Day2 : ภูมิแพ้
แท้จริงแล้วแวมไพรส์ไม่ใช่พวกกลัวแสงแดด กลับกันพวกเขาชอบที่จะอยู่ท่ามกลางความอบอุ่นในยามเช้าเพื่อรับวิตามินดีซึ่งเป็นตัวช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงมากกว่ายืนหลบในมุมมืดซะอีก
ทว่าแดดเวลาเที่ยงวันของประเทศไทยมันเกินจะรับไหวไปหน่อย...
เจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรภายใต้ฮู้ดดำทรุดฮวบเพราะทนรับความร้อนไม่ได้ หลังปล่อยเกรย์แมนอยู่เฝ้าบ้านและตนเองออกเดินทางจากคฤหาสน์ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งถึงเมืองใหญ่เมืองหนึ่งโดยไม่ได้พักเหนื่อย สิ่งที่ตามมาคือร่างกายอ่อนเพลียจนแทบประคับประคองสติเอาไว้ไม่อยู่และล้มพับลงมันซะตรงนั้นนั่นเอง
"เฮ้คุณ เป็นอะไรมั้ย?"
แซนเดอร์ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำภาษาแปลกๆ ของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลัง
อีกฝ่ายเขยิบเข้ามาช้อนเอวเขาขึ้นอย่างง่ายดาย นั่นส่งผลให้ร่างกายที่กำลังอ่อนแอเอนซบลงตรงลาดไหล่คนสูงกว่าอย่างช่วยไม่ได้
"ข..ข้า...หิว"
แซนเดอร์ตอบเป็นภาษาอังกฤษ พลางพยายามเหลือบมองซอกคอซึ่งส่งกลิ่นเลือดหอมกรุ่นยั่วยวนเขาไม่หยุด
"อะไรนะ ฟังไม่ถนัดเลย" อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาใกล้
แซนเดอร์มองอาหารที่ขยับเข้ามาด้วยสายตาวาววับ เขาพยายามอ้าปากจนทำให้เห็นเขี้ยวคมๆ สองซี่ ขณะกำลังจะงับเหยื่อตัวน้อยๆ (?) พลันแสงแดดอันเจิดจ้าก็ส่องแยงตาจนรู้สึกพร่าเบลอไปหมด
ไอ้แดดนรก...
เขาได้แต่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ก่อนจะคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ซะก่อน
"พาข้า..."
พูดยังไม่ทันจบ นัยน์ตาหงส์สีเทอควอยซ์ก็เบิกกว้างขึ้น เหนือลำคอขึ้นไปคือใบหน้าหล่อเหลาคมคาย คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาคมกริบรับกันดีกับจมูกโด่งเป็นสัน แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ...
คนๆ นี้ แม่งใส่ต่างหูรูปกระเทียม!
"อ้าว ทำไมจู่ๆ เนื้อตัวถึงมีผื่นขึ้นแบบนี้ เป็นอะไรรึเปล่าครับ?"
จะเป็นอะไรซะอีกละ นอกจากโรคภูมิแพ้กระเทียมอ่ะ! อย่าเข้ามาใกล้นะโว้ย!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Day3 : Sweet
เขาว่ากันว่าต่อมรับรสของแวมไพร์รับได้เพียงความเค็มเท่านั้นถึงได้ดื่มกินแค่เลือดประทังชีวิต...
จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก เราสามารถรับรู้ได้ทั้ง เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็มเลยต่างหาก ก็แค่แวมไพร์ส่วนมากมักหัวสูงเกินกว่าจะดื่มกินอาหารทั่วไปอย่างพวกมนุษย์เท่านั้นเอง
พูดก็พูดเถอะ ครั้งสุดท้ายที่ได้ลิ้มรสหวานละมุนแบบนี้มันเนินนานเท่าใดแล้วนะ...
ในช่วงเวลาที่หัวสมองกำลังครุ่นคิด กลับมีลมบางเบาระลอกหนึ่งถูกส่งเข้ามาในปาก ก่อนจะตามด้วยสัมผัสอุ่นซึ่งทาบทับลงมาย้ำๆ ราวสี่ครั้งถ้วน
กระทั่งรอบที่ห้า แซนเดอร์เผยอปากอ้าออกเล็กน้อยจนเขี้ยวคมๆ เกี่ยวบางสิ่งอันนุ่มนิ่มนั่นจนได้เลือด
เจ้าของนัยน์ตาสีเทอควอยซ์เปิดเปลือกตาอันพร่าเลือนขึ้นช้าๆ เขามองเห็นบุรุษคุ้นหน้าผู้หนึ่งกำลังจดจ้องตนเองอย่างใกล้ชิด
"คุณฟื้นแล้ว"
"..."
ว้อท??
แซนเดอร์มองซ้ายมองขวาแล้วยิ่งงงหนักกว่าเก่า เหมือนว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในบ้านเล็กๆ(?) หรืออาจจะเป็นโรงศพขนาดใหญ่สำหรับสองคนนอนละมั้ง เห็นมีหน้าต่างกระจกรอบด้านเลยแฮะ ว่าแต่โรงศพนึงนอนพักผ่อนได้เพียงคนเดียวมิใช่หรือ? เขาไม่แน่ใจเลย
"ผมตกใจหมด อยู่ๆ คุณก็สลบแถมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เลยตัดสินใจอุ้มมานอนในรถก่อน" เจ้าของใบหน้าคมคายพูดหน้านิ่งทว่าแววตากลับส่อประกายบางอย่าง
"ผมอุตส่าห์ผายปอดช่วยเหลือ แต่อยู่ๆ คุณก็กัดปากผมซะจนได้เลือด"
"..."
แซนเดอร์ชะงัก ก่อนจะนึกได้ถึงรสชาติหอมหวานก่อนหน้านี้
อย่าบอกนะว่า...
"จะรับผิดชอบผมยังไงดีครับ หื้ม?"
อะไรกันละนั้นนะ เขาไปขอร้องไอ้มนุษย์เจ้าเล่ห์คนนี้ตอนไหน เริ่มเองทำเองทั้งนั้น บ้าบอจริงๆ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Day 4 : แกงเผ็ดเป็ดย่าง
จนแล้วจนรอดแซนเดอร์ก็ถูกมนุษย์คนนั้นพามาร้านอาหารไทยร้านหนึ่งอย่างงงๆ
เขาผงะถอยหลังด้วยความตกใจไปสามก้าวตอนที่ประตูใสเปิดออกเองอัติโนมัติจนโดนอีกฝ่ายหัวเราะเยาะใส่
นัยน์ตาสีเทอควอยซ์หันไปคาดโทษก่อนเบือนหน้าหนียามมองเห็นต่างหูอัปมงคลนั่น ขนในกายพากันลุกซู่ราวกับจะบอกเจ้าของมันว่าอยู่ใกล้ตัวอันตรายแบบนี้ต่อไปผื่นต้องขึ้นแน่ๆ
พลางเหลือบแลบรรยากาศภายในร้านซึ่งถูกประดับตกแต่งด้วยไฟสีส้มนวลตาและวอลเปเปอร์ลายอิฐเก่าๆ กลิ่นอาหารหลากหลายสไตล์ลอยกระทบจมูกเป็นระยะพร้อมกับเสียงจังหวะสูบฉีดของหัวใจซึ่งเต้นตุบตับดังอยู่รอบกาย
"เรามาทำอะไรที่นี้"
นับเป็นประโยคแรกที่แซนเดอร์ยอมคุยกับมนุษย์บ้าบอคนนี้ดีๆ โดยไม่เชิดใส่
"ที่สลบไปเมื่อกี้ไม่ใช่ว่าหิวจนหน้ามืดตาลายเหรอครับ?"
"..." นั่นมันก็ใช่
เขาตอบอีกฝ่ายในใจพลางเดินตามร่างสูงๆ ไปนั่งยังโต๊ะมืดสลัวมุมในสุด
ขณะมองใบหน้าคมคายเอ่ยสั่งอาหารพร้อมเครื่องดื่ม เจ้าของนัยน์ตาสีเทอควอยซ์ก็กำลังวางแผนเตรียมตัวเผ่นกลับคฤหาสน์ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน
จะอย่างไรเดินทางตอนกลางคืนย่อมดีกว่ากลางวันเป็นไหนๆ
"ฟังจากภาษาที่พูด คุณเป็นชาวต่างชาติสินะครับ"
อีกฝ่ายเริ่มชวนคุยเสียงนุ่ม เป็นจังหวะเดียวกันกับพนักงานของร้านซึ่งนำไวท์ชั้นดีมาเสิร์ฟ มนุษย์ตรงหน้าจึงหยิบขวดขึ้นเปิดจุกแล้วเทใส่แก้วของตัวเองก่อนจะยกขึ้นจิบ เสียงครางฮัมอย่างถูกใจดังตามมาติดๆ
"อืม"
แซนเดอร์ครางรับอย่างตัดรำคาญ พลางเบนสายตามองระหว่างขวดไวท์ในมืออีกฝ่ายสลับกับแก้วของตนเอง
'รินให้ข้าด้วยสิเจ้ามนุษย์!'อีกฝ่ายเหมือนจะอ่านสายตาเขาได้จึงขำออกมาเบาๆ ก่อนทำการรินใส่แก้วให้ช้าๆ
"จริงๆ ผมก็เป็นคนต่างชาตินะ" มนุษย์ยังคงชวนคุยต่อ "ชาติหมาไปละแปดสิบเปอร์เซ็นอีกยี่สิบได้ยีนส์มาจากแม่"
ยามกล่าว สายตาแพรวพราวนั่นก็กำลังสำรวจร่างกายเขาขึ้นลงอย่างเปิดเผย แซนเดอร์ขมวดคิ้ว ว่าเสียงดุอย่างไม่พอใจ
"ต้องการอะไร"
แม้ว่าเขาจะเพิ่งผ่านพ้นช่วงวัยผู้ใหญ่มาไม่กี่ชั่วโมงแต่แวมไพร์เช่นแซนเดอร์กริมป์ไม่ใช่พวกหน้าโง่ที่ดูไม่ออกว่ามนุษย์ตรงหน้าต้องการผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
มนุษย์เราจะทำดีต่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก
"เฮ้ ใจเย็นๆ ผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณหรอกน่า"
อีกฝ่ายยกมือสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้ แล้วเผยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย บรรยากาศกดดันแผ่ปกคลุมทั้งโต๊ะอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งจนกระทั่งพนักงานทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟ
"นี่อะไร!"
แซนเดอร์ยกมือปิดจมูกทันทียามได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์
"เริ่มจากซ้ายมือคุณคือแกงเผ็ดเป็ดย่าง ถัดมาคือต้มซี่โครงหมู ผัดผักบลอกโคลีใส่กุ้ง แล้วก็ไก่ทอดกระเทียม"
ฆาตกร!
มนุษย์ผู้นี้ต้องการฆาตกรรมเขาทางอ้อมแน่ๆ ของกินที่มีแต่กลิ่นเครื่องเทศฉุนจมูกแบบนี้ยังสามารถเรียกออกมาว่าอาหารได้อยู่อีกเรอะไง
"รังแกข้ารึ ของเช่นนี้ใครมันจะไปกินได้กัน!"
แซนเดอร์ผุดลุกขึ้นยืนพลางชี้หน้าด่าอีกฝ่ายอย่างลืมมาด ก่อนจะพึ่งนึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติก็ตอนที่เห็นสายตาทอประกายวาบวับของบุคคลตรงหน้านั่นแล...
"จริงๆ แล้วมนุษย์ปกติทั่วไปเขาก็กินได้นะครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะไม่ใช่มนุษย์"
"..."
เขาชะงักจนทำอะไรไม่ถูก อีกฝ่ายเว้นช่วงให้แซนเดอร์ได้หวั่นใจเล่นพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง
"ไม่คิดไม่ฝันว่าเผ่าพันธุ์ของคุณจะยังเหลือรอดอยู่ในยุคปัจจุบัน..."
ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาหรี่ลงจับจ้อง 'เหยื่อ' ไม่ละไม่ไปไหน แล้วเอ่ยต่อช้าๆ
"แวมไพร์เนี้ยยังไม่สูญพันธุ์ไปหมดจริงๆ ด้วยสินะครับ"
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Day 5 : Attach
ความเงียบเป็นเพียงคำตอบเดียวสำหรับทั้งคู่ในตอนนี้ แต่เดิมแซนเดอร์ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเดินทางกลับในเวลากลางคืน เห็นทีคงต้องเลื่อนให้เร็วขึ้นเสียแล้ว
"ลาล่ะ"
พูดไม่ทันขาดคำขณะเตรียมออกตัววิ่งเต็มที่ ข้อมือขาวซีดก็ถูกรั้งไว้โดยใครอีกคน
"ตามบทคุณต้องถามผมสิว่ารู้ได้ไง หรือนายเป็นใคร ไม่ใช่หนีกลับเสียดื้อๆ"
แซนเดอร์พยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมจากบุคคลตรงหน้าทว่าสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุดสักนิด แม้ว่าเขาจะเป็นแวมไพร์ขาดสารอาหาร แต่ก็ไม่ควรจะมีแรงเท่ามดจนสลัดมนุษย์ธรรมดาออกไม่ได้อย่างนี้สิ
หรืออีกฝ่ายก็ไม่ใช่มนุษย์...
"เจ้า--"
"นั่งลงก่อน แล้วผมจะอธิบายให้ฟัง"
เขาสะดุ้งจนเผลอหยุดขัดขืนยามเห็นดวงตาที่ควรจะเป็นสีดำอย่างทุกทีกำลังเรืองรองสีอำพันเหมือนพวกสัตว์หน้าขน
มนุษย์-- ไม่สิ พวกหมาป่า...
"เป็นไปไม่ได้ ทำไมข้าไม่ได้กลิ่นสัตว์จากตัวเจ้า!"
"เพราะผมเป็นลูกเสี้ยวระหว่างพ่อที่เป็นสายพันธุ์ผสมกับแม่ที่เป็นมนุษย์ ไม่แปลกถ้าคุณจะไม่ได้กลิ่นเลย" อีกฝ่ายว่าแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากจ้องหน้าเขา "ผมเคยได้ยินพ่อเล่าเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทวีปยุโรป เขาเล่าว่าก่อนที่เผ่าพันธุ์คุณจะโดนกวาดล้าง จริงๆ แล้วหัวหน้าของสองเผ่าเราทำพันธะสัญญาบางอย่างเอาไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปสืบทอดเจตนารมณ์"
"พันธะอะไร" ใบหน้าสง่างามขมวดคิ้ว
"พันธะผูกสัมพันธ์เลือกคู่ครอง"
นัยน์ตาสีอำพันส่อประกายระยิบระยับดูแพรวพราว ประกอบกับเครื่องหน้าหล่อเหลาคมคาย ยิ่งเสริมให้อีกฝ่ายเหมาะสมกับความเจ้าเล่ห์ฉบับพวกหมาป่าได้อย่างไม่มีที่ติ
"แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า" แซนเดอร์ถามเสียงสั่น เผลอหลบตาอีกฝ่ายด้วยความประหม่า
เพียงพริบตาเดียว ร่างทั้งร่างของเขาก็ถูกกักขังไว้ด้วยแขนแกร่ง ด้วยเพราะด้านหลังเป็นเก้าอี้พิง เขาเลยไม่สามารถหลบหนีออกไปได้แม้แต่น้อย
"เกี่ยวสิ เพราะคุณคือผู้สืบทอดเจตนารมณ์คู่กับผมไงละครับ" สัมผัสเปียกชื้นงับแตะหยอกเอินเบาๆ ตรงติ่งหูด้านซ้าย "ใช่กลิ่นนี้แหละ"
"..." แซนเดอร์สะดุ้งสุดตัว ทำได้แค่สบตาอีกฝ่ายคาดโทษเท่านั้น
"คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมออกตามหาคุณมานานแค่ไหน..."
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Day 6 : ตุ๊กตากระดาษ
'ข้าให้เจ้า'
กระดาษแผ่นบางๆ ที่ถูกลงน้ำหมึกสีดำเข้มปื้นใหญ่ซึ่งถูกตัดเป็นรูปร่างประหลาดๆ แต่ยังพอดูออกว่ามันคือหมาป่าถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
'...'
เด็กชายในวัยเจ็ดขวบเดินกลับไปนั่งที่เดิมหลังคะยั้นคะยอยัดตุ๊กตากระดาษใส่มือเด็กน้อยอีกคนซึ่งน่าจะอายุราวๆ ได้ 2 อาทิตย์ ทว่าร่างกายนั้นเติบโตคล้ายกับเด็กมนุษย์วัย 2 ขวบที่นั่งจุมปุ๊กอยู่หลังบานประตูโดยยื่นแก้มกลมๆ กับลูกตาใสแจ๋วแอบมองมาได้ครู่ใหญ่แล้ว
ใบหน้าหมดจดงดงาม ดวงตาสีเทอควอยซ์ระยิบระยับยามตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งติดตรึงในใจเด็กน้อยเข้าอย่างจัง
เส้นผมสีจินเจอร์แปลกตานั้นตัดกันดีกับผิวซึ่งขาวจนซีดทว่าไม่ได้ดูขี้โรคแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสวมเสื้อผ้าสั่งตัดหรูหรานั่งวาดรูปอยู่ในห้องหนังสือ ซึ่งดูๆ ไปภาพที่เห็นก็ช่างคล้ายกับเป็นผลงานจากฝีมือจิตรกรชื่อดังภาพหนึ่ง
นับเป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยได้เจอกับผู้ที่เหมือนดั่งนางฟ้าบนสวรรค์...
อยากจะเอื้อนเอ่ยสนทนา อยากจะคุยด้วยหลายๆ ประโยคเพราะติดใจในเสียงใสกังวานนั่น เสียแต่ว่าตนยังเด็กเกินไป จึงไม่สามารถพูดเป็นคำได้
หลังรับตุ๊กตากระดาษจากมือนิ่มๆ แล้ว เด็กน้อยก็ยังคงทำตัวเช่นเดิม แอบอยู่หลังบานประตู โผล่แค่ตากับแก้มยุ้ยๆ เหม่อมองอีกฝ่ายไม่ได้ไปไหนจนกระทั่งมีคนเรียก
'วินซ์ ได้เวลากลับแล้ว'
ท่านพ่อที่เดินออกมาจากประตูอีกห้องเอ่ย ตามมาด้วยท่านปู่และลอร์ดออทัม
เด็กชายมองผู้เป็นพ่อสลับกับคนในห้องอย่างลังเล
เขายังไม่อยากไป...
เหมือนคนเป็นผู้ใหญ่จะเข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี ท่านพ่อยิ้มแล้วลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
'ยังไงก็ต้องได้เจอกัน ไว้พ่อจะพาเจ้ามาหาเขาอีก'
เด็กน้อยพยักหน้า เชื่ออย่างสุดหัวใจในคำพูดนั้น ทว่านั่นกลับเป็นเพียงครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทั้งสองได้เจอกัน ตราบนานกระทั่งร้อยปีผ่านไป...
กลิ่นกายจางๆ ของคนผู้หนึ่งซึ่งเดินระโหยโรยแรงตรงริมถนนนั่นช่างคุ้นเคย
ไวเท่าความคิด ขณะที่รถกำลังติดไฟแดง เจ้าของส่วนสูงร้อยเก้าสิบก็พุ่งทะยานออกไปรวดเร็วจนเห็นเป็นเส้นสายสีดำเส้นหนึ่งพาดผ่านไปราวกับสายลม
"เฮ้คุณ เป็นอะไรมั้ย?"
เขาช้อนเอวคอดขึ้นด้วยแขนข้างเดียวอย่างสบายๆ จมูกขยับฟุดฟิดดอมดมกลิ่นอีกฝ่ายเงียบๆ
ใช่ กลิ่นเดียวกันกับตุ๊กตากระดาษที่เขาเฝ้าถนุถนอมเอาไว้
ไม่ผิดแน่
ในที่สุดก็ตามหาเจอ...
TBC.