>> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << ตอนที่ 15 Update 14/9/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << ตอนที่ 15 Update 14/9/2561  (อ่าน 2581 ครั้ง)

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:



ตอนที่ 1


                    2 มิถุนายน 2560

               
                    No.Name  Café

                    04:15  PM


                    “น้องณิช! แฮกๆๆ ” เสียงพี่พนักงานคนหนึ่งในร้านที่ผมทำพาร์ทไทม์อยู่ดังขึ้น

                    “ไปช่วยพี่รับแขกทางโน้นหน่อยสิ แฮะๆ” พี่รินยิ้มเขินๆ

                    “ได้ครับพี่ริน” ผมตอบรับพนักงานรุ่นพี่ในร้านพร้อมอมยิ้มกับท่าทีของพี่เขา เนื่องจากวันนี้ลูกค้ามาร้านเราเยอะ
มากเพราะเป็นวันหยุดแถมช่วงนี้ยังมีโปรโมชั่นลดอีกด้วยจึงเป็นเหตุที่ทำให้คนเลยเยอะกว่าปกติระดับปานกลางถึงเยอะมาก

                    “ขอบคุณมากน้าาา” พูดเสร็จพี่แกก็วิ่งแจ้นไปหลังร้านทันที
ผมเดินไปหยิบถาดสำหรับยกอาหารไปเสิร์ฟพร้อมเมนูและเดินไปรับออเดอร์ลูกค้าที่โต๊ะด้านในซึ่งตรงนี้เป็นโซนวีไอพีที่มีกำแพงเล็กๆ กั้นไว้ในแต่ละโต๊ะเพื่อการเป็นส่วนตัว

                    “สวัสดีครับคุณลูกค้า” ผมพูดพร้อมก้มหัวลงไหว้พร้อมกับยิ้มให้ “นี่เมนูครับ”

                    “เอากาแฟดำ”

                    “กาแฟดำหนึ่งแก้ว” ผมจดออเดอร์ลงในกระดาษใบเล็กจากนั้นจึงเงยหน้าถามขึ้นต่อ “รับอะไรเพิ่มไหมครับ”

                    “ไม่”

                    “ครับ รอสักครู่นะครับ”




                    04:30 PM

                    ผมรับกาแฟดำมาใส่ถาดและกำลังเดินไปทางโต๊ะลูกค้าที่สั่ง จู่ๆ ก็มีเท้าปริศนามาขัดขาผมทำให้เสียการทรงตัว
 
                    “เฮ้ย!!”

                    เพล้ง!

                    แก้วเซรามิกตกกระทบพื้นเสียงดัง ทำให้คนในร้านต่างก็มองมาเป็นตาเดียว

                    ผมร้องออกมาทันทีเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องล้มแน่  แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายของผมเพราะมีผู้ชายโต๊ะข้างๆ เข้ามารับตัวผมได้ทัน ไม่งั้นผมคงได้ลงไปจูบกับพื้นแน่ แต่ที่เลวร้ายกว่าการจูบพื้นก็คือกาแฟดำที่ลูกค้าโต๊ะอื่นสั่งมามันหกใส่เชิ้ตสีขาวของเขาเป็นวงกว้าง ผมเริ่มหน้าซีดเพราะคิดว่าคงจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เขาแน่ๆ แถมเสื้อตัวนี้ก็คงจะราคาไม่น้อยเลยทีเดียว
 
                    “เป็นอะไรไหม”

                    เสียงทุ้มถามขึ้นข้างหู ทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมอง ยังไม่ทันได้หันไปมองเต็มตาด้วยซ้ำ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

                    “หึ”

                    ผมหันขวับกลับไปมองทางต้นเสียงด้านหลังทันที เขาคนนั้นนั่งร่วมโต๊ะกับฮีโร่ที่ช่วยผมไว้ ดูจากองศาแล้วคงจะเป็นเขาสินะที่จงใจขัดขาผม แต่ผมก็ได้แต่เงียบเพราะว่าไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเขาเป็นคนทำ

                    “มะ ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบลนลานพร้อมกับพยุงตัวเองขึ้น

                    “ว้าย!!! ตายแล้ว!!” เสียงเจ๊นีสาวประเภทสองผู้จัดการของที่นี่ดังขึ้นพร้อมกับทำหน้าถมึงทึง

                    “แกไปทำอิท่าไหนทำไมถึงซุ่มซ่ามขนาดนี้ห้ะไอ้ณิช!!” เจ๊นีตะโกนด่าผมเสียงดัง เป็นผลทำให้ทุกคนในร้านรวมถึงพนักงานเองก็มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

                    “เข้ามาคุยกับฉันหลังร้าน!!”

                    “ครับ” ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองใคร

                    “เดี๋ยวนี้!!”

                    “ครับ ฮึก” ผมตอบรับพร้อมกับน้ำใสที่คลอดวงตาทั้งสองข้าง



                    หลังร้าน

                    “เจ๊นี คือผม...”

                    “ฉันไล่แกออก”

                    ผมที่ยังไม่ทันได้พูดอธิบายก็ถูกเจ๊นีสวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พร้อมกับใบหน้าที่เชิ่ดขึ้นและตาที่มองต่ำ
คำนั้นมันทำให้ผมอึ้งและตัวชาไปชั่วขณะ

                     “ตะ แต่ผม ผมอธิบายได้”

                    “ไม่ต้อง ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวของแก ก็เห็นๆ กันอยู่” เจ๊นียิ้มอย่างผู้มีชัย

                    ผมที่พยายามอธิบายแต่เขาก็ไม่รับฟังจะไล่ผมออกอย่างเดียว มีสิ่งหนึ่งแวบขึ้นมาในใจผม ผมคิดว่าเขาคงจะเกลียดขี้หน้าผมเพราะก่อนหน้านี้เมื่อผมทำอะไรพลาดไปเขาก็จะคอยตัดเงินเดือน ต่อว่าผมต่างๆ นาๆ ซึ่งผมก็ทนมันมาได้ แต่ครั้งนี้มันไม่ไหวจริงๆ

                    “ไปเก็บของของแกด้วยล่ะ”

                    “...”

                    “อ้อ! อย่าลืมถอดชุดพนักงานกับผ้ากันเปื้อนออกด้วยนะ”

                    ผมทรุดลงกับพื้น ก้มหน้าร้องไห้อย่างหนัก ที่เจ๊นีบอกให้เก็บของเพราะว่าหลังร้านเป็นห้องไว้สำหรับให้พนักงานอยู่ ถูกไล่ออกแบบนี้ผมจะไปอยู่ที่ไหน บ้านก็ไม่มี จะให้ไปเช้าห้องอยู่เหรอ แค่ลำพังค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว

                    “ฮึก ฮืออออ”

                    “ณิช!! เกิดอะไรขึ้น”

                    ผมเงยหน้ามองพี่รินที่วิ่งตาตื่นมาหาผมที่ร้องได้น้ำหูน้ำตาไหลอยู่กับพื้น

                    “ผมถูกไล่ออก ฮืออ”

                    “ได้ยังไงกัน!” รุ่นพี่สาวถามขึ้นพลางนั่งลงปลอมพร้อมกับลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน “ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”

                    ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่รินฟัง พอฟังเสร็จพี่รินก็ทำหน้าโกรธพร้อมกับใช้กำปั้นทุบลงที่เข่าตัวเอง

                    “หน่อย! อีเจ๊นี อีใจดำ ทำลูกฉันได้ลงคอ!! ฉันออกไปส่งของแค่แป๊ปเดียวเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ไร้เหตุผลสิ้นดี!!”

                    “ฮึก ฮึก ฮืออออ”

                    “...”

                    “ณิช มาอยู่กับพี่ก่อนไหม” พี่รินถามผมขึ้น

                    “ตะ แต่ว่า..” ผมกำลังจะปฏิเสธแต่พี่รินก็ขัดขึ้น

                    “ไม่ต้องแต่อะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่ามาพักอยู่กับพี่ไปก่อน ไว้เราหาที่พักได้ค่อยย้ายออก”

                    “แล้วพี่จะไม่ลำบากเหรอครับ ฮึก” ผมพูดพร้อมปาดน้ำตา “พี่รินจะไม่อึดอัดเหรอ”

                    “ไม่หรอก พี่เห็นแกเป็นเด็กดีเลยอยากช่วย พี่รู้ว่าเราแข็งแกร่ง อดทน แต่บางเรื่องก็ให้พี่ช่วยบ้างก็ได้ อย่าแบกภาระให้ตนเองจนเกินไป พี่เองก็รักณิชเหมือนน้องแท้ๆ”

                    พี่รินพูดพร้อมกับลูบหัวผมอีกครั้ง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกดีเหลือเกิน

                    “ขอบคุณครับพี่ริน ฮึก ผมล่ะอยากมีพี่สาวแบบพี่จังเลย ฮึก” ผมพูดไปสะอื้นไป เมื่อพี่รินฟังแล้วถึงกับตาโต

                    “จริงเหรอณิช!!”

                    “คะ ครับ”

                    “อร๊ายยยย! ฉันล่ะอยากมีน้องชายน่ารักๆ แบบนี้มานานแล้ว ถึงจะแค่ในนามก็เถอะ” พี่รินพูดพร้อมกับเอาสองมือมาบีบมาคลึงแก้มใส่ทั้งสองข้างของผมอย่างหมั่นเขี้ยว

                    “พี่รินก็ น่ารักอะไรกัน ผมหล่อต่างหากล่ะพี่” ผมหน้าแดงเพราะเขินที่ถูกชมโต้งๆ ว่าน่ารัก

                    “อะๆ หล่อก็หล่อ ยิ้มได้สักทีนะเรา รู้ป่ะเวลาเรายิ้มนะโลกทั้งใบสดใสขึ้นมาเลย ^_^”

                    พี่รินพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือมาให้ผม “ป่ะ เราไปเก็บของกัน”

                    “ครับ”




                   
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 18:06:18 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #1 เมื่อ13-09-2018 17:03:01 »

                    ต่อ


                     07:15 PM

                    ผมกับพี่รินช่วยกันเก็บของ ถึงแม้ว่าจะมีแค่เสื้อผ้ากับของใช้เล็กน้อยก็ตาม ตลอดทางเดินก็มีพี่พนักงานหลายคนที่ผมคุ้นหน้า ทำท่าเหมือนอยากจะเข้ามาคุยด้วยแต่ก็ยึกยักเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง

                    ไม่นานพวกเราก็มาถึงที่พักของพี่ริน ซึ่งระยะทางก็ไม่ได้ห่างจากที่ทำงานมากนัก ที่นี่เป็นอาพาร์ทเม้นท์ขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่ ตรงทางเข้ามีรั้วเหล็กและป้อมยาม ดูแล้วก็ค่อนข้างปลอดภัยอยู่พอสมควร
   
                    “สวัสดีค่ะลุงชม วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมคะ” พี่รินทักลุงยามที่เฝ้าทางเข้าขึ้น
   
                    “ก็นิดหน่อยน่ะหนูริน” ลุงแกพูดพร้อมกับยิ้มจนตาหยีจนเผยให้เห็นตีนกาสามรอยข้างดวงตาทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
   
                    “ลุงชมคะ นี่ค่ะหนูซื้อมาฝาก” พี่รินบอกพร้อมกับยื่นถุงพลาสติกให้ ข้างในเป็นยาชูกำลังกับขนมอีกนิดหน่อย
   
                    “โหย ไม่ต้องลำบากซื้อของมาฝากลุงเลย” ลุงชมพูดพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงไม่เอา
   
                    “แค่นี้สบายมากค่ะลุง เอาไปเถอะ หนูซื้อมาแล้ว”
   
                    “งั้นก็ได้ ลุงขอบคุณมากนะหนูริน”
   
                    “ค่ะ ^^”
   
                    สุดท้ายลุงชมก็ทนกับความตื้อของพี่รินไม่ไหวก็ต้องรับของที่พี่รินซื้อมาฝาก
   
                    “แล้วนี่ขนอะไรมา ให้ลุงช่วยไหม?”
   
                    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ของนิดเดียวเอง” พี่รินตอบพร้อมกับยกกระเป๋าขึ้น “อ้อ นี่น้องณิชนะคะ เขาจะมาอยู่กับหนูซักพัก เวลาน้องมาก็ให้เข้าได้เลยนะคะ”
   
                    “ยินดีที่ได้รู้จักนะหนู”
   
                    “ยินดีเช่นกันครับ”
   
                    ผมกับลุงชมยิ้มให้กันจนตาแทบปิด
   
   
                    “อ่า ถึงละ”
   
                    เมื่อเราสองคนเดินมาถึงหน้าห้องพักผมเลยเอ่ยถามสิ่งที่คาใจอยู่เมื่อครู่
   
                    “เอ่อ...คือ ทำไมพี่รินถึงซื้อมาให้เขาล่ะครับ” ผมเอียงคอถามด้วยความสงสัย
   
                    “น้องณิชเคยได้ยินคำว่าน้ำใจแลกน้ำใจเพื่อนมนุษย์ต้องช่วยกันรึเปล่า” พี่รินตอบโดยไม่มองหน้าผมเพราะพี่แกมัวแต่ไขกุญแจห้องอยู่
   
                    ผมส่ายหัวพรืดกับคำของพี่ริน “ไม่ครับ”
   
                    “แม่พี่สอนไว้ว่าถึงแม้ของที่เราให้คนอื่นจะน้อยนิดก็จริงแต่เราก็ให้เขาด้วยใจ” พี่รินพูดพร้อมกับหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย  “เมื่อยามที่เราลำบากหรือต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะเป็นคนแรกๆ ที่ยื่นมือมาช่วยเราก่อนเสมอ”
   
                    “จำไว้นะณิช เราต้องผูกมิตรกับคนอื่นไว้เยอะๆ ยามลำบากไม่ว่าเขาหรือเราสุดท้ายเราก็ต้องช่วยกัน เพราะเราเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไงล่ะจ้ะ” พี่รินพูดพร้อมกับยื่นมามายีหัวผม

                    “พี่อ่ะ หัวผมยุ่งหมดแล้ว”ผมพูดพร้อมกับใช้มือไปสางให้ผมกลับเข้าทางเหมือนเดิม

                    “ฮ่าๆๆๆ เข้าห้องได้แล้ว”

                    “Well come to My roooooooom” พี่รินวางกระเป๋าแล้วเปิดประตูพร้อมกับกางแขนสองข้างออกแล้วพูดเสียงดัง
ฮ่าๆๆๆ พี่ผมจะเล่นใหญ่ไปไหนเนี่ย

                    “โอ๊ย! เบาๆ หน่อยโว้ย คนจะนอน!!” เสียงข้างห้องตะโกนออกมาด่า เพราะพี่รินทำเสียงดังจนรบกวนคนอื่น

                    “ชะอุ้ย โดนด่าเลย ฮ่าๆๆๆ”

                    “ไม่โดนด่าสิแปลก ก็พี่เล่นใหญ่ขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ”

                    “มาเร็ว เอาข้าวของเข้ามาเก็บ”

                    ไม่นานข้าวของทุกอย่างก็ถูกเก็บอย่างเรียบร้อย พอผมหันไปหาพี่รินก็เจอพี่แกกอดอกพร้อมทำหน้านิ้วคิ้วขมวดอยู่ตรงกลางห้อง

                    “มีรินมีอะไรรึป่าวครับ”

                    “อืม พี่กำลังคิดเรื่องที่นอนเราอยู่น่ะสิ เตียงมันก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดนอนได้สองคน”

                    “พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ผมนอนที่พื้นได้ สบายมาก”

                    “เอางั้นเหรอ พี่ว่าณิชมานอนบนเตียงด้วยกันก็ได้นะ เบียดกันเอา”

                    “หูย แบบนั้นยิ่งไม่ได้ครับ” ผมตาโตกับความคิดพี่ริน “ยิ่งพี่เป็นผู้หญิงด้วยเนี่ย จะให้ผมไปนอนด้วยได้ยังไง ผู้ใหญ่เขาถือ”

                    “ฮ่าๆ พี่ล่ะเชื่อแกเลยจริงๆ” พี่รินระเบิดหัวเราะออกมา แต่ก็รีบเบาเสียงลงเดี๋ยวจะโดนข้างห้องด่าบุพการีเข้าให้อีกฉาดหนึ่ง “งั้นเดี๋ยวพี่เอาผ้ามาปูที่พื้นให้ละกัน เราจะได้ไม่เจ็บหลัง”

                    “แบบนั้นก็ได้ครับ”

                    “ตกลงตามนี้” พี่รินพูดพร้อมกับไปค้นตู้เพื่อหาผ้าห่มมาปูให้ผม เมื่อจัดแจงที่สำหรับนอนเสร็จเราทั้งสองก็ผลัดกันเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าในนั้นเลย

                    “คิก ณิชจะนอนเลยไหม”

                    พี่รินถามขึ้นเมื่อผมก้าวออกจากห้องน้ำด้วยชุดนอนลายหมีน่ารัก

                    “นอนเลยครับ” ผมตอบพร้อมกับหันไปมองหน้าพี่รินที่นั่งป้องปากอยู่บนเตียงตัวสั่นๆ

                    “นี่พี่หัวเราะผมเหรอ!”

                    “คิกๆ ปะ ป่าว ฮ่าๆ พี่ไม่ได้หัวเราะชุดนอนเรานะ” พี่รินป้องปากขำน้ำหูน้ำตาไหลกับชุดนอนลายหมีน้อยถือน้ำผึ้งของผม

                    “พี่อ้ะ!! งอนแล้ว” ผมทำแก้มป่องใส่พร้อมกับเดินไปปิดไฟที่ผนังแล้วมานอนข้างเตียง

                    “โอ๋ๆ ไม่งอนนะเด็กน้อย” พี่รินพูดขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

                    “...”

                    “พูดกับพี่หน่อย” เสียงพี่รินเริ่มจะติดงอนเหมือนกัน “นี่โกรธจริงป่ะเนี่ย”

                    “...”

                    “...”

                    “ผมไม่ได้โกรธพี่ซักหน่อย” ผมพูดขึ้น

                    “ผมต้องขอบคุณพี่มากต่างหาก”

                    “ขอบคุณและกู๊ดไนท์ครับ”

                    ผมพูดไปตามความรู้สึก ถ้าไม่มีพี่รินคืนนี้ผมก็ไม่รู้จะไปซุกหัวนอนที่ไหนแล้วจริงๆ

                    “กู๊ดไนท์จ้ะ”

                    หนึ่งคนรู้สึกดีที่มีน้องชายอย่างที่วาดฝัน
                   
                    ส่วนอีกคนก็รู้สึกดีที่มีพี่สาวที่แสนดีขนาดนี้
                   
                     “ขอให้เราได้เป็นพี่น้องกันตลอดไป/ขอให้เราได้เป็นพี่น้องกันตลอดไป”




                     6 มิถุนายน 2560

                    ย่างเข้าวันที่สามแล้วที่ผมย้ายมาอยู่กับพี่ริน ผมใช้เวลาตลอดสามวันหางานที่พอจะทำได้ในช่วงเปิดเทอม ซึ่งอีกไม่กี่วันมหา’ลัยของผมก็จะเปิดแล้วด้วยสิ อ้อ! ผมขอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองสักเล็กน้อยนะครับ
   
                    ผมชื่อ ณิช ณิชกร จันทร์ทรา อายุ 20 ปี เด็กปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปัจจุบันเรียนอยู่ที่มหา’ลัยเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งค่าเทอมค่อนข้างจะแพงแต่ผมก็สามารถสอบชิงทุนได้ ดังนั้นทางมหา’ลัยจึงออกค่าใช้จ่ายรวมถึงอุปกรณ์การเรียนให้ผมทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่าเรียนฟรีนั่นแหละครับ ยกเว้นแต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันซึ่งเรื่องนั้นผมต้องจัดการเอง พอเล่ามาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจเพราะว่าพึ่งโดนไล่ออกจากที่ทำงานเก่าเมื่อไม่นานมานี่เอง เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายหรอกครับถ้าผมใช้อย่างประหยัดก็พอที่อยู่รอดจนครบเดือน

                    ผมเป็นลูกของพ่อจันทร์กับแม่ศรี ซึ่งท่านทั้งสองก็จากผมไปตอนที่ผมอายุแค่ 10 ขวบเท่านั้น สมบัติที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ก็ไม่ได้มีมากมาย แต่ผมก็สามารถประทังชีวิตตัวเองได้จวบจนถึงปัจจุบันนี้
ผมไล่สายตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์มือสองจากเว็บหางานมาสามวันแล้ว แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่ผมสามารถทำได้เลย เพราะงานเหล่านั้นจะต้องใช้เวลาเต็มวันในการทำงาน แต่ผมติดเรียนไงครับ เลยอยากจะหาที่ที่ผมทำได้ตอนหลังเลิกเรียน อาจจะเป็นงานพาร์ทไทม์หรืองานเล็กน้อยอย่างพนักงานเสิร์ฟหรือล้างจานก็ได้ มันก็ยังดีกว่าไม่มีงานให้ทำเลยล่ะนะ

                    “เฮ้อ”

                    ผมถอนหายใจกับตัวเองรอบที่ล้านได้มั้ง ไม่ว่าจะเว็บไซต์ไหนก็ไม่มีงานตามที่ผมต้องการเลย

                    “เอ๊ะ!” ผมอุทานเสียงดังกับหัวข้อหนึ่งที่โชว์หราบนหน้าเว็บไซต์

                    “ประกาศหาพ่อบ้านเหรอ...”

                    แถมยัง...โพสเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้ว

                    ผมรีบคลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดอย่างไว


                    รับสมัครพ่อบ้านทำความสะอาด ได้เงินดี ด่วน!!!!

                    คุณสมบัติ : เพศ ชาย อายุไม่เกิน 25 ปี สามารถประกอบอาหารได้หลากหลาย

                    -   ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมได้เป็นอย่างดี

                    -   มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร เชื่อฟังผู้ว่าจ้าง ไม่เถียง ไม่นินทา

                    -   โสด

                    ติดต่อ 095574xxxx



   
                    เมื่ออ่านรายละเอียดเสร็จเรียบร้อยคิ้วเรียวของผมก็ขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ

                    “ข้อสุดท้ายนี่มันตะหงิดๆ จังแหะ” ผมบ่นกับตัวเองด้วยความสงสัย “แต่ก็ช่างเถอะ รีบติดต่อไปดีกว่า”
ด้วยความที่ว่า ‘ได้เงินดี’ ผมจึงรีบติดต่อไปตามเบอร์โทรที่แปะไว้แบบสายฟ้าแลบ




                    รุ่งขึ้น

                    08:30 AM

                    ผมที่ได้โทรไปติดต่อและสอบถามรายละเอียดปรากฏว่าคนที่รับสายเขาบอกว่าเป็นหัวหน้าแม่บ้าน เขานัดมาคุยรายละเอียดและทดลองงานวันนี้เวลาเก้าโมงจากนั้นเขาก็ส่งแผนที่ให้ผมทางโทรศัพท์

                    “บ้านหลังนี้สินะ” ผมพูดขึ้นเสียงเรียบ

                    “โอ้โหหหห” เมื่อมองเข้าไปเห็นตัวบ้านเต็มๆ ผมถึงกับลากเสียงยาวด้วยท่าทีอึ้งๆ
ผมมองเข้าไปยังบ้าน (ไม่สิ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์สิถึงจะถูก) อีกครั้ง มันใหญ่โตมโหฬารมากกกกกกก(กอไก่ล้านตัว) แค่ทางเข้าบ้านและส่วนหย่อมนี่ก็กินไปหลายไร่แล้วนะผมว่า เจ้าของที่นี่จะต้องรวยมากแน่ๆ

                    ติ๊งต่อง

                    ผมกดกริ่งหน้าประตูรั้วที่สูงประมาณสามเมตรเห็นจะได้ (จะสูงไปไหน)

                    ไม่นานรถกอล์ฟก็วิ่งมารับด้วยความเร็วคงที่

                    “คุณณิชใช่ไหมครับ” ลุงคนขับถามผมขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย

                    “ใช่ครับ”

                    “เชิญขึ้นรถเลยครับ ผมจะพาคุณไปหาแม่นม”

                    รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ผมมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ ผมมองดูด้วยความเพลิดเพลิน ไม่นานรถก็หยุดลงที่ประตูไม้ขนาดใหญ่ (มาก)

                    แอ๊ด ปัง!!

                    “ฮืออออ เด็กอะไรร้ายกาจขนาดนี้ อย่างนี้ใครมันจะไปทนไหว”

                    ผมมองผู้ชายคนหนึ่งที่ปิดหน้าวิ่งร้องไห้ออกมาจากตัวบ้านอย่างบ้าคลั่ง ที่คอมีรอยแดงเป็นปื้นขนาดใหญ่ เนคไทที่คอก็หลุดลุ่ยแถมเสื้อผ้าก็ยับยู่ยีเหมือนว่าถูกดึงกระชากอย่างแรง

                    ผมมองเขาที่วิ่งผ่านหน้าผมไปด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะหยุดแล้วพูดขึ้น

                    “ฮึก นายน่ะจะมาสมัครงานใช่ไหมล่ะ ฮึก เตรียมตัวไว้ได้เลย”

                    เขาพูดกับผม? เตรียมตัว?

                     “อะไรอ่ะ” ผมเอียงคอถามออกไปด้วยความงุนงง

                    “ฮืออ ฮึก เดี๋ยวนายก็รู้” ชายคนนั้นสะอื้นไปพูดไปจนผมรู้สึกสงสัยยิ่งกว่าเดิม

                    “เชิญครับคุณณิช” เสียงลุงคนขับรถพูดขึ้นพร้อมกับผายมือและเดินเปิดประตูทางเข้าให้ผม

                    “ครับ”

                    เพล้ง!!!

                    “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องหาพี่เลี้ยงมาอีก!!!!”

                    เดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงแตกของอะไรซักอย่าง ผมจึงหันไปมองห้องทางซ้ายมือเห็นเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งโวยวายใส่แม่บ้านอย่างบ้านคลั่ง อายุเขาคงจะไม่เกิน 18 ปี

                    “นายเป็นใคร!” เด็กคนนั้นชี้หน้าและหันมาตะคอกถามผมเสียงดัง

                    ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่คนเมื่อกี้พูดคืออะไร

                    เอ่อ จะพูดไงดีล่ะ

                    “ผมมาสมัครเป็นพ่อบ้านตามที่ประกาศไว้น่ะครับ” ผมพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะเคยยิ้มมา

                    เด็กคนนั้นชะงึกกักพร้อมทำตาโต จากนั้นก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

                    “หึ ผ่าน”

                    “ห้ะ/ห้ะ/ห้ะ!!” ผมกับแม่บ้านและลุงคนขับประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน เราสามคนมองหน้ากันเลิกลัก

                    “คุณหนูหมายความว่ายังไงคะ” แม่บ้านถามด้วยสีหน้าอึ้ง คูณสอง

                    “ก็ผ่านไง ผมจะให้เขาเป็นพี่เลี้ยง แม่นมสงสัยอะไร”

                    อ๋อ เรื่องนี้เอง แต่เฮ้ย!!!

                    “เดี๋ยวนะ ใครช่วยอธิบายที” ผมยกมือขึ้นเพื่อขอพูด

                    “ฉันบอกว่าผ่านก็ผ่านไง” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับดันหลังแม่นมกับลุงคนขับออกจากห้อง “ทั้งสองคนออกไปได้แล้ว ฉันจะคุยกับเขาเอง”

                    “เอ่อ... จะดีเหรอคะคุณหนู”

                    “จิ๊ บอกให้ออกก็ออกไปสิ” เด็กหนุ่มจิ๊ปากก่อนจะเท้าเองขึ้นท่าทางขึงขัง

                    “ค่ะๆ” แม่นมก้มหัวให้พร้อมกับดึงแขนเสื้อลุงคนขับเป็นเชิงให้ไปด้วยกัน “ไปๆ ตาแก”

                    ผมยืนเกาหัวมองทั้งสามคนด้วยความงง นี่มันอะไรกันเนี่ย

                    “ส่วนนาย มานี่” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับจูงแขนผมให้ไปนั่งที่โซฟาสีแดงขนาดใหญ่พร้อมกับยืนหน้าเข้ามามองเหมือนกำลังพิจารณาหน้าผมอย่างละเอียด

                    “อะ เอ่อ คือ... ใกล้เกินไปแล้วครับคุณหนู”

                    ผมพูดพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีด้วยความเขิน มองๆ ดูแล้วเด็กคนนี้หน้าตาดีมาก ใบหน้าขาวใสไร้ริ้วรอย จมูกโด่ง ริมฝีปากหนาแดง แถมตัดผมทรงคล้ายๆ นักร้องเกาหลีอะไรเทือกนั้น แต่โดยรวมแล้วถือว่าหล่อมาก แถมตัวสูงมากด้วย สูงกว่าผมอีกมั้ง

                    “นายชื่ออะไร” เขาถามเสียงห้วน

                    “ชื่อณิชครับ” ผมตอบพร้อมกับอันหน้าออกเขาออกเบาๆ เพราะว่าตอนนี้พวกเราใกล้กันจนแทบจะรวมร่างกันได้อยู่แล้ว “ณิชกร จันทร์ทรา”

                    “ชื่อเพราะจัง”

                    ฟืดดด

                    “ตัวหอมด้วย”

                    เขาพูดพร้อมกับดันตัวเข้ามาอีกรอบแล้วดมกลิ่นผมแถวๆ ต้อนคอ ทำเอาผมเสียวสันหลังวูบกันเลยทีเดียว

                    “ฉันชื่อเนตร เนตรนภิศ สุริยัน”

                    “ครับคุณหนูเนตร” ผมพูดพร้อมกับก้มหน้าลงเพราะยังเขินกับใบหน้าใสของเขา

                    จุ๊บ

                    ผมตาโตทันทีที่คุณเนตรเอาสองมือประมองหน้าผมให้เงยขึ้นแล้วหันหน้าไปทางเขา จากนั้นเขาก็จุ๊บที่ริมฝีปากผมอย่างเร็ว ผมอึ้งกับการกระทำของเด็กตรงหน้าอย่างมาก ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำขนาดนี้
แต่มันก็รู้สึกดีนะ มันนุ่มๆ หยุ่นๆ ที่ริมฝีปากอ่ะ -//-

                    “คุณหนูเนตร!!!!” ผมเรียกเสียงดังทันทีที่ได้สติ

                    “อะไร”

                    “เมื่อกี้ เมื่อกี้!” ผมอ้ำอึ้ง อธิบายไม่ถูก

                    “ทำความรู้จักไง ที่เมืองนอกเขาทำความรู้จักกันแบบนี้” คุณหนูเนตรพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มที่มุมปากอย่างมีเล่ห์นัย
                   
                    “นายไม่รู้เหรอ?”

                    “เอ่อ...”

                    ผมได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออกเพราะที่ไทยเขาไม่นิยมทักทายกันแบบนี้

                    “งั้นเรามาเซ็นสัญญากัน”คุณเนตรพูดขึ้นด้วยท่าทีธรรมดาถมยังทำตัวเหมือนว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้น

                    “ก็ได้ครับ” ผมเลิกสนใจกับท่าทางของคุณเนตร

                    แต่ว่าสัมผัสเมื่อกี้ยังคงติดที่ริมฝีปากผมไม่หายเลยอ่ะ

                    “สัญญาพ่อบ้านของเราคือทำงานบ้านและอาหารรู้แล้วใช่มั้ย”

                    ผมพยักหน้าหงึกหงัก

                    “สัญญาแรกมีเวลาสองเดือน ภายในสองเดือนนี้นายจะลาออกหรือออกก่อนกำหนดไม่ได้”
                   
                    “ครับ”

                    “แค่นี้แหละ”

                    “ห้ะ! แค่นี้?” ผมครางถามด้วยความงง มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับในประกาศเลยนี่ แล้วจะนัดผมมาคุยรายละเอียด
                    ทำไม(วะ)

                    “อ้อ เงินเดือนห้าหมื่น”

                    “ห้ะ!!!” ผมร้องห้ะออกมารอบที่เท่าไหร่ของวันไม่รู้

                    งานแค่นี้เงินเดือนครึ่งแสนเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง!!?

                    ก็จริงที่คฤหาสน์หลังนี้กว้างขวางมาก แถมยังมีแม่บ้านกันอีกเพียบ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ตำแหน่งพ่อบ้านตำแหน่งเดียว ทำแค่ปัด กวาด เช็ด ถู และทำอาหารแค่นี้เงินเดือนครึ่งแสน

                    “มะ..มันเยอะไปหรือเปล่าครับ”

                    ที่ผมถามก็เพราะสงสัยจริงๆ งานแค่นี้จำเป็นต้องให้เงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ สู้เอาเงินตรงนี้ไปจ้างแม่บ้านคงได้มาเป็นสิบคนได้มั้ง

                    “ไม่นะ บ้านฉันรวย”

                    เออ ดูคำตอบสิครับ

                    “นายไม่สังเกตเหรอว่าที่นี่ไม่มีพ่อบ้าน?”
   
                    “แล้วลุงคนขับรถ...”

                    “นั่นคนขับรถไม่ใช่พ่อบ้าน” คุณเนตรพูดด้วยท่าทางเซ็ง “ที่ฉันหมายถึงคือพ่อบ้านที่ทำงานบ้านจริงๆ”

                    “แต่...” ผมกำลังจะเถียงแต่ก็ถูกขัดซะก่อน
 
                    “ไม่ต้องถาม เอาเป็นว่าคนที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ไม่ชอบ”

                     “ครับ คุณหนูเนตร .__.” คันปากยิบๆ อยากจะเถียงมากแต่ก็ต้องรีบหุบปากเพราะว่าเจ้านายสั่ง แถมในใบประกาศก็บอกไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ห้ามเถียง’

                    “แล้วนายอายุเท่าไหร่”

                    “20 ครับ”

                    “อืม.. แก่กว่าฉันสองปี” คุณหนูเนตรกอดอกพร้อมทำท่าคิดอะไรสักอย่าง “เออ แล้วก็เลิกเรียกผมว่าคุณหนูเนตรได้แล้วนะ ฟังแล้วแสลงหูมาก เรียกว่าเนตรเฉยๆ ก็ได้สั้นดี”

                    “ไม่ได้!”

                     “เอ่อ ผมหมายถึง คุณเป็นถึงเจ้านาย จะให้ผมเรียกห้วนๆ แบบนั้นไม่ได้”
ผมอธิบายว่ายังไงมันก็ไม่ควรให้ลูกน้องอย่างผมไปเรียกชื่อเจ้านายห้วนๆ แบบนั้น เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าผมไม่มีมารยาท

                    “น้องเนตร เพราะฉันอายุ 18”

                    “ไม่ได้”

                    “เนตรสุดหล่อ”

                    “ยิ่งไม่ได้ครับ -_-”

                    “คุณเนตร”

                    “ได้”

                    “ตกลงตามนี้”

                    เฮ้อ กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง เล่นเอาเหงื่อแตกกันเลยทีเดียวแถมดูท่าทางแล้วเด็กคนนี้จะดื้อสุดๆ เลยไปนะครับ คุณผู้อ่านว่าไหม?

                    “นี่ใบสัญญา เซ็นสิ” คุณเนตรยื่นแผ่นกระดาษมาให้ ผมไล่สายตาอ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเซ็นชื่อลงไปในใบสัญญา

                    “ฉันลืมบอกอีกอย่าง นายต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยนะ จะได้ทำงานสะดวกๆ”

                    “ครับ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มให้ ดีใจจัง อย่างนี้ผมก็ไม่ต้องไปรบกวนพี่รินแล้ว

                    “นายโสดใช่มั้ย” จู่ๆ คุณเนตรก็ถามขึ้น

                    “ครับ??”

                    จุ๊บ

                    “ฉันรู้สึกชอบนายขึ้นมาแล้วสิ ฮ่าๆๆๆ”

                    คุณเนตรขโมยจุ๊บผมไปอีกครั้งก่อนจะหยิบกระดาษแล้วเปิดประตูออกไปด้วยความเร็วก่อนจะวิ่งหายไปในคฤหาสน์

                    “แล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะเนี่ย รู้สึกกังกลหน่อยๆ แล้วสิ”

                    ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ เรื่องที่กังวงไม่ใช่อะไรหรอกครับ

                    ...ผู้อ่านจะคิดว่าผมใจง่ายไปไหมเนี่ย!!! โดนเด็กขโมยจุ๊บไปตั้งสองครั้งในตอนเดียวแบบนี้!!!

                    ผมอยากบอกว่าผมไม่ได้ง่ายนะครับ แค่ถูกฉวยโอกาสตอนเผลอเท่านั้นเอ๊งงงง(เสียงสูง)



                 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:48:41 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #2 เมื่อ13-09-2018 17:14:25 »

                    ต่อ



                     “หนูณิช คุณติณณ์ให้ป้ามาบอกให้หนูณิชขึ้นไปพบที่ห้องน่ะ”

                    “ครับเดี๋ยวผมขึ้นไป”

                    เฮ้อ ผมล่ะไม่อยากขึ้นไปที่ห้องนั้นอีกเป็นครั้งที่สองเลย ถึงแม้ว่าเจ้าของห้องจะอนุญาตแล้วก็เถอะ

                    ก๊อก ก๊อก

                    “เข้ามา”

                    พอเปิดประตูปุ๊บผมต้องรีบเอามือมาปิดหน้าทันทีเพราะว่าตอนนี้เจ้าของห้องอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนส่วนท่อนล้างมีผ้าขนหนูสีขาวพันรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่

                    “หึ ทำท่าอย่างกับไม่เคยเห็น”

                    “เอ่อ...เจ้านายมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมพูดพลางก้มหน้าลงกับพื้น ที่ผมเรียกเจ้านายก็เพราะว่าเขาไม่อนุญาตให้ผมเรียกชื่อของเขา

                    “นายขายเหรอ”

                    “ครับ?” ผมตกใจกับคำพูดกำกวมของเจ้านายก่อนจะเงยหน้าถาม แต่ตาเจ้ากรรมเผอิญไปเจอซิกแพกร่างสูงเต็มๆ ตา ทำให้หน้าผมขึ้นสี

                    “หึ” เจ้านายแค่นเสียงแล้วเดินย่างสุมเข้ามาหาผมก่อนจะคว้าแขนข้างขวาผมแล้วลากไปที่เตียง

                    “โอ๊ย!!” ผมร้องออกมาทันทีที่เขาจับผมทุ่มลงกับเตียงอย่างแรง ถึงแม้เตียงมันจะนุ่มก็จริงแต่ถ้าถูกผลักลงอย่างแรงมันก็เจ็บได้เหมือนกัน

                    “จะ...จะทำอะไรครับ” ผมเบิกตากว้างทันทีที่ร่างสูงปลดผ้าขนหนูที่ปกปิดส่วนสำคัญไว้ออก เผยให้เห็นตัวตนขนาดเขื่องสีคล้ำที่กำลังชูชันได้ที่ เส้นเลือดที่ปูดโปนรอบตัวตนมันดูน่ากลัวมาก ผมได้แต่หันหน้าหนีไม่กล้ามอง

                    “กูอยาก” ร่างสูงพูดพร้อมกับคลานเข้ามาหาผม “ช่วยกู”

                    “มะ..ไม่ ไม่” ผมได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอยหลังอย่างหวาดกลัว

                    กึก!

                    หลังผมชนกับหัวเตียง!

                    “ทำอย่างกับไม่เคย ไหนบอกว่าขายไง” ร่างสูงพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน “ขายให้ฉันสิ”

                    “ไม่ ไม่ ไม่ใช่!!” ผมปฏิเสธเป็นพลวัน นี่มันเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่ได้ขายตัวนะ!!

                    เมื่อหนทางหนีทางด้านหลังถูกปิดผมจึงรีบคลานออกทางด้านข้างของเตียงแต่ไม่ทันที่ผมจะลงขาสองข้างก็ถูกมือหยาบลากกลับมาที่เดิม จากนั้นร่างสูงของเจ้านายก็ขึ้นค่อมผมไว้เขาให้มือรวบแขนผมชูไว้บนหัวด้วยมือด้วยส่วนอีกข้างก็ฉีกเสื้อผ้าผมอย่างแรง

                    แกว๊กกกก

                    เสื้อผมถูกร่างสูงตรงหน้าฉีกออกอย่างง่ายดาย แรงเสียดสีของเสื้อทำให้เกิดรอยแดงและถลอกตามลำบอก ผมดิ้นอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะหลุดพ้นจากมัจจุราดที่หิวกระหายตรงหน้า

                    “ปล่อย!! ปล่อยนะ!!”

                    “หยุดดิ้นสิวะ!!”

                    เมื่อผมดิ้นไม่หยุดร่างสูงจึงคว้าเข็มขัดที่วางอยู่ข้างเตียงมามัดข้อมือผมกับหัวเตียงความแสบเริ่มแล่นเข้ามาเพราะผมดิ้นจนทำให้ข้อมือเกิดรอยถลอกขึ้น เมื่อเห็นผมต่อต้านไม่ได้เขาจึงยิ้มที่มุมปากก่อนจะใช้มือค่อยๆ ดึงกางเกงผมออกเหลือเพียงแค่ปราการสีขาวเป็นด่านสุดท้าย

                    ผมตัดสินใจรวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่เท้าก่อนจะใช้มันยันเข้าที่ท้องร่างสูงอย่างแรง

                    “แม่งเอ๊ย!” เขาสบถอย่างหยาบคายก่อนจะขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง “ฤทธิ์เยอะนักใช่ไหมห้ะ!!!”

                    “กูว่าจะเบาๆ แล้วนะ แต่มึงทำตัวมึงเอง ชอบซาดิสม์ก็ไม่บอก หึหึ” ร่างสูงพูดก่อนจะฉีกกระชากกางเกงในผมออกอย่างแรง เผยให้เห็นตัวตนขนาดปานกลางสีชมพูนอนแน่นิ่งอยู่ในพุ่มสีดำ

                    “อ้าขาออก!”

                    “ไม่!!” ผมเกรงส่วนขาเพื่อไม่ให้เขาแยกขาผมออกจากกันได้ “หยุดเถอะนะครับ ผมขอร้อง”

                    “กูบอกให้อ้าขาออก!!!” เมื่อผมไม่ทำตามความต้องการเขาจึงให้แรงเพื่ออ้าขาผมออกจนสำเร็จ เผยให้เห็นช่องทางรักสีชมพูหวานฉ่ำที่ไม่เคยถูกผู้ใดล่วงล้ำมาก่อน

                    ร่างสูงเลียริมฝีปากด้วยใบหน้าหื่นก่อนจะหยิบถุงยางแบบมีปุ่มมาสวมที่ตัวตนของเขา จากนั้นก็ยัดเข้ามาทั้งๆ ที่ยังไม่เบิกทาง

                    “โอ๊ย!! เจ็บ!!!” ผมร้องขึ้นทันทีที่ช่องทางถูกล่วงล้ำเข้ามา “เอาออกไป เอาออกไป!!”

                    “แม่ง อย่าเกร็งสิวะ กูเข้าไม่ได้”

                    “ฮืออ เอาออกไป” น้ำหาแห่งความเสียใจเริ่มไหลริน ความเจ็บแสบเริ่มคืบคลานเข้ามา

                    สวบ

                    “อ๊ากกกก” ผมร้องสุดเสียงเมื่อร่างสูงดันพรวดเข้ามาทีเดียว แต่ก็เข้าได้แค่ส่วนหัวเท่านั้น เพราะว่าตัวตนของเขาใหญ่เกินไปสำหรับช่องทางที่ไม่มีการเตรียมพร้อม

                    “อ่า แน่นชิบหาย” ร่างสูงแช่มันไว้อย่างนั้นสักพักก่อนจะกดเข้ามาใหม่

                    “ฮือ เจ็บ เอามันออกไป!!” ผมร้องตะโกนออกมาทั้งน้ำตาเพราะทนกับความเจ็บแสบที่ร่างสูงมอบให้ไม่ไหว “อ๊ากกก”

                    ผมร้องขึ้นอีกครั้งเพราะครั้งนี้ร่างสูงดันตัวตนเข้ามาทีเดียวสุดลำก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกสอบเบาๆ

                    “อ่าา ซี๊ดดด โคตรแน่นเลยว่ะ” ร่างสูงซี๊ดปากก่อนจะเริ่มโยกให้เร็วขึ้น “อย่าตอดนักสิวะ เดี๋ยวกูแตกก่อนหรอก”

                    เขาใช้มือสองข้างจับสะโพกผมไว้แล้วโยกเอวเข้ามาเร็วกว่าเดิม ความเร็วจากการโดนเสียดสีทำให้ช่องทางเริ่มแดงก่ำความแสบและเจ็บแปลบแล่นเข้ามาใส่โสตประสาทอย่าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

                    “ฮึก ฮืออ” ผมที่ไม่สามารถขัดขืนก็ทำได้เพียงแค่หันหน้าหนีและร้องไห้ออกมา ความเจ็บปวดที่ร่างสูงมอบให้ในวันนี้ผมจะไม่มีวันลืม

                    “ซี๊ดด อ่าส์” เมื่อช่องทางเริ่มปรับตัวกับตัวตนของร่างสูงได้ความเสียวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ความแสบ

                    “อ๊ะๆ อ๊าๆๆ” ผมเผลอปล่อยเสียงน่าอายออกมาต่อหน้าร่างสูงที่ตอนนี้เมามันไปกับช่องทางของผม “อ๊า เสียว”

                    “หึ ตอนแรกร้องไห้ ตอนนี้บอกเสียว ร่าน” ร่างสูงพูดพร้อมกับขยับสะโพกให้เร็วขึ้น “อ่าาาส์”

                    “อ๊า อึก อ๊าาา เสียว” ผมบิดเร่าไปทั้งตัวเพราะทนความเสียวไม่ไหว

                    เมื่อร่างสูงที่กำลังใช้ตัวตนขยับเข้าออกเห็นท่าทีของร่างบางข้างใต้จึงยกยิ้มออกมา เขาเปลี่ยนจากจับสะโพกร่างบางมาจับที่ตัวตนสีฉ่ำที่กำลังแข้งตัวเต็มที่ ร่างสูงใช้มือวนรอบหัวตัวตนทำให้ร่างบางบิดเร่ายิ่งกว่าเดิม


                    “หึ ชอบหรอ”

                    “อื้อ ชะ..ชอบ อร๊างงง!”

                    เมื่อความเสียวแล่นมาถึงจุดสุดยอดร่างบางจึงปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาเต็มหน้าท้องตัวเอง

                    “อ่อนจริง แค่นี้ก็แตกซะแล้ว”

                    “แฮกๆๆ อื้อ ซี๊ดด”




                    บทรักอันเร่าร้อนระหว่างทั้งคู่ดำเนินไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนร่างใต้อาณัติหมดสติไป แต่คนตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดบทรักครั้งนี่ลงเลย เมื่อร่างสูงเสร็จก็ถอนตัวตนออกมาแล้วเปลี่ยนถุงยางอันใหม่เข้าไป วนเวียนอย่างนี้นานหลายชั่วโมงก่อนบทรักครั้งนี้จะสิ้นสุดลง

                 
                       ตกดึกร่างบางที่สลบไปเพราะเพลียจากการร่วมรักตื่นขึ้นมา ทุกครั้งที่ขยับช่วงล่างมันรู้สึกเจ็บแสบอย่างมาก ร่างบางทำได้แค่ซี๊ดปากเสียงเบาระบาดความเจ็บปวด กลัวว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ จะตื่นขึ้นมาทำร้ายเขาต่อ เมื่อพยุงตัวเองลุกนั่งได้สำเร็จภาพที่โดนร่างสูงข่มขืนลอยมาเป็นฉากๆ และผ้าปูที่นอนข้างใต้นั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำสีขาวและรอยเลือดสีแดงแถมทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวของน้ำกาม

                 
                       ร่างบางค่อยๆ ลงจากเตียงถึงแม้ว่าทุกครั้งที่ขยับช่องทางดานหลังจะเจ็บแสบก็ตาม เขาอยากหนีจากที่นี่เต็มทน ร่างบางมองหาสิ่งที่จะสามารถปกปิดร่างกายตัวเองก่อนจะเจอกับผ้าขนหนูสีขาวที่กองอยู่ข้างเตียง ร่างบางหยิบขึ้นมาใส่ก่อนจะค่อยเดินและพยุงตัวเองไปตามพนังหวังจะลงไปที่ห้องตัวเองซึ่งมันไม่ง่ายเลยเนื่องจากรู้สึกปวดที่ขาแถมยังสั่นลำพังแค่จะยืนยังเต็มทน

                 
                      ไม่นานร่างบางก็พาตัวเองที่สะบักสะบอมจากคนใจร้ายได้สำเร็จ โชคยังดีที่ร่างสูงยังป้องกันเพราะไม่อย่างนั้นคงต้องมาห่วงเรื่องโรคหรือไม่ก็น้ำกามที่คั่งค้างข้างใน

                   
                     ร่างบางล้มลงบนเตียงตัวเองก่อนจะข่มตาให้หลับเพื่อที่จะได้ไม่เจอความเจ็บปวด เขาไม่คิดจะมานั่งเสียใจกับครั้งแรกของตัวเองเลยเพราะไม่ว่ายังไงมันก็เสียไปแล้วจะให้มานอนร้องไห้อย่างกับผู้หญิงคงจะใช่เรื่อง สู้เก็บแรงไว้พักผ่อนแล้วดุแลช่องหางให้หายจากการฉีกขาดซะยังจะดีกว่า จะเสียใจก็มีเพียงแค่เรื่องเดียว ที่ร่างสูงบังคับขืนใจแถมยังรุนแรงถึงขนาดช่องทางฉีกขาด ร่างบางเผลอหลับไปด้วยความเพลีย เข้าสู่ห้วงนิทราด้วยหัวใจละร่างกายอันบอบช้ำ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:49:36 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #3 เมื่อ13-09-2018 17:29:44 »

ตอนที่ 4



                    “โอ๊ย!!!”

                    ผมร้องขึ้นทันทีที่จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มากระชากผมออกอย่างแรงแถมยังกดหน้าผมลงไปกับอกแข็งอีกต่างหาก

                    “มึงเป็นใครวะ!!!” ชายคนที่ผมดูแลอยู่ตะโกนเสียงดังพร้อมกับชักปืนออกมาจ่อทางผม เหล่าลูกน้องอีกห้าคนที่ติดตามมันมาด้วยก็ลุกฮือขึ้นทันทีที่เห็นหัวหน้ามันชักปืน

                    “มึงรู้ใช่ไหมว่ากฎของที่นี่คืออะไร” เสียงทุ้มพูดขึ้นเรียบๆ

                    แค่ได้ยินเสียงผมรู้ได้ทันทีเลยว่าคนที่กระชากผมออกเป็นใคร!!

                    “ปล่อยนะ” ผมพูดกับร่างสูงที่กดหน้าผมลงกับอกเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบพร้อมกับบิดตัวไปมาเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ

                    “แม่งเอ๊ย!!” ไอ้คนหัวหน้าสถบลั่นก่อนจะวางปืนลงที่โต๊ะกระจกก่อนจะชี้หน้าร่างสูงข้างกายผม “เรื่องไม่จบง่ายๆ แน่”

                    ที่มันยอมวางปืนไม่ใช่เพราะมันกลัวเจ้านายผมหรอกครับแต่เพราะมันรู้เรื่องระบบความปลอดภัยของคลับนี้ดีต่างหาก ถ้าหากมองขึ้นไปที่มุมของเพดานห้องคุณจะเห็นมือสไนเปอร์ที่เตรียมลั่นไกปืนตลอดเวลา

                    คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ มือสไนเปอร์

                    พวกนี้พี่เจนเขาจ้างมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมและการต่อสู้ที่ร้ายแรงในคลับแห่งนี้และที่สำคัญคือมือสไนเปอร์นั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีมากถึงหกคน!!!!

                    “กูฝากไว้ก่อนเถอะ” มันพูดก่อนจะมองหน้าผม “เดี๋ยวกูมารับ”

                    ผลัวะ!!!

                    ไม่ทันที่มันและพรรคพวกจะเดินออกจากห้อง เท้าเจ้านายผมก็เสยเข้าที่ใต้คางมันอย่างเร็วและแรงจนมันหงายหลังลมตึงไปเลย

                    “อย่าคิดจะมายุ่งกับคนของกู”

                    ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้านายตัวเองด้วยความอึ้ง

                    คนของเขา?

                    ผมไปเป็นคนของเขาตอนไหนกัน!!!

                    “หนอยแน่แก!!” มันลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่เลือดเต็มปากเพราะถูกเท้าเสย ก่อนจะพุ่งไปเก็บปืนที่มันวางไว้บนโต๊ะก่อนหน้านี้

                    ฟิ่ว! เพล้ง!!

                    ก่อนที่มันจะคว้าปืนได้สำเร็จมือสไนเปอร์คนนึงได้ยิงลงมาเป็นการขู่ทำให้โต๊ะกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนที่มือสไนเปอร์ยิงมาแทบจะไม่ได้ยินเสียงด้วยซ้ำ

                    สมกับเป็นหน่วยลอบฆ่าระยะไกลจริงๆ!!

                    มันและพรรคพวกหยุดชะงักทันทีที่กระจกแตกพร้อมกับมีเลเซอร์สีเขียวจ่อไปที่กลางหน้าผากพวกมันทุกคน

                    “เกิดอะไรขึ้น!!!” พี่เจนวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

                    “ลูกค้าเธอน่ะสิ พกปืนเข้ามา” เจ้านายผมหันไปมองพี่เจนก่อนจะพูดเสียงเรียบ “แถมยังกล้าที่จะใช้มันทั้งๆ ที่มีลูกน้องเธอรายล้อมอยู่ด้านบนอีกต่างหาก ไม่รู้โง่หรือโง่”

                    “มึง!!!” มันชี้หน้าเจ้านายผมก่อนจะทำปากพะงาบๆ

                    พี่เจนหันไปมองไอ้ตัวก่อเรื่องที่หยุดชะงักเพราะมีปืนจ่อหัวจากระยะไกลอยู่ก่อนจะใช้มือเป็นสัญญาให้เหล่านักซุ่มยิงลดปืนลงและไม่นานการ์ดตัวใหญ่อีกหลายคนก็กรูกันเข้ามาจับกุมไอ้ตัวก่อเรื่องและลากออกไป

                    “เธอบอกฉันมาสิ๊ว่านี่มันเรื่องอะไร” เจ้านายผมหันไปถามเสียงเย็นก่อนจะกระชากเข็มกลัดสีทองออกจากอกผมขว้างไปตกใกล้ๆ พี่เจน

                    พี่เจนแค่ยักไหล่พร้อมทำหน้าเซ็ง “ก็อย่างที่เห็น”

                    ขวับ

                    เมื่อได้คำตอบที่ไม่พอใจ เจ้านายจึงหันมาหาผมตาเขียวพร้อมกับมือที่บีบแขนผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ

                    “ปล่อยผมก่อนสิ” ผมบอกก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่แกะมือหนาออกแบบแต่มันกลับไม่ขยับเลยสักนิด แถมยังรู้สึกว่าแรงที่บีบมามันจะเยอะกว่าเดิมด้วย

                    “เฮ้ยๆ เกิดไรขึ้นวะ!?” ไม่ทันที่ผมจะตอบก็มีผู้ชายอีกสามคนเดินเข้ามาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงแต่ก็ยังไม่วายคงออร่าความหล่อไว้อยู่

                    “ตามจับแรดน่ะ” เจ้านายพูดเสียงเข้มก่อนจะปรายตามองผมดุๆ ซึ่งผมก็มองตอบกลับไปตาเขียวปัดเช่นกัน

                    “กูขอตัว” เจ้านายพูดก่อนจะลากผมให้ตามไปด้วย

                    “เดี๋ยว!” เสียงพี่เจนร้องขึ้น “นายต้องจ่ายค่าเสียหาย”

                    “หึ ฉันไม่ได้ทำมันแตกสักหน่อย” เขามองไปที่โต๊ะกระจกก่อนจะมองมาที่สาวสวยเจ้าของคลับ “คนของเธอต่างหากที่ทำ”

                    กรอด!!

                    ผมเห็นพี่เจนกัดฟันจนเห็นกรามขึ้นเพราะไม่คิดว่าจะเสียรู้ให้คนอย่างติณณ์

                    “นายไม่มีสิทธิ์พาคนของฉันออกไปจากที่นี่!!”

                    ปึก!

                    “เธอเป็นเจ้าของที่นี่ รู้นะว่าคืออะไร” เจ้านายผมวางเช็คที่ลงลายมือชื่อไว้แต่ยังไม่ได้เขียนจำนวนเงินวางไว้ที่โต๊ะอีกตัวใกล้ๆ กันจากนั้นก็ลากผมให้เดินไปกับเขาด้วย

                    พี่เจนได้แต่กำมือแน่นสายตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยโทสะเพราะไม่สามารถตอบโต้ผู้ชายคนนี้เลยได้

                    กฎอีกข้อของที่นี่คือ เมื่อลูกค้าสนใจพนักงานหรือต้องการนำโฮสต์คนไหนออกจากคลับนอกเวลาต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนสามเท่าของค่าตัวเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งเงินทั้งหมดที่โฮสต์ถูกซื้อไปนั้นจะแบ่งคนละห้าสิบห้าสิบกับคลับเพราะถือว่าโฮสต์คนนั้นสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมลูกค้าให้ซื้อตัวเองได้
                   
                    ซึ่งโฮสต์แต่ละคนนั้นค่าตัวก็จะแตกต่างกันไปตามระดับ ลูกค้าคนไหนที่ซื้อโฮสต์ไปจะไม่สามารถจูบหรือมีอะไรกับโฮสต์ได้ พูดง่ายๆ คือถูกจ้างให้ไปทำงานนอกเวลาและไปเทคแคร์ลูกค้าตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่ที่ทั้งคู่จะตกลงกัน เช้ามาก็ต้องพาโฮสต์กลับมาส่งที่คลับเหมือนเดิม

                    งานโฮสต์คือการเทคแคร์และเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาให้กับลูกค้า ไม่ใช่ขายตัว โปรดทำความเข้าใจ!


                    ตุบ!!

                    “ครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดใช่ไหมหะ!!!” เขาเปิดประตูแล้วผลักผมเข้าไปในรถแล้วตะคอกอย่างแรง

                    “อะไร!!” ผมที่เริ่มจะหงุดหงิดเหมือนกันเลยกระชากเสียงใส่ “ปล่อยผมนะ!!!”

                    “เงินที่ฉันให้มันไม่พอใช้หรือไงถึงได้เที่ยวไปซบผู้ชายอื่น!”

                    เขาขึ้นเสียงก่อนจะค่อมผมไว้ที่เบาะรถ

                    “อยากมากใช่ไหม หะ!! อยากมากใช่ไหม!!”

                    “อื้อ!”

                    ไม่ทันที่ผมจะตอบโต้เขาก็ฉกริมฝีปากลงมาทาบทับริมฝีปากผมอย่างรุนแรงและป่าเถื่อน ผมพยายามเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เขาสอดแทรกเรียวลิ้นเข้ามากอบโกยความหวานละมุนจากผมได้โดยง่าย สองมือก็ดันหน้าอกเข้าไว้เพื่อกั้นระยะห่าง

                    กึก!

                    “โอ๊ย!”

                    ผมร้องขึ้นทันทีที่เขากัดริมฝีปากล่างของผมอย่างแรง เมื่อผมอ้าปากร้องเพราะความเจ็บเขาจึงฉวยโอกาสนั้นสอดแทรกเรียวลิ้นเข้ามาควานหาความหวานจากปากผมอย่างเอาแต่ใจ ลิ้นร้อนพยายามไล่ต้อนผมให้จนมุมและสุดท้ายเขาก็เป็นผู้ชนะ

                    ลีลาการบดเบียดของเขาทำผมอ่อยระทวยใจ เต้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้สั่นไปหมด

                    “อื้อๆๆ”

                    ผมทุบหน้าอกเขาเป็นการประท้วงเพราะว่าเขาไม่ปล่อยให้ผมได้หายใจเลยเป็นเวลาเกือบสองนาที ซึ่งเขาก็คงจะเข้าใจเลยถอยริมฝีปากออกแล้วซุกหน้าไปกับซอกคอขาว

                    “แฮกๆๆ” ผมรีบกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็ว ถ้าปล่อยไว้อีกสักหน่อยผมคงจะหมดสติเพราะขาดอากาศหายใจแน่ๆ

                    “อะ...ออกไป” ผมบอกร้องห้ามเสียงแผ่วเบาและขาดห้วง

                    “อื้มมม อีกนิด” เขาพูดเสียงกระเส่าที่ข้างหู

                    “มะ...อื้อ!”

                    ไม่ทันที่ผมจะห้ามอะไรเขาก็เบียดริมฝีปากหนาลงมาดูดดึงกับปากผมอย่างเร่าร้อน หลายนาทีที่เราจูบกันอยู่อย่างนั้น น้ำใสไหลย้อนออกทางมุมปากทำให้เกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบอย่างหลาบโลน

                    “นี่นาย...” เขาถอนริมฝีปากออกก่อนจะจ้องหน้าผมด้วยสายตาฉ่ำปรือ

                    เขาตักตวงความหวานจากปากผมอย่างขาดสติโดยไม่รู้เลยว่าตอนที่เขาผละออกให้ผมได้หายใจผมแอบใช้จังหวะนั้นล้วงเอายานอนหลับในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาอมไว้ในปาก

                    ตอนที่เราจูบกันผมก็เริ่มสอดลิ้นเข้าไปในปากเขาบ้าง ตัวเขาเองคงคิดว่าผมอยากจะรุกบ้างเลยยอมให้ผมเข้าไปโดยง่าย ผมจึงใช้จังหวะนั้นดันยานอนหลับลงคอเขาไป

                    เขามัวแต่จูบผมจนไม่รู้เลยว่าตัวเองกลืนยานอนหลับของผมเข้าไปเต็มๆ กว่าจะรู้สึกตัวก็คงจะเพราะอาการง่วงจากฤทธิ์ยาล่ะมั้ง

                    “ขอโทษนะ” ผมพูดก่อนจะดึงมือตัวเองออกมาดึงหัวเขามาซบที่ไหล่

                    “นาย นาย!” เขาพูดเสียงดังอู้อี้ที่ไหล่ผม

                    ไม่นานเขาก็หมดฤทธิ์เดชลงด้วยยานอนหลับ

                    ถุย

                    ผมถุยน้ำลายออกนอกรถเพราะเริ่มที่จะง่วงแล้วเหมือนกัน ถึงวิธีนี้มันจะได้ผลกับเขาแต่มันก็เสี่ยงเหมือนกันที่ผมจะหลับด้วยยาของตัวเอง

                    ผมดันร่างเขาที่สลบไปนั่งอีกเบาะก่อนจะพาตัวเองออกจากรถแล้วพิงที่ประตูด้วยความโซเซ

                    ผมคงจะโดนฤทธิ์ยาเข้าไปไม่น้อยเหมือนกันเพราะอมไว้ในปากเป็นเวลานาน

                    ผมสะบัดหัวสองสามทีก่อนจะกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง

                    ตู๊ด ตู๊ด

                    กริก!

                    “มารับผม แฮก ที่XXX” ผมพูดไปหอบไปเพราะสติเริ่มเลือนรางเต็มที “แฮกๆ ด่วน!”





                    ผมรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนจะกวาดตามองไปรอบห้องที่คุ้นเคย ก่อนจะพบกับผู้ชายร่างสูงใส่สูทอย่างเนี๊ยบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังราคาแพง

                    “ตื่นได้สักที”

                    “บอส” ผมเรียกบอสเสียงเบาก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อคลายความมึน

                    “ไปทำอิท่าไหนถึงมีสภาพอย่างนี้” เขาถามเสียงเรียบพร้อมหรี่ตามองผมนิ่งๆ “แล้วภารกิจสำเร็จไหม”

                    “ล้มเหลวครับ” ผมบอกก่อนจะใช้กุมขมับแน่น “พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”

                    “เอาล่ะ ไม่เป็นไร ไหนๆ เธอก็มาถึงที่นี่แล้วก็มาเอามันไป” บอสหยิบซองสีน้ำตาลก่อนจะวางมันลงมันโต๊ะทำงานสีดำสนิท “นี่คือภารกิจใหม่ของเธอ”

                    ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน

                    “นี่มัน!!” พอผมเปิดอ่านข้อความในซองก็ทำเอาผมถึงกับอึ้งและรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก “นี่บอสรู้มานานแค่ไหน”

                    “ตั้งแต่แรก ☺” เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้ผม

                    “ทำไมไม่บอกผม!”

                    “ก็ถ้าบอกนายจะยอมทำเหรอ☺”

                    “คุณนี่มันร้ายจริงๆ” ผมส่ายหัวพูดก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องด้วยความมึนหัว

                    “อ้อ ยืมไอ้นี่สักแป๊บนะ” ผมพูดพร้อมกับชูพวงกุญแจรถหรูไปมา “เดี๋ยวเอามาคืน”

                    “ไม่คืนฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ ขอแค่นายขอ ฉันก็พร้อมที่จะให้☺”

                    “หึ” ผมแค่นเสียงในลำคอก่อนจะเปิดประตูออกไป

                    “ขอให้โชคดี Zee” ก่อนที่ผมจะปิดประตูเสียงบอสก็ไล่หลังมา

                    ปัง!

                    อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัย

                    เอาล่ะ ผมจะอธิบายให้ฟังว่าเรื่องมันเป็นมายังไง

                    ก่อนอื่นต้องบอกว่าผู้ชายเมื่อกี้คือคนที่ผมทำงานด้วย เขาจัดตั้งทีมนักสืบและสายลับขึ้นและตั้งเป็นองค์กรในชื่อของเขาอย่างลับๆ มีหน่วยงานมากมายที่รู้จักเราและขอให้เราร่วมมือในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น CIA FBI หรือแม้กระทั้งเหล่าผู้นำรัฐบาลระดับสูง

                    ทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเราคือใครและจัดตั้งขึ้นเพื่ออะไร พวกเราจะลงมือแค่ภารกิจพิเศษที่บอสของเรามอบหมายให้เท่านั้น บอสมีอิทธิพลมากมายไม่ว่าจะทั้งในและนอกประเทศ เขาคือคนที่ช่วยให้เราเข้าถึงเป้าหมายและช่วยให้เราดำเดินการได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

                    ส่วนเรื่องของผม.... ผมคือหนึ่งในสายลับขององค์กรที่บอสตั้งขึ้น

                    ใช่! ฟังไม่ผิดหรอกครับ

                    ผมคือสายลับ ฉายาของผมคือ ‘Zee’  Zee ที่ถูกแปลงจากตัว C ในภาษาอังกฤษ

                    Club คือฉายาเต็มของผม มีสัญลักษณ์คือดอกจิกที่มีความหมายว่าเฉลียวฉลาดและมีสติปัญญา
ส่วนเรื่องราวมากมายที่คุณได้อ่านมาทั้งหมดในตอนก่อนๆ มันคือเรื่องโกหกเพื่อที่จะสร้างสถานการณ์และนำไปสู้การทำภารกิจที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม ยกเว้นแค่เรื่องเดียวที่เป็นเรื่องจริง คือเรื่องของพ่อแม่ของผม...
   
                    ผมถูกบอสเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ที่พ่อแม่ผมเสียจำได้ว่าตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ขวบ สิ่งของอย่างเดียวที่ท่านทิ้งไว้ให้ผมคือสร้อยคอสีเงินที่มีจี้เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีดำเส้นเดียว
บอสมาเจอผมที่ข้างถนนที่นอนคุดคู้สู้ความเย็นของอากาศในฤดูหนาวและชุบเลี้ยงผมขึ้นจนมาถึงทุกวันนี้ สำหรับผมเขาคือผู้มีพระคุณ

                    ในวันหนึ่งเขามาพูดกับผมว่าอยากให้ผมเป็นหนึ่งในสายลับของเขาซึ่งผมเองก็ไม่ตกใจสักเท่าไหร่เพราะพอจะรู้เรื่องราวมาพอสมควร ผมตอบตกลงทันทีที่เขาชวน
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาให้ผมเรียนป้องกันตัวและฝึกพิเศษตั้งแต่เด็ก ก็เพื่อการนี้นี่เอง...

                    ภารกิจแรกของผมที่ถูกมอบหมายก็คือแทรกซึมเข้ามาในบ้านของคุณติณณ์และจับตาดูหนึ่งในลูกน้องของเขา เนื่องจากมีหนึ่งในลูกน้องของเขารู้เห็นเกี่ยวกับคดีลักลอบนำเข้าและส่งออกของผิดกฎหมาย ซึ่งผมก็สืบจนได้ความและส่งตัวมันให้บอสไปเค้นคำตอบ มันบอกว่ามันติดต่อกับลูกน้องของนายใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งคนนั้นคือไอ้ผู้ชายที่อาละวาดในคลับคืนก่อน

                    ผมแทรกซึมและเข้าไปเป็นพนักงานของคลับด้วยเส้นสายเพื่อที่จะไปล้วงความลับจากมันแต่แล้วภารกิจผมก็ล้มเหลวเพราะอยู่ดีๆ ร่างสูงของติณณ์ก็เข้ามาอาละวาดทำให้ทุกอย่างอยู่นอกเหนือแผนการและยุติมันลง
ตัวตนของผมถูกปิดเป็นความลับไม่มีใครรู้นอกจากบอสคนเดียว ส่วนข้อมูลตัวตนที่ทาง CIA FBI และอื่นๆ รู้มันคือของปลอมที่บอสทำขึ้น

                    ในครั้งที่บอสมอบภารกิจแรกให้ผมไปสืบสาวหาคนร้ายที่อังกฤษ เป็นเวลากว่าหกเดือนที่ผมต้องสวมหน้ากากและคอยโกหกผู้คนเพื่อที่จะทำให้เป้าหมายตายใจและคายความลับออกมาและทุกครั้งที่สวมหน้ากากผมรู้สึกว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั้นเริ่มเลือนลางลงไปทุกทีๆ





                    บรืน

                    ผมมองเอกสารที่วางข้างเบาะคนขับด้วยสายตาที่เย็นเฉียบก่อนจะตบไฟเลี้ยวเข้าไปที่คลับ Nexus อีกครั้ง แถมยังผ่านด่านรักษาความปลอดภัยมาอย่างง่ายดาย

                    บอกแล้วไง เส้นสายผมกับบอสเยอะ หึ

                    ผมก้าวขาลงรถก่อนจะเดินขึ้นไปยังตึกสูงระฟ้าและกดลิฟท์ไปที่ชั้นบนสุดก่อนจะเจอกับห้องที่ผมตามหาก่อนจะเคาะประตู

                    ก๊อก ก๊อก

                    “เข้ามา”

                    “เจอกันอีกแล้วนะครับพี่เจน ☺”

                    “แหม ฟ้าครึ้มหรือเปล่าเนี่ยทักพี่ก่อน” หญิงสาวพูดยิ้มๆ ก่อนจะวางไวน์ลงที่โต๊ะและรินไวน์ให้ผม

                    “นั่งสิจ้ะ”

                    ผมเดินไปนั่งตามหญิงสาวบอกก่อนจะยกไวน์ขึ้นจบเบาๆ

                    “ผมต้องการไฟล์บันทึกเสียง” ผมพูดเข้าประเด็นทันทีเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา

                    ไฟล์ที่ผมพูดถึงคือ ไฟล์เสียงตอนที่ผมปลอมเป็นพนักงานและไปบริการไอ้คนที่ถูกติณณ์ต่อยเมื่อคืนก่อนเพราะต้องมีหลักฐานในการมัดตัวมันและจับเข้าตะราง

                    “อุ้ยตาย” พี่เจนทำท่าป้องปาก เห็นแล้วหมั่นไส้จริงๆ “น้องณิชไม่ได้อัดเสียงไว้หรอกเหรอคะ”

                    น้ำเสียงและท่าทางนี่มันช่างดัดจริตเสียจริง

                    เครื่องอัดเสียงที่ผมติดไว้กับเข็มกลัดมันดันพังตอนที่ติณณ์ขว้างมันลงกับพื้นน่ะสิ ผมล่ะอยากให้บอส
สร้างไอ้เครื่องอัดเสียงขนาดเล็กนี่ให้ทนมือทนเท้าขึ้นอีกสักหน่อย ทำงานไม่สะดวกเลยจริงๆ

                    “พอดีมีเหตุขัดข้องนิดหน่อย” ผมพูดพร้อมยกไวน์ขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะปรายตาไปที่หญิงสาวตรงหน้า “เลยอยากจะขอไฟล์จากพี่เจนน่ะครับ ได้ยินข่าวว่าชอบอัดเสียงชาวบ้านไว้เป็นคอลเลคชั่น☺”

                    ดูหน้าเธอสิ ผมเห็นคิ้วเธอกระตุกด้วยล่ะ!!

                    “แหมมม” พี่เจนลากเสียงยาว “พี่ก็ไม่ได้อัดไว้ให้ใครฟรีๆ หรอกนะคะ”

                    หึ

                    ผมหยิบเช็คที่บอสแนบมาให้ในซองภารกิจแล้วยื่นให้ พี่เจนหยิบไปเช็คแป๊บหนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มที่โคตรจะสวยแต่แฝงไปด้วยความเสแสร้ง!

                    “นี่จ่ะ”

                    พี่เจนหยิบโบว์หูกระต่ายสีดำออกมาจากลิ้นชักแล้วยื่นให้ผมผมจึงหยิบมาแล้วขอตัวกลับทันที
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปขึ้นรถมือก็เปิดโบว์ดูข้างในไปด้วยในตัว ตัวโบว์ที่ถูกทำมาเป็นพิเศษซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆ จะไม่รู้ตัวเลยว่าภายในซ่อนเครื่องอัดขนาดไมโครไว้

                    ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าทางคลับติดเครื่องดักฟังไว้ในหูกระต่ายด้วย ผมก็มารู้ตอนที่อ่านเอกสารในซองน้ำตาลนั่นแหละ
ตอนที่ผมเดินไปเปิดดูโบว์ไปหางตาผมเหลือบเห็นห้องหลายห้องที่เปิดต้อนรับคนเข้าไปก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็เร็วไม่เท่าสายตาของผมอยู่ดี

                    ภายในห้องมีโต๊ะสนุกและโต๊ะการพนันทุกรูปแบบแถมยังมีสิ่งเสพติดและของมึนเมาเกือบทุกประเภทอีกต่างหาก
ผมคิดว่าการที่ทางคลับผ่านการตรวจของตำรวจได้นั่นคงจะไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเงินซึ่งตำรวจเหล่านั้นคงจะได้เยอะอยู่พอสมควร

                    ข้างหน้าเป็นคลับถูกกฎหมายและคลับที่ไฮโซกว่าที่อื่นแต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยอบายมุขและสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ นาๆ

                    หึ เป็นคลับที่เสแสร้งดีจริงๆ!!






 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:50:02 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #4 เมื่อ13-09-2018 17:35:10 »

ตอนที่ 5



   
                    หลังจากได้ของที่ต้องการผมก็กลับไปหาบอสและให้คนมาส่งผมที่บ้านติณณ์ในตอนเช้า ที่บ้านเขาผมต้องกลับมาเป็นณิชเด็กเนิร์ดที่ไม่กล้าแข็งข้อกับใครและเป็นแค่พ่อบ้านธรรมดาๆ ที่ถูกจ้างมาเท่านั้น
   
                    ตอนนี้เขาจะรู้สึกยังไงนะ จะตื่นหรือยัง หึ
   
                    ผมยังจำได้ดีเลยล่ะ ความเจ็บจากการกระทำของเขา ผมจะจดจำทุกอย่างและคิดบัญชีกับเขาทีเดียวให้สาสมกับที่เขาทำกับผมไว้!!
   
                    กึก!

                    ผมวางวัตถุสีเงินวาวและวัตถุสีดำเมื่อมลงบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะใช้ผ้าสะอาดเช็ดมันอย่างเบามือ ลูกรักของผมสองกระบอกนี้บอสเป็นคนสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ

                    ตัวบอดี้ของกระบอกแรกเป็นสีเงินวาวสวย ส่วนปลายจะยาวกว่าปืนทั่วไปเล็กน้อยและตรงด้ามจับมีสีดำพาดลงมาและมีสัญลักษณ์รูปดอกจิกสีเงินสลักอยู่

                    ส่วนอีกกระบอกมีลักษณะและลวดลายเหมือนกันจะต่างกันก็แค่สลับสีของปืนเป็นสีดำและด้ามจับเป็นสีเงินเท่านั้น

                    ผมมองปืนสองกระบอกที่อยู่คู่กับผมมาตั้งแต่ที่ทำภารกิจครั้งแรกด้วยใบหน้าเรียบ เพราะมันคู่นี้ผมจึงมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้ถึงจะไม่ได้ใช้มันบ่อยครั้งนักก็เถอะ




                    8:00 AM

                    ทางมหา’ลัยปิดเป็นกรณีพิเศษ(เส้นสายบอส) เป็นเวลาสามวัน ซึ่งเขาบอกว่าอยากให้ผมทำภารกิจที่สองของเคสนี้ให้สำเร็จ

                    ภารกิจที่สองก็คือให้ผมไปสำรวจรังของพวกลักลอบค้าของผิดกฎหมายและค้นหาเส้นทางที่จะนำพละกำลังเข้าไปตรวจจับ

                    บอสบอกให้ผมรอจนกว่าจะส่งแผนและข้อมูลรังของพวกมันให้ทางโทรศัพท์ ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำได้แค่รอแล้วก็รอ
ผมรู้สึกเบื่อๆ เลยออกไปหาป้านวลในครัวหวังว่าจะทำอาหารแก้เบื่อสักหน่อย แต่พอเข้าไปแล้วป้าแกบอกว่าทำเสร็จหมดแล้วซึ่งผมก็ได้แต่เดินคอตกกลับมาที่ห้อง พวกงานในบ้านผมก็ทำเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้จึงว่างมากกกก

                    ปี้น ปี้น!

                    ผมเปิดประตูห้องออกไปดูว่าใครที่บีบแตรเสียงดังตั้งแต่เช้าขนาดนี้

                    รถพอร์ชสีแดงคันสวยจอดเทียบที่หน้าบ้าน เจ้าของรถเป็นสาวสวยแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย แต่พอเธอก้าวลงจากรถเท่านั้นแหละความคิดที่ว่าเธอเรียบร้อยมันย้อนกลับเข้ามาในสมองผมหมดก็แม่คุณเล่นผ่าเสื้อกลางหลังและกางเกงขาสั้นสีขาวมาขนาดนั้นคงจะเรียบร้อยหรอกครับ

                    แต่ถ้าดูแค่ข้างหน้ามันก็ดูทั่วๆ ไป แต่พอหันหลังเท่านั้นแหละ

                    แม่เจ้า!! นั่นเสื้อหรือเศษผ้า แฟชั่นประเทศไหนกันคุณ

                    “นี่นายตรงนั้นน่ะ” เธอหันหน้ามาทางผมแล้วพูดขึ้น

                    ผมหันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นใครก่อนจะชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ผมเหรอ”

                    “ใช่ นายนั่นแหละ” เธอพูดก่อนจะปิดประตูรถพร้อมกับชักสีหน้าเล็กน้อย “รีบมาขับรถฉันไปจอดสิ มัวรออะไรอยู่”

                    ผมขมวดคิ้วก่อนจะเดินไปรับกุญแจรถจากเธอแล้วขับไปจอดอย่างงงๆ

                    แล้วทำไมเมื่อกี้คุณเธอไม่ขับไปจอดให้มันเสร็จทีเดียวไปเลยวะ

                    และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ...
                   
                    เธอคือใคร -_-

                    ผมนำรถของเธอไปจอดก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเห็นเธอนั่งทานข้าวกับคุณติณณ์ แถมยังคุยเป็นต่อยหอยอีก
ตอนอยู่ที่บ้านในฐานะพ่อบ้านผมขอเรียกเขาว่าคุณติณณ์นะครับ ส่วนผมในคราบสายลับจะเรียกเขาว่าติณณ์เฉยๆ บอกไว้เผื่อบางคนอ่านแล้วสับสน

                    ผมเดินไปยืนข้างป้านวลแต่พอเดินเข้าไปคุณติณณ์ก็บอกหน้าผมนิ่ง

                    เดาไม่ออกจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

                    “คนนี้แหละค่ะติณณ์ที่ช้อยเล่าให้ฟัง” เธอพูดพร้อมกับหันทางมามองผมด้วยสายตาเยียด

                    อะไรวะ

                    “ช้อยแค่ขอให้เขาขับรถไปจอดให้เฉยๆ แต่เขากลับทำหน้าไม่พอใจใส่ช้อย”

                    “ใจเย็นๆ สิช้อย” คุณติณณ์พูดก่อนจะวางช้อนข้าวลงแล้วดื่มน้ำ “เขาพึ่งมาทำงานที่นี่ คงไม่รู้ว่าช้อยเป็นใคร”

                    “งั้นก็บอกเขาไปสิคะว่าเราเป็นอะไรกัน” เธอพูดก่อนจะใช้สองมือไปกุมมือใหญ่ของคุณติณณ์ไว้เบาๆ

                    “ไอ้หนูฟังนะ ช้อยเป็นแฟนฉัน เขาสั่งอะไรห้ามขัดเด็ดขาด เข้าใจไหม”

                    คำนี้อีกแล้ว ไอ้หนู!! เกลียดจริงๆ

                    ทำไมอะ เกิดมาตัวเล็กนี่ผิดตรงไหนห้ะ!!

                    “ครับ” ผมพูดก่อนจะก้มหัวให้นิดหน่อยถึงแม้ข้างในจะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม

                    ทนเอาณิช อีกเดือนหนึ่งกับสามอาทิตย์เท่านั้นสัญญาบ้านั่นก็จะหมด ความจริงผมจะออกก่อนกำหนดก็ได้นะก็
แค่เสียค่าปรับเองเงินที่บอสให้ผมก็มีไม่ใช่น้อยๆ แต่ที่ผมไม่กล้าออกก็เพราะมันเป็นหนึ่งในภารกิจที่บอสมอบให้ซึ่งถ้าฝ่าฝืนภารกิจบอสจะปรับผมเป็นจำนวนสิบเท่าของเงินที่มีในบัญชีน่ะสิ!!

                    แล้วคุณคิดว่าในบัญชีผมมันมีกี่ล้านกันล่ะ! แค่คิดน้ำตาก็แทบไหลแล้ว

                    “ช้อยมาที่นี่มีเรื่องอะไร”

                    “เราเป็นแฟนกันนะคะ แค่จะมาบ้านแฟนนี่ต้องมีธุระด้วยเหรอ” เธอพูดพร้อมกับทำหน้างอน

                    “หึ อีกยี่สิบนาทีตามฉันขึ้นไปบนห้อง” เขาหันมาบอกผมก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป

                    “ติณณ์จะไปไหนคะ รอช้อยด้วย!” เธอรีบวิ่งตามคุณติณณ์ขึ้นบันได

                    อะไรของพวกเขาวะเนี่ย

                    ผมบ่นในใจก่อนจะเดินไปเก็บจานพร้อมป้านวลและแม่บ้านคนอื่นๆ

                    ผมช่วยป้าๆ ล้างจานจนคิดว่าน่าจะได้เวลาตามที่คุณติณณ์บอกแล้วจึงเดินไปล้างมือแล้วขึ้นไปที่ชั้นสอง

                    ก๊อก ก๊อก

                    ผมเคาะประตูแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป

                    “อ๊า! ติณณ์ ช้อยเสียว อึกอ๊าาาา”

                    ภาพตรงหน้าทำเอาผมตัวชา ร่างของหญิงสาวกำลังบดเอวและโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างเมามันอยู่ข้างบน

                    “อ๊ะอ๊ะ ซี๊ดอ๊าาา ซี๊ดดดดดด”

                    เธอครางด้วยความเสียวก่อนจะขย่มให้แรงขึ้นไปอีก ร่างสูงที่นอนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้หญิงสาวเป็นคนคุมเกมส์ เขา
มองมาที่ผมพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก

                    เราสบตากันชั่วครูก่อนที่ผมจะรวบรวมสติแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ทั้งคู่สุขสมกันตามที่ต้องการ

                    ผมเดินออกมาแล้วปิดประตูให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะไม่อยากรบกวนเวลาความสุขของพวกเขา

                    ทำไมมันรู้สึกจี๊ดๆ ที่อกข้างซ้ายนะ....

                    หรือผมจุกเพราะกินข้าวมากเกินไป มันต้องใช่แน่ๆ!!

                    “อ้าว มาทำอะไรตรงนี้ล่ะ”

                    “คุณเนตร”

                    “เอ่อ...พอดีผมผ่านมาทางนี้น่ะครับ” ผมอ้อมแอ้มบอกเขาไป

                    “ดีเลยมาช่วยฉันจัดของที่ห้องหน่อยสิ”

                    “ครับ” ผมตอบไปอย่างเบลอๆ เพราะยังคงรับไม่ได้กับภาพเมื่อครู่

                    เขาพูดแล้วจับมือผมให้เดินไปด้วยกัน

                    ปัง!

                    พรึบ

                    “คะ...คุณเนตรจะทำอะไรครับ” ผมถามด้วยความตกใจที่ถูกเด็กโข่งสุดหล่อให้แขนขังผมไว้กับประตูห้อง

                    “ฉันชอบนาย” เขามองหน้าผมแล้วพูดออกมาอีกครั้ง “ชอบ”

                    “ห้ะ!”

                    “ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว” เขาเข้ามากระซิบที่ข้างหู

                    “แต่ผม...เอ่อ” ผมพยายามทำตัวให้ดูเป็นคนหัวอ่อนถึงแม้ว่าในใจผมอยากจะจับเขาทุ่มมากแค่ไหนก็ตามที

                    “ปล่อยผมเถอะครับ” ผมพูดเสียงอ่อนพร้อมกับดันอกเขาออกเล็กน้อย “ไหนบอกว่าจะให้ผมช่วยจัดของไง”

                    “ถ้าฉันบอกว่าจะทำแบบนี้กับนายตั้งแต่แรกนายจะยอมเข้ามาไหมล่ะ”

                    “ทำอะไร!”

                    เขาไม่ตอบก่อนจะก้มลงดูดที่คอผมอย่างแรงจนเกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบ

                    “ปล่อย อึก!! ปล่อยนะ!!”

                    ผลัก!

                    ผมทนไม่ไหวเลยรวบรวมกำลังแล้วผลักเขาออกอย่างแรง

                    “หึ”

                    คุณเนตรมองผมด้วยสายตาคมก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเองอย่างหื่นกระหาย คราบของเด็กวัยสิบแปดก่อนหน้านี้หายไปหมดตอนนี้เหลือแต่เพียงคราบของเสือผู้หิวโหยที่พร้อมจะขย้ำกวางอย่างผม!


                    “วันแรกที่ฉันจูบยังไม่เห็นขัดขืนอะไรเลยนี่” เขาพูดพร้อมกับย่างสุมมาหาผมอย่างช้าๆ

                    “แถมยังให้จูบตั้งสองครั้ง”
                 
                      ผมเห็นทาไม่ดีเลยรีบหันหลังเพื่อจะเปิดประตูออกไปจากห้องนี้ แต่เด็กตรงหน้ากลับเร็วกว่า!
หมับ

                    “จะไปไหน”

                    “ปล่อยนะ อย่าหาว่าผมไม่เตือน”  ผมขู่เขาก่อนจะสะบัดมือออกแรงๆ แต่ไม่เป็นผล

                    “ตัวเล็กอย่างนายจะทำอะไรฉันได้ แถมมีแรงก็อย่างกับลูกแมว หึ”
เขาพูดพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดทางด้านหลังแล้วบดจูบไปที่ซอกคอผมอย่างแรง

                    เข้าทางผมล่ะ!!

                    “ขอโทษนะครับ”

                    ผมขอโทษเขาก่อนจะถ่วงน้ำหนักตัวเองลงด้วยการกางขาแล้วย่อเข่าลงก่อนจะใช้ขาขวาเบี่ยงไปข้างหลังขาซ้ายเขาเพื่อล็อคไม่ให้เขาถอยหลัง เป็นผลทำให้เขาเหลี่ยมเสียและมุมเสียจากนั้นผมจึงย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทรงตัวก่อนจะใช้มือจับทั้งสองขาของเขาหมุนแล้วเหวี่ยงออกอย่างแรงทำให้มือเขาหลุดออกจากตัวผมอย่างง่ายแถมท่าปลดท่านี้ก็แทบจะไม่เสียแรงเลย

                    ต้องขอบคุณครูยุทธจริงๆ ที่ฝึกผมมาอย่างหนัก

                    ตุบ!

                    ผลัวะ!

                    เมื่อเขาล้มผมจึงใช้เท้าเตะผ่าหมากที่ของรักซ้ำอีกครั้งเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมาจับผมได้อีก

                    “โอ๊ย!!”

                    เขาร้องเสียงหลงก่อนจะใช้มือกุมที่น้องรักด้วยใบหน้าเขียวอมม่วง

                    “ขอโทษนะครับ” ผมกล่าวอีกครั้งก่อนจะใช้จังหวะนั้นรีบออกจากห้องไปด้วยความเร็ว

                    “ซี๊ดด โอ๊ย! แสบจริงๆ!” เนตรพูดพร้อมกับร้องโอดโอยด้วยความจุก

                    “แต่แม่ง แซ่บถึงใจจริงๆ ว่ะ!! คนแบบนี้แหละที่กูอยากได้เป็นเมีย”

                    “โอ๊ย ซี๊ดดดดด!!”









 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:50:15 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #5 เมื่อ13-09-2018 17:44:55 »

ตอนที่ 6




                    แกร๊ก!
   
                    คุณติณณ์เปิดประตูออกมาตอนที่ผมหนีออกมาหอดี เขามองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาจ้องมองที่คอผมนาน
                    เป็นพิเศษพร้อมกับทำตาขวางใส่

                    พอรู้สึกตัวว่าเขากำลังคิดอะไรผมจึงรีบเอามือมาปิดที่คอก่อนจะวิ่งออกไป

                    คอผมคงจะมีรอยแน่ๆ

                    ติ๊ง!

                    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่กำลังวิ่งออกจากบ้านผมจึงหยุดแล้วรีบหยิบมันขึ้นมาอ่าน

                    มาแล้ว!!



-ภารกิจที่สอง-
เก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด

ขอให้โชคดี Zee
-บอส-



                    ผมรีบเก็บโทรศัพท์ก่อนที่จะวิ่งเข้าห้องเพื่อเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำภารกิจคืนนี้

                    อีกสามชั่วโมงฟ้าจะมืด ก่อนหน้านั้นผมต้องวางแผนและคิดวิธีหนีไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน

                    ผมหยิบชุดหนังสีดำและที่คาดเอวขึ้นมาสวมก่อนจะเอาลูกรักของผมสองกระบอกเหน็บไว้คนละข้าง   รองเท้าบูทเป็นแบบที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ที่ปลายรองเท้ามีมีดเล่มเล็กๆ ซ่อนอยู่ เพียงแค่ผมใช้เท้ากดปุ่มที่อยู่ในรองเท้ามีดมันก็จะโผล่ออกมาก

                    ที่ไหล่ก็มีกระเป๋าสะพายข้างที่ข้างในเป็นอุปกรณ์เก็บรวมรวมข้อมูลและอุปกรณ์ที่ใช้สอดแนมต่างๆ หลังจากนั้นผมก็หยิบหน้ากากแฟนซีสีดำที่มีรูปดอกจิกอยู่ตรงกลางขึ้นมาสวมอำพรางหน้า

                    ผมคิดแผนและหาทางหนีกรณีฉุกเฉินเผื่อไว้หลายแผนเพราะงานผมอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ จะตายเมื่อไหร่ผมยังไม่รู้เลย

                    หึ แต่ไว้ใจผมเถอะ เพราะผมไม่เคยทำงานพลาดสักครั้ง

                    ไม่นานฟ้าสีส้มอ่อนก็ถูกความมืดเข้ามาแทนที่

                    ถึงเวลาที่ผมจะออกปฏิบัติการแล้ว!

                    ก่อนออกจากห้องผมหันซ้ายหันขวาเพื่อเช็คว่าไม่มีใครอยู่แถมนี้ก่อนที่ผมจะเหยียบถังน้ำและปีนข้ามกำแพงที่อยู่หลังห้องผม ซึ่งห้องพักของเหล่าคนใช้นั้นจะอยู่ที่หลังบ้านซึ่งมันค่อนข้างจะห่างจากบ้านใหญ่และมีต้นไม้บังอยู่พอสมควร

                    ผมปีนกำแพงข้ามมาได้สำเร็จก่อนจะมองซ้ายขวาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจและรีบวิ่งไปที่ป่าไม้รกใกล้ๆ ก่อนจะเปิดผ้าคลุมสีเขียวลายใบไม้ออกเผยให้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ Kawasaki Z900 สีดำแกมเขียวออกมาก่อนที่ผมหยิบหมวกกันน็อคจากกล่องที่ซ่อนไว้ใกล้ๆ กันขึ้นมาสวมและคร่อมบิ๊กไบท์คันงามไว้แล้วบิดออกตัวไปอย่างรวดเร็ว

                    มอเตอร์ไซค์คันนี้ของผมถูกดัดแปลงมาเพื่อใช้สอดแนมโดยเฉพาะ ตัวเครื่องยนต์และเสียงท่อไอเสียนั้นเบาถึงเบามาก เรียกได้ว่าแอบขี่เข้าไปสอดแนมได้สบายเลยล่ะ

                    ส่วนระบบไฟของตัวรถนั้นถูกออกแบบมาสองโหมดคือโหมดปกติและโหมดกลางคืน
ซึ่งโหมดกลางคืนนั้นมีไว้สำหรับหลบหนีโดยเฉพาะ เมื่อเปิดใช้ตัวรถจะดับไฟทั้งหมดและเปลี่ยนมาใช้ระบบเซ็นเซอร์อินฟาเรดแสดงขึ้นที่หน้าปัดและหน้ากระจกหมวกกันน็อค
   

                    ผมขี่รถมาตามแผนที่ที่บอสส่งมาให้ อีกหนึ่งกิโลเมตรถึงเป้าหมาย ผมจึงชะลอแล้วหาที่เหมาะๆ แล้วนำรถเข้าไปซ่อนไม่ลืมที่จะคลุมผ้าอย่างเสร็จสรรพ จากนี้ไปผมต้องเดินเท้าลัดเลาะไปตามป่าเพราะว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะเข้าไปสอดแนมแล้วพวกมันไม่สงสัย

                    ผมขับรถมาตามแผนที่ราวๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเป้าหมายที่เป็นตึกร้างขนาดใหญ่ใจกลางป่าดงดิบ
บอสบอกมาแบบนี้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสร้างมันไว้ทำไม อาจจะเป็นรีสอร์ตที่เก่าแล้วถูกทิ้งให้ร้างก็ได้
หึ! ช่างเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ

                    ผมเดินเข้าป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางที่ผ่านผมก็ไม่ลืมที่จะป้ายของเหลวชนิดพิเศษไว้ที่ต้นไม้เผื่อว่าผมหลงทาง
ซึ่งของเหลวชนิดนี้ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าต้องมองผ่านคอนแทคเลนส์แบบพิเศษที่ผมใส่อยู่เท่านั้น

                    หึ ของเล่นผมไม่ได้หมดแค่นี้หรอกนะครับ

                    เมื่อครั้งทำงานแรกๆ ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ที่ต้องทำภารกิจแบบไม่มีอุปกรณ์พิเศษสักอย่างซึ่งมันค่อนข้างลำบาก แต่ตั้งแต่ที่บอสชวนนักวิทยาศาสตร์ที่ทั้งประดิษฐ์ คิดค้นและพัฒนาชื่อ ดร.เจมส์จาวาน เข้ามาในองค์ภารกิจก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะอุปกรณ์พิเศษที่เขาออกแบบขึ้นมาเอง

                    ผมเดินมาได้ไม่นานก็เห็นแสงไฟหลายดวงที่ลอดออกมาจากหน้าต่างผมจึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ก่อนที่จะหยิบกล้องส่องทางไกลระบบอินฟาเรดขึ้นมาส่อง

                    ภายในตึกผมเห็นผู้ชายร่างใหญ่สองคนกำลังคุยอะไรสักอย่าง ข้างหลังของพวกเขามีลูกน้องประมาณสามถึงสี่คน ซึ่งแต่ละคนก็ถือกระเป๋าที่ใส่บางอย่างไว้

                    ผมคลานต่ำเข้าไปใกล้พวกมันกว่าเดิมเพื่อที่จะแอบดูและฟังสิ่งที่พวกมันคุยกัน

                    “ครบหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้น


                    “ครบ”

                    ก่อนที่ชายที่เหมือนหัวหน้าอีกคนจะเปิดกระเป๋าแล้วโชว์สิ่งที่อยู่ภายใน

                    นั่นมัน!!!

                    อะไร!!!

                    ผมเบิกตากว้างก่อนจะจ้องไปที่กระเป๋าเพื่อดูให้แน่ชัดว่ามันคืออะไร

                    ภายในกระเป๋ามีถุงทรงกระบอกขนาดพอดีมืออยู่สองถุง ภายในนั้นมีผงอะไรสักอย่างที่เป็นสีฟ้าบรรจุอยู่

                    หึ แล้วทางแกล่ะ” ชายเจ้าของสารสีฟ้าพูดพร้อมกับปิดกระเป๋าลง “ครบหรือเปล่า”

                    ชายที่ถูกถามกวักมือเรียกลูกน้องที่ถือกระเป๋าแล้วเปิดออก ภายในนั้นบรรจุเงินลอนล่าร์จำนวนมาก

                    “แกแน่ใจนะว่าไอสารนี้มันทำได้อย่างที่พูดจริงๆ” ชายที่มีเงินพูดขึ้นก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย “มันชื่ออะไรนะ พี พี...”

                    “พีทูเว้ย ไอ้โง่!”

                    “เออ ชื่อนั้นแหละ”

                    “เมื่อกี้มึงว่าไงนะ!! มึงด่ากูเหรอ!!” ชายถือเงินตะคอกขึ้นเมื่อนึกได้ว่าตนโดนพร้อม เขาชักปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเล็งมาที่ชายที่มีผงสีฟ้า ซึ่งทางนั้นก็กำลังเล็งปืนมาที่เขาเช่นกัน

                    “ใจเย็นๆ น่า คุยกันก่อน” ชายที่มีผงสีฟ้ายกมือซ้ายขึ้นทำท่ายอมแพ้ แต่มือขวาก็ยังคงเล็งปืนไปที่อีกฝ่ายแน่น

                    “มึงด่ากู!!”

                    “เอาล่ะๆ กูขอโทษ แค่พูดเล่นนิดหน่อยเอง”

                    เขาค่อยๆ ย่อตัวลงแล้ววางปืนไว้ที่พื้น ลูกน้องข้างหลังเขาก็ทำตามเช่นกัน

                    “มึงจะเอายังไงไอ้กันต์ ว่ามา!!”

                    กันต์...
                    “ข้อแลกเปลี่ยนก็ยังเหมือนเดิม เงินมาของไป”

                    “หึ”

                    “หึ”

                    ทั้งสองเค้นเสียงก่อนจะนำกระเป๋าห้าใบมาแลกกัน ผมจึงใช้จังหวะนั้นหยิบกล้องส่องทางไกลที่สามารถถ่ายรูปได้ขึ้นมา

                    แชะ!

                    วูบวาบ!

                    “เฮ้ย!” ผมอุทานออกมาเสียงดังเพราะจังหวะที่ผมกดถ่ายรูปนั้นก็มีแสงแฟลชสว่างวาบขึ้น

                    “ใครวะ!!!”

                    ผมมองที่กล้องของตัวเองด้วยความตกใจ

                    กูก็ปิดแฟลชแล้วนี่!!! แล้วแสงเมื่อกี้มันของใคร!!!

                    ผมหันไปซ้ายหันขวาไปมองรอบตัวก่อนจะเจอชายคนหนึ่งที่หลบอยู่หลังถังน้ำขนาดใหญ่

                    มันเป็นใคร!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่!!

                    ชายคนนั้นมองมาที่ผมด้วยท่าทีตกใจเช่นกัน เขาสวมแมสปิดปากสีเทาที่ตรงกลางสลักรูปโพธิ์ดำ

                    โพธิ์ดำ!!!!

                    “กูถามว่าใคร!!!”

                    ผมหันไปตามเสียงก่อนที่สมองจะเริ่มประมวลผลแล้วว่าต้องรีบหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

                    ปัง!!

                    ปิ้ว!! ฟึบ!!

                    ลูกกระสุนลูกหนึ่งผ่านหน้าผมไปไม่กี่เซ็น ผมรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าป่าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงของหนึ่งในพวกนั้นประกาศกร้าวขึ้น

                    “จับมันมา!! จับตายยิ่งดี!!!”

                    เวรกูแล้วไง!!

                    ผมวิ่งกลับไปทางเดิมที่มาร์คไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะพบกับชายคนที่สวมแมสอีกครั้งที่ถนนทางออก

                    “นาย!!/นาย!!”

                    ผมกับพูดขึ้นและชี้หน้ากันและกัน

                    “แม่งเอ๊ย!”

                    ผมสบถก่อนจะวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ที่ซ่อนไว้แล้วสตาร์ทอย่างเร็ว ซึ่งอีกฝ่ายก็มีมอเตอร์ไซค์ซ่อนไว้เช่น

                    ปัง! ปัง! ปัง!

                    “มันอยู่นั่น ตามไป เร็ว!!”

                    บรืนนนนน

                    “เชี่ยเอ๊ย!” พวกมันสบถตามหลังผมมา

                    ผมกดเปิดโหมดหลบหนีแล้วบิดสุดชีวิตก่อนจะมองไปที่ด้านหลังเห็นไอ้คนปิดปากมันขับไปถนนอีกเส้นหนึ่งแล้วจากนั้นแสงไฟรถมันก็หายไปในความมืด

                    “แม่งเอ๊ยย!” ผมสบถอีกครั้งก่อนจะเปิดโหมดหลบหนีกลางคืน

                    ผมไม่รู้หรอกนะว่าไอ้นั่นมันเป็นใคร ไม่ว่าจะบอสหรือใครที่สั่งมันมาผมไม่ชอบเอามากๆ มันทำให้งานผมล่มไม่เป็นท่าเพราะการลืมปิดไอ้แฟลชบ้าๆ นั่นจนทำให้พวกมันรู้ตัว

                    จะยังไงก็ช่างบอสต้องอธิบายเรื่องนี้เพราะไม่งั้นผมจะจับเขาเจื๋อนไอ้นั่นซะ!!

                    สายลับน่ะ ไม่ทำงานร่วมกับคนอื่น!!! นั่นคือคติของผม

                    เพราะถ้าทำแล้วแม่งก็เกิดปัญหาตามาอย่างที่เห็นไง!!!!!!!!!!!!!

                    เหี้ยเอ๊ย!!



 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:50:25 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #6 เมื่อ13-09-2018 17:59:36 »

ตอนที่ 7


                    21:45 PM

                    ปัง!!

                    ตุบ!!
   
                    ผมปิดประตูห้องบอสเสียงดังลั่นด้วยความโมโหก่อนจะเดินไปทุบโต๊ะเขาอย่าง
   
                    “อธิบายมา!!” ผมกระแทกรูปที่อุส่าห์ลงทุนไปล้างที่ร้านให้เขาดู “นี่มันเรื่องอะไร!!”
   
                    ตอนที่ผมหันไปเจอไอ้หนุ่มปิดแมสและกำลังจะวิ่งหนี ผมใช้จังหวะนั้นใช้กล้องถ่ายมันไว้ได้ทัน ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างมัวก็ตาม
   
                    “ก็รูปหนิ”

                    เขาพูดด้วยท่าทีนิ่งๆ ก่อนจะหรี่ตามองผมแล้วเอามือมาประสานกัน

                    หนอย!

                    “อย่ามาทำไขสือน่ะบอส บอสก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งงานของผม”

                    “ฉันก็ไม่ได้ให้เขาไปยุ่งงานของเธอนี่” เขาพูดก่อนจะหมุนวนเก้าอี้หนังราคาแพงหนึ่งรอบก่อนจะหยุดแล้วประสานมือเหมือนเดิม “นั่นมันงานของเขา”

                    กวนตีน!!

                    “บอสรู้ไหมว่ามันทำอะไร” ผมกดเสียงให้ต่ำเท่าที่จะทำได้ บอกเลยว่าตอนนี้อารมณ์ของผมมันพุ่งทะลุปรอทไปแล้ว!

                    “อะไรเหรอ ☺”

                    “ก็มันลืมปิดแฟลชตอนถ่ายรูป!!! พวกนั้นมันเลยรู้ตัว” ผมตะคอกออกไปสุดแรงก่อนจะตบโต๊ะอีกครั้ง
ตุบ!!!

                    “รู้ไหมว่าพวกเหี้ยนั่นยิงกระสุนเฉียดหน้าผมไปไม่กี่เซน ถึงผมจะหนีมาได้ก็เถอะ ถ้ามือปืนมันยิงมาอีกนัดผมได้เฝ้ายมบาลแน่!!”

                    “ผมไม่รู้หรอกนะว่าบอสกำลังคิดอะไรอยู่ ขอแค่อย่างเดียว ห้าม! ให้สายลับของบอสคนอื่นๆ มาทำภารกิจซ้อนกับผม!!”

                    “เอาล่ะ ใจเย็นๆ” เขาพูดก่อนจะยื่นซองน้ำตาลให้ผม

                    “อะไร!!!”

                    เขาไม่ตอบแต่ปรายตาเป็นเชิงให้ผมเอาไปดูเอง

                    หึ่ย! ผมหายใจฟึดฟัดก่อนจะหยิบมันมาเปิดอ่านด้วยความโมโห

                    “นี่มัน!!”

                    “นายอยากรู้ไม่ใช่เหรอ ไปถามเขาเองสิ”

                    ในซองน้ำตาลเป็นข้อมูลของสายลับคนหนึ่ง ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ผมคุ้นตาเป็นอย่างดี

                    เคน…!!!

                    มันเป็นสายลับให้บอส!!!

                    “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

                    ผมกัดฟันถาม สองมือก็กำแน่นด้วยความโมโหสุดขีดจนเล็บยาวจิกเข้าที่เนื้อตัวเอง

                    “ตั้งแต่แรก...”

                    ปัง!!

                    ผมทนไม่ได้ที่จะฟังต่อ แค่สามคำผมก็รู้ความหมายแล้ว

                    ผมเดินออกจากห้องบอสด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินไปที่รถก่อนจะบึ่งมันไปอย่างรวดเร็ว

                    ผลัก ตุบ ผลัวะ!

                    ผมจอดรถก่อนจะมองเข้าไปที่ค่ายมวยที่ผมมาใช้ฝึกเป็นประจำ

                    “อ้าวณิช ไม่ได้เจอกันนานเลย”

                    ครูแสงเดินเข้ามาทักผมทันทีที่เห็นผมจอดมอเตอร์ไซค์

                    “...”

                    “เหมือนเดิมใช่ไหม”

                    “...”

                    ผมไม่ตอบแต่พยักหน้าให้

                    เวลาผมโมโหผมชอบมาระบายที่นี่บ่อยๆ แล้วช่วงหลังๆ มานี่ชอบให้คนอื่นมาเป็นคู่ซ้อมให้ผมเพราะครูบอกว่าชอบผมและอยากเห็นฝีไม้ลายมือ

                    ครูแสงก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปที่ค่ายแล้วเรียกเด็กคนหนึ่งมาคุยอะไรสักอย่างจากนั้นก็ชี้มาทางผมแล้วทั้งคู่ก็เดินมาหาผมที่ยังคงคร่อมมอเตอร์ไซค์ด้วยใบหน้าบึงตึงอยู่

                    ดูแล้วเขาน่าจะอายุเยอะกว่าเพราะดูจากขนาดและรูปร่างแล้วเขาค่อนข้างที่จะแข็งแรงพอสมควร

                    “ไอ้หน้าอ่อนที่น่ะเหรอที่ครูอยากให้ผมเป็นคู่ด้วย”

                    ไอ้คนที่ครูแสงพาพูดสบประมาทผมต่อหน้าด้วยท่าทางเหยียดๆ

                    “ใช่ คนนี้แหละที่กูอยากให้มึงเป็นคู่ซ้อม”

                    “ตัวเล็กอย่างกับลูกแมวแบบนี้เนี่ยนะ? ผมเตะทีเดียวซี่โครงมันจะไม่หักเลยหรอ”

                    กรอด!

                    ผมกัดฟันแน่นเพราะไอ้เหี้ยนี่ยังพล่ามไม่หยุด

                    เดี๋ยวมึงได้เจอกูแน่!! คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่

                    มาดูกันว่ากูหรือมึงที่จะซี่โครงหัก!!

                    “เริ่มได้ยัง!” ผมพูดออกมาเสียงดังที่บ่งบอกระดับอารมณ์

                    “เอาล่ะๆ ไปเปลี่ยนชุดก่อนไป”

                    พรึบ

                       ผมลุกจากมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วสวมอุปกรณ์ป้องกันในห้องน้ำ

                       พอผมออกมาก็เจอครูแสงกับมันยืนรออยู่บนสังเวียนเป็นที่เรียบร้อยผมจึงเดินไปหาทั้งคู่ ตลอดทางได้ยินเสียงผีสางห่าเหวแว่วเข้ามาในหู

                       (ไอ้นี่จะสู้กับเฮียหมีจริงเหรอวะ)

                       (กูว่าตายคาตีนเฮียแกแน่)
   
                        (เออ กูก็ว่างั้น)

                       ผมทำไม่สนใจเสียงของพวกมันก่อนจะปีนขึ้นสังเวียนและหลับตาทำสมาธิสองวิ

                       จากนั้นครูแสงก็จับเราทั้งคู่มายืนกลางเวที ไอ้คนที่ชื่อหมีนั่นมันอยู่สีฟ้าซึ่งแน่นอนว่าผมต้องอยู่สีตรงข้ามกับมัน นั่นก็คือสีแดง
   
                    พวกเราทำความเคารพกันก่อนที่ครูแสงจะยกมือขึ้นเพื่อให้เราเตรียมพร้อม
   
                    ติ๊ง!!
   
                    เสียงระฆังดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกมส์ระหว่างผมกับไอ้หมีเริ่มขึ้นแล้ว
   
                    พรึบ
   
                    ไอ้หมีชกหมัดขวาเข้ามาที่ข้างแก้มแต่ผมใช้ความเร็วหลบหมัดได้ เมื่อได้จังหวะผมจึงสวนขวากลับไปเช่นกันซึ่งมันสามารถใช้แขนยกขึ้นมากันได้พอดี
   
                    หึ แล้วถ้าอย่างนี้ล่ะ
   
                    ในขณะที่มันตั้งการ์ดหลบการโจมตีผม ผมเห็นช่องว่างระหว่างแขนสองข้างของมันที่ยกขึ้น ผมเกร็งแขนมากกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความเร็วแล้วเสยหมัดเข้าไปที่ช่องว่างนั้น

                    ผลัวะ!!

                    มันโดนผมเสยคางเข้าเต็มๆ

                    มันเสียการทรงตัวนิดหน่อยก่อนจะตั้งตัวแล้วยกแขนขึ้นมามาเตรียมต่อสู่ต่อ
                   
                    หึ

                       ถึงตัวผมกับมันจะมีขนาดที่ต่างกันแต่เรื่องความเร็วผมไม่เป็นสองรองใครเพราะผมตัวเล็กกว่าคนอื่นบอสจึงให้ผมฝึกเรื่องความเร็วตั้งแต่เด็กกับครูฝึกแบบพิเศษที่เขาหามา

                       ผลัวะ! ผลัวะ!

                    ตุบ!

                    ในขณะที่ผมมัวแต่คิดเรื่องการโอ้อวดความเร็วตัวเองอยู่ ไอ้หมีมันใช้เสี้ยวจังหวะที่ผมเผลอฮุกหมัดเข้ามาที่หน้า
                   
                    ของผมสองหมัดติดทำให้ผมล้มลองไปกองกับพื้น

                    “เฮฮฮฮฮ”

                    “ณิช!”

                    เสียงครูแสงและพวกผีห่าซาตานดังขึ้นตอนที่ผมล้ม

                    ผมสะบัดหน้าสองสามทีด้วยความมึน หึ! หมัดมันหนักใช่ย่อย ถ้าโดนไปอีกสองสามหมัดผมคงน็อกแน่ๆ

                    ตอนที่ผมกำลังลุกขึ้นจู่ๆ ก็มีภาพไอ้แมสปิดปากลอยเข้ามาในหัว คิ้วผมขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ ใบหน้าเริ่มบูดบึงอีกครั้ง

                    จริงสิ ที่เรามาที่นี่ก็เพราะโมโหเรื่องของมัน

                    ความโกรธที่สะสมมาตั้งแต่ตอนนั้นพวยพุ่งขึ้นมาอย่างกับภูเขาไฟระเบิด

                    ฟิ่ว

                    ผลัก! ตุบ! ผลัวะ!

                    ผมพุ่งเข้าไปหาไอ้หมีด้วยความเร็วก่อนจะใช้หมัดขวาต่อยไปที่หน้า แต่มันก็ยกการ์ดขึ้นมาหวังที่จะบังไว้อีกเช่นเดิม

                    มึงพลาดแล้ว!!

                    ในตอนที่มันยกแขนสองข้างขึ้นมาตั้งป้องกันหน้าด้านซ้ายของมัน ในขณะเดียวกันแขนซ้ายผมก็ตวัดไปหวังจะชกหน้ามันแต่มันสามารถแยกการ์ดออกมาป้องกันได้ทั้งสองข้างได้ทันท่วงที

                    “เฮฮฮ!!”

                    “เฮียหมีสุดยอด!!”

                    เสียใจด้วยเพราะกูไม่ได้มีแค่แขน

                    ก่อนที่ผมจะจัดคอมโบชุดใหญ่ให้มันภาพของติณณ์ที่กำลังร่วมรักกับผู้หญิงคนนั้นก็ลอยซ้อนขึ้นมา

                    แม่งเอ๊ย!!!

                    ผมยกเข่าขวาขึ้นก่อนจะใช้ขาท่อนล่างเป็นจุดหมุนบิดสะโพกแล้วส่งแรงเตะตวัดออกไปอย่างแรงด้วยความโมโห จากนั้นจึงพับขาให้กลับมาอยู่ท่าเริ่มต้นอย่างเร็วก่อนจะหมุนหันหลังและใช้เท้าขวาข้างเดิมเตะแบ็กคิกไปอีกครั้งที่หน้าท้องก่อนจะตั้งหลักอย่างเร็วอีกครั้งแล้วตามด้วยยกขาซ้ายเตะราวคิกย้ำที่เอวก่อนจะวางเท้าซ้ายลงเพื่อหมุนตัวแล้วตามด้วยท่าจระเข้ฟาดหางเข้าที่หน้าไอ้หมีอย่างเร็ว

                    “แฮ่กๆๆ” ผมหอบหนักเพราะเผลอจัดคอมโบเท้าที่เร็วที่สุดของผมออกไป
ผมมองไอ้เฮียหมีอะไรนั่นล้มตึงลงทันทีที่เจอคอมโบสี่ตีนสายฟ้าที่ผสมผสานการเตะจากทักษะเทควันโดลงไป

                    “...”

                    “...”

                    เวลานี้ทั่วทั้งค่ายเงียบกริบได้ยินก็แค่เสียงหอบของผมคนเดียวแถมไม่มีใครขยับอย่างกับถูกสต๊าฟไว้
พอผมมองหน้าไอ้พวกผีห่าซาตานที่ชอบส่งเสียงก็เห็นแต่พวกมันทำตาโตและอ้าปากค้างจนแมลงวันสามารถบินเข้าไปบินเล่นได้

                    นานนับนาทีที่ทั้งค่ายตกอยู่ในสภาวะใบ้แดก ก่อนจะมีคนที่ได้สติแล้วร้องขึ้น (ฮะ...เฮียแพ้!!!)

                    (เป็นไปได้ยังไง...)

                    (ไม่จริง!!)

                    (คนที่เก่งที่สุดในค่ายอย่างเฮียแพ้ให้กับคนที่ตัวเล็กกว่าเนี่ยนะ!)

                    จากนั้นเสียงที่แสดงถึงความประหลาดใจและอึ้งก็ดังระงมทั่วค่ายฝึก

                    ผมเห็นไอ้เฮียหมีที่นอนนิ่งก่อนจะเดินไปจับชีพจรมันเพื่อดูว่ามันตายหรือเปล่า แต่พอคลำดูก็รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็คงจะน็อกเพราะถูกท่าจระเข้ฟาดหางเข้าที่หน้าแล้วล้มหัวกระแทกเลยสลบไปแน่ๆ

                    “ระ เรียกรถพยาบาลเร็ว!” ครูแสงที่ได้สติพูดเสียงดังก่อนที่จะมีเด็กในค่ายวิ่งไปโทรศัพท์หาแพทย์ฉุกเฉิน
“มันไม่ตายหรอกน่าครู แฮ่กๆ” ผมพูดพร้อมกับหอบไปด้วย

                    “นี่ครับพี่!”

                    ผมหันไปมองเด็กคนหนึ่งที่ยื่นสปอนเซอร์สีเหลืองอำพันมาให้ผมก่อนจะขอบคุณ

                    ผมรับมันมาแล้วเปิดดื่มอย่างหื่นกระหายเพราะร่างกายขับน้ำออกมาในรูปแบบเหงื่อ

                    “เรานี่ทำให้ครูอึ้งได้ตลอดเลยนะ” ครูแสงเดินมาตบไหล่ผม

                    “ทักษะเมื่อกี้อยู่ในระดับสูงมาก การที่จะเตะสี่ครั้งรวดแบบนั้น แถมยังเปลี่ยนท่าได้รวดเร็วอีกด้วย เราไปเรียนมาจากไหน”

                    “เหอะๆ พอดีผมมีครูสอนพิเศษอะครับ”

                    “เหรอ! งั้นคราวหน้าแนะนำให้ครูหน่อยนะ ครูอยากฝึกทักษะกับเขา” ครูสงพูดพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย

                    “ครับๆ”

                    “หายโมโหหรือยัง”

                    “หายแล้วครับ”

                    “ดีแล้ว” ครูตบบ่าผมอีกครั้งก่อนนะเดินไปดูไอ้หมีที่โดนหามขึ้นรถแพทย์ฉุกเฉินไป

                    ทำไมพอคิดเรื่องที่เห็นในห้องนั้นแล้วถึงได้โมโหขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุนะ!!




---------------------------------------------------------------------------------------------

                    ดีกรีความโหดของหนูณิชเราเพิ่มขึ้นทุกตอนเลยน้าาาา  o13 o13 o13

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:50:38 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #7 เมื่อ13-09-2018 18:09:39 »

ตอนที่ 8



                    @Tin Part
   
                    ผมบอกไอ้หนูให้ขึ้นไปพบที่ห้องในอีกยี่สิบนาที ตอนนั้นช้อยเข้ามานัวเนียผมแบบไม่ทันตั้งตัว ยิ่งเช้าๆ อยู่ด้วยผมจึงอารมณ์น่วมกับเธอ ไม่นานพวกเราก็ร่วมรักกันอย่างมีความสุข เธอกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูผม

                    “ช้อยอยากอยู่ข้างบนจัง”

                    ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพลิกตัวเธอให้มาอยู่ด้านบน จากนั้นเธอจึงควบเอวและบดลงมาที่ตัวตนของผมอย่างเมามัน เธอครางด้วยความหวาดเสียว ช้อยโชว์ลีลาการออนท็อปของเธออย่างสุดความสามารถ

                    ก๊อก ก๊อก

                    ผมได้ยินเสียงคนเคาะประตู แต่ช้อยไม่สนใจเพราะเธอกำลังเมามันส์กับการโยกย้ายส่ายสะโพกกับตัวตนของผมอยู่

                    ไม่นานไอ้หนูก็โผล่หน้าเข้ามาในห้อง มันเห็นผมกับช้อยกำลังเอากันอยู่ มันทำหน้าตกใจ พวกเราสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่ผมจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ มันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ท่าทีของมันทำให้ผมไม่สบอารมณ์

                    ผมยกช้อยออกจากตัวตน เธอขัดขืนนิดหน่อยก่อนจะโวยวาย

                    “อะไรกัน!” เธอแหวขึ้น

                    “ผมไม่มีอารมณ์” ผมบอกเธอก่อนจะสวมกางเกง

                    “ได้ไง ช้อยยังไม่เสร็จเลยนะ!”

                    “ก็บอกว่าไม่มีอารมณ์ไง!” ผมตะคอกเธอกลับไปบ้างเพราะเธอเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง

                    “ติณณ์!”

                    เธอเรียกชื่อผมด้วยความไม่พอใจแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวเองมาสวมก่อนจะเดินปึงปังออกห้องผมไป

                    ตึง ตุบ!

                    หลังจากช้อยออกจากห้องผมไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนคนตีกันมาจากข้างห้องซึ่งก็คือห้องไอ้เนตรน้องชายของผม

                    ผมรีบเดินไปเปิดประตูไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาผมของแทบขึ้น

                    ผมมองสำรวจไอ้หนูที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุย ผมก็ยุ่งเหยิง และไล้สายตาไปที่หน้าและคอมันก่อนผมจะหยุดจ้องมองไอ้รอยแดงๆ ที่คอคล้ายกับถูกดูดมา

                    เหมือนมันจะรู้ตัวจึงรีบเอามือมาปิดคอตัวเองก่อนจะวิ่งออกไป

                    “ณิช!”

                    เสียงไอ้เนตรดังขึ้นก่อนมันจะเปิดประตูแล้ววิ่งออกมา ผมจับมันไว้ทันก่อนจะผลักมันไปติดกับกำแพง พอมองดูสภาพมันแล้วก็เกิดอารมณ์โมโห

                    “มึงทำอะไร!” ผมกดเสียงต่ำถามมันพร้อมกับใช้สายตาคมจ้องให้มันพูดออกมา

                    “ไม่มีอะไร” มันพูดเสียงเบาก่อนจะเดินเลี่ยงผมออกมาเหมือนไม่อยากจะคุย

                    หมับ

                    ผมจับมันไว้ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีบีบแขนมัน มันนิ่วหน้าแต่ก็ยังไม่พูดอะไรผมจึงออกแรงให้มากกว่าเดิม

                    “โอ๊ย”

                    มันร้องขึ้นทันทีเพราะคงทนแรงบีบผมไม่ไหว

                    “มึงใช่ไหมที่ทำรอยที่คอณิช”

                    จบประโยคมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมตาขวาง

                    “เออ แล้วจะทำไม!”

                    “ต่อไปนี้มึงห้ามยุ่งกับณิช” ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบมันเสียงต่ำ “มันเป็นของกู”

                    “เหอะ! ของพี่ เอาอะไรมาพูด ได้กันแล้วเหรอถึงกล้าบอกว่าเป็นเจ้าของ!” มันหัวเราะเหอะก่อนจะพูดประชด

                    ผมยิ้มร้ายก่อนจะกระซิบมันอีกครั้ง “เออ”

                    มันทำหน้าอึ้งก่อนจะมองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าตอนนี้คงอยากต่อยหน้าผมเต็มที่แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ไว้

                    “นี่พี่คิดจะจับปลาสองมือหรือไง” มันเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ

                    หึ เชื้อพ่อกูมันแรงจริงๆ ครับ

                    “ไหนบอกไม่ชอบผู้ชาย ...ติดใจเหรอ” มันยิ้มยียวนก่อนจะทำหน้ากวนตีนใส่ “ข้างหน้าไม่พอกินเหรอ ถึงได้กินข้างหลังด้วย!!”

                    “ไอ้เนตร!!”

                    ผมตะคอกด้วยความโมโหเพราะมันเริ่มจะลามปามผมกับช้อย

                    “ทำไม! ก็ผมพูดความจริง!!”

                    “คนอย่างพี่น่ะเห็นแก่ตัว มีหนึ่งอยากได้สอง!!”

                    “มึง!”

                    ผลัวะ

                    ด้วยความที่มันลามปามผมมากเกินไปผมจึงชกสั่งสอนมันไปหนึ่งหมัดจนหน้าหัน

                    “ถุย”

                    มันหันหน้ากลับมาก่อนจะถุยน้ำลายผสมกับเลือดทิ้งก่อนจะใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแกมเพื่อสำรวจบาดแผล ถ้ามันไม่ปากแตกผมคงคิดว่ามันกำลังกวนตีนผมและอยากโดนดอกที่สอง

                    ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อสงบสติอารมณ์

                    “อย่ากลืนน้ำลายตัวเองล่ะ” เสียงมันดังขึ้น “ผมไม่ปล่อยณิชแน่!”

                    ผมลืมตาขึ้นมองมันที่กำลังเดินเข้าห้องตัวเองกระเผลกๆ พร้อมกับเอามือกุมเป้า

                    ตั้งแต่ที่กูเอามึงรู้สึกว่าฮอร์โมนเรียกตัวผู้มึงจะแรงเหลือเกินนะณิช!!




                    ตกดึกผมโทรนัดไอ้พวกนั้นมาก๊งเหล้าที่ Nexus ผมพวกมันเดินเข้าร้านจากชั้นสอง สายตานับสิบนับร้อยก็จ้องมองพวกมันอย่างต้องการไม่ว่าจะเป็นหญิงแท้หญิงเทียมหรือแม้แต่ผู้ชายด้วยกันเอง

                    พวกมันสามตัวเดินเข้ามาด้วยออร่าความสง่า ความหล่อและดิบเถื่อนของพวกมันพวยพุ่งออกมา
มีบางคนใจกล้าเดินเข้าไปเพื่อชวนดื่ม แต่พวกมันก็ปฎิเสธไปก่อนจะเดินขึ้นมาหาผมที่ชั้นสามระดับ
วีไอพี

                    “ไง” ผมทักพวกมันสั้นๆ ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันในมือรวดเดียวหมด “เดินมากูนึกว่าบอยแบนด์”

                    “ก็พวกกูหล่อ ให้ทำไง” ไอ้แดนพูดขึ้นเสียงกวนก่อนจะนั่งลงที่โซฟาแล้วกวักมือเรียกคนอื่นให้นั่งตาม

                    “มึงนึกยังไงชวนพวกกูมาดื่ม ร้อยวันพันปีไม่เคยชวน” ภัทรพูดขึ้นก่อนจะหรี่ตามองผม “แปลกๆ”

                    “นั่นดิ” ได้นนท์เสริม

                    “ก็กูอยาก” ผมพูดก่อนจะรินเหล้าใส่แก้วแล้วยกดื่ม

                    พวกมันสามตัวมองหน้ากันก่อนจะทำท่าไม่สนใจ เพราะพวกมันรู้ว่าถึงจะถามยังไงผมก็ไม่ตอบ ถ้าอยากบอกผมจะบอกเอง

                    ไม่นานบริกรสาวนุ่งสั้นห่มสั้นก็เดินเข้ามาบริการ พวกมันสั่งนั่นสั่งนี่ก่อนจะหันมามองผมอีกครั้ง

                    “เรื่องงานเป็นไงบ้างวะ” ไอ้นนท์ถามขึ้น

                    “ก็ดี กำไรเยอะ”

                       ผมบอกก่อนจะยกเหล้ามาดื่มอีกครั้ง ผมทำงานเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนที่แล้วๆ
   
                    พวกเราสี่คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้นมาจนถึงปัจจุบัน เราผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกันไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
   
                    พวกเราหน้าตาถือว่าค่อนข้างดี อันนี้ไม่ได้ชมตัวเองนะครับ ผมพูดจริง ส่วนเรื่องฐานะทางบ้านก็ไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร
   
                    เพราะหน้าหล่อบวกกับบ้านรวยจึงทำให้คนที่เข้ามาส่วนมากจะหวังแค่เงินกับเซ็กส์ ผมก็ไม่ได้แคร์อะไรเพราะผมก็ชอบที่จะรักสนุกแต่ไม่ผูกพันกับใครเหมือนกัน
   
                    ส่วนช้อยเธอเป็นคู่นอนผมที่ผมควงได้นานที่สุดก็จริงแต่เราไม่ได้เป็นแฟนกัน ผมไม่เคยขอคบเธอ ส่วนมากเธอจะโมเมเองมากกว่า
   
                    กิจการทางบ้านไอ้พวกนั้นผมขออธิบายเรียงตัวแบบสั้นๆ นะครับ
   
                    คนแรกไอ้นนท์มันเป็นหมอที่โรงพยาบาลเอกชนที่พ่อมันเป็นเจ้าของอยู่หลายสาขาทั่วประเทศ
   
                    คนที่สองคือไอ้ภัทร มันเป็นเจ้าของร้านสักอยู่ในตัวเมือง ถึงแม้มันจะดูเถื่อนๆ แต่แม่งแต่งร้านได้โคตรสวย ถามยังไฮโซชิบหาย ลูกค้าส่วนมากก็จะเป็นพวกคุณหนูหรือไม่ก็พวกเถื่อนๆ แต่กระเป๋าหนัก
   
                    ส่วนคนสุดท้ายคือไอ้แดน เรื่องของมันจะยาวหน่อย มันเปิดสนามแข่งรถครบวงจรมีทั้งแบบถูกกฎหมายและสนามเถื่อน ตอนมัธยมต้นมันเรียนกับพวกผมครับ แต่พอขึ้นมัธยมปลายมันต้องย้ายตามพ่อไปที่อเมริกาและเรียนที่นั่น แต่พวกผมก็ยังติดต่อกับมันตลอดเพราะเทคโนโลยีสมัยนี้มันค่อนข้างที่จะสะดวกสบาย พอจบมัธยมปลายมันจึงขอพ่อมาเรียนปริญญาตรีกับพวกผมที่ไทยและพ่อมันก็อนุญาต

                    ส่วนเรื่องสนามแข่งมันก็ขอพ่อมันอีกที่อเมริกาเป็นสนามแข่งถูกกฎหมายมีนักแข่งที่มีชื่อเสียงมากมายเข้าออกสนามมันเป็นว่าเล่นเพราะว่าเป็นสนามแข่งที่ครบเครื่องเรื่องอุปกรณ์และความปลอดภัยที่สุด พอมันมาไทยมันก็เอาเงินจากกำไรที่อเมริกามาทำสนามแข่งรถเถื่อนโดยไม่บอกพ่อมัน อ้อ ผมลืมบอกว่าพ่อมันเป็นเจ้าของบริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่ของยุโรป ไม่ต้องพูดเรื่องรายได้ครับ รวยกว่าพวกผมสิบเท่า
   
                    “ไม่เอาสิคะ ฮิๆ”

                    ผมเงยหน้ามองพวกมันสามตัวที่ตอนนี้กำลังควงสาวที่ผมไม่รู้ว่าไปเอามาตอนไหน แต่ละคนนัวเนียกันชนิดที่ว่าจะเอากันคาโต๊ะเลยก็ว่าได้

                    ผมส่ายหน้ากับพวกมันสามตัวพอเห็นพวกมันแบบนี้แล้วคำพูดของไอ้ภัทรก็ลอยขึ้นมาทันที

                    ‘เหล้าหญิงไม่เคยขาด’

                    เออ กูเชื่อละ ตูดสัมผัสกับโซฟาไม่ถึงห้านาทีมีก็สาวมาให้ล้วงถึงโต๊ะ

                    ผมบ่นในใจก่อนจะกระดกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง

                    “ให้ฉันช่วยไหม”

                    เสียงหวานดังขึ้นข้างๆ หู ผมหันไปมองเธอแต่งตัวด้วยชุดกระต่ายบันนี่สีขาว

                    เธอนั่งลงข้างผมแล้วชงเหล้าให้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรดีซะอีกมีคนชงให้

                    ติ๊ง!

                    ตอนที่เธอยกแก้วมาให้ผมเสียงข้อความโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นก่อนที่ผมจะหยิบมันมาอ่านแล้วต่อ
สายหาใครคนหนึ่ง

                    “มีงาน”

                    “เออ เดี๋ยวส่งให้ทางข้อความ”

                    “มีสติ อย่าเด๋อ”

                    “มีไรวะ” ไอ้ภัทรที่ประสาทสัมผัสหูดีที่สุดในกลุ่มถามขึ้น

                    “เปล่า งานน่ะ” ผมพูดก่อนจะจับแก้วที่บันนี่สาวยื่นมาให้

                    มันพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปล้วงผู้หญิงของมันต่อ

                    ไอ้ภัทรมันเป็นคนนิ่งๆ และค่อนข้างใจเย็น ผมคิดว่าในกลุ่มมันนี่แหละที่ดูน่ากลัวที่สุด เพราะมันเป็นช่างสักตามตัวมันเลยเต็มไปด้วยรอยสักนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ผมกับมันคบกันมาก็เคยเห็นมันโมโหแค่ไม่กี่ครั้ง มันเป็นคนนิ่งก็จริงแต่พอได้โมโหแต่ละทีผมบอกเลยว่าความพินาศจะมาเยือน

                    กลุ่มของพวกเรามีเงื่อนไขว่าจะต้องสักกับไอ้ภัทรคนละหนึ่งรอยหรือกี่รอยก็ตามแต่ชอบเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ของพวกเรา ส่วนคนที่คิดก็ไม่ใช่ใคร ก็ไอ้ช่างสักนั่นแหละ ฮ่าๆ

                    พวกผมคิดกันอยู่หลายวันว่าจะสักอะไรกันดีเพื่อให้เป็นเรื่องราวคล้ายๆ กัน
วันหนึ่งไอ้นนท์มันก็โทรเรียกพวกผมไปรวมตัวที่ร้านไอ้ภัทรบอกว่ามีไอดีเจ๋งๆ

                    พอผมไปถึงมันก็อธิบายบอกว่า อยากให้เราสักสัญลักษณ์รูนเพราะมันดูเรียบและเท่ห์ในตัวของมันแถมยังมีความหมายและเสริมดวงชะตาอีกด้วย

                    พวกผมก็ตกลงกันว่าจะเอาตามที่มันบอก ไอ้นนท์จึงหยิบกระดาษรูปรูนและความหมายที่ปริ้นออกมาจากอินเตอร์เน็ตมาให้พวกผมเลือก

                    ผมเลือกรูน Endurance ที่มีความหมายว่าอดทนและสักมันไว้ที่ข้อมือซ้ายด้านในและเลือกสักเพิ่มอีกสองที่คือแขนข้างซ้ายเหมือนเดิมแต่จะเลยขึ้นมาอีกนิดหนึ่งจากสัญลักษณ์รูนและที่หลังต้นคอ ที่ผมเลือกรูนนี้ก็เพราะว่าตัวเองเป็นคนใจร้อนเลยอยากหาอะไรที่พอจะเตือนให้ผมมีสติและอารมณ์เย็นขึ้นเวลาโมโห

                    ไอ้นนท์เลือกรูน Creativity ที่มีความหมายว่าความคิดสร้างสรรค์ มันสักไว้ตรงวีเชฟด้านซ้ายของเอว เพราะว่ามันเป็นคนฉลาดที่สุดในกลุ่ม เรียกได้ว่าเป็นมันสมองของพวกเราเลยก็ว่าได้
ส่วนไอ้ภัทรเจ้าของร้านสักมันเลือกสักไว้ที่ตอนคอขวาด้วยรูน Peace ที่หมายความว่าสงบสุข มันบอกว่าชอบเพราะมันก็เป็นคนนิ่งๆ พวกผมก็พยักหน้าเห็นด้วย

                    คนสุดท้ายได้แดนมันเลือก Against Evil Magic ที่มีความหมายว่าป้องการมนต์ดำหรือศาสตร์มืด มันบอกว่าชอบเพราะรู้สึกถูกชะตากับรูนนี้
และกฎอีกข้อของพวกเราคือถ้าเราเจอคนที่พร้อมที่จะฝากชีวิตและจะอยู่กับเขาตลอดไปให้พาคนนั้นมาเลือกรูนและสักไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเพื่อเป็นการยืนยันมาพวกเรากับคนรักจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่มีอะไรมาพลัดพรากพวกเราจากกันได้
   
                    @ End Tin Part



-----------------------------------------------------------------------------------------------

                    กลุ่มเฮียติณณ์นี่ดีกรีก็ไม่ธรรมดาจริงๆ  o13 o13 o13 o13 o13 o13
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:50:54 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << 13/9/2561
«ตอบ #8 เมื่อ13-09-2018 18:20:57 »

ตอนที่ 9




                    ซ่า

                    ร่างบางกลับห้องตัวเองก่อนจะอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายและคลายความอ่อนล้าจากการซ้อมเมื่อครู่

                    มือเรียวลูบไล้สบู่ไปตามร่างกาย ร่างบางขบคิดในใจทำไมผิวเขาถึงได้เนียนนุ่มดุจหยวกกล้วยและร่างกายที่ผอมบางขนาดนี้ ผิดกับผู้ชายหลายๆ คนที่ร่างกายกำยำ มีพละกำลังมากมาย

                    บางที... พระเจ้าอาจจะกำลังเล่นตลกอยู่ก็ได้

                    ตุบ

                    ประสาทหูที่ไวเพราะการฝึกได้ยินเสียงบางอย่างจึงกดปิดฝักบัวก่อนจะใส่เสื้อคลุมและเดินออกไป

อมองรอบห้องก็ไม่เห็นอะไร ฟังจากเสียงเมื่อกี้แล้วคงจะมาจากนอกห้อง

                    ร่างบางจึงเปิดประตูเพื่อเช็คดูความเรียบร้อย

                    “ติณณ์ คะ..คุณติณณ์” ร่างบางเรียกคนตรงหน้าด้วยความตกใจเผลอเรียกชื่อห้วนๆ ก่อนจะได้สติแล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่

                    “เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมเมากลับมาอย่างนี้”

                    “น้ำ”

                    ร่างสูงที่ไม่ได้สติพูดพร่ำออกมาเบาๆ ก่อนจะเอาสองมือมาคล้องคอทำให้ณิชผงะ

                    “คุณเมาแล้ว ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

                    ร่างบางกึ่งลากกึ่งพยุงคนตัวโตกว่ามาที่เตียงก่อนจะยืนมองคนตรงหน้าที่เมาเละยิ่งกว่าหมา

                    ถึงแม้จะเมาหนักแต่ออร่าความหล่อของเขาก็ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด ผมสีดำสนิทตอนนี้ยุ่งไม่เป็นท่า ใบหน้าหล่อเนียน รูปร่างที่สมบูรณ์แข็งแกร่งดุจเทพเจ้ากรีก

                    ร่างบางไล้สายตาตรวจดูคนตรงหน้าอย่างละเอียดก่อนสายตาจะหยุดที่แขนซ้ายที่มีรอยสักเหมือนสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง

                    “จ้องกันแบบนี้อยากโดนหรือไง” เสียงทุ้มดังขึ้น “ดูสภาพตัวเองด้วย”

                    ณิชตกใจก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงและรีบใช้มือกระชับผ้าคลุมอาบน้ำ
                   
                    “ผมไม่ได้อ่อย” ร่างบางพูดเสียงนิ่งก่อนจะถอยมาหนึ่งเก้าเพื่อรอดูปฏิกิริยา

                    “หึหึหึ ทำอย่างกับไม่เคยให้พี่ดู”

                    “พี่??” ณิชขมวดคิ้ว

                    “ก็พี่ไง พี่ติณณ์” ร่างสูงพูดก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นจากเตียง “น้ำชอบเรียกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ...หื้ม?”

                    “ไม่ใช่!”

                    ณิชถอยห่างจากร่างสูงที่ย่างสุมเข้ามา “ชอบเล่นไล่จับนี่เอง หึหึหึ”

                    หมับ

                    “คุณเมาแล้ว ไปนอนนี่เถอะครับ เดี๋ยวผมไปนอนที่อื่นเอง!!!” ณิชดิ้นเร่าในอ้อมกอดของร่างสูง “ปล่อยนะ!!”

                    “อย่าเล่นตัวได้ไหม หะ!” ติณณ์ตะคอกเสียงดังก่อนจะกอดให้แน่นขึ้น “พี่ไม่อยากรุนแรงกับเรานะน้ำ!”

                    “ไม่ใช่ ผมไม่ใช่น้ำ!”

                    ผลัก!

                    ติณณ์ผลักร่างบางลงที่เตียงอย่างแรงก่อนจะคร่อมไว้แล้วใช้มือข้างซ้ายเพียงข้างเดียวรวบแขนชูไว้เหนือหัว

                    “คุณจะทำอะไร!?”

                    ณิชร้องถามทันทีที่ถูกกด ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าร่างสูงต้องการอะไร

                    “ทำให้น้ำมีความสุขไง”

                    “ก็บอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่ชื่อน้ำ!!” ณิชตะคอกใส่หน้าเสียงดัง “คุณเป็นบ้าหรือไง!!”

                    เพียะ

                    “เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามคะตอกใส่พี่!!”

                    ร่างสูงตบจนหน้าหัน ณิชมองติณณ์ด้วยสายตาที่หลากหลาย ใบหน้าซีกซ้ายเจ็บจนชา น้ำตาเริ่ม

                    เอ่อคลอ เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้

                    “คุณติณณ์...”

                    “พี่ เรียกพี่...” ร่างสูงใช้มือข้างขวาเลื่อนมาลูบตรงแก้มที่โดนตบ “น้ำเคยเรียกพี่ว่าพี่”

                    ร่างสูงตอนนี้เหมือนจะไม่ได้สติ เขามัวแต่พร่ำพูดแต่สิ่งที่ณิชไม่รู้เรื่อง

                    “ฮึก ฮึกผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนชื่อน้ำ”

                    ณิชเริ่มสะอื้นออกมาเพราะทนความเจ็บไม่ไหว ถึงแม้ในใจตอนนี้อยากจะขัดขืนแค่ไหน แต่ด้วยพละกำลังของเขาตอนนี้คงจะยากที่จะหลุดพ้นเพราะเขาใช้กำลังทั้งหมดไปกับค่ายครูแสงหมดแล้ว

                    “ไม่ ไม่”

                    ร่างสูงพร่ำก่อนจะถอดเนคไทมามัดข้อมือณิชกับหัวเตียง

                    “ขอร้องเถอะครับ อย่าทำผมเลย ฮึก” ร่างบางอ้อนวอนด้วยน้ำตา “ผมไม่ใช่เขา...”

                    “อย่า ฮื้อออ”

                    ณิชร้องลั่นขึ้นทันทีที่ขาเรียวถูกจับแยกออก เผยให้เห็นช่องทางสีกุหลาบที่ปิดสนิท

                    สวบ

                    “เจ็บ!! ฮือ เอาออกไป!!”

                    ไม่มีการเบิกทาง ไม่มีการผ่อนแรงใดๆ ร่างสูงยัดตัวตนขนาดใหญ่เข้าช่องทางในคราเดียวและแช่ไว้อย่างนั้น

                    เลือดสีแดงฉานไหลซึมตามหว่างขา ผ้าปูที่นอนสีขาวถูกย้อมจนเปลี่ยนสีแต่กระนั้นร่างสูงข้างบนไม่ไม่อาจถอดถอนตัวตนออก

                    “ซี๊ด อ่าาา แน่นมาก”

                    ติณณ์ร้องครางด้วยความเสียวก่อนจะเริ่มขยับสะโพกสอบไปมาเบาๆ

                    “ฮืออ เจ็บ ผมเจ็บ” ณิชร้องด้วยความเจ็บปวด

                    ผับๆๆ

                    “เสียวชิบหาย ซี๊ดดด”

                    “ขอร้องล่ะ เอามันออกไปที”

                    “คงจะทำอย่างนั้นไม่ได้” ติณณ์ขยับเอวเร็วขึ้น “ดูสิว่าเรากลืนกินพี่ไปขนาดไหน”

                    ติณณ์ยกสะโพกณิชให้สูงขึ้นเพื่อให้เขาได้เห็นว่าตอนนี้ทั้งสองคนเชื่อมต่อกันแนบแน่นขนาดไหน

                    “ไม่ ไม่!” ณิชปิดตาส่ายหัวไม่อยากรับรู้สภาพตนเอง

                    ถ้าเกิด ถ้าเกิดไม่ไประบายที่ค่าย วันนี้เขาอาจจะมีกำลังเหลือพอที่จะจัดการร่างสูงในตอนนี้ก็เป็นได้

                    “ซี๊ดด อ่า”

                    ณิชเลิกขอร้องและหลับตาร้องไห้เงียบๆ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้หรือเสียงครางแต่อย่างใด ปล่อยให้ร่างสูงกระแทกตัวตนเข้ามาตามใจชอบ

                    ในตอนนี้ถึงจะขัดขืนหรือพูดอะไรไปร่างสูงข้างบนคงจะไม่ยอมหยุดเป็นแน่

                    ดังนั้นณิชจึงสะกดจิตตัวเองให้เหมือนไร้ชีวิต ไร้ความรู้สึก เพื่อตัดความเจ็บปวดจากช่องทางด้านหลัง ทำตัวเหมือนตุ๊กตายางระบายอารมณ์

                    อ่อก!!

                    ณิชลืมตาขึ้นเพราะถูกร่างสูงบีบคออย่างแรง

                    “ครางออกมา ร้องออกมา!!”

                    อ่อก อ่อก

                    ติณณ์บีบคอบังคับให้ณิชร้องออกมา เขาทนไม่ไหวเพราะเหมือนกำลังเอากับตุ๊กตายางทั้งๆ ที่ตอนนี้เขากำลังเอากับคนอยู่!!

                    “คราง!!”

                    “ฮืออ ฮืออ ฮึก ฮือ”

                    “กูบอกให้คราง ไม่ใช่ร้องไห้!!” ติณณ์บีบคอณิชแรงขึ้นด้วยความโมโห

                    “อ่ะ อ๊ะ อ้าาา”

                    เสียงใสร้องออกมาทำให้ติณณ์ฟังแล้วเกิดความพอใจ เขาคลายมือที่บีบคอออกก่อนจะเลื่อนมาล็อคสะโพกแล้วขยับเอวให้เร็วขึ้น

                    “อ่ะ อ้ะ อึกอ้า อ๊ะๆๆ”

                    ณิชพยายามร้องครางออกมาเพื่อให้ร่างสูงพอใจถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้สึกเสียวเหมือนอย่างที่แสดงก็ตาม ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเจ็บปวดและแสบที่ช่องทางด้านหลังอย่างที่สุด ทุกครั้งที่ร่างสูงขยับเสียงแหล่งความหยาบโลนลอยแว่วเข้ามาในหู

                    “อ๊ะๆ อร๊าง อ่ะอ๊ะๆๆๆๆ”

                    “ซี๊ดดดดดด อ่า”

                    ผับๆๆๆ

                    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่ร่างบางที่พยายามร้องครางเพื่อสร้างความพอใจให้ร่างสูง ช่องทางที่ถูกกระหน่ำรัวตอนนี้ไม่รู้สึกอะไร

                    นี่สินะที่เขาเรียกว่า เจ็บจนชา!

                    “ซี๊ดดด”

                    ร่างสูงขยับรัวเร็วสามสี่ทีก่อนจะกดแช่ตัวตนไว้แล้วปลดปล่อยน้ำรักเข้ามาที่ช่องทางไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงร่างสูงก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดความอยากลงเลยสักนิด กลับกันเขากลับดูมีความสุขที่ได้ร่วมรักกับณิชและขบเม้มสร้างตราประทับแสดงความเป็นเจ้าของไปทั่วร่างกาย

                    ณิชรู้ว่าตอนนี้คงถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว เขาทนไม่ไหวที่จะรองรับแรงอารมณ์ของร่างสูงได้อีกต่อไป ณิชได้แต่หลับตาลงด้วยความอ่อนแรง ปล่อยให้ร่างสูงกระทำตามใจชอบถึงแม้ว่าร่างกายเขาตอนนี้จะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ตาม...




                    @ Tin Part

                    เช้า

                    เมื่อคืนผมนั่งดื่มกับไอ้สามตัวเพื่อนผมจนดึก ไอ้ภัทรที่จู่ๆ ก็เกิดอยากเล่นพิเรนทร์ ใครเล่นเกมแพ้ต้องลองของใหม่ที่มันได้มา มันเป็นน้ำที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่ความแรงของมันนั้นเรียกได้ว่าทำให้ผู้เสพถึงกับเพ้อเลยก็ว่าได้
และเมื่อคืนคนที่โดนบ่อยสุดก็คือ... ผม

                    ไอ้นนท์ขับรถมาส่งผมที่บ้านแล้วมันก็ไปส่งคนอื่นต่อ มันเป็นคนที่เมาน้อยสุดเพราะมันมีเรียนเช้า
ผมเดินเข้าบ้านแบบเซๆ ตอนแรกว่าจะขึ้นห้องไปนอนเลย แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินไปยังบ้านคนงานที่ไอ้ตัวเล็กมันพักอยู่
ตอนแรกผมกะว่าจะเคาะประตูเรียกมันแต่เพราะความเมาขามันเลยไม่มีแรงเลยทำให้ผมเซไปกระแทกกับประตูแทน

                    ตอนแรกผมคิดว่ามันหลับแล้วแต่พอเปิดประตูมาไหงมันอยู่ในชุดคลุมวะครับ พอเงยหน้าไปมองเท่านั้นแหละ ผมถึงกับผละไปหลายวิ

                    น้ำ...

                    ผมครางเบาๆ

                    น้ำแฟนเก่าผมทำไมมาอยู่ที่นี่ ผมหลับตาลงสองสามทีก่อนจะลืมขึ้นมาเพื่อเช็คว่าผมตาฝาดไปเองหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าน้ำยังอยู่!!

                    ตอนนั้นมันทำให้ใจผมเต้นแรงมาก

                    น้ำคือแฟนเก่าที่ทิ้งผมไปหาผู้ชายอื่น ตอนนั้นผมเขวไปหลายเดือนเหมือนกันเพราะผมรักน้ำมาก ทุกครั้งที่เราเจอกันเราจะมีอะไรกันทุกครั้งและน้ำเป็นคนเดียวที่ผมยอมมีอะไรแบบไม่ป้องกัน

                    น้ำเห็นสภาพผมแล้วกึ่งลากกึ่งพยุงผมไปที่เตียง

                    ผมหลับตาสงบจิตใจสักพักก่อนจะลืมขึ้นมาเห็นน้ำกำลังมองสำรวจผมอย่างพินิจ บอกเลยว่าตอนนั้นผมมีอารมณ์มาก สายตาที่มองมามันช่างเย้ายวนผมเหลือเกิน แถมยังใส่แค่ผ้าคลุมอาบน้ำอีกต่างหาก!!

                    น้ำพูดเหมือนจำผมไม่ได้ ผมเลยพยายามที่จะรื้อฟื้นความทรงจำด้วยการร่วมรักเหมือนที่เราทำทุกครั้งที่เจอกัน
แต่พอผมปลดปล่อยน้ำรักเข้าช่องทางสีกุหลาบไปครั้งแรกผมก็ถึงกับผงะ เพราะคนใต้ร่างผมไม่ใช่น้ำแต่เป็นไอ้ตัวเล็ก!!

                    ผมสะบัดหน้าสองสามทีก่อนจะเรียบเรียงความคิดอีกครั้งพร้อมกับคำพูดไอ้ภัทรลอยเข้ามา

                    ‘เห้ย! ไอ้ติณณ์พอแล้วอันนี้มันมีฤทธิ์หลอนประสาทนะเว้ย เบาๆ เว้ยเพื่อน เบาๆ’

                    เวรแล้วไง

                    นี่ผมเห็นไอ้ตัวเล็กเป็นน้ำแฟนเก่าเหรอวะเนี่ย นี่ผมเพ้อขนาดไหนถึงออกมาเป็นแบบนี้วะ!

                       ผมมองไอ้ตัวเล็กที่หลับตาพริ้มหนุนแขนอยู่ข้างกายอย่างพิจารณา ตอนหลับนี่มันก็น่ารักดีนะครับ ความหยิ่ง
ความถือตัวก่อนหน้านี้มันหายไปหมด
   
                    ใบหน้าใสๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเป็นเครื่องตอกย้ำว่าเมื่อคืนผมรุนแรงกับมันแค่ไหน
   
                    ตรงส่วนนั้นของพวกเรายังเชื่อมกันอยู่
   
                    ผมค่อยๆ ถอนตัวตนออกจนเกิดเสียงน่าอาย น้ำรักที่ผสมกับเลือดมากมายอยู่ภายไหลหลั่งออกมาจำนวนมาก มันไหล่ไปตามซอกขาลงไปผ้าปูที่นอน
   
                    ไอ้ตัวเล็กมันขยับนิดหน่อย คงจะเจ็บด้านหลัง
   
                    ผมเอื้อมมือไปอังหน้าผาก ตัวมันรุ่มๆ คงจะเป็นไข้เพราะเมื่อคืนผมรุนแรงกับมันมาก
   
                    “อื้อ”
   
                    ไอ้ตัวเล็กมันลืมตาขึ้นมามองผม หน้ามันอึ้งนิดหน่อยที่เห็นผมมองมันอยู่ก่อน
   
                    “โอ๊ย”
   
                    มันขยับตัวถอยหนีผมแต่ลืมไปว่าตอนนี้สังขารตัวเองไม่เอื้อ ผมขำกับท่าทีมันก่อนจะเอื้อมมือไปดึงมันเข้ามา
   
                    “ปล่อย!!”

                    “ทำไมต้องปล่อย ฮึ?”

                    “ปล่อยเถอะครับ” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม

                    “เรื่องเมื่อคืน...”

                    “ผมรู้ครับ”

                    มันสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะได้อธิบาย

                    “คุณเมา...” มันก้มหน้าพูด “เรื่องเมื่อคืนผมจะคิดว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะครับ”

                    “เหี้ยไรวะ!!”

                    มันทำผมหงุดหงิดอีกแล้ว กะว่าจะใจดีกับมันหน่อย

                    ก็จริงที่ผมเมาแล้วคิดว่ามันเป็นน้ำ แต่ผมก็ได้สติตั้งแต่ปล่อยครั้งแรกแล้วครับ!! แต่ผมแค่ทำเนียนเมาต่อไป
เท่านั้น  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันที่ผมต้องโกหกมันไปแบบนั้น

                    ผมจับหน้ามันให้เงยขึ้น ก่อนผมจะชะงัก เพราะว่ามันร้องไห้จนน้ำตาคลอเบ้า

                    มันเอามือมาปัดมือผมออกเบาๆ  ซึ่งผมก็ไม่ขัดมัน

                    “ผมอยากอยู่คนเดียว” มันมองหน้าผม

                   “แต่...”

                    ผมดื้อที่จะไม่ไปแต่พอมองหน้ามันแล้วคงจะอยากอยู่คนเดียวจริงๆ รอให้มันหายดีก่อนค่อยมาคุยกับมันละกัน

                    “อืม”

                    ผมพูดก่อนจะลุกไปใส่เสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นข้างเตียง

                    ก่อนจะออกไปก็ไม่วายที่ผมจะมองมัน มันก็ยังนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าเดิม

                    “เฮ้อ เพราะไอ้เหี้ยภัทรแท้ๆ”

                    @ End Tin Part




---------------------------------------------------------------------------------------------------

                    เจอคำผิดสามารถแจ้งได้นะครับ  :katai1: :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:51:07 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 10




                    ผมมองเงาตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจกด้วยอาการจิตตก ตามร่างกายและคอมีแต่รอยแดงเต็มไปหมด อย่างนี้ผมจะกล้าออกไปพบใครล่ะเนี่ย!

                    บ่นกับตัวเองได้สักพักก่อนจะเดินไปเปิดฝักบัว หวังว่าสายน้ำเย็นๆ จะลดความหัวร้อนของผมตอนนี้ลงได้

                    ที่หัวร้อนก็เพราะรอยแดงๆ ตามตัวนี่แหละ จะปิดยังไงให้หมด!!

                    พอออกมาจากห้องน้ำยังไม่หายเปียกเสียงครึกโครมข้างนอกก็ดังแทรกเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ผมจึงรีบไปสวมเสื้อผ้าและแง้มประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

                    “ว้าว”

                    ผมร้องออกมาทันทีที่เห็นกลุ่มชายหน้าตาดีหลายคนยืนคุยกับติณณ์ที่หน้าบ้าน

                    แหม หลายๆ คนคงจะทำปากคว่ำอยู่ล่ะสิแค่เห็นผู้ชายทำไมต้องกระดี้กระด้า

                    ขอโทษครับ พวกคุณไม่ชอบกันเหรอ ผู้ชายนะครับ! หล่อด้วย! ใครไม่ชอบแต่ผมชอบ ฮ่าๆๆๆ

                    เวรแล้ว!

                    ผมรีบปิดประตูลงทันทีที่สายตาคมของติณณ์มองมาทางผม ผมไม่ได้กลัวนะครับ แค่ไม่อยากเห็นหน้าเขาเท่านั้นเอง เหอะๆ

                    ก๊อกๆ

                    “หนูณิชจ้ะ หนูณิช” เสียงป้านวลดังขึ้นพร้อมกับเคาะประตู

                    ผมลุกลี้ลุกลนทำตัวไม่ถูก รอยที่คอก็ยังไม่ได้ทาคอนซีลเลอร์ ผมเลยแง้มประตูแล้วโผล่แค่หน้าออกไป

                    “เอ่อ มีอะไรเหรอครับป้านวล”

                    “หนูณิชว่างไหมจ้ะ ป้าอยากให้หนูไปช่วยทำอาหารหน่อย เพราะว่าเพื่อนคุณติณณ์เขามากันเยอะ ป้ากลัวจะทำอาหารไม่ทันน่ะ”

                    “ว่างครับว่าง เดี๋ยวป้านวลเข้าครัวก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมขอจัดการตัวเองสักครู่ก่อน”

                    “โอเคจ้ะ”

                    ป้านวลพยักก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

                    “เฮ้อ ใช้คอนซีลเลอร์ปิดรอยพวกนี้คงจะหมดเป็นหลอดอ่ะ”

                    ผมบ่นกับตัวเองรอบที่ล้านแปดก่อนจะรีบไปปกปิดรอยที่คอและตามลำตัวอย่างรวดเร็ว

                    “ป้านวลจะทำอะไรบ้างครับ” ผมถามขึ้นทันทีที่ไปถึงครัว

                    “อาหารคาวก็จะเป็นผัดหอยลาย น้ำพริกกะปิ ไก่ย่างอบสมุนไพร ปลาสามรส ซี่โครงผัดพริกแกง ส่วนของหวานก็ทำบัวลอยไข่หวานกับกล้วยบวชชีจ้ะ”

                     ผมอ้าปากค้างทันทีที่ป้านวลร่ายชื่ออาหารที่จะทำวันนี้

                     “ป้านวลมั่นใจใช่ไหมครับว่าคนกิน”

                      ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย สงสัยจริงๆ

                     ก็พวกที่มาบ้านวันนี้มีกันแค่สามคนเอง!!! แล้วดูอาหารสิ เยอะอย่างกับทำโรงทาน

                     “เพื่อนๆ คุณติณณ์เขากินเยอะน่ะจ่ะ” ป้านวลพูดพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ

                     “ครับๆ”

                     “หืม ทำอะไร น่ากินจังเลยครับ?”

                     ในขณะที่ผมช่วยป้าๆ ปั้นบัวลอยอยู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู ผมเงยหน้าขึ้นไปดู เขาน่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนของติณณ์ล่ะมั้ง

                    แต่... เขาก็น่ารักดีนะ

                    “เอ่อ กำลังทำบัวลอยครับ”

                    “ว้าว!! ฉันชอบกินบัวลอยมาก”

                    “ครับ”

                    ผมไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไงจริงๆ ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรล่ะครับ เหอะๆ

                    “นายชื่ออะไร”

                    “หืม?” ผมเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง

                     คิดว่าไปแล้วซะอีก

                    “ฉันถามว่านายชื่ออะไร” เขาย้ำ

                    “อ้อ ผมชื่อณิชครับ เป็นพ่อบ้านที่นี่”

                    “เห ที่นี่จ้างพ่อบ้านด้วยเหรอ ไม่ยักรู้”

                    เขาพูดพร้อมกับยิ้มโปรยเสน่ห์แถมสายตาเขาก็จับจ้องมาที่คอผมอย่าไม่ปกปิด

                    คอนซีลเลอร์คงจะจางไปเพราะเหงื่อออกจากอากาศภายในห้องครัวแน่ๆ

                    น่าจะซื้อยี่ห้อกันน้ำมาซะก็ดีหรอก!!

                    “ครับ ผมก็พึ่งรู้เหมือนกัน”

                    พูดจบผมก็ก้มลงปั้นแป้งบัวลอยต่อ

                    “ไอ้แดน มาทำอะไรที่นี่วะ”

                    มาอีกรายแล้ว

                    “กูมาดูว่าป้านวลทำอะไรกินบ้าง”

                    ปากคนชื่อแดนก็พูดกับเพื่อนเขาแต่สายตาเขากลับมองมาทางผม ทำเอาขนลุกซู่เลย

                    “หึ”

                    “นี่พวกมึงมาสุมหัวอะไรกันในนี้วะ”

                    โว้ย!! จะเข้ามาอะไรกันเยอะแยะครับ ห้องครัวก็ใช่ว่าจะกว้าง แค่ผมกับป้านวลและผู้ช่วยอีกสองคนก็เต็มแล้วครับ

                    “กูมาตามไอ้แดน”

                    “กูมาหาของกิน”

                    พูดเฉยๆ ก็ได้ครับพี่แดนสายตาไม่ต้องมองมาทางผม เกรงใจป้าๆ ที่กำลังปั้นแป้งอยู่ด้วยก็ดีครับ ป้าแกเกร็งจนหัวหงอกหมดแล้ว

                    ผมก็ได้แต่ยิ้มให้พี่แดนเบาๆ

                    “ปั้นอยู่นั่นแหละ แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ หิว!!!”

                    ตะคอกเสียงเฉยๆ ก็ว่าอะไรหรอกนะ ทำไมต้องมองมาทางผม!!!

                    “อะ...เอ่อ ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะคุณติณณ์ รออีกสักครู่นะคะ” ป้านวลพูดขึ้นเบาๆ

                    “ของคาวก็เสร็จแล้ว ไปตั้งโต๊ะสิ ค่อยกลับมาทำ!!” เขาพูดเสียงแข็ง “จ้างมาทำงาน ไม่ได้จ้างมาทำอย่างอื่น!!!”

                    ประโยคหลังเขาก็หันมาพูดกับผมเหมือนเดิม

                    “ค่ะๆ เดี๋ยวป้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”

                    ป้านวลกำลังจะลุกขึ้นผมเลยยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้แกไป

                    “เดี๋ยวผมไปเองครับป้า ป้าอยู่ในนี้แหละครับ”

                    “ก็ได้จ้ะ”

                    ผมไม่อยากให้ป้านวลลุกนั่งบ่อยๆ เพราะแกก็แก่แล้ว แถมวันก่อนแกยังบ่นอยู่เลยว่าปวดเมื่อยที่หลัง ผมที่อายุน้อยที่สุดเลยอาสาจะไปเอง

                    “เร็วๆ!!” เขาพูดเสร็จก็เดินออกไปปล่อยให้เพื่อนทั้งสองคนของเขาก่อนหน้ายืนงงเป็นไก่ตาแตก





                    “อ้า อิ่มจัง” แดนพูดขึ้น

                    “เออ แน่นไม่หมดแล้วเนี่ย”

                    “กับข้าวอร่อยสัสๆ” ภัทรกับนนท์พูดเสริม (มารู้ชื่อทีหลัง)

                    “มาเก็บสิ เห็นไหมว่ากินเสร็จกันแล้ว!” ติณณ์เขาตะคอกขึ้นเสียงดังทำให้ผมและป้าๆ กุลีกุจอไปเก็บจานอย่างรวดเร็ว

                    “มึงก็พูดดีๆ หน่อยไม่ได้ไงวะ จะเสียงดังทำห่าอะไร”

                    “เออ เกรงใจป้าแกหน่อย หัวขาวหมดแล้วเนี่ย”

                    “มึงสองตัวหุบปากไปไอ้แดนไอ้นนท์”

                    “เออๆ ไม่พูดก็ได้”

                    เพล้ง!!!!!

                    ในขณะที่กำลังเดินเอาจานไปเก็บก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขัดขา ทำให้ผมล้ม จานที่แบกมาหลายใบก็หลุดจากมือตกแตกเสียงดัง

                    โชคยังดีที่ล้มไม่แรงมาก แต่ด้วยความที่ส่วนบนลงพื้นก่อนทำให้เสื้อยืดที่ใส่เปิดขึ้นมาจนเลยกลางหลังเผยให้เห็นหลังขาวเนียนที่เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจ้ำหลายสิบรอย

                    ผมพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

                    ทุกคนทำท่าทีอึ้งๆ ที่เห็นหลังผม

                    เวร!! มัวแต่ดูรอยที่คอและลำตัวข้างหน้า ลืมดูข้างหลังไปซะสนิท!!

                    “ว้าว!!”

                    “อูว!!”

                    “เด็ด!!”

                    เพื่อนทั้งสามของติณณ์ส่งเสียงแทบจะพร้อมกัน

                    ผมก็ได้แต่ตวัดตามองไปยังต้นเหตุของรอยทั้งหมด ก่นด่าเขาทางสายตา

                    แต่ดูเขาสิ!! ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังยิ้มอย่างกับคนมีชัยอีก!!

                    กรอด

                    หน็อย! ฝากไว้ก่อนเถอะ เรื่องครั้งนี้ผมจะเก็บไว้ในบัญชีหนังหมาแน่ อย่าให้ถึงทีผมบ้างก็แล้วกัน!!




-----------------------------------------------------------------------------------------------------

                    เอาไป 10 ตอนก่อนนะ  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
มายาวจุใจมากครับ ขออ่านทีละตอนก่อนละกัน  :hao5:
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ติณณ์นี่พระเอกเหรอ มันน่า :beat: :z6: :fcuk: จริงๆเลย
ทั้งข่มขืน ทั้งคิดว่าเป็นน้ำแฟนเก่า ทั้งควงทั้งควบชะนีช้อย :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
เราว่าเนื้อเรื่องมันสวิงไปอะ เป็นคนธรรมดาจนไ อรอนแอ แต่ให้มาเป็นสายลับซะงั้น ไม่รู้สิ บทมันพลิกแปลกๆ

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนที่ 11




                    ตกบ่ายผมเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปพบใครทั้งนั้นเพราะว่าอายเรื่องรอยดูด
   
                    นอนเล่นโทรศัพท์แก้เซ็งได้สักพักก็มีข้อความจากเคนส่งมาบอกว่าเดี๋ยวมาหา ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องมา แต่หมอนั่นก็รั้นที่จะมาให้ได้
   
                    ส่วนเรื่องเคนเป็นสายลับเหมือนผม ผมก็ยังรู้สึกเคืองอยู่ดี แต่มาคิดๆ ดูแล้วยังไม่ให้เคนรู้ดีกว่าว่าเราทำอาชีพเดียวกัน จบเรื่องนี้ค่อยเคลียร์ก็แล้วกัน
   
                    ติ๊ง
   
                    ผมมองอีเมล์ฉบับหนึ่งที่เด้งขึ้นมาที่จอก่อนจะกวาดสายตาอ่านรายละเอียดอย่างรวดเร็วก่อนจะกดลบมันทิ้งไป
   
                    มีงานอีกแล้ว เฮ้อ...
   
                    ผมถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะเอามือมาอังที่หน้าผากตัวเอง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบายยังไงก็ไม่รู้ แล้วงานคืนนี้ผมจะรอดไหมเนี่ย!
   
                    ก๊อก ก๊อก
   
                    เสียงประตูห้องดังขึ้น ผมจึงละจากโทรศัพท์ที่เล่นอยู่แล้วเดินไปเปิดประตู

                    “ฮ้า คิดถึงจังเลย!! ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” หนุ่มหล่อรูปร่างกำยำมีนามว่าเคนพุ่งเข้ากอดผมอย่างรวดเร็ว แถมแรงที่กอดก็ไม่ใช่น้อยๆ อีกด้วย

                    “เบาหน่อย กอดแรงไปแล้ว -_-”

                    ผมพูดพร้อมกับผลักเคนออกเบาๆ เพราะเริ่มรู้สึกอัดอัดขึ้นมา

                    “โทษที” เคนคลายอ้อมกอดออกพร้อมกับเกาหัวแก้เก้อ “ดีใจเกินไปหน่อย”

                    “บอกว่ายังไง จำไม่ได้แล้วใช่ไหม”

                    ผมพูดเสียงเข้มย้ำความจำที่ผมเคยพูดกับเขาครั้งอดีต

                    “เคนขอโทษ เคนจะไม่ทำอีกแล้ว”

                    “เฮ้อ ช่างมันเถอะ”

                    ผมล่ะเหนื่อยใจจริงๆ เมื่อไหร่เขาจะเลิกคิดอย่างว่ากับผมเสียที

                    “เข้ามาสิ”

                    “โห นี่ห้องของณิชเหรอเนี่ย” เคนทำตาวาวพร้อมกับเดินสำรวจห้องอย่างถือวิสาสะ “น่ารักจัง”

                    “-_-”

                    ผมจะไม่ทำหน้าอย่างนี้เลยถ้าประโยคหลังมันไม่หันมาหาผม

                    อยู่ด้วยกันจนชินแล้วล่ะครับกับไอ้มุขจีบสาวและสายตาแพรวพราวของมันเนี่ย

                    ผมหลบสายตาเคนก่อนจะเดินมารินน้ำใส่แก้ว

                    “ณิช” เคนเรียกผมเสียงเรียบ

                    “หืม”

                    “ณิช”

                    “อะไร”

                    สวบ

                    ตัวผมแข็งทื่อทันทีที่เคนเดินมากอดผมจากทางด้านหลัง

                    “...”

                    “หอม” เคนเอาจมูกโด่งของเขามาป้วนเปี้ยนที่ต้นคอผมไปมา “อยาก”

                    “...”

                    กึด จ๊วบ

                    “อื้อ!!” ผมครางขึ้นทันทีที่เคนดูดคอผมแล้วกัดอย่างแรง

                    ความเจ็บทำให้ผมได้สติ ผมจึงเอียงคอหนีแล้วหันหน้าไปสบตากับตัวการที่ทำผม

                    “อยาก” เคนมองผมไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา “ณิช เคนอยาก”

                    เคนสวมกอดผมแน่นขึ้นด้วยพายุอารมณ์ ตัวตนด้านล่างของเขาชูชันขึ้นมาเสียดสีกับตัวตนผมอย่างหยาบโลน

                    ผมหลับตาลงพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไม่ให้คล้อยตามเขา

                    “อึก อึก”

                    ผมกัดริมฝีปากล่างตัวเองจนได้กลิ่นคาวเลือด ส่วนล่างของเคนก็รุกผมรุนแรงขึ้น เขาขยับเอวไปมาเบาๆ ทำให้ตัวตนที่แข็งขืนของเขาเสียดสีกับของผมที่เริ่มจะตื่นตัวเช่นกัน

                    “เคน เคน!!”

                    ผมร้องประท้วงขึ้นทันทีที่เคนสอดมือทั้งสองเข้ามาที่บั้นท้ายของผมแล้วบีบเค้นอย่างแรง

                    “หื้ม ณิช เคน อยาก” เสียงเขาเริ่มกระเส่าขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ “ไม่ไหวแล้ว”
                   
                    “เคน ไม่!! อื้อ!!”

                    ความพยายามที่จะดึงสติของเคนให้กลับมาสูญเปล่า ตอนนี้เขาถูกพายุอารมณ์กลืนกินโดยสมบูรณ์แล้ว

                    ตอนนี้ผมได้สติมาครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หัวสมองก็เริ่มประมวลว่าจะสลัดตัวเองให้หลุดจากเคนด้วยวิธีไหนถึงจะเจ็บตัวน้อยที่สุด

                    จะตีท้ายทอยให้สลบไปก็ดูรุนแรงไปหน่อย

                    ถ้าใช้ศิลปะป้องกันตัวที่เรียนมาเคนอาจจะรู้ก็ได้ว่าผมเป็นสายลับเหมือนกัน

                    โว้ย!! ปวดหัว
   
                    “ณิช ณิช!”
   
                    เคนมองผมด้วยสายตาเยิ้ม “ไม่ไหวแล้วจริงๆ เคนขอนะ”

                    ผลัก! ตุบ

                    เคนผลักผมลงที่เตียงอย่างแรงก่อนจะคร่อมแล้วรวบมือผมไว้เหนือหัวด้วยมือข้างเดียวแบบเชี่ยวชาญ ส่วนอีกข้างก็กระชากเสื้อเชิ้ตออก

                    เคนลากไล้จมูกโด่งไปมาตามร่องอก ลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดในระยะอันตรายทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ริมฝีปากสีกุหลาบลากไล้มาหยุดที่ตุ่มไตก่อนลิ้นร้อนจะตวัดดูดดึงด้วยตามแรงอารมณ์

                    มาถึงตอนนี้สติของผมขาดผึ่ง ผมแทบอยากจะผลักเขาออกแล้วโดดถีบถอดอกสักสองสามทีให้เขาได้สติ แต่ก็ต้องทำเป็นไม่สามารถขัดขืนเขาได้

                    มันน่าโมโหตรงนี้แหละ!!!

                    “เคน หยุด!!” เหมือนเขาจะไม่ฟังผมเลย เขาดูดดึงจนยอดอกผมปวดเป่งและแดงจนน่ากลัว

                    “ผมบอกว่ายังไง เคนลืมไปแล้วเหรอ!!!!”

                    “เคนไม่ไหวจริงๆ ให้เคนเถอะนะ นะครับ”

                    เขาพูดอู้อี้อยู่ที่หน้าท้องของผมก่อนจะลากลิ้นร้อนเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ

                    ผมนับถึงถึงสามในใจถ้าเขาไม่หยุดตอนนี้ผมก็จะไม่เกรงใจแล้วเหมือนกัน

                    หนึ่ง

                    เคนใช้ปากของเขารูดซิบกางเกงผมลงเผยให้เห็นปราการสีขาวบริสุทธิ์ด่านสุดท้าย

                    สอง

                    เคนเลื่อนต่ำลงไปงับที่ตัวตนผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาอีกหน่อยแล้วใช้ปากดึงขอบกางเกงในลง

                    สะ...

                    พรึบ

                    ตุบ ผัวะ!!

                    ก่อนที่ผมจะนับถึงสามร่างของเคนที่คร่อมผมไว้ก็ลอยออกไปกระแทกกับผนังอย่างแรงจากนั้นร่างสูงที่คุ้นตาก็ตามไปชกอีกหนึ่งทีผมมองไปที่ติณณ์ด้วยความสงสัย

                    เขาเข้ามาในนี้ได้ยังไง

                    ก็ผมล็อคประตูไว้แล้วนี่!

                    “ร่าน!!” ติณณ์เอ่ยเสียงเข้มก่อนจะมองมาที่ผมด้วยใบหน้าโกรธจัด

                    ติณณ์ผายหน้าไปทางเคนก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “กูบอกมึงว่ายังไงเคน”

                    รู้จักกัน?

                    “หึ”

                    เคนหัวเราะหึในลำคอก่อนจะลุกขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเองอย่างลวกๆ “จำได้ แต่ไม่ทำ”

                    “มึง!!”

                    ติณณ์เรียกเขาเสียงดังแล้วทำท่าจะกระโจนเข้าไปชกเคนซ้ำอีกครั้ง

                    “หยุดนะ!!!”

                    ผมเอาตัวไปขวางไว้ไม่ให้ติณณ์ชกเคนซ้ำอีกครั้ง

                    “มึงปกป้องมัน?”

                    “ใช่ จะทำไม!!”

                    “หึ เดี๋ยวนี้กล้า” ติณณ์แค่นเสียงก่อนจะมองผมด้วยสายตาคมกริบของเขา “ถ้ากูไม่ดึงมันออกมึงเสร็จมันไปแล้ว”
   
                    ขอโทษครับ ถ้าคุณไม่มาช่วยผมก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ผมแค่ยังไม่ทำเท่านั้นเอง
   
                    “ถ้าผมเสร็จเคน แล้วจะทำไมเหรอครับ” ผมเอียงคอถามใบหน้ากวนส้น “พวกผมจะทำอะไรกันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ?”
   
                    ติณณ์ใช้ลิ้นดุนกระพุงแก้มก่อนจะตอบอย่างคนเป็นเจ้าของบ้าน “กูไม่ชอบให้ใครมา ‘เอากัน’ ในเขตพื้นที่บ้านของกู”
   
                    ผมถึงกับหน้าตึงเมื่อได้ยินประโยคนี้
   
                    หึ ก็ถูกของเขานะ เขาเป็นเจ้าของบ้านจะทำหรือพูดอะไรก็ไม่ผิด!!
   
                    “ก็จริงนะครับ ห้องนี้ก็เป็นของคุณ” ผมพูดพร้อมกับจ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ถ้าไปเอากันที่อื่นก็ไม่ผิดสินะครับ ☺”
   
                    พูดเสร็จผมก็ยิ้มไปให้ทีหนึ่ง คว้ากางเกงขึ้นมาใส่แล้วเดินไปคว้าแขนเคนเดินผ่านเขามุ่งไปที่ประตู
   
                    “มึงกล้าเหรอณิช!!”
   
                    ผมหยุดเดินแล้วหันไปตอบเขาท่าทางกวนส้น “อ้าว รู้ชื่อผมด้วยเหรอครับ นึกว่าจะเรียกเป็นแค่ไอ้ตัวเล็ก
ซะอีก ☺”

                    กรอด

                    ติณณ์กัดฟันอย่างแรงจนเห็นกรามขึ้น

                    “ในฐานะที่กูเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้” ติณณ์ประกาศกร้าวอย่างเสียงดัง

                    “ขอสั่งให้มึงอยู่ในนี้ห้ามออกไปไหน” เขาพูดกับผมแล้วหันหน้าไปมองเคน “ส่วนมึงออกจากบ้านกูซะ ก่อนที่กูจะทำอะไรมึงมากกว่านี้”

                    กรอด

                    ครั้งนี้เป็นผมเองที่กัดฟัน เพราะฐานะตอนนี้ของผมคือลูกน้องเขา

                    “ได้” ผมปล่อยมือเคนออกก่อนจะสบตากับเขา “ไว้ค่อยเคลียร์กันทีหลัง เคนกลับไปก่อนนะ”

                    “ตะ...แต่”

                    “กลับ” เคนทำท่าจะพูดผมเลยตัดฉากเขาพูดขึ้นมาก่อน

                    “ก็ได้” ในตอนที่เขาเดินไปที่ปะตูแล้วทำท่าจะปิดก็หันหน้ามาพูดกับผม “เดี๋ยวเคนมาหาอีกนะ”

                    “ไม่ต้อง! บ้านนี้ไม่ต้อนรับมึง” ติณณ์ที่ยืนเงียบอยู่สักพักพูดขึ้น

                    ในความคิดผม ผมคิดว่าสองคนนี้ต้องมีอะไรกันมากกว่าคนรู้จักกันแน่ๆ เพราะทั้งสองมองหน้ากัน

                    เหมือจะฆ่ากันเลย

                    แต่ตอนนี้ขอเก็บความคิดนั้นไว้ก่อน สนใจเรื่องตรงหน้าดีกว่า

                    “...”

                    “...”

                    ในตอนนี้ทั้งห้องเหลือแต่ผมกับติณณ์สองคน บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด เขาเงียบ ผมเงียบ

                    “หึ เอากับกูมันไม่พอหรือไง” เสียงเข้มพูดขึ้นทำลายความเงียบ

                    นั่นปากเหรอนั่น พูดมาแต่ละอย่างฟังไม่ได้ทั้งนั้น

                    “รู้สึกว่าตั้งแต่เสียซิงให้กูดูมึงจะ ‘ร่าน’ ขึ้นหรือเปล่า” เขาเน้นคำว่าร่านชัดถ้อยชัดคำ

                    “ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดไปนะครับ”

                    “...?”

                    “ใครบอกเหรอครับว่าคุณคือคนแรกของผม?” ผมพูดเสียงเรียบพร้อมกับทำท่าขำน้อยๆ

                    “อุปทานไปเองหรือเปล่า?”

                    “...”

                    “คนแรกของผมน่ะคือคนที่คุณพึ่งไล่ออกจากบ้านไปเมื่อกี้ไงครับ”

                    ทุกคนฟังไม่ผิดหรอกครับ คนแรกของผมคือเคน

                    ย้อนกลับไปตอนที่เรารู้จักกันครั้งแรก เขาบอกว่าเขาชอบผมตั้งแต่เจอกันและจีบผมจากนั้นเป็นต้นมา เราก็คุยกันได้สักพัก พอผ่านไปสักระยะผมเกิดมีอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาอยากลองมีอะไรกับใครสักครั้ง เคนจึงอาสาที่จะเป็นคนสอนผม

                    เคนบอกว่าเขาจะทำเบาๆ แต่ทุกครั้งที่เขากระแทกตัวตนเข้ามามันกลับรู้สึกแสบไปหมดถึงแม้ว่าเคนจะทำเบาๆ อย่างที่เขาพูดก็ตามเพราะว่าธรรมชาติช่องทางนั้นมันมีไว้เป็นทางออกไม่ใช่ทางเข้า ผมเลยรู้สึกว่าครั้งแรกมันเจ็บปวดมากเลยไม่คิดว่าจะมีอะไรกับใครอีกแล้ว

                    ช่องทางผมฉีกขาดและมีเลือดออกตอนที่เคนถอนแก่นกายออกเพราะขนาดที่ค่อนข้างจะใหญ่ของเขานั่นจึงเป็นเหตุให้ผมเดินไม่ได้ไปหลายวัน ส่วนเคนเขาก็คอยดูแลผมตลอด

                    ผมคิดทบทวนดูหลายวันก่อนจะตัดสินใจกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่มีอะไรกับใครอีกแล้วจนกระทั่งมาเจอกับติณณ์
ส่วนเรื่องผมกับเคนเราก็ตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีอะไรกันผ่านช่องทางด้านหลังอีกแล้วก็ขอให้เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

                    ซึ่งเขาก็เข้าใจแต่ว่ามีข้อแม้ บางครั้งเขาก็จะขอทำภายนอกกับผมได้ไหมซึ่งผมก็ตกลงเพราะไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร มนุษย์เราทุกคนมีความต้องการด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็เช่นกัน

                    แต่ผมก็มีข้อแม้อีกเหมือนกันว่าเขาจะต้องไม่ทำถ้าผมอนุญาต แต่วันนี้เคนเขาลืมสัญญาระหว่างเรา เรื่องนี้ผมต้องไปเคลียร์กับเขาทีหลัง

                    ทุกคนอาจจะงงกับความสัมพันธ์ระหว่างผมสองคน พูดง่ายๆ ก็คล้ายๆ เซ็กส์เฟรนนั่นแหละครับ แต่เป็นเซ็กส์เฟรนแบบภายนอกไม่ได้สอดใส่ เราสองคนมีความสัมพันธ์อย่างนี้ตลอดหนึ่งปี แต่ตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าเคนก็คือหนึ่งในสายลับของบอสเหมือนกันผมจึงพยายามทำตัวห่างจากเคนเพราะผิดกฎของบอสเข้า

                    กฎที่ว่า... ห้ามสายลับมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน

                    “มึงนี่มันร่านจริงๆ”

                    “พึ่งรู้เหรอครับ ☺”

                    “ทำตามที่กูสั่งด้วยล่ะ หึ”

                    พูดเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องผมไปตามด้วยการปิดประตูเสียงดัง

                    ปัง!!

                    ผมมองเขาผ่านหน้าต่างบานเกล็ดเห็นเขาเดินพรวดๆ เข้าไปโวยวายกับเพื่อน สักพักเขาก็ขับรถออกไปอย่างแรง
                    ทำให้เพื่อนเขางงกันเป็นไก่ตาแตกว่าเขาเป็นอะไรเลยจำเป็นที่จะต้องขับรถตามเขาไปเป็นขบวน

                    ผมเลิกสนใจเขาแล้วเดินไปหยิบยาลดน้ำไข้ที่หลังตู้เย็นขึ้นมากินเพราะตอนนี้รู้สึกอ่อนแรงจากพิษไข้มากๆ แล้วคืนนี้ผมจะทำงานได้ไหมเนี่ย

                    กินยาเสร็จผมก็มานั่งคิดว่าคืนนี้จะทำงานยังไง ทางหนีทีไล่อยู่ตรงไหน

                    นั่งคิดไปได้สักพักคำพูดของติณณ์ก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท

                    ‘ร่าน’

                    เขาเป็นใครถึงกล้ามาด่าผมว่าร่านอย่างนี้

                    หึ คุณดูถูกผมมากเกินไปแล้วติณณ์

                    แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!!! ผมจะร่านอย่างที่คุณพูดให้ดู




-----------------------------------------------------------------------------------------------------

                    ถ้าเกิดอ่านแล้วสงสัย ไม่เข้าใจ กูอ่านต่อไปนะครับ จะค่อยๆ เฉลยไปทีละตอนๆ  :katai1: :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:51:33 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << Update 14/9/2561
«ตอบ #14 เมื่อ14-09-2018 17:27:19 »

ตอนที่ 12

:z13:





                    @ Tin Part
   
                    พวกผมสี่คนกำลังนั่งคุยกันที่ห้องนั่นเล่นอย่างถึงพริกถึงขิง สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นไอ้เคนอยู่ในห้องณิช ความสงสัยแล่นขึ้นสมองขึ้นมาทันทีว่ามันมาทำอะไรที่นี่
   
                    รู้จักกัน?
   
                    “มองอะไรวะติณณ์” ไอ้ภัทรถามขึ้น
   
                    “ป่าวๆ ไม่มีอะไร” ผมละสายตาจากทั้งคู่แล้วหันมาพูดกับพวกมันต่อ
   
                    “เออไอ้ติณณ์ มึงไปได้พ่อบ้านคนนั้นมาได้ไงวะ” จู่ๆ ไอ้แดนก็ถามขึ้น
   
                    “นั่นดิ” ไอ้ภัทรเสริม
   
                    “กูก็ไม่รู้ กลับมาจากดูงานก็เห็นมันยืนสลอนอยู่ในห้องกูละ” ผมกรอกตาตอบแบบเซ็งๆ “สงสัยเป็นฝีมือป้านวล”
   
                    “แล้วมึงมาเสือกอะไรเรื่องของบ้านกูเนี่ย”
   
                    “เอ้า!” ไอ้แดนพูดด้วยเสียงหงุดหงิด “กูถามแค่นี้ก็ด่ากู”
   
                    “มึงไม่รู้หรือไงไอ้ติณณ์ อย่างณิชเนี่ยสเปคไอ้แดนเลยนะครับ หึหึ” ไอ้ภัทรแซวขำๆ “ตัวเล็กๆ ขาวๆ แบบเนี้ยแหละไอ้แดนชอบ”
   
                    ผมตวัดสายตามองไอ้แดนทันทีที่ไอ้ภัทรพูดจบ
   
                    ไม่ต้องบอกกูก็รู้ครับว่าไอ้แดนคิดอะไร แค่มองตามันครั้งแรกในห้องครัวกูก็ตรัสรู้แล้ว
   
                    ก็แม่งเล่นมองไอ้ณิชไม่วางตาขนาดนั้น!!
   
                    “กูไม่รู้” ผมตอบเสียงเข้ม
   
                    “ถ้ามึงไม่เอา” ไอ้แดนพูดแล้วหยุดมองผมครู่หนึ่ง “กูขอ”
   
                    “โหๆๆๆๆ”
   
                    “ว้าววววว”
                      
                    ไอ้ภัทรกับไอ้นนท์ร้องขึ้นพร้อมกัน
   
                    “นี่พวกมึงเล่นขอกันงี้เลยเหรอ” ไอ้นนท์พูดพร้อมกับเอามือทาบอกท่าทางตอแหล
   
                    “เอ้า กูอยากได้ ก็ต้องขอสิ ก็ณิชเป็นเด็กของติณณ์มันหนิ” แดนพูดพร้อมกับมองหน้าด้วย “หรือไม่ใช่”
   
                    “อยากได้ก็เอาไป” ผมตอบพร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบ “กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน”
มึงนี่มันเสน่ห์แรงจริงๆ นะณิช!
   
                    “หึ ให้จริงอย่างที่พูด”
   
                    ผมมองไอ้ภัทรเพราะได้ยินที่มันพูด ถึงแม้มันจะเบามากแต่ผมก็สามารถฟังมันออกเพราะประสาทหูผมค่อนข้างดี
   
                    ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหันไปมองห้องณิช เพราะจุดที่พวกผมนั่งกันอยู่มันตรงข้ามกับที่พักของมันพอดีทำให้ผมสามารถมองมันได้ตลอดเวลา
   
                    ภาพที่ผมเห็นทำเอาคิ้วกระตุกไปหนึ่งที
   
                    ได้เคนกำลังกอดณิชจากทางด้านหลัง
   
                    หึ ร่านจริงๆ โดนผู้ชายกอดแทนที่จะสะบัดออก
   
                    “ติณณ์ ติณณ์”

                    “ไอ้ติณณ์!!”

                    เสียงไอ้ภัทรแทรกเข้ามาในประสาทหูแต่ผมไม่สนใจเพราะมัวแต่มองว่าณิชมันจะจัดการยังไงกับไอ้เคน
แต่ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรไปได้มากกว่านี้ ไอ้เคนมันผลักณิชลงแล้วมันก็เริ่มใช้จมูกและปากลากไล้ไปยังส่วนต่างๆ
เพราะอะไรไม่รู้เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วมันทำให้ผมสติขาดผึ่ง

                    ผมลุกขึ้นและมุ่งเดินไปที่ห้องมันอย่างเร็ว

                    “ไอ้ติณณ์ เห้ย!! มึงจะไปไหน!!!”

                    ผมก้าวขายาวๆ ของตัวเองไปถึงหน้าห้องมันอย่างเร็ว แต่ณิชมันล็อคกลอนไว้

                    หึ ของแค่นี้อย่าคิดว่าจะห้ามผมได้!

                       ปัง!

                       ผมจัดการถีบประตูให้เปิดออกแล้วรีบไปดึงได้เคนออกก่อนที่มันจะคาบปราการสีขาวด่านสุดท้ายออก

                       ตุบ ผัวะ!

                       ผมดึงคอเสื้อมันแล้วเหวี่ยงไปกับผนังจากนั้นก็ตามประกบมันและชกไปหนึ่งที

                       มันมองหน้าผมพร้อมกับเช็ดเลือดที่ผมปากออกก่อนจะแสยะยิ้ม

                       ผมกำลังจะเข้าไปซ้ำมันอีกครั้งเพราะรำคาญกับรอยยิ้มที่กวนส้นตีนของมัน

                       “หยุดนะ!!!”

                       ร่างบางของณิชวิ่งเข้ามาขวางผมกับไอ้เคนไว้ พร้อมกับสายตาสงสัย

                       “มึงปกป้องมัน” ทั้งๆ ที่มันจะข่มขืนมังเนี่ยนะ

                       ผมถามมันขึ้นแต่ประโยคหลังนั้นพูดในใจ

                    “ใช่ จะทำไม!!”

                    หึ เดี๋ยวนี้กล้า

                    “ถ้ากูไม่ดึงมันออกมึงเสร็จมันไปแล้ว”

                    “ถ้าผมเสร็จเคน แล้วจะทำไมเหรอครับ” มันเอียงคอถามใบหน้ากวนส้น “พวกผมจะทำอะไรกันแล้วมันเกี่ยวอะไร
กับคุณ?”

                    คำพูดของมันทำคิ้วผมกระตุกเป็นรอบที่สอง

                    “กูไม่ชอบให้ใครมา ‘เอากัน’ ในเขตพื้นที่บ้านของกู”

                    ผมเน้นย้ำคำว่าเอากันใส่หน้ามันไป ดูเหมือนมันจะอึ้งไปสักพักก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ

                    “ก็จริงนะครับ ห้องนี้ก็เป็นของคุณ”

                    “ถ้าไปเอากันที่อื่นก็ไม่ผิดสินะครับ ☺”

                    แม่งเอ๊ย!!! กล้าดียังไงมาเถียงวะ

                    “ในฐานะที่กูเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้” ผมประกาศกร้าวเสียงดัง “ขอสั่งให้มึงอยู่ในนี้ห้ามออกไปไหน ส่วนมึงออกจากบ้านกูซะ ก่อนที่กูจะทำอะไรมึงมากกว่านี้”

                    ณิชหันไปคุยกับไอ้เคนแป๊ปหนึ่งก่อนมันจะพยักหน้าเข้าใจและเดินไปทางประตู

                    “เดี๋ยวเคนมาหาอีกนะ”

                    ผมแทบจะพุ่งไปใส่มันอีกรอบเมื่อมันพูดจบ

                    ตอนนี้ทั้งห้องเหลือแค่ณิชกับผมสองคน

                    “รู้สึกว่าตั้งแต่เสียซิงให้กูดูมึงจะ ‘ร่าน’ ขึ้นหรือเปล่า”

                    จู่ๆ ผมก็เผลอพูดประโยคที่คิดในหัวออกไป

                    ไม่น่าปากไปเร็วกว่าสมองเลยกู!!

                    “ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดไปนะครับ”

                    “...?” หมายความว่าไง

                    “ใครบอกเหรอครับว่าคุณคือคนแรกของผม?” ณิชมันพูดพร้อมกับขำน้อยๆ “อุปทานไปเองหรือเปล่า?”

                    “...”

                    “คนแรกของผมน่ะคือคนที่พึ่งไล่ออกจากบ้านไปเมื่อกี้ไงครับ”

                    ประโยคที่ณิชมันพูดออกมาถึงกับทำผมสตั้นไปหลายวินาที

                    “...”

                    คนแรก?

                    หึ!

                    คนแรกของมึง แต่ทำไมตอนกูเอาเลือดมึงถึงออกล่ะเหมือนคนไม่เคยโดนล่ะ

                    หืม?

                    ผมได้แต่ตอบมันในใจไม่ได้พูดออกมาเพราะผมจะดูปฏิกิริยาว่าเรื่องที่มันจะพูดต่อไปเป็นยังไง

                    “...”

                    ผ่านไปสองนาทีณิชมันก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำจนทำให้ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

                    “ร่านจริงๆ” ผมพูดกระตุกอารมณ์มันอีกนิด

                    “พึ่งรู้เหรอครับ ☺”

                    คำที่มันตอบโต้ผมมาเกินความคาดหมายของผม

                    “ทำตามที่กูสั่งด้วยล่ะ หึ”

                    ผมรู้สึกโมโหกับท่าทางอวดดีของมันจริงๆ เลยตัดบทระหว่างเราไปเพราะผมรู้ตัวดีว่าอีกสักพักอารมณ์ผมได้ระเบิดออกมาแน่ๆ

                    พูดเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องทันที

                    “เห้ย!! ได้ติณณ์มีไรวะ”

                    “กุญแจรถอยู่ไหน” ผมไม่สนใจเสียงได้นนท์ที่ถามผม “กุญแจรถกูอยู่ไหน!!??”

                    “นี่ค่ะๆ”

                    ป้านวลยื่นกุญแจให้ผมท่าทางสั่นๆ เพราะตลอดเวลาที่แกมาทำงานที่นี่ป้าแกก็เห็นผมโกรธเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แถมแต่ละครั้งที่ผมโกรธก็เหมือนมีคนมาทิ้งระเบิดปรมาณูในบ้าน

                    บรืน

                    เมื่อได้กุญแจปุ๊บผมก็เดินไปขึ้นรถแล้วเหยียบสุดคันเร่งออกมาทันที

                    “เห้ย พวกมึง ยืนตาแตกทำเหี้ยอะไร ตามมันไปสิครับ!!”

                    “เออๆ ไปๆ”

                    ผมได้ยินเสียงได้ภัทรแว่วเข้ามาในหู แต่ผมก็ไม่สนใจมัน ขับรถมุ่งหน้าไปที่ที่ผมสามารถระบายอารมณ์ได้






                    10:45 PM

                     Nexus Club

                    ผมกำลังนั่งนั่งซุกหน้าอกผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร รู้แค่ว่าตอนนี้ผมอยากระบายมาก

                    กูว่าแล้วแม่งต้องอยู่ที่นี่!” เสียงไอ้นนท์ดังขึ้นผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองมัน

                    มาทำเหี้ยไรวะ

                    “ก็มันมีอยู่แค่ที่เดียวมั้ยวะ จะไม่มาก็ยังไงอยู่ เสียค่าสมาชิกเป็นแสนขนาดนั้น”

                    “มึงนี่ก็เลิกแซะเจนเขาสักทีได้ไหมวะ” ได้ภัทรว่าไอ้นนท์

                    “มึงก็เลิกบ่นสักทีได้ไหมวะ” ส่วนไอ้นนท์ก็ว่าเพื่อนรักกลับ

                    “พวกมึงหุบปากกันทั้งคู่นั่นแหละ”

                    “พ่อมึงสั่งแล้วหุบปากดิวะ” ได้แดนแหวขึ้น

                    “มึงก็เหมือนกัน” ผมพูดก่อนจะตวัดสายตามองพวกมันทีละคนๆ “มาทำเหี้ยไรเยอะแยะ”

                    “อ้าว พวกกูก็เห็นมึงบึ่งรถมาซะขนาดนั้นก็นึกว่ามีอะไร ที่แท้แม่งก็แค่เสี้ยน”

                    “เออกูเสี้ยนแล้วมันหนักหัวมึงหรือไงวะได้นนท์”

                    “ไม่คร้าบบบ”

                    พูดเสร็จมันก็อัญเชิญตัวเองนั่งลงโซฟาแบบหน้าด้านๆ

                    ก้นพวกมันทั้งสามยังนั่งไม่ทันจะถึงหนึ่งนาทีก็มีสาวๆ อกตู้มเข้ามาเซาะแซะกันคนละคน

                    หึ บริการเขาดีจริงๆ

                    “มึงชอบผู้ชายตัวขาวๆ เล็กไม่ใช่เหรอได้แดน” จู่ๆ ผมก็มีอารมณ์พูดแซะมันขึ้นมา


                    “กูได้หมดว่ะเพื่อน หึหึ”

                    “หึ”


                   

                    พวกเราสี่คนนั่งกินกันจนถึงตีสองก่อนจะแยกย้ายกันกลับถิ่นฐานของใครของมัน ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมเกิดอารมณ์มาคอนโดหรูที่ตัวเองซื้อทิ้งไว้

                    หึหึ ผมมีความคิดดีๆ ซะแล้วสิ

                    อยากจะรู้จริงๆ ว่าตัวเล็กๆ อย่างไอ้ณิชมันจะอวดดีไปถึงไหน

                    ผมกดโทรศัพท์หาป้านวลทันทีที่ความคิดเลวๆ แล่นเข้าหัวสมอง

                    ก๊อก ก๊อก

                    ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นตามที่คาดไว้

                    เหยื่อมาแล้ว!!

                    ผมเดินไปเปิดประตูออกเผยให้เห็นร่างเล็กของไอ้ณิชในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุมสองเม็ดบนกับกางเกงขาสั้น

                    แม่งเอ๊ย!! เห็นแล้วอารมณ์ผมขึ้น คนยิ่งเสี้ยนๆ อยู่

                    “เข้ามา” ผมพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ

                    “เรียกผมมามีอะไร รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้ว” เข้ามาได้ไม่ถึงสามวิเสียงแหลมๆ ของมันก็แหวขึ้นทันที

                    “รู้” ผมเว้นวรรคหายใจแล้วมองหน้ามัน “แล้วคิดว่ากูเรียกมาเวลานี้ให้มาทำอะไรล่ะ? ☺”

                    ผมเอียงคอถามพร้อมกับแสยะยิ้มเลียนแบบมัน

                    “...”

                    มันทำหน้าอึ้งๆ ที่เห็นผมย่างสุมเข้าไปหามัน มันเดินถอยหลังจนไปชนกับประตู

                    กึก

                    “หึ จะหนีไปไหน” ผมแสยะยิ้มร้าย “กูกำลังเงี่ยนเลย ร่านๆ อย่างมึงคงจะช่วยให้กูหายได้นะ”

                    “อื้อ อะทำอะไร!!! อ่อยนะ!!” (จะทำอะไร ปล่อยนะ)

                    “ผมจัดการปิดปากเล็กด้วยปากตัวเองก่อนจะดูดดึงริมฝีปากมันอย่างแรงให้มันเปิดออกรับผมเข้าไป

                    เมื่อณิชมันทนไม่ไหวจึงยอมให้ผมเข้าไปลุกล้ำชิมความหวานจากปากของมันอย่างเอาแต่ใจ

                    “อื้อ อืมมม”

                    หึ ทีแรกทำเป็นขัดขืน แต่ตอนนี้จูบตอบกูเชียวนะ

                    มาดูกันว่าลีลาใครจะเหนือกว่า

                    ผมงัดลีลาการจูบที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมานานหลายปีต่อสู้มันกลับไป

                    ผมห่อปากให้เล็กลงแล้วดูดดึงลิ้นมันให้เข้ามาในปากอย่างแรง จากนั้นก็กัดเบาๆ มันก็ไม่ยอมให้ผมรุกอยู่ฝ่ายเดียว ดูดลิ้นผมกลับเช่นเดียวกัน

                    เราสองคนแลกลิ้นกันอย่างเมามัน น้ำใสไหลออกจากปากเราทั้งสองตลอดเวลาที่บดริมฝีปากใส่กันจนเกิดเสียงหยาบโลน

                    ผมยิ้มในใจก่อนจะกัดริมฝีปากล่างมันแรงๆ หนึ่งทีจนได้กลิ่นเลือด

                    “เอ็บ!!”(เจ็บ)

                    ผมละปากไปที่คอมันก่อนจะดูดเม้มทับรอยที่ไอ้เคนทำไว้ตอนบ่ายดังจ๊วบ
มันก็รู้งานแอ่นหน้าขึ้นเผยให้เห็นต้นคอขาวๆ มือทั้งสองของมันก็ดึงทึ้งผมด้วยความเสียว

                    “อ๊า หื้ออ อย่าทำรอย!!”
   
                    ณิชร้องประท้วงขึ้นทีที่ผมเม้มลงไปตรงจุดเดิมอีกครั้ง

                    แต่ขอโทษครับ กูทำไปแล้ว หึๆ

                    ผมใช้มือขวาเลื่อนลงไปที่ช่องทางด้านหลังขางมันและหมุนวนเล่นช้าๆ ที่ปากทางเข้าจนตัวมันกระตุก

                    ส่วนอีกมือก็ถอดเข็มขัดและกางเกงตัวเองออกอย่างรวดเร็ว

                    เมื่อปลดอาภรส่วนล่างเสร็จผมจึงจับยกร่างบางๆ ของมันขึ้นมาอุ้มแล้วเดินไปที่เตียงอย่างแรง

                    ตุบ

                    มันมองท่อนล่างของผมก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาและแสยะยิ้มเชิญชวนอย่างที่มันชอบทำ

                    อวดดี!!

                    ผมพูดในใจก่อนจะถอดเสื้อตัวเองออกเพราะรู้สึกว่ามันเกะกะจากนั้นก็ขึ้นคร่อมตัวมันไว้และถอดกางเกงมันออกเหลือเพียงแค่กางเกงในสีขาว

                    ผมจ้องหน้ามันกลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยพายุอารมณ์ สายตาที่มันมองกลับมามีแต่ความหยิ่งยโส สายตาที่ไม่เคยกลัวผมเลยตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ผมรู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เพราะไม่ค่อยจะมีคนกล้าสบตาที่คมกริบและมอง
                   
                    ทะลุทุกอย่างของผม แต่กับณิชมันไม่ใช่

                    “หยุดทำไมล่ะครับ ทำต่อสิ” มันพูดยั่วก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างของมันลูบที่อกและลากไล้ต่ำลงมาผ่านซิกแพคสวยและใช้นิ้วชี้วนที่สะดื้อท่าทางเย้ายวน

                    “ ‘เงี่ยน’ ไม่ใช่เหรอ”

                    เหมือนโดนดูถูก ผมจึงผลักมือมันออกและจัดการเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่เหลืออยู่ออกให้หมด

                    ผมจับมันหันหลังให้อยู่ในท่าโก้งโค้งก่อนจะเอื้อมไปหยิบถุงยางและเควายที่หัวเตียงมาทา แต่ในระว่างที่ผมกำลังจะสวมถุงมือเล็กๆ ก็เอื้อมมาจับมือผมเป็นเชิงห้าม

                    “ไม่ต้อง ☺”

                    หึ นี่สิร่านที่แท้จริง

                    “ตามคำขอ”

                    ผมใช้เควายทาที่ช่องทางด้านหลังมันก่อนจะใช้นิ้วกลางสอดแทรกเข้าไปสำรวจถ้ำที่ผมเคยรุกล้ำไปแล้วครั้งหนึ่ง

                    “เจ็บ!! เบาๆ!!”

                    ทำเบาๆ ก็ไม่ใช่ผมสิครับ หึหึ

                    “อื้อ!! บอกให้เบาๆ ไง!!”

                    ผมเริ่มสอดนิ้วจากหนึ่งเป็นสองและสามตามลำดับก่อนจะค่อยๆ ดึงเข้าและออกให้ช่องทางเริ่มชนซะก่อน

                    “อึก อ้าซี๊ด” ณิชมันส่ายตูดไปมาเพราะผมคว้านนิ้วทั้งสามหมุนวนไปมาสองสามทีก่อนจะถอดนิ้วออกมาแล้วไล้
วนที่ช่องทางแกล้งมัน

                    “ไม่ไหวแล้ว ขอร้องล่ะ!!”

                    “ไม่ไหวอะไรเหรอ หืม?” ผมก้มลงไปถามเสียงเบาที่ข้างหูมัน

                       “ขะ...เข้ามาสักที” มันพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาเป่าลมร้อนๆ ในคอผม “ไม่ไหวแล้ว”

                    หึ

                    ผมจับสะโพกมันยกขึ้นให้ตรงกับระดับเอวก่อนจะเอาตัวตนไปจ่อที่ปากทางเข้าและวนซ้ำไปมาแกล้งมันอีกรอบ

                    “อื้อ!! ขอร้องล่ะ”

                    ผมกดตัวตนเข้าไปนิดนึงก่อนจะถอดออกมาและทำซ้ำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจนมันทนไม่ไหว

                    “เข้ามาสักที หื้อ! ขอร้อง!”

                    สวบ

                    “อ๊าซี๊ดอ๊าาา”

                    ผมดันตัวตนเข้าไปทีเดียวจนมิดด้ามมันถึงกับร้องออกมาเพราะขนาดที่ใหญ่เกินไป

                    ผมรู้สึกถึงความคับแน่นที่มันกำลังบีบรัดตัวตนของผมอยู่ ผมแช่อยู่สักพักก่อนจะเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ อย่าง
อ้อยอิ่ง

                    “ฮ้า เร็วอีก! อื้ออย่างนั้นแหละ”

                    ผมทำตามคำขอที่เรียกร้องมาของมัน เริ่มขยับเอวให้เร็วและแรงขึ้นจนมันพอใจ

                    “ซี๊ด แน่นชิบหาย”

                    “อ๊ะๆ อ้าซี๊ด แรงๆ”

                    ผับๆๆ

                    เสียงเนื้อกระทบกันดังหยาบโลนจนระงงไปทั่วห้องประสานกับเสียงร้องของเราทั้งคู่

                    “อ้า เสียวจัง อื้อๆ”

                    “เสียวมั้ยครับ” ผมก้มลงกระซิบถามที่ข้างหูก่อนจะใช้ลิ้นเลียและงับเบาๆ

                    “เสียว อ๊ะ เสียว อ้าอ๊ะๆๆๆ”


                    เสียงหวานๆ ของณิชทำให้อารมณ์ผมพุ่งขึ้นอีกระดับ ผมเร่งเอวให้ถี่ขึ้นอีกจนร่างของมันสั่นตามแรงที่ผมกระแทก
“เสียวจัง อ้า สะ..เสียว ฮ้า อึก ไม่ไหวแล้ว!!”

                    ไม่นานน้ำสีขาวก็พุ่งออกมาจากตัวตันของมันพุ่งเลอะไปผ้าปูที่นอน ช่องทางที่ตอดรัดผมแน่นขึ้นเมื่อฝ่ายรับเสร็จ
                    ทำให้ผมเกือบจะทนไม่ไหวเสร็จไปก่อน ผมจึงค่อยๆ ขยับเอวให้ช้าลงเพื่อผ่อนระดับความเสียวลงเพื่อที่ผมจะได้สนุกต่อได้อีกนานๆ

                    ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ร่างบางของณิชปลดปล่อยไปแล้วสามครั้งแต่ผมพึ่งเสร็จไปน้ำแรกเอง

                    “อ้า เบาๆ จุก ซี๊ด”

                    “ซี๊ดดดด เสียวเหี้ยๆ” ผมซี๊ดปากเพราะช่องทางที่ตอดรัดแน่นขึ้นเป็นเครื่องหมายแสดงว่าร่างบางเสร็จไปเป็นรอบที่สี่

                    ผมกระแทกตัวตนแรงๆ ไปอีกสองสามทีก่อนจะกดแช่ไว้และปลดปล่อยน้ำรักพุ่งเข้าไปในช่องทางเป็นครั้งที่สอง

                    “แฮกๆ แฮกๆ”

                    “เฮ้อแฮกๆ อึกแฮก”

                    ผมแช่ตัวตนไว้แล้วพักหายใจก่อนที่มันจะตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วก็เริ่มขยับเอวเพื่อสานต่อเกมรักของเรา


                    “พะ...พอแล้ว เหนื่อย”

                    “หึ แค่นี้สำหรับกูยังไม่หายเงี่ยนหรอกนะ”

                    ผับๆๆๆๆ

                    “มะ...ไม่ อ๊า อึก อ๊าๆๆๆๆ”

                    ผมขยับเอวให้แรงขึ้นไปอีกก่อนจะช้อนตัวมันขึ้นมาอุ้มแล้วเดินไปที่กระจกบานใหญ่ที่สะท้อนเงาของเราทั้งคู่

                    “มึงเห็นนี่ไหม ช่องทางมึงกับของกูกำลังเชื่อมต่อกันอยู่”

                    “ไม่ ไม่ดู” มันหลับตาก่อนจะสายหน้าไปมา “อึกอ้า จุก แรงไปแล้ว!!”

                    ผมเน้นย้ำหนักๆ ไปสองสามทีที่มันดื้อไม่ลืมตาขึ้นมาดู

                    “ดูสิ ตูดมึงกำลังกลืนตัวตนของกูอยู่”

                    “ไม่ๆ!” ปากบอกว่าไม่แต่ตามันจ้องไปยังจุดที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่กระพริบ

                    “อ๊าๆซี๊ด เสียว”

                    “ครางชื่อกู”

                    ผมปล่อยมันลงยืนในท่าโก้งโค้งให้มันใช้สองมือค้ำกระจกไว้

                    “ไม่ ไม่”

                    ผับ! ผับ!

                    “อื้อไม่!!”

                    “ครางชื่อกู”

                    “ฮื้อติณณ์ ติณณ์” เสียงหวานๆ ของมันที่ผ่านเข้ามาในประสาทหูทำให้อารมณ์ผมพุ่งสูงขึ้นไปอีกหลายระดับ

                    “มึงเป็นของใคร” ผมกระซิบถามมันเสียงทุ้ม “หื้ม? ของใคร?”

                    “ของติณณ์ อ้าซี๊ด ติณณ์”

                    “ใช้ มึงเป็นของกูจำไว้”

                    “มีแต่กูเท่านั้นที่เอามึงได้”

                    ผับๆๆๆๆ







                    ผมกับณิชมีอะไรกันจนถึงเช้าไม่รู้ว่าพวกเราเสร็จกันไปกี่ครั้ง ผมรู้ว่าผมเอามันจนมันสลบคอพับคาอกผม แต่ผมก็ยังคงเอามันต่อไปทั้งๆ ที่มันหลับอยู่นั่นแหละ

                    ผมกระแทกอีกสองสามทีก่อนจะปลดปล่อยน้ำกามสีขาวขุ่นเข้าไปที่ช่องทางไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ก่อนที่ผมจะก้มลงไปซบกับอกบางขาวที่เต็มไปด้วยรอยดูดและตราประทับมากมาย

                    ใบหน้าเนียนขาวพร้อมขนตายาวหลับพริ้มไม่รู้สึกอะไร คงจะเหนื่อยมาก คงจะไม่เคยถูกเอาแบบมาราธอนขนาดนี้

                    หึ อยากจะรู้จริงๆ ว่าถ้าตื่นมาแล้วจะยังอวดดีอยู่อีกหรือเปล่า

                    ใบหน้าตอนหลับของมันดูแล้วไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย ผิดกับตอนตื่นลิบลับ

                    ผมล้มตัวลงนอนที่ข้างมันก่อนจะจับมันหันหลังแล้วใช้แขนแกร่งโอบกอดมันไว้

                    ตัวตนของผมก็ยังไม่ถอนออกปล่อยคาไว้อย่างนั้น

                    เมื่อร่างกายผ่านศึกหนักมาย่อมอ่อนล้าเป็นธรรมดา ผมรู้สึกเพลียและเริ่มง่วงขึ้นมาจึงค่อยๆ หลับตาลงปล่อยให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น....


                    @ End Tin Part


   
   

--------------------------------------------------------------------------------------------------


                    มือใหม่หัดเขียน NC งับบบบ  :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 17:37:23 โดย JnnJnnnn »

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << Update 14/9/2561
«ตอบ #15 เมื่อ14-09-2018 17:32:43 »

ตอนที่ 13

:z13:







                   แรงเสียดที่ช่องทางด้านหลังแล่นขึ้นสมองทำให้ผมที่กำลังหลับพริ้มสะดุ้งขึ้นมาเพราะทนความเจ็บไม่ไหว
   
                   “ตื่นแล้วเหรอ” ร่างสูงของอีกคนในห้องพูดขึ้น
   
                   ผมไม่ตอบได้แต่เอาสองมือมากุบขมับไว้แล้วส่ายหัวสองสามทีก่อนจะมองไปรอบๆ
   
                   ใช่แล้ว เมื่อคืนผมไปหาติณณ์ที่คอนโดตามคำสั่งเขา จากนั้นเราก็มีอะไรกัน
   
                   ที่ผมยอมก็เพราะว่าผมอยากเอาชนะ คนอย่างเขา!!!
   
                   ผมลุกขึ้นมองไปยังร่างสูงที่กำลังนั่งจิบกาแฟในชุดคลุมอาบน้ำด้วยท่าทีสบายๆ
   
                   “โอ๊ย ซี๊ด” ผมมองลงไปที่หว่างขาตัวเองเห็นคราบเลือดเป็นดวงใหญ่ สงสัยตรงนั้นคงจะฉีก
   
                   แม่งเอ๊ย เจ็บชิบหาย
   
                   ไม่น่าไปอ่อยเสือเลยกู
   
                   “นอนพักซะ มึงเจ็บอยู่”
   
                   เออ รู้ก็ดีว่าเจ็บ ใครกันล่ะที่เป็นตัวการ
   
                   ดูสภาพผมซิเนี่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งตัวก็ล่อนจ้อน แถมยังมีรอยตามตัวเต็มไปหมดอีกต่างหาก
   
                   “อ่ะ”
   
                   ผมมองชามข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาสงสัย
   
                   “กูทำเอง”
   
                   หน้าอย่างเขาเนี่ยนะทำเอง
   
                   เหลือเชื่อ
   
                   ผมมองหน้าเขาสลับกับข้าวต้มไปมาก่อนจะใช้จมูกดมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
   
                   ไอ้เชี่ย หอมเกินไปแล้ว!!
   
                   “กูไม่ใส่ยาพิษหรอกน่า” ร่างสูงพ่นลมหายใจหนัก
   
                   ผมรับถ้วยข้ามต้มมาถือไว้ก่อนจะใช้ช้อนตักขึ้นมาชิม
   
                   “อร่อย” ผมพูดออกมาก่อนจะใช้ช้อนตักกินด้วยความหิว
   
                   “หึ”
   
                   ไม่นานข้าวต้มถ้วยใหญ่ก็หมดลงเพราะความหิวของผมที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน
   
                   “กินยาแล้วก็ไปอาบน้ำ”
   
                   ยาน้ำจำนวนมากถูกยื่นมาที่หน้า
   
                   ยาเยอะขนาดนี้ ไตกูไม่พังเหรอวะ
   
                   ผมทำใจสักพักก่อนจะจับยาทั้งหมดนั้นกรอกเข้าปากตามด้วยกระดกน้ำที่เจ้าตัวถือติดมาด้วย
   
                   “ขมชิบหาย”
   
                   “ลุกไปอาบน้ำ”
   
                   เหมือนโดนบังคับเลยแหะ
   
                   ถึงในใจจะบ่นแต่ผมก็ลุกขึ้นตามที่ติณณ์บอก แต่ด้วยความที่ขามันอยู่สูงกว่าหัวและถ่างขาเป็นเวลานานทำให้ขาอ่อนเรี่ยวอ่อนแรงทำให้ผมทรุดลงไปที่เตียงเหมือนเดิม
   
                   ผมมองต้นเหตุด้วยสายตาค้อน
   
                   นี่ไม่คิดจะช่วยเลยใช่มั้ยเนี่ย
   
                   “เฮ้อ”
   
                   เขาช้อนตัวผมขึ้นมาอุ้มในท่าเจ้าหญิงและตรงไปที่ห้องน้ำ แสนสองข้างผมก็โอบรอบลำคอเขาเพราะกลัวตก
   
                   “ตรงนั้นมีเลือดออก”
   
                   เออรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ
   
                   “หึ ไม่คิดจะอายกันเลยรึไง”
   
                   มาถึงจุดนี้ก็ไม่ต้องอายกันแล้วล่ะ เห็นไปถึงลำไส้กันขนาดนี้แล้ว
   
                   “จะอายทำไม ผมเปลือยต่อหน้าผู้ชายบ่อยจะตาย” ผมยื่นหน้าไปพูดที่ข้างหู “ก็ผมมันร่านหนิ”
   
                   ผมเห็นคิ้วเขากระตุกด้วยแหละ!!
   
                   ซ่า
   
                   ผมสะดุ้งเมื่อผิวกายสัมผัสโดนน้ำเย็น
   
                   “ปล่อยผมลงไป เดี๋ยวคุณก็เปียกไปด้วยหรอก”
   
                   เขาปล่อยผมลงอย่างว่าง่ายแล้วพลิกให้ผมหันเข้ากำแพงห้องน้ำด้วยขาสั่นๆ
   
                   “เดี๋ยวๆ! จะทำอะไร” ผมร้องขึ้นทันทีที่อยู่ในท่าล่อแหลม
   
                   “กูจะเอาน้ำออกให้”
   
                   “อื้อเจ็บ!!”
   
                   นิ้วเรียวยาวของเข้าล้วงลึกเข้าไปยังช่องทางด้านหลัง น้ำรักจำนวนมากไหลทะลักออกมา
   
                   ใช่สิ เมื่อคืนผมบอกไม่ให้เขาใส่ถุงเองนี่
   
                   “เฉยๆ สิ” ร่างสูงจิ๊ปากเพราะผมส่ายไปมาเพราะความเจ็บ “จะหมดแล้ว”
   
                   เสียงลามกดังขึ้นทันทีที่เขาถอนนิ้วออก
   
                   “หึ”
   
                   ทำไมชอบหัวเราะแบบนี้จังวะ! มันเหมือนดูถูกพร้อมกับสมเพสในเลาเดียวกัน
   
                   ร่างผมถูกจับหันให้กลับมาสบตากับเขา มือของเขาเลื่อนมาจับมือผมให้ไปสัมผัสกับตัวตนที่กำลังตื่นตัวเต็มที่
   
                   ผมเบิกตากว้างทันทีที่รู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
   
                   “ไม่นะ เมื่อกี้ก็พึ่งทำความสะอาดไป!”
   
                   “กูก็ไม่ได้ว่าจะเอามึงหนิ”
   
                   น้องชายตั้งโด่ชี้หน้าผมขนาดนี้เนี่ยนะไม่ได้จะเอา
   
                   “ใช้ปากให้กู” ปากพูดแต่มือก็บังคับให้ผมกอบกุมแก่นกายไว้แน่น
   
                   “ใช้ปากให้กู ไม่งั้นมึงโดนเอา”
   
                   “เลือก”
   
                   สรุปนี่ผมต้องทำจริงๆ ใช่มั้ย
   
                   เอาก็เอาวะ ทนหน่อยณิช อดเปี้ยวไว้กินหวาน
   
                   ผมค่อยๆ ย่อตัวลงคุกเข่าก่อนจะใช้สองมือกอบกุมตัวตนของเขาก่อนจะดึงหนังหุ้มปลายลงเผยให้เห็นส่วนหัวป้านที่เต็มไปด้วยน้ำใสๆ
   
                   “อ๊า ซี๊ด!”
   
                   ผมค่อยๆ อ้าปากออกแล้วใช้ลิ้นแตะไปที่ส่วนหัวที่มีน้ำเหนียวๆ ไหลเยิ้มอยู่ประหนึ่งว่ากำลังเลีย
ไอติมรสหวานอย่างเอร็ดอร่อย
   
                   “เสียวชิบหาย”
   
                   เขาให้สองมือจับหัวผมไว้แล้วกดลงเป็นสัญญาณบอกว่าให้ผมครอบลงไปซะที
   
                   ผมก็ทำตามอย่างว่าง่ายครอบปากลงไปทีเดียวถึงแม้ว่ามันจะครอบลงไปได้แค่ครึ่งลำเท่านั้นเพราะขนาดตัวตนที่ใหญ่เกินไปของเขา
   
                   จากนั้นผมก็ตั้งใจดูดดึงผลัดกับใช้ลิ้นเลียจนท่อนลำของเขาเต็มไปด้วยน้ำลาย
   
                   “อ่าซี๊ด แม่งอมเก่งชิบหาย”
   
                   แรงจากการดูดทำให้เกิดเสียงดังจ๊วบทุกครั้งที่ผมขยับรูดเข้าออก
   
                   ผมคายท่อนลำออกมาก่อนจะพักหายใจสักครู่ แต่มือก็ยังคงทำงานชักเข้าชักออก
   
                   ผมช้อนสายตาขึ้นไปสบตากับร่างสูงก่อนจะใช้ลิ้นร้อนตวัดดูดดึงพวงสวรรค์ทั้งสองก่อนจะใช้ปากครอบลงที่ท่อนลำอีกครั้ง
   
                   “ใครสอนมึงทำแบบนี้วะ แม่ง ซี๊ดดดด!!”
   
                   คราวนี้ผมรูดเข้าออกอย่างชำนาญด้วยความเร็ว มือก็คอยชักขึ้นลงประสานกับปากที่ดูดดึงอยู่
   
                   ร่างสูงกดหัวผมแช่ไว้เมื่อถึงจุดสุดยอด ทำให้น้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งลงคอไปหมด
   
                   รสชาติมันค่อนข้างแปลก มันเป็นเค็มๆ ปะแล่มๆ หน่อย
   
                   ถึงผมกับเคนจะเคยมีอะไรกันแต่ผมก็ไม่เคยกลืนน้ำของเขาเลยสักครั้ง
   
                   แต่สำหรับติณณ์นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมกลืนน้ำรักของคนอื่น
   
                   ติณณ์ถอนตัวตนออกจากปากผมก่อนจะใช้มือขยุ้มผมแล้วบังคับให้ผมเงยหน้าขึ้น
   
                   “ใครสอนมึง” เขาถามเสียงต่ำ
   
                   “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ” ผมตอบพร้อมกับส่งยิ้ม “ผมขอนับก่อนนะว่ามีใครบ้างที่ผมเคยทำให้”
   
                   “หึ ในอดีตมึงจะเคยไปทำให้ใครกูไม่สน แต่ปัจจุบันมึงทำให้กูได้แค่คนเดียว”
   
                   “เห็นแก่ตัวจังน้า บอกหน่อยสิว่าทำไมผมถึงต้องทำให้คุณแค่คนเดียว” ผมเอียงคอถาม
   
                   “ก็เพราะมึงเป็นเมียกูไง”
   
                   “หึ เอากันแค่สองสามครั้งผมไม่นับเป็นผัวหรอกนะครับ” ผมหัวเราะหึในคออย่างที่เขาชอบทำ “อย่างต่ำต้องสิบครั้งขึ้นไป”
   
                   “ถ้างั้นก็นับครั้งนี้เป็นครั้งที่สามละกัน”
   
                   พูดจบเขาก็จับผมหันหลังอีกครั้งก่อนจะใช้มือหยิบสบู่เหลวใกล้มาบีบใส่ก้นผม
   
                   “ไม่!!”
   
                   “ไหนบอกว่าถ้าเอากันไม่ถึงสิบครั้งจะไม่นับเป็นผัวไง”
   
                   “อื้อ!! เอานิ้วออกไป”
   
                   “กูอยากเป็นผัวมึงไวๆ เลยต้องรีบเอาให้ครบสิบ หึ”
   
                   ด้วยความต่างทางกายภาพผมเลยถูกจับเขากดกับผนังโดยง่าย
   
                   “อ้า เอามันออกไป
   
                   เขากดแก่นกายที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งใส่ช่องทางทีเดียวมิดลำ
   
                   ไม่มีการเบิกทางแต่อย่างใด เขาทำให้ผมถึงกับจุกเพราะขนาดที่ใหญ่เกินไปของเขา
   
                   “อึกอ้า!! เจ็บ!!” ผมกรีดร้องขึ้นอีกครั้งที่ร่างสูงกระแทกเน้นย้ำแรงๆ
   
                   “หึ ทนหน่อยสิครับ เหลืออีกตั้งเจ็ดครั้งแหนะที่มึงจะได้เป็นเมียกู” เขากระซิบที่ข้างหู “โดนแค่นี้ถือว่ายังน้อยไป”
   
                   “ลองมาถูกเอาบ้างมั้ยล่ะ จะได้รู้ว่ามันเจ็บยังไง!!” ผมเผลอตะคอกเขาเสียงดังด้วยความลืมตัว
   
                   “หึ ปากดีอย่างนี้ให้ได้ตลอดแล้วกัน”
   
                   ปึก!! ปึก!!
   
                   “อ้าซี๊ด อื้อเสียว เสียวจัง”
   
                   “อย่างนั้นแหละ ขมิบตูดแรงๆ อ่าซี๊ดดดด”
   
                   ถ้าอยากได้ผมเป็นเมียขนาดนั้นผมก็จะสนองให้!!
   
                   ผมขมิบตูดสู้กับร่างสูงสุดแรงเกิด
   
                   “ซี๊ดด แน่นขมิบแรงๆ”
   
                   ผับ ผับ ผับ
   
                   ทุกครั้งที่เนื้อเรากระทบกัน เสียงเป็นจังหวะที่หยาบโลนนั้นดังก้องไปทั่วห้องน้ำ
   
                   ร่างสูงใช้สองมือจับที่เอวก่อนจะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นไปอีก ทำให้ผมต้องใช้มือยึดผนังไว้เพื่อไม่ให้ล้ม
   
                   ผมรู้สึกร้อนวูบทันทีที่เขาปลดปล่อยเข้ามาภายใน
   
                   “แฮกๆ เสียวชิบหาย”
   
                   “แฮกๆๆ”
   
                   ถึงแม้ว่าจะเสร็จแล้วแต่เขาก็ยังไม่ถอดแก่นกายออก
   
                   “เหลืออีกเจ็ดครั้ง”
   
                   ครับ... เหลืออีกเจ็ดครั้ง
   
                   มาดูกันว่าเขาจะเอาผมจนครบสิบครั้งและได้ผมเป็นเมียหรือเปล่า หึหึ

   




-------------------------------------------------------------------------------

                    :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: >> จันทร์ล้อมอาทิตย์ << Update 14/9/2561
«ตอบ #16 เมื่อ14-09-2018 17:48:13 »

ตอนที่ 15

:z13:





                    ปัง! ปัง! ปัง!
   
                    ทันทีที่ไอ้กันต์เสร็จใส่หน้าผม เสียงปืนหลายนัดก็ดังขึ้นพร้อมกัน
   
                    เสี้ยววินาทีที่ไอ้กันเผลอตัวปลดปล่อยความสุขลูกน้องของมันก็ล้มลงจมกองเลือดทั้งหมดเหลือเพียงแค่ผมกับมันในห้องแค่สองคนอยู่ท่ามกลางศพนับสิบ
   
                    “เกิดอะไรขึ้น!!” พอไอ้กันต์ได้สติมันก็ตะโกนขึ้นมา “พวกมึงก็ยิงมันกลับสิวะ!!”
   
                    “มึง!!” มันบีบคางผมแน่นด้วยความโกรธที่เสียท่าให้ทางผมเช่นกัน
                      
                    ปัง! ปัง!
   
                    ลูกน้องไอ้กันต์บางส่วนที่ซ่อนตัวอยู่ยิงกลับไปในความมืด
   
                    ตอนแรกผมทำใจแล้วล่ะว่าคืนนี้คงไม่มีชีวิตรอดกลับไปแน่
   
                    แต่เหมือนมีปาฏิหาริย์ เสี้ยววินาทีที่พวกมันจับผมนั่งเก้าอี้สายตาผมเหลือบไปเห็นแสงสะท้อนจากตึกร้างใกล้ๆ กันจำนวนมาก ในใจของผมรู้แล้วว่ามีคนของบอสล้อมพวกมันอยู่เช่นกัน
   
                    ไม่ใช่มือสไนเปอร์แค่คนหรือสองคน ดูจากจำนวนกระสุนที่สาดยิงเข้ามาอย่างแม่นยำแล้ว คงมีไม่ต่ำกว่าสิบคน!!
และนี่ก็คงเป็นแผนซ้อนแผนของบอสอีกที
   
                    ให้ผมเป็นตัวล่อเพื่อจะดักจับไอ้กันต์เนี่ยนะ!! บอสเอาอะไรคิด เกิดพวกนั้นยิงพลาดแล้วผมตายขึ้นมาจะทำไงเนี่ย!!
   
                    “แม่งไอ้ชิบหาย!!”

                       เพียะ!!
   
                    ไอ้กันต์เงื้อมือฟาดหน้าผมอย่างแรงจนหน้าผมหันไปตามแรงตบ
   
                    ผมใช้ลิ้นสำรวจในปากก่อนจะหันหน้ากลับมาหามันแล้วยิ้มร้ายกลับไป
   
                    ในคืนนี้กูไม่ตาย ก็มึงตาย!!
   
                    ตุบ!
   
                    ผมเตะขามันก่อนจะใช้หัวโขกอย่างแรงทำให้ไอ้กันเซแล้วล้มลงที่พื้น
   
                    ฉึก
   
                    ขาดแล้ว!
   
                    ผมดึงเชือกที่มัดมือตัวเองออกแล้วโยนทิ้งด้วยความเกะกะ ในตอนที่ผมกำลังใช้ปากให้มันผมก็แอบใช้มีดเล็กค่อยๆ เฉือนเชือกจนในที่สุดมันก็ขาด
   
                    ปัง!
   
                    หนึ่งในลูกน้องที่เหลืออยู่ของมันเห็นผมหลุดจากเชือกได้ก็เปลี่ยนเป้าหมายมายิงผมทันที
   
                    ผมกลิ้งหลบกระสุนและหลบหลังกำแพงทันที
   
                    โชคดีที่ผมมีดีเรื่องการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ไม่งั้นกระสุนได้เจาะหัวผมไปแล้ว
   
                    “เอาไงดีวะ”
   
                    ผมบ่นกับตัวเองเพราะอาวุธในตอนนี้มีแค่มีดสั้นเล่มเล็กๆ ที่ผมค่อนข้าง ไม่สิ เรียกว่าไม่ถนัดเลยจะดีกว่า
   
                    พอมองซ้ายมองขวาก็พบกับปืนพกที่ตกอยู่ข้างศพลูกน้องไอ้กันต์อยู่สองกระบอก
   
                    “ลัคกี้!”
   
                    ตอนนี้เสียงปืนสงบลงแล้ว ไอ้กันต์ก็หายหัวไป สงสัยทั้งสองฝ่ายคงจะรอดูเชิงกันอยู่
   
                    ผมมองปืนสองกระบอกนั้นอย่างต้องการ แต่ถ้าเกิดผมออกจากที่ซ่อนตอนนี้มีหวังคงโดนยิงจนพรุนแน่
   
                    “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน!”
   
                    ผมกลิ้งไปหยิบปืนสองกระบอกนั้นด้วยความรวดเร็ว
   
                    ปัง! ฟิ้ว!
   
                    ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!
   
                    พวกไอ้กันเองก็เร็วไม่แพ้กัน มันยิงกระสุนมาที่ผมทันทีที่ผมออกจากที่ซ่อน แต่โชคดีที่มีคนของบอสคุมพื้นที่การต่อสู้อยู่
   
                    ขอบคุณมากที่ช่วยยิงสกัดพวกมันให้ผม
   
                    ผมมองปืนสองกระบอกในมือก่อนจะเปิดกระสุนดูด้วยความวิตก
   
                    มีแค่สิบสองลูก...
   
                    นั่นหมายความว่าผมต้องรอดออกจากที่นี่ให้ได้ด้วยกระสุนทั้งสิบสองลูกนี่
   
                    “เฮ้ออ ไม่ตายก็พิการล่ะวะงานนี้”
   
                    ผมใช้สายตาสำรวจดูว่าตอนนี้เหลือพวกกันกี่คน โชคดีของผมอีกครั้งที่ข้างหลังตรงที่พวกมันหลบมีเสาและกระจกอยู่ ด้วยความที่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากพวกมันคงจะไม่ได้สังเกตรอบข้างเท่าไหร่
   
                    ผมมองพวกมันผ่านกระจกเงาจากแสงไฟฉายที่พวกมันเปิด
   
                    ห้าคนรวมไอ้กันต์ด้วย...
   
                    สิบสองนัดที่มีต้องใช้ให้คุ้ม!!
   
                    ฟิ้ว
   
                    ปัง! ปัง!
   
                    “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
   
                    “เฮ้ย!!”
   
                    “เยส!!”
   
                    ผมใช้ปืนกระบอกขวามือยิงไปที่เสาเหล็กและตามด้วยกระบอกซ้ายไปติดๆ กระสุนลูกแรกเมื่อกระทบกับเสาเหล็กทำให้มันกระเด็นและเปลี่ยนทิศทาง
   
                    เมื่อวิถีกระสุนลูกแรกเปลี่ยน ลูกที่สองที่ผมยิงก็ไปกระทบกับลูกแรกและเปลี่ยนวิถีอีกครั้งทำให้กระสุนทั้งสองลูกกระเด็นไปสองทิศทางและพุ่งผ่านหัวลูกน้องไอ้กันต์อย่างกับจับวาง
   
                    หึ ผมลืมบอกไปว่าปืนคืออาวุธที่ผมถนัดที่สุด!!!
   
                    ไอ้กันต์และลูกน้องอีกสองคนตกใจที่ไม่รู้ว่ากระสุนยิงมาจากทางไหน
   
                    เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้นและทางผมได้เปรียบ ผมจึงออกจากที่ซ่อนและค่อยๆ ลัดเลาะไปหาพวกไอ้กันต์และเริ่มการจับกุม
   
                    ซึ่งการจับกุมที่ว่าผมต้องทำคนเดียว!!
   
                    เพราะในพื้นที่นี้มีผมคนเดียวที่อยู่แนวหน้า ที่เหลือคือมือสไนเปอร์หมด
   
                    เจริญ!
   
                    ขอให้มีกำลังเสริมภาคสนามนะครับ ฮือออ
   
                    ผมเดินอ้อมหลังพวกมันมาก่อนจะใช้ปืนทั้งสองกระบอกยิงลูกน้องที่เหลืออีกสองคนจมกองเลือด
   
                    ปัง!! ปัง!!
   
                    “แม่งเอ๊ย!!” ไอ้กันต์หันหลังพร้อมกับทำท่ายิงสวน แต่ด้วยความที่ผมมีความได้เปรียบทางโพซิชั่นมากกว่าทำให้ผมยิงปืนได้ก่อนที่มันจะหันเสร็จ

                    ปัง!!
   
                    “อ๊ากกกก ไอ้เหี้ย!!”
   
                    ปัง!!
   
                    มันร้องจ้ากขึ้นด้วยความเจ็บปวด ผมตั้งใจยิงข้อมือมันไม่ให้มันถือปืนได้อีกจากนั้นก็ยิงไปที่เข่ามันอีกนัดเป็นการการันตีว่ามันหมดทางรอดแล้ว
   
                    “อึก ฆ่ากูเลยสิ!!”
   
                    ผมเดินเข้าไปหามันช้าๆ ก่อนจะส่งยิ้มเย็นไปให้มัน “คงทำแบบนั้นไม่ได้”
   
                    “เพราะกูต้องการจับเป็น หึ”
   
                    “อึก มึง... มึงไม่ได้อย่างที่ต้องการหรอก หึหึหึ”
   
                    ผมขมวดคิ้วมองมันอย่างสงสัย “มึงหมายความว่าไง”
   
                    “ค่อก อึกอึก”
   
                    ร่างของมันชักกระตุกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำ ปากก็เริ่มเปลี่ยนจากสีเสื้อเป็นสีม่วงเข้ม เส้นเลือดขึ้นชัดตามลำคอและใบหน้า มันใช้มือกำรอบลำคอตัวเองคล้ายกับคนหายใจไม่ออก
   
                    “ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆๆ”
   
                    ผมมองมันที่เป็นคำตอบของคำถามเมื่อกี้อย่างร้อนรน
   
                    “เหี้ยเอ๊ย!!” ผมสบถก่อนจะทิ้งปืนลงอย่างหงุดหงิด
   
                    แม่ง เกือบจะได้ข้อมูลอยู่แล้วเชียว
   
                    พวกมันนำพวกผมไปหนึ่งสเต็ป ข้อมูลการค้าคงจะมีค่ากว่าชีวิตพวกมันเองสินะ ถึงได้กินยาฆ่าตัวตายที่ผสมซายาไนด์แบบนี้
   
                    ก่อนอื่นผมต้องเก็บข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกมันก่อน
   
                    ผมหยิบปืนขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะใช้มันเขี่ยปากไอ้กันต์ขึ้นเพื่อตรวจดูช่องปาก
   
                    ซายาไนด์ถูกเก็บไว้ในฟันปลอมด้านในสุดของฟัน พอถึงเวลาพวกมันก็คงจะกัดฟันปลอมให้แตกก่อนที่จะกลืนซายาไนด์ลงไปในลำคอสินะ
   
                    ชักอยากรู้แล้วสิว่าพวกมันกำลังคิดจะเอายาสีฟ้านั่นไปขายให้ใคร
   
                    “นี่มัน....!!”
   
                    ไม่ทันที่ผมจะตรวจศพไอ้กันต์เสร็จ ใบหน้าไอ้กันต์ที่โดนน้ำลายที่ปนเปื้อนซายาไนท์ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนลอกและแตกออก แต่สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งยิ่งกว่านั้นคือใบหน้าที่แท้จริงของศพตรงหน้าผมมันไม่ใช่ไอ้กันต์!!!
   
                    มันเป็นใครก็ไม่รู้!!!
   
                    พวกมันไม่ได้นำเราไปแค่หนึ่งก้าว แต่นำพวกเราไปถึงสองก้าว!!
   
                    “ประมาทไม่ได้จริงๆ” ผมบ่นก่อนจะลุกขึ้นยืน
   
                    “ซีระวัง!!!”
   
                    ปัง!!
   
                    ในจังหวะที่ผมยืนขึ้นหนึ่งในพวกไอ้กันต์ที่ยังไม่ตายมันได้ลั่นไกปืนมาทางผม
   
                    ในเสี้ยววินาทีที่สายตาผมจับภาพได้ ผมเห็นไพ่ใบหนึ่งลอยมาไล่หลังลูกกระสุน
   
                    ข้าวหลามตัด...
   
                    Dee…
   
                    นายคงหวังจะปัดกระสุนล่ะสินะ แต่จากการคำนวณความเร็วไม่ว่ายังไงไพ่ก็คงเร็วไม่สู้กระสุนปืนอยู่ดี
   
                    วันนี้ผมคงไม่รอดแล้ว
   
                    เฮ้อ... ผมนี่ช่างโชคร้ายมาตกม้าตายตอนจบแบบนี้
   
                    หึ น่าอายสิ้นดี
   
                    “เหี้ย!!!”
   
                    เสี้ยวของเสี้ยววินาทีที่ลูกกระสุนจะพุ่งเจาะกะโหลกผม ด้วยความที่ขาอ่อนแรงเพราะนั่งยองๆ เกินไปและด้วยความที่โดนร่างสูงกระแทกใส่ไม่ยั้งทำให้ขาผมอ่อนย้วบและล้มพับลงกับพื้น
   
                    ฟิ้ว!!
   
                    ลูกกระสุนลอยผ่านหัวผมไปกระทบกับกำแพง
   
                    ไพ่ที่ดีปามาก็ปักไปที่กำแพงเกือบครึ่งใบเช่นกัน
   
                    ผมอึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ว่าจะด้วยโชคดีหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมรอดตายมาได้หวุดหวิด
   
                    ผมกับดีมองหน้ากันอย่างอึ้งอีกครั้ง ไม่มีบทสนทนาใดๆ
   
                    นี่ผมรอดมาได้เพราะขาอ่อนจากการโดนติณณ์กระแทกตัวตนใส่ทั้งคืนเหรอเนี่ย!!!!!!
   
                    รอดมาได้เพราะแบบนี้ผมเอาตายดีกว่า
   
                    ใครก็ได้เอากระสุนมาเจาะหัวกูที อ้ากกกกกกกกกกกก!!!!!!






   
                    ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในห้องบอสพร้อมกับสมาชิกคลับเจ็ดคนนั่นก็คือผมที่เป็นดอกจิก โพธิ์ดำ โพธิ์แดง
ข้าวหลามตัด แจ็ค ควีนและคิงที่เป็นบอส
   
                    เราทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ยาวภายในห้องบอส
   
                    และเราทุกคนนั้น... ใส่หน้ากากอยู่ รวมทั้งบอสด้วย
   
                    แต่ดีเห็นหน้าผมแล้วตอนที่เขาไปช่วยก่อนหน้านี้ ผมก็ขอให้เขาไม่บอกตัวจริงผม
   
                    ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นที่อยู่ในนี้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของบอสหรือเปล่า แต่เวลาที่บอสอยู่กับผมเขาจะเปิดเผยหน้า
   
                    ผมมองไปที่โพธิ์ดำเป็นพิเศษหรือจะเรียกได้ว่าจ้องเลยก็ได้เพราะภารกิจครั้งก่อนๆ ไอ้คนนี้มันทำผมเกือบตายมาแล้วเพราะมันถ่ายรูปแต่เสือกลืมปิดแฟลช!!!
   
                    “สรุปคือภารกิจเมื่อคืนผมเป็นตัวล่อ?” ผมถามขึ้นเพราะรู้สึกว่าในห้องมันเงียบเกินไป ผมเลยต้องจุดประเด็นพูดขึ้นมา
   
                    “ใช่” บอสตอบ
   
                    “เฮ้อ” เป็นผมเองที่ถอนหายใจ “ด้วยการโกหกผมเนี่ยนะ”
   
                    “ไม่ได้โกหกสักหน่อย เขาเรียกว่าแผนซ้อนแผน”
   
                    จ้า แผนซ้อนแผน กูตายขึ้นมาใครรับผิดชอบวะ!!
   
                    “ก็ส่งที่เหลือไปช่วยแล้วไง” บอสพูดพร้อมกับปรายตาไปยังสายลับที่เหลือ
   

   
                    หลังจากที่ผมเปิดประเด็นในการประชุมไปพวกเราก็พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยเรื่องแผนการของพวกนั้น
   
                    เอาล่ะผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆ แล้วกัน
   
                    บอสส่งภารกิจให้ผมไปสอดแนมเหมือนอย่างเคย บอสรู้อยู่แล้วว่าพวกมันจัดฉากขึ้นเพื่อจับผมที่คอยสอดแนมพวกมันมาได้ระยะนึงแล้ว บอสเลยใช้ผมเป็นตัวล่อ(โดยที่ไม่บอกผมตรงๆ) และให้โพธิ์ดำ โพธิ์แดง แจ็คและควีนนำทีมที่มีสไนเปอร์ฝีมือดีประกบตึกที่ผมอยู่เป็นสี่ทิศเพื่อคุมโพซิชั่นและยิงคุ้มกันส่วนข้าวหลามตัดถูกส่งลงภาคสนามเป็นกำลังเสริมให้ผม(ซึ่งมาช้าเหลือเกิน)
   
                    จริงๆ แล้วภารกิจนี้คือจับกุมไอ้กันต์ แผนทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีแต่แล้วคนที่พวกเราคิดว่าเป็นไอ้กันต์กับเป็นใครก็ไม่รู้
   
                    พวกเราคิดว่าเหนือกว่ามันหนึ่งก้าว แต่ที่ไหนได้เป็นพวกมันต่างหากที่เหนือกว่าเรา
   
                    “ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ช่วยผมในวันนี้” ผมลุกขึ้นกล่าวขอบคุณจากใจจริงๆ ถ้าไม่ได้พวกเขาคืนนี้ผมอาจนอนเป็นศพไปแล้วก็ได้
   
                    “ไม่ต้องคิดมาก ยังไงซะเราก็อยู่ในเรือลำเดียวกัน” ข้าวหลามตัดลุกขึ้นก่อนจะยืนมือมาเช็คแฮนด์ซึ่งผมเองก็จับมืออย่างไม่คิดอะไร
   
                    “ยินดีที่ได้เจอกันดอกจิก ...เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบคุณตัวเป็นๆ ถึงแม้จะมีหน้ากากอยู่ก็ตาม” ข้าวหลามตัดพูดขึ้นก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป
   
                    “ผมยินดีที่ได้พบพวกคุณทุกคนเช่นกัน” พูดเสร็จผมก็เดินออกมาจากที่ประชุมทันที
   
                    ผมกะว่าจะไปอาบน้ำแล้วกินยานอนสักหน่อย ช่างเป็นคืนที่เพลียจริงๆ
   
                    “เดี๋ยว”
   
                    ก่อนที่ผมจะออกจากคฤหาสน์ของบอสก็มีเสียงหนึ่งเรียกผมขึ้น ผมจึงหันไปหาต้นเสียงก่อนจะมองด้วยสายตาเรียบ
   
                    โพธิ์ดำ...
   
                    เคน...
   
                    “เรื่องครั้งก่อน...”
   
                    “ไม่ต้องพูดหรอกครับ” ผมยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ผมไม่คิดอะไร”
   
                    “ผมต้องขอโทษจริงๆ”
   
                    “ครับ” ผมทำท่าว่าจะหันหลังกลับเพราะตอนนี้เพลียมาก
   
                    “เดี๋ยว คอคุณเปื้อนน่ะ”
   
                    “อ๊ะ”
   
                    ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเขาก็เอื้อมมือมาเช็ดให้ผม
   
                    “คราบหมดแล้ว”
   
                    “เอ่อ ขะ...ขอบคุณ” ผมกล่าวขอบคุณไปงงๆ ก่อนจะใช้มือขวาจับแขนเขาออกด้วยท่าทีนิ่งๆ
   
                    “มือคุณเปียก” เขาว่า
   
                    “มือคุณก็เปียก”
   
                    “สงสัยอากาศคงร้อน”
   
                    “นั่นสิ”
   
                    จากนั้นผมก็ยกมือซ้ายขึ้นบ๊าบบายเขาเป็นเชิงบอกว่า ‘จะกลับแล้ว’
   
                    ทันทีที่หันหลังให้โพธิ์ดำผมมองมือตัวเองที่เปียกชื้นขึ้นมามองพร้อมกับรอยยิ้มแต่สายตาของผมมันไม่ได้ยิ้มตามเลย
   
                    ขอล่ะ อย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเถอะ!!!





-------------------------------------------------------------------------------------------------

                     :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:

ออฟไลน์ JnnJnnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มายาวจุใจมากครับ ขออ่านทีละตอนก่อนละกัน  :hao5:
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ขอบคุณมากครับบบบ

ติณณ์นี่พระเอกเหรอ มันน่า :beat: :z6: :fcuk: จริงๆเลย
ทั้งข่มขืน ทั้งคิดว่าเป็นน้ำแฟนเก่า ทั้งควงทั้งควบชะนีช้อย :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

อย่าพึ่งเกลียดเฮียเลยน้าาา  :hao7: :hao7:

เราว่าเนื้อเรื่องมันสวิงไปอะ เป็นคนธรรมดาจนไ อรอนแอ แต่ให้มาเป็นสายลับซะงั้น ไม่รู้สิ บทมันพลิกแปลกๆ

รอติดตามนะครับ จะค่อยๆ เข้าใจไปเอง  :z2: :z2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด