Rhyme 10
“มันหายไปไหนอีกแล้ว” กรวีร์มองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบสามทุ่ม จนกิจกรรมผูกข้อมือจะเสร็จอยู่แล้วแต่ใบบุญก็ยังไม่มา เขาเดินไปเดินมานั่งไม่ติดพื้นจนเพื่อนคนอื่นต้องเข้ามาถาม “มีใครติดต่อมันได้บ้างไหม”
“ตอนนี้ฝนตกหนักมาก สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยดี” หมิวตอบก่อนจะแตะเข้าแขนของชายหนุ่มเบาๆ “ใจเย็นๆนะกร ใบบุญอาจจะหลบฝนอยู่ที่ห้องก็ได้”
“แต่มันก็น่าจะบอกกันบ้าง” เขาปลดมือหมิวออกอย่างสุภาพ ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี
“ไม่สบายหรือเปล่า เห็นเมื่อตอนกลางวันเป็นลม”
“เป็นลม?” กรวีร์ทำหน้างง “ทำไมเราไม่เห็นรู้เรื่อง ใบบุญบอกแค่เวียนหัวก็เลยไปนอนพักเฉยๆ”
“หมิวก็รู้ว่ามาจากเพื่อนในกลุ่มอีกทีน่ะ.. เห็นว่ารุ่นพี่บอกแบบนั้นนะ”
“แล้วใครพามันไปนอน”
“ก็พี่ธัชไง..” แฟงตอบ ก่อนจะลอบสังเกตว่ากรวีร์มีทีท่าอย่างไรบ้าง เขาขบฟันกรอด โกรธที่เพื่อนมีอะไรก็ไม่บอก แถมธัชธรรม์ก็ให้เขาไปถามกับใบบุญเอาเอง รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองขี้โรค ก็ยังจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้ป่วยซ้ำๆ ถ้ามันเป็นน้องเขานะ เขาจะจับมาฟาดก้นให้ลายเลยคอยดู ชายหนุ่มมองหาคนตัวสูง กวาดสายตาไปรอบบริเวณก็เจอธัชธรรม์กำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อน
“พี่ธัช เห็นใบบุญไหม”
“วันนี้มึงถามกูกี่รอบแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มเริ่มอารมณ์เสีย ตวัดสายตาไปมองอย่างไม่พอใจ “ทำไมไม่ผูกเชือกเอาไว้เลยล่ะ”
“พี่ ผมถามดีๆนะ”
“เห้ย ใจเย็นๆ” หิรัญเข้ามาแทรกก่อนที่ทั้งสองคนจะแลกหมัดกันเสียก่อน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น กรบอกพี่ได้ไหม”
“ผมหาใบบุญไม่เจอ ไม่รู้มันไปอยู่ที่ไหน ถ้าพี่ธัชไม่บอกก็บอกเลขบ้านพักมา ผมจะไปตามมัน”
“หายไปนานหรือยัง”
“มันบอกจะไปเปลี่ยนเสื้ออะ แล้วก็หายไปเลย” กรวีร์ร้อนใจบอกไม่ถูก ใบบุญหายไปนานเกินไปแล้ว “ตั้งแต่กินข้าวเสร็จอะ”
“ไม่เห็นมีพี่คนไหนตามเลย”
“กูว่ามันชักจะแปลกๆยังไงอยู่นะ” หิรัญหันไปมองเพื่อน “น้องมึงไปทำอะไรใครไว้หรือเปล่า”
“มันก็แค่ไปขวางหูขวางตาคนอื่นเท่านั้นแหละ” ธัชธรรม์ถอนหายใจ
“คนอย่างมันเนี่ยนะ” กรวีร์ยังไม่อยากจะเชื่อ คนที่ไม่มีปากมีเสียงแถมเถียงใครก็ไม่ทันอย่างใบบุญเนี่ยนะ “จะไปทำอะไรใครเขาได้”
“งั้นกูจะไปหาที่ห้อง พวกมึงสองคนลองโทรหามัน ลองหาแถวนี้ดูก่อน” เขาลุกขึ้นยืน พูดรัวเร็วแล้วก็ผละออกไป สองขาวิ่งมาที่บ้านพักโดยไม่มีหยุด แต่ก็ไม่มีวี่แวว มีเพียงเสื้อผ้าชุดเก่าที่เขาเห็นใบบุญใส่เมื่อตอนเย็นเท่านั้น วิ่งวนกลับไปที่เดิมก็ยังไม่เจอ เขาไม่อยากบอกรุ่นพี่ให้รู้ตัว เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นใครเป็นตัวการ ธัชธรรม์ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ตอนนี้เขาต้องหาตัวมันให้เจอก่อน
“เจอไหมพี่”
“ไม่เจอ” เขาส่ายหัว กรวีร์หน้าตาสลดไปทันทีที่เขาบอก “ที่ห้องก็ไม่มี”
“ผมหาทั่วแล้วก็ไม่เจอ หรือว่ามันจะเดินหลงไปที่อื่น”
“ก็เป็นไปได้ มันชอบเดินหลงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ผมจะไปบอกรุ่นพี่ให้ช่วยตามหา”
“ไม่ต้อง” เขารั้งกรวีร์เอาไว้ “มึงเข้าไปรวมกลุ่มเหมือนปกติ ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น” เขากำชับ อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปรวมกลุ่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ใจร้อนเป็นห่วงใบบุญแต่ก็ไม่อาจจะอยู่ข้างๆมันได้ในเวลาที่มันต้องการ เขามัน.. แย่ที่สุด
“เตรียมไฟฉายกับร่มให้กูที”
“มึงจะไปไหน ฝนกำลังจะตกหนักอีกรอบแล้วนะ”
“กูจะไปหาใบบุญ”
“กูไปด้วย”
“มึงอยู่นี่ เผื่อมันกลับมา” เขารับอุปกรณ์มาจากเพื่อน พร้อมกำชับให้มันอยู่ทางนี้ไม่ต้องห่วงเขา “ได้เรื่องยังไงบอกกูด้วย”
“เดี๋ยวมึง.. แม่งเอ๊ย” หิรัญไม่คิดจะให้เพื่อนออกไปคนเดียวอยู่แล้ว แต่พอเขาหันมาอีกทีก็ไม่เจอชายหนุ่ม มองไปทางกรวีร์ที่ดูร้อนใจจนปิดไม่มิด เขาก็อยากจะเข้าไปคุยให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ดูท่าคงจะทำให้รุ่นน้องอารมณ์เสียมากกว่าเดิม เขาได้แต่ภาวนา
ขอให้เจอไวๆ..
ธัชธรรม์ตัดสินใจเดินไปตามทางที่ทำกิจกรรมเมื่อเช้า อย่างน้อยถ้าหากใบบุญหลงทางเจ้าตัวก็อาจจะมายังจุดที่คุ้นเคยบ้าง แต่ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มรอบด้านมืดไปหมดแถมที่นี่ก็เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลไม่มีไฟฟ้าติดทุกที่เหมือนในเมือง เขาต้องอาศัยไฟฉายที่พกติดตัวมาส่องนำทาง เสียงปั่นจักรยานเก่าดังมาตามทาง เงาตะคุ่มสีดำตามเนินดินทำให้เขาหันไปมอง เสียงโซ่ที่หมุนวงล้อฝืดเคืองจนได้ยินเป็นเสียงประหลาด เขาส่องไฟฉายไปตามทางเดินก็เจอคุณลุงกำลังเข็นรถคันเก่ามาตามทาง
“พ่อหนุ่มจะไปไหน”
“ผมมาตามหาน้องครับ คุณลุงเห็นบ้างไหมครับ”
“แถวนี้สองทุ่มเขาก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ไม่มีใครเข้ามาในนี้หรอก มาเดินแบบนี้ระวังรถจะชนเอานะ” คุณลุงถอดงอบออกจากหัว ก่อนจะเพ่งมองชายหนุ่มรุ่นหลานตรงหน้า “เด็กที่ไหนลุงไม่เห็นหรอก”
“ผู้ชายตัวประมาณนี้อะครับ” เขาทำไม้ทำมือประมาณหัวไหล่ “ลุงไม่เห็นเลยหรือครับ”
“ลองเดินไปทางนั้นดูสิ ชอบมีคนเดินหลงเข้าไปบ่อยๆ”
“ได้ครับ ขอบคุณนะครับ”
เขาตัดสินใจเดินไปตามทางที่ลุงบอก ตลอดเส้นทางทั้งเปลี่ยวและมืดสนิท ยังนึกครึ้มในใจว่าคุณลุงท่าทางใจดีคนนี้เดินเข็นจักรยานมาได้ยังไงทั้งๆที่ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด กว่าจะคิดได้แล้วหันไปมองอีกทีก็เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมและเสียงฟ้าร้องบอกสัญญาณเท่านั้น จู่ๆขนแขนเขาก็ลุกพรึ่บพรั่บอย่างไม่มีสาเหต ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปเดินจ้ำอ้าว มือที่กำไฟฉายเหงื่อแตกพลั่กจนลื่นไปหมด ลมพัดฝุ่นดินที่พื้นกระจัดกระจายไปทั่ว ธัชธรรม์ยกมือหนาขึ้นมาป้องสายตา เขาตัดสินใจใช้โทรศัพท์โทรหาหิรัญ เผื่ออีกฝั่งจะหาใบบุญเจอแล้ว
แบตหมด..
“เอาอีกละ ชีวิตกูจะบัดซบอะไรได้เท่านี้ไหมวะ F*ck!” ตอนนี้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า “ใบบุญ มึงอยู่แถวนี้ไหม..”
“พี่ธัช”
“ใบบุญ” เขาหันซ้ายหันขวา ได้ยินเหมือนเสียงเรียกตัวเองจริงๆ หรือว่าหูเขาจะฝาดไป เงี่ยหูฟังดูอีกครั้งก็เห็นว่ามาทางพงหญ้าที่ขึ้นรก เขาแหวกมันออกและเห็นเด็กหนุ่มกำลังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ในความมืด ใบหน้าขาวซีดมองเขาทั้งน้ำตาสภาพมอมแมมดูไม่ได้เลย
“พี่..”
“ใบบุญ” เขาร้องทัก ก่อนจะเดินลุยดินที่แฉะเพราะน้ำฝนจนรองเท้าผ้าใบเละเทะไปหมด “ทำไมมึงเป็นอย่างนี้” ธัชธรรม์ตกใจกับสภาพของคนตัวเล็กจริงๆ ถ้าเขาไม่รู้จักมันคงคิดว่าเป็นผีมาหลอกแน่ๆ
“หนูหนาวอะ ปวดหัวด้วย”
“ใครใช้ให้มึงมาทำอะไรแถวนี้” เขาประคองเด็กหนุ่มขึ้นมายืน แต่ดูเหมือนจะไม่มีแรงแม้แต่ทรงตัว เมื่อกลางวันก็เป็นไข้ยังไม่หายดีตอนนี้หาเรื่องป่วยอีกแล้ว
เออ ดี!
“หนูหาทุกคนไม่เจอ จะกลับมันก็มืด น่ากลัว” ใบบุญกลั้นน้ำตาไม่ไหว มันน่ากลัวจนเขาไม่กล้าเดินไปไหนต้องทิ้งตัวอยู่ที่พื้น “หนูหลงทาง.. มันมืดไปหมด ฟ้าร้อง หนูไม่ชอบเลย”
“ไม่ต้องร้อง มึงจะร้องหาพระแสงอะไรล่ะ” เขาใช้นิ้วปาดน้ำตามันออก จะดึงแว่นตาออกอีกฝ่ายก็ไม่ยอม สะบัดหน้าหนีเขาอีกต่างหาก ดื้อจริงโว้ย!
“หนูกลัว” มันร้องพร้อมสะอื้นจนตัวโยน เขาเห็นก็โกรธไม่ลง รู้ดีว่ามันบอบบางเหมือนแก้วขนาดไหน
“กูขอโทษ” เขาพูดเสียงอ่อน “กูทิ้งมึงอีกแล้ว เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด”
“พี่ธัชไม่ผิด ไม่ผิดสักหน่อย” เด็กหนุ่มค่อยๆตอบ น้ำมูกไหลจนจมูกแดงก่ำ
“เลิกพูดมาก เปียกไปทั้งตัวแบบนี้ ถามจริงมึงหลบฝนประสาอะไร” เขามองสภาพแล้วส่ายหัวทันที เอ่ยเสียงแข็งจนคนตัวเล็กสะดุ้ง “ถอดเสื้อ”
“ไม่เอา ไม่ถอด”
“เร็วๆ จะถอดเองหรือจะให้กูถอด” ชายหนุ่มเร่งเร้าเพราะไม่อยากให้มันป่วยอีกรอบ เพราะคนดูแลก็คือเขาไง “มันมืดจะตายกูมองไม่เห็นหรอกน่า”
“ก็ได้ อย่าแอบมองนะ” ใบบุญตัวลีบไปทันที ก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออก โอเค.. เขาขอถอนคำพูดที่ว่ามันมืดจนมองอะไรไม่เห็นอย่างน้อยผิวขาวจัดของมันก็สะท้อนแสงจันทร์จนสว่างเข้าตาอยู่ดี “หะ หันไปสิ”
“มีก็มีเหมือนกัน ยังจะมาทำอายอีก” เขาถอดเสื้อของตัวเองบ้าง มันยังแห้งสนิทและคงจะดีกว่าให้มันใส่เสื้อเปียกๆ “เอาของกูไปใส่ไป”
“ขะขอบคุณ”
“ถ้าแม่รู้ว่ามึงไม่สบายอีก คงไม่ต้องไปเรียนแล้วมหา’ลัยอะ เตรียมย้ายไปอยู่โรงพยาบาลดีกว่า”
“ไม่เอา อย่าบอกแม่นะพี่ธัช”
“ถ้ากูจะบอกแล้วมึงจะทำอะไรได้ ตัวเล็กอย่างกับลูกแมว” เขาถามเพราะเห็นอีกฝ่ายเงียบไป “ใส่เสร็จหรือยัง?”
“อื้ม เสร็จแล้ว” ใบบุญเดินเข้ามาใกล้เสื้อแขนสั้นของธัชธรรม์ตัวใหญ่พอที่เขาจะใส่เป็นแม็กซี่เดรสของผู้หญิงได้เลย
“แล้วกางเกงก็เปียกทำไมไม่ถอด ถอดแม่งให้หมด”
“ไม่เอา!”
“จะอายกูหรือจะยอมป่วย กูให้มึงเลือก”
“พี่ธัชอย่าใจร้าย”
“ไม่ต้องมาอ้อน คนอย่างมึงน่ะมันดื้อตาใส” เขาส่ายหัว ไม่เข้าว่าทำไมต้องถอดข้างล่างด้วย ถึงจะเปียกซึมลึกไปถึงข้างในแต่เขาก็ไม่กล้า..
“กูนับ 1”
“เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนก็ได้” เขาเม้มปาก ก่อนจะหันหลังให้แล้วปลดกางเกงผ้าขายาวของตัวเองออก ชายหนุ่มรับเอาไปยัดใส่กระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วย เขาได้แต่มองตาปริบๆรู้วึกเย็นวูบวาบท่อนล่างไปหมด
ไม่ชินเลย..
“แม่ง ฝนตกอีกแล้ว ไปหาที่หลบฝนก่อน เร็ว!” ฝนเริ่มลงเม็ดอีกรอบ คนตัวโตคว้าข้อมือเขาไปจับไว้แน่น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประสานฝ่ามือ ความอุ่นร้อนของอีกฝ่ายส่งผ่านเข้ามาทำให้เขารู้สึกอบอุ่นบอกไม่ถูก
“อื้ม”
“จับมือกูเอาไว้แน่นๆ เดี๋ยวหายอีกคราวนี้กูไม่ตามแล้วนะ” พื้นดินที่กำลังถูกฝนตกใส่อย่างหนัก แปรสภาพเป็นดินโคลนขนาดย่อมทำให้การเดินทางกลับออกไปยากลำบากกว่าที่คิด จนกระทั่งเจอต้นไม้ต้นใหญ่ที่พอจะหลบฝนได้ “ตรงนี้น่าจะพอได้ ฝนตกหนักกว่าที่คิดว่ะ” ธัชธรรม์จูงมือเขาเข้าไปใต้ต้นไม้ ใช้ไฟฉายส่องดูก่อนจะใช้เศษกระดาษที่ติดมาในกระเป๋าปูให้เขานั่ง
“แล้วพี่มาได้ยังไง”
“กูก็เดินมาสิวะ เข้ามานั่งใกล้ๆสิ จะโดนละอองฝนหมดแล้ว” ธัชธรรม์ดึงคนตัวเล็กให้เข้ามาใกล้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมจะเข้ามาใกล้เขาเลย “จะดื้อก็ให้มันดูเวลาด้วย.. ใบบุญ”
“อื้อ”
“เข้ามาอีก”
“พอยัง”
“มานั่งกับกูนี่” เขาชี้ตรงที่ว่างข้างๆ เด็กหนุ่มมองอย่างชั่งใจ “ทำไม กลัวกูมากขนาดนั้นเลยหรือ”
“เปล่า..” เขากระเถิบไปนั่งจนแทบจะนั่งบนตักของชายหนุ่มอยู่แล้ว
“โอ้โห เอาเสื้อกูไปเช็ดขี้มูกอีก ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย ตัวนี้หลายพันนะมึง”
“มันซักได้น่า พี่ธัชแม่ง” กำลังจะซึ้ง ทำคนอื่นเขาหมดมู้ดอีก!
“เออ ยิ้มได้ค่อยดีขึ้นหน่อย จะร้องไห้แล้วหน้าอูมๆเหมือนแมวปวดฟันเลย” เขาพูดล้อเลียน เด็กหนุ่มกลั้นขำสูดจมูกเสียงดัง ให้ตายเหอะไอ้เด็กเปี๊ยกนี่ ป่วย-อีก-แล้ว!
“ไม่ขำนะครับ”
“เช็ดหน้าเช็ดตาให้มันดีๆหน่อย.. เดี๋ยวกูทำให้”
“ไม่เป็นไรครับ.. ทำเองได้” ใบบุญส่ายหัวรัวเร็ว ก่อนจะหันหลังไปจัดการหน้าตาที่ดูไม่ได้ เขาใช้ปลายเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าจนเรียบร้อยแล้วก็ใส่แว่นเข้าไปใหม่ “เสร็จแล้ว” เขาตอบเสียงเบา เมื่อเห็นธํชธรรม์เอนหลังพิงกับต้นไม้ เสียงเพลงดังแผ่วช้าๆ เขามองอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่คิดว่าจะได้ฟังใกล้ขนาดนี้
“ต่อจากนี้ในค่ำคืนที่ฟ้าร้องคงต้องเหงา
เพราะไม่มีเธอมากอดเอาไว้ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
จากนี้ในค่ำคืนที่ฟ้าร้องคงเปลี่ยนไป
ตั้งแต่วันนั้นไม่มีเลยซักคืน ที่ฉันนอนหลับฝันดี”
“เพราะจัง” เขาแทบไม่ได้ละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้เลย นี่สินะที่เขาเรียกว่าพรสวรรค์
“แหงอยู่แล้ว”
“ร้องอีกได้ไหม ผมอยากฟัง”
“เพลงนี้กูตั้งใจร้องให้คนคนนั้นฟังเป็นคนแรก มึงเป็นใครจะมาฟังกูร้องก่อน” เขาดันหัวทุยมันออกไป อีกฝ่ายคลำหัวตัวเองป้อยๆ หน้าตาเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ “อยากฟังเดี๋ยวจะร้องให้ฟังก็ได้ คิดว่ากูซ้อมร้องก็แล้วกัน”
“เมื่อก่อนที่ฉันนั้นมีเธออยู่ข้างกาย
ฉันไม่กลัวเวลาที่ฟ้ามันร้อง และไม่ใด้คิดว่าเธอนั้นจะจากฉันไป, no
ในวันที่ฟ้านั้นเป็นสีดำ that reminds me of you
และรู้ว่าเธอคงไม่หวนคืนมา ในคืนที่ฟ้ามันผ่าลงมาทำให้ฉันรู้สึกกลัว
Cause I know you would never come back to me After what I have done to you…”
“เขาคนนั้นสำคัญกับพี่มากเลยหรือ?”
“สำคัญสิ เขาเป็นคนรักของกูทั้งคนเชียวนะ”
“เขาชื่ออะไรหรือครับ”
“Galaxy-B” ธัชธรรม์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา แต่เขามีความสุขที่ได้บอกชื่อของใครบางคน “มันเป็นชื่อที่เขาใช้ในวงการแรปเปอร์ พูดไปมึงก็ไม่รู้จักหรอก” เขาเอนหลังพิงต้นไม้ เหม่อมองท้องฟ้าที่มืดสนิท “กูตั้งใจแต่งเพลงให้เขาอยู่เพลงหนึ่ง หวังว่าเขาจะกลับมาฟังเพลงของกูสักครั้ง”
“ผมเชื่อว่าเขาจะต้องได้ฟังเพลงของพี่แน่ๆ” ใบบุญกะตือรืนร้นจนเขานึกขำ ดีดหน้าผากเด็กดื้อไปอีกรอบ “พี่ธัชร้องเพลงเพราะมาก”
“มึงชมกู ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะรู้สึกดีกับมึงมากขึ้นนะ”
“ผมรู้ ว่าพี่คงไม่มีวันรักผมหรอก”
“รู้ตัวก็ดีละ ฝนหยุดตกเมื่อไหร่จะได้ออกไปสักที” เขาละความสนใจก่อนจะหลับตาลง คิดถึงไออุ่นและสัมผัสจากใครคนนั้นเหลือเกิน “กูอยากกลับไปแต่งเพลงจะแย่แล้ว”
“อะ.. อืม” ใบบุญชันเข่าขึ้นนั่ง กอดตัวเองพลางแอบมองเสี้ยวใบหน้าของชายหนุ่มที่ผล็อยหลับไปได้สักพักแล้ว เสียงฝนยังคงดังโปรยปราย ก้อนเมฆบดบังแสงดาวที่เคยมีจนหมดสิ้น กระชับอ้อมกอดที่กอดตัวเองเอาไว้ จะเป็นอะไรไหมถ้าเขาจะขอ..
ขอให้ฝนตกนานกว่านี้อีกนิด จะได้ไหมนะ..
++
เรื่องทั้งหมดจบลงที่หิรัญตามหาแล้วเจอพวกเขาในช่วงรุ่งสาง ก่อนจะถูกหามส่งโรงพยาบาลกันอย่างทุลักทุเลเพราะสภาพฝนตกหนักทำให้ถนนที่เป็นทางออกจากหมู่บ้านมีความขรุขระและเข้าออกลำบากมาก ใบบุญไข้ขึ้นสูงอีกแล้ว คราวนี้น่าจะต้องนอนแอดมิทอีกหลายวัน เรื่องที่พวกเขาเป็นพี่น้อง และอยู่บ้านเดียวกันแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ธัชธรรม์ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากคิดแค่ว่าจะจัดการคนที่ทำให้ใบบุญเป็นแบบนี้อย่างไรดี
คนที่ทำให้มันเจ็บ ต้องเจ็บกว่ามันเป็นสิบเท่า!
เขายอมรับว่าตัวเองก็ไม่ใช่พี่ชายที่ดี รู้ทั้งรู้ว่ามันโดนเพื่อนในรุ่นหมายหัวก็ห้ามอะไรไม่ได้ มันซะอีกที่ยอมทนโดนแกล้งโดนรังแก ไม่ต่างจากเขาสมัยก่อนเลย ชายหนุ่มไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีก ถ้าจะมีใครมาทำอะไรมันอีกคงต้องผ่านเขาไปให้ได้ก่อน
“พี่ธัช อย่าบอกแม่เลยนะ” คนป่วยที่นอนซมอย่างมันมีสิทธิ์อะไรมาห้ามเขากัน ต้องให้แม่บ่นซะให้เข็ด!
“กูบอกแน่.. แม่จะได้ขังมึงไว้ในบ้านไม่ต้องไปซ่าที่ไหนอีก”
“โถ่ พี่ธัช” ไม่ต้องมาทำหน้าตาน่าสงสาร เขาไม่หลงกลมันแน่ หิรัญจู่ๆก็เดินเข้ามาแยกเขาให้ออกห่างจากเตียงพร้อมกับมองเขาตั้งหัวจรดเท้า สภาพเขาตอนนี้มีเพียงกางเกงยีนใส่ติดตัวเท่านั้นแถมยังเดินเท้าเปล่าอีกต่างหาก
“แล้วมึงเนี่ยอะไร เอะอะถอดเสื้อตลอด ไม่ได้เป็นอะไรก็กลับไป” ชายหนุ่มมองสภาพเพื่อนแล้วส่ายหัว ไม่คิดว่าคนที่ห่วงหล่อห่วงหน้าตาอย่างมันจะลงทุนขนาดนี้ เหล่ไปมองคนตัวเล็กที่หน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ก็ต้องถอนหายใจ
เกลียดแค่ไหน.. ก็ยังสำคัญกับหัวใจอยู่ดี
ไอ้คนปากแข็งเอ๊ย ปากมึงถ่วงด้วยหินหรือยังไง!
“กูจะเฝ้ามัน”
“หยุดเลย มึงหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ กลับไปจัดการตัวเองก่อนไป เดี๋ยวกูดูแลน้องทางนี้ให้” เขาโบกมือไล่มันออกนอกห้อง “ดูสารรูปมึงด้วย พยาบาลไม่ตกใจก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“เอางั้นก็ได้ กูฝากมันด้วยนะ” เขายอมผละออกจากคนป่วยที่ยังมองเขาตาใส เดี๋ยวคอยดูถ้ามันหายเมื่อไหร่เขาจะเอาคืนให้หนักเลย!
“เออๆ”
ธัชธรรม์ตรงดิ่งกลับที่พักไม่สนใจพวกรุ่นพี่คนอื่นที่มาช่วยเฝ้าใบบุญอยู่ที่โรงพยาบาล กิจกรรมทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป เขาตัดสินใจกดโทรหามารดาแต่ไม่มีการตอบรับจึงฝากข้อความเอาไว้ ระหว่างนั้นก็เก็บเสื้อผ้าของตัวเองและของคนตัวเล็กเอามากองรวมไว้ที่เตียงเตรียมยัดใส่กระเป๋าเป้เพื่อเดินทางกลับทันทีที่ใบบุญออกจากโรงพยาบาล ชายหนุ่มนึกขึ้นได้จึงเข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวให้สะอาดจนกระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเสียงโทรศัพท์ก็ดังพอดี
“ธัช น้องเป็นยังไงบ้างลูก”
“แอดมิทอีกแล้วครับ หมอเจาะเลือดไปตรวจอยู่” ยิ่งได้ยินเสียงของคนเป็นแม่ร้อนรนเขาก็ทำตัวไม่ถูก ทั้งรู้สึกผิดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำซาก เขาปล่อยให้มันโดนรังแกอีกแล้ว..
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องถึงได้เข้าโรงพยาบาลอีก”
“ผมขอโทษที่ดูแลน้องได้ไม่ดีครับแม่”
“แม่ไม่เคยโทษธัชเลย แม่จะไปหาไว้เจอกันที่โรงพยาบาลจ้ะ” มารดาวางสายไปได้สักพักแล้วแต่เขายังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง มันคงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที
กรวีร์ลุกพรวดแล้ววิ่งตรงมาหาเขาทันทีที่เจอกัน ทุกคนในรุ่นดูตกใจเล็กน้อยกับการมาถึงของเขา ตอนนี้เขาต้องการเคลียร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“ใบบุญเป็นยังไงบ้างพี่”
“มันยังไม่ตายก็แล้วกัน” เขาตอบ ส่วนกรวีร์แทบจะทรุดลงไปกับพื้นด้วยความโล่งอก
“ผมจะไปเยี่ยมมัน”
“อย่าเพิ่งไปไหน มึงต้องช่วยกูจัดการก่อน” เขาพูดเสียงแข็ง ถึงจะโมโหแค่ไหนแต่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
“จัดการ?”
“ไปเรียกเพื่อนมันมา มันมีเพื่อนอยู่แค่กี่คนมึงก็น่าจะรู้ดี”
จะได้คิดบัญชีให้มันจบๆไป!
ในช่วงกลางวันที่ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย กรวีร์ก็ถือโอกาสชวนเพื่อนผู้หญิงที่ดูสนิทกับใบบุญมาพูดคุยด้วย ดูทั้งสองดีใจที่เห็นเขาเข้าไปหา แต่ในใจก็ยังนึกสงสัยว่าทั้งคู่มีอะไรเกี่ยวข้องกับธัชธรรม์กันแน่..
เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลย..
“เรียกเรามามีธุระอะไรหรือเปล่า” หมิวเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นธัชธรรม์ ใครๆก็รู้กันทั่วว่าหมอนี่ยิ่งกว่าหมาบ้า ต่อให้หล่อขนาดไหนพวกเธอก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งให้เสียเวลา
“ต้องให้บอกหรือไงว่ามีอะไร?”
“พี่ธัชทำไมต้องตะคอกด้วยละคะ” แฟงสะดุ้งตกใจ รีบเข้าไปหลบหลังกรวีร์
“พี่ธัชใจเย็นๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมงงไปหมดแล้วนะ หมิวกับแฟงเกี่ยวอะไรด้วย”
“นั่นสิ เราไปทำอะไร?”
“ให้พูดอีกทีว่าไม่ได้ทำอะไร ตอนนี้รู้อะไรไหม? จะบอกให้นะ ใบบุญนอนอยู่ที่โรงพยาบาล” เขาขบกรามแน่น ความรู้สึกโมโหพุ่งพล่านจนร้อนระอุ “เพราะพวกเธอทำอะไรน่าจะรู้อยู่แก่ใจดี ใบบุญมันซื่อมันไม่รู้หรอกว่าเธอคิดอะไร”
“ระ เรา”
“คราวก่อนที่มันไม่สบายเพราะพวกเธอใช้ให้มันไปทำป้ายห้อยคองี่เง่าในห้องเก็บของ มันแพ้ฝุ่นเกือบตาย” เขาตะคอกเสียงดัง กรวีร์ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ชายที่จงเกลียดจงชังน้องตัวเอง จะรู้ความเป็นไปแทบทุกอย่าง “มันไม่มีใครคบ เพราะไม่ใช่พวกเธอหรือไงที่ไปบอกคนอื่น มันกับไอ้กรไม่ได้เป็นแฟนกันรู้ไว้ด้วย”
“พวกเรารู้แล้ว ว่าทั้งสองคนไม่ใช่แฟนกัน!” หวิวเอ่ยละล่ำละลัก เพราะเกรงใจที่กรวีร์อยู่ด้วย “แต่เราก็ไม่ชอบให้ใบบุญมายุ่งวุ่นวายกับกร”
“หมายความว่ายังไง” กรวีร์ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ เขาอยู่ของเขาดีๆแท้ๆ “มันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย”
“ก็หมายความว่าในระหว่างที่มึงไปซ้อมการแสดงอะไรนั่น ใบบุญมันก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะไม่มีใครเอาไง” เขาพูด เพราะเห็นทุกอย่างกับตา “ถ้าไม่ใช่กูช่วย แล้วมันจะมีงานส่งไหม ใส่ชื่อเอาไว้แล้วลบมันออกทีหลัง ทำไมพวกเธอแม่งเป็นคนแบบนี้วะ”
“ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย”
“อย่ามาทำเป็นพูดอย่างนี้ เพราะเมื่อวานเธอให้มันไปที่ไหน มันไม่ใช่เส้นทางที่เราทำกิจกรรมสักหน่อย”
“หมิว? แฟง?” กรวีร์ตกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม เขาหันไปมองหญิงสาวสองคนที่กัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าสบตาเขาเลยด้วยซ้ำ
“เราไม่คิดว่าใบบุญจะโง่ขนาดนี้”
“เธอไม่มีสิทธิ์มาว่ามันโง่!” เขาตะคอก แม้จะโมโหแค่ไหนก็ได้แค่กำหมัดแน่น “มันหลงทางไปไหนต่อไหน เกือบตายแล้วพวกเธอรู้ไหม” เขาโกรธจนอยากจะฉีกผู้หญิงตรงหน้าเป็นชิ้นๆ สภาพที่เขาเห็นมันตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับผ้าขี้ริ้ว
“กรี๊ด”
“พี่ธัชใจเย็น” กรวีร์แทรกกลาง รับรู้ว่าธัชธรรม์กำลังโมโหแค่ไหน เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทีละเล็กละน้อย “ค่อยๆคุยกันนะพี่”
“กูไม่เหมือนมันที่เชื่อคนอื่นไปซะหมด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เหตุการณ์ที่ถูกกลั่นแกล้งมาตั้งแต่เด็กมันฝังใจเขาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ใครแน่ “ถ้ายังมายุ่งกับใบบุญอีก จำเอาไว้ว่ามันจะไม่จบแค่นี้แน่” เขาผละออกไปก่อนที่จะระงับตัวเองไม่ไหว
“ถ้าเธอชอบเราจริงๆ ก็อย่าทำแบบนี้กับเพื่อนเราอีก” กรวีร์พูดเสียงเข้ม สายตาที่มองแปรเปลี่ยนไปเย็นชาจนน่ากลัว ทั้งสองรู้สึกเย็นยะเยือกตกใจจนหน้าซีดเผือด “เราก็ไม่เอาเธอไว้เหมือนกัน”
เขาไม่ยอมให้ใครมาทำให้เพื่อนเขาเจ็บแน่..
+++
ทับทิมยกเลิกงานทั้งหมดและขอตัวออกจากการประชุมก่อนเวลา ไม่ทันได้เตรียมของสำหรับเดินทางก็มาถึงสนามบินแล้ว ในใจเธอร้อนรนยิ่งกว่าอะไร ทั้งเป็นห่วงลูกชายคนเล็กที่เธอเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ลูกชายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทับทิมยังจำได้ดีภาพของเด็กชายตัวเล็กจ้ำม่ำผิวขาวจัด ดวงตากลมใสแจ๋วสีน้ำตาลสุกสกาว และริมฝีปากจิ้มลิ้มที่เรียกเธอว่าแม่นั้น.. มันช่างเหมือนใครคนนั้นเหลือเกิน
ใครบางคนในห้วงความจำทรงจำที่เป็นความสุขเบื้องลึกภายในใจ
เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน
(ต่อด้านล่างค่ะ)