Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Once Love story ณ กาลครั้ง รัก ตอนที่ 8 ความหลังครั้งวันวาน (1-1-22) P.4  (อ่าน 25864 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่เก้า

“พี่มีธุระอะหยังกับผม”
ไอ้น้องพละเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพต่างจากตอนที่อยู่ในชมรมเมื่อกี้อย่างลิบลับราวกับคนละคนยังไงยังงั้น

“ก็...บ่มีอะหยังนัก แค่อยากรู้ว่าจะลาออก...จากชมรมจริงๆ เหรอ”
ผมเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเพราะยังกลัวในท่าทีและสีหน้าของอีกฝ่ายที่แม้จะดูอารมณ์เย็นลงมากกว่าเมื่อกี้แล้วก็ตามที ไอ้น้องพละมองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“โดนไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาซะขนาดนั้นก็บ่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะหยังอะ”
“เฮ้ย อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลย ไอ้เต้ยมันเพิ่งขึ้นเป็นหัวหน้าชมรมได้บ่นาน มันเลยยังทำตัวบ่ถูกน่ะ ถึงแม้เดิมทีมันจะค่อนข้างเป็นคนใจร้อนอยู่แล้วก็ตามทีเถอะ ยังไงพี่ก็ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะ อย่าเพิ่งลาออกจากชมรมเลย”
ผมพยายามจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดพ้อนั้น

“พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ แล้วเพื่อนพี่ล่ะเขารู้สึกสำนึกผิดด้วยรึเปล่า”
นั่น มีย้อนใส่กูอีกแต่ที่มันพูดก็มีส่วนถูกของมันจริงๆ นั่นล่ะ

“ผมยอมรับนะ ว่าผมก็ผิดที่อยู่ๆ ก็หายจากการซ้อมไปหลายวันโดยบ่บอกบ่กล่าวพวกพี่ๆ แต่ที่ผมรับบ่ได้คือการที่พี่เขาด่าลามไปถึงตี๋เอ๋อนี่ล่ะ”
ไอ้น้องพละตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำนั้นก็ยิ่งทำให้ผมเกิดความสงสัยอะไรขึ้นมาบางอย่างไม่สิ ต้องเรียกว่าหลายอย่างเลยล่ะ

“เอ่อ พี่ขอถามอะหยังหน่อยได้มั้ย”
ผมถามด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ไอ้น้องพลหันมามองผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“จะถามอะหยังก็ถามมาครับ”
“หน้าไปโดนอะหยังมาน่ะ ถึงมีแต่รอยฟกช้ำซะขนาดนั่น”

“มีเรื่องกับคนแถวบ้านน่ะ ไอ้พวกเหี้ยนั่นชอบมาแกล้งตี๋เอ๋อ ผมก็เลยจัดพวกแม่งให้สำนึก”
ไอ้น้องพละตอบกลับมาพลางยกมือมาแตะๆ รอยช้ำที่มุมปาก
“อย่าบอกนะว่าที่หายไปหลายวันเพราะเรื่องนี้”
อีกฝ่ายกลั้วหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ซึ่งผมก็อนุมานเอาเองว่าน่าจะเป็นความจริงตามที่ผมถาม

“งั้นขอถามอีกข้อได้มั้ย”
“พี่ก็ถามมาดิ”
“สัญญาก่อนได้ป่ะ ว่าถ้าถามแล้วจะบ่โกรธ”
ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจในสวัสดิภาพความปลอดภัยของตัวเอง ไอ้น้องพลพยักพเยิดหน้าเป็นคำตอบกลับมาแบบเสียไม่ได้

“เอ่อ ที่เราบอกว่าเป็นฝาแฝดกับตี๋เอ๋อน่ะ เป็นความจริงเหรอ”
ไอ้น้องพละนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้นก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยสีหน้ากวน ๆ เล็กน้อย

“ถ้าผมบอกว่าเป็นความจริง พี่จะเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
ผมรีบส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาทั้งของไอ้น้องพละกับตี๋เอ๋อนั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าอาจจะเป็นแฝดคนละฝากัน แต่พอดูในใบสมัครเมื่อกี้ก็พบว่าวันเกิดของทั้งสองนั้นห่างกันเกือบๆ สองอาทิตย์ ซึ่งต่อให้เป็นแฝดกันยังไงก็ไม่น่าจะเกิดห่างกันได้นานขนาดนั้น ผมเลยคิดว่าไม่น่าจะใช่แฝดกันแล้วล่ะ ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นท่าทีนั้นของผมก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง

“จริง ๆ ผมกับตี๋เอ๋อก็บ่ใช่แฝดกันจริง ๆ หรอก”
นั่นไง กูว่าแล้วมั้ยล่ะ

“ผมกับตี๋เอ๋อก็ต่างก็มีพ่อคนเดียวกัน”
ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่หว่า พี่น้องก็ต้องมีพ่อเดียวกันอยู่แล้วนี่

“แต่คนละแม่น่ะครับ”

หือ ???

“เดี๋ยวนะ คนละแม่นี่คือ...”
“ก็คนละแม่ ก็ความหมายก็ตามนั้นนั่นล่ะ จะมีอะหยังให้ต้องสงสัยอีกเนี่ย”
ไอ้น้องพละย้ำคำพูดของตัวเองอีกรอบก่อนจะหยิบบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดเพื่อสูบ
จะว่าไป ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตามที่เจ้าตัวว่าล่ะมั้ง เพราะการที่เกิดห่างกันเพียงแค่สองอาทิตย์ถึงแม้จะนานเกินไปสำหรับการเป็นแฝดแต่ดูยังไงก็ไม่มีทางจะเกิดจากแม่เดียวกันได้แน่ ๆ

เพียงแต่มันก็ยังรู้สึกมีอะไรบางอย่างติดค้างชวนสงสัยอยู่อีกพอสมควร แต่หากดูจากรูปการแล้ว ขืนผมยังถามไปมากกว่านี้คงได้มีรอยฟกช้ำปรากฏอยู่บนใบหน้าของผมเฉกเช่นเดียวกับไอ้น้องพละก็เป็นได้แฮะ

TRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์มือถือของไอ้น้องพลดังขึ้น เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะรีบรับสายอย่างรวดเร็วซึ่งก็สร้างความสงสัยให้ผมอยู่ไม่น้อยว่าใครเป็นโทรมา ไอ้น้องพละถึงได้รีบรับสายเสียขนาดนั้นซึ่งต่างจากตอนที่ผมโทรหาอย่างเห็นได้ชัด
“เออ ว่าไงมึง ไอ้ตี๋เอ๋อ มีหยังวะ”
โอเค กูได้คำตอบละ

“อืม ๆ บอกแม่ใหญ่ด้วยว่ากูกำลังจะกลับ อะหยังนะ อยากกินน้ำเต้าหู้ เออ ๆ เจ้าประจำใช่ปะ เออ เดี๋ยวกูซื้อเข้าไปให้ เออ รักมึง แค่นี้นะ”
ไอ้น้องพละวางสายทันทีที่คุยเสร็จก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่กำลังทำสีหน้าตกใจในสิ่งที่ได้ยินอยู่

“เป็นเหี้ยอะหยังของพี่น่ะ ถึงทำหน้าอย่างนั้นเนี่ย”
เอ้า โดนด่าเฉยเลยกู

“เอ่อ แค่ตกใจน่ะ แบบ...มีบอกรักกันด้วย”
ผมเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นท่าทางนั้นของผมก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

“แปลกตรงไหน ก็พี่น้องบอกรักกัน ก็เป็นปกติธรรมดาปะพี่ พี่บ่เคยทำเหรอ”

“บ่เคยอะ พอดีพี่เป็นลูกคนเดียวน่ะ”
ผมตอบพร้อมส่ายหัวกลับไปในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มหึเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีนั้นของผม ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ อาจจะเพราะผมเป็นลูกคนเดียวด้วยล่ะมั้ง ก็เลยอาจจะรู้สึกแปลกใจก็เป็นได้ แต่จะว่ายังไงดี บรรยากาศเมื่อครู่มันชวนให้จินตนาการยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ไม่พูดออกไปดีกว่า กลัวโดนต่อย ฮ่าฮ่าฮ่า

“ว่าแต่พี่เถอะ พี่กับพี่แบงค์เป็นแฟนกันเหรอ”
อึก! โดนถามจี้จุดกลับมาจนได้

“ดูออกด้วยเหรอ”
ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย ไอ้น้องพละเองเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับยิ้มที่มุมปากอีกรอบ

“ดูบ่ะออกก็บ้าแล้วพี่ ถึงพวกพี่จะบ่ะได้เปิดเผยขนาดนั้น แต่เวลาพี่สองคนอยู่ใกล้กัน บรรยากาศแม่งโคตรฟุ้งเลยว่ะ”
“ฟุ้ง? ฟุ้งยังไงวะ”
ผมขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดนั้นของอีกฝ่าย

“ฟุ้ง ๆ ก็ฟุ้ง ๆ ไง แบบฟุ้ง ๆ อ่ะบ่รู้จักเหรอพี่”
อะไรของมึงเนี่ยไอ้สัส นอกจากจะไม่อธิบายเหี้ยอะไรเพิ่มแล้ว ยังพากูงงหนักขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก แต่เอาเถอะ ขี้เกียจจะถามต่อแล้ว

“แล้วยังไง รังเกียจพวกพี่เหรอ”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความหวั่นเล็กน้อย จะว่ายังไงดีล่ะครับ คือที่ผ่านมาตั้งแต่ผมกับแบงค์ตกลงเป็นแฟนกัน คนในชมรมเองก็รู้ เวลาไปไหนมาไหนก็ทำตัวตามปกติ คือก็ไม่ได้ปิดบังอะไรหรอกนะ (ยกเว้นกับแม่) เพียงแต่บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนอื่นจะคิดหรือมองยังไงกับเรื่องแบบนี้

ไอ้น้องพละเองเมื่อเห็นสีหน้าหวั่นๆ นั้นของผมก็เลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะดูดบุหรี่ในมือที่กำลังจะหมดมวน
“รังเกียจงั้นเหรอ โอยพี่ นี่มันยุคไหน เรื่องแบบนี้ปกติกันแล้ว มีแต่พวกหัวโบราณเท่านั้นล่ะที่ยังรังเกียจเรื่องแบบนี้อีกอย่างคนที่กล้าจะเป็นตัวของตัวเอง ผมว่าเจ๋งดีออก”
อีกฝ่ายเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มที่ดูกวนๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวคิดเช่นนั้นจริงๆ

“แล้วสรุปเรื่องชมรมล่ะ ว่ายังไง”
ผมวกกลับมายังประเด็นเดิมหลังจากที่พากันออกทะเลไปอยู่พักใหญ่ ไอ้น้องพละขมวดคิ้วเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินผมถามเช่นนั้น ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบเพื่อให้มันดับ

“ผมว่าผมคงบ่เหมาะกับชมรมของพวกพี่หรอก ขืนผมยังอยู่ต่อ พาลแต่จะทำให้ชมรมของพี่วุ่นวายเปล่าๆ ยังไงผมก็ขอโทษพวกพี่ด้วยละกันนะ อ้อ แต่ยกเว้นไอ้เหี้ยนั่นนะ”
พูดจบ เจ้าตัวก็หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้าวขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซต์

“แต่...”
“บ่ตงบ่แต่แล้ว ขืนพี่ยังพูดมากกว่านี้ผมต่อยปากแตกจริงๆ ด้วยเอ้า”
ผมรีบเอามือขึ้นปิดปากตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงขู่ด้วยสีหน้าจริงจังนั่น
แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะอยู่ ๆ ไอ้น้องพลก็รีบปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาทันที

“หัวเราะอะหยังน่ะ”
ผมขมวดถามด้วยความสงสัย

“เชื่อคนง่ายนะเนี่ย พี่แม่งจี้ดีว่ะ มิน่าล่ะว่าอะหยังพี่แบงค์ถึงชอบพี่ พอๆ ไปละๆ เสียเวลา ผมต้องรีบกลับแล้ว ยังไงก็ฝากขอโทษคนอื่น ๆ ยกเว้นไอ้เหี้ยนั่นด้วยละกันนะ บาย”
พูดจบ เจ้าตัวก็รีบสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

“อะหยังของมันวะเนี่ย”
ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางเกาหัวตัวเองไปด้วยก่อนจะก้มลงมองก้นบุหรี่ที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ ผมค่อย ๆ ก้มตัวลงไปหยิบก้นบุหรี่นั้นแล้วเอาไปทิ้งยังถังขยะที่ตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก แล้วจึงหันหลังเพื่อเดินกลับไปยังชมรมด้วยความเหนื่อยใจ

“หายไปไหนมาครับ”
เสียงเอ่ยถามด้วยความสงสัยของแบงค์พูดขึ้นในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งรอผมอยู่ที่หน้าห้องชมรม

“นิดหน่อยน่ะ ว่าแต่แล้วคนอื่นล่ะ กลับกันไปหมดแล้วเหรอ”
ผมตอบปัดพลางถามกลับไปเมื่อเห็นประตูห้องชมรมถูกล็อกเอาไว้ แบงค์พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบพร้อมกับส่งกระเป๋าสะพายของผมมาให้ก่อนที่จะลุกตัวขึ้นยืนเมื่อผมรับมันมา

“ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านดีมั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถามพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบายใจอย่างชัดเจนของผม ผมพยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบด้วยความคิดที่ว่าถึงจะมีปัญหาใหญ่โตยังไงแค่ไหน แต่เรื่องปากท้องยังไงก็ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อยู่ดี

“แล้วสรุปเมื่อกี้หายไปไหนมาน่ะครับ”
แบงค์เอ่ยถามคำถามนั้นอีกรอบหลังจากที่เราทั้งสองสั่งอาหารไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ออกมา

“ออกไปตามหาพละเขาน่ะ”
“นั่นไง ว่าแล้ว แล้วเจอตัวมั้ยครับ”
“เจอ แต่...ยังไงเจ้าตัวก็บ่ยอมกลับมาน่ะ”
ผมถอนหายใจอีกรอบ แบงค์เองเมื่อเห็นสีหน้านั้นของผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ อีกรอบ

“เอาน่า เรื่องมันเพิ่งจะเกิดไป น้องเขาอาจจะยังโกรธอยู่ก็ได้ครับ ให้เวลาน้องเขาหน่อยก็น่าจะดีกว่านะครับ”
เมื่อได้ยินแบงค์เอ่ยเช่นนั้น ผมก็ได้แต่พยักหน้ากลับไปเป็นคำตอบพลางใช้หลอดในมือกวนน้ำในแก้วไปเรื่อย ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
“อย่าทำสีหน้าจ๋อยแบบนั้นสิครับ ยิ้ม ๆ หน่อย”

แบงค์พยายามพูดเพื่อให้ผมรู้สึกดี ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนในแว่นหนานั้นที่กำลังฉีกยิ้มให้กับผม ซึ่งมันก็พอที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอยู่พอสมควร

“ไปดูหนังกันป่ะ”
ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายที่กำลังรับจานอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ แบงค์หันมามองหน้าผมพร้อมส่งข้าวผัดปูซึ่งเป็นเมนูที่ผมสั่งมาทางผม

“ก็ดีครับ นาน ๆ ทีไปพักสมองกันบ้าง”
แบงค์ตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมไปหยิบช้อนจากในกล่องใส่ที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ
ถึงจะบอกว่านานๆ ทีก็ตามเถอะ แต่เอาเข้าจริง หลังๆ มานี้ผมกับแบงค์ก็ไปดูหนังในโรงหนังบ่อยอยู่พอสมควร แทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ ไอ้ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะปกติเป็นคนดูหนังในโรงบ่อยอยู่แล้ว แต่แบงค์นี่สิ เพิ่งจะมาดูหนังในโรงหนังก็ตอนที่รู้จักกับผมนี่ล่ะ เจ้าตัวบอกว่าปกติดูแต่ในโทรทัศน์เสียมากกว่า ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่า คนที่ไม่เคยเข้าโรงหนังแบบแบงค์ก็มีด้วยเหรอ
“รีบกินกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นไปมากกว่านี้”
แบงค์เอ่ยบอกกับผมพร้อมยื่นช้อนมาให้ ผมรับมันมาก่อนจะยิ้มกลับไปให้อีกฝั่ง
ถึงแม้จะรู้สึกค้างคาใจอยู่ก็ตามที แต่หากยังทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยวางไปก่อนจริงๆ น่ะล่ะกับปัญหาชมรมในตอนนี้


“พี่นันท์ เดี๋ยวเลิกงานเราไปหาอะไรกินที่ร้านข้าวควายกันมั้ย”
เสียงของซันด๋อยเอ่ยถามขึ้นในขณะที่กำลังย้ายแผงหนังสือที่ตั้งอยู่หน้าร้านกลับเข้ามา
“ก็เอาดิ กำลังหิวๆ อยู่พอดีเลย ว่าแต่ถามหน่อย ใครมันเป็นคนตั้งชื่อร้านข้าวร้านนั้นว่า ‘ข้าวควาย’ วะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยในชื่อร้านข้าวร้านประจำของพวกผมซันด๋อยนิ่งเงียบพร้อมขมวดคิ้วเบ้ปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ
“เออ ว่าแต่พรุงนี้ซันด๋อยเข้ากะเช้าใช่ป่ะ”
ผมเอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับคอมพ์ฯ ที่หน้าเคาน์เตอร์
“แม่นแล้ว ก็เข้าพร้อมกับพี่นั่นล่ะ ทำไมเหรอ”
“ก็กำลังคิดว่าอาจจะมาช้าหน่อยน่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็พี่ชาติอ่ะดิ แกให้พี่ลองทำรีพอร์ตเรื่องสินค้าหายเดือนนี้ดูน่ะ คืนนี้ก็เลยว่าอาจจะต้องลุยงานจนดึกนิดนึง”
“อ้าว แล้วอ่ะหยังพี่เขาบ่ะทำเองล่ะ หน้าที่เขาบ่ะใช่เหรอ”
ซันด๋อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางดึงประตูเหล็กหน้าร้านลงมาครึ่งนึง
“มันก็แม่นแต่ทำไงได้ ในเมื่อพี่เขาสั่งมาก็ต้องทำ คิดในอีกแง่ ก็เพื่อจะฝึกและดันพี่ขึ้นเป็นผู้จัดการร้านยังไงล่ะ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มองโลกในแง่ดีจังนะพี่”
ทั้งผมและซันด๋อยต่างหัวเราะ หึ เบา ๆ ในลำคอเป็นการจบบทสนทนาไปอย่างเงียบๆ

“งั้นเดี๋ยวต่างคนต่างไปเจอที่ร้านข้าวเลยละกันนะพี่”
ผมพยักหน้าตอบตกลงให้กับคำพูดนั้นของซันด๋อย เนื่องจากเราต่างก็จอดรถกันคนละที่ อีกฝ่ายเองเมื่อเห็นผมตกลงเช่นนั้นก็ดึงประตูเหล็กลงจนสุดพร้อมกับล็อกกุญแจ
ในจังหวะนั้นเอง
“สุมาเต๊อะครับ ร้านปิดแล้วเหรอครับ”
“ปิดแล้วครับ ขอโทษด้วย ยังไงรบกวนลูกค้ามาอีกทีวันพรุ่งนี้นะครั.....อ้าว”
ผมต้องร้องอุทานด้วยความประหลาดใจทันทีเมื่อหันไปยังเจ้าของเสียงคำถามเมื่อครู่
“บ่ได้เจอกันนาน สบายดีมั้ยครับ พี่นันท์”
“ไอ้น้องไนท์”
ผมเอ่ยชื่อนั้นเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยทักทายผมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ในขณะที่ซันด๋อยซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนั้นได้แต่ยืนนิ่งตาค้างด้วยความตกใจกับบุคคลที่เห็นตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ

จบคาบเรียนที่เก้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2021 21:45:21 โดย จิบุ_จิบุ »

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่ห้า
 
“โห ห้องน่าอยู่มากเลยนะครับเนี่ย”
ไอ้น้องไนท์เอ่ยชมทันที่เจ้าตัวเดินตามผมเข้ามายังห้องของผม ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชมด้วยความจริงใจ หรือชมด้วยความประชดกันแน่ เพราะในความเป็นจริงแล้วห้องของผม ณ ตอนนี้จัดได้ว่าค่อนข้างรกพอสมควร

“แล้วนี่ปิ๊กมาเจียงใหม่ บ่มีใครว่าเหรอไงน่ะ เห็นช่วงนี้งานเยอะบ่ใช่เหรอ”
ผมเอ่ยถามพร้อมใช้เท้าเขี่ย ๆ กองสัมภารก (อ่านไม่ผิดครับสัมภารก ไม่ใช่สัมภาระ) แล้วเดินเข้าไปด้านใน

“อ้าว นี่พี่บ่รู้เหรอ ว่าวงพวกผมตอนนี้มีงานที่เจียงใหม่เนี่ย”
ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“อ้าว แล้วถ้าอย่างนั้นคนอื่นในวงล่ะ ไปไหนกันหมด ?”
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่สิ่งที่ได้กลับมาเพียงความเงียบและรอยยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบห้อง ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกอับอายขึ้นมาพอสมควร

“นี่พี่นันท์ยังลืมพี่แบงค์เขาไม่ได้อีกเหรอ”
ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามพลางเดินไปยังชั้นหนังสือพร้อมหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมาดู แต่ไม่ได้เปิดดูแต่อย่างใด คงเพราะรู้ตัวดีว่าหากทำเช่นนั้นคงไม่แคล้วโดนผมด่าเอาแน่ ๆ

ผมถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะก้มตัวลงไปหยิบข้าวของบนพื้นขึ้นมาจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้วจึงมองออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง

“ไม่มีหรอกเรื่องลืมน่ะ จะมีก็แต่ลืมช้า หรือลืมเร็วแค่นั้นน่ะล่ะ”
“เป็นนางเอกจากเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาวเหรอพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอ้น้องไนท์หัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะวางสมุดไดอารี่วางคืนบนชั้น ทำเอาผมถึงกับต้องเขม่นคิ้วใส่เล็กน้อยเพราะโดนรู้ทัน

“นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ ๆ นะ ผมว่าพี่นันท์ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วมั้ง”
“ไอ้ห่า วัน ๆ ทำแต่งาน จะเอาเวลาไหนไปหาแฟนกันวะ”
ผมบ่นอุบอิบเบา ๆ กับตัวเองโดยที่มือยังคงเก็บกวาดข้าวของไปด้วย ไอ้น้องไนท์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาช่วย ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากเสื้อผ้าของอีกฝ่าย

“ก็มีอยู่คนนึงแถว ๆ นี้แท้ ๆ แต่พี่ก็ชอบมองข้ามมาตลอดเลยนะ”
ผมชำเลืองตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ซึ่งหากจะพิจารณาด้วยความเป็นแล้วนั้นก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ เลยล่ะครับว่าไอ้น้องไนท์ ณ ตอนนี้นั้นหน้าตาผิวพรรณดีกว่าเมื่อสมัยยังเป็นเด็กมัธยมมากนัก และยิ่งด้วยสายตาที่ดูกะลิ้มกะเหลี่ยนั่นอีก ก็ทำเอาผมถึงกับเกิดอาการใจเต้นขึ้นมาพอสมควร

ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ

ตึก ๆ หาพ่อมึงเหรอไอ้นันท์ นั่นอดีตรุ่นน้องนะเว้ย

ก๊อก ๆ ๆ

ในจังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซึ่งก็ช่วยดึงสติผมกลับมาได้ ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างหันไปมองก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

“สวัสดีครับ นันท์พอดีผมเพิ่งเลิกงานเลยแวะมา...อะ อ้าว มีแขกอยู่เหรอครับ”
ภูเอ่ยทักทายทันทีที่ผมเปิดประตูต้อนรับก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังผม

“อ๋อ นี่เป็น...”
“แฟนน่ะครับ อุ๊ก!!!”
ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งไปยังชายโครงของไอ้น้องไนท์ทันทีที่เจ้าตัวพูดเช่นนั้นจนเจ้าตัวถึงกับงอตัวด้วยความเจ็บปวด

“อดีตรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยมน่ะ แค่มาแวะมาออกงานที่เจียงใหม่เท่านั้นน่ะ”
“อ้อออ นี่มัน ไนท์แห่งวง Undefined นี่เอง ก็ว่าล่ะ ว่าทำไมหน้าตาคุ้น ๆ โอโห ผมนี่เป็นแฟนคลับวงนี้เลยนะครับเนี่ย”

ภูออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นเป็นใคร ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินคำชมเช่นนั้นก็แอบยิ้มแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

“ว่าแต่ภูมีธุระอะไรเหรอ ถึงมาซะดึกเลยเนี่ย”
ผมชิงตัดบทเข้าเรื่องเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้จะไม่จบประเด็นสักที

“อ้อ เออใช่ ๆ พอดีผมซื้อขนมมาฝากน่ะครับ ยังไงก็แบ่งทานกันทั้งคู่นะครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับพรุ่งนี้มีงานเช้า เอ้อ ถ้าบ่รังเกียจ ผมขอถ่ายรูปคู่คุณไนท์ได้มั้ยครับ อุตส่าห์ได้เจอตัวจริงทั้งที”

ภูยื่นขนมให้ผมก่อนจะล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบมือถือออกมา ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนนั้นก็เกิดอาการลังเลเล็กน้อย จนผมต้องกระทุ้งข้อศอกเข้าไปที่ชายโครงอีกรอบเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าตัวรู้ว่าควรทำอย่างไร

ภูเปิดกล้องมือถือด้วยความรวดเร็วก่อนจะโยกตัวมาเข้ามาใกล้ ๆ ไอ้น้องไนท์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้กล้องก่อนที่ภูจะกดชัตเตอร์ถ่ายรูปคู่เก็บเอาไว้

“ขอบคุณมากครับ คุณไนท์ บ่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอตัวจริง หล่อกว่าในรูปจริง ๆ เอ้อ ยังไงผมขอตัวก่อน บ่รบกวนแล้ว ไปละครับ”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินกลับไปยังห้องตัวเองด้วยสีหน้าอย่างคนมีความสุข ทิ้งให้ไอ้น้องไนท์ยืนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“เดี๋ยวมึงจะโดนกูบ่ใช่น้อย ไอ้เด็กเวร ไปบอกเขาได้ไงวะ ว่ามึงเป็นแฟนกู”

ผมหันไปเอ็ดใส่เจ้าตัวทันทีที่นึกขึ้นได้ ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการกระอึกกระอัก พอสมควร

“อ้าว ก็บ่รู้นี่พี่ ก็นึกว่าไอ้เจ้านั่นมันจะมาจีบพี่เสียยอีก ผมก็เลยเกิดอาการหึงขึ้นมาน่ะสิ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด ๆ นั้น

“จีบห่าอะหยังล่ะ เพื่อร่วมคอนโดกูเว้ย ไอ้ห่านี่ แล้วที่สำคัญ มึงบ่ใช่แฟนกู จะมาหึงกูทำเหี้ยอะหยังวะ”

“เอ้า งั้นก็เป็นแฟนผมสักทีสิ ผมจะได้หึงได้เต็มที่สักที”

“หยุดเลยมึง ขืนยังพูดมากอีกกูจะให้มึงนอนหน้าประตูห้องจริง ๆ ด้วย ไป ๆ ไปเอาน้ำผลไม้ในตู้เย็นออกมา จะได้กินกับขนมนี่”
ผมเอ็ดใส่ พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบทำตามคำสั่งอย่างเร่งรีบ

“ว่าแต่ไอ้รุ่นพี่ที่มึงเคยคบด้วยตอนช่วง ม.ปลาย น่ะ ไปไหนแล้ววะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อไอ้น้องไนท์นำขนมและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

“โอย เลิกกันไปตั้งนานแล้วพี่นันท์”
“อ้าว เลิกกันได้ไงวะ”

“ก็หลายเรื่องอะ แรก ๆ ก็หวานดีอยู่หรอก แต่หลัง ๆ เริ่มบ่ใช่ละ ก็เลยเลิกกันดีกว่า คบไปก็ยิ่งทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิม”
ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“เออ ช่างมันเหอะพี่ พี่เองเหอะ ยังบ่ตอบคำถามผมตรง ๆ เลย”
“เรื่องอะหยังวะ”

“ก็เรื่องพี่แบงค์ไงล่ะ”
อึก!

“เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว มึงจะอยากรู้ไปเพื่ออะหยังวะ”
“ก็ถ้านานแล้วจริง พี่จะเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้เพื่ออะหยังล่ะ”

“ก็แค่เจอตอนจัดห้องปะวะ กูก็เลยเก็บ ๆ ไว้ บ่ได้มีอะหยังสักหน่อย”
ผมตอบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ สงวนท่าทีเล็กน้อย

“งั้น...ถ้าบ่มีอะหยังจริง ๆ ผมเอาสมุดไดอารี่ไปทิ้งนะ”
ไอ้น้องไนท์พูดพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปยังชั้นหนังสือ

“ไอ้สัส มึงหยุดนะ ถ้ามึงทำ นอกจากมึงจะได้นอนนอกห้องแล้วมึงยังได้มีรอยฟกช้ำบนใบหน้าหล่อ ๆ ของมึงไปโชว์วันงานจริง ๆ ด้วยเอ้า”

ผมรีบปรามอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่เดิม

“พี่นันท์นี่ก็ยังคงเป็นพี่นันท์คนเดิมจริง ๆ”
“หมายความว่าไงวะ”

ผมถามกลับ ไอ้น้องไนท์เองหยิบขนมในจานขึ้นมากินสองสามชิ้น ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมามองผม
“ผมว่าคำถามนี้ คนที่จะตอบได้ น่าจะเป็นตัวพี่นันท์เองมากกว่านะ”
พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนจะเปิดมันออกเพื่อหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบนบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยทิ้งผม
เอาไว้กับคำถามนั้น

“......”

ผมหยิบขนมในจานขึ้นมากินก่อนจะหันมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอยพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย
 

“มึง เสาร์นี้ไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวปะวะ”
ผมเอ่ยถามแบงค์ด้วยความสงสัยในขณะที่เจ้าตัวเองนั้นกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นอยู่ แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยแล้วจึงหันมามองผมที่กำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง

“ก็ไปนะครับ ทำไมเหรอ”
“เปล่า ก็ถามไปงั้น บ่มีหยัง”

ผมตอบกลับไปแบบเสียไม่ได้โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่การ์ตูนในมือก่อนจะรู้สึกหนักจนต้องร้อง ‘อัก’ ออกมาเพราะอยู่ ๆ ก็โดนเจ้าหมีอ้วนกระโดดเข้าใส่แบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“อะหยังของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็กระโจนเข้ามาแบบบ่ให้สุ้มให้เสียง ห่า ตัวก็บ่ใช่เล็ก ๆ หลังกูเกือบหักแล้วมั้ยล่ะ”
ผมเอ็ดใส่อีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะลุกขึ้นออกไปแต่อย่างใด

“ก็นึกว่าคิดถึงผมน่ะสิ ผมก็เลยมาหาไงล่ะ”
เจ้าตัวพูดพร้อมถอดแว่นหนาออกวางไว้ที่บนหัวเตียงก่อนจะหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวาฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

“มึงนี่น้า... เคยมีใครบอกมั้ยเนี่ยว่าเป็นคนหลงตัวเอง”
“ไม่มีครับ”

“งั้นกูคนนี้นี่ล่ะ จะเป็นคนบอกมึงเอง”
ผมพูดพลางขยับตัวเพื่อหวังให้อีกฝ่ายลุกออกจากตัวผม แต่ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ กลายเป็นว่าสภาพในตอนนี้นั้นเป็นผมนอนหงายโดยมีแบงค์คร่อมอยู่เสียอย่างนั้น ช่างเป็นสภาพที่ดูสุ่มเสี่ยงต่อพรหมจรรย์ของผมมาก ๆ

“ลุก”
“ไม่ลุก”

“กูบอกให้ลุกออกไป”
“ก็แล้วถ้าผมไม่ออกไปล่ะครับ”

แน่ะ เดี๋ยวนี้มียอกย้อนนะมึง

“ก็ถ้ามึงบ่ลุก มึงได้จุกที่ไข่มึงแน่”
พูดจบ ผมก็หมายจะใช้หัวเข่ากระแทกเข้าไปที่เป้าของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะเดาทางผมได้เสียก่อนจึงรีบกดหน้าขาผมไว้ได้ทัน

“สัส”
ผมสบถเบา ๆ แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจกับคำสบถนั้นแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

“ขอหอมแก้มอีกทีนะครับ”
พูดจบเจ้าตัวก็พรมหอมแก้มผมฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องหอมแก้มน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้สิ่งที่อยู่ภายในกางเกงของอีกฝ่ายซึ่งกำลังโตเต็มที่และตอนนี้กำลังแนบชิดอยู่กับหน้าขาของผมอยู่นี่สิคือประเด็นหลักมากกว่า

“นี่มึงไปตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย”
ผมเอ่ยถามในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมกำลังโดนล็อกเอาไว้แน่น

“ก็แหม ผมก็เป็นผู้ชายตามปกติทั่วไปนี่ครับ ก็ต้องมีอารมณ์กับเรื่องอย่างว่าเป็นธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนเสียหน่อย นันท์เองนั่นล่ะ อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเขา”

อึก!
สัส เล่นจี้จุดเอาซะผมไปต่อไม่ถูกเลยเว้ย

ก็อย่างที่เคยบอก ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ใช่ว่าผมเองจะไม่เคย แต่ก็นั่นล่ะ ผมน่ะเก่งแค่ในทางทฤษฎีตัวคนเดียวเท่านั้น แต่พอเข้าสู่โหมดปฏิบัติออกงานจริง กลับรู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก

เฮ้อออ อนิจจาตัวกูจริง ๆ

“วันนี้ขอเพิ่มระดับหน่อยได้มั้ยครับ”
แบงค์เอ่ยถาม พร้อมจ้องมองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในขณะที่หัวใจของผมในตอนนี้นั้นเต้นระส่ำ
อย่างไม่เป็นจังหวะ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นทีท่าไม่ขัดขืนของผม ก็ค่อย ๆ พรมจูบเบา ๆ ที่แก้มขวาของผมอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะไล่ไปตามลำคอ

ร่างกายของผมเริ่มตอบสนองต่อการกระทำของแบงค์จนมันตื่นตัวเต็มที่เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย แบงค์ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อนักเรียนของผมทีละเม็ดทีละเม็ดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงลากลิ้นมายังบริเวณแผงอก

ผมกำหมัดแน่นหลับตาปี๋ ได้แต่ครางอือเบา ๆ ในลำคอ แบงค์หยุดแล้วเงยขึ้นมาจ้องมองผม สายตาคมเข้มที่ดูมีอารมณ์ของอีกฝ่ายในตอนนี้นั้น มันปลุกเร้าอารมณ์ผมเสียเหลือเกิน ผมเอามือทั้งสองข้างจับแก้มของแบงค์ แล้วโน้มแก้มลงมาประกบปาก ซึ่ง
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปบ้าง เราทั้งสองแลกลิ้นไปมากันครู่หนึ่ง ร่างกายกำยำของแบงค์ที่ในตอนนี้กำลังทับลงบนตัวผม แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันหนักเลยสักนิด
“เป็นไงมั่งครับ”

แบงค์ถอนปากออกก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ผมได้แต่หลับตาครางอือเบา ๆ กลับไปเป็นคำตอบ ซึ่งก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจมากขึ้นไปอีก จึงก้มหัวลงไปลากลิ้นบนแผงอกทำเอาผมถึงขั้นต้องต้องจิกเส้นผมของอีกฝ่ายไว้แน่น
เมื่อเจ้าตัวเห็นท่าทีของผมที่ดูจะไม่ขัดขืนเสียเท่าไหร่นัก ก็ลากลิ้นต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าท้องที่ เอ่อ ที่ ที่อะไรดี ที่ดูนุ่มนิ่ม
ละกัน เพราะถ้าใช้คำว่าแบนราบ ก็เกรงจะโดนครหาว่าหลอกลวงผู้บริโภคเอาได้

“เอ มีอะไรอยู่ข้างในนี้กันนะ”

แบงค์เอ่ยถามเบา ๆ ก่อนจะพยายามปลดหัวเข็มขัดของผมออก แต่ผมมือไวกว่าจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นพลางชะโงกหัวขึ้น
มาดู
“ไม่ได้เหรอครับ”

เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าออดอ้อน ทำเอาผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“แต่...”

ผมพยายามจะหาคำอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดไหนดีในเวลาแบบนี้ หรือว่าวันนี้ จะเป็นที่ผมจะโดนเผด็จศึกกันแน่นะ
ไม่นะ ม่ายยย

ในขณะที่สมองอันน้อยนิดกำลังคิดไปไกลจนกู่ไม่กลับนั่นเอง
TRRR

เสียงโทรศัพท์มือของผมก็ดังขึ้นกะทันหัน จนทำให้ทั้งผมและแบงค์สะดุ้งเล็กน้อย แบงค์ผละตัวออกจากผมทันทีด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมก็ลนลานคว้ามือถือของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความรวดเร็ว ซึ่งก็พบว่า คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณกมลชนกสุดที่รักของผมนั่นเอง

“ว่าใด”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่กเล็กน้อย

“จะมาว่าดงว่าใดกันล่ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วหา อะหยังยังบ่ปิ๊กบ้านสักเตื้อ”
เสียงของคุณกลมชนกบ่นผ่านเข้ามาจนผมแทบจะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

“เอ่อ กำลังติวหนังสือกับแบงค์อยู่น่ะ แห่ะ ๆ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเล็กน้อย

“แต้ก่ะ”
คุณกมลเอ่ยถามกลับมาด้วยความสงสัย อนึ่ง ‘แต้ก่ะ’ ในภาษาเหนือนั้นมีความหมายว่า ‘จริงหรือ’ น่ะครับ

“แต้กะแม่ บ่เชื่อก็ถามไอ้แบงค์มันดูได้”
ผมตอบกลับไปก่อนจะยื่นมือถือให้แบงค์พลางเขม่นคิ้วใส่เป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายรู้ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของผมก็รีบรับมือถือของผมไปด้วยท่าทีหวั่นเกรงเล็กน้อย

“เอ่อ สวัสดีครับ แม่”


จบคาบเรียนที่หก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2021 21:46:30 โดย จิบุ_จิบุ »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่เจ็ด




แบงค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกร็งนิด ๆ ก่อนจะยิ้มแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาจนแก้มแทบจะปริ ซึ่งก็สร้างความงุนงงให้กับผมพอสมควร

“ไม่เลยครับ นันท์เป็นเด็กดีมากครับ ไม่ได้กวนอะไรผมเลยแม้แต่นิดเดียวครับ”

โอเค แค่ประโยคนี้ ผมก็พออนุมานได้แล้วล่ะ ว่าคุณกมลชนกพูดอะไรกับอีกฝ่าย จริง ๆ เลย คุณผู้หญิงคนนี้เนี่ย

หลังจากที่แบงค์และคุณกมลชนกพูดคุยกันเสร็จ เจ้าตัวก็กดวางสาย โน้มตัวเพื่อวางมือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะกลับมาคร่อมผมอีกรอบ

เดี๋ยวนะ นี่กูยังไม่หลุดพ้นจากสถานการณ์หมิ่นเหม่แบบนี้อีกเหรอเนี่ย

“จะหม่ำละนะค้าบบบ”

“เฮ้ย เดี๋ยววว”

ไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว แบงค์ก็ใช้ริมฝีปากงับไปที่ ... ที่ ... เออนั่นล่ะ ที่ยังคงอยู่ภายใต้กางเกงนักเรียนขาสั้นซึ่งตอนนี้มันกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ ร่างกายของผมตอนนี้มันรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งรู้สึกปฏิเสธ ในขณะที่อีกใจรู้สึกโอนอ่อนผ่อนตามไปกับการกระทำนั้น ซึ่งสังเกตได้จากการที่ฝ่ามือของผมพยายามจะดันตัวของแบงค์ออกไป แต่ก็เป็นไปด้วยเรี่ยวแรงที่อ่อนระทวยจนแทบจะไม่สามารถเรียกว่าผลักได้เลยแม้แต่นิดเดียว

และเมื่ออีกฝ่ายเห็นท่าทีเช่นนั้น ก็ดูจะยิ่งได้ใจใหญ่ ปลดเข็มขัดนักเรียนของผมออกด้วยความรวดเร็วชนิดที่ผมเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งก็เผยให้เห็นกางเกงในที่ผมขออนุญาตไม่เอ่ยสีแล้วกัน แต่บอกได้แค่ว่ายังเป็นกางเกงในขอบยางยืดย้วยพวกนั้นตั้งแต่สมัยที่ไปเกาะพะงันนั้นล่ะ

ก็แหม มันยังใส่ได้อยู่มั้ยล่ะ จะซื้อของใหม่ทำไมให้มันเปลืองเงินเปลืองทอง อะไรที่ประหยัดได้ เราก็ต้องประหยัดสิ

แต่เฮ้ย เดี๋ยว ๆ ๆ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นโว้ยยย มันอยู่ที่ตอนนี้แบงค์กำลังรุกล้ำเขตหวงห้ามใต้ร่มผ้าของผมอยู่ต่างหากเล่า

“กลิ่นเย้ายวนใจผมเสียจริง ๆ นะครับ”

เย้ายวนใจก็เหี้ยแล้วครับ น้ำท่ายังไม่ได้อาบเลยเนี่ย มีแต่กลิ่นอับเหม็นเหงื่อสิไม่ว่า นับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายชักจะโรคจิตและหื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วแฮะ

ในขณะที่ผมกำลังเตลิดไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเอง อีกฝ่ายก็ใช้จังหวะทีเผลอนั้นดึงเจ้ากางเกงในขอบย้วย (จะย้ำเพื่อ?) นั้นลงด้วยความรวดเร็วทำเอาผมถึงกับร้องเฮ้ยด้วยความตกใจทันที

ผมหมายที่จะใช้ฝ่ามือปิดเจ้านันท์น้อย แต่ก็โดนแบงค์เอาฝ่ามือหนาปัดด้วยความรวดเร็วพร้อมกับใช้ฝ่ามืออีกข้างจับมันเอาไว้ด้วยความรวดเร็วทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเฮือกเลยทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โดนบุคคลอื่นจับของสงวนของตัวเองแบบนี้

โอ้ยยย ตายแล้วกู ฉิบหายแน่ ๆ เลยคืนนี้เนี่ย

เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมจึงใช้ฝ่ามืออันน้อยนิดของผมปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ด้วยความเขินอายอย่างหาที่สุดไม่ได้ พลางคิดในใจว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดสินะ

และผมก็ต้องรู้สึกสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มที่กำลังครอบเจ้านันท์น้อยเอาไว้ทำเอาผมถึงกับจิกผมแบงค์ไว้แน่น

“อือ...”

ผมส่งเสียงครางเล็กน้อยในลำคอ ซึ่งก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจมากขึ้นไปอีก ลิ้นสากที่กำลังแตะต้องโดนเจ้านันท์น้อยนั้นทำเอาผมถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว ผมเกร็งตัวจนอารมณ์ฟุ่งซ่านจนกู่ไม่กลับ ในขณะที่แบงค์ก็เร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

“อึก... อ๊ะ...”

ผมเผลอส่งเสียงออกมาจากลำคอเล็กน้อยเมื่อเจ้านันท์น้อยถึงฝั่งฝันภายในปากของอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวยังคงครอบมันเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะดูดแล้วค่อย ๆ ถอนปากออกแล้วลุกขึ้นไปห้องน้ำเพื่อป้วนของขุ่นเหลวที่เพิ่งออกมาจากเจ้านันท์น้อยของผมออกไปพร้อมกลั้วปากสองสามที แล้วเดินกลับมายังเตียง ซึ่งผมเองในตอนนี้นั้นยังคงใช้ฝ่ามือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้แน่นด้วยความเขินอาย ถึงแม้ว่าความเป็นจริงมันไม่น่าจะมีอะไรเหลือให้อายแล้วก็ตามทีเถอะ

“เป็นไงมั่งครับ”

เสียงกระซิบพร้อมลมหายใจอุ่นที่ข้างใบหูทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเฮือก ผมแหวกนิ้วตัวเองออกเล็กน้อย ก็พบสายตาที่ดูยิ้มอย่างมีความสุขของแบงค์กำลังจ้องมองผมภายใต้แว่นหนา

“อือ”

ผมตอบกลับไปสั้น ๆ ห้วน ๆ ก่อนจะปิดหน้าตัวเองอีกรอบพลางรีบดึงเจ้ากางเกงขอบย้วย (โว้ยยย) ขึ้นมาใส่เพื่อปกปิดเจ้านันท์น้อยของตัวเอง

เอาล่ะ หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงนึกสงสัยใช่มั้ยล่ะครับ ว่าประสบการณ์ครั้งแรกของผม ทำไมมันดูห้วน ๆ ไม่เหมือนประสบการณ์ของคนอื่นเลยสักนิด ที่ดูละมุน ดูยืดเยื้อชวนฝัน ชวนให้ฟินเคลิบเคลิ้มสามบ้านแปดบ้าน จิกหมอนกันสิบห้าตลบ

ผมก็ขอสารภาพ ณ ตรงนี้เลยละกันครับว่า

กู อาย โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ก็เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน จะให้มาพิรี้พิไร บรรยายสวยหรูชมนกชมไม้อะไรให้มันงดงามเสียเวลากันนักล่ะ

แค่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้กับผม ผมก็แทบไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้วเนี่ย

“ละ ละ แล้วมึงบ่ทำอ่อวะ”

นั่น ยังมีหน้าไปถามมันอีก ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เอ่ยถามเช่นนั้นออกไป เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็หัวเราะหึเบา ๆ ในลำคอ

“จะช่วยผมเหรอครับ”

อีกฝ่ายหอมแก้มผมพลางกระซิบที่ข้างใบหูผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความต้องการ

“แล้วจะให้กูช่วยมึงยังไง จะให้กูทำแบบที่มึงทำให้กูเมื่อกี้เหรอวะ กะ กะ กูยังบ่เคยเลย กู กู...”

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพอสมควร ซึ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาได้พอสมควร

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการของผมเองได้ แค่เอามือออกก่อนได้มั้ยครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมก็นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ คลายฝ่ามือที่กำลังปิดบังใบหน้าตัวเองออกพร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และภาพที่เห็นตรงหน้านั้นก็คือใบหน้าของแบงค์ที่ไร้ซึ่งแว่นหนา เผยให้เห็นดวงตาคมภายใต้คิ้วดำเข้ม

เอ่อ จะเรียกว่าคมก็คงไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก เพราะมันสายตาสั้น เพราะฉะนั้นเวลาถอดแว่นเลยต้องเพ่งมองมากกว่าปกติ

“......”

บัดซบจริง ๆ อุตส่าห์จะโรแมนติกสักหน่อย ดันเผลอบรรยายติดตลกไปได้ไงวะเนี่ย โว้ยยย

ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังคิดฟุ่งซ่านอยู่นั่นเอง แบงค์ก็โน้มตัวมาหอมแก้มผมพร้อมกับโอบกอดผมด้วยแขนข้างหนึ่งไว้แน่นก่อนจะใช้ริมฝีปากอ่อนนุ่มหอมแก้มผมดังฟอด แล้วประกบเข้ากับปากผมด้วยความรวดเร็วพร้อมกับสอดลิ้นสากเข้ามา ในขณะที่มือของอีกฝ่าย ก็กำลังลูบไล้หน้าท้องของผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละมันออกไปซึ่งก็สร้างความสงสัยให้กับผมพอสมควรว่าอีกฝายกำลังคิดจะทำอะไร ผมจึงยกมือของตัวเองควานหาจนในที่สุดก็พบคำตอบ เมื่อไปสัมผัสเข้ากับฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายที่กำลัง ... เอ่อ... กำลัง ... กระทำอะไรบางอย่างกับเจ้าแบงค์น้อยอย่างขะมักขะเม้น หนำซ้ำมือของผมยังเผลอไปสัมผัสโดนเจ้าแบงค์น้อยโดยไม่ตั้งใจอีกต่างหาก จนต้องรีบชักมือกลับออกมาอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าตัวก็คว้ามือผมไว้ทันพร้อมกับลากกลับไปยังเจ้าแบงค์น้อยที่ตอนนี้กำลังโตเต็มที่

“ช่วยผม...หน่อย...สิครับ”

แบงค์ถอนปากออกพลางกระซิบที่ข้างหูผมด้วยเสียงกระเส่าอย่างแผ่วเบา ทำเอาใจของผมเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ แต่เอาวะ ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ไปต่อมากกว่านี้ก็คงไม่มีอะไรจะเสียหายแล้วล่ะ

ไหน ๆ คนเป็นแฟนกันนี่นะ เรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่สักวันเราก็ต้องไปถึง

ท่องเข้าไว้ในใจ ท่องเข้าใจ ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ เพศศึกษาที่ที่เคยร่ำเรียนมา งัดมันออกมาใช้ให้หมด

ท่องไว้ ๆ มันคือฮอร์โมน มันเป็นไปตามธรรมชาติของวัยรุ่น

ท่องไว้ ๆ เพศศึกษา เพศศึกษา เพศศึกษา

“......”

ว่าแต่วิชาเพศศึกษา สอนเหี้ยอะไรกูมาบ้างวะ

“......”

โว้ยยย นี่มันฉากเข้าพระเข้านายนะเว้ย คนอ่านเขารอลุ้นฉากที่มันชวนจิ้น อ่านแล้วรู้สึกโรแมนติกฟินจิกหมอน มึงก็ยังมีหน้าจะพาออกรกออกพงออกทะเลชวนฮาอยู่ได้ ไอ้เหี้ยนันท์ ไอ้ควายยย

เอาล่ะ รวบรวมสติ แล้วกลับมานับหนึ่งกันใหม่

ผมใช้ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับเจ้าแบงค์น้อยที่กำลังโตเต็มที่พร้อมกับจับมันเอาไว้แน่น ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับส่งเสียงอือเบา ๆ ในลำคอ แม่งเอ้ย ช่างเป็นเสียงที่ชวนให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมโคตร ๆ ทำเอาเจ้านันท์น้อยของผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเลยแฮะ

“อือ...เร็ว...ขึ้นอีกนิด...ก็ได้ครับ”

แบงค์กระซิบด้วยเสียงหอบเล็กน้อยพร้อมกับกอดผมเอาไว้แน่น ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้รับไออุ่นจากอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดผมเอาไว้ พล่างเร่งจังหวะตามคำขอของอีกฝ่าย

โอ้ยยย เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจริง ๆ ที่ได้ทำอะไรแบบนี้ ปกติเคยแต่ช่วยตัวเองตามปกติหน้าคอมพ์ฯ ก็ได้จับแต่ของตัวเอง แต่พอได้ลองจับของคนอื่น ไม่สิ ต้องเรียกว่าแฟนแล้วเหอะ แล้วมันก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันแฮะ มันรู้สึกอุ่นร้อน แถมด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าที่เคยคิดเอาไว้อีก เพราะถ้าจำไม่ผิด ผมเองก็เคยเผลอไปจับของเจ้าตัวครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เล่นบาสสมัยที่เราทั้งสองยังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ จำได้ตอนนั้นก็เคยประมาณการณ์เอาไว้คร่าว ๆ แล้วแท้ ๆ ว่าขนาดคงใหญ่พอสมควร แต่พอได้ลองจับของจริงโดยไม่มีอะไรขวางกั้นแล้วมันยิ่งทำให้รู้สึกเลยว่าของผมนั้นช่างเล็กกระจ้อยร่อยสู้อีกฝ่ายไม่ได้จริง ๆ ถ้าต้องโดนไปมากกว่าคงได้มีตายกันไปข้างหนึ่งแน่

แต่เฮ้ย เดี๋ยวนะ นี่กูกับมันตกลงบทบาทกันแล้วเหรอวะ ว่าใครเป็นแบบไหนอะไรยังไงเนี่ย เออว่ะ จะว่าไปที่ผ่านมาตั้งแต่คบกันก็ไม่เคยคุยถึงเรื่องนี้เลยแฮะ

“อือ...อ่ะ...”

เสียงกระเส่าของแบงค์ดึงสติให้กลับมา เจ้าตัวใช้ริมฝีปากขบเข้าที่ใบหูของผมเบา ๆ ลมหายใจอุ่นร้อนที่รดเข้ามาก็ยิ่งทำให้ผมเกิดอารมณ์เตลิดจนเผลอเร่งจังหวะมือเร็วขึ้นจนอีกฝ่ายเกร็งตัวและโอบกอดผมแน่นมากขึ้น และยิ่งทำให้ผมเร่งจังหวะเร็วขึ้นไปอีก จนในที่สุด ...

“อ๊ะ... อึก...”

อีกฝ่ายเกร็งตัวส่งเสียงครางในลำคอเบา ๆ พร้อมกับปล่อยของเหลวที่แสนจะเหนียวเหนอะออกมาจากเจ้าแบงค์น้อย เอ่อ อันที่จริงก็ไม่น้อยหรอก หากเทียบกับขนาดของผม (โว้ยยย) จนเลอะต้นขาของผม จนสัมผัสได้ถึงความอุ่นของมัน ผมรีบผละมือออกจากเจ้าแบงค์น้อยมาเพื่อรีบปาดเจ้าของอุ่นเหลวนั้นไม่ให้ไหลลงจากต้นขาไปเปื้อนเตียงนอน

“รอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปหยิบกระดาษทิชชู่มาให้”

แบงค์เอ่ยกระซิบด้วยเสียงหอบเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบมวนกระดาษทิชชู่ที่ตั้งอยู่ตรงชั้นหนังสือมาเช็ดเจ้าคราบของเหลวที่ต้นขาผม พร้อมกับผมที่ลืมตาขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาของผมพลันไปสบเข้ากับเจ้าแบงค์น้อยนั่นพอดี

โอ้ววว มาย ก้อดดด ว่าตอนจับด้วยมือก็ว่าสุด ๆ แล้ว พอได้เห็นของจริงเข้าไปนี่ อื้อหือออ ยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการไว้เอาไว้อีกนะเนี่ย ทำเอาถึงกับสงสัยจริง ๆ ว่าคนที่ดูออกจะเกือบจะเพอร์เฟคแบบนี้จะโดนทิ้งมาหลายครั้งหลายคราจนหลุดรอดมาถึงคนอย่างผมได้อย่างไรกันนะ

แต่จะว่าไป ที่ผ่านมาเอาแต่เรียกเจ้าแบงค์น้อย แต่พอเจอของจริงเข้าไป ขอเรียกใหม่อีกทีว่าเจ้าแบงค์ใหญ่น่าจะดีกว่าแฮะ เออนั่นล่ะ

“......”

แล้วมันเป็นบ้าอะไรวะ ที่ต้องมากระวนกระวายใจกับการเรียกเจ้าของสงวนของอีกฝ่ายว่าจะเรียกอะไรดี โว้ยยย ทำไมฉากติดเรทของคนอื่นมันดูดี ดูน่าคล้อยตาม แล้วพอของกู ไหงมันกลายเป็นฉากตลกไปได้วะเนี่ย

“ไปล้างตัวกันเถอะครับ”

แบงค์เอ่ยบอกพลางยื่นฝ่ามือหนามาให้ผมจับ เราทั้งสองต่างพากันไปยังห้องน้ำก่อนจะเปิดฝักบัวอย่างช้า ๆ เพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าผมนั้นไม่ถูกโฉลกกับน้ำเย็น จึงต้องรอให้อุณหภูมิน้ำอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงค่อยเร่งความแรงขึ้น

“เป็นยังไงมั่งครับ สำหรับการติวหนังสือวันนี้”

แบงค์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายสุด ๆ

“ไอ้ลามก”

ผมก่นด่าเบา ๆ ด้วยความเขินอายเล็กน้อย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หาได้รู้สึกสลดไม่ หนำซ้ำยังดูเริงร่าอย่างกับปลากระดี่ได้น้ำสุด ๆ อีกต่างหาก

“มาครับ เดี๋ยวผมล้างตัวให้”

พูดจบ เจ้าตัวก็หยิบฝักบัวมามาล้างตัวให้ผม บอกตามตรงเลยว่าฝ่ามือหนาที่ค่อย ๆ ลูบไล้ไปทั่วตัวผมอย่างช้า ๆ นั้นทำเอาผมรู้สึกดีไม่น้อยจนเจ้านันท์น้อยถึงกับตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอีกครั้ง

“นั่นแน่ะ มีอารมณ์อีกแล้วเหรอครับ มาครับ เดี๋ยวผมช่วย”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวก็คว้าหมับเข้าให้ด้วยความรวดเร็วชนิดที่ผมเองก็ยังตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำ

“ไอ้สัส หยุดก่อน เดี๋ยวจะดึกไปกันใหญ่ แม่กูได้ตามมาฆ่ากูถึงห้องมึงพอดีหรอก”

ผมเอ่ยปรามเล็กน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเล็ก ๆ เท่าที่พอจะทำได้ อีกฝ่ายเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าหงอยไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือออกแล้วหอมแก้มผมฟอดหนึ่ง

“งั้นไว้วันหลังก็ได้ครับ ถ้ามีโอกาส”

“ยังคิดจะมีวันหลังอีกเรอะ ไอ้ลามก”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ก็คนเป็นแฟนกันเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะเสียหายนี่ครับ”

“แต่มึงกับกูยังอยู่ในวัยเรียนนะเว้ย”

ผมเอ็ดกลับไปเล็กน้อย เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินแบบนั้นก็นิ่งเงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว

“โอเค งั้นเดี๋ยวผมทำพิธีหมั้นไว้ก่อนได้มั้ยครับ เป็นเครื่องการันตีว่าผมจริงจังกับนันท์”

โอ๊ยยย กูอยากจะรู้จริง ๆ ว่าในสมองของไอ้ผู้ชายคนนี้มันมีอะไรอยู่ข้างในกันนะ ดูมันพูดออกมาแต่ละอย่างสิครับ

“ไอ้สัส เว่อร์แล้วมึง กูบ่ใช่ผู้หญิง บ่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”

เจ้าตัวหัวเราะร่าทันทีเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น

หลังจากที่เราทั้งสองล้างเนื้อตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ก็พากันออกมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนจะใส่เสื้อผ้า

“ไอ้ห่า ชุดกูยับแบบนี้แม่กูต้องสงสัยแน่ ๆ”

“จะรีดก่อนมั้ยล่ะครับ ผมมีเตารีดอยู่”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินไปข้างเตียงเพื่อหมายจะหยิบเจ้าเตารีดมาให้ผม

“บ่ต้อง เสียเวลา เดี๋ยวถ้าแม่กูถามกูก็ค่อยบอกว่าไปฟัดกับหมีตัวโตแถว ๆ นี้มาเอาละกัน”

ผมตอบกลับไปกึ่งประชดเล็กน้อย ซึ่งไม่รู้ว่าแบงค์จะรู้หรือไม่ว่าหมีที่ผมหมายถึงนั้นคือเจ้าตัวเองนั่นล่ะ แต่เมื่อดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายที่พยักหน้ากลับมาอย่างว่านอนสอนง่าย ก็ดูท่าจะไม่รู้แฮะ ... รึเปล่าวะ เดาใจมันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ผมก็หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาด้วยความรวดเร็วก่อนจะเดินไปยังประตูห้องเพื่อกลับบ้านของตัวเอง

“เดี๋ยวครับ”

“อะหยังของมึงอี...”

ไม่ทันที่ผมจะได้บ่นให้จบ เจ้าตัวก็เดินมาโอบกอดผมจากด้านหลังเอาไว้แน่น จนผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย

“ขอบคุณสำหรับวันนี้มาก ๆ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ทักหาผมอีกทีด้วยนะครับ”

“...อะ...อืม...”

ผมตอบกลับไปสั้น ๆ ห้วน ๆ ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกแย่อะไรหรอกนะ ตรงกันข้ามเลยต่างหากล่ะ ผมรู้สึกดีมาก ๆ แต่ปากเจ้ากรรมดันกลับตอบไปได้แค่นั้นจริง ๆ

ผมลงจากหอของแบงค์มาด้วยความรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูรั้วหน้าบ้านแล้วจึงเดินเข้าไปเปิดประตูบ้านอย่างช้า ๆ โดยหวังในใจว่าคุณกมลชนกสุดที่รักของผมนั้นจะหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องกับความผิดหวังเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้านั้นคือ คุณกมลชนกกำลังนั่งจ้องมองผมอยู่บนโซฟาโดยมีละครหลังข่าวอยู่เป็นเพื่อน

“ก็นึกว่าหายสาบสูญไปเสียแล้ว ไอ้ลูกคนนี้นี่”

นั่นไง โดนด่าจนได้กู

“แล้วนั่นไปทำอะหยังมาน่ะ เสื้อผ้าถึงได้ยับยู่ยี่แบบนี้เนี่ย”

นั่นไง ว่าแล้วว่าต้องโดนถามแน่ ๆ

“เอ่อ ไปฟัดกับหมีตัวโตที่ขั้วโลกเหนือมาน่ะ”

คุณกมลชนกถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันทีที่ผมตอบกลับไปเช่นนั้น เอาน่ะ ก็ไม่ได้โกหกสักหน่อย ก็หมีตัวโตจริง ๆ นี่ เล่นเอากูเกือบตายห่าแล้วมั้ยล่ะ

“เออ ๆ กินอะหยังมารึยังน่ะ แม่ทำกับข้าวเอาไว้ ถ้าหิวก็เอาไปอุ่นก่อนล่ะ แล้วก็รีบ ๆ ไปอาบน้ำซะ นี่ก็ดึกมากแล้ว จะได้เข้านอน”

“แล้วแม่ล่ะ อะหยังยังบ่นอน”

“ก็บ่เห็นเหรอ ว่ากำลังดูละครเนี่ย เอ๊ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ ถามอะหยังแปลก ๆ นี่ส่งให้ไปเรียนเพราะหวังว่าจะได้ฉลาด ๆ ขึ้นมาบ้าง ไหงบ่เห็นผลเลยเนี่ย”

เอ้า กูผิดไปอีก แต่เอาเถอะ นั่นล่ะ คุณกมลชนกของผมถึงจะปากร้ายไปนิด แต่จริง ๆ ก็ใจดีนะ แต่แค่ไม่แสดงออก

มั้งนะ ฮ่าฮ่าฮ่า


หลังจากที่ผมกินข้าวเสร็จ ผมก็อาบน้ำอีกรอบเพื่อไม่ให้คุณกมลชนกเกิดความสงสัย หลังจากที่ใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็นั่งลงหน้าคอมพ์ฯ อยู่ครู่หนึ่งพลางนึกลังเลว่าจะเปิดคอมพ์ฯ ดีหรือไม่ แต่เมื่อหันมองเวลาจากหน้าจอมือถือซึ่งตอนนี้กำลังบอกว่าใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเตียงนอนทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมาด้วยก่อนจะเปิดเมสเซนเจอร์ขึ้นมา

นันทการ : กูถึงบ้านแล้วนะ กำลังจะนอนละ

Power Bank : ครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวผมไปรับที่บ้าน ฝันดีนะครับ สุดที่รักของผม

“......”

โอ้ยยย ให้ตายสิ ทำไมกูต้องมานั่งเขินตัวเองกับประโยคสั้น ๆ แค่นั้นด้วยวะเนี่ย บ้าบอจริง ๆ พอ ๆ แค่นี้ก่อน นอนเหอะ เดี๋ยวจะดึกไปกันใหญ่

ทันทีที่คิดเช่นนั้น ผมก็หยิบมือถือเสียบสายชาร์จทันที โดยไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วย แล้วจึงล้มตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าผืนหนาด้วยรอยยิ้มพลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ

“......”

พอ ๆ นอนเหอะ อย่าฟุ้งซ่าน เดี๋ยวจะเตลิดไปไกลอีก ไอ้นันท์ ฮ่าฮ่าฮ่า



“อาบน้ำนานจริง ๆ เลยนะมึงเนี่ย”

ผมบ่นอุบทันทีเมื่อได้ยินเสียงไอ้น้องไนท์เดินออกมาจากห้องน้ำพลางหันไปด้วยสัญชาตญาณก่อนจะต้องตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สุดแสนจะโดดเด่นของไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้เกือบจะเปลือยเปล่า ไหนจะทั้งแผงอกอันขาวเนียน หัวนมสีชมพู ...

และ ... อะไรบางอย่างที่กำลังนูนเด่นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้ผ้าขนหนูผืนน้อยซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปกปิดร่างกายนั้นเอาไว้นั้นด้วย

“พี่นันท์กำลังมองอะหยังของผมอยู่รึเปล่าน่ะ”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยเลศนัยพอสมควร ทำเอาผมถึงกับต้องรีบหันหน้าหนีกลับไปยังวิวด้านนอกคอนโดทันทีด้วยความรวดเร็ว

“ปะ เปล่า ไอสัส รีบ ๆ ไปใส่เสื้อผ้าเลยนะมึง เห็นแล้วอุจาดตา เร็ว เดี๋ยวกูจะได้ไปอาบมั่ง ง่วงแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าอีก”

“ครับ ๆ สุดแท้แล้วแต่พี่นันท์จะบัญชาเลยครับ แต่... ถ้าพี่นันท์เห็นรูปร่างผมแล้วจะเปลี่ยนใจมาชอบผม ก็ยังบ่สายนะครับ เดี๋ยวผมจัดให้เต็มที่เลย”

“ถ้ามึงยังบ่หยุดพูดมาก กูจะไล่ให้มึงไปนอนโรงแรมแล้วนะเว้ย เร็ว ๆ รำคาญ!”

ผมเอ็ดกลับไปจนเจ้าตัวต้องรีบวิ่งไปใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว

“......”

ห่าเอ้ย อะไรของกูวะเนี่ย ก็แค่รุ่นน้องตอนสมัยเรียนชั้นมัธยมธรรมดา ๆ คนหนึ่งแท้ ๆ แต่ไหงพอเห็นช็อตเมื่อกี้เข้าไป ถึงทำให้ใจเต้นขึ้นมาได้กันนะ

หรืออยู่ในช่วงของขาดหรือเปล่าวะ ร่างกายเลยโหยหาขึ้นมา

“......”

ไอ้สัส หยุดเลยนะมึง ไอ้ความคิดด้านนั้นเนี่ย แล้วมึงก็ด้วยไอ้นันท์น้อย มึงไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลย นั่นรุ่นน้องนะ มึงอย่าไปคิดเกินเลยกับมันเด็ดขาดนะเฮ้ย เดี๋ยวจะเสียอำนาจการปกครองเปล่า ๆ

ทันทีที่คิดได้เช่นนั้นผมก็รีบหอบร่างกายที่แสนจะเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวันไปยังราวแขวนผ้าเพื่อหยิบผ้าขนหนูมาพาดไว้ที่บาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งอย่างนั้น เพราะคิดว่าหากถอดเสื้อผ้าก่อนเข้าห้องน้ำคงไม่แคล้วได้ตกเป็นเป้าสายตาที่ดูแสนจะอันตรายของไอ้น้องไนท์เป็นแน่แท้

“......”

ในจังหวะที่ผมกำลังรู้สึกผ่อนคลายไปกับน้ำอุ่นที่พุ่งออกมาจากผักบัวอยู่นั่นเอง

“......”

ภาพร่างกายอันเกือบจะเปลือยเปล่าของไอ้น้องไนท์เมื่อครู่ก็หวนเข้ามาในสมองผมเสียอย่างนั้น ทำเอาไอ้เจ้านันท์น้อยถึงกับตื่นขึ้นจากการหลับไหลขึ้นมาอีกครั้ง

เหี้ยแล้วกู ไม่น่าไปเห็น ไม่น่าไปนึกถึงมันเลย เอาไงล่ะทีนี้ จะว่าไปก็ไม่ได้จัดการตัวเองมาหลายวันแล้วเหมือนกันแฮะ อันเนื่องมาจากมัวแต่โหมงานหนักมากเกินไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

“......”

แต่จะให้มาจัดการตัวเองโดยมีไอ้น้องไนท์เป็นภาพในจินตนาการเนี่ยนะ เกรงว่าคงไม่เป็นการดีแน่ ๆ

“......”

และ ... อะไรบางอย่างที่กำลังนูนเด่นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้ผ้าขนหนูผืนน้อยซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปกปิดร่างกายนั้นเอาไว้นั้นด้วย

“......”

บ้าเอ้ย แล้วไหงถึงสลัดภาพพวกนั้นออกไปจากหัวไม่ได้กันวะ

พี่นันท์ครับ

อยู่ ๆ เสียงของไอ้น้องไนท์ที่เรียกชื่อผมเป็นประจำก็หวนเข้ามาในโสตประสาทของผมพร้อมกับมือข้างหนึ่งของผมกำลังจับเจ้านันท์น้อยโดยที่มืออีกข้างก็พิงกำแพงห้องน้ำเพื่อทรงตัวเอาไว้

“อือ...”

ผมส่งเสียงครางเบา ๆ ในลำคอเล็กน้อยพลางปลดปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ที่ยากจะหยุดเอาไว้ได้ในเวลานี้

พี่นันท์กำลังมองอะหยังของผมอยู่รึเปล่าน่ะ

“อา...”

บ้าจริง หยุดไม่ได้เสียแล้วสิ

แต่... ถ้าพี่นันท์เห็นรูปร่างผมแล้วจะเปลี่ยนใจมาชอบผม ก็ยังบ่สายนะครับ เดี๋ยวผมจัดให้เต็มที่เลย

“อะ... อือ...”

ผมเร่งจังหวะมือให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อคำพูดนั้นหวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

“อะ...อึก...!”

จนในที่สุด ......


ผมเดินออกจากห้องน้ำด้วยความรวดเร็วเพื่อไปยังตู้เสื้อผ้าโดยหวังไม่ให้ไอ้น้องไนท์ได้เห็นผมในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลงทันทีเมื่อหันไปเห็นเจ้าตัวนอนหลับอยู่บนโซฟารับแขกไปเสียแล้ว ผมจึงเบาใจขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง

หลังจากที่ผมใส่ชุดนอนเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปยังเตียงนอนทันที แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงก็พลันนึกเอะใจอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

“......”

ใช่แล้ว ไอ้น้องไนท์ไม่มีผ้าห่มนี่หว่า เมื่อกี้เหมือนเห็นเจ้าตัวนอนกอดอกโดยไม่มีอะไรปิดตัวเลยสักนิด ไม่หนาวเหรอวะนั่น จะปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นเดี๋ยวหวัดกินไปออกงานไม่ได้แล้วจะพาลมาโทษกูอีก

ทันทีที่ผมคิดได้เช่นนั้นก็เดินไปยังตู้เสื้อผ้าอีกรอบพร้อมก้มตัวลงควานหาผ้าห่มสำรองที่จำได้ว่าเคยยัด ๆ เอาไว้เมื่อตอนย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ผมหยิบมันออกมาคลี่ดูเพื่อเช็กความสะอาด เมื่อเห็นว่ายังคงใช้งานได้ดีก็เดินตรงไปยังโซฟารับแขก

“......”

ผมยืนนิ่งกอดผ้าห่มไว้ในอ้อมอกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เพ่งพินิจไอ้น้องไนท์ที่ตอนนี้หลับไปแล้ว

“ไอ้เด็กน้อยเอ้ย...”

ผมบ่นพลางอมยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะนำผ้าห่มที่เตรียมมาห่มให้กับอีกฝ่ายแล้วจึงดันตัวให้ลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังเตียงนอนของตัวเอง

“......”

ก็ถ้านานแล้วจริง พี่จะเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้เพื่ออะหยังล่ะ

“......”

นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ ๆ นะ ผมว่าพี่นันท์ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วมั้ง

“......”

อยู่ ๆ คำพูดของไอ้น้องไนท์ก็โผล่กลับเข้ามาในหัวอีกจนได้ เล่นเอาสลัดออกจากหัวไม่หลุดจริง ๆ

ผมหันไปยังไอ้น้องไนท์อีกรอบ ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินกลับไปยังโซฟาอีกรอบ

“......”

มีอยู่คนนึงแถว ๆ นี้แท้ ๆ แต่พี่ก็ชอบมองข้ามมาตลอดเลยนะ

“......”

ผมโน้มตัวลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เจ้าตัวได้ทันรู้สึกก่อนจะรีบเดินกลับมายังเตียงนอน ปิดไฟในห้องพร้อมกับหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเองเอาไว้ ซึ่งปกติผมจะห่มถึงแค่หน้าอกเท่านั้น ทว่าวันนี้ผมกลับคลุมโปงจนมิดหัวพร้อมนอนตะแคงครุ่นคิดกับการกระทำของตัวเองเมื่อครู่

“......”

ไอ้ตายสิ ไอ้เด็กบ้า จะกี่ปี ๆ ก็ยังกวนประสาทได้เหมือนเดิมไม่มีผิดจริง ๆ

แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับไหมเนี่ย พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าด้วย ขืนไปสาย ไม่แคล้วได้โดนพี่ชาติด่าเอาแน่ ๆ


เฮ้อออ



จบคาบเรียนที่เจ็ด



มุมเมาท์มอยหอยสังข์


สวีดัด สวัสดีมิตรสหายนักอ่านทุกท่าน หายไปนานมากเลยแฮะ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ งาน งาน และก็งานล้วน ๆ ที่สำคัญสมองตื้อตีบตัน เค้นมันออกมาจากหัวไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่มีไอเดียมากมายในหัวแท้ ๆ

แต่ก็มีนิยายเรื่อง แล้วเคยขึ้นเท่าไหร่ครับ ให้ได้อ่านคั่นเวลาไปพลาง ๆ ก่อน หวังว่าคงไม่โกรธกันน้าาา

เอาล่ะ เข้าเรื่อง สำหรับตอนนี้ คิดว่า คงสมใจกันบ้าง (มั้ง?) แห่ะ ๆ ก็แบบ ก็นันท์อะเนอะ จะไปอะไรกับน้องนันท์มาก ฮ่าฮ่าฮ่า

ส่วนตอนต่อไปนั้น.... มาแน่ ช้า แต่ชัวร์ อิอิ



ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2021 10:38:51 โดย จิบุ_จิบุ »

ออฟไลน์ จิบุ_จิบุ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • จิ๊บคุง
คาบเรียนที่แปด


“โห ห้องน่าอยู่มากเลยนะครับเนี่ย”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยชมทันที่เจ้าตัวเดินตามผมเข้ามายังห้องของผม ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชมด้วยความจริงใจ หรือชมด้วยความประชดกันแน่ เพราะในความเป็นจริงแล้วห้องของผม ณ ตอนนี้จัดได้ว่าค่อนข้างรกพอสมควร

“แล้วนี่ปิ๊กมาเจียงใหม่ บ่มีใครว่าเหรอไงน่ะ เห็นช่วงนี้งานเยอะบ่ใช่เหรอ”

ผมเอ่ยถามพร้อมใช้เท้าเขี่ย ๆ กองสัมภารก (อ่านไม่ผิดครับสัมภารก ไม่ใช่สัมภาระ) แล้วเดินเข้าไปด้านใน

“อ้าว นี่พี่บ่รู้เหรอ ว่าวงพวกผมตอนนี้มีงานที่เจียงใหม่เนี่ย”

ผมหันไปเลิกคิ้วสูงใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“อ้าว แล้วถ้าอย่างนั้นคนอื่นในวงล่ะ ไปไหนกันหมด?”

ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่สิ่งที่ได้กลับมาเพียงความเงียบและรอยยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบห้อง ซึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกอับอายขึ้นมาพอสมควร

“นี่พี่นันท์ยังลืมพี่แบงค์เขาไม่ได้อีกเหรอ”

ไอ้น้องไนท์เอ่ยถามพลางเดินไปยังชั้นหนังสือพร้อมหยิบสมุดไดอารี่ขึ้นมาดู แต่ไม่ได้เปิดดูแต่อย่างใด คงเพราะรู้ตัวดีว่าหากทำเช่นนั้นคงไม่แคล้วโดนผมด่าเอาแน่ ๆ

ผมถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนจะก้มตัวลงไปหยิบข้าวของบนพื้นขึ้นมาจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้วจึงมองออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง

“ไม่มีหรอกเรื่องลืมน่ะ จะมีก็แต่ลืมช้า หรือลืมเร็วแค่นั้นน่ะล่ะ”

“เป็นนางเอกจากเรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาวเหรอพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า”

ไอ้น้องไนท์หัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะวางสมุดไดอารี่วางคืนบนชั้น ทำเอาผมถึงกับต้องเขม่นคิ้วใส่เล็กน้อยเพราะโดนรู้ทัน

“นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ ๆ นะ ผมว่าพี่นันท์ควรจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วมั้ง”

“ไอ้ห่า วัน ๆ ทำแต่งาน จะเอาเวลาไหนไปหาแฟนกันวะ”

ผมบ่นอุบอิบเบา ๆ กับตัวเองโดยที่มือยังคงเก็บกวาดข้าวของไปด้วย ไอ้น้องไนท์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาช่วย ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากเสื้อผ้าของอีกฝ่าย

“ก็มีอยู่คนนึงแถว ๆ นี้แท้ ๆ แต่พี่ก็ชอบมองข้ามมาตลอดเลยนะ”

ผมชำเลืองตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ซึ่งหากจะพิจารณาด้วยความเป็นแล้วนั้นก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ เลยล่ะครับว่าไอ้น้องไนท์ ณ ตอนนี้นั้นหน้าตาผิวพรรณดีกว่าเมื่อสมัยยังเป็นเด็กมัธยมมากนัก และยิ่งด้วยสายตาที่ดูกะลิ้มกะเหลี่ยนั่นอีก ก็ทำเอาผมถึงกับเกิดอาการใจเต้นขึ้นมาพอสมควร

ตึก ๆ ตึก ๆ ตึก ๆ

ตึก ๆ หาพ่อมึงเหรอไอ้นันท์ นั่นอดีตรุ่นน้องนะเว้ย

ก๊อก ๆ ๆ

ในจังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซึ่งก็ช่วยดึงสติผมกลับมาได้ ทั้งผมและไอ้น้องไนท์ต่างหันไปมองก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

“สวัสดีครับ นันท์พอดีผมเพิ่งเลิกงานเลยแวะมา...อะ อ้าว มีแขกอยู่เหรอครับ”

ภูเอ่ยทักทายทันทีที่ผมเปิดประตูต้อนรับก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังผม

“อ๋อ นี่เป็น...”

“แฟนน่ะครับ อุ๊ก!!!”

ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งไปยังชายโครงของไอ้น้องไนท์ทันทีที่เจ้าตัวพูดเช่นนั้นจนเจ้าตัวถึงกับงอตัวด้วยความเจ็บปวด

“อดีตรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยมน่ะ แค่มาแวะมาออกงานที่เจียงใหม่เท่านั้นน่ะ”

“อ้อออ นี่มัน ไนท์แห่งวง Undefined นี่เอง ก็ว่าล่ะ ว่าทำไมหน้าตาคุ้น ๆ โอโห ผมนี่เป็นแฟนคลับวงนี้เลยนะครับเนี่ย”

ภูออกอาการดีใจอย่างออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นเป็นใคร ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินคำชมเช่นนั้นก็แอบยิ้มแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

“ว่าแต่ภูมีธุระอะไรเหรอ ถึงมาซะดึกเลยเนี่ย”

ผมชิงตัดบทเข้าเรื่องเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้จะไม่จบประเด็นสักที

“อ้อ เออใช่ ๆ พอดีผมซื้อขนมมาฝากน่ะครับ ยังไงก็แบ่งทานกันทั้งคู่นะครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับพรุ่งนี้มีงานเช้า เอ้อ ถ้าบ่รังเกียจ ผมขอถ่ายรูปคู่คุณไนท์ได้มั้ยครับ อุตส่าห์ได้เจอตัวจริงทั้งที”

ภูยื่นขนมให้ผมก่อนจะล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบมือถือออกมา ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนนั้นก็เกิดอาการลังเลเล็กน้อย จนผมต้องกระทุ้งข้อศอกเข้าไปที่ชายโครงอีกรอบเพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าตัวรู้ว่าควรทำอย่างไร

ภูเปิดกล้องมือถือด้วยความรวดเร็วก่อนจะโยกตัวมาเข้ามาใกล้ ๆ ไอ้น้องไนท์ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้กล้องก่อนที่ภูจะกดชัตเตอร์ถ่ายรูปคู่เก็บเอาไว้

“ขอบคุณมากครับ คุณไนท์ บ่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอตัวจริง หล่อกว่าในรูปจริง ๆ เอ้อ ยังไงผมขอตัวก่อน บ่รบกวนแล้ว ไปละครับ”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินกลับไปยังห้องตัวเองด้วยสีหน้าอย่างคนมีความสุข ทิ้งให้ไอ้น้องไนท์ยืนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“เดี๋ยวมึงจะโดนกูบ่ใช่น้อย ไอ้เด็กเวร ไปบอกเขาได้ไงวะ ว่ามึงเป็นแฟนกู”

ผมหันไปเอ็ดใส่เจ้าตัวทันทีที่นึกขึ้นได้ ไอ้น้องไนท์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการกระอึกกระอัก พอสมควร

“อ้าว ก็บ่รู้นี่พี่ ก็นึกว่าไอ้เจ้านั่นมันจะมาจีบพี่เสียยอีก ผมก็เลยเกิดอาการหึงขึ้นมาน่ะสิ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด ๆ นั้น

“จีบห่าอะหยังล่ะ เพื่อร่วมคอนโดกูเว้ย ไอ้ห่านี่ แล้วที่สำคัญ มึงบ่ใช่แฟนกู จะมาหึงกูทำเหี้ยอะหยังวะ”

“เอ้า งั้นก็เป็นแฟนผมสักทีสิ ผมจะได้หึงได้เต็มที่สักที”

“หยุดเลยมึง ขืนยังพูดมากอีกกูจะให้มึงนอนหน้าประตูห้องจริง ๆ ด้วย ไป ๆ ไปเอาน้ำผลไม้ในตู้เย็นออกมา จะได้กับขนมนี่”

ผมเอ็ดใส่ พร้อมยื่นถุงขนมในมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบทำตามคำสั่งอย่างเร่งรีบ

“ว่าแต่ไอ้รุ่นพี่ที่มึงเคยคบด้วยตอนช่วง ม.ปลาย น่ะ ไปไหนแล้ววะ”

ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อไอ้น้องไนท์นำขนมและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม

“โอย เลิกกันไปตั้งนานแล้วพี่นันท์”

“อ้าว เลิกกันได้ไงวะ”

“ก็หลายเรื่องอะ แรก ๆ ก็หวานดีอยู่หรอก แต่หลัง ๆ เริ่มบ่ใช่ละ ก็เลยเลิกกันดีกว่า คบไปก็ยิ่งทำให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิม”

ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“เออ ช่างมันเหอะพี่ พี่เองเหอะ ยังบ่ตอบคำถามผมตรง ๆ เลย”

“เรื่องอะหยังวะ”

“ก็เรื่องพี่แบงค์ไงล่ะ”

อึก!

“เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว มึงจะอยากรู้ไปเพื่ออะหยังวะ”

“ก็ถ้านานแล้วจริง พี่จะเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้เพื่ออะหยังล่ะ”

“ก็แค่เจอตอนจัดห้องปะวะ กูก็เลยเก็บ ๆ ไว้ บ่ได้มีอะหยังสักหน่อย”

ผมตอบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ สงวนท่าทีเล็กน้อย

“งั้น...ถ้าบ่มีอะหยังจริง ๆ ผมเอาสมุดไดอารี่ไปทิ้งนะ”

ไอ้น้องไนท์พูดพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปยังชั้นหนังสือ

“ไอ้สัส มึงหยุดนะ ถ้ามึงทำ นอกจากมึงจะได้นอนนอกห้องแล้วมึงยังได้มีรอยฟกช้ำบนใบหน้าหล่อ ๆ ของมึงไปโชว์วันงานจริง ๆ ด้วยเอ้า”

ผมรีบปรามอีกฝ่ายทันทีด้วยความรวดเร็ว เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่เดิม

“พี่นันท์นี่ก็ยังคงเป็นพี่นันท์คนเดิมจริง ๆ”

“หมายความว่าไงวะ”

ผมถามกลับ ไอ้น้องไนท์เองหยิบขนมในจานขึ้นมากินสองสามชิ้น ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมามองผม

“ผมว่าคำถามนี้ คนที่จะตอบได้ น่าจะเป็นตัวพี่นันท์เองมากกว่านะ”

พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าก่อนจะเปิดมันออกเพื่อหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบนบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยทิ้งผมเอาไว้กับคำถามนั้น

“......”

ผมหยิบขนมในจานขึ้นมากินก่อนจะหันมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอยพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย


“มึง เสาร์นี้ไปทำงานที่ร้านเจ๊บัวปะวะ”

ผมเอ่ยถามแบงค์ด้วยความสงสัยในขณะที่เจ้าตัวเองนั้นกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นอยู่ แบงค์เองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาขยับแว่นหนาบนใบหน้าเล็กน้อยแล้วจึงหันมามองผมที่กำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง

“ก็ไปนะครับ ทำไมเหรอ”

“เปล่า ก็ถามไปงั้น บ่มีหยัง”

ผมตอบกลับไปแบบเสียไม่ได้โดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่การ์ตูนในมือก่อนจะรู้สึกหนักจนต้องร้อง ‘อัก’ ออกมาเพราะอยู่ ๆ ก็โดนเจ้าหมีอ้วนกระโดดเข้าใส่แบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“อะหยังของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็กระโจนเข้ามาแบบบ่ให้สุ้มให้เสียง ห่า ตัวก็บ่ใช่เล็ก ๆ หลังกูเกือบหักแล้วมั้ยล่ะ”

ผมเอ็ดใส่อีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะลุกขึ้นออกไปแต่อย่างใด

“ก็นึกว่าคิดถึงผมน่ะสิ ผมก็เลยมาหาไงล่ะ”

เจ้าตัวพูดพร้อมถอดแว่นหนาออกวางไว้ที่บนหัวเตียงก่อนจะหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวาฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

“มึงนี่น้า... เคยมีใครบอกมั้ยเนี่ยว่าเป็นคนหลงตัวเอง”

“ไม่มีครับ”

“งั้นกูคนนี้นี่ล่ะ จะเป็นคนบอกมึงเอง”

ผมพูดพลางขยับตัวเพื่อหวังให้อีกฝ่ายลุกออกจากตัวผม แต่ทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ กลายเป็นว่าสภาพในตอนนี้นั้นเป็นผมนอนหงายโดยมีแบงค์คร่อมอยู่เสียอย่างนั้น ช่างเป็นสภาพที่ดูสุ่มเสี่ยงต่อพรหมจรรย์ของผมมาก ๆ

“ลุก”

“ไม่ลุก”

“กูบอกให้ลุกออกไป”

“ก็แล้วถ้าผมไม่ออกไปล่ะครับ”

แน่ะ เดี๋ยวนี้มียอกย้อนนะมึง

“ก็ถ้ามึงบ่ลุก มึงได้จุกที่ไข่มึงแน่”

พูดจบ ผมก็หมายจะใช้หัวเข่ากระแทกเข้าไปที่เป้าของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะเดาทางผมได้เสียก่อนจึงรีบกดหน้าขาผมไว้ได้ทัน

“สัส”

ผมสบถเบา ๆ แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจกับคำสบถนั้นแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี

“ขอหอมแก้มอีกทีนะครับ”

พูดจบเจ้าตัวก็พรมหอมแก้มผมฟอดใหญ่โดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องหอมแก้มน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้สิ่งที่อยู่ภายในกางเกงของอีกฝ่ายซึ่งกำลังโตเต็มที่และตอนนี้กำลังแนบชิดอยู่กับหน้าขาของผมอยู่นี่สิคือประเด็นหลักมากกว่า

“นี่มึงไปตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย”

ผมเอ่ยถามในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมกำลังโดนล็อกเอาไว้แน่น

“ก็แหม ผมก็เป็นผู้ชายตามปกติทั่วไปนี่ครับ ก็ต้องมีอารมณ์กับเรื่องอย่างว่าเป็นธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนเสียหน่อย นันท์เองนั่นล่ะ อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเขา”

อึก!

สัส เล่นจี้จุดเอาซะผมไปต่อไม่ถูกเลยเว้ย

ก็อย่างที่เคยบอก ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ใช่ว่าผมเองจะไม่เคย แต่ก็นั่นล่ะ ผมน่ะเก่งแค่ในทางทฤษฎีตัวคนเดียวเท่านั้น แต่พอเข้าสู่โหมดปฏิบัติออกงานจริง กลับรู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก

เฮ้อออ อนิจจาตัวกูจริง ๆ

“วันนี้ขอเพิ่มระดับหน่อยได้มั้ยครับ”

แบงค์เอ่ยถาม พร้อมจ้องมองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในขณะที่หัวใจของผมในตอนนี้นั้นเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นทีท่าไม่ขัดขืนของผม ก็ค่อย ๆ พรมจูบเบา ๆ ที่แก้มขวาของผมอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะไล่ไปตามลำคอ

ร่างกายของผมเริ่มตอบสนองต่อการกระทำของแบงค์จนมันตื่นตัวเต็มที่เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย แบงค์ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อนักเรียนของผมทีละเม็ดทีละเม็ดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงลากลิ้นมายังบริเวณแผงอก

ผมกำหมัดแน่นหลับตาปี๋ ได้แต่ครางอือเบา ๆ ในลำคอ แบงค์หยุดแล้วเงยขึ้นมาจ้องมองผม สายตาคมเข้มที่ดูมีอารมณ์ของอีกฝ่ายในตอนนี้นั้น มันปลุกเร้าอารมณ์ผมเสียเหลือเกิน ผมเอามือทั้งสองข้างจับแก้มของแบงค์ แล้วโน้มแก้มลงมาประกบปาก ซึ่งคราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปบ้าง เราทั้งสองแลกลิ้นไปมากันครู่หนึ่ง ร่างกายกำยำของแบงค์ที่ในตอนนี้กำลังทับลงบนตัวผม แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันหนักเลยสักนิด

“เป็นไงมั่งครับ”

แบงค์ถอนปากออกก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ผมได้แต่หลับตาครางอือเบา ๆ กลับไปเป็นคำตอบ ซึ่งก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายได้ใจมากขึ้นไปอีก จึงก้มหัวลงไปลากลิ้นบนแผงอกทำเอาผมถึงขั้นต้องต้องจิกเส้นผมของอีกฝ่ายไว้แน่น

เมื่อเจ้าตัวเห็นท่าทีของผมที่ดูจะไม่ขัดขืนเสียเท่าไหร่นัก ก็ลากลิ้นต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าท้องที่ เอ่อ ที่ ที่อะไรดี ที่ดูนุ่มนิ่มละกัน เพราะถ้าใช้คำว่าแบนราบ ก็เกรงจะโดนครหาว่าหลอกลวงผู้บริโภคเอาได้

“เอ มีอะไรอยู่ข้างในนี้กันนะ”

แบงค์เอ่ยถามเบา ๆ ก่อนจะพยายามปลดหัวเข็มขัดของผมออก แต่ผมมือไวกว่าจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นพลางชะโงกหัวขึ้นมาดู

“ไม่ได้เหรอครับ”

เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยสีหน้าออดอ้อน ทำเอาผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“แต่...”

ผมพยายามจะหาคำอธิบาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดไหนดีในเวลาแบบนี้ หรือว่าวันนี้ จะเป็นที่ผมจะโดนเผด็จศึกกันแน่นะ

ไม่นะ ม่ายยย

ในขณะที่สมองอันน้อยนิดกำลังคิดไปไกลจนกู่ไม่กลับนั่นเอง

TRRR

เสียงโทรศัพท์มือของผมก็ดังขึ้นกะทันหัน จนทำให้ทั้งผมและแบงค์สะดุ้งเล็กน้อย แบงค์ผละตัวออกจากผมทันทีด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมก็ลนลานคว้ามือถือของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความรวดเร็ว ซึ่งก็พบว่า คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณกมลชนกสุดที่รักของผมนั่นเอง

“ว่าใด”

ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่กเล็กน้อย

“จะมาว่าดงว่าใดกันล่ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วหา อะหยังยังบ่ปิ๊กบ้านสักเตื้อ”

เสียงของคุณกลมชนกบ่นผ่านเข้ามาจนผมแทบจะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

“เอ่อ กำลังติวหนังสือกับแบงค์อยู่น่ะ แห่ะ ๆ”

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักเล็กน้อย

“แต้ก่ะ”

คุณกมลเอ่ยถามกลับมาด้วยความสงสัย อนึ่ง ‘แต้ก่ะ’ ในภาษาเหนือนั้นมีความหมายว่า ‘จริงหรือ’ น่ะครับ

“แต้กะแม่ บ่เชื่อก็ถามไอ้แบงค์มันดูได้”

ผมตอบกลับไปก่อนจะยื่นมือถือให้แบงค์พลางเขม่นคิ้วใส่เป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายรู้ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของผมก็รีบรับมือถือของผมไปด้วยท่าทีหวั่นเกรงเล็กน้อย

“เอ่อ สวัสดีครับ แม่”




จบคาบเรียนที่แปด


มุมเมาท์มอยหอยสังข์


สวัสดีค้าบบบ


หายไปนานสำหรับภาคสอง

จริง ๆ ก็อยากที่บอกไปน่ะล่ะ วัยทำงานอะเนอะ เฮ้อออ

ไอเดียมีเป็นล้าน แต่ขี้เกียจ เอ้ย ไม่มีเวลาน่ะ

แต่ก็ไม่ทิ้งไปไหนจ้าาาา

ตอนนี้ แอบมีสะใภ้ (เซอไพรซ์) นิโหน่ย คือมีตัวละครจากภาคแรกนั้คือ นุ้งไนท์โผล่เข้ามา

ซึ่งจะมีบทบาทกลับเข้ามาอย่างไร ก็รบกวนติดตามกันต่อไปนะครับ

อิอิ


จิ๊บคุง


1-1-22

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด