Nothing in Return
#เรื่องสั้นnn
1.
ผมได้กลิ่นบุหรี่ฉุนที่สูดเข้าจมูก รับรู้สัมผัสของมันชั่วอึดใจก่อนที่จะปล่อยมันออกไปให้ลอยเป็นวังวนอยู่ในอากาศตรงหน้า เสี้ยววินาทีก่อนควันจะจางหายเหลือเพียงกลิ่นสังเคราะห์ของมันจางๆ นั่นไม่ได้หอมเท่าไหร่, ติดจะฉุนกว่าบุหรี่มวนเสียอีก แต่คนใกล้ตัวผมหลายคนบอกว่าเลิกเสียเถอะบุหรี่เป็นมวน ขอให้เหลือเพียงบุหรี่ไฟฟ้าและผมก็เกือบจะเลิกมันได้ สองสามวันถึงจะจับมันสักที
“เดี๋ยวกลิ่นก็ติดหรอก”
ผมหันไปมองต้นเสียง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสูทสุภาพ เส้นผมถูกเซ็ตเสียจนน่าหัวร่อ สมัยก่อนมันเป็นไอ้หนุ่มผมยาวหัวกระเซิงที่เอาแต่ช่วยรุ่นพี่ออกกองนู้นทีกองนั้นที
“มึงถอยไปน่า” ผมเตือนเบาๆ กลัวว่ากลิ่นจะติดมันดั่งที่ว่า “เดี๋ยวไปแล้ว”
“ใกล้เริ่มพิธีแล้วพี่ ผมเริ่มตามคนเข้างานแล้ว”
ผมเค้นยิ้ม “รู้แล้ว”
ไม่ต้องตอกย้ำนักหรอกว่าเจ้าสาวของมึงพร้อมแค่ไหน
“อย่าช้านะครับ” อีกฝ่ายย้ำเหมือนกับระแวงกัน
“หมดนี่ก็ไปแล้ว มึงไปก่อนเถอะ”
“ได้เลย”
ปัดมือไปมาบอกให้มันเดินออกไปจากทางหนีไฟโง่ๆ นี่สักที และเจ้าบ่าวก็ไม่ได้เสียเวลานาน ก่อนปิดประตูก็แค่ย้ำว่าเร็วๆ นะครับให้กันอีกครา เสี้ยววินาทีนั้นเองที่เห็นประกายแวววับจากแหวนที่จับจ้องพื้นที่นิ้วนางข้างซ้ายของมัน
นิ้วของรุ่นน้องตั้งแต่มหา’ ลัย
ตัวหลักในงานแต่งงาน
เจ้าบ่าวของพิธีวันนี้2.
ผมไม่ใช่คนละเอียดอ่อน ไม่รู้หรอกว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน หรือพูดคุยกันด้วยคำใดเป็นคำแรก เรื่องราวเล่านั้นดูจะเป็นความทรงจำที่ไกลแสนไกล เจือจางและเลือนรางในลิ้นชักของความทรงจำที่อัดแน่น ลอยละล่องยิ่งกว่าควันบุหรี่ที่ส่งกลิ่นฉุนและปรากฎตัวเพียงคราเดียวก่อนจะจางหายไปกับสายลมเพียงแผ่วเบา
สิ่งที่แม่นยำคงจะมีเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะระหว่างนั้น – เจ้าบ่าววันนี้เป็นคนหนึ่งในความทรงจำแสนสำคัญของผมช่วงมหาวิทยาลัย – เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มพี่น้องที่คอยช่วยงานกันตลอดระยะเวลาสี่ปี ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ เท่าไหร่
ถ้าถามว่ามันเริ่มพิเศษขึ้นมาตอนใด คงจะเป็นหนึ่งวันที่เหมือนกับวันอื่นๆ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นช่วงที่ตัวเองเรียนอยู่ปีไหน
เหล้าเบียร์ราคาถูก เสียงกีต้าร์เพี้ยนๆ จากเพื่อนที่เริ่มเมา เนื้อเพลงที่ถูกแปลงผิดแปลงถูกเพื่อความขบขัน แต่มันกลับนั่งกินเหล้าเงียบๆ ผิดวิสัยคนเฮฮา
“รอบนี้เลิกจริงๆ แน่เลยว่ะพี่”
“กูเห็นบอกเลิกจริงๆ มาสามสี่รอบแล้ว มึงไม่ยักกะเลิกจริงๆ สักที”
“ไม่ว่ะ พี่ไม่เข้าใจอ่ะ” มันว่าอย่างนั้น สีหน้าเศร้าหมอง น้ำเสียงอ้อแอ้จนจับศัพท์ไม่ได้
“กูวางร้อยนึงเลย ไม่เลิก เขาขู่จะเลิกกับมึงมากี่รอบแล้ว”
“ขอมากกว่าร้อยนึงได้ไหมถ้าเลิก”
“เออ ขออะไรให้หมดเลย” หลังจากนั้นไม่นานนัก แฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมของมันก็บอกลามันขั้นเด็ดขาด เรียกได้ว่าเป๋ไปเป็นเดือน ผมแบกหามมันออกจากร้านเหล้าไม่รู้กี่ครั้งกี่คราในสัปดาห์เดียว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกับมันเองก็ช่วยเข็นให้ผ่านช่วงสอบไปได้อย่างทุลักทุเล
นานทีเดียวกว่ามันจะมาทวงสัญญา – ในที่วงเหล้าเหมือนเคย
“เห็นชัดยังว่าแม่งเลิกจริงๆ อ่ะ พี่จำได้ปะที่บอกว่าผมจะขอไรก็ได้” ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าตัวเองตอบกลับไปว่าอะไร คงจะเป็น
เออ จำได้เว้ย หรือไม่ก็
มึงจะขออะไรก็ขอมาเลย แนวๆ นี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก รู้แค่ว่าตอนนั้นยังนึกแปลกใจที่มันจำคำพูดพล่อยๆ ของผมในยามที่ตัวเองเฮิร์ตได้แม่นยำ
หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็จำได้ว่ามันลากมือมาแตะบนหน้าขาของผม โน้มหน้าเข้ามาใกล้ในช่วงเวลาที่เพื่อนๆ น้องๆ กำลังหัวเราะร่าตอนที่ใครสักคนเมาจนขึ้นไปเต้นบนโต๊ะจนไม่ได้สนใจเรา
“ผมจูบพี่ได้ปะวะ” มันไม่รอคำอนุญาตด้วยซ้ำ
แต่ก็คงต้องโทษตัวเองในเมื่อบอกไปแล้วว่าไม่ว่าอะไรก็จะยอม
3.
ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับมันคืออะไร
เราไม่ได้แตกต่างจากเดิมยามอยู่ต่อหน้าใคร ต่อให้มันจะมาขลุกอยู่ในห้องกับผมมากขึ้น กอดผมทั้งวันในวันที่ฝนตกและเรายังอยู่บนเตียง กดจูบที่ต้นคอ หรือใช้เวลาทั้งวันในการดูหนังไปด้วยกัน
เพื่อนผมไม่รู้ เพื่อนมันไม่รู้ ไม่มีใครรู้
บางทีเราเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
สักสองหรือสามเดือนได้ที่เราเป็นอย่างนั้น ไม่ได้น้อยเสียจนตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้ยาวนานมากเสียจนผมเข้าใจอะไรบางอย่าง
วันนั้นเรายืนอยู่ตรงทางหนีไฟของมหาวิทยาลัย สูบบุหรี่ให้กลิ่นมันลอยฟุ้งเพิ่มขึ้นไปอีกทั้งๆ ที่ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่ที่นักศึกษาชอบแอบมาสูบกันอยู่แล้ว
“พี่”
“อื้ม?”
“เขามาขอคืนดี” ผมยืนนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะปล่อยควันกลิ่นฉุนนั่นให้ลอยขึ้นบนฟ้า
“แล้ว?” ถ้อยคำสั้นๆ นั้นคงมีพลังมากพอที่ทำให้ผมเห็นความสั่นไหวในแววตา เห็นใบหน้าที่แสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“แล้ว?” มันทวนคำ
“พี่ถามแค่นี้เหรอวะ”
“อยากให้กูถามอะไรอีกหรือ” มันมองหน้าผม ผมมองหน้ามัน เหมือนเราแข่งกันตะโกนเสียงดังท่ามกลางความเงียบ
“ผมชอบพี่” แล้วการตะโกนของมันก็ดังลั่นเสียจนกลบเสียงจอแจทุกอย่างชัดเจนทั้งที่เปล่งออกมาเพียงแผ่วเบา
ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าตอนนั้นรู้สึกอะไรบ้าง ก็แค่คิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่เราใส่สีแดง ส้ม ฟ้า เขียว ม่วง และสีอะไรก็ไม่รู้รวมกันในจานสี กลายมาเป็นสีที่หม่นหมองและดูแปดเปื้อนเสียจนเอาไปใช้งานต่อไม่ได้
ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ รู้อยู่แล้วว่ามันคงเป็นสีสันที่ไม่สวยงาม แต่ก็ยังดันทุรังที่จะทำ
แต่พอผลลัพธ์ออกมาให้ประจักษ์ตรงหน้ากลับไม่อาจยินยอมรับมันได้
“พี่จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากเงียบ – นั่นคงเป็นคำตอบที่ดังพอสำหรับมันแล้ว
4.
หลังจากวันนั้นมันไม่ได้กลับไปคืนดีกับเขา แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องของเรา
เราเป็นแบบที่เราเคยเป็นในสายตาคนอื่น พูดคุยเย้าแหย่กันเหมือนปกติ กินเหล้าจนหัวราน้ำด้วยกัน ไปเที่ยวกันบ้างตามประสา โทรตามกันมาช่วยงานในช่วงเวลาที่ไฟลนก้น
ดีแล้ว ผมบอกตัวเองแบบนั้นตลอดมา
ยามนี้ที่ผมจ้องมองบุหรี่ ยืนอยู่ตรงบันไดหนีไฟ ฉากตรงหน้าเป็นตอนกลางคืนไม่ใช่ช่วงเย็นย่ำ และที่นี่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยแต่เป็นโรงแรมหรู เป็นวันที่แสนจะน่ายินดีของมันกับเจ้าสาวที่ผมไม่รู้จัก – ผมก็ยังบอกตัวเองแบบนั้น
แบบนี้ดีแล้ว นาฬิกาเลื่อนไปไม่มากเท่าไหร่ เสียงดังจอแจจากผู้คนเงียบลงไปบ้าง ดูเหมือนพิธีการข้างในคงใกล้จะเริ่มเต็มแก่
“พี่”
ผมหันกลับไป – เจ้าบ่าวของงานยืนอยู่ตรงหน้าผมอีกแล้ว
“เข้างานเหอะ จะเริ่มจริงๆ แล้ว” มันว่าเช่นนั้น เหลือบตามองที่ปลายนิ้วของผม “หมดมวนแล้วนี่”
“ใช่” ผมตอบรับเสียงแผ่ว
“งั้นก็เข้างาน”
คราวนี้ผมไม่ได้ตอบอะไรไป มันมองหน้าผมอย่างงุนงง ที่นี่ไม่มีกระจก ผมคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าแบบใด แต่ก็คงไม่ใช่ใบหน้าแบบปกติ มันถึงได้ชะงักไปนิดหนึ่ง
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
เราตะโกนกันท่ามกลางความเงียบอีกครั้ง
ไม่สิ,
ผมตะโกนท่ามกลางความเงียบอยู่คนเดียว
“ถ้าตอนนั้นกูพูดว่าชอบมึงเหมือนกันจะเป็นยังไงวะ” ผะแผ่ว เจือจาง ลอยหายไปกับสายลม
สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือความเงียบเหมือนกับที่เคยมอบให้ไป
มันมองผมด้วยสีหน้าเศร้าหมองระคนตกใจ เสี้ยววินาทีถัดมาก็มีความผิดหวังเจือปนอยู่ในแววตา – ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมได้แสดงท่าทางแบบนั้นไปหรือเปล่า
“ไม่รู้สิ” สุดท้ายก็เป็นคำตอบผะแผ่ว
“...ก็ตอนนั้นพี่ไม่ได้พูด” นั่นเป็นคำตอบที่ชัดเจนกว่าอะไรทั้งหมด
ถ้าตอนนั้นผมเข้าใจเรื่องราวระหว่างเรามากกว่านี้หน่อยจะเป็นอย่างไรนะ หรือถ้าวันนั้นผมตะโกนดังกว่าแค่การร้องกู่ก้องในใจจะกลายเป็นอย่างไรหรือ หรือถ้าผมยอมลดทิฐิตัวเองให้เร็วกว่านี้ นิ้วนางข้างซ้ายของมันจะว่างอยู่ไหม
ผมไม่รู้ และไม่มีวันรู้ –
คำตอบนั้นจะไม่ถูกพูดออกมา เหมือนความรู้สึกที่ผมไม่ได้พูดมันออกไปจริงๆ ในวันนั้น
ก็ถือเป็นการตอบกลับมาที่เจ็บปวด...สาสมกับความเงียบที่ผมมอบให้ไปเหมือนกัน
----------------------
คิดถึงมากค่ะ //กอด
ตอนนี้ก็คือปิดเทอมแล้ว แต่ลงคอร์สเรียนไปแล้ว
ช่วงหลังๆ มาสังเกตตัวเองว่าเขียนแต่อะไรหม่นๆ
อยากกลับไปเขียนอะไรวัยใสมากค่ะ แง ;__;
คิดถึงทุกคนมากๆๆๆ นะคะ
ตอนนี้รีปริ้น #ขอให้ไม่ใช่รัก อยู่ค่ะเปิดจองวันนี้ - 30 มิ.ย. นะคะ
goo.gl/hDACnp
พูดคุยกันได้ที่แอค @ninewnn_novel ค่า
และเรื่องสั้นนี้หวีดกันได้ที่ในแท็ก
#เรื่องสั้นnn ในทวิตเตอร์นะคะ