Finding the twilight
27
เจ้าแสบ
☼ ☽
ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไปไม่ลา
“ไปก่อนนะ”
“อื้ม” ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครอยากให้ไปหรือจากไปหรอก แต่หากมันจะเป็นการจากที่นำมาซึ่งความสบายใจที่ยั่งยืน เราก็อดทนรอคอยการกลับมาได้
แผ่นหลังของพระองค์นั้นหายไปลับสายตา คนที่มายืนส่งต่างพากันกลับไปทำหน้าที่ต่างๆของตน แม้แต่ท่านหมอน้อยเองก็ไม่รอช้าค่อยๆเดินกลับเข้าไปเช่นกัน ครั้งนี้ที่ทรงจากไป ก็เหมือนกับก่อนนี้ เดี๋ยวพระองค์ก็กลับมา ศศิเชื่อเช่นนั้น
ท่ามกลางความขัดแย้งของคนที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์นี้ ไม่มีใครที่ถูกที่สุดหรือผิดที่สุดหรอก มีแค่ว่าเราอยากจะอยู่ข้างไหนมากกว่า ในโลกสีเทาใบนี้ เราต่างถูกบีบบังคับให้เลือกสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วทั้งนั้น และศศิก็เลือกแล้ว ไม่ใช่เพราะความถูกต้องเสียทีเดียว แต่เพราะเขาที่ตนรักอยู่ตรงนั้นและกำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้องที่ยึดถือ
ในความเป็นจริงเราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเขาจะกลับมาไหม กลับมาเมื่อไหร่ แต่ศศิกลับไม่คิดร้ายไปก่อน ด้วยมั่นใจว่าพี่อาทิตย์ของตนนั้นเก่งที่สุดจึงวางใจ กิจวัตรประจำวันของศศินั้นคล้ายๆกันกับวันวานหากแต่เจ้าตัวกลับไม่เร่งรีบด้วยเพราะทิชากรเองก็กลับมาแล้ว ในเวลาที่ว่างๆเช่นนี้ก็มักจะอ่านหนังสือผ่อนคลาย รอเวลาที่ท่านน้าเลิกงานและเราก็มากินอาหารด้วยกัน
“วันนี้คุณพ่อไม่อยู่ดุ เจ้าแสบก็อย่าแกล้งแม่เยอะนะ” สื่อสารกับลูกอย่างอ่อนโยน
ทว่าเจ้าแสบกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
“อื้อ…” ไหนบอกว่าอย่าแกล้งไง…แล้วทำไมถึงทำให้เจ็บได้ขนาดนี้
“ศศิ” ทิชากรที่เพิ่งมาถึงนั้นเดินมาหา ทว่าศศิกลับกึ่งนั่งกึ่งนอนเบ้หน้าไม่สามารถจะขยับกายลุกขึ้นมาได้
เจ้าแสบ…เล่นกันได้แสบมากมาย
“ข้าว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ” ทิชากรนั้นพยายามบังคับตนเองให้มีสติและเร่งออกไปสั่งงานให้คนนำของมา ด้วยไม่อยากพาศศิไปยังสถานพยาบาลที่มีคนรู้เห็นอยู่เยอะ เมื่อสั่งให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ไปช่วยเตรียมของก็รีบกลับเข้ามาดูคุณแม่กับเจ้าแสบที่กำลังดิ้นรนอยากจะออกมาอยู่ข้างนอก ภายในใจของศศิมีกำลังใจดี แต่การแสดงออกนั้นดูเจ็บปวดไม่น้อย เวลาเหมือนเดินช้าในความรู้สึกของคนตรงนั้น อะไรๆก็ดูจะไม่ทันไปเสียหมด
ทนหน่อยนะ…
อดทนอีกนิด….
เราสองคนจะได้เจอกันแล้ว….
.
.
.
.
แอ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ
“แม่จ๋า…”
“อื้ม…”
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
“นั่นใครหรือ”
“พวกหนูเอง…” เจ้าของเสียงใสนั้นตอบรับด้วยความยินดี “เจ้าแสบของแม่ไง” และคำตอบก็ทำให้ศศิลืมตาขึ้นมามอง
เด็กสองคนที่มายืนอยู่ข้างเตียงที่กำลังยิ้มให้กัน
“เจ้าแสบ…” ทั้งๆที่ศศิเพิ่งจะคลอด แต่ทำไมลูกของตนถึงได้โตขึ้นมาขนาดนี้แล้วล่ะ มิหนำซ้ำ…
ยังมีตั้งสองคน…
“หนูอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่จะมาหาบ่อยๆนะ” เด็กชายคนหนึ่งพูดออกมา
“กัษษากร” และไม่รู้อะไรทำให้ศศิเรียกเด็กผู้ชายคนนี้เช่นนี้ ก่อนจะจ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงอีกคนที่ยิ้มจนเต็มแก้ม “รวิวัลย์”
“นั่นชื่อของหนูหรือ”
“พวกเจ้า…”
“พวกข้าเกิดมาจากดวงจิตที่รักกันของท่านพ่อและท่านแม่ในวันที่ท่านเลือกที่จะลงมาตามหาท่านพ่อที่โลกมนุษย์ แต่เพิ่งถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้” รวิวัลย์พูดเจื้อยแจ้ว
“…”
“ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องห่วงแล้ว ขอให้ใช้ชีวิตที่นี่กับท่านพ่อที่ท่านรักมาก แสดงความรักต่อเขาให้เต็มที่ให้สมกับที่พวกท่านรักและยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน” กัษษากรนั้นพูดต่อ
“ต่อจากนี้ข้าจะดูแลพระอาทิตย์ และกัษษากรจะดูแลพระจันทร์ของท่านแม่ให้ดีที่สุด” รวิวัลย์หันไปพูดกับน้องชาย กัษษากรยิ้มให้ก่อนจะหันกลับมามองและเดินเข้าไปโอบกอดศศิที่มึนงงในทุกๆอย่าง แต่เมื่อเด็กสองคนเข้ามากอดก็กอดตอบอย่างไม่มีเคอะเขิน มิหนำซ้ำ…ยังรู้สึกผูกพันราวกับรู้จักกันมานาน
“พวกเราจะลงมาเจอท่านแม่และน้องบ่อยๆนะ”
น้อง…
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน” คนที่ถูกเรียกว่าแม่เอ่ยถาม รู้สึกใจหายทั้งๆที่เราเพิ่งได้พบกัน
“เราไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”
“ไม่ไปไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้”
“ข้าไม่ให้พวกเจ้าไป”
“หากท่านคิดถึงพวกเราก็แค่มองฟ้า” รวิวัลย์เอ่ยก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักส่วนกัษษากรนั้นก็ปีนเตียงขึ้นมากอดและซบไหล่
“พวกเราก็จะมองหาท่านจากบนนั้นเหมือนกัน”
“จะมาเยี่ยมข้าบ่อยๆใช่ไหม” ศศิเอ่ยย้ำ
“อื้อ” สองแฝดอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นตอบรับ พวกเขาเกิดมาเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ต่อจากเทพองค์เก่า มันไม่ได้ฝืนใจอะไรนักหรอกเพราะไม่ว่าอีกคนจะอยู่ตรงไหนของโลกก็มองเห็นได้ แต่กับคนที่รู้สึกผูกพันแต่ไม่อาจจะพบเจอกอดหอมได้ทุกวันคงไม่…รู้สึกใจหายที่ต้องจากทั้งๆที่เพิ่งได้เจอจริงๆ
“ข้ารักท่านแม่” กัษษากรเอ่ย
“ถึงท่านพ่อก่อนนี้จะหัวแข็งไปเสียหน่อยแต่ตอนนี้ท่านน่ารักขึ้นแล้ว ต่อไปอาจจะต้องห่างกัน แต่หากท่านมีความกล้าหาญเพียงพอ ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งท่านทั้งสองได้” รวิวัลย์ผู้รู้เห็นได้เอ่ยออกมา ถึงมันจะมีบางส่วนที่เป็นความลับแต่กับมารดา… พูดออกมานิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร ใช่ว่าศศพินทุ์จะเข้าใจทุกอย่างที่เราสนทนากันนี่
“พวกเราต้องไปแล้ว”
“จะไปกันแล้วหรือ”
“อื้อ พวกเขาตามแล้ว”
“แล้วข้าจะได้เจอพวกเจ้าอีกใช่ไหม”
“ใช่…” กัษษากรยิ้มออกมา “เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” และสองแฝดก็ผละออกไป
ศศิมองตามอย่างใจหายก่อนจะหลับตาลงรับรู้ถึงบางอย่างที่กำลังจะจางหายไปจากข้างๆกาย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อพบว่าตนนั้นตื่นจากฝันแล้ว…
“…” รวิวัลย์กับกัษษากร
กลับมาเยี่ยมหากันบ่อยๆนะ
☼ ☽
เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง…
“เจ้าเห็นไหมอคิราห์” ธมลย์ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ ทว่าอคิราห์ไม่ตอบอะไร มันเกิดขึ้นมาและก็ผ่านไป ช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้ยินคนพูดอะไร ราวกับว่าสติของตนได้หลุดลอยไปยังที่อื่นที่ไกลแสนไกลแล้ว
ศศิ…
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น สิ่งนั้นเรียกว่าสุริยุปราคาใช่ไหม” พวกเรากำลังนั่งกินอาหารและพร้อมที่จะเดินทางต่อ กว่าพวกอลงกรณ์จะเดินทางมาถึงที่ด่านตะวันตกที่ 1 เราก็คงไปถึงทันที่จะช่วยและเผด็จศึกในทันที
“ประหลาดมาก เจ้าคิดเช่นนั้นไหม”
“องค์ชาย”
“องค์ชายอคิราห์!”
“อา...”
“เป็นอะไรหรือเปล่าพะยะค่ะ”
“ไม่มีอะไร” หลายสายตาที่จ้องมองกันอยู่นั้นดูเป็นห่วง แต่พระองค์ไม่เป็นไรจริงๆ ที่เป็นคงเพียงเหมือนถูกดึงดูด ไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ไม่แน่พระทัยนักว่าเป็นที่ไหน รู้แค่เพียงมันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา สุริยุปราคาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปีกลับเกิดมาในวันนี้
เพราะอะไรกันนะ?
“เจ้าเชื่อเรื่องลี้ลับหรือไม่ เราควรดูหมอกันก่อนไหมว่าไปนี่จะดีหรือเปล่า” ธมลย์เอ่ยออกมา แต่อคิราห์ทำเพียงส่ายหน้า
“ไปต่อกันเถิด” จะไม่มีการถอยกลับและจะมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงเชื่อถือ
จะต้องนำพาชัยชนะกลับมาให้ได้
เราไม่ได้เร่งเดินทางจนเกินไป ด้วยเพราะยังพอมีเวลาจนกว่าจะถึงกำหนดการ เมื่อมาถึงใกล้จุดนัดหมายที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ทรงสั่งให้คนกระจัดกระจายกันไปดูลาดเลาตามจุดต่างๆ ด้วยเพราะคนที่มาด้วยกันนั้นถูกคัดมาให้เหมาะสมกับการทำงานแบบนี้จึงไม่ต้องคุยมากและทำการได้อย่างคล่องแคล่ว
เพื่อความปลอดภัย จึงทรงฉลองพระองค์แบบคนธรรมดาทั่วไปและฝากอาภรณ์พร้อมตราประจำพระองค์ไว้กับอชิระที่อยู่ดูแลค่ายตามหน้าที่เพื่อไม่ให้ใครสงสัยเรื่องการเคลื่อนไหวของทางนั้น ทรงสั่งคนให้แอบดูนายตรวจของด่านหากพบว่ามีความทุจริตจะได้ตามเล่นงานกันได้และกะจะรวบให้ครบหมดทั้งขบวนการ
ด้วยเพราะทรงส่งสายมาตั้งหลักปักฐานที่พื้นที่นานมากแล้ว จึงได้ทราบว่าช่วงหลังมานี้มีคนต่างถิ่นที่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกันคนท้องถิ่นและยัดเงินให้กับข้าราชการเพื่อให้ช่วยปิดเรื่อง ด้วยเพราะไม่อาจจะแทรกแซงการทหารของชายแดนตรงนี้ได้ จึงเร่งส่งจดหมายเร็วให้ทางพระราชวังส่งคนมาเพิ่มเติม ภายในไม่เกินสามวันนี้เท่านั้นมันจะจบลงแล้ว
และพระองค์จะได้ไปทำอย่างอื่นเพื่อครอบครัวของตัวเองเสียที
☼ ☽
“ตื่นแล้วหรือ” ทิชากรที่เดินเข้ามาหานั้นยิ้มให้ เมื่อวานนั้นเป็นวันที่หนักจริงๆ เป็นประสบการณ์ที่ตนไม่คิดว่าจะมีได้เพราะที่ผ่านคนที่เป็นอย่างศศินั้นแทบไม่มีให้เห็น แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีท่ามกลางความเปรมปรีดิ์ ยกเว้นคนแม่…ที่แม้เสียงของเจ้าแสบจะแผ่ดดังแค่ไหนก็ไม่ยอมตื่น
คงจะเหนื่อยมากสินะเจ้าแสบของน้า
“อื้อ เจ้าแสบ”
“ตื่นมาก็ถามถึงเลยนะ ก็ยังดีที่จำได้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”ทิชากรเอ่ยแซวก่อนจะนั่งลงข้างๆและช่วยประคองขึ้นมา ศศิคงจะเจ็บแผล แม้ว่าสมุนไพรที่เรามีจะช่วยทำให้แผลและอาการเจ็บหายได้เร็ว แต่ว่ามันยังเร็วไป คุณแม่คนใหม่เบ้หน้าเมื่อรู้สึกเจ็บขึ้นมา ก่อนจะนั่งเบะปากมอง
“เจ้าแสบอยู่ที่ไหน”เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งจนต้องหาน้ำให้ดื่ม ก่อนจะเดินออกไปและพาเจ้าแสบที่ยังนอนหลับอยู่มาที่นี่ เด็กในวัยนี้…มีแค่ตื่นมากินและก็นอนเท่านั้นแล
“นี่ไงเจ้าแสบของเจ้า หน้าตาแสบนักแล” ทิชากรนั้นส่งเจ้าแสบตัวน้อยให้เข้าสู่อ้อมอกของคนเป็นแม่
“หน้าตาน่าชังนัก” และคนเห่อหลานอีกคนก็ตามเข้ามาด้วย ทั้งค่ายเกือบไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะแม่ทัพเอาแต่ใจอย่างนี้นี่แล
“ใช่…น่าชังนัก” ใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเจ้าแสบที่หมดฤทธิ์นั้นสะกดให้มองอยู่อย่างนั้น นี่คือลูกของศศิหรือ นี่คือเด็กที่ตนได้คุยด้วยในทุกๆวันจริงๆหรือ เด็กคนนี้ใช่ไหมที่ชอบแกล้งกันมาตลอดหลายเดือน เด็กคนนี้ใช่ไหม
ที่เป็นลูกของตนกับพี่อาทิตย์…
“ตั้งชื่อให้เจ้าแสบเลยไหม” นั่นสิ คิดมาตั้งนานว่าจะให้ชื่ออะไร จะให้เรียกว่าลูกหมาอย่างที่คุยกับคนพ่อไว้ก็คงจะไม่งามเท่าไหร่นัก แต่สองชื่อที่ศศิตั้ง…
มันก็เหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว
‘แม่จ๋า’
รวิวัลย์และกัษษากร
“รอพี่อาทิตย์ก่อนดีกว่า” ในที่สุดก็ผลักภาระไปให้อีกคนที่ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ในค่ายตะวันตกที่ 1 แห่งนี้เพราะกำลังวุ่นวายกับสถานการณ์ที่อีกค่ายหนึ่งอย่างที่ได้บอกกันไว้
“งั้นเราจะเรียกว่าเจ้าแสบไปก่อนแล้วกัน”
“ข้านอนกับเจ้าแสบได้ไหม” ศศิเอ่ยถาม
“เจ้ายังอ่อนเพลียและเจ็บแผลอยู่”
“เช่นนั้นท่านน้านอนค้างกับข้าได้ไหม” ศศิถาม พลางช้อนตามองไปที่คนที่จะโวยวายอย่างรู้ทัน และเมื่ออชิระถูกดักถามไว้เช่นนั้น
“ก็ได้ๆ ข้าไม่แย่งน้าของเจ้าก็ได้” จำต้องยอมจริงๆ หากศศิขอถึงขั้นนี้แล้วและยังดื้อรั้นไม่ให้ คิดหรือว่าทิชากรจะยอมกลับไปนอนด้วยกันกับเขา
“ขอบคุณท่านอชิระ”
“งั้นข้าไม่รบกวนเจ้า น้า ลูก และก็หลานแล้ว” อชิระเอ่ยเช่นนั้นก่อนจะเดินจากมา จริงๆแล้วเขาเองก็มีงานที่จะต้องทำให้สำเร็จในวันนี้ ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างดีที่ค่ายและมีการส่งทหารไปตรวจตราพื้นที่รอบๆมาโดยตลอด ทว่าเรามิอาจจะไว้ใจได้ว่าสถานการณ์รุนแรงที่จะเกิดขึ้นจะไม่เกินเลยมาทางนี้ ทางอคิราห์นั้นก็น่าเป็นกังวลว่าจะต้านได้หรือไม่ แต่มีธวัลย์อยู่ด้วยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
แต่วันนี้เป็นวันของคุณพ่อ
“หากรู้คงเนื้อเต้นจนรีบจบปัญหาและมาทางนี้แน่” แต่อชิระจะไม่ส่งคนไปพูดอะไรจนกว่าเรื่องราวจะจบด้วยกลัวว่าบางคนจะเสียสมาธิ หันไปสั่งงานทหารให้เรียบร้อยก็มองกลับไปยังเรือนที่สองน้าหลานคงกำลังพูดคุยกันอยู่
พวกเราปกป้องพวกเขากันมานานเพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ไม่มีใครทางเมืองหลวงให้ความสนใจ หากไม่ได้ทิชากรในวันนั้นเรามิอาจจะเป็นเช่นวันนี้ในวันนี้ได้ และต่อจากนี้ทิชากรก็ได้ให้คำมั่นกับตนแล้วว่าจะอยู่ที่นี่แม้ว่าสิหราชนคราไม่ใช่บ้านเกิดของจันทราปราการ
“หากเจ้าหวังให้ที่นี่เป็นบ้าน ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยให้ใครพรากเจ้าออกจากบ้านได้เด็ดขาด” และนี่คือคำมั่นที่อชิระฝากบอกสายลมไว้ เรามิอาจจะเรียกได้ว่ารักกันเหมือนคนอื่น แต่ความรักของเรา…
ไม่จำเป็นต้องให้ใครเข้าใจอีกแล้ว
ทางด้านศศิกับทิชากรเมื่อได้อยู่ด้วยกัน จันทราปราการคนงามก็เริ่มที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญที่ไม่ได้มีโอกาสก่อนหน้านี้ ทิชากรเองก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องรีบเร่งอะไรก็เลยไม่ได้บอกไปถึงการตัดสินใจของตน ในฐานะของผู้นำของจันทราปราการ ผู้สืบทอดสายตรงย่อมเป็นศศพินทุ์หลานเพียงคนเดียว แต่ถ้าหากอนาคตอันใกล้นี้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ หลานรักก็คงไม่อาจจะมาสืบทอดตำแหน่งตรงนี้ได้ และที่สำคัญ…เจ้าแสบนี่ พ่อของเขาคงหมายมั่นตำแหน่งที่ใหญ่โตกว่านั้นเอาไว้ให้
ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้หลานของตนขึ้นมา แต่เพราะตนก็ไม่ได้ใจดำคับแคบขนาดไม่สนใจความต้องการของคนอื่นๆ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ใจที่มีและเคยผูกมัดกับตระกูลก็ยิ่งคลายออก แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็คิดว่าตนได้เลือกทางที่ถูกต้องลงไปแล้ว และนั่นคือสาเหตุที่เดินทางไปคีรีธาราเมื่อถูกเชื้อเชิญมา ทั้งๆที่ก็เป็นไปได้ว่าศศิอาจจะคลอดในระหว่างนั้น
“ท่านแน่ใจแล้วหรือ” ผู้ซึ่งเคยเป็นความหวังในการสืบทอดนั้นมองใบหน้าที่ติดจะนิ่งเฉยตลอดเวลาของผู้เป็นน้าอย่างไม่เชื่อหู ทั้งๆที่จันทราปราการคือทุกสิ่งทุกอย่างของทิชากรแท้ๆ
“ข้าคิดว่าข้าได้ทำให้จันทราปราการอย่างเต็มที่แล้ว แต่การที่ไม่สามารถพาทุกคนในตอนนั้นอพยพมาได้ก็ถือเป็นเรื่องที่กัดกินหัวใจไม่น้อย” ทิชากรต้องจมกับความทุกข์นั้นมาตลอดยี่สิบปี “ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่นั่น สายรองก็มิได้งอมืองอเท้ายอมแพ้ต่อโชคชะตา พวกเขาเหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าตระกูลแทนข้า”
“แต่ท่านเป็นเจ้าตระกูลที่สืบทอดทางสายเลือดนะ” มันก็ใช่ แต่แล้วอย่างไรล่ะ
“เดิมทีเราเป็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อแสวงหาความรู้และเผยแผ่ ข้าเพียงสืบทอดสายเลือดจากหัวหน้ากลุ่มรุ่นแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราคือเจ้าปกครองใคร พวกเขามีอิสระที่จะได้เลือกว่าใครเหมาะสม”
“ท่านเหมาะสม”
“จันทราปราการนั้นยกย่องคนเก่ง” ทิชากรยิ้ม “และใครที่ถูกยอมรับว่าเก่งก็สมควรเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ” พูดอีกก็ถูกอีก หากจุดเริ่มต้นของตระกูลคือการรวบรวมผู้ใฝ่รู้ทางการศึกษาและพัฒนาแล้วละก็ ระบบการขึ้นมาเป็นผู้นำทางสายเลือดก็ดูจะย้อนแย้งไม่น้อย
“หากนี่มันดีแล้ว ข้าก็ยินดีกับการตัดสินใจของท่านน้าจริงๆ” เจ้ากระต่ายน้อยนั้นยิ้มให้อย่างจริงใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยที่เจ้าแสบขยับตัวในอ้อมอก
“ข้ายินดีที่จะเป็นแค่อาจารย์หมอของคนที่นี่ เป็นตาของเจ้าแสบ และน้าของเจ้า…ศศิ เพียงแค่นี้ก็พอต่อใจแล้ว”
“ท่านลืมอีกตำแหน่งหนึ่งไปนะ”
“อะไรล่ะ”
“ถ้าท่านอชิระอยู่ตรงนี้ต้องโวยวายแน่ที่ไม่มีสถานะใดๆให้เขา”
“อืม” ทิชากรเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร
เรารักกันแบบไหนไม่ต้องให้ใครเข้าใจ…ก็ได้กระมัง
ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วที่พ่อของเจ้าแสบจากไป ไม่มีข่าวใดๆดังมาถึงหู ถึงแม้ว่าอชิระจะรู้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ยอมบอกอะไรให้ศศิรู้ จากที่เคยวางใจก็เริ่มจะกังวลเพราะแม้แต่ทางนี้ก็ยังมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ทว่าก็ไม่ได้เคยถามออกไป พยายามจะทำใจให้สบายและให้ความสนใจกับเจ้าแสบให้ได้มากที่สุด
“ถ้าพ่อของเจ้าไม่กลับมา เกรงว่าคงไม่มีคนตั้งชื่อให้จริงๆ” ว่าไปเช่นนี้และก็จิ้มแก้ม เจ้าตัวแสบยังคงหลับใหล ตื่นมาร้องหงุดหงิด กิน และก็นอน นี่คือกิจวัตรของเด็กทารกที่เป็นลูกของศศิ เลี้ยงง่ายแต่น่ากลัวจะแฝงพิษภัยให้ปวดหัวในอนาคตอยู่มาก
เจ้าแสบตัวเหี่ยวนั้นขยับตัวอย่างรำคาญ ท่าทางเช่นนั้นทำให้คนที่วุ่นวายใจยิ้มออกมาได้ นี่คือการหลงรักใครคนหนึ่งอย่างบ้าบอหรือนี่ ทั้งๆที่ไม่ได้ออดอ้อนทำตัวน่ารักใส่กันเลยแต่ศศิกลับชอบไปหมด นี่คือภาวะหลงแบบไม่ลืมหูลืมตาใช่ไหม ขนาดศศิยังเป็นเช่นนี้ แล้วคนพ่อที่ยังไม่กลับมาตั้งชื่อลูกจะไม่ปลื้มจนตาปิดเชียวหรือ
“เดี๋ยวท่านพ่อก็กลับมาแล้ว ตอนนี้เป็นเจ้าแสบไปก่อนนะลูก”
ท่ามกลางความเงียบสงบของในเรือน เจ้าของเรือนกลับไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายภายนอกแม้แต่น้อย จนกระทั่งเสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นมันมากมายเกินกว่าจะทำให้คนที่เอาแต่หลงลูกนิ่งเฉยได้ จึงยอมผละจากเพื่อออกมาดูสถานการณ์ ผู้คนมากมายนั้นเดินบ้างวิ่งบ้างไปทางหน้าค่าย หน้าตาดูปิติยินดีกับบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นนะ” แม้จะอยากรู้อยากเห็น ทว่าเมื่อทราบได้ว่าสถานการณ์ไม่มีสิ่งใดที่เลวร้ายจนเกินไปจึงตัดใจไม่ไปเมียงมอง เจ้าตัวแสบยังหลับอยู่ และคนเป็นแม่ก็ไม่อยากจากเขาไปไกล
“ท่านพี่ศศิ ไม่ไปที่หน้าค่ายหรือ” สายชลที่เดินผ่านมาร้องถาม แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้า
“ข้าต้องดูเจ้าแสบ”
“งั้นให้ข้าดูแลแทนดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไร”
“ท่านแม่ทัพคงอยากให้ท่านไป ปล่อยเจ้าแสบไว้กับข้าก่อนก็ได้ หากเกิดอะไรไม่ดีข้าจะร้องเรียก” สายชลพูดให้เกิดความมั่นใจ เมื่อได้ยินว่าอชิระอยากให้ศศิไปที่หน้าค่ายก็คงจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ และเมื่อมีคนที่ไว้ใจมาอาสาดูแลให้ ศศิก็ยินยอม ร่างบางนั้นยอมที่จะจากเจ้าแสบที่ตื่นมาไม่เคยห่างอกไปยังหน้าค่ายด้วยใจที่หวั่นว่าหากลูกตื่นมาจะงอแงจนสายชลรับมือไม่ไหว รีบไปรีบกลับมาก็คงได้กระมัง
มันมีอะไรเกิดขึ้นหรือ?
“เราชนะแล้ว”
เรานี่ใคร?
“ชนะแล้ว!”
ชนะอะไร?
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านศศิ!” เสียงของธมลที่ไม่ได้ยินมานานนั้นดังขึ้น พลันหัวใจของคนฟังก็เต้นตึกตัก ท่ามกลางผู้คนมากมาย ม่านน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นนั้นทำให้ตนไม่เห็นใคร จะมีก็แค่เพียงหนึ่งบุรุษเท่านั้นที่เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ช่างเลือนลาง จนกระทั่งน้ำตาหนึ่งสายได้รินไหลระบาย จึงได้เห็นว่าใครนั้นที่เดินเข้ามาแต่ไกล
“เสียใจก็ร้องไห้ ตอนนี้ยังร้องไห้ เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกันนะ” ทรงแย้มพระสรวลออกมาเมื่อได้เห็นเด็กดีของพระองค์ที่ตามมารับเสด็จนั้นร้องไห้งอแง อยากจะโอบกอดไว้ทั้งตัวแต่ก็จำใจแค่โอบไหล่อีกฝ่ายไว้ “แดดร้อน เจ้าจะไม่สบายเอา”
“ท่านกลับมาแล้ว”
“ดีใจไหม”
“ดีใจสิ”
“งั้นยิ้มหน่อย ยิ้มสวยๆ” แต่คนขอกลับได้รับเพียงการทุบตีเบาๆเพื่อบอกกันว่าเจ้าของรอยยิ้มนั้นเขินแค่ไหน
เราเลือกที่จะหยุดหยอกล้อกันตรงนี้ ทรงหันไปโบกมือลาและรีบพาคนรักออกไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาเข้าเฝ้ารับเสด็จ สิ่งที่พระองค์จากไปทำ ทรงทำมันสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เหล่ากบฏของทั้งสองดินแดนนั้นถูกนำไปคุมขังอย่างเข้มงวด หน้าที่ของพระองค์ในส่วนของตอนนี้ได้จบลงแล้ว และต่อไปนี้กับคนๆนี้ พระองค์จะต้องพึงปฏิบัติหน้าที่ที่ควรกระทำยิ่งกว่า
“ท่านได้ไปคิดชื่อให้เจ้าแสบมาหรือยัง”
“ยังเลย เจ้ารีบหรือ” ส่งเอ่ยออกมาด้วยหวังให้อีกฝ่ายขำขัน ทว่าศศิกลับมองค้อนกันและหยิกที่เอวโดยไม่ปราณี
“ไม่คิดตอนนี้ท่านจะไปคิดตอนไหน จะให้ลูกเราชื่อว่าลูกหมาจริงๆหรือ”
“ใจเย็นสิ เจ้าแสบแกล้งเจ้าหนักหรือวันนี้ถึงได้หงุดหงิดถึงเพียงนี้”
“ไม่ได้แกล้งหรอก ตื่นมาก็กินและก็นอนเพียงนั้น จริงสิข้าทิ้งเจ้าแสบไว้กับสายชลสักพักแล้วนี่นา”
“ทิ้งไว้กับสายชล…”
“ต้องรีบไปดูหน่อยแล้วล่ะ”
“ศศิอย่าวิ่ง!” พระองค์จะร้องห้ามแต่ไม่ทันคุณแม่ที่ออกวิ่งไปแล้ว และเมื่อพระองค์พิศให้ดีจะรู้ได้ว่า…
หน้าท้องของคนรักกลับมาแบนราบอีกครั้ง
“อย่าบอกข้านะว่า!” ท่านแม่ทัพอชิระ…
จะต้องเป็นท่านแน่ๆที่ตั้งใจแกล้งหลานแบบนี้!
ทรงวิ่งตามศศิที่กลับมายังเรือน พระองค์ยังคงคิดว่าอีกฝ่ายยังคงอุ้มท้องลูกของเราอยู่ แต่เมื่อพิจารณาให้ดีก็ขุ่นเคืองไม่น้อยที่ในขณะที่ทรงกำลังจัดการกับพวกกบฏ ลูกของพระองคก็ดื้อซนจนออกมาดูโลกโดยที่ไม่มีผู้เป็นพ่ออยู่เคียงใกล้ผู้เป็นแม่ ทรงรู้สึกผิดจริงๆ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบหน้า
เขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกัน
เขาจะดูงดงามเหมือนแม่ หรือดูองอาจเหมือนพ่อนะ?
“เจ้าแสบ!”
“เบาๆหน่อยสิ” ศศิหันมาทำตาขวางให้ ก็เพิ่งเคยเป็นพ่อคนนี่นา มันก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ทรงก้าวเข้าไปในห้องนอนที่มีกองผ้าวางสุมอยู่บนเตียง สายชลที่เห็นก็ยอมจากไปเงียบๆให้พ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ศศิที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นจ้องมองไปที่กองผ้าตรงนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน อคิราห์ที่ตามเข้ามานั้นไม่รอช้า ทรงทรุดตัวลงประทับนั่งกับพื้นที่ข้างเตียงนั่น ดวงพระเนตรจดจ้องไปยังศูนย์กลางกองผ้า มนุษย์ตัวเล็กๆที่ยังคงหลับใหลราวเทวดาตัวน้อย ใครเล่าจะรู้ว่าตอนอยู่ในท้องแม่จะแสบจนต้องลุกมาดุกันอยู่บ่อยครั้ง
ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน
“ข้าขอโทษนะ”
“ขอโทษเรื่องอะไรหรือ” ศศิถาม
“ที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านไถ่โทษด้วยการไม่บาดเจ็บและทำสำเร็จแล้ว” ทรงกุมมือเล็กของคนที่พูดจาน่าฟังไว้ก่อนจะบีบเบาๆ สื่อความหมายมากมายที่ไม่อาจจะถ่ายทอดเป็นคำพูดออกไปได้
“เราจะให้เจ้าแสบของเราชื่ออะไรดี”
“ท่านตั้งเลย”
“แล้วชื่อที่เจ้าตั้งไว้เล่า”
“ข้าอยากให้ท่านตั้งมากกว่า” ศศิยิ้ม “ลูกเราหน้าเหมือนคนขนาดนี้ ให้ชื่อว่าลูกหมาไม่ได้แล้วนะพ่อหมา” นั่นสินะ ก็น่าชังเสียขนาดนี้จะให้ชื่ออะไรดี
หากพ่อและแม่มีนามดั่งอาทิตย์และพระจันทร์
“ลูกเกิดในวันที่มีสุริยุปราคานั่นด้วยนะ” ศศิบอก ตนก็ไม่ได้เห็นหรอกแต่มีคนบอกมา
“นภฉาย”
“…”
“พ่อตั้งชื่อให้จอมแสบของพ่อว่านภฉายนะลูก” เขี่ยแก้มนิ่มเบาๆด้วยความเอ็นดู ทรงอ่อนโยนอย่างที่คิดไว้ ความสุขที่มากล้นนั้นทำให้น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้งและครานี้ไม่ใช่แค่ศศิแล้ว เพราะองค์รัชทายาทก็ห้ามน้ำตาไม่ให้ร่วงไม่ได้เหมือนกัน
ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะ
เจ้าฉาย…
TALK
ตอนนี้ #เจนไม่นก จะเป็นเล่มแล้วคับ และงานราษฐ์หลวงเยอะเมิ่ก
เราก็จะยุ่งเว่อร์ มาทุกวันไม่ได้แต่จะพยายามมาให้บ่อยสุดนะคับ
ยังไงก็ฝากติดตามและเป็นกำลังใจโหน่ย ฮืออออ
#อาทิตย์ศศิ @reallyuri