เอาอีกแล้วเหรอวะมึง” เสียงโฮมเพื่อนสนิทของผมเอง มันเข้ามาเจอผมนอนกกเด็กใหม่ที่มันไม่รู้จัก บ่นผมยกใหญ่ เด็กเจอกันเมื่อวานเห็นน่ารักดีเลยชวนกลับห้อง ดันตามผมมาเองช่วยไม่ได้

“กูโคตรสงสารบี๋เลย พูดก็พูดเถอะบี๋อ่ะหน้าตาดี รวยก็รวย นิสัยก็ดี ไม่มีเจ้าชู้เลยสักนิด มึงทำของใส่เขาแล้วก็ทิ้งขว้างเขา หล่ออย่างเดียวทำไม่ได้นะมึง ต้องโง่ด้วย”

“ทำขงทำของไรของมึง กูเองเบย์เพื่อนมึงไงว่าซะกูเลวเลย บี๋ยังไม่เคยว่าไรกูสักคำ”

"สักวันมึงจะเสียใจเบย์" โฮมมันสาปผมไว้แบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว บางทีเพื่อนก็ไม่เข้าใจเราหรอก เขาไม่ได้เป็นเราสองคน ไม่รู้หรอกว่าความจริงบี๋อาจจะโอเคกับที่เป็นอยู เพราะเขาไม่เคยแสดงออกว่าไม่พอใจ รับไม่ได้ หรืออยากเลิก ผมเลยไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เราไม่หึงหวงกันมากมาย ให้พื้นที่ส่วนตัวกัน และผมก็มั่นใจว่าผมดูแลเอาใจใส่บี๋ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำให้ใครสักคนได้

แต่แล้วเย็นวันนั้น โฮมทำให้ผมตาสว่าง ว่าที่ผมคิดว่าตัวเองดีพอ ความจริงไม่ใช่เลย

“มึงคิดว่ามึงดีแค่ไหนมึงดูนี่” มันเอาคลิปเด็กคนหนึ่งที่ผมเคยมีอะไรด้วยล่าสุด ตามไปหาเรื่องบี๋ถึงห้องเรียน เรื่องนี้บี๋ไม่เคยบอกผม ถ้าไม่เห็นเองก็คงไม่รู้หรอก บี๋แค่ยืนนิ่งๆ แล้วเดินออกไป ไม่พูดอะไรกับเด็กคนนั้นสักคำ นี่แหละที่ชนะใจผม บี๋คือที่สุดของผม สำคัญที่สุด พิเศษที่สุด และผมจะไม่ยอมเสียคนนี้ไปจากชีวิตของผมแน่นอน

ก่อนหน้านี้ก็เคยจัดการคนที่มาวุ่นวายกับบี๋หลายคน แต่คนนี้ผมโกรธมากเพราะไปหาเรื่องบี๋ถึงคณะ

“พี่เบย์มาก็ไม่บอก คิดถึงจัง” เสียงเด็กปีหนึ่งที่ไปหาเรื่องบี๋ ดังมาแต่ไกล

“ปล่อยกู แค่จะมาบอกมึงว่าตั้งแต่วันนี้ไป อย่ามาให้กูเห็นมึงอีก”

“ผมทำผิดอะไร”

“มึงยุ่งกับบี๋ทำไม” ผมเหลืออด คว้าคอคนตรงหน้ามาบีบแบบไม่เกรงใจสายตาใคร เพื่อนเด็กคนนั้นเข้ามาช่วยเพื่อนมัน ดันตัวผมออกแล้วชี้หน้าด่าผม

“สัดมึงมันเลว หน้าตาดีแต่นิสัยโคตรเชี่ย หลอกฟันเพื่อนกูไม่พอ สวมเขาให้เมียตัวเองอีก เมียมึงนี่ก็โง๊โง่เนอะ มันยอมอยู่กับมึงได้ไง เห็นว่าหน้าตาก็ดีไม่น่าโง่มาคบมึงเลย”

ผมกำหมัดแน่น พยายามเก็บความรุนแรงไว้กับอุ้งมือตัวเอง จะด่าว่าผม ผมไม่โกรธเท่ามาด่าบี๋ บังอาจมาว่าบี๋แบบนี้ได้ไง ผมหันหลังเดินกลับ เสียงเด็กคนนั้นปลอบเพื่อนมันที่ร้องโฮ

ทำให้ผมรู้สึกบางอย่าง

“ปล่อยเม่งไปเถอะ เลวๆ แบบนั้นใครได้ไปซวยมากกูพูดเลย” นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ผมจะตัดใจบอกเลิกบี๋ ผมไม่อยากให้ใครมาว่าบี๋โง่เพราะผมอีกแล้วช่วงนั้นผมได้กลับไปโรงเรียนเก่าอีกครั้งในฐานะศิษย์เก่าดีเด่น

ผมเจอน้องคนหนึ่ง

“ชื่อโปรดเหรอ อยากเป็นคนโปรดของพี่ป่ะ” เรื่องจีบผมไม่เคยพลาด หลังตามรับส่งหน้าโรงเรียนสองสามครั้ง ผมได้ก็ใจน้องโปรด เด็กมัธยมปลายที่ทำให้ผมคิดถึงบี๋ทุกครั้งที่มองหน้า ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาแต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่ผมก็อธิบายไม่ถูกนัก โปรดเหมือนและไม่เหมือนบี๋ในบางเรื่อง เช่น ดวงตาที่มองไม่เบื่อเหมือนกัน และต่างกันที่ โปรดคิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น

'พี่เบย์แม่งขี้อ่อยวะ ผมไม่ชอบนะอย่าให้เห็นอีก'

'พี่จริงจังกับผมป่ะ ไม่เคยพาไปเจอเพื่อนเลย'

'น้อยใจพี่มาก มาง้อด้วย'

'วันนี้ไม่อยากเจอโกรธอยู่'

'ถ้าเห็นว่ามีคนอื่นพี่ตายแน่'

หลายประโยคที่มาจากโปรด ผมไม่เคยได้ยินจากบี๋ บางครั้งก็เคยเปรียบเทียบว่า ถ้าบี๋พูดแบบนั้นบ้าง ผมจะเกรงใจเขาไหม ผมจะกล้านอกใจเขาหรือเปล่า ใครจะไปรู้เรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นนี้นา

ผมคบโปรดและมีเวลาให้บี๋น้อยลง แล้วผมก็เหลือคนที่อยู่ในชีวิตแค่คนสองคน ถ้าบี๋รู้เรื่องโปรดผมคิดว่าเลือกบี๋แน่อยู่แล้ว สำหรับผมโปรดแค่ตัวแทนของบี๋ เป็นคนในแบบที่ผมอยากให้บี๋เป็น

จนกระทั่งวันที่ผมพาบี๋ไปเที่ยวทะเล ผมถึงได้รู้ว่าผมมันเลวอย่างที่ใครว่า

บี๋เป็นแฟนที่สมบูรณ์แบบ เป็นคนที่ชาตินี้ผมก็หาไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ดีพอผมต้องทำอะไรสักอย่าง ให้ยังมีเขาอยู่ในชีวิตตลอดไป ผมตัดใจบอกเลิกเขา และ วันต่อมาก็ขอเขาเป็นเพื่อน เขาแค่นิ่งแล้วก็ตกลงยอมรับ ความเป็นเพื่อนคนพิเศษที่ผมร้องขอ

คืนนั้นวันเกิดโฮม เพื่อนผมทุกคนดีใจหน้าบานที่บี๋มาด้วย ไม่รู้พวกมันพูดอะไรกับบี๋ไปบ้างตอนผมเข้าห้องน้ำ จำได้ว่าตอนพาโปรดมาพวกมันไม่คุยกับน้องเลย ผมไม่เคยพาโปรดมาเจอพวกมันอีก ไม่โกรธเพื่อน ไม่ได้แคร์โปรดมากขนาดที่ต้องไปต่อว่าเพื่อน

กลับมาที่โต๊ะบี๋เมาหนัก เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่กับเขาในฐานะเพื่อน ดื่มจนเมาไปด้วยกัน พาเขากลับห้อง ลูบหลังให้ เช็ดอ้วกให้ เช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ห่มผ้าให้และเฝ้าจนเขาหลับ ผมไม่ได้ค้าง แค่รอเขาหลับผมก็กลับทันที ไม่อยากอยู่เพราะกลัวจะอดใจไม่ได้

ผมรักบี๋เกินกว่าจะคิดเอาแต่ได้ ผมรักเขายังไงก็รักอย่างนั้น แค่ผมไม่ดีพอจะเป็นแฟนเขาอีกแล้ว

ผมพยายามเป็นแฟนที่ดีให้โปรดคอยสอน ว่าผมควรทำหรือไม่ควรทำอะไร

ตั้งใจว่าวันหนึ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดจุดไหน ผมจะกลับไปขอเริ่มใหม่ กับคนที่ผมรักที่สุดอีกครั้ง

แต่ผมว่าตัวเองคิดผิด โปรดตามหึงหวงตามจัดการกับชีวิตผม ลามไปถึงเรื่องเพื่อนฝูง และเรื่องแฟนเก่าอย่างบี๋ ผมยอมฟังเขาว่าทุกเรื่องได้ ยกเว้นเรื่องบี๋ ผมไม่ยอม

“ทำไมพี่ไม่ทิ้งรูปพี่บี๋”

“รูปเพื่อนพี่ทำไมต้องทิ้ง”

“แน่ใจ๋ ผมเห็นนะสายตาพี่เวลามองพี่บี๋นึกว่าผมโง่เหรอ”

“บี๋กับพี่แค่เพื่อนที่ดีต่อกัน”

“กับพี่บี๋ผมแน่ใจว่าเขาคิดแบบนั้นแต่กับพี่ผมไม่มั่นใจ อยู่ห่างพี่บี๋บ้างพี่ทำได้ไหมล่ะ”

ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันเมื่อก่อนตอนเป็นแฟนบี๋ ผมไม่เจอเขาเลยเป็นอาทิตย์ก็ไม่เดือดร้อน แต่พอเลิกกันแล้วผมอยากเจอเขาตลอดเวลา

“ถ้าทำให้เราเลิกคิดมากก็ได้ พี่จะอยู่ให้ห่างบี๋” รับปากส่งเดชไปอย่างนั้นเองแหละ เพื่อปัดปัญหาตรงหน้า เบื่อที่ต้องมาฟังโปรดหาเรื่อง

แม้ว่าผมจะอดทนไม่ไปเจอบี๋ ไม่โทรหาไม่แกล้งขอความช่วยเหลือปัญญาอ่อน แต่ผมก็ได้เจอเขาอยู่ดี

“พี่บี๋” เสียงโปรดเรียกคนที่ผมคิดถึงลั่นบริเวณ ผู้ชายตัวสูงที่เดินจับมือบี๋ ผมยืนตัวชาไปหมด ผมกับบี๋เพิ่งเลิกกันเขามีแฟนใหม่แล้วเหรอ หรือที่เขาไม่เคยหึงหวงผมเลย เพราะเขาก็มีผู้ชายคนนั้น

พี่คนนั้นชื่อกาศ สูงกว่าผม หล่อกว่าผม บี๋ดูมีความสุข รอยยิ้มแบบที่ครั้งหนึ่งเขามอบมันให้ผม หึงแต่แสดงออกไม่ได้ เขาสองคนหยอกล้อกันไปมา บี๋ยิ้มให้โปรด แล้วโปรดก็ที่ดูจะเชื่อสนิทใจว่าผมกับบี๋ไม่ได้คิดอะไรกันแล้ว ถึงผมคิดก็กลับไปไม่ได้แล้ว บี๋มีคนอื่นมาแทนผม เหมือนที่ผมหาคนอื่นมาแทนเขา

'วันนี้พ่อกับแม่กลับมาแล้วนะ แม่ว่าจะทำแกงเลียงไว้รอบี๋ด้วย'

'โอเคงั้นเก็บท้องไว้รอแกงแม่ดีกว่า'

'ทำไม'

'ทำไมอะไรพี่'

'ทำไมน่ารักวะหื้ออ'

บทสนทนาของบี๋และรุ่นพี่ที่ชื่อกาศ บี๋สนิทกับครอบครัวของอีกฝ่ายแล้ว ผมไม่อยากอยู่ตรงนั้น ไม่อยากฟังอะไรอีก ผมเจ็บ ที่เคยเจ็บปวดเพราะทิ้งบี๋ไปเทียบไม่ได้กับที่ต้องมารู้ว่ากลับไปหาบี๋ไม่ได้อีกแล้ว

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าบี๋จะมีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากขนาดนี้ เลยเอาแต่อยากเมา และเมา ไม่สนใจโปรด ไม่สนใจเพื่อนที่คอยซ้ำเติม เพื่อนผมมันสงสารบี๋แค่ไหนตอนเรายังคบกันผมรู้ดี

'กูขอไม่สงสารมึงนะ ไม่ใช่ว่ากูไม่รักเพื่อนแต่กูสมน้ำหน้า'

'อย่าแดกเยอะ ตายไปบี๋อาจไม่มางานศพมึง'

'กูเคยบอกมึงแล้ว ไอ้ควายเผือกว่าถ้าเขามีคนอื่นมึงจะรู้สึก'

ประโยคสุดท้ายเจ็บสุดจากโฮมเพื่อนสนิทผม มันเข้าข้างบี๋มาตลอด ผมเมาปล่อยให้ตัวเองเสียใจอยู่จนเช้า พอกลับห้อง ก็เจอมือถือตัวเองที่ลืมเอาไปด้วย ลืมไปเลยว่าต้องพกมือถือ แบตหมด โปรดโทรเข้ามาจนแบตหมดแน่นอน

ปังๆ ๆ ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่ผมเปิดบานประตูเกือบตีหน้าเข้าให้

“มึงไปไหนมาไอ่พี่เบย์ ไปกกกับใครตอบมา” น้องโปรดที่น่ารักหายไปแล้ว

ผมกำลังถูกเด็กมอปลายใช้ถ้อยคำด่าทออย่างหยาบคาย ผมไม่ได้ตอบโต้ โกรธโปรด ไม่พอใจเขาที่พูดจาแบบนั้น แต่ที่มีมากกว่าคือ ผมโกรธตัวเอง ที่เคยทำสิ่งที่พลาด เลือกคนผิด

ผมทรุดตัวนั่งเงียบ เสียงข้าวของในห้องตกแตก โปรดอารมณ์ร้อนเวลาทะเลาะกันทีห้องแทบพัง คิดว่าอีกหน่อยผมคงทนไม่ได้แน่ บี๋ไม่เคยเป็นแบบนี้ผมคิดถึงบี๋ น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ไม่ฟูมฟายแต่ถึงอย่างนั้นผมกลับเจ็บปวดจนเกือบหายใจไม่ออก

“กุญแจรถอยู่ไหน” เสียงดังราวกับว่าผมไม่ได้อายุมากกว่าเขาเกือบสามปีผมล้วงกระเป๋ายื่นกุญแจรถคันใหม่ให้โปรดไป เพราะขี้เกียจมีปัญหาอีกนั่นแหละ

“สองอาทิตย์นี้ ก็หาทางไปไหนมาไหนเองแล้วกันนะครับ” แล้วโปรดก็ปิดประตูเสียงดังเป็นการสั่งลา ผมคิดผิดจริงๆ ชีวิตของผมสงบลง ไม่มีโปรดมีแต่ตัวเองและเพื่อนจนกระทั่ง

16 มีนาคม วันเกิดของผม วันสำคัญผมอยากอยู่กับคนสำคัญ บี๋!!

ตัดสินใจโทรออกเขาไม่รับสายในครั้งแรก ผมทำการตื๊อโทรไปอีกครั้งและได้ยินเสียงเขาก่อนสัญญาณสุดท้ายจะตัด

(ว่าไง) แค่ได้ยินเสียงบี๋ผมก็สงบลงแล้ว เป็นเหมือนน้ำเย็นให้ผมรู้สึกดีเสมอ

“บี๋ เบย์มีเรื่องรบกวนหน่อย”

(อะหะ) แม้จะเป็นคำพูดที่ดูห่างเหินแต่แค่เขายอมคุยด้วย ก็เหลือแหล่แล้ว

“มารับหน้าคณะหน่อยดิ ว่างรึเปล่าครับ”

(สักพักได้ไหมไม่ได้อยู่แถวนั้น)

“ได้ขอบคุณครับ บี๋ๆ”

(ว่า)

“ไม่ต้องรีบมานะ ขับรถดีๆ”

ถือว่าผมยังมีโชคอยู่บ้างยังทันที่จะอาบน้ำล้างหน้าล้างตา แต่งตัวและโบกแท็กซี่เข้ามอ เมื่อถึงคณะ นั่งรออยู่นานเกือบชั่วโมงครึ่ง แม็คลาเรนสีขาวจอดเทียบหน้าตึกเห็นมาแต่ไกล เพราะรถเด่นขนาดนั้นมีแค่คันเดียวในมหาวิทยาลัย ผมจับจ้องร่างสูงโปร่งที่ไม่มีส่วนไหนเลยที่จะนับเป็นข้อเสียได้ ท่าทางราวกับพญาหงส์ มือเล็กนิ้วเรียวควงกุญแจรถอยู่นั้น บี๋คือคนที่สะกดสายตาของทุกคนยามเขาเคลื่อนไหว

ผมมันโง่อย่างที่พวกเพื่อนมันว่า แสร้งทำเป็นไม่มองจนกว่าเขาจะเดินมาประชิด

“ไง รถไปไหน”

“โดนโปรดยึด”

“ยึด” บี๋ทวนซ้ำคงอยากได้คำอธิบาย

“เมื่อวานเมาแล้วเผลอหิ้วเด็กนิเทศกลับด้วย ไม่คิดว่าโปรดจะมาเจอเลยโดนยึดรถไปใช้สองอาทิตย์ หง่อยแดกโดยสมบูรณ์”

“สมน้ำหน้า” เสียงทับถมของเขาทำผมยิ้มออกมาได้

“บี๋ไม่เคยทำแบบนี้เลย”

“คนดีไม่มีใครชอบหรอก” เหมือนเป็นมุกแต่ทำไมผมฟังแล้วเจ็บ

“ไม่รู้จริงอย่ามาพูด” ผมบอกไปแบบนั้น เพราะอยากให้เขารู้ว่า ไม่มีใครที่จะดีเท่าเขาอีกแล้ว และผมไม่เคยชอบใครได้เท่าที่ชอบเขา



“จอดรถไม่ตรงอีกแล้ว ขับมาจะปีแล้วทำไมจอดไม่ตรงสักที”

“หลังๆ มาพี่กาศขับอ่ะ ไม่ค่อยได้ขับเอง”

“ดีใจนะที่บี๋มีคนดีๆ ดูแล” พูดไปก็เหมือนกระทืบหัวใจตัวเอง พี่กาศคนนั้นผมเทียบเขาไม่ได้เลย

“กลับคอนโดหรือจะให้ไปส่งที่ไหนละ”

“ถ้าแค่จะกลับหรือไปที่ไหน แท็กซี่ไปแล้ว จำไม่ได้จริงเหรอวันนี้วันอะไร”

บี๋ทำหน้าคิด ผมเจ็บเหมือนมีใครเอามีดมาแทงหัวใจ

“จำไม่ได้จริงอะ น้อยใจได้มะ” ถามย้ำและมองบี๋

“แล้ว..” บี๋ถามมาแบบนี้แปลว่ายังจำวันเกิดผมได้ ใจชื้นขึ้นมาทันที

“วันสำคัญเบย์อยากอยู่กับคนสำคัญไม่ได้เหรอ”

“คนสำคัญงั้นเหรอ ละเมอป่ะ”

“บี๋สำคัญกับเบย์นะ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร สำคัญที่สุดตลอดมาและตลอดไปนั่นแหละ” ทำหน้าเฉย เฉยจนผมกลัวว่าเขาจะทิ้งผมไว้ เลยรีบบอกจุดหมายที่อยากไป

“อยากไปทำสังฆทานวัดที่เราเคยไปตอนมอห้า”

“อยากไปไหนก็ขับเอง” ยื่นกุญแจรถให้ผมขับ เขาตามใจผมเสมอ วันเกิดของผมปีนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว เพราะได้ของขวัญที่อยากได้แล้ว

บี๋จะรู้ไหมเขาเป็นคนพิเศษจริงๆ ที่ผมยอมเลิกเพราะไม่อยากให้ใครว่าเขาโง่ที่มาคบกับผม

บี๋จะรู้ไหมเขาสำคัญที่สุดและผมก็เสียใจที่เคยทำร้ายความรู้สึกเขา ผมถึงยังอยากให้บี๋อยู่ข้างผม รอให้ผมเป็นคนดีพอสำหรับเขา ผมกดเลือกเพลงที่อยากจะสื่อบางอย่างในใจให้บี๋ฟัง

ห่วงใย..ตลอดไป

คิดถึง...ตลอดไป

สำคัญ...ตลอดไป

รัก....ตลอดไป

ผมไม่รู้ว่าบี๋ฟังแล้วจะเข้าใจผมแค่ไหน แต่ผมก็ยังหวังให้เขาเข้าใจ

หลังทำบุญเสร็จ เอาแต่ใจโดยการดึงเขาไปให้อาหารปลาต่อ แค่อยากรั้งบี๋ไว้อีกหน่อย แกล้งไม่เห็นว่าเขาก้มลงดูมือถือตลอด บางทีใครคนนั้นคงรอบี๋อยู่

“บี๋กับพี่กาศเป็นไงบ้าง”

“เรื่อยๆ ไม่หวือหวาไม่รีบเร่งแต่ก็ดี กับน้องโปรดล่ะดูเกรงใจน้องมาก”

“อือ..ก็เกรงใจ” ผมคงตอบได้ตามที่ควรจะเป็น

“โปรดยังเด็ก บางครั้งก็ไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ ขี้หึงมากจนเบย์อึดอัด”

ผมแค่อยากบอกว่าบี๋คือคนที่ไม่เคยทำให้ผมอึดอัด

“ที่ผ่านมาบี๋ทนได้ยังไง บี๋เคยรักเบย์ไหม โปรดบอกว่าคนไม่รักเท่านั้นที่ไม่รู้สึกอะไร”

“มาอยากรู้อะไรตอนนี้ เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าไปคิดมากให้เสียเวลาน่า”

“แปลว่าไง บี๋ไม่ได้รักเบย์เลยจริงเหรอ” เพราะผมสงสัยมาก ก็เลยอดใจไม่ไหวที่จะถามออกไปโดยเอาชื่อโปรดมาอ้าง

“เบย์จะกลับเลยมะ”

“ตอบมาก่อนอยากรู้มากขอร้องละ บี๋ตอบมาก่อน”

“สำคัญขนาดนั้น”

ผมพรั่งพรูความสงสัยที่ติดค้างในใจ ว่าทำไมเขาไม่เคยแสดงออกว่าหึงหรือเขาไม่รักผมเลย มือบี๋จับราวสะพานแน่น ก้มหน้าฟังโดยไม่เงยหน้ามามองผม เลยเอาแต่ใจโดยการพูดสิ่งที่ตัวเองคิดต่อไปเรื่อยๆ

“อยากรู้เพราะแคร์กัน หรือเพราะอยากใช้มันเป็นเหตุผลเพื่อมองโปรดว่าทำตัวงี่เง่าล่ะ”

ใจผมกำลังเต้นรัว มือผมเริ่มสั่น เป็นครั้งแรกที่บี๋เปิดใจบอกความรู้สึกเชิงลบขนาดนี้ต่อหน้าผม พยายามบอกเขาว่าเขาสำคัญที่สุดคนเดียวเท่านั้น

“เบย์พอเถอะ ถ้าอยากรู้นักจะตอบให้ก็ได้ ที่บี๋แสดงออกมันไม่จริง บี๋แค่อยากรักษาความรักไว้โดยการไม่เรียกร้อง เจียมตัวในฐานะแฟนที่เบย์มอบให้ ร้องไห้ลับหลังจะเสียงดังแค่ไหนก็ได้ ขอแค่ไม่ให้เบย์ได้ยิน อดทนเจ็บเพื่อจะอยู่ต่อไป และเกือบตายในวันที่โดนทิ้ง ถึงวันนี้ตอนนี้ก็ยังไม่อยากยอมรับหรอกคำว่าเพื่อน

แต่ที่ไม่อยากปฏิเสธ เพราะยังไม่พร้อมจะเสียเบย์ไป”

หูผมเหมือนได้ยินแต่เสียงบี๋ ตาผมเห็นแค่ดวงตากลมโตที่แดงขึ้นเรื่อยๆ ใจผมเหมือนเป็นเหน็บมันชา เจ็บจนหน่วงไปหมด

“รู้ไหมว่าการเป็นคนสำคัญของเบย์มันเหนื่อยแค่ไหน เจ็บปวดแค่ไหน ถ้ารู้ก็ควรจะรู้ได้แล้วว่า...รัก....มากแค่ไหน”

“บี๋” ได้แค่เรียกชื่อเขา ตอนนี้ทุกอย่างมันมึนไปหมด ทั้งน้ำตาและความรู้สึก เหมือนตัวเองเป็นเศษขนมปังที่ถูกปลาหลายสิบตัวรุมกัดกิน ไม่มีส่วนไหนที่ไม่รู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะหัวใจผมทรมานเหลือเกิน



“ถ้าบอกกันสักคำ ถ้าบี๋บอกสักคำว่าไม่โอเค เบย์จะไม่ทำ เบย์จะไม่ทำ”



คิดว่าการย้อนกลับไปแก้เรื่องในอดีตมันยาก

แต่การหาทางเลิกรักบี๋นั้น ยากกว่าหลายเท่า



บี๋ครับ..ผมขอโทษ





#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:57:34 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 13

คนของโปรด



“ชื่อโปรดเหรอ อยากเป็นคนโปรดของพี่ป่ะ” ในวันเชิดชูศิษย์เก่าดีเด่นของโรงเรียน ผมได้เจอกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ทิ้งประโยคคำถามนั้นไว้ สามเดือนต่อมา ผมก็มีแฟนที่เพื่อนทั้งโรงเรียนอิจฉา พี่เบย์ดูแลผมดีมาก กระทั่งวันหนึ่งพี่เขาชวนผมไปงานวันเกิดเพื่อนสนิท เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยถามเขาเล่นๆ ไปว่า

‘พี่จริงจังกับผมป่ะ ไม่เคยพาไปเจอเพื่อนเลย’

ไม่คิดว่าประโยคนั้น จะเปลี่ยนความรักแสนหวาน เป็นขมขื่นได้ชั่วข้ามคืน

“เบย์ทางนี้โว้ย” พี่เบย์ปล่อยมือผม เดินนำไปหาเพื่อนเขาทันที เขาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกไม่สำคัญ ยกเว้นตอนนี้

“วันเกิดกูทั้งทีไม่พาบี๋มาวะ กูคิดถึงมัน” พี่ที่เป็นเจ้าของวันเกิด ถามถึงคนที่ผมไม่รู้จัก บี๋คือใคร?

“บี๋ไม่ว่างนี่น้องโปรด ส่วนนี่เพื่อนพี่ชื่อ....” พี่เบย์แนะนำเพื่อนให้ผมรู้จัก ในฐานะที่ไม่มีฐานะ แล้วก็ไม่มีคนไหนที่มองผมด้วยสายตาเอ็นดู ไม่ได้คิดไปเองพวกเขาดูไม่มีใครอยากให้ผมมาด้วยซ้ำ นั่งอยู่ข้างคนที่พามาเงียบๆ

“เดี๋ยวกูมานะ” พี่เบย์ชูมือถือบอกเพื่อนแล้วตบบ่าผม เชิงว่าให้รออยู่ตรงนี้

คล้อยหลังเพื่อนคนที่มองผมไม่เป็นมิตรถามขึ้น “พวกมึงว่าใครโทรมาวะ”

“จะใครถ้าไม่ใช่บี๋ ไอ่เบย์แม่ง”

“เอ่อ ต่อยเพื่อนได้กูทำไปล่ะ เห็นเป็นเรื่องส่วนตัวมันนะ กูไม่อยากยุ่ง”

“แทนที่กูจะได้เจอบี๋สักหน่อยเซ็งว่ะ”

“เป็นกูจะกราบบี๋เช้าเย็นดูแลไม่ห่างเล้ย ได้ของดีเสือกดูแลไม่เป็น”

เหมือนพวกพี่เขาลืมไป ว่าผมยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้ ในที่สุดผมก็รู้เหตุผลที่พวกเขามองผมด้วยสายตาแบบนั้น เพราะพวกเขารักคนชื่อบี๋นั่นเอง ผมทำตัวกลืนกับอากาศต่อไป จนกระทั่งพี่เบย์กลับมาทุกคนยังทำเหมือนเดิม

นอกจากพี่เบย์ไม่มีใครสนใจผม และไม่มีใครชวนผมคุย ผมเป็นแค่อากาศสำหรับเพื่อนเขา ไม่แน่ใจว่าคืนนั้นนับหนึ่งถึงล้านรึยัง แต่โล่งใจที่วันเกิดจบลงสักที

ก่อนจบยังมีตบท้ายให้ผมเจ็บจนแทบกระอัก

“กูเลือกเค้กไอติมไว้ เพื่อบี๋โดยเฉพาะเลยห่าเบย์” เจ้าของวันเกิดโอดครวญ

พี่เบย์คงไม่รู้จะตอบกลับว่าไง เลยเลือกประโยคที่ทำให้ผมเจ็บอย่างต่อเนื่อง

“กูให้งดอยู่เดี๋ยวจะอ้วน”

“ถ้าอย่างบี๋เรียกอ้วน กูยอมอ้วนคนอะไรหุ่นดีชะมัด” พี่อีกคนออกความเห็น สายตาพี่เบย์ที่ไม่พอใจเพื่อนแต่ไม่ได้พูดออกมา ผมกัดปากก้มหน้านิ่ง ให้เดาพี่คงหวงคนที่ชื่อบี๋มาก ชนิดที่ว่าห้ามใครมาลามปาม



ผมพยายามถามถึงเจ้าของชื่อนั้น แต่ทุกครั้งพี่เบย์จะเลี่ยงไม่ตอบ บางทีก็ตึงตันเงียบไปซะงั้น เพราะผมเริ่มคิดถึงแต่เรื่องคนชื่อบี๋ ผมเลยไม่เคยมีความสุขกับการมีพี่เบย์เป็นแฟนได้เต็มร้อยเหมือนเก่า และการที่เพื่อนเขาไม่ค่อยชอบผม ทำให้เวลาเขาไปกับเพื่อน ผมก็ตามไปด้วยไม่ได้

"เสาร์อาทิตย์นี้พี่ไม่ได้ไปหานะ ไปต่างจังหวัดกับเพื่อน"

"อ้าว..."

"โปรดอย่างงอแง ไม่น่ารักเลย"

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ" เขาเลือกเพื่อนเสมอ ซึ่งผมก็เข้าใจถ้าเป็นผมเพื่อนผมก็สำคัญ แต่การเข้าใจก็ใช่ว่าจะมีความสุข

แล้วปีนี้ก็เวียนมาอีกครั้ง ก่อนวันเกิดพี่โฮมสี่วัน ผมติดต่อพี่เบย์ไม่ได้ ไปรอที่คอนโดเขาก็ไม่กลับ กระวนกระวายแทบบ้า สุดท้ายพี่เขาก็โผล่มาหน้าห้องผม นั่งใจลอยเหมือนคนอกหัก นั่งอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จา ตั้งแต่บ่ายจนเช้าอีกวัน ช่วงเวลานั้นผมเหมือนคนอื่น รู้แค่เรื่องที่เขาอยากให้รู้

พี่เบย์หายไปไหนมา?

พี่เบย์เป็นอะไร?

คำถามหลายข้อถูกเก็บงำไว้ในใจ รอเวลาที่เขาจะเล่าเอง แต่ดูเหมือนไม่มีเวลานั้น

วันต่อมาวันเกิดพี่โฮม ผมมีงานที่โรงเรียนพี่เบย์มารับ แต่โชคไม่ดีเพราะพี่เบย์ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยทำให้เขาวูบ รถชน!! ผมตกใจจนมือสั่น โชคดีที่เราไม่เป็นอะไรทั้งคู่ แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอหลังจากนั้น ทำให้ผมรู้ว่ายังมีอะไรที่แย่กว่ารถชน

“พี่เบย์โปรดกลัว ไม่อยากนั่งแท็กซี่” ผมแค่อยากอ้อนให้เขาไปส่ง

“เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนมารับ” เพื่อนพี่เบย์คนไหนเหรอ เพื่อนเขาไม่ชอบผมสักคนอยากจะเปลี่ยนใจว่านั่งแท็กซี่ไปเองแต่ไม่ทันแล้ว

"บี๋ครับผมรถชน รบกวนมาหาหน่อยได้ไหม"

(............)

"ไม่ๆ ไม่เป็นไรครับ รออยู่ที่..."

มือที่เกือบหายสั่น ก็สั่นขึ้นอีกครั้งตอนได้ยินชื่อนั้น ตั้งแต่คบกันพี่เบย์ไม่เคยให้ผมขึ้นไปบนห้องเขา มากสุดแค่รอด้านล่าง เขาไม่เคยพูดถึงชื่อนี้ให้ได้ยิน แต่วันนี้ผมกำลังจะเจอใครคนนั้นแล้ว

เวลาต่อมาผมรู้สึกแพ้ราบคาบ รถหรูสีขาวแล่นมาจอด รถว่าดูดีมีราคาแล้วเจ้าของยิ่งดูดีกว่า ใครคนนั้นเหมือนที่เพื่อนพี่เบย์ชมไว้ไม่มีผิด เรียวขายาวกับท่วงท่าน่ามอง ผิวขาวตัดกับเสื้อฮูดขนาดโอเว่อร์ไซส์สีดำ กางเกงยีนสีดำรัดรูป ทรงผมเข้ากับรูปหน้าเรียวยาวประบ่า ตากลมโตมีแววตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมเห็นสายตาหลายคู่รอบข้าง มองคนนั้นราวกับลืมหายใจ

ผมสู้เขาไม่ได้เลยสักนิด พี่เบย์ทิ้งคนแบบนี้มาเลือกผมเหรอ?

ทันทีที่เขามาถึง พี่เบย์ก็ลุกขึ้นมองคนนั้นเหมือนเป็นคนสำคัญ เขาไม่เคยแสดงท่าทางแบบนั้นกับผมเลยสักครั้ง ที่สงสัยว่าเขาทิ้งอาจจะไม่ใช่บางทีพี่บี๋อาจเป็นคนทิ้งพี่เบย์มากกว่า

“เป็นไงบ้างเจ็บตรงไหนรึเปล่า” เสียงหวานใสเอ่ยขึ้น ถ้าตัดความอิจฉาและอคติทิ้งไป ผมคงจะยอมรับว่าผมอยากดูดีแบบพี่บี๋

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่บี๋มาเบย์ไม่รู้จะพึ่งใคร ขอบคุณมากจริงๆ ที่มา”

ความอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยได้รับ มันเป็นความอ่อนโยนที่เกินจากปรกติของเขามาก

“พูดอะไรอย่างนั้นละ บี๋เป็นห่วงเบย์มากนะ นี่รีบมาหาทันทีเลย ประกันมารึยังครับแล้วต้องทำอะไรอีก ให้ช่วยอะไรบอกมา”

พวกเขาเป็นอะไรกัน ญาติ เพื่อน หรือแฟน ผมอยากตะโกนถามแต่ไม่กล้า ถ้าผมทำแบบนั้น ผมจะยิ่งแตกต่างจากพี่บี๋ ผมจะกลายเป็นเด็กแก่แดดไม่มีมารยาท ส่วนเขาจะกลายเป็นราชสกุลไปเลย

“บี๋ครับช่วยไปส่งโปรดให้ที น้องตกใจมากไม่อยากให้นั่งแท็กซี่ไปคนเดียว”

ในที่สุดผมก็มีบทพูดสักที คนที่ดูสูงส่งคนนั้นก้มลงส่งยิ้มให้ผม ถามผมด้วยความเป็นมิตร

“ชื่อโปรดเหรอ พี่ชื่อบี๋นะ..ปะไปส่ง”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ ผมไม่ได้ไหว้คนที่แก่กว่าทุกคนหรอกนะ พี่เบย์ดูจะพอใจที่ผมทำแบบนั้น เขาย่อตัวจับหัวผม บอกผมด้วยเสียงอ่อนโยนอบอุ่นคล้ายกับที่ใช้พูดกับพี่บี๋ แต่มันก็ไม่เหมือน

“พี่เคลียร์ทางนี้แล้วจะรีบตามไปนะครับ ไปกับเพื่อนพี่อย่าดื้ออย่าซนเข้าใจไหม ถึงโรงเรียนแล้วทักมาบอกพี่ด้วย”

ความอ่อนโยนที่เขามีให้ผม มันดูไม่จริงใจเท่าที่เขาให้คนนั้นอยู่ดี

“อื้ออ”

“อย่าทำหน้าแบบนั้น เดี๋ยวพี่อดใจไม่ได้หรอก”

“พี่เบย์!!”

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เบย์พูดออกมาแบบนั้น แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดี ถ้าพี่บี๋เป็นแฟนจริง คงไม่พูดกับผมแบบนั้นต่อหน้าแฟนตัวเองจริงไหม

ตอนผมเดินตามพี่บี๋ รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย รถพี่เขาเท่มากประตูเลื่อนขึ้นเหมือนปีกนก ไม่มีผิดกับเจ้าอย่างที่บอก สง่างาม และน่ามอง

รถแล่นไปพร้อมความสงสัยในใจผม เมื่อถามพี่เบย์ไม่เคยได้คำตอบผมจะถามพี่บี๋แทน

“พี่บี๋กับพี่เบย์ เลิกกันนานแล้วเหรอครับ” ผมเห็นพี่บี๋เม้มปากก่อนตอบ

“ทำไมถามแบบนั้นละ”

“ก็ถ้าเป็นผม เลิกกันไปแล้วคงทำใจมาทำดีด้วยไม่ได้ ผมถามได้ไหมทำไมพี่สองคนเลิกกันครับ” ผมอยากรู้จริงๆ ตอบผมมาเถอะ

“พี่ว่าเรื่องนี้ไปถามเบย์ดีกว่า ว่าแต่โปรดคบกับเขานานแล้วเหรอ พี่ไม่เคยเห็นเราเลย” น้ำเสียงพี่บี๋ใจดีและทั้งเป็นมิตร ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนพี่เบย์ถึงชอบพี่คนนี้มาก แต่แค่ผมมาทีหลังผมควรถูกเกลียดหรือไง

น่าอิจฉาผมกำลังอิจฉา และเริ่มพาลไม่ชอบพี่บี๋ ผมเลยเลือกจะตอบอะไรเกินจริงไปหน่อย

“ผมเคยไปเจอที่บ้านพี่เบย์มา คุณแม่กับคุณพ่อน่ารักมาก ที่บ้านเราจะให้เราหมั้นกันตอนผมขึ้นปีหนึ่ง” พี่บี๋ทำหน้าคล้ายตกใจ แต่แค่แว๊บเดียวเท่านั้น

“พี่เบย์เจ้าชู้มาก”

“ใช่” พี่บี๋เห็นด้วยเหมือนหลุดปาก

“พี่ว่าผมจะทำให้เขาเลิกเจ้าชู้ได้ไหม”

“ก็ลองดูสิ”

“วันก่อนที่ผมกับเขาไปดูหนังเจอผู้ชายคนหนึ่งเขาเดินมาทัก แล้วพี่เบย์โกรธมากโวยวายใส่ว่าห้ามมาวุ่นวายกับผม พี่ว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับผมมากกว่าใครไหม”

“คงใช่แหละ”

โกหกทั้งเพ ทั้งเรื่องที่พี่เบย์พาผมเข้าบ้าน เรื่องหมั้น และเรื่องที่เขาปกป้องผม ไม่!! เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้น แต่พี่บี๋ก็ตั้งใจฟังและพูดให้กำลังผม ผมเกลียดตัวเองที่ผมทำใจให้ชอบพี่บี๋ไม่ได้ เขาดีกับผมและผมไม่ควรเกลียดเขา





“คืนนี้พี่บี๋ไปงานวันเกิดพี่โฮมไหมครับ ถ้าไปผมฝากดูแลพี่เบย์ด้วยนะ ปีนี้ผมไม่ว่างไป ขอบคุณที่มาส่งนะครับ” ความจริงคือผมไม่เป็นที่ต้องการของคนในงาน ขืนไปก็เป็นอากาศส่วนเกิน และพี่เบย์ก็คงไม่คิดจะพาผมไปหรอก

ทันทีที่ลงจากรถพี่บี๋ ผมส่งข้อความบอกพี่เบย์ว่าถึงโรงเรียนแล้ว ซ้อมละครเสร็จเกือบทุ่มครึ่ง พี่เบย์ยังไม่อ่านข้อความผมเลย ตัดสินใจกลับพร้อมเพื่อน และเมื่อถึงบ้านผมก็รู้ความจริง

ในไอจีพี่โฮม อัพรูปในผับเพื่อนกลุ่มใหญ่และหนึ่งในนั้น คือคนที่ผมเทียบเขาไม่ได้สักอย่าง พี่บี๋!!

พี่เบย์ยืนข้างพี่บี๋ยิ้มให้กล้อง เขามีความสุขทั้งที่ไม่มีผมไปด้วย แม้พี่บี๋จะสวมฮูดปิดหน้า แต่ผมก็จำชุดพี่เขาได้ แคปชั่นของพี่โฮมทำให้น้ำตาผมไหลไม่รู้ตัว



HomePro

ปีนี้มีคนพิเศษของพวกเรามาแจม ขอบคุณที่มานะ >> Call Me Baby

‘คนพิเศษ’ คำนี้ที่ผมอยากเป็น

ผมอ่านคอมเม้นต์แล้วสะอื้นออกมาโดยไม่รู้ตัว

Call Me Baby : มีความสุขมากๆ นะมึง

HomePro : เบย์ไม่บอกจะพามึงมา กูเลยไม่เลือกเค้กไอติมไว้ให้โทษทีนะ

Call Me Baby : เค้กวันเกิดมึงตามใจกูเพื่อ

HomePro : @EBAY_by ปีนี้มึงทำดี

EBAY_by : @CallMeBaby ขอบคุณที่มานะครับ

แปลว่าปีที่แล้วที่พาผมไปคือทำไม่ดีสินะ เจ็บอีกแล้ว ผมเป็นบ้าไล่อ่านทุกคอมเม้นต์ ลามไปถึงดูไอจีพี่บี๋ดูความเชื่อมโยงกับของพี่เบย์ ดูอยู่นั่นไม่เลิกจนฟ้าสว่างก็ยังไม่เลิกดู

ประโยคที่ผมจำได้ดี

..บี๋จ๋า..โอ๊ยเจ้าชายของบ่าวมากับแก๊งนี้ทีไรเหมือนรวมสมบัติของมหาลัยไว้ด้วยกัน #เบย์บี๋กลับมาเถอะวันวาน

เป็นแฟนเก่าจริงๆ นั่นแหละไม่ต้องสงสัยแล้ว มีคนคอมเม้นต์เชียร์ให้กลับมาคบกันเยอะขนาดนั้น

รูปล่าสุดที่พี่บี๋โพสต์คือรูปชายทะเลจำนวนสามรูป มันเป็นช่วงที่ผมติดต่อพี่เบย์ไม่ได้ เขาไม่ได้แท็กกัน แต่ผมกลับไม่ลังเลที่จะเชื่อว่าเขาไปด้วยกัน



บ่ายวันต่อมาผมไปหาเขาที่ห้อง ครั้งแรกที่ผมจะต้องขึ้นไปดูให้หายคาใจ

“มาไม่บอกพี่ก่อน” ท่าทางจะเพิ่งตื่นหรือยังไม่ตื่น ดีเหมือนกันจะได้ไม่ทันระวังตัว เดินเข้าไปในห้องนอน ถือสิทธิ์คำว่าแฟน ไม่เอ่ยขอก่อน บนหัวเตียงมีรูปพี่เบย์กับพี่บี๋นั่งโอบกันอยู่ ที่ประตูห้องมีรูปพี่เบย์กับพี่บี๋ในชุดนักเรียนยืนกอดคอกันอยู่

ผมเป็นแฟนแต่ไม่มีรูปผม แต่มีรูปแฟนเก่าที่เขายังไม่ว่างเอาออก หรือไม่คิดจะเอาออกกันแน่

“ปะ โปรด” พี่เบย์เหมือนจะพูด แต่ก็ทำแค่เรียกชื่อผม ผมใช้สายตาตั้งคำถาม

“เขาเป็นเพื่อนพี่” ในที่สุดเขาก็แก้ตัว ผมโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็แคร์ผมอยู่

“ทำไมพี่ไม่ทิ้งรูปพี่บี๋”

“เพื่อนพี่ทำไมต้องทิ้ง”

“แน่ใจ๋ ผมเห็นนะสายตาพี่เวลามองพี่บี๋ นึกว่าผมโง่เหรอ”

“บี๋กับพี่แค่เพื่อนที่ดีต่อกัน” ผมควรจะเชื่อใช่ไหม

“กับพี่บี๋ผมแน่ใจว่าเขาคิดแบบนั้น แต่กับพี่ผมไม่มั่นใจ อยู่ห่างพี่บี๋บ้างพี่ทำได้ไหมล่ะ” ผมยื่นคำขาดไป และพี่เขาก็ยอมรับ ตกปากรับคำ และพูดประโยคที่ทำให้ผมใจอ่อน

“โปรดครับฟังพี่ ตอนนี้พี่มีแค่โปรด สอนพี่สิว่าแฟนที่ดีต้องทำยังไง” พี่เบย์ดูใส่ใจผมมากขึ้น มารับมาส่ง แต่ดูเหมือนโลกจะกลมเกินไป ความทุกข์ใจที่หายไป ก็กลับมาหาผมอีกแล้ว

ระหว่างเราตกลงกันว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่น พี่บี๋มากับผู้ชายอีกคน ต้องยอมรับว่าดูดีกว่าพี่เบย์ และนั่นทำให้ผมพอใจ ผมอยากให้เขาเจอกัน

“พี่บี๋” ผมตะโกนลั่น

“บี๋” ท่าทางพี่เบย์ตกใจมาก หลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา พี่บี๋เดินมายิ้มให้ผมและยักคิ้วให้พี่เบย์ หน้าหวานของพี่บี๋ยังสะกดสายตาเหมือนเดิม แล้วผู้ชายตัวสูงก็หันไปคุยพี่บี๋ ราวกับไม่มีผมและพี่เบย์อยู่ตรงนั้น หยอดพี่บี๋ไม่เกรงใจเราสองคน

ผมเข้าใจพี่คนนั้นนะ ความรู้สึกที่ผมมีให้พี่บี๋ ก็คงไม่ต่างจากที่เขามีต่อพี่เบย์ เราพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่เกลียด แต่ต้องยอมรับว่าเราไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย เวลาที่พี่บี๋กับพี่เบย์อยู่ใกล้กัน

ผมเอ่ยปากชวนพวกเขาไปกินข้าวด้วยกัน อยากให้พี่เบย์เห็นเยอะๆ จะได้ตัดใจ

“เอายังไงแล้วแต่บี๋เลย” พี่ตัวสูงบอกพี่บี๋

“ไปด้วยได้เหรอมาเดทกันรึเปล่า” พี่บี๋ถามพวกเราน้ำเสียงเป็นมิตร

“ไม่หรอก ไปด้วยกันนะครับพี่เออ..” พี่เบย์เหมือนไม่รู้จักชื่อพี่อีกคน

ทว่าพี่บี๋หันไปเอียงคอถามคนข้างๆ “พี่กาศหิวมากป่าว”

พี่ที่ชื่อกาศตอบกลับเสียงน่าฟัง “หิวแต่ไม่มากเท่าไหร่” แล้วยกมือขึ้นเล่นผมพี่บี๋

“งั้นเอาไงดี” พี่บี๋ทำท่าคิดปัดมือที่กาศออกไม่จริงจัง เหมือนจะเล่นกันมากกว่า

“วันนี้พ่อกับแม่กลับมาแล้วนะ แม่ว่าจะทำแกงเลียงไว้รอบี๋ด้วย”

“โอเคงั้นเก็บท้องไว้รอแกงแม่ดีกว่า” แปลว่าพี่บี๋สนิทกับที่บ้านพี่คนนั้นพอสมควร มาถึงตอนนี้ผมโล่งใจขึ้นบ้าง

ต่อให้หูหนวกตาบอดก็ต้องรู้ว่าพี่บี๋กับพี่กาศเป็นอะไรกัน ต่อให้ไม่ยอมรับก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือความจริง แม้ว่าสีหน้าคนข้างผมตอนนี้จะเริ่มไม่ไหวก็ตาม แต่ผมยังไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปหรอก

“โอ๊ยยย พี่เบย์ช่วยด้วยมดกัดโปรด” พี่เบย์หันมายิ้มให้ผม แล้วมีท่าทีไม่ค่อยสบอารมณ์ เจ็บอีกแล้วสินะโปรด

ผมดึงมีดในมือพี่เบย์มาแทงหัวใจตัวเอง ซ้ำอีกครั้งด้วยการตั้งคำถามไปว่า

“พี่เบย์ไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย ว่าพี่บี๋มีแฟนใหม่แล้ว แถมแฟนพี่บี๋หล่อมาก”

“พี่ก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ยินดีที่รู้จักนะครับพี่กาศ” ผมรู้ว่าเขาไม่ยินดีอย่างที่เขาพูด รอยยิ้มของเขามันปลอม แต่ทำให้ผมเจ็บจริง

พี่กาศดูไม่ค่อยอยากรู้จักพี่เบย์ นั่นทำให้ผมลอบยิ้มด้วยความสะใจ ความเห็นแก่ตัวทำให้ผมเจ็บน้อยลง

พวกเขาเดินไปแล้ว พี่กาศเดินตามสายตาของพี่กาศมองแต่พี่บี๋เหมือนกลัวอีกคนจะหาย พี่เบย์ยังยืนนิ่งมองตามหลังพวกเขาสองคนจนลับตา

เพิ่งรู้สึกว่าคนสำคัญเป็นยังไง





#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 11:59:01 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 14

ความเหงา



ชันกาศ...



พ่อกับแม่กลับไปแล้ว เพราะผมยืนยันว่ามีน้องอยู่เฝ้า ท่านก็ไม่ว่าอะไร ผมไม่ได้ไลน์ถามบี๋ว่าเขาอยู่ไหน ทุ่มกว่าแล้วผมไม่รู้ว่าน้องจะกลับมากี่โมง หรือบางทีเขาอาจมีธุระอื่นซึ่งสำคัญกว่าการมาเฝ้าคนป่วย ที่สบายดีอย่างผม

'เอ่อ กูห่วงเขา ห่วงโคตรๆ แล้วก็นะ กูไม่เข้าใจทำไมเขาต้องสนใจแต่ของนอกกาย ไม่เคยจะห่วงตัวเองบ้าง'

'มึงรักพี่กาศรึยัง'

'โมกูไม่เข้าใจ ทำไมมึงชอบถามอะไรที่รู้อยู่แล้ววะ'

'กูไม่รู้หรอกถึงถามไง เมื่อก่อนมั่นใจว่าไม่ชอบ แค่อยากประชดไอ้เบย์ แต่มึงห่วงเขาขนาดนี้แน่ใจเหรอว่ามึงไม่คิดอะไร'

'ธรรมดาไหมล่ะ คนที่อยู่ด้วยกันก็ต้องห่วงกันสิ ถ้าบอกมึงรถชนกูก็ตกใจ'

ตอนได้ยินบี๋บอกว่าห่วงผมมากตัวมันเหมือนจะลอยได้ แต่พอได้ยินว่าผมแค่เครื่องมือประชดแฟนเก่า เหมือนอะไรหล่นดังตุ๊บ ไม่ใช่อะไรที่ไหนใจผมเอง หล่นไม่ทันได้เตรียมตัวเลย โดนกระทืบซ้ำอีกรอบก็คงตอนที่เขาว่าธรรมดาเป็นใครเขาก็ห่วงหมด

บี๋ว่าผมห่วงแต่ของนอกกาย เขาไม่เข้าใจหรอก คนแบบเขามีเหลือเฟือ จะเข้าใจคำว่าสมบัติชิ้นสุดท้ายได้สักแค่ไหนกันเชียว ผมไม่เหลืออะไรจริงนะ พาหนะคู่ใจพังยับ โชคดีที่ไม่พิการให้เป็นภาระพ่อแม่ ค่าทำขวัญกับค่าเสียหาย ก็ใช่ว่าจะซื้อคันใหม่ได้โดยไม่ต้องผ่อนต่ออีก ตอนนี้ชันกาศเป็นต้นหญ้าไร้ราคาอย่างเต็มตัว

ติ๊ด!! เสียงข้อความเงินเข้า ผมรีบกดดู

16/03/18 19.40 บช X428936x รับโอนจาก X564289x 500.00 บ.

ห้าร้อยบาทถ้วน คงเป็นค่าจ้างทำงาน ที่เพิ่งส่งไปอาทิตย์ที่แล้ว ตั้งค่าร้อยหรือแค่ห้าร้อยก็คงอยู่ที่ว่าใครจะมองแบบไหน แต่สำหรับผมมันน้อย ไม่พอที่ผมจะเอามาดูแลคนที่ผมรักด้วยซ้ำ อย่างนี้ผมควรจะอยากให้บี๋หันมาจริงจังกับผมอีกเหรอ

พยาบาลเข้ามาถามอะไรนิดหน่อย บอกว่าพรุ่งนี้ผมก็กลับบ้านได้ ไม่รู้สึกอะไรกับประโยคบอกเล่านั้น แค่รับฟังและรับรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปใช้ชีวิตต่อ ตั้งแต่มีบี๋ ผมรู้ว่าชีวิตผมมีความรู้สึกเป็นฝาแฝดเสมอ

บางครั้งดีใจแต่ก็เสียใจ

บางคราวสมหวังแต่ก็ผิดหวัง

บางทีต้องการแต่ก็ลังเล

อย่างตอนนี้..ผมอยากเห็นหน้าเขาแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่มาก็ดี

ผมควรจะยั้งใจไม่ให้ไปกับเขามากเกินไป จะได้ไม่ต้องผิดหวัง อย่างน้อยผมก็ยังมีเขาอยู่ในฐานะอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่คนสำคัญมากมายนัก อย่างน้อยผมก็ได้เป็นเจ้าของเขาในสายตาคนอื่น ได้สัมผัสเรือนร่างที่ผมลุ่มหลง

“ก๊อกๆ” เพิ่งคิดไปว่าถ้าเขาไม่มาก็ดี แต่พอได้ยินเสียงเคาะประตูผมยิ้มรอไปแล้ว

“อ้าวไอ้บี๋ล่ะพี่” ผมยิ้มเก้อ คำถามนั้นผมก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน

“ส่งข้อความมาบอกว่าเย็นๆ จะกลับ”

“นี่สองทุ่มแล้วนะ” โมมันไม่ได้พูดกับผม เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า ผมนอนมองมันโทรออกน่าจะโทรหาบี๋ แล้วมันหันมาบอกผม

“มันไม่รับสายอ่ะ พี่อยู่คนเดียวได้ป่ะเนี่ย”

“ได้สิวะ กูไม่ได้เป็นไร พวกมึงก็ทำยังกะกูแข้งขาหัก”

“ปากดีจังนะครับพี่ เนี่ยแล้วใจยังเต้นดีเหมือนปากรึเปล่า” นั่นสิใจผมตอนนี้เต้นเบาลงเหมือนไม่มีแรง

“อะไรของมึง” ผมทำเป็นไม่เข้าใจ โมไหวไหล่เดินไปหยิบขนมบนโต๊ะมากิน มาเยี่ยมหรือมาแย่งของกินกันแน่

“พี่”

“อือ”

“ชอบมันป่ะ”

“ชอบ?”

“บี๋ไง พี่ชอบเพื่อนผมป่ะ”

“แล้วทำไมกูต้องเกลียดมันล่ะ”

“ผมรู้ว่าพี่รู้ ถ้าไม่ตอบแปลว่าชอบ”

“................” ผมเงียบ มันคงไม่ต้องถามซ้ำ แม้ความจริงผมจะไม่ได้แค่ชอบหรอก ผมหลงเพื่อนมันเลยต่างหาก

“ขอถามอีกข้อ พี่กับมันขั้นไหนแล้ว”

“ทำไมวะ”

“พี่ไม่ตอบผมจะคิดว่า...”

“หยุดเลยมึงอย่าคิดไปเอง” โมขมวดคิ้วจ้องผมไม่วางตา มันคงห่วงเพื่อนมัน แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่ได้แค่ห่วง เหมือนมันหวง

“มึงชอบเพื่อนมึงเหรอ”

“....” ภายใต้ใบหน้าวางเฉย ผมเห็นม่านตาขยายเล็กน้อย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าใช่

“พี่ก็อย่าคิดไปเองดิ”

“เอาเถอะยังไงมึงก็น้องกู ถ้าอยากให้กูช่วยก็บอกละกัน” มันทำเหมือนมีคำถามแต่ก็ไม่ถาม เราสองคนต่างก็เงียบใส่กัน ผมเห็นมันพิมพ์ตอบไลน์ใครสักคน

แล้วมันก็บอกว่ามีธุระรีบร้อนออกไป ไม่แน่ใจว่าที่ผมคิดไปเองมันจริงสักกี่มากน้อย ถ้าโมชอบบี๋จริง ผมควรทำยังไง ถอยออกมาหรือลงแข่ง ถามตัวเองทั้งที่รู้ว่าผมไม่มีคุณสมบัติพอจะได้ลงสนามด้วยซ้ำ

ถึงโมจะรวยไม่เท่าบี๋ แต่มันก็รวยกว่าผมเยอะ หน้าตามันก็ดี หล่อมากเลยด้วยซ้ำ อายุก็เท่ากัน เวลามันอยู่ด้วยกัน ผมก็วางใจมันดูแคร์บี๋ ดูแลบี๋ทุกเรื่อง เวลาบี๋ไม่สบายใจก็คิดถึงโมก่อนคนแรก ถ้าเทียบกับแฟนเก่าที่ทิ้งไปมีคนใหม่ ผมว่าบี๋เลือกโมดีที่สุด ไม่ถูกใจผมหรอกแต่มันถูกต้องแล้วล่ะ

ผมไม่ใช่คนที่ชอบเสียสละ ผมเห็นแก่ตัวและแคร์ตัวเองกว่าใคร การที่ผมยอมรับได้ในทันที ว่าโมชอบบี๋ นั่นอาจเป็นเพราะผมไม่อยากรับผิดชอบชีวิตเขาก็ได้

มีคนโทรเข้ามา ผมเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างเตียง บี๋!! ผมกดรับแต่ยังไม่ได้ทักทายอะไร น้องก็พูดมาก่อน

“ผมไม่ได้ไปเฝ้านะพี่”

“ไม่เป็นไรกูอยู่คนเดียวได้น่า”

“ขอโทษทีพอดีผมมีธุระ ต้องทำให้เพื่อนนิดหน่อย โมมันแวะไปหาพี่ใช่ไหมออกมานานรึยัง ถ้ายังบอกมันรีบมาหน่อยผมรอนานแล้ว” ผมควรรู้สึกยังไงดี ที่คิดไปเองถูกแล้วสินะ โมโกหกผมให้ผมสบายใจ หรือเพราะมันอยากเก็บบี๋ไว้คนเดียวโดยไม่ให้ผมรู้ แล้วถ้ามันชอบเพื่อนสนิทตัวเอง มันเพิ่งชอบหรือชอบนานแล้ว มันคิดจะบอกบี๋ไหม หรือแค่จะแอบชอบต่อไป

สายไปแล้ว น้ำเสียงเขาเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ เสียงขึ้นจมูกแบบนั้นไม่เป็นหวัดก็คงร้องไห้ ผมไม่ได้ถามเขาหรอกว่าเป็นอะไร เพราะมัวแต่คิดเรื่องโม ผมกับบี๋เราลึกซึ้งแต่เราไม่มีอะไรผูกพันกันเลย เขาไม่เคยบอกว่าชอบ หรืออยากจริงจังกับผม ส่วนเรื่องนั้นมันก็อาจเป็นแค่ เผลอตัวไปตามอารมณ์อ่อนไหว ผมจึงมั่นใจว่าถ้าเขาร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องของผมแน่นอน

ถ้าบี๋ร้องไห้...คงเป็นเรื่องคนสำคัญ และไม่ใช่ผมเพราะผมไม่สำคัญอะไร

นอนคิดอะไรจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีเกือบตีสาม ตาสว่างจนต้องลุกมาเปิดทีวี ปล่อยให้เสียงคนที่รู้จักแค่ชื่อคุ้นแค่หน้า ในจอสี่เหลี่ยมเป็นเพื่อนแก้เหงา นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่รู้สึกถึงความรู้สึกนี้....เหงา

ผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ความเหงาทำอะไรผมได้ยาก เพราะผมชอบอยู่คนเดียวอยู่แล้ว แต่ทำไมคืนนี้มันเหงาเป็นบ้า เหงาแบบที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำให้หายได้ด้วยนะ

บี๋เด็กผู้ชายหน้าหวาน มีดวงตากลมโต ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนนี้ผมคงไม่เหงาปิดทีวี ปิดไฟ แล้วเปิดเพลงฟังแทน เพลงที่ทำให้ยิ่งเหงา ผมชอบอยู่กับอารมณ์ให้สุดขีด เหงาให้มากที่สุดเท่าที่จะเหงาได้ แล้วพอเบื่อผมก็จะหายเหงาเอง ผมใช้วิธีนี้บ่อย มันได้ผลนะ วิธีนี้เหมาะกับคนขี้เบื่อ ผมฟังเพลงที่เกี่ยวกับความเหงาไปหลายต่อหลายเพลง

ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน..ไม่มีวันนั้น..จันทร์คืนแรม..วับแวมอยู่บนปลายฟ้า..คงล้าอ่อนแรง..ทอแสงแหว่งเว้าครึ่งดวง..คืนเหงามันเศร้า..มันซึมในทรวงจันทร์เพียงครึ่งดวง..คล้ายจันทร์เจ้ารอใคร

หัวใจของผมก็เหมือนจันทร์คืนแรม เลยไม่เคยมีค่าพอจะยกให้ใคร ใครจะอยากได้ใจที่ไม่เต็มดวง

เคยรู้สึกไหม..เวลาไม่มีใครแล้ว..จะมองไปทางไหน..ไม่มีใครให้พูดจา..ไม่มีเลยสักคน..จะหันมามองและเข้าใจ..คนๆ ..นี้ที่มันไม่มีอะไร

เพลงเหงาที่ใครก็คงเคยฟัง เนื้อเพลงเหมือนแต่งมาจากชีวิตผมตอนนี้ คนที่ไม่มีอะไรอย่างผมต้องเหงามากแค่ไหน ถึงจะเพียงพอกับความว่างเปล่าที่เผชิญ

คำว่ารักคงยังไม่พอ..เธอคงไม่รับฟัง..รักคงยังไม่พอ..แต่อยากจะขอ..ได้พบได้พูดให้เธอเข้าใจ..ให้รู้ในใจ..ยังรักเธออยู่แต่กลัวจะซ้ำเติมทุกข์ให้เธอเจ็บช้ำ .....เพราะรักคงยังไม่พอ

ใช่แค่รักมันไม่พอ เพราะมันกินไม่ได้ไง ผมจะรักบี๋มากแค่ไหนมันก็ไม่ทำให้บี๋อิ่มได้อยู่ดี

แค่ได้เห็นเขาเดินข้างๆ ..เธอ..คนหน้าเดิมอย่างฉันก็เริ่มเข้าใจ..ว่าความรักต้องการกว่าหัวใจ..แต่ไม่โทษใครก็ได้ยิ้มและยินดี

ไม่ว่าบี๋จะเลือกใคร แฟนเก่าหรือเพื่อนสนิท ผมก็ควรยินดี เพราะคนอื่นไม่ว่าใครก็คงดูแลเขาได้มากกว่าผม ตอนนี้แค่รถสองล้อขับพาเขาไปส่งคอนโดผมยังไม่มีเลย

เมื่อตะวันลับลา..ฟ้าก็หมองมืดหม่น..ทนเงียบเหงาอ้างว้าง..เมื่อเธอลาลับไกล..กลับอุ่นไอไม่สร่าง..ใจฉันค้างเคียงเธอ

ผมน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว อ้างว้างเหมือนอยู่คนเดียวในโลก ถ้าไม่มีพ่อกับแม่ผมคงอยากฆ่าตัวตาย เพราะเบื่อเหลือเกินที่จะเป็นคนไร้อนาคตแบบนี้ เหมือนพายเรือในอ่างวน ไม่เห็นฝั่ง ไม่มีจุดหมาย

หลายเพลงจบไป เพิ่มระดับความเหงาที่มีราวหมอกหนายามเช้าตรู่ของฤดูหนาว มันแทรกอยู่ในลมหายใจ ดั่งความเปียกชื้นที่พร้อมซึมผ่านจนชื้นแฉะ เจ็บปวดและหนาวเหน็บ ข่มอารมณ์ยังไงก็ไม่อุ่นขึ้นมาเลยสักนิด

ผมเคยใช้ประโยคที่ว่า คนเราเกิดมาคนเดียวและตายจากไปคนเดียว ในงานเขียนของตัวเอง มันเป็นปรัชญาความจริงที่มีค่า แต่ตอนนี้ผมกลับทำได้แค่เหยียดยิ้ม แล้วยอมรับอย่างไม่อายมัน ประโยคนั้นแค่คำของกวีที่ไร้เพื่อน ปลอบตัวเองว่าไม่เหงา และหลอกตัวเองว่าอยู่คนเดียวได้

ก่อนหน้าที่จะมีบี๋เข้ามา ก่อนหน้าที่โลกส่วนตัวของผมจะเริ่มหดหาย ผมยังมีความสุขกับวันว่างเปล่าของผมได้ อยู่บ้านคนเดียว ไม่อยากแม้แต่จะเลี้ยงหมาไว้เป็นเพื่อน เพราะผมไม่ชอบดูแลใคร

จมกับความคิดและตัวหนังสือมากมายในหน้ากระดาษ ตัวอักษรที่ผมเป็นคนเลือกเอง และบ่อยครั้งที่หลุดลอยไปกับตัวหนังสือของคนอื่น แต่ในเวลานี้ตัวหนังสือกลับเติมเต็มความว่างเปล่าของใจผมไม่ได้อีกต่อไป

เรือนร่างของเขาต่างหากที่ผมต้องการ

ดวงตากลมโตของเขาต่างหากที่ผมอยากจดจ้อง

ความคิดของเขาต่างหากที่ผมอยากทำความเข้าใจ ท่ามกลางตัวอักษรมากมายที่เคยผ่านตาผม กลับมีแค่คำเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้ บี๋









..............................................................

เพลย์ลิสต์เพลงเหงาๆ ของพี่กาศ

เพลงจันทร์โจ้ ธณรัฐ ปิ่นเวหา

เหงา – PEACEMAKER

รักแท้มีแค่ครั้งเดียว - อินคา

รักคงยังไม่พอ เสือ ธนพล

ฉันจะฝันถึงเธอ สุภัทรา อินทรภักดี

เวลาคุณเหงาคุณชอบฟังเพลงอะไร?



#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:00:14 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 15

ของขวัญของโม





‘มึงชอบเพื่อนมึงเหรอ’

ถ้าพี่กาศยังดูออกทำไมเจ้าตัวถึงดูไม่ออกบ้าง บางครั้งผมก็คิดว่าอยากบอกบี๋มันให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมคิดยังไงกับมัน ผมชอบมันผิดตรงไหน ขนาดคนไม่สนิทไม่เคยคุยยังหลงมันตั้งหลายคน แล้วผมที่เป็นเพื่อนสนิทมีเหรอจะไม่เผลอใจ

บี๋ดูดีทั้งรูปร่างหน้าตา น่ารักทั้งนิสัยใจคอ ทุกอย่างที่มันประกอบกันจนเป็นคนชื่อบี๋ มันคือของขวัญสำหรับคนที่ได้เจอได้รู้จัก

‘มึงชื่อไรวะกูชื่อจริงทนาย ชื่อเล่นโม รหัส....’

‘ดลลธี ชื่อเล่นบี๋ รหัส....’

ตอนนั้นเสียงใสของมัน ทำให้ผมเงยหน้ามองเพื่อนใหม่เต็มตาเป็นครั้งแรก ในขณะที่เพื่อนคนอื่นผมแค่ถามชื่อไม่สนใจจะดูหน้าด้วยซ้ำ เราทุกคนกำลังง่วนกับการล่ารายชื่อเพื่อนให้ครบทุกคน ตามคำสั่งของรุ่นพี่

บี๋เป็นคนแรกที่ผมคุยด้วยแค่ไม่กี่คำก็ถูกชะตา มันน่ารักยิ้มง่าย มีความเป็นมิตรแผ่ออกมารอบตัว ใครก็อยากเข้าไปคุยกับมัน ส่วนผมมีแค่หน้าตาดีแต่คุยไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ปากหมาด้วยไง ดังนั้นกับคนที่ไม่สนิท ผมจะฟังมากกว่าพูด

‘เสร็จแล้วมึงไปไหนต่อเหรอบี๋’ ผมรีบคว้าโอกาสที่จะทำความรู้จัก

‘เดี๋ยวแฟนมารับอ่ะ’ แพ้ตั้งแต่ยังไม่แข่ง ไม่เป็นไรเป็นเพื่อนก็ได้



จากนั้นผมกับมันก็สนิทกันมากที่สุด มีเพื่อนที่ไปไหนด้วยกันอีกสามสี่คน แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะมีแค่บี๋คนเดียวที่ผมเกาะติดเหมือนเงา ผมได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัย ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายเข้าหาผมไม่เว้นวัน แต่ผมก็ไม่ได้คบใครจริงจัง เล่นไปเรื่อยๆ รอเพื่อนสนิทเลิกกับแฟน

ยิ่งช่วงขึ้นปีสองใหม่ๆ บี๋กับแฟนมันมีปัญหากัน ผมก็ยิ่งมีเวลาอยู่กับบี๋มากกว่าเดิม หลายครั้งที่ผมพยายามยุให้มันเลิกกับแฟน แต่ใช่ว่าผมใส่สีตีไข่ความจริงทั้งนั้นแหละ อย่างตอนเจอบ้านั่นพาน้องหน้าใสคนหนึ่ง มากินข้าวโรงอาหารเดียวกัน ผมตั้งใจบอกบี๋ให้มันรู้ตัวและให้มันตาสว่างสักที

‘กูเจอแฟนมึงว่ะ’ บี๋ก้มหน้านิ่งมือจับช้อนแน่น ได้ยินมันสูดน้ำมูกเบาๆ

‘ขอพูดเป็นครั้งที่สามล้านแปดสิบเถอะนะเพื่อน เลิกเถอะกูไหว้ก็ได้’

‘กินเถอะกูโอเค’

แต่ผมไม่โอเค มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรู้ดีว่าการตัดใจมันยาก ขนาดผมเองยังเอาตัวไม่รอด คิดจะตัดใจหลายต่อหลายครั้งจากมัน แต่สุดท้ายแค่มันมาเกาะหลัง กอดคอผม ยิ้มอ้อนผม ก็ตัดใจไม่ลง รักโดยไม่หวังผลตอบแทน ขอแค่ได้รัก ไร้สาระที่สุด!!

ทำไมผมจะไม่หวัง เมื่อผมยอมเผลอใจที่จะรัก ผมไม่หยุดแค่แอบให้เสียเวลา

ผมแค่รอ...

รอให้บี๋เลิกกับแฟน...ซึ่งใกล้เลิกแล้วผมมั่นใจ

รอให้บี๋ลืมไอ่เบย์...ตอนนี้ยังไม่มีหนทาง

พยายามคิดถึงหนทางที่จะทำให้มันตัดใจจากคนที่มันบอกว่าเป็นรักแรก รักมากจนยอมใจดีใจกว้าง เจ็บก็ร้องไห้คนเดียว

คนอย่างมันจะต้องเสียเวลาให้คนเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นค่ามันทำไม

ในเมื่อมีคนอื่นอยากดูแลมันเยอะแยะ หนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนสนิทอย่างผมคนนี้



ในคลาสเรียนวิชาหนึ่งบี๋ไม่ได้เรียนด้วย ผมเจอเพื่อนที่พอจะสนิทอยู่บ้างเรารู้จักกันตอนประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัย มันมีแฟนเจ้าชู้เหมือนบี๋เลย

‘ผึ้งมึงดีขึ้นแล้วเหรอ อาทิตย์ก่อนยังเห็นลงสตอรี่ร้องไห้จะเป็นจะตาย’

‘เลิกร้องล่ะ กูได้คนใหม่แล้ว จะเสียเวลาร้องไห้คนเก่าเฮงซวยทำไม’

ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมคิดอะไรดีๆ ออก หาคนมาแทนไอ่เบย์ซะ ใครคนนั้นต้องหล่อกว่า และต้องไม่สามารถคบกับบี๋ได้

ผมไม่ใช่คนดี เมื่อมีหนทางที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการผมก็จะเสี่ยงลงมือ



พี่กาศคือพี่ชายข้างบ้าน รู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก ใจดี หล่อ ผมไม่เคยเห็นพี่เขามีใครเป็นตัวเป็นตน เคยถามเขาว่า ไม่พร้อมจะดูแลใคร นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพาเขามารู้จักกับบี๋ แม้วันแรกทั้งคู่จะดูไม่สนใจกันเท่าไหร่ แต่ผมก็หาวิธีให้เขาสองคนใกล้ชิดกันจนได้

ถึงตอนนี้คงมีคำถามกันว่า ทำไมผมไม่ทำให้บี๋ลืมซะเอง คำตอบคือผมไม่กล้าไง และไม่แน่ใจสักนิดว่าจะทำได้ ง่ายๆ คือผมผลักส่วนที่ยากที่สุดของข้อสอบให้พี่กาศทำ เมื่อสำเร็จพี่กาศก็ต้องถอยให้ผมทำต่อในส่วนที่ง่ายกว่า แล้วผมก็จะเป็นคนได้คะแนนคนเดียวเต็มๆ

เมื่อบี๋ลืมเบย์ได้มีใจให้พี่กาศ ซึ่งบี๋ก็จะรู้ว่าไปต่อกับพี่กาศไม่ได้ มันก็จะไม่เหลือใคร และหัวใจก็จะอ่อนแอมากพอ ที่จะรับผมเข้าไปได้ง่ายๆ อย่างน้อยที่สุดตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดถึงไอ่เบย์แล้ว บี๋คือคะแนนที่ผมจะได้ครอง

ผมไม่ได้ฉลาดเลยก็แค่ เห็นแก่ตัว

‘กูจะจ้างพี่กาศเขียนบทหนังสั้นให้เรามึงคิดว่าไง’

‘จ้างทำไมวะ เขียนเองก็ได้’

‘กูมโนไม่เก่ง ถ้าไม่จ้างมึงเขียนเองนะ’

‘ไอ่โม!!’

‘ไม่รู้แหละกูจะจ้าง ตังค์กูออกเองก็ได้’

สุดท้ายมันก็ยอมตามใจผม รู้สึกใกล้เป้าหมายขึ้นมาอีกนิดก็วันที่ บี๋โทรมาหาผมบอกว่าเลิกกับไอ่เบย์แล้ว มานั่งเป็นเพื่อนมันหน่อย ผมไม่ลืมจะพาพี่กาศไปด้วย บี๋เมามากตามันเศร้าจนผมใจหาย

ผมรู้มันไม่อยากพูดอะไรต่อหน้าผม เพราะมันหวังว่าสักวันจะกลับไปคืนดี แล้วผมจะมองแฟนมันไม่ดี มันดีเกินไปจริงๆ สำหรับคนเลวแบบนั้น ผมเลยจำใจปล่อยมันไว้กับพี่กาศ แล้วก็พาตัวเองไปแอบมองมันอยู่ที่มุมไหนสักมุมของผับ ที่คนทั้งสองไม่รู้ว่ามีสายตาผมจ้องอยู่

พูดอะไรบ้างผมไม่ได้ยิน แต่ที่ผมเห็นมันลุกไปนั่งข้างเขา และเริ่มจูบพี่กาศก่อน ผมคงใจแข็งไม่พอจะเห็นพวกเขาสองคนจูบกัน พยายามคิดว่าผมยังไม่มีสิทธิ์หึง แต่มันยากเกินไป

ลุกเดินไปที่โต๊ะราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น บี๋กลับมานั่งที่เดิมแล้ว ทำเหมือนไม่ได้ย้ายไปนั่งข้างพี่กาศและไม่ได้จูบกัน พี่กาศถามอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอกหักทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

“เอาจริงนะตอนแรกที่เห็นมึงสองคน กูนึกว่าเป็นแฟนกันซะอีก” ผมรีบออกตัวกลัวบี๋มันจะสงสัย “แฟนไอ่บี๋เหรอ อี๋ไม่นะ ผมไม่นิยมเอาควายมาทำเมีย”

แต่ถึงจะเมาแค่ไหนบี๋ก็ไม่เคลิ้มกับผมอยู่ดี

“โอ๊ยยย กูก็ไม่สนมึงหรอกไอ่เดือนมหาลัยปากกูเนี่ย จูบได้แค่คนที่กูชอบเท่าน้านนน” ผมรู้ว่าพี่กาศกำลังใจเต้นรัวกับประโยคนั้น ตรงข้ามกับหัวใจผมที่แทบหยุดเต้น เจ็บกว่าการโดนบอกว่าไม่รักแล้ว ก็คือคำว่าไม่เคยคิดจะรักเลย

ผมจะวิ่งไปไหนเหรอ อย่าว่าแต่เส้นชัยเลย ลู่วิ่งของตัวเองผมยังมองไม่เห็น พี่กาศไปเข้าห้องน้ำ ไอ่บี๋ซบหน้าลงกับไหล่ผม

“ง่วงละสิมึง”

“อือ นิดโน้ยย”

“มึงชอบพี่กูไหม เขาเป็นคนดีนะ”

“ชอบ”

ตั้งแต่ผมรู้จักมันมา ผมมีมีดของตัวเอง วันดีคืนดีก็เอามาแทงใจตัวเองเล่น

เจ็บเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ



“แค่ชอบเท่านั้นนะ กูคงรักใครไม่เป็นอีกแล้วว่ะ” ผมรู้ว่าบี๋ไม่ได้เมามากขนาดไม่รู้ตัวว่าจูบใคร

“มันมีอะไรเหรอไอ่เบย์เนี่ยกูอยากรู้นัก”

“มึงไม่เข้าใจหรอกโม” ใช่ผมไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจบี๋นะ ผมไม่เข้าใจตัวเองต่างหาก บี๋มันก็ชัดเจนกับผมว่าแค่เพื่อนมาตลอด แต่ผมก็ยังดื้อด้านจะทำอะไรเพื่อให้มันหันมามอง ผมรักมันในฐานะเพื่อนนะ แต่ผมก็ตัดใจจากมันในฐานะคนที่ผมรักไม่ได้ ไม่เข้าใจจริงๆ



แล้วคืนนั้นผมก็ทิ้งบี๋ไว้กับพี่กาศ ทั้งที่รู้ว่าอาจมีอะไรเกินเลยแต่ผมไม่แคร์ถ้าบี๋ต้องการผมก็ไม่ว่า บี๋ไม่ได้รักไอ่เบย์จนโงหัวไม่ขึ้นคนเดียวหรอก ผมเองก็รักบี๋จนยอมรับได้ทุกอย่างเช่นกัน ผมแค่รอ รอจนกว่าจะมีที่ให้ผมยืนในใจมัน แล้วอย่าหวังว่าใครหน้าไหนจะมาแตะต้องมันได้อีก

ถึงจะฝืนหัวใจแค่ไหน แต่ผมก็ต้องไปต่อเป็นพ่อสื่อต่อไป วันที่พี่กาศโทรหาบอกพี่เขาว่าเราอยู่ไหน แล้วพี่ก็ตามมา แทบจะยิ้มไม่ออกตอนบี๋แนะนำว่าพี่กาศเป็นแฟนมัน

พี่กาศรถชนบี๋ดูเป็นห่วง ผมถามมันว่ามันเอาพี่กาศมาประชดไอ่เบย์รึเปล่า ความจริงผมไม่ได้รู้ใจมันหรอก แค่เห็นพี่กาศเดินมาผมเลยถามไปอย่างนั้น อย่างน้อยก็เตือน ไม่ให้พี่กาศจริงจังกับบี๋มากเท่านั้น...ผมมันเห็นแก่ตัว



ตอนนี้กำลังจะไปหาบี๋ที่ห้อง เป็นอะไรไม่รู้ส่งข้อความบอกว่าไม่โอเค โทรหาก็ได้ยินเสียงสั่น ห่วงมันมากรีบจนรถเกือบชน ยังดีที่มาถึงห้องมันโดยสวัสดิภาพ

“มึง ฮือออ” มันโผกอดผมแน่นร้องไห้สะอึกสะอื้น

“บี๋ใครทำอะไรมึง บอกกู”

"โม...." ผมกอดมันลูบหลังมันอยู่นาน จนมันเลิกร้อง

นั่งตาแดงสักพัก มันก็พูดขึ้นมา “กูพลาดเองโม กูพลาดเอง”

แล้วก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ ผมเลยลุกไปหาน้ำเย็นมาให้มัน

“ใจเย็นๆ กินน้ำก่อนมึง”

เทน้ำยื่นให้รอจนหยุดร้องแน่แล้ว และเริ่มเล่าที่อยากเล่าเอง ไม่ว่าจะต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ผมก็ยอม ตามันแดงจนน่าสงสาร ผมเผลอจ้องริมฝีปากแดงที่เผยอนิดๆ ร้องไห้หนักจนต้องหายใจทางปากแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก คิดเองในใจไปหลายเรื่องว่าอะไรคือสาเหตุจนมันยอมเล่าเพิ่ม

“วันนี้วันเกิดเบย์”

“แล้ว”

“มันโทรมาบอกว่าโปรดยึดรถมันไป อยากให้กูไปรับ” โปรดน่าจะแฟนใหม่ไอ่เบย์

“แล้วมึงก็ไป” มันพยักหน้า ทำตาลอยเล่าต่อ

“พอกูไปถึงมันบอกว่าวันเกิดมัน มันอยากอยู่กับคนสำคัญ มันบอกว่ากูสำคัญ” น้ำตาที่เริ่มแห้ง รื้นไหลลงอาบแก้มอีกรอบ ผมอดไม่ได้จะเช็ดน้ำตาให้มัน

“ไม่เป็นไรนะมึง ไม่เป็นไร” ลูบหัวบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมไม่ได้บอกมันผมบอกตัวเองต่างหาก

“มันถามกูว่ากูรักมันบ้างไหม ทำไมกูยอมให้มันมีคนอื่น ไม่เคยโวยวายอะไรเลย มันคิดว่ากูไม่รักมัน โมกูทำพลาดเอง ทำให้มันเลือกคนอื่น กูไม่โอเค กู......”

ผมไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป ผมแค่ไม่อยากฟังมันโทษว่าตัวเองผิด ทั้งที่มันไม่ผิดเลยสักนิด บี๋ตามองผมตาค้างปากมันเม้มจนเป็นเส้นตรง ผมแค่ใช้ปากผมประกบปากมัน แค่ปิดปากให้มันเงียบไม่ได้จะล่วงล้ำ ตัวผมถูกผลักออก

“โมมึงทำห่าไรวะ” สติเริ่มกลับมา ไม่ใช่บี๋หรอกที่พลาด ผมต่างหาก

ผมพลาด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:01:30 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 15 (27/11/18)
«ตอบ #18 เมื่อ27-11-2018 13:11:53 »

ไม่มีใครเจ็บกว่ากันหรอก
เจ็บกันหมดนี่แหละ
ถือมีดคนละเล่มเอาไว้แทงตัวเอง
ใครไม่ไหวก่อนค่อยหันมีดแทงคนอื่น
อันนี้ล่ะมันส์
+1 ขอบคุณ
 :mew3:


ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 15 (27/11/18)
«ตอบ #19 เมื่อ28-11-2018 02:34:27 »

เจ็บหมดทุกคนเวอร์ แง้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 15 (27/11/18)
« ตอบ #19 เมื่อ: 28-11-2018 02:34:27 »





ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 16

รักไม่ได้ หรือ ไม่ได้รัก


บี๋...



ผลักเพื่อนสนิทที่เพิ่งจู่โจมประกบปากออกให้ห่าง “โมมึงทำห่าไรวะ”

สิ่งที่มันตอบกลับคือความเงียบ รู้ทั้งรู้ว่าความเงียบของมันคืออะไร แต่ก็รั้นอยากฟังรูปประโยคที่ชัดเจนกว่าความเงียบ

“เงียบทำไมตอบกูมา” คาดคั้นจนโมคงเริ่มเครียด กำหมัดแน่นไม่พูดไม่จา

ลุกขึ้นเหวี่ยง­­หมัดลงบนผนังปูน ระบายความรู้สึก เสียงดันจนผมเจ็บแทน

ในเมื่อมันไม่พูดผมเลยเดินเข้าห้องนอน ทิ้งเพื่อนรักที่ดันมาแสดงความรู้สึกเกินเลยในวันที่ผมไม่มีอารมณ์จะฟัง หยิบมือถือจะโทรหาพี่กาศแค่อยากคุยกับใครสักคน ก่อนจะเป็นบ้าเพื่อนสนิทคนเดียวที่มี นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังทำผมเครียดกว่าเดิม

มองรายชื่อหน้าจอแต่ไม่กล้าโทรออก ตอนโทรถามว่าโมออกมารึยังคงฟังออกว่าผมร้องไห้ เขาก็ไม่ได้ถามว่าเป็นอะไร พี่กาศไม่วุ่นวายกับเรื่องที่ผมไม่เล่า

เหลือตัวคนเดียวแล้วนะบี๋ ทั้งที่มีแต่คนมาบอกว่ารัก แต่กลับไม่เหลือใครสักคนที่จะรับฟังผมอย่างแท้จริง



“ก๊อกๆ” ผมยกหลังมือปาดน้ำตาออก ถอนหายใจสั้นๆ ลุกไปเผชิญกับความจริง คนที่อยู่หลังบานประตูไม่ใช่โม แต่เป็น

“เบย์..” ผมดันประตูจะปิดอีกครั้ง แต่เบย์พุ่งตัวเข้ามาแทรกไว้ก่อน

“มีอะไรออกมาคุยกันข้างนอก” เสียงโมดังขึ้น ใจชื้นมาหน่อยอย่างน้อยมันก็ยังไม่ทิ้งผมไป ผมนั่งอยู่ตรงข้ามเบย์ โมเดินออกไปที่ระเบียง ยืนมองเราสองคนอยู่

“เบย์ขอโอกาสได้ไหมบี๋ เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่นะ เบย์เคยคิดว่าจะทำตัวให้ดีกว่าเดิม แล้วค่อยกลับมาขอโอกาสแต่ตอนนี้ไม่อยากรอแล้วกลัวเสียบี๋ไป”

ผมหัวเราะทั้งน้ำตา เหมือนคนบ้าทั้งดีใจทั้งเจ็บปวดในคราวเดียว เบย์ลุกขึ้นมานั่งข้างทำท่าเหมือนจะกอด เจ้าของสายตาคมที่ยืนกระดิกเท้าที่ระเบียงเดินเข้ามาอย่างเหลืออด

“โมมึงออกไปก่อนได้ไหม กูขอร้อง” รู้ว่าเป็นประโยคที่คนฟังต้องเจ็บปวดไม่น้อย นั่นเท่ากับผมเลือกเบย์และไล่มันออกไป นั่นแปลว่ามันคือคนอื่น และมากที่สุดก็เป็นได้แค่เพื่อน

“กูรอหน้าห้อง” สายตาโมทำให้ผมใจหาย เหมือนมันทำของสำคัญหล่นหาย ผมหาสายตาของเพื่อนสนิท ที่มองผมด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างจริงใจไม่เจออีกแล้ว เหลือแค่คนแปลกหน้า ที่อยู่ในร่างของมัน เลือดเริ่มซึมออกมาจากแผลที่หลังมือ แต่มันดูไม่เจ็บเลยสักนิด

โมทรุดลงนั่งตรงข้ามประตูที่เปิดกว้างไว้ มือประสานไว้บนเข่าที่ชันขึ้น เงยหน้ามองผมกับเบย์ เบย์ดูไม่ค่อยพอใจนัก

“ปิดประตูได้ไหม เบย์ไม่ชอบให้เพื่อนบี๋มานั่งจ้องหน้า”

“ไม่ชอบก็กลับไปซะสิ”

“ไม่ไป โอเคตามใจบี๋อยากให้เรื่องของเราเป็นเรื่องของคนอื่นไปทั่วก็ตามใจ”

“พูดเหมือนที่ผ่านมาเรื่องของเรามันมีแค่เราสองคน”

ผมตอกกลับอย่างเหลืออด

“ขอโทษ เบย์ไม่รู้ว่าบี๋เสียใจ” เสียงเขาสั่นเหมือนจะร้องไห้ ผมไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว ตอนนี้นาทีนี้ผมจะพูดออกไปให้หมด

“ถามจริงถ้าบี๋มีคนอื่น เบย์จะรู้สึกอะไรไหม เบย์มีคนอื่นทั้งที่เราคบกันอยู่ ไปจีบคนอื่นแล้วบอกบี๋ว่าไม่ว่างมาหา โกหกว่าเพื่อนไม่จัดงานวันเกิดเพราะอยากพาคนอื่นไป บอกว่าไปซ้อมหลีดให้น้อง น้องที่ไหนเหรอน้องชื่อโปรดหรือเปล่า คนที่บี๋เพิ่งรู้ว่าเบย์คบกับเขามาเกือบปี พาไปบ้าน วางแผนจะหมั้นกัน เราคบกันมาสี่ปี แม้แต่ชวนไปบ้านเบย์ยังไม่เคยชวน ถ้าจะมีคนอื่นในชีวิตเบย์คนนั้นก็คือ..บี๋”

ปลายประโยคผมแทบไม่มีเสียง เรื่องที่คิดจะพูดยังมีอีก แต่ก้อนความเจ็บที่จุกแน่นอยู่ในอกล้นมาที่ขอบตา มันปิดกั้นเสียงที่จะเปล่งออกไปหมด

เบย์ขมวดคิ้วเหมือนไม่ยอมรับเรื่องที่ผมพูด ก่อนจะลดระยะห่างระหว่างเราลงจนแทบไม่เหลือ เขาประคองหน้าที่เปื้อนน้ำตาของผมช้าๆ อ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขาปลอบผม

“ฟังเบย์นะครับ กับโปรดเพิ่งคบกันไม่ถึงปี แล้วเบย์ไม่เคยพาเขาไปที่บ้าน ไม่มีการหมั้นอะไรทั้งนั้น เรื่องงานวันเกิดโฮมเบย์ผิดจริงแต่เพื่อนเบย์ไม่ชอบโปรด ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เบย์พาโปรดไปหาเพื่อน และวันที่เบย์รถชนเบย์อยากเจอบี๋มาก เลยเอาเรื่องโปรดมาอ้าง อีกอย่างคือถ้าโทรหาเพื่อนคนอื่นมันคงไม่มารับโปรด เห็นแก่ตัว...เบย์ยอมรับ”

“.............” อยากจะเชื่อแต่ที่ผ่านมาโดนหลอกมาเยอะเกินไป

“พี่เบย์!!”

คนที่ไม่น่าจะมายืนอยู่หน้าห้อง คงได้ยินหมดแล้ว โปรดกำมือแน่นตาแดงแต่ยังไม่มีน้ำตา โมลุกเดินตามเข้ามายืนใกล้ผม ตอนนี้จะว่าสงสารโปรดไหมก็สงสาร จะว่าสะใจไหมก็สะใจ แต่ต้องยอมรับว่าถ้าสะพานไม่ทอดไปหา ใครจะได้ข้ามมาจริงหรือเปล่า

เบย์ถอยออกห่างจากตัวผม มองโปรดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ออกปากสั่งน้ำเสียงเย็นชา “โปรดกลับไปก่อน” คนโดนไล่กำหมัดแน่นตะโกนกลับดูจากท่าทางไม่น่าจะยอมง่ายๆ

“ไหนว่ากับพี่บี๋แค่เพื่อน แล้วที่พูดเมื่อกี๊หมายความว่าไงวะ”

“เพื่อนกูไม่ใช่ของตาย มึงพาคนของมึงออกไปได้ล่ะ” โมที่ยืนฟังอยู่นานเริ่มมีปากมีเสียง มันจับมือผมแน่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงโผซบกอดมันแล้ว

แต่ตอนนี้ผมแทบไม่มีกะใจจะร้องไห้ด้วยซ้ำ สำหรับผมโมไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของผมอีกต่อไป มันไม่บริสุทธิ์ใจ ผมเลยไม่กล้าจะทิ้งตัวไปหามันอีกแล้ว

“กูรักบี๋คนเดียว บี๋คือคนที่สำคัญสำหรับกูแค่คนเดียว” เบย์บอกโมชัดเจนทุกคำ โปรดสะอึกสะอื้นดูน่าสงสาร ตัวผมที่รอฟังคำนี้มาตลอดหลายปี กลับเห็นแค่ความว่างเปล่า

ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งจนสุดทางเพื่อรู้ว่ามาผิดทาง ผมยังรักเบย์แต่กลับไม่อยากได้ยินคำว่ารักจากปากเขาอีกต่อไป มันไม่มีค่าพอๆ กับคำว่ารักที่ผมยังหลงเหลือให้เขา เหมือนตะกอนฝุ่นก้นแก้วรอวันล้างออก เก็บไว้ก็ไร้ค่ารกหูรกตาเปล่าๆ

“แล้วพี่มาคบผมทำไม มึงมาจีบกูทำไม” โปรดถามด้วยอารมณ์หยาบกระด้าง น้ำเสียงที่เค้นออกมาสั่นทุกคำ ผมรู้ว่าเขารู้สึกแย่และอ่อนแอมากแค่ไหน

แปลกที่ครั้งหนึ่ง ผมก็อยากถามเบย์แบบนั้นบ้าง แต่ไม่ว่าผมจะเสียใจ น้อยใจ หรือโกรธมากขนาดไหน ผมก็ไม่เคยหลุดคำหยาบคายใส่เขาเหมือนที่เขาก็ไม่เคยทำกับผมเช่นกัน

เราสองคนรักกันมาก แคร์กันมาก หรือเราไม่เคยรักกันเลย?

“พี่ขอโทษ พี่แค่อยากให้โปรดทำให้พี่เป็นคนรักที่ดีพอสำหรับบี๋ พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องยังไง โปรดน่ารักแล้วก็เป็นคนตรงๆ พี่คิดว่า....”

เบย์ยังพูดไม่จบ ก็มีเสียงดังขึ้นแทรก “มึงเห็นกูเป็นทางผ่าน พี่เบย์สันดานอย่างมึงอีกร้อยกู ก็ขัดเกลาไม่หมดหรอก”

แต่ละคำช่างบาดลึก ทั้งคนพูดและคนฟัง โมบีบมือผมเบาๆ คงอยากถามว่าผมโอเคไหม ผมยิ้มบางให้มันว่าโอเค ไม่มีวันไหนที่ผมจะโอเคเท่าวันนี้อีกแล้ว

“ออกไปเถอะเบย์เรื่องของเรามันจบไปแล้ว ไม่ใช่บี๋ที่เบย์ควรจะเคลียร์”

ในที่สุด มันมีวันนี้อยู่จริงๆ วันที่ผมไล่คนที่ผมคิดว่าชีวิตนี้ขาดเขาไม่ได้ คำพูดของโปรด และเหตุผลที่เบย์บอกมาผมรับไม่ได้ ถึงจะรักแต่ไม่คิดจะรั้งเขาไว้ ถึงไม่มีโปรด เบย์ก็มีข้ออ้างไปคบคนอื่นอยู่ดี ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่า โปรดไม่ใช่ปัญหา เบย์ต่างหากที่ผมต้องจัดการให้พ้นไป

“บี๋..ผมขอโทษ ผมรักบี๋นะ” คนพูดคุกเข่าลงต่อหน้าผม ก้มหน้าหน้าตาไหล ส่วนเด็กอีกคนก็เดินมากอดเบย์ไว้ เสียงร้องของสองคนดังเกินไป จนผมต้องบอกให้โมไปปิดประตู

ห้องผมอยู่สุดทางเดิน อีกสองห้องเขาไม่ค่อยอยู่ก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากให้เสียงร้องไห้มันดังออกไปมากกว่านี้ พอคิดอะไรได้ก็เริ่มจะอาย

น่าสมเพชเวทนาตัวผมเอง ที่เคยคิดว่าผู้ชายคนนี้ไม่รัก ไม่สนใจ และอยากเป็นเหลือเกินคนสำคัญของเขา น้ำตาผมเหือดหายราวไม่เคยไหลมาก่อน



ผมโยนมีดในมือทิ้งตอนที่โปรดบอกว่า ต่อให้มีเขาสักร้อยคน ก็ไม่ช่วยให้สันดานเบย์ดีขึ้นมาได้ ตลกดีแต่มันก็จริง แล้วผมก็ตัดใจได้ตั้งแต่ตอนที่โปรดเดินมากอดเบย์ไว้ ทั้งที่ตัวเองเพิ่งด่าทอเขาไปดูโง่เง่าจนผมยอมแพ้ ถ้าต้องไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรดกับเบย์ ผมคงไร้สมองและดันทุรังรักได้ไม่เท่าโปรด

เหมือนเห็นตัวเองในอดีต ครั้งหนึ่งผมเคยอยากทำแบบนั้น กอดเขาไว้ใช้น้ำตาล่ามคนที่เรารั้งได้แค่ตัว เฝ้ามองหัวใจของเขาที่โบยบินไปหาคนอื่น วันนี้โชคดีที่ผมเป็นคนอื่น คนที่ใจเขาโบยบินมาหา แต่เราสามคนต่างรู้ดีว่า วันข้างหน้าใจของเบย์จะโบยบินต่อไป หัวใจเขาเหมือนนกที่รักอิสระ ไม่อยู่กับฝูง ไม่มีหลักแหล่ง อยากไปไหนก็ไป เหนื่อยก็พัก

การเป็นดิ้นรนเป็นเจ้าของหัวใจของผู้ชายคนนี้มันเหมือน เรากำลังไล่คว้าสายลม นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังเหนื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ผมพอแล้ว ผมเหนื่อย

“พาโปรดกลับไป ดูแลน้องให้ดี บี๋ก็รักเบย์แต่มันคงไม่เท่าที่โปรดรักหรอก”



เดินเข้าห้องนอน ทิ้งคนสามคนไว้ข้างนอก ต้องอยู่ให้ได้เพราะที่ผมเจอมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับเด็กคนนั้น ตอนนี้ความสะใจไม่มีอยู่แล้ว แม้แต่เศษของความไม่ชอบหน้าน้องโปรดผมก็คิดว่าหมดไปแล้ว ไม่ติดใจแล้วจะไปตายกันที่ไหนผมไม่อยากรับรู้

ที่ผมตัดใจได้ เพราะผมพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอใจกับน้ำตาและเสียงร้องไห้ของคนสองคนที่เคยทำร้ายหัวใจผม หรือผมเลิกหวังในตัวเบย์กันแน่

ไม่มีใครตอบได้....แม้แต่ตัวผมเองก็ตอบไม่ได้ เสียงประตูปิดลง คงมีใครสักคนออกไปแล้ว ผมภาวนาขอให้โมยังอยู่ ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับมันต่อให้จบ ไม่อยากค้างคาให้ความเป็นเพื่อนพังไปมากกว่านี้

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เปิดให้กูหน่อย” อย่างน้อยมันก็ยังอยู่

“ออกไปคุยข้างนอกดีกว่า” ท่าทีของผมคงทำให้มันรู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร

มันเดินนำไปที่ระเบียง ความอึดอัดลอยปนไปในอากาศ เราต่างก็เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาด้วยกัน ตอนนี้เลยรู้สึกสบายใจขึ้น

ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดไม่ใช่วัคซีน แต่เป็นโรคร้าย ยิ่งเราผ่านความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเข้มแข็งมากเท่านั้น

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ” ผมเริ่มตั้งคำถาม

“วันแรกที่เรารู้จักกัน”

“............” ผมนึกอยู่นาน จำไม่ได้ว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน

“มันไม่สำคัญกับมึงขนาดนั้นเลยเหรอ” มันพูดแล้วขำ ทำเหมือนไม่เศร้าแต่สายตาที่ตัดพ้อนั้นทำเอาผมรู้สึกแย่

“กว่ากูจะรู้สึกตัวเราแม่งก็สนิทกันไปแล้วนี่หว่า” ผมบอกมันไปตามตรง

“กูอยากให้มึงลืมมันก่อน กูกลัวเจ็บ”

“หมายถึงมึงรอให้กูลืมเบย์ก่อน ถึงจะบอก” มันพยักหน้าแทนคำตอบ

“มึงกับกู เป็นเพื่อนกันไม่ดีกว่าเหรอวะ”

“คงงั้นมั้ง ถึงมึงไม่มีใครในใจ มึงก็ไม่เคยมีใจให้กูถูกมะ” มันถามตรง

ผมก็ตอบตรง “อือ” ไม่มีคำขอโทษ คนที่ถูกปฏิเสธคงไม่ต้องการหรอกคำว่า ‘ขอโทษ’ มันไม่มีค่าเลยสักนิด ประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่า คำว่าขอโทษไม่ได้เป็นคำตอบที่ทุกคนอยากได้ยินเสมอไป ขอโทษทำไมในเมื่อยังไงก็เจ็บอยู่ดี

“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไหม” ผมถามตรงบ้าง

และมันก็ตอบตรงเช่นกัน “กูขอทำใจหน่อยได้ไหม”

ผมอยากถามต่อ นานไหม? แต่โมคงไม่อยากตอบแล้ว ดูมันเหนื่อย อีกอย่างใครจะไปรู้ว่านานแค่ไหน

ตอนนี้จะตีสองแล้ว ผมยืนพิงระเบียง มองเสี้ยวหน้าของเพื่อนที่เคยสนิท มันยืนหันหน้าออกนอกระเบียง เรามองกันคนละมุม เวลาของเราไม่ตรงกัน และมันก็รู้แก่ใจว่า ไม่มีทางจะตรงกันตั้งแต่แรก

“มึงรู้ไหมวันแรกที่กูเจอมึง วันที่กูถามถึงว่าชื่ออะไร”

มันเล่าแค่นั้นแล้วก็เงียบ คงกำลังเลือกคำที่จะใช้ในประโยคต่อไปอยู่

“ทำไมอย่าบอกว่ามึงเอาชื่อกูไปค้นหาคำแปลนะ”

“สัด มึงไม่ได้ชื่อดากานดา”

“..........”

“.........”

มันเป็นมุกที่ทำให้เรายิ้มให้กันได้ แต่ก็ไม่ตลกพอให้เรารู้สึกดี

“กูแค่คิดว่าวันหนึ่งกูจะเรียกมึงว่า เบบี๋ของโม” แล้วมันก็หัวเราะ ผมก้มหน้าหัวเราะตาม เอ่อมันก็คิดได้เนอะตลกเป็นบ้าเลย

“เรียกได้นะกูให้มึงเรียกคนเดียว”

ผมลืมไปว่าคำบางคำที่คนพูดคิดน้อยเกินไป คนฟังมักจะตั้งใจฟังเสมอ

“ตั้งแต่ชื่อเบบี๋กลายเป็นชื่อมึงกับชื่อไอ่เบย์ กูก็สาปส่งชื่อนี้ทุกวัน”

“.............”

“..........”

เงียบทั้งคู่

นั่นสิชื่อนี้มีแต่คนใช้เรียกคู่ผมกับเบย์ ‘เบบี๋’ ทั้งที่คุณอาเป็นคนบอกว่ามันเป็นชื่อที่เหมาะกับผม แต่ผมกลับไม่ค่อยชอบมันซะแล้ว

โมใช้มือยีหัวผมคล้ายกับจะบอกว่าอย่าคิดมาก มันทำแบบนี้เสมอจนผมรู้สึกใจหาย ไม่อยากเสียเพื่อนอย่างมันไป ทำไมมันต้องมารักผมด้วย

“เขาชอบมึงนะ” อยู่ดีๆ มันก็บอกมาแบบนั้น

“ใครอีกล่ะ”

“พี่กาศ เขาชอบมึงถ้ากูต้องเสียมึงให้ใคร กูขอให้คนนั้นเป็นเขา”

“กูกับเขาก็ได้กันแล้วไหม” ผมพูดหน้าตาย ในเมื่อจะเปิดใจก็ไม่ควรค้างคา มันหันมามอง นิ่งไปสักพักไม่รู้ว่าคิดยังไง บางทีมันอาจผิดหวัง นี่ผมคิดน้อยไปอีกแล้วใช่ไหม

“กูว่าแล้ว” มันพูดเหมือนคนพยายามยอมรับความจริง

“โม กูแค่จะเอาพี่เขามาประชดเบย์เฉยๆ กูแม่งเหี้ยไม่ต่างจากเบย์เหรอ”

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่กล้าสบตากับความรู้สึกผิดในใจตัวเอง

“ทุกคนแม่งก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ตอนแรกที่กูพาพี่เขามาเจอมึง ก็เพราะอยากให้มึงมีคนใหม่ เลิกคิดถึงไอ่เบย์ แล้วก็ค่อยสารภาพกับมึง”

ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

ความเห็นแก่ตัวคือความจริง ที่เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์

“แล้วทำไมมึงไม่สารภาพตอนกูยังไม่ลืมเบย์”

“มึงรักมันมากกูกลัวเจ็บ แต่กับพี่กาศมึงเพิ่งเจอเขา กูอาจยังพอมีหวัง”

“มึงนี่แม่ง” ผมส่ายหัวให้ความคิดของมัน ผมกับโมเห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน แต่ผมว่าเราคิดไม่เหมือนกันสักนิด

“มึงคิดผิดนะ กับพี่กาศยิ่งรู้จักเขากูยิ่ง...” ผมเว้นคำจำกัดความที่เกิดขึ้น ในความรู้สึกของตัวเองไว้ เปล่าหรอกมันไม่ได้เป็นความลับ ผมแค่เรียกไม่ถูกเท่านั้น

“ยังไงกูก็แพ้สินะ”

“...........” เพราะผมเอาแต่เงียบมันเลยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร....บี๋....ดูแลตัวเองด้วยนะกูเป็นห่วง” คือคำบอกลา

ผมมองหน้ามันในฐานะเพื่อนสนิท ละลายทุกคำไปกับรอยยิ้มที่ส่งให้มันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำอะไรแบบนี้ ถ้าโมเลือกเดินจากไป ก็ต้องยอมรับเพราะความสัมพันธ์นี้ผมเป็นคนเลือก ถึงมันจะบีบให้ผมเลือก แต่ผมก็เลือกให้มันเป็นแค่นี้อยู่ดี

“รีบกลับมานะ กูต้องเหงาแน่ๆ ถ้าไม่มีมึง” ผมรู้ว่าผมเสียงสั่น รู้สึกอยากเห็นแก่ตัว รั้งมันไว้เป็นเพื่อนรักให้เกาะไหล่เวลาเดินไม่ไหว เป็นเพื่อนคอยแบกผมกลับเวลาเมา เป็นเพื่อนที่คอยเร่งให้เก็บของทั้งที่อาจารย์ยังไม่ออกจากห้อง เพราะกลัวปิ้งหมด เป็นเพื่อนคนที่คอยรับฟังผมทุกเรื่อง

ใจหายกว่าตอนเสียเบย์ไปหลายเท่า เพราะคำว่าเพื่อนรัก ผมไม่ได้มีให้ใครง่ายๆ



อยากให้มันรู้ว่าผมเจ็บกว่าที่มันเห็น

“ทำไมมึงต้องรักกูเกินเพื่อนด้วยวะ”



และก็รู้ว่ามันก็เจ็บไม่ต่างกันกับผม

“แล้วทำไมมึงไม่รักกูให้เกินเพื่อนละวะ”









#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:02:46 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 16 (28/11/18)
«ตอบ #21 เมื่อ28-11-2018 17:25:57 »

เยี่ยมมมมม
พอทิ้งมีด มือว่าง เราก็จะมองเห็นตัวตนและสิ่งที่อยู่ข้างๆ เราชัดขึ้น
ได้เวลาตัวตนของเราแล้ว เย้!
+1 ขอบคุณ

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2

ตอน 17

แสงของทินกร



ชันกาศ....



ผมเดินออกจากโรงพยาบาลคนเดียว พ่อกับแม่จะมารับแต่ผมโกหกว่าบี๋จะมา ความจริงผมก็แอบหวังว่าน้องจะมาแต่น้องก็ไม่มา ก็ไม่ได้รับปากว่าจะมาตั้งแต่แรก ผมแค่หวังลมๆ แล้งๆ ไปอย่างนั้น

เดินจนเลยป้ายรถเมล์ไปหลายป้ายแล้ว ตอนนี้ยังไม่สายมากไม่ค่อยร้อน

แต่ถึงร้อนผมก็อยากเดินอยู่ดี ผมไม่ได้รีบไปไหน ไม่รู้จะเร่งไปเพื่ออะไร คนอื่นมีเงินทองมากมายแต่ไม่มีเวลา ส่วนผมที่มีเวลาเหลือเฟือแต่ไม่มีเงิน ความพอดีไม่มีจริง

ระหว่างสาวเท้าไปตามฟุตบาท เจอสิ่งมีชีวิตหลายแบบ เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่ สัตว์ และพืช หลายสายพันธุ์ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกชีวิตมีปัญหาของตัวเองผมก็มี คนอื่นก็เช่นกัน แม้แต่พืชหรือสัตว์เองก็ด้วย

ที่ผ่านมาผมเอาแต่มองทุกอย่างว่าไม่มีทางออก หมดอาลัยที่จะดิ้นรน และตายอยากกับความไม่มีอันจะกินของตัวเอง ผมเป็นผู้ชายอายุสามสิบต้นๆ แข็งแรง ไม่มีลูกเมียให้รับผิดชอบ พ่อแม่ดูแลตัวเองได้ ผมยังต้องการอะไรอีก ผมมีพรสวรรค์ในการสร้างเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แล้วเล่าผ่านตัวหนังสือได้อย่างที่หลายคนทำไม่ได้ นั่นไม่พิเศษพอหรอกหรือ

ราวกับเพิ่งปลดล็อคชีวิต เท้าก้าวไปทางเดิม แต่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนเส้นทางแล้ว

ทิ้งความน้อยเนื้อต่ำใจ

ทิ้งความขี้เกียจ

ทิ้งความกลัว

ทิ้งความขี้แพ้

ทิ้งให้หมด ผมจะเป็นชันกาศแค่ชื่อ เป็นหญ้าแค่ชื่อ ต้องทำสิ่งที่รู้ว่ามันคืออะไรให้สำเร็จ เพื่อตัวเองเพื่อชีวิตที่เหลืออยู่ ถึงแม้ผมต้องตายไปพร้อมกับตัวหนังสือของผมก็ตาม จะทุ่มเทวางเดิมพันด้วยชีวิต

เกิดความรู้สึกที่จะฆ่าตัวตาย ด้วยการลงมือทำความฝัน จนกว่าจะตาย มาดูกันว่าความสำเร็จที่ผมรอ กับความตายที่รอผม อะไรจะมาก่อนกัน

บี๋โทรมา ผมช่างใจก่อนจะกดรับสาย สุดท้ายก็รับนั่นแหละ

(พี่อยู่ไหน) เสียงน้องดูร้อนใจ

“ข้างทาง”

ผมไม่ได้บอกบี๋ว่าผมทำอะไรอยู่ข้างทาง เขาถามว่าอยู่แถวไหน แล้วก็ให้ผมรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ แต่ผมไม่ต้องการเจอเขาวันนี้ ขอคิดอะไรกับตัวเองให้เสร็จก่อน เลยบอกเขาว่าขึ้นรถเมล์มาแล้ว ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่เพราะเสียงรอบข้างฟังก็รู้ว่าไม่ได้อยู่บนรถ

แต่น้องก็ไม่ว่าอะไรบอกแค่จะไม่อยู่สักสามสี่วัน กลับบ้านไปหาคุณอา ซึ่งถือเป็นข่าวดีของผม เพราะยังไม่พร้อมจะเจอเขาเช่นกัน

มองหน้าจอมือถือที่ความสว่างดับไป พร้อมกับเสียงคนในสายที่ขาดหาย นึกขอบคุณเด็กที่มีดวงตากลมโตคนนี้ เขาทำให้ผมกล้าจะเปลี่ยน หลังจากนอนกอดความเหงาเมื่อคืนเฝ้าคิดถึงแต่เขา ความฝันที่ผมทำมันไม่เสร็จสักที ก็คงเหมือนบี๋ ความรักที่ผมไปไม่สุดทางเพราะผมมันไม่เอาไหนเอง

เฝ้าแต่โทษคนอื่นโทษนั่นอ้างนี่ ทั้งที่ความจริง จะความฝันหรือความรักก็เป็นของผม ผมไม่พยายามมันจะรักษาไว้ ใครจะมารักษาไว้ให้

เดินจนเหนื่อยเลยขอนั่งพักที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง แดดเริ่มจ้าเพื่อนร่วมทางของผมก็บางตา เลือกได้ไม่มีใครอยากเดินตากแดด ขนาดรถเมล์ธรรมดากับ ปอ. คนยังเลือกคันที่มีแอร์เลย

สัญชาตญาณทำให้เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนผมที่เคยคิดว่าอะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนง่ายๆ แต่เพราะผมไม่มีปัญญาจะเลือกต่างหาก

“พี่” ผมตกใจกับเสียงเรียกที่คุ้นหู

“โม”

“ขึ้นมากับผมหน่อย”

อยากจะบอกมันว่ากูไม่ไป แต่เห็นหน้ามันแล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายใจเลยยอม มันเปิดประตูรถลงมาแล้วขอให้ผมเป็นคนขับ เอาที่มันสบายใจผมขับให้น้องได้อยู่แล้ว

“ผมไปรับพี่ที่โรงบาลมาไม่เจอ นึกว่าพี่กลับบ้านแม่พี่บอกยัง โทรหาไอ่บี๋ถึงรู้ว่าพี่อยู่แถวนี้”

“กูเดินออกกำลังกาย”

“ใช่เหรอ..พี่เลี้ยวๆ” โมบอกทางเลี้ยวซ้ายขวาไปจนถึงคอนโดแห่งหนึ่ง

“ของผมเองแหละ จะฝากพี่ดูแลให้หน่อย” มันตอบคำถามในใจผม

“คืออะไรยังไง กูไม่เข้าใจ” พอถามมันกลับไม่ตอบ แต่เดินนำผมขึ้นห้อง เปล่าที่ยังไม่มีข้าวของ แล้วมันก็บอกขณะเดินไปพิงราวระเบียง

“ผมคงไม่อยู่สักพัก พี่มาอยู่เองหรือจะให้คนอื่นเช่าก็ได้ แค่ขอให้มันไม่ร้าง”

“มึงจะไปไหน” ผมขมวดคิ้วถาม ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนนัก ผมไม่รู้ว่าโมมันเจออะไรมา และกำลังจะทำอะไรต่อไป แต่เงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปากมันแห้งเหมือนคนขาดน้ำ นัยน์ตาแดงขอบตาบวม เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก เสื้อผ้าชุดเดิมแปลว่ายังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวาน

“กูจะดูแลให้ไม่ต้องห่วง” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับมัน ก่อนที่เราจะกลับบ้าน ระหว่างทางมันเงียบ ผมก็เงียบ เราต่างก็ปล่อยเบลอการมีอยู่ของอีกคนไปชั่วขณะ ผมลงจากรถ มันลงมาฝั่งคนขับแล้วยิ้มให้ผม ผมไม่รู้เลยว่าเป็นรอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่จะไม่เจอกันอีกนานหลายปี

เช้าวันต่อมาผมมองเห็นรถตู้สีดำออกจากบ้านโม แล้วก็เห็นรถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นของโมจอดอยู่ในโรงรถบ้านผม เมื่อเดินไปดูพบว่ารถไม่ได้ล็อก มีกุญแจและจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ



พี่กาศ......



ฝากพี่ใช้มันด้วยจอดไว้เฉยๆ มันจะพัง แล้วก็.....

มันงอแงแค่ตอนง่วงกับตอนหิว จะหนักตอนป่วย

มันชอบคิดมากตอนใกล้สอบ ซื้อไอติมให้ก็หาย

เตือนให้มันกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย

มันชอบสีดำเพราะเป็นสีเสื้อของพ่อสีเดียวที่มันจำได้

มันชอบฟังเพลงเศร้าแล้วร้องไห้ ไม่ต้องตกใจเรื่องปรกติ

เวลามันมีเรื่องไม่สบายใจ ให้มันเกาะไหล่เดี๋ยวก็หาย

มันชอบนอนปิดไฟ ไม่ชอบเสียงรบกวนตอนนอน

มันชอบกินอาหารจืดๆ

เวลาโกรธจะเงียบ ง้อด้วยอย่าให้ข้ามวัน

คงวางใจถ้าคนดูแลมันเป็นพี่



ดูแลตัวเองด้วยนะพี่ชาย ไว้เจอกันครับ

โม



จดหมายจบแค่นั้น นี่มันฝากรถหรือฝากคนกันแน่ เขียนเหมือนจดหมายจากแฟนเก่าให้แฟนใหม่เลย ละเอียดยิบขนาดนี้ไม่ต้องถามให้มากความ ผมเข้าใจถูกที่ว่ามันชอบเพื่อน แต่ผมไม่รู้คือเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าบี๋คงไม่ได้ใจตรงกับมัน อยากโทรถามบี๋แต่ก็ไม่ดีกว่า

นั่งลงในรถมองจดหมายในมือคิดวนไปมา โมมันคิดอะไรของมัน ผมโทรหาก็ไม่ติดไลน์ไปก็ไม่ตอบ มันจะทิ้งเพื่อนให้ผมดูแลจริงเหรอ มันเป็นเจ้าของเขารึไง ถามเขารึยังว่าอยากให้ผมดูแลรึเปล่า แล้วผมเนี่ยมีปัญญาดูแลเพื่อนมันไหม

เกือบบ่ายสามแม่ของโม เดินเข้ามาหาผมในบ้าน

“กาศรู้แล้วใช่ไหมโมไปเรียนเมืองนอกแล้ว”

“.......” รู้ตอนป้ามาบอกนี่แหละ ไปเมืองนอกหรือไปปทุมทำไมไวงี๊

พอรู้ว่ามันจะไม่อยู่ แต่ไม่คิดว่าจะไปไกลถึงอีกซีกโลก มันมีญาติที่โน่น แม่มันว่าคงไปอยู่ไม่ต่ำกว่าสี่ปี ฝากผมดูแลรถกับห้องให้ด้วย ส่วนป้าอิ่มกับลุงโอบจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ เพราะลุงโอบแกเป็นต้องไปรับตำแหน่งผู้ว่า ก็ฝากผมดูบ้านด้วยอีกหลัง

ผมก็รับปากไปอีกตามเคย ภาระที่ได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมรับรู้ถึงคำว่าเปลี่ยวเหงาขึ้นมา เราเป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวเราทำงานสายราชการทั้งคู่ โมกับผมก็เหมือนพี่น้องกัน เพราะเราต่างก็เป็นลูกคนเดียว ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม แค่ตอนนี้มันหนีผมไป อยู่ในที่ซึ่งผมตามไปหาไม่ได้ คงต้องรอมันกลับมาเอง มันหนีผมหรือหนีใคร?

ทั้งที่ผมรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่กล้าแน่ใจอะไรสักอย่าง



หกวันต่อมาผมยังอยู่ที่เดิม อยู่กับความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ยอมเริ่มสักที บี๋ไม่ได้โทรมา ผมไม่ได้โทรไป ที่บอกว่าจะเขียนกันให้ตายไปข้างหนึ่งผมก็เพิ่งจะได้แค่สองบท ไม่รู้ว่าความคิดหายไปไหนหมด ไฟมอดเร็วเกินไป

ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงมันยากเสมอ ขนาดผมอยู่ที่เดิมยังเริ่มลำบากอดห่วงโมไม่ได้ ไปอยู่แปลกที่แปลกทางมันจะเป็นยังไงบ้าง หวังว่ามันจะสบายกว่าผมตอนนี้ โมปิดการติดต่อทุกช่องทางที่สามารถทำได้ ผมรู้ว่าน้องไม่ได้หนีผม แต่ก็อดน้อยใจมันไม่ได้อยู่ดี ทำเหมือนผมไม่ใช่พี่ชายที่มันสนิท

“มึงไม่คิดว่ากูคิดถึงบ้างเหรอวะ” ผมโมไปตามสายลม

“คิดสิไม่งั้นจะมาหาเหรอ” กลายเป็นอีกคนที่ตอบกลับมา

“บี๋” ผมยิ้มให้เจ้าของชื่อที่เพิ่งเรียกไป

“พ่อกับแม่พี่ล่ะ” อย่างน้อยคนที่ผมคิดถึงอีกคนก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว

“พ่อไปกับเพื่อน แม่อยู่หลังบ้านมั้งนั่นอะไร” มันชูถุงกระดาษสีน้ำตาลขึ้นก่อนจะเฉลย

“ซื้อมาฝากแม่กับพ่อ”

แล้วก็เดินไปหาแม่ผมหลังบ้าน เสียงแม่ทักทายแขกดังมาเป็นพักๆ แม่ว่าวันหลังไม่ต้องลำบาก เสียงบี๋หัวเราะอ้อนอยากกินแกงเลียง ท่าทางมื้อเย็นคงไม่พ้นเมนูโปรดของเด็กขี้อ้อนอีกตามเคย

บี๋เป็นคนพิเศษคล้ายจะมีพลังออกจากดวงตากลมโตนั้น ใครที่ได้จ้องตาเขา ได้มองท่าทางของเขาก็จะรู้สึกอยากเข้าไปหา อยากยิ้มให้ อยากชวนคุย พ่อกับแม่ผมก็เช่นกัน

“ถูกปากไหมลูก” แม่ผมลูบหัวบี๋ราวกับเป็นลูกตัวเอง

“ที่สุดเลยครับ ผมไม่เคยกินแกงเลียงที่ไหนอร่อยเท่าที่แม่ทำ”

ผมเลิกคิ้วใส่เขา เลยโดนแม่ตีแขนเข้าให้ปากว่าอย่าแซวน้อง ส่วนพ่อหัวเราะหึหึ ผมกลายเป็นแขกไปซะแล้ว

“คืนนี้ค้างไหมลูก” พ่อกึ่งถามกึ่งชวน

“รบกวนด้วยครับ” ครู่ต่อมาคำตอบของบี๋ทำให้เราสามคนพ่อแม่ลูกยิ้มรับ

“ช่วงนี้ปิดเทอมแล้วละสิ โมก็ไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วบ้านแม่คงเหงา พี่เราอยู่ด้วยก็เหมือนไม่อยู่ คลุกแต่หน้าคอม” แม่พูดไปเรื่อยๆ ผมเห็นบี๋หลบสายตาใจลอยตอนได้ยินชื่อโม

“พ่อกับแม่ทานน้ำผึ้งที่ผมเอามาฝากด้วยนะครับ ทานตอนเช้าน้ำผึ้งช้อนหนึ่งชากับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ช่วยให้พลังและล้างลำไส้”

ของฝากที่บี๋หอบหิ้วมาจากบ้านคุณอา ทำให้ทุกเช้าผมจะเห็นพ่อกับแม่วุ่นวายกับกิจกรรมใหม่ น้ำผึ้งกับน้ำเปล่า พ่ออวยกับผมว่ารู้สึกระบบขับถ่ายดีตั้งแต่กินตามที่บี๋บอก ส่วนแม่ก็เอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่น้องจะมาอีก พอรู้ตัวอีกทีบี๋ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวผมไปซะแล้ว

ช่วงปิดเทอมน้องก็มานอนกับผมยาวเลย ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เริ่มชัดเจนขึ้น เหมือนงานเขียนที่ผมลงแรงก็เริ่มเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น

เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว พระอาทิตย์มาทำงานเช้ากว่าเดิม ขยันมาส่องแสงตั้งแต่รุ่งสาง

“ตื่นได้แล้ว” เสียงปลุกนั้นเป็นของผมเอง ผมปรับนาฬิกาชีวิตไม่ค่อยตรงกับคนอื่นเท่าไหร่ แต่ก็เหมาะกับชีวิตผมดี นอนตั้งแต่สองทุ่ม ตื่นอีกทีตีสาม เขียนหนังสือไปจนสาย หิวก็กินข้าวเช้าบ่ายมีงีบบ้าง

ส่วนบี๋ก็แล้วแต่อารมณ์เขา ตอนนี้น้องรับงานเขียนเว็บ น้องเขียนเว็บไว้ลงนิยายให้ผมด้วย มีแฟนเก่งก็ดีแบบนี้เอง เขาเก่งจริงแต่เรื่องแฟนผมโมเมอย่าเชื่อ

น้องไม่เรียนซัมเมอร์ ส่วนเรื่องของคนอื่น ทั้งเรื่องโม เรื่องแฟนเก่าของเขา เราทิ้งทุกอย่างไว้ในหีบใส่กุญแจ โยนถ่วงลงก้นทะเล ราวกับไม่เคยมีเรื่องราวของสองคนนั้นในชีวิตของเรา

“อื้อ” เด็กน้อยยังงอแงเพราะเมื่อคืนนอนดึก แต่ผมไม่ยอมให้พลาดมื้อเช้า

“ตื่นก่อนกินข้าวเสร็จ ค่อยมานอนต่อนะเด็กดี”

หน้าขาวยังจมอยู่บนหมอนหลับตาพริ้ม เมื่อปลุกด้วยเสียงไม่ได้ผล ผมจังเปลี่ยนแผน ไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญเลยออกจะยินดีมาก

“อื้มมม” คนหลับที่ไหนครางได้น่าฟังแบบนี้ พลิกตัวเด็กขี้เซาให้นอนหงายแล้วยกตัวเองขึ้นคร่อม

ฟอดดดดดด!!! หน้าผาก

ฟอดดดดดด!!! แก้มซ้าย

ฟอดดดดดด!!!! แก้วขวา

ริมฝีปากอิ่มยิ้มบาง แต่ยังไม่ยอมเปิดดวงตาคู่สวยมาทักทายผม นี่คือตื่นแล้วแหละ ยั่วกันแต่เช้าแบบนี้ จะโดนไม่ใช่น้อยนะน้อง

ผมชอบเวลานี้น้องบิดตัวหนีผมที่บุกรุกขโมยกลิ่นตัวของเขา ซอกคอ ไหล่ มือเริ่มล้วงเข้าไปใต้เสื้อนอนผ้าแพรชุดนอนที่พ่อผมซื้อให้ บอกว่าผ้ามันเย็นใส่หน้าร้อนจะได้นอนสบาย เชื่อไหมว่าพ่อยังไม่เคยซื้ออะไรแบบนี้ให้ผมเลยนะ คิดดูว่าน้องสำคัญกับที่บ้านผมแค่ไหน

“ไม่ตื่นจริงเหรออออ” ปากผมกระซิบข้างหู แต่มือเลื่อนต่ำลงไปจับขอบกางเกงอีกนิดคงจะอดใจไม่อยู่ดึงลงให้พ้นทางแล้วแต่ทว่า

“ตื่นแล้วครับหิวด้วย” มือเรียวผลักอกผมออกห่าง แล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะปิดประตูมีโผล่หน้ามาแซวผมเสียงใส

“พี่มาปลุกผม แต่ทำไมตื่นก่อนผมอีกละ”

สายตาซุกซนก็จ้องมาที่ส่วนตุงใต้ขอบกางเกงของผมตาเป็นประกาย

ผมยังไม่ทันได้ลุกเจ้าตัวก็รีบชิงล็อกประตูหนี ดูเอาเถอะเด็กขี้แกล้งเป็นอย่างนี้เอง







ใครยังไม่ตื่นจะส่งพี่กาศไปปลุก ^^"



#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:04:01 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 18

หีบใบนั้น



บี๋.....



กลางเดือนเมษายนเป็นช่วงที่แดดเมืองไทย โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงเทพร้อนระอุ พร้อมแผดเผาทุกอย่าง หนึ่งเดือนผ่านไป จะว่าผมมีความสุขก็ใช่ แต่บางอย่างก็ยังค้างคาในใจ

โม...เพื่อนรักที่หายไปจากชีวิต มันบอกว่าขอเวลาทำใจ ถ้าคิดกับผมแค่เพื่อนเมื่อไหร่จะกลับมาแต่มันไม่บอกผมเลยสักนิด ว่าจะไปทำใจไกลสุดล่าฟ้าเขียวแบบนี้ คงเอาคืนที่ผมใจร้ายกับมันก่อน

เบย์...แฟนเก่าที่ผมตัดขาดไปแล้ว ตอนนี้ถ้าจะมีก็แค่ความรำคาญ ผมบล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ บล็อกทุกอย่าง ปล่อยเขาให้กับคนที่ดูโง่กว่าผม และปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเขา

ช่วงปิดเทอมผมไม่ลงซัมเมอร์ และมาใช้ชีวิตที่บ้านพี่กาศ ซึ่งแน่นอนว่าเบย์ไม่รู้จัก

พี่กาศ...คนที่ปลุกผมทุกเช้า บอกฝันดีผมทุกคืน แล้วก็พ่อกับแม่ของเขา ทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นลบปมคำว่าลูกกำพร้า ผมรักพวกเขา รักพ่อรักแม่ รักพี่กาศ ไม่รู้มันเริ่มเมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวพวกเขาก็เป็นทุกอย่างที่เรียกว่าความสุขของผม

อาไปต่างประเทศสามเดือน ช่วงนี้เปิดสาขาในเอเชีย เลยไม่ค่อยได้อยู่ไทย ผมก็เลยมีแค่ที่บ้านพี่กาศเป็นเหมือนครอบครัว

แต่ผมก็ยังเฝ้ารอบางคำจากเขา ทุกเช้าที่ตื่น ทุกคืนก่อนหลับตา ทุกเวลาที่เราหายใจร่วมกัน ‘รัก’ คำที่ไม่เคยออกจากปากของเขา

ทำไม?

ถ้าโมอยู่มันอาจช่วยตอบคำถามนี้ แต่ถึงมันตอบไม่ได้ผมก็ยังระบายความรู้สึกขมุกขมัวกับมันได้

“คิดถึงมึงจัง”

บอกมันได้แค่นี้ เพราะในขณะที่ผมตัดขาดทุกอย่างจากเบย์ โมก็ทำกับผมไม่ต่างกัน เพราะไม่รักเบย์แล้วผมถึงอยากไล่ไปให้พ้น เพราะโมรักผมมากถึงหนีหน้า

สรุปแล้วความรักคือแรงดึงดูดหรือเปล่า ผมเริ่มไม่แน่ใจ



ในสวนหลังบ้าน ผมกับพ่อลงมือทำแปลงผักสวนครัวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ผักกาด กับผักที่ใช้ใส่แกงอีกสองสามอย่าง แม่เป็นคนซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้ ผมจำชื่อไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง พี่กาศไม่ชอบทำกิจกรรมอื่น เขาเหมือนมีโลกส่วนตัวที่ตัวเองสร้างขึ้น พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไร ผมว่าพี่ถูกตามใจมากเกินไปในบางครั้ง

อย่างมุมที่ผมนั่งอยู่ตอนนี้ นั่งเรือนไทยสำเร็จรูป มีหลังคา มีที่นั่งล้อมโต๊ะไม้สัก ผมสั่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะอยากให้เขามีมุมทำงานที่ผ่อนคลาย ในสวนหลังบ้านเย็นสบายมันเป็นทิศทางที่ลมพัดตลอด

“บี๋ไม่น่าซื้อมาเลย” น้ำเสียงเขาตำนิผมอย่างเห็นได้ชัด

“อ้าว” ผมพูดได้แค่นั้น หันไปมองหน้าพ่อกับแม่ เชิงว่าขอความช่วยเหลือ

“น้องก็หวังดี อยากให้ลูกมีที่เขียนหนังสือสบายไม่ร้อน”

ผมยิ้มให้หลังแม่พูดจบ

"แต่ผมชอบเขียนในบ้าน บี๋ทำอะไรไม่เคยบอก"

“เลิกดุน้องได้แล้ว” ขนาดพ่อยังเข้าข้างผม

แม้พี่เขาจะเงียบไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ยินดีหรือขอบคุณ และที่สำคัญเขาไม่เคยลงมาใช้มันเลย มีก็แต่ผมที่ชอบหอบโน้ตบุ๊คมานั่ง บางวันก็อยู่ทั้งวันโดยไม่ได้เจอหน้าพี่เขาเลย

ผมอาจวุ่นวายกับเขาเกินไป เราไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก มันเป็นเหมือนความเคยชินเรื่องไหนที่เราเห็นไม่ตรงกัน จะถูกจับยัดลงหีบ ใส่กุญแจแล้วโยนลงก้นทะเล ราวกับเราไม่เคยเถียงกัน คล้ายเป็นแค่ควันที่จางหายไปในอากาศ

แต่เมื่อมันเกิดมันย่อมมีผลต่อจิตใจ ความรู้สึกในแง่ลบมักจะติดค้างในใจอยู่เสมอไม่มากก็น้อย

เราคิดว่าโยนหีบนั้นลงทะเลลึกแต่เปล่าเลย เราแค่ทิ้งมันไว้มุมห้องแสร้งทำเป็นไม่เห็น เมื่อวันที่ทุกอย่างมืดมิด เราก็เผลอเดินไปชนมันเข้า แล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าว่าเราชนกับอะไร พยายามเปิดมันในความมืด จนสุดท้ายมันก็กลับมาให้เรารู้สึกแย่มากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า

“อยู่กันดีๆ อย่าตีกันนะลูก” พ่อกับแม่ไปปฏิบัติธรรมสองอาทิตย์ ผมกับพี่ยืนส่งท่านที่หน้าบ้าน คล้อยหลังท่านผมก็ชวนพี่เขาคุย

“พี่กาศไม่เห็นชอบทำกิจกรรมนอกบ้านเหมือนพ่อกับแม่เลย”

“ทำไมกูต้องเหมือนด้วยละ”

“พี่ไม่เบื่อเหรออยู่แต่บ้าน”

“ไม่...” คล้ายมีความไม่ชอบใจในคำตอบของเขา ผมชวนคุยปรกตินะเขาไม่พอใจอะไรผมล่ะ

“พี่ครับ” ผมวางคางบนไหล่เขา เรียกรอยยิ้มเขาให้กลับมาอีกครั้ง เมื่อคืนเขาอาจนอนน้อยเลยหงุดหงิด ผมคิดอย่างนั้น

“บี๋” เขาหันปากมาชนหน้าผากผม เรียกผมเหมือนมีเรื่องจะถามแต่ก็เงียบ

“พี่จะว่าอะไรก็ว่ามา” ผมไม่ชอบนะแบบนี้ผมไม่มีสมาธิทำงาน

“บทหนังสั้นที่มึงจ้างกูทำ มันยังไม่เสร็จนี่ แล้วก็ปิดเทอมแล้ว มึงเอาที่ไหนไปส่ง” เรื่องนี้เอง

“ผมดรอปไปแล้ว”

“ทำไม”

“ก็....” ผมยังไม่ทันจะบอกว่าทำไม่ทันกลัวติดเอฟ พี่เขาก็สวนขึ้นมา

“ช่างเถอะ เงินมึงเยอะคงไม่ซี”

“คืออะไรอ่ะ” ผมชักสีหน้าถาม ไม่ได้ชวนทะเลาะนะ แต่พี่กาศเสียงเหมือนแดกดันผมก่อน

“มึงมันรวยไงบี๋ ทั้งค่าลงทะเบียน ทั้งค่าจ้างกู มึงจ่ายทิ้งก็ไม่คิดมาก ไหนจะค่าข้าวของอะไรมากมายที่ซื้อเข้ามาให้ที่บ้านกูอีก มึงจะให้กูรู้สึกแย่ไปถึงไหน”



ที่ผ่านมาพี่เขาคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้เลยเหรอ รู้สึกแย่ที่ผมมาอยู่ด้วยมากเลยสินะ ผมมีมากกว่าเขาผมก็เลยต้องผิดรึไง

“ถ้าพี่ไม่โอเคก็น่าจะบอก ผมจะได้ไม่รบกวน”

ผมลุกขึ้นจะเดินไปเก็บของกลับคอนโด พี่รั้งเอวผมไปกอด หน้าคมซบลงหลัง ไม่มีเสียงสะอื้น แต่รู้ว่าเขากำลังร้องไห้ พี่เป็นผู้ชายที่อ่อนแอเมื่อลับตาพ่อกับแม่

ผมอาจผิดเองที่ไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา เขาคงรู้สึกไม่มีค่าเพราะคิดว่าต้องเป็นฝ่ายดูแลผมมากกว่า หันไปกอดเขาไว้ เรากอดกันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครพูดอะไร แล้วทุกอย่างก็ถูกยัดลงหีบใบเดิม ปล่อยทิ้งเหมือนไม่เคยคุยกันเรื่องนี้

ผมกลับไปใช้เวลากับงานที่รับจ้างมา เขาก็จมกับเรื่องราวของนิยายเรื่องใหม่ เห็นเขาว่าแนวดราม่าสยองขวัญ อยากช่วยอ่านแต่ผมไม่ค่อยรักการอ่านเท่าไหร่ โควตาเจ็ดบรรทัดต่อปีมันคือตัวผมอย่างแท้จริง

รอดตัวไปที่พี่เขาไม่ได้บังคับอยากได้ความเห็นอะไรจากผมมากมาย เรากลับมาใช้เวลาร่วมกันอีกครั้งช่วงเย็น ผมทอดไข่ เขาหุงข้าว ออกมากินข้าวกันหน้าบ้านปูเสื่อกินไข่เจียวใต้ท้องฟ้าสีเข้มกับหลอดไฟนีออนล่อแมลง โรแมนติกชะมัดเลย

“อิ่มไหม”

“อิ่มครับ”

“แต่พี่ไม่อิ่ม”

“แต่ไข่หมดแล้ว”

“ใครบอกหมดยังมี....” แน่นอนว่าสายตาพี่กาศตอนนี้มองอะไรๆ ในตัวผมอยู่ พออารมณ์ดีก็หื่นขึ้นมาเชียว

“พอเลยครับ ทุกคืนเลยไม่เบื่อบ้างรึไง” ความจริงไม่ทุกคืนหรอกผมเว่อร์ไป

“สามเวลาหลังอาหารพี่ก็ไม่เบื่อ” เบ้ปากใส่เขาทำไม่รู้ไม่ชี้ได้น่าหมั่นไส้มาก

เรานั่งเหยียดขากันคนละฝั่งของเสื่อพลาสติก ได้มาจากการสะสมแสตมป์ของร้านสะดวกซื้อ ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนผมสะสมใหม่ๆ มีใครบางคนแถวนี้ว่าผมไร้สาระ แต่เสื่อผมเนี่ยออกงานบ่อยกว่าหนังสือที่เขาไปหิ้วมาจากงานหนังสือด้วยซ้ำ เขาซื้อมาแต่ก็ไม่เห็นเปิดอ่าน อะไรไร้สาระกว่ากันก็เห็นอยู่

“ว่าอะไรกู” นั่นไงรู้อีก

“แสนรู้”

“ฉลาดไง”

“งั้นผมถามอย่างสิ” ผมกัดช้อนก่อนจะถามออกไป

“ตอนนี้...พี่รักผมไหม”

รักผมไหม รู้ว่าไม่เหมาะที่จะถามตอนนี้ บริบทที่เราคุยกันอยู่ไม่เข้ากันกับคำถามของผมเลย แต่ผมอยากรู้เดือนกว่าที่เราอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกัน กอดกัน จูบกัน สัมผัสกัน มันบอกชัดเจนว่าเราเป็นของกันและกัน

แต่ผมก็อยากได้ยินคำนั้น....รัก...

“บี๋....” เขาแค่เรียกชื่อแล้วเงียบ ดูเหมือนความเงียบเป็นคำตอบที่เขาถนัดผมถอนหายใจ เก็บจานไปล้าง สายน้ำที่ไหลผ่านมือกับการยืนอยู่ลำพังหน้าซิงค์ล้างจาน ทำให้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ คิดถึงเพื่อนขึ้นมากอีกแล้ว โมมึงจะกลับมาหากูเมื่อไหร่วะ

ล้างจานเสร็จแล้วแต่ผมยังนั่งอยู่ในครัว พ่อกับแม่ไม่อยู่ บ้านดูเงียบลงผมไม่ค่อยชอบเลย ไม่ชอบความเงียบที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราไม่ได้ทะเลาะกันแต่เราก็ไม่ได้อยากยิ้มให้กัน

นานสองนาน กว่าพี่กาศจะเดินเข้ามานั่งข้างผม มือสองมือประคองแก้มผมไว้ มือเขาเย็น ใจผมสั่น คาดเดาไม่ได้ว่าจะได้ยินคำไหนต่อจากนี้ ผมรักพี่แต่ก็กลัวและไม่กล้าจะทำอะไรเลย ไม่กล้าอยากเป็นเจ้าของ ไม่กล้าบอกรัก และแม้แต่คำว่ารักที่เพิ่งทวงเขาไป ก็คิดตั้งหลายวันกว่าจะกล้าเอ่ยถาม

“กูยังไม่อยากพูดคำนั้น รอก่อนได้ไหมบี๋”

“.....” เมื่อกี๊เขาใช้ความเงียบเป็นคำตอบ ตอนนี้ผมขอใช้บ้าง

สายตาเราประสานกัน แต่หัวใจเรากลับเริ่มเต้นไม่ตรงกัน ความไม่ชัดเจน และนิสัยไม่ชอบอธิบายของเราทั้งคู่ ทำให้เวลาเราไม่เข้าใจกัน มันจะลามไปจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ

ผมรู้....แต่ผมก็แก้ไม่ได้

จับมือเขาเอาไว้ หลับตาลงบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร แค่คำว่ารัก แค่ลมปาก ในเมื่อพี่กาศมีแต่ผมในทุกวัน ดูแลผมการกระทำทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ไม่ต้องมีคำว่าคบกันนะ หรือพี่รักบี๋นะ

ตอนที่คบกับเบย์บอกรักกันจนปากจะฉีก แต่มันก็มีคนอื่นจนผมทนไม่ไหว เทียบกันแล้วคบกับพี่กาศดีกว่าเยอะ



สองชั่วโมงต่อมา เรามานอนบนเตียง หลังจากนั่งให้เขาเช็ดผมจนแห้ง เราก็กลับมาหายใจร่วมกันอีกครั้ง

บทรักที่โหยหา โหมกระหน่ำเหมือนคิดถึงกันจนใจจะขาด เหนื่อยอ่อนจนหายใจหอบ หมดแรงจนต้องร้องขอความเห็นใจ คนหื่นถึงยอมปล่อยผมนอนนิ่ง

“พรุ่งนี้..ผมจะไปเอาของที่คอนโด พี่ไปส่งผมหน่อยสิ”

“เรื่องแบบนี้ต้องขอด้วยเหรอ” มือเขายังป้วนเปี้ยนแถวหน้าท้องไม่หยุด

“อ่า อย่าลงต่ำนักสิครับ” ผมปราบพร้อมกับจับมือปลาหมึกให้พ้นจากจุดล่อแหลม

“ก็ชอบ รู้ตัวไหมว่าหลงเหมือนโดนของแล้วทุกวันนี้”

“อื้ออ” ผมประท้วงคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับประโยคที่เหมือนบอกรัก แล้วยังมาจูบผมต่ออีก จูบของเขาทำให้ผมใจอ่อนยอมทุกอย่าง จมูกโด่งเป็นสันชวนมอง คิ้วหนานั่นก็ยิ่งน่ามอง กลิ่นเหงื่อที่ซึมกายนี่ก็ปลุกเร้าอารมณ์



ผมอยากจะบอกซะจริง ใครกันแน่ที่เล่นของ



#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:05:23 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 18 (29/11/18)
«ตอบ #24 เมื่อ29-11-2018 17:33:23 »

+1 ให้หีบแพนดอรา
รอเวลาเปิดมาหลอกหลอนใครบางคน อุอุ
 :mew1:

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 19

คนที่รอเรา VS คนที่เรารอ





บี๋...



ผมกับพี่กาศถึงคอนโดเกือบเที่ยง เพราะมัวแต่แวะซื้อไก่ย่างที่พี่เขาบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว ร้อนมากเลยต่างก็รีบเร่งเดินขึ้นห้อง ร่างกายต้องการแอร์เย็นฉ่ำระดับพัน

“คืนนี้พี่ต้องทำอะไรรึเปล่า” ระหว่างขึ้นลิฟต์ผมก็จะชวนเขาค้างซะเลย ขี้เกียจขับรถกลับแล้ว

“จะค้างเหรอ” นั่นไงรู้ใจผมตลอดเลย ประตูลิฟต์เปิดออกผมยิ้มพยักหน้าให้เขา

“กะ....” เสียงพี่กาศเงียบลง ผมหันไปมองตามสายตาเขา

เบย์!!

ร่างสูงที่นั่งหน้าห้อง ดูโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดขอบตาคล้ำ พอเข้าใกล้ก็เหม็นสาบตุๆ เหมือนเพิ่งสร่างเมา พี่รปภ. ปล่อยให้ขึ้นมาได้ยังไง

“พี่เบย์กินข้าวครับ” ผมกับพี่กาศหันไปมองตามเสียง โปรดเองก็สภาพไม่ต่างจากเบย์เท่าไหร่ เบย์แทบไม่สนใจเด็กคนนั้น เขาลุกขึ้นจะเข้ามาหาผม พี่กาศจับมือผมแน่น

“บี๋ไปไหนมา เบย์มารอทุกวันเลย” เบย์ถามผมและชายตาไปมองพี่กาศ ก่อนจะหลบสายตาเศร้าลงพื้น เหมือนเห็นตัวเองเมื่อก่อน ที่ผมรอให้เขากลับห้อง แต่ผมไม่โทรมแบบนี้นะ

“เข้ามาก่อนสิ” ผมบอกทั้งเบย์และโปรด

พี่กาศไปในครัวจัดอาหารลงจาน ขณะที่เบย์กับโปรดนั่งกับผมที่โต๊ะกินข้าว

“กินข้าวด้วยกันสิ” ผมบอกโปรด น้องหิ้วอาหารที่ซื้อมาไปหาพี่กาศ เหลือผมกับเบย์สองคน ผมรู้สึกอึดอัดกับสายตาเบย์ที่มองผมอยู่นั่นแหละ

“มีอะไรรึเปล่ามารอหน้าห้อง เมาแบบนี้ รปภ.ให้ขึ้นมาได้ไง”

ผมรู้ว่าน้ำเสียงผมห่างเหิน ก็ความรู้สึกมันเหินห่างไปแล้ว

“พี่เบย์ซื้อห้องชั้นบนครับ” โปรดตอบแทนน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน เบย์หันไปมองน้องด้วยสายตาเดียวกับที่ผมกำลังมองเขา....ส่วนเกิน...รำคาญ

“อ้าปาก” พี่กาศที่ไม่สนใจใคร วางจานไก่ปุ๊บก็ปั้นข้าวเหนียวฉีกไก่เป็นคำให้ผมทันที

“......” ผมจะพูดอะไรได้ นอกจากอ้าปากแล้วเคี้ยว พี่กาศเป็นคนที่ไม่สนใจใครจริงๆ ยิ่งกว่าไอ้โมคูณสิบ เบย์หน้าเจือน ส่วนน้องโปรดคงเจ็บแล้วเจ็บอีก แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมไปไหน งมงายทั้งคู่

“อยากเจอบี๋ แค่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังดี” หมายถึงเหตุผลที่ซื้อห้องที่คอนโดนี้เหรอผมได้ยินแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรนอกจากรำคาญ

“กินข้าวสิพี่เบย์” โปรดก้มหน้ากินข้าวทั้งน้ำตา แต่ยังไม่วายเป็นห่วงเบย์ เจ็บทั้งใจแต่ยังห่วงเขาอยู่ดี ผมรู้ดีผมเคยเป็น หันไปมองพี่กาศที่เอาแต่ป้อนผม สลับกับกินเอง คนนี้ก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาหรอกครับ

“ผมกินเองก็ได้ครับ” ผมบอกเขาไม่ใช่ว่าอะไรนะ มันเขินยังไงไม่รู้ แม้สองคนที่นั่งตรงข้ามเราไม่คิดจะแซวก็เถอะ

“กินไป ให้พี่มื้อเปื้อนคนเดียวก็พอ” ยังจะมีอารมณ์มาหวานอีกนะ ผมยิ้มแล้วส่ายหัวให้เขา แต่ก็อ้าปากกินไก่ย่างจากมือเขาต่อไป ช่วงเวลานั้นผมไม่สนใจเบย์ ไม่สนใจโปรด ผมรู้สึกไก่ย่างอร่อย และพี่กาศก็น่ารัก

ตอนนี้เบย์ไม่มีผลต่อความรู้สึกของผมแล้วจริงๆ เราสี่คนกินข้าวกันจนอิ่ม ความจริงอาจจะมีแค่ผมกับพี่กาศที่อิ่ม เพราะสปาเกตตีกุ้งของโปรดยังเหลืออีกเยอะ ส่วนข้าวหน้าปลาไหลของเบย์ ไม่ถูกตักชิมสักคำ

พี่กาศลุกขึ้นไปล้างจาน เบย์มองตามแล้วหันมาไขหีบของผมกับพี่กาศให้เปิดออก

“ดูแลดีจัง แต่อย่างว่ามาเกาะนี่เนอะ” ผมรู้ว่าพี่กาศได้ยิน แต่พี่เขาก้มหน้าล้างจานต่อเหมือนไม่ได้ยิน ผมควรทำอะไรสักอย่าง

“กลับไปเถอะเบย์ เราไม่มีอะไรต่อกันแล้ว คนนั้นที่เบย์เลือกเขาเลือกแล้วก็ดูแลเขาให้ดีสิ”

ผมหันไปมองโปรดที่ก้มหน้าตัวสั่น กำลังร้องไห้อย่างไม่ต้องสงสัย เบย์ก็เกินไปไม่สนใจใยดีคนที่ได้ชื่อว่าแฟนเลย ผมรักผู้ชายคนนี้เข้าไปได้ยังไงนะ

“บี๋จะไม่ให้โอกาสเบย์สักครั้งเลยเหรอ เรารักกันไม่ใช่เหรอบี๋”

หึ..เมื่อก่อนอาจใช่ แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่รักแล้วยังรำคาญด้วย

“โปรดพาพี่เบย์กลับห้องเถอะ พี่จะพักผ่อน” เบย์มองผมด้วยสายตาต้ดพ้อ

ส่วนโปรดมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รู้แค่ตาน้องแดงมากจนน่าเป็นห่วง ผมลุกเดินไปหาพี่กาศที่เดินเข้าห้องนอนไปแล้ว พอเข้าไปก็เห็นเขานอนอยู่บนเตียง

“เพิ่งกินอิ่มมานอนได้ไงครับ กรดไหลย้อนขึ้นมาผมจะซ้ำให้”

“บี๋คิดแบบนั้นไหม พี่มาเกาะ” หัวใจผมเหมือนมีคนมาบีบจนเจ็บจี๊ด เมื่อได้ยินคำถามนั้น พี่กาศคิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว ไม่ชอบเลย เพราะเบย์คนเดียว!!

“พี่อย่าเป็นแบบนี้สิครับ คิดมากทำไมไร้สาระ” ผมล้มตัวทับคนชอบคิดมากไว้ เอื้อมมือไปบีบจมูกเขาเบาๆ จ้องตาเขาอ้อนเขาด้วยรอยยิ้มแบบที่เขาชอบ ในที่สุดผมก็ได้รอยยิ้มตอบกลับมา โล่งใจขึ้นมาหน่อย ไม่ฉุกคิดสักนิดว่าแค่เขายิ้มให้ ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่คิดมากอีกแล้ว

พี่เขาตวัดแขนมากอดผมไว้ “เงินมันสำคัญนะบี๋” ผมไม่คิดอย่างนั้น

“มันก็แค่เปลือกครับ”

“งั้นมึงลองใช้ชีวิตแบบไม่มีเปลือกดูสิ ไม่มีรถหรู ไม่มีคอนโดหรู ไม่มีแบล็คการ์ด” ผมยังไม่ตอบอะไรเสียงแขกก็ดังขึ้นซะก่อน ลืมไปว่าไม่ได้ปิดประตูห้อง





“วันนี้เบย์กลับก่อนนะ ไว้จะมาหาใหม่” เสียงขุ่นเคืองของคนที่ยืนมองเราสองคนอยู่หน้าประตูบอกแบบนั้น ก่อนประตูปิดได้ยินเสียงเล็กพูดบางอย่างฟังไม่ชัด

“แฟนเก่าบี๋ตื๊อเก่งนะ” เป็นครั้งแรกที่พี่กาศออกความเห็นถึงเบย์ เมื่อเห็นว่าผมเงียบเขาก็พูดต่อ ด้วยสายตาเจ็บปวดจนทำให้ผมไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง

“ที่เขาพูดก็ถูกทุกอย่าง ลองคิดดูถ้าเราทะเลาะกัน พี่ไม่มีปัญญาจะซื้อห้องในคอนโดนี้เพื่อมานั่งรอบี๋หน้าห้องแบบเขาแน่” ไม่พ้นเรื่องเงิน เรื่องรวยเรื่องจนอีกแล้วสินะ

“มีเงินซื้อก็ใช่ว่าผมจะหายโกรธ มันอยู่ที่คน ไม่ใช่เงินในกระเป๋า”

“คิดงั้นเหรอ”

“พี่จะมารู้ดีกว่าผมได้ไง”

“ไว้จะคอยดู” เขาย้ำชัดมากกับประโยคนั้น



#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:07:06 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Chapter 20

สองคน สองความต้องการ ล้านความรู้สึก



ชันกาศ...



‘ตอนนี้...พี่รักผมไหม’

เฮือกกกกกกก!!!!!!!

ผมลืมตาขึ้นในความมืดสลัว รู้สึกร้อนทั้งกายร้อนทั้งใจ แม้อยู่ในห้องแอร์ลูบหน้าเสยผมขึ้น จนมือชื้นไปด้วยเหงื่อที่ซึมตามไรผม ในความฝันบี๋ยังไม่สงสารผม

ในความจริงเขาถามคำถามนั้นแค่ครั้งเดียวด้วยท่าทีไม่ได้รุกเร้า แต่หลายต่อหลายครั้งในความฝัน เขาจดจ้องตะคอกถามผมอีกซ้ำๆ ด้วยแววตาคาดคั้น

ผมรักเขา แน่นอนว่ารัก ทั้งรักทั้งหลง ทั้งต้องการและโหยหา ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจตอบคำถามเขาไปได้เลยว่ารัก ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า เผลอบอกเขาไปก่อนหน้านี้ไหม แต่ตอนนี้ เวลาที่ผมกำลังพยายาม ที่จะถีบตัวเอง ไปให้ถึงจุดที่สามารถบอกรักเขาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

จุดที่จะขอคบกับเขา โดยไม่รู้สึกละอายใจ ไม่ต้องกลัวคำค่อนขอดว่าเป็นแมงดาเกาะเมียกิน หรืออะไรที่แย่กว่า

ผมถึงขอร้องให้บี๋รอผมก่อน

“อืออ ฝันร้ายเหรอครับ” เสียงของเขางัวเงียแต่ก็ยังเป็นห่วงผม บี๋ช่างแสนดี

“นอนเถอะ” ผมก้มลงกระซิบกล่อมเด็กน้อยที่กึ่งหลับกึ่งตื่น กอดตัวเขาไว้ ใช้อีกมือลูบหัว หอมเรือนผมและขยับทุกส่วนในร่างกายให้แนบชิดกับเขา จนได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะเหมือนเดิม

“พี่รักบี๋ที่สุด รักบี๋คนเดียว” บอกคำที่เขาอยากฟังออกไป ในยามที่เขาไม่พร้อมจะฟัง บี๋หลับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ผมก็อยากบอก บอกให้ตัวเองสบายใจ

‘ดูแลดีจัง แต่อย่างว่ามาเกาะนี่เนอะ’

คำพูดของเด็กที่เป็นแฟนเก่าบี๋ ไม่ว่าผมจะขยำลงหีบไปกี่ครั้ง มันก็ยังคงค้างอยู่ที่เดิม ยิ่งพยายามไม่คิดมากยิ่งจดจำ

เด็กคนนั้นทำให้บี๋เจ็บ จนตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าบี๋ลืมเขาได้จริงไหม แม้ว่าท่าทีสายตาของน้องจะชัดเจนว่ารักแค่ผม ไม่ใจลอยไปหาใครอื่น แต่ผมก็ไม่เคยถามจริงจัง ด้วยว่าตัวเองก็ตอบอะไรน้องได้ไม่ชัดเจน

รู้สึกอึดอัดกับความอยากเป็น อยากมี อยากได้ จนไม่เป็นตัวของตัวเอง แบบนี้ผมทนคงไม่ไหวเข้าสักวัน

เช้านี้ฝนตก เมื่อคืนผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวเพราะเสียงสายน้ำที่เทลงมาจากฟ้า แววว่าทินกรคงลาป่วยหรืออ่อนแสง แม้ตะวันที่มากแสงก็มีวันอ่อนแรงได้เช่นกัน ไม่ต่างจากผมที่ไม่แคร์คำใคร แต่ตอนนี้ผมกลับหยุดคิดถึงคำที่ทำร้ายความรู้สึกไม่ได้เลย

ข้างกายผมว่างเปล่า ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วสดชื่นขึ้นมาบ้าง แง้มประตูออก แล้วเร่งเท้าไปหยุดอยู่หลังคนที่ตื่นก่อน บี๋นั่งหันหลังให้ผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาก้มหน้าเล่นมือถือแต่ไม่ใช่

ในมือบี๋เป็นมือถือแต่เขาไม่ได้เล่น เขาแค่ดูภาพเคลื่อนไหวของใครบางคน คนที่ผมเองก็คิดถึงอยู่บ่อยๆ เขาคงกำลังใช้สมาธิทั้งหมดที่มีกับใครคนนั้น จนไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมยืนอยู่ข้างหลัง

“โม..เมื่อไหร่มึงจะกลับมาวะ คิดถึงมึงจัง”

เขาบอกอีกคนแต่ผมดันมาอยู่ฟังแทน เขาคิดถึงโมในฐานะไหนผมไม่แน่ใจ แต่เสียงเขาเศร้าจนผมกลัว ถอยหลังแล้วส่งเสียงให้เขารู้ตัว บี๋วางมือถือลงแล้วหันมายิ้มให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าแค่เพื่อนทำไมต้องปิดบังความรู้สึกนั้นกับผม แต่ถ้าเขาสองคนใจตรงกันทำไมโม

มันต้องหนีไป หรือบี๋เพิ่งรู้ตัวตอนเสียโมไปแล้ว หรือที่เขาถามผมเพราะเขาอยากปลดปล่อยตัวเอง ผมไม่ชัดเจนเขาก็เลยไม่กล้าจะแน่ใจไปด้วยว่าควรทำอะไร

“มานี่สิครับ” เสียงอ้อน กับดวงตากลมโตสั่งผมให้ไปหา เขารู้ไหมสายตานั้นเผาผมให้มอดไหม้ไปทั้งใจ กระตุ้นต่อมความเห็นแก่ตัวของผม ขอให้ผมได้สัมผัสเขาต่ออีกสักหน่อย

“วันนี้ผมตื่นก่อนพี่” เขาดึงแขนผมไปกอด ผมอดยิ้มตามไม่ได้

“แค่วันเดียวทำมาเป็นคุย” น้องลอยหน้าลอยตาใส่ อารมณ์ดีผิดกับก่อนหน้านี้มาก

“พี่ชอบฝนไหม”

“ก็ดี แต่บางทีมันก็ตกในวันที่เราไม่ต้องการ”

“อือ ก็จริง เรื่องบทหนัง ผมให้เพื่อนที่เรียนด้วยกันไปแล้ว มันบอกว่าเอาไปเขียนต่อได้บีมาครอง มันไลน์มาขอบคุณผมยกใหญ่เลยดูสิ” น้องยื่นมือถือให้ผมดู

วันก่อนเราทะเลาะกันเรื่องนี้ ผมหงุดหงิดใส่เขาทั้งที่เขาก็ไม่ผิดหรอก เขาแค่รวยกว่ามันไม่ใช่ความผิด

เขามีเปลือกที่หนากว่า แต่ยังยโสว่าตัวเองไม่สนใจเงินทอง สำหรับผมเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความรู้สึกที่ผมมี เข้าใจว่าทำไมผมไม่ชอบให้เขาใช้เงินมากมายเพื่อผม หรือครอบครัวผม

พ่อกับแม่รู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน ท่านไม่ได้มีข้อห้าม ท่านไม่เคยก้าวก่ายชีวิตผม เรียกว่าตามใจก็คงใช่ แต่ท่านบอกว่าชีวิตทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราจะอาศัยประสบการณ์คนอื่นไปตลอดชีวิตไม่ได้ เพราะถ้าเราชินที่จะใช้ชีวิตเราในแบบของคนอื่น เราก็จะไม่มีวันรู้ตัวเองเลย ว่าแท้จริงแล้วเราคือใคร เราเกิดมาเพื่ออะไรในโลกในใบนี้

“แม่เคยบอกกูว่าทุกคนเกิดมาเพื่อทำอะไรบางอย่าง เบาะแสของสิ่งนั้นคือ เราต้องรักและหลงใหลมันมากๆ” ขนตางอนกะพริบซ้ำๆ น้องเอียงคอรอฟัง

“บี๋"

“ครับ”

“รักกับชอบต่างกันยังไง”

“ถามอะไรเนี่ย”

“จะเอามาแต่งนิยาย”

“อืมมม ชอบคงมีเหตุผล ชอบเพราะหน้าตา ชอบเพราะนิสัย แต่รักคงไม่มีเหตุผลละมั้ง” ความจริงผมไม่ได้จะเอาไปแต่งนิยายหรอก ผมจะถามเขากลับว่าเขารักผม หรือเขาแค่ชอบผมกันแน่ แล้วเขารู้สึกยังไงกับโม ซึ่งสุดท้ายผมก็ไม่ได้ถามออกไป

“พี่”

“ว่า”

“ผม......” ยังไม่ทันที่บี๋จะพูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เราต่างรู้ว่าใครมา น้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าเบื่อหน่ายของเขาทำให้ผมยิ้มออกมาได้

“ฮอตแต่เช้า” ผมแซว บี๋หน้ายู่ใส่ ฉุดมือผมให้ลุกตามเขาไป

น้องดันผมให้ออกหน้า ส่วนเขายืนซ้อนกอดผมไว้ แล้วโผล่หน้าไปบอกคนที่ยืนทำหน้าเหมือนอยากตาย ผมเคยนึกเคืองไอ่เบย์ที่ว่าผมเมื่อวาน แต่ตอนนี้ผมว่าช่างมันเถอะ ดูสภาพมันแล้วภาวนาไม่ให้มันไปโดดตึกตายน่าจะดีกว่า

“มีอะไรแต่เช้า บี๋จะอยู่กับพี่กาศ” ดีมากครับน้อง

“เข้าไปได้ไหม ขอให้เบย์ได้เห็นบี๋ในสายตาสักนิด” ตื๊อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

“อยากเข้ามาก็ได้นะแต่เข้าได้แค่ห้องนี้ ส่วนหัวใจของบี๋มันปิดตายไปหมดแล้วสำหรับเบย์ คิดว่าที่พูดไปชัดเจนที่สุดแล้ว เบื่อ เหนื่อย รำคาญ!!!!!!!”

ถ้าผมเป็นไอ้เด็กแฟนเก่านี่ คงหน้าแหกกลับไปขายห้องทิ้งซะ แต่

“ขอบคุณนะ เบย์จะไม่รบกวนบี๋เลย” มันเดินเข้ามาในห้องนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เห้ยยยย นี่หน้าด้านหรือว่ามึงบ้าวะ

“หิวจังเลยครับ” น้องหันมาพูดกับผม ไม่มีท่าทีสนใจคนที่นั่งหัวโด่เลย

“ให้กูลงไปซื้อหรือว่ายังไง”

“ทำข้าวต้มไหม พี่หุงข้าวรอเดี๋ยวผมไปซื้อเครื่องปรุงใส่อะไรดี ปลาหรือกุ้ง”

“แล้วแต่มึงอ่ะ” ปรกติผมพูดมึงกูกับน้องอยู่แล้ว แต่น้ำเสียงจะอ่อนโยนเสมอ แต่ไม่ปรกติคือไอ่เบย์มันไม่เคยได้ยินไง พอน้องออกไปปุ๊บมันที่สงบเงียบก็เริ่มเปิดปาก กวนตีนผมทันที

“บี๋ไม่ชอบคนพูดไม่เพราะนะครับ”

“แล้ว” แล้วไงใครถามมึง

“ผมแค่อยากบอก”

“ขอบใจ แต่กูว่า..บี๋ไม่ชอบคนหลายใจมากกว่าวะ” หึ..เงียบเลยสิมึง



เกือบห้านาทีบี๋ก็กลับมาพร้อมถุงร้านสะดวกซื้อ ที่แถมแสตมป์แลกของ มาพร้อมเด็กกางเกงน้ำเงินคงไม่ต้องบอกว่าใคร ผมอดขำหน้าไอ่เบย์ไม่ได้ ถ้าบี๋รำคาญมันผมว่ามันก็คงรู้สึกกับน้องคนนั้นเหมือนกัน สำหรับความรู้สึกของทุกคนในห้อง

ผมว่าน้องโปรดนี่แหละน่าสงสารสุด

เขาเด็กกว่าพวกเราทุกคน เขาเลยรับมือกับความผิดหวังไม่ได้มากไปกว่าการรอทั้งน้ำตา

“ทำไมไม่ไปเรียน” เบย์ถามเด็ก ท่าทางแข็งกร้าวต่างกับตอนคุยกับบี๋ลิบลับ

“ถ้าไปแล้วกูจะเห็นมึงมานั่งเป็นหมาหวงก้างพี่บี๋แบบนี้เหรอ ชอบจังนะเป็นส่วนเกินเขาเนี่ย” หื้ออ ปรบมือให้ได้ไหมครับ เจ็บทุกคำแสบไปทุกเซลล์ผิว

“วันนี้ผมได้แสตมป์หลายดวง” นั้นเสียงบี๋ครับ ร่าเริงจนผมอดขำไม่ได้ ผมเลยเลิกสนใจคนอื่น เดินตามน้องไปทำข้าวต้ม ระหว่างนั้นก็อดแซวเขาไม่ได้

“ห้องมึงหรือโรงละคร โคตรดราม่า” น้องขำใส่ผม

“คิดซะว่าได้พล็อตนิยายเรื่องใหม่สิครับ” ขณะที่เราสองคนหัวเราะเล่นกันอยู่ ห่างออกไป ที่หน้าประตูอีกคนสองกำลังตึงเครียด

“ไปเรียนซะ ไม่งั้นไม่ต้องมาหากูอีก”

“เมื่อคืนไม่เห็นเป็นงี๊ ทีจะเอาไม่เห็นพูดอย่างนี้บ้างละครับ”

“อย่ามาหยาบคายใส่พี่นะโปรด นี่ห้องบี๋เกรงใจบี๋ด้วย”

“เกรงใจ อย่ามาสอนผมทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้จักคำนั้นดีพอ โน่นเขาอยู่กับพี่กาศพี่บี๋มีความสุข มึงแหกตาดู ยอมรับความจริงบ้างพี่เบย์ บ้าไปแล้วเหรอ ทำไมวะ ทำไม”

เสียงโปรดดังขึ้น ผมกับบี๋ได้แต่มองหน้ากันไปมา

“บี๋คือคนสำคัญของกูมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป รับไม่ได้ก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก” เบย์มันดันน้องให้ออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลยสักนิด

“ตลอดไปงั้นเหรอ มึงถามเขายังพี่เบย์ ว่าเขาอยากตลอดไปกับมึงไหม เขาก็บอกชัดเจนว่าไม่เอา ยังจะหน้าด้านหน้าทน” ผมเริ่มชอบน้องคนนี้แล้วสิ

“ใช่หน้าด้าน” เบย์ตะโกนใส่คล้ายจะย้อนว่าโปรดก็เหมือนกัน

“พี่เบย์” โปรดเสียงสั่น ก่อนที่ทั้งสองคนจะตีกันขึ้นมาจริงๆ บี๋ตะโกนลั่น

“ไปตีกันที่อื่นเถอะนะ โปรดพามันออกไปเถอะ พี่ขอร้อง” เบย์กัดฟันลากแขนโปรดออกไปในที่สุด

“ไปได้สักที” บี๋งึมงำเดินไปหยิบชามมารอข้าวต้ม

“มันว่ามึงไม่ชอบคนหยาบคาย” ผมถามไปไม่ได้ชวนทะเลาะแค่อยากรู้

“ใครชอบวะพี่” เออนั่นสิ

“ให้เรียกน้องบี๋ไหมครับ” ผมดึงเขามากอดจ้องตา แล้วถามเสียงอ่อนโยนมากกว่าปรกติ

“โห..เล่นแบบนี้ผมแพ้นะ” น้องหน้าแดงหลบตาผมไปมา

“เด็กบ๊อง” บี๋โดนผมดีดหน้าผากไปหนึ่งที

“อะไรวะ ก็พี่เริ่มเองอ่ะ” มือเล็กลูบหน้าผากไล่ความเจ็บ

“มึงจำไว้นะบี๋ แค่คำพูดใครจะหวานยังไงก็ได้ สำหรับกูการกระทำของกูเท่านั้นที่มึงควรสนใจ”

“ผมรู้น่า บอกตัวเองเถอะ แล้วคำพูดเบย์ พี่ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันด้วย” โดนเด็กย้อนเฉยเลย

ผมรู้ครับเรื่องคำพูด แต่เรื่องที่ว่าผมมาเกาะน้องนั้น ผมไม่คิดคงไม่ได้ เพราะมันคือเรื่องจริง

“ผมว่าจะขายห้องนี้” น้องว่าแล้วเป่าลมไล่ความร้อนให้ข้าวต้มในช้อน ทำเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ

“เพื่อหนีมัน”

“ก็ด้วย แต่ที่ตั้งใจคือผมจะลองใช้ชีวิตแบบไม่มีเปลือกอย่างที่พี่บอกดู”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คนรวยที่แกล้งทำเป็นจน ยังไงก็ไม่เครียดหรอก เหมือนดาราที่ไปแสดงเป็นคนอื่นไง

“รู้อยู่แก่ใจว่ารวย มันจะมารู้ดีได้ไงว่าตัวเองจน” ผมอดพูดไม่ได้

“นี่ผมพยายามปรับตัวทุกอย่างเพื่อเข้าหาพี่อยู่นะ”

“จำเป็นรึไง” ผมวางช้อนใส่อารมณ์อย่างลืมตัว เพราะเขาไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น ไม่จำเป็นสักนิด ผมต่างหากต้องพยายามไปให้ถึงเขา

“...............” บี๋เดินหนีเข้าห้องนอน ผมได้แต่มองตาม



วันนี้เราเจอหีบใบนั้นในตอนกลางวัน แสงจ้าทำให้ความชัดของทุกปัญหาที่สุมอยู่ปะทุ ความรู้สึกที่พร้อมแตกหักมันชัดเจนจนเกินจะเก็บ

สุดท้ายเราก็อาจไปกันไม่รอด



สองชั่วโมงผ่านไป ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหาเขาในห้อง สายป่านนี้แล้วยังไม่ได้กินข้าวคงหิวแย่แล้ว อย่างที่โมบอกน้องไม่ค่อยชอบกินข้าวเท่าไหร่ ยิ่งเวลาเครียดยิ่งไม่สนใจจะกินเลย

ประตูไม่ได้ล็อก ผมเปิดเข้าไปเด็กน้อยนอนงอแงอยู่ที่เตียง มือขาวเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลมองผม จนใจผมเจ็บปวดไปหมด ผมทำเขาร้องไห้อีกจนได้

“ขอโทษ อย่างอแงไปกินข้าวกันนะ” ผมช่วยน้องเช็ดน้ำตา

“อย่ามายุ่งกับผม” เสียงงอนนี่ทำไมน่ารักขนาดนี้





“บี๋..ไปกินข้าวกันนะ เดี๋ยวค่อยกลับมาร้องใหม่ กูจะง้อมึงทั้งวันเลยเคไหม” น้องเบือนหน้าหนี รอยบุ๋มที่ข้างแก้มทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังยิ้ม

“อึก พี่แม่งใจร้าย” น่าเอ็นดูขนาดนี้ผมจะไปไหนรอด เรากอดกันทั้งที่ใจเราคิดถึงแต่เรื่องอื่นมากมาย ความรู้สึกหลากหลายกระจัดกระจายหลังหีบใบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ



จากนี้ไปเราไม่มีหีบให้ซ่อนปัญหาอีกแล้ว





#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:08:35 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 20 (30/11/18)
«ตอบ #27 เมื่อ30-11-2018 13:12:38 »

อ้างถึง
สองชั่วโมงผ่านไป ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหาเขาในห้อง สายป่านนี้แล้วยังไม่ได้กินข้าวคงหิวแย่แล้ว อย่างที่โมบอกน้องไม่ค่อยชอบกินข้าวเท่าไหร่ ยิ่งเวลาเครียดยิ่งไม่สนใจจะกินเลย
สายป่านในตอนนี้คืออะไร คู่ไหน...โมกับสายป่าน
 :hao4:

ทินกรอ่อนแสง
ชอบวลีนี้

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง Chapter 20 (30/11/18)
«ตอบ #28 เมื่อ30-11-2018 17:04:25 »

สายป่านนี้  =  สายจนป่านนี้แล้ว 

เพราะก่อนที่จะกินข้าวดันงอนกันจนบี๋ต้องหนีเข้าห้อง พี่กาศเลยคิดถึงจดหมายที่โมเขียนไว้ให้ว่าบี๋ไม่ชอบกินข้าว
ก็เลยต้องไปง้อน้องในห้องให้มากินข้าวซะ เพราะมันสายป่านนี้แล้ว อะไรแบบนี้ค่ะ

ไรท์เขียนงงใช่ไหม แง้ๆ ขอโทษนะคะ :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2

ตอน 21

คำขอสุดท้าย





บี๋.....



หนึ่งปีแล้วที่โมไม่อยู่ คิดถึงมึงจนต้องแอบร้องไห้บ่อยๆ

ผมอยู่ปีสามเทอมสอง ไม่คิดจะคบใครเป็นตัวเป็นตน มีแค่พี่กาศกับคำว่ารักที่เงียบงัน มีเบย์กับโปรดแวะมาป่วนบ้างในวันที่ชีวิตดูราบเรียบเกินไป เบย์ยังตื๊อขอคืนดี โปรดก็ยังมีแต่น้ำตาและไม่ยอมไปไหน

เวลาไหลไปข้างหน้า ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ทินกรส่องแสงและอ่อนแรงสลับไปมา เหมือนผมกับพี่กาศที่มีทั้งวันแสนหวาน และวันขมๆ บางวันเรากอดกันแน่น บางคืนเรานอนหันหลังให้กัน แต่สุดท้ายพี่ก็ยังอยู่ข้างผม

เวลาผมงอแง จะหิว หรือป่วย พี่กาศก็ไม่เคยเหนื่อยที่จะคอยเอาใจจนผมรู้สึกดี ช่วงใกล้สอบ ก็มีไอติมหลายรสให้ผมแม้จะราคาถูกๆ ซื้อได้ตามร้านโชห่วยแต่กินแล้วผมก็หายเครียด คอยเตือนให้ผมกินข้าวให้ตรงเวลา ปลุกให้ผมกินข้าวเช้าทุกวัน เวลาฟังเพลงเศร้าแล้วร้องไห้ พี่เขาจะปล่อยผมไว้จนเงียบไปเอง แต่เวลามีเรื่องไม่สบายใจ เขาจะให้ผมเกาะไหล่แล้วพาไปไหนต่อไหนตามใจผม จนยิ้มออกมาได้ เขาใส่ใจเสมอว่าผมชอบนอนปิดไฟ และไม่ชอบให้เสียงดังเวลาหลับ ชอบกินอาหารจืดๆ เวลาผมโกรธเขาจะรีบง้อ

พี่รู้ใจผมไปหมดทุกอย่าง ถ้าหักลบกับปัญหาเรื่องพี่เขาชอบดูถูกตัวเอง ก็ถือว่าผมโชคดีที่สุด



สองปีแล้วที่โมไม่อยู่ เริ่มรับเพื่อนคนอื่นมาแทนมึงแต่ก็ไม่เหมือนมึงอยู่ดี

ปีสุดท้ายของการเรียนยุ่งจนแทบไม่มีเวลาสนใจใคร แม้แต่พี่กาศยังแทบไม่ได้เจอ เพราะผมกับพี่เขาไม่ชอบคุยโทรศัพท์กันทั้งคู่เลยยิ่งห่าง เขาไม่ค่อยมาหาผมที่ห้อง มาก็เจอเบย์ว่าแดกดัน ผมก็ไม่ชอบแต่พูดไปเบย์มันฟังที่ไหน ไล่ก็แล้วพูดดีก็แล้วมันก็ยังเหมือนเดิม

เราเลยตัดปัญหาให้พี่กาศอยู่บ้าน ผมว่างค่อยไปหา เราต่างโฟกัสเรื่องที่ต่างกันพี่เขาดูจริงจังกับการเขียนหนังสือ ส่วนผมก็ใกล้จบต้องตัดสินใจว่าจะทำงานช่วยอาหรือไปหางานเอง ห่างกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัว

ความเคยชินเหมือนเนื้อร้าย มันไม่มีอาการเตือน พอรู้ตัวอีกทีก็ระยะสุดท้ายรอวันตายอย่างเดียว



วันนี้วันหยุดผมว่าจะเข้าไปหาพี่กาศ ไม่แน่อาจค้างด้วยสักสองคืน คิดถึงเขานะไม่เจอกันหลายวันแล้ว อย่างแรกต้องออกไปช่วงเช้าตรู่ ไม่งั้นจะเจอเบย์หน้าห้องอีก เมื่อเราไล่ใครออกไปจากชีวิตแล้วเขาไม่ยอมไปไหน สิ่งที่เขาจะได้จากเราไม่ใช่ความเห็นใจ แต่คือความรำคาญ

คงไม่มีใครรู้ซึ้งในความจริงข้อนี้ดีเท่าผมอีกแล้ว

“ไปไหนแต่เช้าเหรอ” นั่นไงความจริงของผมมาโน่นแล้ว

“.............” ผมไม่ตอบทำราวกับเบย์เป็นอากาศแล้วเดินออกมา

“บี๋...” ไม่ว่าเขาจะเรียกผมด้วยน้ำเสียงแบบไหนผมก็ไม่สนใจหรอก

เขาไม่อยู่ในสายตาของผมนานแล้ว ผมคิดว่าเขาจะเลิกตามแล้วกลับไปที่ห้องเขาซะ แต่ผมคิดผิด เขาขับรถตามผมไปถึงบ้านพี่กาศ พ่อกับแม่ก็อยู่ในบ้าน ส่วนพี่กาศไปวิ่งเพิ่งกลับมาพอดี เขาเปิดประตูรัวให้ผม แล้วเดินไปหารถอีกคันที่มาจอดข้างรัว ผมเริ่มกลัวว่าจะเกิดเรื่อง ที่สำคัญผมแคร์พ่อกับแม่ถ้าท่านออกมาเห็นจะมองผมยังไง





“มึงมาทำไม” พี่กาศโกรธผมดูออก

“นี่เหรอบ้าน เช่าอยู่หรือเป็นเจ้าของล่ะ” ท่าทางกับคำพูดดูถูกนั้นถูกตอบกลับด้วยหมัดหนักๆ ของเจ้าของบ้าน เบย์เซไปพิงรถ มุมปากขาวมีเลือดซึมออกมา พี่กาศชี้หน้าไล่ไม่ได้เสียงดัง แต่สายตาดุดันน่ากลัวอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“ไสหัวของมึงไปซะ!!”

“เป็นอะไรแค่นี้ทำรับไม่ได้ นี่เหรอบี๋คนที่บี๋ว่าดีกว่าเบย์ ถามหน่อยว่ามีปัญญาซื้อกางเกงให้บี๋สักตัวไหม พาบี๋ไปเที่ยวได้หรือเปล่า แล้วเวลาไปไหนกัน ใครเป็นคนจ่าย”

ผมเหลืออดแล้ว เลยซัดปากมันย้ำแผลที่พี่กาศฝากไว้ก่อนหน้านี้ สบถคำในใจลอดไรฟัน “มึงอย่าเสือกได้ไหมเบย์” พี่กาศเดินเข้าบ้าน บอกให้ผมไล่แขกไม่ได้เชิญออกไปให้พ้นรั้วบ้านของเขา



“บี๋ไม่เคยเป็นอย่างนี้” เบย์ดูรับไม่ได้ที่ผมพูดจาไม่ดีใส่ และทำร้าย ที่ผ่านมาผมคงดูเป็นผู้ดีมากเกินไป

“ถ้าไม่กลับไป ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกเลยในชาตินี้” ผมยื่นคำขาด

“ต้องขนาดนั้นเลยเหรอบี๋” เสียงเบย์สั่นตามันแดงขึ้นทุกที

“ไม่งั้นคงต้องโทรเรียกน้องโปรด” พร้อมทำทุกอย่างให้ผู้ชายคนนี้ไปสักที

“โอเค เบย์ไปก็ได้ แต่จำไว้ว่าเบย์ไม่มีทางปล่อยให้บี๋มาลำบากกับคนแบบนั้นหรอก” ผมพิงกำแพงมองรถหรูของเบย์ขับผ่านไป รู้สึกเหนื่อยแต่พอหันมาก็เจอกับสายตาที่อ่านไม่ออกของพี่กาศ เขาอยู่หลังรัวตลอดเวลา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เบย์ว่าเขา แต่ทุกครั้งเขาไม่เคยตอบโต้ เขามักจะบอกว่ามันคือเรื่องจริง และผมจะตอบกลับว่า ผมโอเคเขาที่เขาเป็นแบบนี้ ไม่ได้หวังให้เขามีเหมือนใคร

“กลับไปก่อนเถอะบี๋” เขาไล่ผมงั้นเหรอ

“ทำไมต้องไล่ ผมผิดอะไรอีกล่ะ”

“กูเหนื่อยมาก อย่าทำให้เหนื่อยกว่านี้ได้ไหมวะ”

“อยู่กับผมพี่คงเหนื่อยสินะ”

ปรกติผมก็ประชดแบบนี้ แล้วพี่เขาจะมากอดรั้งไว้ ตอนผมจะเดินไปจริงๆ แต่ครั้งนี้ เขายืนมองผมขับรถไปไม่มีการรั้ง มีแต่สายตาที่ว่างเปล่า

พ่อกับแม่เดินออกมาตอนรถผมจะพ้นประตูบ้าน ขอโทษด้วยครับที่ผมไม่ได้ลงไปทักทายท่าน

ทั้งที่ตั้งใจจะไปหาแท้ๆ ทั้งที่ผมคิดถึงเขามาก ทำไมต้องไล่ผมด้วย ผมนึกโทษเบย์ที่ตามมา ทำให้ทุกอย่างแย่ลง โทษโปรดที่เอาเบย์ไม่อยู่สักที โทษพี่กาศที่ไม่เข้าใจผมบ้างเลย เอาแต่คิดว่าตัวเองต่ำต้อยนั่นแหละ



รู้ตัวอีกทีผมก็ขับรถเข้าบ้านอามาแล้ว ลุงเชิด รปภ.ประจำบ้านวิ่งมาเปิดประตูด้วยรอยยิ้มกว้าง

“คุณบี๋ไม่กลับบ้านเลย คุณท่านบ่นหาทุกวัน” ป้าแม่บ้านทักทายเมื่อเห็นผมเดินเข้าบ้าน

“วันนี้มีพายุรึเปล่านะ เบบี๋ของอากลับบ้านโดยที่อาไม่ได้โทรเรียก”

“คุณอา” วิ่งไปกอดเอวอาที่อายุไม่ได้ทำให้ ความเท่ของผู้ชายคนนี้ลดลง

“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมส่ายหัวแต่น้ำตาเจ้ากรรมดันทำความแตก

“เหนื่อยเหรอ” ยิ่งอาพูดโดนจุดผมยิ่งร้อง จากแค่น้ำตาไหลตอนนี้เริ่มมีเสียงสะอื้นแล้ว

“มานั่งร้องตรงนี้ดีกว่านะ ยืนร้องเดี๋ยวปวดขา”

“คุณอาก็...” ผมหัวเราะทั้งน้ำตา ถูกอาดึงแขนให้นั่งลงที่โซฟากลางบ้าน

“อ้าวไม่ร้องแล้วเหรอ” ดูอาสิปลอบเก่งจนผมร้องไม่ออกแล้วครับ

“ผมคิดถึงอา” อาหัวเราะแล้วยีหัวผมอย่างที่อาชอบทำเวลาผมเลิกงอแง

“นอนตักอาไหม” ผมพยักหน้าล้มหัวลงบนตักกว้างและอบอุ่นที่สุดในโลก

“อาครับ”

“ว่าไง”

“อาว่าฐานะสำคัญรึเปล่า ถ้าผมจะมีแฟนควรรวยเท่าอาไหม”

“หูยย มีคนมาจีบหลานอางั้นเหรอ” อาไม่รู้จักเบย์และอาคิดว่าผมเป็นเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์

“อาตอบบบบ” ผมเริ่มงอแงใส่อีกครั้งอาส่ายหัวอ่อนใจ แต่ก็ยอมตอบเหมือนทุกที

“จำไว้นะบี๋ แค่คำว่ารักมันไม่พอที่จะรักหรอก”

.......แค่คำว่า...รัก.....มันไม่พอที่จะรักหรอก......



คืนนั้นผมนอนที่บ้าน กลับไปก็กลัวเจอเบย์มารอหน้าห้อง ส่วนพี่กาศยังไม่มีวี่แววจะโทรมา หรือแม้แต่ส่งข้อความมา ผมเลิกคิดถึงใครต่อใคร โยนมือถือทิ้งไว้บนเตียง แล้วเดินออกไปเคาะห้องอา

“ไง นอนไม่หลับเหรอเบบี๋ของอา”

“ผมนอนกอดอาได้ไหมครับ”

“ได้สิ มานี่มา”

น้ำเสียงอบอุ่นของอา ปลอบประโลมให้ผมรู้สึกอุ่นใจเหมือนทุกครั้ง ถ้าไม่มีอาคอยเลี้ยงผมมา ผมอาจโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความอบอุ่นมากกว่านี้แล้วก็ได้ มือของอาห่มผ้าให้ผม อาขี้ร้อนชอบนอนนอกผ้าห่ม แล้วกอดผมที่ถูกผ้าห่อตัวแน่นหนาไว้ทั้งคืน อาชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กที่ต้องมีผ้าอ้อมพันรอบตัว



อากำลังเล่าว่าตอนเด็กผมเคยร้องไห้ น้อยใจที่ไม่มีพ่อกับแม่เหมือนคนอื่น

“บี๋เคยสั่งให้อาซื้อพ่อกับแม่มาให้ พออาบอกว่าไม่มีขายบี๋ก็ไม่ยอม”

“อาโกหกผม ไม่เคยทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย ฮ่าๆ”

“ยิ่งกว่านั้นก็เคยทำ เราน่ะโกรธที่อาบอกว่าไม่มีพ่อกับแม่ขาย เลยเดินไปถามซื้อซะเอง”

“งื้อออ อาตลกมาก ผมโตมาได้ไง ฮ่าๆ” ร้านไหนนะที่ผมไปถามซื้อพ่อแม่ อายย้อนหลังทันไหม >//<

“สุดท้ายเงินก็ซื้อทุกอย่างไม่ได้ใช่ไหมครับอา” มือที่ลูบหัวผมอยู่ชะงัก เสียงทุ้มเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เด็กโง่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ก็จริง แต่มันก็จำเป็นกับความรักนะ”

“มันก็แค่เปลือกไม่ใช่เหรอครับ” ผมยังยืนกรานเสียงเบา

“เงินเป็นส่วนหนึ่งให้ความรักก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ความรักทำให้เงินเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ ถ้าบี๋มีแฟนที่ต้องดูแลเขา บี๋ต้องมีมากกว่าเขา ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงเขาไม่ได้ แทนที่จะไปดูแลเขากลายเป็นเขาต้องคอยมาดูแลเราแทน”

เข้าใจแล้วครับอา ผมเข้าใจแล้ว

“แล้วถ้ายังไงเราก็ไม่มีเท่าเขาล่ะครับ”

“พยายามสิบี๋ ไม่มีความรักของใครที่ไม่ต้องพยายาม”

........ไม่มีความรักของใครที่ไม่ต้องพยายาม....



คืนนั้นผมซุกหัวกับไหล่ของอา หลับสนิทในที่ปลอดภัยอย่างน้อยผมก็มีคุณอาของผม ผมรักอานะครับ ผมรู้ว่าอาก็รักผมมากที่สุด



ผมอยู่บ้านเกือบสี่วันเต็มๆ จนเพื่อนที่คณะโทรมาตาม เพราะต้องไปทำเรื่องจบตรงดิ่งกลับไปจัดการเอกสารที่มหาวิทยาลัยแล้วก็ค่อยกลับคอนโด แอบลุ้นว่าเบย์มันจะรอไหม ยังไม่อยากเจอมันตอนนี้

แต่ผิดคาดคนที่ผมเจอกลับเป็น

“พี่กาศ”

“กลับบ้านมาเหรอ พี่โทรหาก็ไม่รับ” เขาโทรมาเหรอผมไม่เห็นรู้เลย

“ครับ พี่เข้ามาสิ” ประตูห้องเปิดออก รับคนที่ผมคิดถึง แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกไม่ได้ร้อนรน

“พี่คิดว่า...” ผมมองเสี้ยวหน้าคมที่ก้มต่ำ เขาไม่กล้าสบตาผม เดาว่าเรื่องที่จะพูดคงเป็นเรื่องไม่ค่อยน่าฟังนัก

.....ไม่มีความรักของใครที่ไม่ต้องพยายาม..... ดังนั้นผมจะพยายามเพื่อพี่

“เราห่างกันสักพักไหมครับ” ในที่สุดก็เป็นผมซะเองที่บอกออกไป

“อืม..ตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน” เป็นครั้งแรกที่ใจตรงกัน แต่มันไม่ทำให้ผมมีความสุข ท่ามกลางความเงียบ เราต่างจ้องมองกันและกัน รู้สึกมีกำแพงกันกลางเราทั้งคู่ไว้ กำแพงของความไม่พอดี กำแพงของความต้อยต่ำของเขา กำแพงฐานะของผม

“ผมกอดพี่ได้ไหม” คำขอสุดท้ายของผม

เราสองคนโผเข้ากอดกัน ซุกหน้าลงกับไหล่ของกันและกัน น้ำตาเราใหลแต่เรากลับฝืนยิ้มออกมาได้

.......แค่คำว่ารักมันไม่พอที่จะรักหรอก......

เราต่างก็เหนื่อยกันทั้งคู่ การห่างกันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด เราไม่ได้พูดคำว่าเลิก เพราะเราไม่เคยบอกว่าเราคบกัน อย่างน้อยพี่กาศก็เข้าใจผม

ต้องลาจากกับเขาทำผมปวดใจก็จริง แต่ระหว่างเราเป็นความทรงจำที่สวยงาม สำหรับผมพี่กาศน่าจดจำมากกว่าเบย์



พี่หลังเดินออกไป ผมเกือบจะวิ่งตามเขา แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ เขาเหมือนฟองอากาศ เปราะบางจนผมกลัว แค่หายใจแรงเขาก็แทบจะแตกสลายไปตรงหน้า ผมพาร่างไร้หัวใจไปปิดประตู

เขาหันมามองผม เราต่างต้องพยายามกับความจริงที่ต้องเจอจากนี้ ต้องพยายามเพื่อคำว่า...รัก

ถ้าผมไม่รวย ฐานะเราเท่ากัน มันอาจดีกว่านี้ แต่มันเลือกไม่ได้

บ้าเนอะใครอยากจะจนเหมือนผมบ้าง

คุณอามีพร้อมทุกอย่างให้ผม ส่วนพี่กาศแทบไม่มีอะไร

ถ้า...ผมรั้งเขาไว้.....ความภูมิใจในตัวเองของเขาก็จะติดลบไปเรื่อยๆ จนลุกลามไปไกลเกินกว่าที่เราจะแก้ได้

ถ้า...คำว่ารักที่เขามีให้ผมมากพอ วันหนึ่งพี่เขาต้องกลับมา และพร้อมจะยืนข้างผมโดยที่เขาก็ต้องยอมรับด้วย ว่าผมมีมากกว่า

ผมจะรอ……



สามปีแล้วที่โมไม่อยู่ กูลืมเบย์ได้สนิทแล้วนะ อยู่คนเดียวได้แล้วด้วย มึงต้องภูมิใจในตัวกู

ผมเรียนจบแล้วช่วยงานอาอยู่เกือบปี งานยุ่งแต่ผมก็ยังมีเวลาคิดถึงโม คิดถึงพี่กาศ คนที่คิดถึงไม่มีโอกาสได้เจอ ส่วนคนที่ไม่อยากเจอมาบ่อยยิ่งกว่าเจ้าหนี้

พี่กาศหายไปเกือบปีแล้ว เบย์ยังตื๊อไม่ไปไหนเหมือนเจ้ากรรมนายเวร ช่วงไหนมันติดงาน เบย์ทำงานในวงการครับเป็นนายแบบ ถ้ามันติดงานผมก็จะหายใจหายคอสะดวกหน่อย บางครั้งโปรดก็มาดึงตัวกลับไป นั่นก็อีกคน ไม่รู้ว่ารักอะไรเบย์นักหนา

“คุณบี๋คะ คุณเบย์มาขอพบค่ะ” มาแต่เช้า

“ให้เข้ามาครับ” ผมให้เข้ามาเพราะขืนไม่ให้เข้า ก็จะนั่งรอหน้าห้องจนกว่าผมจะให้เข้านั่นแหละ

เรียกพี่ รปภ. มาไล่ ก็ยังมาอีก ผมก็อายพนักงานคนอื่น กลัวอารู้ด้วยก็เลยต้องยอม แค่เห็นหน้าผมสักพักก็ไปเอง ขอแค่ได้เห็นหน้าก็พอ เบย์ว่าอย่างงั้น

เคยคิดว่ารอให้เขาเบื่อและเลิกตื้อไปเอง แต่เปล่าเลยเกือบปีที่ไม่มีพี่กาศ ก็น่าจะเห็นแล้วว่ายังไงผมก็ไม่กลับไปหาอีก สงสัยผมต้องทำอะไรให้เด็ดขาดสักที

“งานยุ่งมาก เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม ตอนนี้กลับไปก่อน”

“................” เงียบ...ผมเลยเงยหน้าขึ้นมอง เบย์ยืนยิ้มแววตาเศร้ากลับมาเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเศร้าผิดปรกติ ผมจะอ้าปากไล่ อีกฝ่ายก็พูดเสียงเบา

“โปรดให้เลือกว่าจะมาตามตื๊อบี๋จนตาย หรือ จะไปอยู่กับเขาที่ญี่ปุ่น คือน้องจะไปเรียนต่อที่โน่น”

“แล้ว.....” ผมถามกลับ ก็แล้วไงจะให้ผมพูดอะไร คือใจจริงก็อยากบอกว่ามึงไปเลย

“เบย์รักบี๋ เบย์ไม่ได้รักโปรด แต่เบย์ทำให้เขาเจ็บมาเยอะ บี๋ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนก็จะไม่เปลี่ยนใจเลยเหรอ จนตายก็จะไม่ให้โอกาสกันอีกแล้วใช่ไหม”

ผมถอนหายใจ ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ ที่สุดแล้วครับคำถามนี้ตอบมาสิบรอบแล้วมั้ง

“เบย์..เย็นนี้ค่อยคุยกันนะ บี๋จะทำงาน”

“ขอโทษนะที่รบกวนบี๋มาตลอด ขอโทษที่เบย์เป็นแฟนที่แย่ ตอนนี้ความทรงจำเรื่องเบย์ที่บี๋มี คงไม่ค่อยดีนักใช่ไหม ตลอดสามปีที่เราเลิกกันมาไม่มีคืนไหนที่เบย์จะไม่ฝันร้าย ฝันเห็นบี๋ร้องไห้เพราะเบย์ มันทรมานมากเลยบี๋รู้ไหม”

“อ่ะ ไหนๆ ก็ไม่มีอารมณ์ทำงานล่ะ มานี่....” ผมลากแขนเบย์ออกมาข้างนอก บังคับให้มันพาไปหาโปรด ตอนแรกว่าจะรอตอนเย็นแต่ตอนนี้เลยก็ดี จะได้จบๆ ไปซะ

เรามากันที่คอนโดผมนั่นแหละ แค่ขึ้นไปห้องเบย์แทน โปรดเปิดประตูมาเห็นผม สีหน้าน้องดูตกใจปากบางเม้มหากันแน่น

“โปรดจะไปญี่ปุ่นเหรอ ทำไมไม่เรียนที่นี่ต่อล่ะ” ตอนนี้น้องต้องขึ้นปีสองแล้วนี่นา

“ผมเบื่อเมืองไทย” น้องบอกแบบนั้นแต่หันไปมองเบย์

“เอาเบย์ไปด้วยสิ” ผมเหมือนยัดเยียดเบย์ให้น้อง ซึ่งก็ตามนั้นเลยเบื่อมันมากพูดตรงๆ

“บี๋ไม่ต้องไล่กันขนาดนั้นก็ได้นะ” เบย์ว่า ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โปรดก็เอาแต่มองพื้น

“เบย์...บี๋จะพูดเป็นครั้งสุดท้าย เรื่องของเราจบแล้ว จบบริบูรณ์ไม่มีภาคต่อ สำหรับบี๋ความรักที่ให้เบย์ไม่เหลือเลยสักนิดเดียว หัวใจของบี๋ยกให้พี่กาศไปแล้ว ขนาดโมที่เป็นเพื่อน บี๋ยังให้มันสำคัญกว่าเบย์อีก ที่ผ่านมาสี่ปีของเราบี๋พอแล้ว บางทียังคิดไม่ออกว่าเมื่อก่อนรักเบย์ลงเข้าไปได้ยังไง ทั้งเจ้าชู้ ทั้งเห็นแก่ตัว นอกจากรูปร่างหน้าตามีอะไรดีบ้างเหรอ ส่วนโปรด.......”

ผมเว้นจังหวะหายใจ

“โปรด...พี่แค่อยากให้น้องมีสติ รักได้แต่อย่างมงาย น้องยังเจอคนดีกว่าเบย์อีกเยอะ มองให้ออกว่ารักเขา หลงเขา หรือแค่อยากเอาชนะ หัวใจเราเป็นของเราไม่มีใครทำเราเจ็บได้ถ้าเราไม่ยอม”

ผมถอนหายใจ เหนื่อยนะพูดครั้งนี้แล้วจะไม่พูดอีก ถ้าเบย์มันตื๊อไม่เลิก จะย้ายที่ทำงานไปสาขาต่างประเทศเลยคอยดู

“เข้าใจแล้วครับบี๋...เบย์เข้าใจแล้ว” เบย์เสียงสั่น ส่วนโปรดกัดปากแน่น

ผมเดินลงมาที่ห้องตัวเอง วันนี้ลางานกับพี่เลขาไปว่าปวดหัว แต่ผมออกมากับเบย์ ไม่รู้พนักงานจะนินทาว่ายังไงบ้าง ยิ่งผมเป็นหลานอา อนาคตถ้ายังอยู่ก็ประธานบริษัท แต่ดูผมทำสิ ผิดหวังแทนอาจริงๆ

‘งั้นมึงลองใช้ชีวิตแบบไม่มีเปลือกดูสิ ไม่มีรถหรู ไม่มีคอนโดหรู ไม่มีแบล็คการ์ด’ ครั้งหนึ่งพี่กาศเคยท้าผมแบบนั้น ผมว่าอาจถึงเวลาที่ผมจะลองดู



สี่ปีแล้วที่โมไม่อยู่ มึงเรียนจบรึยัง เมื่อไหร่จะกลับมาวะ



ผมเริ่มต้นปีกับการสมัครงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งย่านอ่อนนุช จากนามสกุลผมทำให้เขารับเข้าทำงานได้ไม่ยาก คงเพราะเกรงใจคุณอาผม งานไม่มีอะไรหนักใจ แต่คนเนี่ยสิเหนื่อยมาก เหมือนไปรบทัพจับศึก อาคงพอรู้เลยบอกผมว่าไม่ไหวก็กลับมานะ มันเลยเป็นแรงผลักทำให้ผมต้องงัดทุกความอดทนมาใช้ ช่วงนี้คือช่วงที่เหนื่อยกาย เสียสุขภาพจิต เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่กาศไม่ชอบทำงานประจำ

ข่าวดีคือ เบย์หายไปจากชีวิตผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาไปญี่ปุ่ญกับโปรดหรือเปล่า แต่แค่เขาหายไปผมก็โอเคมากล่ะ



ห้าปีแล้วที่โมไม่อยู่ สามปีแล้วที่ไม่ได้เจอพี่กาศ สองปีที่ไม่ได้เจอเบย์ ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก กลายเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดา เป็นชนชั้นกลางที่ทำงานตัวเป็นเกลียวและที่สำคัญผมขายคอนโด แล้วย้ายไปอยู่ห้องธรรมดาถูกๆ ผมอยากจะบอกพี่กาศว่า ชีวิตที่ไม่มีเปลือกมันก็เหนื่อยดี อย่างที่พี่ว่าเลย

แต่มันดีนะ ตรงที่วันหนึ่งถ้าเราบังเอิญเจอกันอีก ผมกับพี่ก็จะได้ใกล้กันอีกนิดไง

“อยู่ได้แน่นะ” อาถามย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ หลังมาเห็นห้องใหม่ของผม มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย

“ได้ครับ ผมหลานอานะ ผมต้องเก่งเหมือนอาสิ” ผมเข้าไปกอดอาส่งสายตาอ้อน

อาพยักหน้ายิ้ม ยอมรับแบล็คการ์ด กับกุญแจซูเปอร์คาร์ของผมไป อาว่าก็ดีที่ผมอยากเรียนรู้ความลำบาก เปลือกมันอยู่กับเราไม่ได้ตลอด ถ้าเรามีมันจนชินวันหนึ่งมันหายไป เราจะกลายเป็นคนล้มละลายโดยสมบูรณ์





#เช่นทินกรอ่อนแสง

By Symbol A





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:10:07 โดย antivirus »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด