Chapter 26 : ห่างเหิน 1/2ภายในรถของเตชิตซึ่งมีรวินท์เป็นคนขับ ส่วนตัวเจ้าของรถนั่งอยู่ที่เบาะข้างกัน
รวินท์ขับรถไปก็ชำเลืองมองเพื่อนรักไป อีกฝ่ายสีหน้าดูไม่ดีสักเท่าไหร่ แถมเอาแต่นั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา บรรยากาศเหมือนมีผู้คุมวิญญาณอยู่รอบตัว เล่นเอาเขาไม่กล้าถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะเว้ยที่รบกวนเวลามึงกับเด็กมึง” คนที่นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่พูดขึ้น
“ไม่หรอก ที่จริงพิงค์ก็อยากมาด้วย เขาก็ห่วงมึงเหมือนกัน แต่เขาคิดว่ามึงคงสะดวกใจจะคุยกับกูตามลำพังมากกว่า เลยนอนเหี่ยวเป็นผักรออยู่ที่ห้อง”
“น่ารักเนอะ เด็กมึงเนี่ย”
“อือ กูรู้”
“แรด”
“เรื่องของกูเว้ย”
เตชิตยิ้มบาง พลางเอื้อมมือไปตบลงบนตักของเพื่อนรักเบาๆ “ขอบใจมึงมากนะ”
“ไม่เป็นไร ไอ้บ้า ไม่ต้องมาทำซึ้งใส่กู กูไม่ชิน” รวินท์อ้ำอึ้งอีกสักพัก ก่อนจะตัดสินใจถาม “มีเรื่องอะไรวะ บอกกูได้มั้ย ไม่ต้องเสือกคิดปิดบังกูเลยนะ ไม่ต้องตอแหลว่าไม่มีอะไรด้วย เพราะถ้าไม่มีอะไร เด็กมึงไม่มีทางยอมปล่อยมึงกลับเองคนเดียวแน่”
“รู้ดีฉิบหาย” เตชิตส่ายหน้าไปมา แล้วหันมองออกไปทางหน้าต่างกระจกรถ
“เออ เล่าสักที อย่าลีลา”
“คืนนั้นที่เชียงราย กูไม่ได้ปล้ำเขาว่ะ กูเข้าใจผิดไปเอง”
รวินท์รีบเบี่ยงรถเข้าไปจอดข้างทาง แล้วหันไปทำตาโตใส่เพื่อนรัก “มึงรู้ได้ไงเนี่ย!”
“คีรีบอก คือว่าคืนนั้นกูก็มีอะไรกับเขานั่นละ แต่แค่ภายนอกเท่านั้น” เตชิตยกมือขึ้นเกาศีรษะ “เขาดูจะตกใจมาก เขานึกว่ากูรู้อยู่แล้ว เขาขอโทษกู แล้วเขาเลยถามกูว่า เวลานี้เขาไม่ใช่เด็กชาวเขาอีกแล้ว กูจะเอาไงต่อ”
“แล้วมึงว่าไง”
“กู... กูบอกว่า ถึงเขาไม่ใช่ชาวเขา แต่เขาก็ยังเด็กกว่ากูมากอยู่ดี กูควรจะรับผิดชอบ...”
“ไอ้เหี้ยยย~ พระเอกสัส! มึงเกิดยุคไหนวะเนี่ย!” รวินท์อุทานเสียงหลง
“แต่เขาไม่ต้องการให้กูพูดถึงเรื่องรับผิดชอบอะไรนั่นอีก เขาถามกูว่าคิดยังไงกับเขา กูก็ตอบเขาไปตามตรงว่ากูยังไม่มั่นใจ กูไม่รู้”
“ขนาดนี้แล้วมึงยังไม่รู้อีกเหรอไอ้เวร อันที่จริงมึงจะปล้ำหรือไม่ได้ปล้ำเขาคืนนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกของมึงตอนนี้รึเปล่าวะ ถ้าแค่นัวเนียถูหนอนกัน แล้วมึงจะไม่รักเขาเหรอ มึงวัดความรักของมึงจากอะไรเนี่ย ขนาดหนอนมึงเรอะ!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย” เตชิตขมวดคิ้ว พลางยกมือขึ้นกุมขมับ “วิน กูกลัว... กูเคยเหี้ยมามาก มึงก็รู้ กูกลัวกรรมตามสนองกู กลัวคีรีมาหลอกกู เหมือนที่กูเคยทำกับมึง กับคนอื่นๆ”
“โถ ไอ้เต้เอ๊ย เด็กมึงไม่ใช่ผีมะ แม่งจะหลอกอะไรนักหนา” รวินท์เอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนรัก “แล้วมึงหลอกกูเรื่องไหนวะ กูเห็นมึงทำจริงทุกเรื่อง ส่วนความผิดพลาดในอดีตมึงก็ได้รับบทเรียนไปหมดแล้ว ไอ้บ้า คิดมากไม่เข้าเรื่องน่ะ ถ้ามัวแต่หดหัวกลัวแบบนี้ ชาตินี้จะได้มีความรักดีๆ กับเขามั้ยล่ะ”
“บางทีคนอย่างกูอาจจะไม่เหมาะที่จะมีความรักว่ะ”
“ดราม่าเวิ่นเว้อฉิบหาย กำลังคอสฯ เป็นดาวพระศุกร์อยู่เหรอมึงน่ะ คือกูเข้าใจนะ ที่มึงกลัว เพราะเด็กนั่นเข้ามาหามึงแบบโคตรไม่เหมือนชาวบ้านเขา แต่มึงมองย้อนกลับไปดิ ที่เขาทำไปก็เพราะมึงไม่สนใจใคร จะเอาแต่กูซึ่งหล่อที่สุดในโลกหล้าเนี่ย ถ้าเขาไม่ทำอะไรให้สะดุดตามึง เขาจะได้แดกมึงมั้ยล่ะ คิดสิวะคิด เป็นกู กูก็ทำโว้ย!” รวินท์เปลี่ยนจากตบไหล่ไปเป็นตบกบาลเพื่อนรักแทน “มึงลองเทียบกับตัวมึงดูละกัน ถ้ามึงไม่ได้รักกู มึงจะทำอย่างที่มึงเคยทำมั้ย ถึงมันจะผิด แต่บางทีคนเราก็ทำอะไรบ้าๆ สิ้นคิดลงไปเพราะรักมากได้ มึงน่ะก็รู้ดี ไอ้สัส!”
“โห กูไม่รู้จะทึ่งกับประโยคไหนของมึงก่อนเลยว่ะ”
“คนจะรักกัน มันต้องหัดเชื่อใจกันเว้ย กูรู้ว่ามันพูดง่ายทำยาก กูกับพิงค์ก็เคยทะเลาะกันแทบตายมาแล้ว มึงต้องคุยกับเด็กมึง ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน พยายามเปิดใจคุยกัน มึงจะได้เข้าใจเขา และจะได้มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น กูรู้ว่ามึงกลัว แต่มึงก็ลองคิดดูละกัน ว่าสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมด พอจะช่วยให้มึงยอมเสี่ยงกับเขาบ้างมั้ย”
“นั่นสินะ”
“เอาเหอะ คืนนี้ก็นอนตกตะกอนความคิดไปก่อนละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เด็กมึงก็คงห้อแรดมาง้ออีกเหมือนเคย รอดูละกัน”
เตชิตยิ้มบาง “ไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะได้คนอย่างมึงมาเป็นทั้งศิราณีทั้งพี่อ้อยพี่ฉอด”
“อ้าว ไอ้เพื่อนเหี้ย เก็บปากมึงไว้ปรับความเข้าใจกับเด็กมึงเถอะ!” รวินท์ส่งนิ้วกลางให้ ก่อนจะขับรถออกไป
เช้าตรู่วันอาทิตย์ ก่อนถึงเวลาเริ่มงาน เตชิต รวินท์ ภูพิงค์และเพื่อนๆ ถือเค้กมาพร้อมของขวัญให้ตึ๋ง ลูกชายของผู้ช่วยทันตแพทย์ เด็กหนุ่มเจ้าของวันเกิดยิ้มหน้าบานรับของขวัญและคำอวยพรจากทุกคน เสร็จแล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
จนกระทั่งช่วงบ่ายแก่ๆ เตชิตเสร็จงานก่อน เขาเอาแต่นั่งมองโทรศัพท์และถอนหายใจเฮือกๆ จนรวินท์รำคาญ ไอ้เพื่อนรักเลยบอกให้เขาออกไปซื้อของกินเอาไว้กลับไปกินที่ลำพูน ส่วนเขาก็เคยขัดใจมันได้ซะที่ไหน เมื่อเขาเดินออกไปทางหลังร้านก็เจอกับตึ๋งเข้าพอดี
“พี่เต้จะไปไหนเหรอครับ”
“ไปซื้อของกินน่ะ เอาไว้ไปกินมื้อเย็นที่ลำพูน จะได้ไม่ต้องกินผัดกะเพราไอ้วินมัน”
“โห พูดซะผมอยากลองผัดกะเพราพี่วินเลยอะ”
“เออ ลองแล้วจะได้เลิกกินผัดกะเพราไปชั่วชีวิต”
ตึ๋งหัวเราะร่วน “งั้นผมไปกับพี่เต้ด้วยดีกว่า กำลังว่างพอดี จะได้ช่วยพี่เต้ถือ”
“โห น่ารัก ไปๆ อยากกินไรเดี๋ยวผมเลี้ยง วันเกิดทั้งที”
สองหนุ่มเดินไปด้วยกัน พูดคุยกันไปเรื่อยๆ ทำให้เตชิตไม่ทันเห็นรถ BMW ที่วิ่งสวนเข้ามา
เจ้าของรถคันหรูขมวดคิ้ว ก่อนจะเบี่ยงรถจอดไว้ข้างทาง แล้วนั่งสังเกตการณ์อยู่ในรถนั่นละ ใช้เวลาไม่นานทั้งสองคนก็เดินกลับมาที่ลานจอดรถพร้อมกับถุงพลาสติกเต็มสองมือ
ตึ๋งช่วยยกถุงไปใส่ในรถของเตชิตให้ เสร็จแล้วก็ยืนคุยกันต่อ
“ขอบคุณสำหรับดินสอเขียนแบบนะครับ ผมอยากได้พอดีเลย” คนอ่อนวัยกว่ายิ้มกว้าง
“อืม ว่าแต่หนังสือกับเครื่องเขียนอย่างอื่นมีครบแล้วใช่มั้ย”
“ครบครับ ได้ของเก่าจากพี่รหัสมาบ้าง”
เตชิตขมวดคิ้ว จะว่าไปตอนที่อีกฝ่ายเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ยังไม่ได้ให้ของขวัญอะไรเลย รู้สึกผิดชอบกล พี่นิ้งเองก็ดีกับเขามาก ตึ๋งก็เคยช่วยเหลือเขา ไอ้วินกับพวกพิงค์บ่อยๆ
“พี่เต้ทำไมทำหน้าแปลกๆ”
“ตอนที่รู้ว่าเข้าวิดวะได้ ไอ้วินมันให้อะไร”
“อ๋อ พี่วินให้ตังค์ไปซื้อเสื้อนักศึกษาครับ”
ฉิบหาย! ไอ้วิน! ทำไมไม่ปรึกษากูเลย!
เตชิตรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะหยิบธนบัตรใบละพันออกมาสองใบแล้วส่งให้เด็กหนุ่ม “นี่เป็นของขวัญจากผมนะ ตอนที่สอบติดยังไม่ได้ให้อะไรเลย ช่วงนั้นผมมัวแต่ยุ่งๆ เอาไปซื้อของใช้ที่จำเป็นก็แล้วกัน”
“เฮ้ย! พี่เต้ก็ให้ดินสอผมแล้วไง อันตั้งแพง”
“นั่นเป็นของขวัญวันเกิด แถมหารกับไอ้วินแล้วก็เหลือไม่เท่าไหร่ เอาไปเถอะ คุณตั้งใจเรียนให้มากๆ ต่อไปจะได้เป็นกำลังให้พี่นิ้งนะ”
ตึ๋งยกมือไหว้ รับเงินมาถือไว้ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดทันตแพทย์หนุ่ม “พี่เต้กับพี่วินดีกับผมเสมอ แม่บอกว่าพี่ๆ คอยถามเรื่องค่าเทอม เพราะได้ยินว่าของมหาลัยแพง แล้วก็ช่วยแม่จ่ายด้วย แล้วนี่ยังให้เงินผมอีก”
เตชิตยิ้มบาง พร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องคิดมาก ผมกับไอ้วินบาปหนา มีโอกาสช่วยได้ก็อยากช่วย เผื่อพวกผมจะได้บุญไปด้วยไง”
ตึ๋งหัวเราะร่วน “ผมว่าไม่ต้องแล้วแหละ อีกนิดพี่ๆ ก็จะบรรลุอรหันต์แล้ว”
“ไปเถอะ เข้าไปช่วยแม่เก็บของ บอกวินว่าผมรอที่รถละกัน”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ได้เลย ขอบคุณครับ”
เมื่อตึ๋งวิ่งคล้อยหลังไป เตชิตจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดู วันนี้เขาดูหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อความใดๆ หรือมิสคอลจากคีรีเลย
เป็นอะไรหรือเปล่าวะ หรือจะยังคิดมากเรื่องเมื่อคืน
หรือเพราะคืนร้อยบาทสุดท้ายมาแล้ว หรือเพราะยกเลิกสัญญาปิ่นโต
หรือเพราะคีรีรอคำตอบจากเขาอยู่...
หากถ้าทันตแพทย์หนุ่มหันมองไปรอบๆ ตัวสักหน่อย เขาก็คงจะเห็นเด็กหนุ่มที่ตัวเขารอคอยมาตลอดทั้งวันจ้องมองมาด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
คีรีนั่งนิ่งเป็นหิน ในใจได้แต่ถามไปมาซ้ำๆ ว่าเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั้นคือใคร
ที่จริง... วันนี้เขาตั้งใจจะมาขอโทษหมอเต้ที่เมื่อวานปล่อยให้กลับเอง เขานี่มันแย่ชะมัด ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเห็นกับตาเมื่อครู่ ทำให้ความกล้าที่จะไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายหายเกลี้ยง
ตอนนี้ก็ได้แต่นึกเสียใจ เจ็บปวดในใจ เขาไม่น่าคืนเงินกับยกเลิกผูกปิ่นโตนั่นไปเลย ตอนนั้นอารมณ์มันพาไป พอกลับมาคิดอีกทีแล้วก็เสียดาย เพราะเวลานี้เขาไม่มีอะไรจะยึดเหนี่ยวคุณเตชิตไว้อีกแล้ว
“ยืนเหม่อไรวะเต้”
เตชิตเงยหน้าขึ้น “รอมึงนั่นแหละ เสร็จแล้วใช่มะ”
“มึงจะขับหรือจะให้กูขับ”
เตชิตขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบกุญแจรถโยนให้เพื่อนรัก “มึงขับเถอะ”
รวินท์รับกุญแจมา จากนั้นรถฮอนด้า CR-V ก็เคลื่อนออกไปจากที่จอดรถช้าๆ มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองลำพูน
ในตอนพักเที่ยงของวันจันทร์ ใต้ตึกคณะบริหารมีเสียงฮือฮาดังจนผิดปกติ
คีรีนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเขา และคงเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่ได้สนใจเสียงฮือฮาเหล่านั้นแต่อย่างใด
“คีรี วันนี้กลับห้องไปก็หาอะไรเย็นๆ ประคบตาหน่อยนะ ดูไม่ได้เลยเนี่ย” เจนี่พูดขึ้น “ไปทำอะไรมาวะ”
“ไม่รู้ ตื่นมาก็เป็นแบบนี้แล้วว่ะ”
ปิ๊กยื่นหน้าเข้าไปส่องดวงตาเพื่อนใกล้ๆ “โห น่าเชื่อมากเลย ทะเลาะกับหมอเต้อะดิ นึกว่าเคลียร์กันเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนวันศุกร์แล้วซะอีกนะเนี่ย”
“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ”
“ตอแหล”
คีรีตอบเสียงสลด “ไม่ได้ทะเลาะจริงๆ คนอย่างกู คิดว่าจะกล้าทะเลาะกับเขาเหรอ”
คำตอบของเด็กหนุ่มเป็นผลให้เพื่อนทั้งสี่คนเงียบกริบ ได้แต่ส่งสายตาหากัน
ฟลุคกระแอมเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปโอบไหล่คีรี “แล้วมีอะไร เล่าให้พวกกูฟังสิ พวกกูเพื่อนมึงนะ จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหาไง”
คีรีขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะพูดออกไปเสียงขรึม “มึงว่า... จะเป็นไปได้มั้ย ที่หมอเต้จะมีคนอื่นนอกจากกู”
สองสาวเลิกคิ้วขึ้น “หมอวินเหรอ”
“ไม่ใช่สิวะ... แต่เมื่อวาน ตอนเราไปหาหมอเต้ที่คลินิก เราเห็นหมอเต้กอดกับคนคนนึง”
“คนรู้จักก็กอดกันได้มั้ยมึง” ปิ๊กพูดขึ้นแทรก “ไอ้ฟลุคก็กอดมึงอยู่นี่ไง”
“แต่กูก็เป็นแค่คนรู้จักเหมือนกัน” คีรีประสานสายตากับอีกฝ่าย แล้วพูดเสียงสั่น “หมอเต้...เป็นคนพูดเอง”
ยุ้ยสงสารเพื่อนจับใจ เธอเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ “ใจเย็น ตาบวมหมดหล่อแล้ว”
เสียงดังฮือฮาใกล้เข้ามามากขึ้นไปทุกที เป็นผลให้เด็กหนุ่มในโต๊ะจำใจต้องหันไปมองหาต้นเสียง
“เสียงดังอะไรกันวะ” ฟลุคบ่น ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “เย้ย! พี่ภูพิงค์!”
เจ้าของชื่อเดินตรงไปที่โต๊ะตามที่คนนำทางมาชี้บอก เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่หิ้วเพื่อนในกลุ่มมาด้วยครบแผง
“ไง”
“พี่พิงค์!” คีรีลุกขึ้นพรวด
“ว่างอยู่ใช่มั้ย”
“ครับ พี่มีอะไร... เอ้อ นั่งก่อนครับ”
เพื่อนของคีรีทั้งสี่คนย้ายฟากไปนั่งเบียดอยู่ฝั่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้พวกรุ่นพี่นั่งอีกฝั่ง
“พี่วินบอกว่าให้มาดูอาการคุณหน่อย”
คีรีเลิกคิ้วขึ้น “หมอวิน...”
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย ยังไหวนะ”
เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้าช้าๆ “ไหวครับ ขอบคุณมาก ฝากขอบคุณหมอวินด้วยนะครับ”
“ดีแล้ว มันต้องได้แบบนี้สิ” ภูพิงค์เอื้อมมือไปตบไหล่คนอ่อนวัยกว่า “ที่ผมมานี่ ยังมีอีกเรื่องนะ วันเสาร์นี้คณะผมมีงานไนต์ พี่วินกับผมเป็นพิธีกร พี่เต้ก็จะมางานด้วย สนใจจะมาด้วยมั้ยล่ะ”
คีรีตอบแบบไม่ต้องคิด “สนใจครับ”
“เอ้า ให้ทุกคนด้วย” เด็กหนุ่มรุ่นพี่ส่งบัตรเข้างานให้ห้าใบพร้อมโบรชัวร์ “พวกผมมาเชิญถึงที่เลยนะเนี่ย”
“ขอบคุณครับพี่พิงค์ แต่พวกผมซื้อต่อจากพี่ดีกว่า เกรงใจอะครับ” คีรีรีบเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบธนบัตรส่งให้
“ไม่ต้องเกรงใจก็ได้ บัตรพวกนี้ผมซื้อเอง ถือเป็นค่าโจ๊กครั้งนั้นไง”
“ไม่เอาอะพี่ แค่เอาบัตรมาให้พวกผมถึงคณะก็ดีมากแล้ว” เด็กหนุ่มรุ่นน้องรับบัตรมาพร้อมกับยัดธนบัตรลงในมือรุ่นพี่ “ขอบคุณนะครับ”
“ไม่ต้องมาเนียนแต๊ะอั๋งทำตาซึ้งใส่ผมเว้ย ผมมีแฟนแล้ว” ภูพิงค์ยิ้มบาง
คีรียิ้มออกมาได้บ้าง ความรู้สึกเมื่อได้คุยกับพี่พิงค์และหมอวินน่ะ คล้ายๆ กันเลย ทั้งสองคนมีบรรยากาศอบอุ่นรอบๆ ตัว อยู่ใกล้ๆ แล้วสบายใจ ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ ก็หลงรัก เขาก้มลงมองบนโบรชัวร์พลางอ่านข้อความ “จัดหาทุนเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนของน้องๆ ในพื้นที่ทุรกันดาร?”
“อ้อ อือ คณะผมจะมีการหาทุนไว้สำหรับช่วยเหลือโรงเรียนบนเขาไกลๆ กับจัดค่ายอาสาทุกปี ก็ใช้วิธีขายเสื้อบ้าง จัดงานนู่นนี่บ้าง งานไนต์นี่ก็เหมือนกัน มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วมาเล่นดนตรีร้องเพลงให้ พวกอาหารกับของที่ตั้งซุ้มขายในงานก็ได้มาจากสปอนเซอร์ เงินกำไรที่ได้มาก็เก็บไว้เป็นทุนน่ะ”
“โห ดีจังครับ เดี๋ยวผมจะไปขอคุณตาให้ช่วยสมทบทุนบ้าง คุณตาผมท่านชอบกิจกรรมการกุศลแบบนี้มากๆ”
“ขอบใจนะ เอาไว้งานหน้าก็ละกัน พวกผมจะทำจดหมายมาให้เรียบร้อย”
เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้ว “แล้วตอนนี้ยังมีอะไรที่พวกผมช่วยได้บ้างมั้ย”
“ช่วยพวกผมกระจายข่าวชวนคนมาเยอะๆ หน่อยก็แล้วกัน ผมเอาโบรชัวร์มาเผื่อ ฝากให้เพื่อนๆ ในคณะด้วยละกันนะ”
“พี่ภูพิงค์คะ” เสียงสั่นๆ ของเด็กสาวรุ่นน้องดังขึ้นแทรก เป็นผลให้สองหนุ่มหยุดการสนทนา หันขวับไปที่เธอ พร้อมๆ กับเพื่อนๆ ของภูพิงค์อีกสามชีวิตด้วย
“มีอะไร”
เจนี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป “ยังต้องการนักร้องสมัครเล่นเพิ่มมั้ยคะ เจนี่กับคีรีเคยออกงานร้องเพลงของคณะเราเหมือนกัน เอาพวกเราไปร้องเพลงคั่นเวลาได้นะคะ”
สี่หนุ่มวิศวะเงียบกริบ ทำให้เด็กสาวรุ่นน้องยิ้มแห้ง “เจนี่เห็นคีรีอยากช่วย เจนี่ก็อยากช่วยเหมือนกันค่ะ” พูดจบก็รีบขยับไปหลบข้างหลังคีรี
ซันหันไปสบตาภูพิงค์ “เออ เคยได้ยินว่าบริหารมีนักร้องเสียงดีอยู่เหมือนกัน”
“หน้าตาน้องๆ ก็น่าจะช่วยเรียกแขกได้อีกเยอะเลยนะเนี่ย” ขิงขยับเข้าไปกระซิบ
ดิวพยักหน้าหงึกๆ “จัดคิวตอนนี้ยังทันปะวะ”
“เรื่องนี้มึงคงต้องตัดสินใจว่ะซัน” ภูพิงค์ตอบ
“แล้ว... พวกคุณจะซ้อมทันเหรอ เหลือเวลาอีกไม่มาก ถ้าต้องไปซ้อมกับรุ่นพี่ที่คณะพวกผมทุกวันจะไหวมั้ย” ซันเบนเข็มไปถามรุ่นน้อง
คีรีพยักหน้า “ไหวสิครับ พวกผมจะพยายามเต็มที่”
“งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนไปเจอกันที่คณะได้มั้ย จะได้คุยรายละเอียดแล้วเริ่มซ้อมกันเลย”
“ได้ครับ/ค่ะ”
“ขอบใจมากนะ” ซันยิ้มตอบ นับเป็นรอยยิ้มแรกของนายกสโมฯ คณะวิศวะที่มีให้แก่พวกรุ่นน้องต่างคณะ เป็นผลให้ความรู้สึกอึดอัดภายในโต๊ะเบาบางลงไปบ้าง
คีรีนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปสะกิด “เอ้อ พี่ภูพิงค์ครับ ผมขอคุยกับพี่สองคนแป๊บนึงได้มั้ย”
ในขณะที่คีรีพูด เพื่อนเขาอีกสี่คนก็หันขวับ จากนั้นก็ส่งสายตาให้กัน ร้องฉิบหายกันระงม เพราะหวั่นใจที่จะต้องนั่งอยู่กับรุ่นพี่วิศวะที่เหลือตามลำพัง ถึงบรรยากาศจะดีขึ้นบ้างแล้วก็เถอะ แต่สีหน้าของพวกพี่ๆ ก็ยังดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรอยู่ดี
“เอาสิ ไปคุยที่ไหนดีล่ะ”
(ขอจบครึ่งตอนก่อน edit ไม่ทันกิงๆ คร้าาา~ ชีวิตล้มลุกคลุกคลานมั่กตอนนี้~)เด็กดอยไม่ต้องงอแงแล้วนะ มีทั้งพี่วินทั้งพี่พิงค์มาช่วยแย้ววว~
ขอโทษที่ช่วงนี้ลงช้านะคะ อาจจะมีตัวหนังสือยึกยือแปลกๆ ปนมาด้วย เพราะฮัสกี้ใช้ไอแพดลงนิยายค่ะ และก็ฮัสกี้อยู่ในช่วงออนทัวร์สามอาทิตย์ ต้องไปนู่นไปนี่ทุกวันเลย ก็เลยอีดิตนิยายได้ช้ามากๆ เดี๋ยวกลับบ้านเมื่อไหร่จะลงตรงเวลาเหมือนเดิมนะคะ ฮือออออ~ 
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆ ค่า จุ๊บๆ กู๊ดไนต์ค่า