ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ)นิพัทธ์ไม่คุยกับเขาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว ทั้งนี้ไม่เชิงว่าไม่ปริปากคุยด้วยแต่นิพัทธ์แสดงออกชัดเจนถึงขอบเขตที่สามารถคุยได้ ในฐานะหัวหน้ากับลูกน้องนิพัทธ์ยังสามารถพูดคุยและมีความรับผิดชอบต่อหน้าดีอย่างเสมอมา พิรัลร้อนรนอยู่ในอก เขาพยายามหาช่องว่างเพื่อแสดงออกว่าเวลานี้กำลังตามขอคืนดีอย่างชัดเจนเช่นกัน มันอาจเรียกว่าเป็นการใช้หน้าที่การงานในทางที่ผิดอยู่สักหน่อยหากกล่าวว่าพิรัลเคี่ยวเข็ญกดดันในเนื้องานของนิพัทธ์มากกว่าใครอื่น ทั้งเรื่องงานเอกสาร เรื่องออกไปออนไซต์ที่มีอุปกรณ์ซับซ้อน เขาสามารถปรับเปลี่ยนจับตารางออนไซต์ของนิพัทธ์ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ พิรัลไม่รู้สึกผิดต่อการใช้อำนาจในมือ หากเขาต้องการให้นิพัทธ์อยู่เช็คเครื่องจากลูกค้าที่ส่งมาซ่อมเป็นรอบที่สอง ในฐานะหัวหน้าเขาย่อมสั่งให้ทำได้ หากเขาต้องการให้นิพัทธ์แก้ไขแบบฟอร์มในการแจ้งซ่อมต่อเวนเดอก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพูดออกไปโดยอ้างอิงถึงการประเมินผลงานในอนาคต และหากเขาต้องการเลี้ยงข้าวลูกน้อง มันอาจยากสักหน่อยเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน นิพัทธ์มีสิทธิ์เลือกที่จะตอบรับหรือจะปฏิเสธ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพิรัลวุ่นวายอยู่กับงาน เพราะต้องคอยทำงานส่วนของหวานที่ลาคลอดและประจวบเหมาะกับเป็นช่วงปิดปีงบประมาณ ทางฝั่งเซลล์เร่งทำยอด ทางฝั่งเซอร์วิสต้องการจัดการปัญหาที่คั่งค้าง ทุกฝ่ายต่างรุมเร้าเคร่งเครียด พิรัลอยู่ทำงานจนฟ้ามืดแทบทุกวัน ถึงจะพยายามหาเรื่องใช้เวลาอยู่กับนิพัทธ์ในที่ทำงานมากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วเขาแทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ ความเครียดสะสมมาเป็นระยะเวลาพักใหญ่ สุดสัปดาห์นี้พิรัลจึงชักชวนลูกน้องไปกินข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหารใกล้ๆโดยตัวเขาเป็นเจ้ามือ
“กานต์จะไปตอนเย็นนี้ด้วยป้ะ”
พิรัลหูพึ่งเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถามจากหญิง เขาหวังเหลือเกินว่านิพัทธ์จะตอบรับ
“ยังไม่รู้เลย ผมรอดูงานก่อนว่าจะเคลียร์เสร็จทันมั้ย”
เมื่อเอาเรื่องงานมาอ้างพิรัลก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
“พี่เจตน์เลี้ยงนะเว่ย ไม่ไปได้ไงของฟรี” หญิงว่าเช่นนั้นก่อนเดินออกจากคอกทำงานไป
เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากนิพัทธ์ แต่กลับไม่ได้ยินคำตอบรับหรือปฏิเสธ พิรัลหันไปมองยังทิศทางที่นิพัทธ์นั่งทำงานอยู่ เขาสบสายตาเข้ากับเด็กหนุ่มที่มองมาอยู่ก่อนหน้านี้ พิรัลไม่หลบสายตา เขาจ้องมองจนเด็กหนุ่มเลี่ยงสายตาไปเองเมื่อเห็นว่าสบโอกาสไม่มีใครอยู่ในคอก พิรัลเลื่อนเก้าอี้เข้าไปหานิพัทธ์ เขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเตรียมถอยหนีพิรัลจึงเอ่ยพูดเรื่องงานขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวมีเครื่องซ่อมจากหาดเฉวงส่งมา กานต์เช็คให้เสร็จวันนี้นะ เคสนี้ SLA แปลกว่าเคสอื่น”
“กี่เครื่องครับ”
“POS สาม มีปัญหาเรื่องจอเครื่องนึง ส่วนอีกสองเครื่องลูกค้าบอกว่าเปิดไม่ติด เดี๋ยวทางเวนเดอจะส่งอีเมลตามมาทีหลังแล้วพรุ่งนี้เวอเดอจะเข้ามารับนอกรอบ”
“ครับ”
“ผมขอเสร็จวันนี้นะ ช่วยผมหน่อย”
นิพัทธ์รับคำและคิดว่าจะหันกลับไปทำงานต่อ แต่เพราะพิรัลยังไม่ได้ขยับไปไหนเขาจึงเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย
“มีให้ผมทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“มี ช่วยผมยกลังหน่อย หญิงจะได้ไม่ต้องไปขนเองเดี๋ยวหญิงมีอินสตอเครื่อง”
“ได้ครับ”
เด็กหนุ่มรับคำแม้ในใจจะคาดคิดไปเสียแล้วว่าพิรัลอาจถามเรื่องไปกินข้าวตอนเย็น เขาเดินตามหลังชายหนุ่มอายุมากกว่าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ มองดูพิรัลไขกุญแจก่อนเปิดและหลีกทางให้เขาเดินเข้าไป ไฟในห้องไม่ได้สว่างขึ้น อีกทั้งยังได้ยินเสียงปิดประตูพร้อมกับล็อคไว้ เพิ่งตระหนักรู้ก็ตอนนี้ว่าถูกพิรัลหลอกเข้าให้เสียแล้ว
“พี่เจตน์ครับ...” เสียงของเด็กหนุ่มเงียบลงเมื่อพิรัลก้าวเข้ามายืนตรงหน้า เขาหวนนึกถึงครั้งแรกที่ถูกพิรัลจูบในห้องแห่งนี้ ใจที่เคยเต้นตุบตับด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างไปจากเดิม และนิพัทธ์ไม่ยินดีกับความรู้สึกนี้สักเท่าไหร่
“ครับ” ชายอายุมากกว่าขานรับ สองเท้าขยับเดินจนประชิดตัวอีกฝ่าย ดวงตาจดจ้องราวกับว่ากลัวนิพัทธ์จะสลายหายไปต่อหน้าต่อตา
“นี่พี่เจตน์หลอกผมใช่มั้ยครับ”
“ผมไม่ได้หลอก ผมจะให้กานต์มาช่วยยกลังจริงๆ” เขาตอบหากพลางวางมือข้างหนึ่งไว้ตรงชั้นเหล็กเป็นการกักขังนิพัทธ์ “แต่ก่อนจะให้ช่วยผมอยากคุยด้วย” แม้ปากจะบอกว่าคุยทว่าใบหน้าของพิรัลได้เคลื่อนมาอยู่ในจุดที่ใกล้กับใบหน้าของนิพัทธ์จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกันและกัน “พี่คิดถึงกานต์”
นิพัทธ์นิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบรับและสีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดเป็นพิเศษ
“กานต์ยกโทษให้พี่ได้มั้ย พี่คิดถึงกานต์มากนะ”
“...........”
“น้องยังโกรธพี่เหรอครับ พี่ขอโทษ อย่าโกรธพี่เลยนะครับ”
“ผมไม่ได้โกรธครับ”
“ถ้าไม่โกรธแล้วทำไมไม่ยอมคุยกับพี่ครับ”
เด็กหนุ่มตัวขาวมองตาอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจ “ผมแค่คิดว่า... พี่เจตน์ไม่ได้รักผมเหมือนที่ผมรักพี่เจตน์”
“...........”
“ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่ก็รู้สึกไปแล้ว”
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่รักกานต์ ถ้าไม่รักพี่จะมาตามง้ออยู่แบบนี้เหรอ”
“ผมไม่ได้บอกว่าพี่เจตน์ไม่รักผม แต่พี่รักผมน้อยกว่าที่ผมรักพี่”
“แล้วกานต์รู้ได้ยังไงว่าผมรักกานต์น้อยกว่า เอาอะไรมาตัดสิน”
น้ำเสียงของพิรัลเข้มขึ้น เขาทำให้นิพัทธ์นึกโมโหขึ้นมาอยู่บ้าง “ก็ดูสิ่งที่พี่เจตน์ทำดิ ต้องรอให้อาการมันแย่ขนาดไหนถึงจะดูแลตัวเอง ถ้าไม่ใกล้ตายก็คงไม่รู้สึกตัวแล้วจะให้ผมอยู่ด้วยความหวาดระแวงแบบนี้ไปตลอดเหรอ”
“กานต์จะโทษที่ผมป่วยใช่ป้ะ ที่อยากเลิกกับผมเพราะผมป่วยเนี่ยเหรอ”
“ผมไม่ได้จะโทษที่พี่ป่วย แต่ผมแค่ไม่รู้สึกว่าพี่ได้พยายามทำอะไรเพื่อผมเลย ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมรักษาตัวเอง รู้ว่าบุหรี่มันทำให้แย่ลงก็ยังไม่เลิก เหมือนพี่เจตน์ไม่อยากมีชีวิตอยู่อะ ผมไม่อยากเสียใจอยู่คนเดียวตอนเห็นพี่เจตน์ตายนะ เสียใจทั้งๆที่เราสามารถทำให้มันดีได้แต่พี่ไม่ยอมทำ”
“...........”
“ผมรู้ว่าสุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องตาย แต่ก่อนตายเราจะไม่พยายามทำอะไรเพื่อชีวิตตัวเองบ้างเหรอ ผมผิดเหรอ ผมแค่อยากอยู่กับพี่เจตน์ไปนานๆ แต่ที่ผ่านมาเหมือนผมรู้สึกแบบนั้นอยู่คนเดียว”
“...........”
“ผมไม่เคยโทษที่พี่เจตน์ป่วยเลย ผมพร้อมอยู่กับพี่แต่พี่ไม่พยายามบ้างเลย อย่างน้อยดูแลตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับผม อยู่กับครอบครัว ทุกคนรักพี่เจตน์แต่พี่ไม่คิดทำอะไรเพื่อคนที่รักพี่เลยสักนิดเดียว”
“...........”
“ผมรักพี่เจตน์ แต่ผมก็อยากอยู่กับคนที่ให้ใจผมเต็มร้อย ไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่าความรักของผม...” เด็กตัวขาวของพิรัลเม้มปากแน่น ดวงตาที่สบมองอยู่นี้หลบเลี่ยงไปทางอื่น น้ำเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้สั่นเครือมากขึ้นทุกที “ผม...”
พิรัลทำให้นิพัทธ์เสียน้ำตาอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันที่คนเด็กกว่าจะได้พูดอะไรอีกพิรัลก็โอบกอดร่างที่แสนคุ้นเคยนั่นไว้ “พี่ขอโทษ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ” เขากอดปลอบประโลมแนบแน่น รู้สึกถึงแรงฝืนเล็กน้อยแต่ไม่มากพอสำหรับการต่อต้าน และแม้ว่านิพัทธ์จะต่อต้านอ้อมกอดนี้เขาก็จะไม่ปล่อยอย่างแน่นอน “พี่รักกานต์ พี่ยอมหมดทุกอย่างแล้ว เรากลับมาคุยกันเหมือนเดิมนะ”
นิพัทธ์ยังคงนิ่งเงียบ ไม่ผลักไสและไม่กอดตอบ เด็กหนุ่มเพียงแค่ยืนอยู่เช่นนั้นราวกับเวลาหยุดนิ่ง
พิรัลผละตัวออกมาเพื่อมองใบหน้าอีกฝ่าย เขาโน้มหน้าเข้าใกล้มองตาก่อนจะสัมผัสบนผิวแก้มด้วยริมฝีปาก นิพัทธ์เบี่ยงหน้าออก พิรัลรุกไล่ตามคราวนี้เขาจูบที่ริมฝีปากสีสดนั่น รสสัมผัสที่ห่างหายไปนานนี้ทำให้เขาใจเต้นแรงและโหยหาต้องการมากขึ้น แต่เพียงแค่ได้สัมผัสนิพัทธ์ก็ผินหน้าออกอีกครั้ง
“ผมขอเวลาหน่อยนะครับ”
“พี่รอไม่ได้แล้วกานต์ พี่อยากคุยกับกานต์เหมือนเดิม”
“ทีพี่เจตน์ยังอยากได้เวลาคิดเลย ผมก็อยากทบทวนเรื่องของเราเหมือนกัน”
พิรัลยอมแพ้เมื่อถูกไล่ต้อนด้วยเรื่องราวในอดีตที่ย้อนกลับมาผูกมัดตัวเอง เขาจับมือของนิพัทธ์ขึ้นมาอิงแอบใบหน้าซานซบก่อนจะจูบลงด้วยความทะนุถนอม “กานต์ พี่ไม่อยากรอแล้ว พี่ป่วยนะ จะตายตอนไหนก็ได้ แล้วกานต์จะให้พี่ตายทั้งที่เรายังไม่คืนดีกันเหรอ”
“...........”
“กานต์ไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอครับ เราคุยกันว่าเราจะไปล่าแสงเหนือด้วยกันนี่ น้องไม่อยากไปกับพี่แล้วเหรอครับ” พิรัลรุกเร้าอีกครั้ง เขาไม่เคยตามหาเหตุผลล้านแปดพันข้อเพื่อง้อใครมากขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าง้อคนไม่เป็นแต่ไม่เคยรู้สึกอยากง้อใครมากเท่านี้จริงๆ เขารู้ว่านิพัทธ์ไม่ใช่คนงี่เง่าอีกทั้งยังมีความเข้มแข็งมากกว่าภายนอกที่เห็นแต่สิ่งหนึ่งที่พิรัลยังไม่รู้นั่นก็คือนิพัทธ์ใจแข็งมากเพียงใด ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าใจที่มันแข็งอยู่นี้จะอ่อนลงบ้าง เขารู้ตัวแล้วว่าความคิดประหลาดที่ไม่เข้าท่านั่นได้สร้างความยากลำบากแก่คนอื่น เขารู้ตัวแล้วว่าชีวิตที่ยังดำเนินอยู่ตอนนี้อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้ใครอึดอัดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรอบข้างที่หวังดีต่อเขา พิรัลผิดไปแล้ว เขาขอเพียงแค่โอกาสให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเช่นเก่า
“เราห่างกันสักพักนะครับพี่เจตน์”
พิรัลยอมพักความพยายามไว้ ณ ตรงนี้ก่อนมันจะกลายเป็นความน่ารำคาญ แต่หัวใจของเขาจะไม่ยอมหยุดพัก มันยังคงเต็มไปด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมารักและผูกพันธ์กันมากกว่าครั้งไหน
พิรัลใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในช่วงสุดสัปดาห์ เขาพาหลานไปเที่ยวตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้และพาพี่สาวไปกินอาหารอร่อยๆ ไม่ได้หวังว่าการกระทำนี้จะลบล้างความยากลำบากที่แจงเคยเผชิญมา พิรัลคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการขอบคุณมากกว่าเพราะพี่สาวของเขาชอบกินเนื้อวัวย่างมากกว่าสิ่งใดบนโลก เขาอดขำไม่ได้เมื่อเห็นแจงสั่งเนื้อวัวโทมาฮอว์คมาหนึ่งกิโลกรัมและซัดโฮกเข้าไปจนหมดก่อนบ่นว่าพุงจะแตก อีกทั้งยังโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่พามากินเนื้อวัวอีกต่างหาก พิรัลล้อเลียนเมื่อเห็นหน้าท้องนูนของเธอ ล้อด้วยความสนิทสนมมากพอที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วแจงไม่เคยสนใจรูปร่างสวยงามเหมือนเช่นคนอื่น ปากก็บ่นไปเช่นนั้นแต่ไม่เคยเห็นเธอหยุดกินเลยสักที
ครอบครัวของเขานั้นสนิทกันทุกคน แม้แต่ใหญ่เพื่อนของเขาที่เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกก็ยังสามารถพูดคุยเปิดอกถึงปัญหาส่วนตัวบางส่วนกับพ่อแม่ของเขาได้ พิรัลยืนรอจ๋ากับแจงเข้าห้องน้ำอยู่กับเพื่อนสนิท ช่วงหลังมานี้พวกเขาไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยนักเนื่องด้วยภาระหน้าที่ต่างๆ จะมีก็วันนี้ที่ได้อยู่พร้อมหน้ากันส่วนแม่กับพ่อไม่ชอบออกมาเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าจึงไม่ได้ออกมาด้วย ที่ออกมาเที่ยวด้วยกันก็มีครอบครัวของแจงและตัวพิรัล
“ไม่ได้คุยกันนานเลยว่ะเพื่อน เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าพอหาหมอเสร็จก็เผ่นออกจากโรงพยาบาล”
“เออ ก็ตามนั้น”
“มึงบ้ารึเปล่าวะ จะรีบออกมาทำไม งานมันรอได้โว้ย”
“ไม่ได้จะออกมาทำงาน กูออกมาตามง้อกานต์”
“โอ้โห พระเอกเหลือเกิน ทีก่อนหน้านี้ไม่ยอมดูแลตัวเองพอจะเป็นจะตายถึงได้รู้สึก ไอ้ควาย”
“มึงเลิกซ้ำเติมกูได้แล้ว ไอ้ใหญ่”
ใหญ่หัวเราะลั่นก่อนจะตบบ่าเพื่อนอย่างสนิทสนม “ไอ้เจตน์เอ้ย มึงนี่มันมีความคิดเชี่ยๆอะไรก็ไม่รู้ แล้วนี่เป็นไงตามง้อสำเร็จมั้ย”
“ไม่ว่ะ เขาอยากให้กูห่างกับเขาสักพัก”
“มึง ประโยคคลาสสิคก่อนบอกเลิกเลยว่ะ เตรียมใจไว้นะมึง”
“ไอ้ใหญ่ มึงแม่งไม่ได้ช่วยเชี่ยอะไรเลย”
พิรัลถอนหายใจยาวแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร อีกทั้งเมื่อก่อนก็เคยโดนบอกเลิกด้วยประโยคนี้เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่รู้สึกอยากตามง้อแฟนเก่าคนนั้น ผิดจากนิพัทธ์เขารู้สึกเหมือนใจจะขาดที่ไม่ได้พูดคุยกันอย่างเคย หากนิพัทธ์จะบอกเลิกกับเขาขึ้นมาจริงๆพิรัลนึกไม่ออกว่าจะเสียใจขนาดไหน แต่จะให้ทำอย่างไรได้เขาไม่ควรทำให้นิพัทธ์ลำบากใจอีก แค่ได้รักกันแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆในชีวิตแล้ว เขาผิดเองที่ไม่สามารถรักษารักครั้งนี้ได้
“กูไม่ได้จะซ้ำเติม แต่มันก็คือความจริงเปล่าวะ ห่างกันสักพักก็หมายถึงเลิกกัน นี่ก็รอเวลาน้องเขามาบอกเท่านั้นแหละ”
หากปฏิเสธว่าไม่หวั่นไหวเลยคงไม่ใช่ความจริง พิรัลถอนหายใจอีกครั้ง คำพูดของใหญ่ทำให้เขากลับมาเครียดยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายแล้วมันอาจเป็นความจริงที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันจันทร์วนเวียนมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พิรัลไม่ได้ตื่นเช้าเพื่อมาเข้างาน เขามาหาหมอตามนัดแต่เช้าตรู่ ขับรถมาจอดไว้ที่ลานจอดรถก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้ามายังโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่กลางเมือง วันนี้เขาลางานทั้งวันเพราะตั้งใจจะไปเดินในสวนสาธารณะซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาล เขาหวนนึกถึงการได้ใช้ชีวิตภายใต้ร่มเงาต้นไม้ ปูผ้า เอนตัวลงนอนเพื่ออ่านหนังสือสักเล่ม ในเมื่อลาป่วยทั้งวันแล้วจึงใช้โอกาสนี้อยู่กับตัวเองเสียบ้าง
การมาโรงพยาบาลรัฐบาลนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน พิรัลนำหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่านระหว่างรอพบหมอแต่เพราะความวุ่นวายทำให้เขามีสมาธิน้อยนัก เขาจึงปิดหนังสือ เก็บมันลงกระเป๋า และเดินเลี่ยงมาอีกทางที่สงบลงเล็กน้อยแต่เพียงแค่ไม่มีที่นั่งรอ เขาโทรหานิพัทธ์เพียงเพื่อจะถามถึงสถานการณ์ที่ทำงาน แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันฉันท์คนรักอีกเลยนับแต่วันนั้น อย่างน้อยพิรัลคงพอจะสามารถหยิบเรื่องงานมาพูดคุยได้ วันนี้เขารับรู้แล้วว่าไอ้การแค่อยากได้ยินเสียงมันสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจที่ห่อเหี่ยวนี้ได้ นิพัทธ์ไม่รับสายในคราวแรกใจของพิรัลแห้งแล้งลงอีกหลายเท่าตัว เขามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความไปทักทาย เมื่อเห็นว่านิพัทธ์เปิดอ่านเขาก็พอจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจที่จะไม่รับสายโทรศัพท์
‘ที่ทำงานเป็นยังไงบ้าง’
‘ปกติครับ’
พิรัลนิ่งเงียบหลังจากอ่านข้อความที่ส่งกลับมา ระยะห่างระหว่างเขากับนิพัทธ์มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เขารู้ตัวว่าที่ผ่านมานั้นได้สร้างความยากลำบากใจ รู้ว่าต้องได้รับผลของการกระทำ แต่ไม่คิดว่าเมื่อได้สัมผัสพบเจอมันจะส่งผลรุนแรงต่อจิตใจได้มากขนาดนี้ พิรัลถอนหายใจยาว ไม่กล้าถามเรื่องงานอีก
‘พี่รักกานต์นะครับ’
นิพัทธ์กดอ่านแล้ว ใช้เวลาช่วงอึดใจหนึ่ง นานพอสมควรจนรู้สึกว่านิพัทธ์คงจะไม่ตอบกลับ แต่ท้ายที่สุดก็มีข้อความส่งกลับมา
‘ครับ’
ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่อย่างพิรัลรู้สึกอ่อนล้าลงทันที เขามองเบื้องหน้าที่เป็นสถานพยาบาล มีคนไข้เดินผ่านให้ขวักไขว่ พยาบาลสาววุ่นวายอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ บุรุษพยาบาลเข็นวีลแชร์ ภาพเหล่านั้นมันทำให้พิรัลนึกปลงตก ช่วงเวลาที่เห็นนี้เขาคงได้เผชิญก่อนช่วงเวลาของนิพัทธ์ วันใดวันหนึ่งเขาคงจะเป็นตาแก่ที่นั่งบนรถเข็นและนิพัทธ์ที่เด็กกว่าคงมีเส้นทางของตัวเอง เขาไม่ได้นึกถึงคำพูดของใคร แต่ภาพตรงหน้ามันทำให้เขาพบว่าแท้จริงแล้วคนที่จะอยู่ด้วยไปจนกว่าจะตายจากกัน หลงเหลือเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น
พิรัลถูกเรียกเข้าไปพบหมอ มันเป็นนัดติดตามอาการและไม่มีอะไรสลักสำคัญเพราะหากไม่นับเรื่องที่เขาเป็นโรคหัวใจ ร่างกายของเขาก็นับว่ายังแข็งแรงมากพอสมควรอยู่จึงไม่มีอาการข้างเคียงอะไรทั้งนั้น ผลข้างเคียงที่เหลืออยู่คงมีแต่ความเสียใจที่ไม่สามารถรักษาความรักระหว่างเขากับนิพัทธ์ได้ พิรัลไม่ใช่คนคิดมากแต่ตอนนี้เขาคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วในระหว่างรอรับยา ระบบของโรงพยาบาลรัฐบาลก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน น่าหงุดหงิดและเชื่องช้าไปทุกภาคส่วน จิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอยสักเท่าไหร่ แม้แต่ตอนฟังเจ้าหน้าที่จ่ายยาพูดให้คำแนะนำพิรัลยังฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เขาเซ็นต์ชื่อลงในเอกสารอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจอันเซื่องซึม แต่เมื่อหันหลังมาเขาพบเข้ากับใครบางคนที่เกินกว่าการคาดคิด เป็นนิพัทธ์ในชุดทำงานตามปกติทั่วไป
นิพัทธ์ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มทำเพียงแค่เดินเข้าไปคว้าข้อมือพิรัลให้เดินออกมาจากบริเวณนั้น
“หมอว่ายังไงบ้างครับ” นิพัทธ์เอ่ยถามหลังจากปล่อยมือพิรัลแต่ยังคงก้าวเดินไปที่ไหนสักแห่ง
พิรัลนิ่งเงียบไปเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันแบบนี้ เขาแทบคิดว่านี่อาจเป็นความฝัน
“พี่เจตน์… เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
พิรัลส่ายหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายคว้ามือนิพัทธ์มาจับไว้โดยไม่สนใจสายตาของใคร
“แล้วตกลงหมอบอกว่าอาการเป็นยังไงบ้าง” เด็กหนุ่มถามย้ำอีกครั้งพลางเดินออกไปเรื่อยๆ
“ปกติดี หมายถึงอาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ได้ยามาเยอะแยะไปหมด”
นิพัทธ์ไม่ได้ส่งยิ้มหรือแสดงออกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้ดึงมือที่ถูกจับอยู่ออกห่าง “พี่เจตน์อย่าทำหน้างงได้มั้ยครับ นี่ผมเอง ไม่ใช่ผี”
“งงสิ ผมงงอยู่”
“ก็พี่เจตน์เคยบอกว่าวันนี้จะมาหาหมอผมก็เลยมาด้วย มารับแฟนกลับบ้านมันน่างงตรงไหน”
พิรัลชะงักเมื่อได้ยิน หัวใจของเขาเต้นแรง ความรู้สึกสุมแน่นอัดกองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เขาจับมือนิพัทธ์แน่นจวบจนกระทั่งเด็กหนุ่มกอบกุมมือของเขาด้วยมืออีกข้าง พวกเขาหยุดยืนอยู่ตรงซอกตึกซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างอาคาร ดวงตาของทั้งคู่สบประสาน พิรัลตื้นตันไปหมดเสียจนคิดว่าอาจเป็นความฝัน
“กานต์ครับ พี่ขอโอกาสได้มั้ย เรามากลับมาคุยกันเหมือนเดิมนะครับ”
นิพัทธ์เลิกคิ้วสูง บรรยากาศรอบข้างไม่น่าพิศสมัยสักนิด หากแต่ตรงหน้านี้พิรัลกำลังเว้าวอนด้วยแววตาที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติเผยยิ้ม ใบหน้าขาวกระจ่างดูผ่อนคลายลง ดวงตาประกายความสุข นิ้วมือของนิพัทธ์คลึงเคล้าบนมือของพิรัลราวกับปลอบประโลม เขาเองก็ไม่เคยต้องการแยกจากพิรัลเลยสักนิดเพียงแต่การได้คิดทบทวนและเว้นระยะห่างมันทำให้เขารู้ลึกถึงความรู้สึกที่มี เขายังต้องการพิรัลโดยไร้ข้อเงื่อนไขอื่นใด เขายังห่วงใยปรารถนาดีเหมือนเช่นเคย และเขายังรักไม่เปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เขาเพียงแต่ยิ้มและกุมมือแน่นกระชับกับชายหนุ่มที่อายุมากกว่า
วงกลมของพิรัล Intersect กับวงกลมของนิพัทธ์ มันอาจไม่ใช่วงกลมที่ซ้อนทับไปเสียทุกส่วน หากแต่เกี่ยวกระหวัดคล้องเป็นวงเดียวกัน ความรักของพวกเขาอาจหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านี้หรือความรักของพวกเขาอาจดำเนินสืบสานต่อไปตราบนานเท่านาน แต่เวลานี้บนที่ที่พวกเขาสองคนยืนอยู่คือผืนโลกอันสามัญของมนุษย์ เป็นโลกของพวกเขาที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เป็นโลกที่มีแต่เขาเพียงสองคน เป็นโลกของพิรัลและนิพัทธ์กับโอกาสในการเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง
************************************
บทสุดท้ายของเรื่องหนึ่งวันบนดาวพุธค่ะ จบแล้วววววววว