“คุณแม่สวัสดีค้าบ”
“อ้าว พาย สวัสดีจ้ะ มาเร็วนะเราน่ะ แม่เพิ่งให้ไวน์โทรชวนเรามากินข้าวได้แปเดียวเองนี่นา”
“แฮ่ เพราะอาหารฝีมือคุณแม่อร่อยมากกกก พอไวน์โทรมาชวนผมก็รีบออกมาทันทีเลยครับ”
คุณแม่ของไวน์ยิ้ม ท่านเข้ามาลูบหัวผมอย่างเอ็นดูก่อนจะบอกให้ขึ้นไปเล่นกับไวน์บนห้องก่อน ส่วนท่านขอตัวทำอาหารต่ออีกสักครู่ เขารับคำ เดินไปส่งคุณแม่ที่ห้องครัวก่อนจะเดินไปทางบันได
ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวขา ปลายสายตาก็เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง พายมองไปทางประตูหน้าบ้าน เขาเห็นไวน์อยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เจ้าตัวสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงวอร์มสีดำ สลิปเปอร์ลายเอพีช ร่างสูงเดินผ่านประตูบ้านไปทางสวนด้านข้างอย่างรวดเร็ว
“ไวน์”
คนตัวเล็กพึมพำ ไหนคุณแม่บอกว่าไวน์อยู่ข้างบนไง ขาเล็กก้าวทางประตูหน้าบ้านแต่ก็พบกับความว่างเปล่า สวนด้านข้างก็ไร้วี่แววของไวน์อีกด้วย
แปลก
เขามั่นใจว่าเห็นไวน์ไม่ผิดแน่
“พาย”
เจ้าของชื่อชะงัก หันตัวไปมองต้นเสียงที่ยืนเท้าแขนอยู่กับบันไดภายในบ้าน ไวน์ส่งยิ้มกว้างก่อนจะเดินเข้ามาหา พายอึ้ง ขณะเดียวกันก็งุนงงไปหมด คนตรงหน้าเขาแต่งตัวแบบเดียวกับที่เขาเห็นเมื่อกี้ไม่มีผิด ทั้งเสื้อยืดสีขาว กางเกงวอร์มสีดำ สลิปเปอร์ลายเอพีช ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด
“เห็นเข้าบ้านมานานแล้วทำไมไม่ขึ้นไปสักทีล่ะหืม”
“นาย... เมื่อกี้อยู่ตรงหน้าบ้านไม่ใช่เหรอ” พายชี้นิ้วไปตรงจุดที่เขาเห็นไวน์สลับกับมองหน้าคนตรงหน้า “นี่ ทำไมถึงเดินออกมาจากบันไดได้ล่ะ”
“ตลกแล้ว ฉันยังไม่ได้ออกมาจากบ้านเลยนะ เพิ่งลงมาจากห้องเมื่อกี้นี้เอง”
“แต่—”
“ตาฝาดแล้วแหล่ะ” ไวน์เดินอ้อมมาด้านหลังเขาพลางจับเอวแล้วดันเบา ๆ ให้เดินไปข้างหน้า “ป่ะ ขึ้นไปเก็บของบนห้องกันจะได้ลงมาช่วยคุณแม่ทำกับข้าว”
“อือ”
พายพยักหน้ารับคำแต่ในใจกลับคิดไม่ตก เขาเห็นไวน์แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้การแต่งตัวของไวน์ล่วงหน้าได้ยังไง มันเหมือนกันออกขนาดนั้น
คนตัวเล็กถอนหายใจก่อนจะปัดความคิดบ้า ๆ ออกไปจากหัวเมื่อหาคำตอบให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้เลยสักนิด
โอเค ตาฝาดก็ตาฝาด
***************************
“อรุณสวัสดิ์พาย”
“อรุณสวัสดิ์”
พายยิ้มตอบไวน์ที่ส่งยิ้มกว้างจนตาหยี วันนี้ไวน์มารับเขาที่บ้านเพราะจะพาเจ้าบิงโก สุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียตัวน้อยของเขาไปฉีดวัคซีนตามกำหนด
คนตัวเล็กเดินไปเข้าในอ้อมกอดของไวน์ที่อ้าแขนรอ กอดแน่น ๆ ให้สมใจ แล้วเงยหน้าขึ้นจุ๊บคางอีกฝ่าย ก่อนจะต้องชะงัก ทำหน้ายู่
“ไม่โกนหนวดนี่นา”
“รอนายโกนหนวดให้อ่ะแหล่ะ”
“ไม่โกนให้—”
โฮ่ง ๆ ๆ
ยังพูดไม่ทันจบ เราสองคนก็ต้องชะงักเมื่อเจ้าบิงโกอยู่ดี ๆ ก็วิ่งออกมาจากบ้านแล้วเห่าใส่ไวน์ไม่หยุด ทำเอาทั้งเขาทั้งแฟนหนุ่มงงกันไปหมด
เราคบกันมานานแล้ว ไวน์ก็เจอกับบิงโกมานับครั้งไม่ถ้วน คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นยังไง นอกจากตอนเจอกันครั้งแรกบิงโกก็ไม่เคยเห่าใส่ไวน์อีกเลย แต่วันนี้กลับเห่าใส่เสียอย่างนั้น
“บิงโก นี่ฉันเองไง ไวน์”
“บิงโก ชู่วว ไม่เอาไม่เห่าสิ”
โฮ่ง ๆ ๆ
พายผละออกจากอ้อมกอดของไวน์มาห้ามเจ้าสุนัขตัวน้อย แต่นอกจากมันจะไม่หยุดเห่าแล้วยังเห่าเสียงดังกว่าเดิมอีกต่างหาก แต่ที่ทำให้ทั้งเขาและไวน์อึ้งกว่าเดิมคือการที่มันวิ่งมาด้านหลังของไวน์ หยุดลงตรงเงาของคนตรงสูงแล้วเห่าใส่เงานั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นี่... ถามจริง”
“เห่าใส่เงาเนี่ยนะ”
เรามองหน้ากัน พบความงุนงงบนใบหน้าของกันและกันก่อนจะหัวเราะออกมาที่วันคืนดีคืนดีบิงโกก็มาเห่าใส่เงาเสียอย่างนั้น
เขาในตอนนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก
ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ามันอาจเป็นเพราะอย่างอื่น
***************************
ปิ๊น ๆ ๆ
พลั่ก
“โอ๊ยยย”
พายร้องเสียงหลงออกมาเมื่อถูกผลักออกจากระยะของรถจนล้มลงกับพื้น มือถลอกกับพื้นจนเจ็บแสบ ตั้งสติได้อีกทีความกลัวก็แล่นจับจิตจนใจสั่นไปหมดเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเพิ่งเฉียดความตายมาหมาด ๆ
เมื่อกี้นี้เขาทำโทรศัพท์ร่วงไปตรงขอบถนนและกำลังก้มเก็บ แต่เพราะลืมคิดไปว่าอาจจะมีรถวิ่งผ่านเลยไม่ได้ระวังตัวเท่าไหร่จนรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงบีบแตรใส่ เขาเห็นแต่ว่าขาก็แข็งไปหมด ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้ไวน์เหวี่ยงเขาออกมาจากระยะรถเขาต้องตายแน่ ๆ
พายสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หันมองไปรอบด้านแต่กลับไม่พบไวน์แต่อย่างใด คนตัวเล็กนิ่ง มึนงง สับสนไปหมด เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ เขาเห็นไวน์ผลักเขาออกมาในตอนที่เขายังก้าวขาไม่ออก แล้วตอนนี้...
ไวน์หายไปไหน
“พาย!”
พายหันไปตามเสียงเรียก ไวน์ออกมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวค่อย ๆ พยุงเขายืนขึ้นพร้อมกับสำรวจตามเนื้อตัวด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เจ็บตรงไหนบ้าง”
“นาย... เพิ่งออกมาจากร้านนั้นเหรอ”
ไวน์เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและรู้สึกผิด
“อืม ฉันไม่น่าปล่อยให้นายออกมาคนเดียวเลย ขอโทษนะ”
“ไม่— ไม่เป็นไร ฉันซุ่มซ่ามเองน่ะ” พายส่งยิ้มแม้ว่าจะเจ็บแผลจนแทบยิ้มไม่ออก “ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันเป็นคนบอกนายว่าจะออกรอข้างนอกเองนี่นา”
ใช่ พายเป็นคนบอกว่าจะออกมารอข้างนอกตอนที่ไวน์ต่อแถวรอคิดเงินค่าสินค้าเพราะไม่อยากยืนรอตรงเคาน์เตอร์ให้มันเกะกะคนอื่นเองนี่นา
นั่นแปลว่าไม่มีทางที่ไวน์จะสามารถตามหลังพายออกมาได้ทันทีเลย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วคนที่เขาเห็น แล้วคนที่มาช่วยเขาที่เขามั่นใจมากกว่าเป็นไวน์แน่ ๆ
คน ๆ นั้นเป็นใคร แล้วหายไปไหนกัน
***************************
‘ความเชื่อบางประเภทก็ยึดหลักที่ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกจะมีฝาแฝดของตนอยู่ หากบุคคลนั้นเป็นคนดีฝาแฝดก็จะชั่วร้าย หากบุคคลนั้นเป็นคนชั่วร้าย ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน และการที่ฝาแฝดทั้งสองมาพบกันนั้นก็จะยังผลให้ทั้งคู่
ต้องพบกับจุดจบของชีวิต’
พายเงยหน้าจากโทรศัพท์ เชื่อมโยงข้อมูลที่เพิ่งได้รับกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดรวมกัน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันไกลออกจากความเป็นจริงเข้าไปทุกที ๆ
“บ้าน่า...” พายกลืนน้ำลายลงคออย่างอึดอัด หัวใจเต้นแรงอย่างตื่นกลัว “มันจะเป็นไปได้ยังไง มันก็แค่เรื่องเล่านี่นา”
ใช่ มันควรจะเป็นแค่เรื่องเล่า เป็นแค่ตำนานบทหนึ่งที่ใครสักคนเขียนเอาไว้เพื่อปลอบประโลมตัวเองในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ก็เท่านั้น มันไม่ควรกลายมาเป็นความจริงที่เกี่ยวข้องอะไรกับคนรอบตัวพายแบบนี้เลยสักนิด
ถึงจะพยายามคิดแบบนั้น แต่พายกลับหาคำตอบไม่ได้เลยสักนิดว่าทำไมไอซ์ถึงบอกว่าไวน์ไปขู่เอาแบบนั้น ทำไมเอเคอร์ถึงบอกว่าชินผลักตกบันได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ ทำไมเขาถึงเห็นไวน์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงนั้น ทำไมบิงโกถึงเห่าเงาของไวน์ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมเขาถึงเห็นมาไวน์มาช่วยไม่ให้เขาโดนรถชนทั้ง ๆ ที่ไวน์ยังอยู่ในร้านสะดวกซื้อ
มันมีแต่คำว่าทำไม ทำไม และทำไมเต็มไปหมด
และพายก็ไม่มีคำตอบให้กับอะไรพวกนี้เลยสักนิด
เขาสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เก็บของลงกระเป๋าจนหมด บอกลาเจ้าบิงโกและสวัสดีคุณแม่ ท่านบอกเขาว่าอย่าทำให้บ้านไวน์ลำบากนักล่ะ เขายิ้ม รับคำก่อนจะเดินออกมา
บ้านของพายและไวน์ห่างกันเพียงซอยเดียวและเราก็เรียนห้องเดียวกัน นั่นทำให้มีโอกาสได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน บ่อยเข้าก็กลายเป็นว่าเราชอบกันและเป็นคนรักกันในที่สุด ถึงจะไม่ได้รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็นานพอที่จะรู้ว่าอีกคนนิสัยเป็นอย่างไร
เดินใช้ความคิดมาเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงบ้านของไวน์ พายส่งยิ้มจนตาหยี โบกมือให้กับไวน์ที่ยืนมองอยู่บนระเบียงห้องชั้นสอง เจ้าตัวสวมเสื้อฮู้ดสีดำ กางเกงวอร์มสีดำแถบขาว ยืนส่งยิ้มและโบกมือกลับมาก่อนจะกลับเข้าห้องไป ใช้เวลาแปปเดียวก็มาเปิดประตูบ้านให้เขา
พายยิ้มพลางมองไวน์ไขประตูบ้าน ทอดมองเงาต้นไม้หน้าบ้านที่ปกคลุมไปทั่ว ลมกลางคืนพัดผ่านจนใบไม้สั่นสะเทือน เงาของใบไม้ที่ทอดลงบนกำแพงสั่นไหว เขาหันหน้ากลับมามองไวน์ที่ไขประตูเสร็จแล้ว มองเลยไปด้านหลังเมื่อพบว่าเงาของไวน์กลืนไปกับเงาของต้นไม้ที่สั่นไหวไปสักครู่ก่อนจะกลับมานิ่งเหมือนเดิมเมื่อสายลมพัดผ่านไป
คนตัวเล็กนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเลิกคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่อยู่บนหลักวิทยาศาสตร์แล้วเดินเข้าบ้านตามไวน์ไปแทน
คนเรา... จะไปอยู่ 2 ที่ในเวลาเดียวกันได้ยังไงล่ะ
จริงไหม
***************************
ตึก ๆ ๆ
สองขาของเอเคอร์ชะงักกึกเมื่อพบร่างของใครบางคนกำลังนั่งพิงเสา เหยียดขาไปตามราวสะพาน ผู้ชายคนนั้นซ่อนใบหน้าอยู่ใต้เสื้อฮู้ดสีดำ มือสองข้างอยู่ในกระเป๋าเสื้อ กางเกงวอร์มสีดำแถบขาว แต่กลับสวมรองเท้าสลิปเปอร์สำหรับสวมในบ้านเสียอย่างนั้น
เอเคอร์หัวเราะในลำคอด้วยความตลก คนบ้าที่ไหนจะใส่สลิปเปอร์ออกมาข้างนอก แย่หน่อยที่เขาเพิ่งแยกกับบาสมาสักพักแล้ว ไม่งั้นคงได้เรียกมันมาดูเรื่องปัญญาอ่อนนี้ด้วยกัน
ชายหนุ่มคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วโยนลงพื้น ใช้รองเท้าขยี้จนไฟมอดดับ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าไปหาคนกล้านั่งอยู่บนนั้นอย่างไม่กลัวตาย
“เฮ้ย ถึงจะซ่อนใบหน้าไว้ในฮู้ดโง่ ๆ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่เห็นหน้ามึงนะเว้ย” เอเคอร์เหยียดยิ้ม “มานั่งอยู่ตรงนี้ได้นี่ไม่ช่วยเมียมึงทำงานให้กูหรือไง กูเตือนมึงแล้วนะว่าถ้ากูไม่มีงานส่งกูเอาตายแน่”
ไวน์ไม่ตอบ สายตาจ้องมองไปที่ความวุ่นวายฝั่งตรงข้ามของสะพานจากฝีมือของรุ่นน้องคนสนิทของพายด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก เอเคอร์แปลกใจกับรอยยิ้มนั้นจึงมองตามสายตาของไวน์ไป พบกับกลุ่มคนที่กำลังโวยวายอยู่ตรงสะพานอีกฝั่งแต่ระยะห่างมันไกลเกินไปจึงไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นั่นมันทางที่บาสใช้กลับบ้านนี่นา
เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปถามมันก็ได้มั้ง เอเคอร์มองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นักแต่ยังไม่ทันหันกลับมาอะไรบางอย่างที่ถูกปาใส่หัวด้านหลังก็ทำให้เจ็บจนต้องร้องเสียงหลง ก่อนจะหันหน้าไปหาคนต้นเหตุพลางตะโกนด่า
“โอ๊ยย— มึง ไอ้ไวน์ นี่มึงกล้าปาก้อนหินใส่หัวกูเหรอ!”
ไวน์เลิกคิ้ว จ้องหน้าคนที่โกรธจนชี้หน้าเขาด้วยสายตายิ้มเยาะ เขาหยัดตัวลุกขึ้น พลางเดินไปบนราวสะพานช้า ๆ อย่างไม่กลัวตก เขาเห็นเอเคอร์เบิกตากว้างจ้องมองมาที่เขาอย่างโง่งม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงค่อนข้างตะกุกตะกัก
“มึง... มึงจะทำอะไร นี่มึงไม่กลัวตกสะพานเลยเหรอ”
“กูไม่มีอะไรต้องกลัว” ไวน์ตอบเสียงแข็ง
“ฮึ มึงคิดว่ามึงเจ๋งมากงั้นสินะ”
เอเคอร์เหยียดยิ้ม สองมือกอดอก กวาดสายตาขึ้นลงมองไวน์ทั้งตัวสลับกับแม่น้ำด้านหลังอีกฝ่าย ก่อนสายตาจะทอประกายเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียปากพลางก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่บนราวสะพาน เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
“หรือมึงจะมาขอร้องกู? ก็ได้นะ ถ้าไม่อยากให้เมียมึงทำงานให้กูน่ะ” ชายหนุ่มเคาะรองเท้ากับพื้นเบา ๆ เป็นเชิงกดดัน “ก็แค่ให้เมียมึงมาอ้าขาให้กู รับรองเลยว่าต่อจากนี้ไปกูจะไม่ใช้เมียมึงให้ทำงานให้กูอีกต่อไปเลย”
ลมกลางคืนพัดผ่านจนกรีดผิวไปหมด เอเคอร์กระชับเสื้อโค้ทเข้าหาตัวก่อนจะต้องชะงักเมื่อไวน์ยื่นเท้าข้างซ้ายขึ้นมาวางบนไหล่เขาก็จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจนน่าขนลุก
“มึงฝันอยู่เหรอ”
ไวน์เอียงคอมองคนที่อยู่ต่ำกว่าด้วยสายตาที่ทอแววเกรี้ยวกราด ปลายรองเท้าขยี้ไหล่ของอีกฝ่ายจนตาหยีด้วยความเจ็บ
“ตอนแรกก็คิดว่าจะมาเตือนมึงดี ๆ ล่ะนะ แต่ในเมื่อมึงปากดีถึงพายขนาดนี้ ในเมื่อมึงมีปากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งที่ดีได้”
และไม่ทันที่เอเคอร์จะคว้าเท้าของคนที่เหยียบอยู่ให้หลุดออกจากไหล่
“มึงก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพูดอะไรอีกเลยจะดีกว่า”
ไวน์ก็ออกแรงถีบไหล่ของเอเคอร์อย่างแรงเพื่อใช้เป็นฐานดันตัวเองแล้วหงายหลังลงจากสะพาน ทิ้งตัวลงสู่แม่น้ำที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เอเคอร์ถอยไปด้านหลังด้วยแรงถีบ ชายหนุ่มเบิกตาโต อ้าปากค้าง พลางรีบวิ่งไปที่ขอบสะพานอย่างรวดเร็ว สองมือเกาะสะพาน ก้มตัวลงมองแม่น้ำด้านล่างเพื่อตามร่างของคนที่เพิ่งจะกระโดดลงแม่น้ำไปเมื่อกี้
แต่กลับไม่พบใคร
บนแม่น้ำว่างเปล่า ไม่มีร่างของคนที่ควรจะจมอยู่ใต้น้ำ ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตหรือการตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด และไม่มีแม้กระทั่งรอยกระเพื่อมของน้ำที่แสดงว่ามีคนตกลงไปเลยสักนิด
ทว่ายังไม่ทันที่จะหายงุนงง คอเสื้อกลับถูกดึงแน่นจนรัดคอ หายใจแทบไม่ออก ลำตัวที่แนบกับราวสะพานอยู่แล้วกลับถูกดันให้ชิดกับสะพานมากขึ้นอีกจนช่วงท้องเจ็บแปลบเพราะถูกเหลี่ยมของราวสะพานกด
“อึก”
ชายหนุ่มเจ็บจนร้องแทบไม่ออก ปลายสายตาเห็นร่างที่คุ้นตาของใครบางคนเดินมาอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายหันหน้ามาหาเขา ทิ้งสะโพกลงเท้ากับสะพานในขณะที่มือยังคงรัดคอเสื้อของเขาไม่ปล่อย
“มึงคิดว่ากูจะตายอย่างนั้นเหรอ”
รอยยิ้มเยาะที่ส่งมาของไวน์ยิ่งทำให้เอเคอร์ทั้งแค้นและงุนงง ในเมื่อเมื่อกี้เขาเห็นกับตาว่ามันหงายหลังตกสะพานลงไป เป็นมัน เป็นมันแน่ ๆ !
“มึง...”
“ฮ่ะ ๆ”
ไวน์เริ่มหัวเราะ น้ำเสียงปกปิดความเหยียดหยันไว้ไม่มิด สายตาที่ทอดมองมาที่เอเคอร์ช่างดูสมเพชเขาราวกับมองชีวิตเล็ก ๆ ที่แสนต้อยต่ำ ไวน์แลบลิ้นเลียมุมปากก่อนจะกระชากตัวของเอเคอร์ให้กระแทกราวสะพานแรง ๆ อย่างไร้ความปรานีจนอีกฝ่ายจุกจนพูดไม่ออก
“ไม่ปากดีแล้วเหรอ เมื่อกี้มึงยังพูดพล่อย ๆ อยู่เลยนี่นา”
สายตาของเอเคอร์เคียดแค้น ถ้าหลุดไปได้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า จะต้องบดขยี้มันให้จมลงไปใต้ฝ่าเท้าให้ได้
ไวน์หัวเราะในลำคอราวกับอ่านความคิดนั้นออก ร่างสูงเดินมาด้านหลังของเอเคอร์ มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท หยิบหลอดเข็มฉีดยาภายในบรรจุน้ำสีในไว้เต็มหลอดออกมา
“ในเมื่อมึงกล้าพ่นคำพูดต่ำ ๆ ออกมา มึงก็ต้องกล้าที่จะยอมรับผลที่ตามมาด้วยนะ”
เขามองสารเสพติดในมือพลางยิ้มหยัน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยง สายตาปิดความรังเกียจเอาไว้ไม่มิด เสียงลมที่พัดหวีดหวิวในตอนกลางคืนยิ่งไม่ต่างอะไรกับเสียงหัวเราะเยาะของสายลม
ร่างสูงจับเข็มฉีดยาแน่นก่อนจะปักเข้าไปตรงต้นคอของเอเคอร์ กดฉีดเข็มฉีดยาจนยาไหลเข้าเส้นเลือดไปหมดทั้งหลอด ไม่แม้แต่จะสนใจเลือดที่ไหลออกมารอบบาดแผลที่ปักไปอย่างรุนแรงกับเสียงร้องโหยหวนไม่ต่างอะไรกับการโดนเชือดนั้น
ไวน์เก็บเข็มฉีดยาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของอีกฝ่าย มือขวากระชากคอเสื้อให้เอเคอร์ยืนตัวตรง มือซ้ายกระชากผมตรงท้ายทอยให้มันเบิกตามองแม่น้ำกว้างใหญ่ข้างหน้า ริมฝีปากหยักยิ้มหยัน
“อึก มึง... โอ๊ย”
“ทุกอย่างที่มึงพูดออกมา”
เขาเหลือบตาเห็นมันกลืนน้ำลายลงคอ ความกลัวที่แผ่ออกมาทำให้ไวน์ยิ่งสมเพช เขาใช้มือขวาตบไป ที่ลูกกระเดือกของมันจนสำลักก่อนจะล็อกคางมันเอาไว้ ยื่นใบหน้าไปกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู
“มึง – ต้อง – ชด – ใช้”
ไวน์สะบัดปลายคางของเอเคอร์ออกไป กระเถิบตัวเข้าไปยืนซ้อนหลังอีกฝ่าย มือขวาจับมือขวาของมันมาวางตรงขอบสะพาน มือซ้ายยกขวาที่สั่นสะท้านของมันขึ้นมาพาดบนราว ออกแรงดันจนขาข้างนึงของมันออกไปนอกสะพานในที่สุด
“ฮึก อึก”
เอเคอร์ร้องอย่างโอดครวญแต่ร่างสูงเมินเสียงร้องนั้น
ไร้ค่า
มันช่างไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังจะหลุดลอยนี้สักนิด
เขายกขาอีกข้างของมันขึ้นมาแล้วผลักมันออกไปนอกสะพาน กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งตัวของเอเคอร์ยืนอยู่ตรงขอบสะพานด้านนอก มีเพียงสองมือสั่นไหวที่กำลังเกาะขอบสะพานและมือของเขาที่ขยุ้มคอเสื้อมันไว้ก็เท่านั้น
เอาเป็นว่าขอลอกวิธีการหน่อยก็แล้วกันนะ ชิน
ไวน์แสยะยิ้มกว้างกวาดสายตามองร่างของอริที่กำลังตัวสั่น ของเหลวที่รดไปตามขากางเกงส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ใบหน้าของเอเคอร์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด ทว่าริมฝีปากกลับปิดสนิท มีเพียงเสียงอืออาในลำคอเท่านั้น
เขาเดาะลิ้น ยื่นใบหน้าไปชิดกับใบหน้าของคนตรงหน้า มือกระชากผมของมันพลางเอ่ยปลอบเสียงเบา
“ไม่ต้องกลัวว่ามึงจะเหงาหรอกนะ” ไวน์เหลือบมองแม่น้ำด้านล่างก่อนจะกลับมามองหน้าเอเคอร์อีกครั้ง “เดี๋ยวมึงก็เจอเพื่อนมึงแล้ว บาสไง มันเพิ่งล่วงหน้าไปก่อนมึงแปปเดียวเท่านั้นเอง”
ตัวของเอเคอร์สั่นระริก ความกลัวตายแล่นขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ครั้งแรกที่สัมผัสถึงความใกล้ตาย และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกพ่ายแพ้จนหมดท่ามากขนาดนี้
เอเคอร์ไม่รู้ว่าบาสเป็นยังไงบ้าง แต่จากคำพูดของอีกฝ่าย และกลุ่มคนที่โหวกเหวกโวยวายตรงอีกฝั่งของสะพานแล้วเขาก็เดาได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่าการถูกข่มเหงเป็นยังไง ไม่เคยรู้ว่าการถูกเอาเปรียบต้องรู้สึกยังไง เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายกระทำมาตลอด ทั้งใช้กำลังกดขี่ข่มเหง ทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการโดยไม่ได้แคร์ความรู้สึกใคร มีอำนาจก็ใช้ในทางมิชอบ ไม่เคยมองเห็นความถูกต้องและกฎเกณฑ์อยู่ในสายตา
จนกระทั่งวันนี้ที่มีคนกล้ามาเอาคืนเขา วันที่สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปถึงได้หวนกลับมา เขาถึงได้รู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เคยทำไปมันช่างว่างเปล่า
ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลตอบแทน ไม่ว่าจะมาจากศาลสูงหรือศาลเตี้ยก็ตาม
ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
ไวน์จ้องมองสายตาของเอเคอร์ที่แสดงความรู้สึกหลายอย่างออกมาอย่างปิดไม่มิด เขาหัวเราะอีกฝ่ายอย่างสมเพช
สายไปแล้วกับการรู้สึกผิดและคิดได้เอาตอนนี้
เพราะกูไม่ให้อภัยมึงอีกต่อไปแล้ว
สายตาของคนที่กุมชะตาชีวิตหนึ่งชีวิตเอาไว้เปลี่ยน มันทอประกายเหี้ยมโหด ไวน์คว้ามือซ้ายของเอเคอร์ให้หลุดออกจากขอบสะพาน มือซ้ายยื่นตัวเอเคอร์ให้ออกไปไกลกว่าเดิมจนแขนข้างนั้นไม่สามารถคว้าขอบสะพานไว้ได้อีก
เอเคอร์เหลือเพียงมืออีกข้างเดียวที่ใช้ยึดเกาะราวสะพานเอาไว้
“เวลาแห่งการชดใช้ของมึงมาถึงแล้ว”
และมือที่แสนปรานีอีกข้างของเขาที่กุมคอเสื้อมันเอาไว้เท่านั้นที่กำลังยื้อชีวิตเอาไว้
“เฮ้ย ๆ ทางนั้นก็มีคนกำลังจะโดดสะพานนี่นา ช่วยด้วย ๆ มีคนจะฆ่าตัวตาย ทางนั้นทุกคน อีกฝั่งของสะพาน ไปเร็ว ๆ”
เอเคอร์พยายามจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้าที่ไวน์ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้น มือที่กุมคอเสื้อของชายหนุ่มบีบแน่นจนเสียงร้องไม่สามารถเปล่งออกมาได้อีก มือข้างที่ถูกปล่อยของเอเคอร์เอื้อมมาคว้ามือของไวน์ที่กุมไว้ และชายหนุ่มพบว่ามือนั้นเย็นเฉียบผิดปกติ
เอเคอร์มองไปยังกลุ่มคนด้านหลังจากอีกฝั่งที่พยายามจะข้ามมาช่วยเขาแต่ก็ยังข้ามมาไม่ได้เพราะรถราบนท้องถนนไม่เปิดช่องว่างให้ข้ามเลยสักนิด เขาหันกลับมามองไวน์ แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง ชายหนุ่มทวีคูณความกลัวเมื่อมองที่พื้นด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วพบกับความจริงที่ว่าตรงนั้น...
มันไม่มีเงาของไวน์!
เอเคอร์ตัวสั่น น้ำตาอุ่น ๆ ที่หยดลงมาไม่ได้ทำให้ใครสงสาร กลับกันแล้วมันน่าสมเพชสิ้นดี รอยยิ้มเยาะของไวน์ราวกับเป็นเครื่องย้ำเตือนว่านี่คือความจริง
และชีวิตของเขากำลังจะจบลงตรงนี้แล้ว
“ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬาว่ายน้ำนี่”
มือเพียงข้างเดียวที่เกาะราวสะพานอยู่ของเอเคอร์ถูกปลดในที่สุด จนตอนนี้ร่างของชายหนุ่มห้อยอยู่กลางอากาศด้วยมือเพียงข้างเดียวของไวน์
“พิสูจน์ให้กูดูหน่อยก็แล้วกันว่ามึงว่ายได้นานแค่ไหน”
สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงเอเคอร์ก็ลอยละลิ่วลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่างจนน้ำแตกกระเซ็นไปหมด ไวน์เท้ามือสองข้างลงกับขอบสะพาน จ้องมองผู้หวังดีที่หวังช่วยคนกระโดดสะพานเข้ามายืนข้าง ๆ แล้วหันไปมองคนที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดในน้ำนั้นด้วยแววตาที่สุมไปด้วยความแค้น
บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ
ไวน์ยิ้มเยาะ ความแค้นในแววตาค่อย ๆ เบาลงเมื่อได้รับการบรรเทาด้วยชีวิตของคนที่สร้างมัน จ้องมองชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ในแม่น้ำ แม้ว่าความเป็นจริงจะทำได้เพียงรอเวลาที่จะจมลงสู่ผืนน้ำอย่างช้า ๆ ก็เท่านั้น
“กูจะไม่พูดมาก เอาเป็นว่าถ้าพรุ่งนี้มึงไม่ทำงานให้กู”
คำพูดสุดท้ายที่เอเคอร์เคยพูดกับพายเอาไว้
วันนี้
“กูเอามึงตายแน่”
กูเอามาคืนให้มึงแล้วนะ
เอเคอร์
***************************
“ขี้เกียจชะมัดเลย ทำไมเราต้องมานั่งทำงานให้คนที่ไม่รับผิดชอบงานของตัวเองกันด้วยนะ ทั้งที่ตอนนี้เราควรจะนั่งกินขนม นั่งดูหนังแท้ ๆ เลย”
พายบ่นงุ้งงิ้งขณะนั่งผสมสีน้ำให้ไวน์ระบายลงบนกระดาษอันเป็นงานของเอเคอร์ ตอนนี้จะสี่ทุ่มแล้ว ทั้งงานของเขาและของไวน์เสร็จแล้ว แต่เหลืองานของเอเคอร์ก็เลยต้องมาช่วยกันทำให้เสร็จ โดยพยายามทำให้ต่างจากของเขามากที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าครูเอจับได้ขึ้นมาต้องแย่แน่ ๆ
“ถือว่าเป็นงานสุดท้ายก็แล้วกันนะ เดี๋ยวเราค่อยแอบไปคุยกับครูเอกันว่าจะทำยังไงดี”
ไวน์เอื้อมมือมาลูบหัวพายเบา ๆ เจ้าตัวถูไถหัวตัวเองกับมือของไวน์ไปมาเหมือนกับแมวตัวเล็ก ๆ จนไวน์หัวเราะ
“ถึงอย่างนั้นก็ขี้เกียจอยู่ดีนี่นา”
พายกระเถิบตัวเข้าไปหาไวน์ วางคางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย สองมือกอดแขนของไวน์เอาไว้อย่างงอแง คนตัวโตหยุดมือจากการระบายสี ก้มหน้าลงมาจุ๊บหัวกลมของคนรักก่อนจะเลื่อนเป้าหมายลงไปเป็นริมฝีปากเล็กสีเชอร์รี่ บดเบียด ดูดดึงจึงเกิดเสียงจุ๊บในอากาศ เงาของทั้งสองคนที่ตกกระทบลงกับกำแพงห้องเพราะแสงไฟสั่นไหวตามจังหวะการเอียงหัวจูบ
เมื่อไวน์ผละริมฝีปากออกมา น้ำสีใสก็ไหลออกมาเชื่อมระหว่างปากของพวกเขาสองคนเป็นเส้นเดียว คนตัวโตจูบซับน้ำลายนั้นไปตามมุมปากของพายจนหมด ผิวแก้มของพายขึ้นริ้วสีแดงอย่างน่ารักจนคนมองยิ้มกว้าง คนตัวเล็กถอยกลับไปนั่งที่เดิมพลางหยิบพู่กันขึ้นมาช่วยระบายสีต่ออย่างขัดเขิน
ไวน์มองภาพที่คนตัวเล็กระบายสีต่อด้วยสายตาที่เรียบเฉย เขาวางพู่กันในมือลงในแก้วน้ำที่ใช้ผสมสีก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบพู่กันออกจากมือของพายมาใส่ลงในแก้วน้ำด้วยกัน เก็บอุปกรณ์ระบายสีทั้งหมดให้เข้าที่ ยุติงานของเอเคอร์โดยไม่บอกกล่าวพายจนคนตัวเล็กงงไปหมด
พอเก็บของเสร็จร่างสูงก็ย้ายไปนั่งบนเตียง เปิดทีวีช่องเคเบิ้ลที่กำลังฉายหนังที่พายบ่นว่าอยากดูเมื่อหลายวันก่อน พลางตบตักเป็นสัญญาณให้คนตัวเล็กขึ้นมานั่ง
“อ้าว แล้ว...งานของเอเคอร์ล่ะ”
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” ไวน์ยิ้มในแบบที่พายตีความหมายไม่ออก “เราบอกครูเอไปตรง ๆ เลยดีกว่าว่ามันมาขู่เรา ยังไงครูเอก็พอจะมีเส้นสายในโรงเรียนอยู่บ้าง น่าจะช่วยเราได้อยู่แล้ว”
“เอางั้นเหรอ” พายลังเล เขาไม่แน่ใจนักว่าเรื่องราวมันจะง่ายขนาดนั้น
“เชื่อฉันสิ ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานให้มันอีกต่อไปแล้ว”
พายเห็นไวน์ยิ้มกว้าง แม้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน ดังนั้นเขาเลยเลิกคิดและเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเหมือนลูกแมวตัวเล็ก ๆ ปีนขึ้นไปหาไวน์ แทรกตัวลงระหว่างขา พิงหลังลงกับแผ่นอกของคนรัก ปล่อยให้ไวน์กอดตัวเองแน่นพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเราในขณะที่ดูหนังเรื่องโปรดของพายที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนโทรทัศน์
ทิ้งเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่น่าสงสัยไว้เบื้องหลัง
และไม่คิดที่จะหาคำตอบให้กับเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้อีกต่อไป
***************************
‘อันที่จริงดูเหมือนว่าดอพเพลแกงเกอร์จะเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอันตรายอย่างหนึ่งที่พึงระวัง
นั่นคือหากดอพเพลแกงเกอร์ได้รับแรงกระทบจากความอาฆาตแค้นและความพยาบาทจากเจ้าของ มันอาจจะทอดทิ้งคุณไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อปฏิบัติการบางอย่างด้วยตัวเองโดยที่คุณไม่รู้ตัว เช่น ออกไปก่อคดีต่างๆเพื่อแก้แค้นโดยอาศัยรูปลักษณ์ของคุณ และอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น หากมันไม่ไปก่อเรื่องด้วยตัวเอง แต่กลับยืมมือเจ้าของมาทำเสียเอง โดยบังคับให้เราคิดหรือทำอย่างที่มันต้องการโดยผิดวิสัยความเป็นตัวเราอย่างสิ้นเชิง…
นอกจากนั้น สักวัน ดอพเพลแกงเกอร์อาจจะอยากมีตัวตนเหมือนกับเจ้าของขึ้นมาก็ได้ ซึ่งจะทำอย่างงั้นมันก็ไม่ยากเลย ดอพเพลแกงเกอร์ก็แค่เข้าไปสวมรอยแทนเจ้าของ จากนั้นความทรงจำของเจ้าของจะกลายเป็นของมันทั้งความรู้สึกและการกระทำ
จนบางครั้งเจ้าของยังไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือตัวของเราจริง ๆ
หรือว่าเกิดจากการสวมรอยของดอพเพลแกงเกอร์กันแน่’
The End