Knocked Out ช่วยที!!!...กูโดนยิงดาวน์ #ช้อปมิกซ์ กระสุนนัดที่ 25 (25/05/62) UP
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Knocked Out ช่วยที!!!...กูโดนยิงดาวน์ #ช้อปมิกซ์ กระสุนนัดที่ 25 (25/05/62) UP  (อ่าน 4766 ครั้ง)

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เรื่องเข้าใจผิดจบลงแต่ประเด็นของความเข้าใจผิดยังไม่จบ เพราะมันกลับมาท้วงถามคำตอบที่ถามไว้ก่อนหน้า

“แล้วตกลงจะไปห้องกูไหม”

“มึงจะไม่...ทำอะไรกูจริงๆ ใช่ไหม”

“ถ้ากูคิดจะทำกูทำตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้มึงรอดจนถึงทุกวันนี้หรอก” ผมไม่ได้กลัวว่ามันเพราะเชื่อว่ามันไม่มีทางทำอะไรหากผมไม่ยินยอม แต่สิ่งที่ผมกลัวคือ...

“ช้อป ถ้ากูจะบอกมึงว่า..." ผมมีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกมัน "กูให้เรื่องอย่างว่ากับมึงไม่ได้ล่ะ”

ผมเข้าใจว่าเรื่องเซกส์สำคัญกับชีวิตคู่ ก่อนหน้านี้ผมเองก็มักจะมีอะไรกับใครอยู่บ่อยๆ ทั้งในสถานะแฟนหรือเพียงชั่วข้ามคืนและทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิง

ผมไม่ปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อช้อปเพียงแต่คำว่า ‘เซกส์'มันเกินขอบเขตที่ผมจะสามารถให้มันได้

“ถ้ามึงไม่โอเค...”

“มึงไม่ต้องคิดมาก เรื่องนั้นกูรู้อยู่แล้ว” รู้อยู่แล้ว? 

ถ้ามันรู้แล้วทำไม...

“มึงรู้ แล้วทำไมยังอยากคบกับกูล่ะ”

“ฟังนะมิกซ์” มันยื่นมือมาจับไหล่ มองหน้าผมด้วยสายตาอ่อนโยน

“กูไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก กูสนใจแค่มึง” ผมหลบสายตาเมื่อได้ยินคำตอบก่อนจะหลุดยิ้มออกมา 

สนใจแค่ผม? ฟังแล้วรู้สึกดีจัง

“ไม่คิดมากแล้วใช่ไหม” มันยีหัว ผมพยักหน้าตอบ

“งั้นไปกันเลยนะ” มันหันกลับไปให้ความสนใจกับพวงมาลัยรถก่อนสตาร์ทเครื่อง มันปลดเกียร์ว่างเข้าเกียร์เดินหน้าเตรียมออกรถ

“เออ...ช้อป” ผมเรียกขณะที่รถกำลังวิ่งออกจากตึกไอที “มีอะไรรึเปล่า” มันเลิกคิ้วรอคำตอบ

“คือ...เรื่องนั้นกูอาจทำให้ไม่ได้” ผมสูดลมหายใจเพื่อรวบรวมความกล้า “แต่ถ้าแค่ช่วยๆ กันแบบว่า...กูก็โอเคนะ”

เอี๊ยด!

มันเหยียบเบรกหยุดรถกะทันหัน

“โอ้ย!” ตัวผมพุ่งไปกระแทกคอนโซลรถเล็กน้อย

“มึงเป็นไรไหม” มันดูตกใจมากรีบสำรวจร่างกายและถามไถ่อาการผมทันที

“กูไม่เป็นไร” ตัวผมกระแทกเล็กน้อยบวกกับมันขับรถไม่เร็วมากนัก ผมเลยไม่เจ็บอะไรมาก แต่สีหน้ามันยังดูเป็นกังวล มือไม้ก็ยังปัดป่ายสำรวจตัวผมไม่หยุด

“กูขอโทษ กูตกใจไปหน่อยไม่คิดว่ามึงจะพูดแบบนั้น” ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดแบบนั้นออกไปเหมือนกัน

จู่ๆ ความเงียบก็เข้าปกคลุม เกิดเดทแอร์ระหว่างเราสองคน ผมมองหน้ามัน มันมองหน้าผมก่อนที่ต่างฝ่ายจะเบือนหน้าออกจากกัน

มึงพูดอะไรออกไปไอ้เชี่ยมิกซ์

“ที่มึงพูดเมื่อกี้พูดจริงรึเปล่า” ไม่นานมันก็หันกลับมาถาม ผมกลืนก้อนน้ำลายลงคอ

แกล้งตายได้ไหมวะ

“พูดไร ไม่ได้พู๊ด” แกล้งตายไม่ได้ก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วกัน

“เอาเป็นว่ากูจะเชื่อสิ่งแรกที่กูได้ยินแล้วกัน” แล้วจะถามให้กูอายทำไมวะ

ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้อายจนไม่กล้ามองหน้ามันแล้ว

“ก็แล้วแต่” ผมพูดในลำคอแต่เดาว่ามันคงได้ยิน ก็แน่ละครับเอาหน้ามาแนบผมขนาดนี้ไม่ได้ยินได้ยังไง

“ออกไปไกลๆ” ผมดันหน้ามันออก ตายังมองออกไปข้างนอก “ไหนบอกจะพาไปห้องก็รีบพาไปสิ” มันเลิกคิ้วทันที เชี่ย! พูดอะไรออกไปอีกแล้วเนี่ย เดี๋ยวแม่งก็หาว่าอ่อย

ผมไม่ได้อ่อยนะ

“ใจร้อนนะเรา” มันลูบไล้ที่ต้นแขน สัมผัสเย็นจากฝ่ามือปลุกให้ขนแขนลุกชัน

แต่แปลกที่มันกลับรู้สึก...ดี

ผมพยายามไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทั้งที่หัวใจกำลังเต้นถี่ ไม่อยากโดนจับได้ว่าเสียอาการ

23 องศาเซลเซียส หน้าปัดดิจิตอลตรงคอนโซลรถแสดงตัวเลขอุณหภูมิ อากาศข้างในเย็นขนาดนี้แต่กลับมีลมอุ่นลอยแตะข้างแก้ม มันกระตุ้นการตั้งชันของขนได้ดีกว่ามือหนานั่นซะอีก

ว่าแต่ลมอุ่นนั่นมาจากไหน

“มึง…” ผมต้องรีบปิดปากเมื่อที่มาของมันอยู่ห่างจากหน้าผมไม่ถึงเซนต์

จมูกโด่งพ่มลมอุ่นออกมาเป็นระยะ มันเริ่มขยับตัวมือหนาป้วนเปี้ยนอยู่ตรงสะโพก ยิ่งมันขยับตัวระยะห่างระหว่างจมูกของเราสองคนยิ่งลดลง จนหลายครั้งที่ปลายจมูกของเราชนกัน ผมหลับตาลงเพราะรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

จูบอีกแล้วหรอ?

กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเตะจมูกชวนหลงใหล ราวกับถูกมนต์สะกดให้ยื่นหน้าออกไปรับสัมผัสนุ่ม

เวลาเดินผ่านไปเกือบนาที ผมชันคอเงยหน้ารอรับริมฝีปากของอีกคน มือหนายังไม่หยุดซนเพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งมาตรงหน้าตักแทน

เมื่อไรจะจูบวะ เมื่อยคอจะแย่แล้ว

กรึก!

เสียงอะไรสักอย่างดังข้างๆ เบาะ สิ้นเสียงลมอุ่นกับกลิ่นหอมก็ค่อยๆ จางหายไป

“โอ๊ย!” ผมลืมตาเมื่อมีบางอย่างกระทบที่หน้าผาก

หน้าหล่อๆหาย กลายเป็นมือหนาที่เพิ่งคลายวงนิ้วหลังจากดีดหน้าผากผมแทน

แล้วที่กูเคลิ้มล่ะ?

“ทำหน้าอะไรของมึง เมื่อกี้กูแค่จะคาดเข็มขัดให้” มันว่าพลางอมยิ้มเมื่อแกล้งผมได้สำเร็จ ผมก้มมองเข็มขัดนิรภัยที่คาดบนตัวอย่างแน่นหนา

แม่งเอ๊ย! ดันปล่อยให้มันหลอกซะได้

ผมอยากจะซัดมัดใส่หน้ามันสักทีสองแต่กลัวจะทำให้หน้าหล่อของมันจะเป็นรอย ผมยังไม่อยากโดนเหล่าแฟนคลับของมันรุมทึ้ง

“ไหนบอกว่าห้ามจูบ แล้วทำไมยื่นหน้าให้กูแบบนั้น” มันทักขึ้นหลังจากที่ผมเงียบไปสักพัก ยังมีหน้ามาถามอีก ใกล้ขนาดนั้นมีใครบ้างล่ะจะไม่เคลิ้ม

“มิกซ์” มันเรียก ผมเบือนหน้าหนีไม่ยอมตอบ

งอนครับ ยอมรับเลยว่างอน

“งอนหรอ” มันเตะไหล่ เขย่าเบาๆ ผมสะบัดตัวหนี

“งอนจริงดิ” มันว่าน้ำเสียงปนขำ ตลกมาใช่ไหมที่แกล้งกูได้

ได้! เดี๋ยวมึงเจอบทงอนของกูบ้าง

ผมปรับเข้าสู่โหมดงอนขั้นสุด ทั้งกอดอก ยู่หน้า สะบัดตัวหนีเวลาถูกสัมผัส มาดูกันว่างานนี้ใครจะชนะ

“เฮ้ย! งอนจริงด้วยว่ะ” มันโน้มตัวจากเบาะอีกฝั่งก่อนเอี้ยวตัวมองหน้าผม

จริงๆ ก็ไม่อยากงอนมันหรอก แต่ใครใช้ให้มันมาแกล้งผมก่อน อย่างนี้ต้องเอาคืนให้สาสม ผมมีแผนการอยู่ในใจแล้ว

“มิกซ์ กูขอโทษ หายงอนนะ” เช๊อะ! ไม่มีทางหรอก

“ขอโทษน้า ดีกันนะ นะๆ ๆ ๆ ๆ” มันสะกิดหลังผมยิกๆ อย่าหวังว่ากูจะยอมง่ายๆ

“หายงอนแลกกับโน๊ตบุคเครื่องนั้น” มันคงหมายถึงโน๊ตบุคเกมมิ่งของรางวัลที่ได้จากการแข่ง

ผมยังไม่ได้ตกลงเรื่องการแบ่งของรางวัลกับมันเลย แต่ก็คิดไว้แล้วว่าอาจจะขายเพื่อเอาเงินมาหารกันหรือไม่ผมจะยอมจ่ายส่วนต่างในส่วนของช้อปเพราะผมเองก็อยากได้โน๊ตบุคเครื่องนั้นมานานแล้ว

มันคงรู้ว่าผมอยากได้โน๊ตบุครุ่นนี้มากถึงได้ใช้มันเป็นข้อต่อรอง แต่โน๊ตบุคราคาสี่หมื่นผมก็พอจะมีปัญญาซื้อตัวเองได้

ผมเมินข้อเสนอของที่มันยื่นมาให้ ไม่มีทางที่ผมจะยอมเพราะของแค่นั้นหรอก

เช๊อะ!

“i9-9900k” มันเพิ่มข้อเสนอ ผมชะงักไปเล็กน้อย ก็ไอ้ที่มันเสนอคือ CPU ตัวท็อปสุดของโลกในตอนนี้ ผมเองก็เล็งไว้เหมือนกันแต่ติดที่เงินในกระเป๋านี่แหละครับ

ข้อเสนอมันช่างดึงดูดใจเหลือเกิน แต่ผมจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับของพวกนั่นแน่ ถ้าผมยอมแผนการเอาคืนที่ผมเตรียมไว้ก็จะสูญเปล่า

ผมวาดแขนกอดอกพร้อมเชิดหน้ากลายๆ ให้มันรู้ว่าผมไม่สนใจ

ไม่มีทางเพราะแค้นนี้ต้องชำระ

มันเงียบไปสักพักก่อนเคาะคอนโซลรถ

“TITAN V”

ไม่!

ไม่!!

ไม่!!!

ไม่ไหวแล้วโว้ย!!!!

“โอเค ตกลง” ผมหันกลับมาตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด แผนการที่เตรียมไว้เลือนหายไปหมด

ใครจะทนไหวนั่นมัน TITAN V เลยนะ หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร มันคือการ์ดจอที่ดีที่สุดและแพงที่สุด การ์ดจอที่เกมเมอร์ทุกคนใฝ่ฝันแต่น้อยคนที่จะมีโอกาสได้ใช้มัน ก็เพราะราคาแพงแสนแพงของมันนั่นแหละ การ์ดจอราคาเหยียบแสน แพงกว่าคอมฯ ทั้งเครื่องของผมซะอีก

“หายงอนแล้วใช่ไหม”

“อื้อ” ผมครางตอบในลำคอ

“หายงอนแล้วก็ยิ้มหน่อย” ผมฉีกยิ้ม มันหลุดขำเมื่อเห็นผมยอมแต่โดยดี

ผมไม่ได้เห็นแก่ของนะครับ ผมแค่ยึดถือคำพระท่านว่า ‘เวรยอมระงับด้วยการไม่จองเวร’ และเวรระงับด้วย TITAN V ได้ เท่านั้นเอง

สาธุ!

“ไม่หลอกกูนะ”

“ไม่หลอกหรอกครับ” มันจับจมูกผมส่ายไปส่ายมา

“แต่มึงไม่คิดบ้างหรอว่ามันไม่คุ้ม เงินเป็นแสนแลกกับแค่ทำให้กูหายงอน” แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเอาเปรียบมันอยู่

“คุ้มสิ” มันจ้องตา ฉีกยิ้มกว้าง

“จะมีอะไรคุ้มกว่าการที่มึงยอมคบกับกู” ผมรีบเสตาหลบปกปิดอาการเขิน แต่อาการร้อนผ่าวกับใบหน้าที่แดงระเรื่อลามไปจนถึงหูทั้งสองข้างทำให้ผมไม่สามารถปกปิดอาการของตัวเองได้

“แต่เอ๊ะ...คิดๆ ดูแล้วมันก็ไม่ค่อยคุ้มหรอกนะ” มันยกยิ้มมุมปาก มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

สีหน้าแบบนี้ผมรู้ว่ามันต้องการอะไร

“จูบหน่อย” รู้ทั้งรู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมมันเยอะแต่ก็ยังเผลอไปเหยียบหลุมพรางของมันซะได้ ผมน่าจะเอะใจเร็วกว่านี้

“ได้สิ” ผมตอบกลับในทันที มันเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

“แต่มึงต้องหลับตาก่อน” มันหลับตาอย่างว่าง่าย ผมยื่นหน้าเขาไปใกล้ก่อนที่จะ...

“โอ๊ย! กัดปากกูทำไมเนี่ย” มันร้องเสียงหลง มือลูบริมฝีปากตัวเอง

“จูบไง จูบแบบซาดิสม์” ผมยกยิ้มกวนๆ

“มึงนี่จริงๆ เลยนะ” แต่มันไม่ได้มีอาการโกรธกลับคลี่ยิ้มทั้งที่มือยังลูบปากตัวเองไม่หยุด สงสัยจะเจ็บจริง

มันต้องโดนแบบนี้แหละ เจ้าเล่ห์มาเจ้าเล่ห์กลับไม่โกง

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 22

หลังจากที่สามารถเอาคืนความเจ้าเล่ห์ของแฟนหมาดๆ ได้สำเร็จ เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ พอดีกับไอ้คิมโทรมาแจ้งข่าวการงดคลาสในช่วงบ่าย ทำให้คนข้างๆ รบเร้าให้ไปคอนโดของมันตามที่ตกลงกันไว้

ผมไม่ปฏิเสธครับ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงอยากให้ไปมากขนาดนี้ หวังว่ามันคงไม่เซอร์ไพรส์ด้วยการซุกสาวไว้บนห้องตั้งแต่วันแรกนะ ถ้ามีใครจริงๆ ผมไม่ปล่อยมันไว้แน่

เดี๋ยวได้รู้ฤทธิ์ไอ้มิกซ์คนนี้

“แวะหาไรกินก่อนนะ” ผมเออออตามเจ้าของคำถามเพราะผมเองก็หิวเหมือนกัน

“แล้วอยากกินไรพิเศษรึเปล่า”

“อืม...อะไรก็ได้” ได้หมดครับตอนนี้ขอแค่ให้หายหิวเป็นพอ

“งั้นร้านข้างมอก็แล้วกันนะ” ผมเห็นด้วยเพราะร้านที่ว่าไม่ไกลจากที่นี่มาก จะได้ไม่เสียเวลาด้วย ผมอยากรู้เต็มทีแล้วว่าที่ห้องมันมีอะไร





เราใช้เวลาเพียงห้านาทีก็มาถึงร้านอาหารข้างมอร้านประจำของนักศึกษาหลายๆ คนรวมถึงกลุ่มของผมด้วย

ผมเดินคู่ช้อปเข้าไปข้างใน พนักงานสาวพาเรามาที่โต๊ะหนึ่งตรงมุมร้าน จากมุมนี้สามารถมองผ่านกระจกใส่ออกไปข้างนอกได้

“รับอะไรดีคะ” พนักงานคนเดิมยื่นเมนูอาหารให้ ผมก้มหน้าเลือกเมนูที่อยากทาน

“มึงชอบกินไร” ผมเงยหน้าจากเมนูอาหาร มองคนตรงข้ามที่เอ่ยถาม

“ถามทำไมอ่ะ”

“กูจะได้รู้ว่ามึงชอบอะไร วันหลังกูจะได้สั่งให้ไง” เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมชอบมันก็เพราะความเอาใจใส่นี่แหละครับ

“อืม...กะเพราล่ะมั้ง” สั่งง่ายและกินง่ายสำหรับคนง่ายๆ อย่างผม

“กะเพรา? โอเค กูจะจำไว้” มันฉีกยิ้มแล้วก้มลงอ่านเมนูต่อ

“แล้ววันนี้จะกินอะไร” สักพักมันก็เงยหน้ามาถามอีก

“อยากกินสเต๊ก”

“ไหนบอกว่าชอบกะเพรา”

“ก็ตอนเที่ยงกินไปแล้ว” มันเป็นคนซื้อมาให้เอง

“โอเคๆ สเต๊กก็สเต๊ก งั้นสเต๊กเนื้อสองที่ครับ” ผมคลี่ยิ้มเมื่อถูกตามใจแถมมันยังรู้ใจว่าผมชอบทานเนื้ออีก

พนักงานสาวรับออเดอร์ก่อนเดินออกไปพร้อมเมนูอาหาร

“แล้วมึงล่ะชอบกินอะไร” ผมเป็นฝ่ายถามบ้าง ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไรแต่เห็นมันใส่ใจผมมากขนาดนี้ก็อยากลองใส่ใจมันดูบ้าง

“ไม่มีอ่ะ”

“ไม่มีเลยเหรอ” อย่างน้อยมันก็ต้องมีของที่ชอบบ้าง

“ของที่ชอบไม่มี มีแต่ของที่อยากกิน” มันพูดไม่จบประโยคแต่ผมรู้ได้จากสายตาของมันที่ส่งมาว่ามันคิดอะไรอยู่ ผมชูสองนิ้วทำท่าจิ้มตาหื่นๆ ของมันจนมันผงะถอยหลังเล็กน้อยแต่ยังไม่วายส่งยิ้มกวนๆ มาอีก

เหนื่อยใจกับมันจริงๆ สงสัยยังไม่เข็ด

“เอาดีๆ ตกลงว่าชอบกินอะไร” ผมยอมสงบศึกเพราะอยากรู้จริงๆ ว่ามันชอบกินอะไร

“อยากรู้จริงๆ เหรอ” มันปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจัง ผมพยักหน้าด้วยความอยากรู้

“เข้ามาใกล้ๆ สิ”

“ไม่แกล้งนะ” กลัวจะหลงกลความเจ้าเล่ห์ของมันอีก

“สัญญา” มันชูสัญลักษณ์สามนิ้ว สีหน้าจริงจังของมันทำให้มั่นใจว่ามันไม่โกหก

ผมตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับหน้าของมันที่รออยู่ตรงกลางโต๊ะ แน่นอนว่าผมต้องมองซ้ายมองขวาก่อนจะทำแบบนี้ โชคดีที่ลูกค้าในร้านวันนี้ค่อนข้างน้อย

“ตั้งใจฟังนะ” มันว่าก่อนจะเลื่อนหน้าให้ปากตรงกับหู

“กูชอบกินทุกอย่าง ขอแค่...มีมึงนั่งอยู่ข้างๆ” มันพูดจบก็ถอยหลังกลับไปนั่งที่เดิม แต่จังหวะที่มันดึงหน้ากลับมันแอบใช้ปลายจมูกถูข้างแก้มผมด้วย

ผมควรโกรธที่มันแอบแกล้งและไม่รักษาสัญญาแต่กลับใจเต้นตึกตักกับคำพูดสุดเสี่ยวของมันแทน ยิ่งเห็นมันยิ้มแบบนั้นแล้วด้วย ผมทำใจโกรธมันไม่ได้จริงๆ

นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าโดนตก

“ยิ้มแบบนี้ชอบอะเด้” ใครยิ้ม? ผมเหรอ? เชี่ย! ผมยิ้มจริงด้วย หมดกันอุตส่าห์จะคีปลุคซะหน่อยดันหลุดยิ้มเพราะมันอีกจนได้

“มุกเชี่ยอะไรของมึง เสี่ยวฉิบหาย” ผมดึงหน้านิ่งพลางพูดแก้เขินทั้งที่แทบจะเก็บอาการไม่ไหว

“ก็เสี่ยวกับมึงแค่คนเดียว” มันยิ้มกว้าง ไม่รู้ทำไมผมถึงได้แพ้รอยยิ้มกวนๆ ของมันทุกที

“อย่าให้กูรู้ละกันว่าไปเสี่ยวแบบนี้กับใคร”

“ทำไม หึงกูเหรอ”

“กู อาย” ผมลากเสียงจนไอ้ตัวดียู่หน้าแสดงอาการงอน

“ไม่หึงหน่อยเหรอ” มันทำหน้าอ้อน คงคิดว่าตัวเองน่ารักเหมือนแมวแต่จริงๆ แล้วเหมือนหมีควายซะมากกว่า

“อยากเห็นกูหึงมากใช่ไหม” ผมกระตุกยิ้ม มันพยักหน้า

“เดี๋ยวรอให้ถึงห้องมึงก่อนเถอะ ถ้ากูเจอว่าซ่อนใครไว้มึงได้โดนสมใจแน่” ผมเคยเล่าสาเหตุที่ผมกับเนยเลิกกันให้มันฟัง แต่ผมไม่ได้เล่าว่าก่อนที่ผมกับเนยจะเลิกกันเกิดอะไรขึ้นกับแฟนใหม่ของเนย

แน่นอนว่าคงไม่มีใครรู้สึกโอเคกับการนอกใจ ผมยอมปล่อยเนยไปแต่ผมไม่ยอมปล่อยให้ไอ้มือที่สามนั้นลอยนวล หนึ่งหมัดแลกกับความเจ็บปวดที่โดนแย่งคนรักไป แต่เป็นหนึ่งหมัดที่ไอ้เชี่ยนั่นต้องแอดมิดโรงพยาบาลไปหลายวัน

“ฮาๆ ๆ ๆ หึงโหดซะด้วย” แต่แทนที่มันจะกลัวกลับหัวเราะชอบใจเหมือนว่าที่ผมพูดเป็นแค่เรื่องตลก

หัวเราะไปเถอะ อย่าให้กูจับได้ก็แล้วกัน

“ตลกมากไหม” ผมหน้านิ่ว

“เฮ้ย! งอนจริงดิ” มันรีบวิ่งมานั่งเก้าอี้ข้างๆ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำผมงอน พักนี้ไม่รู้ทำไมผมถึงได้อ่อนไหวกับคำพูดของมันง่ายจัง

“ขอโทษ หายงอนนะ” ผมเชิดหน้าหนี มันจับไหล่เอี้ยวตัวมอง

“มิกซ์ฟังนะ” มันเข้าสู่โหมดจริงจัง

“ที่กูขำเพราะกูไม่มีวันทำอย่างที่มึงพูด กูไม่มีทางนอกใจมึง ส่วนเรื่องห้องเดี๋ยวพอไปถึงมึงก็รู้เอง”

“…” ผมนิ่งไปเมื่อได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึง ผมแค่งอนที่โดนมันหัวเราะเยาะเท่านั้นเพราะถ้ามันซ่อนใครไว้จริงๆ คงไม่รบเร้าให้ผมไปที่ห้อง

“หายงอนเถอะนะ นะๆ ๆ ๆ ๆ” พูดขนาดนั้นใครจะงอนมึงลง

“โอเคๆ” มันฉีกยิ้มกว้าง

“แต่กูขอมึงอย่างหนึ่งได้ไหม” มันหุบยิ้ม พยักหน้าหงึกๆ ตั้งใจรอฟังที่ผมกำลังจะพูด

“เลิกเล่นซะนะไอ้มุกเสี่ยวๆ อ่ะ”

“ทำไม มึงไม่ชอบเหรอ” มันเริ่มซน ยื่นหน้ามางุดที่ไหล่จนผมต้องใช้มือดันหน้ามันไว้ ไอ้นี่ปากว่ามือถึงตลอด

“มึงแม่งไม่หวานเลยอ่ะ” มันบ่น ทำหน้างอ ส่ายหัวไปมาในมือข้างที่ผมจับไว้

“มึงชอบหวานๆ เหรอ” ผมปล่อยมือที่ดันหน้ามันออก

“ชอบๆ” มันพยักหน้าหงึกๆ

“ได้ดิ หวานๆ เลยนะ” มันกล้าขอผมก็พร้อมจะจัดให้ครับ เอาให้หวานจนเลี่ยนไปเลย

ผมเริ่มจากฉีกยิ้มกว้าง ปรายให้ตาหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเองเมื่อเห็นท่าทีของผมก็ฉีกยิ้มหวานตอบกลับมาอย่างไม่คิดสงสัยอะไร

ชอบหวานนักใช่ไหม...ได้!!!

ผมเริ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปคล่องแขนมันไว้ก่อนงุดหน้าถูกับหัวไหล่มันไปมาแบบเดียวกับที่มันทำ

“พี่ช้อปชอบสายหวานเหรอคะ น้องมิกกี้ก็ชอบค่ะ งุ้งงิ้งๆ ๆ ๆ” ผมเงยหน้าทำตาวิ้งๆ มันดูอึ้งไปสักครู่ก่อนจะยกมือกอดอกแล้วผงะถอยหลังจนขาเก้าอี้ครูดกับพื้นเสียงดังลั่นร้าน

ผมไม่รอให้มันได้ตั้งตัว ลากเก้าอี้ตามเข้าไปเกาะแขนมันอีก

“พี่ช้อปจะหนีน้องมิกกี้ไปไหน” ผมเชยคางที่ไหล่พูดเสียงง่องแง่งข้างหูมัน คราวนี้เป็นมันที่ยกมือดันหน้าผมไว้แทน

“มิกซ์ไม่เอาแบบนี้ แม่งขนลุก” มันยังคงดิ้นขัดขืนไม่ให้ผมเข้าถึงตัว ชอบแบบหวานๆ ไม่ใช่เหรอ กูจัดให้แล้วไง หวานพอไหมคะพี่ช้อปขา

ผมยังคงสวมบทน้องมิกกี้สาวน้อยสายหวานของพี่ช้อปต่อไป เห็นท่าทางตลกๆ ของมันแล้วอดแกล้งไม่ได้

“พี่ช้อปขามาให้น้องมิกกี้จุ๊บๆ หน่อยนะๆ ๆ ๆ ๆ” ผมทำปากจู๋พยายามงุดหน้าเข้าใกล้ให้ได้มากที่สุด

“อะ...เอ่อ...” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง ผมหยุดกึก เงยหน้ามองช้อป 

“อาหารมาเสิร์ฟแล้วค่ะ” ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียง พนักงานสาวคนเดิมในมือถาดอาหารกำลังยืนอมยิ้มบิดตัวไปมา เดาว่าเธอคงเห็นทั้งหมดที่ผมกับช้อปทำ

ผมรีบผละตัวออก จัดทรงผมยุ่งๆ ของตัวเองให้เข้าที่ก่อนพยักพเยิดหน้าส่งสัญญาณให้ช้อปกลับไปที่นั่งของตัวเอง ช้อปเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ของตัวเองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พนักงานสาวเอ่ยขออนุญาตเสิร์ฟก่อนวางสเต๊กเนื้อสองที่ลงบนโต๊ะ

“ทานให้อร่อยนะคะ” เธอโค้งตัวให้เล็กน้อย ยกถาดปิดรอยยิ้มของตัวเองไว้ ก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเพื่อนขอเธอที่ยืนรออยู่ตรงเคาน์เตอร์

เกิดความเงียบขึ้นหลังจากพนักงานสาวเดินออกไป ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาจากทั้งผมและช้อป ผมก้มมองชิ้นเนื้อสเต๊กที่ปรุงมาอย่างดี ช้อปเองก็ก้มมองสเต๊กของมัน ผมหยิบส้อมกับมีดขึ้นมา ช้อปมันก็หยิบส้อมกับมีดขึ้นมาเช่นกัน

ทั้งโต๊ะยังคงเงียบ ต่างคนต่างหยิบอุปกรณ์การทานอาหารขึ้นมาแต่ก็ยังไม่มีใครเริ่มจัดการกับอาหาร จนในที่สุด ผมตัดสินใจเงยหน้ามองคนตรงข้าม สบจังหวะกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาพอดี

ผมมองหน้ามัน มันมองหน้าผมแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ผมชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้ว

5…4…3…2…1

ไม่ไหวแล้วโว้ย

“ฮาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” นั่นคือเสียงแรกที่ดังออกมา ทั้งผมและมันต่างหลุดขำดังลั่นร้าน

“ฮาๆ ๆ เป็นไงล่ะ อายเขาไหม ฮาๆ ๆ” มันเริ่มพูดก่อน พูดไปมันก็ขำไปด้วย

“อายสิ อายสัสๆ ฮาๆ ๆ” ผมหัวเราะหนักจนต้องยกมือกุมท้อง ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าเล่นอะไรแบบนั้น

พี่ช้อปขา? น้องมิกกี้?

อายโว้ย!!! ยิ่งมีคนเห็นยิ่งอายกันเข้าไปใหญ่

“ไม่เอาน้องมิกกี้อีกแล้วนะ”

“มุกเสี่ยวๆ ของมึงก็เหมือนกัน ฮาๆ ๆ ๆ” ผมยังขำไม่หยุด ก็มันขำจริงๆ นี่ครับ ขอยกเรื่องนี้เป็นเรื่องโจ๊กแห่งปีของผมเลย

“เลิกขำได้แล้ว กินกันดีกว่า” มันบอกทั้งที่ตัวเองก็ยังขำอยู่

“มึงก็เลิกขำได้แล้ว” เสียงหัวเราะของเราสองคนค่อยๆ เงียบลง

ขำจนเหนื่อย เหยื่อยแล้วก็หิว

ผมเริ่มหมดแรงจากการหัวเราะจึงหยิบส้อมกับมีดขึ้นมาเตรียมจัดการกับสเต็กเนื้อชิ้นโตตรงหน้า ส่วนช้อปจิบน้ำเล็กน้อยก่อนจะหยิบส้อมกับมีดขึ้นมาเช่นกัน

เราเริ่มลงมือจัดการกับอาหารของตัวเอง เสียงหัวเราะเงียบเปลี่ยนเป็นเสียงส้อมกระทบกับจานเซรามิกแทน แต่เมื่อไรที่เราเงยหน้าขึ้นสบกันก็จะหลุดขำออกมาทุกที

ครืด....หมับ!

เสียงลากเก้าอี้ดังขึ้นพร้อมกับแขนหนักคล้องที่คอ ผมเงยหน้าจากจานสเต๊กเนื้อที่หายไปเกินครึ่งมองเจ้าของแขนที่พาดบนคอ

“พี่ฟลุ๊ค! หวัดดีครับพี่” ผมเอ่ยทักทายเมื่อเห็นว่าคนข้างๆ คือพี่รหัสสุดหล่อของผมเอง พี่ฟลุ๊คฉีกยิ้มให้ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทของตัวเองที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“กูก็นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็แอบพาน้องกูออกมาข้างนอกนี่เอง”

“เอามือมึงออกเดี๋ยวนี้ไอ้สัส” มันตาเขียว จ้องเขม่นมือพี่ฟลุ๊คที่กำลังโอบไหล่ผม

“ทำไมกูจะกอดไม่ได้” พี่ฟลุ๊คยิ้มกวนๆ ผมรู้ว่าพี่แกกำลังแกล้งยั่วให้อีกคนโมโห

“กูบอกให้ปล่อย” มันยกนิ้วชี้หน้าพี่ฟลุ๊ค สีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

“ทำไมกูต้องปล่อย นี่น้องกู แล้วล่ะมึงเป็นใคร” พี่ฟลุ๊คยกยิ้มยั่วโมโห

“กูเป็น...” มันทำท่าเหมือนจะลุกจากเก้าอี้

“ช้อป!” ผมร้องปราม เสตาสั่งให้มันนั่งลง มันทิ้งตัวลงนั่งแต่สายตายังจ้องพี่ฟลุ๊คอย่างเอาเรื่อง

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
“ปล่อยก็ได้วะ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนยังหวงขนาดนี้” ผมมองหน้าช้อป

"..." ทั้งโต๊ะเงียบอีกครั้งก่อนพี่ฟลุ๊คจะพี่ฟลุ๊คตาโต อ้าปากค้าง มองเราสลับกันไปมาก่อนจะหยุดมองช้อป

“เชี่ย!!! อย่าบอกนะว่า...” คนถูกมองยกยิ้มมุมปาก ยักไหล่อย่างเหนือกว่า

“รู้แล้วก็เอามือออกจาก แฟน กู”

“จริงดิ!” พี่ฟลุ๊คหันมาถาม ผมพยักหน้าตอบก่อนพี่แกจะปล่อยมือจากไหล่แล้วหันไปมองช้อป

“ไอ้สัส! ไม่ต้องมาทำเท่ อย่าเดินเป็นหมาหงอยให้กูปลอบอีกล่ะ” ช้อปมันไม่สนใจยังคงยกยิ้มยักไหล่เหมือนเดิม

“หงอยอะไรเหรอพี่” จนผมเอ่ยถามไอ้คนเท่ถึงได้มีปฏิกิริยา

“ก็…” เพียงพี่ฟลุ๊คอ้าปาก มันก็กระโดดข้ามโต๊ะมาปิดปากพี่ฟลุ๊คไว้

“เออๆ กูไม่พูดแล้วก็ได้” พี่ฟลุ๊คยกมือเช็ดปากเมื่อช้อปยอมปล่อย ผมมองหน้าสองคนสลับกัน

มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ

“เล่าให้ผมฟังหน่อยสิพี่”

“ไม่มีไรหรอก” พี่ฟลุ๊คตอบปัด ผมจึงหันไปมองอีกคน

“เล่ามา”

“ไม่มีไรจริงๆ” มันบ่ายเบี่ยง หันกลับไปหั่นเนื้อเข้าปาก

“ช้อป!” มันสะดุ้งเฮือก หันกลับมาส่งยิ้มแหยะๆ ให้ ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับผม

“ก็เรื่องที่มึงคุยกับเด็กมอปลายคนนั้น”

“กู ไม่ ได้ คุย” ผมรีบแย้ง มันต่างหากที่คิดไปเอง

“เออๆ ตอนที่กูเข้าใจผิดว่ามึงคุยกับน้องเขา ตอนนั้นกูดาวน์มาก กูกลัวว่ามึงกับน้องเขาจะแอบคุยกัน ช่วงนั้นกูเลยหงอยไปอย่างที่มึงเห็น” ก็แค่เรื่องนั้นเอง แต่แปลกที่ทำไมช้อปมันถึงไม่อยากให้ผมรู้

“พี่แอบเห็นมันร้องไห้ด้วย” คนข้างๆ แอบกระซิบ ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่ฟลุ๊คก่อนหันไปมองคนตรงข้ามที่เลิกคิ้วมองผมกับพี่ฟลุ๊ค มันคงรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง

ผมโดนพี่ฟลุ๊คหลอกเข้าให้แล้ว ไอ้ช้อปเนี่ยนะร้องไห้ ยิ่งมองหน้ามันก็ยิ่งไม่เชื่อ หลอกว่าเลือกตั้งปีหน้ายังจะดูเข้าท่ากว่า

“หลอกอะไรแฟนกูอีก” พี่ฟลุ๊คไม่ตอบคำถาม แต่กลับยกยิ้ม ยักไหล่ ก่อนลุกออกจากเก้าอี้

“กูไปละ ไม่อยากอยู่เป็นก้าง” พี่ฟลุ๊คว่า

“พี่พูดจริงๆ นะ” แต่ก่อนที่พี่แกจะเดินออกไปยังแอบก้มมากระซิบอีก ผมเริ่มจะเชื่อขึ้มมาแล้วว่าที่พี่แกพูดเป็นความจริง



พี่ฟลุ๊คเดินหายออกไปนอกร้าน ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ

“ไม่ต้องสนใจที่มันพูดหรอก กินต่อเถอะ” ผมกลับมากินสเต๊กเนื้อต่อ แต่ยังเก็บความสงสัยไว้ในใจ อยากถามมันอยู่หรอกครับแต่กลัวจะทำเสียบรรยากาศการทานอาหาร เอาไว้ทานเสร็จค่อยคุยกันอีกที

“อยากกินอะไรอีกไหม” มันถาม ผมส่ายหน้า มันเรียกพนักงานเช็กบิลก่อนเดินนำออกไปที่รถ

มันปลดล็อกรถ เดินขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ ผมเปิดประตูตามขึ้นไปนั่งข้างๆ

“เป็นไรรึเปล่า” มันถามหลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ

“ช้อป” ผมหันไปจ้องหน้ามันเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้เรื่องที่พี่ฟลุ๊กบอก

“ว่าไง”

“ตอนนั้นมึง...ร้องไห้ด้วยเหรอวะ”

“…” มันนิ่งไปสักครู่ "ฮาๆๆๆ" ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เรื่องนี้เหรอที่มันบอกมึง” มันขำเหมือนเรื่องที่ผมถามเป็นเรื่องตลก หรือว่าเรื่องที่พี่ฟลุ๊คบอกจะเป็นแค่เรื่องหลอกๆ

ผมคิดว่าน่าจะใช่เพราะดูแล้วช้อปมันไม่น่าจะเป็นคนอ่อนไหวง่ายขนาดนั้น ยิ่งเห็นมันหัวเราะออกมาแบบนี้ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่านั่นเป็นแค่เรื่องตลก

“ฮาๆ ๆ ๆ” ผมระเบิดเสียงหัวเราะตาม

“พี่ฟลุ๊คนะพี่ฟลุ๊คมาหลอกกันได้” ผมตบฉาดที่หน้าขาหันไปขำกับคนข้างๆ

“ฮาๆ ๆ ๆ ฟลุ๊คมันไม่ได้หลอกหรอก ตอนนั้นกูร้องไห้จริงๆ” ผมหุบยิ้มและหยุดเสียงหัวเราะในทันที แต่คนพูดกลับยังยิ้ม หัวเราะร่า

หมายความว่าไง? พี่ฟลุ๊คไม่ได้หลอก?

ถ้าพี่ฟลุ๊คไม่ได้หลอกก็หมายความว่า...มันร้องไห้จริง

“มึงร้องไห้จริงเหรอ”

“อื้ม...กูร้องไห้” มันตอบอย่างหน้าตาเฉย

“แล้วมึงร้องไห้ทำไม”

“ก็กูกลัวว่ามึงจะชอบน้องเขา”

“แล้วมึงไม่อายเหรอที่กูรู้”

“อายทำไม ดีซะอีกมึงจะได้รู้ว่ากูรักมึงมาก” มุกเสี่ยวมาอีกแล้วครับ แต่แม่งก็ทำให้ผมหลุดยิ้มได้ทุกที

“เสี่ยวสัส”

“เสี่ยวแล้วรักไหม”

“ถ้ากูตอบว่าไม่ มึงจะทำไง”

“กูก็จะร้องไห้” มันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ค่อยๆ เบือนหน้าหนี ผมรู้ครับว่ามันกำลังแกล้งแต่ขอเล่นตามน้ำสักหน่อย

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่มิกซ์ช่วยปลอบ” ผมโน้มตัวมันลงมาซบที่อก ยกมือลูบหัวเหมือนกับผู้ใหญ่กำลังโอ๋เด็ก

“ตกลงว่าไง รักกูไหม” มันงุดหน้ากับอก

“ถ้าไม่รักกูจะคบกับมึงไหม” มันขยับตัวออกจากอก สีหน้ายิ้มแย้มต่างจากเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง

“ไม่ร้องแล้วเหรอ” มันรีบตีหน้าเศร้าเมื่อโดนจับได้ แสดงเก่งขนาดนี้ไม่ต้องเรียนมันแล้วมั้งวิศวะอ่ะ ไปเป็นพระเอกละครน่าจะรุ่งกว่า ยิ่งหน้าหล่อแบบนี้สาวๆ คงติดตรึม ส่วนผมจะรับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้มันเอง

“ร้องๆ นี่ไงจะร้องแล้ว โอ๋หน่อยนะๆ ๆ ๆ” ผมอยากจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายหน้ามันตอนนี้ไว้จริงๆ จะเอาไปให้แฟนคลับสาวๆ ของมันดู ทุกคนจะได้รู้ว่าพี่ช้อปเดือนวิศวะสุดเท่ของพวกเธอเป็นยังไง

ผมถอนหายใจ มองคนตรงหน้ากำลังแกล้งบีบน้ำตาเรียกร้องความสนใจ

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับ”

เฮ้อ...สุดท้ายก็ต้องยอมมันอยู่ดี

ผมอ้าแขนเตรียมกอด แต่จังหวะที่กำลังจะรวบมันมากอดมันกลับดันตัวผมไว้

“อะไรอีก” มันจะเอายังไงกันแน่ ตกลงจะให้ทำหรือไม่ให้ทำ

“เอาแค่พี่มิกซ์นะ ไม่เอาน้องมิกกี้” ไอ้เชี่ยช้อป! มึงจะพูดขึ้นมาอีกทำไมกูอุตส่าห์ลืมมันไปแล้ว ดูท่าทางมันจะกลัวน้องมิกกี้ของผมจริงๆ

แต่ทำไมต้องกลัวด้วยของ น้องมิกกี้ผมออกจะน่ารัก

ใช่ไหมคะทุกคน (ยิ้มหวาน ขยิบตา)

สุดท้ายผมก็ต้องยอมกอดยอมโอ๋ไอ้เด็กโค่งอยู่ดีเพราะมันขู่ว่าจะแฉเรื่องน้องมิกกี้หากผมไม่ยอมทำ

ฝากไว้ก่อนเถอะมึง





เรานั่งรถออกจากร้านอาหารตรงเข้าสู่ถนนเส้นหลัก คนข้างๆ ดูมีความสุข ขับรถไปฮัมเพลงไปตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานก็ถึงคอนโดหรูราคาหลายล้านของมัน

ตึกขนาดให้หลายสิบชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งแต่ยังไม่เคยเข้าไปข้างใน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ขึ้นไปบนห้องของมัน แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกันว่าในห้องมีอะไรทำไมถึงอยากให้ผมขึ้นไปมากขนาดนั้น

มันตบไฟเลี้ยวหักพวงมาลัยเข้าไปชั้นใต้ดินของตึกที่ใช้เป็นลานจอดรถ ใช้เวลาวนหาที่จอดอยู่สักพักก่อนมันจะเลี้ยวเข้าไปจอดตรงที่ว่าง

รถจอดสนิท มันเปิดประตูเดินนำออกไปนอกรถก่อนเดินอ้อมมาเปิดประตู ผมเดินออกจากรถ มันจับมือเดินนำหน้าไปที่ลิฟต์

มันกดปุ่มเรียกลิฟต์ไม่นานก็มีเสียงเตือนก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก มันจูงมือผมเข้าไปข้างในก่อนกดเลข 11 ซึ่งน่าจะเป็นชั้นที่มันอยู่ ก็แน่ละครับมันกดเลข 11 ห้องมันก็ต้องอยู่ชั้น 11 มันคงไม่กดเลข 11 แล้วพาผมเดินขึ้นไปชั้น 22 หรอก

“คิดว่าบนห้องกูจะมีอะไร” มันเอ่ยถามขณะที่ตัวเลขสีแดงกำลังเปลี่ยนจากตัวอักษรตัว B เป็นเลข 1

“อืม…” ห้องผู้ชายน่าจะไม่มีอะไรมาก คงไม่ต่างจากห้องผมมากเท่าไร

ติ๊ง!

ไม่รู้ว่าผมคิดนานไปหรือว่าลิฟต์ที่นี่เร็วกว่าปกติถึงใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีมันก็หยุดและเปิดออกที่ชั้น 11

ผมยังไม่ทันตอบคำถามช้อปมันก็จูงมือเดินนำออกจากลิฟต์ ผ่านประตูห้องหลายบานจนมาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง มันแตะคีย์การด์ที่คล้องอยู่กับพวงมาลัยรถเพื่อเปิดประตูห้อง

“เปิดสิ” มันหันมายิ้ม บอกให้ผมเป็นคนเปิดประตู ผมยื่นมือไปจับคันโยกลูกบิดประตูไว้

ข้างในมีอะไรกันแน่

ไม่ขออะไรที่เซอร์ไพรส์นะ



กรึก!



“ช้อป! นี่มันอะไร”

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 23

สายตาหลายร้อยคู่จับจ้องมาที่ผม ผมนิ่งอึ้งไปสักพักก่อนผงะถอยหลังออกมา

“ช้อป! นี่มันอะไร” ผมมองหน้าเจ้าของห้องเพื่อขอคำตอบ

“เข้าไปคุยกันข้างใน” มันไม่ตอบคำถาม เพียงเดินเข้ามาซ้อนด้านหลังและดันตัวผมให้เดินเข้าไปในห้อง ผมเดินผ่านกรอบประตู ผ่านสายตาหลายคู่ที่จ้องมองในทุกย่างก้าว

บรรยากาศในห้องดูไม่แตกต่างจากห้องสูทราคาแพงทั่วไป ทั้งการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สวยงามระดับโรงแรมห้าดาว พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าห้องของผมถึงสองเท่า แต่ผมกลับไม่ได้สนใจทั้งหมดที่พูดมาเลยแม้แต่น้อยเพราะสิ่งที่ผมสนใจตอนนี้มีเพียงสิ่งที่ติดอยู่ตามผนังห้องเท่านั้น

รูปภาพหลายสิบหรืออาจหลายร้อยใบถูกติดไว้จนเต็มผนัง ไม่ใช่รูปใครที่ไหนหรอกครับ ทั้งหมดเป็นรูปผมเอง รูปภาพหลายขนาดหลากหลายอารมณ์และอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน กิน ดื่มหรือแม้กระทั่งตอนแคะขี้มูกก็ยังมี

ไอ้เจ้าของห้องยังคงเดินประกบด้านหลังไม่ห่าง คงหวั่นใจกลัวว่าผมจะวิ่งหนีอีก มันพาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงส่วนแรกของห้องนั่นก็คือห้องรับแขก โซฟาหนังสีดำขลับถูกใช้เป็นที่รับรอง มันกดไหล่ให้ผมนั่งลงที่โซฟา ส่วนตัวเองยืนค้ำอยู่ด้านบน

“เอาน้ำหน่อยไหม” คนยืนพยายามถ่วงเวลา

“นั่งลง! อธิบายมา” ผมเสตาไปที่ว่างข้างๆ เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบาย อาจเป็นเรื่องปกติถ้าจะมีรูปใครสักคนติดอยู่ในห้องแต่ไม่ใช่กับรูปหลายร้อยใบพวกนี้

มันยอมนั่งลงข้างๆ แต่โดยดี แถมยังขยับมาใกล้จนตัวเราแนบติดกัน

“มึงก็เห็นเองแล้ว กูจะต้องอธิบายอะไรอีก” ผมได้รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมตอนนั้นมันถึงไม่ยอมให้ขึ้นมา มันคงยังไม่อยากให้เห็นรูปพวกนี้

“ตั้งแต่เมื่อไร” ผมหมายถึงมันเริ่มเก็บรูปพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร ดูจากจำนวนแล้วมันคงไม่ใช้เวลาแค่วันหรือสองวันในการหารูปทั้งหมดแน่

“เจอมึงครั้งแรก” พูดจบมันก็ลุกพรวด จูงมือเดินนำเข้าไปอีกห้อง

ห้องนอนขนาดใหญ่ ตรงกลางมีเตียงคิงไซต์กับชุดเครื่องนอนสีเทาหม่น การตกแต่งดูเรียบง่ายตามสไตล์ห้องนอนผู้ชายส่วนใหญ่รวมถึงผมด้วย และที่ขาดไม่ได้คือรูปภาพผมติดอยู่เต็มผนังห้อง

มันจูงมือเดินมาหยุดที่กลุ่มภาพบนผนังห้องตรงปลายเตียง ถ้าลงไปนอนบนเตียง จากจุดนั้นจะมองเห็นภาพพวกนี้พอดี

รูปภาพผมสมัยที่ยังใส่ขาสั้น หัวเกรียนเพราะเรียน รด. ติดเรียงเป็นแถวแนวนอนเกือบสิบใบ ผมจำได้ว่าเคยอัพรูปพวกนี้ลงในเฟชบุ๊คส่วนตัว ถัดมาเป็นรูปชุดนักศึกษาที่มันคงแอบถ่ายตอนวันรับน้องวันแรกอีกหลายรูป ติดล้อมรูปชุดนักเรียนอีกที

“นี่แอบถ่ายรูปกูมาตลอดเลยใช่ไหม?” เจ้าตัวพยักหน้าหงึก

“แล้วทำไมต้องถ่ายไว้เยอะแยะขนาดนี้”

“ที่แรกก็กะจะถ่ายเก็บไว้ดูสองสามรูปให้หายคิดถึง แต่ถ่ายไปถ่ายมา...ก็อย่างที่เห็น” มันยิ้มแหยๆ

“มานั่งคุยกันตรงนี้” ว่าพลางฉุดมือมันให้นั่งลงที่ปลายเตียง

“มึงไม่ชอบเหรอ” มันว่าอย่างน้อยใจ กดหน้ามองต่ำ

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่กูคิดว่ามันเยอะเกินไปหน่อย” ก็ชอบอยู่หรอกครับ ความหล่อของผมไม่ว่าจะเผลอแค่ไหนรูปที่ถ่ายออกมาก็ยังดูดี แต่พอรูปทั้งหมดมาอยู่รวมกันกลับดูแปลกๆ ถึงขั้นน่ากลัวเลยล่ะ คิดภาพตามนะครับ มีตัวเราเองหลายร้อยกำลังมองมาที่เราเอง เห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ



“เกินไปยังไง”

“มึงลองมองดูรอบๆ สิช้อป มีใครเขาทำแบบนี้บ้าง” ผมเงยหน้า กวาดสายตามองรอบห้อง มันเงียบไปครู่หนึ่ง คงกำลังคิดตามที่ผมพูด

“แล้วมึงจะให้กูทำไง”

“ถ้ากูบอกให้เอาออกล่ะ” ผมพูดหยั่งเชิง

“ไม่เอา ถ้าเอาออกแล้วเวลากูคิดถึงมึงจะทำยังไง” มันหน้างอในทันที

“มึงลืมอะไรไปรึเปล่าช้อป” คนหน้างอขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

“มึง กับกู” ผมชี้นิ้วที่มันก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “เป็นแฟนกันแล้ว ห้องก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ คิดถึงเมื่อไรก็ขับรถมาหาสิ” มันนิ่งไปสักครู่ก่อนที่หน้างอเป็นปลาทูแม่กลองจะฉีกยิ้มกว้าง

“พูดจริงนะ”

“เออ พูดจริง”

“งั้นกูคงต้องเก็บของย้ายไปอยู่กับมึงแล้วล่ะ”

“เดี๋ยวนะ เกี่ยวไรกัน”

“เกี่ยวสิ ก็กูคิดถึงมึงตลอดเวลา ถ้าให้ขับรถกลับไปกลับมาก็คงเหนื่อยแย่ ให้กูไปอยู่ด้วยนะๆ ๆ ๆ ๆ” นั่นไงครับ ผมน่าจะรู้นิสัยมันดีที่สุด ได้คืบแต่จะเอาศอก

“มึงนี่จริงๆ เลยนะ” ผมได้แต่ส่ายหน้า ส่วนอีกคนยิ้มกวนๆ

“แล้วตกลงจะให้เอารูปออกไหม” มันกวาดสายตามองรอบห้องสีหน้าดูเสียดายไม่น้อยแต่ก็ยอมพยักหน้าอนุญาต

ต่อไปก็เป็นปฏิบัติการเก็บกวาดรูป ผมยังคิดอยู่ว่าต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะเก็บรูปหลายร้อยใบพวกนี้ได้หมด

“แม่งเป็นรอยว่ะ” ผมเรียกคนข้างๆ ดูรอยหลังจากแกะรูปใบแรกออก แค่ใบแรกสีทาผนังห้องก็ลอกติดกาวสองหน้าออกมาเป็นแผ่น ถ้าแกะออกหมดคงเป็นรอยด่างทั่วห้อง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยเรียกช่างมาทาสีให้ใหม่” เจ้าของห้องดูไม่เป็นกังวลอะไรซ้ำยังหันไปแกะรูปตรงหน้าตัวเองต่อ



เราใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงถึงแกะรูปทั้งหมดออกได้ ซึ่งเกินที่ผมคาดไปมาก เพราะกว่าจะเอารูปที่ติดอยู่ด้านบนออกได้หมดก็ต้องผลัดกันปีนบันไดขึ้นลงอยู่หลายรอบ เล่นเอาหืดจับกันทั้งคู่

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแผ่หลาหายใจหอบ ส่วนเจ้าของห้องหายไปไหนก็ไม่รู้

“อะน้ำ” ผมผงกหัวขึ้นมองคนที่หายไปยืนที่ปลายเตียง มันกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ

“ช่วยหน่อย” ผมยื่นมือขอความช่วยเหลือ มันคว้ามือดึงให้ลุกขึ้นก่อนส่งแก้วน้ำมาให้แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

“อ้า…”

“เหนื่อยล่ะสิ” มันว่า ยกมือเช็ดเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้าผากผมออก

“ห้องเป็นรอยหมดเลยว่ะ” สีบนผนังลอกเปลือยเกือบทั้งห้อง บางจุดยังหลงเหลือคราบกาวสองหน้า

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”

“แต่แม่งต้องแพงแน่เลย”

“งั้นก็ช่วยออกค่าซ่อมสิ” ผมสะอึกในทันที เงินหลักพันผมอาจช่วยได้แต่จากการคำนวณคราวๆ แล้วคงใช้เงินไม่ต่ำกว่าครึ่งแสน ถ้าต้องช่วยออกค่าซ่อมจริงๆ ผมคงต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนไปทั้งเดือน

“ถ้าไม่มีตังค์ มึงจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ” มันคงจับสังเกตสีหน้าเจื่อนของผมได้ สายตาดูมีเลศนัยคู่นั้นก็ทำให้รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่เหมือนกัน

“มีงหยุดคิดไปเลยนะ ห้องมึงก็จัดการเองไปเลย” พูดเสร็จก็สะบัดตัวเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น ปล่อยให้ไอ้ตัวดีที่โดนรู้ทันร้องงอแงอยู่ในห้องนอนต่อไป

คิดจะใช้แผนเดิมๆ เหรอ ไม่มีทางหรอก!



ผมนั่งรอให้คนในห้องนอนเดินตามออกมาแต่แปลกที่ผ่านไปหลายนาทีแล้วกลับไม่มีวี่แวว มันผิดวิสัยที่มันมักจะทำ

ผมตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องนอนและก็พบว่าแฟนตัวเองกำลังนั่งขัดสมาธิทำหน้านิ่งหยิบรูปที่กองอยู่ใส่ลงในกล่อง

โหมดงอนมาอีกแล้วครับ นี่แค่วันแรกยังผลัดกันง้อผลัดกันงอนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่คิดเลยว่าการคบกับผู้ชายจะเจอเรื่องแบบนี้มากกว่าคบกับผู้หญิงซะอีก

แต่ก็นั่นล่ะครับ ถึงมันจะไม่ได้น่ารักเหมือนกับผู้หญิงแต่สุดท้ายผมก็แพ้ลูกอ้อนลูกงอนของมันทุกที

“อยากได้อะไรก็ว่ามา” ผมยืนกอดอกมองจากด้านหลัง มันขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่หันหน้ามา ผมรู้ว่ามันได้ยินแต่ทำเป็นหูทวนลมเท่านั้น

เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับผมจึงเดินอ้อมไปทิ้งตัวนั่งตรงหน้าแทน ส่วนคนขี้งอนก็ยังก้มหน้าก้มตาหยิบรูปใส่ลงในกล่องต่อไป

“กอด?” ผมวาดวงแขนรวบมันเข้ามากอด ไม่มีการตอบสนอง

“หอม?” ผมกดจมูกลงที่ข้างแก้ม ไม่มีการตอบสนอง ลองกดจมูกที่แก้มอีกข้างก็ยังไม่มีการตอบสนองอีก

อย่างนั้นก็คงเหลือวิธีสุดท้ายแล้ว

“จูบ?” ผมโน้มตัวประกบริมฝีปาก แต่ทันใดนั้นเองคนที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก่อนหน้ากลับล็อกหน้าผมไว้แน่น มันส่งลิ้นสากง้างริมฝีปากผมให้อ้าออกก่อนสอดใส่มันเข้ามา

“อื้อ...” ผมหลุดครางเพราะยังตั้งไม่ตัวติด แต่เมื่อทุกอย่างเข้าที่บทจูบอันร้อนแรงจึงเริ่มต้นขึ้น มันตวัดลิ้นควานหาบางอย่าง ผมรับรู้ว่าความต้องการและตอบสนองด้วยการตวัดลิ้นกลับในทันที ต่างฝ่ายต่างตักตวงความสุขจากกันและกัน

ไม่รู้ว่าเราจูบกันนานแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ผมพยายามผละตัวออกมือหนาก็จะดึงและล็อกหน้าให้จูบอยู่อย่างนั้น

ผมว่ามันต้องโกหกเรื่องที่ไม่เคยชอบใครมาก่อนแน่เพราะสิ่งที่มันทำอยู่ตอนนี้แตกต่างกับที่มันพูดไปมาก ผมไม่เชื่อว่าคนที่บอกว่าไม่เคยชอบใคร ไม่เคยมีแฟนมาก่อนจะจูบร้อนแรงได้ขนาดนี้ มันเก่งกว่าตัวผมเองที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเสียอีก

“พะ...พอก่อน อื้ม...ช้อป” ผมครางอู้อี้ในลำคอปรามให้อีกคนจบบทจูบอันเร่าร้อนและรุนแรงลง

จนท้ายที่สุดผมก็เป็นอิสระอย่างที่หวัง ผมรีบกอบโกยออกซิเจนรอบๆ เข้าไปแทนที่อากาศที่สูญเสียไปกับบทจูบอันยาวนาน

“พอใจแล้วใช่ไหม” ลองถามไปอย่างนั้นล่ะครับ หน้าบานซะขนาดนั้นคงสมใจเขาแล้ว

“พอใจแล้วก็รีบลุกขึ้น” ผมว่าแล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นส่วนมันวิ่งตามหลังมาติดๆ

“จะไปไหน”

“กลับห้องไง ไปส่งด้วย” ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่สองชั่วโมงครึ่งรวมทานข้าวด้วยก็สามชั่วโมงเต็ม ตอนนี้ก็สี่โมงเย็นพอดิบพอดี ความง่วงที่สะสมมาหลายวันก็เริ่มทำงาน

ป่านนี้ไอ้แทนกับไอซ์คงนอนตีพุงหลับไปหลายตื่นแล้ว

คิดถึงหมอนที่ห้องจัง

“จะรีบกลับทำไม อยู่ด้วยกันก่อนนะ”

“ไม่ไหวแล้ว แม่งโคตรง่วงเลย” พูดพร้อมขยี้ตาหนักๆ

“นอนที่นี่ก็ได้ ตื่นแล้วเดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่เอากูจะนอนที่ห้อง ไปส่งหน่อยนะ” ผมไม่ชินกับการนอนแปลกที่เท่าไร แค่เปลี่ยนหมอนก็นอนไม่หลับแล้ว

สุดท้ายมันก็ต้านทานการอ้อนของผมไม่ไหวยอมขับรถพามาส่งที่ห้อง

“ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม” แต่ก็ยังไม่วายตื๊อขออยู่ด้วยทั้งที่ตัวเองก็ง่วงจนตาแทบปิดเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรกูอยู่ได้ มึงก็รีบกลับไปนอนเถอะ” มันหน้าหงอย แอบได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของมัน

“เดี๋ยวดึกๆ กูโทรหา” เป็นประโยคที่ทำให้คนฟังยิ้มออกในทันที ช่วงโปรโมชั่นก็ตามใจพี่เขาหน่อยแล้วกัน

“ไม่จูบลาหน่อยเหรอ”

“จูบกับนี่ไหม” ผมชูกำปั้นขู่ มันผงะถอยหลังเล็กน้อยแต่ยังมีรอยยิ้มกวนๆ จนผมต้องเอ่ยปากไล่อีก

“ไปได้แล้ว ขับรถดีๆล่ะ” นั่นยิ่งทำให้มันยิ้มกว้างกว่าเดิมซะอีก

“ห่วงกูเหรอ” ดูมันสิครับ ย้อนกันไปย้อนกันมาแบบนี้คงไม่ได้ไปไหนกันพอดี

“ไม่ห่วงแฟนจะให้ห่วงหมาเหรอ” มันเลิกคิ้ว ตาโต เหมือนไม่มั่นใจว่ากำลังโดนหลอกด่า

“มึงไม่ได้หลอกด่ากูอยู่ใช่ไหม”

“เปล๊า!”

“ก็แล้วไป” อ้าว เชื่อเฉยเลย

“ไปได้แล้ว” ผมปัดมือไล่

“ไปแล้วนะครับ” มันก้าวเข้ามาใกล้ เอ่ยคำหวาน ยกมือลูบหัวเบาๆ ปิดท้ายด้วยยิ้มหล่อกระชากใจ

ตลกไหมถ้าจะบอกว่าผมตกหลุมรักแฟนตัวเอง

หลายวันของการฝึกซ้อมอันทรหด จบลงด้วยชัยชนะและรางวัลอันหอมหวาน แต่เหนือกว่ารางวัลและใบประกาศนียบัตรใดๆ คือ...ผมกับช้อปเราตกลงคบกัน

ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะครับ แค่วันแรกก็วุ่นวายปวดเศียรเวียนเกล้ากับหลายสิ่งหลายอย่างทั้งเรื่องเล็กและเรื่องไม่เล็ก ผมว่าเราสองคนคงต้องใช้เวลาปรับจูนความสัมพันธ์ให้เข้าที่เข้าทางมากกว่านี้

แต่ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวไปงีบเอาแรงสักหน่อย ตื่นมาต้องโทรหาไอ้ตัวดีไม่งั้นเดี๋ยวเขางอนอีก





ผมงัวเงียพลิกตัวหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลา

20.40

ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาสองทุ่มสี่สิบ ผมหลับไปเกือบๆ ห้าชั่วโมง ความเพลียก่อนหน้าลดลงไปมากแต่ยังเหลือความงัวเงียเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่น ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าล้างตาไล่ความงัวเงียออกไป ก่อนเดินเข้าห้องครัวหยิบน้ำในตู้เย็นแล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น

“มองทำไมไอ้หน้าหมี” จังหวะที่ยกน้ำขึ้นดื่ม ตาเหลือบไปเห็นหมีบราวน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พอดี มันอยู่บนโซฟามาเกือบเดือน ผมวางไว้ตรงนี้เพราะกลัวว่าถ้าเจ้าของมันมาห้องแล้วไม่เห็นจะโดนโวยวายเอา

“มานี่เลย” ผมหยิบมันขึ้นมามองก่อนวางลงที่ตัก หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรหาเจ้าของมัน

เสียงรอสายดังยาวต่อเนื่อง ไม่มีการตอบรับจากปลายสาย สงสัยรายนั้นคงยังไม่ตื่น งั้นอีกสักพักค่อยโทรใหม่แล้วกัน

“ฮัลโหล” แต่จังหวะที่กำลังกดวางสายเสียงของเจ้าอีกคนก็ดังขึ้น

“เพิ่งตื่นเหรอ”

“เปล่า ตื่นนานแล้ว เมื่อกี้เพิ่งไปอาบน้ำมา” คงเป็นเหตุผลที่มันรับสายช้า

“มึงล่ะ ตื่นนานแล้วเหรอ” มันถามกลับ

“เพิ่งตื่นเหมือนกัน” ผมตอบพลางลูบหัวหมีบราวน์ไปด้วย

“แล้วนี่กินข้าวยัง”

“ยัง”

“งั้นมึงรีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูพาออกไปหาไรกิน” ผมไม่ปฏิเสธเพราะสเต๊กเมื่อตอนบ่ายย่อยจนแทบไม่เหลืออะไร

ผมกดวางสายเดินกลับเข้าไปในห้องนอนในมือถือไอ้หมีบราวน์ติดมาด้วย เจ้าของมันได้เลื่อนสถานะแล้วมันเองก็ได้เลื่อนขั้นเช่นกัน

ผมวางหมีบราวน์บนหัวเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำไหลผ่านชำระล้างเหงื่อไคลก่อนพันผ้าเช็ดตัวรอบเอวเดินออกจากห้องน้ำพอดีกับเสียงเคาะประตูห้อง

ก๊อกๆ ๆ ก๊อกๆ ๆ

“มาเร็วจัง”

“กูกลัวมึงรอนาน” มันว่า เดินแทรกเข้ามาในห้อง

“นั่งรอกูแต่งตัวแป๊บหนึ่งนะ” ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าสักพักก่อนเดินออกมาหาคนที่นั่งรอ

“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”

“เดี๋ยว! ไปเอาไดร์กับผ้าเช็ดตัวมา ผมยังไม่แห้งจะรีบออกไปไหน” มันชี้นิ้วทำหน้าดุ บทจะจริงจังก็จริงจังแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ

“อะนี่” ผมยื่นไดร์กับผ้าเช็ดตัวให้ มันรับไป กดตัวให้ผมนั่งลงบนโซฟา

ครืด...ฟู่...

เสียงไดร์เป่าผมเริ่มทำงาน ลมอุ่นกระทบหัว มันใช้มือสางเพื่อช่วยให้ผมแห้งเร็วขึ้น

“เสร็จแล้ว” มันใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดเบาๆ เป็นอันเสร็จ





“คิดไว้ยังว่าอยากกินอะไร” มันถามขณะเดินออกจากห้องลงไปที่ชั้นจอดรถ

“อืม...ไม่รู้ว่ะ แล้วมึงอยากกินไร”

“ชาบูหลังมอไหม”

“ชาบู? ก็ดีนะ จะได้ซดน้ำซุปร้อนๆ ด้วย”

เราขับรถออกจากหอตรงไปร้านชาบูหลังมอที่คุยกันไว้ วันนี้ร้านดูคึกคักมากกว่าปกติคงเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ คนถึงได้เยอะขนาดนี้

“คนโคตรเยอะเลยว่ะ” ผมหันไปพูดกับช้อป คนเยอะจนไม่เหลือโต๊ะว่างเลย

“เปลี่ยนร้านดีไหม ถ้ารอคงได้กินตอนเที่ยงคืนแน่” เป็นอย่างที่มันว่า

“อือ” ผมเห็นด้วย ดูจากจำนวนคนที่มารอคิว จำนวนคนที่อยู่ในร้าน อีกอย่างชาบูเป็นอาหารที่ต้องใช้เวลาในการทานขืนรอต่อไปคืนนี้คงไม่ได้ทานกันพอดี

“งั้นเราไปกินอาหารตามสั่งใกล้ๆ ดีไหม”

“อือ ไปกันเถอะ” เราสองคนหันหลังให้กับร้านชาบู เดินตรงกลับไปที่รถ ไม่รอแล้วครับหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว

“อ้าว! มิกซ์” เสียงใสดังเรียกก่อนจะเดินถึงรถ ผมหันหลังกลับก่อนฉีกยิ้มเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงใสคือใคร

“อ้าว! ฝ้าย มากินชาบูเหรอ” ผมเอ่ยถามดาววิศวะคนสวย เราไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรหลังจากจบการประกวด มีเจอกับบ้างบางครั้งที่เรียนเซคเดียวกัน แต่ก็คุยกันได้แค่แป๊บเดียวเพราะต่างคนต่างรีบไปเรียนวิชาถัดไป

“อื้อ มิกซ์ก็มากินชาบูเหมือนกันเหรอ”

“ใช่ แต่คนเยอะไม่มีที่ว่างเลย” ผมบอกเสียงเนือยๆ

“อ้าว! พี่ช้อปมาด้วยเหรอคะ สวัสดีค่ะ” เหมือนฝ้ายเพิ่งรู้ว่าช้อปยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ว่าแต่ทำไมช้อปมันต้องกอดอกทำหน้าบึ้งด้วยล่ะ

“เมื่อกี้มิกซ์บอกว่าโต๊ะไม่ว่างใช่ไหม” ผมหยักหน้า “โต๊ะเราว่างนะ ไปนั่งด้วยกันไหม” ฝ้ายคว้าแขนผม นั่นยิ่งทำให้คนข้างๆ มีอาการฮึดฮัดอย่างเห็นได้ชัด

รู้แล้วครับว่าเป็นเพราะอะไร

“ไม่ดีกว่าฝ้าย เราเกรงใจ” ผมปฏิเสธเพราะคิ้วไอ้คนข้างๆ ชนกันจนเกือบจะเป็นเส้นตรงแล้ว

“ทำไมล่ะ” ฝ้ายคงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ผมจึงเสตาส่งสัญญาณให้มองคนข้างๆ

“อะ...เอางั้นก็ได้” ฝ้ายรีบกลับคำ

“งั้นเราไปก่อนนะ เอาไว้คราวหน้าเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันนะ” พูดจบผมก็ลากคนหน้าบึ้งออกมาทันที แต่ก่อนจะถึงรถผมก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“รอกูบนรถก่อนนะ เดียวกูรีบกลับมา” ผมไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเพียงรีบวิ่งกลับไปที่ร้าน

“ฝ้าย!” ผมตะโกนเรียกฝ้ายที่กำลังเปิดประตูร้าน เธอมองซ้ายมองขวาก่อนจะรู้ว่าผมเป็นคนเรียก

“อ้าว! มิกซ์ เราคิดว่าออกไปแล้วซะอีก”

“เรามีเรื่องหนึ่งจะบอกฝ้าย คือ...เอ่อ...คือ...” ผมก้มหน้าอึกอักไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี

“เรื่องพี่ช้อปใช่ไหม” ผมเงยหน้าเมื่อโดนตัดบทด้วยเรื่องที่กำลังจะพูด

“เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้าหงึก

“ดีใจด้วยนะ แล้วก็ขอบคุณที่ยังจำสัญญาของเราได้”

“เราไม่ลืมหรอก” ผมเคยสัญญากับฝ้ายไว้ว่าถ้าเมื่อไรเป็นแฟนกับช้อปจะบอกให้เธอรู้เป็นคนแรก ยกเว้นพี่ฟลุ๊คคนหนึ่งนะครับเพราะรายนั้นเขารู้จากเพื่อนเขาเอง

“เฮ้อ...อิจฉาคนมีแฟนจัง”

“ไม่ต้องมาแซวเราเลย ได้ยินว่าช่วงนี้มีหนุ่มๆ มาติดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” สวยระดับเดือนมหาลัยก็ไม่แปลกหรอกครับที่จะมีหนุ่มๆ ส่งขนมจีบให้ไม่ขาดสาย ผมเองยังแอบเสียดาย ถ้าไม่ตกหลุมรัก ไม่ใช่สิน่าจะเป็นหลุมพรางของช้อปมันซะก่อนป่านนี้คงได้ควงดาวสุดสวยเดินอวดให้คนในมออิจฉา

“หนุ่มที่ไหน ไม่มี๊” ฝ้ายบิดตัวไปมา เขินจนหน้าแดง

“จริงเหรอ...แล้วหนุ่มตี๋คนนั้นล่ะ”

“พอเลยๆ รีบกลับไปหาแฟนตัวเองได้แล้ว” ฝ้ายสะบัดมือไล่ ผมหัวเราะร่วน

“ถ้ามีแฟนเมื่อไรอย่าลืมบอกเราคนแรก” ผมก้มลงไปกระซิบก่อนโบกมือลาปล่อยให้คนสวยยืนเขินหน้าแดงอยู่หน้าร้าน


ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ผมรีบวิ่งกลับไปที่รถเพราะไม่อยากให้ช้อปรอนาน เปิดประตูเขาไปในรถ คาดเบลล์แล้วหันไปพูดกับคนที่นั่งรอ

“ไปกันเถอะ”

“…”

“ช้อป ออกรถได้แล้ว”

“…”

“ช้อป! ได้ยินที่กูพูดไหม” ผมขยับเขาไปพูดใกล้ๆ

“…” เงียบแบบนี้ผมเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องของฝ้าย ผมแอบเห็นอาการตั้งแต่ที่อยู่หน้าร้าน

“ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูไปไหนมา”

“…” ยังคงเงียบ

“กูไปหาฝ้ายมา”

“…”

“ไม่อยากรู้เหรอว่ากูไปหาเขาทำไม”

“…” เจอมาหลายโหมดแต่เพิ่งเคยเจอโหมดเงียบครั้งแรกนี่ล่ะครับ

“ไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่ากูจะพูดลอยๆ เผื่อว่าใครแถวนี้จะได้ยิน”

“กูไม่ได้คิดอะไรกับฝ้ายแล้ว กูแค่กลับไปทำตามสัญญา” ผมเหลือบมองปฏิกิริยาคนข้างๆ มันยังนั่งนิ่งไม่พูดอะไร

“กูสัญญากับฝ้ายว่าถ้ากูกับมึงเป็นแฟนกันกูจะบอกเขาคนแรก”

ครืด....

ไม่มีมีเสียงพูดใดๆ แต่กลับเป็นเสียงเครื่องยนต์แทน

“จะไปไหน” ผมถาม มันไม่พูดอะไรแต่สตาร์ทรถนี่หมายความว่าไง

“มึงบอกว่าหิวกูก็จะพาไปกินข้าวนี่ไง” มันพูดเสียงเบา น้ำเสียงอ่อยจนต้องหลุดขำ ผมเอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟในรถ อยากเห็นว่าตอนนี้ไอ้คนขี้หึงทำหน้ายังไง

“เปิดไฟทำไม” มันเบือนหน้าหนีทันทีที่ไฟในรถสว่าง แต่แอบเห็นว่ามันกำลังยิ้ม

“หันหน้ามานี่” ผมล็อกหน้าให้มันสบตา “หึงอะไรนักหนาห๊ะ”

“ก็มึงคุยกับเขา มึงยิ้มให้เขา แถมจับไม้จับมือกันอีก”

“ช้อป กูกับฝ้ายเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ”

“แต่กูหวง กูไม่ชอบให้มึงยิ้มให้ใคร” ปกติผมจะเป็นฝ่ายหวงแฟนแต่พอเป็นฝ่ายถูกหวงบ้างก็รู้สึกดีเหมือนกัน

“ไม่ให้ยิ้มจะให้กูหน้าบึ้งรึไง”

“ยิ้มได้” มันกำรวบข้อมือผม “แต่มึงต้องยิ้มกับกูแค่คนเดียว”

“คนเดียว?” มันพยักหน้า

“ไอ้แทน ไอ้ไอซ์?” แล้วกับไอ้สองตัวนั่นล่ะมันจะว่ายังไง

“เพื่อนมึงกูยกเว้นให้” ก็ยังถือว่าโอเค

“พี่ฟลุ๊ค?” ดูซิว่าพี่รหัสของผมและเพื่อนของมันเองมันจะว่ายังไง

“คุยได้แต่ห้ามให้มันกอดเหมือนวันนี้อีก” เอากับเขาสิครับ แม้แต่เพื่อนสนิทก็ยังไม่ได้รับการยกเว้น

“นั่นเพื่อนมึงนะ”

“มิกซ์” มันดึงมือผมที่จับหน้ามันออก ยกมือตัวเองช้อนหน้าผมไว้แทน “กูไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับแฟนกูหรอกนะ” สายตาคนขี้หวงทำผมยิ้มกว้าง ผมสอดมือช้อนหน้ามันกลับ

“ฮาๆ ๆ โอเคๆ ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม มึงเองก็ห้ามยิ้มหล่อให้ใครเหมือนกัน เข้าใจไหม” มันเองก็ไม่แพ้กันชอบโปรยยิ้มหล่อให้สาวๆ ใจละลายอยู่เรื่อย

“แฟนน่ารักขนาดนี้ ทำไมกูต้องยิ้มให้คนอื่นด้วยล่ะ” มันว่าพร้อมกับฉีกยิ้มหล่อ ทำเอาใจผมสั่นจนต้องเบือนหน้าหนีการกอบกุมของมือหนา

“เมื่อไรจะออกรถ หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย” ใจเต้นรั่วจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าหิวมาก” หรี่ตา ยกยิ้มมุมปาก “กินกูก่อนก็ได้นะ”

“ถ้ายังไม่รีบออกรถ มึงโดนกูฉีกเนื้อกินแน่” ผมแยกเขี้ยวใส่ มันรีบปลดเบรกมือ ตบเกียร์ เหยียบคันเร่งในทันที

เจ้าเล่ห์จริงๆ ตอนตกลงคบกันยังบอกไม่สนใจเรื่องนี้ แต่พอได้โอกาสทีไรดึงเข้าเรื่องอย่างว่าตลอด





เราขับรถออกจากร้านชาบูเลี้ยวเข้าร้านอาหารตามสั่งป้าอ้วนที่อยู่ใกล้ๆ ใช้เวลาทานอาหารที่ร้านป้าอ้วนสักพักก่อนขับรถกลับมาที่ห้องของผม

“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ” มันว่าหลังจากเดินเข้ามาในลิฟต์

“ของมึงล่ะ”

“แบตหมด” มันแบมือรอ ผมแอบสงสัยแต่ก็ยอมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง กดปลดล็อกเครื่องก่อนวางบนมือให้ มันรับไป กดหน้าจอยุกยิก ผมพยายามแอบมองแต่พอมันรู้ก็เบี่ยงตัวหลบตลอด

ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นห้องของผมพร้อมกับคนข้างๆ เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ แทนที่จะยื่นโทรศัพท์คืน มันกลับหย่อนใส่กระเป๋ากางเกงผมแทน

ท่าทางดูมีพิรุธ

“มึงทำอะไรกับโทรศัพท์กู”

“เปล๊า!” มันปฏิเสธเสียงสูง รีบซ้อนหลัง โอบไหล่ผมเดินออกจากลิฟต์ ปากปฏิเสธแต่ผมจับพิรุธของมันได้

“พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวกูมารับนะ” มันว่า มือเท้ากรอบประตูห้อง

“พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ”

“อื้อ พรุ่งนี้วันหยุด”

“แล้วมึงจะพากูไปไหนแต่เช้า” อุตส่าห์วางแผนไว้ว่าพรุ่งนี้จะหมกตัวนอนอยู่ในห้องสักวัน แต่มันกำลังทำลายแผนที่วางไว้ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญผมคงต้องบ่นมันหน่อยแล้ว

“เดทไง เดทแรกของกูกับมึง”





‘เดทแรก’ ประโยคนั้นทำผมใจเต้นไม่หยุด ที่ผ่านมาเราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแต่ไม่มีครั้งไหนพิเศษเหมือนครั้งนี้ ผมทิ้งตัวลงบนที่นอน พลิกตัวไปมาคิดเรื่องเดทในหัวไม่หยุด

“ชุดไหนดีวะ” ผมมองเสื้อยืดโอเวอร์ไซต์สีขาวในมือสลับกับเสื้อผ้าอีกหลายชุดที่กองอยู่บนที่นอน

อย่างที่รู้ๆ กันว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองสูง รูปร่างหน้าตาที่ได้รับการสรรค์สร้างจากพ่อและแม่มาเป็นอย่างดี

ผมไม่เคยกังวลเรื่องเสื้อผ้าเลยสักครั้งเพราะผมเชื่อว่าถ้าไม้แขวนเสื้อดีใส่อะไรก็ดูดี ผิดกับครั้งนี้ที่คำว่า ‘เดทแรก’ ได้บั่นทอนความมั่นใจลง แค่เลือกเสื้อผ้ากลับกลายเป็นเรื่องยาก ผมวางเสื้อโอเวอร์ไซต์สีขาวในมือลง หยิบเสื้อฮาวายอีกตัวทาบอก มองตัวเองในกระจก

Rrrrr Rrrrr

ผมวางเสื้อฮาวายกองรวมกับเสื้อผ้าตัวอื่น เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องอยู่บนหัวเตียง

‘เนย’

ผมสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ เนยมักจะโทรหาผมอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยโทรมาตอนดึกเหมือนครั้งนี้ ผมช่างใจก่อนจะกดรับสายเพราะคิดว่าเธอน่าจะมีธุระสำคัญ

“ฮัลโห...”

“มิกซ์ทำแบบนี้หมายความว่าไง แล้วเราล่ะมิกซ์” ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคเนยก็รัวคำถามที่ผมไม่เข้าใจมาทันที

“เนยพูดเรื่องอะไรเราไม่เข้าใจ”

“นังนั่นมันเป็นใคร บอกเรามาเดี๋ยวนี้”

“เนยพูดถึงใคร” ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ นังนั่นที่เนยว่าหมายถึงใคร

“ก็นังแฟนใหม่มิกซ์ไง” ผมตาโตเมื่อได้ยินคำว่าแฟน เนยรู้เรื่องนี้ได้ยังไง นอกจากผมกับช้อปก็มีแค่ฝ้ายกับพี่ฟลุ๊คเท่านั้นที่รู้ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างไอ้แทนกับไอซ์หรือเพื่อนในกลุ่มก็ยังไม่มีใครรู้ ถ้าให้คิดว่าเนยรู้เรื่องจากฝ้ายกับพี่ฟลุ๊คคงเป็นไปไม่ได้ ผมมั่นใจว่าทั้งสองคนไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอน

แล้วใครกัน

ผมเงียบเพื่อใช้ความคิด ขณะที่เนยยังร้องโวยวายถามหาแฟนผมไม่หยุดและเหมือนว่าผมจะนึกอะไรออก

ผมกดพักสายไว้ รีบสไลด์หน้าจอหาแอปสีฟ้าทันที สถานะแจ้งเตือนแสดงตัวเลขสีแดง ‘259’ ตรงมุมขวาของไอคอนแอปพลิเคชัน เป็นอย่างที่คิดไว้ ผมโดนคนเจ้าเล่ห์หลอกอีกแล้ว

‘มีแฟนแล้วครับ แฟนหวงมากด้วย’ พร้อมอิโมติคอนรูปหัวใจสีแดงสดต่อท้าย

นี่คงเป็นสาเหตุที่เนยโทรมาเหวี่ยง ผมกำลังจะกดอ่านคอมเมนต์แต่นึกขึ้นได้ว่ากำลังติดสายคุยกับเนย

เสียงโวยวายดังขึ้นอีกครั้งหลังจากกดยกเลิกการพักสาย ผมปล่อยให้เนยโวยวายต่อสักพักก่อนจะเอ่ยปากปราม

“เนยใจเย็นๆ แล้วก็ค่อยๆ พูดได้ไหม” เสียงเธอขาดหายไป ผมแอบถอนหายใจเบาๆ

“ที่มิกซ์โพสต์มันหมายความว่ายังไง”

“เราก็หมายความตามที่โพสต์”

“กรี๊ด!!!” ผมสะดุ้งโหยง รีบยกโทรศัพท์ออกจากหู สาบานว่าเธอไม่ได้กินนกหวีดเข้าไป

“มิกซ์ทำแบบนี้กับเราได้ยังไง บอกมานะว่านังนั่นมันเป็นใคร” ฟังจากเสียงเดาว่าของที่อยู่รอบตัวเธอคงกำลังลอยกระจัดกระจายทั่วห้อง

“เนยใจเย็นๆ แล้วฟังเรานะ เนยไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่ว่าเรากับเขากำลังคบกันแค่นั้นพอ”

“แล้วเราล่ะมิกซ์ เรารักมิกซ์ มิกซ์จะทำแบบนี้กับเราไม่ได้” ภาพวันที่ผมโดนเธอบอกเลิกลอยเข้ามาในหัว ผมเคยขอร้องในประโยคเดียวกันแต่เธอก็เลือกที่จะเดินจากไป จนวันนี้ผมได้เจอคนที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจ ผมไม่มีทางปล่อยมือและเดินกลับไปหาเธออีก

“เราไม่รู้หรอกนะว่าเนยกลับมาหาเราเพราะอะไร แต่ตอนนี้เรามีแฟนแล้วและเขาก็ไม่ชอบให้เราคุยกับใคร เราขอร้องล่ะเนย เลิกยุ่งกับเราได้ไหมเราไม่อยากให้แฟนเราเข้าใจผิด”

“เราขอโอกาสอีกสักครั้งได้ไหม เรารักมิกซ์จริงๆ นะ” เสียงเธอดูกระวนกระวาย

“คงไม่ได้หรอกเนย”

“ทำไมล่ะทำไม กรี๊ด!!!” เธอระเบิดเสียงกรี๊ดจนต้องยกโทรศัพท์ออก

“เราบอกเหตุผลไปหมดแล้ว ถ้าเนยยังไม่เข้าใจเราก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” ผมกดตัดสาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมบอกเหตุผลทุกอย่างไปหมดแล้ว ถ้าหากเธอยังดื้อดึงไม่ฟังเหตุผลผมกับเธอคงไม่มีอะไรต้องคุยอีก



เสียงแจ้งเตือนเรียกความสนใจให้กลับไปที่แอปสีฟ้า ผมเปิดอ่านโพสต์บนไทม์ไลน์อีกครั้งและหลุดยิ้มเมื่ออ่านข้อความ

คอมเมนต์หลายร้อยคอมเมนต์ที่เด้งขึ้นมาไม่หยุด 90 เปอร์เซ็นต์ของคอมเมนต์คือต้องการรู้ว่าแฟนของผมคือใคร ส่วนที่เหลือคือคอมเมนต์ของเหล่าเพื่อนตัวดีที่แท็กทีมกันเข้ามาคอมเมนต์กันอย่างสนุกสนาน

แน่นอนว่าพวกมันรู้ว่าแฟนผมคือใคร แต่พวกมันรู้ว่าผมยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องผมกับช้อป คอมเมนต์ของพวกมันจึงเป็นเพียงการแซวประสาเพื่อนกันเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่เมื่อไรผมจะเปิดเรื่องที่คบกับช้อปนั้น ผมคงต้องขอเวลาทำใจให้ชินกับสายตาคนรอบข้างให้ได้ซะก่อน

ผมเปิดอ่านคอมเมนต์ของเหล่าเพื่อนที่น่ารักทั้งหลาย เริ่มจากเพื่อนแทนที่แท็กเพื่อนรักอย่างไอซ์ให้รีบเข้ามาเสือก เอ้ย! แสดงความคิดเห็น

แทน แทน : กูว่าตอนที่มันสองคนออกไปข้างนอก

ไอซ์ซี่ : เออกูก็ว่าใช่ ไอ้เชี่ยมิกซ์ตอบพวกกูมาเลยนะ (ต่อท้ายด้วยการแท็กชื่อผม)

ปรบมือให้กับความขี้เสือกของพวกมันครับ เดาแม่นยังกะตาเห็น

ผมเลื่อนลงอ่านคอมเมนต์ถัดมาที่ถูกเปิดประเด็นโดยกิ๊ฟสาวเซนต์แรงของกลุ่มพร้อมกับแท็กรวมพลเพื่อนทั้งหมดให้มาช่วยกันออกความคิดเห็น

เรื่องเนื้อหาผมจะไม่พูดถึงเพราะมันเยอะพอๆ กับรายงานวิชาฟิสิกส์ของอาจารย์ป้า เอาเป็นว่าสรุปคร่าวๆ ก็เรื่องที่ผมกับช้อปคบกันที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ตามประสาคนขี้เสือกอย่างพวกมัน

ผมยังแอบเห็นไอ้แทนกับไอซ์ดอดเข้ามาช่วยออกความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติ ไม่รู้ว่าพวกมันแอบไปรู้จักกันตอนไหนถึงได้คุยกันอย่างกับรู้จักกันมานาน

คอมเมนต์ถัดมาเป็นของสาวสวยเดือนของผมนั่นเอง รายนี้ยังคงแซวผมด้วยประโยคเดิม ‘อิจฉาคนมีแฟน’ ไม่หยุด

และสุดท้าย คอมเมนต​์ของพี่รหัสสุดหล่อที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งเฮือก เพราะพี่แกจัดหนักด้วยข้อความที่ว่า ‘ใครอยากรู้ว่าแฟนน้องผมเป็นใครทักมาเลยครับ’ พร้อมแท็กเฟชบุคแฟนผมต่อท้าย หวังว่าจะไม่มีใครบ้าจี้ทักพี่แกไปจริงๆ นะครับ

ผมเลื่อนอ่านคอมเมนต์ของพวกเพื่อนๆ ต่อสักพักแต่ไม่ได้พิมพ์ตอบกลับพวกมัน เพราะผมรู้ดีว่าถึงจะตอบอะไรไปตอนนี้พวกมันก็หาว่าผมไม่พูดความจริงทั้งหมดอยู่ดี เอาไว้ชี้แจงแถลงไขให้พวกมันรับทราบตอนเจอกันที่คณะรวดเดียวเลย ช่วงนี้ก็ปล่อยให้ต่อมเสือกของพวกมันทำงานไปพลางๆ ก่อน

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 24





ก็อกๆ ๆ ก็อกๆ ๆ

“มาเช้าจัง”

วันนี้แฟนผมมาด้วยชุดไปรเวท ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำ ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนรัดรูปกับรองเท้าผ้าใบสีขาว

ชุดเรียบๆแต่แม่งโคตรหล่อ

ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือใจเราตรงกัน ชุดที่ผมใส่ใส่ดันคล้ายกัน ต่างกันที่เสื้อของผมเป็นสีขาวส่วนของมันเป็นสีดำเท่านั้น ดูแล้วเหมือนเราใส่ชุดคู่ยังไงยังนั้น

“มึงก็ตื่นเช้าจัง”

ตื่นเช้าเหรอ? อันที่จริงผมยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก ‘เดทแรก’ คำเดียวทำผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ

“กินไรมายัง”

“ยัง รอกินพร้อมมึง”

“งั้นรอเดี๋ยว” ผมเดินไปหยิบนมสองกล่องในตู้เย็น ดื่มคนละกล่องน่าจะพอรองท้องได้

“อ่ะ นี่” 

แล้วบทสนทนาก็จบลงดื้อๆ ความเงียบเข้าปกคลุม เราดื่มนมกันเงียบๆ ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาดื่มไม่มีเสียงพูดคุย ผมคิดว่าคงเป็นผลมาจากสถานะใหม่ของเราตอนนี้

ทั้งที่เมื่อวานยังทำตัวกันปกติแต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงต่างคนต่างกลับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มคุยกันตรงไหน แม้แต่ขยับตัวยังเคอะเขินไปซะหมด





"หาว/หาว" เสียงแรกหลังจากเงียบไปนาน ผมอ้าปากหาวหวอด คนข้างๆ ก็เช่น 

"ง่วงเหรอ" มันเริ่มพูดก่อน

"อื้อ นอนไม่ค่อยหลับ มึงล่ะ"

"เหมือนกัน" มันเว้นช่วง สบตาผม "กูคิดถึงมึงทั้งคืน" 

หน้าผมร้อนผ่าว ใจเต้นตึกตัก ไม่ชินทุกครั้งที่มันพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้

ไม่ใช่ไม่ชอบ

แต่มัน...

เขิน

"...เลี่ยนสัส" 

"เลี่ยนแล้วชอบไหม" 

"ไม่โว้ย!" โว้ยวายกลบเกลื่อน

"ไม่ชอบแล้วเขินทำไม" 

"ใครเขิน" 

"แก้มแดงแปร๊ดยังจะโกหก" มันว่า มือหยิกแก้มผมเบาๆ จะไม่ชอบความขาวของตัวเองก็ตอนนี้แหละ

"พอได้แล้ว" ผมหน้ามุ่ย



การหาวเมื่อสักครู่ถือเป็นการละลายพฤติกรรมของเราได้เป็นอย่างดี มันกลับมากวนผมเหมือนเดิมแล้ว กลับมาพร้อมกับคำพูดเลี่ยนๆแต่ฟังที่ไรก็อดเขินไม่ได้จนต้องเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนจะเสียอาการไปมากกว่านี้

"แล้ววันนี้จะพากูไปไหน" 

"อืม...งั้นไปกันเลยดีกว่า" มันตอบไม่ตรงคำถามหรือผมถามไม่ตรงคำตอบ แต่ก็นั้นล่ะครับไม่มีเวลาให้ได้ถามอะไรอีก มันจับมือผมเดินออกจากห้อง ขับรถออกจากหอไม่ลืมแวะทานอาหารเช้าที่ร้านใกล้ๆมอ ระหว่างนั้นมันก็ไม่ได้พูดถึงแพลนหรือสถานที่เดทในวันนี้ แต่เดาว่าคงไม่มีอะไรต่างจากเดทของวัยรุ่นทั่วไป







“สาธุ”

สิ้นเสียงบทสวดภาษาบาลี ผมประนมมือยกขึ้นเหนือหัวพลางเหลือบมองคนข้างๆ

เดินห้าง กินข้าว ดูหนังคือเดทแรกของวัยรุ่นทั่วไปแต่ไม่ใช่สำหรับช้อป เดทแรกของเราเริ่มต้นด้วยการทำบุญถวายสังฆทาน แปลกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าช้อปมันจะพามาที่นี่ จะมีวัยรุ่นสักกี่คู่เดทกันที่วัด แต่ถือเป็นเรื่องดีเพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้เข้าวัดทำบุญ

“คิดยังไงถึงพามาทำบุญ” ผมว่าพลางเปิดถุงพลาสติกเทปลาช่อนตัวเขื่องสองตัวลงในแม่น้ำ

“หัดเข้าวัดซะบ้างไม่ใช่เข้าแต่ร้านเหล้า”

“เออ! กูมันคนบาป”

“รู้ตัวด้วย”

“ไอ้เชี่ยช้อป!” จะแก้ให้สักหน่อยก็ไม่ได้

“ล้อเล่นครับล้อเล่น ปะๆ เราไปที่อื่นต่อกันดีกว่า”







เราออกจากวัดกลับเข้าในตัวเมือง สถานที่ต่อไปคือห้างใหญ่ใจกลางเมืองแหล่งรวมตัวของวัยรุ่น รถบนถนนยังหน้าแน่นเหมือนทุกวัน กว่าจะแทรกตัวถึงที่หมายและหาที่จอดรถได้ก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง

ห้างแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก ใช้เวลาเดินเท้าแค่สิบนาทีก็ถึง ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักศึกษา

นักศึกษาหลายคนรู้จักผมในนามเดือนวิศวะและแน่นอนว่าทุกคนต้องรู้จักช้อปด้วย ผมหยิบหมวกแก๊ปที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาใส่ จำเป็นต้องพรางตัวนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ใครจำได้

ถึงจะไม่มีใครสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา แต่ตอนนี้ผมกับช้อปคบกันแล้ว เราอยู่ในสถานะแฟนและช้อปมันก็เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของผมมากขึ้นด้วยการจับมือ ถ้ามีใครเห็นเข้าต้องรู้แน่ว่าเราเป็นอะไรกัน

เคยได้ยินว่าสาเหตุหลักที่ทำให้คนรักร่วมเพศเลิกกันไม่ได้เกิดจากคนสองคน แต่ส่วนใหญ่เกิดจากคนภายนอก ผมยังไม่อยากให้ใครรู้จนกว่าจะมั่นใจว่าผมสามารถรับมือกับสายตาที่มองมาได้ ผมไม่อยากให้สายตาพวกนั้นมีอิทธิพลกับผม ผมไม่อยากเลิกกับช้อปด้วยเหตุผลนี้

“จะไปไหน” ผมเ่ยถาม

พอเข้ามาในตัวห้างช้อปมันก็จับมือตรงขึ้นบันไดเลื่อนทันที

“ถึงแล้ว เดี๋ยวก็รู้เอง” มันหันกลับมายิ้ม ตอบเพียงสั้นๆ และจูงมือผมเดินต่อ ผมไม่ได้ถามอะไรมันอีกเพียงเดินตามหลังเงียบๆ



มันพาผมเดินแหวกฝูงชนขึ้นมาที่ชั้นสามของห้าง ชั้นนี้ถูกจัดไว้เป็นชั้นสำหรับสินค้าไอทีโดยเฉพาะ ตอนนี้เรายืนอยู่หน้าร้านจำหน่ายสินค้าไอที่ชื่อดังร้านหนึ่ง

“นี่มึงจะซื้อให้กูจริงเหรอ”

“จริงสิ กูสัญญากับมึงแล้วไง”

มันพูดถึงสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวานนี้ว่าถ้าผมหายโกรธมันจะซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่อยากได้ให้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะซื้อให้จริง

“มึงไม่ต้องซื้อให้กูก็ได้นะ”

“ทำไมล่ะ มึงอยากได้ไม่ใช่เหรอ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน

“ก็อยากได้ แต่กูไม่อยากเอาเปรียบมึง” เมื่อคืนผมนอนคิดดูแล้วว่าไม่รับจะดีกว่า ครั้งที่แล้วกีตาร์ตัวละหลายหมื่นครั้งนี้คอมฯ ราคาเป็นแสน ผมยังไม่เห็นเหตุผลที่มันต้องเสียเงินมากมายเพื่อเอาใจผม

อีกอย่างที่ผ่านมาผมจะเป็นฝ่ายเปย์แฟนเสมอ กลับกันตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายถูกเปย์ซะเอง เป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ชินสักเท่าไร

“เอาเปรียบ?”

“มึงให้กูตั้งหลายอย่างแต่กูไม่เคยให้อะไรมึงเลย”

“มึงไม่ต้องคิดมาก กูให้เพราะกูอยากให้” 

“แต่…”

“กูเคยบอกแล้วไง แค่มึงยอมเป็นแฟนกูก็คุ้มมากแล้ว” เหตุผลของมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี เหมือนว่าผมยอมตอบตกลงเพราะของพวกนั้นทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่

“มึงรับไปเถอะนะ” คะยั้นคะยออยากเสียเงินเนี่ยนะ แปลกคนจริงๆ

“ไม่เอากูไม่รับ”

“งั้นบอกเหตุผลมาก่อนว่าทำไม”

เหตุผลมีอยูในใจแล้วเหลือแค่รวบรวมความกล้าพูดมันออกไปเท่านั้น



เอาวะ ถ้าไม่พูดให้เข้าใจมันคงไม่ยอมง่ายๆ



“ช้อป มึงรู้ไหมว่ากูยอมคบกับมึงเพราะอะไร” มันส่ายหน้า เรื่องที่ควรรู้กลับไม่รู้ “เพราะกูรักมึงไง มึงบอกว่าคุ้มที่ได้คบกับกูแต่สำหรับกูแม่งโคตรคุ้มที่ได้คบกับมึง”

หากวัดกันที่ความคุ้มค่าผมคงเป็นคนที่คุ้มที่สุด นอกจากพ่อกับแม่แล้วจะมีใครดูแลผมได้ดีเท่ากับมัน

มันนิ่งไปสักพักก่อนยื่นหน้ามองสำรวจผมใกล้ๆ เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“นี่มึงเป็นใคร” มันประกบมือที่ข้างแก้มพยายามใช้นิ้วโป้งสองข้างง้างปากผม “แอบกลืนแฟนกูเข้าไปใช่ไหม คายออกมาเดี๋ยวนี้”

“พอเลย...” ผมยู่หน้าแกะมือมันออก "มึงแม่ง"

“แน่ใจนะว่าไม่เอา”

“อื้อ” ผมตอบเพียงสั้นๆ แอบเสียดายแต่ไม่อยากเอาเปรียบมัน เอาไว้ค่อยเก็บซื้อเองก็ได้ เครื่องที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ยังดีแถมยังได้โน๊ตบุ๊คตัวใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งเครื่อง แค่นี้ก็ไม่รู้จะใช้เครื่องไหนก่อนดี





เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน เราจึงหันหลังให้ร้านเดินออกจากชั้นสินค้าไอทีกลับมาที่ชั้นขายสินค้าทั่วไป ตลอดทางที่เดินลงมา ผมแอบสังเกตสีหน้าคนข้างๆ เป็นระยะ ตั้งแต่ที่เดินออกจากร้านจนถึงตอนนี้มันยังไม่หุบยิ้มเลย มันยิ้มซะผมกลัวว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะหาว่ามันบ้า

“มึงจะยิ้มอะไรนักหนา” ไม่มีคำตอบใดๆ มีเพียงรอยยิ้มแบบเดินส่งกลับมา

“ช้อป...เลิกยิ้มได้แล้วกูอายเขา” ผมดึงแขนมันให้หยุด

“ทำไมต้องอายด้วย” ยังมีหน้ามาถามอีก

“เดินไปยิ้มไปเดี๋ยวเข้าก็หาว่าบ้าหรอก”

“หล่ออย่างกูไม่มีใครคิดว่าบ้าหรอก” มันว่าพลางฉีกยิ้มแล้วเดินต่ออย่างมั่นใจ

เอากับเขาสิครับ นอกจากบ้ายังหลงตัวเองอีก ผมจะทำยังไงกับไอ้แฟนคนนี้ดี

เมื่อผมไม่อาจหยุดยั้งความมั่นใจที่สูงลิ่วของแฟนตัวเองได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้มันเดินยิ้มโชว์ฟันขาวกับหน้าหล่อของมันต่อไป





หลังจากที่ผมปฏิเสธการรับชุดแต่งคอมฯ จากช้อปทำให้แพลนในช่วงสายที่มันวางไว้ว่างไป กว่าจะถึงเวลาที่มันจองร้านอาหารไว้ก็อีกสองชั่วโมงกว่าได้ เรายืนตกลงแผนใหม่กันครู่หนึ่งก่อนจะได้ข้อสรุปว่าเราจะเดินเล่นและช้อปปิ้งเพื่อฆ่าเวลา

“ตัวนี้เข้ากับมึง”

มันเดินนำเข้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง หยิบเสื้อเชิ้ตลายทางทาบบนตัวผม

“งั้นเอาตัวนี้นะ” มันว่าแล้วถือเสื้อตัวนั้นเดินไปราวถัดไปโดยไม่รอความเห็นจากผม

“ตัวนี้ก็สวย” เสื้อตัวที่สอง สามและสี่ตามมาติดๆ ผมทำได้เพียงยืนนิ่งเป็นหุ่นโชว์ให้มันลองชุด ตัวไหนที่ใช่จะถูกเลือกไว้ส่วนตัวที่ไม่ใช่จะถูกแขวนกลับที่เดิม

ช้อปเป็นคนค่อยข้างมีเทสทางด้านแฟชั่น เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่มันเลือกค่อนข้างสวยและเข้ากับลุคผมได้ดี ที่สำคัญยังตรงตามสไตล์ที่ผมชอบด้วย

อย่างที่บอกว่าโคตรคุ้ม ได้แฟนแถมยังได้สไตล์ลิสต์ส่วนตัว



“ทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยบาทค่ะ” พนักงานสาวผายมือไปที่ตัวเลขบนจอ ผมอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะล้วงกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกางเกงออกมา ถึงจะแพงไปสักหน่อยแต่ช้อปมันอุตส่าห์เลือกให้

ผมหยิบบัตรเครดิตในกระเป๋าส่งให้พนักงาน แต่ก่อนที่บัตรของผมจะถึงมือพนักงานก็ถูกตัดหน้าด้วยบัตรอีกใบของคนข้างๆ

“อะไรของมึงวะ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ทั้งที่ตกลงกันแล้วแต่มันกลับยื่นบัตรเครดิตของตัวเองให้พนักงาน

“ร้านนี้เขาจัดโปรฯ คู่รัก ใช้บัตรกูแล้วได้ส่วนลด ใช่ไหมครับ” มันหันไปถามความคิดเห็นของพนักงานสาว

“คะ! ชะ...ใช่ค่ะตอนนี้ร้านเรามีโปรโมชั่นคู่รัก” เธอรีบยืนยันคำพูดของแฟนผมทันที

“เห็นไหมล่ะ” พูดจบมันก็รับถุงเสื้อผ้ากับบัตรเครดิตเดินออกจากร้าน ทิ้งผมไว้กับความสงสัยต่อหน้าพนักงานสาวที่กำลังอมยิ้มบิดตัวไปมาจนช้อปต้องเดินกลับมาจูงมือผมเดินออกจากร้าน

ทั้งสองคนไม่ได้รวมหัวกันโกหกผมใช่ไหม





“มึงโกหกกูใช่ไหม”

“…”

“ช้อป!” ผมรั้งมือคนที่กำลังทำหูทวนลมให้หยุดเดิน มันสบตาก่อนพยักหน้ายอมรับผิด

“กูคิดว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”

“รู้...”

“แต่ก็ยังทำ”

"..." ถ้าพูดแล้วยังไม่เข้าใจสงสัยคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู

“เอากระเป๋าตังค์มึงมา” ผมแบมือขอกระเป๋าตังค์ของมัน มันเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมล้วงกระเป๋ากางเกงส่งสิ่งที่ผมขอมาให้ ผมรับมาแล้วเปิดนับเงินในนั้น เงินสดมีอยู่สามพันห้า

“บัตรนี่วงเงินเท่าไร” ผมชูบัตรเครดิตใบเดียวกับที่มันเคยใช้รูดค่าเสื้อผ้าให้

“สองแสน” โอ้โห...เด็กมหาลัยวงเงินบัตรเครดิจสองแสน ส่วนของผมนะเหรอวงเงินห้าหมื่นใช้ชื่อแม่เป็นเจ้าของบัตรแถมยังต้องรายงานทุกครั้งที่ใช้อีก แต่อย่าไปสนใจบัตรวงเงินคนรากหญ้าอย่างผมเลย เรามาสนใจบัตรวงเงินสองแสนนี่ดีกว่า

“โอเค งั้นไปกันเลย”

“ไปไหน?”

“ชอบเปย์นักไม่ใช่เหรอ กูจะช้อปให้กระเป๋ามึงฉีกไปเลย”

ถ้าไม่ได้เสียเงินมันคงนอนไม่หลับ งั้นก็จัดให้เขาหน่อยละกัน



ผมเดินช้อปต่ออีกหลายร้าน ได้เสื้อผ้าและรองเท้าผ้าใบเพิ่มมาอีกสามคู่ กะจะลองหยิบคู่แพงๆ ให้มันตกใจเล่นสักหน่อยแต่มันกลับหยิบคู่ที่แพงกว่ามาให้ซะงั้น สุดท้ายก็ได้ของติดไม้ติดมือมาอีกหลายอย่าง สิบเปอร์เซ็นต์คือของที่ผมเลือกเองส่วนอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเจ้าของบัตรเลือกให้

ดูท่าว่าการเลือกของแพงจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด

บ้านมึงผลิตแบงก์หรือไงวะ





เดินช้อปปิ้งกันจนเวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาของมื้อเที่ยง ช้อปเดินนำผมออกจากห้างตรงไปร้านอาหารที่จองไว้ใกล้ๆ

ใช้เวลาแค่ห้านาทีก็มาถึงร้านซูชิ Omakase ชื่อดังของย่านนี้ ผมได้ยินชื่อเสียงร้านนี้มาสักพักแต่ยังไม่มีโอกาสได้มาลิ้มลอง

เรายืนอยู่หน้าร้านที่จัดตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นโมเดิร์น พนักงานสาวในชุดกิโมโนลายดอกซากุระสีชมพูเดินออกมาต้อนรับก่อนพาเราไปนั่งรอที่ด้านใน

“มึงรออยู่นี่นะ กูจะออกไปทำธุระแป๊บเดียวเดี๋ยวรีบกลับมา” ยังไม่ทันที่ก้นจะแตะเก้าอี้ช้อปมันก็ขอตัวออกไปทำธุระ ออกไปโดยไม่ได้บอกว่าธุระที่ว่าของมันคืออะไร

ส่วนผมนั่งรอได้สักพักก็นึกอะไรออกจึงเดินไปหาพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ ฝากให้เธอช่วยดูแลข้าวของที่ซื้อมาก่อนเดินออกจากร้านกลับเข้าไปในตัวห้าง



วันนี้ช้อปมันซื้อของให้ผมหลายอย่างแต่ผมยังไม่ได้ให้อะไรมันกลับเลยแม้แต่อย่างเดียว ผมคิดว่าถ้าออกไปตอนนี้ก็น่าจะพอมีเวลาหาซื้อของขวัญให้มันได้ทัน

แต่ที่ยากกว่าการทำเวลาคือผมยังคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไร เสื้อผ้า? รองเท้า? แต่ผมว่าไม่ทั้งคู่เพราะถ้ามันอยากได้คงซื้อพร้อมกับตอนที่จ่ายเงินให้ผมแล้ว

ผมเดินผ่านร้านหลายร้านพยายามมองหาของที่เหมาะกับมันแต่แม่งโคตรยากเลย ผมเคยซื้อของขวัญให้ผู้ชายซะที่ไหน นอกจากซื้อเหล้าเป็นของขวัญวันเกิดให้ไอ้แทนกับไอซ์ก็ไม่เคยซื้อให้ใครอีก

“ชอบไหม”

“เธอซื้ออะไรให้เค้าก็ชอบทั้งนั้นแหละ ขอบคุณนะ” ผมหันมองตามเสียง คู่รักชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินออกจากร้านขายเครื่องประดับ ฝ่ายชายเอ่ยถามหลังจากสวมสร้อยข้อมือให้แฟนสาว

สร้อยข้อมือ?

เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ผมไม่เคยเห็นช้อปใส่อะไรที่แขน แม้แต่นาฬิกาข้อมือผมยังไม่เคยเห็นมันใส่ ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อสร้อยข้อมือนี่แหละให้เป็นของขวัญสำหรับเดทแรก



ผมก้าวเท้าเข้าไปในร้านด้วยอาการประหม่า พนักงานสาวในชุดสูทกระโปรงดำเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีค่ะ ต้องการอะไรสอบถามได้นะคะ”

“อะ...เอ่อ...สร้อยข้อมือครับ”

พนักงานยิ้มรับก่อนผายมือและเดินนำไปที่โซนเครื่องประดับสำหรับข้อมือ

“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการใส่เองหรือสำหรับคนพิเศษคะ”

“แฟนครับ”

พูดจบเธอก็หยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาเส้นหนึ่ง

“ดิฉันแนะนำเส้นนี้ค่ะ สร้อยเส้นเล็กเหมาะกับคุณผู้หญิง”

“เอ่อ...คือ...ผมอยากได้ของผู้ชายน่ะครับ”

เธอยิ้มเจื่อนรีบวางสร้อยในมือลงก่อนหยิบสร้อยข้อมืออีกเส้นขึ้นมาแทน ดูก็รู้ว่าเธอกำลังตกใจที่ได้ยิน นี่แหละสาเหตุที่ผมยังไม่ยากเปิดตัวว่าคบกับช้อป

“ลูกค้าลองดูเส้นนี้แทนนะคะ” เธอส่งสร้อยอีกเส้นที่ถักขึ้นจากหนังสีดำขลับร้อยเข้ากับสเตนเลสสีเงิน ดูเรียบๆ ไม่มีอะไร แต่ผมว่าเรียบๆ นี่แหละเหมาะกับมันมากที่สุด

“งั้นเอาเส้นนี้ครับ”

“ลูกค้าต้องการเส้นนี้นะคะ” พนักงานสาวทวนคำก่อนเดินนำไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน

“ทั้งหมด 16,200 บาทค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าจะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรคะ” ราคาค่อนข้างสูงแต่ก็เหมาะสมกับชื่อเสียงของแบรนด์

“บัตรครับ” ผมแอบกลืนน้ำลายก่อนยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน คืนนี้คงได้นอนฟังเทศนาจากคุณนายแม่กันยาวๆ แล้วล่ะครับ

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณลูกค้า” บัตรเครดิตถูกส่งกลับมาพร้อมถุงกระดาษสีดำสกรีนชื่อยี่ห้อสีขาวโชว์หราอยู่ด้านข้าง ถ้าถือกลับไปแบบนี้ช้อปมันต้องเห็น มันคงสงสัยแล้วถามว่าคืออะไร ผมยังไม่อยากให้มันเห็น อยากเซอร์ไพรส์มันบ้างนะครับ

“เออ...ช่วยเอาออกจากกล่องแล้วเปลี่ยนเป็นถุงเล็กๆ แทนได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะได้ คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ” พนักงานคนเดิมหายไปสักครู่ก่อนเดินออกมาพร้อมกับถุงกระดาษเล็กๆ แบบนี้แหละครับมันจะได้ไม่สงสัย

“โอกาสหน้าแวะมาให้ทางเราบริการอีกนะคะ ขอให้มีความสุขกับคนพิเศษ ขอบคุณค่ะ” พนักงานสาวไหว้ขอบคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมยิ้มตอบแล้วเดินออกจากร้าน





ของชิ้นแรกที่ผมซื้อให้มัน





หวังว่ามึงจะชอบนะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
กระสุนนัดที่ 25

พอกลับมาถึงร้านอาหารก็เจอช้อปนั่งรออยู่แล้ว ผมรีบยัดถุงพลาสติกใส่กระเป๋ากางเกงก่อนที่มันจะสังเกตเห็น

“ไปไหนมา” กลับมาถึงมันก็ยิ่งคำถามใส่ทันที

“อะ...เอ่อ ไปเข้าห้องน้ำมา”

“ห้องน้ำ? ที่นี่ก็มีห้องน้ำ” มันมองด้วยสายตาจับผิด

“ก็...กูจะรู้ไหมล่ะ ก็กูไม่เคยมา”

“แน่ใจ…”

“เชิญลูกค้าเข้าด้านในค่ะ” ดั่งเสียงสวรรค์มาโปรด พนักงานในชุดกิโมโนเดินเข้ามาได้ทันเวลาพอดี

“เข้าไปข้างในเถอะกูหิวแล้ว” ผมรีบคล้องแขนลากมันเข้าไปร้าน ขืนโดนมันซักต่อได้ความแตกกันพอดี









ภายในร้านตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นโมเดิร์นเช่นเดียวกับหน้าร้าน ไฟวอร์มไลท์ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง พนักงานผายมือให้นั่งที่เก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์

เชฟในชุดทำครัวสีดำโค้งตัวต้อนรับก่อนแนะนำเมนูทั้งหมดที่จะจัดเสิร์ฟ เริ่มจากชาสีเหลืองอำพันในถ้วยกระเบื้องสีขาวที่เพียงจิบเล็กน้อยรสขมก็แผ่ซ่านไปทั่วปาก

“ลองนี่” ช้อปหยิบหอยโฮตาเตะพันด้วยสาหร่ายส่งมาให้ ผมยื่นมือไปรับแต่มันส่ายหน้าและดึงมือหนี

“อ้าปาก” เสียงน้ำย่อยในกระเพาะทำให้ผมจำใจต้องอ้าปากให้มันยัดหอยโฮตาเตะคำโตเข้ามา

“อื้อ!” เพียงกัดคำแรกความอร่อยก็กระจายไปทั่วปาก รสชาติความสดนี่มันสุดยอดจริงๆ

“อร่อยใช่ไหมล่ะ” มันว่าพลางหยิบชิ้นของตัวเองเข้าปาก ผมพยักหน้าครางอู้อี้ในลำคอเป็นคำตอบ

อร่อยมากครับ อร่อยสมคำร่ำลือ

“อร่อยก็กินเยอะๆ”

ซูชิหลากหลายหน้าทยอยไล่เสิร์ฟให้ได้ลิ้มลอง เชฟเจ้าของเมนูคอยแนะนำวิธีการทานรวมถึงไล่เรียงที่มาของอาหารช่วยเพิ่มอรรถรสและความอร่อยได้เป็นอย่างดี

“มึงช่วยกินนี่หน่อยดิ” ผมเลื่อนจานอูนิให้คนข้างๆ

อูนิหรือไข่หอยเม่นเป็นอาหารญี่ปุ่นอย่างเดียวที่ผมไม่ชอบ

“ไม่ชอบเหรอ”

“อื้อ มันแหวะอ่ะ” จำได้ว่าเคยอ้วกเพราะมันสองครั้ง ครั้งแรกที่ลองทานกับครั้งที่สองที่ยังไม่เข็ด สุดท้ายก็อ้วกออกมาเหมือนเดิม ครั้งนี้ขอบายละกันครับ เสียดายของอร่อยที่เพิ่งกินเข้าไป

“ป้อนหน่อยสิ” มันอ้าปากกว้าง ทำหน้าอ้อน เห็นแล้วอยากเอาวาซาบิป้ายให้เข็ด





วาซาบิเหรอ?

หึๆ อยากให้ป้อนนักใช่ไหมได้ (ยิ้มเจ้าเล่ห์)





“หลับตาก่อน” มันทำตามอย่างไม่คิดสงสัย ผมใช้จังหวะที่มันหลับตาแอบป้ายวาซาบิก้อนโตไปบนซูชิก่อนยัดใส่ปากมันทั้งคำ

มันลืมตายกยิ้มและเริ่มเคี้ยวโดยไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ผมยิ้มตอบเพื่อไม่ให้มีพิรุธพลางแอบนับถอยหลังรอระเบิดเวลาที่ติดตั้งไว้ทำงาน

สาม

สอง

หนึ่ง

ตู้ม!

“อ้าก!!!” ระเบิดเวลาที่วางไว้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รอยยิ้มที่เคยมีหายวับไป ใบหน้าเหยเกจนไม่เหลือเค้าโครงความหล่อ มันร้องซู้ดซ้าดมือคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆ กระดกเข้าปากรวดเดียวหมด ส่วนผมนั่งขำก๊ากเพราะแกล้งมันได้สำเร็จ

“มิกซ์ ขอน้ำหน่อย” คราวนี้มันหันมาขอความช่วยเหลือจากผมบ้าง ขึ้นชื่อว่าวาซาบิคงไม่ง่ายที่ดับความเผ็ดจี๊ดขึ้นสมองได้ด้วยน้ำแก้วเดียว

อยากแกล้งมันต่อแต่เห็นมันเผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหลก็อดสงสารไม่ได้ ผมหยิบแก้วของตัวเองส่งให้ มันรับไปแล้วกระดกรวดเดียวหมด

หน้าหล่อเริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติแต่ยังเหลือส่วนปากที่ยังอ้าพะงาบๆ กับลิ้นห้อยเพื่อระบายความเผ็ด ยิ่งมองก็ยิ่งขำ

“ชอบแกล้งนักใช่ไหม มานี่เลย” คนโดนแกล้งไม่ปล่อยให้ผมลอยนวล คว้าตัวแล้วล็อกคอผมไว้ทันควัน

“อ้าก!!!” ผมร้องเสียงหลง ดิ้นพล่านเพราะถูกจี้จุดอ่อน โชคดีที่ร้านนี้ค่อนข้างไพรเวท ถ้าเป็นร้านอาหารทั่วไปคงถูกมองและหาว่าไม่มีมารยาท

“ชะ...ช้อป ขะ...ขอโทษ กะ...กูยอมแล้ว”

“พูดเพราะๆ แล้วเรียกกูว่าพี่ก่อน” แน่นอนว่าผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองอะไรได้เลย นอกเสียจากยอมทำตามที่มันต้องการ

ที่เขาว่ากรรมติดจรวดมันเป็นแบบนี้นี่เอง





โอ๊ย...ไม่ไหวแล้วโวัย





“พะ...พี่ ชะ...ช้อป ผะ..ผมยอมแล้ว คะ...ครับ”

“ดีมาก” มันว่าพลางยีหัวก่อนคลายท่อนแขนออกตามที่สัญญา ผมรีบโกยอากาศเข้าปอดขณะที่อีกคนกลายเป็นฝ่ายขำบ้างหลังจากเอาคืนได้สำเร็จ

“ฝากไว้ก่อนนะ” ผมหันหลังให้พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

“บ่นอะไร อยากโดนอีกรึไง” หูดีฉิบหาย

“ปะ...เปล่า”

ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ถึงทีกูบ้างนะ





ซูชิในลิสต์รายการยังคงทยอยเสิร์ฟเรื่อยๆ ผมหยิบซูชิเข้าปากทำเป็นไม่สนใจคนข้างๆ แม้มันจะพยายามชวนคุยอยู่ตลอดไม่คุยด้วยหรอก งอนแม่งแล้ว

“โอโทโร่ครับ” ในที่สุดซูชิชิ้นที่ผมรอคอยก็มาถึง โอโทโร่คือเนื้อส่วนที่ผมชอบทานที่สุด ทั้งหวาน ทั้งนุ่ม ละลายในปากแทบไม่ต้องออกแรงเคี้ยว

ผมไม่รีรอหยิบมันใส่ปากลิ้มรสความอร่อย ระหว่างเคี้ยวแอบเสตามองคนข้างๆ แต่ต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะสายตาสบเข้ากับมันพอดี ไม่ได้บังเอิญแต่รู้สึกว่ามันจะจ้องอยู่นานแล้ว

“มิกซ์” มันสะกิดไหล่เรียกแต่ผมทำเมินไม่สนใจ มันยังไมยอมแพ้ขยับเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับเลื่อนจานโอโท่โรของตัวเองมาไว้ตรงหน้า

“ง้อ”

“…” ผมยังทำเมินแต่แอบก้มมองจานซูชิ

“หายงอนนะ เดี๋ยวกูสั่งโอโทโร่ให้อีกชิ้น”

“จริงนะ” ผมหันไปอย่างลืมตัว

“จริงสิ แต่มึงต้องหายงอนก่อน” มันหยิบซูชิยกค้างไว้ใกล้ปากผม ทำหน้าอ้อนระหว่างรอคำตอบ

คงไม่ต้องเดา เอาขอโปรดมาล่อแบบนี้ใครจะทนไหว แต่จะปุบปับตอบตกลงเลยก็ไม่ได้ต้องเล่นตัวทำเป็นคิดสักหน่อยจะได้ไม่ดูง่าย

“อืม...ก็ได้ๆ” ว่าพลางงับโอโทโร่ในมือมันเข้าปาก มันยกยิ้มหัวเราะหึๆ ในลำคอแล้วหันไปคุยกับเชฟให้จัดโอโทโร่เพิ่มตามสัญญา





เชฟเสิร์ฟโอโทโร่ที่สั่งเพิ่มไปบนโต๊ะตามด้วยเมนูที่เหลือในรายการอีกสามเมนู ก่อนล้างคาวด้วยไข่หวานนุ่มๆ ละลายในปากเป็นเมนูปิดท้าย เรียกว่าเป็น Perfect Lunch สำหรับวันนี้

“ชอบไหม” ช้อปเอ่ยถามระหว่างเดินไปเช็กบิลที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน ผมพยักหน้าพลางลูบลอนท้องที่ป่องออกมา

“เดี๋ยววันหลังพามากินอีก” มันยิ้มแล้วเดินนำไปจ่ายเงินกับพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ จ่ายเสร็จก็รับของที่ฝากไว้แล้วเดินออกจากร้าน

พอออกมานอกร้านมันก็แย่งถุงทั้งหมดไปถือแล้วบอกว่าจะเอาไปเก็บที่รถ ผมขอไปด้วยแต่มันห้ามไว้ บอกว่าไปแป๊บเดียวมันบอกจองตั๋วหนังรอบบ่ายไว้บอกให้ผมไปซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นรอหน้าโรงหนัง คุยยังไม่ทันรู้เรื่องมันก็ตัดบทแล้วรีบเดินหนีไปเลย







ตอนนี้ผมอยู่หน้าโรงหนัง ก้มๆ เงยๆ มองนาฬิกาข้อมือสลับกับมองรอบๆ หาแฟนตัวเอง หยิบป๊อปคอร์นที่ไม่หลงเหลือความกรอบใส่ปาก ถอนหายใจครั้งที่เท่าไรไม่รู้แต่ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของมันเลย จะโทรตามแบตมือถือก็ดันหมดซะได้

“มึงๆ คนนั้นแม่งโคตรน่ารัก” เสียงสนทนาด้านหลังทำให้ผมหยุดคิดเรื่องช้อปไปชั่วขณะ ผมคุ้นกับเสียงนี้มาก คุ้นซะจนต้องเงี่ยหูฟังให้ชัดๆ

“ไหนวะ”

“คนนั้นไง”

ชัดเลยเสียงไอ้เพื่อนรักของผมเอง มันมากับกลุ่มเพื่อนในคณะของมัน ผมหันไปมองแล้วรีบก้มตัวหลบโชคยังดีที่พวกมันนั่งหันหลังเลยไม่ทันเห็นผม ถ้าพวกมันเห็นเข้าได้ล็อกตัวบังคับให้ผมตอบคำถามเรื่องเมื่อวาน ผมยังไม่อยากตอบอะไรพวกมันตอนนี้เอาไว้วันจันทร์ค่อยอธิบายรอบเดียวเผื่อเวลาไว้คิดคำตอบดีๆ ให้พวกมันด้วย

ผมโผล่หน้าพ้นพนักพิงแอบมอง พวกมันยังส่องสาวโดยไม่รู้ว่าผมหลบอยู่ด้านหลัง ผมพยายามสอดส่ายสายตามองหาช้อประหว่างนั้นก็แอบส่องความเคลื่อนไหวของไอ้สองตัวอยู่ตลอดๆ แต่ไม่มีวี่แววว่าพวกมันจะลุกออกไป ถ้าช้อปมันโผล่มาตอนนี้คงจบเห่

ไปสักทีสิวะ





เพราะแบตมือถือหมดทำให้ผมหนีไปไหนไม่ได้ ถ้าหนีก็กลัวจะคลาดกับช้อป





“เชี่ย!” ผมสะดุ้งตัวโยน โพล่งออกไปสุดเสียง จู่ๆ มีใครไม่รู้มาสะกิดหลัง พอหันกลับไปมองก็เจอไอ้ตัวดียืนหน้าสลอนอยู่ด้านหลัง พูดยังไม่ทันจะขาดคำแถมโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง

ผมกำลังจะอ้าปากบ่นแต่นึกขึ้นได้ว่าสองตัวนั้นอยู่ตรงนี้ด้วยเลยรีบคว้าคอมันหมอบลงข้างๆ ไม่มั่นใจว่าพวกนั้นได้ยินไหมแต่ขอให้ไม่ได้ยินทีเถอะ

“มิกซ์...” ผมรีบปิดปากไอ้คนมาใหม่ไว้



“ชู่…” ปรามให้มันเงียบแล้วค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นไปมองสถานการณ์ด้านบน

เฮ้อ...โล่งใจไปดูเหมือนพวกมันไม่ได้สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อครู่ของผมสักเท่าไร

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ยังปกติดีจึงทิ้งตัวหลบหลังโซฟาเหมือนเดิม

“อื้อๆ ๆ อื้อๆ ๆ”

“เออๆ ปล่อยแล้วๆ” ผมดึงมึงที่ปิดปากมันออก ท่าทางมันคงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเต็มทน

“ทำอะไรของมึงเนี่ย”

“หลบไอ้เชี่ยแทนกับไอ้เชี่ยไอซ์” ผมตอบ

มันโผล่หน้าขึ้นไปมองแล้วก้มลงมาถาม

“ทำไมต้องหลบด้วยวะ”

“กูยังไม่อยากคุยกับพวกมัน” ผมว่าพลางยืดคอแอบมองพวกมันอีกรอบ มันสองคนไม่ได้นั่งอยู่ที่โซฟาแล้วแต่กำลังเดินหลังไวๆ ออกไป

เฮ้อ...โล่งอกไปที คิดว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว

“กูต้องอยู่ท่านี้อีกนานไหม”

ผมโผล่หน้าขึ้นไปมองอีกครั้งเพื่อความชัวร์ เมื่อแน่ใจว่าไอ้สองคนนั้นไปแล้วผมจึงลุกขึ้นยืนก่อนที่ช้อปมันจะลุกขึ้นตาม

“แล้วนี่มึงหายไปไหนมาตั้งนาน”

“เอาของไปเก็บไง”

“นานขนาดนี้มึงเอาไปเก็บที่ดาวอังคารมาเหรอ” ผมมองด้วยสายตาจับผิด วันนี้ท่าทางมันดูแปลกๆ ขอตัวออกไปข้างนอกสองครั้งติดแถมกลับมายังทำตัวมีพิรุธเหมือนกำลังปิดบังอะไรสักอย่าง

“โทษทีพอดีกูจำที่จอดรถไม่ได้ ขอโทษนะ” ผมยังสองจิตสองใจว่าจะเชื่อดีไหม แต่คิดๆ ดูแล้วที่มันพูดก็อาจจะจริง ห้างใหญ่โตซะขนาดนี้แถมที่จอดรถยังมีตั้งหลายชั้น แม้แต่ผมที่เป็นลูกค้าประจำก็ยังหลงอยู่บ่อยๆ มันเองก็คงไม่ต่างกัน

“เออๆ ไม่เป็นไรๆ”



เมื่อผมตอบแบนนั้นมันก็คลี่ยิ้มและเปลี่ยนเรื่องทันที

“มึงซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำมาแล้วใช่ไหมจะได้รีบเข้าไปข้างใน” ผมไม่ตอบแต่ก้มหยิบป๊อปคอร์นในถังใส่ปากมัน มันขยับกรามเคี้ยวครู่ใหญ่ก่อนกลืนลงคอด้วยสีหน้าฝืนๆ

แน่ละ ก็เหนียวซะขนาดนั้นถ้าฝืนกินหมดถังมีหวังได้กรามปูดกันไปข้าง

"แหะๆ รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวกูไปซื้อมาให้ใหม่" พูดจบมันก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับป๊อปคอร์นและน้ำอัดลมแก้วใหม่

“มากูช่วย” ผมเสนอตัวช่วย มันยิ้มก่อนจะพยักหน้าแล้วส่งแก้วน้ำมาให้

“ปะ รีบไปกันดีกว่าหนังจะฉายแล้ว”





ตอนนี้เราอยู่ในโรงหนัง เพราะมาช้าจึงต้องเอ่ยขอโทษตลอดทางเดินจนถึงที่นั่งที่อยู่ตรงกลาง เมื่อถึงที่นั่งก็จัดการหาที่วางป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลมให้เรียบร้อย

ถึงจะนั่งอยู่ในโรงหนังแล้วแต่ผมไม่รู้หรอกว่าหนังที่กำลังจะเริ่มฉายในอีกไม่กี่นาทีคือเรื่องอะไร ตอนเข้ามาก็รีบจนลืมสังเกตชื่อเรื่องตรงทางเข้า กระทั่งหนังเริ่มฉายถึงได้รู้ว่าคือเรื่อง ‘กัปตันมาเวล’

เมื่อสองสามวันที่แล้วผมเพิ่งคุยกับไอ้แทนไอ้ไอซ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ไป เราสามคนเป็นแฟนตัวยงของค่ายมาเวล ติดตามกันตั้งแต่ยังเป็นคอมมิคจนหลายเรื่องถูกเอามาทำเป็นหนังและเราสามคนก็มักจะกอดคอมาดูด้วยกันทุกครั้ง



แต่แปลกที่วันนี้พวกมันแอบมากันสองคนโดยไม่ชวนผมและแปลกที่ไอ้คนข้างๆ เป็นคนพามาดูหนังเรื่องนี้แทน ผมมั่นใจว่าไอ้สองตัวนั้นต้องมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้

“รู้ได้ไงว่ากูอยากดูเรื่องนี้” ผมหันไปกระซิบถามเบาๆ เพราะกลัวจะเสียมารยาท

"..." มันหันมายิ้มแต่ไม่ตอบแถมยังฉกป๊อปคอร์นในมือผมเข้าปากหน้าตาเฉย จะด่ามันสักหน่อยแต่หนังดันเริ่มฉายซะก่อน เลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ เดี๋ยวรอให้หนังจบก่อนจะคิดบัญชีให้หมด



หนังฉายได้ไม่นานไอ้คนข้างๆ ก็เริ่มอาการแปลก พอหันไปก็เห็นมันอ้าปากชี้นิ้วยิกๆ ไปที่ถังป๊อปคอร์น ผมรู้ว่ามันต้องการอะไรแต่แกล้งทำเมินใส่ แต่มีเหรอที่คนอย่างมันจะยอมง่ายๆ มันยังไม่วายสะกิดไม่หยุด สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ จำใจหยิบป๊อปคอร์นใส่ปากมัน



แต่ด้วยความหมั่นไส้เลยแกล้งป้อนไม่เข้าปากมันบ้าง ให้โดนหน้าโดนจมูกมันบ้าง แต่แม่งเอาคืนด้วยการงับนิ้ว แถมยังลอยหน้าลอยตายั่วโมโหสุดๆ

ด้วยความอยากแก้แค้นผมจึงแกล้งบ่นว่าเมื่อยแขนมันจึงรับหน้าที่เป็นคนป้อน พอได้โอกาสผมก็งับนิ้วมันคืนบ้างแต่มันดันสำออยร้องจ๊ากจนคนรอบๆ หันมามองเป็นตาเดียว กลายเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องขอโทษแบบสามร้อยหกสิบองศา โคตรไม่ยุติธรรม

ขอโทษขอโพยเสร็จก็กลับมาสนใจหนังที่กำลังฉายบนจอยักษ์ต่อ ตอนนี้เนื้อเรื่องดำเนินไปกว่าครึ่งแล้วและป๊อปคอร์นก็เกลี้ยงถังแล้วด้วย

ผ่านไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเย็นวาบที่หลังมือ พอหันไปมองก็พบว่าไอ้คนข้างๆ กำลังแอบเนียนจับมือ ผมแกล้งยกมือหนีแต่มันไม่ยอมปล่อยแถมยังดึงไปกุมไว้ที่ตัก แค่นั้นยังไม่พอ มันยังเลื้อยเอาหัวหนักๆ มาซบที่ไหล่อีก ดูแล้วก็ตลก มีใครบ้างจับมือ ซบไหล่ท่ามกลางสมรภูมิรบ โรแมนติกฉิบหาย

มันซบไหล่ได้ไม่นานก็ดึงตัวกลับก่อนสอดแขนที่ท้ายทอยและดึงให้ซบไหล่มันแทน แก้มซ้ายผมแนบกับไหล่กว้าง กลิ่นน้ำหอมตรงปกเสื้อลอยเตะจมูกจนหน้าร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นรัวไม่หยุด ถึงจะคบกันแล้วแต่อาการพวกนี้ก็ยังไม่หาย ตรงกันข้ามผมว่ามันหนักกว่าเดิมซะอีก



ผมนั่งซบมันอยู่อย่างนี้จนหนังจบ ระหว่างเดินออกจากโรงหนังมันก็กอดคอไม่ยอมปล่อย

"ชอบมากเลยสินะ"

"อื้อ โคตรสนุก" สนุกมากครับ แม้จะรู้สึกใจหายที่ต้องเสียฮีโร่ที่รักและผูกพันมากไปแต่ก็คุ้มค่าสมกับที่รอคอยมาหนึ่งปีเต็ม

"แล้วนี่หิวรึยัง"

"อื้อ" ผมตอบพลางลูบท้องไปด้วย

"งั้นเดี๋ยวหาอะไรกินก่อนกลับละกัน"





เราแวะหาอะไรทานกันก่อนเดินแหวกฝูงชนออกจากห้างกลับไปที่ลานจอดรถ ระหว่างอยู่บนรถก็ไม่ลืมเช็กของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง โอเค ยังอยู่ที่เดิม

ออกจากห้างกลับถึงห้องก็ห้าโมงเย็นพอดิบพอดี พอเข้ามาในห้องก็วางของไว้ที่พื้นแล้วทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา หมดแรงข้าวต้มปวดแข้งปวดขาไปหมด ส่วนช้อปเดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักก็เดินออกมายืนกอดอกสั่งให้ผมเอาของที่ซื้อมาไปเก็บ

“เอาของไปเก็บให้เรียบร้อย”

“เดี๋ยวค่อยเก็บ” ผมครางเสียงอ่อย ซุกหน้ากับโซฟาหนัง

“จะลุกเองหรือให้กูอุ้ม” ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีดตัวลุกจากโซฟาคว้าถุงทั้งหมดเดินคอตกเข้าไปในห้องนอน ไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ ของก็วางอยู่ในห้องแล้วแท้ๆ ทำไมต้องเร่งให้เอาไปเก็บด้วย



ผมเดินคอตกหิ้วถุงเข้ามาในห้องนอนเปิดตู้เสื้อผ้ากะว่าจะยัดไว้ก่อนแล้วค่อยตามมาจัดที่หลัง เหนื่อย...อยากกลับไปนอนต่อแล้ว แต่คิดดูอีกทีรีบจัดให้เสร็จดีกว่าจะได้นอนพักยาวๆ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TONYZZYUKI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เริ่มจากเปิดถุงเสื้อผ้าเอาออกมากองรวมไว้ข้างนอก ไม่ได้พับให้เรียบร้อยเพราะตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะส่งซักพร้อมกับชุดที่ใส่แล้วที่เดียว เอาเสื้อผ้าออกมาครบทุกชุดแล้ว ที่เหลือก็เป็นรองเท้า

ผมขมวดคิ้วมองถุงที่เหลือ รองเท้าสามคู่แต่ทำไมถึงมีสี่ถุง หรือว่าผมจะจำผิด ไม่สิ ผมว่าผมจำได้ หนึ่งคู่ที่ผมเลือกกับอีกสองคู่ที่ช้อปเลือก แล้วอีกถุงคืออะไร

ผมไม่ได้สนใจถุงกระดาษสีดำสามใบที่สกรีนยี่ห้อรองเท้าไว้ แต่มุ่งความสนใจไปที่ถุงพลาสติกสีขาวขุ่นใบใหญ่ ปากถุงปิดสนิท ด้านนอกไม่ได้สกรีนอะไร แต่ดูจากเหลี่ยมมุมที่ดันเนื้อพลาสติกออกมาก็พอมองออกว่าด้านในมีกล่องอยู่ ประเมินด้วยสายตาน่าจะสามกล่องได้ ชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าจะเปิดหรือไม่เปิดดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะเปิด เพราะถ้าไม่ใช่ของผมก็คงเป็นของช้อปมันแหละ

ผมเปิดถุงอย่างใจเย็น ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเพราะถ้าเป็นของที่ซื้อมาวันนี้ก็มีแค่เสื้อผ้าหรือไม่ก็รองเท้า แต่ด้านในเป็นกล่องเดาว่าคงไม่พ้นจะเป็นรองเท้า ไม่รู้จะซื้อมาทำไมนักหนา



แต่พอเปิดปากถุงเห็นตัวอักษรบนกล่องเท่านั้นแหละก็ตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างนอกสุดเสียง

“ช้อป!!!”

“กว่าจะเห็นนะ” ไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไรรู้ตัวอีกทีมันก็ยืนค้ำกรอบประตูแล้ว แถมตอบด้วยสีหน้าปกติดูไม่แปลกใจเหมือนกำลังรอให้ถึงเวลานี้

“มึงซื้อมาเหรอ" ผมมองกล่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่วางเรียงอยู่บนเตียงแล้วเงยหน้ามองมัน มันพยักหน้า "แต่เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ใช่...ตกลงกันแล้ว”

“แล้วนี่อะไร”

มันเดินผ่านกรอบประตู หยุดยืนที่ปลายเตียง

“ซีพียู การ์ดจอ แล้วก็เอสเอสดีไง”

ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ไม่รู้จักของพวกนี้และก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดมองไม่ออกว่ามันกำลังกวนประสาท

"..." ผมมองคาดโทษบอกให้รู้ว่าไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะรับมุกใดๆ ทั้งสิ้น

“ล้อเล่นหน่อยก็ไม่ได้” มันว่าแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง “กูตั้งใจจะซื้อให้เป็นของขวัญเดตแรก แต่มึงคง...ไม่อยากได้แล้ว” มันพูดประโยคหลังพร้อมกับยื่นมือทำท่าจะแย่งกล่องไป แต่ผมไวกว่า รีบคว้ากล่องทั้งหมดมากอดไว้ เบี่ยงตัวหลบไปอีกทางได้ทันมันจึงคว้าได้แต่อากาศ

“ได้ไง...ให้แล้วจะเอาคืนได้ไง” ถึงก่อนหน้าจะเคยยืนกรานว่าไม่รับ แต่มันบอกเองว่าซื้อให้เป็นของขวัญเดตแรกถ้าไม่รับเดี๋ยวจะกลัวเสียน้ำใจ 

พูดซะดูดี แต่อันที่จริงคือความอยากได้ส่วนตัวล้วนๆ ก็เล่นเอามาวางล่อกันขนาดนี้ใครจะอดใจไหว ไม่คืนหรอก อ้อยเข้าปากช้างแล้วคิดเหรอว่าจะเอาออกไปได้ง่ายๆ อยากได้ก็มาง้างเอา

ผมขยับตัวหนีจนหลังติดหัวเตียงแต่มันยังไม่วายขยับตัวตาม ผมไม่มีทางเลือกต้องดึงผ้าห่มมาพันรอบและซุกตัวอยู่ในนั้น กอดกล่องทั้งหมดไว้แน่น มันพยายามดึงผ้าห่มออกใช้เวลาอยู่นานแต่ไม่เป็นผลจนมันถอดใจ

“เฮ้อ...” มันถอนหายใจเสียงดัง ปล่อยมือจากผ้าห่ม “โอเคๆ ไม่เอาคืนแล้วก็ได้” พอได้ยินแบบนั้นก็หูผึ่งรีบคลายผ้าห่ม ผุดลุกขึ้นนั่ง แต่สองมือยังกอดกล่องไว้แน่น

“จริงนะ”

“อือ…”

“เยส!!!”

แต่ดีใจได้ไม่ถึงสามวิก็ต้องเบรกกะทันหันเพราะมันอาศัยจังหวะทีเผลอคว้ากล่องในมือผมไปกล่องหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นการ์ดจอ

“แต่มีข้อแม้...” มันชูกล่องที่แย่งไปเป็นตัวประกัน ผมมองตาละห้อย “ห้ามพูดกูมึงกันอีก”

“แล้วจะให้เรียกว่าไง พี่งั้นเหรอ” ผมเริ่มรู้จักมันในสถานะเพื่อนในเกม คุยกันครั้งแรกก็ต่างฝ่ายต่างพ่นคำสมัยพ่อขุนรามใส่กัน พอมารู้ความจริงว่ามันอายุมากกว่าก็ชินปากจนเปลี่ยนไม่ได้แล้ว แต่ถ้านับกันตามอายุแล้วเรียก ‘พี่’ น่าจะเหมาะที่สุด

มันส่ายหน้า ดูท่าจะไม่ถูกใจสักเท่าไร

“เอาแบบที่คู่อื่นเขาเรียกกัน”

ผมเคยมีแฟนมาหลายคนก็จริงแต่เรื่องหนึ่งที่ไม่อินเลยคือการแทนตัวเองด้วยคำอื่น ไม่ว่าจะเป็น ‘หมู’ ‘อ้วน’ ‘บี๋’ 'เค้า' 'ตัวเอง' หรืออะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น ไม่เอาด้วยหรอก ฟังแล้วมันจั๊กจี้หูแปลกๆ

"ว่าไง" มันยังกดดันไม่หยุด

ผมก้มมองกล่องในอ้อมแขนสลับกับในมือช้อป ใจหนึ่งก็อายอีกใจหนึ่งก็อยากได้ แต่ถ้าไม่ทำ...ก็อด 

ลองชั่งน้ำหนักระหว่าง อาย กับ อด สุดท้ายก็ทานไม่ไหวตัดสินใจเลือกสรรพนามที่ฟังดูไม่ขัดเขินที่สุดแล้วพูดออกไปเสียงแผ่ว 

“ตัว เค้า” พูดไปก็ได้ยินเสียงขำก๊ากของไอ้เพื่อนรักสองคนดังก้องในหัว

แต่เอาวะ ทนหน่อยเดี๋ยวคงชินไปเอง

“โอเคตามนั้น”



เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ผมได้ของครบทุกชิ้นก็ไม่รีรอให้เสียเวลา จัดการถอดปลั๊กคอมฯ ยกลงมาวางที่พื้น ปัดๆ ถูๆ เช็กดูภายในนิดหน่อยเพื่อเตรียมใส่อุปกรณ์ใหม่เข้าไป แต่ก่อนที่จะเริ่มประกอบก็ไม่ลืมถ่ายรูปอัพลงเฟซบุค อวดให้ไอ้สองตัวมันอิจฉาสักหน่อย

แคปชันไรดีวะ



ถ่ายรูปเสร็จเตรียมอัพแต่คิดแคปชันไม่ออก พิมพ์แล้วลบอยู่หลายรอบ

ก็ไม่เชิงว่าคิดแคปชันไม่ออกแค่ไม่รู้จะบอกว่าใครเป็นคนให้ จะใช้ชื่อช้อปตรงๆ เลยก็ไม่ได้



นั่งคิดอยู่สักพักก็เหลือบไปเห็นหมีบราวน์ที่หัวเตียง



‘ขอบคุณพี่หมีนะครับ’ ต่อท้ายด้วยอิโมจิรูปหัวใจ



ติ๊ด!!!

ลงปุ๊บก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนของคนบนเตียง มันกดยุกยิกบนหน้าแล้วยิ้มกับตัวเองก่อนหันมายิ้มให้ผม คงถูกใจเขามาก



ติ๊ด!!!

คราวนี้เป็นของผมบ้าง คงไม่ต้องเดาว่าเป็นแจ้งเตือนจากใคร เปิดเข้าไปดูก็เป็นอย่างที่คิด ข้อความแสดงความอิจฉาตาร้อนแบบสุดขีด

แทน : ไอ้เหี้ยมิกซ์มึงทำบุญด้วยอะไร

ไอซ์ : อิจฉาโว้ย



ผมอ่านคอมเมนต่ออีกนิดหน่อยแล้วหันกลับมาสนใจจัดการกับคอมฯ ตรงหน้าต่อ

“ช้อป มึงช่วย...” ผมรีบงับปากอย่างไว ลืมตัวนิดหน่อยแต่ดีที่เบรกไว้ได้ทัน “ตัว...ช่วยหยิบไขควงในลิ้นให้เค้าหน่อยสิ” ผมว่าพลางชี้ไปที่ลิ้นชักบนหัวเตียง

มันลุกจากเตียงเดินไปเปิดลิ้นชักตามที่ขอ ควานหาอยู่สักพักก็เดินกลับมาส่งไขควงให้

“เอ่อ...แล้วก็...ช่วยไขนอตตรงนี้ด้วยได้ไหม” มันส่ายหน้าแต่ก็ยอมนั่งลงช่วย

ผมเร่งมือถอดชิ้นส่วนเดิมออก ใส่อุปกรณ์อันใหม่เข้าไปแทน ไม่ยากครับใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็เสร็จ ที่เหลือก็แค่รีบูทเครื่อง ลงวินโดว์ใหม่แล้วก็ลงไดร์เวอร์อุปกรณ์บางอย่างเท่านั้น





มันเซอร์ไพรส์ผมแล้วถึงตาผมเซอร์ไพรส์มันกลับบ้าง



ผมวางมือจากคอมฯ ตั้งโต๊ะ เปิดกล่องเอาโน๊ตบุคตัวใหม่ออกมาแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ส่วนช้อปยังกึ่งนั่งกึ่งนอนกดมือถืออยู่บนเตียง

“มิกซ์เสร็จยัง” 

“ยัง” ผมตอบเพียงสั้นๆ อันที่จริงเสร็จตั้งนานแล้วครับ ผมแค่ถ่วงเวลานิดหน่อยให้เข้ากับแผนที่วางไว้

มันเงียบไปนานก่อนเสียงแจ้งเตือนในมือถือผมจะดังขึ้น ผมเปิดดูเป็นแจ้งเตือนการอัพสเตตัสของช้อปมัน



‘ของคงสำคัญกว่าเราสินะ’

เริ่มมีกลิ่นดราม่าเกิดขึ้นกลายๆ แต่นี่แหละที่ผมต้องการ



ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกสักพัก แกล้งทำเป็นเห่อของใหม่ให้ดูเหมือนไม่สนใจมัน แผนคือทำให้มันงอนแล้วเซอร์ไพรส์ด้วยการให้สร้อยข้อมือที่เตรียมไว้

“เอ่อ...ตัวกลับก่อนก็ได้นะ คงอีกนานกว่าเค้าจะทำเสร็จ”

พูดจบประโยคก็ได้ยินเสียงลุกจากเตียงก่อนจะกลายเป็นเสียงเดินตึกตักออกจากห้องนอน คงงอนได้ที่ละ



เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รีบวิ่งตามออกไปเพื่อทำตามแผนที่วางไว้

“ช้อป! เดี๋ยว” ผมตะโกนเรียกก่อนที่มันจะเปิดประตูออกจากห้อง มันชะงักเล็กน้อยแต่ไม่ได้หันกลับมาแถมยังเปิดประตูทำท่าจะเดินออกไปอีก

“อย่าเพิ่งไป” ผมรีบวิ่งไปขวางทาง กางแขนยืนขวางประตูไว้

“ถอยไป กูจะกลับ” บอกผมว่าห้ามพูดมึงกูอีกแต่ตัวเองดันพูดซะงั้น แบบนี้สงสัยจะงอนหนักมาก งั้นคงต้องเฉลยแล้วละเดี๋ยวเขาจะงอนหนักไปกว่านี้

“ขอมือหน่อย”

“…”

“ขอมือหน่อย”

ขอครั้งแรกไม่ยอม ครั้งที่สองก็ยังไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องยื่นมือไปจับมือมันเอง มือหนึ่งจับมือมันอีกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

ล้วงอยู่นานแต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ล้วงข้างหน้าก็แล้ว ล้วงข้างหลังก็แล้ว ล้วงแล้วล้วงอีกแต่ก็ไม่เจอ ผมจำได้ว่าใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนออกจากห้างก็เช็กแล้วว่ายังอยู่ แล้วมันหายไปไหน หรือว่าจะหล่นอยู่ในห้อง

“รอตรงนี้นะ อย่าเพิ่งไปไหน” ว่าแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ไล่หาตั้งแต่โซฟา กองเสื้อผ้า บนเตียง แม้กระทั่งใต้เตียงแต่หายังก็หาไม่เจอ

ถ้าไม่อยู่ในห้องแล้วมันไปอยู่ที่ไหน

จำได้ว่าก่อนออกจากห้างก็เช็กแล้วว่ายังอยู่ แสดงว่าถ้าไม่ได้หล่นในห้องก็ต้องเป็น...บนรถ



กำลังจะวิ่งออกไปที่หน้าห้องแต่พอหันไปก็เจอเจ้าตัวกำลังยืนมองอยู่ที่กรอบประตูห้องนอนแล้ว

“ช้อป ขอกุญแจรถหน่อย” ไม่มัวชักช้าเอ่ยขอกุญแจรถทันที

มันล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกง ผมเอื้อมมือไปคว้าแต่มันชักมือกลับ

“ช้อป เอามา”

“ตอบกูมาก่อนว่ามึงกำลังหาอะไร”

“อะ...เออ...” เซอร์ไพรส์อะไรคงไม่มีแล้วมาถึงขนาดนี้คงปิดมันไม่ได้ “สร้อยข้อมือ”

“ของใคร” 

“ของมึง"

"ของกู" มันทำหน้างง

"ใช่ ของมึง กูตั้งใจซื้อให้เป็นของขวัญเดทแรก”

“แล้วตั้งนานทำไมไม่ให้”

“ก็อยากเซอร์ไพรส์มึงบ้าง” ผมตอบเสียงอ่อย

“อยากเซอร์ไพรส์แต่ดันทำหาย” มันถอนหายใจหนักๆ “เฮ้อ...เหนื่อยใจกับมึงจริงๆ” 

“บ่นเสร็จยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เอากุญแจรถมา” มันไม่ได้ส่งกุญแจให้ตามที่ขอ เพียงแต่ส่ายหน้าแล้วเดินนำออกจากห้อง แอบเห็นมันยิ้มด้วย คงกำลังหัวเราะเยาะความโง่ของผม



ออกจากห้องเดินเข้าลิฟต์ลงมาลานจอดรถ ถึงแล้วก็เดินตรงเข้าไปที่รถทันที ผมเริ่มค้นจากที่นั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะหล่นอยู่แถวนี้ ก้มๆ เงยๆ อยู่นานแต่ก็หาไม่เจอ

ลองเปลี่ยนไปฝั่งคนขับดูบ้างพยายามหาทุกซอกทุกมุมแต่ก็ยังไม่เจอ จนช้อปที่ยืนดูอยู่ต้องเดินเข้ามาช่วยหาอีกแรง ผมหาที่นั่งด้านหน้าซ้ำอีกรอบส่วนช้อปช่วยหาตรงที่นั่งด้านหลัง ช่วยกันหาอยู่หลายนาทีแต่ก็ยังไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องถอดใจยอมแพ้ 

 "กูขอโทษ" 

"เฮ้อ..." มันถอนหายใจ ส่ายหน้าแรง "ขึ้นห้องไป กูจะกลับแล้ว"​ พูดจบมันก็เดินขึ้นรถแล้วก็บึ่งออกไปเลย

มันงอนผมแล้วแน่ๆ อุตส่าห์วางแผนไว้ดิบดีแต่ต้องมาพังเพราะความสะเพร่าและความโง่ อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆสักร้อยที 



ผมกลับขึ้นมาบนห้อง หยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะคอมฯกะว่าจะโทรไปง้อมันสักหน่อย แต่พอปลดล็อกหน้าจอก็มีแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันสีฟ้าเด้งขึ้นมาพอดี ผมรีบเปิดดูทันทีเพราะเป็นแจ้งเตือนการอัพสเตตัสของคนที่เพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้

รูปภาพที่มันกำลังจับพวงมาลัยรถ ไม่มีข้อความ ไม่มีแคปชั่นมีเพียงอีโมจิรูปหัวใจสีแดงเท่านั้น ก็ดูเป็นสเตตัสทั่วๆไปถ้าผมไม่สังเกตเห็นสิ่งที่อยู่บนข้อมือของมัน มันคือสร้อยข้อมือและเป็นสร้อยเส้นเดียวกันกับที่ผมตั้งใจซื้อให้มัน 

ผมไม่รีรอกดโทรศัพท์หามันทันที

"ไอ้เชี่ยช้อป!" 

"ว่าไงครับ" ครับพ่องมึงสิ กูไม่มีอารมณ์เล่นด้วยกับมึงหรอก

"มึงแอบเอาไปตั้งแต่เมื่อไร"

"แล้วมึงทำหายไปตอนไหน"​ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้คำตอบว่า...

"ไม่รู้" ไม่รู้ว่าทำหล่นไปตอนไหนจริงๆ "แต่มึงแกล้งกู"

"กูไม่ได้แกล้ง กูก็เพิ่งเห็นตอนที่ขับออกมา" รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

"เออ...กูขอโทษนะ" 

"ไม่เป็นไรๆ เออ...มิกซ์ วันนี้กูกลับบ้านนะพรุ่งนี้คงไม่ได้เข้าไปหา"

"กลับบ้าน?" ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบ้านมันนักหรอก รู้แค่ว่าอยู่ในกรุงเทพฯนี่แหละแต่ไกลจากมหา'ลัยอยู่พอสมควร

"อื้อ กูว่าจะกลับไปบอกข่าวดีพ่อกับแม่สักหน่อย"

"ข่าวดีอะไร" ตัวติดกันตลอดก็ไม่เห็นว่าจะมีข่าวดีอะไร 

"ได้ลูกสะใภ้นี่เรียกว่าข่าวดีไหม"

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด