ข้าโดนหัวค้อนฟาดที่ขาหลัง เจ็บร้าวเหมือนโดนสายฟ้าฟาด แลบแปลบปลาบไปตามกล้ามเนื้อ แต่ไม่มีเวลาหยุดชะงัก ข้าต้องวิ่งต่อ วิ่งให้เหมือนที่พวกมันอยากไล่ข้าไปให้พ้น จนในที่สุดข้าก็กลับมาที่โรงฝึกดาบที่ไม่มีใครจะสังเกตตัวตนของข้า แอบหลังพุ่มไม้และเลียแผลของตัวเองที่แดงช้ำจากการถูกทำร้าย
ข้าเจ็บ และรู้สึกเกลียดชังมนุษย์
เกลียดที่พวกมันเหยียดหยามทุกสิ่งที่แตกต่างจากพวกมัน อย่าว่าแต่ปีศาจ มนุษย์ด้วยกันพวกมันก็ไม่เว้น
แม้บาดแผลของข้าจะฟื้นฟูได้รวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน ระหว่างนี้ข้าคงเดินกะเผลกน่ารำคาญ จึงตัดสินใจซ่อนกายเงียบงัน นิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหวใด และรอเวลาจนกว่าฟ้าจะมืดลง
ข้าผล็อยหลับท่ามกลางเสียงประดาบ ผ่านไปหนึ่งมื้อถึงตื่นขึ้น สำรวจแผลที่ขาหลังพบว่ายังบวมช้ำ แต่ไม่นานคงทุเลาและยุบลง ข้าขยับเปลี่ยนอิริยาบถ นอนหมอบและหลับรอจันทรามาเยือน
ในที่สุด ข้าตื่นขึ้นเมื่อความมืดปกคลุม โรงฝึกเงียบสงัด มีเพียงเสียงเดียวที่ยังดังไม่ต่างจากเมื่อวาน เป็นเสียงของดาบไม้ที่เหวี่ยงตวัดในอากาศ เสียงหอบหายใจของเจ้าเด็กนั่น หูของข้ากระดิกไหวเหมือนมีอะไรสะกิดให้ขัดใจ
ข้าสำรวจแผลตัวเอง มันดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่หายสนิท และเจ็บร้าวทุกครั้งที่เท้าย่ำพื้น ข้าจึงยังต้องเดินกะเผลกอยู่เล็กน้อย
เมื่ออกจากพุ่มไม้ ความหิวทำให้ข้ามุ่งไปยังครัว หวังว่าอาจมีอะไรหลงเหลือ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเสบียงที่ตระเตรียมไว้รุ่งขึ้น
เจ้าแมว ขาเจ้าเป็นอะไร
ข้าชะงักการย่างก้าวเมื่อเจ้าเด็กนั่นดันสังเกตเห็นข้า อาจเพราะขาที่บาดเจ็บจึงทำให้การย่ำเท้ามีเสียง อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้หันไปมองและตั้งใจเดินต่อ
เดี๋ยวก่อน
อีกครั้ง มันเรียกข้า เดินมาดักหน้าอย่างถือวิสาสะ ข้าชะงักถอยตอนที่เจ้ามนุษย์ย่อตัวนั่งยองตรงหน้า
ขอข้าดูหน่อย
มันเอ่ย ยื่นมือมาตรงหน้าช้าๆ อย่างระมัดระวัง ข้าแปลกใจที่ตนเองลังเล และในที่สุดมือมนุษย์ก็เข้าถึงตัวข้า มันอุ่นจนรู้สึกดี ขณะเดียวกันก็ชวนให้ร้อนรนว่ามือนั้นจะนำอันตราย
และคิดไม่ทันขาดคำ เจ้ามนุษย์ก็สบโอกาสอุ้มข้า เผลอหลุดร้องท้วงไปเสียงดังแต่ก็ได้ยินเสียงจุ๊ปากให้เงียบไว้ มันอุ้มข้าจากด้านหลัง จับหัวไหล่ทั้งสองข้างของข้าไว้ ความจริงแล้วข้าใช้สองขาหลังถีบข่วนก็คงหนีได้ง่ายดาย
แต่เพราะข้าสงสัยว่าเด็กคนนี้จะทำอะไร จึงแค่รอดู
เจ้ามนุษย์เดินมาถึงหน้าประตูโรงฝึก วางข้าลง ทีแรกข้ายังสงสัยว่าทำไม ก่อนเข้าใจเมื่อมันพินิจแผลที่ขาหลังของข้าอย่างเบามือ เพิ่งนึกได้ว่าหลังโรงฝึกนั้นมืดเกินไปที่มนุษย์จะเห็นอะไรได้ชัดเจน
เด็กชายไม่พูดอะไรเมื่อละมือจากตัวข้า ทำเพียงทวีความสงสัยด้วยการแกะผ้าพันแผลที่แขนของตัวเองออก แล้วนำมันมาพันแผลที่ขาหลังของข้าเสียแทน
ข้าไม่แน่ใจว่ารู้สึกเจ็บหรือไม่ในตอนนั้น อาจเพราะนิ่งอึ้งเกินจะประมวลผลอะไรได้ รู้ตัวอีกทีเจ้ามนุษย์ก็ยกมือขึ้นลูบหัวข้าเสียแล้ว
เจ้าเชื่องกว่าที่คิดนะ
เอ่ยเช่นนั้น พร้อมระบายยิ้มจากริมฝีปากที่มีรอยบาก
ขอให้หายในเร็ววัน
เป็นถ้อยสุดท้ายของเด็กชายก่อนหยัดยืนลุกขึ้น หยิบดาบไม้หันหลังเดินจากไป ท่าเดินยังคงไม่มั่นคงและดูหิวโซ ครั้งนี้ข้ามองเจ้านั่นเดินไปจนลับสายตา
คืนนั้นข้าไม่ได้หลับใหล เพราะตาสว่างจากการนอนทั้งวัน เสียงหรีดหริ่งเรไรกังวานในเงียบงัน แหงนมองจันทร์เห็นจันทร์เต็มดวงงดงาม แต่ในหัวข้ากลับมีภาพของเจ้ามนุษย์เด็กวนเวียนซ้ำไปมา และหัวใจกลับเจ็บร้าวเหมือนโดนค้อนเล็กๆ ตอกเข้าใส่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่มีรอยบากพาดผ่านไม่น่าดูน่าชมนั้น
มนุษย์หน้าโง่
ข้าตัดบทห้วงคิดนั้น เดินจากจุดที่แหงนเงยมองพระจันทร์ ออกสำรวจเลียบแม่น้ำ เดินตามทิศที่กระแสน้ำพัดผ่าน ข้าเดินไปเรื่อยๆ จนแผลที่ขาหายสนิทเมื่อข้าเดินไปจนพบอีกหมู่บ้านที่ไกลออกไป แต่ข้ายังไม่คิดปักหลัก เพียงตรวจสอบให้แน่ใจถึงที่ไปในคราต่อไป
เช้านั้นข้ามุ่งหน้ากลับโรงฝึกดาบ และมาถึงเมื่อยามโพล้เพล้ นึกอยากแกะผ้าพันแผลออกแต่ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะกลับร่างปีศาจ ข้าใช้ร่างแมวลอบเข้าครัวที่อาหารปรุงเสร็จเรียบร้อย อาศัยทีที่มนุษย์ไม่ระแวดระวังฉกปลาย่างมาสองตัว ทุลักทุเลเพราะเป็นร่างแมวที่ทำได้เพียงคาบอาหารไว้ในปาก แต่เมื่อเข้าที่เข้าทางก็กระโจนแผล็วออกมา วิ่งออกไปไกลจากตัวบ้านเรือนที่มีมนุษย์อาศัย ซ่อนกายเฝ้ารอหลังพุ่มไม้ เล็มกินปลาตัวหนึ่งที่ขโมยมาได้ จนอาทิตย์ลับฟ้า ข้าจึงกลับร่างเป็นปีศาจแมว ร่างที่ข้าสามารถใช้ปากสื่อสารพูดคุยได้
ตอนนั้นเองที่ผ้าพันแผลหลุดออก ข้าหยิบมันขึ้นมาจากพื้น และใช้มันพันข้อมือเสีย
เมื่ออยู่ในร่างปีศาจ ข้ายืนสองขา ความสูงและขนาดกายเทียมเท่ามนุษย์ ทำให้ยากจะซ่อนเร้น ข้าจึงรอให้ท้องฟ้ามืดสนิท รอให้ทุกชีวิตหลบตัวใต้เงา หลับใหลและไม่รับรู้ถึงตัวตนของข้า เมื่อถึงเวลานั้นจึงออกจากที่ซ่อน มุ่งตรงไปยังด้านหลังของโรงฝึกดาบ
และเหมือนเดิม ข้ายังได้ยินเสียงฝึกดาบเพียงลำพังของเด็กคนนั้น ได้ยินเสียงหอบหายใจ กระทั่งเสียงร้องโครกครากของแมลงหิวในกระเพาะ ข้าก็ได้ยิน
เป็นเช่นนั้นข้าจึงกระโดดขึ้นนั่งยองบนกำแพง ปรากฏกายในความมืดที่มนุษย์คงมองเห็นข้าได้ไม่ชัดนัก
เจ้ามนุษย์ข้าไม่รู้จะเรียกอย่างไร จึงเรียกด้วยชื่อดังกล่าว อย่างไรก็ตามมันได้ผล เจ้ามนุษย์หันมามองตามคำเรียก แรกทีเดียวมันตกใจจนผงะถอยและสะดุดล้มลงก้นจ้ำเบ้า ก่อนจะลนลานหยิบดาบไม้และหยัดยืนขึ้นมา ไม่ได้วิ่งหนี แต่หันดาบไม้มาทางข้า
เจ้าเป็นใครเด็กชายถาม ข้าไม่ได้ตอบ เพียงกระโจนลงไปที่พื้นให้มันผงะถอยไปอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่ามนุษย์เห็นชัดแค่ไหนในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง แต่อย่างน้อยคงเห็นว่าข้ายื่นสิ่งใดให้ เพราะข้าเห็นสายตาที่จับจ้อง ก่อนจะเงยมองข้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ถึงเอ่ยถาม ข้าไม่คิดตอบอะไร และวางปลาย่างที่รองด้วยใบไม้ลงกับพื้นเบื้องล่างในเมื่อมนุษย์ไม่ยื่นมือมารับไว้
ตอบแทนที่รักษาแผลข้าข้าเอ่ยและหันหลังกลับ เตรียมมุ่งหน้าออกจากโรงฝึกแห่งนี้และไม่กลับมาอีก
เดี๋ยวก่อนทว่าเจ้ามนุษย์เรียกรั้ง
เจ้าจะไปไหน จะไปเพราะข้าเห็นร่างจริงของเจ้าหรือเปล่า?ข้าไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็ยังไม่ก้าวเดินออกไปเช่นกัน
เจ้า...ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเอาไปบอกใครหรอก หรือต่อให้ข้าบอกก็ไม่มีใครเชื่อข้าอยู่ดีประโยคที่ได้ยินทำให้นึกขัน เหตุใดมนุษย์คนนี้จึงเปิดเผยถึงความน่าสมเพชของตนได้ไม่อายปากเพียงเพื่อรั้งข้าไว้
ดังนั้น อยู่คุยกับข้าเสียหน่อยเถอะถึงตรงนี้ ข้าไม่ใคร่เข้าใจมนุษย์ผู้นี้นัก เพราะข้าไม่เคยพบมนุษย์ที่อยากนั่งคุยกับปีศาจ
อย่างไรก็ตาม ความแปลกพิสดารหรือความน่าเวทนาไม่ได้ทำให้ข้าใจอ่อนหันกลับไปสนทนาด้วย ข้าเพียงกระโดดข้ามกำแพงไป คืนร่างเป็นแมวดำ และหาที่ซุกหัวนอนเพื่อเก็บแรงเดินทางในวันรุ่งขึ้น ข้าจะหลับไปให้ถึงอีกราตรี ตั้งใจไว้ว่าจะใช้ร่างปีศาจเดินทางเพราะร่างแมวนั้นเชื่องช้ากว่าหลายเท่า
ไม่นาน ข้าหลับลงเพราะความเหนื่อยอ่อน หลับลึกยาวนานไม่ฝันใด แล้วสะลึมสะลือตื่นเพราะเสียงจ้อกแจ้กจอแจของมนุษย์ยามฟ้าสว่างในบางห้วง ลืมตัวสงสัยว่ามีเสียงของเด็กคนนั้นบ้างหรือไม่ในบางขณะ จนเมื่อราตรีมาถึงอีกครา ข้าตื่นเต็มตา แหงนเงยมองดวงจันทร์ที่ยังดูเต็มดวง ได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรบรรเลงเพลงไม่ให้เป็นดึกสงัด แต่กลับนึกรำคาญใจ หงุดหงิดงุ่นง่านเร่งตนเองให้เดินออกจากที่ซ่อน แล้วลังเลอยู่ในฝีเท้า จิตใจรวนเรจนรู้ดีว่าต้องจัดการให้จบให้สิ้น
ข้ามุ่งกลับไปยังโรงฝึกดาบ ตัดสินใจแน่วแน่ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ใช้ร่างแมวกระโดดขึ้นไปบนกำแพง และแทนที่เสียงเรไร ข้าได้ยินเสียงตวัดดาบจนเหนื่อยหอบของเด็กชายผู้อ่อนแอ
อะไรไม่รู้ได้ทำให้ข้ามั่นใจว่าเจ้านี่จะไม่ละความพยายาม และจะมาแอบฝึกดาบเพียงลำพังทุกคืนวัน กระนั้นข้าก็ยังอยากรู้ว่าชีวิตของมันจะดำเนินไปทางใด
จะพบกับหายนะ หรือจะเอาชนะมันได้
อาจจะหายนะ
ข้าให้คำตอบกับตัวเองทดแทนที่จะไม่อยู่เฝ้าดูจนถึงจุดจบ บอกตัวเองว่าพอใจเช่นนั้น หยัดยืนเตรียมหันหลังกลับ
เจ้าแมวแต่ความตั้งใจกลับต้องชะงัก
ข้าแย่งมื้อเย็นมาได้แล้ว
คำพูดของมันทำให้ข้านึกย้อนถึงวันแรกที่พบกัน เป็นคำที่ข้ายังนึกเย้ยหยันเมื่อได้ฟังครั้งแรก แต่ตอนนี้ เมื่อหันไปมอง ข้าเห็นปลาย่างบนมือของเด็กชาย ยืนยันว่าทำได้จริงดังที่พูด
นี่ของเจ้าพลันเมื่อข้าได้ฟังถ้อยนั้น จากรอยยิ้มที่มีรอยบากพาดผ่าน ข้ารู้สึกเหมือนถูกค้อนเล่มเล็กๆ ตอกเข้าที่หัวใจจนเจ็บร้าว และอาจถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงในไม่ช้าหากไม่รับมันไว้
สุดท้ายข้ากระโจนลงไปหา แต่เป็นในร่างของปีศาจ สังเกตสายตาของเจ้าเด็กตรงหน้าแล้วยิ่งรู้สึกแตกร้าว
ไม่มีความเกลียดชังอยู่ในแววตาแม้แต่น้อย
ข้าตั้งใจจะเอ่ยถามว่า 'ทำไม' ในตอนที่รับอาหารนั้นไว้ แต่ถูกชิงเอ่ยถามเสียก่อน
ข้าเคยเล่าเรื่องของข้าไปแล้ว เล่าเรื่องของเจ้าบ้างสิทั้งน้ำเสียง และท่าทียิ่งบ่งชัดว่าไม่มีความชิงชัง ไม่มีความหวาดกลัวในตัวข้า เจ้ามนุษย์เพียงเดินไปนั่งพิงเสา วางดาบไม้ลงด้านข้าง และรอข้าไปสนทนาด้วย เพียงเท่านั้น ไม่มีอื่นใด
และอาจเพราะตลอดหลายชีวิตที่ผ่านมาของข้าไม่เคยพบเจออะไรเช่นนี้ สุดท้ายแล้วข้าจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ แต่ไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยใด กินอาหารที่มันเก็บไว้ให้ ทั้งที่ซ้ำซากจำแต่เหมือนว่ามันอร่อยกว่าที่เคย จนเผลอเลียมือต่อหน้ามนุษย์ ให้รีบลดมือเก็บพร้อมความกระดาก
จากนั้น ข้าจึงเริ่มเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของข้า
เรื่องที่ข้าเคยเป็นราชสีห์ ปกครองพงไพร เล่าถึงบริวารที่ข้ามี และจบลงเพียงเท่านั้น พึงพอใจที่มนุษย์ไม่ได้มีแววตาแคลงใจสงสัย
ขณะเดียวกันก็กลับไม่ชอบใจในความวางใจของมัน
พรุ่งนี้มาอีกสิ ข้าจะรอเจ้าเหมือนเดิมนั่นเป็นคำพูดของมนุษย์ตอนที่ข้าลุกเดินจาก ข้าไม่ได้ให้คำตอบ แต่ก็ไม่ได้บอกลา ซึ่งนั่นทำให้ข้ารู้เลยว่าจะนึกด่าทอตนเองที่ไม่ทำตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก
ข้าไม่ได้มาที่โรงฝึกในคืนนี้เป็นครั้งสุดท้าย หาข้ออ้างให้ตนเองว่าชีวิตของปีศาจช่างยาวนาน คงไม่เป็นไรหากจะเสียเวลาไปกับสิ่งที่จนเองต้องการค้นหาคำตอบ
ข้าอยากรู้ว่าชีวิตของเด็กคนนี้จะเดินต่อไปในทางใด และจะไปด้วยสภาพโซซัดโซเซหรือยืดอกขึ้นเดินอย่างผึ่งผาย
เป็นเช่นนั้น ข้าจึงกลับมาเล่าเรื่องของตนเองในคืนถัดมาและถัดมา เล่าถึงอดีตชาติที่เคยเป็นพญาเสือโคร่ง และเจ้าแห่งเสือดำ เมื่อหมดเรื่องจะเล่า ข้าคิดว่าเด็กชายคงเอ่ยเรื่องของตัวเองออกมาบ้าง
เจ้าไม่บอกข้าเลยว่าในแต่ละชาติ เจ้าตายอย่างไรทว่ามันกลับยังไถ่ถามลามปาม
ข้าเล่ามามากพอแล้ว เจ้าล่ะ ทำไมถึงฝึกดาบอย่างหนักอยู่เพียงลำพัง
ถ้าแข็งแกร่งก็มีอำนาจ และถ้ามีอำนาจ ไม่ว่าเราจะพูดหรือไม่ ใครก็ฟังเราไม่ใช่หรือ
เด็กชายเอ่ยตอบ ไม่ลังเล แววตาที่ทั้งอ่อนโยนแข็งกร้าว จำได้ว่ามันเคยฉายแววมีหวังผสมปนเปกับสิ้นหวัง แต่บัดนี้ข้าเห็นแต่แววตาที่มุ่งมั่นแน่วแน่
ที่เคยโดนปรามาสว่าอ่อนแอ ก็เป็นเพียงลมปากของมนุษย์ที่จิตใจอ่อนแอยิ่งกว่า
ข้ารู้แล้วว่ามนุษย์ผู้นี้จะเดินไปในทางใด
ไม่ใช่หนทางของมนุษย์หน้าโง่ เพราะเจ้านี่ไม่ได้ไว้ใจใคร เพียงไม่เกรงกลัวเท่านั้นเอง
นี่ ขอจับหูเจ้าหน่อยได้ไหมพลันคำนึงคิดถูกหยุดชะงัก ด้วยคำเอ่ยขอที่สมกับเป็นเด็ก ขณะเดียวกันก็ตำหนิได้เช่นกันว่าโตเกินจะเป็นเด็กแล้ว
ข้าไม่ไว้ใจให้เจ้าจับง่ายๆ หรอกเจ้ามนุษย์
ไม่ไว้ใจอย่างนั้นหรือ
ใช่ และถ้าเจ้าไว้ใจใครง่ายๆ เจ้าก็จะเป็นมนุษย์หน้าโง่
ข้าเอ่ยเช่นนั้น ให้แววตาของเจ้ามนุษย์ฉายแววสงสัยไม่เข้าใจ ปากที่พาดด้วยรอยบากเหยียดตรงไม่บ่งอารมณ์ใด และไม่ให้ได้เอื้อนเอ่ยคำ ข้าก็แปลงกายกลับเป็นร่างแมวและกระโจนข้ามรั้วกำแพงไป
ข้าตั้งใจจะไปจากที่นี่เมื่อค้นพบแล้วว่าเจ้าเด็กนั่นจะก้าวต่อไปในทิศทางใด อย่างน้อยก็ไม่ใช่หายนะ ข้าคิดเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร ข้าก็เลือกจะเอ่ยลากับเจ้านั่นเป็นครั้งสุดท้าย จึงหลับใหลรอฟ้าสว่าง วนไปจนความมืดโรยตัวลงอีกครั้ง
เหมือนเดิมที่ข้ายังเห็นเด็กชายฝึกดาบ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันดูแข็งแรงขึ้นทั้งที่ผ่านไปไม่กี่วัน หรือความจริงแล้วอาจสะสมมาเป็นแรมปีแต่ไม่มีใครล่วงรู้ ท่าทีจับดาบของเจ้ามนุษย์ดูแกร่งกร้าวกว่าที่เคย ข้าเฝ้ามองจากบนรั้วกำแพง แต่เจ้านั่นก็กลับสัมผัสได้ถึงตัวตน หันมามองข้า ลดดาบไม้ในมือลง และยกยิ้มบางเป็นการทักทาย
เห็นดังนั้นข้าจึงกระโดดลงไปหา ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ข้าเอ่ยลาดังที่ตั้งใจ
ข้าต้องไปจากที่นี่แล้ว
อีกครั้งที่มุมปากของเด็กชายกลับไปเหยียดตรงไม่บ่งอารมณ์ใด เห็นเพียงบาดแผลเป็นรอยบากเท่านั้นที่ชัดเจน ก่อนที่จะเอ่ยคำ
อยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้หรือ
ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อแล้ว
ข้าเป็นเหตุผลให้เจ้าอยู่ต่อไม่ได้หรือ
คำที่ได้ยินเป็นคำที่ไม่คาดคิด ข้าไม่รู้จะโต้ตอบออกไปอย่างไร ทำได้เพียงยืนนิ่ง มองมือของเด็กชายที่เอื้อมมือมาตรงหน้าข้า ปล่อยให้สัมผัสไล้เข้าที่แก้มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมสัมผัสขึ้นไปยังใบหู ให้ข้ารู้ตัวว่าอวัยวะส่วนนี้ไวต่อสัมผัสแค่ไหน รู้สึกถึงอุณหภูมิที่อุ่นจนน่ารำคาญ และน่ารำคาญยิ่งกว่าเมื่ออุณหภูมิรุ่มร้อนนั้นมาจากภายในอกของตัวเองตอนที่ถูกลูบหัวอย่างแผ่วเบา ราวกับข้ากำลังอยู่ในร่างของแมวตัวเล็กๆ
อยู่กับข้าเถอะ
ข้าไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงอยากให้ข้าอยู่ด้วยนัก อาจเพราะโดดเดี่ยว เพียงลำพัง แต่ข้าเชื่อว่าในภายภาคหน้า มันจะไม่โดดเดี่ยว จะมีคนคอยติดตามเคียงข้างที่เหมาะสมและไม่ใช่ปีศาจอย่างข้า ขณะเดียวกันจิตใจก็ยอกย้อนว่ามนุษย์อาจต้องการข้าจริงๆ – หมายถึงปีศาจแมวอย่างข้าเพียงผู้เดียว
พลันเสียงโวยวายก็ทำให้ข้าหลุดจากห้วงคิด รวมถึงหลุดจากภวังค์ มันเป็นเสียงตะโกนโหวกเหวกของมนุษย์อื่น ทั้งยังหลายต่อหลายคน ปรากฏตัวมาพร้อมคบเพลิงและดาบภายในมือ ทั้งดาบเหล็กและดาบไม้ รุมดักทั้งหน้าและหลัง ให้ปีศาจอย่างข้าไร้ซึ่งทางออก รุมตะโกนก่นด่าว่าปีศาจ ตัวประหลาด ต้องกำจัดมัน ฆ่ามันให้ตาย จนข้ารู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
หนึ่งในเสียงโหวกเหวกที่ข้าจับใจความได้นั้นทำให้รู้ว่าพวกมันดักรอข้าอยู่ รอเวลาที่ข้าจะมาหาเจ้ามนุษย์ผู้นี้ ข้าปวดร้าว คิดเสียใจที่พลาดท่าไว้ใจมนุษย์ แม้แค่คนเดียวก็นำหายนะมาได้ แต่พลันก็ได้เห็นการกระทำที่ชวนให้หัวใจร้าวรอนยิ่งกว่า ในเมื่อเด็กชายจับดาบไม้ในมือขึ้นมา ไม่ได้หันมาทางข้า แต่หันหน้าไปยังมนุษย์ทุกคนที่หันดาบมาทางข้า
เจ้าเด็กนี่กำลังประกาศตัวเป็นศัตรูกับทุกคน...เพียงเพื่อปกป้องข้า
ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงทำให้หัวใจข้ารวดร้าวเหลือเกิน มันรวดร้าวมากเสียจนไม่อาจเอ่ยถามออกไปว่า 'ทำไม'
เจ้าบอกว่าถ้าไม่อยากเป็นมนุษย์หน้าโง่ อย่าไว้ใจใคร
พลันเสียงของเด็กชายเอ่ย ก้องกังวานท่ามกลางผู้คนที่รุมล้อมและตีวงแคบเข้ามาเรื่อยๆ
ในหลายชีวิตที่ผ่านมาของเจ้า กระทั่งชีวิตของปีศาจ ความจริงแล้วเจ้าก็อยากไว้ใจใครสักคนไม่ใช่หรือ
เสียงก้องกังวานนั้นทะลุทะลวงเข้ามาในโสตประสาท
เพราะเจ้าเป็นแมวหน้าโง่ตั้งแต่ยอมนั่งคุยกับข้าแล้ว
...และจิตใจของข้า
ถ้อยคำของเด็กชายจบลงตรงนั้น มันถูกโหมทับด้วยเสียงกรีดตะโกนราวกับคำราม ทั้งที่เป็นดาบไม้แต่กลับไม่กลัวดาบเหล็กแม้แต่น้อย ข้าเห็นเด็กชายพยายามสู้ มันทำให้ข้าเหมือนเห็นตนเองในอดีตชาติของราชสีห์ ข้าแก่ตัว หมดเขี้ยวเล็บ หมดอำนาจพ่ายแพ้ให้สิงโตหนุ่มและถูกยึดครองทุกสิ่งอย่างแม้แต่ลูกเมียที่เคยรักและไว้ใจ ข้าอยู่เพียงลำพัง หดหู่ อ่อนแอ หิวโซ และอดตาย
แต่เด็กชายที่อยู่ตรงหน้าข้า แม้ไร้เขี้ยวเล็บแต่ยังมีจิตใจที่แหลมคม แข็งแกร่ง และแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้ผู้ถือครองดาบเหล็กพลาดท่า ด้ามดาบร่วงหล่นหลุดจากมือเพราะการโจมตีของเด็กชาย
เมื่อนักดาบไร้ซึ่งดาบก็ย่อมเป็นบุคคลธรรมดา เด็กชายรู้ดีจึงยึดแย่งมาเป็นของตนเอง ตวัดดาบเว้นระยะจากการถูกโจมตี ให้ได้พักหายใจและปิดช่องโหว่ แต่ก็ยังยากที่ต้องต่อกรกับคนนับสิบเพียงลำพัง
มือของข้าสั่นไหว อยากจะแปลงกายกลับเป็นแมวตัวเล็กและหลบหนีไปจากตรงนี้ แต่ข้าทิ้งเจ้ามนุษย์ไม่ได้ ทิ้งเหมือนที่ข้าเคยถูกทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยวในถ้ำของพญาเสือโคร่งที่ถือเกียรติยิ่งกว่าอะไรดีไม่ได้ และในจังหวะที่ข้าตั้งท่าพร้อมสู้ ดาบทุกเล่มก็มุ่งเข้ามาที่เด็กชาย ชวนให้ใจหายก่อนเปลี่ยนเป็นตะลึงพรึงเพริดที่เจ้ามนุษย์ตั้งรับเอาไว้ได้ ก่อนจะกรีดตะโกนอีกครั้งและดันออกไปให้อีกฝ่ายแตกพ่าย
ในห้วงวินาทีสั้นๆ ข้านึกสงสัยว่าเจ้ามนุษย์นั้นเอาพละกำลังมาจากไหน
พละกำลังที่ข้าไม่มีในชาติที่เป็นเสือดำและถูกมนุษย์ล้อมจับและฆ่าตายด้วยคมหอกคมดาบจนรังเกียจฝังใจมาถึงชาตินี้
ทว่าข้าไม่มีเวลาปล่อยใจสั่นระริกไปมากกว่านี้ แม้เจ้ามนุษย์สามารถตอบโต้ศัตรูให้แตกกระเจิง แต่นั่นอาจเป็นแรงเฮือกสุดท้าย เสียงหายใจหอบดังชัด และกำลังจะถูกตีวงล้อมเข้ามาอีกครั้ง นั่นจึงถึงทีข้าที่เข้าประจันหน้า ใช้ความรวดเร็วหลบทุกการโจมตี และโต้กลับด้วยกรงเล็บที่ซ่อนเอาไว้
พิษร้ายจากรอยแผลที่ข้าสร้างทำให้กลุ่มศัตรูหยุดชะงัก สุดท้ายข้าตวัดเหวี่ยงคบเพลิงเข้าไปในโรงฝึก เพื่อให้ไฟไหม้ช่วยถ่วงเวลาหนี เมื่อเด็กชายเห็นดังนั้นก็ผุดยิ้มบนรอยบาก ตวัดดาบใส่คนที่ยังคิดเข้าสู้ ก่อนเอื้อมมาฉุดมือข้าให้วิ่งหนีออกไปทางประตูใหญ่
ข้าวิ่งตามที่เจ้ามนุษย์วิ่งนำข้า แม้ความจริงแล้วข้าจะวิ่งเร็วกว่าหลายเท่า แต่เมื่อได้วิ่งเคียงข้างมนุษย์ผู้นี้ก็ไม่เลวนัก
จนเมื่อมองกลับไปไม่เห็นใครตามมาแล้ว เด็กชายหยุดพัก เหนื่อยหอบ โน้มตัวเอามือยันเข่าตนเองแต่ก็ไม่ยังปล่อยมือจากด้ามดาบ ข้าเองก็เหนื่อยหอบเช่นกัน แต่สายตายังเหลือบมองเด็กชาย เนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างจากแรกเจอ แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือความแข็งแกร่ง
และข้าควรคิดว่าเจ้านี่เป็น 'เด็กหนุ่ม' ได้แล้วกระมัง
พลันเจ้ามนุษย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองข้า ก่อนจะผุดยิ้มบนปากที่มีรอยบากนั้น
ยังไม่เคยถามเลยว่าเจ้าชื่ออะไร
ชานชื่อของเจ้ามาเสียก่อนสิ
ข้าต่อรอง เจ้ามนุษย์จึงหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง ผึ่งผายไม่หิวโซ และนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนขบคิด ก่อนสบตาข้าแล้วเอ่ยตอบ
เรียกข้าว่า ‘มนุษย์หน้าโง่’ แล้วกัน
แล้วข้าก็แปลกใจในคำตอบนั้น
ข้าเป็นมนุษย์หน้าโง่...ของแมวหน้าโง่อย่างเจ้า
ไม่แน่ใจว่าดวงตาที่โตอยู่แล้วของข้าจะยิ่งโตเข้าไปอีกหรือไม่เมื่อได้ยินประโยคที่ตามมา ที่แน่ใจคือตอนนี้อุณหภูมิมือของมนุษย์ช่างอบอุ่น แม้มันลูบเข้าที่หัวของข้า ข้าก็ยอมให้ ด้วยทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนปลอบประโลมความโดดเดี่ยวที่เคยเจอมาตลอดหลายชาติภพ
พลันรุ่มร้อน...เมื่อมันเสยปอยผมของข้าขึ้น เพื่อจุมพิตลงบนหน้าผาก
ด้วยอารามตกใจและทำอะไรไม่ถูก ข้าเผลอส่งเสียงร้องแง้วแบบที่ร่างแมวพึงมีออกไป ทำให้เจ้ามนุษย์หัวเราะ ขบขันเสียเต็มประดาจนข้าร้อนหน้า จึงทำให้ข้าหาวิธีหยุด
ซึ่งวิธีหยุดของข้าก็คือการงับลงไปที่รอยบากบนปากนั้น เจ้ามนุษย์ชะงัก ให้ข้าได้ช่องว่างขานเรียกออกไป
เจ้ามนุษย์หน้าโง่
เด็กหนุ่มยิ้ม และขานกลับ
เจ้าแมวหน้าโง่
ก่อนจะจุมพิตลงมาอีกครั้ง ครั้งนี้ที่ริมฝีปากของข้า เนิบช้า และดูเหมือนจะทำให้เข้าใจได้ถึงคำว่านิรันดร์
หรือหากข้าต้องตาย และเกิดใหม่ไปใช้ภพชาติที่เหลือดังที่มนุษย์ชอบกล่าวขานกันว่าแมวนั้นมีเก้าชีวิต ข้าก็ยินดี หากจะได้เจอเจ้า และใช้ชีวิตด้วยกันตลอดภพชาติที่เหลือนั้น**************************************************************************
ถ้าชอบคอมเม้นติชมจะดีใจมากเลยค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นในธีมปีศาจ
เช่นเดียวกับเรื่อง █ █ FLY WITH THE ARCHER █ █ >>>
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66269.0 ค่ะ
ติดแท็ก #ปีศาจแมวเก้าชีวิต กันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ