เรื่องสั้น ♥ Before 25 years old! #เบญจเพสเลิฟเวอร์ ตอนที่8 END [12-02-2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น ♥ Before 25 years old! #เบญจเพสเลิฟเวอร์ ตอนที่8 END [12-02-2019]  (อ่าน 7619 ครั้ง)

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Before 25 years old!
#เบญจเพสเลิฟเวอร์
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2019 02:56:52 โดย janeta »

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
#เบญจเพสเลิฟเวอร์



ว่ากันว่าเมื่ออายุย่างเข้า 25 ปี จะถึงวัยเบญจเพส เคราะห์ร้ายต่างๆ ก็จะเริ่มเข้ามาหาไม่เว้นแต่ละวัน


และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์กันยกใหญ่ หรือเรียกได้ว่าเป็นจุดหักเหครั้งใหญ่ในชีวิตที่ทุกคนต้องเจอก็ว่าได้


ตัวผมเองก็เช่นกัน



ปัง!

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนความทรมานในอกจะปลุกผมขึ้นจากความฝัน




"เชี่ยเอ๊ย! ทำไมกูตายอีกแล้วเนี่ย!"


"แหกปากอะไรของมึงนักหนาไอ้ฟ่าง!" ต๊อบรูมเมทของผมเขวี้ยงหมอนรองคอรูปปิกาจูใส่หัวผมจนกระเด็นไปอีกด้าน ก่อนจะหันกลับไปปั่นงานด่วนส่งหัวหน้าตัวเอง


ทั้งที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์


"ก็กูตายเพราะมันอีกแล้ว! ต๊อบมึงคิดดูสิวะ คนเราจะตายแทนคนอื่น 300 ครั้งไม่ได้หรอกนะโว้ย!"
ไอ้แว่นตาตี่ทำหน้าเอือมใส่ผม


“แล้วมึงมั่นใจได้ไงว่าเป็นมันน่ะ ไหนมึงบอกเมื่อวานตายเพราะช่วยหมา”


“หมาแม่งก็มีไฝรูปหัวใจที่ต้นคอไงมึง” ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ภาพจำในหัวยังคงแจ่มชัด โดยเฉพาะวินาทีที่ผมโง่เอาตัวเข้าไปบังกระสุนให้อีกฝ่ายจนถูกยิงตัดขั้วหัวใจ ถ้าไม่ตายจริงๆ ผมคงไม่ตื่นขึ้นมาหรอก


“กูว่านะ มึงไปทำบุญกับพวกกูดีกว่าจะได้สบายใจขึ้น เนี่ยเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงไอ้เล้งก็มารับล่ะ”


“ไหนมึงว่าต้องปั่นงานไง” ผมมองเอกสารเกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะมัน “ไม่เสร็จเขาหักเงินเดือนมึงไม่ใช่เหรอวะ”


“หึ ระดับกูนะ...” ต๊อบพับหน้าจอลงแล้วเก็บใส่กระเป๋าเป้ ก่อนจะหันมาเบะปากทำหน้าจะร้องไห้ใส่ผม “พกงานไปทำบนรถด้วยสิวะ”


“กูก็นึกว่าเก่ง เหอะ!” ว่าจบผมก็ลงจากเตียง ความรู้สึกหวิวๆ ในอกยังคงอยู่ แต่ก็อย่างที่ต๊อบว่าไว้ ไปทำบุญอาจจะช่วยให้สบายใจมากขึ้นก็ได้


“อย่ามาจองเวรกูนะไอ้ไฝรูปหัวใจ!”



.........................................

ผมกับต๊อบ และไอ้เล้งสารถีประจำตัวพวกเราเดินทางมายังวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวชานเมืองที่ทั้งเปล่าเปลี่ยวและร้างผู้คน


“เล้ง กูถามจริงๆ ทำไมเราต้องมาไกลถึงวัดนี้วะ” ผมถามเล้งอย่างหวาดระแวงพลางเกาะแขนต๊อบเพื่อนซี้แบบที่เรียกว่าชาตินี้กูจะไม่ปล่อยมือจากมึงเด็ดขาด


“ไอ้ต๊อบ เล่าดิ” เล้งโบ้ยให้ต๊อบเป็นคนตอบส่วนตัวเองก็มุดเข้าไปในรถแล้วเปิดเก๊ะเพื่อหยิบสร้อยพระเก้าองค์มาสวมคอ
มึงทำให้กูระแวงแล้วนะไอ้เล้ง!


“คืองี้ พอดีกูบนขอให้โปรเจกต์ผ่านน่ะก็เลยมาแก้บน”


“แต่กูไม่เห็นมึงซื้ออะไรมาแก้บนสักอย่างเลยนะ” ตั้งแต่เล้งไปรับผมกับต๊อบที่หอก็ตรงดิ่งมาวัดนี้เลย ผ่านตลาดเช้ากี่ที่ก็ไม่เห็นจะแวะจอด “อ่อ หรือมึงฝากไอ้เล้งซื้อมา”


“เปล่า...” ต๊อบเม้มปากนิดๆ ก่อนจะสูบลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจับมือผมไว้ “คือกูบนให้มึงมาแก้บนน่ะ”


“ไอ้เชี่ยต๊อบ!”


“จุ๊ๆ ในวัดในวาอย่าพูดคำหยาบ ใจเย็นน่าฟ่างก็แค่แก้บนไม่ได้ให้มึงแก้ผ้าในวัดสักหน่อย”


“หุบปากไปเลยมึงอะ กูว่าไม่ใช่แค่ไอ้ต๊อบหรอกมั้งที่เอากูมาบนน่ะ!”


“อุ้ย ทำไมเดาถูก นี่เป็นความดีความชอบของมึงเลยนะ บนมึงปั๊บกูได้เป็นแฟนกับน้องจ๊ะจ๋าเลยอะ” เล้งหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปคู่ของตัวเองกับน้องจ๊ะจ๋าให้ผมดู


“พวกมึงนี่มัน!”


“แก้บนมันไม่มีอะไรเลยนะฟ่าง ตอนนั้นกูบนขำๆ เพราะคิดว่ายังไงโปรเจกต์ก็ไม่ผ่านว่ะ”


“ใช่ มึงก็เห็นรูปน้องจ๊ะจ๋าแล้วนี่ ดาวคณะเลยนะโว้ย แล้วมึงดูกู ไอ้อ้วนหมูตอนอย่างกูจีบเขาติดอะ มันอิมพอสซิเบิ้ลมากเลยนะโว้ย”


“กูไม่แก้! ใครบนก็แก้เอาเอง!” ผมหันหลังกลับตั้งใจจะเดินหนี แต่ไม่ทันระวังหัวชนเข้าอกของใครบางคน


“ช่วยเบาเสียงกันหน่อยนะครับ ตอนนี้พระท่านกำลังเข้าสมาธิอยู่” คนพูดช่วยจับแขนผมไว้ไม่ให้ล้ม ซึ่งพอเงยหน้าขึ้นมอง ผมก็เห็นไฝเล็กๆ บนต้นคอของอีกฝ่าย


ไฝรูปหัวใจ!


“มึง!”


“หืม” เขาก้มลงมองผมอย่างไม่เข้าใจนักก่อนจะรีบปล่อยมือออก “ขอโทษครับ คุณคงไม่ชอบให้ใครแตะตัว”


“...” ผมไปไม่ถูกเลยเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีสุภาพออกมา ถ้อยคำที่ตั้งใจสาดใส่จึงถูกกลืนลงท้องไปอย่างเงียบๆ


“ช่วงนี้เพื่อนผมมันดวงตกน่ะครับ นี่ก็เพิ่งตกงานมา คุณพอจะพามันไปนั่งสมาธิฟังเทศน์ฟังธรรมสัก 2 เดือนพอจะได้ไหมครับ”


“แล้วพวกคุณ...”


“อ่อ พอดีผมกับเล้งอายุน้อยกว่าฟ่างน่ะครับ เป็นเพื่อนรุ่นน้องดวงกำลังพุ่งแรง ยังไงก็ฝากๆ หน่อยนะครับคุณมัคทายก”


“เอ่อ ผมไม่...”


“กูไม่อยู่!” ผมจะไม่อยู่ใกล้ไอ้หมอนี่แน่นอน! เกิดวันดีคืนดีตายเพราะมันขึ้นมาอีกคราวนี้คงไม่ใช่ฝันแต่ตายจริงชัวร์!


“ไอ้เล้งสตาร์ทรถ!” ต๊อบตะโกนก่อนจะผลักอกผมไปชนคนข้างหลังแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าไปขึ้นรถที่ติดเครื่องรอไว้ทันที ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นรถคันนั้นก็แล่นออกจากวัดไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นคละคลุ้งกับเพื่อนตาดำๆ อย่างผม


ไอ้เพื่อนชั่ววววววววววววววววววว


“คุณไม่เป็นไรนะ”


ผมสะบัดตัวหนีไม่อยากรับน้ำใจอะไรจากอีกฝ่าย


เพราะในฝันครั้งที่หนึ่งร้อย ผมตายเพราะน้ำใจของเขานี่แหละ


น้ำใจจะตายได้ยังไงน่ะเหรอ...




‘ข้าจักแบ่งอาหารให้เอ็ง ใครกล้าว่าข้า’


‘มันไม่สมควร กระผมเป็นเพียงทาส’


‘หากเอ็งไม่กิน จักมีกำลังมาปกป้องข้าได้เยี่ยงไร’




แล้วผมก็รับน้ำใจนั้นมากินจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะตายเพราะยาพิษที่อยู่ในข้าวเหนียว


บัดซบที่สุด!







...................




Tbc.






Talk.
ได้พล็อตมาเพราะแม่กรอกหูให้ไปทำบุญค่ะ 5555 ไม่ได้ลบหลู่น้า แค่อยากเขียนให้อ่านสนุกๆ กัน ชอบก็เม้นบอกกันโน๊ะ เจอกันตอนหน้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2018 00:07:33 โดย janeta »

ออฟไลน์ taltal020441

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากอ่านต่อค่ะ คือ ยังงงๆนิดหน่อย ตอนหน้าน่าจะเข้าใจมากขึ้น

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ระลึกชาติ??? รอตอนต่อไป  :pig4:

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
ตอนที่ 1


หากจะให้เท้าความถึงความฝันแปลกประหลาดเหล่านั้นแล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มจากค่ำคืนหลังจากวันเกิดปีที่ 24 วันนั้นผมฝันถึงใครคนหนึ่งที่ไม่เห็นหน้า มีเพียงความรู้สึกจางๆ ที่ผูกพันยิ่งกว่าใคร


เขาอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ โอบกอดผมอยู่ในห้วงฝันราวกับโลกใบนี้มีเพียงเราสองคน


ผมเกือบจะอินกับความสุขนั้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะได้ยินถ้อยคำหนึ่งจากเขา


‘ฉันต้องไปทำหน้าที่ของฉันแล้ว’


‘ไม่ไปไม่ได้เหรอ’



ผมอ้อนวอนเขาด้วยหัวใจที่วูบโหวง เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยืนขึ้นแล้วก้าวเดินห่างออกไปจนกระทั่งหายลับไปจากสายตา


‘อยากช่วยเขาไหม’ เสียงคุ้นหูเอ่ยถาม ซึ่งผมก็ตอบไปอย่างไม่ลังเล


‘อยากสิ ต้องทำอย่างไร’


‘กระโดดลงไป’ สิ้นคำพูดนั้นภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ผมยืนอยู่บนเมฆก้อนหนึ่ง ทว่าด้านล่างคือใจกลางพายุที่ไม่ว่าใครกระโดดลงไปก็ไม่มีทางรอด


‘เลือกสิ’ เขาบอกผมแบบนั้น


ชั่ววินาทีสั้นๆ ผมไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรเลยนอกจากทิ้งตัวลงไปด้านล่าง ปล่อยให้สายฟ้าฉีกกระชากร่างกายและจิตวิญญาณของผม เสียงหวีดหวิวของสายลมเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะสะดุ้งตื่นจากความฝัน


ทั้งที่คิดว่าฝันร้ายจบลงแล้ว แต่ทุกคืนผมจะเริ่มฝันใหม่อีกครั้งด้วยเรื่องราวที่แตกต่างไปจากเดิม บางครั้งผมก็เป็นปลาตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่กับเงือกหนุ่มที่ผมเห็นหน้าหน้าเป็นภาพรางๆ เราชอบท่องท้องทะเลไปด้วยกัน แต่สุดท้ายเพื่อให้เงือกตนนั้นหนีรอดไปได้ ผมยอมถูกฉมวกแทงตาย


หรือไม่ก็อย่างเมื่อวันก่อน ผมฝันว่าตัวเองมีหมาอยู่ตัวหนึ่งที่รักและผูกพันกับมันมาก อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ คงเพราะมันอายุมากแล้วจึงเดินข้ามถนนได้ช้า ผมที่ข้ามไปก่อนจึงยืนรอและเอาใจช่วยอยู่ที่ริมถนนอีกฝั่ง


แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม จู่ๆ รถคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง ผมจึงวิ่งเข้าไปเพื่อจะอุ้มหมาออกมาจากตรงนั้น แต่รถอีกคันที่มาจากไหนไม่รู้ดันขับเร็วกว่าพุ่งเข้ามาชนร่างผมกระเด็นไปไกล


แน่นอนว่าผมไม่รอดเลยสักครั้ง


จากวันแรกจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปสามร้อยกว่าฝันแล้ว นับวันก็จะยิ่งชัดเจนและรู้สึกถึงความเจ็บปวดมากขึ้นทุกที อย่างเมื่อคืนผมก็โง่วิ่งเข้ามาขวางกระสุน แค่นึกถึงผมก็เจ็บร้าวในอกข้างซ้าย


“อึก”


“คุณเป็นอะไรไหม” เขาแตะแขนผม เมื่อเห็นว่าผมไม่มีท่าทีต่อต้านเหมือนก่อนหน้าก็ช่วยประคองพาผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มไม้


“คุณนั่งพักก่อนนะ ผมจะไปเอาน้ำมาให้” เขาบอกแล้วหมุนตัวเดินไปอีกทางโดยไม่รู้ว่าผมจ้องมองแผ่นหลังเขาเงียบๆ ด้วยหัวใจที่ค่อยๆ เต้นช้าลงจนกลับเป็นปกติ


“โยม...”


“แว้กกกกกกกกกกกกกก” ผมตะโกนลั่นเมื่อเห็นพระโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง


“ใจเย็นโยมนี่พระไม่ใช่ผี” พระท่านยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลง “โยมยังฝันถึงอดีตอยู่ไหม”


“หลวงพ่อ! หลวงพ่อรู้อะไรเกี่ยวกับฝันของผมเหรอครับ!” ผมยกมือพนมถามอย่างตั้งใจ


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโยมพิชิต เดี๋ยวรอเขามาก่อนอาตมาจะเล่าให้ฟัง”


“ครับ” ผมคิดว่าคนชื่อพิชิตจะต้องเป็นเจ้าของไฝรูปหัวใจนั่นแน่ๆ


ไม่นานนักคนที่หลวงพ่อพูดถึงก็ถือขันน้ำเดินเข้ามา เขาส่งให้ผมก็จะไหว้หลวงพ่อแล้วนั่งลงข้างๆ กัน


“โยมพิชิต จำวันแรกที่โยมมาหาอาตมาได้ไหม ที่บอกว่ากำลังตามหาใครบางคน”


“ครับหลวงพ่อ ผมจำได้ดี”


ทำไมผมรู้สึกไม่ดีเลยวะ ครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะวิ่งหนีไปเดี๋ยวนี้เลย


“คนที่โยมตามหาน่ะ” หลวงพ่อเบนสายตามาทางผมแล้วส่งยิ้มให้ “ก็คือโยมคนนี้”


“!!”


ดวงตาคู่นั้นเหลือบมองผมก่อนจะนิ่งไปคล้ายกับกำลังทบทวนความทรงจำของเขา


“โยมเองก็คงต้องการคำตอบว่าทำไมถึงฝันแบบนั้นใช่ไหม”


ผมพยักหน้าก่อนจะหันไปกลอกตาใส่คนข้างๆ “นี่...จะจ้องอะไรกันนักกันหนา ไม่เคยเห็นคนเหรอ”


“ไม่เคยเห็นชัดๆ แบบนี้” พิชิตตอบแล้วยิ้มมุมปาก “ภาพจางๆ พวกนั้นสู้นายตัวจริงไม่ได้เลย”


เชี่ย! นี่มันมุกจีบหรือว่าอะไรวะ น่าขนลุกฉิบหาย


“หลวงพ่อครับ พอจะมีวิธีกำจัดฝันพวกนั้นไหมครับ” ผมถามอย่างจริงจัง จงใจเมินคนด้านข้างที่ส่งสายตามาก่อกวนอยู่เป็นระยะ


เรื่องความฝัน หากเป็นแค่ฝันธรรมดาผมก็คงไม่ต้องทุกข์มากนัก แต่เพราะช่วงหลังผมเริ่มรู้สึกแย่มากขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังรู้สึกราวกับว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นแพร่กระจายไปทั่วร่าง กัดกินพละกำลังผมจนร่างกายผมอ่อนแอลง กระทั่งแรงวิ่งตามรถเพื่อนยังแทบไม่มีด้วยซ้ำ


“เรื่องนั้น...อาตมาไม่อาจช่วยได้” หลวงพ่อส่ายหน้า “เป็นกรรมที่โยมทั้งสองทำร่วมกันมา จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับพวกโยม”


“คราวนี้ผมจะไม่ให้เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นอีก” คนข้างๆ ผมเอ่ยขึ้น มือข้างหนึ่งกุมมือของผมไว้ราวกับจะไม่มีวันปล่อยมือจากกันไปไหน


ผมปรายตามองเขานิดๆ แล้วกระชากมือออกทันที


กู-ขน-ลุก-โว้ย!


ยัง...ยังจะมีหน้ามาตัดพ้อใส่ผมอีก


“อาตมาขออวยพรให้พวกโยมโชคดี ผ่านช่วงอายุ 25 นี้ไปได้ ชีวิตที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกโยมแล้ว” แล้วหลวงพ่อก็ขอตัวไปทำกิจธุระของท่านต่อ ทิ้งผมไว้กับตัวปัญหาที่เอาแต่ตามผมอยู่นั่นแหละ


“เลิกตามฉันสักทีได้ไหม” ผมบอกคนข้างหลังพลางเดินหาสัญญาณโทรศัพท์เพื่อจะเรียกแท็กซี่มารับ


“ขอโทษที่ทำให้นายไม่พอใจ แต่ฉันไม่อยากให้นายคลาดสายตาอีกแล้ว”


“นายจะอินกับอดีตพวกนั้นไปทำไม เรื่องมันผ่านไปเป็นชาติแล้ว ต่างคนต่างอยู่ไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าฉันไม่ตายเพราะนายอีก”


คำพูดของผมอาจจะฟังดูใจร้าย แต่ในเมื่อมีชีวิตเป็นของตัวเองทำไมผมต้องยอมผูกติดกับคนในอดีตที่ทำให้ชีวิตฉิบหายด้วย


“ไม่ ยิ่งนายอยู่ห่างจากฉัน มันจะยิ่งอันตราย” คราวนี้เขารั้งแขนผมไว้ไม่ให้ก้าวเดินต่อ “นายเริ่มรู้สึกแย่มากขึ้นทุกครั้งที่ตื่นนอนใช่ไหม ความรู้สึกของนายคงเหมือนจริงมากขึ้นทุกวัน”


“!!”


“ฉันรู้ เพราะฉันก็รู้สึกถึงมันเหมือนกัน ความรู้สึกที่เห็นนายตายไปต่อหน้ามันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรในชีวิต เพราะมันเหมือนจริงมากขึ้นทุกวันจนฉันแทบจะอยากตายตามนายไป” เขาหลับตาลง “เหมือนตัวเองในอดีต”


“นายหมายความว่าไง”


เขาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นสะท้อนถึงความเจ็บปวดที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจ ก่อนริมฝีปากนั้นจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ผมชาวาบไปทั้งร่าง


“ฉันฆ่าตัวตาย”
......................................





ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ขอให้ชาตินี้ไม่เจ็บปวดเผลหมือนที่ผ่านมา  :hao5:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ขอให้เรื่องราวมันจบลงที่ชาตินี้นะ จบแฮปปี้เด้อ!  :hao5:

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 2




“นาย...ทำแบบนั้นทำไม” ผมถามอย่างหมดแรง ที่ผมช่วยไว้ตลอดหลายคืนเนี่ย เขาพรากชีวิตตัวเองไปง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอ


“นายรู้คำตอบดีไม่ใช่เหรอถึงได้แย่งชิงความตายไปจากฉันเสมอ แล้วฉันผิดอะไรที่จะตามนายไป ในเมื่อฉันอยู่ไม่ได้หากไม่มีนายอยู่บนโลกใบนั้น”


“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นเหตุผลที่เราไม่ควรอยู่ใกล้กัน อย่าให้ชีวิตของฉันต้องผูกติดกับนาย” ผมหันหลังแล้วเดินจากมา โชคดีที่เพื่อนทั้งสองของผมสำนึกได้ขับรถเข้าประตูวัดมาพอดี ผมจึงขึ้นรถของพวกเขาแล้วออกจากวัดไปพร้อมกันโดยไม่พูดกับใครทั้งนั้น




1 สัปดาห์ต่อมา


“ไอ้ฟ่าง ไอ้ฟ่าง!” เสียงรูมเมทปลุกผมขึ้นมาจากความฝัน “มึงเป็นอะไรเปล่าวะ ร้องไห้ทำไม”


“กู...กู” ผมปาดคราบน้ำตา นึกถึงฝันร้ายที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง เพียงแต่ตอนจบไม่จบลงที่ผมตายแต่เป็นใครบางคนที่เห็นผมตายต่อหน้าต่อตาแล้วคว้ามีดแทงตัวเอง


“ใจเย็นๆ ฝันร้ายอีกแล้วเหรอวะ เอาหน่าๆ วันนี้เป็นวันดีของมึงนะไปเตรียมตัวสัมภาษณ์งานได้แล้ว”


“กูไม่อยากไปแล้วว่ะ” ผมเกาะแขนเพื่อนอย่างอ่อนล้า ความฝันนั้นฉุดหัวใจผมให้ดำดิ่งลงมากขึ้นทุกที


“ไม่ไปแล้วมึงจะเอาอะไรแดก” และคำพูดเพื่อนก็เอาชนะความเศร้าของผมได้ทันที


จริงของมัน ผมว่างงานมาหลายเดือนแล้ว เกาะไอ้ต๊อบกินจนพ่อแม่มันเริ่มจะเหม็นขี้หน้าผมทุกครั้งที่เจอหน้ากันเลย


“เออ กูไปก็ได้วะ” ผมหอบสังขารเน่าๆ ของตัวเองเข้าไปอาบน้ำ ออกมาจากห้องก็ไม่เจอเพื่อนแว่นตาตี่แล้ว มีเพียงโน้ตสั้นๆ กับเสื้อสูทเรียบๆ ตัวหนึ่งของมัน


เออ กระทั่งเสื้อผ้าใส่ไปสัมภาษณ์งานผมยังต้องพึ่งของของมันเลย สมเพชตัวเองเลยว่ะ


ต๊อบ กูจะต้องได้งานนี้ แล้วกูจะรีบคืนเงินมึงนะ


ผมตั้งเป้าหมายไว้อย่างนั้น ต่อให้ต้องเลียเท้าเจ้านายผมก็จะทำ




ณ บริษัท xxx


“ผมมาติดต่อสัมภาษณ์งานครับ”


“ชื่อคุณอะไรคะ” หญิงสาวหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวาน คาดว่าเสน่ห์อันร้อนแรงของผมคงจะโดนใจเธอเข้าแล้ว


“ธนากรครับ”


“คุณธนากร...” เธอก้มลงดูรายชื่อในใบติดต่อนัดสัมภาษณ์ก่อนจะหน้าซีดเผือดเงยหน้ามองผมแล้วรีบก้มหัวหลบตาทันที “ชะ...ชั้น 24 ค่ะ”


“โห ชั้นบนเลยเหรอครับ” โชคของผมไม่ดีตั้งแต่เริ่มแรกเลยแฮะ ผมไม่ค่อยถูกกับลิฟต์เท่าไหร่เพราะมีความทรงจำไม่ดีตอนที่ลิฟต์ค้างนานกว่า 2 ชั่วโมง


เอาวะเป็นไงเป็นกัน


ผมเข้าลิฟต์ไปพร้อมกับคนอื่นๆ ที่มาสัมภาษณ์งานเหมือนกัน แต่พอสอบถามชั้นที่พวกเขาต้องไปสัมภาษณ์แล้ว ทำไมของพวกเขาแค่ชั้น 10 แต่ของผมพุ่งไปชั้นที่ 24 เลยล่ะ


ระหว่างที่คนอื่นๆ ทยอยกันเดินออกไปคนกลุ่มใหม่ก็เดินเข้ามา ผมเขยิบหลบเข้ามุมแล้วลอบสังเกตคนกลุ่มใหม่ที่ดูภูมิฐานและมีมาดผู้บริหารหนุ่มไฟแรงกันทั้งนั้น


สักวันผมก็คงเป็นแบบนี้ละมั้ง หึๆ


พอถึงชั้น 20 พวกเขาก็ก้าวออกจากลิฟต์ไปกันหมด แต่คนสุดท้ายเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะถามยิ้มๆ


“น้องมาสัมภาษณ์งานเหรอครับ ฝ่าย HR อยู่ชั้น 10 นะ”


“แต่พี่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ข้างล่างบอกให้ผมขึ้นไปสัมภาษณ์ที่ชั้น 24 นะครับ” เอ๊ะ หรือว่าผมฟังผิดวะ


“เชี่ย! ไอ้ตุลมึงหลบออกมาเลยของบอสนะโว้ย เดี๋ยวตายห่าขึ้นมาพอดี!” คล้อยหลังชายหนุ่มคนนั้นเพื่อนของเขาก็ลากคออีกฝ่ายออกไปทันที


ของบอส?


ผมเอียงคอสงสัยกับประตูสักพักลิฟต์ก็เคลื่อนมาถึงชั้น 24


ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ไอเย็นจากแอร์คอนดิชันเนอร์ก็ทำเอาผมขนลุกเกรียว มองออกไปข้างนอกก็เคว้งคว้างเหลือเกิน ตลอดทางเดินทอดยาวมีประตูอยู่เพียงหนึ่งบาน


ที่นี่มันใช่ที่ที่ผมต้องสัมภาษณ์ไหมเนี่ย


ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานนั้น บนหน้าประตูมีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีทองสลักอยู่เพียงสองตัว “PC”


หรือนี่คือห้องคอมพิวเตอร์ของฝ่ายไอทีที่ผมต้องมาสัมภาษณ์


หูววววว ไฮโซซะไม่มีอะ หรือเป็นห้องเฉพาะหัวหน้าไอทีแบบแฮกเกอร์ตัวฉกาจงี้ เลยต้องลึกลับหน่อย หึหึ


คิดไปคิดมาไม่สู้เข้าไปเจอตัวจริงเลยดีกว่าเหรอ คนแบบนี้เราต้องนอบน้อมเข้าไว้ จำไว้ไอ้ฟ่างแกต้องได้งานนี้นะโว้ย!


ผมเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปข้างในด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมพร้อมส่งยิ้มจริงใจชนิดที่ใครเห็นเป็นต้องรับเข้าทำงานทันที


“สวัสดีครับ ผมมาสัมภาษณ์งาน...” พูดได้เท่านั้นรอยยิ้มของผมก็ชะงักค้าง ขณะที่อีกฝ่ายนั่งเท้าคางมองมายิ้มๆ ดูไม่แปลกใจที่ผมปรากฏตัวอยู่ตรงนี้เลยสักนิด


“เชี่ย! ทำไมเป็นมึงอีกแล้วเนี่ย...”


ทันใดนั้นในสมองอันน้อยนิดของผมก็สร้าง GAT เชื่อมโยงข้อความบนป้ายหน้าประตูขึ้นมาได้ทันที


“PC” from “Pichit” Shit!
..........................




Tbc.



ขอบอกว่าเรื่องนี้ไม่จบเศร้าค่ะ เราเน้นคอมเมดี้ 55555 ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ เจอกันตอนหน้า  :hao3:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เดี๊ยววววว ทำไมมันสั้นอย่างนี้!!! ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลย  :z3: 555555555555555555555555555

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 3



ผมมองร่างสูงที่ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผม


“ฉันเป็นคนสัมภาษณ์นายยังไงล่ะ ไหนละแฟ้มผลงาน”


ผมก้มมองแฟ้มที่ถืออยู่ก่อนอีกฝ่ายจะดึงออกไปจากมือผมแล้วถือวิสาสะเปิดอ่านผ่านๆ เออ อ่านผ่านๆ เลยครับแล้วก็ปิดแฟ้มลง


“ผมรับเข้าทำงาน รายงานตัวพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า”


“เดี๋ยวๆ นี่จะ...ไม่ถามอะไรสักหน่อยเหรอ นายเป็นคนสัมภาษณ์งานนะ”


“ไม่ล่ะ ฉันจำได้ทุกชาติว่านายชอบอะไรไม่ชอบอะไร” เขาสบตาผมแล้วยิ้มบาง “จำได้ทุกอย่าง”


“...”


“กลับได้เลยนะ ฉันคิดว่านายคงต้องไปเตรียมตัวสำหรับเข้าทำงานวันพรุ่งนี้ ขอบอกเลยว่างานหินสุดๆ เหนื่อยสุดๆ”


“เดี๋ยว...สรุปว่าฉันได้งานอะไรเนี่ย” จู่ๆ ก็ได้งาน แต่จะว่าไปบริษัทนี้ผมไม่ได้สมัครด้วยซ้ำเพราะคุณสมบัติไม่ถึง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ HR ถึงติดต่อให้มาสัมภาษณ์เหมือนกัน


“เลขาฯ ประจำตัวฉันไง”


“เฮ้ ฉันเรียนไอทีมานะ จะไปทำงานเลขาให้นายได้ไง”


“ไม่ต้องกังวล สิ่งที่นายเรียนก็ช่วยทำหน้าที่เป็นเลขาให้ฉันได้เหมือนกัน อีกอย่างทุกๆ ชาตินายก็คอยอยู่ข้างฉัน ดูแลฉันตลอด ชาตินี้ก็ดูแลอีกสักชาติเป็นไง”


“ไม่ ฉันว่าเราคุยกันแล้วนะว่าชาตินี้เราจะต่างคนต่างอยู่...”


ก๊อกๆ


“ท่านประธานครับ คุณมีประชุมในอีก 5 นาที” เสียงด้านนอกฟังดูเหนื่อยหอบเล็กน้อย


“เข้ามาก่อนสิ”


ชายชราคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาสวมสูทเนี้ยบอย่างดี ผมสีดอกเลาและใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งบอกว่าเขาอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว


“นายดูเขาสิ เขาเป็นเลขาให้ฉันไม่ไหวแล้วหรอกนะ ถ้าไม่ให้เขาลาออกไปพักผ่อนฉันก็เป็นเจ้านายที่แย่มาก”


“แล้วทำไมนายไม่หาคนหนุ่มสักคนมาเป็นเลขาล่ะ”


“นายไง”


“ฉันหมายถึงคนอื่น คนที่มีประสบการณ์มากพอจะเป็นเลขาของนาย”


“ฉันไม่ได้ต้องการคนมีประสบการณ์มากมายแบบนั้น ฉันต้องการแค่คนที่จะไม่ทรยศฉัน”


“แค่เลขามันจะทรยศนายได้ไง” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่เขา เป็นเลขาแค่รับงานก็เหนื่อยจะตายแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทรยศวะ


“คุณคงเป็นคุณฟ่างเลขาคนใหม่ของท่านประธาน” ชายชราเอ่ยขัดยิ้มๆ “คุณฟ่างคงยังไม่ทราบว่าสังคมของท่านประธานนั้นไว้ใจใครไม่ได้เลย กระทั่งครอบครัวก็ยังหาวิธีทำร้ายเขา ดังนั้นการเป็นเลขาประจำตัวจึงไม่ใช่แค่การดูแลเรื่องงานแต่รวมไปถึงดูแลความปลอดภัยของท่านประธานด้วยครับ”


“แต่ผมไม่ได้เรียนต่อสู้มา จะไปสู้ใครเขาได้ไงล่ะครับ” ผมบ่นอุบกับคุณปู่ อายุขนาดนี้เรียกพี่ไม่ไหวจริงๆ ครับ


“เรื่องต่อสู้ไม่จำเป็นหรอกครับ เรามีบอร์ดิการ์ดของท่านประธานคอยดูแลอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีคนที่เชื่อใจได้อยู่ข้างกายท่านต่างหาก”


“ผมยิ่งเชื่อใจไม่ได้ใหญ่เลยครับ แค่มีเงินผมก็ไปแล้ว ตำแหน่งนี้ไม่เหมาะกับผมหรอก” ผมไม่ได้พูดโกหกเลยสักคำ โดยเฉพาะประโยคหลัง ตำแหน่งที่ต้องไว้เนื้อเชื่อใจกันขนาดนั้น ผมให้เขาไม่ได้หรอก กว่าผมจะสนิทใจกับไอ้ต๊อบกับไอ้เล้ง ยังใช้เวลาหลายปีเลย


“แต่ฉันเชื่อว่านายจะไม่ทำแบบนั้น” พิชิตเอ่ยขึ้นก่อนจะแตะไหล่ผม


“อย่าเอาเรื่องในอดีตมาเทียบกับฉันคนปัจจุบัน” ผมสะบัดตัวออกจากเขา รู้สึกหงุดหงิดที่เขายังคงยึดติดกับเรื่องความฝันเหล่านั้น ความฝันที่ผมเป็นคนดีจนน่ารำคาญ


“ขอตัวครับ ผมต้องรีบไปหางานที่อื่น”


“ฟ่าง...”


ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู แต่ก็ทำใจแข็งก้าวออกจากห้องไป เดินตรงดิ่งไปที่ลิฟต์โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง

.

.

.


“มึงมันโง่จริงๆ”


“ใช่ โง่โคตรๆ”


“หุบปากไปเลยไอ้ต๊อบไอ้เล้ง กูเครียดจะตายห่าแล้วเนี่ย” ผมบ่นเพื่อนทั้งสอง หลังจากออกจากบริษัทนั้นผมก็ตรงดิ่งมารอไอ้ต๊อบที่บริษัทมันก่อนจะลากตัวมากินข้าวเที่ยงที่บ้านไอ้เล้งเพื่อขอคำปรึกษา


“เขาเสนองานดีเงินงามให้มึงทำไมไม่รู้จักรับไว้” ต๊อบว่าพลางหยิบลูกชิ้นปิ้งเข้าปาก


“ก็กูไม่อยากอยู่ใกล้มัน มึงอยู่กับกูทุกวันก็เห็นนิว่ามันทำให้กูฝันร้ายทุกคืน”


“มึงก็อย่าเอาเรื่องนั้นมาปนดิวะ คิดดูสิการที่เขาให้งานมึงอาจเป็นการชดเชยที่มึงตายเพราะเขาก็ได้นะ อีกอย่างตำแหน่งเลขาประธานบริษัท xxx เลยนะโว้ย เท่าที่กูรู้ตำแหน่งแม่บ้านทำความสะอาดก็มากกว่าเงินเดือนสตาร์ทคนเรียนจบปริญญาตรีอีก มึงจะหางานแบบนี้ได้ที่ไหน”


“ถูกของไอ้เล้ง ส่วนเรื่องฝัน มึงก็แค่ปล่อยเบลอไปซะ ถ้ามึงไม่ยึดติดฝันพวกนั้นก็ทำอะไรมึงไม่ได้ ท่องไว้ว่ามึงต้องทำงาน
หาเงินใช้หนี้กู!”


“แฮ่ๆ กูเป็นหนี้มึงเท่าไหร่” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนตาตี่


“เจ็ดหมื่นสามพันเก้าร้อยสามสิบหกบาทห้าสิบสตางค์”


“เศษสตางค์มาจากไหน”


“ค่ารถเมล์เมื่อกี้”


ค่ารถเมล์ก็ไม่เว้นเลยนะเพื่อนกู


“เออๆ กูจะรีบหาเงินคืนให้”


“แค่มึงเข้าทำงานที่นั่นก็ไม่เป็นภาระกูแล้ว”


“กูต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ...”


“มึงยังมีเวลาว่างมาตัดสินใจอีกเหรอ”


“ต๊อบบบบบบบบบบบ”


“กูให้มึงตัดสินใจในอีกห้านาที ถ้าไม่รับงานนี้มึงย้ายข้าวของออกจากห้องกูแล้วกลับบ้านนอกไปซะ”


“มึงมันเพื่อนใจร้าย” ผมค้อนขวับใส่เพื่อน ก่อนจะหันไปหาเล้งที่หลบตาผมทันควัน


“กูให้มึงอยู่ด้วยไม่ได้ บ้านกูคนอยู่เยอะมึงก็เห็น”


“กูก็นอนห้องมึงไง”


“แต่กู...นัดน้องจ๊ะจ๋ามาค้างที่บ้าน”


“สัด!”


นี่ผมไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไหม


“เออ ไปก็ไปวะ”


ทำงานสักพักให้พอให้จ่ายหนี้เพื่อนและอยู่รอดไปอีกสองเดือนผมจะลาออกทันทีเลย!



...........................


“ฉันคิดไว้แล้วว่านายต้องมา” เขายิ้มให้ผมก่อนจะผายมือไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ข้างกัน ข้างกันเลยครับไม่ใช่นอกห้องหรือมุมใดมุมหนึ่งของห้องอย่างที่ผมคิดไว้


“เลขาไม่ควรจะนั่งใกล้เจ้านายเกินไปหรือเปล่า”


“ใกล้กันสิดี ฉันจะได้สอนงานนายได้”


“แล้วคุณปู่เลขาล่ะ หายไปไหนแล้ว”


“กลับไปเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านแล้ว” เขาตบเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัว “มานั่งสิ ฉันมีงานต้องสอนนายเยอะเลย”


ผมก้าวเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเขา ก้มมองเอกสารและแฟ้มต่างๆ ที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะแล้วถอนหายใจ ใช้เวลากี่วันวะถึงจะเคลียร์งานพวกนี้เสร็จ


“อันนี้มาจากฝ่ายขาย นายลองอ่านสิ่งที่เขาเสนอฉันมา...” ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้และกลิ่นจากน้ำหอมราคาแพงก็ทำให้สติผมกระเจิดกระเจิง ไอ้เรื่องที่ฟังอยู่ก็คล้ายจะฟังไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกที เพราะพาลให้นึกไปถึงฝันเมื่อคืน


‘ฉันจะสอนนายว่าการทำรักน่ะ มันเป็นยังไง’


‘ยังไงเหรอ...’



“นายคิดถึงเรื่องเมื่อคืนเหรอ...”


“แว้กกกกกกกก” ผมสะดุ้งสุดตัว เหลือบมองคนข้างๆ ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก็รีบดันหน้าเขาออกไปทันที “อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้นะ!”


“เขินเหรอ”


ผมหลบตา แล้วอ้อมแอ้มถามเรื่องที่เขาพูด “นาย...ฝันเรื่องอะไร” ภาวนาให้เราฝันไม่เหมือนกันเถอะ


“ฉันเหรอ...ฉันขี่ม้าตามนายเข้าไปในป่า แล้ววันนั้นก็ดันเป็นช่วงที่นายฮีทพอดี...”


“พอๆ” ผมไม่อยากฟังเรื่องราวต่อจากนั้น โดยเฉพาะตอนที่เราทำอะไรกันหลังพุ่มไม้นั่น


“แต่ฉันอยากเล่านิ นายก็ฝันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แถมยัง...รัดแน่นขนาดนั้น”


“หยุดพูดเลยนะ” ผมเอื้อมมือไปปิดปากเขาไม่ให้พูดเรื่องน่าอายพวกนั้น “มันเป็นแค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง และนายก็ควรลืมมันไปซะ”


เขาดึงมือผมออก “หึ จะให้ลืมว่านายหมดแรงตายคาอกฉันน่ะเหรอ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ลืมได้ง่ายๆ เลยนะ”


“หมดแรงแล้วไง อย่างน้อยก็ตาไวช่วยนายจากธนูอาบยาพิษนะ!”


“...”


“เอ่อ...”


“ใช่...นายเอาตัวบังฉันไว้แบบนั้น” เขาสบตาผม “แล้วอยากรู้ไหมว่าคราวนี้ฉันฆ่าตัวตายยังไง”


เขาไม่ต้องบอกผมก็จำได้ดี


ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคืออ้อมกอดของเขาที่โถมเข้ามา กดธนูที่ปักอยู่บนร่างผมให้แทงทะลุหัวใจตัวเองเพื่อจะตายไปพร้อมกัน


“นายไม่ต้องพูด...” ผมคว้าตัวเขาเข้ามากอดไว้ ไม่รู้ว่าทำไมต้องกอด แค่รู้สึกว่าการทำแบบนี้จะช่วยลบฝันร้ายที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย


เขาไม่พูดอะไร แค่กอดผมตอบเนิ่นนาน จนกระทั่ง


โครกคราก


เสียงท้องร้องขัดช่วงเวลาปลอบใจ ผมจึงต้องผละออกจากเขาด้วยใบหน้าร้อนๆ


ไอ้ท้องไม่รู้จักเวร่ำเวลา!


“นายคงหิวแล้ว งั้นเราไปหาข้าวกินกันก่อนดีกว่า”


“นี่ยังไม่เก้าโมงเลยนะ” ผมเหล่มองปฏิทินของเขา “และดูเหมือนท่านประธานจะมีประชุมตอนนั้นพอดีด้วยนะครับ”


“ยกเลิกก็ได้มันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ผมยกเลิกอาจจะดีกับพนักงานมากกว่า พวกเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัวนำเสนองานมากขึ้น”


“งั้นเหรอ”


“อย่างนั้นแหละ” เขาพยักหน้า หยิบกระเป๋าทำงานแล้วส่งแฟ้มสองสามอันให้ผมถือไว้ “พวกเขาจะได้ไม่คิดว่านายมาอยู่ว่างๆ”


“ฉันมาทำงานจะอยู่ว่างๆ ได้ไง”


เขายิ้มแล้วเดินนำผมออกมาจากห้อง


“อยู่ๆ ไปนายจะเข้าใจสถานะของตัวเองนั่นแหละ”


“ก็แค่เลขาปะวะ” ผมบ่นพึมพำจนกระทั่งลิฟต์มาหยุดอยู่ที่ชั้น 20 เหล่าชายหนุ่มที่รอลิฟต์ก็เดินคุยกันเข้ามาในลิฟต์โดยไม่ทันสังเกตอะไร


“คุณนายส่งสายมาสืบเรื่องบอสอีกแล้วว่ะ มึงว่าคราวนี้ใครจะตกเป็นเหยื่อของสายคนนั้นวะ”


“คนที่คุณนายเขาเล็งไว้ก็น่าจะเป็นเลขาใหม่ของบอสไม่ใช่เหรอ ยิ่งอยู่ชั้นเดียวกันรู้ความเคลื่อนไหวดีขนาดนั้น ยังไงก็ไม่รอดโดนดึงตัวไปแน่”


“บอสเราก็ไม่ได้อ่อนขนาดนั้นปะ เลือกคนมาเป็นเลขาทั้งทีคนคนนั้นก็น่าจะเก่งพอตัว รับมือคุณนายได้อยู่แล้วล่ะ”


“แต่กูว่าน้องเขาเด๋อๆ ดูไม่ค่อยรู้ความนะ กูว่า...”


“ว่าอะไร”


“กูว่าบอสหลอกน้องมาแดกแล้วเฉดหัวทิ้งมากกว่า”


“ฮ่าๆ” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังไปทั้งลิฟต์


“พวกนายดูว่างกันจังเลยนะถึงมาพูดถึงเลขาฉันแบบนี้” เสียงเข้มจากด้านหลังทำเอาคนที่หัวเราะกันอยู่เมื่อครู่เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้าเหลือบมองด้านหลัง มีเพียงพนักงานคนหนึ่งที่ทำใจกล้ากดลิฟต์ลงชั้นถัดไปทันที


“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ช่วยทำโปรเจคใหม่แล้วขึ้นไปนำเสนอฉันทีละคนด้วยล่ะ”


“คะ...ครับ”


“ดี บริษัทจะก้าวหน้าถ้าพวกนายตั้งใจกันทำงาน”


ติ้ง


ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก ทุกคนก็พุ่งออกจากลิฟต์ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่กำลังจะก้าวเข้าลิฟต์ก็ยืนชะงักอยู่กับที่แล้วยกมือไหว้
ท่านประธานบริษัททันที

“สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านประธาน”


“สวัสดีทุกคน ฝากแจ้งฝ่ายบริหารด้วยว่าวันนี้ยกเลิกการประชุม” เขาสวมมาดประธานบริษัท รอจนกระทั่งลิฟต์ปิดลงก็หันมายิ้มกับผม “เป็นไง ผมเป็นประธานที่ดีไหม”


“เหอะๆ” เอาเป็นว่าถ้าผมเป็นลูกน้องก็ไม่อยากจะแหยมกับเขาก็แล้วกัน



...................

หลังจากเขาพาผมออกไปทานข้าวเช้าและสอนงานจากเนื้อหาในแฟ้มที่ผมแบกไปที่ร้านอาหารตลอดช่วงเช้า เราก็กลับมาที่บริษัทในช่วงบ่าย จากนั้นเขาก็มอบหมายหน้าที่ให้ผมออกไปส่งเอกสารให้กับฝ่ายต่างๆ เพื่อทำความรู้จักและจำหน้าคนที่ผมต้องเกี่ยวข้องตลอดการทำงาน


“สวัสดีครับ คุณ...” ผมก้มมองชื่อบนบัตรพนักงานของเขา “คุณตุลาการ ท่านประธานให้ผมนำเอกสารที่คุณเสนอมาส่งครับ”


“ขอบคุณครับ อ้าว น้องคนนั้นนี่” เขายิ้มให้ผม “พี่ชื่อตุล เรียกพี่ตุลก็ได้”


“ครับ” ผมยิ้มรับรอยยิ้มของคนใจดีที่ผมจำได้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน


“สรุปว่า...เราเป็นเลขาท่านประธานจริงดิ”


“เอ่อ...ครับ แล้วพี่ตุลทำงานที่นี่นานหรือยังครับ”


“ก็ไม่นานนะ ก่อนเราแค่ 2-3 เดือนเอง แต่มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้ พี่สนิทกับคุณเลขาคนเก่าบอสน่ะ”


“จริงเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเวลาคุณปู่ทำงาน เขาทำอะไรบ้างครับ”


“ก็คอยตรวจเช็คเอกสารที่บอสต้องเซ็น ลงเวลานัดให้บอส ออกไปธุระข้างนอกกับบอส จองโรงแรม เตรียมอาหาร เตรียมรถให้บอส”


“โห...”


“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น เราสมัครงานนี้ไม่ใช่เหรอ”


“เปล่าสักหน่อย” ผมบ่นอุบ แต่จะให้บอกได้ไงว่าโดนยัดเยียดตำแหน่งนี้เพราะเขาไม่ไว้ใจใครนอกจากผม คนได้ยินคงได้ลือกันไปหมดว่าท่านประธานเลือกคนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ “ผมไปก่อนนะครับ ต้องเอาเอกสารไปให้พี่ๆ คนอื่นอีก”


“แล้วรู้เหรอว่าเขาเป็นใครนั่งโต๊ะไหน”


“ผมดูจากบัตรพนักงานก็ได้ครับ” อันที่จริงหมอนั่นก็ให้ผมจำหน้ากับตำแหน่งโต๊ะคร่าวๆ มาแล้วล่ะ แต่ผมลืม...


“สาวๆ คงได้ตบนายก่อนเพราะไปจ้องหน้าอกพวกเธอน่ะสิ” พี่ตุลยิ้มอย่างใจดี “มาๆ เดี๋ยวพี่พาไปแนะนำให้รู้จักกับพี่ๆ ฝ่ายอื่นๆ เวลาประสานงานกันจะได้ไม่ผิดคน”


“ขอบคุณครับ!” ผมยิ้มแป้น นึกว่าตำแหน่งนี้จะโดนคนเหม็นขี้หน้าจนไม่มีใครอยากช่วย หรือไม่ก็โดนมองเป็นอีหนูเหมือนเมื่อช่วงเช้า โชคยังดีที่ผมมีพี่ตุลที่แสนใจดีมาช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากอย่างผม



................

“เป็นอะไร ทำไมยิ้มหน้าบานขนาดนั้น” พิชิตมองผมเล็กน้อยก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารของตัวเอง


“ในบริษัทนายก็มีคนดีๆ เหมือนกันนะ”


“คนดี? ใคร”


“พี่ตุลไง พี่เขาเป็นผู้บริหารใหม่ที่นายเพิ่งเซ็นอนุมัติโปรเจกต์เขาไง ทั้งหน้าตาดี ทำงานเก่ง มีน้ำใจ เฮ้อ ไม่น่าเป็นผู้ชายเล้ย”


“ถ้าเขาเป็นผู้หญิงนายจะจีบหรือไง”


“ก็ใช่น่ะสิ”


“...” คนข้างๆ ปิดแฟ้มเอกสารลงแล้วหันมามองหน้าผม


“อะไร”


“อยากจีบก็มาจีบฉันไม่ใช่หมอนั่น” เขาเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ผม “หึ นายคงไม่รู้สินะว่าเขาเป็นใคร”


“เขาเป็นใครแล้วมันทำไม”


“ก็คนดีที่นายพูดถึงน่ะ...เป็นคนที่แม่เลี้ยงส่งมาสืบเรื่องฉัน เป็นสายสืบที่รอจะล้วงความลับของฉันจากนาย ฉันอยากจะเตือนนายให้รู้ไว้เพราะฉันเชื่อใจนายที่สุด อย่าให้ความดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขาอยู่ในใจนายมากเกินไป”


“...นายรู้ แล้วทำไมยังปล่อยให้เขาเข้ามาอยู่ที่นี่”


“เอาศัตรูไว้ใกล้ตัว เราจะได้รู้แผนของมัน และนาย...ต้องช่วยฉันตลบหลังศัตรู”


ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ผมเนี่ยนะ ผมจะไปทำอะไรใครเขาได้ ลำพังยังเอาชีวิตตัวเองไม่รอดเลย


“นายมีความแค้นอะไรกับแม่เลี้ยงของนายนักหนาถึงต้องลากฉันไปยุ่งด้วย”


“ก็มันเกี่ยวกับนายตรงที่ว่า ทุกชาติที่ฉันถูกปองร้าย...เธอคือผู้บงการ”

..........................



Tbc.



งานสุมหัวจ้า  :m15:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
โอ้โห ไรท์คะ ขนาดนี้แล้วเข้มข้มมากๆเป็นเรื่องสั้นมันไม่จุใจแล้วล่ะ.......
แต่ก็กว่าไรท์จะมาอะะะะะะะะ  :z3: 5555555555555555555
เป็นกำลังใจให้นะคะ...  รอเด้อ :กอด1:

ถึงคุณพิชิต ถ้าทุกชาติมีแม่เลี้ยงเป็นคนบงการ งั้นชาตินี้เราก็ลงมือฆ่าแม่เลี้ยงก่อนเลยดีไหมคะ?
//ไรท์ ตบ :beat:        :laugh:

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ชอบคุณปู่เลขา  o13 o13 o13

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
น่าสนใจมากกกก รอสักวันไห้นายเอหเราลดความอ๋องลงหน่อย

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 4



“เป็นเธอเหรอ!” ฉิบหาย เข้ามาในถ้ำเสือแล้วจะหนียังไงล่ะเนี่ย ลาสต์บอสที่น่ากลัวอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้เลยเหรอวะ


“ใช่ เป็นเธอมาตลอดทุกชาติภพ ชาตินี้เธอก็ยังคงตามฉันมา ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกจนกระทั่งถึงวันเกิด คืนนั้นฉันถึงได้เข้าใจว่าความโชคร้ายตลอดชีวิตของฉันเป็นเพราะเธอ” เขาถอนใจเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง “แต่โชคดีที่ฉันได้เจอนาย ช่วงนี้เรื่องร้ายๆ เลยหายไปหมด”


“แต่ความซวยจะตกมาที่ฉันหรือเปล่าล่ะ” อย่าลืมนะว่าที่เขารอดตายก็เพราะผมเป็นโล่ให้ เฮ้อ แม้สุดท้ายเข้าจะทำเรื่องแบบนั้นลงไปก็เถอะ


“ฉันรับรองว่านายจะไม่เป็นไร ฉันไม่มีทางปล่อยให้ใครทำอะไรนายได้อีก”


“เหอะๆ แล้วทำไมไม่ทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นกำจัดเธอ แค่นี้นายก็รอดแล้ว”


“ฉันทำไม่ได้” เขาสบตาผมช่วงสั้นๆ แล้วก้มลงเซ็นเอกสาร “ตอนนี้เธอมีอำนาจมากกว่าฉัน และต่อให้ฉันกำจัดเธอได้คนที่อยู่เบื้องหลังเธออีกมากมายก็พยายามจะเอาชีวิตฉันอยู่ดี”


“...”


“ไม่ต้องทำหน้าซีดแบบนั้น บอดิการ์ดของฉันเอาอยู่หน่า“ พิชิตยังคงยิ้มปลอบขวัญผม แต่หารู้ไม่ว่าบอดิการ์ดของเขาในชาติก่อนๆ น่ะ ตายก่อนเขาเสียอีก


แล้วผมจะไว้ใจโชคชะตาในชาตินี้ได้เหรอวะเนี่ย
.
.
.
.

หนึ่งเดือนผ่านไป


ผมเริ่มปรับตัวกับงานเลขาของผมได้บ้าง ที่พูดว่าได้บ้างก็ตามนั้นเลยครับ คนมันไม่เคยทำจะไปโปรแบบเลขามืออาชีพได้ยังไง แต่ก็โชคดีที่บอสของผมเขามีความอดทนมากพอ ถ้าเป็นแบบบอสคนก่อนละก็คงไล่ผมออกตั้งแต่ฝึกงานแล้วครับ


ส่วนเรื่องพี่ตุล นอกจากพูดคุยกับผมมากขึ้นแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีจะสืบเรื่องราวของบอสเลยสักนิดจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าหมอนั่นคิดไปเองหรือเปล่า


“น้องฟ่างกินขนมไหมพี่ซื้อมาเผื่อ”


“งานนี้ไม่เข้าใจเหรอ มาเดี๋ยวพี่สอน”


“วันนี้แต่งตัวน่ารักนะ ซื้อเสื้อที่ไหนเหรอ ว่างๆ ช่วยไปเลือกกับพี่หน่อยสิ ไว้พี่เลี้ยงข้าวตอบแทน”



เห็นไหม พี่ตุลเขาออกจะเป็นคนดี


ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็ต้องหยุดชะงักเพราะบอดิการ์ดตัวโตเอามือกั้นไว้ไม่ให้เข้าไปในห้องทำงาน


“คุณผู้หญิงมาครับคุณฟ่าง บอสสั่งไว้ว่าห้ามให้คุณเข้าใกล้เธอเด็ดขาด”


“ห้ะ ฉันเนี่ยนะ บอสนายมากกว่ามั้งที่...” จู่ๆ ผมก็เกิดร้อนใจขึ้นมา ไหนหมอนั่นว่าแม่เลี้ยงใจร้ายจ้องจะทำร้ายไม่ใช่เหรอ เกิดเธอเอามีดแทงเขาไส้ไหลจะทำไงล่ะ “หลีกไป”


“คุณผู้หญิงมาคนเดียวครับ อีกอย่างประตูนี้ออกแบบมาเป็นพิเศษให้ตรวจจับอาวุธและของมีคมได้ คุณฟ่างไม่ต้องกังวล”


“...” ประตูมันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ชักจะล้ำไปแล้วนะบอส


ผมหยุดยืนอยู่กับที่ พยายามเงี่ยหูฟังเสียงคนข้างใน แต่ก็เปล่าประโยชน์ห้องนั้นเก็บเสียงดียิ่งกว่าอะไร บางวันบอสพี่มีอารมณ์สุนทรีเปิดเพลงฟัง ผมไปส่งงานชั้นล่าง เปิดประตูเข้ามานึกว่าเปิดคอนเสิร์ต เสียงแสบแก้วหูเหลือเกิน เห็นคูลๆ แบบนั้นใครจะคิดว่าจะฟังเพลงร็อคเมทัล


เอาเถอะอยู่ไปก็คงสอดแนมอะไรไม่ได้


“งั้นฉันลงไปข้างล่างก็แล้วกัน ฝากบอกบอสด้วยฉันอยู่โต๊ะพี่ตุล”


“คุณตุลอีกแล้วเหรอครับ...” บอดิการ์ดหนุ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อผมพูดแบบนั้น


“ทำไมล่ะ”


“คุณฟ่างก็รู้ว่าบอสไม่ชอบให้คุณไปสนิทสนมกับเขา ทำไมถึงไม่ฟังท่านล่ะครับ”


“เหอะๆ เขาก็หงุดหงิดไปอย่างนั้นแหละ” พูดถึงเรื่องนี้ นับเป็นเรื่องที่ผมทะเลาะกับพิชิตบ่อยกว่าเรื่องอื่นๆ เสียอีก


ขณะที่ผมพยายามเข้าใกล้พี่ตุลเพื่อหาโอกาสล้วงความลับเบื้องหลังจากเขาจนรู้สึกผิดต่อพี่เขา พี่ตุลกลับตอบทุกคำถามด้วยใบหน้ายิ้มๆ ไม่มีปิดบัง เขาไม่พยายามถามถึงเรื่องส่วนตัวบอสเลยสักอย่าง มีแต่ถามเรื่องส่วนตัวของผม ซึ่งผมก็ยินดีตอบ


แต่หมอนั่นกลับโมโหทุกครั้งที่ผมทำแบบนั้น และยังโยงไปถึงเรื่องความฝันที่แม้บทสรุปจะยังเหมือนเดิม แต่มีตัวละครเพิ่มเข้ามาใหม่ มาใจดีกับผมคล้ายกับลักษณะของพี่ตุล และมักจะกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพิชิตในชาติก่อนๆ  เขาเลยฝังใจว่าอีกฝ่ายจะแย่งผมไปแบบในฝัน


แล้วไง สุดท้ายในฝันผมก็เลือกเขาไหมล่ะ จะหงุดหงิดอะไรนักหนา ตัวเขาเป็นถึงสิงโตไปโมโหเสือดาวทำไมกัน


“ผมรู้ว่าไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ความสัมพันธ์ของคุณฟ่างกับบอส...”


“นายหยุดคิดเรื่องนั้นเลย มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก เขากับฉันอยู่ด้วยกันก็เพื่อความอยู่รอด”


เขาบอกผมเสมอว่าเขาทรมานที่เห็นผมจากไปหลายครั้ง แต่พอเจอหน้ากันความทรมานนั้นก็คล้ายกับไม่เคยมีอยู่ ส่วนความเจ็บปวดของผม ผมคิดว่ามันน่าประหลาด ผมเจ็บมากขึ้นแต่ทว่ายินดีที่จะเจ็บ โดยเฉพาะตอนที่เดินเข้าห้องทำงานแล้วเห็นเขาส่งยิ้มมาให้ ความเจ็บนั้นกลับกลายเป็นแค่มดกัด


อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะถึงวันเกิดผม หลวงพ่อเคยบอกว่าขอแค่ผ่านช่วง 25 นี้ไปได้ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้นผมคิดว่าเราสองคนไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กันอีก


ผมหันหลังเดินกลับไปยังลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกลแล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นที่พี่ตุลทำงาน ผมอาจจะดูเป็นคนโง่ที่พยายามทำให้เข้าหาคนที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นสายลับของคุณผู้หญิง แต่ในเมื่อชีวิตผมถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากไม่พยายามก้าวเดินต่อไปบทสรุปของผมอาจจบลงเหมือนเดิม


เพราะตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจ...ว่าทำไมผมถึงอยากช่วยชีวิตเขา



ผมก้าวออกจากลิฟต์ เหลือบเห็นพี่ตุลหยิบมือถือรีบเดินไปทางอื่นโดยไม่รู้ว่าตัวเองทำปากกาด้ามโปรดหล่นไว้ ผมจึงก้มเก็บให้แล้วเดินตามเขาไป มองหาสักพักก็เห็นร่างสูงยืนพิงเสาหลบมุม รับโทรศัพท์ด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่คำพูดที่อีกฝ่ายกำลังตอบคนปลายสายกลับทำให้ผมยิ้มต่อไม่ออก


“ครับ คุณผู้หญิง ตอนนี้ผมกำลังเข้าใกล้เขาอยู่ครับ ผมคิดว่าการดึงเขามาเป็นพวกไม่ใช่เรื่องยาก เด็กคนนี้ใสซื่อตามเกมเราไม่ทันหรอกครับ ทำใจดีนิดๆหน่อยๆ ก็หลงเชื่อแล้วครับ”


ผมเม้มปากมองใบหน้าด้านข้างของคนหลอกลวง แววตาคู่นั้นดูมีความสุขที่ได้รับใช้คนปลายสาย ราวกับว่าต่อให้ทำเรื่องเลวร้ายมากกว่านี้ก็คงไม่คิดปฏิเสธ


“คุณผู้หญิงจะมาหาผมเหรอครับ เอ่อ งั้นเราพบกันที่บันไดหนีไฟก็ได้ครับ ผมจะไปรอ” พูดจบอีกฝ่ายก็วางสายแล้วรีบเดินกลับออกมา ผมจึงต้องหยิบหนังสือพิมพ์แถวนั้นมาแสร้งเปิดอ่านปิดบังใบหน้า รอจนเขาเดินไปทางบันไดหนีไฟผมจึงวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วรีบเดินตามเขาไปทันที ขณะเดียวกันลิฟต์ด้านหน้าก็เปิดออก


หญิงสาวในชุดเดรสสีม่วงเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม รองเท้าส้นเข็มของเธอกระทบพื้นเพียงไม่กี่ครั้งก็หยุดลง ผมมองใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาบาง เธอยังคงสวยหวานแบบเดียวกับที่ผมเคยเห็นในรูปถ่ายครอบครัว


และเป็นภาพเดียวที่ผมเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์เสมอ


“แม่...”


“ฟ่าง...ลูกมาทำอะไรที่นี่”


“ผมต้องถามแม่มากกว่า...ไหนแม่บอกว่าป้าชวนไปทำงานที่ฝรั่งเศสไง”


“ไปคุยกันที่อื่น” เธอดึงแขนผมเดินกลับเข้าไปในลิฟต์ นิ้วเรียวกดชั้นลานจอดรถ จากนั้นเราสองคนก็เงียบสนิทมาตลอดทาง ผมรอจนกระทั่งแม่เลี้ยวรถออกจากบริษัทจึงค่อยเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย


“ทำไมแม่ไปอยู่ที่นั่น”


“แม่มาทำธุระนิดหน่อย”


“ธุระอะไรครับ”


“ลูกไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แค่แม่ทำทุกอย่างเพื่อฟ่างก็พอแล้ว”


“แม่ทำอะไร”


“แค่เชื่อใจแม่ อีกไม่นานเรื่องร้ายๆ ก็จบลงแล้ว ฟ่างของแม่จะต้องปลอดภัย” แม่จับมือผมไว้ “อยากกินอะไรเดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง”


“ถ้าแม่ไม่บอกว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็จอดให้ผมลงตรงนี้”


“ฟ่าง” แม่เงียบไปนิดเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะบอกหรือไม่บอกผมดี แต่สุดท้ายแม่ก็พูดออกมา “ก็ได้แม่จะบอก แต่ไปกินข้าวกับแม่สักมื้อนะ เอาเป็นอะไรดี ชาบูแบบที่ฟ่างชอบดีไหม”


“แบบนั้นก็ได้ครับ”


แม่ยิ้มเมื่อผมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย แล้วชวนผมคุยเรื่องอื่นๆ ไปเรื่อยจนกระทั่งเรามาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง



ครืดๆ


โทรศัพท์ของผมสั่นมาสักพักแล้วแต่ผมยังหาโอกาสเหมาะรับสายไม่ได้สักที พอแยกตัวจากแม่มาเข้าห้องน้ำได้ จึงรีบกดรับสายทันที


(นายทำบ้าอะไรอยู่ถึงไม่รับโทรศัพท์ของฉัน)


“ฉัน...”


(แล้วนี่อยู่ไหน เมื่อกี้ฉันโทรไปที่โต๊ะนายตุล เขาบอกว่านายไม่ได้อยู่ที่นั่น)


“ฉัน...”


(รีบขึ้นมาที่ห้องเดี๋ยวนี้เลยอย่าให้ฉันเป็นห่วง)


“ฉัน..”


(บอสครับ! แย่แล้ว! คุณฟ่างถูกคุณผู้หญิงลักพาตัวไป พนักงานหลายคนเห็นเธอกระชากแขนเขาแรงมากด้วย...)


“เฮ้ๆ เธอไม่ได้ทำแบบนั้น”


(นายเป็นอะไรหรือเปล่า)


“ฉันไม่ได้เป็นอะไร นายอย่าเว่อร์ ตอนนี้ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ คุยเสร็จแล้วจะรีบกลับไป”


(ฉันไม่อนุญาต กลับมาเดี๋ยวนี้ นายไม่รู้หรอกว่าเธอร้ายแค่ไหน)


“เธอไม่ทำอะไรฉันหรอก” ผมลูบหน้าตัวเอง คนที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือเขาไม่ใช่ผม ยังไงวันนี้ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าแม่กำลังวางแผนอะไรอยู่ “แค่นี้นะ”


ผมวางสายแล้วก้าวออกจากห้องน้ำ แม่ยืนรอผมอยู่ไม่ไกล พอเห็นผมออกมาก็เข้ามาควงแขนพาผมเดินเข้าร้านชาบูหรูหราแบบที่เงินในกระเป๋าผมสั่งได้แค่น้ำชาหนึ่งแก้ว


ร้านชาบูร้านนี้แตกต่างจากที่อื่นที่ผมเคยกินเพราะแบ่งเป็นห้องส่วนตัว พนักงานเดินนำเราสองคนไปยังห้องด้านในสุดก่อนจะโค้งคำนับแล้วหมุนตัวเดินจากไป ผมนั่งฝั่งตรงข้ามกับแม่คั่นด้วยโต๊ะที่เต็มไปด้วยเนื้อและผักสดนานาชนิด


“กินสิ แม่สั่งแต่ของที่ฟ่างชอบทั้งนั้นเลยนะ”


“ครับ” แล้วผมก็จมจ่ออยู่กับการคีบเนื้อสดลงไปจุ่มน้ำซุปเดือดแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจนเกือบลืมวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการมากินข้าวกับแม่ในครั้งนี้


ผมวางตะเกียบลงแล้วมองแม่ที่ค่อยๆ กินด้วยมาดผู้ดี ต่างจากผมที่สวาปามอย่างรวดเร็วจนตอนนี้อิ่มไปแล้วครึ่งกระเพาะ บางทีผมก็สงสัยว่าเราเป็นแม่ลูกกันจริงหรือเปล่า แม่ของผมดูดีขนาดนี้ ดูผมสิ นอกจากผิวขาวๆ และดวงตาแบบลูกกวางน้อยแล้วนอกนั้นก็ถอดแบบมาจากพ่อหมดเลย


“แม่...”


“เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้ ให้แม่กินอิ่มก่อนไม่ได้เลยใช่ไหม”


“ก็ผมต้องกลับไปทำงานต่อนี่ครับ นะ” ผมใช้ดวงตาที่ถอดแบบเดียวกับแม่อ้อนวอน และแม่ก็ใจอ่อนยอมวางตะเกียบลง


“พ่อไม่เคยบอกใช่ไหมว่าเราสองคนเลิกกันเพราะอะไร”


“พ่อบอกว่าแม่หนีออกจากบ้านเพราะทนพ่อไม่ไหว”


“หึ ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” แม่ยิ้มนิดๆ แล้วจับมือผม “ฟ่าง เรื่องที่แม่จะพูดต่อไปนี้มันยากที่จะเชื่อ แต่แม่เชื่อ ขอให้ลูกรู้เอาไว้ว่าแม่ทำทุกอย่างเพื่อฟ่างจริงๆ”


“แม่ได้รับคำทำนายจากแม่หมอท่านหนึ่ง เธอบอกว่าฟ่างจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 25 ปี ฟ่างรู้ไหมลูกว่าตอนนั้นแม่กลัวมากแค่ไหน ลูกเพิ่งจะลืมตาดูโลกไม่ถึง 5 ขวบ แต่กลับมีเส้นชีวิตสั้นแค่นั้น แม่ทำใจไม่ได้เลย...”


แม่ แม่เชื่อหมอดูมากไปหรือเปล่าเนี่ย


“แม่หมอบอกว่าลูกมีชีวิตผูกอยู่กับวิญญาณตนหนึ่งที่มีไฝรูปหัวใจที่ต้นคอ วิญญาณตนนี้ตามลูกไปทุกภพทุกชาติ หน้าที่ของแม่คือปกป้องลูกจากมัน”


“แม่...”


ผมชาวาบไปทั้งตัว ทั้งที่เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้แต่กลับไม่อยากให้สิ่งที่คิดนั้นเป็นเรื่องจริง


“พ่อกับแม่ทะเลาะกันหนักมาก ตอนนั้นฟ่างถูกรถชนนอนหลับไม่ได้สติเลย แม่เชื่อคำทำนายนั้นและยืนยันจะออกไปตามหาคนที่มีไฝรูปหัวใจเพื่อรักษาชีวิตของลูกไว้ แต่พ่อของลูกหาว่าแม่งมงายไร้สติ เขาไม่รู้หรอกว่าตอนที่แม่พบเด็กคนนั้นแล้วทำให้เขาเจ็บตัวได้น่ะ ฟ่างของแม่ถึงได้รอดมาได้”


‘ความโชคร้ายตลอดชีวิตของฉันเป็นเพราะเธอ’


“แม่ทำอะไรลงไป...”


“ฟ่าง คนคนนั้นไม่มีใครต้องการให้เขามีชีวิตอยู่หรอกนะ ถึงแม่ไม่ทำคนอื่นก็ต้องทำอยู่ดี ให้เขาตายไปตอนนี้ยังดีซะกว่า ขอแค่เขาตายลูกของแม่ก็จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกหลายสิบปี”


ผมลุกพรวดจากโต๊ะ สองมือกำหมัดแน่นและพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านสวนทางกับความจริงอันน่าเศร้าที่ผมเป็นต้นเหตุ


“แม่มีสิทธิ์อะไรไปตัดสินว่าเขาควรอยู่หรือตาย”


“ฟ่าง”


“หยุดทุกอย่างที่แม่กำลังทำซะ” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตัดสินใจ “เพราะถ้าแม่ไม่หยุดฟ่างจะเข้าไปขวางแผนการทั้งหมดของแม่เอง”


Tbc.



.....................
มาต่อแล้วค่า  :katai4: ช่วงสิ้นปีวิกฤตทางการงานมาก ปีนี้จะพยายามมาต่อให้ไวค่ะ 5555 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

yunnutjae : ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ฮือ งานเราเยอะจริงๆ
Cyclopbee :  :pig4:
ืniyataan : ตอนนี้คุณปู่กลับไปเลี้ยงหลานแล้วค่า 55555
Quatree : :mew1:  o13
เสพศิลป์ : นายเอกของเราจะอ๋องหน่อยๆ แต่น่ารักน้าาาา  :hao3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ความลับคลี่คลาย..เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง เอาใจช่วยทั้งคู่  :hao5:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
อ้าวแม่! ก็จะสับสน งงๆนิดนึง.... แม่ฟ่างเป็นแม่เลี้ยงพิชิตเหรอ? ละทำไมฟ่างดูแกลบๆ แต่แม่ไฮโซ  555555555555555555555555 อิรุงตุงนังละ น้องฟ่างเอาไงดี

ออฟไลน์ Flower

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ้าวเฮ้ยยแม่ฟ่างคือแม่เลี้ยงพิชิต เริ่มวนุกขึ้นแล้ว ติดตามต่อไปป รออัพทุกวันเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 5


“ฟ่าง!”


“บ่ายโมงแล้ว ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะแม่”


“ลูกไม่จำเป็นต้องทำงานที่นั่นแล้ว แม่จะหางานใหม่ให้เอง สิ่งที่ฟ่างควรทำตอนนี้คืออยู่ให้ห่างจากเขาซะ”


“ผมทำแบบนั้นไม่ได้” ผมหันหลังให้แม่แล้วพูดต่อ “ยิ่งรู้ว่าเขาตกอยู่ในอันตรายเพราะผม ผมยิ่งไปจากเขาไม่ได้”


อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของพิชิต ในฐานะที่ผมเป็นโล่กำบังให้เขามาหลายชาติ ผมจำเป็นต้องอยู่ใกล้เขาและปกป้องชีวิตเขาให้ถึงที่สุด


ถึงคราวนี้จะแลกกับความตายของตัวเอง ผมก็ยินดี




ผมนั่งแท็กซี่กลับบริษัท เจียดเงินที่มีติดกระเป๋าอยู่ไม่ถึงร้อยห้าสิบบาทส่งให้คนขับแล้วลงจากรถ สองขาก้าวไปถึงหน้าตึกไม่กี่ก้าวก็หยุดลง


ผมละอายใจเกินกว่าจะพบหน้าพิชิต เพราะไม่เคยคิดว่าเรื่องระหว่างเราจะกลับกลายเป็นแบบนี้


ผมเคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะคนในฝันที่เป็นสาเหตุของทุกความเจ็บปวดที่ได้รับ ผมไม่เคยสนใจว่าเขาจะเป็นยังไง ทุกเช้าต้องได้สาปแช่งเขาให้เจ็บปวดเช่นเดียวกันอย่างนั้นมากว่าครึ่งปี โดยไม่เคยรู้เลยว่าเขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน


พอได้พบกันผมก็เอาแต่คิดว่าเขาโง่ที่พยายามฆ่าตัวตายตามผมไปง่ายๆ แบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์เอาชีวิตเข้าแลกช่วยเขาไว้ตลอด


แต่พอมาวันนี้ ได้รับรู้ว่าแม้แท้ๆ ของตัวเองปกป้องผมด้วยการทำร้ายเขามาตลอดหลายปี ความโกรธที่เคยมีก็พลันหายไป ไม่หลงเหลืออะไรไว้ให้โกรธเขาได้เลย เพราะเขาไม่ได้ผิดอะไร


จะโกรธแม่ก็ทำไม่ได้เพราะแววตาคู่นั้นฉายชัดว่าทำทุกอย่างเพื่อผม ตอนนี้ความรู้สึกที่ค้างอยู่ในใจจึงมีแต่ความรู้สึกผิดต่อแม่และพิชิต


หากไม่มีผมสักคน สองคนนั้นจะมีความสุขมากขึ้นหรือเปล่า...ผมไม่รู้เลย


ครืดๆ


ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความเข้า ข้อความแจ้งเตือนนั้นปรากฏตัวเลข 8 หลักที่เพิ่งโอนเข้าบัญชีผมสดๆ ร้อนๆ


20 ล้าน!!!


ติ้ง


ผมรีบเปิดข้อความใหม่จากพ่อบังเกิดเกล้าที่โมโหไล่ผมออกจากบ้านเพียงเพราะไม่ยอมเรียนมหาวิทยาลัยแถวบ้านเกิด แถมยังตัดขาดทางการเงินเพราะคิดว่ายังไงซะผมก็คงจะซมซานกลับไปขอเงินเรียนหนังสือในที่สุด


ผ่านไปห้าปีดูเหมือนพ่อเพิ่งระลึกถึงผมได้ว่าผมไม่ได้ซมซานกลับไปหาเลย


‘โทดๆ พ่อลืมโอนเงินที่แม่แกส่งมาให้เป็นค่าเทอมแก’


พ่อ!!!!!


แล้วไอ้ที่ผมทำงานพาร์ทไทม์กลับหอดึกๆ ดื่นๆ มาตลอด 4 ปีล่ะ!


ผมรีบต่อสายหาพ่อทันที เผื่อพ่อจะลืมไปแล้วว่ามีผมเป็นลูกชาย!


“พ่อ! เรื่องเงินมันยังไงกันเนี่ย”


(ก็แค่ลืม...แกเถอะเมื่อไหร่จะกลับมาบ้าน ถ้าพ่อไม่โอนเงินไปก็ไม่คิดจะโทรมาใช่ไหม ดูสิไอ้แดง พี่เอ็งมันทิ้งเอ็งมันไปเกี้ยวสาวกทม.คงไม่สนใจหมาแก่ๆ อย่างเอ็งแล้วล่ะ)


“แดง! ขอผมคุยกับมันหน่อย”


(โทรหาพ่อแต่จะคุยกับหมา เหอะ! โฮ่งๆ ๆ ๆ เงียบน่าไอ้แดง!)


“หนูแดง~ คิดถึงพี่ฟ่างใช่ไหมหืม~ ไว้จะกลับไปหาน้า” ผมทำเสียงงุ้งงิ้งคุยกับหมา ซึ่งหนูแดงหมาสุดที่รักก็เห่าตอบอย่างแข็งขันทำให้ผมรู้สึกปริ่มใจเป็นอย่างมาก


(พอๆ จะไปเก็บผลไม้แล้ว อยากคุยกันนักก็มาหากันเอง)


“ผมจะรีบกลับเลย!” ผมตอบกลับพ่อด้วยความยินดี ขอแค่ได้กลับไปฟัดหมาผมก็พอใจแล้ว


(ฟ่าง...) ปลายสายเงียบไปนิดแล้วเอ่ยต่อ (แกต้องกลับมาหาพ่อให้ได้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องกลับมา)


“พ่อ...พ่อเองก็เชื่อเรื่องหมอดูที่แม่ไปหามาเหรอ”


(แกเจอแม่แล้วสินะ เฮ้อ พ่อก็ไม่อยากเชื่อหรอก แต่พ่อกับแม่แกได้พบกันก็เพราะหมอดูคนนั้นชี้ทางให้ แถมวันที่แกเกิดอุบัติเหตุก็เพราะนั่งซ้อมมอเตอร์ไซค์มากับพ่อ พ่อเป็นคนแรกที่คุยกับหมอ หมอบอกยังไงแกก็ไม่รอด พอบอกแม่แก เราก็ทะเลาะกันจนบ้านแตกเลยล่ะ แต่หลังจากแม่แกทิ้งพ่อไปได้ไม่กี่วัน จู่ๆ แกก็ฟื้นอย่างปาฏิหาริย์ แล้วจะไม่ให้พ่อเชื่อได้ยังไงว่าสิ่งที่แม่แกพูดเป็นเรื่องจริง)


“แล้วพ่อรู้ไหมว่าคนคนนั้นเป็นใคร”


(พ่อไม่รู้หรอก...พ่อแค่ภาวนาอย่าให้แม่แกทำบาปทำกรรมกับคนอื่นเพียงเพราะช่วยแกเลย ที่พ่อห้ามไม่ให้ไปเรียนไกลก็เพราะแบบนี้ งานของพ่ออยู่ที่นี่พ่อไปกับแกไม่ได้ ไปช่วยแกจากอันตรายไม่ได้ ไม่ได้กีดกันเพราะรังเกียจคนเมืองหลวงอย่างที่แกคิด)


“พ่อ...ผมขอโทษ”


(ช่างมันเถอะ ตอนนี้แกปลอดภัย ยอมโทรหาพ่อก็ดีแล้ว ยังไงก็กลับบ้านมานะลูก พ่อกับไอ้แดงรอแกอยู่ที่หน้าบ้านทุกวัน)


“อือ...ผมจะรีบกลับ” ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา บอกลาพ่อแล้วกดวางสาย


พ่อกลายเป็นอีกคนที่ผมรู้สึกผิดต่อเขา ผมทำให้เขาเป็นห่วงด้วยการหนีออกจากบ้าน ออกจากป้อมปราการที่มีไว้เพื่อปกป้องผม




“คุณฟ่าง! บอสครับทางนี้!” เสียงตะโกนลั่นดังมาจากหน้าประตูพร้อมเจ้าของเสียงที่พุ่งเข้ามาหาผมแล้วเอ่ยถามใบหน้าเคร่งเครียด “คุณฟ่างเป็นอะไรครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”


“ฟ่าง!” ร่างสูงที่วิ่งตามหลังบอดิการ์ดหนุ่ม ตรงเข้ามาจับแขนผมไว้ “เธอทำอะไรนาย!”


“เปล่า เธอไม่ได้ทำอะไรฉัน”


“แล้วร้องไห้ทำไม”


“ฉันแค่...” ผมก้มหน้าลง ไม่กล้าสบสายตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย “แค่เสียใจกับเงินที่หมดไปเพราะค่าแท็กซี่”


“ห้ะ...”


“ก็นั่นแหละ นายก็น่าจะรู้ว่าฉันจนกรอบขนาดไหน อดทนจนถึงวันนี้ก็เพื่อเงินเดือนเลยนะ”


“เรื่องแค่นี้ ฉันให้นายยืมเงินก่อนก็ได้ ส่วนค่าอาหารต่อไปนี้ก็ไปกินพร้อมกับฉัน เช้า กลางวัน เย็น ฉันจ่ายให้นายเอง”


“ไม่ต้องลำบากนายหรอก เดี๋ยวเงินก็เข้าแล้ว”


“ฉันยินดีจ่ายเงินให้นายทุกบาททุกสตางค์” เขาจับมือผม “แต่ห้ามนายพบเธออีกเด็ดขาด ฉันไม่ไว้ใจ”


“ไม่ไว้ใจฉันเหรอ”


“ไม่ไว้ใจเธอต่างหาก ฉันไม่กลัวหรอกว่านายจะรับปากเธอแล้วรับเงินมาหรอกนะ เพราะฉันจ่ายให้นายได้มากกว่าเธอแน่นอน แต่ที่ฉันกลัวคือเธอจะทำร้ายนายมากกว่า ผู้หญิงคนนี้กระทั่งเด็กห้าขวบอย่างฉันเธอยังกล้าผลักตกบันได แล้วใครจะรับประกันได้ว่าผู้ใหญ่ซื่อๆ แบบนายจะไม่โดนทำร้าย”


“เธอ...เคยผลักนายตกบันได” นี่แม่ผมทำอะไรลงไป


“ใช่ เพราะฉะนั้นนายอยู่ใกล้ฉันได้คนเดียวเท่านั้น อีกไม่กี่วันก็เป็นศึกชี้ชะตาของเราทั้งคู่แล้ว ห้ามห่างจากฉันแม้แต่ก้าวเดียว” มือข้างหนึ่งของเขาแตะข้างเอวผมแล้วดึงเข้าประชิดตัว กลิ่นน้ำหอมราคาแพงหอมฟุ้งกระจายชวนลุ่มหลงพร้อมคำพูดแกมบังคับที่หากผมเป็นผู้หญิงคงใจเต้นรัว


“คืนนี้ไปนอนบ้านฉัน ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”


“แล้วถ้าฉันไม่ไปกับนายล่ะ” ผมถามไปอย่างนั้น เพราะยังไงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะขวางแผนการของแม่ และการอยู่ใกล้เขาก็เป็นวิธีเดียวที่ปกป้องเขาได้ดีที่สุด


“ถ้านายไม่ไปกับฉัน ฉันก็จะไปกับนายแทนไง ไปไหนก็ไปด้วยกัน” เขาสอดมือประสานกับมือผม “ถ้าคราวนี้นายจากไปอีกครั้ง ฉันก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่เหมือนกัน”


คำพูดของเขาเหมือนเป็นสัญญาใจ และเป็นการบอกผมล่วงหน้าว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะอยู่ข้างกัน


ผมบีบมือเขาตอบเป็นการตกลง และเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมผมถึงยอมตายเพราะเขา


คนคนนี้ไม่เคยกลัวตาย เช่นเดียวกับค่ำคืนนี้ที่เขาสวมบทบาทเป็นแม่ทัพหนุ่มโลดแล่นอยู่ในฉากจีนโบราณ โดยมีผมอยู่เคียงข้างเป็นกุนซือคู่ใจ


เราขี่ม้ารบราฆ่าฟันศัตรูนับพัน เนื้อตัวอาบชโลมไปด้วยเลือด ดูห้าวหาญและดุดัน เขาตีฝ่ากองทัพศัตรูและยึดเมืองใหญ่น้อยได้สำเร็จอย่างงดงาม


และรางวัลเดียวที่แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นปรารถนาก็คือร่างกายของคนที่ตนรัก


“อะ...อึก! หวงจวินเจ้าช้าลงหน่อย ข้ารับไม่ไหวแล้ว”


“ข้าช้าให้เจ้าไม่ได้หรอกเยวี่ยเฉิง ตีฝ่ากองทัพคราวนี้กินเวลามากเกินไป ข้าอดทนมานานเกินพอแล้ว"
ว่าจบหวงจวินก็จับขาผมพาดบ่าแล้วสอดใส่ตัวตนของเขาเข้ามาในร่างผมอย่างหนักหน่วง แรงขยับไม่ผ่อนหนักผ่อนเบาทำเอาผมเสียงร้องครางดังลั่นไปทั่วกระโจม


หวงจวินก้มลงจูบปิดเสียงร้องพร้อมกับกระแทกกระทั้นช่วงล่างไม่หยุดหย่อน ด้วยพละกำลังแม่ทัพอย่างเขาการร่วมรักไม่เคยจบลงเพียงครั้งเดียว


“อ้า~”



“!!”


ผมสะดุ้งตื่น คราวนี้ผมไม่ทันได้เห็นตัวเองตายแต่กลับลืมตาขึ้นมาพบกับคนในฝันที่ขึ้นคร่อมอยู่บนตัวผม ราวกับสัญชาตญาณร้องเตือนว่าชาติปัจจุบันของผมอันตรายกว่าให้รีบตื่นมาช่วยตัวเองซะ


“ทำบ้าอะไรวะ!” ผมผลักเขาออกห่างจากตัว แต่พิชิตไม่ขยับเลยสักนิด ดวงตาของเขาปิดสนิทเหมือนคนกำลังหลับฝัน ขณะเดียวกันมือของเขาลูบไล้ไปตามลำตัวของผมอย่างจาบจ้วง


เฮ้ย แล้วเสื้อผมหายไปไหนเนี่ย!


“พิชิตโว้ย! ตื่น!” มือผมตบหน้าของเขาอย่างแรง แต่แทนที่เขาจะลืมตาขึ้นมา เขากลับรวบข้อมือของผมไว้แล้วก้มลงกัดต้นคอผมอย่างแรง


“เยวี่ยเฉิง เจ้าเป็นของข้าได้เพียงผู้เดียว”


“ฉันฟ่างโว้ย ฟ่าง! ตื่นมาคุยกันก่อน อ้ะ อย่ากัดนะ!”


ผมร้องลั่นเมื่อเข้าพุ่งเข้างับต้นคอผมอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้มีเพียงลิ้นร้อนชื้นและริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่ไล้ไปมาช่วยบรรเทาความเจ็บให้ผมเท่านั้น


“อือ” ผมชะงักเมื่อเผลอปล่อยเสียงแปลกๆ ออกมา ก่อนจะออกแรงดันเขาอย่างแรงจนถึงขั้นใช้เท้าถีบเขาออกไป


ปึก


ร่างสูงกระแทกพื้นอย่างแรง คนที่หลับอยู่ถึงได้ตื่นขึ้นสักที


“โอย”


“ตื่นสักทีนะ” ผมลงจากเตียงแล้วเดินผ่านเขาไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออก “เชิญครับ กลับห้องคุณไปได้แล้วบอส”


“หืม ฟ่างเหรอ” เขาลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เดินเข้ามาหาผมเพียงไม่กี่ก้าวก็ทิ้งตัวล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย


“เฮ้ นายอย่ามาเนียน กลับห้องนายไปซะ”


“พิชิต” ผมตบหน้าเรียกสติเขาเบาๆ “ตื่นสิวะ ไม่งั้นฉันให้นายนอนพื้นแข็งๆ นี่นะ”


“...”


“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ คงต้องให้เขานอนตรงนี้เพราะผมไม่มีปัญญาแบกคนสูงร้อยแปดสิบห้าไปส่งที่ห้องแน่นอน


หมับ


“เยวี่ยเฉิง อึก!”


ร่างสูงยกมือข้างหนึ่งกุมหัวใจตัวเอง อีกข้างก็จับแขนผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


“ทำไม...ทำไมเจ้าถึงฆ่าข้า”


“!!!”


ห้ะ!





...........................



Tbc.

ห้ะ!  โปรดติดตามตอนหน้าจ้าหุหุ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ เป็นกำลังใจให้เรามากเลย  :mew1: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หนูฟ่างจะรอดปลอดภัยไหม เป็นห่วง  :hao5:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ห้ะ! อะไรอี๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :z3:

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 6




มืออุ่นร้อนจับแขนผมแน่นก่อนดวงตาคู่นั้นจะค่อยๆ ลืมตามองใบหน้าผมด้วยความเจ็บปวด


“นี่...” ผมเอื้อมมือไปหาเขา ทว่ายังไม่ทันถึงตัวอีกฝ่ายก็รีบขยับออกเหมือนต้องของร้อน


“โทษที ฉันคงละเมอน่ะ” พิชิตลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินผ่านผมไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองกัน ทิ้งผมไว้กับความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในฝันกันแน่




เช้าวันต่อมา เราสองคนนั่งทานอาหารเช้าบนโต๊ะเดียวกัน แต่กลับไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว พอผมจะพูดถามถึงฝันเมื่อคืนพิชิตก็ลุกออกจากโต๊ะทันที ส่วนผมที่กินต่อไม่ลงก็ได้แต่ลุกตามไป


“หันมาคุยกันหน่อยได้ไหม นายจะเงียบไปเพื่ออะไร”


“...”


“เรื่องเมื่อคืน...”


“ฉันมีธุระด่วนข้างนอก สายแล้วเดี๋ยวจะไปไม่ทัน นายช่วยเข้าประชุมแทนฉันทีนะ ฉันรู้ว่านายรับมือพวกเขาได้”


“เฮ้!”


ไม่รอให้ผมปฏิเสธ ร่างสูงก็ก้าวขึ้นรถซึ่งมีบอดิการ์ดหนุ่มสตาร์ทเครื่องรอไว้แล้ว ทันทีที่ประตูปิดลงรถก็แล่นออกจากคฤหาสน์ไปทันที


เขาทิ้งผมไว้อีกแล้ว...


“คุณฟ่างคะ ให้ลุงมีไปส่งไหมคะ”


“ขอบคุณครับ แต่ผมไปเองได้” ผมบอกป้าแม่บ้านแล้วสะพายกระเป๋าเอกสารเดินออกไป ข้างทางเต็มไปด้วยบ้านหลังน้อยใหญ่ หลังที่อยู่ถัดไปไม่ไกลเป็นบ้านของเพื่อนผมเอง


ออด ~


“อ้าวน้องฟ่าง มาหาคุณเล้งเหรอคะ”


“ครับ มันอยู่ไหม”


“คุณเล้งออกไปเที่ยวตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับมาเลยค่ะ”


“งั้นผมขึ้นไปรอมันบนห้องก็แล้วกันนะครับ”


“เชิญค่ะ เดี๋ยวพี่ยกขนมไปให้นะคะ”


“ขอบคุณครับ”


ผมเดินขึ้นเข้าไปในบ้าน แวะทักทายญาติของไอ้เล้งที่กำลังจะออกไปทำงาน ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาในห้องของเพื่อนซึ่งยังคงรกเหมือนเดิม มือก็ควานหาหนังสือเก่าๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งมีวิชาเลือกเป็นประวัติศาสตร์จีนตามความชอบของไอ้เล้ง


‘แม่ทัพใหญ่และกุนซือคู่ใจ’


ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากใต้เตียง หนังสือที่ครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนเคยทะเลาะกันเรื่องรสนิยมความชอบแปลกๆ ของแม่ทัพใหญ่ ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องหนีบกุนซือคู่ใจไปด้วย


“ไอ้ฟ่าง มิตรภาพโว้ย มิตรภาพอะมึงเข้าใจไหม”


“กูไม่เข้าใจ แม่ทัพควรจะเบ่งอำนาจเต็มที่สิ ทำไมถึงเชื่อฟังกุนซือนักวะ”



ผมเคยไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ถึงยอมโอนอ่อนให้กับกุนซือมาโดยตลอด ทั้งแผนการรบนอกใน กุนซือชี้ทางอย่างไรเขาก็ทำตามหมดทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นผมถึงได้เลิกอ่านหนังสือเล่มนี้ไปก่อน ขณะที่ไอ้เล้งอ่านจบปั๊บก็มาร้องไห้ฟูมฟายเพราะแม่ทัพตายก่อนเดินทางกลับเมืองหลวง


ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ตอนนี้...คงถึงเวลาที่ผมจะรู้ได้แล้วว่าเขาตายเพราะอะไร


ผมพลิกหน้ากระดาษไปยังบทสุดท้าย ซึ่งร่ายยาวถึงการทำสงครามกับแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่ง แคว้นแห่งนี้มีมนตราลับๆ อยู่หนึ่งอย่างคือการเปลี่ยนความชังเป็นความรัก ผู้คนที่นี่ร่ายมนตร์เพื่อให้กองทัพจากเมืองหลวงปรานีพวกตน แต่กลับกลายเป็นว่าคนในกองทัพหันมาฆ่ากันเอง เพราะความรักในพวกพ้องเปลี่ยนเป็นความชัง


มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีสติอยู่ก็คือเยวี่ยเฉิง เขาพยายามเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้ชาวบ้านหยุดร่ายมนตร์และสัญญาว่าจะถอยทัพกลับไป แต่ชาวบ้านเห็นทัพใหญ่ตกอยู่ในมนตรากลับไม่คิดที่จะหยุดด้วยเหตุผลว่าต้องการปกป้องหมู่บ้านของตนเช่นกัน


เยวี่ยเฉิงจึงจำใจต้องสู้กับทุกคน เพราะเขาทนให้ทหารที่เคารพรักหวงจวินฆ่าแม่ทัพของตนไม่ได้


เขาต่อสู้กับทุกคนจนถึงรุ่งสางของวันที่สาม เรี่ยวแรงและพละกำลังที่สะสมมาก็หมดลง เขาถูกดาบนับร้อยแทงเข้ามาในกายจนแทบทนไม่ไหวและขาดใจตายในที่สุด มนตราจึงได้เข้าสู่โสตประสาท ร่างไร้วิญญาณของเยวี่ยเฉิงวาดกระบี่เล่มงามที่เขาได้รับจากคนรักแทงเข้ากลางใจแม่ทัพใหญ่จนอีกฝ่ายสิ้นชีพตามกันไป


“...”


“ไอ้ฟ่าง! มึงอ่านต่อแล้วเหรอ” ไอ้เล้งที่เปิดประตูพรวดเข้ามาคว้าหนังสือในมือผมไปอ่านต่อทันที “โห ฉากนี้กูจำได้เลยว่าร้องไห้กับมึงหนักมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่กูรักมากเหมือนกันเพราะกูจำขึ้นใจเลยตอบข้อสอบได้ทุกข้อ กูได้เต็มด้วย”


“...”


“เออ แต่จะว่าไปกูมีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่งเหมือนกัน ทำไมตอนนั้นพระมเหสีไป๋ฮวาถึงบอกเยวี่ยเฉิงก่อนออกรบว่าห้ามไปใกล้แคว้นเซี่ยเด็ดขาดแถมยังให้เครื่องรางพกติดตัวไว้ด้วย เหมือนจะรู้ล่วงหน้าเลยนะมึงว่าไหม”


“พระมเหสีไป๋ฮวา...” หรือแท้จริงแล้วชาตินั้นเธอก็เป็นแม่ของผม


“ว่าแต่มึงมาหากูมีเรื่องอะไร”


“ไม่มีอะไร กูไปทำงานก่อนนะ” พูดจบผมก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก้าวออกจากห้องเพื่อน สองขาก้าวเดินลงบันไดทีละขั้นพลางนึกถึงคนที่เข้าใจว่าผมทำร้ายเขาด้วยความตั้งใจ ทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนั้นเลย


พรืด


เพียงก้าวสั้นๆ ที่ผมไม่ทันระวัง ตัวของผมก็เอนไปข้างหน้าแล้วร่วงลงไปตามบันไดจนกระทั่งถึงพื้น


“ไอ้ฟ่าง ไอ้ฟ่าง! แม่! เรียกรถพยาบาลเร็ว!” เพื่อนร่างยักษ์ของตะโกนลั่นไปทั่วบ้านพลางวิ่งตึงตังลงมาจากด้านบน


ผมเจ็บแปลบไปหมดทั้งตัว เห็นเพื่อนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแตะตัวผมเพราะกลัวผมเจ็บไปมากกว่าเดิมก็ได้แต่ส่งเสียงปลอบใจ


“กูไม่เป็นไรน่า แค่ตกบันไดเอง”


“ไม่เป็นไรเชี่ยอะไร เดือนนี้มึงตกบันไดไปกี่รอบแล้ว! ไหนจะของตกใส่หัว รถเกือบชน มึงบอกกูหน่อยสิว่ามึงไม่เป็นเชี่ยอะไรได้ยังไง!”


“เงียบน่าไอ้เล้ง กูหนวกหู”


“กูไม่สน! กูจะบ่นมึงอย่างนี้นี่แหละ ดูแลตัวเองดีๆ สิวะ มึงไม่อยากอยู่ถึง 25 หรือไง”


“...” เออว่ะ กูจะรอดถึง 25 ไหมเนี่ย


ครืดดด


“ใครแม่งโทรมานักหนาวะ!” เล้งกดรับสายแล้วพูดต่อ “มีอะไรไอ้ต๊อบ รีบพูด! รูมเมทมึงตกบันไดชักกระแด่วๆ อยู่ข้างกูเนี่ย”


กูไม่ได้ชักกระแด่วอย่างที่มึงว่าเลยนะไอ้เล้ง


(ห้ะ! ไอ้ฟ่างตกบันได! เอ่อ...// ส่งมาให้ฉัน นี่บอสของฟ่าง ตอนนี้ฟ่างอยู่ที่ไหน)


“บอส?” เล้งทำหน้างงๆ ใส่ผม “บอสมึงโทรมา” ว่าแล้วมันก็เปิดลำโพงให้ผมได้ยินบทสนทนาด้วย “ฟ่างอยู่บ้านผม บอสมีอะไรด่วนไหม ถ้าไม่มีผมจะพามันไปส่งโรงพยาบาลก่อน”


(...ฝากนายดูแลเขาด้วย ถึงแล้วส่งที่อยู่โรงพยาบาลมาฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุด)


“อือ บอสไม่ต้องเป็นห่วง” เล้งกดวางสายแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “บอสมึงเป็นคนดีเหมือนกันนะ รู้จักเป็นห่วงลูกน้องด้วย รู้อย่างนี้กูก็สบายใจล่ะ อย่าให้เป็นแบบบอสคนก่อนของมึงเลย ขี้โมโหฉิบหาย”


“กูไม่เป็นอะไรมาก มึงช่วยพยุงกูขึ้นจากพื้นหน่อยเถอะ”


“ไม่ได้ เกิดกระดูกมึงเคลื่อนกูก็ซวยสิ มึงน่ะนอนรอพี่พยาบาลน่ารักๆ มาช่วยดีกว่า” พูดจบมันก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผมครับ ส่วนแม่ของมันที่โทรเรียกรถพยาบาลก่อนหน้านี้ก็เดินถือแท็ปเลตมานั่งโซฟาใกล้ๆ ต่างคนต่างรอรถพยาบาลด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน


ดีจริงๆ




พอถึงโรงพยาบาล ยังไม่ทันได้กรอกประวัติผมก็ถูกนำส่งเข้าห้องแสกนสมองและเอ็กซเรย์กระดูกสารพัดอย่าง ทั้งที่ตอนแรกผมก็บอกคุณพยาบาลแล้วว่าผมโอเคดี แต่เหมือนคนที่มารอก่อนหน้าได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสำหรับรักษาผมแล้ว


พอผ่านขั้นตอนการตรวจเช็ค ผมก็ถูกส่งตัวมาที่ห้องพักของ VIP ซึ่งเตียงใหญ่หรูหราน่านอน แต่คนที่นั่งรออยู่ตรงโซฟากลับเป็นคนที่ผมไม่อยากพบในตอนนี้


“ฟ่าง...” เขาลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาผมพลางสำรวจไปทั่วเนื้อตัวแม้ว่าผมจะมีแค่รอยฟกช้ำเท่านั้น “ยังเจ็บอยู่ไหม”


“แค่นิดหน่อยครับ” ผมเงียบไปนิดแล้วเอ่ยต่อ “คุณไปเถอะ มีประชุมไม่ใช่เหรอ ผมคงเข้าแทนคุณไม่ได้แล้วล่ะ”


“ฟ่าง นายโกรธฉันเหรอ เรื่องนั้น...”


“คุณไม่ต้องอธิบายหรอก ผมผิดเอง ไม่ผิดอะไรที่คุณจะรู้สึกระแวง”


“มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันแค่...”


“แค่หลบหน้าผมน่ะเหรอ” ผมแค่นยิ้ม “ระหว่างเราความเชื่อใจที่คุณมีให้ผมมันเป็นแค่ลมปากเหรอ แค่ฝันคืนหนึ่งคุณก็ตัดสินแล้วว่าผมคนนี้จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้”


“...”


“ถ้าการอยู่ด้วยกันมันทำให้คุณอึดอัดใจแล้วละก็...ผมคิดว่าเราควรอยู่ห่างกันสักพัก เผื่อคุณจะได้ทบทวนตัวเองดูว่าผมยังจำเป็นกับชีวิตคุณอยู่อีกหรือเปล่า”


“เพราะถ้าไม่จำเป็นต้องมีผมอยู่ข้างๆ หลังวันเกิดปีที่ 25 ของคุณ ผมจะไปจากคุณเอง”


“ยังไงซะ เราสองคนก็มีประโยชน์ต่อกันแค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ”


“ไม่ ฉันไม่ให้นายไป” เขากอดผมไว้หลวมๆ “ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตก็ยังดีกว่าไม่มีนาย”


“คุณไม่จำเป็นต้องเอาใจผมด้วยประโยคหวานๆ พวกนั้นหรอก ผมสัญญากับคุณไว้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”


“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ฟ่าง ฟังฉันก่อนสิ”


“ผมไม่อยากฟัง” ผมพูดเสียงเข้มขึ้น “คุณกลับไปได้แล้ว ผมอยากพักผ่อน” ผมขยับตัวออกจากเขาแล้วก้าวขึ้นเตียง ยกผ้าห่มขึ้นคลุมแล้วหันหลังให้เขาอย่างไม่สนใจ


ผ่านไปไม่กี่นาทีคนที่ยืนอยู่ก็ยอมแพ้แล้วเปิดประตูออกไปจากห้องในที่สุด


.................

ผมนอนพักวันเดียวก็ขอหมอออกจากโรงพยาบาล กลับมาทำหน้าที่เลขาคุ้มกันบอสเหมือนอย่างเคย


“อันนี้เอกสารจาก HR ผมอ่านประวัติการทำงานของผู้สมัครแล้วเลยเลือกมาให้บอสสักสองสามคน สนใจคนไหนก็บอกนะครับผมจะนัดเขาให้เข้ามาสัมภาษณ์”


“เลขา...ฟ่างฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องการใครนอกจากนาย”


“แฟ้มนี้เซ็นแล้วใช่ไหมครับ ผมจะเอาไปส่งข้างล่าง”


หมับ


เขาจับแขนผมไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามฝืนทน “ฟ่าง นายจะเมินฉันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน”


“จนกว่าเราจะหมดเวรหมดกรรมกันครับ”


“...”


ผมดึงแขนออกจากมือเขา หยิบแฟ้มเอกสารเดินออกไปจากห้องพลางนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ทำเอาผมหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ตลอดเวลา


เมื่อคืนผมกับเขาไม่ได้อยู่ข้างกันเหมือนชาติก่อนๆ เราอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เป็นศัตรูตั้งแต่โคตรเหง้าลามมาจนถึงทายาทคนล่าสุดของตระกูล ที่ไหนมีผมที่นั่นต้องไม่มีเขา


แล้วทุกครั้งที่ผมคบกับผู้หญิงคนไหน เขาจะต้องเสนอหน้ามาแย่งไปทุกคน จากนั้นก็ทำหน้ากวนโอ๊ยชวนหงุดหงิดจนผมอดไม่ได้ชกหน้าไปหนึ่งที เขาเองก็ไม่ยอมถูกชกฟรี กลายเป็นเราสองคนทะเลาะกันใหญ่โต ตำรวจสายตรวจที่มาเห็นเข้าก็เลยลากคอเราทั้งคู่เข้าไปสงบสติอารมณ์ในคุก 1 วันเต็ม


เรื่องควรจบลงที่ครอบครัวของเราสองคนมาประกันตัวในตอนเช้า แต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ นักโทษคนหนึ่งเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขาบีบคอคนที่อยู่ข้างตัวเองซึ่งก็คือผมที่เพิ่งกระโจนเข้ามานอนแทรกกลางเพราะหนีแมลงสาบ เลยตายอย่างน่าอนาถไปแบบนั้น ส่วนเขาที่ตายตามติดกันมาก็เพราะดันไปชกหน้านักโทษเพราะโมโหที่ผมตาย งี่เง่าที่สุด


“สีหน้าน้องฟ่างดูไม่ค่อยดีเลยนะ เมื่อวานก็ไม่สบาย พี่ว่าเราไปพักที่ห้องพยาบาลหน่อยไหม” พี่ตุลคนเดิมยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวผม เขาหยิบแฟ้มที่ผมต้องส่งให้ฝ่ายต่างๆ ไปถือไว้เองพลางทักทายกับทุกคนอย่างสนิทสนม


สำหรับผมฉากหน้าเขายังคงเป็นรุ่นพี่ที่ดี แต่เพราะผมรู้เบื้องหลังหมดแล้วก็เลยไม่อินกับการทำดีของเขา


“ไม่เป็นไรครับพี่ตุล ผมสบายดี” พี่ตุลช่วยผมส่งเอกสารชิ้นสุดท้ายเรียบร้อยก็อยู่คุยงานต่อกับพี่ที่แผนกบัญชี ส่วนผมก็เดินเลี่ยงออกมาแต่ไม่ได้กลับขึ้นไปข้างบน ผมเดินเลยมายังแผนกออแกไนซ์ซึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงครบรอบบริษัท


“ดอกไม้สดไม่ได้ ท่านประธานแพ้ดอกไม้” หญิงสาวผู้ควบคุมงานนี้ทั้งหมดเอ่ยตำหนินักศึกษาฝึกงานเล็กน้อย “ทีหลังเวลาเราทำงานแบบนี้เราต้องเช็คให้ดีนะว่าเจ้าของงานและแขกร่วมงานแพ้อะไรไม่แพ้อะไร”


“ค่ะพี่เอ๋”


“ดีมาก ไปทำงานต่อเถอะ”


“พี่เอ๋ครับ”


“ว่าไงคะน้องฟ่าง มาช่วยพี่จัดสถานที่เหรอ”


“เปล่าครับ แฮ่ๆ พอดีผมมาถามกำหนดการงานวันนี้น่ะ เห็นพี่หลายคนขอออกไปก่อนเพราะจะไปเสริมสวย งานเลื่อนเวลาเร็วขึ้นเหรอครับ”


“โอ้ย เปล่าหรอกจ้า กำหนดการเดิมทุ่มครึ่งนั่นแหละ แต่แม่พวกนั้นอยากสวยที่สุดในสายตาท่านประธานต่างหาก น้องเองก็ต้องแต่งตัวให้ดีสมฐานะเลขานะรู้ไหม เพราะงานนี้นอกจากพนักงานในออฟฟิศจะไปร่วมงานแล้ว คู่ค้าคนอื่นๆ ของบริษัทเราก็จะมาร่วมงานด้วยเหมือนกัน”


“มีหลายคนเลยเหรอครับ” ผู้ต้องสงสัยลอบทำร้ายพิชิตจะต้องเป็นหนึ่งในคนเหล่านี้แน่ๆ


“เยอะเลยจ้ะ นี่พี่ก็ต้องไปทำงานต่อแล้วเดี๋ยวไม่ทัน ไปก่อนนะน้องฟ่างเจอกันที่งานเลี้ยงจ้ะ” แล้วพี่เอ๋ก็สะพายกระเป๋าหอบของตกแต่งอีกเล็กน้อยเดินจากไป


ผมกลับขึ้นมาข้างบนก็เดินกลับไปนั่งที่ประจำของตัวเอง เหล่มองพิชิตที่กำลังทำงานเหมือนอย่างเคย เขาดูตั้งอกตั้งใจและไม่ได้พยายามจะเข้ามาคุยกับผมเหมือนตอนช่วงเช้าอีก


ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้วางแผนว่าจะจัดการคุ้มกันเขายังไงในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมง


ครืดๆ


ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ ไอ้เล้งบอกว่าไอ้ต๊อบโดนรถชน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลให้ผมช่วยไปดูมันหน่อยเพราะเล้งติดงานเซ็นสัญญากับลูกค้า


แต่ผมก็ต้องอยู่คุ้มกันเขา จะออกไปตอนนี้ได้ยังไง


“เพื่อนนายถูกรถชน รีบไปหาเขาสิ”


“นายรู้ได้ไง”


“เพื่อนตัวอ้วนๆ ของนายส่งข้อความมาบอกฉัน เห็นว่าเพื่อนแว่นของนายญาติเขาอยู่ต่างจังหวัดกว่าจะเข้ามาต้องใช้เวลานาน นายไปอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อนเถอะ”


“งั้นเดี๋ยวฉันมานะ” ผมรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้ววิ่งออกไปทันที ขอแค่ไปดูอาการไอ้ต๊อบว่ายังอยู่ดีผมจะรีบกลับมาหาพิชิตทันทีเลย




โรงพยาบาลxxx


“พี่พยาบาลครับ คนไข้ที่ชื่อ...ไอ้ต๊อบ! มึงเป็นไงบ้าง” ผมรีบเดินไปหาเพื่อนสนิทที่นอกจากเดินถือถุงยาอาการภายนอกก็ดูปกติดี


“แค่เป็นหวัดมึงจะทำหน้าตกใจอะไรนักหนา แล้วนี่หนีงานมาเหรอวะ เงินเดือนก็ยังไม่ออกยังจะ...เฮ้ยขโมยถุงยากูทำไมเนี่ย”


“ยาลดไข้ ยาฆ่าเชื้อ...มึงไม่ได้ถูกรถชนเหรอ”


“ไปเอามาจากไหนว่ากูถูกรถชน”


“ไอ้เล้งส่งข้อความมาบอก”


“ตลกแล้วมึง โทรศัพท์ไอ้เล้งหายไปตั้งแต่เมื่อวาน นี่มันก็เพิ่งขอยืมโทรศัพท์น้องจ๊ะจ๋าโทรมาถามอาการกู กูยังจามแพร่เชื้อผ่านโทรศัพท์ไปถึงมันเลย”


“...” แล้วพิชิตไปฟังมาจากใครว่าไอ้ต๊อบเข้าโรงพยาบาล “...แย่ล่ะ”


ผมก้มมองนาฬิกา อีกไม่ถึงชั่วโมงงานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว ผมไม่มีทางไปที่งานทันแน่ๆ “มึงขับมอเตอร์ไซค์มาใช่ไหม”


“เออสิ”


“งั้นกูยืมวันหนึ่ง วันนี้มึงกลับแท็กซี่ไปก่อนนะ กูรีบ” ว่าแล้วผมก็ฉกกุญแจรถในมือมันวิ่งหนีออกมา พยายามไม่ฟังเสียงที่ตะโกนไล่หลังมา


“ไอ้ฟ่าง! ไอ้@%#^$%&%$*$”


วิ่งมาจนถึงลานจอดรถ ผมก็กวาดตามองหารถสีแสดไม่เข้ากับบุคลิกหน่อมแน้มของไอ้แว่นตาตี่ จากนั้นรีบขึ้นคร่อมพร้อมกับเสียบกุญแจ หยิบหมวกกันน็อกที่วางอยู่มาสวมหัวก่อนจะเร่งเครื่องขับรถตรงไปยังสถานที่จัดงานทันที


รอก่อนนะพิชิต ฉันกำลังไปหานาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรอฉันนะ






Tbc.



เอาล่ะ ไปช่วยพิชิตกันค่ะ 55555555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
สงสารพระเอกอะ คือรักมาทั้งเรื่อง รักมาก่อน พอเจอเหตุการณ์ในอดีตหลอกหลอน แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้คนที่ฆ่าคือคนที่รักไม่ใช่แม่อะ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะมนตราก็เหอะ นี่ว่าที่พระเอกระแวงนายเอกนิดนึงแล้วนายเอกเล่นใหญ่เป็นฟืนเป็นไฟนี่เกินไปอะ เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาพระเอกตอแยตลอด ทำดีสารพัดทั้งเรื่อง ละนายเอกคือเฉยชาตลอด ไม่เชียร์ละ อายุครบ25ปี ชาตินี้ ก็แร้วแต่เวรกรรมเรยยยย~~~ 55555555 ความอินนี้  :z3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โอ้ยยยยย ลุ้นๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Flower

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ janeta

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-2
บทที่ 7


ผมเร่งเครื่องเต็มที่ เพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานที่จัดงาน เห็นหลังไวไวของบอดิการ์ดข้างกายพิชิตก็รีบตรงเข้าไปหาเขาทันที

“บอสอยู่ไหน”

“คุณฟ่าง! โชคดีจริงๆ ที่คุณมาทันเสื้อคุณอยู่ที่ห้องรับรองแล้วครับ บอสเองก็รอคุณอยู่ที่นั่น”

“ขอบใจ” ผมก้าวเข้าไปในสถานที่จัดงานแล้วเดินตรงไปยังห้องรับรองของพิชิต เคาะประตูและร้องเรียกเพียงไม่กี่ครั้งคนด้านในก็ออกมาเปิดให้ทันที

“นายกลับมาเร็วดีจัง”

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ผมดึงแขนเขาแล้วก้าวเข้าไปในห้องพลางสำรวจไปทั่ว ทุกอย่างดูปกติดี จะมีก็แต่เขาที่ยังอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำผมเปียกลู่แนบใบหน้า “เอ่อ ผมว่าคุณแต่งตัวให้เสร็จก่อนดีกว่านะ”

“ทำไมล่ะ” เขาจับคางผมให้เงยหน้าขึ้น “ทนความหล่อของฉันไม่ไหวแล้วหรือยังไงกัน”

“ใครทนไม่ได้ พูดให้มันดีๆ หน่อย เรื่องเมื่อคืนยังเคลียร์เลยนะ นายเป็นบ้าหรือไงถึงได้จ้องแต่จะแย่งผู้หญิงของฉัน”

“ฉันไม่ได้อยากได้พวกเธอสักหน่อย” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม “ที่อยากได้น่ะก็คือนายล้วนๆ แต่ถ้าไม่หาเรื่องทะเลาะ เราสองคนคงไม่มีทางได้อยู่ใกล้กันหรอก ครอบครัวเราเกลียดกันจะตาย”

“...”

“ขอโทษที่ชกนายในฝัน ฉันพยายามห้ามตัวเองแล้วแต่ทำไม่ได้ นายคงเจ็บน่าดู” เขาแตะแก้มข้างซ้ายของผม ซึ่งตอนนี้ไม่มีรอยช้ำให้รู้สึกเจ็บอีก

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ นายไปเปลี่ยนชุดซะ เราจะหนีออกจากงานเดี๋ยวนี้เลย”

“ฉันไปไม่ได้...งานนี้พ่อของฉันเขาเชิญแขกมาจากหลายบริษัท เป็นโอกาสดีที่จะได้ร่วมธุรกิจกัน”

“แล้วชีวิตนายล่ะ อย่าลืมนะว่าหลังจากคืนนี้จะเป็นวันเกิดปีที่ 25 ของนาย ถ้าคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น...”

“มันจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก” เขาจับไหล่ผมไว้ “ถ้านายกลัวนายกลับไปก่อนได้นะ ฉันไม่เคยมีความคิดที่จะให้นายมาเสี่ยงเพื่อฉัน”

“ใครบอกว่าฉันกลัว! ได้ นายอยากอยู่ต่อฉันก็จะอยู่กับนายเอง นั่นชุดฉันใช่ไหม ได้ รอแป๊บนึง” ผมหยิบชุดก้าวเข้าห้องน้ำไป ผ่านไปห้านาทีไม่ขาดไม่เกินผมก็สวมสูทสีขาวก้าวออกมา

“ทำไมนายเลือกสูทขาวให้ฉันห้ะ เดี๋ยวไวน์หกใส่ก็ไม่มีปัญญาซื้อคืนกันพอดี...” ผมชะงักเมื่อเห็นอีกฝ่ายสวมสูทขาวพอดีตัวเช่นกัน ทรงผมที่เคยปรกหน้าก็ถูกจัดแต่งเสยไปด้านหลังขับลุคให้ดูดีไปอีกแบบ

“เอ่อ...”

“นายเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นเราไปกันเลย”

“เดี๋ยวสิ ฉันว่าฉันใส่สูทขาวคงไม่เหมาะเท่าไหร่” ผมหยิบสูทตัวเก่ามาถือไว้ แต่คนมือไวก็ดึงออกจากมือผมแล้วโยนทิ้งไปอีกทาง

“มันเปื้อนแล้วนายไม่ควรใส่ซ้ำนะ ไปกันเถอะ แขกรอเรานานแล้ว”

“เดี๋ยว...ฉันไม่” ผมมองชุดเราทั้งคู่ ดูยังไงก็เป็นเซตเดียวกัน คนอื่นเขาจะมองยังไงวะเนี่ย

“ถ้ามันจะเปื้อนก็ปล่อยให้มันเปื้อนไป ฉันมีปัญญาซื้อให้นายใส่อีกเยอะ”

“...” ประเด็นมันใช่เรื่องนั้นที่ไหนกัน

ผมเดินตามเจ้านายไปถึงหน้าประตู จู่ๆ คนที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าลงแล้วยื่นมือมาขอมือผม

“ช่วยเดินจับมือฉันจนกว่าเราจะถึงหน้างานได้ไหม”

“ทำไม”

“เพราะถ้าคืนนี้ผ่านไปด้วยดี นายจะไปจากฉันไม่ใช่เหรอ”

“...”

“ฉันขอแค่นี้คงไม่มากไปใช่ไหม”

“...”

ผมไม่ตอบอะไร แค่วางมือบนมือเขา แม้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปกุมมือแบบประสานกันผมก็ไม่คิดที่จะดึงออก

โชคชะตาจะเล่นตลกกับชีวิตเราสองคนแบบไหนผมกับเขาไม่มีทางรู้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือ ถ้าโชคชะตากำหนดให้เราจำเรื่องในอดีตได้แสดงว่าเขาอยากให้เราเปลี่ยนโศกนาฏกรรมเหล่านั้นด้วยตัวของเราเอง

เราสองคนเดินไปจนถึงบริเวณที่จัดงาน มือที่กุมกันไว้ก็จำเป็นต้องปล่อยออก เขาเดินนำหน้าส่วนผมเดินตามหลัง ระหว่างทางพิชิตก็ทักทายแขกที่พบกันด้วยมาดประธานบริษัท แม้ไม่ถือตัวแต่ก็ไม่ได้พูดงเล่นกับใครไปเรื่อย เขายังคงจริงจังกับงานและพูดถึงข้อตกลงต่างๆ ที่บริษัทเหล่านั้นต้องการได้อย่างดี

“ผมคิดว่าทางเรามีจุดยืนที่ชัดเจน ถ้าของคุณภาพไม่ดีเราไม่ทางผลิตออกมาจำหน่ายอย่างแน่นอน”

“เห็นคุณพิชิตพูดแบบนี้ทางเราก็สบายใจครับ”

“ยินดีครับ” พิชิตส่งนามบัตรของเขาให้อีกฝ่ายและรับนามบัตรของคู่ค้าคนใหม่มาเก็บไว้ จากนั้นก็ขอตัวแล้วเดินไปหาเจ้าของบริษัทต่างชาติที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในงาน ผมเห็นดังนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะฟังพวกเขาพูดภาษาฝรั่งเศสกันไม่ค่อยเข้าใจ

แต่แล้วจู่ๆ บริเวณหน้าประตูหญิงสาวในชุดราตรีคนหนึ่งก็เดินควงคู่มากับชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าดูดีไร้ที่ติแบบเดียวกับพิชิตแต่สูงวัยกว่ามาก ส่วนคนข้างๆ ก็คือแม่ของผมเอง ด้านหลังของคนทั้งสองมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่สองช่อ ที่ดูเหมือนจะนำมาให้พิชิต

“เดี๋ยวก่อนครับ!” ผมรีบเดินเข้าไปขวางแล้วรับดอกไม้สองช่อนั้นมาถือไว้เอง “งานนี้ห้ามดอกไม้สดนะครับ”

“ฟ่าง” แม่ทำหน้าดุใส่ผม แต่ผมไม่สนใจรีบนำดอกไม้ออกไปฝากไว้กับฝ่ายลงทะเบียนด้านนอก ซึ่งพวกเธอก็เอ่ยปากบอกผมว่าอยากจะห้ามแต่ทำไม่ได้เพราะคนที่มาคือพ่อของท่านประธาน ซึ่งน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าท่านประธานแพ้ดอกไม้แต่ก็ยังนำเข้าไป พวกเธอก็ไม่รู้จะแก้ปัญหานั้นอย่างไร จึงได้แต่ดีใจที่ผมช่วยนำดอกไม้เจ้าปัญหาออกมาจากงานได้

ผมกลับเข้าไปในงานแล้วยืนอยู่ข้างพิชิต ลอบมองเขาสบตากับพ่อตัวเองนิ่งๆ ก่อนพ่อของเขาจะเอ่ยทำลายความเงียบ

“ฉันไม่ยักรู้ว่าแกแพ้ดอกไม้”

“ก็รู้แล้วนิครับ” พิชิตเอ่ยตอบแล้วผายมือ “เชิญครับ นานๆ พ่อจะให้เกียรติมางานของบริษัทนี้”

พ่อของพิชิตมีสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย มือหนาแตะลงบนมือแม่ของผมก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าไปด้านในแล้วนั่งลงที่โต๊ะแขกวีไอพี

“ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมงานก่อตั้งบริษัทครบรอบ 10 ปี ของพี่ชายผม แม้ตอนนี้เขาจะไม่อยู่แล้วแต่ผมสัญญาว่าจะรักษามันไว้อย่างดี เชิญทุกท่านดื่มเพื่อเป็นเกียรติให้กับพี่พิชัย พี่ชายที่ผมรักมากที่สุด”

“พิชัย...”

ผมหันไปตามเสียงของคนที่อยู่ใกล้ๆ พี่ตุลมีสีหน้าหมองลงเล็กน้อยก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นผมมองเขาอยู่

“มีอะไรหรือเปล่าน้องฟ่าง”

“ไม่มีครับ” ผมเบนสายตากลับไปยังพิชิต ซึ่งตอนนี้ยกแก้วขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้มเศร้าก่อนจะก้าวลงจากเวที ผมรีบเดินเข้าไปหาเขาพลางแตะแขนอีกฝ่ายเบาๆ พิชิตมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจูงมือผมออกไปจากงาน

เราสองคนเดินรับลมอยู่ด้านนอก คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง อากาศปลอดโปร่ง อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะเป็นวันเกิดของพิชิต แต่เจ้าของวันเกิดกลับไม่หยี่ระเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ร่างสูงเดินนำผมไปสักพักก็หยุดยืนแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“พี่พิชัยเป็นคนที่เก่งมาก เขาสร้างบริษัทของตัวเองได้ทันทีที่เรียนจบและประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย” พิชิตพูดยิ้มๆ “ตอนนั้นเขาอายุ 24 อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเกิดของเขาแล้ว แต่กลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน”

“...”

“หมอดูหลายคนทักพี่แบบที่ทักฉัน เขาบอกว่าพวกเราอายุสั้นแต่ฉันกับพี่ไม่เคยเชื่อเลย” เขาจับมือผมแล้วหันมาสบตากัน “จนกระทั่งฉันฝันถึงเรื่องราวพวกนั้นและได้พบกับนาย ฉันจึงยอมเชื่อเรื่องดวงพวกนั้น”

“และฉันก็หวังว่าเราจะไม่จากกันเร็วเกินไป...”

“มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นหรอก” ผมบีบมือเขาตอบ “ไม่มีทางที่ฉันจะยอมให้เป็นแบบนั้น”

“ฉันรักนายนะ” จู่ๆ พิชิตก็พูดคำนั้นออกมา “มันเป็นคำที่ฉันไม่เคยมีโอกาสบอกนายเลยสักครั้ง เพราะเราตายกันก่อนทุกที แต่วันนี้ฉันไม่อยากพลาดโอกาสนั้นอีกแล้ว”

“...”

“ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอดนะฟ่าง” มืออุ่นแตะแก้มผมแผ่วเบาก่อนประคองให้เงยหน้าขึ้นรับจูบแสนหวานจากเขา

ผมหลับตาลงซึมซับทุกสิ่งที่อีกฝ่ายอยากมอบให้ ทั้งรสชาติ กลิ่นหอม และไออุ่น น้ำตาก็พาลไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมกอดเขา หวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ว่าทำไม

ในอกบีบรัดอย่างรุนแรงราวกับรู้ว่าถึงเวลาแล้ว

ปัง!

สิ้นเสียงกระสุนนัดนั้นผมที่กำลังจมอยู่กับความกลัวก็สะดุ้งสุดตัวรีบดึงพิชิตเข้ามากอดแน่น พลางสอดสายตาไปรอบข้างด้วยกลัวว่าเขาจะถูกยิง แต่ที่ไหนได้...

“รีบตามไป!” พิชิตสั่งการบอดิการ์ดที่พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะเอ่ยถามผม “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เขาลดปืนลงก่อนจะเก็บเข้าที่ซ่อนโดยที่ผมไม่รู้ว่าร่างสูงไปชักปืนออกมาตอนไหน

“ขอโทษที่ทำให้นายตกใจ หมอนั่นมันเล็งฉันไว้แต่แรกแล้ว โชคดีที่มันตามเรามาจะได้จัดการไปเลยทีเดียว”

“นาย...นาย”

“หืม” เขาเอียงคอทำหน้าสงสัยก่อนจะแย้มยิ้มเล็กน้อย “นายกังวลว่าเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้าเป็นแค่การสร้างบรรยากาศหรือไง”

“...”

“ที่ฉันชอบนายนั่นคือเรื่องจริง ที่จูบนายก็เรื่องจริงเหมือนกัน หรือถ้านายยังไม่เชื่อ ฉันจูบนายอีกก็ได้นะ”

“เอาสิ! ฉันจะได้รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริงไม่ใช่ฝัน” ผมก้มมองเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนตอนนี้เกือบจะถึงเที่ยงคืนแล้ว

“นายขอเองนะฟ่าง” พิชิตโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วพิสูจน์ให้ผมรู้ด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนของเขา เนิ่นนานกว่าหลายนาทีจนกระทั่งข้ามผ่านวันธรรมดาสู่วันเกิดปีที่ 25 ของพิชิตอย่างสมบูรณ์

ครั้งนี้เราสองคนเปลี่ยนโชคชะตาได้สำเร็จแล้วครับ

.................................



Tbc.


ตอนหน้าตอนจบแล้วน้า ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า อย่าลืมว่าคนดวงซวยยังไม่พ้นวัยเบญจเพสยังเหลืออีกคน 5555  :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด